ข้นั ท่ี 6 ผ๎สู อนและผ๎เู รียนอภปิ รายรวํ มกนั ถงึ วธิ ีการท่ผี ูเ๎ รียนใช๎ในการหาคาํ ตอบใหผ๎ ๎เู รยี น ได๎เรยี นรู๎เกย่ี วกบั กระบวนการคิดของตวั เอง 3.1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gagne’s Instructional Model) เนือ่ งจากการเรียนการสอนตามรปู แบบน้ี จดั ขนึ้ ใหส๎ งํ เสรมิ กระบวนการเรยี นรู๎และ จดจําของมนษุ ย์ ดงั นนั้ ผเู๎ รยี นจะสามารถเรยี นรส๎ู าระทน่ี ําเสนอได๎อยํางดี รวดเร็วและจดจําสิ่งท่ีเรยี นร๎ู ได๎นาน นอกจากน้ันผเู๎ รียนยงั ได๎เพิ่มพนู ทักษะในการจดั ระบบข๎อมูล สร๎างความหมายของข๎อมูล รวมทงั้ การแสดงความสามารถของตนดว๎ ย ขน้ั ที่ 1 การกระตุน๎ และดึงดูดความสนใจของผู๎เรียน เปน็ การชวํ ยให๎ผูเ๎ รียน สามารถรบั สงิ่ เรา๎ หรือสงิ่ ที่จะเรียนรู๎ไดด๎ ี ขั้นท่ี 2 การแจ๎งวัตถุประสงค์ของการเรียนให๎ผ๎เู รียนทราบ เป็นการชํวยให๎ ผู๎เรียนได๎รบั รูค๎ วามคาดหวัง ขั้นที่ 3 การกระตุ๎นใหร๎ ะลกึ ถึงความร๎เู ดมิ เป็นการชวํ ยให๎ผ๎ูเรียนดึงข๎อมูลเดิมที่ อยใูํ นหนวํ ยความจาํ ระยะยาวใหม๎ าอยูํในหนวํ ยความจําเพื่อใช๎งาน ขน้ั ท่ี 4 การนาํ เสนอสง่ิ เร๎าหรือเนอ้ื หาสาระใหมํ ผส๎ู อนควรจะจัดสง่ิ เรา๎ ให๎ผ๎เู รียน เหน็ ความสาํ คัญของสิ่งเรา๎ นั้นอยาํ งชดั เจน เพ่ือความสะดวกในการเลือกรับรู๎ของผเ๎ู รียน ข้นั ที่ 5 การให๎แนวการเรียนรู๎ หรอื การจัดระบบข๎อมูลให๎มีความหมาย เพ่ือชํวย ให๎ผูเ๎ รียนสามารถทาํ ความเขา๎ ใจกบั สาระท่ีเรยี นไดง๎ ํายและเร็วขน้ึ ขั้นที่ 6 การกระตนุ๎ ใหผ๎ ู๎เรยี นแสดงความสามารถ เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนมโี อกาส ตอบสนองตอํ ส่งิ เร๎าหรือสาระทเ่ี รยี นซ่งึ จะชํวยใหท๎ ราบถึงการเรยี นรท๎ู ีเ่ กดิ ขึน้ ในตัวผ๎เู รียน ข้ันท่ี 7 การให๎ข๎อมูลปูอนกลับ เปน็ การให๎การเสริมแรงแกํผเู๎ รียน และข๎อมูลท่ี เป็นประโยชนก์ บั ผูเ๎ รียน ขน้ั ท่ี 8 การประเมนิ ผลการแสดงออกของผเ๎ู รยี น เพ่ือชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นทราบวาํ ตนเองสามารถบรรลวุ ัตถุประสงคม์ ากน๎อยเพียงใด ขั้นที่ 9 การสงํ เสรมิ ความคงทนและการถาํ ยโอนการเรียนร๎ู เพือ่ ชวํ ยให๎ผ๎เู รียน เกดิ ความเขา๎ ใจท่ลี ึกซ้ึงข้ึน และสามารถถาํ ยโอนการเรียนร๎ไู ปสํูสถานการณ์อ่ืน ๆ ได๎ 3.1.3 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการนาเสนอมโนทศั น์กว้างลว่ งหน้า (Advance Organizer Model) ขั้นท่ี 1 การจดั เตรียมมโนทศั น์กวา๎ ง โดยการวิเคราะห์หามโนทศั น์ท่กี ว๎างและครอบคลุม เนอ้ื หาสาระใหมํทง้ั หมด หรือการใหด๎ ภู าพรวมของส่ิงที่จะสอน การนําเสนอภาพรวมของสงิ่ ทจ่ี ะสอน การ ทบทวนความรเู๎ ดมิ 48
ขนั้ ที่ 2 การนําเสนอมโนทศั น์กวา๎ ง 1) ผูส๎ อนช้ีแจงวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี น 2) ผส๎ู อนนําเสนอมโนทัศนก์ ว๎างด๎วยวิธกี ารตําง ๆ เชนํ การบรรยายส้ัน ๆ แสดง แผนผังมโนทศั น์ ยกตวั อยําง หรือใช๎การเปรียบเทยี บ เป็นต๎น ขน้ั ท่ี 3 การนาํ เสนอเนือ้ หาสาระใหมขํ องบทเรยี น ผ๎ูสอนนาํ เสนอเน้ือหาสาระท่ีตอ๎ งการให๎ ผ๎เู รียนได๎เรยี นรูด๎ ว๎ ยวธิ กี ารตําง ๆ ขนั้ ท่ี 4 การจัดโครงสร๎างความร๎ู ผ๎สู อนสํงเสรมิ กระบวนการจดั โครงสร๎าง ความรข๎ู อง ผู๎เรียนด๎วยวิธกี ารตาํ ง ๆ 3.1.4 รปู แบบการเรยี นการสอนเนน้ ความจา (Memory Model) การเรียนโดยใช๎เทคนคิ ชวํ ยความจําตําง ๆ ของรูปแบบ นอกจากจะชวํ ยให๎ผเ๎ู รียน สามารถจดจาํ เน้ือหาสาระตาํ งๆ ที่เรียนไดด๎ ีและไดน๎ านแล๎ว ยงั ชํวยให๎ผูเ๎ รียนเกดิ การเรียนร๎กู ลวธิ ีการจาํ ซึ่งสามารถนาํ ไปใชใ๎ นการเรียนร๎ูสาระอน่ื ๆ ได๎อีกมาก ข้ันที่ 1 การสังเกตหรือศึกษา สาระอยํางตงั้ ใจ ผูส๎ อนชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นตระหนกั ร๎ใู นสาระ ทีเ่ รียน โดยการใชเ๎ ทคนิคตําง ๆ ข้นั ท่ี 2 การสร๎างความเช่ือมโยง เมื่อผ๎ูเรยี นไดศ๎ กึ ษาสาระทต่ี ๎องการเรียนรูแ๎ ลว๎ ให๎ ผเู๎ รยี นเช่ือมโยงเนอ้ื หาสํวนตําง ๆที่ตอ๎ งการจดจาํ กับสิง่ ที่ตนคนุ๎ เคย เชํน กับคํา ภาพ หรอื ความคิดตาํ ง ๆ ข้ันที่ 3 การใช๎จนิ ตนาการ เพ่ือให๎จดจําสาระไดด๎ ีข้นึ ให๎ผเ๎ู รยี นใชเ๎ ทคนิคการเช่ือมโยง สาระตําง ๆ ใหเ๎ หน็ เป็นภาพท่ีนําขบขนั เกินความเปน็ จริง ขนั้ ที่ 4 การฝกึ ใช๎เทคนิคตําง ๆ ท่ที าํ ไวข๎ ๎างตน๎ ในการทบทวนความร๎ูและเนื้อหาสาระ ตํางๆ จนกระท่ังจดจาํ ได๎ 3.1.5 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชผ้ ังกราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model) ผ๎เู รยี นจะมคี วามเข๎าใจในเน้อื หาสาระทเี่ รยี นและจดจาํ สิง่ ท่ีเรยี นร๎ูไดด๎ ี นอกจากน้นั ยงั ได๎ เรยี นร๎ูการใช๎ผงั กราฟิกในการเรยี นร๎ตู ําง ๆ ซงึ่ ผูเ๎ รียนสามารถนาํ ไปใช๎ในการเรยี นรู๎เนอื้ หาสาระอืน่ ๆ ไดอ๎ กี มาก 1) การใสํใจ หากบุคคลมีความใสใํ จในข๎อมลู ที่รบั เขา๎ มาทางการสัมผัส ข๎อมลู นั้นก็จะถูกนาํ เข๎าไปสํูความจําระยะสน้ั ตํอไป หากไมํได๎รบั การใสใํ จ ขอ๎ มลู นั้นกจ็ ะเลือน หายไปอยํางรวดเร็ว 2) การรับร๎ู เมือ่ บุคคลใสํใจในข๎อมูลใดที่รบั เข๎ามาทางประสาทสัมผสั บคุ คลก็ จะรับรขู๎ ๎อมลู นน้ั และนําขอ๎ มูลน้ีเขา๎ สูํความจําระยะสนั้ ตํอไป ข๎อมูลทร่ี ับรูน๎ จ้ี ะเป็นความ 49
จรงิ ตามการรบั ร๎ูของบุคคลนั้น ซ่งึ อาจไมใํ ชคํ วามจริงเชิงปรนัย เน่ืองจากเปน็ ความจริงท่ี ผาํ นการตคี วามจากบคุ คลน้นั มาแล๎ว 3) การทําซํ้า หากบคุ คลมกี ระบวนการรักษาข๎อมลู โดยการทบทวนซํ้าแลว๎ ซา้ํ อกี ข๎อมูลนนั้ ก็จะยังคงถูกเก็บรกั ษาไว๎ในความจาํ ปฏบิ ตั กิ าร 4) การเข๎ารหสั หากบุคคลมีกระบวนการสร๎างตวั แทนทางความคิดเก่ียวกับ ขอ๎ มลู นั้นโดยมีการนําข๎อมลู น้ันเข๎าสูคํ วามจําระยะยาวและเชื่อมโยงเข๎ากับสิ่งท่มี ีอยูํแล๎ว ในความจาํ ระยะยาว การเรยี นร๎อู ยาํ งมีความหมายก็จะเกดิ ข้ึน 5) การเรยี กคนื การเรยี กคนื ข๎อมูลท่ีเก็บไวใ๎ นความจําระยะยาวเพ่ือนาํ ออกมา ใช๎ มีความสมั พนั ธ์อยํางใกลช๎ ดิ กบั การเข๎ารหสั หากการเข๎ารหัสทําให๎เกิดการเก็บ ความจาํ ไดด๎ ีมีประสิทธิภาพ การเรยี กคืนก็จะมปี ระสทิ ธภิ าพตามไปดว๎ ย จดุ เด่น ของรปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ พฒั นาดา้ นพทุ ธิพสิ ัย เปน็ รูปแบบการเรยี นการสอนทม่ี งุํ ชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรยี นเกดิ ความรู๎ความเข๎าใจในเน้อื หาสาระ ตําง ๆ ซง่ึ เน้อื หาสาระน้ันอาจอยใํู นรูปแบบของข๎อมูล ข๎อเทจ็ จรงิ มโนทศั หรอื ความคดิ รวบยอด จดุ ด้อย ของรูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ พัฒนาดา้ นพุทธิพิสยั เป็นรปู แบบการเรยี นการสอนไปในทางทฤษฏีเป็นสวํ นมากในการวัดผลประเมนิ ผล จงึ ไมํ สามารถเขา๎ ใจถึงลกั ษณะนสิ ยั ของผ๎ูเรยี น ตามเชงิ พฤตกิ รรม 3.2 รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจติ พิสยั (Affective Domain) รปู แบบการเรียนการสอนในหมวดนี้เปน็ รปู แบบทม่ี ํุงชํวยพัฒนาผเู๎ รยี นให๎เกดิ ความรู๎สึก เจตคติ คํานยิ ม คุณธรรม และจรยิ ธรรมทีพ่ ึงประสงค์ ซ่งึ เป็นเร่ืองทีย่ ากแกกํ ารพฒั นาหรอื ปลกู ฝงั การจดั การเรยี นการสอนตามรูปแบบการสอนทเ่ี พยี งใหเ๎ กิดความรูค๎ วามเขา๎ ใจ มักไมํเพยี งพอตํอ การให๎ผ๎ูเรยี นเกิดเจตคติทด่ี ีได๎ จําเป็นตอ๎ งอาศยั หลักการและวธิ กี ารอนื่ ๆ เพมิ่ เติม รปู แบบท่ีคัดสรรมา นาํ เสนอในทนี่ ี้มี 4 รปู แบบดงั นี้ 2.1 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาด๎านจิตพิสัยของบลูม (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) 2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซกั คา๎ น (Jurisprudential Model) 2.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมติ (Role Playing Model) 50
3.2.1 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาดา้ นจติ พิสยั ของบลูม (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) บลมู ได๎เสนอแนวคิดในการ จดั การเรียนการสอนไว๎ 5 ขั้นตอน คือ 1. ขนั้ การรับรู๎ (Receiving or attending)หมายถงึ การที่ผ๎ูเรยี นได๎รบั ร๎ูคาํ นยิ ม ทต่ี ๎องการจะปลูกฝงั ในตัวผเู๎ รียน 2. ขน้ั การตอบสนอง (Responding) หมายถงึ การที่ผ๎เู รียนไดร๎ ับรแู๎ ละเกิด ความสนใจในคาํ นิยมนน้ั แลว๎ มีโอกาสได๎ตอบสนองในลักษณะใดลักษณะหน่ึง 3. ขัน้ การเห็นคณุ คํา (Valuing) เป็นขนั้ ทผ่ี เู๎ รียนไดร๎ บั ประสบการณ์เกย่ี วกับ คํานิยมน้ัน และเหน็ คุณคําจนทาํ ใหผ๎ ๎ูเรียนมีเจตคติทดี่ ีตํอคํานยิ มนนั้ 4. ข้ันการจัดระบบ (Organization)เป็นขนั้ ทผี่ เู๎ รียนรับคาํ นิยมทต่ี นเห็นคุณคํา นน้ั เข๎ามาอยํูในระบบคาํ นยิ มของตน 5. ขั้นการสรา๎ งลักษณะนสิ ัย (Characterization)เปน็ ข้นั ที่ผ๎ูเรยี นปฏบิ ตั ิตาม คาํ นิยมท่ีตนรับมอยาํ งสมา่ํ เสมอและทาํ จนเปน็ นสิ ัย ซง่ึ ทัง้ 5 ขั้นตอนนส้ี ามารถนํามาใช๎ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลกู ฝงั คาํ นิยมท่ีพึงประสงคห์ รือจิตพิสัยทตี่ ๎องการได๎ 5 ขนั้ ดงั นี้ ขนั้ ที่ 1 การรับร๎คู ํานิยม (Receiving / attending) ผ๎ูสอนจัดประสบการณ์หรอื สถานการณ์ทช่ี ํวยใหผ๎ ๎ูเรยี นได๎รับรูค๎ าํ นิยมน้นั อยํางใสํใจ ให๎นักเรียนมีพฒั นาการในการยอมรบั (อยาํ งใจ กว๎าง) ถงึ ความแตกตาํ งกนั ของสง่ิ ตําง ๆ ท่ผี าํ นเขา๎ มา เชํน คน สงิ่ ของ ผลงาน ปรากฏการณ์ พฤติกรรมท่ี ต๎องการใหเ๎ กดิ คอื 1. การรูต๎ วั (Awareness) เป็นความร๎ูสึกตอํ ส่ิงหน่ึงสิ่งใด เพื่อรับทราบสงิ่ นนั้ ๆ 2. ความเต็มใจรบั ร๎ู (Willingnes) เป็นความพอใจทจี่ ะรับรู๎ แตํไมํมีการตัดสนิ ใจใดๆ 3. การควบคมุ การรับร๎ู (Control) เป็นการเลือกหรือบงั คบั ตนเอง เพ่ือเอาใจใสํ ตอํ สงิ่ หนงึ่ ส่งิ ใด ไมํวาํ จะเปน็ สิ่งเร๎าอยํางใด ขน้ั ที่ 2 การตอบสนองตํอคํานิยม (Responding) ผสู๎ อนจดั สถานการณ์ใหผ๎ ๎เู รยี น มโี อกาสตอบสนองคํานิยมน้ันในลักษณะใดลักษณะหน่ึง เชํน ให๎พดู แสดงความคิดเหน็ ตํอคํานิยมนน้ั ลอง ทําตามคํานยิ ม พฤติกรรมที่ต๎องการใหเ๎ กิด คือ 1. การยนิ ยอมตอบสนอง (Acquiescencs in Responding) 2. ความเต็มใจที่จะโต๎ตอบ (Willingness to Response) 3. ความพงึ พอใจในการตอบสนอง (Satisfaction in Response) 51
ขั้นที่ 3 การเห็นคณุ คําของคํานิยม (Valuing) ผูส๎ อนจัดประสบการณ์หรือ สถานการณ์ทช่ี ํวยให๎ผเ๎ู รียนได๎เห็นคุณคําของคํานยิ มนัน้ เชํนให๎ลองปฏิบัติตามคาํ นิยมแลว๎ ไดร๎ บั การ สนองตอบในทางท่ดี เี หน็ ประโยชน์หรือโทษทเี่ กิดข้ึนจากการปฏิบตั แิ ละไมํปฏบิ ตั ิตามคํานิยมนน้ั พฤติกรรมทีต่ ๎องการให๎เกิด คือ 1. การยอมรับในคณุ คาํ น้ัน (Acceptance of a Value) 2. การชื่นชอบในคณุ คาํ น้นั (Preference for a Value) 3. ความผกู พันในคณุ คําน้นั (Commitment) ขั้นท่ี 4 การจัดระบบคํานิขม (Organization) เม่อื ผู๎เรยี นเหน็ คณุ คําของคํานิยม และเกิดเจตคติที่ดีตํอคาํ นยิ มนัน้ จะเกิดความโนม๎ เอยี งที่จะรับคํานิยมนน้ั มาใชใ๎ นชวี ติ ของตน ผสู๎ อนควร กระตุ๎นให๎ผ๎เู รยี นพจิ ารณาคาํ นยิ มนนั้ กบั คาํ นิยมอื่น ๆ และสรา๎ งความสัมพันธร์ ะหวาํ งคํานิยมตําง ๆ ของ ตน พฤติกรรมที่ผ๎สู อนควรกระตนุ๎ ผเู๎ รยี นเพื่อใหเ๎ กดิ พฤติกรรมคือ 1. การสร๎างมโนทศั น์ในคุณคํานน้ั (Conceptualiazation of a Vaiue) 2. การจัดระบบคุณคํานน้ั (Organization of a Value System) ข้นั ที่ 5 การสรา๎ งลักษณะนิสัย (Characterization by a Value ) ผ๎สู อนสํงเสริม ให๎ผ๎เู รยี นปฏิบัติตนตามคาํ นยิ มนน้ั อยํางสม่ําเสมอ โดยติดตามผลการปฏิบตั ิและใหข๎ ๎อมูลปูอนกลบั และ เสรมิ แรงเปน็ ระยะ จนกระทั่งผ๎เู รยี นปฏบิ ตั ิเป็นนสิ ัย พฤติกรรมท่ีตอ๎ งการใหเ๎ กิดในขน้ั น้ี คือ 1. การมหี ลักยดึ ในการตดั สนิ ใจ (Generalized Set) 2. การปฏบิ ตั ิตามหลักยึดนั้นจนเปน็ นิสยั (Characterization) วตั ถุประสงค์ของจัดการเรียนการสอนเพื่อพฒั นาดา๎ นจติ พิสยั ของบลมู เพ่อื ใหผ๎ เู๎ รียนเกิดการพัฒนาความรูส๎ ึก เจตคติ คาํ นิยม คุณธรรม จริยธรรม ท่พี งึ ประสงค์ อนั จะนาํ ไปสกูํ ารเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมให๎เปน็ ไปตามความต๎องการ ผลท่ผี เ๎ู รียนจะไดร๎ บั จากการจัดการเรียนการสอนท่ีเน๎นจิตพิสัย ผเู๎ รียนจะได๎รบั การปลกู ฝงั คํานยิ มที่พงึ ประสงคจ์ นถึงระดบั ท่สี ามารถปฏบิ ัติได๎จนเปน็ นสิ ัย และได๎กระบวนการในการ ปลกู ฝงั คํานิยมให๎เกิดขึ้นจนสามารถนําไปใชใ๎ นการปลูกฝังคาํ นิยมอ่นื ๆ ใหแ๎ กํตนเองหรือผ๎อู น่ื ตํอไป 3.2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักค้าน (Jurisprudential Model) จอยส์ และ วีล (Joyce & weil, 1996 :106-128) พัฒนารูปแบบนขี้ นึ้ จากแนวคดิ ของโอลิเวอร์และ เชเวอร์ (Oliver and Shaver) เก่ียวกับการตัดสินใจอยํางชาญฉลาดในประเด็นปัญหา ขัดแยง๎ ตาํ ง ๆ ซ่งึ มีสํวนเก่ยี วพนั กับเรอ่ื งคํานิยมทีแ่ ตกตํางกนั ปญั หาดงั กลําวอาจเป็นปัญหาทางสังคม หรือ ปัญหาสํวนตัว ที่ยากแกํการตัดสินใจ การตัดสินใจอยํางชาญฉลาด ก็คือการสามารถเลือกทางที่เป็น ประโยชน์มากท่ีสุด โดยกระทบตํอสิ่งอ่ืน ๆ น๎อยที่สุด ผู๎เรียนควรได๎รับการฝึกฝนให๎รู๎จักวิเคราะห์ปัญหา 52
ประมวลข๎อมูล ตัดสินใจเลือกทางเลือกอยํางมีเหตุผล และแสดงจุดยืนของตนได๎ ผู๎สอนสามารถใช๎ กระบวนการซกั ค๎านอนั เป็นกระบวนการทใ่ี ช๎กนั ในศาล มาทดสอบผู๎เรียนวําจุดยืนท่ีตนแสดงน้ันเป็นจุดยืน ที่แท๎จรงิ ของตนหรือไมํ โดยการใช๎คาํ ถามซักค๎านท่ีชํวยให๎ผู๎เรียนย๎อนกลับไปพิจารณาความคิดเห็นอันเป็น จดุ ยนื ของตน ซง่ึ อาจทําใหผ๎ ๎ูเรียนปรบั เปล่ยี นความคิดเห็นหรือจุดยนื ของตน หรอื ยนื ยันจุดยืนของตนอยําง มั่นใจขึ้น กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ขั้นท่ี 1 นาเสนอกรณีปัญหา ประเด็นปัญหาทน่ี ําเสนอควรเป็นประเดน็ ท่ีมที างออกให๎คิดได๎หลาย คําตอบ ควรเป็นประโยคที่มีคําวํา “ควรจะ..” เชํน ควรออกกฎหมายห๎ามคนสูบ บุหรี่หรอื ไมํ ? ควรอนญุ าตให๎นกั เรยี นประกวดนางงามหรือไมํ อยํางไรก็ตามควร หลีกเล่ียงประเด็นปัญหาที่เก่ียวข๎องกับความเช่ือทางศาสนาท่ีแตกตํางกัน วิธีการ นําเสนออาจกระทําได๎หลายวิธี เชํน การอํานเร่ืองให๎ฟัง การให๎ดูภาพยนตร์ การ เลําประวัติความเป็นมา ครูต๎องระลึกเสมอวําการนําเสนอปัญหาน้ันต๎องทําให๎ นักเรียนไดร๎ ข๎ู อ๎ เทจ็ จริงท่ีเกีย่ วข๎องกับปัญหา ร๎ูวําใครทําอะไร เม่ือใด เพราะเหตุใด และมีแงมํ มุ ของปัญหาที่ขัดแย๎งกันอยํางไร ให๎ผ๎ูเรียนประมวลข๎อเท็จจริงจากกรณี ปัญหาและวเิ คราะหห์ าคาํ นยิ มทเี่ กยี่ วข๎องกัน ขนั้ ท่ี 2 ให้ผู้เรียนแสดงจดุ ยืนของตนเอง ข้ันที่ 3 ผ้สู อนใช้คาถาม ท่ีมีลกั ษณะดังตัวอยํางตํอไปนี้ 3.1) ถ๎ามีจดุ ยนื อน่ื ๆ ใหเ๎ ลอื กอกี ผูเ๎ รียนยงั ยนื ยนั ท่ีจะเลือกจุดยนื เดิม หรอื ไมํ เพราะอะไร 3.2) หากสถานการณ์แปรเปล่ียนไปผเู๎ รียนยงั จะยืนยันทจ่ี ะเลือกจุดยืน เดิมนห้ี รอื ไมํ เพราะอะไร 3.3) ถา๎ ผ๎ูเรยี นตอ๎ งเผชิญกบั สถานการณอ์ ืน่ ๆ จะยังยืนยันจุดยืนนี้หรอื ไมํ 3.4) ผเ๎ู รียนมีเหตผุ ลอะไรทย่ี ึดม่นั กับจุดยืนนั้น จุดยืนน้ันเหมาะสมกบั สถานการณ์ทีเ่ ป็นปญั หานน้ั หรอื ไมํ 3.5) เหตุผลทีย่ ึดมนั่ กับจุดยืนนน้ั เป็นเหตผุ ลท่ีเหมาะกบั สถานการณ์ที่ เปน็ อยูํหรอื ไมํ 3.6) ผูเ๎ รียนมขี ๎อมูลเพยี งพอที่จะสนบั สนุนจดุ ยนื น้ันหรอื ไมํ 3.7) ข๎อมูลท่ีผเ๎ู รียนใชเ๎ ปน็ พ้ืนฐานของจดุ ยืนนัน้ ถกู ตอ๎ งหรอื ไมํ 3.8) ถ๎ายดึ จุดยืนนีแ้ ล๎วผลทเี่ กดิ ข้นึ ตามมาคืออะไร 53
