Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore edit10-04-2562 Handout TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

edit10-04-2562 Handout TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Published by wasana.wit, 2019-10-04 20:26:25

Description: edit10-04-2562 Handout TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Search

Read the Text Version

ประสบการณ์เฉพาะของผสู๎ อนเอง 3) เพ่อื ใหผ๎ เู๎ รยี นไดม๎ คี วามร๎ไู ปในทิศทางเดียวกันและได๎เน้ือหาอยํางเทํา เทียมกัน และ 4) เพื่อชํวยนําทางในการอํานหนังสือของผู๎เรียน และชํวยสรุปประเด็นสําคัญในกรณีท่ี ผ๎สู อนมอบหมายใหไ๎ ปอํานมาลวํ งหน๎าแล๎ว ขั้นตอนของวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยายที่สาํ คญั ไดแ๎ กํ ข้ันเตรียมการสอนโดยใช๎การบรรยาย ขั้น สอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ซ่ึงขั้นน้ียังแบํงออกเป็น 1) ขั้นนํา 2) ข้ันอธิบาย และ 3) ข้ันสรุป และสุดท๎ายคือ ขน้ั ประเมินผลการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ขั้นเตรียมการสอนโดยใช๎การบรรยายนั้น ครูควรจัดทําแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนรู๎ โดยคํานึงถึงพื้นความรู๎ ความสามารถ และประสบการณ์เดิมของผู๎เรียน ซ่ึงในแผนการสอนนั้นครูก็ต๎อง เตรียมในสวํ นของวัตถุประสงคก์ ารเรียนร๎ู กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือ การวัดผลการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียน เป็นต๎น แตํท่ีพิเศษและท๎าทายความสามารถของคุณครูก็คือ จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช๎การ บรรยายอยํางไรให๎ผู๎เรียนไมํร๎ูสึกเบื่อ ซ่ึงครูอาจทําได๎โดยใช๎ส่ือ ใช๎คําถาม เรื่องเลํา สถิติที่สําคัญ คํากลอน คําอุปมาอุปมัย รวมทั้งใช๎อารมณ์ขันหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม และเชํนเดียวกับการสอนในทุกคร้ัง กํอนเวลาสอน ครูควรเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ตํางๆ ให๎เรียบร๎อย และพร๎อมสําหรับการใช๎งาน และ หากเนื้อหาทจ่ี ะบรรยายน้นั ใหมํสําหรบั คุณครู คุณครูก็ควรซักซ๎อมการสอน ซึ่งจะทําให๎ครูมีความชํานาญ ในการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมากยิ่งข้ึน ข้ันสอนโดยใชก๎ ารบรรยายน้นั ครูควรเร่มิ ตน๎ ด๎วยขั้นนาํ โดยการซักถามพูดคุยกับผ๎ูเรียน จากน้ัน จึงทบทวนการบรรยายในครง้ั กอํ นเพ่อื เชือ่ มโยงกับเรื่องใหมํ จากน้ันถึงข้ันอธิบายครูผ๎ูสอนควร 1) บอกโครงเรื่อง ขอบขํายของเนื้อหา และแจ๎งจุดประสงค์ ของบทเรียน 2) อธิบายให๎ชัดเจนตามลําดับเนื้อหาอยํางตํอเนื่องกัน 3) สังเกตปฏิกิริยาของผ๎ูเรียน ตลอดเวลาเพ่ือการย้ําซํ้า หรือหยุดทบทวนใหมํ 4) ถามคําถามในบางตอนเพ่ือกระต๎ุนความสนใจของ ผู๎เรียน และทดสอบความเข๎าใจ 5) ยกตัวอยํางประกอบ เพ่ือเพ่ิมความแจํมแจ๎งในบทเรียน 6) ใช๎นํ้าเสียง บุคลิกภาพทําทาง ทําทีการพูดอธิบาย การใช๎ภาษา และอารมณ์ขันท่ีเหมาะสม และ 7) ผ๎ูสอนควรจด หัวข๎อยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพ่ือให๎ผ๎ูเรียนสามารถติดตามบทเรียนและจดเน้ือหาสาระสําคัญลงในสมุด จดของตนได๎ ขน้ั ตํอมา ข้ันสรุป ผู๎สอนอาจใช๎วิธี 1) สรุปโยงเน้ือเร่ืองตั้งแตํต๎นจนจบ 2) ตั้งปัญหาให๎ผู๎เรียนได๎ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ 3) ฝากปัญหาให๎ผู๎เรียนไปคิดตํอ 4) เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนได๎ซักถามปัญหา 5) มอบหมายงานให๎ผ๎ูเรยี นไปค๎นควา๎ เพ่มิ เติม และ 6) ควรได๎บอกลํวงหน๎าถึงเน้ือหาที่จะเรียนในคร้ังตํอไป นอกจากน้ี ผ๎ูสอนควรจะได๎เข๎าใจวําความนําสนใจหรือความสนุกสนานในการเรียนน้ัน ไมํ จําเป็นต๎องข้ึนอยูํกับความสนุกสนานทางอารมณ์อยํางเดียว แตํอาจจะสนุกสนานทางปัญญากับวิชาที่ เรียนกไ็ ด๎ ดงั นั้นผูส๎ อนควรจะสํารวจตัวเองวําเราสนุกกับวิชาท่ีสอนเพียงใด ถ๎าเราเองยังไมํสนุกก็ยากท่ีจะ สอนให๎ผู๎เรียนสนกุ สนานได๎ 148

ขั้นสรปุ และประเมินผลของการสอนโดยใช๎การบรรยายน้ัน เป็นข้ันตอนที่ครูผ๎ูสอน สรุปโยงเน้ือ เรอื่ งตงั้ แตตํ น๎ จนจบ หรือให๎ผ๎ูเรียนได๎รํวมกันสรุปก็เป็นวิธีการท่ีเหมาะสม เพราะให๎ผู๎เรียนได๎ฝึกคิด และ เป็นการวัดผลการเรียนรู๎ของผู๎เรียนไปในตัว โดยครูมีบทบาทในการแนะนําการสรุป จากนั้นครูสามารถ ติดตามการบรรยายโดยการตรวจดูสมุดบันทึก การถามคําถาม หรือแบบทดสอบปรนัยส้ันๆ เป็นต๎น นอกจากนีผ้ ๎ูสอนสามารถติดตามผลของผู๎เรียนโดยการมอบหมายงานให๎ไปศึกษาค๎นคว๎าตํอพร๎อมนําเสนอ การรายงาน การศึกษาคน๎ คว๎าตํอไป สําหรับการติดตามผลการสอนของครูก็เป็นสิ่งที่ควรกระทํา ซ่ึงสามารถทําได๎โดยใช๎ แบบสอบถามผู๎เรียนเกี่ยวกับความพึงพอใจในกิจกรรมการเรียนการสอน หรือความคิดเห็นเก่ียวกับ เทคนิควิธีการสอนของครู นอกจากน้ีผ๎ูสอนอาจให๎เพื่อนครูเข๎าสังเกตการณ์สอนและให๎คําติชม หรืออาจ ใชก๎ ารบันทึกวีดที ัศน์แล๎วนํามาชมทหี ลงั ก็ได๎ จดุ เดํนของวิธสี อนโดยใช๎การบรรยายท่ีนําสนใจสรุปได๎ ดังน้ี 1) ใชเ๎ วลาน๎อย เมื่อเทียบกับวธิ ีสอน แบบอนื่ ๆ 2) ใชก๎ ับผู๎เรยี นจํานวนมากได๎ 3) สะดวก ไมยํ งํุ ยาก 4) ถาํ ยทอดเนอื้ หาสาระได๎มาก 5) โอกาสท่ี จะปรับปรุงเนื้อหาและวิธีการให๎เหมาะสมกับผ๎ูฟัง เวลา และองค์ประกอบอ่ืน ๆ ได๎ดีกวําวิธีอ่ืน และ 6) การสอนแบบบรรยายสามารถจะทําได๎ในทุกสถานที่ เชํน ภายในอาคาร นอกอาคาร ในห๎องเรียน หรือใน สนามก็ตาม ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การบรรยายสรุปได๎ดังน้ี คือ 1) ผู๎สอนต๎องใช๎ทักษะการเร๎าความ สนใจของนกั เรยี นเพอื่ ใหน๎ กั เรียนมีสํวนรวํ มมากยงิ่ ขึน้ 2) ใช๎ไดเ๎ หมาะสมดเี ฉพาะผ๎ูเรียนท่ีมีชํวงความสนใจ ในการฟังการบรรยายได๎ยาว 3) ผูเ๎ รียนต๎องใช๎ความสามารถทกั ษะดา๎ นการฟังและการคิด 4) เป็นการสอน ที่ไมํคํานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล 5) ผู๎เรียนมีสํวนรํวมและแสดงความคิดเห็นในการเรียนได๎น๎อย 6) ผู๎เรียนเกิดความเบื่อหนํายและขาดความสนใจได๎งําย และ 7) ไมํเอ้ือตํอการเรียนรู๎ระดับการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ซ่ึงเป็นความสามารถข้ันสูง เว๎นแตํมกี ิจกรรมอน่ื ๆ เสริมระหวาํ งการบรรยาย คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจดุ มุงํ หมายของ “วิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย” ตามความคิดเห็นของทําน 2. ลักษณะสําคัญของวธิ ีสอนแบบบรรยาย มอี ะไรบ๎าง 3. วธิ สี อนโดยใชก๎ ารบรรยายจะตอ๎ งมอี งคป์ ระกอบทส่ี าํ คัญอะไรบา๎ ง 4. วิธีสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมขี ้ันตอนอะไรบา๎ ง จงอธบิ าย 5. จงอธิบายจดุ เดนํ และขอ๎ จํากัดของวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยาย มาพอสังเขป 149

5.2 การอภปิ ราย – การแบง่ กลุ่มย่อย วธิ ีสอนโดยใช๎การอภปิ รายกลุํมยอํ ย คือกระบวนการทีผ่ ๎ูสอนใช๎ในการชํวยใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ การเรยี นรตู๎ ามวตั ถุประสงค์ที่กําหนดโดยการจัดผู๎เรยี นเปน็ กลุํมเลก็ ๆ ประมาณ 4-8 คน และใหผ๎ เู๎ รียนใน กลมํุ พูดคยุ แลกเปล่ียนข๎อมูล ความคดิ เหน็ และประสบการณใ์ นประเดน็ ทีก่ าํ หนด และสรปุ ผลการ อภิปรายออกมาเปน็ ข๎อสรปุ ของกลุํม วตั ถุประสงค์ วิธีสอนโดยใช๎การอภปิ รายกลมุํ ยํอย เป็นวธิ ีการท่มี งุํ ชํวยใหผ๎ ู๎เรยี นมีสวํ นรํวมในกจิ กรรมการเรียนร๎ูอยํางทั่วถึง มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแลกเปลีย่ น ประสบการณ์อนั จะชวํ ยใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ การเรียนรูใ๎ นเรื่องท่ีเรียนกวา๎ งขึน้ องคป์ ระกอบสาคัญ (ทีข่ าดไมไ่ ด)้ ของวิธสี อน 1 มีการจัดผู๎เรียนเป็นกลุํมยอํ ย ๆ กลํุมละประมาณ 4-8 คน 2 มปี ระเด็นในการอภิปราน 3 มกี ารพดู คุยแลกเปลย่ี นความคิดเห็น ความร๎ูสกึ และประสบการณก์ ันระหวํางสมาชกิ ในกลมุํ ตามประเด็นการอภิปราย 4 มีการสรปุ สาระท่ีสมาชกิ ลมํุ ได๎อภปิ รายกันเปน็ ข๎อสรปุ ของกลมํุ 5 มีการนาํ ข๎อสรปุ ของกลํมุ มาใชใ๎ นการสรุปบทเรยี น ขั้นตอนสาํ คญั (ที่ขาดไมํได๎) ของการสอน 1 ผูส๎ อนจดั ผู๎เรียนออกเปน็ กลุํมยอํ ย ๆ กลุํมละประมาณ 4-8 คน 2 ผ๎สู อน / ผ๎เู รยี นกําหนดประเด็นในการอภปิ ราย 3 ผ๎เู รียนพดู คยุ แลกเปลย่ี นความคิดเห็นกนั ตามประเด็นอภิปราย 4 ผเ๎ู รยี นสรุปสาระท่ีสมาชิกกลํมุ ไดอ๎ ภปิ รายรวํ มกันเป็นข๎อสรุปของกลุํม 5 ผ๎สู อนและผ๎ูเรยี นนาํ ข๎อสรปุ ของกลุํมยํอยมาใชใ๎ นการสรุปบทเรียน เทคนคิ และข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการสอนโดยใช๎การอภปิ รายกลมํุ ยํอยให๎มีประสิทธิภาพ 1 การจดั ผูเ้ รียนเปน็ กลุ่มยอ่ ย จํานวนสมาชิกในกลุํมยํอยควรมีประมาณ 4-8 คน จํานวนที่เหมาะสมที่สุดคือระหวําง 4-6 คน คือเปน็ กลมํุ ที่ไมํเลก็ เกินไป และไมํใหญํเกนิ ไป เพราะถา๎ กลมุํ เลก็ เกินไป กลํุมจะไมํได๎ความคิดท่ีหลากหลาย เพียงพอ ถ๎ากลุํมใหญํเกินไป สมาชิกกลํุมจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได๎น๎อยหรือได๎ไมํทั่วถึง การแบํง ผ๎เู รยี นเขา๎ กลุมํ อาจทําโดยวธิ สี ุมํ เพอ่ื ให๎ผู๎เรยี นมโี อกาสไดร๎ ํวมกลุมํ กับเพ่อื นไมํซา้ํ กนั หรืออาจจัดผ๎ูเรียนเข๎า กลุํมคละความสามารถ เพื่อให๎ผู๎เรียนที่เกํงชํวยเหลือผ๎ูท่ีเรียนอํอน หรืออาจจัดผู๎เรียนเข๎ากลุํมจําแนกตาม เพศ วัย (ถา๎ ผเู๎ รียนมหี ลายวยั ) ความสนใจ ความสามารถ หรอื เลอื กอยาํ งเจาะจงตามปญั หาที่มีกไ็ ด๎ ขน้ึ กับ วัตถุประสงค์ของผู๎สอนและสิ่งท่ีจะอภิปราย เทคนิคที่ใช๎ในการแบํงกลุํมมีหลากหลาย เชํน ใช๎การนับ หมายเลขหรือเป็นภาพ ข๎อความ ผ๎ูท่ีจับฉลากได๎เหมือนกัน ให๎รวมกลํุมกัน หรือใช๎เกมตําง ๆ เชํน เกม 150

คําสัง่ จับกลุมํ โดยผ๎ูเรยี น ราํ วงตามเสียงเพลงหรอื ดนตรี เม่ือดนตรีหรือเพลงหยุด ผู๎สอนจะออกคําสั่งให๎ ผู๎เรียนจับกลุํมตามจํานวนท่ีครูสั่ง เชํน จับ 4 จับ 6 หรือจับกลํุมหญิง 3 ชาย 1 ให๎ผ๎ูเรียนเกิดความ สนุกสนาน จนกระท่ังในทสี่ ุดครสู ่งั ให๎จบั กลุํมตามจํานวนท่ีครูต๎องการ เทคนิคการจัดกลุํมจะชํวยให๎ผ๎ูเรียน ไมํเกิดความเบ่ือหนํายในการแบํงกลํุม โดยเฉพาะเมื่อครูจําเป็นต๎องแบํงกลํุมบํอย ๆ จะชํวยให๎ผู๎เรียนรู๎สึก สนุกและสนใจท่ีจะเรียนร๎ูในกิจกรรมตํอไป เมื่อจัดผู๎เรียนเข๎ากลํุมแล๎ว ผ๎ูสอนควรดูแลให๎กลุํมจัดท่ีน่ัง ภายในกลุํมให๎เรียบร๎อย ให๎อยูํในลักษณะท่ีทุกคนมองเห็นกัน และรับฟังกันได๎ดี นอกจากน้ันในกรณีท่ีมี หลายกลุมํ ผ๎สู อนควรจัดกลํุมให๎หํางกันพอสมควร เพือ่ ไมํให๎เสียงอภิปรายจากลมุํ รบกวนกนั และกัน 2 ประเด็นการอภปิ ราย การอภิปรายจําเป็นต๎องมีประเด็นในการอภิปราย มวี ตั ถุประสงค์ของการอภปิ รายท่ี ชัดเจน ประเดน็ การอภิปรายอาจจะมาจากผ๎สู อนหรือผเู๎ รยี นก็ได๎ แล๎วแตํกรณี การอภิปรายแตลํ ะคร้ังไมํ ควรมปี ระเด็นมากจนเกินไป เพราะจะทําใหผ๎ ูเ๎ รยี นอภิปรายไดไ๎ มเํ ต็มท่ี 3 การอภปิ ราย การจดั กลํมุ อภิปรายมีหลายแบบ ผู๎สอนควรเลือกใช๎ให๎เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ในการ อภิปรายท่ีดีโดยทั่วไป ควรมีการกําหนดบทบาทหน๎าที่ที่จําเป็นในการอภิปราย เชํน ประธานหรือผ๎ูนําใน การอภิปราย เลขานุการผจ๎ู ดบนั ทึกการประชุม และผรู๎ กั ษาเวลา เป็นต๎น นอกจากน้ันสมาชิกลํุมทุกคนควร มีความเข๎าใจตรงกันวํา ตนมีบทบาทหน๎าที่ที่จะต๎องชํวยให๎กลํุมทํางานได๎สําเร็จ มิใชํปลํอยให๎เป็นความ รับผิดชอบของสมาชิกเพียงบางคน หากสมาชิกกลุํมมีความร๎ู ความเข๎าใจวํา สมาชิกกลํุมท่ีดีควรทํา อะไรบ๎าง เชํน ให๎ข๎อมูล แสดงความคิดเห็น ซักถาม โต๎แย๎ง สนับสนุน ชํวยไมํให๎กลํุมออกนอกเรื่อง และ สรุป เปน็ ต๎น การอภปิ รายจะเปน็ ไปไดด๎ ี ผ๎ูสอนจงึ ควรใหค๎ วามรู๎ความเข๎าใจหรือคําแนะนําแกํกลํุมกํอนการ อภิปราย และควรยํ้าถึงความสําคัญของการให๎สมาชิกทุกคนในกลุํมมีสํวนรํวมในการอภิปรายอยํางท่ัวถึง ไมใํ ห๎มกี ารผูกขาดการอภปิ รายโดยผ๎ใู ดผ๎ูหนึง่ เพราะวัตถุประสงค์หลักของการอภิปรายก็คือ การให๎ผู๎เรียน มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอยํางท่ัวถึง และได๎รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย อันจะชํวยให๎ผู๎เรียนมี ความคิดทีล่ กึ ซึ้ง และรอบคอบขึน้ การอภิปรายทดี่ คี วรดําเนนิ การไปท่ีละประเด็น จะได๎ไมํเกิดความสับสน และในกรณีท่ีมีหลายประเด็น ควรมีการจํากัดเวลาของการอภิปรายแตํละประเด็น มิฉะนั้นการอภิปราย อาจยืดยาว เย่ินเย๎อ และประเด็ดท่ีอยูํท๎าย ๆ จะไมํได๎รับการอภิปราย เพราะหมดเวลาเสียกํอน ประเด็น การอภิปรายกบั เวลาทใ่ี ห๎ ควรมีความพอเหมาะกนั 4 การสรุปผลการอภปิ ราย กอํ นท่ีการอภิปรายจะยตุ ลิ ง กลุมํ จําเปน็ ตอ๎ งมกี ารสรุปผลการอภปิ ราย เพ่อื ใหไ๎ ด๎คําตอบ ตามประเด็นท่กี าํ หนด ผ๎สู อนควรบอกหรือให๎สญั ญาณแกํกลุมํ อภิปรายประมาณ 3-5 นาที กํอนหมดเวลา เพอื่ กลมุํ จะไดส๎ รปุ ผลการอภปิ รายเปน็ ข๎อสรุปของกลุํม ซงึ่ หลงั จากนน้ั ผูส๎ อนอาจใหแ๎ ตลํ ะกลุมํ นําเสนอผล การอภิปรายแลกเปลยี่ นกนั หรอื ดําเนินการในรปู แบบอ่นื ตํอไป 151

5.3 การสอนแบบนิรนยั (Deduction) วธิ ีสอนโดยใช้การนริ นัย (Deductive Method) เมื่อกลําวถงึ หลักการและทฤษฎีการสอน ผ๎ูสอนบางคนอาจจะคิดวําเป็นสิ่งที่ยุํงยากและ ซบั ซอ๎ นตอํ การเรียน ผ๎ูสอนสวํ นใหญจํ ึงเน๎นหนักด๎านการเรียนการสอนโดยอธบิ ายรายละเอียดให๎ผู๎เรียนได๎ ทราบกํอน แตํในความเป็นจริงแล๎ว การสอนโดยให๎ผ๎ูเรียนได๎รู๎ถึงหลักการและทฤษฎีกํอนนั้น จะทําให๎ ผ๎ูเรียนได๎มีความร๎ูและเข๎าใจอยํางถํองแท๎กํอนอธิบายโดยละเอียด เพราะผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ จากทฤษฎี เหลําน้ันนํามาแตกยํอยเป็นตัวอยํางได๎โดยงําย เพียงแคํนึกถึงตัวหลักการหรือทฤษฎีก็จะเข๎าใจ รายละเอียดได๎โดยท่ีไมํต๎องจําจากตัวอยําง ซ่ึงจะทําให๎นักเรียนเกิดความคิดที่เกิดจากหลักการได๎อยําง ถกู ตอ๎ ง สาํ หรับการเรยี นการสอนแบบนี้เรียกวํา วิธีสอนโดยใชก๎ ารนิรนัย หรอื อาจเรียกอีกอยําง หนง่ึ วาํ วิธีสอนแบบอนมุ ยั ซ่ึงใช๎ต้งั แตํสมัยเพลโต (Palto) โดยเปน็ การสอนทีเ่ ริ่มจากกฎเกณฑห์ รือ หลกั การตํางๆ แลว๎ หาเหตุผลมาพสิ ูจน์ยืนยัน วธิ สี อนแบบนีจ้ ะชวํ ยฝึกให๎ผ๎เู รียนเปน็ คนมีเหตุผลไมํเชอ่ื อะไรงาํ ย ๆ จนกวาํ จะสามารถพสิ ูจน์กฎเกณฑห์ รือหลักการท่ไี ด๎เรยี นรเู๎ สียกํอน (ไสว ฟักขาว, 2544 : 96) ในบทน้ีกลําวถึง ความหมาย-ของวิธีสอนโดยใช๎การนิรนัย จุดมํุงหมาย องค์ประกอบ ขัน้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารนิรนัย ขอ๎ ดแี ละขอ๎ จาํ กัดของการใช๎วิธีสอนแบบนิรนัย รวมไปถึงการสรุป ท๎ายบทเพื่อให๎เกิดความเข๎าใจในบทเรียนได๎ยิ่งขึ้น จะได๎นําไปเป็นแนวทางในการทํากิจกรรมและคําถาม ท๎ายบทด๎วย ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) อธบิ ายวํา วิธกี ารสอนโดยการใช๎นิรนัย คือกระบวนการที่ ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดโดยการชํวยให๎ผู๎เรียนมีความรู๎ ความเข๎าใจเก่ียวกับทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข๎อสรุปในเร่ืองท่ีเรียน แล๎วจึงใช๎ตัวอยํางการใช๎ทฤษฎี/ หลกั การ/กฎ หรอื ข๎อสรปุ นน้ั หลาย ๆ ตัวอยําง หรอื อาจให๎ผเ๎ู รยี นฝกึ นาํ ทฤษฎ/ี หลักการ/กฎ หรือข๎อสรุป นั้นไปในสถานการณ์ใหมํ ๆ ที่หลากหลาย เพ่ือชํวยให๎ผู๎เรียนมีความเข๎าใจในทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือ ข๎อสรปุ นน้ั ๆ อยํางลึกซ้ึงข้นึ หรือกลําวสน้ั ๆ วาํ เป็นการสอนจากหลักการไปสํตู ัวอยํางยํอย ๆ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 65) กลําววํา วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนท่ีเร่ิมจากทฤษฎีหรือ หลักการตาํ ง ๆ แลว๎ ให๎นกั เรียนหาหลกั ฐานเหตุผลมาพสิ ูจน์ยืนยัน วิธีสอนแบบนี้หัดฝึกให๎นักเรียนเป็นคน มเี หตผุ ลไมํเชอ่ื อะไรงําย ๆ จนกวาํ จะพสิ จู นใ์ หเ๎ หน็ จริงเสียกอํ น อินทิรา บณุ ยาทร (2542 :105) ได๎กลําวไว๎วํา วิธีสอนแบบนิรนัย คือ การสอนท่ีเริ่มจากให๎ ผ๎ูเรียนร๎ูจักกฎ หรือหลักการตําง ๆ ความจริงโดยทั่ว ๆ ไปกํอน แล๎วจึงสอนรายละเอียดทีหลัง อาจทํา โดย ให๎ผ๎ูเรียนทดลองคิด ค๎นหา ศึกษาข๎อมูลรายละเอียดมาพิสูจน์ยืนยันด๎วยเหตุผล พร๎อมท้ังคําแนะ แนวทางจากผส๎ู อนประกอบสรปุ เป็นความเข๎าใจ 152

จากความหมายท้ังหมดทกี่ ลาํ วมา สรุปได๎วํา การสอนแบบนิรนัย หมายถึง วิธีสอนท่ีผ๎ูสอน ได๎ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ถึงหลักการหรือทฤษฎีโดยทั่วไปกํอนท่ีผู๎สอนจะให๎รายละเอียดหรือยกตัวอยํางให๎ ผเ๎ู รียนไดเ๎ ข๎าใจถงึ หลักการนนั้ ๆ น่ันคอื เปน็ วิธีสอนจากสวํ นรวมไปสูสํ ํวนยํอยน่ันเอง จุดมุ่งหมายของวิธสี อนแบบนริ นัย สาํ หรบั จดุ มุํงหมายของวิธสี อนแบบนิรนัย ไดม๎ ีนักการศึกษาเสนอแนะความคดิ เห็น ไวด๎ ังน้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได๎ให๎ความคิดเห็นเก่ียวกับวัตถุประสงค์ของวิธีการสอนโดยใช๎ การนิรนัยวาํ เป็นวธิ ีท่ีมํงุ ชํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นเกิดการเรยี นรหู๎ ลกั การและสามารถนําหลักดังกลําวไปใช๎ได๎ อยาก แยกเปน็ ขอ๎ ๆ ดังนี้ 1. เพื่อใหผ๎ เ๎ู รียนฝึกการเป็นคนมีเหตผุ ล 2. เพ่อื ใหผ๎ เ๎ู รยี นรู๎จกั ใชก๎ ฎ สตู ร และหลักเกณฑต์ าํ ง ๆ ในการแกป๎ ญั หา 3. เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนคิดอยํางรอบคอบ ไมํตัดสินใจทําส่ิงตําง ๆ ไปโดยไมํมีเหตุผลหรือ หลกั เกณฑ์เพียงพอกับความถูกต๎อง เสรมิ ศรี ลักษณศริ ิ (2540 : 281) ได๎กลําวถึงจุดมุํงหมายในของวิธสี อนโดยใชน๎ ริ นยั ไวว๎ าํ 1. เพอื่ ใหผ๎ เ๎ู รียนนาํ เอากฎ สตู ร นยิ าม ทฤษฎไี ปใช๎ประโยชน์ในการแกป๎ ัญหา 2. เพื่อให๎ผ๎ูเรียนรู๎จักยับย้ังในการตัดสินใจ จนกวําจะได๎พิสูจน์ความจริงตําง ๆ หรือวิเคราะห์ อยาํ งถอํ งแทแ๎ ลว๎ 3. เพ่ือแก๎ข๎อบกพรํองของผ๎ูเรียนซ่ึงมักจะรีบดํวนสรุปสิ่งตําง ๆ อยํางรวดเร็วและงําย ๆ โดย ไมํมีหลักเกณฑใ์ ด ๆ ไสว ฟักขาว (2544 : 96) ไดก๎ ลาํ วเสรมิ วาํ วิธสี อนโดยใช๎นิรนยั มีจุดมํงุ หมายท่สี าํ คญั ดังนี้ คอื 1. เพื่อให๎ผู๎เรียนรู๎จักนํากฎ สูตร และหลักการตําง ๆ ไปอ๎างอิงในการแก๎ปัญหา ได๎อยําง ถกู ต๎องและมเี หตผุ ล 2. เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนร๎ูจักใช๎เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความรู๎ตําง ๆ กํอนจะตัดสินใจเช่ือวํา ถกู ตอ๎ ง นอกจากนี้ สุพนิ บุญชวู งศ์ (2544 : 105) ไดก๎ ลําววํา จดุ มุํงหมายของการสอนโดยใช๎นิรนัย เพ่อื ให๎นกั เรยี นรูจ๎ ักใชก๎ ฎ สตู ร และหลักเกณฑต์ าํ ง ๆ มาชวํ ยในการแก๎ปัญหา ไมํตัดสินใจในการทํางาน อยํางงําย ๆ จนกวําจะพิสจู นใ์ หท๎ ราบข๎อเท็จจริงเสยี กํอน สรุปได๎วํา การสอนโดยการใช๎นริ นัยมีจุดมํุงหมายหลัก คือ 1. เพอ่ื ฝกึ ให๎ผเู๎ รียนเป็นคนมีเหตผุ ล 2. เพ่ือใหผ๎ ๎ูเรียนเกดิ ความรจ๎ู ากหลกั การและสามารถนําไปประยกุ ต์ใช๎ได๎ 3. เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นสามารถนําหลักการที่ไดเ๎ รยี นรู๎มาแกป๎ ญั หาได๎อยาํ งถูกต๎อง 4. เพอื่ ฝึกให๎ผ๎ูเรยี นไดร๎ ู๎จกั ใชเ๎ หตุผลมาประกอบการพิสจู น์ความรต๎ู ํางๆ ไดเ๎ ป็นอยํางดี 153