3.9) เม่อื รผู๎ ลทเ่ี กิดตามมาแล๎ว ผ๎เู รยี นยงั ยืนยันที่จะยึดถือจดุ ยืนนี้อีก หรือไมํ ขั้นท่ี 4 ผ้เู รยี นทบทวนในคา่ นยิ มของตนเอง ผส๎ู อนเปดิ โอกาสใหผ๎ เู๎ รียนพิจารณาปรับเปลี่ยน หรอื ยืนยนั ในคาํ นยิ ม ทย่ี ึดถอื ขั้นที่ 5 ผู้เรียนตรวจสอบและยืนยนั จดุ ยืนใหม่/เกา่ ของตนอีกครง้ั และผู๎เรยี น พยายามหาข๎อเทจ็ จรงิ ตาํ ง ๆ มาสนบั สนุนคาํ นิยมของตนเพ่ือยนื ยนั วาํ สิง่ ทีต่ น ยดึ ถอื อยํูนนั้ เป็นคํานิยมทีแ่ ท๎จรงิ ของตน 3.2.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Model) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ พัฒนาขน้ึ โดย แชฟเทล และ แชฟเทล (Shaftel and Shaftel, 1967: 67-71) ซ่ึงให๎ความสําคัญกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล เขากลําววํา บุคคลสามารถเรียนร๎ูเก่ียวกับตนเองได๎จากการปฏิสัมพันธ์กับผู๎อื่น และความร๎ูสึกนึกคิดของ บุคคลกเ็ ปน็ ผลมาจากมกี ารปะทะสัมพนั ธ์กบั สง่ิ แวดล๎อมรอบข๎าง และได๎ส่ังสมไว๎ภายในลึก ๆ โดยที่บุคคล อาจไมํรู๎ตัวเลยก็ได๎ การสวมบทบาทสมมติเป็นวิธีการท่ีชํวยให๎บุคคลได๎แสดงความร๎ูสึกนึกคิดตําง ๆ ที่อยํู ภายในออกมา ทําให๎สิ่งท่ีซํอนเร๎นอยูํเปิดเผยออกมา และนํามาศึกษาทําความเข๎าใจกันได๎ ชํวยให๎บุคคล เกิดการเรียนร๎เู ก่ยี วกับตนเอง เกดิ ความเขา๎ ใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การที่บุคคลสวมบทบาทของผ๎ูอื่น กส็ ามารถชํวยให๎ผ๎เู รียนเกิดความเข๎าใจในความคิด คํานิยม และพฤตกิ รรมของผอ๎ู ืน่ ไดเ๎ ชนํ เดยี วกนั กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ขัน้ ที่ 1 นําเสนอสถานการณ์ปญั หาและบทบาทสมมติ ผ๎ูสอนนาํ เสนอ สถานการณ์ ปญั หา และบทบาทสมมติ ที่มลี ักษณะใกล๎เคียงกับความเป็นจริง และมีระดับยากงําย เหมาะสมกับวยั และความสามารถของผู๎เรยี น บทบาทสมมติท่กี ําหนด จะมีรายละเอยี ดมากนอ๎ ยเพียงใด ขนึ้ อยูํกับวัตถุประสงค์ในการเรยี นการสอน ถ๎าต๎องการให๎ผูเ๎ รยี นเปดิ เผยความคิด ความรส๎ู ึกของตนมาก บทบาทท่ีใหค๎ วรมีลักษณะเปิดกวา๎ ง กาํ หนดรายละเอยี ดให๎นอ๎ ย แตถํ า๎ ต๎องการจะเจาะประเดน็ เฉพาะ อยาํ ง บทบาทสมมติอาจกําหนดรายละเอยี ด ควบคุมการแสดงของผ๎ูเรยี นให๎มุงํ ไปท่ปี ระเด็นเฉพาะน้นั ขั้นท่ี 2 เลอื กผ๎แู สดง ผ๎ูสอนและผ๎ูเรยี นจะรวํ มกันเลือกผู๎แสดง หรือใหผ๎ เ๎ู รยี น อาสาสมัครกไ็ ด๎ แลว๎ แตํความเหมาะสมกบั วตั ถุประสงค์ และการวนิ ิจฉยั ของผ๎ูสอน ขนั้ ที่ 3 จดั ฉาก การจัดฉากน้ันจัดไดต๎ ามความพรอ๎ มและสภาพการณ์ท่ีเป็นอยูํ ขั้นที่ 4 เตรยี มผ๎ูสงั เกตการณ์ กํอนการแสดงผ๎ูสอนจะต๎องเตรยี มผ๎ูชมวํา ควร สงั เกตอะไร และปฏบิ ตั ติ วั อยํางไรเพื่อใหเ๎ กดิ การเรียนร๎ูทดี่ ี ข้นั ที่ 5 แสดง ผ๎ูแสดงมีความสาํ คัญเป็นอยํางย่ิงในการทจ่ี ะทําใหผ๎ ๎ชู มเข๎าใจ 54
เรื่องราวหรอื เหตุการณ์ ผแู๎ สดงจะต๎องแสดงออกตามบทบาททตี่ นไดร๎ บั ให๎ดที สี่ ุด ขนั้ ที่ 6 อภปิ รายและประเมินผล การอภปิ รายผลสํวนใหญํจะแบํงเป็นกลมุํ ยํอย การอภิปรายจะเปน็ การแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกับเหตุการณ์ การแสดงออกของผ๎แู สดง และควรเปิด โอกาสใหผ๎ ู๎แสดงได๎แสดงความคิดเหน็ ด๎วย ขั้นที่ 7 แสดงเพ่มิ เตมิ ควรมีการแสดงเพม่ิ เติมหากผเ๎ู รยี นเสนอแนะทางออกอ่ืน นอกเหนือจากที่ได๎แสดงไปแล๎ว ข้ันที่ 8 อภิปรายและประเมินผลอีกครัง้ หลังจากการแสดงเพิ่มเตมิ กลุมํ ควร อภิปราย และประเมินผลเก่ยี วกบั การแสดงครัง้ ใหมํด๎วย ขัน้ ที่ 9 แลกเปลยี่ นประสบการณ์และสรปุ การเรยี นรู๎ แตํละกลุมํ สรุปผลการ อภิปรายของกลํมุ ตน และหาขอ๎ สรุปรวม หรอื การเรียนรูท๎ ่ไี ดร๎ บั เก่ยี วกบั ความร๎ูสึก ความคดิ เห็น คํานิยม คณุ ธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมของบคุ คล วเิ คราะหจ์ ดุ เดํน จุดด๎อย ของรปู แบบการสอนท่นี ําเสนอมาในขนั้ ต๎น รปู แบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาด๎านจิตพสิ ยั ของบลมู จดุ เดนํ คอื มีการนาํ เอาหัวขอ๎ ทีส่ ําคัญอยํางมากของการคิดเเละกําหนดโครงสรา๎ ง สามารถนาํ ไปปฎบิ ัติใชง๎ านได๎ จุดด๎อย คือ การดําเนินการในขั้นตอนทั้ง 5 ขนั้ ไมํสามารถทาํ ไดใ๎ นระยะเวลาอนั ส้ัน ตอ๎ ง อาศยั เวลา โดยเฉพาะในข้ันที่ 4 และ 5 ต๎องการเวลาในการปฏิบตั ิ ซงึ่ อาจจะมากน๎อยแตกตําง กนั ไปในผเ๎ู รียนแตลํ ะคน 3.3 รปู แบบเนน้ ด้านทักษะพิสยั ทกั ษะพสิ ยั เป็นกระบวนการที่ เปน็ ความสามารถของนักเรยี นหรือผ๎ูเขา๎ รับการ ฝึกอบรมในด๎านท่ีเก่ียวข๎องกับการปฏิบัติหรือการกระทํา ด๎วยการแสดงออกตํางๆทั้งที่เกี่ยวข๎องกับการ พัฒนาทาง รํางกาย และการแสดงออกมาให๎เห็นทางด๎านรํางกาย ซ่ึงเป็นการทํางานของกล๎ามเน้ือที่อาจ ซับซ๎อนต๎องใช๎ กล๎ามเนื้อหลายสํวนประกอบกันซ่ึงเกิดจากการส่ังงานของสมองซ่ึงต๎องมีปฏิสัมพันธ์กับ ความรส๎ู กึ ท่เี กดิ ขึ้นและทักษะสํวนใหญทํ ี่เกดิ ขนึ้ ภายในรํางกายก็ได๎ เชํน ทักษะด๎านการคิดเป็นการฝึกการ ใชง๎ านสมองใหเ๎ กิด ประสทิ ธิภาพซึง่ จะสามารถแสดงออกมา ให๎เหน็ เปน็ ภาพ ภายนอกอกี คร้ัง ตัวอยํางเชํน การฝึกฝนงานการออกแบบเส้ือผ๎าเม่ือมีทักษะความคิด ที่ดีเย่ียมในการออก แบบเสื้อผ๎าแล๎ว เมื่อนํางาน ออกแบบเส้ือผ๎า ดังกลําวไปตัดเย็บจะได๎ให๎เห็น ผลงานท่ีดีเย่ียมตามมาเชํนกัน นั่นคือจะได๎เสื้อผ๎าท่ีมี ความสวยงามน่ันเอง ดังนั้นสามารถสรุปได๎วํา ความหมายของทักษะ ไมํได๎เป็นเพียงพฤติกรรมที่เกิดข้ึน จากการใช๎ราํ งกาย 55
ภายนอกอยํางเดียวเทาํ นนั้ แตํเปน็ พฤติกรรมท่สี ามารถเกดิ ขึ้นภายในราํ งกายก็ได๎ เชนํ สมองความคิดหรอื การฝกึ ฝนความคดิ และสตปิ ัญญา ทเี่ รียกวาํ ทักษะทางปัญญา หรือทักษะทาง ความคิด ซ่ึงไมํได๎เป็นการฝกึ ให๎จําอยํางเดยี วเทํานั้น เชํน อาชีพโปรแกรมเมอร์ หรอื Graphic Designer, หรอื นักออกแบบภาพเคลอื่ นไหว ทเ่ี รียกวาํ นกั Animator เปน็ ตน๎ ทักษะสวํ นใหญํประกอบด๎วยทกั ษะ ยํอยๆ โดยทักษะน้ีพฒั นาไดด๎ ๎วยการฝึกฝนท่ํดีจึงจะเกดิ ความ ชาํ นาญในการใช๎งานรํางกายสวํ นตํางๆ นนั่ เอง ในทีน่ ้ีจะกลําวถงึ รูปแบบซึ่งเป็นทฤษฎดี า๎ นทักษะพิสัยของเดฟ (Dave'model) ซมิ ซนั (Simson's model) แฮร์โรว์ (Harrow's model) ทีไ่ ดจ๎ ดั ลําดบั ข้ันพฤตกิ รรมดา๎ นทักษะพสิ ยั โดยแบงํ ตาม พัฒนาการ 3.3.1 รปู แบบการเรยี นการสอนทักษะปฏิบัตขิ องเดฟ (Dave) ทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) พฤตกิ รรมการเรยี นรูท๎ บ่ี ํงถึงความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิ งานไดอ๎ ยํางคลํองแคลํวชาํ นชิ าํ นาญ พฤติกรรมด๎านน้ีจะเห็นได๎จากกระทําซ่ึงแสดงผลของการ ปฏบิ ตั อิ อกมาไดโ๎ ดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงาน เป็นตัวช้ีระดบั ของทักษะที่เกิดวํามมี ากน๎อย เพยี งใด การทีจ่ ะทาํ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นเกดิ การเรียนร๎ทู างดา๎ นทักษะพิสยั ผเ๎ู รียนจะต๎องพรอ๎ มท่ีจะใช๎อวัยวะตําง ๆ พฤติกรรมดา๎ นทักษะพสิ ัย ประกอบด๎วย พฤติกรรมยํอย ๆ 5 ขั้น ดงั นี้ 1. การรับร๎ู เป็นการให๎ผ๎ูเรียนไดร๎ บั รหู๎ ลักการปฏบิ ตั ิทีถ่ ูกต๎อง หรือ เปนู การเลอื ก หาตวั แบบทีส่ นใจ 2. กระทําตามแบบ หรอื เคร่ืองชี้แนะ เปน็ พฤติกรรมทีผ่ ๎ูเรยี นพยายามฝกึ ตาม แบบท่ตี นสนใจและพยายามทําซํ้า เพ่ือที่จะใหเ๎ กิดทักษะตามแบบทต่ี นสนใจใหไ๎ ด๎ หรอื สามารถปฏิบัติงานได๎ตามขอ๎ แนะนํา 3. การหาความถูกต๎อง เป็นพฤติกรรมทผ่ี ๎ูเรียนสามารถปฏิบตั ิงานไดด๎ ว๎ ยตนเอง โดยไมํตอ๎ งอาศัยเคร่ืองช้ีแนะ เม่ือได๎กระทําซา้ํ แล๎ว กพ็ ยายามหาความถูกต๎องใน การปฏบิ ัติ ซ่ึงจะพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง อาจจะเหมือนหรือไมเํ หมือนกบั ตัว แบบเดมิ ก็ได๎ 4. การกระทาํ อยํางตอํ เนื่อง หลงั จากท่ไี ด๎ตดั สนิ ใจเลือกรปู แบบท่เี ป็นของตวั เองก็ จะมีการกระทําตามรปู แบบน้ันอยํางตํอเน่ือง จนปฏบิ ัติงานทย่ี งํุ ยากซบั ซอ๎ นได๎ เป็นพฤติกรรมทผ่ี ูเ๎ รยี นสามารถปฏิบตั ิงานได๎อยํางรวดเร็ว ถูกต๎อง และคลํองแคลํว น่นั คือ เกดิ ทกั ษะขนึ้ แล๎ว การที่จะทําใหผ๎ ู๎เรยี นเกดิ ทักษะได๎จะต๎องอาศัยการ ฝึกฝนในเรือ่ งนน้ั ๆ และกระทาํ อยํางสมาํ่ เสมอ 56
5. การกระทาํ ได๎อยํางเป็นธรรมชาติ เปน็ พฤติกรรมสุดท๎ายที่จะได๎จากการฝึก อยาํ งตํอเน่อื ง จนสามารถปฏิบตั สิ ่ิงนัน้ ๆ ได๎คลํองแคลวํ วํองไว โดยอตั โนมตั ิ ดู เป็นไปอยาํ งธรรมชาตไิ มํขดั เขิน ซง่ึ ถอื เป็นความสามารถของการปฏบิ ตั ิในระดับสูง 3.3.2 รปู แบบการเรยี นการสอนทกั ษะปฏิบตั ขิ องแฮร์โรว์ แฮร์โรว์ (Harrow. 1972) ได๎จัดลาํ ดับขนั้ ของการเรียนรู๎ทางกกดา๎ นทักษะ ปฏิบตั ิ โดยเริ่มจากระดบั ท่ีซับซ๎อนน๎อยไปจนถึงระดบั ท่มี ีความซับซ๎อนมากซ่งึ กระบวนการเรียนการสอน ของรปู แบบมที ั้ง หมด 5 ขนั้ คอื ระเบยี บวธิ กี ารสอน(Methodology) 1. ข้นั การเลียนแบบ เป็นขั้นทที่ าํ ให๎ผู๎เรียนสังเกตการกระทํา ท่ีตอ๎ งการให๎ผ๎ูเรียน ทําไดม๎ ุํงให๎ผ๎ูเรยี นยํอมจะรบั รู๎หรอื สงั เกตเหน็ รายละเอียดตาํ ง ๆ ไดไ๎ มํครบถ๎วน แตํอยาํ งน๎อยผูเ๎ รยี นจะ สามารถบอกไดว๎ าํ ขนั้ ตอนหลักของการกระทําน้นั ๆ มอี ะไรบ๎าง 2. ขัน้ การลงมอื กระทําตามคาํ สัง่ เม่อื ผู๎เรยี นได๎เห็น และสามารถบอกขน้ั ตอนของ การกระทํา ทตี่ ๎องการเรียนร๎แู ลว๎ ใหผ๎ ๎ูเรยี นลงมอื ทาํ โดยไมมํ ีแบบอยาํ งให๎เห็น ผู๎เรียนอาจลงมือทําตามคําส่ัง ของผ๎ูสอน หรือทําตามคํา ส่ังที่ผ๎สอนเขียนไว๎ในคํูมือก็ได๎ การลงมือปฏิบัติตามคําส่ังน้ีแม๎ผู๎เรียนจะยังไมํ สามารถทํา ได๎อยํางสมบูรณ์แตํอยํางน๎อยผู๎เรียนก็ได๎ประสบการณ์ใน การลงมือทํา และค๎นพบปัญหาตําง ๆ ซึ่งชํวยให๎ เกดิ การเรียนร๎ู และการปรับการกระทํา ให๎ถูกต๎องสมบรู ณ์ข้ึน 3. ขั้นการกระทําอยาํ งถูกต๎องสมบรู ณ์ (Precision) ขน้ั นี้เป็นข้ันท่ผี ู๎เรยี นจะต๎อง ฝึกฝนจนสามารถทาํ สิง่ น้ัน ๆ ได๎อยาํ งถกู ตอ๎ งสมบูรณ์ โดยไมจํ าํ เป็นต๎องมแี บบอยาํ งหรือมีคาํ สง่ั นําทางการ กระทาํ ทถี่ กู ต๎องแมนํ ยาํ ตรง พอดีสมบูรณแ์ บบ เป็นสิง่ ที่ผู๎เรยี นจะตอ๎ งสามารถทาํ ได๎ในข้ันนี้ 4. ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขัน้ นี้เปน็ ขน้ั ทผี่ เู๎ รยี นมีโอกาสไดฝ๎ ึกฝนมากขนึ้ จนกระท่งั สามารถกระทาํ ส่ิงน้ันได๎ถูกตอ๎ งสมบรู ณ์แบบ อยาํ งคลํองแคลํว รวดเรว็ ราบรน่ื และด๎วยความ ม่ันใจ 5. ขั้นการกระทาํ อยาํ งเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ข้นั นเ้ี ปน็ ขนั้ ทผ่ี ู๎เรยี น สามารถกระทํา สงิ่ นั้น ๆอยาํ งสบาย เปน็ ไปอยํางอัตโนมัตโิ ดยไมํรส๎ู ึกวําต๎องใช๎ความพยายาม เปน็ พิเศษ ซง่ึ ตอ๎ งอาศยั การปฏิบตั ิบํอย ๆ ในสถานการณ์ตําง ๆ ท่ีหลากหลาย 57
3.3.3 รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ขิ อง Simpson ซมิ พซ์ นั (Simpson. 1972) กลาํ ววํา ทกั ษะปฏบิ ัตนิ ีส้ ามารถพฒั นาไดด๎ ๎วยการ ฝึกฝน ซ่ึงหากไดร๎ ับการฝึกฝนทดี่ แี ล๎ว จะเกิดความถูกต๎อง ความคลํองแคลวํ ความเชี่ยวชาญชาํ นาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทาํ สามารถสังเกตได๎จากความรวดเรว็ ความแมนํ ยาํ ความ แรงหรือความราบรื่นในการจัดการ ซึ่งกระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบมีทัง้ หมด 7 ขั้น คอื ระเบียบวธิ กี ารสอน(Methodology) 1. ข้ันการรับร๎ู (Perception) เป็นขนั้ การให่๎ผ๎เรียนรบั ่รใ๎ นส่ิงทจ่ี ะทําโดยการให๎ ผู๎เรียนสังเกตการณ์ทาํ งานน้ันอยาํ งตั้งใจ 2. ขั้นการเตรียมความพร๎อม (Readiness) เปน็ ขัน้ การปรับตวั ให๎พร๎อมเพ่ือการ ทาํ งานหรือแสดงพฤติกรรมน้ัน ทัง้ ทางดา๎ นรํางกาย จติ ใจ และอารมณ์ โดยการปรบั ตัวให๎พรอ๎ มทีจ่ ะทํา การเคลื่อนไหวหรอื แสดงทักษะนน้ั ๆ และมจี ิตใจและสภาวะอารมณ์ท่่ีดีตอํ การที่จะทํา หรือแสดงทักษะ น้นั ๆ 3. ขัน้ การสนองตอบภายใต๎การควบคมุ (Guided Response) เป็นขัน้ ทใี่ ห๎โอกาส แกผํ ู๎เรียนในการตอบสนองตํอสงิ่ ทรี่ ับ่รซ๎ ึ่งอาจใช๎วธิ ีการใหผ๎ เ๎ู รียนเลียนแบบการกระทํา หรือการแสดง ทักษะนน้ั หรืออาจใช๎วิธีการใหผ๎ ู๎เรียนลองผิดลองถูก (Trial and Error) จนกระท่ังสามารถตอบสนองได๎ อยาํ งถูกต๎อง 4. ขั้นการให๎ลงมือกระทาํ จนกลายเปน็ กลไกทสี่ ามารถกระทํา ได๎เอง (Mechanism) เป็นขั้นที่ชวํ ยใหผ๎ ู๎เรยี นประสบผลสาํ เร็จในการปฏบิ ัตแิ ละเกดิ ความเชื่อมนั่ ในการทาํ สงิ่ นน้ั ๆ 5. ขน้ั การกระทาํ อยาํ งชาํ นาญ (Complex Overt Response) เป็นข้ันท่ชี วํ ยให๎ ผู๎เรยี นได๎ฝกึ ฝนการกระทําน้ัน ๆ จนผ๎ูเรียนสามารถทาํ ได๎อยํางคลํองแคลวํ ชาํ นาญเป็นไปโดยอัตโนมตั แิ ละ ด๎วยความเชื่อมั่นในตนเอง 6. ขั้นการปรับปรงุ และประยุกตใ์ ช๎ (Adaptation) เป็นขนั้ ทชี่ วํ ยใหผ๎ ู๎เรียนปรับปรุง ทักษะหรอื การปฏบิ ตั ิของตนใหด๎ ยี ง่ิ ข้นึ และประยุกต์ใช๎ทกัษะที่ ตนไดร๎ บั การพัฒนาในสถานการณ์ตําง ๆ 7. ขัน้ การคดิ รเิ ริ่ม (Origination) เมอ่ื ผ๎เู รยี นสามารถปฏบิ ตั ิหรอื กระทําสิง่ ใด สิ่งหน่ึงอยาํ ง ชาํ นาญและสามารถประยุกตใ์ ช๎ในสถานการณท์ ่ีหลาก หลายแลว๎ ผู๎ปฏบิ ัตจิ ะเร่ิมเกิด ความคิดใหมํ ๆ ในการ กระทาํ หรอื ปรับการกระทาํ นั้นให๎เปน็ ไปตามทตี่ นต๎องการ ตวั อยาํ งการจดั การเรยี นการสอนท่ีเนน๎ ทางดา๎ น ทกั ษะพสิ ยั ท่ไี ดร๎ บั ความนยิ มใน ปัจจุบัน เชํน การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL (Problem Based Learning) เป็นรูปแบบการ แก๎ปัญหาในการทํางาน และ Project Based Learning ที่จะมรี ูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน๎ ให๎ผู๎เรียนได๎ คิด วิเคราะห์จากปัญหาในการเรียนการสอน และมีเคร่ืองมือในการวัดการจัดการเรียนการสอนทางด๎าน ทกั ษะพสิ ยั คอื “ชน้ิ งาน” ที่ได๎จากการทาํ แล๎วนํามาประเมนิ ผลการเรียนร๎ูทีน่ ักเรียนไดร๎ ับ 58