5. เพือ่ ฝกึ ให๎ผู๎เรียนไดแ๎ ก๎ไขขอ๎ บกพรํองอันเกิดจากขอ๎ ผิดพลาดได๎อยํางทนั ทํวงที ซึ่งทง้ั หมดจะทําให๎ผเู๎ รยี นรูเ๎ กิดการเรยี นท่ีดมี ีเหตผุ ลพรอ๎ มเผชิญกับปัญหาและแก๎ไข ปญั หาทเี่ กดิ จากความบกพรํองของตนเองได๎เปน็ อยาํ งดี องคป์ ระกอบของการสอนแบบนริ นัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได๎กลําวถึงองค์ประกอบท่ีสําคัญของการเรียนโดยใช๎วิธีสอน แบบนิรนยั ดังนี้ 1. มผี สู๎ อนผูเ๎ รยี น 2. มีทฤษฎี / หลกั การ / กฎ หรือขอ๎ สรุปตําง ๆ 3. มีตัวอยํางสถานการณ์ที่หลากหลาย ที่สามารถนําทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข๎อสรุปนั้น นาํ ไปใชไ๎ ด๎ 4. มีการฝกึ นาํ ทฤษฎี / หลักการ / กฎ หรือข๎อสรุปไปใชใ๎ นสถานการณท์ ่ีหลากหลาย 5. มีผลการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รยี นท่เี กิดข้นึ จากการนาํ หลักการไปใช๎ ขนั้ ตอนของวธิ สี อนโดยใชก้ ารนิรนยั ข้ันตอนสําคัญ (ท่ีขาดไมํได๎) ของวิธีสอนโดยใช๎การนิรนัย มีดังนี้ (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 337) 1. ผู๎สอนถํายทอดความร๎ู / ทฤษฎี / หลกั การ / กฎ / ขอ๎ สรปุ ทีต่ อ๎ งการให๎ผเู๎ รียนได๎เรยี นร๎ู ด๎วย วิธีการตาํ ง ๆ ตามความเหมาะสม 2. ผ๎สู อนให๎ตัวอยาํ งสถานการณ์หลากหลายทส่ี ามารถนาํ ความรท๎ู ่ีได๎เรยี นมาไปใช๎ 3. ผส๎ู อนใหผ๎ เู๎ รียนปฏิบัตินําความรคู๎ วามเขา๎ ใจท่ีเกดิ ข้นึ ไปใช๎ในสถานการณใ์ หมํ 4. ผูส๎ อนให๎ผ๎เู รยี นวิเคราะหแ์ ละอภปิ รายผลการเรียนร๎ทู เี่ กดิ ขน้ึ 5. ผสู๎ อนวดั ประเมินผลการเรียนรู๎ของผเ๎ู รียน สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อทุ ัยสขุ (2540 : 132-133) ไดก๎ ลาํ วถึงลาํ ดบั ขัน้ การสอน แบบนิรนยั ไวว๎ ํา การสอนแบบนริ นยั เปน็ การสอนท่มี รี ายละเอียดตรงข๎ามกบั วธิ ีอุปนยั กลําวคือวิธสี อน แบบนจ้ี ะเริม่ จากกฎ หรือหลักการตาํ ง ๆ แลว๎ ให๎ผ๎เู รียนชํวยกนั หาข๎อมลู หลกั ฐานและข๎อเท็จจรงิ มา พิสจู น์ยนื ยันกฎ หรือหลักการนน้ั ๆ วําถูกตอ๎ งหรือไมํ หรอื กลําวได๎วําการสอนวธิ ีนี้เปน็ การสอนโดย เรม่ิ จากสํวนรวมไปหาสวํ นยํอย สวํ นการสอนโดยวธิ อี ปุ นัยเป็นการสอนจากสวํ นยอํ ยไปหาสํวนรวมนั่นเอง สุพนิ บุญชูวงศ์ (2544 : 66) ไดอ๎ ธบิ ายขน้ั ตอนในการสอนแบบนริ นัย มีดังน้ี 1. ขนั้ อธบิ ายปัญหา ระบุสง่ิ ท่ีจะสอนในแงํของปัญหา เพ่อื ยว่ั ยุให๎นักเรยี นเกดิ ความสนใจทีจ่ ะ หาคาํ ตอบ (เชนํ เราจะหาพื้นทข่ี องวงกลมไดอ๎ ยาํ งไร) ปัญหาจะต๎องเก่ยี วข๎องกับสถานการณ์จริงของ ชีวิต และเหมาะสมกับวฒุ ิภาวะของเดก็ 154

2. ขน้ั อธิบายข๎อสรุป ได๎แกํ การนําเอาขอ๎ สรปุ กฎหรอื นยิ ามมากกวาํ 1 อยาํ ง มาอธบิ าย เพื่อใหน๎ ักเรียนได๎เลือกใชใ๎ นการแกป๎ ญั หา 3. ขั้นตกลงใจ เป็นข้ันทีน่ ักเรยี นจะเลือกข๎อสรุป กฎ หรือนิยาม ที่จะนํามาใช๎ในการ แก๎ปัญหา 4. ขั้นพิสจู น์ หรืออาจเรียกวําข้นั ตรวจสอบ เปน็ ขนั้ ที่สรปุ กฎหรือนิยามวําเป็นความจรงิ หรือไมํ โดยการปรึกษาครู ค๎นควา๎ จากตําราตาํ ง ๆ และจากการทดลองขอ๎ สรุปที่ได๎พิสูจน์วําเป็นความ จรงิ จึงจะเป็นความรู๎ที่ถูกต๎อง เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 281) ไดเ๎ สนอข้นั ตอนในการสอนแบบนริ นัยไว๎ 4 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ข้ันเตรยี ม เป็นการเตรยี มบทเรยี น เตรยี มการสอน นําเข๎าสบํู ทเรยี น เร๎าความสนใจของ ผ๎ูเรียน ทบทวนความร๎ูเดมิ เพอื่ ให๎สัมพนั ธก์ บั ความรู๎ใหมํ อธบิ ายความมํุงหมายใหผ๎ ูเ๎ รียนเขา๎ ใจ อาจจะ ทาํ ในรปู ของปัญหากไ็ ด๎ 2. ขน้ั สอน ผ๎ูสอนนํากฎ สูตร นยิ าม ฯลฯ มาอธบิ ายใหผ๎ ๎ูเรียนเขา๎ ใจแล๎วเขียนข๎อสรุปน้ัน ๆ ลงบนกระดานชอลก์ แลว๎ ยกตวั อยาํ งหรือทาํ การพิสจู น์ใหเ๎ หน็ จรงิ และใหผ๎ ูเ๎ รียนลงมอื ปฏบิ ัติดว๎ ย 3. ขั้นสรปุ ผ๎ูเรยี นสรุปได๎วาํ สิง่ ท่ผี สู๎ อนอธิบายนัน้ เปน็ ความจริงทุกประการตามท่ีผ๎สู อนได๎ บอกไว๎ ข๎อสรุปที่ได๎นับวําเป็นความร๎ูท่ีถูกต๎อง 4. ข้นั นาํ ไปใช๎ ผ๎ูเรียนนําข๎อสรปุ นั้น ๆ ไปใชแ๎ กป๎ ัญหาในชีวิตประจาํ วัน หรือใชใ๎ นการทํา แบบฝกึ หัดเพ่ิมเติม เพอ่ื ชํวยให๎เกิดทกั ษะและเขา๎ ใจดียง่ิ ข้นึ นอกจากนี้ ไสว ฟักขาว (2544 : 97) ไดก๎ ลาํ ววํา การสอนแบบอนุมาน สามารถแบํงข้ันตอน การสอนออกเปน็ 4 ข้นั ตอน ดังนี้ 1. ขัน้ อธิบายปญั หา เป็นขนั้ ท่ีครูระบสุ ง่ิ ที่จะสอนในรูปของปญั หา เพอ่ื ยั่วยุใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ ความสนใจที่จะหาคาํ ตอบ ปัญหานั้นเก่ยี วข๎องกับชวี ติ จริงและเหมาะสมกับวฒุ ภิ าวะของผูเ๎ รียน 2. ขนั้ อา๎ งหลักการ เป็นขั้นทีค่ รนู ําหลกั การ กฎ หรือทฤษฎตี าํ ง ๆ มาอา๎ งเพอ่ื เป็นแนวทาง ในการแก๎ปญั หา 3. ขน้ั อธบิ าย เป็นขั้นที่ครูอธบิ ายความเปน็ มาของหลักการ กฎ หรอื ทฤษฎีตาํ ง ๆ และ ขัน้ ตอนการนาํ มาใช๎ในการแก๎ปัญหา 4. ขนั้ ตรวจสอบ เปน็ ขั้นทีค่ รูให๎ผเ๎ู รยี นตรวจสอบวํา หลกั การทีน่ ํามาอา๎ งนน้ั สมเหตุสมผล หรือไมํ โดยอาจใหผ๎ ๎ูเรยี นทดลอง คน๎ คว๎าจากตาํ ราตาํ ง ๆ หรอื ขอคาํ แนะนําจากครู จากทีน่ กั วชิ าการหลายทาํ นได๎อธิบายขั้นตอนของการสอนโดยใช๎การนิรนยั สรปุ ได๎วํา การ สอนโดยใช๎การนิรนัย มขี นั้ ตอนการสอนดังนี้ 1. ขั้นเตรียม หรอื ขั้นอธบิ ายปัญหา เปน็ ขน้ั ทผ่ี ส๎ู อนจะตอ๎ งนําสบํู ทเรยี นโดยเรา๎ ความ สนใจของผูเ๎ รยี น ซงึ่ จะต๎องเตรยี มปญั หาทเ่ี กี่ยวข๎องกับชีวิตจริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผเู๎ รียน 155

2. ขัน้ สอน ผ๎สู อนจะต๎องอธิบาย และสรปุ กฎเกณฑ์ หลกั การ หรือทฤษฎี ให๎ผู๎เรยี นได๎ เขา๎ ใจ พร๎อมกบั ยกตัวอยํางให๎ผู๎เรียนไดเ๎ หน็ จริง 3. ข้นั สรปุ เป็นข้นั ที่ผเ๎ู รยี นจะตอ๎ งสรุปกฎเกณฑแ์ ละทฤษฎี จากสง่ิ ท่ผี ๎สู อนได๎อธบิ ายไว๎ เพอ่ื นาํ มาใช๎ในการแกป๎ ัญหาไวอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง 4. ขนั้ นาํ ไปใช๎ เป็นขัน้ ที่ผเู๎ รียนจะต๎องตรวจสอบข๎อเทจ็ จริงจากสิง่ ท่ผี ู๎สอนไดอ๎ ธบิ ายไว๎ วาํ สามารถนาํ ไปใช๎ในการแก๎ปัญหาในชีวติ ประจําวนั ไดห๎ รือไมํ เทคนิคและข้อเสนอแนะของขั้นตอนการสอนโดยใช้การนริ นัย ทศิ นา แขมมณี (2550 : 338) อธบิ าย เทคนิคและข๎อเสนอแนะของขน้ั ตอนการสอนโดยใช๎ การนิรนยั ไว๎วํา 1. การเตรียมการ ผูส๎ อนจาํ เปน็ ตอ๎ งทาํ ความเข๎าใจในทฤษฎี / หลกั การ / กฎ / ขอ๎ ความรู๎ / ข๎อสรุป ทต่ี ๎องการสอนให๎แกํผ๎เู รยี น และหาวิธีทเ่ี หมาะสมในการถาํ ยทอดหรือนําเสนอเนื้อหาสาระ เหลําน้ันแกผํ ๎ูเรียน นอกจากน้นั ครจู ําเปน็ ตอ๎ งเตรยี มตัวอยํางท่ผี ๎ูเรยี นสามารถนําเน้ือหาสาระเหลาํ นน้ั ไป ใชใ๎ หเ๎ กิดผลสาํ เรจ็ ตัวอยาํ งควรเปน็ สถานการณท์ ี่มีความหลากลหาย เพอื่ ชํวยใหผ๎ ู๎เรยี นเกิดความคดิ รวบ ยอดและความเข๎าใจท่ีชดั เจน 2. การนาํ เสนอข๎อความร๎ู / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ขอ๎ สรปุ แกํผ๎เู รียน ผส๎ู อนจําเปน็ ต๎อง ทาํ ความเข๎าใจในสิ่งทีจ่ ะสอนเปน็ อยาํ งดี รวมท้งั หาวธิ กี ารท่ีเหมาะสมในการนําเสนอเน้ือหาสาระเหลาํ นัน้ ใหแ๎ กํผเ๎ู รียน จนกระท่งั ผูเ๎ รยี นเกิดความเขา๎ ใจ เพื่อให๎แนํใจวําผู๎เรยี นมคี วามเข๎าใจเพยี งพอ ผู๎สอนควร ทดสอบความร๎ูความเข๎าใจของผู๎เรยี นกอํ นให๎ฝึกใชค๎ วามรู๎ 3. การนาํ เสนอสถานการณใ์ หมใํ ห๎ผ๎ูเรียนฝึกใชค๎ วามรู๎ เมอื่ เหน็ วาํ ผเู๎ รยี นเกดิ ความเข๎าใจใน ความรู๎ / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ขอ๎ สรุป ท่ีใหพ๎ อสมควรแล๎ว ผู๎สอนควรใหผ๎ ๎เู รยี นฝึกการนําความรู๎ไป ประยกุ ต์ใช๎ในสถานการณใ์ หมํ ๆ ซงึ่ จะมีความหลากหลายพอสมควรเพ่ือชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ ความเขา๎ ใจท่ี ลกึ ซึง้ ขึน้ ข้อดีและข้อจากดั ของการสอนแบบนริ นยั สําหรับข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนแบบนริ นัย นักวิชาการหลายทํานได๎กลําวไว๎ดงั ตํอไปน้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 338) กลําวถงึ ขอ๎ ดีและข๎อจํากัดของการสอนแบบนิรนัย ไวด๎ งั น้ี ข้อดี 1. เปน็ วิธีสอนท่ชี วํ ยถาํ ยทอดเน้ือหาสาระได๎อยํางรวดเร็วและไมํยํุงยาก 2. เปน็ วธิ สี อนท่ีผู๎เรยี นมีโอกาสไดฝ๎ กึ ฝนการนําทฤษฎี / หลกั การไปใชใ๎ นสถานการณใ์ หมํ 156

3. เปน็ วธิ ีสอนท่ีเออื้ อํานวยให๎ผเ๎ู รยี นที่มีความสามารถหรอื เรียนร๎ูไดเ๎ รว็ สามารถพัฒนา โดยไมํ ตอ๎ งรอผูเ๎ รียนร๎ูไดช๎ ๎ากวํา ขอ้ จากดั 1. เปน็ วธิ ีการทผ่ี สู๎ อนจําเป็นต๎องเตรยี มตัวอยําง / สถานการณ์ / ปญั หาทหี่ ลากหลายมาให๎ ผ๎เู รียนไดฝ๎ กึ ทาํ 2. เป็นวธิ ีสอนทข่ี ้ึนกับความเขา๎ ใจและความสามารถของผ๎สู อนในการนาํ ทฤษฎี หลักการ 3. เป็นวิธีสอนทผ่ี เ๎ู รียนท่ีเรยี นรไ๎ู ดช๎ ๎า อาจจะตามไมํทันเพ่ือนและเกิดปัญหาในการเรียนร๎ู เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ ( 2540 : 281) กลําวถงึ ข๎อดีและข๎อเสยี ของวธิ สี อนแบบนิรนัย ไวด๎ งั น้ี ข๎อดี 1. เปน็ วธิ ีท่ีงํายกวําและเสียเวลาน๎อยกวําวิธสี อนแบบอนุมาน 2. ใช๎สอนเนือ้ หาวิชาทีง่ ําย ๆ หรอื หลักเกณฑ์ตําง ๆ ได๎ดี 3. ผ๎สู อนไมตํ ๎องใช๎เทคนคิ การสอนมาก 4. เปน็ การสอนทเ่ี นน๎ ผูส๎ อนเป็นศนู ย์กลางเปน็ สํวนใหญํ 5. หลกั เกณฑต์ าํ ง ๆ ที่อธบิ ายโดยใช๎วธิ สี อนแบบน้ี ชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนเขา๎ ใจความหมายได๎ดี ข๎อเสีย 1. ผ๎ูเรียนบางคนโดยเฉพาะผ๎ูท่มี ีสตปิ ัญญาปานกลางและอํอน จะเขา๎ ใจได๎ยาก 2. ใชส๎ อนได๎ดีเฉพาะบางเรื่อง เชนํ การสอนอํานสาํ หรบั ผู๎เรม่ิ เรยี นท่สี อนให๎อํานเป็นคาํ กอํ น แล๎วจงึ ผสมอกั ษรทหี ลงั หรอื การสอนคาํ ใหมํ เป็นตน๎ 3. ไมสํ ํงเสรมิ คุณคําในการแสวงหาความรู๎ และคณุ คําทางอารมณ์ ในการสอนควรนําวิธีสอนแบบอปุ มานและอนุมานมาใช๎รวํ มกนั จะทําใหก๎ ารสอนได๎ผลดยี ง่ิ ขึ้น เพราะวธิ ีสอนแบบอนุมานเป็นวิธีสอนทท่ี ําใหผ๎ ๎เู รียนไดเ๎ หน็ รายละเอียดและคิดค๎นดว๎ ยตนเองสรุปเป็น กฎเกณฑ์ สวํ นวธิ สี อนแบบอนุมานใชก๎ ฎเกณฑ์ทวี่ างไว๎แลว๎ ไปหารายละเอยี ด ดงั นั้นควรสอนให๎คดิ หา เหตผุ ลจนเขา๎ ใจแลว๎ จงึ สรปุ เปน็ เกณฑ์หรือสูตร ตํอจากนนั้ กต็ รวจสอบดกู ฎเกณฑห์ รือสูตรใหแ๎ นํใจกํอน นาํ ไปใชใ๎ หเ๎ กิดประโยชนต์ าํ ง ๆ การรวมการสอนทง้ั สองวธิ ีเข๎าด๎วยกนั จะทําใหผ๎ ู๎เรยี นเกิดการเรยี นรด๎ู ว๎ ย ตนเอง เกดิ ความกระตือรือร๎นอยากรู๎อยากเห็น ได๎ความร๎ูจากการค๎นคว๎าทดลอง และสามารถฝกึ หา เหตุผลในกรณตี ําง ๆ ได๎ จากท้ังหมดท่ีกลําวมา การสอนโดยใช๎การนริ นัยมีทัง้ ข๎อดแี ละข๎อจํากัด ซึ่งมีความสาํ คัญ ดว๎ ยกนั ท้ัง จงึ สรปุ ไดว๎ ํา ข๎อดขี องการสอนโดยใช๎การนริ นัย มีดงั นี้ 1. เปน็ การสอนทเี่ หมาะกับเนื้อหาทเ่ี ป็นกฎเกณฑ์ สามารถทาํ ให๎ผเ๎ู รยี นเข๎าใจบทเรียนได๎ งําย 2. สงํ เสริมให๎ผูเ๎ รยี นเปน็ คนมีเหตุผล เขา๎ ใจหลกั การและทฤษฎี ไมํเชอื่ อะไรงํายๆ 157

3. เปน็ วิธีสอนท่ชี ํวยถํายทอดเนื้อหาสาระไดอ๎ ยํางรวดเร็วและไมํยุํงยาก 4. เป็นวิธีสอนที่เน๎นผูเ๎ รียนเป็นศนู ย์กลาง 5. ผู๎สอนไมตํ ๎องใช๎เทคนิคในการสอนมาก สํวนขอ๎ จํากัดของการสอนโดยใช๎การนริ นยั มีดังน้ี 1. ผู๎สอนต๎องเตรยี มตวั ในการเรยี นการสอน คํอนขา๎ งจะยุงํ ยาก 2. เปน็ วิธีสอนท่ไี มํสงํ เสริมคุณคําในการแสวงหาความรู๎ และคณุ คาํ ทางอารมณ์ 3. เปน็ วธิ สี อนทขี่ ้นึ อยํกู บั ความเข๎าใจในหลักการ ทฤษฎขี องผเ๎ู รียนแตํละคน 4. ผเู๎ รยี นไมไํ ดแ๎ สดงความคิดรวบยอดเปน็ ของตนเอง เพราะผู๎ผสู๎ อนบอกให๎ 5. ไมสํ ํงเสริมการเรยี นการสอนทเ่ี น๎นกระบวนการคิดมากนัก สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎นิรนัย หมายถึง การสอนที่เน๎นให๎นักเรียนได๎เรียนรู๎ถึงทฤษฎีและ หลกั การในเน้ือหากํอนท่ีจะให๎ได๎เรียนร๎ูถึงรายละเอียด หรือตัวอยําง หรือจะกลําวได๎วําเป็นการเรียนจาก สํวนใหญํไปสํวนยํอย เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎เข๎าใจในหลักการ ทฤษฎี มากขึ้น จึงเป็นการสอนท่ีฝึกให๎ผ๎ูเรียน เปน็ คนมเี หตุผล ไมเํ ช่อื อะไรงํายๆ จนกวําจะสามารถพสิ จู น์ทฤษฎใี ห๎ได๎กอํ น ซึ่งจุดมํุงหมายหลักที่สําคัญของการสอนโดยการใช๎นิรนัยมีก็คือ เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนเป็นคนมี เหตุผล เกดิ ความรจู๎ ากหลกั การและสามารถนําไปประยุกต์ใช๎ได๎ อีกท้ังสามารถนําหลักการที่ได๎เรียนรู๎มา แก๎ปัญหาได๎อยํางถูกต๎อง รู๎จักใช๎เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความรู๎ตํางๆ ได๎เป็นอยํางดี และที่สําคัญ เพื่อฝึกให๎ผ๎ูเรียนได๎แก๎ไขข๎อบกพรํองอันเกิดจากข๎อผิดพลาดได๎อยํางทันทํวงที ซ่ึงจะทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดการ เรียนรู๎ท่ีมีประสิทธิภาพ โดยองค์ประกอบสําคัญที่จะขาดไมํได๎ของการสอนวิธีน้ีคือ ผ๎ูเรียนและผู๎สอน ทฤษฎี หลักการหรือข๎อสรุปตาํ งๆ จะต๎องมตี ัวอยาํ งสถานการณ์ทหี่ ลากหลายท่ีสามารถนําไปใช๎ได๎ พร๎อม ท้ังต๎องการฝึกนําหลักการและทฤษฎีไปใช๎ในสถานการณ์เหลํานั้นให๎ได๎ ซ่ึงจะต๎องมีผลการเรียนร๎ูของ ผเ๎ู รียนท่ีเกิดจากการนําหลกั การน้นั ไปใชด๎ ว๎ ย ขั้นตอนการสอนโดยใชก๎ ารนริ นยั แบํงออกเป็น 4 ขัน้ ตอน คือ 1. ขน้ั เตรียม หรือขั้นอธบิ ายปญั หา เปน็ ข้ันทผี่ ๎สู อนจะต๎องเตรยี มปญั หาทีเ่ ก่ยี วข๎องกับ ชีวติ จริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผ๎ูเรยี น 2. ขนั้ สอน ผส๎ู อนจะตอ๎ งอธิบาย และสรปุ กฎเกณฑ์ หลกั การ หรอื ทฤษฎี ให๎ผเู๎ รียนได๎ เข๎าใจ พร๎อมกับยกตวั อยํางใหผ๎ เู๎ รยี นได๎เห็นจริง 3. ขน้ั สรปุ เป็นขนั้ ท่ผี ู๎เรยี นจะตอ๎ งสรุปกฎเกณฑแ์ ละทฤษฎี จากสง่ิ ท่ีผ๎ูสอนได๎อธิบายไว๎ เพอ่ื นาํ มาใช๎ในการแก๎ปัญหาไวอ๎ ยาํ งถกู ตอ๎ ง 4. ข้ันนําไปใช๎ เปน็ ขั้นท่ผี ๎ูเรียนจะตอ๎ งตรวจสอบข๎อเท็จจริงจากส่ิงท่ีผู๎สอนได๎อธิบายไว๎ วาํ สามารถนาํ ไปใชใ๎ นการแก๎ปัญหาในชีวติ ประจาํ วนั ไดห๎ รือไมํ 158

การสอนโดยใช๎การนิรนัยจึงมีข๎อดี คือ เป็นการสอนท่ีเหมาะกับเน้ือหาท่ีเป็นกฎเกณฑ์ สามารถทําให๎ผู๎เรียนเข๎าใจบทเรียนได๎งําย สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเป็นคนมีเหตุผล เข๎าใจหลักการและทฤษฎี ไมํเชอื่ อะไรงํายๆ เปน็ การสอนทีผ่ ู๎สอนถาํ ยทอดเน้อื หาสาระไดอ๎ ยํางรวดเร็วและไมํยงํุ ยาก เน๎นผ๎ูเรียนเป็น ศนู ยก์ ลาง และผู๎สอนไมตํ ๎องใชเ๎ ทคนิคในการสอนมาก เพราะเป็นการอธิบายให๎ผู๎เรียนได๎รู๎หลักการผู๎เรียน ก็สามารถนําหลักการที่ไดร๎ ับไปประยกุ ตใ์ ช๎ได๎ แตกํ ารสอนวิธีนี้ยังมีข๎อจํากัดอยํูมาก เชํน ผ๎ูสอนต๎องเตรียม ตัวในการเรียนการสอนที่คํอนข๎างจะยํุงยาก เป็นวิธีสอนท่ีไมํสํงเสริมคุณคําในการแสวงหาความร๎ู และ คุณคําทางอารมณ์ ขึน้ อยกูํ ับความเข๎าใจในหลักการและทฤษฎีของผ๎ูเรียนแตํละคน ผ๎ูเรียนจึงไมํได๎แสดง ความคดิ รวบยอดและกระบวนการคิดทีเ่ ป็นของตนเองมากนัก เป็นตน๎ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมายของ “วิธสี อนโดยใชก๎ ารนิรนยั ” ตามความคิดเห็นของทาํ น 2. วธิ สี อนโดยใช๎การนริ นัยมีจดุ มงุํ หมายในการสอนเพื่ออะไรบา๎ ง 3. องคป์ ระกอบสําคัญของวิธีสอนโดยใช๎การนริ นยั จําเปน็ ต๎องมีอะไรบา๎ ง 4. หากทาํ นตอ๎ งการใชว๎ ิธีสอนโดยใช๎การนิรนยั ทาํ นจะมีขนั้ ตอนในการสอนอยํางไร 5. ใหท๎ ํานเสนอเทคนิคและข๎อเสนอแนะของขนั้ ตอนกาสอนโดยใชก๎ ารนริ นยั มาพอ สังเขป 6. ทาํ นคดิ วาํ วิธสี อนโดยใช๎การนริ นยั มีขอ๎ ดีและข๎อจํากดั อะไรบา๎ ง จงอธบิ าย 7. หากทาํ นเปน็ คนหนึ่งที่ครูให๎คัดเลือกวธิ ีสอน ทาํ นจะทาํ การสอนโดยใชก๎ ารนิรนยั หรอื ไมํ เพราะเหตใุ ด 5.4 วธิ สี อนโดยใช้การอุปนัย (Induction Method) การจดั การเรียนการสอนที่เน๎นนาํ เสนอเหตกุ ารณ์ ตัวอยําง ข๎อมูล กํอนการนาํ เสนอ ทฤษฎี หลักการของบทเรยี นนน้ั ๆ จะทําใหผ๎ เ๎ู รียนไดม๎ ีความหลากหลายในด๎านความคดิ การแยกแยะ และ การจาํ แนกสิ่งตํางๆ นําไปสคํู วามเขา๎ ใจในทฤษฎี หลักการไดย๎ ง่ิ ข้ึน การสอนวธิ ีนี้ คอื การสอนโดยใช๎การ อุปนัย ซ่ึงผสู๎ อนจะตอ๎ งเขา๎ ใจหลกั การ นาํ เสนอเหตุการณ์ ตัวอยาํ งท่ตี รงกับหลกั การทีจ่ ะสอนด๎วย เพื่อให๎ ผเู๎ รยี นเข๎าใจวธิ ีการสอนโดยอุปนัยมากยง่ิ ขนึ้ ดงั ที่ ระววี รรณ วฒุ ปิ ระสทิ ธิ์ (2530 : 71) กลําวถึงวธิ สี อน แบบอุปมานหรอื อุปนัยวํา เปน็ วธิ ีใชส๎ อนมาตัง้ แตสํ มยั อริสโตเติล โดยใชก๎ ารสอนจากตัวอยาํ งไปสูกํ ารสรุป เป็นกฎเกณฑ์หรือหลักทัว่ ไป หรือกลาํ วได๎วํา การสอนแบบอปุ มานเป็นการสอนจากรายละเอยี ดปลีกยอํ ย ไปหากฎเกณฑ์ การสอนแบบนจี้ งึ มีจดุ มํงุ หมายเพื่อให๎ผ๎เู รยี นรจู๎ ักคน๎ หาข๎อเท็จจริง และหลกั การตาํ งๆ จาก การสังเกตตวั อยํางที่สัมพันธก์ ันอยํางเพยี งพอ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 340) กลาํ วถึงวิธสี อนโดยการใช๎การอุปนยั คอื กระบวนการ 159

สอนทผ่ี ส๎ู อนใช๎ในการชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ การเรยี นรต๎ู ามวัตถุประสงคท์ ี่กาํ หนด โดยการนําตัวอยาํ ง / ข๎อมลู / ความคิด / เหตุการณ์ / สถานการณ์ / ปรากฏการณ์ ที่มีหลกั การ / แนวคิด ทตี่ ๎องการสอนใหแ๎ กํ ผู๎เรยี น มาใหผ๎ ๎ูเรียนศึกษาวิเคราะห์ จนสามารถดึงหลกั การ / แนวคิดที่แฝงอยูํออกมา เพือ่ นําไปใชใ๎ น สถานการณ์อื่น ๆ ตอํ ไป กลาํ วอยํางสน้ั ๆ ได๎วาํ เปน็ การสอนทใี่ หผ๎ เู๎ รยี นสรปุ หลักการจากตวั อยาํ งตาํ ง ๆ ด๎วยตนเอง ไสว ฟกั ขาว (2544 : 94) กลาํ ววาํ วธิ สี อนแบบอปุ มาน อาจเรยี กอีกอยํางหนง่ึ วาํ วิธี สอนแบบอปุ นัย ซ่ึงวธิ นี ใ้ี ช๎ตงั้ แตํสมัยอรสิ โตเติล (Aristotle) เปน็ การสอนยํอยไปหาข๎อสรุปซ่งึ เปน็ สวํ นรวม หรอื สอนจากตวั อยํางไปหากฎเกณฑ์ โดยการให๎ผเู๎ รียนทําการศึกษา สงั เกต ทดลอง เปรยี บเทียบ พิจารณาคน๎ หาองคป์ ระกอบ หรอื ลักษณะสํวนทเ่ี หมอื นกันหรือคลา๎ ยคลงึ กันจากตวั อยําง ตาํ ง ๆ เพอ่ื นํามาเปน็ ขอ๎ สรปุ สรปุ ไดว๎ ํา วิธสี อนโดยใช๎การอุปนัย หมายถึง การสอนที่มีการลงรายละเอียดปลีกยํอย กอํ นการนําไปสหํู ลักการหรือทฤษฎี โดยอาจจะใช๎กรณตี ัวอยาํ ง ข๎อมลู หรือเหตุการณ์ตํางๆ มาใช๎ เพื่อให๎ ผูเ๎ รยี นไดศ๎ กึ ษา วิเคราะห์ จนสามารถสรปุ เปน็ หลักการของตนเองไดอ๎ ยาํ งถกู ตอ๎ ง จดุ มุ่งหมายของวธิ สี อนโดยใชก้ ารอุปนัย นักวิชาการกลําวถึงจดุ มงุํ หมายของการสอนโดยใช๎การอุปนัย ไวด๎ งั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กลําววาํ เปน็ วธิ ีทม่ี งุํ ใหผ๎ เู๎ รยี นไดฝ๎ กึ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ สามารถจับหลักการหรือประเดน็ สาํ คัญได๎ด๎วยตนเอง ทําให๎เกิดการเรียนรห๎ู ลกั การแนวคดิ หรือ ข๎อความร๎ูตาํ ง ๆ อยาํ งเข๎าใจ ไสว ฟักขาว (2535 : 94) อธบิ ายวาํ การสอนแบบอนมุ านทีม่ ํงุ ชวํ ยใหผ๎ ๎เู รียนได๎คันพบ หลักเกณฑ์ดว๎ ยตนเอง และเข๎าใจความหมายและความสมั พันธ์ระหวาํ งความคดิ ตําง ๆ ในส่งิ ทเ่ี รยี นอยาํ ง แจํมแจง๎ ตลอดจนสามารถชํวยกระตนุ๎ ให๎ผ๎ูเรียนร๎ูจักทาํ การค๎นคว๎าหาความรู๎ดว๎ ยตนเอง ชาญชัย ยมดษิ ฐ์ (2548 : 64) กลําวถงึ ความมุํงหมายของวิธีสอนแบบอปุ นัยวําเพ่ือชวํ ย ให๎ผู๎เรียนได๎คน๎ พบกฎเกณฑ์หรือความจริงท่สี าํ คัญด๎วยตนเองให๎กับเขา๎ ใจความหมายและความสมั พนั ธ์ของ ความคิดตําง ๆ อยํางแจํมแจง๎ ตลอดจนกระต๎ุนใหน๎ กั เรยี นรู๎จดั ทําการสอบสวนค๎นควา๎ หาความรด๎ู ๎วย ตนเอง อนิ ทริ า บุณยาทร (2542 : 104) กลําววาํ ความมํุงหมายของการสอนโดยใชอ๎ ุปนยั จาํ แนกเปน็ ข๎อๆ ได๎ดงั น้ี 1. เพ่ือใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎คน๎ พบกฎเกณฑ์ หรือความจรงิ ทสี่ ําคัญด๎วยตนเอง 2. เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นได๎เข๎าใจความหมาย และความสัมพนั ธ์ของความคดิ ตําง ๆ และ คุณสมบัติของสิ่งตําง ๆ ได๎อยํางชัดเจน 160

3. เพื่อใหผ๎ ๎ูเรียนไดก๎ ระตอื รือร๎นท่ีจะไดศ๎ กึ ษา คน๎ คว๎าหาความร๎ดู ว๎ ยตนเอง องคป์ ระกอบของวธิ ีสอนโดยใชก๎ ารอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กลําวถงึ องคป์ ระกอบสําคัญ (ทข่ี าดไมํได)๎ ของวิธีสอน โดยใช๎อุปนัยวํา ประกอบไปด๎วย 1. มผี ู๎สอนและผูเ๎ รียน 2. มตี วั อยาํ ง / ข๎อมูล / สถานการณ์ / เหตุการณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคดิ ทีเ่ ปน็ ลกั ษณะยํอย ๆ ของสง่ิ ทีต่ ๎องการใหผ๎ ๎เู รยี นเกิดการเรียนรู๎ 3. มีการวิเคราะห์ตัวอยํางตาํ ง ๆ เพื่อหาหลกั การทร่ี ํวมกนั 4. มีข๎อสรุปที่มลี ักษณะเปน็ หลกั การ / แนวคดิ 5. มผี ลการเรียนรู๎ของผู๎เรียน ขัน้ ตอนในวธิ ีสอนโดยใช้การอุปนัย ทศิ นา แขมมณี (2550 : 340) อธบิ ายถงึ ขน้ั ตอนสําคัญของการสอนโดยใช๎การอุปนัย วาํ มีดงั น้ี 1. ผส๎ู อน และ/หรอื ผ๎ูเรียน ยกตัวอยําง / ข๎อมูล / สถานการณ์ / เหตกุ ารณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคดิ ทเี่ ป็นลักษณะยอํ ยของส่ิงทจี่ ะเรียนร๎ู 2. ผ๎เู รยี นศึกษาและวเิ คราะห์หาหลักการที่แฝงอยํูในตวั อยาํ งน้ัน 3. ผเ๎ู รยี นสรปุ หลกั การ / แนวคดิ ท่ีไดจ๎ ากตัวอยํางนั้น 4. ผส๎ู อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ูของผู๎เรียน สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อทุ ยั สุข (2540 : 132) กลาํ ววาํ ในการดาํ เนินการสอน โดยวิธอี ปุ นยั ประกอบดว๎ ยข้นั ตอนดงั ตํอไปน้ี 1. ขน้ั เตรยี ม 2. ขน้ั สอน 3. ขน้ั สรุป 4. ขน้ั ประเมนิ ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) ได๎เสนอขั้นตอนกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบอุปมาน มี ดงั น้ี 1. ขั้นเตรียม 2. ขน้ั นําเสนอ 3. ขั้นเปรียบเทยี บและค๎นหาลกั ษณะรํวม 161

4. ขนั้ สรปุ กฎเกณฑ์ 5. ขนั้ นําไปใช๎ จากข้ันตอนการสอนโดยใชก๎ ารอปุ นัยทน่ี ักวชิ าการไดเ๎ สนอมา สรปุ ได๎เป็น 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ขนั้ เตรยี ม 2) ขั้นสอน 3) ขั้นเปรยี บเทียบ 4) ข้นั สรุป 5) ขั้นนาํ ไปใช๎ 1. การเตรยี มตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี (2550 : 341) กลําววาํ ผ๎ูสอนจาํ เป็นตอ๎ งเตรียมตัวอยําง / ข๎อมูล / สถานการณ์ / เหตุการณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคิด ที่มีหลักการ / แนวคิด ที่ต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเกิดการ เรียนร๎ูแฝงอยูํ ตัวอยํางที่ควรให๎ประกอบด๎วยลักษณะหรือคุณสมบัติยํอย ๆ ท่ีครอบคลุม หลักการ / แนวคิดนั้น เชํน ถ๎าต๎องการให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูวํา “สัตว์เลื้อยคลานคืออะไร” ตัวอยํางท่ีให๎ก็ควร ครอบคลุมคุณสมบัติยํอยของสัตว์เล้ือยคลาน หรือต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจคําวํา “ซ่ือสัตย์สุจริต” ตวั อยาํ งท่ีใหก๎ ค็ วรประกอบด๎วยคณุ สมบตั ติ ําง ๆ ของความซอ่ื สตั ย์ จะเหน็ ได๎วํา วิธีสอนในลักษณะน้ีเป็น วิธีการหลักท่ีใช๎ในการสอนมโนทัศน์และหลักการตําง ๆ ซึ่งการที่จะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎ใช๎ความคิดมาก ๆ น้ัน ตัวอยาํ งที่ให๎ควรจะเป็นตัวอยํางท่ีนําสนใจและท๎าทายความคิด ความสามารถของผู๎เรียน คือ ต๎อง เป็นเรื่องที่ไมํงายเกินไป แตํก็ไมํยากจนเกินความสามารถ และตัวอยํางที่ให๎ควรมีความหลากหลายและ ครอบคลุมลักษณะ / องค์ประกอบสําคัญของมโนทัศน์ / แนวคิด / หลักการนั้น นอกจากน้ันการต้ัง ประเดน็ คาํ ถามให๎ผูเ๎ รียนไดค๎ ิดคน๎ หาคําตอบจากตัวอยาํ งที่ให๎ ก็มีความสําคัญมาก การต้ังประเด็นคําถาม ทีต่ รงจดุ ตรงประเด็น และมลี กั ษณะที่ทา๎ ทายความคิด จะชํวยจูงใจให๎ผ๎ูเรียนอยากคิด อยากหาคําตอบ และอยากเรยี นร๎เู พ่ิมข้นึ สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อทุ ยั สุข (2540 : 132) กลาํ ววาํ ข้ันเตรยี มการสอนของ การสอนโดยใชอ๎ ุปนยั ประกอบด๎วยข้ันตอนยํอย ดงั น้ี 1. กาํ หนดจุดมุํงหมายของการสอน กอํ นจะเตรยี มคําสอน ผ๎ูสอนต๎องเตรยี ม จดุ มํุงหมายวําต๎องการจะให๎ผู๎เรยี นเกดิ ความร๎ู ความสามารถดา๎ นใด และต๎องการให๎ทราบกฎและ หลักการอะไร 2. กาํ หนดเนอ้ื หาและขน้ั ตอนการสอนในการสอนด๎วยวิธีอุปนยั ขัน้ ตอนใน การสอนแตํ ละขั้นตอนจะต๎องมีความสมั พันธ์กัน ผส๎ู อนจะต๎องเรียงลาํ ดับของเน้ือหาของแตลํ ะข้ันตอนใหม๎ ี ความสมั พันธ์สอดคล๎องกัน ถ๎าหากขั้นตอนของเน้ือหาไมสํ อดคล๎องกนั จะทําใหผ๎ ูเ๎ รียนเกดิ การไขว๎เขวได๎ 3. เตรียมอุปกรณ์การสอน ให๎สอดคล๎องกับเน้ือหาในแตํละข้นั ตอน ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) แนะนําวํา ข้นั เตรยี ม เปน็ การเตรียมผูเ๎ รยี นใหพ๎ ร๎อมทีจ่ ะ เรยี น โดยการทบทวนความรเู๎ ดมิ ใหพ๎ ร๎อมทจ่ี ะใช๎ในการเช่ือมโยงกับความรูใ๎ หมํ บอกจดุ ประสงคแ์ ละ อธิบายจุดประสงคใ์ นการเรียนให๎ผเู๎ รยี นเขา๎ ใจอยํางแจํมแจ๎ง นอกจากน้ี อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 104) อธิบายถงึ ขนั้ เตรียมการของการสอนโดยใช๎ 162

อุปนัยวํา ขน้ั เตรียมการ คือ การเตรียมตวั ผเ๎ู รยี น โดยการทบทวนความรเ๎ู ดิมและปพู ืน้ ฐานความรูใ๎ หมํ หรือ เชอื่ มโยงประสบการณ์เดมิ กับประสบการณ์ใหมํ พร๎องท้งั บอกจดุ มํุงหมายให๎ผูเ๎ รยี นเข๎าใจ สุพนิ บญุ ชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลําวถงึ ข้นั ตอนของการสอนโดยใช๎อปุ นยั วาํ ข้นั เตรียม คอื การเตรยี มตวั นักเรียน เปน็ การทบทวนความรู๎เดิม กาํ หนดจุดมุํงหมาย และอธบิ ายความมํุง หมายให๎นักเรียนได๎เขา๎ ใจแจมํ แจง๎ สรุปไดว๎ าํ ขั้นเตรียม ผ๎ูสอนต๎องกาํ หนดจุดมุํงหมายในการสอน เตรยี มอปุ กรณ์สําหรับ การเรยี นการสอนให๎กับผเู๎ รยี น 2. ขน้ั สอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 341-342) กลาํ วถงึ ข๎อเสนอแนะเพ่มิ เติมในข้นั สอนวาํ เปน็ การ ให๎ผู๎เรียนศึกษาวิเคราะห์หาหลักการ / แนวคิด จากตัวอยําง หากตัวอยํางท่ีให๎แกํผ๎ูเรียนเป็นตัวอยํางที่ ครอบคลุมลักษณะหรอื คุณสมบัติยํอย ๆ ของหลักการ / แนวคิดน้ัน ๆ และมีคําถามที่สามารถนําผู๎เรียน ไปสํูวัตถุประสงค์ที่ต๎องการแล๎ว ยํอมจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนสามารถศึกษาและวิเคราะห์ได๎ตรงวัตถุประสงค์ อยาํ งรวดเร็ว แตหํ ากผู๎เรียนไมํประสบความสําเร็จ หรือทําได๎ไมํถูกต๎อง ผ๎ูสอนสามารถใช๎คําถามเพ่ิมเติม หรือให๎ข๎อมูลเพ่ิมเติมได๎ แตํไมํควรให๎ในลักษณะท่ีเป็นการบอกคําตอบ ผ๎ูสอนพึงระลึกอยูํเสมอวํา วิธี สอนน้ีมุํงชํวยให๎ผู๎เรียนได๎คิด ได๎ทําความเข๎าใจด๎วยตนเอง จึงควรใช๎วิธีกระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนได๎คิดค๎นตํอไป โดยการตั้งประเดน็ คําถามเพมิ่ เตมิ และควรใหผ๎ ๎ูเรียนได๎รวํ มกันคิดรํวมกันวิเคราะห์เป็นกลุํมยํอย เพ่ือจะได๎ แลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ กระต๎ุนและตรวจสอบความคิดของกนั และกนั อันจะนําไปสํูความคิดท่ีรอบคอบ ขึ้นและถูกต๎องมากขึ้น อยํางไรก็ตาม การรํวมกันคิดเป็นกลํุมน้ีก็มีข๎อเสียตรงที่วํา ผู๎เรียนที่เรียนร๎ูได๎ช๎า มักจะถูกครอบงําหรือถูกขํมโดยผู๎เรียนท่ีเรียนรู๎ได๎เร็วกวํา ดังน้ัน ผู๎สอนจึงควรจัดให๎ผ๎ูเรียนได๎มีเวลาใน การคดิ เป็นรายบุคคลด๎วยกอํ นทจ่ี ะอภิปรายกลมํุ ยํอย และควรใช๎เทคนิควิธีการตําง ๆ ท่ีจะชํวยให๎ผ๎ูเรียน ทกุ คนมีสํวนรํวมในการอภิปรายกลํมุ ยอํ ยอยํางทัว่ ถึงและเทาํ เทียมกันพอสมควร สริ วิ รรณ ศรพี หล และ พันทิพา อุทยั สขุ (2540 : 132) กลาํ วถึง ข้นั สอนของการสอน โดยใชอ๎ ปุ นยั วาํ การสอนโดยวิธนี ี้ควรใช๎วธิ กี ารอธบิ ายแตํเพียงส้นั ๆ เฉพาะในเรือ่ งของความหมาย แนวคิด กว๎าง ๆ และตัวอยํางเทํานั้น สํวนใหญํแล๎วผู๎สอนควรใช๎เทคนิคการใช๎คําถามให๎ผู๎เรียนได๎ตอบและสรุป ความคดิ เห็น หรอื แนวคดิ ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กลาํ ววาํ ข้นั นําเสนอ เปน็ ข้ันที่ครนู าํ เสนอตัวอยํางหรือ กรณีตําง ๆ ใหผ๎ ๎ูเรยี นไดพ๎ ิจารณาเพื่อให๎ผเ๎ู รยี นสามารถเปรียบเทยี บลกั ษณะรํวมทสี่ ําคัญเปน็ กฎเกณฑ์ได๎ สําหรบั การนําเสนอตวั อยํางน้ันควรเสนอหลาย ๆ ตัวอยาํ งใหม๎ ากพอท่ีจะทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นสรปุ เปน็ กฎเกณฑไ์ ด๎ ดว๎ ยตนเอง อนิ ทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลําววํา ขัน้ สอน คือ การใหต๎ ัวอยาํ งหรอื กรณีตวั อยาํ ง หลาย ๆ ตัวอยาํ งเพ่ือให๎ผูเ๎ รียนไดเ๎ ปรียบเทียบพจิ ารณาข๎อมูลตาํ ง ๆ มาสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ 163

สรุปไดว๎ าํ ข้นั สอน ผส๎ู อนนําเสนอการสอนโดยการอธบิ ายเนื้อหาสั้นๆ แตํต๎องยกตัวอยาํ ง ใหแ๎ กํผูเ๎ รียนหลาย ๆ ตวั อยาํ งให๎มากพอทผ่ี ู๎เรยี นจะสังเกตพิจารณาและหาข๎อสรปุ ได๎ 3.ขั้นเปรยี บเทียบหรือข้ันวิเคราะห์ สริ ิวรรณ ศรพี หล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กลําวถงึ ขน้ั สรปุ วํา ในการสรุป นนั้ ควรให๎ผเู๎ รียนชํวยสรปุ โดยผูส๎ อนพยายามหลีกเลย่ี งการสรปุ เสียเอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) อธิบายวํา ขนั้ เปรยี บเทียบและคน๎ หาลักษณะรวํ ม เป็นการ ใหผ๎ เู๎ รียนพิจารณาองคป์ ระกอบรวํ มทค่ี ลา๎ ยคลงึ กนั ในตวั อยํางทคี่ รนู ําเสนอ เพื่อเตรียมไว๎เป็นข๎อมลู ในการ สรุปเปน็ กฎเกณฑ์ตอํ ไป เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 279) กลําววาํ ข้นั เปรียบเทียบ เมอ่ื ผเ๎ู รียนได๎พจิ ารณาจาก ตวั อยํางหลาย ๆ ตัวอยําง หรือได๎ลงมือทดลอง สังเกต วิเคราะห์ด๎วยตนเอง ผู๎เรียนก็สามารถเปรียบเทียบ แยกแยะข๎อแตกตํางหาองค์ประกอบรํวม และมองเห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดท่ีเหมือนกัน ซ่ึงจะ นําไปสํกู ารสรุปในข้ันตํอไป อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 104) กลําววํา ข้นั วเิ คราะห์ คือ การเปรียบเทียบและรวบรวม หาองค์ประกอบจากการทดลองจาก การสังเกตจนพบความแตกตําง และหาความสัมพันธ์ของ รายละเอียดท่เี หมือนกนั จนสามารถนํามาสรุปได๎ สุพนิ บุญชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลําววํา ข้นั เปรียบเทียบและรวบรวม เป็นขนั้ หา องคป์ ระกอบรวม คือ การท่ีนักเรียนได๎มีโอกาสพิจารณาความคล๎ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอยําง เพอื่ เตรียมสรุปกฎเกณฑ์ ไมํควร รีบรอ๎ นหรอื เรงํ เรา๎ เดก็ เกินไป สรุปได๎วํา ข้ันเปรยี บเทียบ ผเู๎ รยี นพิจารณาตัวอยํางหลาย ๆ ตวั อยาํ ง หรอื ไดล๎ งมือ ทดลอง สงั เกต วิเคราะห์ด๎วยตนเอง ผู๎เรยี นกส็ ามารถเปรียบเทียบแยกแยะขอ๎ แตกตํางหาองค์ประกอบ รํวม และมองเหน็ ความสมั พันธข์ องรายละเอยี ดท่ีเหมือนกัน 4.ข้นั สรปุ สริ ิวรรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อทุ ัยสุข (2540 : 132) กลาํ วถึง ขั้นสรุป ในการสรปุ นั้นควรให๎ผู๎เรยี นชํวยสรุปโดยผู๎สอนพยายามหลีกเลยี่ งการสรปุ เสียเอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กลําววาํ ข้นั สรุปกฎเกณฑ์ เป็นการนําผลการเปรยี บเทยี บ และค๎นหาลักษณะรวํ มที่ไดด๎ าํ เนินการไว๎ มาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรือสูตรดว๎ ยตวั ผ๎ูเรยี น เอง อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลาํ ววาํ ขน้ั สรปุ คอื การสรุปประเด็นสําคญั ตาํ ง ๆ จากการสังเกตตวั อยาํ งจนเป็นหลกั การ หรือกฎเกณฑ์ด๎วยตนเองได๎ สรุปไดว๎ าํ ขน้ั สรุป เปน็ การสรปุ องคป์ ระกอบรวํ มจากตัวอยาํ งตําง ๆ ท่ีผเ๎ู รียนได๎สังเกต 164

พิจารณา ทดลอง พสิ ูจน์ แลว๎ มาสรุปเปน็ กฎเกณฑ์ หลักสูตร สตู ร นิยาม ทฤษฎี ขอ๎ เท็จจริงหรือ ข๎อสรุปตาํ ง ๆ 5. ขนั้ นาไปใช้ ไสว ฟกั ขาว (2535 : 95) กลาํ ววาํ ข้ันนาํ ไปใช๎ เปน็ การทดสอบความเข๎าใจของผู๎เรียน เกี่ยวกบั กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรอื สตู ร ทผ่ี ูเ๎ รียนสรปุ ไดว๎ ําสามารถนาํ ไปใช๎แกป๎ ัญหาไดห๎ รอื ไมํ โดยการใหผ๎ ูเ๎ รยี นทาํ แบบทดสอบหรือแบบฝกึ หัด อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลาํ ววาํ ขน้ั นําไปใช๎ คือ ข้นั การทดสอบ ความร๎ูความเข๎าใจของผเู๎ รียนเกีย่ วกับกฎเกณฑ์ที่ได๎ทํามาแล๎ว วําสามารถนําไปปฏบิ ัติ หรือแก๎ปัญหาอนื่ ๆ ในสถานการณท์ ่คี ล๎ายคลงึ กนั ไดด๎ ีเพียงใด สรุปได๎วาํ ข้นั นําไปใช๎ เปน็ การทดสอบความเข๎าใจของผูเ๎ รยี นเกี่ยวกบั กฎเกณฑ์ นิยาม หลกั การ หรอื สตู ร ทผ่ี ๎ูเรยี นสรปุ ได๎วาํ สามารถนาํ ไปใชแ๎ ก๎ปญั หาไดห๎ รอื ไมํ โดยการให๎ผเ๎ู รยี นทาํ แบบทดสอบหรือแบบฝึกหดั จดุ เดน่ ของวธิ สี อนโดยใชก้ ารอุปนยั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 341-342) กลําวถงึ จดุ เดํนหรือข๎อดขี องการสอนโดยใช๎การ อุปนัย ดังนี้ 1. เป็นวธิ ีสอนที่ผู๎เรยี นสามารถคน๎ พบการเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง จึงทําใหเ๎ กิดความเข๎าใจ และจดจาํ ได๎ดี 2.เป็นวธิ สี อนท่ชี วํ ยให๎ผเู๎ รียนไดพ๎ ัฒนาทักษะการคดิ วเิ คราะห์ อนั เปน็ เคร่ืองมอื สาํ คญั ของการเรียนร๎ู 3. เป็นวธิ สี อนทีผ่ ๎ูเรียนไดท๎ ง้ั เนื้อหาความรู๎ (ไดแ๎ กํ หลกั การ / แนวคดิ ฯลฯ) และ กระบวนการ (ได๎แกํ กระบวนการคดิ ) ซ่งึ ผเ๎ู รียนสามารถนําไปใช๎ประโยชนใ์ นการเรยี นร๎ู เร่อื ง อ่นื ๆ ได๎ สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อทุ ัยสุข (2540 : 131) ได๎กลาํ ววําสาํ หรบั คุณคําของ วิธีการสอนแบบอปุ นยั มดี ังนี้ 1. สํงเสริมให๎ผเู๎ รยี นรจ๎ู กั คดิ และสังเกต 2. การทผ่ี ๎เู รยี นไดม๎ ีโอกาสสรุปและจดข๎อสังเกตจะทําใหส๎ ามารถจาํ สิง่ ท่ีได๎จากบทเรียน ไดน๎ าน 3. การเรียนโดยวธิ นี น้ี าน ๆ จะสงํ เสรมิ ให๎ผ๎เู รยี นมนี ิสัยชอบคิดหาเหตผุ ล 4. สํงเสรมิ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎คิดคน๎ หาเหตุผลดว๎ ยตนเองไมํคอยแตํคาํ สอนของผู๎สอนแตเํ พียง อยํางเดียว 5. ผ๎ูเรยี นได๎มโี อกาสเข๎ารํวมในพฤติกรรมการเรียนดว๎ ย 165