จดุ เดน่ ดา้ นทักษะพสิ ยั สงํ เสริมให๎ผเู๎ รยี นไดเ๎ กดิ การเรียนรแ๎ู ละสรา๎ งองคค์ วามรดู๎ ๎วยตนเอง ปฎบิ ัติผลงานไดอ๎ ยําง คลํองแคลํว และมีความชํานาญ ปฎิบัติงานได๎อยํางสร๎างสรรค์ ประณีต สะอาด เรียบร๎อย สามารถสังเกต และบันทึกพฤติกรรมได๎ มีผลงาน / โครงงานของนักเรียน สามารถนําช้ินงานท่ีทําขึ้น มาไปใช๎ได๎จริง ชวํ ยใหผ๎ เู๎ รยี นมีความสนุกสนานทจ่ี ะเรยี นร๎ูการทําชน้ิ งาน จุดด้อยด้านทักษะพสิ ัย ในการผลิตชิน้ งานแตลํ ะชิ้นใช๎ระยะเวลานาน มชี ํองโหวํในการให๎คะแนนของอาจารย์ วสั ดอุ ปุ กรณบ์ างอยาํ งมีราคาแพง ข๎อจํากัดในเรื่องความแตกตาํ งระหวาํ งบุคคลของผเ๎ู รยี นอาจจะเป็น ปัญหาตํอการเรยี นร๎ู การใช๎เวลาอาจไมํพอตํอเนื้อหาทจี่ ะสอน การทดลองบางอยาํ งอาจเกดิ อันตรายได๎ การควบคมุ ช้ันเรยี นทําไดย๎ าก 3.4 รปู แบบเน้นทกั ษะกระบวนการ รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี น๎นการพัฒนาทักษะ กระบวนการ (process skill) ทักษะกระบวนการ เปน็ ทกั ษะทีเ่ กยี่ วข๎องกบั วธิ ดี ําเนินการตาํ ง ๆ ซงึ่ อาจเป็น กระบวนการทางสติปัญญา เชํน กระบวนการสืบสอบแสวงหาความร๎ู หรือกระบวนการคิดตําง ๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ การอุปนัย การนิรนัย การใช๎เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ และการคิด อยํางมวี ิจารณญาณ เปน็ ตน๎ หรอื อาจเป็นกระบวนการทางสังคม เชํน กระบวนการทํางานรํวมกัน เป็นต๎น ปัจจุบันการศึกษาให๎ความสําคัญกับเร่ืองน้ีมาก เพราะถือเป็นเคร่ืองมือสําคัญในการดํารงชีวิต ในท่ีนี้จะ นําเสนอรปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการสบื สอบและแสวงหาความรูเ๎ ป็นกลมุํ 3.4.1 รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความร้เู ปน็ กลมุ่ (Group Investigation Instructional Model) Joyce & Weil (1996: 80-88) เป็นผ๎พู ฒั นารปู แบบน้ีจากแนวคดิ หลกั ของ Thelen 2 แนวคิด คือแนวคิดเก่ียวกับการสืบเสาะแสวงหาความร๎ู(inquiry) และแนวคิดเก่ียวกับความร๎ู (knowledge) Thelen ได๎อธิบายวํา สิ่งสําคัญที่สามารถชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดความร๎ูสึกหรือความต๎องการท่ี จะสืบค๎นหรือเสาะแสวงหาความร๎ูก็คือตัวปัญหา แตํปัญหาน้ันจะต๎องมีลักษณะที่มีความหมายตํอผ๎ูเรียน และท๎าทายเพียงพอที่จะทําให๎ผู๎เรียนเกิดความต๎องการท่ีจะแสวงหาคําตอบ นอกจากน้ันปัญหาที่ชวนให๎ เกิดความงุนงงสงสัย หรือกํอให๎เกิดความขัดแย๎งทางความคิด จะย่ิงทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดความต๎องการที่จะ เสาะแสวงหาความร๎ูหรือคําตอบมากย่ิงขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยูํในสังคม ต๎องมีปฏิสัมพันธ์กับผู๎อื่นใน สังคม เพื่อสนองความต๎องการของตนทั้งทางด๎านรํางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม ความ ขดั แยง๎ ทางความคิดที่เกดิ ขึ้นระหวํางบุคคลหรือในกลุํม จงึ เป็นสงิ่ ทีบ่ คุ คลต๎องพยายามหาหนทางขจัดแก๎ไข 59
หรือจัดการทําความกระจํางให๎เป็นท่ีพอใจหรือยอมรับทั้งของตนเองและผ๎ูเกี่ยวข๎อง สํวนในผ เร่ื อง “ความร”ู๎ นัน้ เธเลนมีความเหน็ วํา ความรู๎เปน็ เปูาหมายของกระบวนการสืบสอบท้งั หลาย ความรู๎เป็นสิ่งท่ี ได๎จากการนําประสบการณ์หรือความร๎ูเดิมมาใช๎ในประสบการณ์ใหมํ ดังน้ัน ความรู๎จึงเป็นส่ิงที่ค๎นพบผําน กระบวนการสบื สอบโดยอาศยั ความร๎ูและประสบการณ์ รปู แบบนี้มํุงพัฒนาทักษะในการสบื สอบเพ่ือให๎ได๎มาซึง่ ความรู๎ความเขา๎ ใจ โดยอาศัยกลุมํ ซึ่งเปน็ เคร่ืองมือทางสังคมชวํ ยกระตุน๎ ความสนใจหรือความอยากรู๎และชวํ ยดาํ เนินงานการแสวงหาความรู๎ หรอื คําตอบทีต่ ๎องการ กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ขั้นท่ี 1 ให๎ผเ๎ู รยี นเผชญิ ปัญหาหรือสถานการณท์ ่ชี วนใหง๎ ุนงงสงสัยปัญหาหรอื สถานการณ์ที่ใช๎ในการกระต๎ุนความสนใจและความต๎องการในการสืบสอบและแสวงหาความรู๎ตํอไปนั้น ควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผู๎เรียน และจะต๎องมี ลกั ษณะทช่ี วนให๎งุนงงสงสยั เพื่อท๎าทายความคิดและความใฝุรขู๎ องผูเ๎ รยี น ขั้นท่ี 2 ให๎ผู๎เรียนแสดงความคิดเห็นตํอปัญหาหรือสถานการณ์น้ัน ผู๎สอนกระตุ๎นให๎ ผู๎เรียนแสดงความคิดเห็นอยํางกว๎างขวาง และพยายามกระตุ๎นให๎เกิดความขัดแย๎งหรือความแตกตํางทาง ความคิดข้ึน เพ่ือท๎าทายให๎ผู๎เรียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข๎อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิด ของตน เม่ือมีความแตกตํางทางความคิดเกิดข้ึน ผู๎สอนอาจให๎ผ๎ูเรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลํุมกัน หรืออาจรวมกลมํุ โดยใหแ๎ ตลํ ะกลํุมมีสมาชิกท่ีมคี วามคิดเหน็ แตกตํางกนั ก็ได๎ ขั้นท่ี 3 ใหผ๎ ู๎เรียนแตลํ ะกลํุมรวํ มกันวางแผนในการแสวงหาความรู๎ เมอ่ื กลํมุ มีความ คิดเห็นแตกตํางกันแล๎ว สมาชิกแตํละกลํุมชํวยกันวางแผนวํา จะแสวงหาข๎อมูลอะไร กลํุมจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลํุมจําเป็นต๎องมีข๎อมูลอะไร และจะไปแสวงหาที่ไหน หรือจะได๎ข๎อมูลน้ันมาได๎ อยาํ งไร จะตอ๎ งใช๎เคร่ืองมืออะไรบ๎าง เมื่อได๎ข๎อมูลมาแล๎ว จะวิเคราะห์อยํางไร และจะสรุปผลอยํางไร ใคร จะชํวยทําอะไร จะใช๎เวลาเทําใด ข้ันน้ีเป็นข้ันท่ีผ๎ูเรียนจะได๎ฝึกทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลํุม ผ๎ูสอนทําหน๎าท่ีอํานวยความสะดวกในการทํางานให๎แกํผ๎ูเรียน รวมทง้ั ให๎คําแนะนาํ เก่ยี วกบั การวางแผน แหลํงความรู๎ และการทาํ งานรวํ มกัน ขน้ั ท่ี 4 ใหผ๎ ูเ๎ รยี นดําเนินการแสวงหาความร๎ู ผ๎เู รียนดําเนนิ การเสาะแสวงหาความร๎ูตาม แผนงานทีไ่ ด๎กําหนดไว๎ ผส๎ู อนชํวยอาํ นวยความสะดวก ให๎คําแนะนําและตดิ ตามการทํางานของผเู๎ รยี น ข้ันที่ 5 ให๎ผ๎เู รยี นวเิ คราะหข์ อ๎ มลู สรุปผลข๎อมลู นาํ เสนอและอภปิ รายผล เมือ่ กลมุํ รวบรวมขอ๎ มูลได๎มาแลว๎ กลํมุ ทําการวเิ คราะห์ข๎อมลู และสรุปผล ตํอจากน้ันจึงให๎แตลํ ะกลุํมนําเสนอผล อภิปรายผลรวํ มกันทงั้ ชนั้ และประเมินผลทง้ั ทางด๎านผลงานและกระบวนการเรียนรูท๎ ี่ได๎รบั ขน้ั ท่ี 6 ให๎ผ๎ูเรยี นกาํ หนดประเด็นปญั หาท่ตี ๎องการสบื เสาะหาคําตอบตอํ ไป การสบื สอบ และเสาะแสวงหาความรข๎ู องกลุํมตามข้นั ตอนขา๎ งต๎นชํวยให๎กลมํุ ได๎รบั ความร๎ู ความเขา๎ ใจ และคาํ ตอบใน 60
เรอื่ งที่ศกึ ษา และอาจพบประเด็นท่เี ปน็ ปัญหาชวนใหง๎ นุ งงสงสัยหรืออยากรต๎ู ํอไป ผ๎ูเรยี นสามารถเรม่ิ ต๎น วงจรการเรยี นรใู๎ หมํ ต้ังแตํขัน้ ที่ 1 เป็นตน๎ ไป การเรียนการสอนตามรูปแบบน้ี จงึ อาจมีตํอเนอื่ งไปเร่ือย ๆ ตามความสนใจของผเ๎ู รยี น ผลทผ่ี ๎เู รียนจะได๎รับจากการเรียนตามรปู แบบน้ีผ๎ูเรียนจะสามารถสบื สอบและเสาะ แสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง เกิดความใฝรุ ๎ูและมีความมนั่ ใจในตนเองเพ่มิ ข้นึ และได๎พฒั นาทักษะการสืบ สอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการทํางานกลมุํ จุดเดน่ รปู แบบการสอนแบบเนน้ ทักษะกระบวนการ ผูเ๎ รียนได๎แสวงหาความรู๎ ได๎แสดงความคิดเหน็ ของตนเองอยํางเต็มท่ี ผ๎ูเรียนได๎ทํางาน ตามความถนดั ความสามารถ และความสนใจของตนเอง จุดดอ้ ย รปู แบบการสอนแบบเน้นทักษะกระบวนการ ผู๎เรียนอาจใช๎เวลานานพอสมควร ในการเสาะแสงหาความร๎ู 3.5 รปู แบบเนน้ การบรู ณาการ การจดั การเรยี นรู๎แบบบรู ณาการ (Integrated Learning Management) หมายถงึ กระบวนการจัดประสบการณ์การเรยี นร๎ูตามความสนใจ ความสามารถ โดยเช่ือมโยงเนื้อหาสาระ ของศาสตร์ตํางๆ ท่ีเก่ียวข๎องสัมพันธ์กันให๎ผู๎เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามารถนําความร๎ู ทักษะและ เจตคติไปสรา๎ งงาน แก๎ปัญหาและใชใ๎ นชวี ิตประจําวันไดด๎ ว๎ ยตนเอง เหตุผลในการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ 1) สงิ่ ตาํ งๆ ที่เกดิ ขน้ึ ในชวี ติ ประจําวนั นั้นจะเป็นสิง่ ทีเ่ กย่ี วเนือ่ งสมั พนั ธก์ นั 2) การจดั การเรยี นรู๎แบบบูรณาการ ทาํ ให๎เกดิ ความสัมพนั ธ์เช่ือมโยงความคิดรวบยอด ของศาสตรต์ าํ งๆ เข๎าดว๎ ยกัน 3) การจดั การเรยี นรแู๎ บบบูรณาการชวํ ยลดความซ้าํ ซ๎อนของเนอ้ื หารายวิชาตาํ งๆ 4) การจดั การเรียนร๎ูแบบบูรณาการจะตอบสนองตํอความสามารถในหลาย ๆ ด๎านของ ผู๎เรียน 5) การจัดการเรียนร๎แู บบบูรณาการจะสอดคล๎องกับทฤษฎกี ารสรา๎ งความรู๎โดยผ๎ูเรยี น วัตถุประสงค์ของการเรยี นรแู้ บบบูรณาการ 1. เพอ่ื ให๎ผู๎เรียนไดร๎ ับสาระความรแ๎ู บบองค์รวมท่เี ช่ือมโยงสัมพนั ธก์ นั จากหลากหลาย สาขาวิชา 2. เพอ่ื ใหผ๎ เ๎ู รียนไดฝ๎ ึกทักษะกระบวนการเรยี นรู๎ตําง ๆ เชํน ทักษะกระบวนการกลุมํ ทักษะการคิด ฯลฯ 61
3. เพือ่ สํงเสริมความสามารถของผูเ๎ รียนที่มคี วามแตกตาํ งกันในดา๎ นตาํ ง ๆ ทเี่ รยี กวํา พหุปัญญา 4. เพือ่ ให๎ผูเ๎ รียนสามารถแสวงหาความรู๎จากแหลํงเรยี นรู๎ที่หลากหลายและนําความร๎ูไป ประยุกต์ใช๎ในชีวิตประจาํ วันได๎ ลกั ษณะการจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการ 1) บรู ณาการระหวาํ งความรแ๎ู ละกระบวนการเรยี นร๎ู เลอื กใช๎กระบวนการเรียนร๎ู ใหมๆํ ทเ่ี หมาะสม 2) บูรณาการระหวาํ งพัฒนาการความร๎ูและทางจติ ใจ ให๎ความสําคัญแกํเจตคติ คํานิยม ความสนใจและสนุ ทรยี ภาพแกํผ๎ูเรียน 3) บรู ณาการระหวํางความร๎แู ละการกระทาํ ให๎ความสําคัญระหวาํ งองคค์ วามรู๎ท่ศี กึ ษา กบั การนําไปปฏบิ ตั จิ ริง 4) บรู ณาการระหวาํ งสงิ่ ท่เี รียนรู๎ในโรงเรยี นและชีวิตประจาํ วัน 5) บูรณาการระหวาํ งวชิ าตาํ งๆ รูปแบบของการบรู ณาการ (Model of integration) 1. การบรู ณาการแบบสอดแทรก (Infusion) ครูจะนําเน้อื หาของวิชาตาํ งๆ มา สอดแทรกในรายวิชาของตนเองเปน็ การวางแผนการสอนและทาํ การสอนโดยครเู พียงคนเดียว ขอ้ ดี 1. ครคู นเดียวบริหารทง้ั เน้ือหาวิชา กจิ กรรมการเรยี นรู๎และเวลาท่ใี ช๎โดยสะดวก 2. ไมมํ ีผลกระทบกับครูผูอ๎ ่นื และการจัดตารางสอน ขอ้ ดอ้ ย 1. ครคู นเดยี วอาจไมํมีความชาํ นาญในเนื้อหาวชิ าบางเร่ือง 2. เน้ือหาวชิ าและกิจกรรมการเรียนร๎ูที่จัดอาจซํา้ ซอ๎ นกบั ของวิชาอน่ื 3. ผเู๎ รยี นจะมีภาระงานมากเพราะทกุ รายวิชาจะต๎องมอบหมายงานให๎ 2. การบรู ณาการแบบขนาน (Parallel) ครตู ้งั แตํ 2คนข้ึนไปตํางคนตํางสอนวชิ าของตนเอง แตจํ ะมาวางแผน รํวมกันวาํ จะจดั แผนการเรียนร๎ูและจดั กจิ กรรมการเรียนรูโ๎ ดยมุงํ สอน ในหวั เรอื่ ง(Theme) ความคดิ รวบยอด (Concept) และปญั หา (Problem) เดยี วกันในสํวนหน่งึ 62
ขอ้ ดี 1. ครผู ๎สู อนแตลํ ะคนยังคงบริหารทงั้ เนอ้ื หาวชิ า กจิ กรรมการเรียนรเู๎ วลา โดยสะดวก 2. ไมํมผี ลกระทบกบั ครูผ๎ูอ่นื และการจัดตารางสอน 3. เน้อื หาวชิ า กจิ กรรมการเรียนลดการซํ้าซ๎อนลง ชวํ ยใหเ๎ กิดการทํางานรํวมกัน ข้อดอ้ ย 1. ครยู ังคงต๎องรบั ภาระเน้ือหาวชิ าทไ่ี มํชํานาญ 2. ผเ๎ู รียนยังมีภาระงานมากเพราะทกุ รายวิชาจะต๎องมอบหมายงานให๎ 3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Multidiscipline) ครูตง้ั แตํ 2คนข้นึ ไปตําง คนตํางสอนวชิ าของตน จัดกจิ กรรมการเรียนรู๎ของตนเองเป็นสวํ นใหญํ มาวางแผนการสอน รวํ มกัน ในการให๎งานหรือโครงการทีม่ ีหัวเรื่อง แนวคิดหรือความคิดรวบยอดและปัญหา เดยี วกนั ข้อดี 1. สนบั สนนุ การทาํ งานรวํ มกันของทั้งผ๎ูสอนและผูเ๎ รยี น ลดความซํา้ ซ๎อนของ กิจกรรม 2. ผู๎สอนทกุ คนและผูเ๎ รียนมีเปูาหมายรวํ มกนั ทช่ี ัดเจน 3. ผูเ๎ รยี นเห็นความสําคญั ของการนาํ ความรู๎ไปใชก๎ ับงานอาชีพจริง ขอ้ ดอ้ ย 1. มีผลกระทบตํอการจัดตารางสอนและการจัดแผนการเรียน 4. การบรู ณาการแบบข้ามวิชา (Tran disciplinary) การเรียนร๎แู บบนี้ผ๎ูสอนใน รายวชิ าตาํ งๆ จะมารํวมกนั สอนเป็นคณะ รํวมกนั วางแผน กําหนดหัวเรอ่ื ง ความคดิ รวบยอดและปัญหา เดยี วกัน ข้อดี 1. สนับสนุนการทาํ งานรวํ มกันของท้ังผส๎ู อนและผเู๎ รียน ลดความซํา้ ซ๎อนของ กิจกรรม 2. ผสู๎ อนทุกคนและผ๎ูเรียนมีเปูาหมายรํวมกันทชี่ ัดเจน 3. ผเ๎ู รยี นเห็นความสําคัญของการนาํ ความร๎ูไปใช๎กับงานอาชีพจริง ข้อดอ้ ย 1. มผี ลกระทบตํอการจดั ตารางสอนและการจัดแผนการเรียน 2. ผ๎ูสอนตอ๎ งควบคุมการเรียนให๎ทนั ตามกาํ หนด 63
ลักษณะสาคญั ของการสอนแบบบรู ณาการ 1) การบรู ณาการระหวํางโรงเรียนกับบ๎าน 2) การบูรณาการระหวํางความรู๎กับกระบวนการเรยี นร๎ู 3) การบูรณาการระหวาํ งความรู๎กับการกระทํา 4) การบูรณาการระหวํางพัฒนาการความรกู๎ ับพฒั นาการจติ ใจ 5) การบรู ณาการระหวํางวิชาตําง ๆ ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการจัดการเรียนการสอนแบบบรู ณาการ 1. เพ่อื สํงเสรมิ ใหผ๎ เู๎ รยี นร๎ูสึกพึงพอใจ มีความรู๎เป็นสํวนหนง่ึ ของหมํูคณะและยอมรบั ผ๎อู ่ืน 2. เพื่อสงํ เสริมการเรียนร๎ูทเี่ กิดจากการกระทาํ รวํ มกันระหวํางผ๎สู อนกบั ผู๎เรียน 3. เพือ่ ชวํ ยสงํ เสริมพัฒนาคาํ นยิ ม และบรรยากาศในช้นั เรียนอันจะเปน็ การสงํ เสริมให๎ ผูเ๎ รยี นไดพ๎ ัฒนาจริยธรรม มาตรฐานของกลมุํ ความซาบซงึ้ ในการทาํ งานและความซ่ือสัตย์ 4. ชวํ ยสงํ เสรมิ พฒั นาวินยั ตนเอง โดยสํงเสรมิ ความสามารถ ในการทาํ งานและควบคุม อารมณ์ของผเ๎ู รยี น 5. สํงเสรมิ ความคดิ สร๎างสรรค์ในดา๎ นตําง ๆ เชนํ ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ การเลือกเน้ือหาการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ การเลอื กเนอ้ื หาการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบบรู ณาการ ต๎องศึกษาที่หลักสูตร ตอ๎ งมีลักษณะหลากหลาย เน้ือหาวิชาเฉพาะสวํ นทีเ่ ก่ยี วพันกันหรอื เชื่อมโยงกันไดส๎ ามารถนําไปใช๎ ประโยชนไ์ ดจ๎ รงิ ในชวี ติ ประจําวัน การออกแบบการสอนเพอื่ การเรยี นร้แู บบบรู ณาการ - อะไรท่นี ักเรยี นต๎องเรียนร๎ู - ความคิดรวบยอดของเร่ืองนั้นคอื อะไร - มีคําถามสาํ คัญอะไรบ๎าง - จะประเมนิ ผลการเรียนร๎ูอยํางไร - เชอ่ื มโยงสาระการเรียนรู๎อื่นอยาํ งไร - มีลําดบั ขั้นตอนการจัดกิจกรรมอยํางไร - ใชอ๎ ะไรเปน็ ส่ือและแหลงํ การเรยี นรู๎ - มีชิน้ งานอะไรและมีเกณฑ์การประเมินชน้ิ งานเหลาํ นน้ั อยํางไร 64
การประเมินตามสภาพจรงิ การประเมิน (Assessment) หมายถึง กระบวนการท่ีใช๎เพ่ือให๎ได๎ข๎อมูลเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงาน หรอื การเรียนรู๎ของผ๎ูเรียนและดําเนนิ การตัดสินคุณคําความก๎าวหน๎าในการเรียนร๎ูของ ผ๎ูเรียน ซ่ึงจะอธบิ ายลักษณะผเ๎ู รยี นทัง้ เชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)หมายถึง การวัดและประเมิน กระบวนการทํางานของสมองและจิตใจอยาํ งตรงไปตรงมาตามสิ่งทเ่ี ขาทํา โดยพยายามตอบคําถามวาํ เขาทําอยาํ งไร ทําไมจงึ ทาํ เชนํ นนั้ เพ่ือตดั สินความสามารถทีแ่ ทจ๎ ริงของผูเ๎ รยี นโดยใช๎ ขอ๎ มลู 3 ด๎านได๎แกํ 1. Performance of Learning 2. Process of Learning 3. Product of Learning ลักษณะสาคญั ของการประเมินตามสภาพจรงิ - เปน็ การประเมนิ ท่ตี ้ังอยูบํ นพน้ื ฐานของสถานการณ์จรงิ หรือที่เปน็ ชวี ติ จริง - การประเมนิ จะทาํ ไปพร๎อมๆ กับกิจกรรมการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนในทกุ สถานการณ์ - เน๎นพฤตกิ รรมการแสดงออกของผเู๎ รียนท่ีแสดงออกมาจริงๆ - เนน๎ การประเมนิ ตนเองของผ๎เู รียน - เน๎นการมสี วํ นรํวมระหวาํ งผเ๎ู รียน ผส๎ู อน ผ๎ูปกครอง - มีการใชข๎ ๎อมลู หลากหลายรวมทง้ั ใช๎เคร่อื งมือทห่ี ลากหลายโดยเกบ็ ข๎อมูล ระหวํางการปฏิบตั ิงานในทุกด๎านทง้ั กระบวนการคิดระดับสูง กระบวนการทาํ งาน กระบวนการแกป๎ ญั หา กระบวนการประเมนิ ผล เป็นตน๎ - สํงเสริมการมีปฏิสัมพนั ธ์เชิงบวก มกี ารช่นื ชมสงํ เสรมิ และอาํ นวยความสะดวก ให๎ผูเ๎ รียนไดเ๎ รียนร๎ูอยาํ งมีความสขุ กลาํ วโดยสรปุ ไดว๎ ํา รปู แบบทีเ่ นน๎ บรู ณาการ 3.5.1 Direct Instruction Model ในการจัดทําแผนการสอนหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูของครูผู๎สอนในปัจจุบัน จะต๎องมกี ารศึกษาหลกั สูตรสถานศึกษา และกลํุมสาระการเรียนรู๎การงานอาชีพและเทคโนโลยี มีขั้นตอน ในการจัดทําคือ วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู๎ วิเคราะห์สาระการเรียนรู๎ วิเคราะห์กระบวนการจัดการ เรียนรู๎ วิเคราะห์กระบวนการวัดและประเมินผล วิเคราะห์แหลํงเรียนร๎ู และบันทึกผลการจัดการเรียนรู๎ ตามที่ครูสอนได๎รับปฏิบัติการสอน จึงถือวําได๎วํามีการพัฒนากระบวนการเรียนรู๎ที่สมบูรณ์ เพื่อการ จัดการทํางานศึกษาค๎นคว๎าและพัฒนาผลงานทางวิชาการ เป็นการสอนตามนโยบายของหลักการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 จะเห็นได๎ชัดวํา หลักสูตรมีเจตนารมณ์ต๎องการให๎ผู๎เรียนได๎ลง 65