เสริมศรี ลกั ษณศริ ิ (2540 : 279-280) ไดอ๎ ธิบายถงึ ขอ๎ ดหี รือจุดเดํนของวธิ สี อนแบบ อปุ มาน ไว๎ดังน้ี 1. ผเ๎ู รียนเขา๎ ใจและจดจาํ ไดน๎ าน เพราะไดเ๎ รียนโดยการกระทํา 2. ผเู๎ รียนเขา๎ ใจวิธที ีจ่ ะแก๎ปัญหาในทางรปู ธรรมไดใ๎ นภายหลัง 3. ผ๎ูเรยี นรู๎จกั วธิ ีทาํ งานทีถ่ กู ต๎องตามหลักจติ วทิ ยา 4. ผเ๎ู รยี นไดฝ๎ กึ หัดคดิ ทั้งตามหลกั ธรรมศาสตรแ์ ละตามหลักวิทยาศาสตร์ 5. ฝึกใหผ๎ ู๎เรยี นเปน็ คนรอบคอบถถี่ ๎วน ชํางสงั เกต มีเหตผุ ล ไมเํ ชื่ออยํางงมงายโดย ไมํได๎พสิ จู นใ์ หเ๎ ห็นจรงิ 6. การสอนแบบนเ้ี หมาะท่ีจะใชส๎ าํ หรบั วิชาท่ีจะตอ๎ งคดิ ตามหลักตรรกศาสตร์ สรุปไดว๎ ํา การสอนโดยใชอ๎ ุปนยั มีจุดเดนํ ดังน้ี 1. สงํ เสรมิ ใหผ๎ ๎เู รียนพัฒนาการคดิ วิเคราะหแ์ ละการสงั เกต 2. ผเ๎ู รียนสามารถคน๎ พบด๎วยตนเอง เขา๎ ใจและจดจํารายละเอยี ดของเน้อื หาได๎ดี 3. ผเู๎ รยี นมกี ารสรปุ จดจําบทเรยี นได๎นาน 4. ผูเ๎ รยี นได๎เรียนรแู๎ ละกาํ หนดหลักเกณฑต์ าํ ง ๆ ดว๎ ยความละเอยี ดรอบคอบ ขอ้ เสียของวิธสี อนโดยใช้การอุปนยั ทิศนา แขมมณี (2550 : 342) กลําวถึง ข๎อจํากดั ของการสอนโดยใช๎การอุปนยั ดังน้ี 1. เปน็ วิธีสอนท่ีใชเ๎ วลาคอํ นข๎างมาก 2. เปน็ วธิ ีสอนท่อี าศยั ตัวอยํางทด่ี ี หากผ๎ูสอนขาดความเข๎าใจในการจัดเตรียมตัวอยํางท่ี ครอบคลุมลักษณะสาํ คญั ๆ ของหลักการ / แนวคดิ ท่ีสอน การสอนจะไมํประสบผลสาํ เร็จ 3. เปน็ วธิ ีการสอนทผ่ี เ๎ู รยี นจะต๎องคดิ คน๎ หาคําตอบดว๎ ยตนเอง หากผ๎ูเรียนขาดทกั ษะ พืน้ ฐานในการคดิ และการทํางานรวํ มกนั เป็นกลุํม อาจไมํเกดิ ผลที่ตอ๎ งการ เสรมิ ศรี ลกั ษณศริ ิ (2540 : 279-280) ไดอ๎ ธบิ ายถึง ข๎อจาํ กดั ของวธิ สี อนแบบอปุ มาน ไว๎ดงั น้ี 1. ไมํเหมาะทจี่ ะใชส๎ อนกับทุกวิชา โดยเฉพาะไมํเหมาะกับวชิ าท่มี คี ณุ คําทาง สุนทรียศาสตร์ 2. ผู๎สอนต๎องเขา๎ ใจเทคนิคการสอนวิธีนอ้ี ยาํ งแจมํ แจ๎ง ชดั เจน เพอื่ ให๎ผ๎ูเรียนสรุปได๎เอง 3. ถา๎ ผ๎ูสอนรีบบอกข๎อสรปุ หรือกฎเกณฑต์ าํ ง ๆ จะทาํ ใหก๎ ารสอนแบบน้ีไมํไดผ๎ ล 4. เป็นวธิ สี อนทเี่ สียเวลามาก ทําใหเ๎ กดิ ความเบือ่ หนํายและมปี ัญหาทางวินัย 5. มกั จะทําให๎บทเรยี นมีพธิ รี ีตองมากเกินไป จาํ เริญ ชูชวํ ยสุวรรณ (2544 : 57) กลาํ วถึง ข๎อจํากดั ของวธิ ีสอนแบบอปุ มัย วาํ การ 166

สอนวธิ ีนี้นักเรียนบางคนอาจจะเข๎าใจยากเพราะเป็นการสอนในลกั ษณะนามธรรม ครูจึงต๎องมีวิธีให๎ความรู๎ ที่ชัดเจน บางครง้ั อาจจะต๎องเสยี เวลาในการอธบิ ายมาก นอกจากนี้ อนิ ทิรา บณุ ยาทร (2542: 105) กลําววาํ ข๎อจํากดั ของวธิ สี อนแบบอุปนัย คือ 1. ผ๎ูสอนต๎องมีความเขา๎ ใจในเทคนิควธิ สี อนแบบน้ีเปน็ อยํางดี 2. ผ๎สู อนต๎องมปี ระสบการณ์เพียงพอ มิฉะน้ันจะทําใหผ๎ ๎ูเรียนเบ่ือหนาํ ยเพราะใช๎เวลามาก 3. ผ๎สู อนตอ๎ งรจู๎ กั การสรา๎ งบรรยากาศการเรยี นการสอนให๎นําสนใจ ผเู๎ รียนจะได๎ กระตือรือร๎นที่จะเรียน สพุ ิน บญุ ชูวงศ์ (2544 : 65) ไดก๎ ลําวถึงขอ๎ จํากัดของการสอนโดยใชอ๎ ุปนยั วํา 1. ไมํเหมาะสมทีจ่ ะใช๎สอนวิชาที่มคี ุณคําทางสนุ ทรยี ะ 2. ใชเ๎ วลามาก อาจทําใหเ๎ ด็กเกิดความเบ่ือหนาํ ย 3. ทาํ ใหบ๎ รรยากาศการเรยี นเปน็ ทางการเกินไป 4. ครูตอ๎ งเข๎าใจเทคนคิ วิธีสอนแบบน้ีอยํางดี จงึ จะได๎ผลสัมฤทธ์ใิ นการสอน ตัวเองไมํได๎ สรปุ ได๎วํา การสอนโดยใชอ๎ ปุ นยั มขี ๎อจาํ กดั ได๎ดงั น้ี 1. ไมเํ หมาะสําหรับวชิ าท่ีมเี นื้อหาเข๎าใจไดย๎ าก เพราะผู๎เรยี นอาจสรปุ กฎเกณฑด์ ว๎ ย 2. ใชเ๎ วลาในการสอนมาก ทาํ ใหผ๎ ๎ูเรยี นเกดิ ความเบื่อหนําย 3. ครตู ๎องใช๎เทคนิคการสอนอยํางดี การสอนจงึ จะสมั ฤทธผิ์ ล 4. ไมเํ หมาะสมทจ่ี ะใช๎สอนวิชาท่ีมคี ุณคาํ ทางสุนทรยี ภาพ กลาํ วโดยสรปุ ไดว๎ ํา วิธสี อนโดยใช๎การอปุ นัย หมายถึง การสอนทผี่ ๎สู อนลงรายละเอยี ด ปลีกยํอยกํอนการนําไปสูํหลักการหรือทฤษฎี ผ๎ูสอนอาจนําเสนอโดยการยกตัวอยํางหรือเหตุการณ์ให๎ ผู๎เรียนได๎เกิดความคิด วิเคราะห์จากตัวอยํางที่ให๎ไว๎เพ่ือสรุปเป็นทฤษฎีในภายหลัง ซ่ึงจุดมุํงหมายในการ สอนเพื่อสํงเสริมให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ผู๎เรียนเกิดการค๎นพบด๎วยตัวเอง เข๎าใจความหมาย ความสัมพันธ์ของส่ิงตํางๆ โดยมีองค์ประกอบสําคัญของการสอน คือ ผ๎ูสอนและผู๎เรียน จะต๎องมีตัวอยําง ข๎อมูลหรือเหตุการณ์ตํางๆ มีการวิเคราะห์ตัวอยํางตํางๆ เพ่ือหาหลักการรํวมกัน มีข๎อสรุปที่เป็นหลักการ และตอ๎ งมีผลการเรยี นรขู๎ องผเ๎ู รียนเป็นสําคัญ วิธสี อนโดยการใช๎อปุ นยั มขี ั้นตอนการสอน 5 ข้นั ตอน คอื 1. ขั้นเตรียม ผสู๎ อนต๎อง กําหนดจุดมํุงหมายในการสอนให๎กับผ๎ูเรียน 2. ขั้นสอน ผู๎สอนนําเสนอการสอนโดยการอธิบายเนื้อหา ส้นั ๆ แตํต๎องยกตวั อยํางให๎แกผํ เ๎ู รยี นหลาย ๆ ตัวอยาํ งใหม๎ ากพอทผ่ี ู๎เรียนจะสังเกตพิจารณาและหาข๎อสรุป ได๎ 3. ข้ันเปรียบเทียบ ผ๎ูเรียนพิจารณาตัวอยํางหลาย ๆ ตัวอยําง หรือได๎ลงมือทดลอง สังเกต 167

วเิ คราะห์ด๎วยตนเอง ผู๎เรยี นกส็ ามารถเปรียบเทียบแยกแยะข๎อแตกตํางหาองค์ประกอบรํวม และมองเห็น ความสัมพันธ์ของรายละเอียดที่เหมือนกัน 4. ขั้นสรุป เป็นการสรุปองค์ประกอบรํวมจากตัวอยํางตําง ๆ ท่ีผู๎เรียนได๎สังเกตพิจารณาทดลอง พิสูจน์ แล๎วมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎี ข๎อเทจ็ จริงหรอื ข๎อสรปุ ตําง ๆ และสุดท๎าย 5. ข้ันนําไปใช๎ เป็นการทดสอบความเข๎าใจของผู๎เรียนเก่ียวกับ กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรอื สูตร ท่ีผู๎เรียนสรุปได๎วําสามารถนําไปใช๎แก๎ปัญหาได๎หรือไมํ โดยการให๎ ผเ๎ู รียนทําแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด ข๎อดขี องวธิ สี อนโดยการใชอ๎ ปุ นัย คือ ผูเ๎ รยี นไดพ๎ ฒั นาทักษะการคิดวเิ คราะห์และการ สังเกต ซ่ึงจะค๎นพบได๎ด๎วยตนเองและจะจดจําได๎นาน สํวนข๎อจํากัดของการสอนวิธีน้ีคือ ใช๎ได๎กับบางวิชา เทํานั้น และไมเํ หมาะสําหรบั เนอื้ วชิ าท่ยี าก และครูตอ๎ งใช๎เทคนคิ การสอนอยํางดี การสอนจึงจะสัมฤทธิ์ผล และมีประสิทธภิ าพ คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและจดุ มงุํ หมายของ “วิธสี อนโดยใช๎การอปุ นยั ” ตามความ คดิ เห็นของทําน 2. องคป์ ระกอบสําคญั และขน้ั ตอนในการสอนของวิธีสอนโดยใช๎การอปุ นัยจําเปน็ ตอ๎ งมี อะไรบา๎ ง 3. ทํานคิดวาํ วธิ สี อนโดยใช๎การอปุ นัยมีข๎อดีและข๎อจํากัดอะไรบ๎าง จงอธิบาย 4. ใหท๎ ํานทดลองฝึกสอนโดยใช๎การอปุ นัย แลว๎ ให๎เพื่อนหรือผ๎ูเชีย่ วชาญใหค๎ าํ ติชม หรือ อาจบันทึกวีดที ัศน์ไวว๎ เิ คราะห์การสอนของตนเองก็ได๎ 5.5 การสอนแบบร่วมมือ การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือ (Cooperative Learning) การจัดการเรียนรู๎แบบรํวมมือนับวําเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ โดยใช๎กระบวนการกลํุมให๎ผู๎เรียนได๎มีโอกาสทํางานรํวมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิดความสําเร็จรํวมกัน ของกลุํม ซึ่งการเรียนแบบรํวมมือมิใชํเป็นเพียงจัดให๎ผู๎เรียนทํางานเป็นกลุํม เชํน ทํารายงาน ทํากิจกรรม ประดิษฐ์หรือสร๎างชิ้นงาน อภิปราย ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล๎ว ผ๎ูสอนทําหน๎าท่ีสรุปความร๎ูด๎วย ตนเองเทํานนั้ แตํผส๎ู อนจะตอ๎ งพยายามใชก๎ ลยทุ ธ์วธิ ใี หผ๎ ู๎เรียนได๎ใช๎กระบวนการประมวลสิ่งที่มาจากการทํา กิจกรรมตํางๆ จัดระบบความร๎ูสรุปเป็นองค์ความรู๎ด๎วยตนเองเป็นหลักการสําคัญ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ , 2544 :15 ) ดงั นั้น การจัดการเรียนรแ๎ู บบรํวมมือผ๎ูสอนจะต๎องเลือกเทคนิคการจัดการเรียนท่ีเหมาะสมกับ ผเ๎ู รียน และผ๎ูเรียนจะตอ๎ งมีความพร๎อมที่จะรํวมกันทํากิจกรรม รับผิดชอบงานของกลุํมรํวมกัน โดยท่ีกลุํม จะประสบความสําเร็จได๎ เมื่อสมาชิกทุกคนได๎เรียนร๎ูบรรลุตามจุดมํุงหมายเดียวกัน นั่นคือ การเรียนเป็น กลุมํ หรือเปน็ ทมี อยํางมีประสิทธภิ าพนั่นเอง 168

เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจในการจัดการเรียนรู๎แบบรํวมมือมากยิ่งข้ึน ในบทนี้จะกลําวถึง รายละเอยี ดของการจัดการเรียนร๎ูแบบรํวมมือ ประกอบไปด๎วย ความหมาย วัตถุประสงค์ องค์ประกอบ สําคัญของการเรยี นร๎แู บบรวํ มมือ ความแตกตํางระหวํางการเรียนรู๎แบบรํวมมือกับการเรียนเป็นกลุํมแบบ ด้ังเดิม ขั้นตอนการจัดกิจกรรม เทคนิคการเรียนร๎ูแบบรํวมมือ วิธีการเรียนแบบรํวมมือ ประโยชน์ของ การเรียนแบบรํวมมือ เงื่อนไขการเลือกวิธีการสอนแบบตําง ๆ และเหตุผลของการผสมผสานการสอน แบบตาํ ง ๆ และสรปุ ทา๎ ยบทรวมทั้งในตอนทา๎ ยจะมีกจิ กรรมและคาํ ถามทา๎ ยบท สาํ หรบั การจัดการเรยี นรแู๎ บบรํวมมือไดม๎ ีนักวชิ าการให๎ความหมายไว๎หลายทาํ น ดงั นี้ อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 121) ได๎กลําววํา การจัดการเรียนรแู๎ บบรํวมมือหรือแบบมี สํวนรํวม หมายถงึ การจัดกิจกรรมการเรยี นรูท๎ ี่ผ๎ูเรยี นมคี วามรูค๎ วามสามารถตาํ งกนั ไดร๎ ํวมมอื กนั ทํางาน กลํุมดว๎ ยความตงั้ ใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน๎าทีใ่ นกลํมุ ของตน ทาํ ใหง๎ านของกลํุมดําเนินไปสูํ เปาู หมายของงานได๎ ไสว ฟักขาว (2544 : 193) กลาํ วถึงการเรยี นร๎ูแบบรวํ มมือไวว๎ ํา เป็นการจดั การเรียน การสอนที่แบํงผ๎เู รียนออกเป็นกลํมุ เลก็ ๆ สมาชกิ ในกลมํุ มีความสามารถแตกตาํ งกนั มีการแลกเปล่ียน ความคิดเหน็ มีการชํวยเหลือสนบั สนุนซึ่งกนั และกนั และมีความรับผดิ ชอบรวํ มกนั ทงั้ ในสวํ นตน และ สวํ นรวม เพือ่ ใหก๎ ลมํุ ได๎รับความสําเรจ็ ตามเปาู หมายท่ีกําหนด จากความหมายของการเรียนร๎ูแบบรํวมมือข๎างต๎น สรุปได๎วํา การจัดการเรียนร๎ูแบบ รํวมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีผู๎สอนจัดให๎ผู๎เรียนแบํงเป็นกลํุมเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพ่ือใหผ๎ เู๎ รียนได๎เรียนรู๎โดยการทํางานรํวมกัน ชํวยเหลือซึ่งกันและกัน และรํวมกันรับผิดชอบงานในกลุํมท่ี ไดร๎ ับมอบหมาย เพ่อื ให๎เกดิ เปน็ ความสาํ เร็จของกลํมุ สําหรับวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการเรียนรแ๎ู บบรวํ มมือ อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 121) ไดก๎ ลําววํา ดงั นี้ 1. เพ่อื ใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎เรียนรู๎และฝกึ ทกั ษะกระบวนการกลุํมได๎ฝกึ บทบาทหน๎าทแ่ี ละความ รับผิดชอบในการทํางานกลุํม 2. เพอื่ ใหผ๎ ู๎เรยี นไดพ๎ ัฒนาทักษะการคดิ คน๎ ควา๎ ทักษะการแสวงหาความรดู๎ ๎วยตนเอง ทกั ษะการคดิ สรา๎ งสรรค์ การแก๎ปญั หา การตัดสนิ ใจ การตง้ั คาํ ถาม ตอบคาํ ถาม การใช๎ภาษา การพดู ฯลฯ 3. เพื่อให๎ผู๎เรียนไดฝ๎ กึ ทักษะทางสังคม การอยํรู วํ มกบั ผ๎ูอนื่ การมีน้ําใจชวํ ยเหลอื ผูอ๎ ่นื การเสียสละ การยอมรับกันและกนั การไว๎วางใจ การเปน็ ผ๎ูนํา ผต๎ู าม ฯลฯ 169

ลักษณะของการเรียนรแู้ บบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 121) ได๎กลาํ วถงึ การจัดกิจกรรมแบบรวํ มแรงรํวมใจวาํ มลี กั ษณะ ดังนี้ 1. มีการทํางานกลุํมรวํ มกัน มปี ฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในกลํมุ และระหวํางกลมุํ 2. สมาชิกในกลุํมมจี าํ นวนไมํควรเกิน 6 คน 3.สมาชกิ ในกลมุํ มีความสามารถแตกตาํ งกนั เพ่อื ชํวยเหลือกัน 4.สมาชกิ ในกลุํมตํางมีบทบาทรบั ผิดชอบในหน๎าท่ที ่ีไดร๎ บั มอบหมาย เชํน - เป็นผู๎นํากลมุํ (Leader) - เป็นผ๎ูอธิบาย (Explainer) - เป็นผ๎ูจดบนั ทกึ (Recorder) - เปน็ ผู๎ตรวจสอบ (Checker) - เป็นผส๎ู ังเกตการณ์ (Observer) - เป็นผใู๎ ห๎กาํ ลงั ใจ (Encourager) ฯลฯ สมาชกิ ในกลํมุ มคี วามรบั ผดิ ชอบรํวมกนั ยดึ หลักวาํ “ความสําเร็จของแตํละคน คือ ความสําเรจ็ ของกลุมํ ความสําเร็จของกลมุํ คือ ความสําเรจ็ ของทกุ คน” องค์ประกอบสาคญั ของการเรียนรแู้ บบร่วมมอื นกั วิชาการหลายทาํ นได๎กลําวถึงองคป์ ระกอบของการเรยี นร๎ูแบบรํวมมือ ไว๎ดงั นี้ จอหน์ สนั และจอห์นสัน (Johnson and Johnson,1987 : 13 - 14) อ๎างใน ไสว-ฟักขาว (2544 : 193- 194) ไดก๎ ลาํ วถึงองคป์ ระกอบท่ีสาํ คัญของการเรียนรู๎แบบรํวมมือ ไวด๎ ังน้ี 1. ความเกี่ยวขอ๎ งสัมพนั ธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถงึ การท่สี มาชกิ ในกลํมุ ทาํ งานอยํางมีเปาู หมายรวํ มกัน มีการทํางานรํวมกัน โดยท่ีสมาชิกทุกคนมีสํวนรํวมใน การทํางานนั้น มีการแบํงปันวัสดุ อุปกรณ์ ข๎อมูลตําง ๆ ในการทํางาน ทุกคนมีบทบาท หน๎าที่และ ประสบความสําเร็จรํวมกัน สมาชิกในกลุํมจะมีความร๎ูสึกวําตนประสบความสําเร็จได๎ก็๖อเมื่อสมาชิกทุก คนในกลํุมประสบความสําเร็จด๎วย สมาชิกทุกคนจะได๎รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงานกลุํมโดยเทํา เทยี มกนั เชนํ ถา๎ สมาชิกทุกคนชวํ ยกัน ทําให๎กลมุํ ได๎คะแนน 90% แลว๎ สมาชิกแตํละคนจะได๎คะแนน พเิ ศษเพ่ิมอีก 5 คะแนน เปน็ รางวลั เปน็ ต๎น 2. การมีปฏิสมั พันธ์ท่สี งํ เสริมซ่ึงกนั และกนั (Face To Face Pronotive Interaction) เป็นการติดตํอสัมพันธ์กัน แลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความร๎ูให๎แกํเพ่ือนในกลุํมฟัง เป็นลักษณะสําคัญของการติดตํอปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบรํวมมือ ดังน้ัน จึงควรมีการ 170

แลกเปล่ียน ให๎ข๎อมูลย๎อนกลับ เปิดโอกาสให๎สมาชิกเสนอแนวความคิดใหมํ ๆ เพ่ือเลือกในสิ่งท่ีเหมาะสม ทส่ี ดุ 3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน (Individual Accountability) ความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละบุคคล เป็นความรบั ผดิ ชอบในการเรยี นร๎ูของสมาชิกแตํละบุคคล โดยมี การชวํ ยเหลือสํงเสรมิ ซ่งึ กันและกัน เพอื่ ให๎เกดิ ความสาํ เร็จตามเปูาหมายกลํุม โดยท่ีสมาชิกทุกคนในกลํุม มคี วามมั่นใจ และพรอ๎ มที่จะไดร๎ ับการทดสอบเปน็ รายบุคคล 4. การใช๎ทักษะระหวํางบคุ คลและทกั ษะการทาํ งานกลุมํ ยํอย (Interdependence and Small Group Skills) ทกั ษะระหวาํ งบุคคล และทักษะการทํางานกลุํมยํอย นักเรียนควรได๎รับ การฝึกฝนทักษะเหลํานี้เสียกํอน เพราะเป็นทักษะสําคัญท่ีจะชํวยให๎การทํางานกลํุมประสบผลสําเร็จ นักเรียนควรได๎รับการฝึกทักษะในการส่ือสาร การเป็นผ๎ูนํา การไว๎วางใจผ๎ูอ่ืน การตัดสินใจ การ แก๎ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะสํงเสริมให๎นักเรียน เพ่ือให๎นักเรียนสามารถทํางานได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ 5. กระบวนการกลุํม (Group Process) เป็นกระบวนการทํางานที่มีขั้นตอนหรือ วิธีการท่ีจะชํวยให๎การดําเนินงานกลุํมเป็นไปอยํางมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต๎องทําความ เข๎าใจในเปูาหมายการทํางาน วางแผนปฏิบัติงานรํวมกัน ดําเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและ ปรบั ปรงุ งาน องค์ประกอบของการเรียนร๎ูแบบรํวมมือท้ัง 5 องค์ประกอบน้ี ตํางมีความสัมพันธ์ซึ่งกัน และกัน ในอันท่ีจะชํวยให๎การเรียนแบบรํวมมือดําเนินไปด๎วยดี และบรรลุตามเปูาหมายท่ีกลํุมกําหนด โดยเฉพาะทกั ษะทางสังคม ทักษะการทาํ งานกลํมุ ยํอย และกระบวนการกลํุมซ่ึงจําเป็นท่ีจะต๎องได๎รับการ ฝึกฝน ทง้ั นี้เพอ่ื ให๎สมาชิกกลุํมเกิดความร๎ู ความเข๎าใจและสามารถนําทักษะเหลําน้ีไปใช๎ให๎เกิดประโยชน์ ไดอ๎ ยํางเต็มท่ี อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 122) กลําวถงึ องค์ประกอบของการจดั การเรียนร๎ูแบบ รวํ มมอื ไวว๎ าํ ต๎องคํานงึ ถงึ องค์ประกอบในการให๎ผ๎เู รียนทํางานกลํมุ ดังขอ๎ ตํอไปนี้ 1. มีการพง่ึ พาอาศัยกนั (Positive Interdependence) หมายถงึ สมาชกิ ในกลุํมมี เปาู หมายรวํ มกัน มีสํวนรับความสาํ เร็จรํวมกัน ใชว๎ สั ดุอปุ กรณ์รํวมกัน มีบทบาทหน๎าท่ีทุกคนทั่วกัน ทุก คนมีความรส๎ู กึ วาํ งานจะสําเร็จไดต๎ ๎องชํวยเหลือซึ่งกนั และกนั 2. มปี ฏสิ ัมพันธ์อยํางใกลช๎ ิดในเชงิ สร๎างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุํมได๎ทํากิจกรรมอยํางใกล๎ชิด เชํน แลกเปล่ียนความคิดเห็น อธิบาย ความรูแ๎ กํกนั ถามคาํ ถาม ตอบคาํ ถามกันและกนั ด๎วยความร๎สู ึกทีด่ ีตํอกนั 3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน (IndividualAccountability) เป็นหน๎าที่ของผ๎ูสอนที่จะต๎องตรวจสอบวํา สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบตํองานกลุํมหรือไมํ มากน๎อย 171

เพียงใด เชํน การสํุมถามสมาชิกในกลํุม สังเกตและบันทึกการทํางานกลุํม ให๎ผ๎ูเรียนอธิบายสิ่งท่ีตน เรยี นรใู๎ ห๎เพอ่ื นฟงั ทดสอบรายบคุ คล เปน็ ตน๎ 4. มกี ารฝึกทกั ษะการชํวยเหลอื กันทาํ งานและทักษะการทาํ งานกลมํุ ยํอย (Interdependence and Small Groups Skills) ผูเ๎ รียนควรไดฝ๎ กึ ทกั ษะที่จะชํวยให๎งานกลุํมประสบ ความสําเร็จ เชํน ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและชํวยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็น โดยไมํ วิจารณ์บุคคล การแก๎ปัญหาความขัดแย๎ง การให๎ความชํวยเหลือ และการเอาใจใสํตํอทุกคนอยํางเทํา เทียมกนั การทําความรจู๎ กั และไวว๎ างใจผู๎อน่ื เป็นต๎น 5. มีการฝกึ กระบวนการกลุมํ (Group Process) สมาชิกต๎องรับผิดชอบตอํ การ ทํางานของกลํุม ต๎องสามารถประเมินการทํางานของกลุํมได๎วํา ประสบผลสําเร็จมากน๎อยเพียงใด เพราะเหตุใด ต๎องแก๎ไขปัญหาที่ใด และอยํางไร เพื่อให๎การทํางานกลุํมมีประสิทธิภาพดีกวําเดิม เป็น การฝกึ กระบวนการกลํุมอยํางเปน็ กระบวนการ จากองค์ประกอบสาํ คญั ของการเรียนร๎ูแบบรวํ มมือ จงึ สรปุ ได๎วาํ การเรยี นร๎ูแบบรวํ มมอื นัน้ มีองค์ประกอบ 5 ประการดว๎ ยกนั คือ 1. มีการพ่ึงพาอาศัยซงึ่ กันและกนั โดยสมาชิกแตํละคนมีเปูาหมายในการทํางานกลํมุ รวํ มกัน ซ่ึงจะต๎องพึงพาอาศัยซึง่ กันและกนั เพ่ือความสําเร็จของการทํางานกลมํุ 2. มีปฏิสัมพันธ์กันอยํางใกล๎ชิดในเชิงสร๎างสรรค์ เป็นการให๎สมาชิกได๎รํวมกันทํางาน กลุมํ กันอยาํ งใกล๎ชดิ โดยการเสนอและแสดงความคิดเห็นกันของสมาชิกภายในกลุํม ด๎วยความรู๎สึกท่ีดีตํอ กัน 3. มีความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน หมายความวํา สมาชิกภายในกลุํมแตํละคน จะต๎องมีความรับผิดในการทํางาน โดยที่สมาชิกทุกคนในกลํุมมีความมั่นใจ และพร๎อมท่ีจะได๎รับการ ทดสอบเปน็ รายบุคคล 4. มีการใช๎ทักษะกระบวนการกลํุมยํอย ทักษะระหวํางบุคคล และทักษะการทํางาน กลุํมยํอย นักเรียนควรได๎รับการฝึกฝนทักษะเหลําน้ีเสียกํอน เพราะเป็นทักษะสําคัญที่จะชํวยให๎การ ทํางานกลุํมประสบผลสาํ เร็จ เพ่อื ให๎นักเรียนจะสามารถทาํ งานได๎อยํางมปี ระสิทธิภาพ 5. มกี ารใช๎กระบวนการกลมํุ ซึ่งเป็นกระบวนการทํางานท่ีมีขั้นตอนหรือ วิธีการท่ีจะชํวย ให๎การดําเนินงานกลุํมเป็นไปอยํางมีประสิทธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเปูาหมายในการทํางาน รํวมกัน โดยจะต๎องดําเนนิ งานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน ความแตกตา่ งระหวา่ งการเรียนรแู้ บบร่วมมือกบั การเรียนเป็นกลุม่ แบบด้ังเดมิ ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195) ได๎กลําววํา จากองค์ประกอบสําคัญของการเรียนร๎ูแบบ รํวมมือ (Cooperative Learning) ซ่ึงได๎แกํ ความเกี่ยวข๎องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ท่ี สํงเสรมิ กันและกนั ความรบั ผดิ ชอบของสมาชิกแตํละบคุ คล การใช๎ทกั ษะระหวํางบุคคล การทํางานกลํุม 172

ยํอย และกระบวนการกลํุม องค์ประกอบเหลําน้ีทําให๎การเรียนร๎ูแบบรํวมมือแตกตํางออกไปจากการ เรียนรู๎เป็นกลุํมแบบด้ังเดิม (Traditional Learning) กลําวคือ การเรียนเป็นกลํุมแบบดั้งเดิมน้ัน เป็น เพียงการแบํงกลํุมการเรียนเพ่ือให๎นักเรียนปฏิบัติงานรํวมกัน แบํงงานกันทํา สมาชิกในกลุํมตํางทํางาน เพ่ือให๎งานสําเร็จ เน๎นที่ผลงานมากกวํากระบวนการในการทํางาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความ รบั ผดิ ชอบในตนเองสงู แตํสมาชิกบางคนอาจไมํมคี วามรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลํุม มีผลงานออกมา เพื่อสงํ ครเู ทาํ น้ัน ซ่ึงตาํ งจากการเรียนเป็นกลํุมแบบรํวมมือท่ีสมาชิกแตํละคนต๎องมีความรับผิดชอบทั้งตํอ ตนเองและตํอเพื่อนสมาชิกในกลุํมด๎วย จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1987 : 25) อา๎ งใน ไสว ฟกั ขาว (2544 : 195) ได๎สรุปความแตกตํางระหวํางกลํุมการเรียนร๎ูแบบรํวมมือกับกลํุม การเรยี นแบบดง้ั เดิมไว๎ดงั น้ี การเรยี นรู๎แบบรํวมมอื (Cooperative Learning) การเรียนรเ๎ู ป็นกลมํุ แบบด้งั เดมิ (Traditional Learning) 1. มคี วามสมั พนั ธใ์ นเชิงบวกระหวํางสมาชกิ 2. สมาชกิ เอาใจใสํรับผิดชอบตํอตนเอง 3. สมาชกิ มีความสามารถแตกตํางกนั 4. สมาชกิ ผลัดเปล่ียนกันเปน็ ผ๎นู ํา 5. รบั ผดิ ชอบรํวมกบั สมาชิกดว๎ ยกัน 6. เนน๎ ผลงานและการคงอยูซํ ่งึ ความเปน็ กลมํุ 7. สอนทกั ษะทางสังคมโดยตรง 8. ครูคอยสังเกตและหาโอกาสแนะนาํ 9. สมาชิกกลํุมมีกระบวนการทาํ งานเพ่ือประสทิ ธิผลกลํุม 1. ขาดการพึ่งพากนั ระหวํางสมาชกิ 2. สมาชิกขาดความรับผิดชอบในตนเอง 3. สมาชกิ มีความสามารถเทําเทียมกนั 4. มผี น๎ู ําทีไ่ ด๎รับการแตงํ ตัง้ เพียงคนเดยี ว 5. รบั ผิดชอบเฉพาะตนเอง 6. เนน๎ ท่ีผลงานเพยี งอยํางเดียว 7. ทักษะทางสงั คมถกู ละเลย 8. ครูขาดความสนใจหน๎าทข่ี องกลํุม 9. ขาดกระบวนการในการทาํ งานกลํมุ 173

ข้ันตอนการจัดกจิ กรรม อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 122-123) กลําวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนร๎ู แบบรํวมมือ ไวด๎ ังน้ี 1. ข้ันเตรียมการ ผ๎ูสอนช้ีแจงจุดประสงค์ของบทเรียน ผ๎ูสอนจัดกลํุมผู๎เรียนเป็นกลุํมยํอย กลุํมละ ประมาณไมํเกิน 6 คน มีสมาชิกท่ีมีความสามารถแตกตํางกัน ผู๎สอนแนะนําวิธีการทํางานกลํุมและ บทบาทของสมาชกิ ในกลุํม 2. ขั้นสอน ผู๎สอนนําเข๎าสํบู ทเรยี น บอกปญั หาหรืองานท่ีตอ๎ งการใหก๎ ลํุมแก๎ไขหรือคดิ วิเคราะห์ หาคําตอบผู๎สอนแนะนําแหลํงข๎อมูล ค๎นคว๎า หรือให๎ข๎อมูลพ้ืนฐานสําหรับการคิดวิเคราะห์ ผสู๎ อนมอบหมายงานที่กลุํมต๎องทาํ ใหช๎ ดั เจน 3. ขนั้ ทากจิ กรรมกลุม่ ผู๎เรียนรวํ มมือกนั ทํางานตามบทบาทหนา๎ ทท่ี ่ีได๎รบั ทกุ คนรํวมรับผิดชอบ รวํ มคิด รํวมแสดงความคดิ เหน็ การจดั กิจกรรในขั้นน้ี ครูควรใช๎เทคนิคการเรียนรู๎แบบรํวมแรงรํวมใจ ท่ีนําสนใจ และเหมาะสมกับผู๎เรียน เชํน การเลําเร่ืองรอบวง มุมสนทนา คูํตรวจสอบ คูํคิด ฯลฯผู๎สอน สังเกตการณ์ทํางานของกลุํม คอยเป็นผู๎อํานวยความสะดวก ให๎ความกระจํางในกรณีที่ผู๎เรียนสงสัย ตอ๎ งการความชวํ ยเหลือ 4. ข้นั ตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขัน้ น้ผี ๎เู รยี นจะรายงานผลการทาํ งานกลุํม ผ๎ูสอนและเพ่ือนกลํุมอ่ืนอาจซักถามเพื่อให๎เกิดความกระจํางชัดเจน เพ่ือเป็นการตรวจสอบผลงานของ กลมํุ และรายบุคคล 5. ข้ันสรปุ บทเรยี นและประเมนิ ผลการทางานกลมุ่ ขน้ั นี้ผูส๎ อนและผเ๎ู รยี นชํวยกัน สรุปบทเรียน ผ๎ูสอนควรชํวยเสริมเพิ่มเติมความร๎ู ชํวยคิดให๎ครบตามเปูาหมายการเรียนที่กําหนดไว๎ และชวํ ยกนั ประเมนิ ผลการทํางานกลํมุ ทงั้ สํวนทเ่ี ดํนและสวํ นทค่ี วรปรบั ปรุงแก๎ไข เทคนิคการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ วัฒนาพร ระงบั ทุกข์ (2545 : 177 – 195) อา๎ งใน อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 123 – 125) กลําวถงึ เทคนิคการจดั การเรยี นร๎ูแบบรวํ มมือ ไว๎วํา เทคนคิ ที่นํามาใช๎ในการเรยี นร๎ูแบบรํวมมือ มี หลายวิธี ไดแ๎ นะนําไวด๎ งั น้ี 1. ปรศิ นาความคดิ (Jigsaw) ปรศิ นาความคดิ เปน็ เทคนิคท่สี มาชิกในกลํุมแยกยา๎ ยกนั ไปศึกษาหาความรู๎ ใน 174

หัวข๎อเน้ือหาท่ีแตกตํางกัน แล๎วกลับเข๎ากลํุมมาถํายทอดความร๎ูที่ได๎มาให๎สมาชิกกลํุมฟัง วิธีน้ีคล๎ายกับ การตํอภาพจิกซอร์ จึงเรียกวิธีนี้วํา Jigsaw หรือปริศนาการคิด ลักษณะการจัดกิจกรรมผู๎เรียนท่ีมี ความสามารถตํางกันเข๎ากลํุมรํวมกันเรียกวํา กลํุมบ๎าน (Home Group) สมาชิกในกลุํมบ๎านจะ รับผิดชอบศึกษาหัวข๎อท่ีแตกตํางกัน แล๎วแยกย๎ายไปเข๎ากลํุมใหมํในหัวข๎อเดียวกัน กลํุมใหมํนี้เรียกวํา กลุมํ ผู๎เชยี่ วชาญ (Expert Group) เมอ่ื กลมํุ ผเ๎ู ชย่ี วชาญทํางานรํวมกันเสร็จ ก็จะย๎ายกลับไปกลุํมเดิมคือ กลุํมบ๎านของตน นําความร๎ูที่ได๎จากการอภิปรายจากกลํุมผู๎เช่ียวชาญมาสรุปให๎กลํุมบ๎านฟัง ผู๎สอน ทดสอบและใหค๎ ะแนน 2. กล่มุ ร่วมมือแข่งขัน (Teams – Games – Toumaments : TGT) เทคนิคกลุํมรํวมมือแขํงขัน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุํมเรียนร๎ูเนื้อหาสาระจากผู๎สอน ด๎วยกัน แล๎วแตํละคนแยกย๎ายไปแขํงขันทดสอบความรู๎ คะแนนที่ได๎ของแตํละคนจะนํามารวมกันเป็น คะแนนของกลํุม กลมํุ ที่ได๎คะแนนรวมสูงสดุ ได๎รบั รางวลั ลกั ษณะการจดั กจิ กรรม สมาชกิ กลมุํ จะชํวยกันเตรียมตัวเข๎าแขงํ ขัน โดยผลัดกันถามตอบใหเ๎ กิดความแมํนยําใน ความรท๎ู ่ีผสู๎ อนจะทดสอบ เม่ือไดเ๎ วลาแขงํ ขนั แตํละทมี จะเขา๎ ประจําโต๏ะแขํงขนั แลว๎ เร่ิมเลํนเกมพรอ๎ ม กนั ด๎วยชดุ คําถามที่เหมือนกัน เมื่อการแขํงขันจบลง ผู๎เข๎ารวํ มแขงํ ขนั จะกลับไปเขา๎ ทีมเดิมของตนพร๎อม คะแนนทไ่ี ด๎รับ ทีมทีไ่ ด๎คะแนนรวมสูงสดุ ถือวําเป็นทีมชนะเลศิ 3. กลุ่มร่วมมือช่วยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAT) เทคนิคการเรยี นร๎วู ธิ นี ี้ เป็นการเรียนร๎ทู เี่ ปดิ โอกาสใหส๎ มาชกิ แตํละคนได๎แสดง ความสามารถเฉพาะตนกํอน แล๎วจึงจบั คูตํ รวจสอบกันและกนั ชํวยเหลอื กนั ทาํ ใบงานจนสามารถผาํ นได๎ ตํอจากนนั้ จึงนําคะแนนของแตํละคนมารวมเปน็ คะแนนของกลํมุ กลุํมที่ไดค๎ ะแนนสงู สดุ จะเปน็ ฝาุ ยได๎รับ รางวัล ลักษณะการจดั กจิ กรรม กลมํุ จะมีสมาชิก 2 – 4 คน จบั คกํู นั ทาํ งานตามใบงานท่ีไดร๎ ับมอบหมาย แล๎วแลกเปลีย่ น กนั ตรวจผลงาน ถา๎ ผลงานยังไมถํ กู ต๎องสมบูรณ์ ตอ๎ งแก๎ไขจนกวําจะผาํ น ตํอจากนน้ั ทุกคนจะทําข๎อทดสอบ คะแนนของทุกคนจะมารวมกันเปน็ คะแนนของกลมํุ กลมุํ ที่ได๎คะแนนสูงสดุ จะได๎รบั รางวัล 4. กลุ่มสบื ค้น (Group Investigation : GI) กลมํุ สืบค๎น เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมท่ีใหผ๎ ู๎เรยี นไดฝ๎ ึกทักษะการศึกษาคน๎ คว๎าแสวงหา ความรด๎ู ๎วยตนเอง ผูเ๎ รียนแตํละกลํมุ ได๎รบั มอบหมายให๎ค๎นควา๎ หาความรู๎มานําเสนอ ประกอบเนื้อหาท่ี เรยี น อาจเป็นการทํางานตามใบงานที่กําหนด โดยท่ีทุกคนในกลุมํ รบั ร๎ูและชวํ ยกนั ทํางาน 175

ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลมุํ จะชวํ ยกันศึกษาค๎นคว๎าหาคาํ ตอบ หรือความรู๎มานําเสนอตํอชน้ั เรียน โดย ผู๎สอนแบํงเนื้อหาเป็นหัวขอ๎ ยํอย แตลํ ะกลุํมศึกษากลมํุ ละ 1 หัวข๎อ เมอื่ พร๎อม ผเ๎ู รียนจะนาํ เสนอผลงาน ทีละกลุมํ แล๎วรวํ มกันประเมินผลงาน 5. กลุ่มเรียนรู้รว่ มกัน (Learning Together : LT) กลุํมเรยี นรรู๎ ํวมกัน เปน็ เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ใหส๎ มาชิกในกลํุมได๎รบั ผดิ ชอบ มี บทบาทหนา๎ ท่ีทกุ คน เชํน เป็นผ๎อู ําน เปน็ ผ๎ูจดบนั ทกึ เป็นผู๎รายงานนาํ เสนอ เป็นต๎น ทุกคนชํวยกนั ทาํ งาน จนได๎ผลงานสาํ เรจ็ สํงและนาํ เสนอผู๎สอน ลักษณะการจดั กจิ กรรม กลมุํ ผเ๎ู รยี นจะแบํงหน๎าท่ีกนั ทํางาน เชนํ เปน็ ผูอ๎ ํานคําสั่งใบงาน เปน็ ผจ๎ู ดบันทกึ งาน เปน็ ผู๎หาคาํ ตอบ เปน็ ผู๎ตรวจคาํ ตอบ กลํมุ จะไดผ๎ ลงานท่ีเกิดจากการทาํ งานของทกุ คน 6. กลุ่มร่วมกันคดิ (Numbered Heads Together : NHT) กิจกรรมนีเ้ หมาะสาํ หรบั การทบทวนหรือตรวจสอบความเขา๎ ใจ สมาชิกกลมํุ จะ ประกอบด๎วยผเู๎ รียนทมี่ ีความสามารถเกํง ปานกลาง และอํอนคละกนั จะชํวยกันคน๎ ควา๎ เตรยี มตวั ตอบ คําถามทีผ่ ๎สู อนจะทดสอบ ผู๎สอนจะเรียกถามทีละคน กลํมุ ทส่ี มาชกิ สามารถตอบคาํ ถามได๎มากแสดงวาํ ได๎ชํวยเหลอื กันดี ลกั ษณะการจดั กจิ กรรม สมาชิกกลุมํ ท่ีมีความสามารถแตกตาํ งกัน จะรํวมกันอภปิ รายปัญหาท่ีได๎รับเพื่อใหเ๎ กดิ ความพร๎อมและความมน่ั ใจที่จะตอบคําถามผส๎ู อน ผส๎ู อนจะเรียกสมาชกิ กลมุํ ให๎ตอบทลี ะคน แล๎วนํา คะแนนของแตํละคนมารวมเปน็ คะแนนของกลมํุ 7. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) กลุํมรํวมมอื เปน็ เทคนิคการทํางานกลํุมวิธหี นึ่ง โดยสมาชิกในกลุํมทีม่ ีความสามารถและ ความถนดั แตกตํางกนั ได๎ แสดงบทบาทตามหน๎าท่ีท่ีตนถนัดอยาํ งเต็มที่ ทาํ ให๎งานประสบผลสําเร็จ วธิ ีนี้ ทําใหผ๎ เ๎ู รียนไดฝ๎ กึ ความรบั ผิดชอบการทาํ งานกลมํุ รวํ มกนั และสนองตํอหลักการของการเรยี นร๎ู และ รวํ มมอื ทว่ี ํา “ความสําเร็จแตํละคน คือ ความสําเรจ็ ของกลํมุ ความสาํ เร็จของกลํุม คือ ความสําเร็จของ ทุกคน” ลักษณะการจดั กจิ กรรม สมาชิกกลํุมท่ีมีความสามารถแตกตาํ งกนั จะแบงํ หน๎าทีร่ ับผิดชอบไปศึกษาหัวขอ๎ ยํอยที ไดร๎ บั มอบหมาย แลว๎ นาํ งานจากการศึกษาคน๎ ควา๎ มารวมกันเป็นงานกลํุมปรับปรุงให๎ตอํ เน่ืองเช่อื มโยง มี ความสละสลวย เสรจ็ แลว๎ จึงนาํ เสนอตอํ ช้ันเรียน ทกุ กลํมุ จะชวํ ยกนั ประเมนิ ผลงาน 176

จากที่กลาํ วมาทง้ั หมดสรปุ ได๎วาํ การเรยี นร๎ูแบบรวํ มมือ เป็นวิธีการที่ผ๎ูเรยี นไดฝ๎ กึ ทักษะ การมปี ฏสิ มั พนั ธ์กับบคุ คลอน่ื อยํางแทจ๎ รงิ ไดฝ๎ กึ ความรับผิดชอบ ฝึกเปน็ ผู๎นาํ ผต๎ู ามกลุํมฝกึ การทํางาน ใหป๎ ระสบผลสําเรจ็ และฝกึ ทกั ษะทางสังคม ผส๎ู อนควรเลือกใช๎เทคนิควิธีตาํ ง ๆ ดังกลํามาให๎เหมาะสม กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงคก์ ารเรียนรูท๎ ี่กาํ หนดไว๎ วิธีการเรียนแบบรว่ มมอื วนั เพญ็ จนั ทร์เจรญิ (2542 : 119-128) กลําวถึง วธิ ีการเรียนแบบรวํ มมอื ท่นี ยิ มใชก๎ นั มี เทคนคิ สาํ คญั 2 แบบ คือ แบบเปน็ ทางการ (Formal cooperative learning) และแบบไมํเป็น ทางการ (Informal cooperative learning) 1. การเรียนแบบรวํ มมอื อยํางเปน็ ทางการ มดี งั นี้ 1.1 เทคนิคการแขํงขันระหวํางกลุํมด๎วยเกม (Team – Games – Tournament หรอื TGT) คอื การจดั กลํุมนกั เรยี นเป็นกลํมุ เลก็ ๆ กลุํมละ 4 คน ระดบั ความสามารถ ตํางกัน (Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเกํง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอํอน 1 คน ครูกําหนดบทเรียนและการทํางานของกลํุมเอาไว๎ ครูทําการสอนบทเรียนให๎นักเรียนท้ังช้ันแล๎วให๎กลํุม ทํางานตามที่กําหนด นักเรียนในกลุํมชํวยเหลือกัน เด็กเกํงชํวยและตรวจงานของเพ่ือนให๎ถูกต๎องกํอน นําสํงครู แล๎วจัดกลํุมใหมํเป็นกลุํมแขํงขันท่ีมีความสามารถเทํา ๆ กัน (Homogeneous tournament teams) มาแขงํ ขันตอบปัญหาซ่ึงจะมีการจัดกลํุมใหมํทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจากความสามารถของแตํ ละบุคคล คะแนนของกลํมุ จะไดจ๎ ากคะแนนของสมาชกิ ทเี่ ข๎าแขํงขันรํวมกับกลุํมอื่น ๆ รํวมกัน แล๎วมีการ มอบรางวัลใหแ๎ กํกลมุํ ที่ไดค๎ ะแนนสงู ถึงเกณฑ์ท่กี าํ หนดไว๎ 1.2 เทคนคิ การแบํงกลํมุ แบบกลํมุ สัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) คือ การจัดกลุํมเหมือน TGT แตํไมํมีการแขํงขัน โดยให๎นักเรียนทุกคนตําง คนตํางทําข๎อสอบ แล๎วนําคะแนนพัฒนาการ (คะแนนท่ีดีกวําเดิมในการสอบครั้งกํอน) ของแตํละคนมา รวมกันเป็นคะแนนกลํุม และมีการให๎รางวลั 1.3 เทคนิคการจัดกลุํมแบบชํวยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA) เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช๎สําหรับระดับประถมปีท่ี 3 – 6 วิธีนี้สมาชิกกลํุมมี 4 คน มีระดับความรู๎ตํางกัน ครูเรียกเด็กท่ีมีความร๎ูระดับเดียวกันของแตํละกลุํมมาสอนตามความยากงําย ของเนอื้ หา วธิ ีท่ีสอนจะแตกตาํ งกัน เดก็ กลับไปยังกลํุมของตน และตํางคนตํางทํางานท่ีได๎รับมอบหมาย แตํชํวยเหลือซึ่งกันและกนั มีการใหร๎ างวลั กลํมุ ที่ทําคะแนนได๎ดกี วาํ เดิม 1.4 เทคนคิ โปรแกรมการรวํ มมือในการอาํ นและเขียน (Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคน้ีใช๎สําหรับวิชา อําน เขียน และ ทกั ษะอ่ืน ๆ ทางภาษา สมาชิกในกลุํมมี 4 คน มีพ้ืนความร๎ูเทํากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เทํากัน แตํ 177

ตํางระดับความรู๎กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคํูที่มีความร๎ูระดับเทํากันจากกลํุมทุกกลุํมมาสอน ให๎กับเข๎า กลํุม แล๎วเรียกคูํตํอไปจากทุกกลํุมมาสอน คะแนนของกลํุมพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลํุม เปน็ รายบคุ คล 1.5 เทคนิคการตอํ ภาพ (Jigsaw) เทคนคิ นใี้ ชส๎ ําหรับนักเรยี นช้ันประถมปที ี่ 3 - 6 สมาชิกในกลมํุ มี 6 คน ความรู๎ตาํ งระดับกนั สมาชกิ แตลํ ะคนไปเรยี นรํวมกนั กบั สมาชิกของกลมํุ อ่นื ๆ ในหัวข๎อที่ตํางกนั ออกไป แล๎วทุกคนกลบั มากลํุมของตน สอนเพ่ือนในส่ิงท่ตี นไปเรยี นรํวมกบั สมาชิกของ กลมุํ อ่ืนๆ มา การประเมนิ ผลเป็นรายบุคคลแลว๎ รวมเป็นคะแนนของกลํุม 1.6 เทคนิคการตํอภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคน้ีสมาชกิ ในกลมุํ 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจเรยี นบทเรียนเดยี วกัน สมาชกิ แตลํ ะคนในกลํุมใหค๎ วามสนใจในหวั ข๎อยอํ ยของ บทเรียนตาํ งกัน ใครทสี่ นใจหัวขอ๎ เดียวกันจะไปประชุมกัน คน๎ ควา๎ และอภปิ ราย แล๎วกลับมาที่กลํมุ เดิม ของตนสอนเพื่อนในเร่ืองที่ตนเองไปประชมุ กับสมาชิกของกลุํมอน่ื มา ผลการสอบของแตํละคนเปน็ คะแนนของกลํุม กลุมํ ทท่ี าํ คะแนนรวมได๎ดกี วําครัง้ กํอน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะได๎รบั รางวัล ข้ันตอนการเรยี นมดี ังน้ี 1) ครแู บํงหวั ข๎อท่ีจะเรียนเป็นหัวข๎อยํอยๆใหเ๎ ทํากับจาํ นวนสมาชิกของแตลํ ะกลํุม 2) จัดกลมุํ นกั เรียนโดยให๎มีความสามารถคละกันภายในกลํุมเป็นกลุมํ บ๎าน (Home group) สมาชกิ แตํละคนในกลุมํ อํานเฉพาะหวั ข๎อยอํ ยที่ตนไดร๎ ับมอบหมายเทําน้นั โดยใช๎เวลา ตามที่ครูกําหนด 3) จากนน้ั นกั เรียนท่ีอํานหวั ข๎อยอํ ยเดียวกนั มานัง่ ด๎วยกนั เพอื่ ทาํ งาน ซกั ถาม และทํากิจกรรม ซึ่งเรียกวํากลํุมผ๎ูเชี่ยวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน รํวมมือกันอภิปราย หรือทาํ งานอยํางเทาํ เทียมกัน โดยใชเ๎ วลาตามที่ครกู าํ หนด 4) นักเรียนแตลํ ะคนในกลมํุ ผ๎เู ช่ียวชาญ กลับมายงั กลุํมบ๎าน (Home group) ของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให๎เพื่อนสมาชิกในกลุํมฟัง เร่ิมจากหัวข๎อยํอยที่ 1, 2, 3และ 4 เปน็ ต๎น 5) ทําการทดสอบหัวข๎อยํอย 1 – 4 กบั นกั เรียนท้ังห๎อง คะแนนของสมาชิก แตลํ ะคนในกลมํุ รวมเป็นคะแนนกลมํุ กลํมุ ท่ีไดค๎ ะแนนสูงสดุ จะได๎รบั การตดิ ประกาศ 1.7 เทคนคิ การตรวจสอบเปน็ กลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิก ในกลํุมมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบท่ีซบั ซ๎อน แตลํ ะกลํุมเลือกหัวข๎อเรือ่ งที่ต๎องการจะศึกษาค๎นคว๎า สมาชิก ในกลํุมแบํงงานกันทั้งกลํุมมีการวางแผนการดําเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานท่ีทํา การนาํ เสนอผลงานหรอื รายงานตอํ หน๎าชน้ั การให๎รางวัลหรอื ใหค๎ ะแนนเป็นกลมํุ 1.8 เทคนคิ การเรียนร่วมกัน (Learning Together) วธิ นี ส้ี มาชกิ ในกลมํุ มี 4 – 5 178