มอื ปฏิบัตจิ ริง มิใชํในกระบวนการทางความคิดเพียงอยํางเดียว ดังน้ันในการนําทักษะกระบวนการเข๎าสํู ชั้นเรียน ไมํวําจะเป็นการสอนหรือการสอบควรจะผํานกิจกรรมหรือภาระงานทางความคิดได๎นั้นถือเป็น เรื่องที่อาจจะเพิ่มเติมได๎ภายหลังเมื่อประสบการณ์ในการใช๎มากข้ึนแล๎วเมื่อเป็นเชํนนั้นการดําเนินการวัด ประเมินผลหรือการสอบวดั เนน๎ กระบวนการทก่ี ลําวมา ในท่นี ้ันกเ็ ปน็ การวัดประเมินหรือการสอบท่ีอิงการ ใชท๎ ักษะกระบวนการในกิจกรรมหรอื ภาระงานลงมือปฏิบัติจรงิ เชนํ กัน การนาํ กิจกรรมการเรียนร๎ูแบบชีแ้ นะ (Direct Instruction) ไปใช๎สอนเด็กนนั้ กลาํ วถึง ข้นั ตอนการจัดการเรยี นการสอนไว๎วํา มีลาํ ดับเหตุการณ์ 6 ขนั้ ตอน คือ 1. ข้ันทบทวนความร๎ูเดิม 2. ขั้นบอกวตั ถุประสงค์ 3. ข้นั นาํ เสนอเนือ้ หาใหมํ 4. ข้นั ฝึกโดยการช้แี นะ 5. ข้ันการฝึกโดยอสิ ระ 6. ข้นั ทบทวน ขอ้ ดี นกั เรียนทุกคนได๎รับความรแ๎ู ละทักษะพ้ืนฐานตามที่กําหนดไว๎ในเปูาหมาย แตอํ าจใชเ๎ วลาท่แี ตกตํางกัน ได๎รับการเรียนร๎ูอยาํ งเป็นข้นั เปน็ ตอน พร๎อมได๎รบั การเสริมแรงจากผส๎ู อน ฝกึ ให๎นกั เรียนสามารถทํางานได๎โดยไมํมขี ๎อผิดพลาดหรือมีข๎อผดิ พลาดน๎อยท่สี ดุ การวัดและประเมินผล งาํ ยไมํซบั ซ๎อน เพราะประเมนิ จากพฤตกิ รรมหรือทักษะข้ันพ้ืนฐาน 3.5.2 การเรียนรูแ้ บบบรู ณาการดว้ ย Storyline Approach การจัดการเรียนร๎ูแบบ Storyline เปน็ การเรียนรแู๎ บบบรู ณาการที่นําเอาสาระการ เรยี นรู๎หลายๆ สาระมาเชอ่ื มโยงกนั โดยจดั การเรยี นรูภ๎ ายในหัวข๎อเรื่อง (Theme) เดียวกัน มกี ารผูกเร่ือง เป็นตอนๆ (Episode) แตลํ ะตอนจะมีลําดับเหตกุ ารณ์ (Sequence) หรือ “เส๎นทางการเดินเรื่อง” (Topic line) และใชค๎ ําถามหลกั (Key question) เปน็ ตัวนําไปสกํู ิจกรรมการเรียนรูท๎ หี่ ลากหลาย ซง่ึ กิจกรรม เหลํานี้จะสํงเสริมใหผ๎ ๎เู รียนมีการเรยี นรู๎ตามสภาพจรงิ ลงมือปฏบิ ัติจรงิ เน๎นทกั ษะกระบวนการคิด การ วิเคราะห์ การตดั สินใจ กระบวนการกลุํม ตลอดจนการสร๎างความร๎ูดว๎ ยตนเอง การเรียนรู๎แบบ Storyline จงึ เปน็ การบรู ณาการเน้ือหาสาระพร๎อมทักษะกระบวนการตาํ งๆ เขา๎ ดว๎ ยกนั แนวคดิ หลักของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline การจดั การเรยี นร๎แู บบ Storyline นี้ พัฒนาโดย ดร.สตีฟ เบ็ล และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ โดยมีแนวคดิ หลักของทฤษฎี ดงั น้ี 1.การเรียนรูท๎ ีด่ คี วรมลี กั ษณะบรู ณาการ หรือเปน็ สหวิทยาการ คือเป็นการเรียนรู๎ 66
ท่ผี สมศาสตร์หลายๆ อยํางเข๎าด๎วยกัน เพ่ือประโยชนส์ ูงสดุ ในการทาํ งานและการดําเนนิ ชวี ิตประจําวนั 2. การเรยี นรู๎ที่ดีเปน็ การเรียนรูท๎ ี่เกิดข้ึนผํานทางประสบการณ์ตรง หรือ การ กระทาํ หรือ การมีสํวนรํวมของผเ๎ู รยี นเอง 3. ความคงทนของผลการเรียนร๎ู ข้นึ อยูํกบั วธิ ีการเรียนร๎ูหรือวิธกี ารที่ได๎รับความร๎ูมา 4. ผู๎เรยี นสามารถเรยี นรู๎คุณคําและสรา๎ งผลงานที่ดีได๎ หากมโี อกาสลงมือกระทาํ การวางแผนการสอนแบบ Storyline ออกเป็น 7 ลาํ ดบั ขัน้ ดงั น้ี 1.วิเคราะห์หลกั สูตร ในสาขาที่เกยี่ วข๎อง เพื่อกําหนดหัวขอ๎ เรอื่ ง และเสน๎ ทาง เดินเรือ่ งกําหนดเสน๎ ทางเดนิ เรอื่ ง โดยกําหนดเป็นหวั ข๎อ แบงํ ออกเป็นตอนๆ แล๎วกําหนดใหค๎ รบ 2. องค์ประกอบ 4 ประการของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Storyline คอื - ฉาก (Setting) เปน็ การระบุเวลา สถานที่ และส่งิ แวดล๎อมตํางๆ ของเร่อื งราว การกาํ หนดฉาก (Setting the scene) จงึ เปน็ การสร๎างบรรยากาศ หรอื การนําเข๎าสบูํ ทเรียนอยํางนาํ สนใจ - ตัวละคร (Character) ซง่ึ เป็นผ๎ูมีบทบาท มีสํวนรวํ มในเร่ืองราว ในฉากน้ันๆ ซ่งึ ผสู๎ อนอาจจะกําหนดตวั ละครให๎เปน็ สิ่งมชี วี ิตหรือไมํก็ได๎ แตจํ ะตอ๎ งทําให๎ตวั ละครมีบทบาทโลดแลํนในเรอื่ ง ใหไ๎ ด๎ทุกตวั - การดาํ เนินชวี ิต (A way of life) ของตัวละคร เป็นองค์ประกอบทส่ี าํ คัญอีก ประการหนึง่ เพราะการกําหนดวาํ ตัวละครใดจะดําเนนิ ชวี ติ อยาํ งไร เปน็ สวํ นทมี่ อี ิทธิพลตอํ การดําเนนิ เรอื่ ง ตวั ละครแตํละตวั จะมีการดาํ เนินชีวิตที่ตาํ งกัน - เหตุการณห์ รือปญั หา องค์ประกอบที่สําคัญมากท่สี ุด เพราะถือวําเปน็ จุดหักเห ของเร่ือง ท่ที ําให๎ผ๎เู รียนสามารถแสดงความคดิ ในการแกป๎ ัญหา ซง่ึ จะพฒั นาให๎นกั เรียนได๎พัฒนาแนวคิด คาํ นิยม เจตคติ รวมถงึ ทักษะแกป๎ ัญหา การคิดวิเคราะห์ การตัดสนิ ใจ โดยใน 1 เรอ่ื ง อาจมีมากกวาํ 1 ปญั หาได๎ และอาจเชื่อมโยงกันในเรอ่ื งได๎ 3. กาํ หนดคําถามหลกั เพื่อเปิดประเดน็ เขา๎ สํูกิจกรรม และเชือ่ มโยงกิจกรรมใน แตํละสํวนใหไ๎ ปดว๎ ยกนั และนําผูเ๎ รียนเข๎าสกูํ ิจกรรมการเรียนรู๎ 4. วางรูปแบบกจิ กรรมยํอย โดยเนน๎ การปฏบิ ตั ิของนักเรียน เพื่อตอบปัญหาหลัก โดยเน๎นกระบวนการตาํ งๆ ท้ังการคิด คุณธรรม จริยธรรม คํานยิ ม และควรให๎มกี ิจกรรมที่หลากหลาย 5. จดั เตรยี มสื่อการเรียนการสอนให๎สอดคล๎องกบั กิจกรรมทีก่ าํ หนดไว๎ขา๎ งตน๎ 6. กําหนดแนวทางการประเมินผล โดยให๎เนน๎ การประเมนิ ผลตามสภาพจริงจาก ผลงาน และการรํวมกิจกรรม 7.พิจารณาภาพรวมของกจิ กรรมกํอนนําไปใช๎ แตํพึงระวงั วาํ กิจกรรม Storyline สามารถปรับเปลี่ยนได๎เสมอตามสถานการณ์ 67
ข้อดแี ละข้อเสียของวธิ กี ารจัดการเรยี นรแู้ บบ Storyline ขอ้ ดี การเรยี นร๎ูเชนํ นี้ ท้งั ผู๎เรยี นและผ๎สู อนเหมือนเปน็ หนุ๎ สํวนกัน ครวู างโครงเรื่อง ผูเ๎ รียนลงรายละเอียดที่มาจากประสบการณ์ชีวิต แล๎วสร๎างการเรียนร๎ูใหมํที่เช่ือมตํอจากความรู๎เดิม มีการ แลกเปล่ียนความคิดและเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน ผู๎เรียนมีความร๎ูสึกเป็นเจ๎าของในผลงานท่ี สร๎าง และกลายเป็นแรงผลักดันให๎มีการแก๎ปัญหา หากมีเหตุการณ์เลวร๎ายเกิดข้ึน นอกจากนี้ ครูยัง สามารถบูรณาการทุกวิชาได๎ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได๎เรียนรู๎ในส่ิงที่ใกล๎เคียงกับชีวิตจริง ร๎ูสกึ อบอุนํ และปลอดภัย เมื่อผ๎ูเรยี นมีความสุข จดุ หมายของการเรียนร๎กู ็นับไดว๎ าํ ประสบความสาํ เร็จแล๎ว นกั เรียนจะเกิดความรู๎ ความเข๎าใจในเร่ืองที่เรียน ในระดับท่ีสามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได๎ รวมท้ังได๎ พัฒนาทักษะกระบวนการตําง ๆ ขอ้ ดอ้ ย - กจิ กรรมน้ีอาจเหมาะกับเด็กเลก็ มากกวําเดก็ โต - คํอนขา๎ งใชเ๎ วลาในการเรยี นรู๎ 3. รปู แบบการจดั กระบวนการเรียนรู้ แบบโฟรแ์ มทซิสเต็ม (4 MAT’S Learning) แมคคาร์ธี (Mc Carthy) ได๎พัฒนารูปแบบการจัดกจิ กรรมเรยี นร๎ูแบบวฏั จักรการ เรียนรู๎ 4 MAT นี้ โดยได๎รับอิทธิพลแนวคิดจากทฤษฎีการเรียนร๎ูของคอล์ม (Kolb) ที่เสนอแนวความคิด เร่ืองรูปแบบการเรียนรู๎วํา การเรียนรู๎เกิดจากความสัมพันธ์ 2 มิติ คือ การรับร๎ู (perception) และ กระบวนการจัดการข๎อมูล (processing) การรับร๎ูของบุคคลอาจเป็นประสบการณ์ตรงอาจเป็นความคิด รวบยอดหรือมโนทศั น์ท่เี ป็นนามธรรม สํวนกระบวนการจัดกระทํากับข๎อมูลคือการลงมือปฏิบัติ ในขณะที่ บางคนเรียนรู๎โดยผํานการสังเกต และนําข๎อมูลนั้นมาคิดอยํางไตรํตรอง แมคคาร์ธีแบํงผ๎ูเรียนออกเป็น 4 แบบ คือ 1) ผู๎เรียนที่ถนัดการเรียนร๎ูโดยจินตนาการ(Imaginative Learners) 2) ผู๎เรียนท่ีถนัดการรับร๎ู มโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม นํากระบวนการสังเกตอยํางไตรํตรอง หรือเรียกวําผ๎ูเรียนท่ีถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learners) 3)ผเู๎ รียนทถี่ นดั การรบั รมู๎ โนทศั น์แล๎วผํานกระบวนการลงมือทําหรือท่ีเรียกวําผู๎เรียน ที่ถนัดการใช๎สามัญสํานึก(Commonsense Learners) และ 4) ผู๎เรียนท่ีถนัดการรับร๎ูจากประสบการณ์ท่ี เป็นรปู ธรรมและนําสูํ แมคคาร์ธี และคณะ (ศักด์ิชยั นริ ัญทวี และไพเราะ พุมํ มน่ั , 2542) ไดน๎ ําแนวคิด ของคอลม์ มาประกอบกบั แนวคดิ เกี่ยวกับการทํางานของสมองทั้ง 2 ซีก ทําใหเ๎ กิดเปน็ แนวคิดทางการจัด กิจกรรมการเรยี นรูโ๎ ดยใช๎คําถามหลัก 4 คําถาม กับผูเ๎ รียน 4 แบบ คือ - ผู๎เรยี นแบบที่ 1 (Imaginative Learners) คอื ผู๎เรยี นท่ีมีความถนดั ในการรับร๎ู 68
จากประสบการณร์ ปู ธรรม ผาํ นกระบวนการจัดขอ๎ มลู ด๎วยการสงั เกตอยาํ งไตรํตรอง เขาจะเช่ือมโยงความร๎ู ใหมํกับประสบการณ์เดิมของตนเองได๎อยํางดี การเรียนแบบรํวมมือ การอภิปรายและการทํางานกลํุมจะ ชํวยสงํ เสรมิ การเรยี นรูข๎ องผ๎ูเรียนกลุํมน้ี คําถามนําทางสําหรับผ๎เู รยี นกลุํมนีค้ อื “ทาํ ไม” (Why?) - ผ๎ูเรยี นแบบที่ 2 (Analytic Learners) คือ ผูเ๎ รยี นท่มี คี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะหจ์ ะสามารถเรยี นรคู๎ วามคิดรวบยอดท่ีเป็นนามธรรมได๎เป็นอยํางดี ผู๎เรียนกลุํมนี้ให๎ความสําคัญกับ ความรทู๎ ่เี ปน็ ทฤษฎี รูปแบบ และความรู๎จากผ๎ูเช่ียวชาญ การอําน การค๎นคว๎าข๎อมูลจากตําราหรือเอกสาร ตําง ๆ รวมทั้งการเรียนรู๎แบบบรรยาย จะสํงเสริมการเรียนร๎ูของผู๎เรียนเหลําน้ี คําถามนําทางสําหรับ ผเู๎ รียนในกลุํมนค้ี ือ “อะไร” (What?) - ผเู๎ รยี นแบบที่ 3 (Commonsense Learners) คือ ผเ๎ู รยี นท่มี คี วามสามารถ/มี ความถนัดในการรบั ร๎คู วามคดิ รวบยอดที่เป็นนามธรรมแลว๎ นําสํูการลงมือปฏิบัติ เขาให๎ความสําคัญกับการ ประยุกต์ใช๎ความร๎ู ความก๎าวหน๎า และการทดลองปฏิบัติ กิจกรรมที่เน๎นการปฏิบัติและกิจกรรมการ แก๎ปัญหาจะชํวยสํงเสริมการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนในกลํุมน้ี คําถามนําทางสําหรับผู๎เรียนในกลํุมนี้คือ “อยาํ งไร” (How?) - ผ๎ูเรยี นแบบที่ 4 (Dynamic Learners) คอื ผ๎เู รยี นทีม่ คี วามถนัดในการเรยี นร๎ู ประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรมแล๎วนําสํูการลงปฏิบัติ เขาให๎ความสําคัญกับการเรียนร๎ูที่เป็นการสํารวจ ค๎นคว๎า การค๎นพบด๎วยตนเอง แล๎วเช่ือมโยงความร๎ูเหลํานั้นไปสูํการทดลองปฏิบัติด๎วยตนเอง คําถามนํา ทางสําหรับผ๎เู รยี นในกลํุมนีค้ ือ “ถ๎า” (If ?) จากลักษณะของผ๎ูเรยี นทง้ั 4 แบบดงั กลาํ วข๎างต๎น Morris และ Mc Cathy ได๎ นํามาเป็นแนวคิดพื้นฐานท่ีใช๎ในการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู๎แบบโฟร์แม็ทซิสเต็มโดยจัด ขน้ั ตอนการสอนให๎ผ๎ูเรียนสามารถใช๎สมองท้ังซีกซ๎ายและซีกขวาอยํางเต็มที่เป็นการพัฒนาพหุปัญหาทั้ง 8 ดา๎ น การจัดกระบวนการเรียนร๎ู 8 ข้นั ตอนของวัฏจักรการเรียนรู๎ (4 MAT) แบํงเปน็ 2 สํวน คอื สวํ นท่ี 1 การบรู ณาการประสบการณใ์ หเ๎ ปน็ สํวนของตนเอง สํวนที่ 2 การสรา๎ งความคิดรวบยอด ขอ้ ดี ผู๎เรียนจะสามารถสรา๎ งความรู๎ดว๎ ยตนเองในเรื่องทเี่ รียนจะเกิดความรคู๎ วามเขา๎ ใจและ นาํ ความรู๎ความเขา๎ ใจน้ันไปใช๎ไดแ๎ ละสามารถสรา๎ งผลงานท่ีเปน็ ความคดิ สร๎างสรรค์ของตนเองรวมทง้ั ได๎ พฒั นาทักษะกระบวนการตําง ๆ อีกจาํ นวนมาก ดังน้ัน ลกั ษณะเดํนของรปู แบบการจัดกิจกรรมเรยี นร๎ู แบบ 4 MAT จะชวํ ยสงํ เสรมิ การคดิ วเิ คราะห์ตามกรอบความแตกตํางระหวํางบุคคล ได๎แกํ 69
1. การนาํ เสนอประสบการณ์ท่ีมีความสัมพนั ธก์ บั ผู๎เรียน 1.1 การเสรมิ สร๎างประสบการณ์ (สมองซกี ขวา) 1.2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ทีไ่ ดร๎ บั (สมองซกี ซ๎าย) 2. การเสนอเน้อื หา สาระข๎อมูลแกํผ๎ูเรียน (Presentation) 2.1 การบรู ณาการประสบการณส์ ร๎างความคิดรวบยอด (สมองซีกซา๎ ย) 2.2 การพฒั นาเป็นความคิดรวบยอด (สมองซกี ซา๎ ย) 3. การฝกึ ปฏบิ ตั ิเพ่ือพัฒนาความคิดรวบยอด 3.1 ปฏบิ ัตติ ามขน้ั ตอน (สมองซีกซ๎าย) 3.2 การนาํ เสนอผลการปฏบิ ัติงาน (สมองซีกขวา) 4. การนาํ ความคดิ รวบยอดไปสํูการประยกุ ต์ใช๎ (Application) 4.1 การนาํ ความรู๎ไปประยกุ ตใ์ ช๎พัฒนางาน (สมองซกี ซ๎าย) 4.2 การนําเสนอผลงานการเผยแพรํ (สมองซีกขวา) 4.วิธีสอนแบบการเรียนรู้ดว้ ยการทางานรว่ มกนั หรือสหวิทยาการเรียนรู้ (Cooperative Learning) การเรยี นรูด๎ ๎วยการทํางานรํวมกนั เปน็ วธิ ีการเรียนรด๎ู ๎วยกนั สองคน หรือเปน็ กลมํุ เลก็ ๆ ในการทํางานรวํ มกันก็เพ่ือใหบ๎ รรลุวตั ถุประสงค์ทวี่ างไว๎ วตั ถุประสงค์ของการเรยี นรู๎ด๎วยวิธกี าร ทํางานรวํ มกันคอื เพ่ือใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎เรียนรด๎ู ว๎ ยตัวเองสงู สุด และเรยี นรูซ๎ ่งึ กันและกัน รวมทั้งให๎ได๎ประโยชน์ ของกนั และกันมากทีส่ ดุ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนร๎ูแบบรวํ มมือพฒั นาข้นึ โดยอาศัยหลกั การ เรียนรูปแบบรํวมมือของจอห์นสัน และจอห์นสันซ่ึงได๎ช้ีให๎เห็นวําผ๎ูเรียนควรรํวมมือกันในการเรียนร๎ู มากกวําการแขํงขันกันเพราะการแขํงขันกํอให๎เกิดสภาพการณ์ของ การแพ๎-ชนะ ตํางจากการรํวมมือกัน ซ่ึงกอํ ให๎เกดิ สภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อนั เป็นสภาพการณท์ ี่ดกี วาํ ท้งั ทางดา๎ นจติ ใจและสติปญั ญา องค์ประกอบทส่ี าคัญของการเรยี นรูด้ ้วยการงานรว่ มกัน 1. การเรียนรูต๎ ๎องอาศัยหลักการพ่ึงพากนั ต๎องมีทัศนคติทดี่ ใี นการพึ่งพาอาศัยซึ่ง กันและกัน (Positive Interdependence) ผูเ๎ รยี นตอ๎ งมคี วามตระหนกั วาํ ทุกคนต๎องมคี วามสมั พันธซ์ ง่ึ กนั และกนั คนใดคนหนึ่งไมํสามารถทาํ งานบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ไดค๎ นเดยี ว ความสาํ เรจ็ จะเกดิ ขนึ้ ได๎ ต๎องอาศัย ความรวํ มมือ ความชํวยเหลอื ซ่งึ กันละกนั ภายในกลมํุ 2. มีปฏิสมั พันธ์ตํอกันและกัน (Face to Face Interaction) ผู๎เรียนตอ๎ งทาํ งาน 70