คน ระดับความร๎ูความสามารถตํางกัน ใช๎สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูทําการสอน ทัง้ ช้นั เดก็ แตํละกลํมุ ทาํ งานตามที่ครูมอบหมาย คะแนนของกลุมํ พจิ ารณาจากผลงานของกลุํม 1.9 เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือรว่ มกลมุ่ (Co – op – Co - op) ซง่ึ เทคนิคนี้ ประกอบด๎วยข้ันตอนตําง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนชํวยกันอภิปรายหัวข๎อท่ีจะศึกษา แบํงหัวข๎อใหญํเป็น หวั ขอ๎ ยํอย แลว๎ จดั นักเรียนเขา๎ กลมุํ ตามความสามารถทแ่ี ตกตํางกัน กลํุมเลือกหัวข๎อท่ีจะศึกษาตามความ สนใจของกลุมํ กลุํมแบํงหวั ข๎อยํอยออกเป็นหวั ข๎อเลก็ ๆ เพ่ือนักเรียนแตํละคนในกลํุมเลือกไปศึกษา และ มีการกําหนดบทบาทและหน๎าที่ของแตํละคนภายในกลํุม แล๎วนักเรียนเลือกศึกษาเร่ืองที่ตนเลือกและ นาํ เสนอตํอกลุํม กลมุํ รวบรวมหัวขอ๎ ตาํ ง ๆ จากนักเรียนทกุ คนภายในกลมํุ แล๎วรายงานผลงานตํอชั้นและ มีการประเมินผลงานของกลุํม เทคนิคท้งั 9 ดงั กลําวขา๎ งตน๎ น้ี สวํ นมากจะใช๎ตลอดคาบการเรยี นหรือตลอด กิจกรรมการเรียนในแตํละคาบ เรียกการเรียนแบบรํวมมือประเภทนี้วํา การเรียนแบบรํวมมืออยํางเป็น ทางการ (Formal cooperative Learning) แตํยังมีเทคนิคอ่ืน ๆ อีกจํานวนมากที่ไมํจําเป็นต๎องใช๎ ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนในแตํละคาบ อาจใช๎ในขั้นนํา สอดแทรกในขั้นสอนตอนใด ๆ ก็ได๎ หรอื ใช๎ในข้นั สรปุ หรือขนั้ ทบทวน หรือขั้นวดั ผล เรยี กการเรยี นแบบรํวมมือประเภทนี้วํา การเรียนแบบ รวํ มมอื อยาํ งไมเํ ปน็ ทางการ (Informal cooperative learning) ดงั น้ี 2. การเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เปน็ ทางการ มดี งั นี้ คาเกน (Kagan 1994 อ๎างใน พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์, 2541 : 43) ไดอ๎ อกแบบ เทคนิคการเรียนแบบรํวมมืออยํางไมํเป็นทางการไว๎ถึง 52 เทคนิค ในที่นี้จะขอแนะนําเทคนิคของการ เรียนแบบรํวมมือแบบไมํเป็นทางการจํานวน 9 เทคนิค ซึ่งเป็นเทคนิคท่ีกระทําได๎งํายจึงสะดวกที่จะ นาํ ไปใช๎ ดงั น้ี 2.1 การพูดเป็นคู่ (Rally Robin) เปน็ เทคนิคเปิดโอกาสให๎นกั เรยี นพูด ตอบ แสดงความคิดเห็นเป็นคูํ ๆ โดยเปิดโอกาสให๎สมาชิกทุกคนใช๎เวลาเทํา ๆ กัน หรือใกล๎เคียงกัน ตัวอยํางเชนํ กลํุมมีสมาชกิ 4 คน แบงํ เป็น 2 คูํ คํูหนึ่งประกอบด๎วยสมาชิกคนที่ 1 และคนท่ี 2 แตํ ละคูํจะพูดพร๎อมๆ กันไป โดย 1 พูด 2 ฟัง ในเวลาท่ีกําหนด จากนั้น 2 พูด 1 ฟัง ในเวลาที่ กําหนดเชนํ กนั 2.2 การเขยี นเป็นคู่ (Rally Table) เป็นเทคนคิ คล๎ายกับการพูดเป็นคูํ ทุก ประการตํางกันเพียงการเขียนเป็นคูํ เป็นการรํวมมือเป็นคูํ ๆ โดยผลัดกันเขียน หรือวาด (ใช๎อุปกรณ์ กระดาษ 2 แผํนและปากกา 2 ดา๎ มตอํ กลมุํ ) 2.3 การพดู รอบวง (Round Robin) เปน็ เทคนคิ ท่สี มาชิกของกลมุํ ผลดั กนั พดู 179

ตอบ เลาํ อธิบาย โดยไมใํ ช๎การเขียน การวาด และเป็นการพดู ท่ีผลดั กนั ทลี ะคนตามเวลาท่กี ําหนด จนครบ 4 คน 2.4 การเขยี นรอบวง (Roundtable) เป็นเทคนิคที่เหมือนกบั การพดู รอบวง แตกตํางกันที่เน๎นการเขียน การวาด (ใช๎อุปกรณ์ กระดาษ 1 แผํน และปากกา 1 ด๎ามตํอกลุํม) วิธีการคือ ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว๎ทีละคนตามเวลาท่ีกําหนด เทคนิคนี้อาจดัดแปลงให๎ สมาชิกทุกคนเขียนคําตอบ หรือบันทึกผลการคิดพร๎อม ๆ กันท้ัง 4 คน ตํางคนตํางเขียนในเวลาที่ กําหนด (ใช๎อปุ กรณ์ : กระดาษ 4 แผํน และปากกา 4 ด๎าม) เรียกเทคนิคน้ีวําการเขียนพร๎อมกันรอบวง (Simultaneous Roundtable) 2.5 การแก้ปญั หาด้วยการตอ่ ภาพ (Jigsaw Problem Solving) เป็นเทคนคิ ท่ี สมาชิกแตลํ ะคนคิดคาํ ตอบของตนเองไว๎จากนนั้ กลํุมนําคาํ ตอบของทุกๆ คนมารวํ มกันอภปิ ราย เพ่อื หา คําตอบทดี่ ที ีส่ ุด 2.6 คดิ เด่ยี ว คิดคู่ ร่วมกันคดิ (Think Pair Share) เป็นเทคนิคโดยเร่ิมจาก ปัญหาหรอื โจทยค์ าํ ถาม โดยสมาชกิ แตํละคนคิดหาคําตอบด๎วยตนเองกํอน แล๎วนําคําตอบไปอภิปรายกับ เพ่ือนเป็นคูํ จากน้ันจึงนําคําตอบของแตํละคํูมาอภิปรายพร๎อมกัน 4 คน เม่ือมั่นใจวําคําตอบของตน ถูกต๎องหรือดีท่ีสุด จงึ นําคําตอบเลาํ ใหเ๎ พ่ือนฟงั 2.7 อภิปรายเปน็ คู่ (Pair Discussion) เปน็ เทคนิคทเ่ี มอ่ื ครถู ามคาํ ถาม หรือ กาํ หนดโจทยแ์ ลว๎ ใหส๎ มาชกิ ที่น่ังใกล๎กันรวํ มกันคิด และอภิปรายเปน็ คํู 2.8 อภิปรายเป็นทีม (Team Discussion) เป็นเทคนิคทเ่ี ม่ือครูตง้ั คาํ ถามแล๎ว ให๎สมาชิกของกลุมํ ทุก ๆ คน รํวมกันคดิ พูด อภปิ รายพรอ๎ มกนั 2.9 ทาเป็นกลุ่ม ทาเป็นคู่ และทาคนเดียว (Team - pair - Solo) เป็นเทคนิคที่ เมื่อครูกําหนดปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให๎ทํา แล๎วสมาชิกจะทํางานรํวมกันทั้งกลํุมจนงานแล๎วเสร็จ จากนั้นจะแบํงสมาชิกเป็นคูํให๎ทํางานรํวมกันเป็นคํูจนงานสําเร็จแล๎วถึงขั้นสุดท๎าย ให๎สมาชิกแตํละ คนทาํ งานคนเดยี วจนสาํ เร็จ การเรียนแบบรํวมมือกําลังได๎รับความสนใจในหมํูนักการศึกษา ครู อาจารย์ ใน ปัจจุบันเป็นอยํางยิ่ง การเรียนแบบรํวมมือมีทั้งเทคนิคที่นํามาใช๎ได๎โดยตรงโดยไมํต๎องปรับและเทคนิคท่ี ต๎องปรับเพื่อให๎เหมาะสมกับผ๎ูเรียนและเนื้อหาวิชา อยํางไรก็ตาม การเรียนแบบรํวมมือก็นับเป็นวิธีการ สอนอยาํ งหน่งึ ท่ชี วํ ยสํงเสริมใหน๎ กั เรยี นเรยี นรู๎ด๎วยตนเองได๎เป็นอยํางดี รูปแบบการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ ไสว ฟกั ขาว ( 2544 : 195 - 217) กลาํ วถงึ รูปแบบการเรียนรแ๎ู บบรํวมมอื ที่นยิ มใช๎ใน ปจั จุบัน มี 7 รูปแบบ ดงั นี้ 180

1. รปู แบบ Jigsaw เปน็ การสอนทอ่ี าศยั แนวคดิ การตํอภาพ ผ๎ูเสนอวิธีการนคี้ นแรก คอื อารอนสนั และคณะ (Aronson and Ohters, 1978 : 22 - 25) ตอํ มามีการปรบั และเพ่ิมเติม ขน้ั ตอน แตํวธิ กี ารหลักยงั คงเดิม การสอนแบบน้ีนักเรียนแตลํ ะคนจะได๎ศกึ ษาเพยี งสวํ นหน่งึ หรอื หวั ขอ๎ ยํอย ของเน้ือหาทง้ั หมด โดยการศกึ ษาเร่ืองนัน้ ๆ จากเอกสารหรอื กจิ กรรมท่ีครจู ดั ให๎ ในตอนที่ศึกษา หัวขอ๎ ยอํ ยนนั้ นกั เรียนจะทํางานเป็นกลุมํ กบั เพ่ือนท่ีได๎รับมอบหมายให๎ศึกษาหัวข๎อยอํ ยเดยี วกนั และ เตรยี มพร๎อมทจี่ ะกลบั ไปอธิบายหรือสอนเพือ่ นสมาชกิ ในกลมํุ พนื้ ฐานของตนเอง Jigsaw มีองคป์ ระกอบทส่ี ําคัญ 3 สวํ น คือ 1) การเตรียมส่ือการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครสู ร๎างใบงาน ใหผ๎ เ๎ู ชี่ยวชาญแตํละคนของกลมุํ และสรา๎ งแบบทดสอบยอํ ยในแตํละหนํวยการเรียน แตํถ๎ามหี นังสอื เรยี น อยแํู ล๎วยง่ิ ทาํ ใหง๎ ํายข้ึนได๎ โดยแบํงเนือ้ หาในแตํละหัวข๎อเรื่องทีจ่ ะสอนเพ่อื ทาํ ใบงานสําหรับผ๎ูเช่ียวชาญ ในใบงานควรบอกวาํ นกั เรยี นต๎องทําอะไร เชํน ใหอ๎ าํ นหนังสือหนา๎ อะไร อํานหวั ข๎ออะไร จากหนังสอื หนา๎ ไหนถึงหน๎าไหน หรอื ให๎ดวู ดี ที ศั น์ หรอื ใหล๎ งมือปฏิบัติการทดลองพร๎อมกับคําถามใหต๎ อบตอนทา๎ ย ของกจิ กรรมที่ทาํ ดว๎ ย 2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เช่ียวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะแบํงนักเรียนออกเป็นกลํุม ๆ (Home Groups) แตํละกลุํมจะมีผ๎ูเช่ียวชาญในแตํละ เรื่องตามใบงานที่ครูสร๎างข้ึน ครูแจกใบงานให๎ผ๎ูเช่ียวชาญแตํละคนในกลํุม และให๎ผู๎เชี่ยวชาญแตํละคน ศึกษาใบงานของตนกํอนที่จะแยกไปตามกลํุมของผู๎เช่ียวชาญ (Expert Groups) เพ่ือทํางานตามใบงาน นั้น ๆ เมื่อนักเรียนพร๎อมท่ีจะทํากิจกรรม ครูแยกกลุํมนักเรียนใหมํตามใบงาน กิจกรรมในกลํุม ผเ๎ู ชี่ยวชาญแตลํ ะกลํมุ อาจแตกตาํ งกัน ครูพยายามกระต๎ุนให๎นักเรียนศึกษาหัวข๎อตามใบงานที่แตกตํางกัน ดังน้ันใบงานท่คี รสู ร๎างขน้ึ จึงมีความสําคัญมาก เพราะในใบงานจะนําเสนอด๎วยกิจกรรมที่แตกตํางกัน ซ่ึง ผ๎ูเช่ียวชาญในแตํละกลํุมอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเก่ียวกับสิ่งท่ีได๎รับมอบหมาย พร๎อมกับ เตรียมการนําเสนอส่ิงน้ันอยํางสั้น ๆ เพ่ือวําเขาจะได๎นํากลับไปสอนสมาชิกคนอ่ืนๆ ในกลุํมท่ีไมํได๎ศึกษา ในหวั ข๎อดงั กลําว 3) การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เม่ือกลุํม ผู๎เชี่ยวชาญแตํละกลํุมทํางานเสร็จแล๎ว ผู๎เชี่ยวชาญแตํละคนก็จะกลับไปยังกลํุมเดิมของตัวเอง (Home Group) แลว๎ สอนเร่ืองที่ตัวเองทําให๎กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุํมครู กระตุ๎นให๎นักเรียนใช๎วิธีการ ตําง ๆ ในการนําเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช๎วิธีการสาธิต อํานรายงาน ใช๎คอมพิวเตอร์ รูปถําย ไดอะแกรม แผนภมู ิหรอื ภาพวาดในการนาํ เสนอความคดิ เหน็ ครกู ระตุน๎ ให๎สมาชิกในกลุํมได๎มีการอภิปราย และซักถามปัญหาตําง ๆ โดยที่สมาชิกแตํละคนต๎องมีความรับผิดชอบในการเรียนร๎ูแตํละเรื่อง ท่ี ผเ๎ู ชีย่ วชาญแตํละคนนําเสนอ เมือ่ ผ๎เู ชย่ี วชาญไดร๎ ายงานผลงานกบั กลํุมของตวั เองแล๎ว ควรมกี ารอภปิ ราย 181

ผเ๎ู ช่ียวชาญแตํละคนได๎ศกึ ษา หลังจากนน้ั ครกู ็ทาํ การทดสอบยอํ ย เกณฑก์ ารประเมินการใหค๎ ะแนน เหมือนกบั วิธกี ารของ STAD วิธกี ารของ Jigsaw จะดกี วํา STAD ตรงทว่ี าํ เป็นการฝึกใหน๎ ักเรยี นแตลํ ะคนมี ความรับผิดชอบในการเรยี นมากข้นึ และนักเรยี นยงั รับผิดชอบกบั การสอนสมาชิกคนอ่ืน ๆ ของกลํมุ อีก ดว๎ ย นกั เรียนไมํวาํ จะมคี วามสามารถมากนอ๎ ยแคํไหนจะต๎องรบั ผดิ ชอบเหมือน ๆ กนั ถึงแม๎วาํ ความลกึ ความกว๎างหรอื คุณภาพของรายงานจะแตกตาํ งกนั กต็ าม ข้นั ตอนการสอนแบบ Jigsaw มดี งั นี้ ขั้นท่ี 1 : ครูแบํงหวั ข๎อท่ีจะเรยี นเป็นหัวข๎อยอํ ยเทาํ จาํ นวนสมาชิกของแตลํ ะ กลมํุ ถา๎ กลุมํ ขนาด 3 คน ให๎แบงํ เนอ้ื หาออกเป็น 3 สวํ น ขน้ั ที่ 2 : จดั กลํุมนักเรยี นใหม๎ ีสมาชิกทม่ี ีความสามารถคละกัน เปน็ กลํมุ พ้ืนฐานหรือ Home Groups จํานวนสมาชิกในกลุํมอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได๎ จากน้ันแจกเอกสาร หรืออุปกรณ์การสอนให๎กลุํมละ 1 ชุด หรือให๎คนละชุดก็ได๎กําหนดให๎สมาชิกแตํละคนรับผิดชอบอําน เอกสารเพยี ง 1 สํวนทีไ่ ด๎รบั มอบหมายเทาํ นัน้ หากแตํละกลุํมได๎รับเอกสารเพียงชุดเดียว ให๎นกั เรยี นแยกเอกสารออกเปน็ สวํ น ๆ ตามหัวขอ๎ ยอํ ยดังน้ี ใ น แ ตํ ล ะ ก ลํุ ม นั ก เ รี ย น ค น ที่ 1 จ ะ อํ า น เ ฉ พ า ะ หั ว ข๎ อ ยํ อ ย ท่ี 1 นกั เรียนคนท่ี 2 จะอาํ นเฉพาะหวั ข๎อยอํ ยท่ี 2 นกั เรยี นคนท่ี 3 จะอํานเฉพาะหวั ข๎อยอํ ยท่ี 3 ข้นั ท่ี 3 : เปน็ การศกึ ษาในกลุํมผ๎ูเชีย่ วชาญ (Expert Groups) นกั เรียนจะ แยกย๎ายจากกลุํมพ้ืนฐาน ไปจับกลุํมใหมํเพื่อทําการศึกษาเอกสารสํวนท่ีได๎รับมอบหมาย โดยคนท่ีได๎รับ มอบหมายให๎ศึกษาเอกสารหัวข๎อยํอยเดียวกัน จะไปน่ังเป็นกลํุมด๎วยกัน กลุํมละ 3 หรือ 4 คน แล๎วแตํ จํานวนสมาชิกของกลํุมที่ครูกําหนดในกลํุมผ๎ูเชี่ยวชาญ สมาชิกจะอํานเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดลาํ ดับข้ันตอน การนําเสนอ เพื่อเตรยี มทุกคนใหพ๎ รอ๎ มท่ีจะไปสอนหัวข๎อนน้ั ท่ีกลมุํ เดิมของตนเอง ขนั้ ท่ี 4 : นกั เรยี นแตลํ ะคนในกลํมุ ผเู๎ ชีย่ วชาญกลับกลํุมเดิมของตน แลว๎ ผลัด เปล่ียนเวียนกนั อธบิ ายใหเ๎ พ่ือนในกลุํมฟังทลี ะหัวขอ๎ มกี ารซักถามข๎อสงสัย ตอบปญั หา ทบทวนให๎เข๎าใจ ชัดเจน ข้ันที่ 5 : นกั เรยี นแตํละคนทาํ แบบทดสอบเกี่ยวกบั เนอื้ หาทงั้ หมดทุกหัวข๎อ แล๎วนาํ คะแนนของสมาชกิ แตลํ ะคนในกลํุมมารวมกันเป็นคะแนนกลุํม ขั้นท่ี 6 : กลํุมที่ได๎คะแนนสูงสุด จะได๎รับรางวัล หรือการชมเชยการสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจนําไปใช๎ในการทบทวนเนื้อหาท่ีมีหลาย ๆ หัวข๎อหรือใช๎กับบทเรียนท่ีเนื้อหา แบงํ แยกเป็นสวํ น ๆ ได๎ และเป็นเนื้อหาที่นักเรยี นศกึ ษาจากเอกสารและสือ่ การสอนได๎ 182

2. รปู แบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) (8. : 208-211) สลาวิน (Slavin : 1980) ได๎เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams Learning Method) ซึ่งมี 4 รูปแบบ คือ student Teams – Achievement Divisions (STAD) และ Teams – Games – Toumaments (TGT) ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีสามารถปรับใช๎กับทุกวิชาและ ระดับชั้น Team Assisted Individualization (TAI) เป็นรูปแบบที่เหมาะกับการสอนวิชา คณิตศาสตร์ และ Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) ซ่ึงเป็นรูปแบบ ในการสอนอํานและการเขยี น หลักการพ้ืนฐานของรปู แบบการเรียนแบบเป็นทมี ของสลาวนิ ประกอบดว๎ ย 1 .การใหร๎ างวลั เป็นทมี (Team Rewards) ซ่ึงเป็นวธิ กี ารหน่งึ ในการวางเง่ือนไขให๎ นักเรียนพึง่ พากัน จดั วําเป็น Positive Interdependence 2. การจดั สภาพการณ์ให๎เกิดความรับผดิ ชอบในสวํ นบุคคลที่จะเรียนรู๎ (Individual Accountability) ความสําเร็จของทีมหรือกลุมํ อยํูทกี่ ารเรียนรู๎ของสมาชิกแตํละคนในทีม 3. การจดั ให๎มีโอกาสเทาํ เทยี มกันทีจ่ ะประสบความสําเรจ็ (Equal Opportunities For Success) นักเรียนมสี วํ นชํวยใหท๎ มี ประสบความสาํ เร็จดว๎ ยการพยายามทําผลงานให๎ดีขึ้นกวําเดมิ ในรปู ของคะแนนปรบั ปรงุ ดังนน้ั แมแ๎ ตคํ นทเี่ รยี นอํอนก็สามารถมีสวํ นชํวยทมี ได๎ ดว๎ ยการพยายามทําคะแนน ใหด๎ กี วาํ ครั้งกอํ น ๆ นกั เรียนทัง้ เกํง ปานกลาง และออํ น ตาํ งไดร๎ ับการสงํ เสริมใหต๎ ้ังใจเรยี นให๎ดที ่สี ดุ ผลงานของทุกคนในทมี มคี ําภายใตร๎ ปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนแบบนี้ สําหรบั รูปแบบ STAD เปน็ รูปแบบหน่ึงท่ี สลาวิน (Slavin) ได๎เสนอไว๎ เมื่อปี ค.ศ. 1980 นน้ั มีองค์ประกอบที่สําคญั 5 ประการ คือ องค์ประกอบที่สาคัญ 5 ประการ คือ 1. การนําเสนอสงิ่ ท่ตี ๎องเรียน (Class Presentation) ครูเป็นผ๎นู ําเสนอส่ิงท่ีนักเรียนต๎อง เรียน ไมํวําจะเป็นมโนมติ ทักษะและ/หรือกระบวนการ การนําเสนอส่ิงที่ต๎องเรียนน้ีอาจใช๎การบรรยาย การสาธิตประกอบการบรรยาย การใช๎วีดีทัศน์หรือแม๎แตํการให๎นักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตาม หนงั สอื เรยี น 2. การทํางานเป็นกลุํม (Teams) ครูจะแบํงนักเรียนออกเป็นกลํุม ๆ แตํละกลํุมจะ ประกอบด๎วยนักเรียนประมาณ 4 – 5 คน ท่ีมีความสามารถแตกตํางกัน มีท้ังเพศหญิงและเพศชาย และมีหลายเช้ือชาติ ครูต๎องช้ีแจงให๎นักเรียนในกลุํมได๎ทราบถึงหน๎าท่ีของสมาชิกในกลํุมวํานักเรียนต๎อง ชํวยเหลือกัน เรียนรํวมกัน อภิปรายปัญหารํวมกัน ตรวจสอบคําตอบของงานที่ได๎รับมอบหมายและ แก๎ไขคําตอบรํวมกัน สมาชิกทุกคนในกลํุมต๎องทํางานให๎ดีท่ีสุดเพ่ือให๎เกิดการเรียนร๎ู ให๎กําลังใจและ ทาํ งานรํวมกนั ได๎ 183

3. การทดสอบยํอย (Quizzes) หลังจากทีน่ กั เรียนแตลํ ะกลุมํ ทาํ งานเสร็จ เรยี บรอ๎ ยแล๎ว ครูก็ทําการทดสอบยํอยนักเรียน โดยนักเรียนตํางคนตาํ งทาํ เพื่อเป็นการประเมินความรู๎ท่ี นักเรยี นไดเ๎ รียนมา ส่งิ นจี้ ะเปน็ ตวั กระตุน๎ ความรับผิดชอบของนักเรยี น 4. คะแนนพฒั นาการของนักเรียนแตลํ ะคน (Individual Improvement Score) คะแนนพัฒนาการของนักเรียนจะเป็นตัวกระตนุ๎ ให๎นกั เรียนทํางานหนักขึ้น ในการทดสอบแตํละคร้ังครูจะ มคี ะแนนฐาน (Base Score) ซง่ึ เป็นคะแนนตา่ํ สุดของนักเรียนในการทดสอบยํอยแตํละคร้ัง ซ่ึงคะแนน พัฒนาการของนักเรียนแตํละคนได๎จากความแตกตํางระหวํางคะแนนพ้ืนฐาน (คะแนนตํ่าสุดในการ ทดสอบ) กับคะแนนท่ีนักเรียนสอบได๎ในการทดสอบยํอยน้ัน ๆ สํวนคะแนนของกลํุม (Team Score) ได๎จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรยี นทุกคนในกลุํมเขา๎ ด๎วยกนั 5. การรบั รองผลงานของกลมํุ (Team Recognition) โดยการประกาศคะแนน ของกลํุมแตํละกลุํมให๎ทราบ พร๎อมกับให๎คําชมเชย หรือให๎ประกาศนียบัตรหรือให๎รางวัลกับกลุํมที่มี คะแนนพัฒนาการของกลุํมสูงสุด โปรดจําไว๎วํา คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแตํละคนมีความสําคัญ เทําเทยี มกบั คะแนนท่ีนกั เรียนแตํละคนได๎รบั จากการทดสอบ สําหรบั ขั้นตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน เปน็ ดงั นี้ ขั้นท่ี 1 : ข้ันสอน ครดู ําเนินการสอนเนื้อหา ทักษะหรือวธิ ีการเกี่ยวกับบทเรียนน้ัน ๆ อาจเป็นกิจกรรมทคี่ รบู รรยาย สาธิต ใชส๎ ื่อประกอบการสอน หรอื ใหน๎ กั เรียนทาํ กิจกรรม ขั้นที่ 2 : ข้นั ทบทวนความร๎เู ปน็ กลมํุ แตํละกลุํมประกอบดว๎ ยสมาชิก 4 – 5 คน ท่ีมีความสามารถทางการเรียนตํางกัน สมาชิกในกลุํมต๎องมีความเข๎าใจกัน สมาชิกทุกคนจะต๎องทํางาน รํวมกันเพื่อชํวยเหลือกันและกันในการศึกษาเอกสารและทบทวนความร๎ูเพ่ือเตรียมพร๎อมสําหรับการสอบ ยํอย ครูเนน๎ ให๎นกั เรยี นทาํ ดงั นี้ ขน้ั ที่ 3 : ขน้ั ทดสอบยอํ ย ครจู ัดให๎นักเรียนทาํ แบบทดสอบยํอย หลังจากนกั เรยี น เรียนและทบทวนเปน็ กลํุมเก่ียวกบั เรื่องทก่ี ําหนด นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบคนเดยี ว ขน้ั ท่ี 4 : ขัน้ หาคะแนนพฒั นาการ คะแนนพฒั นาการเป็นคะแนนทไ่ี ดจ๎ ากการ พิจารณาความแตกตํางระหวํางคะแนนการทดสอบครั้งกํอน ๆ กับคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบัน ซึ่งมี เกณฑ์การใหค๎ ะแนนกําหนดไว๎ ดังนั้น จะต๎องมีการกําหนดคะแนนฐานของนักเรียนแตํละคน ซึ่งอาจได๎ จากคําเฉลี่ยของคะแนนทดสอบ 3 คร้ังกํอน หรืออาจใช๎คะแนนทดสอบครั้งกํอนหากเป็นการหาคะแนน ปรับปรุงโดยใช๎รูปแบบการสอน STAD เปน็ คร้ังแรก ขั้นที่ 5 : ขัน้ ให๎รางวลั กลมํุ กลํมุ ที่ไดค๎ ะแนนพัฒนาการตามเกณฑท์ ่ีกาํ หนดจะ ไดร๎ บั คาํ ชมเชยหรอื ติดประกาศท่ีบอรด์ ในห๎องเรียน การจัดกิจกรรมรูปแบบ STAD อาจนําไปใช๎กับบทเรียนใด ๆ ก็ได๎ เนื่องจากขั้นแรกเป็นการสอนที่ครู ดําเนนิ การตามปกติ แลว๎ จึงจัดใหม๎ กี ารทบทวนเป็นกลํุม 184

3. รปู แบบ LT (Learning Together) รปู แบบ LT (Learning Together) นี้ จอหน์ สนั และจอหน์ สนั (Johnson and Johnson) เป็นผ๎ูเสนอในปี ค.ศ. 1975 ตอํ มาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนว้ี ํา วงกลมการเรียนรู๎ (Circles of Learning) รปู แบบนีม้ ีการกําหนดสถานการณ์และเงื่อนไขใหน๎ ักเรียนทาํ ผลงานเปน็ กลุมํ ให๎นกั เรียนแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ และแบงํ ปนั เอกสาร การแบงํ งานท่ีเหมาะสม และการให๎รางวลั กลํุม ซงึ่ จอห์นสนั และจอหน์ สันได๎เสนอหลักการจดั กจิ กรรมการเรยี นแบบรํวมมือไวว๎ ํา การจดั กิจกรรมการเรียน แบบรํวมมือตามรปู แบบ LT จะตอ๎ งมอี งคป์ ระกอบดังนี้ 1. สร๎างความรู๎สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให๎เกิดขึ้นในกลุํม นักเรียน ซึง่ อาจทาํ ไดห๎ ลายวธิ ี 2. จดั ใหม๎ ีปฏสิ มั พันธ์ระหวาํ งนกั เรยี น (Face – To – Face Interaction) ให๎นักเรยี นทํางานดว๎ ยกนั ภายใต๎บรรยากาศของความชวํ ยเหลือและสํงเสรมิ กนั 3. จัดให๎มคี วามรับผดิ ชอบในสํวนบคุ คลท่ีจะเรยี นร๎ู (Individual Accountability) เปน็ การทําใหน๎ กั เรียนแตลํ ะคนต้ังใจเรียนและชํวยกนั ทาํ งาน ไมกํ นิ แรงเพื่อน 4. ใหค๎ วามรเู๎ กี่ยวกบั ทกั ษะสังคม(Social Skills) การทํางานรวํ มกบั ผอู๎ ่ืนไดอ๎ ยาํ งดี นักเรียนต๎องมีทักษะทางสังคมท่ีจําเป็น ได๎แกํ ความเป็นผู๎นํา การตัดสินใจ การสร๎าง ความไว๎ใจ การส่อื สาร และทักษะการจดั การกับขอ๎ ขัดแยง๎ อยาํ งสรา๎ งสรรค์ 5. จัดใหม๎ กี ระบวนการกลมํุ (Group Processing) เปน็ การเปิดโอกาสให๎ นกั เรียนประเมินการทํางานของสมาชิกในกลุํม ให๎กําลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทํางาน กลมํุ ให๎ดขี น้ึ จากหลกั การดงั กลําวทําให๎ไดร๎ ูปแบบการเรยี นรร๎ู วํ มกัน หรอื Learning Together ทน่ี ักเรยี นทํางานเปน็ กลุํมเพอ่ื ให๎ได๎ผลงานกลํุม ในขณะทํางานนักเรียนชํวยกันคิดและชํวยกันตอบคําถาม พยายามทําให๎สมาชิกทุกคนมีสํวนรํวมและทุกคนเข๎าใจท่ีมาของคําตอบ ให๎นักเรียนขอความชํวยเหลือ จากเพ่ือนกํอนท่ีจะถามครู และครูชมเชยหรือใหร๎ างวลั กลํมุ ตามผลงานของกลุมํ เปน็ หลัก ข้นั ตอนการจดั การเรยี นการสอนแบบ LT 1. ครูและนักเรียนทบทวนเน้อื หาเดิม หรอื ความร๎พู น้ื ฐานทีเ่ ก่ยี วข๎อง 2. ครแู จกแบบฝึกหรืองานให๎ทุกกลํุม กลํุมละ 1 ชุดเหมือนเดิม นักเรียนชํวยทํางาน โดยแบงํ หน๎าท่ีแตํละคน เชํน นักเรยี นคนที่ 1 อํานคาํ แนะนํา คําสั่งหรอื โจทย์ในการดําเนินงาน นักเรียนคนท่ี 2 ฟงั ขั้นตอนและรวบรวมข๎อมูล นักเรียนคนท่ี 3 อํานส่งิ ที่โจทย์ต๎องการทราบแลว๎ หาคําตอบ นกั เรียนคนที่ 4 ตรวจคําตอบ 185

เม่ือนักเรียนทําแตํละข๎อหรอื แตํละสวํ นเสร็จแลว๎ ให๎นกั เรียนหมุนเวียนเปลยี่ นหนา๎ ท่ี กันในการทําโจทยข์ ๎อถดั ไปทกุ คร้งั จนเสร็จแบบฝึกทั้งหมด 3. แตลํ ะกลุมํ สํงกระดาษคาํ ตอบหรอื ผลงานเพยี งชุดเดียว ถอื วําเปน็ ผลงานท่ี สมาชกิ ทุคนยอมรบั และเขา๎ ใจแบบฝกึ หรอื การทํางานชน้ิ น้แี ลว๎ 4. ตรวจคาํ ตอบหือผลงานให๎คะแนนดว๎ ยกลมุํ เองหรือครกู ็ได๎ กลมํุ ท่ีได๎คะแนน สงู สุดจะได๎รางวัลหรอื ตดิ ประกาศไวใ๎ นบอร์ด 4. รปู แบบ TAI (Team Assisted Individualization) TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนท่ีผสมผสานระหวําง การเรียนแบบรํวมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข๎าด๎วยกัน โดยให๎ผู๎เรียนได๎ลงมือทํากิจกรรมในการเรียนได๎ด๎วยตนเองตามความสามารถ ของตนและสํงเสริมความรวํ มมอื ภายในกลํุม มกี ารแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนร๎ูและปฏิสัมพันธ์ทาง สังคม ข้นั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 1. จดั นกั เรียนเปน็ กลํุม กลํมุ ละ 4–5 คน ประกอบด๎วยนกั เรียนเกํง ปานกลาง และออํ น 2. ทดสอบจดั ระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได๎ 3. นกั เรยี นศกึ ษาเอกสารแนะนําบทเรียน ทํากจิ กรรมจากสื่อท่ีไดร๎ บั จบแลว๎ สงํ ใหเ๎ พือ่ น ในกลํุม 4. เมือ่ นกั เรยี นทําแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได๎เรยี นจบแล๎ว 5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments) การจัดการเรียนการสอนแบบรวํ มมือตามรปู แบบ TGT เปน็ การเรียนแบบรวํ มมอื กนั แขงํ ขนั ทาํ กิจกรรม โดยมีขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมดงั นี้ ข้ันที่ 1 : ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล๎วครั้งกํอน ด๎วยการซักถามและอธิบาย ตอบข๎อสงสยั ของนกั เรียน ขน้ั ท่ี 2 : จัดกลํุมแบบคละกนั (Home Team) กลุํม 3 – 4 คน ขน้ั ที่ 3 : แตลํ ะทีมศกึ ษาหัวขอ๎ ท่เี รียนในวันน้จี ากแบบฝึก นักเรยี นแตลํ ะคนทาํ หน๎าที่ และปฏิบัติตามกติกาของ Cooperative Learning เชํน เป็นผ๎ู จดบันทึก ผู๎คํานวณ ผู๎สนับสนุนเมื่อ สมาชกิ ทุกคน เขา๎ ใจและสามารถทาํ แบบฝึกหัดได๎ ถูกต๎องทกุ ขอ๎ ทมี จะเร่มิ ทําการแขํงขนั ตอบปญั หา ข้ันที่ 4 : การแขงํ ขนั ตอบปัญหา (Academic Games Tournament) ขั้นที่ 5 : นักเรยี นกลบั มาสํเู ดมิ (Home Team) รวมแตม๎ โบนสั ของทุกคน ทีมใดที่ 186

มีแตม๎ โบนัสสงู สดุ จะใหร๎ างวัลหรอื ติดประกาศไวใ๎ นมุมขําวของห๎อง 6. รูปแบบ GI (Group Investigation) GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ เป็นรูปแบบการเรยี น แบบรํวมมือท่ีมีความซับซ๎อนและกว๎างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต๎องการปลูกฝังการรํวมมือกัน อยํางมปี ระชาธปิ ไตย มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เทําเทียมกันของสมาชิก ในกลุํม GI มีการกระต๎นุ บทบาทท่ีแตกตาํ งกนั ทงั้ ภายในกลุํมและระหวาํ งกลํุม แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน 1. นักเรียนแตํละคนจะได๎แสดงความสามารถของตน ในการแสวงหาความร๎ู 2. นักเรยี นแตลํ ะคน ต๎องถํายทอดความร๎ูหรือวิธีการทาํ งานให๎เพอ่ื นนักเรียน เขา๎ ใจดว๎ ย 3. ทุกคนต๎องรํวมแสดงความคิดเห็นอภปิ รายซกั ถามจนเข๎าใจในทกุ เร่อื ง (หรอื ทุกงาน) 4. ทกุ คนต๎องรวํ มมือกันสรุปความเขา๎ ใจท่ีได๎ (สูตรหรือความสัมพันธห์ รือผลงาน) นาํ สํงอาจารย์เพียง 1 ฉบับเทํานั้น 5. เหมาะกับการสอนความร๎ทู สี่ ามารถแยกเปน็ อิสระได๎เปน็ สํวน ๆ หรอื แยกทาํ ได๎ หลายวิธี หรือการทบทวนเร่ืองใดที่แบงํ เปน็ เร่ืองยํอย ๆ ได๎ หรอื การทํางานที่แยกออกเป็นช้นิ ๆ ได๎ GI มอี งค์ประกอบอยูํด๎วยกัน 6 ประการ คือ 1. การเลอื กหัวข๎อเรื่องที่จะศกึ ษา (Topic Selection) นักเรียนเลอื กหวั ข๎อท่ี เ ฉ พ า ะ เ จ า ะ จ ง ข อ ง ปั ญ ห า ท่ี เ ลื อ ก แ ล๎ ว ก ลุํ ม จ ะ แ บํ ง ภ า ร ะ ง า น อ อ ก เ ป็ น ง า น ยํ อ ย ๆ ทีม่ สี มาชิก 2 – 5 คน รวํ มกันทํางาน 2. การวางแผนรํวมมือกนั ในการทํางาน (Cooperative Planning) ครแู ละ นักเรียนวางแผนรํวมกันในวิธีดําเนินการ ภาระงานท่ีทํา และเปูาหมายของงานในแตํละหัวข๎อยํอยตาม ปัญหาท่ีเลือก 3. การดาํ เนินงานตามแผนการทวี่ างไว๎ (Implementation) นักเรยี นดําเนินงาน ตามแผนการท่ีวางไว๎ในขั้นท่ี 2 กิจกรรมและทักษะตําง ๆ ท่ีนักเรียนจะต๎องศึกษาควรมาจากแหลํงข๎อมูล ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน ครูจะให๎คําปรึกษากับกลํุมพร๎อมกับติดตามความก๎าวหน๎าในการทํางาน ของนกั เรยี นและชวํ ยเหลือนักเรียนเม่อื เขาตอ๎ งการความชํวยเหลือ 4. การวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์งานทีท่ ํา (Analysis and Synthesis) นักเรยี น วิเคราะห์และประเมินข๎อมูลท่ีเขารวบรวมได๎ในขั้นที่ 3 และวางแผนหรือลงข๎อสรุปในรูปแบบท่ีนําสนใจ เพอื่ นําเสนอตอํ ชัน้ เรียน 5. การนําเสนอผลงาน (Presentation of Final Report) กลํมุ นําเสนอผลงาน 187

ตามหัวข๎อเรื่องที่เลือก ครูต๎องพยายามให๎นักเรียนทุกคนได๎มีสํวนรํวมขณะที่มีการนําเสนอผลงานหน๎าช้ัน เรยี น เพอื่ เป็นการขยายความคิดของตวั นกั เรียนเองให๎กว๎างไกล โดยเฉพาะในหัวขอ๎ เร่ืองที่กลุํมไมํได๎ศึกษา ครจู ะทาํ หนา๎ ทีเ่ ป็นผ๎ปู ระสานงานในระหวาํ งการเสนผลงาน 6. การประเมนิ ผล (Evaluation) ครูและนักเรยี นจะรวํ มกนั ประเมินผลงานทีถ่ ูกนํา เสนอ พร๎อมทั้งแสดงความคิดเห็นท่ีมีตํอผลงานทุกช้ิน การประเมินผลอาจรวมท้ังการประเมินเป็น รายบุคคลและเปน็ กลํุม GI เป็นการเรียนแบบรํวมมอื ท่มี อบหมายความรบั ผิดชอบอยํางสูงใหก๎ ับนักเรยี น ในการทจ่ี ะบํงชวี้ าํ เรียนอะไรและเรยี นอยาํ งไร ในการรวบรวมข๎อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ ศึกษา โดยเนน๎ การสื่อความหมายและการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ของกนั และกนั ในการทํางาน 7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) CIRC คือ โปรแกรมสําหรับสอนการอําน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) ใช๎กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน๎นท่ีหลักสูตรและวิธีการสอน ในการพยายาม นําการเรียนร๎ูแบบรํวมมือมาใช๎ โปรแกรม CIRC พัฒนาข้ึนโดย Madden, Slavin และ Stevens ในปี 1986 นับวําเป็นโปรแกรมท่ีใหมํท่ีสุดของวิธีการเรียนรู๎เป็นทีม ซ่ึงเป็นโปรแกรมการเรียนแบบ รํวมมอื ทีน่ าํ สนใจยิง่ เนอื่ งจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นําการเรียนแบบรํวมมือมาใช๎กับการอําน และการเขียนโครงการ CIRC – Writing/Language Arts สําหรับการเขยี น วธิ กี ารทใ่ี ชข๎ ึน้ อยูกํ ับรูปแบบ กระบวนการเขียน ซ่ึงใช๎รูปแบบทีมเหมือนกับโปรกรม CIRC สําหรับการอําน วิธีการน้ีนักเรียนทํางาน รํวมกันเพื่อวางแผน (plan) รํางต๎นฉบับ (draft) ทบทวนแก๎ไข (revise) รวบรวมและลําดับเร่ือง (edit) และพมิ พห์ รือแสดงผลงาน (publish) เรือ่ งท่ีแตงํ ออกมา โดยครูเป็นผ๎ูเสนอเนื้อหาเพียงเล็กน๎อย เกยี่ วกับแนวทางเนือ้ หา และกลวิธีของการเขียน CIRC สาํ หรบั การอํานและการเขียนนน้ั โดยปกติแลว๎ จะใชค๎ วบคํไู ปดว๎ ยกนั แตํ กระน้ันกส็ ามารถใช๎โปรแกรมน้แี ยกในการสอนอําน หรอื สอนการเขียนเพยี งอยํางใดอยาํ งหนึง่ ได๎ โปรแกรมการเรยี นแบบรํวมมือ มลี ักษณะกจิ กรรมโดยรวมดงั นีค้ ือ 1. การสอนเริม่ ต๎นจากครูเสมอ (Teacher Instruction) 2. การฝกึ ปฏบิ ัติภายในทีม (Team Practice) นักเรยี นทํางานในกลมุํ ซ่งึ มีสมาชิก 4 – 5 คน โดยมีความสามารถแตกตํางกัน เรยี นรก๎ู นั จากท่ีครูได๎มอบหมายใหโ๎ ดยการใช๎ Worksheet หรอื อุปกรณ์การฝึกอน่ื ๆ ขน้ึ อยูกํ ับเน้ือหาท่เี รียน นักเรยี นจะไดป๎ ระเมนิ เพ่ือนสมาชกิ ในกลํมุ ซึ่งกนั และกัน 3. นกั เรยี นไดป๎ ระเมนิ การเรียนรขู๎ องตนเอง (Individual Assessment) ในเร่อื ง ของข๎อความร๎ูหรอื ทักษะท่ีเขาได๎รบั ในบทเรยี น 4. คะแนนจากการประเมนิ นักเรยี นแตํละคน จะรวมเปน็ คะแนนของทมี (Team 188

Recognition) ทีมใดที่ไดค๎ ะแนนถงึ เกณฑ์ทก่ี าํ หนดไว๎ จะไดร๎ บั ใบประกาศนียบตั รหรือรางวัลอน่ื ๆ การสงั เกตพฤตกิ รรมการร่วมมือในชัน้ เรยี น การสังเกตเปน็ วธิ ีการเก็บรวบรวมข๎อมูล ทเี่ ปดิ โอกาสให๎ผูร๎ วบรวมข๎อมลู สัมผัสกับความ เปน็ จรงิ และสิ่งทตี่ ๎องการจะรวบรวมดว๎ ยตัวเอง ทาํ ให๎มโี อกาสทจี่ ะรวบรวมข๎อมลู ได๎ตรงสภาพความเป็น จรงิ ได๎มากและสามารถทจี่ ะรวบรวมรายละเอียดของขอ๎ มลู ในแนวลึกได๎ การสังเกตพฤติกรรมการรํวมมือ ในชัน้ เรียนของนักเรยี นโดยใช๎วิธีการสงั เกต จะชวํ ยให๎ได๎รายละเอยี ดของพฤตกิ รรมท่ีแสดงถงึ การรํวมมือ ของนักเรียนในช้ันเรียนได๎ชัดเจนขึน้ การสงั เกตเป็นวธิ กี ารพน้ื ฐานท่ีจะไดข๎ ๎อมูลมาตามต๎องการ ซึง่ การท่จี ะได๎ข๎อมลู ที่เช่อื ถือ ไดน๎ ัน้ ผสู๎ ังเกตต๎องมลี กั ษณะดังน้ี 1. ความตงั้ ใจของผูส๎ งั เกต (Attention) ในการสงั เกตพฤตกิ รรมของสง่ิ ใด ผ๎สู งั เกต ต๎องมีเปูาหมายทีจ่ ะสงั เกตวําศึกษาส่งิ ใด ต๎องสะกดใจอยํางแนวํ แนใํ นการสงั เกตแตสํ ิง่ นนั้ จติ ใจไมํไขวเ๎ ขว ไปมา และจะต๎องสงั เกตไปทีละอยาํ งอยาํ งถูกต๎อง นอกจากนีผ้ ๎ูสังเกตยังตอ๎ งขจัดปญั หาสํวนตัวหรือความ ลําเอียงสํวนตวั ของตนเองออกในระยะที่ทาํ การสงั เกต เพื่อจะได๎ขอ๎ มลู ท่ีเปน็ จรงิ หรอื ใกล๎เคียงกบั ความเป็น จรงิ 2. ประสาทสมั ผัส (Sensation) ทางด๎านประสาทสัมผัสต๎องแนํใจวําประสาท สัมผสั ของผส๎ู ังเกตจะต๎องทํางานปกตหิ รือสภาพราํ งกายต๎องปกติดว๎ ย เพราะถา๎ หากวาํ สภาพราํ งกายปกติ แลว๎ จะมีผลตํอประสาทสัมผสั อยูํในสภาพดี และวํองไวตํอการสมั ผัสสง่ิ ที่กาํ ลังสงั เกต 3. การรบั รู๎ (Perception) ในการสงั เกตส่ิงท่กี ําลังศึกษา ผ๎สู งั เกตจะต๎องมีการรบั ร๎ทู ดี่ ี เมื่อรับรูม๎ าแลว๎ สามารถแปลความหมายออกมาได๎อยาํ งรวดเร็วและถูกต๎อง หลกั การสังเกต ผู๎สังเกตที่ดี คือ ผ๎ูท่ีทําการสังเกตแล๎วได๎ข๎อมูลที่ตรงกับความต๎องการมากที่สุด ซึ่งผ๎ูสงั เกตจะเป็นผส๎ู งั เกตทดี่ ีไดน๎ นั้ ต๎องมีหลักในการสงั เกต ดงั นี้ 1. กําหนดการสังเกตให๎จํากัดเฉพาะเป็นเรื่องๆไปไมํใชํเห็นสิ่งใดมา กระทบแล๎วรับไว หมด 2. สังเกตอยํางมีความมุํงหมาย มิใชํวําสังเกตไปเรื่อย ๆ คือ ต๎องมีจุดมํุงหมายที่จะดู เมอ่ื พบเห็นแลว๎ แปลความหมายออกมาวาํ คอื อะไร 3. สังเกตด๎วยความพินิจพิเคราะห์จนสามารถมองเห็นรายละเอียดของเรื่องน้ันได๎ อยํางลกึ ซึ้ง มใิ ชวํ ํามองเหน็ แตผํ ิว หรือลักษณะของภายนอกเทาํ น้นั 4. เมอ่ื สงั เกตแลว๎ ต๎องมีการบันทึกไว๎เพื่อเตือนความจํา จะได๎ไมํหลงลืมรายละเอียดที่ได๎ สังเกตมา 5. ผูส๎ งั เกตควรใช๎แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือเครือ่ งมอื วดั อืน่ ๆ 189

ประกอบในการสังเกตน้ีดว๎ ย ประเภทของการสงั เกต การรวบรวมข๎อมูลโดยการสังเกต แบงํ ไดเ๎ ปน็ 2 ประเภท คือ 1. การสงั เกตแบบมีสํวนรวํ ม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกตท่ี ผวู๎ จิ ัยเขา๎ ไปมีสวํ นรํวมอยูใํ นกลํมุ ทต่ี นศึกษา และมกี ารทาํ กิจกรรมรํวมกนั โดยผ๎วู จิ ัยเป็นสมาชิกผู๎หน่ึง ของกลมํุ หรอื สถานการณท์ ่ีศึกษา เชนํ เข๎าไปใชช๎ ีวติ อยํูในชมุ ชนน้นั เมือ่ ตอ๎ งการศึกษาถงึ ชีวติ ของคนใน ชุมชนน้นั ข๎อดคี ือ จะได๎ขอ๎ มูลทีแ่ ทจ๎ ริง จดุ ด๎อยคือ อาจเกิดจากผส๎ู งั เกต ซง่ึ จะทาํ ให๎ข๎อมูลท่ีได๎ขาด ความเที่ยงตรง 2. การสังเกตแบบไมมํ สี วํ นรํวม (Non - participant Observation) หมายถงึ การสงั เกตทผ่ี ๎วู ิจัยกระทาํ ตนเป็นบุคคลภายนอก ไมํเขา๎ ไปมีสวํ นรํวมในกิจกรรมท่ีกลุํมกําลังทํากนั อยํู การ ไมเํ ขา๎ ไปมีสํวนรวํ มในความหมายน้ี หมายถึง ไมํเขา๎ ไปรวํ มในกจิ กรรมของกลุํมนั้นเทํานน้ั ไมํไดห๎ มายถึง การไมเํ ขา๎ ไปอยูํในบริเวณสถานท่ีดว๎ ย มกั ใชใ๎ นกรณีทีไ่ มํต๎องการใหผ๎ ๎ูถูกสังเกตร๎สู ึก รบกวนจากตวั ผ๎ู สังเกต ผ๎ูสังเกตเปน็ เพยี งผูส๎ งั เกตการณ์เทํานั้น ประโยชนข์ องการเรยี นแบบร่วมมอื วนั เพญ็ จันเจรญิ (2542 : 119) กลําวถงึ ประโยชน์ของการเรียนแบบรวํ มมือ มดี ังน้ี 1. สรา๎ งความสัมพันธท์ ี่ดีระหวาํ งสมาชกิ เพราะทกุ ๆ คนรวํ มมอื ในการทํางานกลมํุ ทุก ๆ คนมีสวํ นรํวมเทําเทียมกนั 2. สมาชกิ ทุกคนมีโอกาสคดิ พูดแสดงออก แสดงความคดิ เหน็ ลงมอื กระทาํ อยาํ งเทาํ เทยี มกนั 3. เสรมิ ใหม๎ คี วามชํวยเหลือกัน เชํน เด็กเกํงชํวยเด็กทเี่ รียนไมํเกงํ ทําใหเ๎ ด็กเกํง ภาคภูมใิ จ รจ๎ู ักสละเวลา สวํ นเด็กทไ่ี มํเกํงเกดิ ความซาบซงึ้ ในนํา้ ใจของเพื่อนสมาชิกด๎วยกัน 4. รํวมกนั คิดทกุ คน ทาํ ให๎เกิดการระดมความคดิ นําขอ๎ มลู ที่ได๎มาพิจารณา รํวมกัน เพ่ือประเมินคําตอบที่เหมาะสมท่ีสุด เป็นการสํงเสริมให๎ชํวยกันคิดหาข๎อมูลให๎มาก และ วเิ คราะหแ์ ละตัดสินใจเลอื ก 5. สงํ เสรมิ ทกั ษะทางสังคม เชนํ การอยูรํ วํ มกันด๎วยมนุษยสมั พนั ธ์ทดี่ ีตํอกนั เข๎าใจกันและกัน อีกท้ังเสริมทักษะการส่ือสาร ทักษะการทํางานเป็นกลุํม ส่ิงเหลําน้ีล๎วนสํงเสริม ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนใหส๎ งู ขน้ึ หลักการนาวธิ กี ารสอนแตล่ ะวธิ ีไปใชใ้ นการสอน วิธีสอนทั่วไปเป็นวิธีการปลีกยํอยท่ีครูสามารถนํามาใช๎ประกอบกิจกรรมการเรียนการ สอนได๎ทุก ๆ ขั้นตอน ไมํวําจะเป็นขั้นนําเข๎าสูํบทเรียน ข้ันสอน ข้ันสรุป และขั้นปฏิบัติกิจกรรม 190

สํงเสริมความแมํนยําและการถํายโยงการเรียนร๎ู เพราะถ๎าเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ไดด๎ ังการแตํงกายของบคุ คล วธิ ีสอนกเ็ ปรียบเทียบเคร่ืองประดับท่ีติดอยูํบนชุดตําง ๆ สําหรับใช๎แตํงกาย ของคนเรา โดยรูปแบบของชุดเปรียบได๎กับรูปแบบการสอนท่ีนํามาใช๎นั่นเอง ดังนั้น การแตํงกายจะดี หรือไมเํ พยี งใดอยทํู ่กี ารเลือกแตํงกายใหเ๎ หมาะสมกับวัตถุประสงค์ โดยมีชุดและเครื่องประดับท่ีเหมาะสม กลมกลนื กนั และกจิ กรรมการเรยี นการสอน รปู แบบการสอน และวธิ ีการสอนกเ็ ชนํ เดียวกนั วธิ สี อนทีใ่ ชก๎ ันโดยแพรํหลาย ได๎แกํ วิธีสอนแบบบรรยาย ซ่ึงเป็นวิธีการที่ใช๎กับคนหมํู มาก มีเวลาในการสอนจํากัดในขณะที่มีเน้ือหาท่ีต๎องสอนมาก ผู๎เรียนสํวนมากต๎องเป็นผู๎ใหญํหรือ ระดับช้ันมัธยมศึกษาขึ้นไปเพราะต๎องใช๎ความสนใจในเน้ือหามาก การบรรยายเป็นวิธีสอนที่ยึดครูเป็น ศนู ย์กลางสมั ฤทธิ์ผลของการเรยี นรจู๎ ะเกดิ ได๎ดีเพียงใดอยูํท่ีผู๎บรรยายหรือตัวครูเป็นหลัก เพราะถ๎าหากครู มีความสามารถสูงมีวิธีการอ่ืนๆ มาแทรก มีทักษะและเทคนิคการบรรยายได๎ดี ก็จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎รับ ประโยชน์ได๎มาก ในขณะท่ีวิธีสอนแบบอภิปรายเป็นการสอนที่ยึดผ๎ูเรียนเป็นผู๎กระทําศึกษาและค๎นคว๎า แล๎วนํามาแสดงออกอยํางสร๎างสรรค์ เป็นการหาความร๎ูได๎อยํางไมํมีที่ส้ินสุด และได๎ทักษะกระบวนการ กลุํมอีกด๎วย เนื่องจากการอภิปรายมีรูปแบบและเทคนิคหลายวิธีจําเป็นที่ผ๎ูใช๎จะต๎องใช๎ให๎ถูกต๎องตาม รปู แบบ วิธีการและวัตถปุ ระสงค์ของการใช๎นัน้ ๆ โดยเฉพาะความแตกตํางระหวํางการอภิปรายกลุํมยํอย กับการจัดสัมมนานั้นแตกตํางกันอยํางส้ินเชิงท้ัง ๆ ท่ีเป็นการอภิปรายเหมือนกัน ในขณะที่เชื่อกันวํา วิธกี ารแบบนี้ใหผ๎ ูเ๎ รียนไดร๎ บั ประโยชน์จากการเป็นผ๎ูกระทําจริง แตํไมํเหมาะกับผู๎เรียนท่ีไมํกล๎าแสดงออก และมีปญั หาเร่อื งการพดู นาํ เสนองาน วิธีสอนแบบทดลองใช๎สําหรับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นสํวนใหญํ โดยมุํงให๎ผ๎ูเรียน นําความรู๎ทางด๎านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ออกมาใช๎ในการทดลองพิสูจน์หลักการและทฤษฎีตําง ๆ โดยผู๎เรียนเป็นผท๎ู ดลองโดยมคี รคู อยควบคุมดแู ลอยาํ งใกลช๎ ิด ข๎อดีของวิธีสอนแบบนี้เป็นการสอนที่มํุง ให๎นักเรียนเป็นผู๎กระทําจริง (learning by doing) เคร่ืองมือในการทําลองมีราคาสูง มีข๎อจํากัดเรื่องของ สถานท่ีและวิชาท่ีศึกษาพอสมควร วิธีการสอนท่ีนําสนใจอีกวิธีหนึ่งคือ กาสาธิตเป็นการแสดงให๎เห็นถึง ประสบการณ์ในการทํางานหรือปฏิบัติงานอยํางชํานาญในด๎านใดด๎านหนึ่งอยํางถํองแท๎ให๎ผู๎เรียนเห็น กระบวนการทํา เข๎าใจความคิดรวบยอดและเช่ือถือศรัทธาตํอผ๎ูสอนและบทเรียน ข๎อดีของวิธีการนี้ สามารถใช๎ในการประกอบการสอนทกั ษะได๎อยํางดี วิธีการสอนโดยใช๎การจําลองสถานการณ์ การสอนแบบน้ีเป็นการสอนที่เน๎นให๎ผู๎เรียน เตรยี มพบสถานการณ์จรงิ ในอนาคต เป็นการจาํ ลองเหตุการณ์กํอนออกปฏิบัติงาน โดยเน๎นการพิจารณา กระบวนการท้ังหมดของสถานการณ์วํามีความถูกต๎องเหมาะสมหรือไมํ เพียงใด โดยถือเป็นการเตรียม ความพร๎อมสําหรับสถานการณ์จริงที่เกิดแนํนอนในอนาคต ซ่ึงวิธีการนี้แตกตํางจากวิธีสอนแบบบทบาท สมมุติตรงที่บทบาทสมมุติมํุงที่สมมุติให๎ผู๎เรียนสวมบทบาทของใครคนใดคนหน่ึงเพราะเลํนสมมุติเป็น 191