รวํ มกันให๎ประสบความสาํ เร็จรวํ มกัน ฉะน้ันผเ๎ู รียนควรมีการแบงํ ปนั ข๎อมลู การสนับสนุนชวํ ยเหลือกนั สํงเสริมซ่ึงกันและกนั และกระต๎ุนการทํางานรํวมกนั ซึ่งการทํางานรวํ มกนั น้ี จะเปน็ การพูดคยุ ถกเถยี งการ แกป๎ ัญหารวํ มกัน รวมทัง้ เป็นการเรยี นรซู๎ งึ่ กนั และกัน เป็นการตรวจสอบความเข๎าใจ การเรยี นร๎ูทั้งทผ่ี าํ น มาจนถึงปัจจบุ ัน 3. การเรยี นรู๎รํวมกันต๎องอาศยั ทกั ษะทางสังคม (social skills) โดยเฉพาะทักษะ ในการทาํ งานรวํ มกัน 4. การเรียนร๎รู วํ มกนั ควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุํม (group processing) สมาชิกในกลมุํ ต๎องมีการอภิปรายถกเถยี งกนั ถึงความสําเรจ็ ของงาน รวมทง้ั ความสัมพันธ์ระหวํางกนั ในการ ทํางานให๎มีประสทิ ธิภาพ 5. การเรียนรู๎รวํ มกนั จะต๎องมีผลงานหรอื ผลสมั ฤทธ์ทิ ั้งรายบุคคลและรายกลุมํ ทส่ี ามารถตรวจสอบและวดั ประเมนิ ได๎ (Individual Accountability) หากผเู๎ รียนมีโอกาสได๎เรียนรแ๎ู บบ รวํ มมอื กนั นอกจากจะชวํ ยให๎ผเู๎ รียนเกิดการเรียนร๎ูทางด๎านเนอ้ื หาสาระตาํ ง ๆ ได๎กว๎างขึ้นและลึกซ้ึงขน้ึ แลว๎ ยงั สามารถชวํ ยพฒั นาผเ๎ู รยี นทางด๎านสังคมและอารมณม์ ากข้นึ ด๎วย รวมท้งั มีโอกาสไดฝ๎ ึกฝนพัฒนา ทกั ษะกระบวนการตําง ๆ ทีจ่ ําเปน็ ตํอการดาํ รงชวี ติ อีกมาก รูปแบบน้ีมุํงชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูเนื้อหาสาระตําง ๆ ด๎วยตนเองและด๎วยความรํวมมือ และความชํวยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได๎พัฒนาทักษะทางสังคมตําง ๆ เชํน ทักษะการส่ือสาร ทักษะ การทาํ งานรํวมกบั ผ๎ูอน่ื ทกั ษะการสรา๎ งความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความร๎ู ทักษะการคิด การ แกป๎ ัญหาและอื่น ๆ รูปแบบการเรียนการสอนที่สํงเสริมการเรียนร๎ูแบบรํวมมือมีหลายรูปแบบ ซ่ึงแตํละ รูปแบบจะมีวิธีการดําเนินการหลัก ๆ ซึ่งได๎แกํ การจัดกลํุม การศึกษาเน้ือหาสาระ การทดสอบ การคิด คะแนน และระบบการให๎รางวัล แตกตํางกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแตํไมํวําจะเป็นรูปแบบ ใด ตํางก็ใช๎หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนร๎ูแบบรํวมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มํุงตรงไป ใน ทศิ ทางเดียวกันคอื เพอ่ื ชวํ ยให๎ผเู๎ รียนเกิดการเรียนรู๎ในเร่ืองท่ีศึกษาอยํางมากที่สุดโดยอาศัย การรํวมมือกัน ชํวยเหลือกนั และแลกเปลย่ี นความรู๎กนั ระหวํางกลุํมผ๎ูเรียนด๎วยกัน ความแตกตํางของรูปแบบแตํละรูป จะ อยูํท่เี ทคนคิ ในการศกึ ษาเนอ้ื หาสาระและวิธกี ารเสรมิ แรงและการให๎รางวลั เปน็ ประการสําคัญ การเรียนแบบ Collaborative สามารถใชใ๎ นการเรียน ดังตํอไปนี้ 1. Group Process/Group Activity/Group Dynamics 1.1 เกม 1.2 บทบาทสมมตุ ิ 1.3 กรณีตวั อยําง 1.4 การอภปิ รายกลํุม 71
2. Cooperative Learning 2.1 การเลาํ เรื่องรอบวง (Round robin) 2.2 มุมสนทนา (Corners) 2.3 คํูตรวจสอบ (Pairs Check) 2.4 คูํคดิ (Think-Pair Share) 2.5 ปรศิ นาความคิด (Jigsaw) 2.6 กลํุมรํวมมือ (Co-op Co-op) 2.7 การรํวมมอื กันแขงํ ขัน (The Games Tournament) 2.8 รวํ มกนั คิด (Numbered Headed Together) 3. Constructivism 3.1 the Interaction Teaching Approach 3.2 the Generative Learning Model 3.3 the Constructivist Learning Model 3.4 Cooperative Learning ข้อดี ผูเ๎ รียนมีความพยายามทีจ่ ะบรรลเุ ปาู หมายมากขึ้น (Greater Effort to Achieve) การ เรียนรู๎แบบรวํ มมอื ชํวยให๎ผ๎ูเรียนมีความพยายามทจี่ ะเรียนรู๎ให๎บรรลเุ ปาู หมาย เป็นผลทาํ ใหผ๎ ลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขน้ึ และมีผลงานมากขนึ้ การเรยี นรูม๎ ีความคงทนมากข้นึ (Long – Term Retention) มี แรงจงู ใจภายในและแรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธ์ิ มีการใชเ๎ วลาอยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ ใชเ๎ หตผุ ลดขี ึ้น และคดิ อยํางมี วิจารณญาณมากขึน้ 2. ผู้เรียนมคี วามสัมพันธ์ระหวา่ งผูเ้ รียนดขี น้ึ (More Positive Relationships among Students) การเรียนร๎แู บบรํวมมือชํวยให๎ผูเ๎ รยี นมีน้ําใจนักกีฬามากข้นึ ใสใํ นในผ๎ูอนื่ มากข้นึ เห็นคุณคําของความแตกตําง ความหลากหลาย การประสานสมั พนั ธ์และการรวมกลมุํ 3. ผ๎เู รยี นมสี ุขภาพจิตดีขึ้น (Greater Psychological Health)การเรยี นรแ๎ู บบ รวํ มมอื ชํวยให๎ผเ๎ู รียนมสี ุขภาพจติ ดขี ึ้น มีความรสู๎ กึ ท่ีดีเก่ียวกับตนเองและมีความเชอ่ื ม่ันในตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นยังชวํ ยพฒั นาทักษะทางสังคม และความสามารถในการเผชิญกับความวติ กกังวล ความโกรธ ความเครยี ดและความผันแปรตํางๆด๎านอารมณ์ไดด๎ ีข้นึ ความกดดัน ความวิตกกังวล ความร๎สู กึ ผิด ความ ละอาย และความโกรธของผูเ๎ รียนน้ัน ล๎วนเป็นสิ่งทบ่ี ัน่ ทอนศกั ยภาพในการสร๎างความรํวมมือในการ ทํางานรวํ มกัน ดังนั้นเมอื่ ผู๎เรียนมีสขุ ภาพจิตที่ดีกจ็ ะเปน็ การเพ่มิ ความสามารถในการทํางานรวํ มกับผ๎ูอ่ืน 72
เพอื่ การบรรลเุ ปาู หมายรํวมกัน ท่ตี อ๎ งการความรวํ มมือ การติดตอํ สอ่ื สารท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ ภาวะผนู๎ าํ และ การจดั การกับข๎อขดั แย๎ง ตลอดกระบวนการเรยี นร๎ูแบบรวํ มมอื ข้อดอ้ ย การเรยี นรู๎แบบกลํุมเล็ก บํอยครั้งพบปญั หาท่ีสัมพนั ธ์กับความคลุมเครือของวตั ถุประสงค์ และมคี วามคาดหวงั ในความรับผดิ ชอบตํา่ การขึน้ อยํกู ับกลํุมทาํ งานกลุมํ เลก็ การเรยี กรอ๎ งสทิ ธบิ าง ประการ เป็นการหลีกเล่ยี งการสอนกบั การวจิ ารณต์ ํางๆน้นั จะทําให๎ไมํเห็นดว๎ ยกบั ห๎องเรียนในกลมํุ เล็กท่ี ทาํ ให๎ผูส๎ อนหลบหลกี ความรับผิดชอบตอํ ผ๎ูเรยี น เปน็ ครผู สู๎ อนในระดับ มลู ฐาน (Elementary) โรงเรียนมัธยม (High-School) และ นกั เรยี นระดบั วิทยาลัย (College –Level Students) เป็นผ๎ูมคี วามรอบคอบในการตํอต๎านการใช๎ในทางท่ี ผดิ และใช๎บํอยเกนิ ไปของการทํางาน เปน็ กลุมํ เน่ืองจากผลประโยชน์มากมายที่ได๎รบั จากการเรียนรูแ๎ บบ รํวมมอื บางครั้งจึงทาํ ใหม๎ องไมเํ หน็ อปุ สรรคขัดขวางตํางๆ ซงึ่ จําแนกการปฏิบตั ิในจดุ ออํ นดา๎ นตํางๆ ดังนี้ การสรา๎ งความรบั ผิดชอบของสมาชิกในกลมุํ เพอ่ื การเรยี นรู๎ของคนอ่นื ๆ แตลํ ะคนนนั้ ในการผสมผสานความสามารถของคนในกลํุม ผลลพั ธท์ ่ีได๎บํอยคร้งั กค็ ือ นักเรยี นท่เี กํงจะไมํสอนงาน นักเรียนท่ีอํอน และจะทํางานนน้ั เองเปน็ สวํ นใหญํ การสํงเสรมิ ระดับความคิดระดับต่ําเพียงอยาํ งเดียว จะเป็นการปดิ กั้นความคดิ อันเปน็ ประโยชน์ จาํ เปน็ สําหรบั การวิเคราะห์หรือความคิดระดบั สูงเขา๎ ดว๎ ยกนั ในการทาํ งานกลุํมเล็กนน้ั บางครงั้ เวลาที่ใชไ๎ ปสําหรับภารกิจหนึ่ง สวํ นมากจะเป็นเพยี งความคิดในระดับพ้ืนฐานเทํานัน้ โดยภาพรวมของการจัดการเรียนร๎แู บบบูรณาการ มจี ดุ เดํนและข๎อจาํ กดั ดังนี้ ขอ๎ ดี 1. สนบั สนุนการทํางานรํวมกันของทัง้ ผ๎สู อนและผเู๎ รยี น ลดความซา้ํ ซ๎อนของกิจกรรม 2. ผ๎ูสอนทุกคนและผ๎เู รียนมีเปาู หมายรวํ มกนั ทช่ี ดั เจน 3. ผู๎เรียนเหน็ ความสาํ คัญของการนาํ ความรู๎ไปใชก๎ บั งานอาชพี จรงิ ขอ๎ ด๎อย 1. การบรู ณาการเปน็ วิธีการที่คอํ นข๎างทํายาก เพราะต๎องอาศัยความรวํ มมือจาก ครูผส๎ู อนหลายคนมาปรึกษาหารือรวํ มกนั ต๎องมีความเข๎าใจตรงกนั ละรวํ มมือกันอยํางจริงจงั ต๎องทํุมเททั้งความรู๎ ความสามารถและเวลาอยาํ งเต็มท่ี 2. การบูรณาการอาจทําใหผ๎ เ๎ู รยี นขาดความลึกซึ้งในการเรียนร๎ู มองไมเํ หน็ ความสาํ คญั ของเนื้อหาสาระหรือวชิ าการตาํ งๆตามทีค่ รตู ๎องการได๎ 3. การจัดตารางสอนของครปู ระจําวชิ าตาํ งๆ เชํน ศลิ ปะ พลศึกษา ดนตรี นาฏศิลป์ และ งานเกษตร ซ่ึงต๎องสอนหลายช้นั หลายหอ๎ ง ตอ๎ งจดั ตารางสอนของแตํละหอ๎ งไว๎แนนํ อนตายตัว ซึง่ 73
ไมํเอือ้ ตํอการจดั กระบวนการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ ท่สี อนเน้อื หาวิชาตํางๆคลุกเคล๎ากนั ไป ตามบรรยากาศการเรยี นการสอน 4. การจดั การเรียนการสอนแบบบูรณาการเหมาะสําหรบั นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศกึ ษา แตํระดับมัธยมศึกษาไมเํ อ้ืออํานวย เน่ืองจากระดบั มธั ยมศึกษาเนือ้ หาวิชาตํางๆมีความลึกซง้ึ มาก หรือถา๎ จะจดั การสอนแบบบูรณาการก็ทําไดใ๎ นบางรูปแบบเทาํ น้นั คาถามท้ายบท 1. รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเน๎นการพฒั นาด๎านพุทธิพสิ ยั เปน็ รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน๎ สง่ิ ใดใหเ๎ กดิ ข้ึนกบั ตวั ผ๎เู รยี น 2. รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี น๎นการพฒั นาดา๎ นพทุ ธิพสิ ัยมีก่ีรูปแบบ อะไรบา๎ ง จงอธิบาย 3. รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาด๎านจติ พิสยั ของแครทโวล บลูมและมาเซีย ไดจ๎ ําแนกจุดมุํงหมายทางการศึกษาเป็นกด่ี ๎าน อะไรบ๎าง 4. รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏบิ ัตขิ องซมิ พ์ซนั มวี ัตถุประสงค์ใดที่ จะใหเ๎ กิดขึน้ ในตวั ผเ๎ู รียน 5. รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาทักษะกระบวนการ (Process Skills) เป็น ทักษะทเี่ ปน็ กระบวนการทางสตปิ ัญญา ไดแ๎ กกํ ระบวนการอะไรบ๎าง จงอธบิ าย รายการอา้ งอิง ทิศนา แขมมณี. (2551). รูปแบบการเรยี นการสอน : ทางเลือกท่ีหากหลาย. พมิ พ์คร้งั ที่ 5. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ทิศนา แขมมณี. (2553).ศาสตร์การสอนองคือความรเ๎ู พ่ือการจัดกระบวนการเรยี นรทู๎ มี่ ีประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพ์แหงํ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย รตั นา สิงหกลู . (2547). รปู แบบการสอน. [Online]. Available : http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=11&group_id=50&article_id =910 (15 กมุ ภาพันธ์ 2559) รปู แบบการเรยี นการสอน. [Online]. Available : facebook.com/lsr.php?u=http%3A%2F%2Fstudent.nu.ac.th [6 กุมภาพนั ธ์ 2558] สวุ ทิ ย์ มลู คําและอรทยั มลู คาํ . (2545). 21 วิธจี ัดการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ.์ 74
Joyce, B, & Weil, M. (1996). Model of teaching. 5th ed. Boston : Allyn and Bacon. http://home.dsd.go.th/techno/trainingsystem/index.php?option=com_content&view= article&id=46:harrow&catid=45:psychomotor&Itemid=52 Simpson, E.J. (1972) The Classification of Educational Objectives in the Psychomotor Domain. Gryphon House, Washington DC. 75
บทที่ 4 การจดั ทาแผนการเรยี นรู้ การเลือกใช้ การผลติ สือ่ นวัตกรรมทสี่ อดคลอ้ งกับการ จัดการเรียนรู้ หวั เรอ่ื ง 1. การจดั ทาํ แผนการเรยี นร๎ู 2. การเลอื กใช๎ การผลติ ส่ือ นวตั กรรมที่สอดคลอ๎ งกับการจัดการเรียนรู๎ วัตถุประสงค์ 1. สามารถพัฒนาการจดั ทําแผนการเรยี นร๎ูไปสจํู ดุ ประสงคก์ ารเรยี นร๎ูได๎อยาํ งถกู ต๎อง 2. สามารถผลติ และเลือกใช๎ ส่ือ นวัตกรรมไดส๎ อดคล๎องกบั การจัดการเรียนร๎ู กิจกรรมระหวา่ งเรยี น ผู๎สอนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพ่อื ให๎ผูเ๎ รียนเกิดการเรยี นร๎ู ทักษะและการคดิ วิเคราะห์ ดังน้ี 1. บรรยาย อภปิ ราย ซักถาม กระตน๎ุ ให๎เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎เก่ียวกับประสบการณ์ในเร่ือง ที่สอนระหวาํ งผูส๎ อนกบั ผ๎ูเรยี นและระหวํางผเ๎ู รยี นเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารท้ังในลักษณะรูปเลํมและข๎อความรู๎จาก อินเทอร์เน็ต 3. ทําการศกึ ษาจากกรณศี ึกษาทั้งในรูปแบบเอกสารและวิดีโอ 4. การทํางานกลํุมเพื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความรู๎ นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพ่ือการแลกเปล่ียนเรียนรู๎ ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระที่เกี่ยวข๎องกับหัวข๎อ การเรียน 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศึกษา) 6. ผเ๎ู รียนและผ๎ูสอนรํวมสรุปประเด็นการเรยี นรู๎ ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนงั สอื ตาํ รา งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข๎อง 2. สื่อดจิ ิทลั จากอนิ เทอร์เน็ตและสไลดน์ าํ เสนอ การประเมินผล 1. การสํวนรํวมกับกิจกรรมในชั้นเรยี นของผเ๎ู รยี น ความสามารถในการวเิ คราะหป์ ระเดน็ ที่ศกึ ษา 2. จากรายงานการคน๎ คว๎าตามประเดน็ ของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 76
การจัดทาแผนการเรียนรู้ การเลือกใช้ การผลติ สอื่ นวตั กรรมท่สี อดคล้องกบั การจดั การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนร้โู ดย เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั การบนั ทึกและรายงานผลการจัดการเรียนรู้ และการวจิ ยั เพือ่ แกป้ ญั หาผเู้ รียน 4.1 การจดั ทาแผนการเรียนรู้ รศ.นิลมณี พิทักษ์ กลําวถึง แผนการจัดการเรียนรู๎วํา เป็นกระบวนการท่ีครูเตรียมการ จัดการเรียนร๎ูให๎แกํผู๎เรียนอยํางเป็นระบบและเช่ือมโยงหลักสูตรกับการจัดการเรียนร๎ูท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็น สําคัญ ผู๎สอนสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู๎ ตามองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู๎ เลือกสรร กระบวนการที่ผ๎ูเรียนจะได๎รับการพัฒนาตามมาตรฐานการเรียนร๎ูและเต็มศักยภาพของแตํละ บุคคล รวมทั้งผู๎เรียนจะต๎องได๎รับการพัฒนาทักษะในการแสวงหาความร๎ูจากแหลํงการเรียนร๎ูที่ หลากหลาย สามารถนําความร๎ูไปใช๎ในชีวิตจริงได๎ ดังน้ันแผนการจัดการเรียนรู๎จึงเปรียบเสมือนเป็น เครื่องมอื ท่ีนาํ ไปสูเํ ปูาหมายของความสาํ เร็จทผ่ี ส๎ู อนคาดหวังไว๎ องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู๎ท่ีสาํ คัญแยกเป็นสองสํวน ได๎แกํ 1. สว่ นหัวของแผน ไดแ๎ กํ โรงเรยี น.............................................................................ชน้ั .............. หนํวยการเรียนร๎ทู ่.ี ...........เร่ือง...............................เวลา............ชั่วโมง แผนการจดั การเรียนร๎ูท.ี่ ........เรือ่ ง.......................วันที่................... เวลา................น. 2. สว่ นที่สองรายการทส่ี าคัญ ท่ีตอ๎ งระบุในแผนการจัดการเรียนร๎ู ได๎แกํ 2.1 สาระสาคัญ(ความคดิ รวบยอดหรอื มโนมติของบทเรียน) หมายถงึ สาระสาํ คัญของ เน้ือหา ประสบการณท์ ี่ต๎องการให๎เกิดขน้ึ กบั นกั เรียนหลงั จากนักเรียนได๎รบั การปลูกฝังด๎วยเทคนิควิธีการ จากครู และการมีสํวนรวํ มในกจิ กรรมรวมทั้งทําหนา๎ ท่ีเปน็ ตวั กาํ หนดขอบเขตเน้ือหา ความรู๎ จดุ ประสงค์ของการเรยี นการสอนในแตลํ ะคร้ัง ควรเขียนเป็น ประโยคหรอื ข๎อความสัน้ ๆ 2.2 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบํงเปน็ 2 ลกั ษณะดังนี้ 2.2.1 จุดประสงค์ปลายทาง เป็นจุดประสงค์การเรียนรู๎ทเ่ี กิดขน้ึ กับนักเรยี น ซง่ึ สะทอ๎ นผลรวมท้ังหมดท่ีมุงํ หวงั และปรารถนาจะให๎เกดิ กบั นักเรยี นทุกคน เม่ือผํานกระบวนการเรียนการ สอนวิชานน้ั แลว๎ อกี ทัง้ ยังสะทอ๎ นจดุ เน๎นเดนํ ๆ ของเนือ้ หาวชิ าและพฤติกรรมสาํ คัญๆ ของวชิ าน้นั ๆ หรือ อาจจะสะท๎อนผลสรุปขั้นสดุ ท๎ายของกระบวนการเรียนรู๎ก็ได๎ วิธีการเขยี นใหย๎ ึด “สาระการเรียนร๎เู ป็น หลัก” และนํากรอบพฤติกรรมบํงชมี้ าวิเคราะห์ให๎สอดคล๎องกับสาระการเรยี นร๎แู ละมาตรฐานการเรียนรู๎ เชํน 77
1) เพื่อให๎ร๎แู ละเขา๎ ใจระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2) เพอ่ื ใหต๎ ระหนักถงึ ความสําคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 3) เพอ่ื ให๎ปฏิบัติตนเปน็ พลเมืองดีตามวิถีประชาธปิ ไตยได๎ 2.2.2 จุดประสงคน์ ําทาง เปน็ ความคาดหวังทีเ่ กดิ ข้นึ กบั นักเรียนระหวาํ งการ เรียนในแตลํ ะคร้ัง การเขียนจุดประสงคน์ ําทางมวี ตั ถุประสงคใ์ ห๎ผูส๎ อนได๎พิจารณาถึงผลการเรียนยํอยๆ หรือพฤตกิ รรมตํางๆ ท่ีควรจะเกิดขนึ้ ในระหวํางการจดั กิจกรรมการเรยี นร๎ู วิธกี ารเขียนผ๎สู อนต๎องกาํ หนด พฤติกรรมยํอยๆของสาระการเรยี นรยู๎ อํ ยเพ่ือนาํ ไปสจูํ ุดประสงค์ปลายทาง สามารถเปรียบ เทียบใหเ๎ หน็ ได๎ ดงั น้ี จุดประสงคป์ ลายทาง จุดประสงคน์ าํ ทาง เพ่ือใหร๎ แ๎ู ละเขา๎ ใจระบอบการปกครองระบอบ 1)บอกลกั ษณะและประเภทของการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย ประชาธปิ ไตยได๎ 2) อธิบายความสําคญั ของการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยได๎ เพื่อใหต๎ ระหนักถงึ ความสาํ คัญของการปกครอง 1) ยกตวั อยํางหลักการของระบอบประชาธปิ ไตยในการ ระบอบประชาธปิ ไตย ดํารงชวี ิตได๎ เพือ่ ใหป๎ ฏบิ ัตติ นเป็นพลเมอื งดตี ามวถิ ีประชาธปิ ไตย 1) ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวถิ ปี ระชาธปิ ไตยใน ได๎ ชีวติ ประจําวนั ได๎ 2.3 สาระการเรียนรู้ หมายถึงประมวลสาระแหํงองค์ความร๎ูหรือสาระการเรียนร๎ทู ี่ ปรากฏอยใํู นขอบขาํ ยของเร่ืองทีก่ ําหนดให๎เรียน สามารถเขยี นโดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เป็นตัวกําหนดได๎ เชนํ ด๎านความร๎ู : ได๎แกสํ าระความร๎ูทีก่ ําหนดใหผ๎ ๎ูเรียนได๎เรยี น ดา๎ นทักษะกระบวนการ : หมายถึงทักษะท่ีเกย่ี วขอ๎ งกบั สาระการเรียนร๎ู ทักษะการทาํ งาน ทักษะการเรียนรู๎ที่ต๎องการให๎ผูเ๎ รยี นได๎ฝึก ด๎านเจตคติ คุณคํา : หมายถึงอารมณ์ความรสู๎ ึก การเห็นประโยชน์ คุณคําของเร่ืองท่ีเรยี น 2.4 กจิ กรรมการเรียนรู้ / กระบวนการจดั การเรยี นรู้ หมายถงึ วิธีการสอน รูปแบบการสอนแบบตาํ งๆ ทีใ่ ชใ๎ นการจดั การเรียนรู๎ หรือเป็นขั้นตอนและวิธกี ารของการกระทาํ กจิ กรรม ตํางๆตัง้ แตํตน๎ จนจบกระบวนการเรียนรท๎ู ่สี ามารถใหน๎ กั เรยี นได๎แสดงออกทั้งด๎าน การปฏบิ ัตดิ ว๎ ยการใช๎ ความคดิ พดู และกระทําเพ่อื สรา๎ งประสบการณ์ที่กํอให๎เกิดการเรยี นรใู๎ นขณะท่เี รียน 78
กิจกรรมการเรียนรู้ เปน็ จดั การเรียนการสอนท่ีเนน๎ นกั เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง หลักของการ นํากิจกรรมการเรียนการสอนมาทําแผนการจัดการเรียนร๎ูคือ ยึดหลักนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ใหน๎ กั เรยี นมสี วํ นรวํ มในการเรียนการสอนมากทส่ี ดุ วชิ าสังคมศกึ ษาเป็นวิชาท่ี มีลักษณะเป็นนามธรรม ดังน้ันการนํากิจกรรมการเรียนการสอนที่ให๎นักเรียนได๎คิดวิเคราะห์มาใช๎จัด กิจกรรมในแผนการจัดการเรียนรู๎จะชํวยให๎การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ส่ือการสอน ได๎แกํ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการตํางๆ เพ่ือให๎เกิดการเรียนร๎ูในบทเรียน ส่ือในวิชาสังคมศึกษาจะอยูํใน ลักษณะของแหลํงความรู๎ เชํน บ๎านเรือน โบราณสถาน โบราณวัตถุ บุคคลในชุมชน หนังสือพิมพ์ โทรทศั น์ รวมทั้งส่ือท่ปี ระดิษฐข์ ึ้นเอง เชํน บัตรคาํ ภาพพลิก สไลด์ ชุดการสอน ฯลฯ ส่ือการสอนที่ จะนํามาใช๎ให๎เกิดประโยชน์สูงสุดได๎นั้นอยํูที่การเลือกใช๎ของผู๎สอนให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์ในแผนการ จดั การเรยี นร๎ู การวดั การประเมนิ ผล ผลของการเรียนในแตลํ ะชว่ั โมง นักเรียนจะประสบผลสําเร็จในการ เรียนและครูประสบผลสําเร็จในการสอนหรือไมํเพียงใด เพ่ือที่จะพัฒนาการเรียนการสอนให๎ดีข้ึน ซ่ึงครู ต๎องกําหนดวําจะใช๎วิธีการประเมินผลใดบ๎าง โดยทั่วไปแล๎วการวัดการประเมินผลสังคมศึกษามีหลายวิธี เชํน การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจผลงาน การทดสอบ 6) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมส่ือตํางๆ เชํน ใบความร๎ู ส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ ส่ือบุคคล กรณีศึกษา นิทาน เครื่องโสตทัศนูปกรณ์ วีดิทัศน์ แถบเสียง แผํน โปรํงใส Power Point กระดาษ ปากกา สี บัตรคํา บัตรความร๎ู ใบงาน หนังสือ ตํารา เอกสารอ๎างอิง ฯลฯ แหลํงเรียนรู๎ที่ใช๎ประกอบในการทํากิจกรรมการเรียนร๎ูในคาบน้ันๆ เชํน แหลํงเรียนร๎ูในชุมชน วัด ทที่ ําการองคก์ ารบริหารสวํ นตําบล ศาลจังหวดั สถานีตาํ รวจ อนามยั ตําบล ฯลฯ 7) การวัดและประเมินผล หมายถงึ ออกแบบการประเมนิ ผลและการสร๎างเครื่องมอื เพื่อใชใ๎ นการประเมนิ ผล ในทีน่ ้ีหมายถงึ การวดั และประเมินผลการเรยี นเปน็ รายคาบ ได๎แกํ การ สงั เกตความสนใจและการมีสํวนรํวม การแสดงความคิดเหน็ และการตรวจผลงาน การใช๎แบบทดสอบ การทาํ แฟูมสะสมงาน เปน็ ต๎น การจดั กจิ กรรมในขัน้ นี้ได๎แกํ การนาํ ผลงานมาติดท่ีปูายนิเทศ การอําน หนงั สือเพ่ิมเติมนอกเวลา การทําแบบทดสอบ ฯลฯ 8) บันทกึ ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ผสู๎ อนสามารถประเมินแผนการจดั การ เรียนร๎ู โดยใช๎บนั ทึกผลการใช๎แผนฯ เพอื่ ปรับปรงุ และพัฒนาแผนการจดั การเรียนร๎ูตํอไป ข้ันตอนในการทาแผนการจัดการเรียนรู้ การทําแผนการจัดการเรียนร๎ู มีขั้นตอนดงั น้ี 1. วิเคราะหค์ ําอธิบายรายวชิ า สาระการเรียนรู๎รายปีหรือรายภาค และหนํวยการเรียนร๎ูท่ี สถานศึกษาจดั ทาํ ข้ึน เพ่ือประโยชนใ์ นการเขียนรายละเอยี ดของแตํละหวั ข๎อของแผนการจดั การเรียนร๎ู 2. วิเคราะห์ผลการเรียนรู๎ท่ีคาดหวังเพื่อนํามาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนร๎ูโดยให๎ ครอบคลุมพฤติกรรมทงั้ ดา๎ นความร๎ู ทักษะ/กระบวนการ เจตคติ และคาํ นิยม 79
3. วิเคราะห์สาระการเรียนร๎ู โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนร๎ูให๎สอดคล๎องกับผู๎เรียน ชมุ ชนและท๎องถน่ิ 4. วเิ คราะหก์ ระบวนการเรียนร๎ู โดยเลอื กรปู แบบการจดั การเรียนรูท๎ ี่เน๎นผเู๎ รียนเป็นสาํ คญั 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผลโดยเลือกใช๎วิธีการวัดผล ประเมินผลให๎สอดคล๎องกับ จุดประสงคก์ ารเรียนร๎ู และสร๎างแบบวัดประเมินผลให๎ครอบคลุมเน้อื หาด๎วย 6. วิเคราะห์แหลํงเรียนร๎ู โดยคัดเลือกส่ือการเรียนร๎ูและแหลํงการเรียนรู๎ท้ังในและนอก หอ๎ งเรยี นให๎เหมาะสมกับกระบวนการจดั การเรียนร(ู๎ คณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน,2549) วเิ คราะห์กระบวนการเรยี นรู้ /การจดั การเรียนรู้ ผ๎สู อนต๎องวเิ คราะหจ์ ดุ ประสงค์และสาระการเรียนร๎ูเพอื่ ออกแบบการเรียนร๎ูทีเ่ นน๎ ผ๎ูเรยี น เปน็ สําคัญ ตามองคป์ ระกอบการเรยี นรต๎ู อํ ไปนี้ 2.1 ผ๎ูเรียนไดแ๎ ลกเปลยี่ นประสบการณ์ซ่งึ กนั และกัน เปน็ กระบวนการทค่ี รกู ระต๎นุ ให๎ผู๎เรียน ดงึ หรอื เชอื่ มโยงประสบการณ์เดมิ กับสถานการณ์ใหมํ การแลกเปลย่ี นประสบการณก์ ันน้ีชํวยให๎ผ๎เู รียน รวบรวมมวลประสบการณท์ หี่ ลากหลายแลว๎ นาํ ไปสํกู ารเรียนร๎สู ่ิงใหมํรวํ มกนั การจดั กจิ กรรมในขน้ั น้ี ไดแ๎ กํ การต้ังคําถาม การใหแ๎ ก๎ไขปญั หาด๎วยความร๎เู ดิม เป็นต๎น 2.2 มกี จิ กรรมการสรา๎ งความรร๎ู ํวมกนั เปน็ องค์ประกอบท่ีชํวยใหผ๎ ู๎เรียนไดค๎ ดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์และสร๎างสรรคม์ วลประสบการณ์ ข๎อมลู ความคดิ เห็น ฯลฯ เพ่อื ให๎เกดิ ความเขา๎ ใจที่ถํองแท๎ หรอื เกดิ ขอ๎ สรุปของความรใ๎ู หมํ ตลอดจบตรวจสอบ ปรับ/เปล่ยี นความคิดความเชือ่ ของตน การจดั กจิ กรรมในขน้ั นไี้ ด๎แกํ การต้ังประเดน็ ใหผ๎ ๎ูเรียนไดค๎ ดิ และสะท๎อนความคิด ปรบั เปลย่ี นความคดิ อยําง ลึกซ้ึง จนเกดิ ความเข๎าใจชดั เจน จนได๎ขอ๎ สรปุ หรือความรู๎ใหมํตามจดุ ประสงค์ที่กําหนด 2.3 กระบวนการเรียนรู๎ความร๎ูจากครู (ผาํ นสื่อและแหลํงการเรยี นร๎)ู เป็นองคป์ ระกอบท่ีที่ ผ๎ูเรยี นได๎รับขอ๎ มลู ความรู๎ แนวคิด ทฤษฎี หลกั การ ขนั้ ตอน หรือข๎อสรุปตํางๆ โดยครูเป็นผจ๎ู ดั ให๎ เพ่อื เปน็ ประโยชน์ในการสร๎างความร๎ใู หมํ และชํวยใหก๎ ารเรยี นร๎ูบรรลุวตั ถุประสงค์ การจดั กจิ กรรมในขนั้ น้ีไดแ๎ กํ การใหแ๎ นวคดิ ทฤษฎีหลักการ ข๎อมูลความร๎ู ขัน้ ตอนทักษะ ฯลฯ ซ่งึ ทําไดห๎ ลายทางเชํน บรรยาย ดวู ีดที ัศน์ อาํ นเอกสาร ใบความรู๎ ตาํ รา ฯลฯ 2.4 ผเู๎ รียนไดล๎ งมอื ปฏบิ ตั หิ รอื ประยุกต์ใช๎ เปน็ องคป์ ระกอบท่ีทําใหผ๎ ๎เู รยี นไดน๎ ําความคดิ รวบยอดหรอื ข๎อสรปุ หรือความรใ๎ู หมทํ เ่ี กิดขึน้ จากการเรยี นไปประยุกต์หรือทดลองใช๎ อาจกลาํ วอีกทาง หน่งึ วํา เป็นผลสาํ เร็จของการเรยี นรูใ๎ นองค์ประกอบข๎างต๎นท่ีกลาํ วมาแล๎ว และในข้นั น้เี ป็นขั้นที่สะท๎อน กระบวนการจดั การเรยี นรว๎ู ํา มิใชํเพียงเรยี นรู๎เทาํ นั้นแตํเป็นกระบวนการท่ีได๎ใช๎ความรทู๎ ่ีเรียน ทาํ ใหเ๎ กดิ เปน็ ทักษะและเจตคติท่ดี ตี ํอการเรียนตามมา การจัดกิจกรรมในข้ันน้ไี ด๎แกํ การทาํ แผนภาพ จัด นทิ รรศการ ทํารายงานสรปุ สาระสําคัญ ตารางวเิ คราะห์ ฯลฯ 80
3. ออกแบบปฏสิ ัมพันธใ์ นแตํละกจิ กรรมการเรยี นรู๎ โดยเลอื กใชก๎ ระบวนการที่หลากหลาย เชํน กระบวนการกลํุม ท้ังกลํุมขนาดเล็ก กลาง และใหญํ การออกแบบปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการ เรียนร๎ูท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ จึงเป็นการจัดให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูจากกลุํมมากท่ีสุด แทนการเรียนด๎วย การฟังครูพูด (บรรยาย) มีผลงานวิจัยสนับสนุนวําการเรียนเป็นกลํุมมีผลดีตํอผู๎เรียนคือ ชํวยให๎ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดีขึน้ สงํ เสรมิ ความคิดสรา๎ งสรรค์และจรยิ ธรรม ผเ๎ู รยี นได๎เรยี นรู๎อยาํ งมีความสุข 4. ส่ือ อุปกรณ์ และแหลํงการเรียนร๎ู หมายถึง การเตรียมสื่อตํางๆ เชํน ใ บงาน ใบความร๎ู สอ่ื วสั ดุ อุปกรณ์ แหลํงเรียนรู๎ทใี่ ช๎ประกอบในการทํากิจกรรมการเรียนร๎ูในคาบน้ันๆ เชํน กรณีศึกษา วีดิทัศน์ แถบเสียง แผํนโปรํงใส Power Point ส่ือบุคคล นิทาน เครื่อง โสตทศั นปู กรณ์ กระดาษ ปากกา สี บัตรคํา บัตรความรู๎ ใบงาน หนังสือ ตํารา เอกสารอ๎างอิง ฯลฯ 5. การวัดและประเมินผล หมายถึง ออกแบบการประเมินผลและการสร๎างเคร่ืองมือเพ่ือใช๎ ในการประเมินผล ในท่ีนี้หมายถึงการวัดและประเมินผลการเรียนเป็นรายคาบ ได๎แกํ การสังเกต ความสนใจและการมีสํวนรํวม การแสดงความคิดเห็นและการตรวจผลงาน การใช๎แบบทดสอบ การ ทําแฟูมสะสมงาน เป็นต๎น การจัดกิจกรรมในข้ันน้ีได๎แกํ การนําผลงานมาติดที่ปูายนิเทศ การอําน หนังสือเพิ่มเตมิ นอกเวลา การทําแบบทดสอบ ฯลฯ 6.จดั การเรียนรู๎และบันทึกผลการใช๎แผนการจัดการเรียนร๎ู ผู๎สอนสามารถประเมินแผนการ จดั การเรยี นร๎ู โดยใช๎บันทกึ ผลการใชแ๎ ผนฯ เพื่อปรับปรุงและพฒั นาแผนการจัดการเรยี นร๎ูตอํ ไป 81
ตัวอยา่ งแบบฟอรม์ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 1. การเขียนแผนการจัดการเรียนรแู้ บบความเรยี ง กลํมุ สาระ..............................ระดับชนั้ .........................เวลา...............ชว่ั โมง แผนการจดั การเรยี นร๎เู รื่อง............................................................................. สาระสาคญั ................................................................................................... จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้................................................................................. วิเคราะห์พฤติกรรมการเรยี นรู้ 1) ดา๎ นความร๎ู (ระบุพฤติกรรมการเรยี นรทู๎ เ่ี กิดขึน้ ) 2) เจตคติ (ระบุความรู๎สกึ คุณคําของส่ิงที่ได๎รบั จากการเรยี น) 3) ทกั ษะ (ระบทุ ักษะ ความสามารถทเี่ กิดขึ้นจากการเรียน) กจิ กรรมการเรียนรู้ (ลักษณะของการจดั กจิ กรรมการเรียนรข๎ู นึ้ อยํูกบั การออกแบบการจดั การ เรียนร๎ูของครู โดยคํานึงถึงหลักการ 4 ประการ คือ การใหโ๎ อกาสผเู๎ รียนได๎แลกเปล่ียนประสบการณ์ การสร๎างความรู๎รวํ มกัน การให๎ความร๎ใู หมํ และการลงมอื ปฏิบัต)ิ 1) ........................................................................................................ 2) ........................................................................................................ 3) ........................................................................................................ 4) ฯลฯ ส่อื อุปกรณ์ แหล่งการเรยี นรู้ 1) ........................................................................................................ 2) ........................................................................................................ 3) ........................................................................................................ 4) ฯลฯ การวัดและประเมินผล 1) การวัดผล สง่ิ ท่ีตอ๎ งการวัดผล วธิ กี ารที่ใช๎ เครือ่ งมือที่ใช๎ 82
2) การประเมนิ ผล....................................................... แนวทางแก๎ไข/พัฒนา การบนั ทกึ ผลการจัดการเรียนรู้ หวั ขอ๎ จุดเดนํ /ดี จุดดอ๎ ย/ข๎อบกพรํอง แผนการจัดการเรยี นร๎ู พฤติกรรมการสอนของ ครู พฤติกรรมผู๎เรียน ผลการเรียนรู๎ 2. การเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้แบบตาราง กลํุมสาระ..............................ระดับชนั้ .........................เวลา...............ชว่ั โมง แผนการจัดการเรียนร๎เู รื่อง............................................................................. สาระสาคญั ................................................................................................... จดุ ประสงค์ฯ สาระการ กิจกรรมการเรยี นรู๎ ส่ือ/แหลํง การวัดและ ผลการ ประเมนิ ผล เรียนร๎ู เรียนร๎ู การเรยี นรู๎ ลกั ษณะของแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนทด่ี ี คุณภาพของนักเรียนเปน็ ผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนของครู คุณภาพของการ เรียนการสอนมาจากการออกแบบแผนการสอนหรือแผนการเรยี นรท๎ู ดี่ ีและนาํ ไปใชก๎ ับนักเรียนใหเ๎ กิด ประสิทธิภาพสูงสุด การออกแบบแผนการรนสอนจึงเปน็ ตวั ช้วี ดั สมรรถภาพท่ีสาํ คัญของผู๎ประกอบวิชาชีพ ครู เราจงึ ขอนําเสนอลกั ษณะของแผนการเรยี นรู๎ทดี่ ีมาฝากกนั คํะ ลกั ษณะของแผนการจัดการเรยี นรู้ทด่ี ี ควรมดี งั น้ี 1. มีความละเอียด ชดั เจน มีหวั ข๎อและสวํ นประกอบตาํ ง ๆ ครอบคลุมตามหลกั การของการสอน 1.1 สอนเก่ียวกบั อะไร (หนํวยการเรียนร๎ู หวั เรอ่ื ง ความคิดรวบยอดหรือสาระสําคัญ) 1.2 เพ่อื จดุ ประสงค์อะไร (จุดประสงค์การเรียนรู๎ ซง่ึ ควรเขยี นเป็นจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม) 1.3 สาระอะไร (เนื้อหา / โครงราํ งเน้อื หา) 83
1.4 ใชว๎ ธิ ีการใดในการสอน (กิจกรรมการเรียนร๎ูซง่ึ ใช๎กจิ กรรมการเรียนรทู๎ ีเ่ น๎นผ๎เู รียนเปน็ สาํ คญั ) 1.5 ใช๎เครอื่ งมืออะไรในการสอน (วัสดอุ ปุ กรณ์ ส่อื และแหลงํ การเรียนรู)๎ 1.6 เราจะทราบได๎อยํางไรวําแผนการเรยี นรท๎ู ่เี ราออกแบบจะประสบความสําเร็จ (การวัด และประเมนิ ผล) 2. แผนการจัดการเรียนร๎ูสามารถนําไปปฏิบัติได๎จรงิ 3. สํวนประกอบตําง ๆ ของแผนการจัดการเรยี นรูม๎ ีความสอดคล๎องสัมพันธเ์ ชื่อมโยงสัมพนั ธก์ ัน เชํน 3.1 จดุ ประสงค์การเรียนร๎คู รอบคลุมสาระ / เนื้อหา และเป็นจดุ ที่พัฒนาผเ๎ู รยี นในด๎าน ความร๎ู ทักษะ กระบวนการและเจตคติ 3.2 กจิ กรรมการเรยี นรู๎ ควรสอดคล๎องกับจุดประสงค์และเนือ้ หา / สาระ 3.3 วัสดอุ ุปกรณ์ สื่อ และแหลงํ การเรียนร๎ู ควรสอดคล๎องสัมพันธก์ บั กจิ กรรมการเรยี นรู๎ 3.4 การวัดผลและประเมินผล ควรสอดคลอ๎ งกับจุดประสงค์การเรยี นร๎ู แผนการจดั การเรียนรู๎ทด่ี ตี อ๎ งเปน็ แผนการจดั การเรียนร๎ูทีเ่ น๎นผเ๎ู รยี นเป็นสําคญั ดังน้ี 1. มีการวิเคราะหห์ ลักสตู ร จดั ทําตารางวเิ คราะห์คําอธบิ ายรายวชิ า หรอื วิเคราะหส์ าระการ เรยี นรู๎ จดั ทําหนวํ ยการเรียนร๎ู และจดั ทํากําหนดการสอนหรอื โครงการสอน 2. มีการวิเคราะหผ์ ๎ูเรียน โดยการจดั กลุํมผ๎ูเรยี นตามความรู๎ ความสามารถ ความสนใจ และความ ถนดั แลว๎ นําไปเขียนแผนการจดั การเรียนรู๎ตามศักยภาพของผเ๎ู รยี นเพอ่ื เน๎นผ๎เู รียนเป็นสําคญั 3. มกี ารกาํ หนดเน้ือหาสอดคลอ๎ งกับจุดประสงค์การเรียนร๎ูสอดคลอ๎ งกบั ผลการเรยี นรู๎ท่ีคาดหวัง ศักยภาพของผูเ๎ รียน และความตอ๎ งการของท๎องถ่ิน รวมทง้ั การบูรณาการระหวํางวิชา 4. มกี ารกาํ หนดกจิ กรรมการเรยี นร๎ูทหี่ ลากหลาย เหมาะสมและสอดคล๎องกับศักยภาพของผูเ๎ รียน มกี ารบรู ณาการ เน๎นการคดิ (ทักษะการคิด ลักษณะการคดิ และกระบวนการคิด) การฝึกทักษะ การ ปฏิบตั ิจรงิ และการสร๎างองค์ความรู๎ดว๎ ยตนเอง 5. มีการกําหนดส่ือ /นวตั กรรม/แหลงํ เรียนร๎ูท่ีหลากหลาย สอดคลอ๎ งกับจุดประสงค์การเรียนร/๎ู ผลการเรยี นรูท๎ ่ีคาดหวงั กิจกรรมการเรยี นรู๎ วัยและความสามารถของผ๎ูเรียน และใหผ๎ ูเ๎ รยี นมสี วํ นรํวมใน การเลอื ก จัดหาและจดั ทําสื่อ/แหลํงการเรียนร๎ู 6. มกี ารกําหนดการวดั ผลและประเมินผล สอดคลอ๎ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนร๎/ู ผลการเรียนรูท๎ ี่ คาดหวังและกิจกรรมการเรียนร๎ู มีการวัดผลตามสภาพจริง ให๎ครอบคลุมทง้ั ดา๎ นความร๎ู ทักษะ และเจตคติ 7. มีองค์ประกอบสําคัญครบถ๎วน เน๎นผู๎เรยี นเปน็ สําคัญ สอดคล๎องกบั ความต๎องการของท๎องถิ่น เน๎นคุณธรรม จริยธรรม และมกี ารบรู ณาการตามความเหมาะสม 84
8. มคี วามสมบรู ณ์ถกู ต๎อง มีความคดิ รเิ รม่ิ สรา๎ งสรรค์ เป็นประโยชน์ตอํ ผ๎ูเรยี น ทําใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎ พฒั นาด๎านความรู๎ ทกั ษะและเจตคติ ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ทด่ี ี 1. ทาํ ใหเ๎ กดิ การวางแผนวธิ สี อนวธิ เี รียนท่มี คี วามหมายยิง่ ขึ้น เพราะเปน็ การจดั ทําอยําง มหี ลักการท่ีถูกต๎อง 2. ชวํ ยใหค๎ รูมคี ํมู ือการสอนทที่ าํ ด๎วยตนเอง ทําให๎เกิดความสะดวกในการจัดการเรียน การสอน ทาํ ใหส๎ อนไดค๎ รบถ๎วนตรงตามหลักสูตร และสอนได๎ทันเวลา 3. เปน็ ผลงานวิชาการทีส่ ามารถเผยแพรเํ ปน็ ตัวอยาํ งได๎ 4. ชวํ ยใหค๎ วามสะดวกแกํครผู ๎มู าสอนแทนในกรณที ผ่ี ู๎สอนไมํสามารถเข๎าสอนได๎ การมีแผนการสอนท่ีดีกเ็ หมือนการวางรากฐานการศกึ ษาให๎คนในประเทศ คุณครลู อง เอาแนวคดิ นี้ไปพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู๎ให๎นักเรยี น และยงิ่ จะเปน็ การที่ทําใหค๎ รูได๎เตรียมตัวลํวงหน๎า กํอนทําการสอนและจะได๎เหน็ รูปแบบการสอนนักเรยี นลวํ งหนา๎ คํะ 4.2 การเลอื กใช้ การผลิตส่ือ นกั วิชาการในวงการเทคโนโลยที างการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได๎ให๎ คําจาํ กัดความของ “ส่ือการสอน” ไว๎อยาํ งหลากหลาย เชนํ ชอร์ส กลําววํา เครื่องมือที่ชํวยสื่อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนักเรียน เพ่ือสํงเสริมการ เรียนร๎ู เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นส่ือการสอน เชํน หนังสือในห๎องสมุด โสตทัศนวัสดุตําง ๆ เชํน โทรทศั น์ วิทยุ สไลด์ ฟลิ ์มสตริป รปู ภาพ แผนท่ี ของจริง และทรัพยากรจากแหลํงชุมชน บราวน์ และคณะ กลําววํา จําพวกอุปกรณ์ทั้งหลายท่ีสามารถชํวยเสนอความรู๎ให๎แกํผู๎เรียน จนเกิดผลการเรียนที่ดี ท้ังนี้รวมถึง กิจกรรมตําง ๆ ท่ีไมํเฉพาะแตํส่ิงท่ีเป็นวัตถุหรือเครื่องมือเทําน้ัน เชํน การศึกษานอกสถานท่ี การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการ สาํ รวจ เปน็ ตน๎ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให๎ความหมาย ส่ือการสอนวํา วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอน เพ่ือใช๎เป็นส่ือกลางในการสื่อความหมายที่ผู๎สอนประสงค์จะสํง หรือถํายทอดไปยังผ๎ูเรียนได๎อยํางมี ประสทิ ธิภาพ นอกจากนี้ ยงั มีคําอ่นื ๆ ทม่ี ีความหมายใกล๎เคยี งกบั สอ่ื การสอน เปน็ ต๎นวํา สอื่ การเรยี น หมายถึง เคร่ืองมือ ตลอดจนเทคนิคตําง ๆ ท่ีจะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เรา๎ ความสนใจผ๎เู รยี นร๎ูให๎เกิดการเรียนรู๎ เกดิ ความเขา๎ ใจดีขึ้น อยาํ งรวดเรว็ 85
สอื่ การศกึ ษา คอื ระบบการนําวัสดุ และวิธีการมาเป็นตัวกลางในการให๎การศึกษาความร๎ูแกํ ผ๎ูเรียนโดยทว่ั ไป โสตทศั นปู กรณ์ หมายถงึ วัสดุทงั้ หลายท่ีนาํ มาใช๎ในหอ๎ งเรยี น หรือนํามาประกอบการสอนใด ๆ กต็ าม เพอ่ื ชํวยให๎การเขียน การพดู การอภิปรายน้นั เข๎าใจแจมํ แจง๎ ย่งิ ขน้ึ ความสาคญั ของส่ือการสอน ไชยยศ เรืองสุวรรณ กลําววํา ปัญหาอยํางหน่ึงในการสอนก็คือ แนวทางการตัดสินใจจัด ดําเนินการให๎ผู๎เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมขึ้นตามจุดมุํงหมาย ซ่ึงการสอนโดยท่ัวไป ครูมักมี บทบาทในการจัดประสบการณ์ตําง ๆ ไมํวําจะเป็นด๎านเนื้อหาสาระ หรือทักษะและมีบทบาทในการจัด ประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยํูกับตัวผู๎เรียนแตํละคนด๎วยวํา ผู๎เรียนมีความต๎องการ อยํางไร ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล๎อมที่ดีเพ่ือการเรียนการสอนจึงมี ความสาํ คญั มาก ทั้งนี้เพื่อสร๎างบรรยากาศและแรงจูงใจผ๎ูเรียนให๎เกิดความอยากเรียนร๎ูและเพ่ือเป็นแหลํง ศกึ ษาคน๎ คว๎าหาความรู๎ของผู๎เรียนได๎ตามจุดมุํงหมาย สภาพแวดล๎อมเพ่ือการเรียนร๎ูท้ังมวลที่จัดขึ้นมาเพ่ือ การเรียนการสอนนัน้ ก็คือ การเรยี นการสอน เอด็ การ์ เดล ได๎กลําวสรปุ ถงึ ความสําคัญของสือ่ การสอน ดงั นี้ 1. สอ่ื การสอน ชวํ ยสร๎างรากฐานทเี่ ป็นรูปธรรมข้นึ ในความคิดของผู๎เรียน การฟังเพียงอยําง เดยี วน้ัน ผ๎ูเรียนจะต๎องใชจ๎ นิ ตนาการเข๎าชํวยด๎วย เพอ่ื ใหส๎ ิง่ ท่ีเป็นนามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นในความคิด แตสํ ําหรบั สงิ่ ทยี่ ุํงยากซบั ซ๎อน ผเู๎ รยี นยํอมไมํมีความสามารถจะทําได๎ การใชอ๎ ุปกรณเ์ ข๎าชํวยจะทําให๎ผ๎ูเรียน มคี วามเข๎าใจและสร๎างรปู ธรรมข้นึ ในใจได๎ 2. สือ่ การสอน ชวํ ยเรา๎ ความสนใจของผู๎เรยี น เพราะผ๎ูเรยี นสามารถใช๎ประสาทสัมผัสได๎ด๎วย ตา หู และการเคลื่อนไหวจบั ตอ๎ งไดแ๎ ทนการฟังหรือดเู พียงอยาํ งเดยี ว 3. เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนร๎ูและชํวยความทรงจําอยํางถาวร ผ๎ูเรียนจะสามารถ นําประสบการณเ์ ดิมไปสัมพนั ธก์ บั ประสบการณ์ใหมํ ๆ ได๎ เมือ่ มีพืน้ ฐานประสบการณ์เดมิ ท่ดี อี ยแูํ ลว๎ 4. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎มีพัฒนาการทางความคิด ซึ่งตํอเน่ืองเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันทําให๎เห็น ความสัมพนั ธเ์ กีย่ วขอ๎ งกับสิ่งตําง ๆ เชนํ เวลา สถานท่ี วัฏจักรของสงิ่ มชี ีวติ 5. ชวํ ยเพ่ิมทกั ษะในการอาํ นและเสริมสร๎างความเข๎าใจในความหมายของคําใหมํ ๆ ให๎มาก ขึ้น ผ๎ูเรียนที่อํานหนังสือช๎าก็จะสามารถอํานได๎ทันพวกท่ีอํานเร็วได๎ เพราะได๎ยินเสียงและได๎เห็น ภาพประกอบกัน เปร่ือง กุมทุ ใหค๎ วามสาํ คัญของส่ือการสอน ดงั น้ี 1. ชํวยใหค๎ ณุ ภาพการเรยี นร๎ูดีขน้ึ เพราะมคี วามจริงจังและมคี วามหมายชัดเจนตํอผูเ๎ รยี น 86
2. ชวํ ยให๎นกั เรยี นรไ๎ู ดใ๎ นปริมาณมากขน้ึ ในเวลาทกี่ าํ หนดไวจ๎ ํานวนหนงึ่ 3. ชํวยใหผ๎ ูเ๎ รยี นสนใจและมสี วํ นรํวมอยาํ งแข็งขนั ในกระบวนการเรยี นการสอน 4. ชวํ ยให๎ผู๎เรียนจาํ ประทบั ความรูส๎ กึ และทาํ อะไรเป็นเรว็ ขน้ึ และดขี น้ึ 5. ชวํ ยสงํ เสริมการคดิ และการแก๎ปญั หาในขบวนการเรยี นร๎ูของนกั เรยี น 6. ชํวยให๎สามารถเรียนรู๎ในส่ิงท่ีเรียนได๎ลําบากโดยการชํวยแก๎ปัญหา หรือข๎อจํากัดตําง ๆ ไดด๎ ังน้ี • ทาํ ส่งิ ท่ซี บั ซ๎อนให๎งํายขน้ึ • ทาํ นามธรรมให๎มรี ูปธรรมขึน้ • ทําส่งิ ที่เคลือ่ นไหวเร็วใหด๎ ชู า๎ ลง • ทําส่งิ ท่ใี หญํมากใหย๎ อํ ยขนาดลง • ทําสิ่งที่เลก็ มากให๎ขยายขนาดขึ้น • นาํ อดตี มาศกึ ษาได๎ • นาํ สิง่ ที่อยํไู กลหรือลี้ลับมาศึกษาได๎ 7. ชวํ ยใหน๎ ักเรยี นเรียนสาํ เรจ็ งาํ ยขึ้นและสอบไดม๎ ากขนึ้ เม่ือทราบความสําคัญของส่ือการสอนดังกลําวข๎างต๎นแล๎ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ ประเภท หรอื ชนดิ ของสอ่ื การสอน ดงั จะกลําวตํอไปดงั นี้ ประเภทของส่อื การสอน เอด็ การ์ เดล จาํ แนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลําดับจากประสบการณท์ เี่ ป็นรปู ธรรม ไปสํปู ระสบการณ์ท่เี ป็นนามธรรม โดยยึดหลักวํา คนเราสามารถเขา๎ ใจส่งิ ท่ีเปน็ รูปธรรมได๎ดแี ละเร็วกวําส่ิง ทเี่ ปน็ นามธรรมซ่งึ เรียกวาํ \"กรวยแหํงประสบการณ\"์ (Cone of Experiences) ซึ่งมีท้งั หมด 10 ขัน้ ดงั แผนภาพตอํ ไปนี้ 87
โรเบริ ์ต อ.ี ด.ี ดีฟเฟอร์ แบงํ ประเภทของสื่อการสอน ดงั น้ี 1. วสั ดทุ ่ไี มํต๎องฉาย ไดแ๎ กํ รูปภาพ แผนภมู ิ กราฟ ของจริง ของตวั อยาํ ง หุํนจาํ ลอง แผนท่ี กระดาษสาธติ ลูกโลก กระดานชอลค์ กระดานนิเทศ กระดานแมํเหลก็ การแสดงบทบาท นิทรรศการ การสาธิต และการทดลองเป็นตน๎ 2. วสั ดุฉายและเครื่องฉาย ไดแ๎ กํ สไลด์ ฟิลม์ สตริป ภาพโปรํงใส ภาพทึบ ภาพยนตร์ และ เครอ่ื งฉายตาํ ง ๆ เชนํ เครอื่ งฉายภาพยนตร์ เคร่ืองฉายสไลด์ และฟลิ ม์ สตริป เคร่อื งฉายกระจกภาพ เคร่อื งฉายภาพข๎ามศรี ษะ เครื่องฉายภาพทบึ แสง เครือ่ งฉายภาพจลุ ทัศน์ เปน็ ตน๎ 3. โสตวัสดุและเครอื่ งมือ ได๎แกํ แผนํ เสียง เครื่องเลนํ จานเสยี ง เทป เครอ่ื งบันทึกเสยี ง เคร่ือง ขยายเสียง และวิทยุ เป็นต๎น ศาสตราจารยส์ ําเภา วรางกูร ไดแ๎ บงํ ประเภทและชนิดของส่อื การสอน ดังน้ี ก. ประเภทวัสดโุ สตทัศน์ (Audio-Visual Materials) 1. ประเภทภาพประกอบการสอน(Picture Instructional Materials) 88
I. ภาพท่ีไมํตอ๎ งฉาย (Unprojected Pictures) i. ภาพเขยี น (Drawing) ii. ภาพแขวนผนงั (Wall Pictures) iii. ภาพตดั (Cut-out Pictures) iv. สมดุ ภาพ (Pictorial Books, Scrapt Books) v. ภาพถาํ ย (Photographs) II. ภาพทตี่ ๎องฉาย (Project Pictures) i. สไลด์ (Slides) ii. ฟิลม์ สตริป (Filmstrips) iii. ภาพทึบ (Opaque Projected Pictures) iv. ภาพโปรงํ แสง (Transparencies) v. ภาพยนตร์ 16 มม., 8 มม., (Motion Pictures) vi. ภาพยนตร์ (Video Tape) 2. ประเภทวสั ดุอปุ กรณล์ ายเส๎น (Graphic Instructional Materials) I. แผนภมู ิ (Charts) II. กราฟ (Graphs) III. แผนภาพ (Diagrams) IV. โปสเตอร์ (Posters) V. การต์ นู (Cartoons, Comic strips) VI. รูปสเก็ช (Sketches) VII.แผนท่ี (Maps) VIII. ลกู โลก (Globe) 3. ประเภทกระดานและแผํนปูายแสดง (Instructional Boards and Displays) I. กระดานดําหรือกระดานชอล์ก (Blackboard,Chalk Board) II. กระดานผา๎ สําลี (Flannel Boards) III. กระดานนิเทศ (Bulletin Boards) IV. กระดานแมํเหล็ก (Magnetic Boards) V. กระดานไฟฟูา (Electric Boards) 4. ประเภทวสั ดสุ ามมติ ิ (Three-Dimensional Materials) มี I. หุนํ จาํ ลอง (Models) II. ของตัวอยําง (Specimens) 89
III. ของจริง (Objects) IV. ของล๎อแบบ (Mock-Ups) V. นทิ รรศการ (Exhibits) VI. ไดออรามา (Diorama) VII.กระบะทราย (Sand Tables) 5. ประเภทโสตวสั ดุ (Auditory Instructional Materials) I. แผนํ เสยี ง (Disc Recorded Materials) II. เทปบันทึกเสยี ง (Tape Recorded Materials) III. รายการวทิ ยุ (Radio Program) 6. ประเภทกจิ กรรมและการละเลํน (Instructional Activities and Plays) I. การทัศนาจรศึกษา (Field Trip) II. การสาธิต (Demonstrations) III. การทดลอง (Experiments) IV. การแสดงแบบละคร (Drama) V. การแสดงบทบาท (Role Playing) VI. การแสดงหุนํ (Pupetry) ข. ประเภทเครอ่ื งมือโสตทัศนปู กรณ์ (Audio-Visual Equipments) 1. เคร่อื งฉายภาพยนตร์ 16 มม. , 8 มม. 2. เครื่องฉายสไลด์และฟลิ ม์ สตริป (Slide and Filmstrip Projector) 3. เครอ่ื งฉายภาพทึบแสง (Opaque Projectors) 4. เครอ่ื งฉายภาพข๎ามศรี ษะ (Overhead Projector) 5. เครอ่ื งฉายกระจกภาพ (3 1/4 \"x 4\" หรอื Lantern Slide Projector) 6. เครอ่ื งฉายภาพจลุ ทัศน์ (Micro-Projector) 7. เครอ่ื งเลํนจานเสียง (Record Plays) 8. เครือ่ งเทปบนั ทึกภาพ (Video Recorder) 9. เครื่องรับโทรทัศน์ (Television Receiver) 10. จอฉายภาพ (Screen) 11. เครอื่ งรับวทิ ยุ(Radio Receive) 12. เคร่ืองขยายเสยี ง(Amplifier) 13. อปุ กรณ์เทคโนโลยีแบบใหมํตํางๆ (Modern Instructional Technology Devices) เชํน โทรทศั นศกึ ษา หอ๎ งปฏิบัตกิ ารภาษา โปรแกรมเรียน (Programmed Learning) และอ่ืนๆ 90
จากการศึกษาถึงความสําคัญ ตลอดจนการแบํงประเภทและชนดิ ของส่อื การสอนข๎างต๎น ช้ใี หเ๎ หน็ ถงึ ความสัมพันธ์ของสอ่ื การสอนทีม่ บี ทบาทในการทําใหก๎ ารเรยี นการสอนเป็นไปอยาํ งมี ประสทิ ธิภาพ อยาํ งไรกด็ ี แม๎สือ่ การสอนจะมีความสําคัญและมีประโยชนม์ าก แตํก็ต๎องอาศยั เทคนิคใน การใชส๎ ื่อการสอนด๎วย ซงึ่ ในเรอื่ งน้ไี ด๎มนี ักวชิ าการให๎ข๎อคิดในการใช๎สอื่ ตาํ ง ๆ กับการสรา๎ งแบบการเรียนร๎ู ดังจะกลําวตํอไปน้ี ธรรมชาติในการเรียนรู้ของมนุษย์ ธรรมชาติในการเรยี นรขู๎ องมนุษยน์ ้นั มาจากการรบั ร๎ู (perception) ทต่ี คี วามจากความรสู๎ ึกท่ไี ด๎ จากส่งิ แวดล๎อมรอบ ๆ ตัว ด๎วยอวัยวะรับการสัมผัส (sensory organs) หรือเรียกอีกอยํางหน่ึงวํา เคร่ืองรับ (receptors) ไดแ๎ กํ 1. อวยั วะรับการสมั ผสั ภายนอก ประกอบดว๎ ย • ตา (visual sense) สําหรบั การมองเหน็ • หู (auditory sense) สําหรบั การได๎ยนิ • จมูก (olfactory sense) สาํ หรับการดมกลิ่น • ล้นิ (gustatory sense) สาํ หรบั การชมิ รส • กาย (skin sense) สําหรบั การสัมผัสทางกาย 2. อวยั วะสมั ผัสภายใน ประกอบด๎วย • สัมผสั เก่ยี วกบั การเคลื่อนไหว (kinesthesis) ทาํ ใหท๎ ราบการเคลอื่ นไหวของอวัยวะ ตาํ ง ๆ ภายในราํ งกาย มนุษย์สามารถรับรู๎ไดโ๎ ดยอาศัยประสาทสมั ผัสในกลา๎ มเน้ือ เอ็นข๎อตอํ กระดูก • สัมผัสการทรงตวั (vestibular sense) ทําใหร๎ ับรู๎เกยี่ วกบั การทรงตัว โดยมนษุ ย์ สามารถรบั รู๎การสัมผัสน้ี ด๎วยอวยั วะสัมผัสในชอํ งหูดา๎ นใน เมอ่ื อวัยวะสมั ผัสกระทบกับส่ิงเร๎า (Stimulus) จากสงิ่ แวดล๎อม กจ็ ะสํงความร๎สู กึ ไปยังสมอง ซึ่ง สมองจะทาํ หน๎าที่แปลสมั ผสั (sensation)และสงํ ตํอไปยงั ระบบประสาท(nervous system) จากนนั้ จะ เกดิ การเปลี่ยนแปลง เชนํ กระบวนการไฟฟาู และเคมี เพือ่ ให๎สมองรบั ท้งั พฤตกิ รรม การรับร๎ู หรอื เกดิ วิญญาณ ตัวอยาํ งเชํน เดก็ เล็ก ๆ มองเห็นเปลวเทยี นมีแสงสวํางไสว แสงเทยี นทเ่ี ดก็ เห็นจะเป็นส่งิ เรา๎ เด็ก จะคลานเขา๎ ไปหา และเอื้อมมือจับเปลวเทียน มอื (กายสมั ผัส) ทส่ี ัมผัสไฟ และตา (จกั ษสุ ัมผัส) ทมี่ องเหน็ เปลวเทยี น จะสํงความรสู๎ กึ ไปยงั สมองและระบบประสาท ซึ่งจะทําให๎เดก็ น้นั สามารถรไ๎ู ด๎วํา เปลวไฟนน้ั มี ความรอ๎ นและแสงสวําง 91
สรุปไดว๎ าํ กระบวนการรับรู๎ซงึ่ เกดิ ขึน้ ในมนษุ ยน์ ้นั มีข้ันตอนดงั ตอํ ไปนี้ จากการวิจัยเก่ียวกับการใช๎อวัยวะสมั ผัสเพือ่ การรับร๎ทู ้งั หา๎ ของมนุษย์ พบวาํ จะมีปริมาณการ รับรู๎ท่ีแตกตาํ งกัน ดังน้ี ประสาทสัมผัส การรับรู้ ปริมาณการรบั รู้ (ร้อยละ) ตา การมองเห็น 75 หู การไดย๎ ิน 13 จมูก การดมกลิ่น 3 ลิ้น การรับรส 3 กาย การสมั ผสั ทางกาย 6 หลังจากนัน้ จงึ เกิดการเรียนรู๎ (learning) ทีเ่ ป็นกระบวนการตอํ เน่ืองจากการรบั รู๎ เม่อื ประสาท สมั ผสั กระทบกับส่ิงเร๎า และเกดิ การรบั รู๎ ถ๎าการรับรห๎ู รอื ความรูส๎ กึ นนั้ ผํานไปโดยท่ีมิได๎บันทกึ ความจํา การ รบั ร๎ูน้ันจะถอื วาํ ยังไมํกอํ ให๎เกิดประสบการณ์ แตํถ๎าหากสมองได๎บันทกึ การรับร๎ูนั้นไวเ๎ ปน็ ประสบการณ์ เม่ือประสาทสมั ผสั กระทบตํอสง่ิ เร๎าเดมิ อีก จะทําใหเ๎ กิดความระลึกได๎ ทาํ ใหเ๎ กดิ การเรียนรขู๎ นึ้ อยํางไรกต็ าม การที่มนษุ ย์จะรบั ร๎ูและสามารถพฒั นาจนเป็นการเรียนร๎ไู ดด๎ ีหรือไมํนน้ั ยํอมข้ึนอยูกํ บั องค์ประกอบตาํ ง ๆ ดงั น้ี 1. สติปญั ญา ผู๎มสี ติปัญญาสงู กวาํ ยอํ มรับรไ๎ู ด๎ดกี วําผ๎ูมีสตปิ ญั ญาตํา่ กวาํ 2. การสงั เกตและพจิ ารณา ขน้ึ อยกํู ับความชาํ นาญ และความสนใจตํอสิง่ เร๎า 92
3. คณุ ภาพของจติ ในขณะน้ัน ถ๎ามีความเหน่อื ยอํอน เครยี ด หรืออารมณ์ขนํุ มวั อาจทําให๎ แปลความหมายของสิ่งเรา๎ ท่สี ัมผัสไดไ๎ มํดี แตใํ นทางตรงกันขา๎ ม หากสภาพจิตใจผํองใส ปลอดโปรงํ ก็จะทาํ ให๎การรบั รู๎และการเรียนรู๎เปน็ ไปด๎วยดี และเปน็ ระบบ จากการศึกษาเกย่ี วกบั ธรรมชาติในการเรยี นรขู๎ องมนษุ ย์ดงั ทไ่ี ด๎กลาํ วมาข๎างตน๎ น้นั เราจะ สามารถนาํ ความร๎ูดงั กลาํ วมาประยกุ ตใ์ นการสรา๎ งแบบการสอน โดยอาศัยหลกั 4 ประการ ดังนี้ 1. หลกั สตู รหรือคาํ อธิบายรายวชิ า ควรระบุจุดมงุํ หมายวาํ ต๎องการใหผ๎ ูเ๎ รยี นบรรลุ วตั ถปุ ระสงคใ์ นเร่ืองใดบา๎ ง 2. กิจกรรม ควรมีกิจกรรมการเรียนหรอื กิจกรรมเสรมิ อะไรบ๎างท่ีจะชํวยใหผ๎ ูเ๎ รียนบรรลุ จุดมุงํ หมายและกจิ กรรมเหลาํ นั้นควรจดั ในรูปแบบใด 3. สภาพแวดลอ๎ มของการเรยี น ควรจดั สภาพแวดล๎อมเพ่ือกจิ กรรมการเรียนอยํางไร ต๎องใช๎ สถานท่ีเรยี น บุคลากร และวัสดอุ ุปกรณ์อะไรบ๎าง 4. การประเมนิ ผล ต๎องสรา๎ งระบบการประเมินผลท่มี ีประสทิ ธิภาพ เพ่อื ใหท๎ ราบระดับของ สัมฤทธิผลของผูเ๎ รยี น ทง้ั นี้ อาจแสดงระบบการสรา๎ งแบบการสอนใหช๎ ัดเจน ดงั แผนภาพ ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ กลําววํา กอํ นท่จี ะวางแผนระบบการสอนข๎างตน๎ สํวนท่ีควรพจิ ารณาเป็น พเิ ศษ คอื เรื่องของการวิเคราะหผ์ เ๎ู รยี นวาํ มีอะไรบา๎ งทผ่ี ๎เู รยี นตอ๎ งการเรยี นรู๎ มอี ะไรบา๎ งที่ผเ๎ู รยี นรูอ๎ ยํูแล๎ว อะไรคือปญั หาของผเู๎ รียนในการเรยี น ผูเ๎ รียนมคี วามพร๎อมที่จะเรียนหรือไมํ หลงั จากน้ันจึงควรเริ่ม วิเคราะห์ระบบการสอน ดังนี้ 1. ความมุํงหมาย (Goals) เรามคี วามมํงุ หมายอะไรบ๎างที่มุํงจะกํอใหเ๎ กิดผลสาํ เร็จในการ จัดการเรยี นสอน การวิเคราะห์ในเร่ืองนี้ก็คือ การวิเคราะห์ภารกิจของผู๎สอน 2. สภาพการณ์ (Conditions) ผเ๎ู รยี นจะประสบผลสาํ เร็จในการเรียนไดด๎ ี ควรเรยี นร๎ูอยํู ภายใตส๎ ภาพการณ์อะไรบ๎าง อยาํ งไร ควรใช๎ยทุ ธวธิ ีหรอื วธิ กี ารอยํางไร 93
3. แหลํงการเรยี นหรือทรพั ยากรการเรียน (Resources) มีแหลงํ การเรยี นหรือทรัพยากร อะไรบ๎าง ท่ีจัดวําจาํ เปน็ ตํอการจัดประสบการณ์การเรียนรใ๎ู หแ๎ กํผเู๎ รยี น 4. ผลทีไ่ ด๎ (Outcomes) เราจะประสบผลสําเร็จตามจุดมงุํ หมายท่ตี ้ังไว๎เพยี งใด มีอะไรบา๎ ง ที่จําเปน็ จะต๎องปรับปรุงแก๎ไข เกอร์ลัชแหํงมหาวิทยาลยั แหํงรัฐอาริโซนาและอลี แี หํงมหาวิทยาลยั ซรี าคิวสส์ หรัฐอเมรกิ า ได๎ ออกแบบระบบการสอนจนเป็นทีย่ อมรบั กันอยํางแพรํหลาย ระบบการสอนทีเ่ ขาทง้ั สองออกแบบไวน๎ น้ั มี ท้งั หมด 10 ข้นั ตอน คือ 1. กําหนดจุดมงํุ หมาย ซงึ่ นบั เป็นจดุ เริ่มตน๎ ของระบบการสอน จดุ มงุํ หมายควรเป็น จดุ มงุํ หมายเฉพาะ หรอื จดุ มํุงหมายเชิงพฤติกรรม ทผี่ เ๎ู รียนสามารถปฏิบัตไิ ด๎ และครสู ามารถวัดและสังเกต ได๎ 2. กาํ หนดเนือ้ หา เป็นขนั้ ของการเลือกเน้ือหา เพ่ือนาํ มาชวํ ยใหผ๎ ูเ๎ รยี นไดเ๎ รียนรู๎และบรรลุ จุดมงุํ หมายเชงิ พฤติกรรมทตี่ ง้ั ไว๎ 3. ประเมนิ ผลพฤตกิ รรมกํอนเรยี น เปน็ การประเมินผลกอํ นเรียนเพ่ือใหท๎ ราบพฤติกรรม เบือ้ งตน๎ หรือพ้นื ฐานเดิมของผ๎ูเรยี น 4. พิจารณายุทธศาสตร์หรอื วิธกี ารสอน คาํ วํา “ยทุ ธศาสตรก์ ารสอน” เปน็ คําท่ีใช๎เพ่ือ จาํ เพาะเจาะจงย่ิงกวาํ คาํ วํา “วธิ สี อน” “ยทุ ธศาสตร์” คือ วธิ กี ารของครใู นการใชส๎ ่อื ความ เร่ืองราว ขําวสาร การเลอื กทรพั ยากร และการกําหนดบทบาทของผู๎เรยี นในการเรียนการสอน ซง่ึ เปน็ แนวปฏิบตั ิ โดยเฉพาะ เพ่อื ชํวยให๎บรรลจุ ุดมํุงหมายของการสอน สํวนคําวํา “วธิ สี อน” เป็นการวางแผนกระบวนการ สอนอยาํ งมรี ะบบ ยุทธศาสตร์การสอนที่เกอร์ลชั และอีลีชเสนอมี 2 ระบบ คือ 4.1 แบบทค่ี รูเตรียมเนอื้ หาความรูม๎ าให๎แกํผู๎เรยี นเองทั้งหมด โดยครใู ชส๎ ่ือตาํ ง ๆ เพอื่ การสอนหรอื ถาํ ยทอดความร๎ู ยทุ ธศาสตร์การสอนแบบน้ีได๎แกํ การสอนแบบบรรยาย อภิปราย ซ่ึงทงั้ หมด นีเ้ รยี กวาํ ยุทธศาสตรแ์ บบ Expository Approach 4.2 ยุทธศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความร๎ู ซ่ึงครูจะมบี ทบาทเปน็ เพียงผเ๎ู ตรียมส่งิ อํานวย ความสะดวกตาํ ง ๆ เพ่ือการเรยี นและการจดั สถานการณเ์ พอ่ื ให๎การเรียนรู๎บรรลุจดุ มงํุ หมาย ยุทธศาสตร์ การสอนแบบน้เี รียกวาํ Inquiry หรอื Discovery Approach 5. การจดั แบงํ กลุมํ ผเู๎ รียน เปน็ การจัดกลุํมผเู๎ รยี นเพื่อให๎ไดเ๎ รียนรู๎รวํ มกนั จุดมุงํ หมายของ การสอนจะทาํ ใหเ๎ ราสามารถจัดกลมํุ ผ๎ูเรียนได๎อยาํ งเหมาะสม ดังน้ันในการจัดแบํงกลํุมผ๎ูเรียนตอ๎ งพิจารณา จากจดุ มงุํ หมาย เนื้อหาและยุทธศาสตรก์ ารสอน ซึ่งสามารถยืดหยนํุ ได๎ตามตวั แปรท่ีกลาํ วมาแลว๎ 6. กําหนดเวลาเรยี น จากการกาํ หนดยทุ ธศาสตร์และวิธกี ารสอนกับผ๎ูเรียนกลํุมตําง ๆ แล๎ว ก็จะต๎องกําหนดเวลาเรยี น การกําหนดเวลาเรยี นจะขึ้นอยูํกับเนื้อหา จุดมุงํ หมาย สถานท่ี การบริการและ 94
ความสามารถตลอดจนความสนใจของผ๎เู รยี น ดังนนั้ การกําหนดเวลาจึงขึน้ อยูํกบั ผลการวเิ คราะห์ สภาพการณ์ดังกลําว 7. กําหนดขนาดหรือสถานทบ่ี รรยาย ห๎องเรยี นปกตโิ ดยทว่ั ไปจะมผี เู๎ รยี นประมาณ 30-40 คน ภายในห๎องเรยี นมโี ต๏ะนกั ศึกษา โต๏ะครู กระดานดําและปาู ยนิเทศ ซง่ึ นบั วาํ เหมาะสมกับการสอนแบบ บรรยาย แตํอาจจะไมเํ หมาะสมกับการสอนท่ีใชย๎ ุทธศาสตร์แบบตาํ ง ๆ ดังน้ัน หอ๎ งบรรยายจึงควรมหี ลาย ขนาด 7.1 หอ๎ งเรียนขนาดใหญํ ที่สามารถบรรจุผ๎เู รียนได๎ระหวาํ ง 60-300 คน 7.2 ห๎องเรยี นขนาดเล็ก สาํ หรบั การเรยี นระบบกลํมุ ยํอย 7.3 ห๎องเรยี นแบบเอกัตบคุ คลหรือเรยี นแบบเสรี ซึ่งห๎องเรยี นแบบน้อี าจใช๎ห๎องศูนย์ สอ่ื การสอนทีผ่ ๎เู รยี นสามารถเขา๎ ไปศึกษาค๎นคว๎าหรือศึกษาคน๎ ควา๎ หรอื เรยี นรด๎ู ๎วยตนเอง ในห๎องเรยี นแบบ นี้อาจจะมีคูหารายบุคคลไว๎ให๎ผเ๎ู รียนใชน๎ ง่ั เรยี น อยาํ งไรก็ตาม ปัจจุบนั ห๎องบรรยายจําเป็นต๎องมีระบบการติดตงั้ อปุ กรณป์ ระกอบการใชส๎ ือ่ การ สอนมากขน้ึ กวาํ แตํกํอน กลาํ วคือ เมอ่ื กํอนจะมีเพียงกระดานดาํ เครื่องฉายข๎ามศรี ษะ โตะ๏ อาจารย์ เกา๎ อ้ี โตะ๏ ผ๎เู รียน กส็ ามารถทําการสอนได๎ แตํในปจั จุบนั ข๎อมลู การเรยี นการสอนเปน็ ไปในลกั ษณะท่ีไร๎พรมแดน มากขึ้น ผูส๎ อนจึงมคี วามจาํ เป็นต๎องใช๎สือ่ ชนิดตําง ๆ ที่เหมาะสมมากขนึ้ เชํนกนั เชํน คอมพวิ เตอร์ วดี ิทัศน์ เป็นตน๎ ดงั นนั้ ห๎องบรรยายจึงควรเปน็ ห๎องบรรยายท่สี ามารถดดั แปลงหรอื เปลีย่ นแปลงได๎ หมายถงึ การ จดั โตะ๏ เก๎าอี้ ท่ีสามารถเปล่ยี นแปลงรปู แบบตาํ ง ๆ ได๎ตามความเหมาะสมกบั บทเรยี นและกจิ กรรมการ เรียนการสอนน้นั ๆ สิง่ ที่ผู๎สอนพงึ พิจารณาก็คือ อปุ สรรคของส่ิงแวดลอ๎ มทีม่ ีตํอการเรียนของผ๎เู รยี น โดยมี หลักดงั นี้ 1. หลักการวางแผนการใชห๎ ๎องบรรยาย • พจิ ารณาจากจาํ นวนผ๎เู รยี น • พิจารณาจากจํานวนผ๎ูสอน • จะใชส๎ ื่ออะไรบา๎ งสาํ หรบั การเรยี นการสอนในรายวชิ าท่จี ะบรรยาย • พจิ ารณาจากสภาพหอ๎ งบรรยาย มวี สั ดุอุปกรณ์อะไรบ๎าง • ห๎องเรียนสามารถทาํ ให๎มืด เพ่ือใช๎กับเคร่ืองฉายประเภทตาํ ง ๆ ไดท๎ กุ เวลาหรือไมํ และห๎องเรียนมพี น้ื ท่กี วา๎ งพอที่จะใหผ๎ เ๎ู รยี นแบงํ กลํุมสาํ หรบั ใช๎อปุ กรณ์ตําง ๆ ไดห๎ รือไมํ • เนอ้ื หาและส่ือการสอนท่จี ะใช๎ สามารถดดั แปลงไดห๎ รือไมํ สื่อตาํ ง ๆ หรอื อปุ กรณ์ สาํ หรบั สอ่ื สามารถเคลื่อนยา๎ ยไดง๎ ํายหรือไมํ เชํน แผนทโ่ี ลก ลูกโลก แผนภมู ิ เทปบันทกึ เสียง เคร่ืองฉาย วิดที ศั น์ เครือ่ งฉายทึบแสง ฯลฯ ผูเ๎ รียนสามารถใชใ๎ นหอ๎ งเรยี นได๎เลย หรอื ต๎องไปใช๎ที่ศูนยโ์ สตทศั นูปกรณ์ ของมหาวทิ ยาลัย 95
2. หลกั การเตรียมห๎องเรยี นสาํ หรบั การฉาย การเตรยี มสถานทแ่ี ละการเตรียมตัวผเู๎ รียนกํอนการฉายนน้ั เป็นสิง่ จําเป็นมาก ทั้งน้เี พ่ือให๎การใชเ๎ ครื่องฉาย ในการเรยี นการสอนไดผ๎ ลดี และผเ๎ู รยี นได๎รับความรู๎สมความมํุงหมาย ไชยศ เรอื งสวุ รรณไดใ๎ ห๎ ขอ๎ เสนอแนะสาํ หรับการเตรยี มห๎องเรียนที่มผี ๎เู รยี นประมาณ 30-35 คน ดงั น้ี • สําหรบั การฉายท่วั ไป การเตรียมจอฉายขนาดไมํเลก็ กวาํ 70 x 70 น้วิ มีการเลอื ก ฟลิ ์มภาพยนตร์ ฟิลม์ สไลด์ หรือฟิลม์ สตริป ตรงตามเน้ือหาทผี่ ๎ูสอนจะสอน • จัดทนี่ ั่งผ๎เู รียนให๎น่งั หํางจากจอฉายอยาํ งเหมาะสม คือ แถวนั่งหนา๎ สดุ ไมํควรใกลจ๎ อ เกินกวาํ 2 เทํา ของความกวา๎ งของจอ และนั่งหลงั สุดไมํควรไกลไปกวํา 6 เทาํ ของความกว๎างของจอ • จดั ที่นั่งผูเ๎ รยี นใหน๎ งั่ หํางกนั พอสมควร และให๎ทุกคนในห๎องฉายสามารถมองเห็นภาพ บนจออยาํ งชัดเจนทุกคน กลางหอ๎ งควรเว๎นชอํ งให๎กว๎างพอท่สี ํงแสงจากเครอื่ งฉายพุํงไปยงั จอได๎โดยไมมํ ี ผเ๎ู รียนนงั่ กดี ขวางอยูํ • ถา๎ เป็นไปได๎ควรให๎แสงสลวั ๆ เข๎าไปในห๎องไดบ๎ ๎าง แตํอยํามากเกินไป เพราะจะทาํ ให๎ ภาพบนจอไมคํ มชัด • ตอ๎ งจําไวเ๎ สมอวาํ จะต๎องต้งั เครอื่ งฉายโดยหนั ด๎านหลงั ของเครอ่ื งฉายไปทางประตู หรอื หน๎าตํางท่ีมแี สงสวาํ งเขา๎ ได๎ เพราะมีบํอยครง้ั ทป่ี ระตหู ๎องถูกเปิดเพราะผเู๎ รยี นเขา๎ ออก แสงสวํางจาก ภายนอกจะได๎ไมรํ บกวนสายตาผู๎เรยี น หรือถ๎าเปน็ ไปได๎ ควรใช๎ผ๎ามํานก้นั ประตูเข๎าออกไว๎อีกชน้ั หน่ึง กจ็ ะ เปน็ การดี • เมือ่ ทาํ นต๎องการใช๎เคร่ืองฉายเพื่อการศึกษาเปน็ กลํมุ ยํอย หรือเป็นรายบุคคล ควร ปฏบิ ตั ิ ดังนี้ o แบงํ กลมุํ ผูเ๎ รยี น แล๎วกําหนดเวลาเขา๎ ห๎องฉายตามเวลาทผ่ี ส๎ู อนกําหนดของแตํละ กลํุม หรอื แตลํ ะบุคคล o ควรทดลองใชเ๎ ครื่องฉายกํอนทีผ่ ๎ูเรียนจะเข๎าไปใช๎ o ในกรณีที่ผู๎เรียนจะใชเ๎ ครื่องฉายเอง ผสู๎ อนควรพิจารณาวาํ เครอ่ื งฉายชนดิ นั้นมี ความยากในการใชส๎ าํ หรับการทีผ่ เ๎ู รยี นใชเ๎ องหรือไมํ 8. การเลือกทรัพยากรหรือส่ือการเรียนการสอน ในขนั้ นี้ครูจะเลือกส่อื ตําง ๆ เพ่ือนาํ มาใช๎ ในการเรียนการสอนทีใ่ ชย๎ ทุ ธศาสตรก์ ารสอน ขนาดกลมํุ และสถานที่ในการสอนตําง ๆ กันเพอ่ื ให๎การสอน บรรลุจดุ มงํุ หมาย เชนํ รูปภาพ สไลด์ ภาพยนตร์ เครื่องเสียง หนังสือและอ่ืน ๆ 9. การประเมนิ ผลการเรียน การเรยี นเปน็ การปะทะสมั พนั ธร์ ะหวํางครูกับผู๎เรยี น ผเ๎ู รียนกับ ผูเ๎ รยี น หรอื ระหวาํ งผูเ๎ รียนกับสอ่ื การเรยี นการสอน ดงั น้ัน ผลการเรียนจงึ เป็นเรือ่ งสาํ คัญในการเรียน 10.การวิเคราะห์ข๎อมลู ยอ๎ นกลบั เปน็ การตรวจสอบหาข๎อบกพรอํ งเพื่อปรับปรงุ แก๎ไข 96
หลักการใช้สื่อการสอน 1. เตรยี มตวั ผส๎ู อน เป็นการเตรยี มตัวในการอําน ฟังหรือดูเนือ้ หาท่ีอยํใู นส่อื ที่จะใชว๎ าํ มีเน้ือหา ถกู ต๎อง ครบถว๎ นและตรงกบั ทตี่ อ๎ งการหรอื ไมํ จะตอ๎ งเพิ่มเตมิ ในสวํ นใด จะมีวิธีการใชส๎ ่ืออยํางไร เชํน การ ใช๎ภาพนง่ิ เพ่ือเป็นการนําเข๎าสูํบทเรยี น แลว๎ อธบิ ายเน้อื หาเกี่ยวกบั บทเรียนนัน้ จากนั้นจงึ ใหช๎ มวดี ิทศั น์ เพือ่ เสริมสร๎างความร๎ู แลว๎ สรปุ ความร๎อู ีกครงั้ ด๎วยแผนํ ภาพโปรํงใส ซ่งึ ข้นั ตอนเหลําน้ีผูส๎ อนต๎องเตรียมตวั โดยเขียนลงในแผนการสอนเพือ่ การใชส๎ ื่อได๎อยํางถูกตอ๎ ง 2. เตรยี มจดั สภาพแวดลอ๎ ม โดยการจดั เตรียมวัสดุ เครอ่ื งมือและอุปกรณท์ จ่ี ําเป็นต๎องใชใ๎ ห๎ พร๎อม ตลอดจนจดั เตรียมสถานท่ีห๎องเรียนให๎อยใํู นสภาพทเี่ หมาะสม ซงึ่ สงิ่ เหลําน้จี ะเป็นส่งิ ท่ีชวํ ยใหก๎ าร เรียนการสอนเป็นไปด๎วยความสะดวก ราบร่นื ไมํเสียเวลา 3. เตรยี มพรอ๎ มผูเ๎ รียน เปน็ การตัวผู๎เรียน โดยมกี ารแนะนาํ หรือให๎ความคิดรวบยอดเก่ยี วกบั เนอ้ื หา เพือ่ ให๎ผเู๎ รียนเตรยี มพร๎อมในการฟัง ดูหรืออํานบทเรียนจากสือ่ น้ันให๎เข๎าใจและสามารถจบั ประเดน็ สาํ คญั ของเน้ือหาได๎ และผูส๎ อนควรบอกผู๎เรียนลวํ งหน๎าวําหลงั จากมกี ารเรียนหรือใช๎สอื่ แลว๎ ผเ๎ู รยี นจะตอ๎ งมกี ิจกรรมอะไรบา๎ ง เชํน การทดสอบ การอภิปราย การแสดงหรือการปฏบิ ัติ เพื่อผเ๎ู รียนจะ ไดเ๎ ตรยี มตวั ได๎ถกู ต๎อง 4. การใชส๎ ื่อ ผสู๎ อนต๎องใชส๎ ่อื ให๎เหมาะสมกบั ข้นั ตอนท่ีเตรยี มไว๎ เพื่อใหด๎ าํ เนินการสอนไปได๎ อยาํ งราบรื่น และต๎องควบคุมการนาํ เสนอส่ือใหถ๎ ูกตอ๎ ง เชนํ การปรบั ภาพบนจอรับภาพใหช๎ ัดเจน การ ปรบั เสียงให๎พอเหมาะสาํ หรบั นกั เรียนในหอ๎ งและไมรํ บกวนหอ๎ งเรียนอ่นื เป็นตน๎ 5. การตดิ ตามผล ควรมกี ารติดตามผลโดยการให๎ผเ๎ู รยี นตอบคําถาม อภิปรายหรือเขียนรายงาน เพื่อเปน็ การทดสอบวาํ ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจบทเรียนและเรียนรจ๎ู ากส่อื ทเ่ี สนอไปนัน้ ถูกตอ๎ งหรือไมํ เพอื่ ผู๎สอนจะได๎ สามารถทราบถงึ จุดบกพรํองและเพ่ือการแก๎ไขปรบั ปรงุ การสอนของตนตอํ ไป A nalyze Learner Characteristics การวิเคราะหล์ ักษณะผ๎ูเรียน S tate Objectives การกําหนดวัตถุประสงค์ S elect , Modify or Design Materials การเลอื ก ดัดแปลงหรอื ออกแบบสื่อใหมํ U tilize Materials การใชส๎ ่อื R equire Learner Response การกําหนดการตอบสนองของผ๎เู รียน E valuation การประเมินการใช๎สื่อ การวเิ คราะห์ลักษณะผเู๎ รียน ( Analyze Learner Characteristics) เพอ่ื เลือกส่ือใหส๎ มั พันธ์กับ ลักษณะของผ๎เู รียน เชํน 97
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315