บคุ คล ดังนนั้ คุณคําของการแสดงอยํูที่ความสมจริงกับพฤติกรรมของคนท่ีถูกสวม โดยมุํงพัฒนาเจตคติ คํานยิ ม และการแก๎ปัญหา ซึ่งยงั ไมํทราบวิธีการทแ่ี นํชัด บทบาทวธิ กี ารสอนแบบโครงงานเปน็ การจัดทําวิธีงําย ๆ โดยใช๎วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาให๎ผู๎เรียนหาความรู๎ความจริงในโครงการท่ีกําหนดข้ึนในระยะเวลาหน่ึง เพ่ือสํงเสริมการศึกษาหา ความร๎ูเพิ่มเติมโดยผ๎ูเรียนเองในสถานการณ์จริง โดยผู๎เรียนศึกษาและวิจัยอยํางเป็นระบบตามข้ันตอน ตําง ๆ แล๎วจึงนําเสนอผลงาน ขณะที่การศึกษานอกสถานท่ีก็เป็นวิธีการหนึ่งที่มุํงให๎ผ๎ูเรียนเกิด ประสบการณ์ตรงจากการเรียน ชํวยให๎ผ๎ูเรียนสนุกสนานมีชีวิตชีวา แตํข๎อจํากัดอยํูที่กระบวนการไป ศกึ ษาตอ๎ งเตรียมการอยํางดี และเตรยี มแกไ๎ ขปัญหาอันอาจจะเกิดขนึ้ ได๎ วิธีสอนท่ัวไป หมายถึง วิธีการที่เป็นแนวในการสอน เพื่อให๎เกิดการเรียนร๎ูตาม วัตถุประสงค์ โดยเฉพาะวิธีสอนท่ัวไปน้ัน เป็นวิธีสอนข้ันพ้ืนฐานท่ีผู๎เร่ิมเป็นครูพึงทราบและสามารถ ประยุกต์ใช๎ใหเ๎ หมาะสมกบั สถานการณ์ ซง่ึ วธิ ีสอนข้นั พ้ืนฐานมีหลายวิธี เชํน การบรรยาย การอภิปราย การทดลอง การสาธิต การจาํ ลองสถานการณ์ การสอนแบบโครงการ ฯลฯ หลักในการนําวิธีสอนไปใช๎ นั้น ต๎องนําไปใช๎ให๎เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน ข้ันตอนการสอน ตลอดจนวัตถุประสงค์ และเน้ือหาสาระในการสอน ดังนั้น หากครูมีความรู๎พื้นฐานด๎านวิธีสอน แล๎วสามารถนําไปประยุกต์ใช๎ กับวธิ ีสอนอน่ื ๆ เพือ่ จัดการเรยี นการสอนได๎เป็นอยาํ งดี (ชาญชยั ยมดษิ ฐ์, 2548 : 230) การผสมผสานวธิ ีสอนแบบต่าง ๆ ปรชี า คมั ภรี ปกรณ์ (2540 : 275) กลําววํา ตามทฤษฎีการสอนน้นั ไมํสามารถสรุปได๎วํา วิธีสอนวิธีใดวิธีหนึ่งจะใช๎ได๎ผลในการถํายทอดความร๎ู เจตคติ และทักษะได๎ดีที่สุด การเลือกวิธีสอนน้ัน ยํอมขึ้นอยํูกับองค์ประกอบหลายประการด๎วยกัน เชํน เน้ือหาวิธีท่ีสอน วัตถุประสงค์ของบทเรียน ธรรมชาติของผ๎ูเรียน และเวลาท่ีใช๎ในการสอน ซ่ึงนักศึกษาได๎ศึกษารายละเอียดมาแล๎วการท่ีจะให๎เกิด ประสทิ ธผิ ลในการสอนใหม๎ ากท่สี ุดนัน้ ผ๎สู อนจําเปน็ จะต๎องใชว๎ ธิ ีผสมผสานวิธีสอนแบบตําง ๆ เข๎าด๎วยกัน เพราะความจําเป็นดงั น้ี 1) วตั ถุประสงคข์ องการสอน ในการเรียนการสอนบทเรยี นหน่งึ ๆ นน้ั มกั จะกําหนด ให๎ผู๎เรียนเกิดความรู๎ เจตคติ และทักษะซึ่งดังได๎กลําวมาแล๎ววํายังไมํสามารถจะใช๎วิธีการสอนอยํางใด อยาํ งหนึ่งเพอ่ื ใหเ๎ กิดผลดังกลําวท้ัง 3 ประการได๎ 2) ผเู๎ รยี น เรายอมรับวาํ ผเู๎ รียนมีความแตกตาํ งกนั ดังนัน้ ถา๎ หากเปดิ โอกาสให๎ผ๎ูเรยี น ได๎รับการสอนแบบตําง ๆ ทําให๎โอกาสท่ีผ๎ูเรียนจะเกิดการเรียนรู๎หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็จะมี มากขน้ึ 3) บรรยากาศของการสอน ในการสอนบทเรียนหนึ่งในบางครัง้ กนิ เวลามาก ถ๎า หากผู๎สอนใช๎วิธีการสอนแบบเดียวจะทําให๎ทั้งผ๎ูเรียนและผู๎สอนเกิดความเบ่ือหนําย ขาดคว าม กระตือรอื ร๎น ผลการเรยี นการสอนจะไมํดีเทาํ ที่ควร 192

4) ผูส๎ อน การใชว๎ ิธกี ารสอนหลายแบบจะทาํ ให๎ผ๎สู อนตอ๎ งตืน่ ตัวและกระฉับกระเฉง ไมเํ บื่อหนําย จากเหตผุ ลดงั กลาํ วขา๎ งต๎นจงึ เหน็ วําในการสอนบทเรยี นพงึ ควรจะประกอบด๎วยวิธีสอน หลาย ๆ แบบ สํวนจะใชแ๎ บบใดหรอื วธิ ีใดนั้นยอํ มขนึ้ อยํูกับดุลยพินิจของผ๎ูสอน เชํน อาจจะเร่ิมจากการ อภิปราย บรรยาย ฝกึ ปฏบิ ตั ิ หรือเริ่มจากการบรรยาย ฝึกปฏิบตั ิ และอภิปรายกไ็ ด๎ เหตผุ ลของการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ ปรีชา คัมภีรปกรณ์ (2540 : 161-162) ได๎กลําวไว๎วํา การสอนมีอยูํมากมายหลายแบบ แบบทีเ่ น๎นผู๎สอนเปน็ ศูนย์กลางของการเรียนการสอน เชํน การบรรยาย การสาธิต การใช๎คําถาม เป็น ต๎น หรอื แบบทเี่ น๎นผ๎ูเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนซึ่งมีท้ังท่ีเน๎นเป็นกลุํมหรือที่เป็นรายบุคคล เชํน การสอนแบบอภิปราย การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนแบบแก๎ปัญหา การใช๎แบบเรียน แบบโปรแกรม การสอนแบบให๎เรียนโดยอิสระ จากวิธีการสอนดังกลําวจะพบวําการสอนแบบหนึ่ง ๆ ยํอมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง มีการใช๎ประโยชน์ได๎เฉพาะอยําง ดังน้ันในการสอนบทเรียนบทหนึ่ง ๆ ชั่วโมงหน่ึง ๆ หรือในหนํวยการ เรยี นหน่ึง ๆ จงึ เกดิ ปญั หาวําจะใช๎การสอนแบบใดจงึ จะเหมาะสมในบางกรณีบาง บทเรียนอาจต๎องใช๎การ สอนมากกวําหน่ึงแบบข้ึนไป การสอนแบบเดียวอาจไมํสนองตํอวัตถุประสงค์ของบทเรียน เน้ือหาของ บทเรียน หรือกลํุมผูเ๎ รียน เปน็ ต๎น จึงต๎องมีการผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบเขา๎ ดว๎ ยกนั ถ๎าจะสรปุ เหตผุ ลวําทาํ ไมจึงต๎องมีการผสมผสานการสอนแบบตําง ๆ เข๎าดว๎ ยกนั อาจได๎เหตุผลดังน้ี 1. วัตถุประสงคข์ องบทเรียน ในการสอนบทเรียนบทหน่ึง ๆ หรือการสอนครั้งหน่ึง ๆ ผ๎ูสอนมักจะมีการกําหนด วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมครอบคลมุ ในดา๎ นเนอ้ื หา เจตคติ และทักษะ เพ่ือครอบคลุมวัตถุประสงค์ทาง การศึกษา ตามท่บี ลมู กําหนด ในแงํของพุทธิพิสัย เจตพิสัย และทักษะพิสัย น่ันเอง ซึ่งปรากฏวําการ สอนแบบใดแบบหนึ่งน้ันอาจไมํสามารถสนองวัตถุประสงค์ท้ัง 3 ด๎าน ได๎ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นในการ สอนคร้ังหนึ่งยอํ มตอ๎ งการการสอนหลาย ๆ แบบผสมผสานกนั ไป เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ครอบคลุม ถึงวตั ถุประสงค์ที่ตงั้ ไว๎ 2. ผ๎ูเรียนโดยท่ัวไปกลํุมผู๎เรียนในห๎องเรียนมีความแตกตํางกันในเร่ืองของความถนัด ความสามารถและความสนใจ การใช๎วิธีการสอนเพียงแบบเดียว ยํอมไมํสนองกับความต๎องการของ ผู๎เรียนเหลํานั้นถ๎าหากผู๎สอนใช๎วิธีการสอนหลาย ๆ แบบผสมผสานด๎วยกันยํอมเปิดโอกาสให๎ ผ๎ูเรียนได๎ แสดงความสามารถ ความถนดั ของตนได๎อยํางเตม็ ที่ ทาํ ให๎ผ๎ูเรียนมีความเชื่อม่ันในการเรียนของตนยิ่งข้ึน นอกจากน้นั จะพบวาํ ความสนใจของกลํุมผ๎ูเรียนยังไมํคงที่ เป็นต๎นวําตอนต๎น ๆ ชั่วโมงผ๎ูเรียนจะมีความ 193

กระตือรือร๎น แตํพอถึงกลาง ๆ ช่ัวโมงหรือท๎ายชั่วโมง ความกระตือรือร๎นของผู๎เรียนจะลดลง ดังนั้นจึง ไมคํ วรสอนโดยใช๎การสอนแบบเดยี วตลอดทง้ั ช่วั โมง 3. บรรยากาศของการเรียนการสอน การเรียนการสอนในชว่ั โมงหนง่ึ ๆ หรือคาบหนึ่ง ๆ ถา๎ ผ๎ูสอนใชว๎ ิธกี ารสอนเพียง แบบเดยี วโดยไมเํ ปล่ียนแปลง ต้ังแตํต๎นชั่วโมงจนถึงท๎ายชั่วโมง จะทําให๎บรรยากาศ นําเบ่ือหนําย ไมํมี ความตนื่ เตน๎ นําสนใจ โดยเฉพาะถ๎าผ๎ูสอนยึดการสอนที่ให๎ตนเองเป็นศูนย์กลางด๎วยแล๎ว บรรยากาศของ การเรียนการสอนจะนําเบือ่ หนาํ ยมาก เพราะผ๎ูเรียนไมมํ สี ํวนรวํ มในกจิ กรรมการเรยี นการสอนเทาํ ท่คี วร แตํถ๎าผส๎ู อนจะนาํ วิธกี ารสอนแบบตาํ ง ๆ มาผสมผสานเข๎าดว๎ ยกัน มกี ิจกรรม การเรยี นการสอนหลาย ๆ แบบอันจะสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเข๎ารํวมกิจกรรมได๎ ยํอมทําให๎บรรยากาศของการ เรียนการสอนนําสนใจ ผ๎ูเรยี นจะรู๎สึกต่นื เตน๎ และมีความต๎องการทจ่ี ะเรยี นโดยไมคํ ดิ วําถูกบังคับ 4. ผู๎สอน โดยปกติผ๎ูสอนมักจะใช๎การสอนแบบเดียวในการสอนคร้ังหน่ึง ๆ โดยเฉพาะ จะเลือกการสอนแบบท่ีตนถนัดและคิดวําจะทําให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจเน้ือหาของบทเรียนได๎ การเรียนการสอน ในลักษณะที่ผ๎ูสอนมีความถนัดเชํนน้ี ยอํ มทาํ ให๎ผ๎เู รยี นเบอื่ หนาํ ย เพราะมีความซ้ําซาก อีกท้ังผูสอนเองก็ เบื่อหนํายเชํนกัน เพราะจะต๎องปฏิบตั กิ ิจกรรมซํา้ ๆ ทกุ วนั ๆ แตถํ ๎าผสู๎ อนใชว๎ ิธกี ารสอนโดยผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบแลว๎ นอกจากทําให๎ ผ๎ูเรียนเกิดความสนใจ ความสนุกสนานในการเรียนแล๎ว ยังจะทําให๎การเรียนการสอนในชั่วโมงน้ัน ๆ มี ความหมายรวมเป็นการเปล่ยี นบรรยากาศของผูส๎ อนเองอีกดว๎ ย 5.6 การสอนแบบบทบาทสมมุติ วธิ ีสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) การจดั การเรยี นการสอนในปัจจุบนั ไดส๎ งํ เสริมให๎ผ๎ูเรยี นได๎รแู๎ ละเข๎าใจไดด๎ ว๎ ยตนเอง โดย เนน๎ กิจกรรมให๎ผ๎ูเรียนมสี วํ นรวํ มและเน๎นผู๎เรียนเปน็ ศนู ย์กลาง การสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ เป็น อกี วิธสี อนหนงึ่ ทจี่ ะให๎ผูเ๎ รยี นมีสํวนรํวมในการเรยี น ใหผ๎ เู๎ รยี นไดแ๎ สดงออก ทั้งทางด๎านความคดิ และทาํ ทาง การแสดง ซง่ึ จะทําให๎ผเู๎ รียนเกดิ การเรยี นร๎ู ไดเ๎ กดิ ความสนุกสนานและเพลดิ เพลนิ ระวีวรรณ วุฒิประสิทธ์ิ (2530 : 74) กลําวถึงการสอนแบบการแสดงบทบาทสมมติ วํา เป็นการสอนที่กําหนดให๎ผ๎ูเรียนแสดงบทบทตามที่สมมติขึ้นเทียบเคียงกับสภาพท่ีเป็นจริง ตามลักษณะท่ี ผแ๎ู สดงบทบาทเข๎าใจ เพื่อให๎ผู๎ดูเกิดความร๎ู ความเข๎าใจในสิ่งท่ีเกิดขึ้น หลักสําคัญของการสอนแบบนี้คือ ผู๎สอนจะสรา๎ งปญั หาให๎ผเู๎ รียนได๎คดิ และใหผ๎ ู๎เรียนแก๎ปัญหานน้ั ๆ ใหไ๎ ดด๎ ว๎ ยตนเอง ดว๎ ยการแสดงที่ทําให๎ได๎ ดว๎ ยตวั เอง ด๎วยการแสดงที่ทําให๎ผู๎ดูเห็นจริง วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติจึงนับวําเป็นวิธีการฝึก การแก๎ปัญหาและการตัดสินใจวิธีหนึ่ง เพราะในสถานการณ์ที่สมมติขึ้นมาและบทบาทที่สมมติข้ึนมาให๎ คลา๎ ยคลึงกบั สิ่งท่ีเป็นจริงน้ัน มักจะมีปัญหาและข๎อขัดแย๎งตําง ๆ แฝงมาด๎วย การที่ให๎ผู๎เรียนได๎เลือกท่ี จะแสดงบทบาทตําง ๆ โดยไมํตอ๎ งใดหรือเตรยี มตวั มากํอนนัน้ ผูแ๎ สดงจะต๎องแสดงไปตามธรรมชาติโดยที่ 194

ไมํร๎ูวําผู๎แสดงคนอ่ืนจะมีปฏิกิริยาตอบโต๎อยํางไรนั้น นับวําเป็นการชํวยฝึกให๎ผ๎ูแสดงได๎เรียนรู๎ที่จะปรับ พฤตกิ รรมและหาทางแกป๎ ัญหาตัดสนิ ใจอยํางธรรมชาติ ในสํวนน้ีกลําวถึง ความหมายของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ จุดมุํงหมาย องค์ประกอบ ลักษณะสาํ คัญของการสอน ขน้ั ตอนการสอน บทบาทของผ๎ูสอน เทคนิคข๎อเสนอแนะที่ใช๎ ในการสอน และข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอน พร๎อมด๎วยการสรุปท๎ายบท กิจกรรมและคําถามท๎ายบท ดว๎ ย ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กลําวถึงวิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ คือ กระบวนการที่ผ๎ูสอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการให๎ผู๎เรียน สวมบทบาทในสถานการณ์ซ่ึงมีความใกล๎เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกมาตามความร๎ูสึกนึกคิด ของตน และนําเอาการแสดงออกของผู๎แสดง ทั้งทางด๎านความร๎ู ความคิด ความร๎ูสึกและพฤติกรรมท่ี สังเกตพบวําเปน็ ข๎อมูลใน การอภปิ ราย เพอ่ื ใหผ๎ ูเ๎ รียนเกดิ การเรยี นรู๎ตามวัตถุประสงค์ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 67) กลําววําวิธีสอนท่ีใช๎บทบาทท่ีสมมติข้ึนจากความเป็นจริง มาเป็นเคร่ืองมือในการสอนโดยท่ีครูสร๎างสถานการณ์สมมติและบทบาทข้ึนมาให๎นักเรียนได๎แสดงออก ตามทตี่ นคดิ วําควรจะเปน็ มกี ารนําการแสดงออกทั้งทางด๎านความร๎ูความคิด และพฤติกรรมของผ๎ูแสดง มาใช๎เป็นพื้นฐานในการให๎ความรู๎และสร๎างความเข๎าใจให๎แกํนักเรียนในเร่ืองความร๎ูสึกและพฤติกรรม และปญั หาตาํ ง ๆ ได๎อยาํ งเหมาะสม อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 160) อธิบายถึง วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ หมายถึง วิธี สอนที่ผู๎สอนสร๎างสถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นจากความเป็นจริง มาให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกตามท่ี ผู๎เรยี นคิดวําควรจะเป็น ผ๎ูสอนจะใช๎การแสดงออกทง้ั ทางด๎านความร๎ูความคิด และพฤติกรรมของผ๎ูแสดง มาเป็นพื้นฐานในการให๎ความร๎ูและสร๎างความเข๎าใจแกํผ๎ูเรียน อันจะทําให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจเน้ือหาสาระของ บทเรียนอยาํ งลกึ ซ้ึง และรจู๎ ักปรับเปล่ียนพฤตกิ รรม และการแกไ๎ ขปญั หาตําง ๆ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 161) กลําวถึงการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) คอื เทคนิคการสอนที่ให๎ผู๎เรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ท่ีสมมติข้ึน น่ันคือ แสดงบทบาท ท่ีกําหนดให๎ อินทิรา บุณยาทร (2542 : 98) อธิบายการสอนด๎วยบทบาทสมมติ หมายถึง วิธีสอน ท่ีผ๎ูสอนสร๎างสถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นเพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎แสดงออกตามท่ีตนคิดวําควรจะเป็น โดย แสดงออกทงั้ ทางดา๎ นความรู๎ ความคดิ และพฤตกิ รรมเพือ่ เปน็ พ้ืนฐานในการเรียนรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ หมายถึง การสอนท่ีผ๎ูสอนสร๎าง สถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นมาที่ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง โดยให๎ผ๎ูเรียนเป็นผ๎ูแสดงบทบาทสมมติ น้ันๆ ตามวัตถุประสงค์ท่ีผู๎สอนได๎กําหนดไว๎ เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกทางด๎านความรู๎ ความคิด ท่ีคิดวํา ตนควรจะเป็น 195

จดุ มงุ่ หมายของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ เป็น วธิ ีการที่มํุงชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนไดเ๎ รยี นรู๎การเอาใจเขามาใสํใจเรา เกิดความเข๎าใจในความร๎ูสึกและพฤติกรรมท้ัง ของตนเองและผ๎ูอ่นื หรือเกิดความเข๎าใจในเรื่องตาํ ง ๆ เกยี่ วกบั บทบาทสมมตทิ ต่ี นแสดง สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 67) อธิบายถึงความมุํงหมายของการสอนโดยใช๎การแสดง บทบาทสมมติ ดงั นี้ 1. เพอื่ ฝกึ ให๎นักเรยี นทาํ งานรํวมกัน 2. เพ่อื ให๎นักเรยี นกล๎าแสดงออกซ่ึงความรสู๎ กึ 3. เพอื่ ฝึกการแกป๎ ัญหา สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 106) กลําวถึงเปูาหมายการสอนโดย การแสดงบทบาทสมมติวํา การแสดงบทบาทสมมติเป็นการนาํ เอาตวั อยาํ งพฤตกิ รรมของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนใน สังคมมาใหผ๎ เ๎ู รียนไดศ๎ กึ ษา ซึ่งผลทีจ่ ะได๎รับจากการศึกษาโดยวธิ กี ารดังกลาํ วจะทําให๎ 1. ผ๎ูเรียนได๎มีโอกาสสํารวจความร๎ูสึกของบุคคลอื่น ๆ และเมื่อสํารวจแล๎วก็จะสามารถ วิเคราะหพ์ ฤตกิ รรมของบคุ คลเหลาํ นน้ั ในเชิงเจตคติ 2. ผู๎เรยี นได๎มโี อกาสในการศกึ ษาความสัมพนั ธ์และความขดั แยง๎ ท่ีเกดิ ข้นึ ระหวาํ งกลํมุ 3. ผู๎เรียนได๎มีโอกาสฝึกฝนวิธีการแก๎ปัญหาที่เกิดข้ึนในกลํุม ในบุคคล หรือระหวําง บุคคลได๎อยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 4. ผ๎เู รยี นได๎มีโอกาสพฒั นาคํานยิ มในเรือ่ งความเห็นอกเห็นใจตอํ ผู๎อน่ื 5. ผู๎เรียนสามารถสํารวจเจตคติของตนเอง รวมท้ังแก๎ไขข๎อบกพรํองโดยการเรียนรู๎จาก เจตคตขิ องผูอ๎ ืน่ ท่มี ีตอํ ตนเอง อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 160) กลําวถึงจุดมงุํ หมายของการแสดงบทบาทสมมติไว๎วาํ 1. เพือ่ ให๎ผเ๎ู รยี นเกิดความเขา๎ ใจในพฤติกรรมและความรูส๎ กึ ของผอ๎ู ่ืน 2. เพอ่ื ให๎ผเ๎ู รียนไดป๎ รับเปล่ียนพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสม 3. เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรียนได๎ฝกึ การใช๎ความรค๎ู วามคดิ ในการแกป๎ ัญหา และการตดั สินใจ 4. เพื่อให๎ผ๎เู รียนไดม๎ ีโอกาสแสดงออก ได๎เรยี นด๎วยความเพลิดเพลิน 5. เพอ่ื ใหก๎ ารเรยี นการสอนมีความใกลเ๎ คียงกับสภาพความเป็นจริงมากข้นึ อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 98-99) อธบิ ายถึงความมุงํ หมายของการสอน ดงั น้ี 1. เพือ่ ให๎ผ๎เู รียนเกดิ ความเข๎าใจในพฤติกรรมและความร๎สู ึกของผ๎ูอ่นื 2. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎ฝึกการใช๎ความร๎ู ความคิด ความสามารถในการแก๎ปัญหาและ การตัดสนิ ใจ 3. เพอื่ ให๎การเรยี นการสอนมีความใกลเ๎ คยี งกบั สภาพความเป็นจรงิ มากท่สี ุด 196

4. เพ่ือฝึกให๎ผูเ๎ รียนมีความกลา๎ ทีจ่ ะแสดงออก ระวีวรรณ วฒุ ปิ ระสิทธ์ิ (2530 : 74-75) อธบิ ายถึงจดุ มุํงหมายในการใช๎บทบาทสมมติ ไวด๎ ังนี้ 1. เพอ่ื ให๎ผู๎เรียนมีความร๎คู วามเข๎าใจเก่ียวกับเจตคติ และความคดิ ตาํ ง ๆ ได๎กว๎างขวางขึ้น 2. เพือ่ ให๎ผสู๎ อนทราบถึงเจตคติและความคดิ ของผ๎ูเรยี น 3. เพอ่ื ให๎ผ๎เู รียนเกิดความเขา๎ ใจเก่ียวกับสถานการณ์ตําง ๆ ของสงั คมได๎กวา๎ งขวางยิง่ ขน้ึ 4. เพอ่ื เตรียมผู๎เรยี นในการปฏิบตั เิ ทคนิคบางอยํางในสถานการณจ์ รงิ 5. เพอื่ ชวํ ยในการทดสอบสมมติฐานสาํ หรับการแก๎ปญั หา 6. เพอื่ ฝึกความเป็นผนู๎ าํ และทักษะอ่นื ๆ ทางสังคมให๎แกผํ เู๎ รียน สรุปไดว๎ ํา การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ มีจดุ มงํุ หมายทสี่ าํ คัญ คอื มุงํ ฝกึ การทาํ งาน รํวมกนั กล๎าคิด กลา๎ แสดงออกในการแก๎ปญั หา การตัดสินใจ ทาํ ให๎ผ๎เู รียนเกดิ ความเขา๎ ใจในเน้อื มากยงิ่ ข้ึน ลดความตงึ เครยี ด เพราะเปน็ การสอนท่ีใกลเ๎ คยี งกับสภาพความเปน็ จรงิ มากที่สดุ ลักษณะสําคญั ของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ลกั ษณะของบทบาทสมมติ (อาภรณ์ ใจเท่ียง, 2550 : 160-161) บทบาทสมมติทผ่ี ูเ๎ รียน แสดงออกแบํงได๎เป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. การแสดงบทบาทสมมติแบบละคร เป็นการแสดงบทบาทตามเรื่องราวที่มีอยํูแล๎ว ผแู๎ สดงจะไดท๎ ราบเร่อื งราวท้ังหมด แตํจะไมํได๎รับบทท่ีกําหนดให๎แสดงตามอยํางละเอียด ผู๎แสดงจะต๎อง แสดงออกตามความคิดของตน และดําเนนิ เร่อื งไปตามทอ๎ งเร่ืองท่ีกาํ หนดไว๎แลว๎ ซงึ่ มลี ักษณะเหมือนละคร 2. การแสดงบทบาทสมมติแบบแก๎ปัญหา เป็นการแสดงบทบาทสมมติที่ผ๎ูเรียนได๎รับทราบ สถานการณ์หรือเร่ืองราวแตํเพียงเล็กน๎อยเทําที่จําเป็น ซ่ึงมักเป็นสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีความ ขัดแย๎งแฝงอยูํ ผูแ๎ สดงบทบาทจะใช๎ความคิดของตนในการแสดงออกและแกป๎ ัญหาตาํ ง ๆ อยาํ งเสรี บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 161) กลําวถึง การแสดงบทบาทสมมติวํา แตกตํางจากเกม จําลองสถานการณ์ตรงท่ีไมํมีกฎเกณฑ์และการแขํงขัน กลําวคือ เป็นการสอนที่หยิบยกเอาเหตุการณ์ ประเดน็ หรือปัญหาขึ้นมาให๎ผ๎ูเรียนศึกษา โดยวิธีการให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจถึงสภาพการณ์ท่ีเกิดขึ้น เข๎าใจถึง ปัญหาในเหตุการณ์น้ัน ๆ ท้ังนี้เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจถึงสภาพการณ์ที่เกิดข้ึน เข๎าใจถึงปัญหาใน เหตุการณ์นนั้ ๆ ตลอดจนสามารถแก๎ไขปญั หาทเ่ี กิดขน้ึ ด๎วยนัน้ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข ( (2540 : 105) ได๎กลําววําการแสดงบทบาทสมมติ จะสํงเสริมผ๎ูเรียนให๎แสดงพฤติกรรมหรือบทบาทตําง ๆ กันไปตามบทบาทที่กําหนดไว๎ในเหตุการณ์ พฤตกิ รรมทผี่ ๎ูเรียนซึ่งเป็นผู๎แสดงบทบาทแสดงออกมาน้ันจะสะท๎อนให๎เห็นถึงความร๎ูสึก อารมณ์ เจตคติ ของผ๎ูแสดงที่มีตอํ บทบาทหรือพฤติกรรมท่ผี ๎แู สดงสวมบทบาทนั้นอยํู รวมท้ังเข๎าใจถึงพฤติกรรมของผ๎ูอื่นที่ เข๎าไปเกย่ี วขอ๎ งกบั เหตุการณห์ รอื ปัญหานัน้ ด๎วย 197


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook