การที่จะให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจวําสิ่งน้ันดีสิ่งนั้นไมํดี หรือบุคคลน้ันมีพฤติกรรมอยํางน้ัน ทําไมไมํมี พฤติกรรมอยํางนี้ตํอเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน บางครั้งจะสอนโดยตรงไมํได๎ ผู๎เรียนจะไมํเข๎าใจ แตํถ๎าใช๎การ สอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ จะชวํ ยให๎ผู๎เรียนเข๎าใจพฤตกิ รรมของบคุ คลทอี่ ยํูเบ้ืองหลังเหตุการณ์หรือ ปัญหานน้ั ได๎ดีและกระจาํ งยิง่ ขนึ้ นอกจากน้ี เสรมิ ศรี ลักษณศิริ (2540 : 260-261) กลําววําการใช๎บทบาทสมมติในการเรียน การสอน บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือและวิธีการอยํางหน่ึงที่ใช๎ในการสอนเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎มีความเข๎าใจ อยํางลึกซ้ึงในเรื่องท่ีเรียน โดยที่ผ๎ูสอนสร๎างสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติขึ้น ให๎ผู๎เรียนได๎ แสดงออกมาตามทต่ี นคดิ วาํ ควรจะเป็น และถือเอาการแสดงออกท้ังทางความร๎ูและพฤติกรรมของผู๎แสดง มาเป็นขอ๎ อภปิ รายเพือ่ การเรียนรู๎ การแสดงบทบาทสมติเป็นการฝึกให๎ผ๎ูแสดงได๎ประสบการณ์จริงในสภาพของการสมมติขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อให๎ผ๎เู รยี นได๎ทดลองและเรียนร๎ูท่จี ะปรบั พฤติกรรมของตนอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพในสภาวะตํางๆ ได๎ ประเภทของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ อนิ ทริ า บณุ ยาทร (2542 : 98) กลําววําการสอนแบบบทบาทสมมติ แบํงออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ผูแ๎ สดงจะตอ๎ งแสดงบทบาทของคนอื่นตามท่ีถูกกําหนด โดยละท้ิงแบบแผนพฤติกรรมของ ตนเอง เชํน แสดงบทบาทของผู๎มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ หรือบุคคลอื่น ๆ ท่ีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ ของตัวเองเป็นบุคคลสมมติ เชํน สมมติวําเป็นชาวนา เป็นครู เป็นนายอําเภอ เป็นพํอค๎า ฯลฯ ผ๎ูแสดงจะต๎องพูด คิด ประพฤติ มีความร๎สู กึ เหมือนกบั บคุ คลทสี่ วมบทบาทนั้น ๆ 2.ผู๎แสดงจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง แตํกําหนดสถานการณ์ที่ อาจพบในอนาคต เชํน การสมัครงาน การสัมภาษณ์กลํุมตัวอยําง การเป็นผู๎แนะแนวให๎คําปรึกษาแกํ ผเ๎ู รยี น ฯลฯ บทบาทสมมติประเภทน้ีเป็นประโยชน์ตํอการฝึกฝนทักษะเฉพาะอยําง เชํน การแนะแนว การสมั ภาษณ์ การสอน การจูงใจ บุญชม ศรสี ะอาด (2541 : 161) กลาํ วถึง การแสดงบทบาทสมมตมิ ี 2 ประเภท ประเภทแรก ผ๎ูแสดงบทบาทสมมติจะต๎องแสดงบทบาทของคนอ่ืนโดยละทิ้งแบบแผน พฤติกรรมของตนเอง บทบาทของบุคคลอ่ืนอาจเป็นบุคคลจริง เชํน คนท่ีมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ เพอื่ นรํวมหอ๎ ง หรือการเปลี่ยนบทบาทซึ่งกันและกันกับเพื่อน หรือเป็นบุคคลสมมติ เชํน สมมติวําเป็น ครูใหญํ สมมติวําเป็นชาวนา เป็นต๎น ผ๎ูแสดงบทบาทสมมติจะพูด คิด ประพฤติหรือมีความรู๎สึก เหมอื นกับบคุ คลทีต่ นสวมบทบาท ประเภทที่สอง ผแ๎ู สดงบทบาทจะยงั คงรกั ษาบทบาทและแบบแผน พฤติกรรมของตนเอง แตํ ปฏิบัติอยูํในสถานการณ์ท่ีอาจพบในอนาคต เชํน การสมัครงาน สัมภาษณ์กลุํมตัวอยําง ผู๎แนะแนวให๎ 198
คําปรึกษาแกํนักเรียน บทบาทสมมติประเภทน้ีเป็นประโยชน์ตํอการฝึกฝนทักษะเฉพาะ เชํน การแนะ แนว การสัมภาษณ์ การจงู ใจ การควบคุมความขดั แยง๎ เป็นต๎น สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 105-106) กลําววําการแสดงบทบาทสมตินั้น เป็นวิธีการสอนท่ีครูใช๎สอนกันมากในปัจจุบัน เพราะข้ันตอนของการสอนไมํยากหรือซับซ๎อนมากเทําใด นัก โดยทัว่ ไปการแสดงบทบาทสมมติเพ่อื นาํ มาปฏิบตั ใิ นห๎องเรียนนน้ั อาจแยกไดเ๎ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. การแสดงบทบาทสมมติที่มีการเตรียมมาลํวงหน๎า ผู๎สอนจะผูกเรื่องหรือประเด็นเสียกํอน แล๎วนํามาเลําให๎ผู๎เรียนฟัง พร๎อมกันน้ันก็จะกําหนดตัวผ๎ูแสดงและบทละครอยํางครําว ๆ โดยอาจ เพ่ิมเติมรายละเอยี ดตามความเหมาะสมและตามความเห็นของผู๎แสดงเอง 2. การแสดงบทบาทท่ีไมํมีการเตรียมมากํอน วิธีการนี้อาจใช๎ระหวํางบทเรียนหรือเริ่มต๎น บทเรียนเพ่อื เร๎าความสนใจของผเ๎ู รียนเป็นต๎นวํา ระหวํางผู๎ท่ีสอนกําลังสอนเรื่องหน๎าท่ีพลเมืองของบุคคล ในอาชีพตําง ๆ และความสําคัญของหน๎าท่ีที่มีตํอสังคม ผ๎ูสอนอาจเรียกผู๎เรียน 4-5 คน ออกไปแสดง บทบาทของบุคคลในอาชีพตําง ๆ กัน หลังจากนั้นก็จะให๎ผ๎ูเรียนในชั้นวิจารณ์บทบาทที่แสดงไปแล๎ว วิธีการสอนเชนํ นีก้ น็ บั วาํ เปน็ วิธีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติเชนํ กัน การใช๎บทบาทสมมติในการเรียนการสอนมี 2 วิธีใหญํ ๆ คือ (เสริมศรี ลักษณศิริ, 2540 : 262) 1. การใช้บทบาทสมมติแบบเตรยี มไวพ้ ร้อม หมายความถึง การใช๎บทบาทสมมติเข๎าชํวยในการสอนโดยที่ผู๎สอนได๎เตรียมบทมาลํวงหน๎า หวงั จะใหผ๎ ู๎เรยี นไดเ๎ รยี นไปตามแบบแผนและขนั้ ตอนที่เตรียมไว๎ เชํน ครูเตรยี มวาํ จะใช๎บทบาทสมมติชํวย ในการสอนให๎ผู๎เรียนได๎รู๎จักเอาใจเขามาใสํใจเรา ครูจะต๎องเตรียมสถานการณ์สมมติมาลํวงหน๎าและ เตรยี มบทบาทมาอยํางเรียบรอ๎ ย เม่ือเขา๎ สอนครูจะสอนและใชบ๎ ทบาทสมมตติ ามขนั้ ตอนท่ีเตรียมมา 2. การใช้บทบาทสมมติแบบไมม่ ีบทเตรียมไว้ หมายความถึง การใช๎บทบาทสมมติเป็นเคร่ืองมือชํวยในการสอนตามวาระและโอกาสท่ี อํานวย ครูไมไํ ด๎เตรียมบทบาทมาให๎ผเู๎ รียนลํวงหน๎า นอกจากนี้ จําเริญ ชูชํวยสุวรรณ (2544 : 50-51) กลําวถึงวิธีแสดงบทบาทสมมติทําได๎ 3 วธิ คี อื 1. การแสดงแบบละคร การแสดงแบบนี้ผ๎ูแสดงจะต๎องฝึกซ๎อมกํอน เชํน อาจจะซ๎อมทําทาง ฝึกซ๎อมบทพูด ตามบทบาทของตัวละครในเรื่องท่ีแสดง ซึ่งอาจจะเป็นเร่ืองบทเรียน วรรณคดี หรือ บทเรยี นประวตั ศิ าสตร์กไ็ ด๎ 2. การแสดงทันทีทันใจ การแสดงแบบน้ี ผ๎ูแสดงไมํต๎องเตรียมตัวฝึกซ๎อม แตํเมื่อเรียนถึง เร่อื งใดกใ็ หน๎ กั เรียนแสดงไดท๎ นั ที เชนํ แสดงเปน็ ตาํ รวจ แสดงเปน็ บรุ ษุ ไปรษณีย์ แสดงเป็นพํอ เป็นลูก ฯลฯ โดยใหน๎ ักเรยี นแสดงไปตามความนึกคดิ ของนักเรยี นเองใหเ๎ หมาะสมกบั บทบาทที่รบั มา 199
3. การแสดงโดยครูหรือนักเรยี นชํวยกนั กาํ หนดเรอื่ งใหก๎ ารแสดงแบบน้ผี ๎ูแสดงจะต๎องแสดงไป ตามเร่อื งที่กําหนดแตอํ าจจะแตํงเตมิ บทของตนเองเข๎าไปบ๎างก็ได๎ตามความเหมาะสม จากประเภทของการสอนโดยใช๎การแสดงละครท่ีกลําวมาแล๎วน้ัน จะเห็นได๎วํา นักวิชาการได๎ แบงํ ประเภทของการสอนไวแ๎ ตกตํางกัน ซ่ึงพอจะสรุปได๎เปน็ 4 ประเภท ดังนี้ 1. ผูแ๎ สดงเป็นจะตอ๎ งเป็นผ๎แู สดงบทบาทตามทถ่ี ูกกาํ หนดไว๎ โดยไมเํ ก่ยี วขอ๎ งกับความรู๎ ความร๎ูสึกสํวนตวั 2. ผู๎แสดงจะต๎องแสดบทบาทตามแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง 3. การแสดงบทบาทท่ีผู๎แสดงจะต๎องเตรียมตวั กํอนการแสดงละคร 4. การแสดงบทบาทท่ผี ๎ูแสดงต๎องแสดงบทบาทโดยทันที ไมํมกี ารเตรยี มตัวลวํ งหน๎า องค์ประกอบของการสอนแบบบทบาทสมมติ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 358) กลําวถงึ องค์ประกอบสําคญั (ทข่ี าดไมํได๎) ของวิธีสอนแบบ บทบาทสมมติ ไวด๎ งั นี้ 1. มผี ูส๎ อนและผูเ๎ รยี น 2. มสี ถานการณ์สมมตแิ ละบทบาทสมมติ 3. มีการแสดงบทบาทสมติ 4. มีการอภปิ รายเก่ียวกบั ความร๎ู ความคดิ ความรส๎ู ึก และพฤตกิ รรมที่แสดงออกของ ผ๎ูแสดง และสรปุ การเรียนรท๎ู ี่ได๎รบั 5. มีผลการเรียนร๎ขู องผ๎เู รียน สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทัยสขุ (2540 : 106) กลาํ วถึงองคป์ ระกอบของการสอน โดยการแสดงบทบาทสมมติ มดี ังน้ี 1. ผ้แู สดงและผู้สังเกตการณ์ การแสดงบทบาทสมติ เมอ่ื นาํ มาปฏิบตั ิในห๎องเรยี นแลว๎ จะแยกกลํมุ ผเ๎ู รยี นออกเป็น 2 กลํุม คือ กลํุมผแ๎ู สดงเปน็ กลํมุ ทไ่ี ด๎รับมอบหมายบทบาทจากครูผส๎ู อนแลว๎ จากการวางแผน การเรียนการ สอนของผเ๎ู รยี นท้ังชั้นใหแ๎ สดงบทบาทตาํ ง ๆ กัน กับกลํุมผู๎ชมซ่ึงจะเป็นกลุํมสังเกตการณ์ โดยจะนาํ ผล จากการสงั เกตไปอภปิ รายภายหลัง 2. เหตกุ ารณ์ ประเด็น หรอื ปัญหา ซ่งึ อาจจะหยบิ ยกจากในแบบเรยี น หรือผส๎ู อนสร๎าง ขน้ึ ใหมํเองตามวัตถุประสงค์ท่ีกาํ หนดไวว๎ ําจะให๎ผเู๎ รียนรู๎อะไรจากเหตุการณน์ นั้ โดยทว่ั ไป ผูส๎ อนจะเปน็ ผ๎ู กาํ หนดเหตุการณ์เอง และนําเหตกุ ารณน์ นั้ ๆ มาเสนอแกํผเู๎ รยี นเพือ่ การแสดงตํอไป 200
3. ฉากและสอ่ื การสอน ฉากมเี พยี งทีจ่ าํ เป็นเทําน้นั หรอื อาจไมํใช๎เลยก็ได๎ สวํ นส่อื การ สอนกเ็ ชํนกนั จาํ เปน็ ไมมํ ากนกั ท้งั นเี้ พราะความสําคญั ของการเรียนการสอนดว๎ ยการแสดงบทบาท สมมติขึ้นอยํูกับบทบาทของผ๎ูแสดงมากกวําส่ิงใด ข้ันตอนของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 358-359) อธิบายขั้นตอนสําคญั ของการสอนไว๎ดังนี้ 1. ผู๎สอน / ผเู๎ รียน นาํ เสนอสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ 2. ผ๎สู อน / ผเู๎ รียนเลอื กผูแ๎ สดงบทบาท 3. ผสู๎ อนเตรียมผสู๎ ังเกตการณ์ 4. ผ๎เู รียนแสดงบทบาท และสงั เกตพฤติกรรมทแี่ สดงออก 5. ผ๎สู อนและผเู๎ รยี น อภิปรายเก่ยี วกบั ความรู๎ ความคดิ ความรู๎สกึ และพฤติกรรมที่ แสดงออกของผแู๎ สดง 6. ผสู๎ อนและผเ๎ู รยี นสรปุ การเรยี นรท๎ู ี่ไดร๎ ับ 7. ผสู๎ อนประเมินผลการเรียนรข๎ู องผ๎เู รียน อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 161-163) อา๎ งใน กรมวิชาการ (2527 : 37 – 40) ได๎เสนอขั้นตอน ท่สี าํ คญั ของการสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมติมี 5 ขน้ั ตอน ในแตลํ ะข้ันตอนมีวิธีการสอน ดงั นี้ 1. ข้ันเตรยี มการสอน เปน็ การเตรยี มใน 2 หวั ขอ๎ ใหญํ ไดแ๎ กํ 1.1 เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติให๎แนํชัดและเฉพาะเจาะจงวํา ตอ๎ งการให๎ผเู๎ รียนเกดิ ความร๎ูความเข๎าใจอะไรบา๎ งจากการแสดง 1.2 เตรียมสถานการณส์ มมติ เพอื่ ใหผ๎ ู๎เรียนฟงั โดยให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์ที่กําหนด ไว๎ การเตรียมสถานการณแ์ ละบทบาทสมมตนิ ้ีอาจเตรยี มเขียนไวอ๎ ยํางละเอียดเพื่อมอบให๎แกํผ๎ูเรียน หรือ เตรียมเฉพาะสถานการณเ์ พ่ือเลาํ ให๎ผเ๎ู รียนฟัง สวํ นรายละเอียดผเ๎ู รยี นต๎องคดิ เอง 2. ขน้ั ดําเนนิ การสอน จัดแบํงยอํ ยได๎ 7 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 2.1 ขั้นนําเข๎าสูํการแสดงบทบาทสมมติ เป็นการกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนเกิดความสนใจและ กระตอื รือร๎นทีจ่ ะเขา๎ รวํ มกิจกรรม โดยผส๎ู อนอาจใชว๎ ิธโี ยงประสบการณ์ใกลต๎ วั ผเู๎ รียน เลําเร่ืองราว หรือสถานการณส์ มมติ ช้ีแจงประโยชนข์ องการแสดงบทบาทสมมติ และการรํวมกันชวํ ยกนั แกป๎ ัญหา 2.2 เลือกผ๎ูแสดง เมอ่ื ผเ๎ู รียนเกิดความกระตือรือร๎นท่ีจะเข๎ารํวมกิจกรรมแล๎วผู๎สอนจะจัด ตัวผแู๎ สดงในบทบาทตําง ๆ ในการเลอื กตวั ผแ๎ู สดงนั้นอาจใชว๎ ธิ ีดงั น้ี 1) เลือกอยํางเจาะจง เชํน เลือกผ๎ูที่มีปัญหาออกมาแสดง เขาได๎ร๎ูสึกในปัญหาและ เหน็ วธิ ีแกป๎ ญั หา 201
2) เลือกผ๎ูที่มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัติ มีความสามารถเหมาะสมกับบทบาทที่ กาํ หนดให๎ 3) เลอื กผแ๎ู สดงโดยให๎อาสาสมัคร เพ่อื ใหเ๎ สรภี าพแกํผ๎เู รยี นในการเรยี น การตัดสินใจ 2.3 การเตรียมความพร๎อมของผ๎ูแสดง เมื่อเลือกผู๎แสดงได๎แล๎ว ผ๎ูสอนควรให๎เวลา ผ๎ู แสดงได๎เตรียมตัวและตกลงกันกํอนการแสดง ผู๎สอนควรชํวยให๎กําลังใจ ชํวยขจัดความตื่นเต๎นประหมํา และความวติ กกงั วลตําง ๆ เพ่ือผู๎แสดงไดแ๎ สดงอยาํ งเป็นธรรมชาติ 2.4 การจัดฉากการแสดง การจัดฉากการแสดงอาจจะจัดแบบงําย ๆ คํานึงถึงความ ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เชํน อาจสมมติโดยการเลื่อนโต๏ะเพียงตัวเดียว เพราะการจัดฉากนี้เป็น เพียงสวํ นประกอบยอํ ยของการแสดง 2.5 การเตรียมผูส๎ งั เกตการณ์ ในขณะท่ผี ู๎แสดงเตรียมตวั ผูส๎ อนควรไดใ๎ ชเ๎ วลาน้ันเตรียม ผ๎ชู มด๎วย โดยควรทําความเขา๎ ใจกับผู๎ชมวาํ ควรสังเกตอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ตํอ การวิเคราะห์ และอภิปรายในภายหลัง ผู๎สอนอาจเตรียมหัวข๎อการสังเกต หรือจัดทําแบบสังเกตการณ์เตรียมไว๎ให๎ พร๎อม แลว๎ เลือกผู๎สงั เกตการณช์ ํวยกนั ดู และบนั ทึกพฤติกรรมและเหตุการณ์ทเี่ กิดขึ้นเป็นเร่อื ย ๆ ไป 2.6 การแสดง เมื่อทุกฝุายพร๎อมแล๎วจึงเริ่มแสดง การแสดงน้ีควรปลํอยให๎เป็นไปตาม ธรรมชาติ ผู๎สอนและผ๎ูชมไมํควรเข๎าขัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผ๎ูแสดงต๎องการ ความ ชวํ ยเหลือ ในขณะทแี่ สดงผส๎ู อนควรสงั เกตพฤติกรรมของผ๎ูแสดงและผชู๎ มอยาํ งใกลช๎ ดิ 2.7 การตัดบท ผ๎ูสอนหรือผู๎กํากับควรตัดบทหรือหยุดการแสดงเม่ือการแสดงผํานไป เป็นเวลาพอสมควร ไมํควรปลํอยให๎การแสดงเย่ินเย๎อเกินไปจะทําให๎เสียเวลาและผู๎ชมเกิด ความเบื่อ หนาํ ย การตดั บทควรจะทาํ เมื่อ 1) การแสดงได๎ให๎ข๎อมลู แกํกลํุมเพียงพอทีจ่ ะนํามาวเิ คราะห์และอภปิ รายได๎ 2) ผู๎ชมและผ๎แู สดงพอจะเลาํ ไดว๎ าํ เรอ่ื งราวจะเปน็ อยาํ งไรถา๎ มีการแสดงตอํ ไป 3) ผ๎ูแสดงไมํสามารถแสดงตํอไปได๎ เพราะเกิดความเข๎าใจผิดบางประการหรือเกิด อารมณส์ ะเทอื นใจมากเกินไป 4) การแสดงยืดเย้ือไมํยอมจบหรือจบไมํลง และผู๎ชมหมดความสนใจท่ีจะชมการ แสดงจนจบเร่อื ง 3. ขนั้ วเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดง (ขน้ั ประเมินผล) ขั้นน้ีถือเป็นข้ันท่ีสําคัญยิ่งในการ สอน เพราะเป็นขน้ั ทจี่ ะชํวยให๎ผเ๎ู รยี นได๎รวบรวมขอ๎ มูลตาํ ง ๆ ท่ีได๎สังเกตเหน็ และนํามาวิเคราะห์อภิปราย จนเกิดเป็นการเรียนร๎ูที่มีความหมายสําหรับตนเอง ในข้ันนี้ครูควรจะเตรยี มคาํ ถามตําง ๆ ไว๎เป็นแนวทาง สําหรับตนเอง ท่ีจะใช๎กระตนุ๎ ให๎ผเ๎ู รียนคิดวิเคราะห์และอภิปรายรํวมกัน โดยทั่ว ๆ ไปวิธีการท่ีใช๎ในการ ดาํ เนนิ การในขั้นน้ี มดี งั น้ี 202
3.1 ช้แี จงใหท๎ ้ังผูแ๎ สดงและผูช๎ มเขา๎ ใจวํา การอภปิ รายจะเน๎นทเ่ี หตุผลและพฤติกรรมที่ผ๎ู แสดงไดแ๎ สดงออกมาไมํใชํเน๎นท่ใี ครแสดงดีไมํดีอยํางไร 3.2 สัมภาษณค์ วามรส๎ู กึ และความคิดผแ๎ู สดง 3.3 สมั ภาษณ์ความรู๎สกึ และความคดิ ของผู๎สงั เกตการณ์หรอื ผชู๎ ม 3.4 ใหก๎ ลมุํ ผ๎ูแสดงและผช๎ู มวิเคราะหเ์ หตุการณ์ เสนอความคิดเห็นและอภิปรายรํวมกัน โดยครูอาจใช๎คําถามตาํ ง ๆ กระตุน๎ ใหผ๎ เ๎ู รียนคิด ข๎อสําคัญข๎อหน่ึงท่ีครูพึงระวังในการดําเนินการอภิปรายก็คือ ครูควรแสดงความเป็น ประชาธิปไตย ให๎เสรภี าพแกํผูเ๎ รยี นอยํางเตม็ ทใ่ี นการคดิ ตดั สินใจ ไมํประเมินคําตัดสินความคิดเห็นของ ผ๎ูเรียน อนั อาจทาํ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ ความร๎ูสึกไมปํ ลอดภัย ไมํกลา๎ เปดิ เผยความรู๎สกึ ทแ่ี ทจ๎ ริง 4. ขัน้ แสดงเพ่ิมเติม หลังจากการวเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดงแล๎ว กลํุมอาจจะเสนอ แนวทางใหมํ ๆ ในการแก๎ปัญหาหรือการตัดสินใจ ครูอาจจะให๎มีการแสดงเพ่ิมเติมก็ได๎ แตํถ๎าการแสดง เพม่ิ เตมิ น้ไี มจํ ําเป็น ครสู ามารถขา๎ มขนั้ ไปถึงขั้นที่ 5 เลยกไ็ ด๎ 5. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป หลังจากอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงแล๎วครูควร กระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียนได๎แลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่ีมีสํวนสัมพันธ์หรือเกี่ยวข๎องกับเรื่องที่ได๎ศึกษา แกํกัน และกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์นี้จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางข้ึน และสํงเสริมให๎ ผ๎ูเรียนเห็นวําส่ิงที่เรียนนั้นเกี่ยวข๎องกับความจริง จะทําให๎ผ๎ูเรียนสามารถท่ีจะหาข๎อสรุป หรือได๎ แนวความคิดรวบยอดที่ตนสามารถเข๎าใจได๎อยาํ งดี จุไรรัตน์ นิพัทธ์สัจก์ (2529 : 139–146) อ๎างใน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 263-266) กลาํ ววาํ ไมวํ าํ จะเปน็ การใช๎บทบาทสมมติแบบมบี ทเตรียมไว๎ หรอื แบบไมํมีบทเตรยี มไว๎ มขี ้นั ตอนดงั ไปนี้ 1. ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั เตรยี มการ แบง่ ออกเป็น 2 ตอน คือ 1.1 การแจกแจงและกําหนดขอบเขตของปัญหา ในข้ันน้ีครูจะต๎องวิเคราะห์แยกแยะ สถานการณ์ออกมาให๎ได๎วํา อะไรคือปัญหา หรือจุดที่ต๎องการชี้ให๎ผู๎เรียนเป็นและเรียนเพื่อความเข๎าใจ และกําหนดขอบเขตของปญั หาทีจ่ ะสอน 1.2 การกําหนดสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ เม่ือได๎ปัญหาท่ีชัดเจนแล๎วครู จะต๎องกําหนดสถานการณ์สมมติที่งํายและชัดเจนขึ้น พร๎อมท้ังเขียนบทบาทสมมติที่จะให๎ผู๎เรียนแสดง บทบาทสมมติที่เขียนข้ึนน้ี ควรจะสามารถชํวยให๎ผู๎เรียนได๎ประสบปัญหาและข๎อขัดแย๎งเพื่อฝึกฝนการ แกป๎ ัญหาและการตดั สินใจ 2. ขนั้ ท่ี 2 ข้ันแสดง แบ่งออกเป็น 7 ตอน คือ 2.1 การอํานเร่ือง หมายถึง การนําผ๎ูเรียนให๎ไปสูํเรื่องที่จะศึกษาหรือปูพ้ืนให๎ผู๎เรียนมี ความเข๎าใจตรงกันในเรื่องท่ีจะเรียน ในข้ันน้ีครูอาจจะเลําเรื่องราวหรือสถานการณ์สมมติให๎ผ๎ูเรียนฟัง การเลําเรอ่ื งอุํนเคร่อื งนี้จะเปน็ ไปมากน๎อยเพยี งใดยํอมขน้ึ อยูํกบั จุดมํงุ หมายและสถานการณท์ ี่ตั้งไว๎ 203
2.2 การเลือกตวั ผแู๎ สดง การเลือกตัวผ๎ูแสดงอาจเป็นไปได๎ใน 2 ลักษณะ คือ อาจจะ เลอื กตวั ผ๎แู สดงท่มี ลี กั ษณะใกลเ๎ คียงกับลักษณะตรงกันข๎ามกับลักษณะของบทบาทที่มอบหมายให๎ก็ได๎ ใน กรณแี รกการแสดงจะชํวยให๎กลํุมเข๎าใจปัญหาได๎ดี เพราะการแสดงจะชํวยให๎ผู๎แสดงและผ๎ูชมได๎เข๎าใจถึง บทบาทของผท๎ู ่ีมีลกั ษณะแตกตํางออกไป ดังน้ันการเลือกตัวผ๎ูแสดงจึงขึ้นอยํูกับจุดมํุงหมายของการแสดง และการสอน เปน็ ตน๎ 2.3 การจัดฉากแสดง การจัดฉากนั้นก็เป็นการจัดฉากแบบสมมติขึ้นมา เพ่ือให๎ การ แสดงนั้นดูใกล๎เคียงกับความเป็นจริงน้ัน การจัดฉากอาจจะเป็นไปในลักษณะแบบงําย ๆ โดยการเล่ือน โตะ๏ เพยี งตวั เดียวไปจนถึงการจัดฉากแบบหรูหรา 2.4 การเตรียมผ๎ูสังเกตการณ์ การใช๎บทบาทสมมติในการเรียนนั้นชํวยให๎การเรียน สนุกสนานมีชีวิตชีวาก็จริง แตํครูจะต๎องไมํลืมวําการเรียนน้ีไมํใชํการเรียนเพ่ือสนุกอยํางเดียว ครูควร ชํวยให๎นักเรียนหัดสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ ดังนั้น การเตรียมผู๎ชมหรือผู๎สังเกตการณ์จึงเป็น สง่ิ จําเป็น ไมเํ ชนํ นัน้ การอภปิ รายและวเิ คราะหห์ ลงั การแสดงจะไมไ๎ ดผ๎ ลเทาํ ท่ีควร 2.5 การเตรียมความพร๎อมกํอนแสดง การท่ีผ๎ูเรียนจะแสดงบทบาทสมมติให๎เป็นไป อยํางธรรมชาติ ดงั นั้นครจู ําเปน็ ต๎องชํวยขจดั ความตื่นเต๎นประหมําและความวิตกกังวลของผู๎แสดงออกไป ดว๎ ยวิธีการตําง ๆ 2.6 การแสดง เมอื่ ผแ๎ู สดงและผ๎ูชมพร๎อมแล๎ว ผูแ๎ สดงกเ็ ร่ิมแสดงได๎ การแสดงนี้ควรให๎ เป็นไปตามธรรมชาติ ไมํมีการตัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผู๎แสดงต๎องการความชํวยเหลือ ครูหรือผ๎ู กาํ กับการแสดงอาจเขา๎ ไปชวํ ยได๎ตามโอกาส 2.7 การตัดบท เม่อื ผ๎ูแสดงได๎แสดงเป็นไปเป็นเวลานานพอสมควรแล๎ว ครูหรือผ๎ูกํากับ การแสดงควรตดั บทหรือหยุดการแสดง ไมํควรปลํอยให๎การแสดงเยิ่นเยอ๎ ไปจะทาํ ให๎เสียเวลาและผู๎ชมเกิด ความเบ่อื หนําย การตัดจะทําได๎ในกรณตี ํอไปนี้ 2.7.1 เมื่อการแสดงนั้นได๎ให๎ข๎อมูลเพียงพอแกํกลุํมท่ีจะนํามาวิเคราะห์และอภิปราย ได๎ 2.7.2 กลุํมพอจะเดาได๎วาํ เรื่องราวจะเปน็ อยาํ งไรถ๎าจะมกี ารแสดงตํอไป 2.7.3 ผ๎แู สดงไมสํ ามารถแสดงตอํ ไปได๎เพราะเกดิ ความเขา๎ ใจผิดบางประการ 2.7.4 การแสดงจบเรือ่ ง 3. ขนั้ ท่ี 3 ขัน้ วเิ คราะห์และอภิปรายผลการแสดง การวิเคราะห์การแสดงมักจะเป็นไปในรูปการอภิปรายรํวมกันระหวํางผ๎ูแสดงผู๎ชมหรือผ๎ู สังเกตการณ์ การอภปิ รายจะเป็นไปในรูปใดนั้นมักข้ึนกับวัตถุประสงค์ของการเรียน บางครั้งอาจจะมีการ ให๎ผู๎แสดงได๎เปิดเผยความร๎ูสึกและเสนอความเห็นกํอนแล๎ว จึงให๎ผู๎ชมหรือ ผู๎สังเกตการณ์เสนอความ คิดเหน็ การอภปิ รายนจี้ ะตอ๎ งเปน็ ไปอยาํ งตรงไปตรงมา และเนน๎ ท่เี หตุผลของการแสดงออกและพฤติกรรม 204
ท่ีบทแสดงออกมา โดยปกติการอภิปรายจะไมํมุํงถึงวําใครแสดงดีไมํดีอยํางไร นอกจากวัตถุประสงค์ของ การแสดง คือ การฝึกทักษะการแสดง การเรียนรู๎ทั้งหลายจะอยูํตรงข้ันนี้เป็นสําคัญ ครูจะต๎องชํวย กระตน๎ุ ให๎คิดและหาคําตอบโดยอาจใช๎วธิ กี ารตั้งคาํ ถามชํวย กระบวนการในการวางแผนและใชบ้ ทบาทสมมตใิ นการสอน ขน้ั ท่ี 1 ข้ันเตรียมการ ก. แจกแจงและกาํ หนดขอบเขตของปญั หา ข. กาํ หนดสถานการณ์และบทบาทสมมติ ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ แสดง ก. อนุํ เครอื่ ง ข. เลือกผู๎แตงํ ค. จัดฉาก ง. เตรยี มผูส๎ ังเกตการณ์ จ. เตรยี มความพร๎อม ฉ. เริ่มแสดง ช. ตดั บท ขน้ั ที่ 3 ขนั้ วิเคราะห์และอภิปราย ขน้ั ท่ี 4 ขัน้ แสดงเพ่ิม ข้ันท่ี 5 ข้นั แลกเปลย่ี นประสบการณ์และสรุป 4. ข้นั ที่ 4 ขั้นแสดงเพิม่ หลังจากการวิเคราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดงแลว๎ กลุมํ อาจจะเสนอแนะแนวความคิดใหมํๆ ในการแก๎ปัญหาหรือตัดสินใจ หรือถ๎าหากการแสดงคร้ังแรกยังได๎ผลไมํเป็นท่ีพอใจ ครูอาจจะให๎มีการ แสดงซํ้า หรือเพิ่มเติมก็ได๎ เม่ือดูผลอีกคร้ัง หากการแสดงใหมํน้ีไมํจําเป็นครูจะสามารถข๎ามไปขั้นท่ี 5 ได๎เลย 5. ขน้ั ที่ 5 ขน้ั แลกเปลยี่ นประสบการณแ์ ละสรปุ หลงั จากการอภิปรายเกยี่ วกบั การแสดงแลว๎ ครคู วรจะกระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนได๎อภิปรายท่ัว ๆ ไป ซึ่งโดยมากจะเป็นการเลําประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเร่ืองท่ีเก่ียวข๎องให๎กันและกันฟัง การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์น้ีจะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางขึ้นและสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเห็นวําส่ิงท่ีเรียนนั้น เกี่ยวข๎องกับความเป็นจริงจะทําให๎ผู๎เรียนสามารถที่จะหาข๎อสรุป หรือได๎แนวความคิดรวบยอดท่ีตน สามารถเขา๎ ใจไดอ๎ ยาํ งดี ระวีวรรณ วุฒปิ ระสทิ ธ์ิ (2530 : 75) อธิบายข้นั ตอนการใช๎บทบาทสมมติ ไว๎ดังนี้ 1. ขั้นเตรยี มการ มดี ังนี้ 205
1.1 กําหนดขอบเขตของปัญหาวํา จะใช๎บทเรียนตอนใดให๎ผู๎เรียนเรียนโดยใช๎บทบาท สมมติ อะไรคอื ปัญหาท่ีตอ๎ งการเน๎น ความคดิ รวบยอดทีต่ อ๎ งการคอื อะไร บงํ ออกมาให๎ชัดเจน 1.2 กําหนดสถานการณ์และบทบาทที่จะแสดง สถานการณ์สมมตติ ๎องให๎งาํ ยและชัดเจน โดยครูและผ๎ูเรียนจะรํวมมือกันในการคัดเลือกตัวผ๎ูแสดง ผู๎กํากับการแสดง การจัดฉาก ตอลดจนการ เขยี นบทบาทสมมตขิ นึ้ 2. ขัน้ แสดง ผ๎แู สดงจะต๎องรบ๎ู ทบาทของตวั เอง แสดงใหเ๎ ปน็ ไปตามธรรมชาติ คอรบคลมุ เน้อื หาของ บทเรยี นเพียงพอแกํการนํามาวิเคราะหแ์ ละอภปิ ราย สรปุ 3. ข้นั วิเคราะห์และอภิปราย ครแู ละผูเ๎ รียนชํวยกนั แสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกบั ผ๎ูแสดงวํา ไดแ๎ สดงทาํ ทางไดถ๎ ูกตอ๎ งใกล๎เคียง ความจรงิ เพยี งใด ได๎เน้ือหาถูกตอ๎ งหรือไมํ และการแสดงนั้นมขี อ๎ บกพรํองหรือปัญหาอะไรบา๎ ง และควร จะแก๎ปัญหาน้ัน ๆ อยาํ งไร 4. ขน้ั สรุป เป็นขัน้ ทผ่ี ู๎เรยี นสรุปแนวความคิดท่ีได๎ภายหลงั จากการแสดงบทบาทสมมตทิ ุกครั้ง ขนั้ นี้จงึ เป็น ข้นั ทช่ี วํ ยให๎ผูเ๎ รียนมแี นวคดิ ที่กว๎างขวางขน้ึ ไสว ฟักขาว (2544 : 124) กลําววาํ วิธีสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมตเิ ป็นวิธีจดั การเรยี นการสอนท่ี ให๎ผ๎ูเรียนจากเร่ืองราวที่ครสู มมตขิ ้นึ ซึง่ ผเู๎ รยี นจะไดฝ๎ ึกคดิ และแสดงความร๎สู กึ ในสถานการณ์ท่ีตนเองสวม บทบาทอยูํมีข้นั ตอนการสอน ประกอบด๎วย ขั้นที่ 1 : ขน้ั อํุนเครือ่ ง ครูจะบอกวัตถุประสงค์ และความคาดหวงั จากการเรยี นรู๎จากบทบาทสมมตทิ ่ีสร๎างขึน้ ขั้นท่ี 2 : ขัน้ คัดเลอื กผ๎ูแสดง ครูคดั เลอื กผ๎แู สดงที่เต็มใจและมคี วามกล๎าแสดงออกและมแี ววเป็นนักแสดงท่ีดีแลว๎ ให๎ทําการ ฝึกซ๎อม ขน้ั ที่ 3 : ขั้นจัดฉาก ครจู ะใหผ๎ เู๎ รยี นชวํ ยกนั ออกแบบฉากให๎ใกลเ๎ คยี งกบั ความเปน็ จริง ข้นั ท่ี 4 : ขั้นเตรยี มผ๎สู งั เกตการณ์ ครูจะบอกบทบาทของผู๎ชมวาํ ควรสงั เกตอะไรบ๎าง เชนํ การแสดงบทบาทของผแู๎ สดง ข๎อคิด และข๎อเสนอท่ีไดจ๎ ากการชม ขั้นท่ี 5 : ขั้นแสดงและการตัดการแสดง 206
ครใู ห๎ผ๎แู สดง แสดงบทบาทสมมตเิ ปน็ นักศกึ ษาท่ีฝึกสอนและนักเรยี นตามเรอ่ื งท่ีกาํ หนด และ เมือ่ เวลาผํานไปพอสมควรเมื่อเหน็ วําผู๎ชมได๎ข๎อมูลเพยี งพอแลว๎ จึงส่ังใหย๎ ตุ ิการแสดง ข้นั ท่ี 6 : ขัน้ อภปิ รายและประเมนิ ผล ครใู ห๎นกั เรียนรวํ มกนั อภปิ รายอยํางเสนจี ากเร่ืองทไี่ ดช๎ มการแสดงทั้งเหน็ ดว๎ ยและไมํเปน็ ด๎วยใน พฤติกรรมของผ๎แู สดง ขั้นที่ 7 : ข้ันแลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละสรุป ครูให๎ผ๎ูเรยี นรวํ มกันอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแตลํ ะคนในชวี ติ จรงิ เพอื่ ให๎ผเ๎ู รยี นมี แนวคดิ ทกี่ วา๎ งขวางมากขน้ึ และชวํ ยกันสรุปเปน็ ขอ๎ ความรท๎ู ี่ไดจ๎ ากการเรียน ขน้ั ที่ 8 : ขน้ั สรปุ อ๎างอิง ครมู อบหมายให๎ผูเ๎ รียนคิดเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกับบทบาทของแตํละคนในสถานการณ์ใหมํท่ีใกลเ๎ คยี ง กับเร่ืองทีไ่ ด๎เรยี นไปแล๎วเพื่อจะนาํ ไปสํูการตดั สนิ ใจท่จี ะปรับปรุงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการปฏบิ ัติตน อินทิรา บุณยาทร (2542 : 99-100) อธิบายถึงข้นั ตอนการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาท สมมติ ดงั นี้ 1. ขัน้ เตรียมการ 1.1 กาํ หนดจดุ ประสงคใ์ ห๎แนชํ ัดวาํ ต๎องการให๎ผูเ๎ รียนเกดิ ความร๎ูความเข๎าใจอะไรจากการ แสดง 1.2 เตรยี มสถานการณ์ใหส๎ อดคล๎องกับจุดประสงค์ โดยเขียนแล๎วมอบใหผ๎ เู๎ รียนหรือเลํา ใหผ๎ เู๎ รยี นฟัง สํวนรายละเอยี ดให๎ผเ๎ู รียนคิดเอง 2. ข้นั ดาเนินการสอน 2.1 นาํ เข๎าสกูํ ารแสดงบทบาทสมมติโดยกระตุ๎นให๎นกั เรยี นเกิดความสนใจ เชนํ โยง ประสบการณ์ใกลต๎ วั ผูเ๎ รยี นเข๎ามาในบทเรยี น เลาํ เร่ืองราว กําหนดสถานการณ์สมมติ ฯลฯ ซึ่งเปน็ ประโยชน์ตอํ การแสดง และรํวมกนั หาทางแก๎ปญั หา 2.2 เลือกผู๎แสดง - เลอื กแบบเจาะจง เชํน เลือกผท๎ู ่ีมีปัญหาออกมาแสดง เพราะร๎ูดถี ึงปญั หาและ วธิ ีแก๎ไข - เลือกผูท๎ ี่มีบุคลกิ ลักษณะ คณุ สมบัติเหมาะสม มีความสามารถตามบทบาทท่ี ตอ๎ งการ - เลอื กอาสาสมัครเพ่ือให๎เสรภี าพแกํผู๎เรยี นในการเรียนและการตัดสนิ ใจ 2.3 เตรียมความพร๎อมของผู๎แสดง เม่ือเลอื กผแู๎ สดงได๎แล๎ว ผูส๎ อนต๎องให๎เวลาผูแ๎ สดงได๎ เตรยี มตัว โดยใหก๎ ําลงั ใจ ขจัดความตน่ื เต๎นประหมํา ฯลฯ 2.4 เตรยี มจดั ฉากการแสดงซึง่ ต๎องเป็นไปอยํางงาํ ย ๆ ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร 207
2.5 เตรยี มผช๎ู ม โดยทําความเขา๎ ใจกับผชู๎ มวาํ ควรจะสังเกตอะไรบ๎างจงึ จะเปน็ ประโยชน์ตํอการเรียนการสอน กําหนดเปน็ หวั ขอ๎ หรือจัดทาํ แบบสังเกตการณเ์ ตรยี มไว๎ให๎พรอ๎ มเพ่ือให๎ ผ๎ชู มบันทึกพฤตกิ รรมและเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ เป็นเรอ่ื ง ๆ ไป 2.6 เมือ่ ทุกฝาุ ยพร๎อมก็ให๎เริ่มแสดง การแสดงจะต๎องปลอํ ยให๎เป็นไปตามธรรมชาติ ไมํ ขดั กลางคนั 2.7 การตัดบท ผสู๎ อนจะตอ๎ งตดั บทหรือหยุดการแสดงเมื่อการแสดงผํานไปพอสมควร ไมํปลํอยให๎เยิ่นเย๎อ วธิ ีการตัดบทควรทาํ เม่ือ - การแสดงให๎ขอ๎ มูลแกผ๎ ูช๎ มเพยี งพอทีจ่ ะนาํ มาวเิ คราะห์และอภปิ รายได๎ - สามารถเดาเหตกุ ารณ์ตํอไปได๎ถูกตอ๎ ง - ผู๎แสดงไมํสามารถแสดงตํอไปได๎ เพราะความเข๎าใจผดิ ในบทบาทและอืน่ ๆ - การแสดงยืดเยอ้ื ผช๎ู มหมดความสนใจ 3. ข้นั วิเคราะห์และอภปิ รายผลการแสดง ขน้ั น้ีเป็นขั้นทส่ี ําคัญยิ่งในการสอน เพราะจะชวํ ยรวบรวมข๎อมลู ตําง ๆ ให๎กบั ผเ๎ู รยี นตามที่ได๎ สงั เกตเห็นเพ่ือนํามาอภิปรายจนเกิดเปน็ การเรยี นรู๎ท่มี คี วามหมายสําหรบั ตนเอง ขัน้ นผ้ี ๎ูสอนจะต๎องเตรียม คําถามไว๎เป็นแนวทางสาํ หรบั ตนเองในการทจี่ ะกระตุ๎นผู๎เรียนใหค๎ ดิ และอภิปรายรวํ มกนั โดยมขี น้ั ตอน ดงั น้ี 3.1 ชี้แจงทั้งผู๎แสดงและผ๎ูชมวํา การอภิปรายจะเนน๎ ท่ีเหตุผลและพฤติกรรมท่แี สดง ออกมาไมํใชํเนน๎ ท่ีใครแสดงดไี มดํ ีอยาํ งไร 3.2 สัมภาษณค์ วามร๎ูสึกและความคิดของผแ๎ู สดง 3.3 สมั ภาษณค์ วามรูส๎ ึกและความคิดของผช๎ู มการแสดง 3.4 ใหก๎ ลมํุ ผแ๎ู สดงและกลุํมผ๎ูชมวิเคราะห์เหตกุ ารณ์ เสนอความคดิ เห็นและอภปิ ราย รวํ มกัน 4. ข้ันแลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละสรุป เม่ือจบการอภิปรายผส๎ู อนจะต๎องกระต๎ุนใหผ๎ ู๎เรยี นแลกเปลย่ี นประสบการณ์ท่ีมีสวํ นสัมพันธ์ หรอื เก่ียวข๎องกับเรื่องทก่ี าํ ลงั เรียน การแลกเปลีย่ นประสบการณ์จะชวํ ยทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นได๎แนวความคิด กว๎างขวางข้นึ และเปน็ การสํงเสริมใหผ๎ ๎ูเรียนเหน็ วาํ สง่ิ ทไี่ ดเ๎ รียนรไู๎ ปนน้ั เปน็ เร่อื งจรงิ กอํ ใหเ๎ กิดแนวความคิด รวบยอดทสี่ ามารถเขา๎ ใจบทเรียนดียิง่ ขนึ้ นอกจากน้ี สริ ิวรรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทัยสขุ (2540 : 107-109) ไดเ๎ สนอขัน้ ตอนการ สอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ แบํงออกเปน็ 9 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 208
ขน้ั ที่ 1 กาํ หนดปญั หาหรือประเด็นท่จี ะนาํ มาสํูการแสดง การกําหนดเหตุการณห์ รือปัญหา นัน้ ควรเลอื กปญั หาท่ีไมซํ ับซ๎อนมากนกั และควรเก่ยี วข๎องเฉพาะประเด็นหรือวตั ถปุ ระสงค์เดียวเทําน้ัน การกาํ หนดเหตุการณ์ทซ่ี ับซ๎อนและการมีวตั ถปุ ระสงคห์ ลาย ๆ ข๎อนน้ั ไมํเกดิ ประโยชน์อะไร การกําหนดปญั หาหรอื ประเด็นนั้น ครูเป็นผูก๎ ําหนดสวํ นใหญํ ครูจึงควรเข๎าใจเหตกุ ารณ์ทจี่ ะ นาํ มาแสดงอยาํ งชดั เจนพอสมควร สํวนขอ๎ สรปุ น้นั อาจไมจํ ําเปน็ เพราะข๎อสรปุ หรือตอนจบของเร่ืองเป็น เรอื่ งของผแู๎ สดงวําจะแสดงออกอยาํ งไร เมือ่ ได๎ปัญหาแลว๎ ครกู จ็ ะนําปัญหานั้นมาเสนอให๎แกํผู๎เรยี น อาจวิธีเลําเหตุการณห์ รือปัญหา นน้ั ๆ ดว๎ ยตนเอง หรืออาจฉายภาพยนตร์ หรอื การแสดงรปู ภาพประกอบการเลําเร่ืองราวนนั้ หนา๎ ท่ี ของครูในชน้ั นีจ้ ะต๎องทาํ ให๎ประเดน็ ทเ่ี สนอมานน้ั กระจาํ งชัดเพอื่ ใหผ๎ ู๎เรยี นเขา๎ ใจและต๎องเปน็ ความเข๎าใจที่ รวมกันทงั้ กลุํมดว๎ ย เมือ่ เขา๎ ใจเหตกุ ารณ์และปัญหาท่ีจะศกึ ษาตรงกันแลว๎ ครูและนักเรยี นจะชํวยกันตีความใน เรื่องราวนั้น ๆ คือ เพ่ิมรายละเอยี ดในเหตุการณ์น้ัน ๆ น่นั เอง รวมท้ังสาํ รวจวาํ อะไรคือปญั หาของเร่ือง จากนน้ั จะชวํ ยกันทํานายวาํ เหตุการณน์ ้ัน ๆ นําจะสิ้นสุดลงอยํางไร เชํน ปัญหาของนางสาว เรวดใี นเหตกุ ารณน์ ี้คอื อะไรและเรวดคี วรทําอยํางไร การถามคําถามเหลํานี้จะเปน็ การทา๎ ทายให๎ ผเ๎ู รียนสนใจติดตามเหตุการณ์วําจะลงเอยในรูปใด ซง่ึ ก็เปน็ การกระต๎นุ ผ๎เู รียนให๎สนใจตํอบทเรยี นนน้ั เอง ขนั้ ท่ี 2 เลือกผ๎ูแสดง เมื่อเข๎าใจเหตุการณแ์ ละบคุ คลท่เี ขา๎ ไปเก่ียวข๎องกบั เหตุการณน์ นั้ ๆ ตลอด จนบทบาทของบุคคลในเหตุการณน์ น้ั ก็จะมาถึงข้ันตอนการเลือกผ๎แู สดง ครูและนักเรยี นอาจ รํวมกนั เลือกผู๎แสดงวาํ ใครควรเลนํ บทบาทใด อาจใหน๎ กั เรียนผูอ๎ าสาสมัครเองก็ได๎ หรอื บางคร้งั ครูอาจมี เง่ือนไขในการเลอื กผ๎ูแสดงเพ่ือความเหมาะสมทง้ั นตี้ ๎องแล๎วแตํครูจะวนิ จิ ฉัยเองวาํ อะไรควรหรอื ไมํควร ขั้นท่ี 3 จดั ฉากและกําหนดขอบเขตของบทบาท การแสดงบทบาทสมมตติ ๎องการฉากเพยี ง เล็กนอ๎ ย สวํ นบทนัน้ จะไมํมีการเตรียมบทสนทนาอยํางเป็นทางการ บทบาทนัน้ ถือวาํ เป็นความอิสระของ ผแ๎ู สดงท่จี ะแสดงอะไรกไ็ ด๎ตามท่ีเขาคิดวาํ บคุ คลในเหตุการณน์ ้ัน ๆ ควรแสดง ข้ันที่ 4 เตรียมผสู๎ งั เกตการณ์ ดงั ได๎กลาํ วแล๎ววาํ การแสดงบทบาทสมมตินน้ั ผ๎ูเรยี นจะถูก แบงํ เป็นสองฝุาย คือ ฝุายท่เี ป็นผ๎แู สดงและฝุายทีเ่ ป็นผ๎ูชม การเตรยี มผ๎ูสงั เกตการณ์ของผ๎ชู มนน้ั ครู จะตอ๎ งมอบหมายกจิ กรรมระหวาํ งการชมบทบาทสมมตแิ กํผู๎สังเกตการณ์ด๎วย เพื่อให๎การชมบทบาท สมมตมิ เี ปาู หมายตามวัตถุประสงคท์ ่ีกําหนดไวม๎ ิได๎ชมไปเฉย ๆ ขน้ั ท่ี 5 แสดง เมอ่ื เตรียมการพรอ๎ มแลว๎ ผแ๎ู สดงทุกคนแสดงตามบทที่ได๎รับมอบหมายโดย การแสดงอารมณ์ความรสู๎ ึกของตนออกมาอยาํ งเต็มทเี่ หมือนเชํนตนเองอยํูในเหตุการณน์ ั้น จรงิ ๆ หรือ สวมวิญญาณของบคุ คลน้นั อยํู การแสดงอารมณ์ ทัศนคติ การตดั สนิ ใจ และอื่น ๆ อยํางจริงจงั ของผ๎ู แสดงจะทําใหก๎ ารเรียนไดผ๎ ลดี เพราะทั้งผูแ๎ สดงและผช๎ู มจะเข๎าใจเหตกุ ารณ์และการแสดงออกของบุคคล ในเหตกุ ารณ์มากขนึ้ 209
ขั้นที่ 6 อภิปรายและการประเมนิ ผล ถา๎ ปัญหาหรือเหตุการณ์ทห่ี ยบิ ยกข้นึ มาแสดงเป็น เหตุการณ์ท่นี ําสนใจ ตลอดจนผแ๎ู สดงและผ๎ชู มกเ็ ป็นกลํมุ ผ๎ูเรยี นทีม่ คี วามสามารถและมีอารมณร์ ํวมใน เหตกุ ารณแ์ ล๎วนัน้ การอภิปรายจะได๎ผลมาก โดยทกี่ ารอภิปรายนน้ั สํวนใหญจํ ะแบํงเป็นกลุํมยํอย โดย อาจแบํงกลํมุ โดยให๎ผูแ๎ สดงทั้งหมดอยูํกลํุมเดยี วกนั และผ๎ูสังเกตการณ์อาจมอี ีก 1 -3 กลุํม หรืออาจแบํง โดยให๎ทกุ กลํมุ มที ง้ั ผ๎แู สดงและผส๎ู ังเกตการณ์แตจํ ะมีท้ังหมดกก่ี ลมุํ แลว๎ แตํความเหมาะสม และแสดง ความคิดตํอบทบาททผ่ี แู๎ สดงแสดงจบไปแล๎ว อาจมที ั้งเห็นดว๎ ยหรือไมเํ ห็นดว๎ ยท้ังนแ้ี ล๎วแตเํ หตุผลของผ๎ู อภิปราย ผ๎แู สดงก็มีโอกาสทีจ่ ะแสดงเหตผุ ล ทัศนคตขิ องตนก็ได๎วาํ ทําไมจงึ แสดงบทบาทหรือมีความรู๎สึก เชํนนน้ั การอภิปรายจะชวํ ยให๎เกดิ ความคิดกว๎างไกลขึน้ ข้ันท่ี 7 แสดงเพ่มิ เตมิ ควรจะมกี ารแสดงเพ่ิมเตมิ เพ่อื ใหเ๎ หตุการณน์ ั้นมีทางออก นอกเหนือจากทแี่ สดงไปแลว๎ เชํน บางคร้ังเมอ่ื อภิปรายจบลง กลุมํ อภิปรายเห็นทางออกของเหตุการณ์ น้นั หรือมวี ธิ ีการแก๎ปญั หาในแนวใหมํ อาจแสดงเพ่มิ เติม เพอื่ ดูผลวาํ จะเกดิ อะไรข้ึนถ๎าเปน็ ทางออกใหมํ ขั้นท่ี 8 อภปิ รายและประเมนิ ผลอกี ครงั้ เม่ือการแสดงเพ่มิ เตมิ จบลง กลุมํ จะอภิปรายและ ประเมนิ ผลอีกครงั้ เก่ยี วกบั การแสดงนั้น อาจมีการเปรียบเทยี บผลทีไ่ ด๎จากการแสดงครง้ั แรกและครั้งหลงั วําตาํ งกนั อยาํ งไร พร๎อมกนั น้ันกจ็ ะหาข๎อสรปุ ซึ่งข๎อสรปุ ดังกลาํ วยอํ มเป็นข๎อสรุปท่ีทุกฝุายยอมรบั ข้ันท่ี 9 แลกเปลีย่ นประสบการณ์และสรปุ เป็นหลกั การ ในข้นั นี้จะเปน็ การสรปุ เรอื่ งราวท่ี ได๎ศึกษาไป โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อาจใหผ๎ ๎ูแทนแตลํ ะกลํมุ ออกมาสรุปผลการอภิปรายของกลมํุ ตนวําเป็นอยาํ งไร ทง้ั นี้จะทาํ ใหผ๎ ๎ูเรียนกลุํมอื่น ๆ มีความคิดกวา๎ งขน้ึ จากนนั้ จะนําความคิดและข๎อสรุป จากการศึกษาไปสัมพันธ์กับเหตุการณท์ ี่เป็นจริงอยูํในสังคม อาจไดเ๎ ปน็ หลักการออกมา ซึง่ เป็นหลกั การ ท่ีเก่ียวข๎องกบั พฤติกรรมของบุคคลในสงั คมนั่นเอง ขน้ั ที่ 6 อภิปรายและประเมินผล ขน้ั ท่ี 7 แสดงเพิ่มเตมิ ขั้นท่ี 8 ยงั หาข๎อสรปุ ไมํได๎ หาขอ๎ สรุปไดแ๎ ลว๎ ขั้นที่ 9 แลกเปล่ยี นประสบการณ์และสรปุ เป็นหลักการ เทคนิคและข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการใชว๎ ธิ ีสอนโดยการใช๎การแสดงบทบาทสมมติ ใหม๎ ปี ระสิทธภิ าพ ทิศนา แขมมณี (2550 : 359-360) กลาํ วถงึ การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมตวิ ํามี เทคนคิ และข๎อเสนอแนะ ดังน้ี 1. การเตรียมการ ผ๎ูสอนกําหนดวัตถุประสงค์เฉพาะให๎ชัดเจน และสร๎างสถานการณ์และ บทบาทสมมติท่ีจะชํวยสนองวัตถุประสงค์นั้น สถานการณ์และบทบาทสมมติที่กําหนดข้ึนควรมีความ ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง สํวนจะมีรายละเอียดมากน๎อยเพียงใดขึ้นกับวัตถุประสงค์ ผ๎ูสอนอาจใช๎ 210
บทบาทสมมติแบบละคร ซึ่งจะกําหนดเรื่องราวให๎แสดงแตํไมํมีบทให๎ ผู๎สวมบทบาทจะต๎องคิดแสดงเอง หรอื อาจใชบ๎ ทบาทสมมติแกป๎ ัญหา ซ่งึ จะกําหนดสถานการณท์ ่ีมปี ัญหาหรอื ความขัดแย๎งและอาจให๎ข๎อมูล เพ่ิมเติมมากบ๎าง น๎อยบ๎าง ซ่ึงผู๎สวมบทบาทจะใช๎ข๎อมูลเหลํานั้นในการแสดงออกและแก๎ปัญหาตาม ความคดิ ของตน 2. การเร่ิมบทเรียน ผ๎ูสอนสามารถกระตุ๎นความสนใจของผู๎เรียนได๎หลายวิธี เชํน โยง ประสบการณ์ใกล๎ตัวผู๎เรียน หรือประสบการณ์ที่ผู๎เรียนไดรับจากการเรียนคร้ังกํอน ๆ เข๎าสูํเร่ืองที่จะ ศึกษา หรืออาจใช๎วิธีเลําเรื่องราวหรือสถานการณ์สมมติที่เตรียมมาแล๎วทิ้งท๎ายด๎วยปัญหา เป็นการ กระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนอยากคิด อยากติดตาม หรืออาจใช๎วิธีชี้แจงให๎ผู๎เรียนเห็นประโยชน์จาก การเข๎ารํวม แสดง และชํวยกันคดิ แก๎ปญั หา 3. การเลือกผู๎แสดง ควรเลือกให๎สอดคล๎องกับจุดมํุงหมายของการแสดง เชํน เลือก ผแู๎ สดงท่ีมลี กั ษณะเหมาะสมกบั บทบาท เพือ่ ชวํ ยให๎การแสดงเป็นไปอยาํ งราบรน่ื ตามวัตถปุ ระสงค์ได๎อยําง รวดเร็ว หรือเลือกผู๎แสดงที่มีลักษณะตรงกันข๎ามกับบทบาทท่ีกําหนดให๎เพื่อชํวยให๎ผู๎เรียนคนน้ันได๎รับ ประสบการณใ์ หมํ ไดท๎ ดลองแสดงพฤติกรรมใหมํ ๆ และเกิดความเข๎าใจในความร๎ูสึกและพฤติกรรมของ ผ๎ูที่มีลักษณะตํางไปจากตน หรืออาจให๎ผู๎เรียนอาสาสมัคร หรือเจาะจงเลือกคนใดคนหน่ึง ด๎วย วัตถุประสงค์ที่ต๎องการชํวยให๎บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู๎ เม่ือได๎ ผ๎ูแสดงแล๎ว ควรให๎เวลาผ๎ูแสดง เตรยี มการแสดง โดยอาจให๎ฝกึ ซ๎อมบ๎างตามความจําเป็น 4. การเตรยี มผส๎ู งั เกตการณ์ หรอื ผ๎ชู ม ผู๎สอนควรเตรียมผู๎ชม และทําความเข๎าใจกับผ๎ูชมวํา การแสดงบทบาทสมมตินี้ จัดขนึ้ มใิ ชมํ ํุงทคี่ วามสนกุ แตํมํุงท่ีจะให๎เกิดการเรียนร๎ูเป็นสําคัญ ดังนั้นจึงควร ชมด๎วยความสังเกต ผ๎ูสอนควรให๎คําแนะนําวําควรสังเกตอะไรและควรบันทึกข๎อมูลอยํางไร และผ๎ูสอน อาจจัดทาํ แบบสังเกตการณใ์ หผ๎ ๎ชู มใช๎ในการสงั เกตดว๎ ยก็ได๎ 5. การแสดง กํอนการแสดงอาจมีการจัดฉากการแสดงให๎ดูสมจริง ฉากการแสดงอาจเป็น ฉากงําย ๆ หรืออาจจะจัดให๎ดูสวยงาม แตํไมํควรจะใช๎เวลามาก และควรคํานึงถึงความประหยัดด๎วย เมื่อทุกฝุายพร๎อมแล๎ว ผ๎ูสอนให๎เร่ิมการแสดง และสังเกตการแสดงอยํางใกล๎ชิด ไมํควรมีการขัดการ แสดงกลางคัน นอกจากกรณีที่มีปัญหาเม่ือการแสดงออกนอกทาง ผ๎ูสอนอาจจําเป็นต๎องให๎คําแนะนํา บ๎าง เมอ่ื การแสดงดําเนินไปพอสมควรแล๎ว ผู๎สอนควรตัดบท ยุติ การแสดง ไมํควรให๎การแสดง ยดื ยาว เยนิ่ เยอ๎ จะทําให๎ผู๎ชมเกดิ ความเบื่อหนาํ ยการตัดบทควรทําเมื่อเห็นวําการแสดงได๎ให๎ข๎อมูลแกํกลํุม เพียงพอที่จะนํามาวิเคราะห์และอภิปรายเพ่ือให๎เกิด การเรียนรู๎ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือตัดบท เม่ือการแสดงเริ่มยืดเยื้อ หรือเม่ือผู๎ชมพอจะเดาได๎วํา เร่ืองราวจะดําเนินตํอไปอยํางไร หรือในกรณีที่ผู๎ แสดงเกดิ อารมณส์ ะเทือนใจมากเกินไปจนแสดงตํอไปไมไํ ด๎ ควรตัดบททนั ที 6. การวเิ คราะหอ์ ภปิ รายผลการแสดง ขน้ั นีเ้ ป็นข้นั สําคัญมาก เพราะเป็นข้ันที่ชํวยให๎ผู๎เรียน เกิดการเรียนรู๎ท่ีชัดเจนตามวัตถุประสงค์ เทคนิคที่จําเป็นสําหรับการอภิปรายในชํวงน้ีมีหลายประการ ท่ี 211
สําคัญ คือ การสัมภาษณ์ความรู๎สึกและความคิดของผ๎ูแสดงและจดบันทึกไว๎บนกระดานตํอจากนั้นจึง สัมภาษณ์ผ๎ูชมหรือผู๎สังเกตการณ์ถึงข๎อมูลท่ีสังเกตได๎ผ๎ูสอนควรจดบันทึกข๎อมูลเหลําน้ีบนกระดาน เพื่อ ชํวยให๎ผเ๎ู รียนเห็นประเด็นในการอภปิ รายและสรุป ตํอจากนัน้ จงึ ใหท๎ กุ ฝาุ ยรวํ มกันอภิปราย แสดงความ คิดเห็น และสรุปประเด็นการเรียนร๎ู ส่ิงสําคัญมากท่ีผู๎สอนพึงคํานึงในการอภิปรายก็คือ การให๎ผ๎ูเรียน แสดงบทบาทสมมติเพ่ือวัตถปุ ระสงคท์ ่ีจะใช๎บทบาทเป็นเครอ่ื งมอื ในการดงึ ความรสู๎ ึกนึกคิด การรับรู๎ เจต คติ หรืออคติตําง ๆ ที่ซํอนอยูํในสํวนลึกของผู๎แสดงออกมาเพื่อเป็นข๎อมูลในการเรียนร๎ู ดังน้ันการ อภิปรายจงึ ตอ๎ งมํงุ เน๎นและอภปิ รายในเรื่องของพฤติกรรมที่ผู๎สวมบทบาทแสดงออก และความรู๎สึกท่ีเป็น เหตุผลักดันให๎เกิดการแสดงพฤติกรรมน้ันออกมา การซักถาม จึงควรมํุงประเด็นไปที่วําผู๎แสดงได๎แสดง พฤติกรรมอะไรบ๎าง ทําไมจึงแสดงพฤติกรรมเชํนนั้น และพฤติกรรมน้ันกํอให๎เกิดผลอะไรตามมา การ อภปิ รายไมํควรมํงุ ประเด็นไปที่การแสดงของผู๎สมบทบาทวํา แสดงได๎ดี – ไมํดี เพียงใด เพราะนอกจาก จะเป็นการอภิปรายท่ผี ิดกบั วัตถุประสงค์แล๎ว ยงั อาจทําให๎ผูแ๎ สดงเสียความร๎สู กึ ได๎ ในกรณีท่กี ารอภปิ รายเปน็ ไปอยํางมีประสิทธิภาพ และผู๎เรียนเสนอแนะแนวคิดและแนวทาง อื่น ๆ เพ่ิมเติมแตกตํางไปจากท่ีผู๎สวมบทบาทแสดง ผู๎สอนอาจให๎มีการแสดงและ การอภิปราย เพมิ่ เติม และสรปุ บทเรียนอีกครัง้ หนึ่ง นอกจากน้ี บุญชม ศรีสะอาด (2541: 62) ยังได๎กลําวถึงข๎อเสนอแนะเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ ของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไว๎ดังนี้ 1. ผู๎สอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ และส่ิงท่ีต๎องการให๎ผ๎ูสังเกต การศึกษาจากการแสดงบทบาทสมมตนิ ั้น 2. ผู๎สอนต๎องเตรียมสถานการณ์ และมีคําอธิบายสถานการณ์ให๎ชัดเจนสําหรับผ๎ูที่จะแสดง บทบาทแตํละคน ซึ่งจะต๎องจดจําสถานการณ์ท่ีตนจะต๎องแสดงบทบาทไว๎ให๎แมํนยํา มีความเข๎าใจใน บทบาทของตนอยาํ งรู๎แจ๎งสถานการณ์และบทบาทท่ีกําหนดมักพิมพ์ลงในแผํนกระดาษเพ่ือมอบให๎ผู๎แสดง บทบาทไดศ๎ กึ ษา 3. ควรใหเ๎ วลาในชํวงสั้น ๆ สําหรับผ๎ทู จี่ ะแสดงบทบาทสมมตไิ ดป๎ ระมวลความคดิ ซักซ๎อมและ เตรยี มการ 4. ในการแสดงบทบาทสมมตจิ ะต๎องมีบรรยากาศท่ีเสรแี ละความรู๎สึกปลอดภัย 5. อาจมีการปรับปรงุ และแสดงกจิ กรรมบางตอนใหมํ 6. หลังจากการแสดงบทบาทสมมติควรมีการอภิปรายถึงพฤติกรรมท่ีแสดง และประเมินผล การปฏบิ ตั ิของผูเ๎ รยี น โดยใช๎คาํ ถามตํอไปนี้ 6.1 แตลํ ะคนแสดงบทบาทไดส๎ มจริงเพยี งใด 6.2 มคี วามแตกตาํ งของบทบาทท่แี สดงในทางใด 6.3 การแสดงบทบาทเปลี่ยนแปลงความคิดของทาํ นเก่ียวกับตวั ละครท่ีแสดงอยํางไร 212
6.4 อะไรคอื จุดประสงคข์ องการแสดงบทบาทสําหรบั บทเรยี นนี้ ขอ้ ดีและข้อจากดั ของวิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ นักวิชาการหลายทํานได๎กลําววําการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติเป็นวิธีสอนที่มีท้ังข๎อดีและ ขอ๎ จาํ กดั หลายประการด๎วยกนั ซงึ่ จะกลาํ วไวด๎ งั น้ี บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 61-62) กลําววํา การสอนโดยใช๎บทบาทสมมติมีข๎อดีและจํากัด ดังน้ี ข้อดี 1. ชวํ ยให๎เกดิ ความเขา๎ ใจวาํ คนอ่ืนอาจคดิ รูส๎ ึก และปฏบิ ตั อิ ยํางไร เหน็ อกเห็นใจคนอ่ืน 2. ใชช๎ ํวยในการเปล่ยี นแปลงเจตคติ 3. ผ๎ูเรยี นได๎รบั การเตรยี มสาํ หรับสถานการณ์จรงิ ที่จะเผชิญ 4. กระตุ๎นใหเ๎ กิดความคิดสรา๎ งสรรค์ 5. สามารถใช๎พฒั นาทักษะทางสังคม 6. ใช๎ในการสอนหรอื ประเมินผลการเรยี นรูด๎ ๎านจิตพิสัย หรือท้งั สองประการ 7. ผูแ๎ สดงบทบาทเรียนร๎กู ารจัดระบบความคดิ และการตอบสนองโดยฉับพลนั 8. ฝกึ การใชร๎ ะบบส่ือสารจากการปฏบิ ัตมิ ากกวาํ จากการใช๎ถ๎อยคํา ข้อจากัดหรือจดุ ด้อย 1. ใชเ๎ วลามาก 2. นกั เรยี นเกงํ มกั ผูกขาดสถานการณ์ 3. ผ๎ูที่ขาดทักษะที่จําเป็น เชํน เป็นคนขี้อาย พูดติดอําง จะรู๎สึกไมํสบายใจและเป็น ปญั หามาก 4. ผ๎เู รยี นบางคนไมสํ ามารถแสดงบทบาทตามกาํ หนดได๎ 5. ถ๎าไมํสามารถเช่ือมโยงการแสดงบทบาทสมมติกับบทเรียนให๎กับผ๎ูเรียนได๎ก็จะทํากิจกรรม ทั้งหมดนีด้ อ๎ ยคณุ คาํ สามารถ คงสะอาด (2535 : 52) กลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนแบบบทบาทสมมติ ไวด๎ งั นี้ ขอ๎ ดี 1. ฝกึ ใหน๎ กั เรียนไดแ๎ สดงออกในทางท่เี หมาะสม 2. ชํวยใหน๎ กั เรียนมีทักษะมีไหวพรบิ และกล๎าทจี่ ะตดั สินใจ 3. ชํวยใหน๎ ักเรยี นมใี จกว๎าง ยอมรับฟังความคดิ เห็นคนอืน่ 4. ทาํ ใหบ๎ ทเรยี นสนกุ สนาน มชี วี ิตชวี า 5. เป็นการเรียนท่ีนกั เรยี นไดม๎ ีสํวนรํวม 213
ขอ๎ จํากดั 1. เน่ืองจากการสอนแบบบทบาทสมมติจะต๎องใช๎ผู๎แสดงน้ัน ถ๎าครูกําหนดนักเรียนไมํเหมาะ กับบท ก็จะได๎ผลไมํดีเทําที่ควร หรือบางครั้งอาจจะเสียเวลามากเกินความจําเป็น เชํน ในกรณีที่เด็กข้ี อายไมํกลา๎ แสดงน้ันครจู ะตอ๎ งพจิ ารณาผแ๎ู สดงด๎วย 2. การวิจารณ์หลังการแสดง ถ๎าครูไปวิจารณ์ตัวบุคคล จะทําให๎นักเรียนเกิดความน๎อยใจ และจะไมกํ ลา๎ แสดงในคราวตํอไป อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 163) อธิบายถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ คือ ข๎อดี 1. สงํ เสริมให๎บทเรียนนาํ สนใจ และผํอนคลายความเครยี ด 2. สะทอ๎ นให๎เห็นถึงความรส๎ู ึก อารมณ์ และเจตคติของผเ๎ู รยี นได๎เป็นอยาํ งดี 3. สร๎างเสริมความสามคั คี และชวํ ยให๎เขา๎ ใจความรส๎ู กึ ของผูอ๎ ื่นไดด๎ ีขนึ้ 4. ชวํ ยฝกึ ฝนแกป๎ ญั หาและการตดั สนิ ใจของผเู๎ รยี น 5. ชวํ ยใหผ๎ ๎เู รยี นเกดิ ความเขา๎ ใจในสงิ่ ท่เี รียนไดล๎ กึ ซึ้งขน้ึ 6. ชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการปรับหรือเปลี่ยนเจตคติและพฤติกรรม รวมทั้งปฏิบัติตนในสังคมได๎ เหมาะสม ขอ๎ จาํ กดั 1. วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติต๎องใช๎เวลามาก โดยเฉพาะในขั้นอภิปราย ผู๎สอนจึงควร วางแผนและเตรยี มการใหร๎ ดั กุม 2. วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติอาจพบปัญหาในเรื่องการควบคุมชั้น ห๎องเรียนมักจะเกิด ความวุํนวายสบั สนอันเนื่องมาจากการจดั กิจกรรมการแสดง ผูส๎ อนต๎องวางแผนให๎รดั กุม และพยายามฝึก ระเบยี บวนิ ัยให๎ผู๎เรยี นตง้ั แตใํ นระยะแรก อินทิรา บุณยาทร (2542 : 100-101) กลําววําข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนแบบบทบาทสมมติ มีดงั น้ี ขอ๎ ดี 1. สงํ เสรมิ บทเรียนให๎สนกุ สนานเพลิดเพลนิ 2. ทาํ ให๎เข๎าใจเรื่องราวรายละเอยี ดในเนอ้ื เรอ่ื งไดด๎ ี 3. ชํวยในการเปลย่ี นแปลงเจตคติ เกดิ ความคิดสร๎างสรรค์ 4. ชวํ ยฝกึ ฝนการแก๎ปญั หาและการตดั สินใจ ขอ๎ จาํ กดั 1. ใชเ๎ วลามาก 214
2. ผู๎เรียนบางคนไมํสามารถแสดงบทบาทตามที่กําหนดไว๎ 3. มีปญั หาในเรือ่ งคุมชั้นเรียน ผเ๎ู รียนจะสบั สนวํนุ วายในการจัดเตรียมกิจกรรมตําง ๆ ทําให๎ ผ๎สู อนมภี าระเพ่มิ ขึน้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 361) อธิบายถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ ไวด๎ งั น้ี ขอ๎ ดี 1. เปน็ วธิ ีสอนทชี่ วํ ยให๎ผ๎เู รียนเกิดความเข๎าใจความรู๎สึกและพฤติกรรมของผู๎อ่ืน ได๎เรียนรู๎การ เอาใจเขามาใสใํ จเรา เกิดการเรยี นร๎ทู ีล่ ึกซ้ึง 2. เป็นวิธีสอนที่ชํวยให๎ผู๎เรียนมีความเข๎าใจ และเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรม ของตน 3. เป็นวิธีสอนท่ีชํวยพฒั นาทกั ษะในการเผชญิ สถานการณ์ ตดั สนิ ใจและแกป๎ ญั หา 4. เป็นวิธีสอนทชี่ วํ ยให๎การเรียนการสอนมคี วามใกลเ๎ คียงกบั สภาพความเป็นจรงิ 5. เป็นวิธีสอนท่ีเปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการเรียนมาก ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูอยําง สนุกสนาน และการเรยี นร๎มู คี วามหมายสําหรบั ผ๎ูเรยี น เพราะขอ๎ มูลมาจากผเู๎ รยี นโดยตรง ข๎อจํากดั 1. เปน็ วิธีสอนท่ใี ชเ๎ วลามากพอสมควร 2. เป็นวิธีสอนที่ต๎องอาศัยการเตรียมการและการจัดการอยํางรัดกุม หากจัดการไมํพอดี อาจเกดิ ความยงํุ ยากสบั สนข้ึนได๎ 3. เป็นวิธีสอนท่ีต๎องอาศัยความไวในการรับรู๎ (sensitivity) ของผู๎สอน หากผ๎ูสอนขาด คุณสมบัตินี้ไมํรับร๎ูปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับผ๎ูเรียนบางคน และไมํได๎แก๎ปัญหาแตํต๎น อาจเกิดเป็นปัญหา ตอํ เนอ่ื งไปได๎ 4. เป็นการสอนท่ีต๎องอาศัยความสามารถของครูในการแก๎ปัญหา เน่ืองจากการแสดงของ ผ๎เู รยี นอาจไมํเป็นไปตามความคาดหมายของผ๎ูสอน ผ๎ูสอนจะต๎องสามารถแก๎ปัญหาหรือปรับสถานการณ์ และประเด็นใหผ๎ ู๎เรยี นเกดิ การเรียนรู๎ได๎ นอกจากนี้ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 :67) ยังได๎กลําวถึงข๎อดีของการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ ไว๎ คือ ข๎อดี 1. สงํ เสรมิ บทเรยี นให๎สนุกสนานเพลิดเพลนิ 2. ทําใหเ๎ ขา๎ ใจเรอ่ื งราวรายละเอยี ดในเน้อื เรื่องไดด๎ ี 3. ชํวยสํงเสรมิ พฒั นาการทางอารมณ์ สงั คม มคี วามรับผดิ ชอบรวํ มกนั 215
สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 111) กลําวไว๎เฉพาะข๎อจํากัดของการสอน โดยใช๎บทบาทสมมติวําการแสดงบทบาทบางคร้ังใช๎เวลามาก และครูต๎องมีภาระเพ่ิมข้ึน บางคร้ังต๎องมี การฝึกซ๎อมเรียนแสดง ผเ๎ู รียนยํอมเข๎าใจความต๎องการ อารมณ์ ความร๎ูสึก ผลประโยชน์ตลอดจนความ ขดั แยง๎ ของกลมุํ บุคคลทเี่ ขาสวมบทบาทนน้ั ๆ อยูํ ปัญหาทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ปัจจุบัน เหตุการณ์บางอยํางที่เกิดข้ึนในอดีตหรือใน ปัจจุบันก็ตาม ซ่ึงถือได๎วําเป็นเหตุการณ์สําคัญ ๆ ถ๎าผ๎ูเรียนได๎รับการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ แล๎วผู๎เรียนจะเข๎าใจวําผ๎ูวางนโยบาย นักการเมือง ข๎าราชการ ตลอดจนบุคคลที่เกี่ยวข๎อง คิดอยํางไร ตัดสนิ ใจอยาํ งไรตอํ เหตุการณ์นน้ั นอกจากเหตุการณ์หรือปัญหาท่ียกมากลําวบ๎างแล๎ว ยังมีเหตุการณ์หรือปัญหาอีกมากท่ี นําสนใจแตํท้งั นี้ผส๎ู อนต๎องประเมนิ วาํ เหตกุ ารณ์นน้ั ๆ จะสงํ เสรมิ หรือพัฒนาเจตคติของผ๎ูเรียนได๎มากน๎อย เพียงใด บทบาทของผูส้ อนในการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 111) กลําวถึงบทบาทของผ๎ูสอนไว๎วํา ความสําเร็จของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติประการหนึ่งขึ้นอยูํกับผู๎สอน ในฐานะท่ีผ๎ูสอนเป็น ผ๎ูจัดการ ในการวางแผนการเรียนการสอน บทบาทและหน๎าท่ีของผู๎สอนในการทําให๎การสอนโดยการ แสดงบทบาทสมมติมปี ระสิทธิภาพ คือ 1. กําหนดเหตกุ ารณห์ รอื ปัญหา ซึง่ โดยท่ัวไปเป็นหน๎าที่ของผ๎ูสอน เม่ือกําหนดปัญหาแล๎วจะ นําไปเสนอแกํผเ๎ู รียนรวมทัง้ เลอื กตัวผ๎ูแสดงด๎วย สําหรบั กรณนี ้เี ปน็ การแสดงบทบาทสมมตทิ ีต่ ๎องเตรียมตัว มากํอน 2. เปน็ ผู๎สรุปบทเรียน ภายหลงั จากการอภปิ รายสิน้ สุดลง 3. เปน็ ผ๎ูคอยชวํ ยเหลือในระหวํางปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4. ผ๎ูสอนจะต๎องยอมรับพฤติกรรมหรือบทบาทที่ผู๎เรียนแสดงออกไมํมีการประเมินกิริยาหรือ บทบาทตาํ งๆ ซ่ึงถือเปน็ เสรภี าพของผ๎ูแสดง 5. ชวํ ยผูเ๎ รียนหาขอ๎ สรุปและเลอื กทางออก 6. ชวํ ยสงํ เสรมิ และใหก๎ ําลงั ใจแกผํ เ๎ู รยี นในการหาทางออกหรอื การแสดงบทบาทสมมติ 7. ชํวยช้ีประเดน็ ท่ีสําคญั ๆ ในการเรยี น 8. เสนอแนวทางการนําความสัมพันธ์ระหวํางเร่ืองท่ีเรียนไปแล๎วกับเหตุการณ์ท่ีเกิดจริงใน สงั คม การเรียนการสอนวิชาตําง ๆ วิชาท่ีเหมาะสมสําหรับการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไดแ๎ กํ วชิ าสังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือวิชาท่ีต๎องการพัฒนาเจตคติให๎แกํผู๎เรียน แตํอาจ เลอื กสอนเพียงบางบทเรยี นทเี่ หมาะสมกับการใช๎วธิ ีการนี้ 216
ประโยชน์ของการสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 261-262) อธิบายถึงประโยชน์ของการใช๎บทบาทสมมติในการ เรียนการส อนวําบทบาทส มมตินับวําเป็นเครื่องมือแล ะวิธีการอ ยํางห นึ่งท่ีชํว ยในการส อนได๎มาก โดยเฉพาะในด๎านการสอนสังคมศึกษา และการอบรมระเบียบวินัย คุณธรรม ครูสามารถนําบทบาท สมมตไิ ปชวํ ยให๎ผเ๎ู รยี นเกดิ การเรียนร๎ูในดา๎ นตําง ๆ หลายดา๎ น ดงั น้ี 1. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เข๎าใจวําพฤติกรรมมีสาเหตุ การที่ให๎ผู๎เรียนได๎แสดงบทบาทตําง ๆ ท่ีถูก จาํ กัดอยํูในสภาพการณ์ตาํ ง ๆ จะทําให๎ผู๎เรียนเข๎าใจถึงสาเหตุตําง ๆ ท่ีผลักดันให๎ต๎องแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกไป ความเข๎าใจน้ีจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนไมํดํวนตัดสินใจอะไรงําย ๆ กํอนท่ีจะพิจารณาถึงสาเหตุ นอกจากนัน้ ยงั จะชํวยให๎ผเู๎ รยี นได๎แนวทางในการแกป๎ ญั หาใหต๎ รงจดุ อกี ดว๎ ย 2. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎และเข๎าใจความร๎ูสึกของผ๎ูอ่ืน การที่ให๎ผ๎ูเรียนได๎สวมบทบาทของ ผู๎อื่นจะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎มีประสบการณ์วํา ผู๎อื่นมีความคิดและความรู๎สึกอยํางไรความเข๎าใจนี้จะชํวยให๎ ผู๎เรยี นร๎ูจกั เอาใจเขามาใสใํ จเรา 3. ชํวยลดความร๎ูสึกตึงเครียดของผ๎ูเรียน ในบางคร้ังผู๎เรียนอาจจะมีความรู๎สึกรุนแรงในใจ หลายประการที่ไมํสามารถแสดงออกมาได๎ ครูอาจใช๎บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือในการชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎ ระบายความรสู๎ ึกนั้น ๆ ออกมาเป็นการชํวยผํอนคลายความตึงเครียดของผเู๎ รยี นลงไดบ๎ ๎าง 4. ชํวยให๎ครูได๎เรียนรู๎ถึงความต๎องการของผ๎ูเรียน ในกรณีที่ผู๎เรียนไมํสามารถจะบอกความ ต๎องการของตนออกมาได๎ ครูอาจจัดบทบาทสมมติให๎ผ๎ูเรียนได๎แสดง ซึ่งผู๎เรียนอาจจะเปิดเผยความ ต๎องการของตนออกมาโดยไมรํ ูต๎ ัว 5. ชํวยสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาความร๎ูสึกเก่ียวกับตนเองในทางท่ีดี การให๎ผ๎ูเรียนได๎มี โอกาสสํารวจตนเองและเรียนรู๎เก่ียวกับผ๎ูอื่น โดยใช๎บทบาทสมมติเป็นเคร่ืองมือจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนมีความ เข๎าใจตนเองมากข้ึน และพัฒนาความร๎ูสึกท่ีดีกับตนเอง สิ่งนี้นับวําเป็นพื้นฐานของความเจริญงอกงาม ทางจติ ใจอนั จะชวํ ยใหบ๎ คุ คลน้นั ดาํ รงชพี อยอูํ ยํางปกติสขุ และสามารถทาํ งานอยํางมีประสทิ ธิภาพ 6. ชํวยสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนได๎มีโอกาสสํารวจคํานิยมของตน และหาหลักยึดเหน่ียวใน การดํารงชีวิตของตน ในขณะท่ีผ๎ูเรียนแสดงบทบาทสมมติอยูํนั้น ผ๎ูเรียนจะมีพฤติกรรมการตัดสินใจท่ี แสดงให๎เห็นถึงคํานยิ มของตน การที่มโี อกาสได๎แสดง อภิปราย และวิเคราะห์ถึงคํานิยมเหลําน้ันจะชํวย ใหผ๎ ๎เู รียนมคี วามเขา๎ ใจในตนเองมากขนึ้ 7. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาความสามัคคีในกลํุมให๎ดีข้ึนในการทํางานรํวมกัน สมาชิกในกลํุม มกั จะมีปัญหาขดั แย๎งกนั อยูบํ ๎าง ความขัดแยง๎ น้ที าํ ใหเ๎ กิดความไมํเข๎าใจกันและเกิดความแตกแยกกันในหมูํ คณะ วิธีการบทบาทสมมตินี้สามารถนํามาใช๎ทําให๎คนในกลํุมเกิดความเข๎าใจกันและมีความสามัคคี ปรองดองกนั 217
8. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎เก่ียวกับการปฏิบัติตนในสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการ เรียนรู๎ที่จะปฏิบัติตนให๎เหมาะสมในสังคมจึงเป็นส่ิงจําเป็น บทบาทสมมติจะชํวยให๎การเรียนร๎ูน้ีเป็นจริง และสนุกสนานย่ิงขึ้น 9. ชวํ ยให๎ผู๎เรียนได๎ฝึกการแก๎ปัญหาและการตัดสินใจ บทบาทสมมติแทบทุกบทบาทมักจะมี สถานการณท์ ่ีมีความขัดแย๎งแฝงอยํู ผแ๎ู สดงจะต๎องใช๎วิจารณญาณและไหวพริบในการแก๎ปัญหา จึงนับวํา วธิ กี ารน้ีชํวยฝึกเรื่องการแกป๎ ัญหาและการตัดสินใจได๎อยาํ งดี การนาการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตไิ ปใช้ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 110) กลําวถึงการนําการสอนโดยการ แสดงบทบาทสมมติไปใช๎อยาํ งมีประสทิ ธิภาพจะต๎องคํานึงถงึ สงิ่ ตํอไปนี้ 1. วตั ถุประสงค์ การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติจะมีประสิทธิภาพและได๎ผลดีตํอผ๎ูเรียน ถ๎าผู๎สอนต๎องการให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาในด๎านเจตคติ เชํน เป็นบุคคลที่มีความเห็นใจผู๎อื่น มีความเมตา กรุณา ฯลฯ บทเรียนท่ีเหมาะสมกับการสอนดังกลําวจะเป็นบทเรียนท่ีเก่ียวกับปัญหาสังคม พฤติกรรม ของมนษุ ยใ์ นสงั คม ฯลฯ ดังน้ัน การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ และเน้ือหาที่จะสอนในตอนแรกของผ๎ูสอน จึงเป็นส่ิงจําเป็น เพราะถ๎าวัตถุประสงค์และเน้ือหาเอื้อตํอธรรมชาติของการสอนโดยการแสดงบทบาท สมมติแล๎ว การเรยี นการสอนในบทเรยี นจะมคี วามหมายตอํ ผู๎เรียนมาก 2. การเลือกเหตุการณ์หรือปัญหา ความสําเร็จของวิธีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ขึ้นอยํูกับการเลือกเหตุการณ์หรือปัญหาที่จะนํามาศึกษา การเลือกเหตุการณ์หรือปัญหานั้นขึ้นอยูํกับ ปจั จัยหลายประการ เป็นตน๎ วํา - อายุของผ๎ูเรียน ผู๎เรียนอายุตําง ๆ กันยํอมมีระดับความเข๎าใจและวิธีการแสดง บทบาทตาํ ง ๆ กันด๎วย เชํน กลุํมผู๎เรียน อายุ 8 – 10 ปี ยํอมมีความเข๎าใจไมํมากนักในบทบาทหรือ พฤตกิ รรมของบุคคลประเภททเี่ ขาไมมํ ีประสบการณ์มากอํ น - วฒั นธรรมและความเคยชิน เหตุการณ์ที่เลือกมาศึกษาควรเป็นเหตุการณ์ท่ีผ๎ูเรียนจะ เข๎าใจดีและมีความค๎ุนเคย เชํน เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในเมืองหลวง หรือพฤติกรรมของกลุํมคนในเมือง หลวงยํอมเป็นท่ีเข๎าใจยากของผูเ๎ รียนทอ่ี ยูใํ นชนบท ความเหมาะสมข๎อนี้อยทูํ ่วี ิจารณญาณของผูส๎ อน - ความยากงํายของเหตุการณ์ ทั้งนี้พิจารณาความเหมาะสมของวัยและประสบการณ์ ของผเู๎ รยี น - คุณคําเชิงเจตคติ เหตุการณ์ที่เลือกมาศึกษาน้ันต๎องเป็นเหตุการณ์ท่ีให๎ข๎อคิดหรือ พัฒนาเจตคติของผู๎เรียนมากพอสมควร ถ๎าเหตุการณ์ที่เสนอไปอยํางไมํมีคุณคําในด๎านเจตคติเลย การ เรยี นการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตยิ ํอมไมํมีประโยชน์ตอํ ผ๎ูเรียน 218
- ประสบการณข์ องผูเ๎ รียนเก่ียวกบั วธิ ีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ถ๎าเป็นกลํุม ผู๎เรียนท่ีไมํเคยได๎รับการสอนแบบนี้มากอํ น กค็ วรเลือกเหตกุ ารณ์ที่ไมํซับซ๎อนหรือเข๎าใจยากมาศึกษากํอน เม่อื มีประสบการณ์มากข้นึ เหตุการณ์ทนี่ าํ มาเสนออาจเพ่มิ ความยากหรือท๎าทายให๎คดิ มากกวาํ เดิมได๎ ปัจจัยดังกลําวจะเป็นแนวทางในการเลือกเหตุการณ์หรือปัญหาที่นํามาศึกษาได๎อยําง เหมาะสม สําหรบั เหตกุ ารณท์ น่ี าํ มาศกึ ษานั้น ดังได๎กลําวในตอนต๎นแล๎ววําเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข๎องกับ ปัญหาสังคม พฤติกรรมของบุคคลในสังคม นอกจากน้ันยังมีเหตุการณ์หรือปัญหาท่ีเก่ียวข๎องกับข๎อ ตอํ ไปนที้ คี่ วรนาํ มาพิจารณาเพอ่ื จะสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตอิ ีกดว๎ ย กลําวคือ 1. ความขัดแยง๎ ระหวาํ งบุคคล การแสดงบทบาทสมมติจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนเรียนร๎ูเกี่ยวกับความ ขัดแย๎งท่ีเกิดข้ึนระหวํางบุคคล เข๎าใจถึงพฤติกรรมของบุคคลน้ัน เข๎าใจถึงผลประโยชน์ท่ีบุคคลพิทักษ์ และหวงแหนจนเกิดความขัดแย๎งข้ึน และยังได๎เรียนรู๎เกี่ยวกับเทคนิคของการขจัดความขัดแย๎งน้ัน ๆ ด๎วย 2. ความสัมพันธ์ระหวํางกลํุม เชํน ความสัมพันธ์ระหวํางชนกลํุมน๎อยกับชนกลํุมใหญํ กลํุม ชาติพนั ธนุ์ านา ทปี่ รากฏในประเทศ ความสมั พันธ์ของกลํุมชนอาจมีท้ังทางบวกและทางลบ การสอนให๎ ผู๎เรียนเข๎าใจพฤติกรรมของกลํุมตําง ๆ ในสังคมโดยวิธีการแสดงบทบาทสมมติจะเป็นวิธีการสอนท่ี เหมาะสมทสี่ ดุ อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 164-165) กลําวถึงการนําวิธีสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติไปใช๎ ผูส๎ อนควรคาํ นึงถึงข๎อตอํ ไปนี้ 1. จุดประสงค์การสอนเป็นการสอนท่ีมํุงพัฒนาผ๎ูเรียนในด๎านเจตคติ เชํน การเห็นใจผ๎ูอ่ืน การมีความเมตตากรุณา ฯลฯ บทเรียนท่ีเหมาะสมเป็นบทเรียนท่ีเก่ียวกับพัฒนาสังคม พฤติกรรมของ มนุษย์ในสังคม ดังน้ัน ผู๎สอนจึงต๎องวิเคราะห์จุดประสงค์และเน้ือหา ถ๎าเข๎าเกณฑ์น้ี การสอนโดยให๎ แสดงบทบาทสมมตจิ ะมคี วามหมายตอํ ผูเ๎ รยี นมาก 2. ผ๎ูสอน ผู๎สอนต๎องทําความเข๎าใจให๎กระจํางกับขั้นตอนการสอน เพ่ือให๎การสอนมีคุณคํา ตํอผเ๎ู รียน เชํน การเลือกปญั หาหรือเหตุการณม์ าศกึ ษา การเตรียมสถานการณ์ การเขียนบทบาทสมมติ และการวิเคราะหอ์ ภปิ ราย ถา๎ ผสู๎ อนขาดความเข๎าใจทถี่ ูกต๎อง การสอนจะไมํบรรลุผลดงั ประสงค์ 3. เวลา การสอนแบบนี้ต๎องใช๎เวลามาก ผู๎สอนต๎องวางแผนโดยอาจให๎ผ๎ูเรียนศึกษาเน้ือหา มากํอนจากบา๎ น จะชํวยลดเวลาไดบ๎ ๎าง 4. วิชา วิชาท่ีเหมาะสมกับการสอนแบบน้ี ได๎แกํ กลุํมสร๎างเสริมลักษณะนิสัยในระดับ ประถมศึกษา วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา หรือวิชาที่ต๎องการพัฒนาเจตคติให๎แกํผ๎ูเรียน โดยผูส๎ อนอาจเลือกเพียงบางบทเรียนท่ีเหมาะสมกับการใชว๎ ิธีการน้ี 5. วธิ สี อนแบบน้ีใช๎ได๎กบั ผ๎ูเรียนทกุ ระดบั ช้นั 219
กลําวโดยสรุปไดว๎ ําวิธีสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ หมายถงึ การสอนท่ีผ๎ูสอนสร๎าง สถานการณ์และบทบาทสมมติข้ึนมาท่ีใกล๎เคียงกับความเป็นจริง โดยให๎ผู๎เรียนเป็นผู๎แสดงบทบาทสมมติ นั้นๆ ตามวัตถุประสงค์ท่ีผู๎สอนได๎กําหนดไว๎ เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกทางด๎านความร๎ู ความคิด ที่คิดวํา ตนควรจะแสดงออก ซ่ึงการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ มีจุดมุํงหมายท่ีสําคัญ คือ มุํงฝึกการ ทํางานรํวมกัน กล๎าคิด กล๎าแสดงออกในการแก๎ปัญหา การตัดสินใจ ทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดความเข๎าใจในเน้ือ มากยิ่งขน้ึ ลดความตงึ เครยี ด เพราะเปน็ การสอนท่ใี กล๎เคยี งกับสภาพความเป็นจริงมากที่สดุ ลักษณะสําคัญของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติจะเป็นการสอนแบบที่ กําหนดให๎ผู๎เรียนแสดงบทบาทตามท่ีสมมติข้ึนเทียบเคียงกับสภาพที่เป็นจริง ตามลักษณะที่ผ๎ูแสดง บทบาทเข๎าใจ เพ่ือให๎ผ๎ูดูเกิดความรู๎ ความเข๎าใจในส่ิงที่เกิดข้ึน หลักสําคัญของการสอนแบบน้ี คือ ผูส๎ อนจะสร๎างปัญหาเพื่อให๎ผ๎ูเรียนไดค๎ ิด และใหผ๎ ๎เู รียนแก๎ปัญหานั้น ๆ ให๎ได๎ด๎วยตัวเอง ด๎วยการแสดงท่ี ทําใหผ๎ ูด๎ ูเห็นจริง และเมื่อยุติการแสดงแล๎วก็จะมีการอภิปรายโดยผ๎ูสอนและผู๎เรียนวํา การแก๎ปัญหานั้น เหมาะสมหรือไมํ ถ๎ายงั ไมดํ ไี มํเหมาะสม กอ็ าจหาผู๎แสดงชดุ ใหมํเพอื่ หาวธิ ีใหมํ และให๎ได๎คําตอบท่ีถูกต๎อง และชัดเจนยิ่งข้นึ โดยบทบาทสมมตทิ ่ผี ู๎เรียนต๎องแสดงออกน้ันมี 2 ลักษณะ คือ การแสดงบทบาทสมมติ แบบละคร เป็นการแสดงบทบาทตามเรือ่ งราวที่มีอยูํแล๎ว ผ๎ูแสดงจะทราบเรื่องราวทั้งหมด และการแสดง บทบาทสมมติแบบแก๎ปัญหา เปน็ การแสดงบทบาทสมมตทิ ีผ่ ๎เู รยี นได๎รับทราบสถานการณ์หรือเรื่องราวแตํ เพียงเล็กนอ๎ ยเทําทีจ่ ําเปน็ การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติแบํงประเภทออกเป็นหลายลักษณะ นักวิชาการ บางทํานกลําววําแบํงจากความพร๎อม บางทํานกลําววําบํางตามบทบาทการแสดง ซ่ึงพอจะสรุปได๎เป็น 4 ประเภท ดังน้ี 1. ผ๎ูแสดงเป็นจะต๎องเป็นผู๎แสดงบทบาทตามท่ีถูกกําหนดไว๎ โดยไมํเกี่ยวข๎องกับ ความร๎สู กึ สํวนตวั 2. ผูแ๎ สดงจะต๎องแสดงบทบาทตามแบบแผนพฤตกิ รรมของตนเอง 3. การแสดงบทบาททผ่ี ๎แู สดงจะตอ๎ งเตรยี มตวั กํอนการแสดงละคร 4. การแสดงบทบาทท่ผี ๎แู สดงต๎องแสดงบทบาทโดยทันที ไมํมีการเตรียมตวั ลํวงหน๎า องค์ประกอบสําคัญของวิธีสอนแบบบทบาทสมมติ จะประกอบไปด๎วย ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียน สถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ การแสดงบทบาทสมติ มีการอภิปรายเกี่ยวกับความรู๎ ความคิด ความรส๎ู กึ และพฤติกรรมทแี่ สดงออกของ ผแ๎ู สดง และสรุปการเรียนร๎ูท่ีได๎รับ และมีผลการเรียนรู๎ของ ผ๎ูเรียน โดยขั้นตอนของการเรียนการสอนประกอบไปดว๎ ย 5 ข้ันตอน ดงั นี้ 1. ขัน้ เตรยี ม ผ๎สู อนเตรียมจุดประสงค์และสถานการณใ์ นการแสดงบทบาทสมมติ 220
2. ขน้ั ดําเนินการสอน โดยผ๎ูสอนจะต๎องนําเข๎าสูบํ ทเรียนโดยการกระต๎ุนผ๎ูเรียนเกิดความ สนใจ ตํอจากนั้นต๎องเลือกผ๎ูแสดงบทบาท เตรียมผู๎สังเกตการณ์การแสดงบทบาทสมมติ แล๎วเตรียมความ พรอ๎ มในการจดั ฉากและเตรียมการแสดงให๎พร๎อม 3. ขน้ั วิเคราะหแ์ ละการอภิปรายผล ผเ๎ู รยี นรวบรวมข๎อมลู แลว๎ นาํ ขอ๎ มูลท่ไี ด๎ไปวิเคราะห์ และอภปิ รายผล เพ่ือใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ การเรยี นร๎ทู ม่ี คี วามหมาย 4. ขนั้ แสดงเพมิ่ เตมิ หลังการอภปิ รายสรุปผลการแสดงบทบาทสมมตแิ ลว๎ หากมี ข๎อบกพรอํ งหรอื ความไมเํ ขา๎ ใจในเร่อื งของการแสดงบทบาทสมมติ ผส๎ู อนอาจมีการแสดงเพิ่มเติมได๎ 5. ขัน้ แลกเปลย่ี นประสบการณ์และสรุปผล หลงั จากอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงแล๎วครู ควรกระต๎ุนใหผ๎ เ๎ู รียนไดแ๎ ลกเปล่ยี นประสบการณท์ ่มี สี วํ นสัมพนั ธ์หรอื เกย่ี วขอ๎ งกบั เรอ่ื งทีไ่ ด๎ศึกษา แกํกัน และกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์นี้จะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางข้ึน และสํงเสริมให๎ ผู๎เรียนเห็นวําสิ่งที่เรียนน้ันเกี่ยวข๎องกับความจริง จะทําให๎ผู๎เรียนสามารถที่จะหาข๎อสรุป หรือได๎ แนวความคดิ รวบยอดทต่ี นสามารถเขา๎ ใจไดอ๎ ยาํ งดี จึงเหน็ ได๎วาํ การสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมตินี้ ผูส๎ อนจะตอ๎ งมีบทบาทในการ เตรียมความพร๎อมพอสมควร ต้ังแตํการกําหนดปัญหา เตรียมความพร๎อมด๎านผู๎แสดง ผู๎สังเกตการณ์ ต๎อง คอยชวํ ยเหลอื ผ๎เู รยี นในขณะปฏิบตั ิ ยอมรบั พฤติกรรมท่เี กิดขึ้นของผู๎เรียน และชํวยสรุปบทเรียนและเลือก ทางออกเพือ่ เสรมิ กาํ ลงั ใจในการเรียน การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติจึงมที ั้งข๎อดีและข๎อจํากัด ซ่ึง ในสํวนของข๎อดี คือ สํงเสริมให๎บทเรียนมีความนําสนใจ สะท๎อนให๎เห็นถึงความรู๎สึกอารมณ์ และเจตคติ ของผู๎เรียน ชํวยฝึกฝนการแก๎ปัญหาและการตัดสินใจ ทําให๎เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในการเรียน และผ๎ูเรียนยังได๎เข๎าใจรายละเอียดเนื้อเร่ืองได๎ดีย่ิงข้ึน สํวนของข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การแสดง บทบาทสมมติ คือ เป็นวิธีการสอนที่ใช๎เวลามากพอสมควร ต้ังแตํการเตรียมการสอน การใช๎เวลาแสดง บทบาทสมมติ และการวิเคราะห์สรุปอภิปรายผล ซ่ึงจะทําให๎มีปัญหาในการควบคุมชั้นเรียน อาจจะเกิด การสับสนวุํนวาย และผู๎สอนมีภาระเพมิ่ ขน้ึ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจดุ มํุงหมายของ “วิธีสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ” ตามความคดิ เห็นของทําน 2. วิธสี อนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมตมิ ีก่ีประเภท อะไรบ๎าง 3. องค์ประกอบสาํ คญั ของวธิ ีสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ จาํ เป็นตอ๎ งมีอะไรบ๎าง 4. ขั้นตอนของวธิ สี อนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมตมิ ีกี่ขั้นตอน อะไรบา๎ ง 5. ทาํ นคดิ วํา วิธีสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสม มติ มีข๎อดแี ละข๎อจํากดั อะไรบ๎าง จงอธิบาย 221
5.7 การไปทัศนศึกษา การจดั การเรียนร๎ูโดยการไปทัศนศึกษา เปน็ กระบวนการเรยี นรู๎ท่นี ําผ๎ูเรียนออกไปศึกษา เรียนรู๎ ณ สถานท่ีท่ีเป็นแหลํงความรู๎ในเรื่องน้ัน ( ซึ่งอยูํนอกสถานที่เรียนกันอยูํโดยปกติ )โดยมีการศึกษา เรยี นรูส๎ ิง่ ตาํ ง ๆ ในสถานที่นนั้ ตามกระบวนการหรือวิธีการท่ีผู๎สอนและผ๎ูเรียนได๎รํวมกันวางแผนไว๎ และมี การอภปิ รายสรปุ ผลการเรียนรูจ๎ ากข๎อมลู ทไ่ี ดจ๎ ากการศกึ ษาเรียนรู๎ องคป์ ระกอบสําคญั (ทีข่ าดไมํได)๎ ของวิธีสอน 1 มีการวางแผนรวํ มกันระหวาํ งผสู๎ อนและผู๎เรียนในเร่ืองวัตถปุ ระสงค์ สถานที่ การเดนิ ทาง เรื่องท่ีจะศึกษา วิธีศึกษา คาํ ใช๎จําย กาํ หนดการเดนิ ทางและหน๎าทีค่ วามรบั ผิดชอบ 2 มีการเดินทางออกไปยงั สถานท่ีเปาู หมายซงึ่ อยํนู อกโรงเรียน หรือนอกสถานที่ทีเ่ รียนกันอยูํ เปน็ ปกติ 3 มีกระบวนการในการศึกษาสง่ิ ทีต่ ๎องการเรียนรู๎ในสถานทนี่ ้นั 4 มสี รปุ ผลการเรียนรท๎ู ผี่ เู๎ รยี นได๎รับจากการไปทัศนศึกษา ขน้ั ตอนสาคญั ( ทขี่ าดไม่ได้ ) ของการสอน 1 ผสู๎ อนและผูเ๎ รียนวางแผนรวํ มกนั ในเรอื่ งวัตถปุ ระสงค์ สถานท่ที ี่จะไป การเดินทาง ส่งิ ทจ่ี ะ ไปศึกษา วธิ ศี ึกษา คาํ ใชจ๎ าํ ย กาํ หนดการเดนิ ทาง และหน๎าทคี่ วามรบั ผดิ ชอบ 2 ผส๎ู อนและผเู๎ รียนเดนิ ทางไปยังสถานท่ีเปูาหมาย 3 ผ๎ูเรยี นศึกษาสงิ่ ตําง ๆ ในสถานทีน่ ัน้ ตามกระบวนการหรือวิธีการศกึ ษาท่ีได๎วางแผนไว๎ 4 ผส๎ู อนและผู๎เรียนเดินทางกลับ และสรปุ ผลการเรยี นรู๎ หรอื ผ๎ูสอนและผเ๎ู รียนสรุปผลการ เรยี นร๎ู และเดินทางกลับ ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ การจัดการเรียนร๎ูโดยการไปทัศนศึกษามีขน้ั ตอนดังนี้ 1. ขั้นวางแผน เป็นขนั้ ตอนทผี่ ูส๎ อนและผเ๎ู รียนรวํ มกันเตรียมการกํอนท่จี ะไปทศั นศึกษา ซ่งึ ควร ประกอบดว๎ ยเรอื่ งตอํ ไปน้ี 1.1 กําหนดวตั ถุประสงค์ของการไปศึกษา 1.2 กาํ หนดหัวข๎อเร่อื งที่จะศึกษา 1.3 กําหนดสถานท่ที จี่ ะไปทศั นศึกษา 2. ขน้ั การเดินทางไปทัศนศึกษา เป็นการเดินทางไปทัศนศึกษาตามโปรแกรมที่กําหนดไว๎ ซึ่งผู๎สอนควรดูแลเอาใจใสํใน เรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤติกรรมของผ๎ูเรียนและใหค๎ ําปรกึ ษาแนะนําตามความเหมาะสม 3. ข้นั การศกึ ษาเรยี นร๎ใู นสถานที่หรอื แหลงํ เรยี นร๎ู 222
เมือ่ เดนิ ทางไปถึงยังสถานที่เปูาหมายแล๎ว ผู๎สอนควรจัดประชุมผ๎ูเรียนท้ังหมดกํอนที่จะ ปลอํ ยใหผ๎ ๎ูเรยี นไปศกึ ษาเรียนรูต๎ ามท่ีได๎รับมอบหมาย โดยมีการย้ําหรือทบทวนเกี่ยวกับเร่ืองวัตถุประสงค์ ของการศึกษา การเคารพตํอกฎเกณฑ์ กติกาของสถานที่ ความปลอดภัย วิธีการศึกษา การนัดหมาย และการตรงตอํ เวลา เปน็ ตน๎ 4.ขนั้ การเดินทางกลบั เป็นการเดินทางกลับหลังจากท่ีได๎ศึกษาเรียนร๎ูตามโปรแกรมท่ีกําหนดไว๎ ซึ่งผ๎ูสอนควร จะดูแลเอาใจใสํในเรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤติกรรมผู๎เรียนและให๎คําปรึกษาหารือแนะนําตามความ เหมาะสม 5. ขั้นสรปุ ผลการเรียนรู๎ 1.สรปุ ผลการเรียนรท๎ู ันที ในกรณที ีส่ ามารถจดั สรรเวลาได๎ ไมํควรเรงํ รีบ เดนิ ทางกลบั ควรใหโ๎ อกาสผเ๎ู รียนสรุปผลการเรียนรทู๎ ันที 2. สรปุ การเรียนรห๎ู ลงั จากกลับถงึ สถานศึกษาผูส๎ อนและผ๎เู รียนมักจะไมมํ ีเวลา สรุปทันที ดงั นั้น เมื่อเดนิ ทางกลับถงึ สถานศึกษาแลว๎ ควรรีบหาโอกาสใหผ๎ ู๎เรียนสรปุ ผล การเรียนรู๎โดยเรว็ 6. ขน้ั ประเมนิ ผล เป็นข้ันที่ผู๎สอนและผ๎ูเรียนรํวมกันประเมินผล เพื่อให๎ทราบวําการไปทัศนศึกษาคร้ังนี้มี ผลเป็นอยํางไร เชํน บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไมํ ปัญหาและอุปสรรคมีอะไรบ๎าง ตลอดจน ขอ๎ เสนอแนะอื่น ๆ ซ่งึ อาจประเมนิ ไดจ๎ ากการสอบถาม การสังเกต หรือ ข๎อเสนอแนะตาํ งๆ เปน็ ต๎น เอกสารอ๎างอิง : https://goo.gl/uXQVnD 5.8 Research Based Learning Research-Based Learning (RBL) การจดั การศกึ ษาแบบ Research-Based Learning (RBL) หมายถงึ การเรียนร๎ูเป็นการ จัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกิดพฤติกรรมท่ีพึ่งประสงค์ กระบวนการเรียนร๎ูประกอบด๎วย การกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนร๎ู การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนรู๎ การวัดและประเมินผลการ เรียนรู๎ ตามรูป เปน็ เทคนคิ ทม่ี งุํ ให๎ผู๎เรยี น เกดิ การเรยี นรูแ๎ ละประสบผลสาํ เรจ็ ในเน้อื หา และผู๎รู๎สารนเทศ ด๎วยการพฒั นาทักษะการเรียนรด๎ู ๎วยตนเองอยํางอิสระผ๎ูเรียนเรียนรู๎โดยอิสระจากการแสวงหาแหลํงเรียนร๎ู ผ๎ูสอนเป็นเพียงผู๎สํงเสริมและกระตุ๎นเป็นแหลํงสารสนเทศใดๆ ที่มีอยูํท้ังภายในและภายนอกสถาบัน ผลลัพธ์ของการใช๎ RBL ผู๎เรียนมีความรู๎ความเข๎าใจในเน้ือหาที่ได๎จากแหลํงเรียนรู๎ท่ีหลากหลาย ผ๎ูเรียนมี ทกั ษะการรส๎ู ารสนเทศ ซึ่งเปน็ ฐาน สําหรับการเรยี นรด๎ู ว๎ ยตนเองตลอดชวี ิต 223
ลักษณะสาคัญของรูปแบบ Research –based Learning ลกั ษณะสําคญั ของรูปแบบมี 4 ลักษณะดังตํอไปน้ี หลักการท่ี 1 แนวคิดพน้ื ฐาน เปลย่ี นแนวคิดจาก’เรียนรโู๎ ดยการฟงั /ตอบให๎ถกู ’ เป็น ‘การถาม/หาคาํ ตอบเอง’ หลกั การที่ 2 เปูาหมาย เปลี่ยนเปาู หมายจาก’การเรียนรโ๎ู ดยการจํา/ทาํ /ใช๎’ เปน็ การ คดิ /คน๎ /แสวงหา’ หลกั การที่ 3 วิธสี อน เปล่ยี นวธิ สี อนจาก’ การเรียนร๎ูโดยการบรรยาย’ เป็น ‘การให๎ คําปรกึ ษา’ หลกั การท่ี 4 บทบาทผู๎สอน เปลี่ยนบทบาทผสู๎ อนจาก’ การเป็นผ๎ูปฏิบัติเอง’ เป็น ‘การ จัดการให๎ผูเ๎ รียนปฏิบตั ิ ดังตาราง องคป์ ระกอบของรปู แบบการเรียนรรู้ ปู แบบ Research –based Learning (RBL) สําหรับการจัดการศึกษาแบบ RBL นนั้ มีรปู แบบการจดั การศกึ ษาดังนี้ ก. RBL ท่ีใช๎ผลการวจิ ัยเปน็ สาระการเรยี นการสอน ประกอบดว๎ ย (1) เรียนรู๎ผลการวิจัย/ใช๎ผลการวจิ ัยประกอบการสอน (2) เรยี นรูจ๎ ากการศึกษางานวจิ ยั /การสงั เคราะห์งานการวจิ ัย ข. RBL ท่ีใชก๎ ระบวนการวจิ ยั เป็นกระบวนการเรยี นการสอน ประกอบดว๎ ย (3) เรียนรว๎ู ชิ าวิจยั /วิธที าํ วจิ ัย (4) เรยี นรู๎จากการทําวจิ ัย/รายงานเชงิ วจิ ยั (5) เรียนรจ๎ู ากการทาํ วจิ ัย/รวํ มทําโครงการวจิ ัย (6) เรียนร๎จู ากการทาํ วิจยั /วจิ ัยขนาดเล็ก (7) เรยี นรู๎จากการทาํ วิจัย/วิทยานพิ นธ์ ขั้นตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ การวางแผนการสอนโดยใช๎ RBL มขี ้นั ตอนที่สาํ คัญดงั นี้ 1. กาํ หนดวตั ถุประสงค์ทัว่ ไปของรายวชิ าทีส่ อน 2. ศกึ ษา/ทําความเขา๎ ใจ ผ๎ูเรยี นเพ่อื ใหท๎ ราบความร๎แู ละทักษะที่เคยมมี ากํอน 3. กําหนดวตั ถุประสงค์เฉพาะทีต่ ๎องการใหเ๎ กดิ การเรียนรโู๎ ดยใช๎ RBL 4. กําหนดกลยุทธแ์ ละเทคนิคการสอน และกิจกรรมการเรยี นร๎ู 5. เลอื กแหลํงเรียนร๎ทู ่เี หมาะสม 6. กําหนดตารางเวลา-ส่ิงอาํ นวยความสะดวก-ผูช๎ ํวยเหลอื 224
7. ดาํ เนนิ การตามแผนทวี่ างไว๎ 8. ตรวจสอบวาํ ผ๎เู รียนเกดิ การเรยี นรตู๎ ามท่ีได๎ ตั้งวตั ถุประสงค์ไว๎ 9. ประเมินความสาํ เร็จของผ๎เู รียนและกระบวนการเรยี นการสอน การนาไปใช้ / ตวั อย่างการจัดรูปแบบการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรู๎แกํผูเ๎ รียนในสถานศึกษาเกี่ยวข๎องการทั้งกระบวนการเรยี นและการ สอน การเรียนน้ันเปน็ บทบาทของผูเ๎ รยี นสํวนการสอนเปน็ บทบาทของผู๎สอน การเรียนรูแ๎ บบ RBL เป็น การจัดการเรยี นการสอนทน่ี ํา ‘การวิจัย’เข๎ามาเปน็ เครือ่ งมือของการจดั การเรียนการสอน ตัวอย่างแผนการจดั การเรียนรู้ เร่อื ง การปรับตวั ของพชื สาระที่ 2 : ชีวติ กับส่ิงแวดลอ๎ ม แผนการจัดการเรยี นร๎ูท่ี 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 กลํุมสาระการเรียนรู๎ วทิ ยาศาสตร์ จาํ นวน 3 คาบ รายวชิ า วิทยาศาสตร์ (ว31101) หนํวยการเรียนรทู๎ ี่ 1 เร่อื ง การปรบั ตวั ของพชื มาตรฐาน ว 2.1 :เขา๎ ใจส่งิ แวดล๎อมในท๎องถน่ิ ความสัมพนั ธ์ระหวาํ งสิ่งแวดล๎อมกับสิง่ มีชีวติ ความสมั พันธ์ ระหวํางส่ิงมีชวี ติ ตํางๆ ในระบบนเิ วศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู๎และจติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสารสง่ิ ท่ี เรียนรู๎และนาํ ความรู๎ไปใชป๎ ระโยชน์ สาระหลกั สงิ่ มชี วี ิตไมวํ ํา คน สัตว์ พืช ยอํ มมีการเปลีย่ นแปลง พฒั นา และปรบั ตัวไปตามสภาพแวดล๎อมที่ อยํูอาศัย สง่ิ ใดท่ีปรับตวั ไมํได๎กจ็ ะสญู พันธไุ์ ปในที่สุด เหมือนสัตว์หลายชนดิ ที่สูญพนั ธุ์ไปจากโลกนแ้ี ล๎ว การ เปล่ียนแปลงของสภาพแวดล๎อมมีผลกระทบตํอการดํารงชีวิตของส่งิ มชี ีวติ ถ๎าสิ่งมีชวี ติ สามารถปรับตัวให๎ เขา๎ กับสภาพแวดล๎อมได๎ กจ็ ะมชี ีวติ อยรูํ อดได๎ ขัน้ ท่ี 1. กาหนดวัตถปุ ระสงคท์ ว่ั ไปของรายวชิ าทส่ี อน เพ่ือให๎นักเรยี นเข๎าใจส่งิ แวดล๎อม ความสัมพนั ธร์ ะหวํางสงิ่ แวดล๎อมกับส่ิงมชี วี ิตความสัมพันธ์ ระหวํางสิ่งมีชีวิตตาํ งๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสืบเสาะหาความร๎ู สอ่ื สารส่ิงทเ่ี รียนร๎ูและนําความร๎ูไป ใช๎ในชวี ิตประจาํ วัน ข้นั ที่ 2. ศึกษา/ทาความเข้าใจ ผ้เู รียนเพือ่ ให้ทราบความรูแ้ ละทักษะทเ่ี คยมีมาก่อน - นกั เรยี นดูภาพไดโนเสาร์ ภาพจ้งิ จก ภาพกระบองเพชร สัตว์และพืชอื่น ๆ มาเปน็ สอ่ื ประกอบ การศึกษา และยกใหน๎ ักเรียนดู แล๎วรวํ มอภปิ รายถึงสภาพความเปน็ อยกูํ ารปรบั ตัว และการสูญพนั ธุข์ อง สัตว์และพืชแตลํ ะชนิด ครูถามนําเพื่อโยงสํูสาระการเรียนร๎ูตอํ ไป เชํนถามวํา - ทําไมทุกวันนีจ้ งึ ไมํมีไดโนเสารใ์ ห๎เราเห็น 225
- สตั วท์ ี่อาศัยอยูํแถบถิน่ ทะเลซ่งึ รอ๎ นระอุ ทําไมมนั จึงมีชีวติ อยํไู ด๎ - เหตุใดสตั วบ์ างชนิดจงึ เปลย่ี นสีได๎ - เหตุใดหมที ่ขี ้ัวโลกเหนอื จงึ มีขนหนามาก - วนั นี้เรามาเรยี นรูเ๎ กี่ยวกบั การปรบั ตวั ของพืชกนั ดีไหม ขัน้ ที่ 3. กาหนดวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะท่ตี ้องการให้เกดิ การเรยี นรู้โดยใช้ Research –based Learning 1.สืบค๎นข๎อมูล อภิปรายและอธิบายเก่ียวกับพชื ทัง้ ท่มี ีชวี ิตอยูํและที่สญู พนั ธ์ไุ ปแลว๎ 2. สืบคน๎ ข๎อมลู เกี่ยวกบั พชื ท่ีมีสภาพเหมาะสมตํอสภาพแวดล๎อม ขัน้ ท่ี 4. กาหนดกลยุทธ์และเทคนิคการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ 1.ใหน๎ ักเรยี นแตลํ ะกลมํุ ออกไปแสวงหาความรู๎ โดยการตง้ั คําถามและค๎นหาคําตอบจากแหลํง เรียนร๎ูตํางๆ 2.หลังจากแตลํ ะกลํมุ แสวงหาความรม๎ู าแลว๎ รํวมระดมความคดิ เหน็ และยกตัวอยาํ งพืชทเี่ คยมี และสูญพนั ธ์ุไปแลว๎ วํามีอะไรบา๎ งโดยครคู อยให๎คาํ ปรึกษา 3.แตลํ ะกลมุํ รบั ใบงาน เร่อื ง “การปรบั ตวั ของพืช” ทาํ ตามข้ันตอนท่ปี รากฏในใบงาน แล๎ว ตวั แทนนาํ เสนอผลงาน 4. นักเรยี นรํวมกนั เขียนในลักษณะของรายงาน เพอ่ื นาํ เสนอตํอหน๎าชนั้ 5. ตวั แทนกลมํุ นําเสนอผลงาน ทงั้ รายงานและผลการทําใบงาน ขนั้ ท่ี 5. เลือกแหลง่ เรียนรทู้ เ่ี หมาะสม 1. หอ๎ งเรยี น 2. หอ๎ งสมดุ 3. มมุ วิทยาศาสตร์ 4. Internet ขั้นที่ 6. กาหนดตารางเวลา-สิง่ อานวยความสะดวก-ผูช้ ว่ ยเหลือ หัวข๎อ กจิ กรรมกาํ หนดสํง สิ่งอํานวยความสะดวก ผชู๎ ํวยเหลอื 1 สบื ค๎นข๎อมูล เก่ียวกับพชื ทง้ั ท่ีมชี ีวติ อยํู 30 นาที ห๎องเรียน หอ๎ งสมุด มุมวทิ ยาศาสตร์ Internet ครผู ๎ูสอน 2 สบื ค๎นขอ๎ มูล เก่ยี วกับพืชที่สูญพันธไุ์ ปแล๎ว 30 นาที หอ๎ งเรียน หอ๎ งสมุด มุมวิทยาศาสตร์ Internet ครผู ู๎สอน 3 สบื ค๎นข๎อมลู เก่ียวกบั พชื ทม่ี ีสภาพเหมาะสมตํอสภาพแวดล๎อม 1 ชั่วโมง หอ๎ งเรียน ห๎องสมุด มมุ วิทยาศาสตร์ Internet ครผู ส๎ู อน 4 รายงาน สรุปผลการสืบค๎น 1 ช่ัวโมงแผนํ ใส โปรเจคเทอร์ คอมพิวเตอร์ แผนภาพ ครูผูส๎ อน 226
ขน้ั ท่ี 7. ดาเนินการตามแผนท่วี างไว้ ขน้ั ท่ี 8. ตรวจสอบว่าผูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรตู้ ามทไ่ี ด้ ตง้ั วตั ถปุ ระสงค์ไว๎ 1. นกั เรยี นรํวมกนั สรปุ การทาํ กิจกรรม 2. ครูซกั ถามเพือ่ ประเมนิ ความเข๎าใจเป็นรายบุคคล 3. นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น เสร็จแล๎วสงํ ครูตรวจ ขน้ั ท่ี 9. ประเมินความสาเร็จของผูเ้ รียนและกระบวนการเรียนการสอน 1. วิธกี าร 1.1 สงั เกต 1.1.1 พิจารณาจากการสนทนา อภิปราย การแสดงความคิดเหน็ การตอบ คําถามปากเปลาํ 1.1.2 พิจารณาการสรปุ ขอ๎ มลู การตอบคาํ ถาม 1.2 ตรวจสอบ 1.2.1 ตรวจการทาํ ใบงาน 1.2.2 ตรวจการทําแบบทดสอบหลังเรยี น 2. เครอื่ งมือวดั และประเมิน - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางาน 3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ถือเกณฑ์การผํานร๎อยละ 80 ทุกรายการ (ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผาํ นเกณฑร์ อ๎ ยละ 80) สังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ผํานเกณฑร์ อ๎ ยละ 80 สงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุํม ผาํ นเกณฑ์ร๎อยละ 80 การนําเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑร์ อ๎ ยละ 80 การตรวจผลงาน ผํานเกณฑ์ร๎อยละ 80 ขอ้ ดีข้อจากดั ของการนารปู แบบการเรียนรแู้ บบ Research –based Learning ข้อดีของ Research –based Learning 1. สํงเสริมการเรยี นรูใ๎ นเร่ืองตํางๆ โดยรูจ๎ ักการใช๎แหลงํ เรียนรท๎ู ่หี ลากหลาย 2. กระตุน๎ ใหผ๎ ๎ูเรยี นเกิดการพัฒนาการคดิ เชงิ วเิ คราะห์ โดยผํานกระบวนการแกป๎ ญั หา การเสาะ แสวงหา การใหเ๎ หตุผล และการวเิ คราะหแ์ ละประเมิน ซ่งึ เปน็ ทกั ษะทจ่ี ําเป็นสาํ หรับการเรียนรู๎ด๎วยตนเอง 3. ใหผ๎ เ๎ู รยี นมโี อกาสศึกษาเรียนรโู๎ ดยอสิ ระ เนื่องจากการสอนโดยใช๎ Research –based Learning จะให๎เวลากับการเรียนในชั้นเรียนนอ๎ ยกวาํ การให๎ศึกษาคน๎ คว๎าด๎วยตนเอง 227
4. เปน็ เทคนคิ ทเี่ นน๎ กระบวนการเรียนรม๎ู ากกวาํ กระบวนการสอน เม่อื นํา Research –based Learning มาใช๎ ผูส๎ อนต๎องเน๎นความสาํ คญั ในเร่ืองการเรยี นร๎ขู องผู๎เรียน มากกวําการสอน 5. สํงเสรมิ ให๎ผ๎เู รียนมที ักษะการรส๎ู ารสนเทศ ซึง่ จะเป็นประโยชน์ในการเรยี นรูด๎ ๎วยตนเองตลอด ชีวิต 6. สงํ เสริมใหผ๎ ๎เู รยี นมคี วามเชือ่ มน่ั และกลา๎ แสดงออก เน่ืองจากการเรียนรด๎ู ว๎ ยวิธี Research – based Learning ผเู๎ รียนจะต๎องพ่ึงพาตนเองสงู และต๎องนาํ ผลงานที่ไดม๎ าเสนอและแลกเปลย่ี นกบั ผอู๎ ื่น 7. สรา๎ งความสัมพนั ธ์อันดีระหวาํ งผ๎ูสอนและผูเ๎ รียน เนื่องจากต๎องมีการพบปะปรกึ ษาหารือทง้ั ใน รูปแบบทไ่ี มํเปน็ ทางการและเปน็ ทางการ ข้อจากดั ของ Research –based Learning(RBL) 1. แหลํงเรยี นร๎สู าํ หรับเรอื่ งที่ตอ๎ งการใหศ๎ ึกษาในบางรายวิชา อาจมีไมํเพียงพอหรอื มีแตํไมํ เหมาะสม 2. ผสู๎ อนบางคนให๎ความสาํ คัญกบั การพัฒนาฐานความรู๎ มํุงรวบรวมและสรา๎ งแหลงํ เรยี นรู๎ให๎ สมบูรณ์ จงึ อาจมองข๎างหลกั การท่สี ําคัญของ Research –based Learning คอื ใหผ๎ ู๎เรียนมีอิสระใน การศึกษาคน๎ คว๎าและเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง 3. หากผูเ๎ รยี นขาดทักษะการร๎ูสารสนเทศ การเรยี นรโู๎ ดยใช๎ Research –based Learning จะไมํ เกิดผล ดงั นน้ั สถาบันจึงควรจัดใหใ๎ ห๎มีการสอนหรอื อบรมเพื่อสร๎างทักษะการร๎สู ารสนเทศใหก๎ ับผ๎ูเรยี นทุก คน โดยควรถอื เปน็ ความรพู๎ ้ืนฐานท่ผี ู๎เรียนทุกคนต๎องมีและสามารถทําได๎ 4. ผสู๎ อนจําเป็นต๎องรู๎แหลงํ เรียนรใ๎ู นเรอ่ื งทจ่ี ะสอนเป็นอยาํ งดี และต๎องใช๎เวลาในการเตรียมการ และรวบรวมแหลํงเรียนรู๎ท้ังหลายเพอ่ื สามารถชี้แนะและให๎คําปรกึ ษาแกํผู๎เรยี นได๎ 5. โรงเรยี นต๎องมีความพรอ๎ มในเรื่องแหลงํ เรียนร๎ู อปุ กรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ ห๎องเรียนหรอื หอ๎ งปฏบิ ตั ิการ และบุคลากร ที่จะชวํ ยใหก๎ ารเรียนร๎ูดว๎ ยตนเองจากแหลํงเรียนร๎ูมีความเป็นไปได๎ และ ประสบผลสําเร็จ 5.9 การสอนแบบโครงงาน/โครงการ (Project Method) เป็นวิธีการจัดการเรียนรู๎ท่ีให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาค๎นคว๎า หรือปฏิบัติงานตามหัวข๎อที่ผู๎เรียน สนใจ ซ่ึงผู๎เรียนจะต๎องฝึกกระบวนการทํางานอยํางมีขั้นตอน มีการวางแผนในการทํางานหรือการ แก๎ปัญหาอยํางเป็นระบบ จนการดําเนินงานสําเร็จลุลํวงตามวัตถุประสงค์ สํงผลให๎ผ๎ูเรียนมีทักษะการ เรียนรู๎อยํางหลากหลาย อันเป็นประสบการณ์ตรงท่ีมีคุณคํา สามารถนําไปประยุกต์ใช๎ในการดําเนินงาน ตําง ๆ ได๎วิธีการสอนโครงงานสามารถสอนตํอเนื่องกับวิธีสอนแบบบูรณาการได๎ ท้ังในรูปแบบบูรณาการ 228
ภายในกลํุมสาระการเรียนรู๎ และบูรณาการระหวํางกลํุมสาระการเรียนร๎ู เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎นําองค์ความร๎ู และประสบการณ์ท่ีได๎มาบรู ณาการเพ่ือทาํ โครงงาน การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ข้นั กาหนดปญั หา หรอื สาํ รวจความสนใจ ผ๎สู อนเสนอสถานการณห์ รอื ตัวอยํางที่ เป็นปญั หาและกระตนุ๎ ใหผ๎ เ๎ู รียนหาวีการแกป๎ ัญหาหรือยั่วยุให๎ผู๎เรียนมีความต๎องการใครํเรียนใครํร๎ู ในเร่ือง ใดเรื่องหนง่ึ 2. ขน้ั กาหนดจุดมงุ่ หมายในการเรียน ผู๎สอนแนะนําใหผ๎ เู๎ รียนกําหนดจุดมงํุ หมายให๎ ชัดเจนวาํ เรียนเพ่อื อะไร จะทําโครงงานน้ันเพ่ือแก๎ปัญหาอะไร ซึ่งทําให๎ผู๎เรียนกําหนดโครงงานแนวทางใน การดาํ เนินงานไดต๎ รงตามจดุ มํงุ หมาย 3. ขั้นวางแผนและวเิ คราะห์โครงงาน ใหผ๎ ๎เู รยี นวางแผนแก๎ปัญหา ซ่งึ เป็นโครงงาน เด่ียวหรือกลุํมก็ได๎ แล๎วเสนอแผนการดําเนินงานให๎ผ๎ูสอนพิจารณา ให๎คําแนะนําชํวยเหลือและ ข๎อเสนอแนะการวางแผนโครงงานของผ๎ูเรียน ผู๎เรียนเขียนโครงงานตามหัวข๎อซึ่งมีหัวข๎อสําคัญ (ช่ือ โครงงาน หลักการและเหตุผลวัตถุประสงค์หรือจุดมุํงหมาย เจ๎าของโครงการ ที่ปรึกษาโครงการ แหลํง ความรู๎ สถานท่ดี ําเนนิ การ ระยะเวลาดาํ เนนิ การ งบประมาณ วิธีดําเนินการ เคร่ืองมือที่ใช๎ ผลที่คาดวําจะ ไดร๎ ับ) 4. ขนั้ ลงมอื ปฏบิ ัติหรอื แก้ปัญหา ใหผ๎ ๎ูเรียนลงมอื ปฏิบตั หิ รอื แก๎ปญั หาตามแผนการ ที่กําหนดไว๎โดยมีผู๎สอนเป็นที่ปรึกษา คอยสังเกต ติดตาม แนะนําให๎ผู๎เรียนรู๎จักสังเกต เก็บรวบรวมข๎อมูล บันทึกผลดําเนินการด๎วยความมานะอดทน มีการประชุมอภิปราย ปรึกษาหารือกันเป็นระยะ ๆ ผู๎สอนจะ เขา๎ ไปเก่ียวข๎องเทําท่ีจําเปน็ ผูเ๎ รียนเป็นผใู๎ ช๎ความคิด ความร๎ู ในการวางแผนและตดั สนิ ใจทาํ ด๎วยตนเอง 5. ขน้ั ประเมินผลระหวา่ ปฏบิ ตั งิ าน ผูส๎ อนแนะนาํ ใหผ๎ ู๎เรียนรู๎จักประเมินผลกอํ น ดําเนินการระหวํางดําเนินการและหลังดําเนินการ คือรู๎จักพิจารณาวํากํอนที่จะดําเนินการมีสภาพเป็น อยํางไร มปี ัญหาอยํางไรระหวาํ งทดี่ ําเนนิ งานตามโครงงานนัน้ ยังมสี งิ่ ใดท่ีผิดพลาดหรือเป็นข๎อบกพรํองอยูํ ต๎อแก๎ไขอะไรอีกบ๎าง มีวิธีแก๎ไขอยํางไร เมื่อดําเนินการไปแล๎วผ๎ูเรียนมีแนวคิดอยํางไร มีความพึงพอใจ หรือไมํ ผลของการดําเนินการตามโครงงาน ผ๎ูเรียนได๎ความรู๎อะไร ได๎ประโยชน์อยํางไร และสามารถนํา ความร๎ูน้ันไปพัฒนาปรับปรุงงานได๎อยํางดีย่ิงข้ึน หรือเอาความร๎ูน้ันไปใช๎ในชีวิตได๎อยํางไร โดยผ๎ูเรียน ประเมนิ โครงงานของตนเองหรือเพอ่ื นรวํ มประเมิน จากน้นั ผสู๎ อนจึงประเมินผลโครงงานตามแบบประเมิน ซ่ึงผู๎ปกครองอาจจะมีสํวนรวํ มในการประเมินดว๎ ยกไ็ ด๎ 6. ขั้นสรปุ รายงานผล และเสนอผลงาน เมื่อผูเ๎ รียนทาํ งานตามแผนและเกบ็ ขอ๎ มูล 229
แล๎วต๎องทําการวิเคราะห์ข๎อมูล สรุปและเขียนรายงานเพื่อนําเสนอผลงาน ซึ่งนอกเหนือจากรายงาน เอกสารแล๎ว อาจมีแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ แบบจําลอง หรือของจริงประกอบการนําเสนอ อาจจัดได๎ หลายรปู แบบ เชํน จดั นิทรรศการ การแสดงละคร ฯลฯ 1. เป็นการสอนทีม่ ํุงให๎ผ๎ูเรยี นมบี ทบาท มีสวํ นรวํ มในการจดั กระบวนการเรียนรูไ๎ ด๎ ปฏบิ ตั จิ รงิ คิดเอง ทาํ เอง อยํางละเอียดรอบคอบ อยํางเป็นระบบ 2. ผ๎เู รยี นรูจ๎ กั วแี สวงหาข๎อมลู สร๎างองค์ความรูแ๎ ละสรปุ ความรูไ๎ ด๎ด๎วยตนเอง 3. ผเ๎ู รียนมที ักษะในการแก๎ปญั หา มีทกั ษะกระบวนการในการทํางาน มีทักษะการ เคลื่อนไหวทางกาย 4. ผูเ๎ รียนได๎ฝกึ กระบวนการกลุมํ สมั พนั ธ์ ทาํ งานรวํ มกนั กับผ๎อู นื่ ได๎ 5. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย คอื การรบั ฟังความคิดเห็นซ่งึ กันและกนั มเี หตุผล มี การยอมรบั ในความรู๎ ความสามารถซึ่งกันและกัน 6. ผู๎เรยี นไดฝ๎ กึ ลักษณะนสิ ัยทีด่ ใี นการทํางาน เชนํ การจดบนั ทึกขอ๎ มลู การเก็บขอ๎ มูล อยํางเป็นระบบ ความรับผิดชอบ ความซ่ือตรง ความเอาใจใสํ ความขยันหมั่นเพียรในการทํางาน รู๎จัก ทํางานอยาํ งเป็นระบบ ทํางานอยํางมีแผน ใชเ๎ วลาวํางใหเ๎ ปน็ ประโยชน์ 7. ผู๎เรียนเกดิ ความคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ และสามารถนําความรู๎ ความคิด หรือแนวทางที่ได๎ ไปใชใ๎ นการแก๎ปญั หาในชวี ติ หรอื ในสถานการณ์อ่นื ๆ ได๎ 5.10 การสอนแบบสาธิต วิธีสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration Method) หากวําการจัดการเรียนการสอนที่ผ๎ูสอนเสนอแบบอยํางให๎ผ๎ูเรียนได๎เห็นแล๎วจะทําให๎ ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ได๎ดีกวําการสอนแบบธรรมดาได๎นั้น การสอนโดยใช๎วิธีการสาธิต ก็นับวําเป็นวิธีการ สอนทผ่ี ส๎ู อนสามารถนาํ ไปเป็นวิธกี ารสอนใหก๎ บั ผ๎เู รียนไดเ๎ ชนํ กัน เพราะการสาธิตเป็นการแสดงแบบหนึ่งที่ ผู๎เรียนได๎เห็นและเข๎าใจจากเรื่องราวท่ีเป็นจริง ได๎สังเกตจากตัวอยํางท่ีผู๎เรียนได๎นําเสนอ ทําให๎ผู๎เรียน เขา๎ ใจบทเรยี นมากยง่ิ ขนึ้ ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 228) ได๎กลําวถึงธรรมชาติของการสอนแบบนี้วํายังเป็นการ สอนทีเ่ นน๎ ผสู๎ อนเปน็ ศนู ย์กลาง ผู๎เรยี นมสี วํ นรวํ มในการเรยี นนอ๎ ยเพราะเพยี งสงั เกตสิ่งที่ครูแสดงขึ้นเทํานั้น แตํการสอนแบบน้ีมีประโยชน์มากสําหรับการนําประสบการณ์ท่ีซับซ๎อนอธิบายได๎ยากมาแสดงให๎เห็นเป็น รูปธรรมโดยผู๎มีประสบการณ์ ชํวยให๎เกิดความคิดรวบยอดในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง อยํางไรก็ตามความสําเร็จ ของการสอนวิธีนี้อยูํท่ีความสามารถในการสาธิตของผ๎ูสาธิตด๎วย ดังน้ันอาจจะกลําวได๎วําการสอนแบบ สาธติ สามารถนาํ ไปใช๎รวํ มกบั การสอนวธิ ีอ่นื ๆ ไดห๎ ลายวธิ ีในทกุ ๆ สํวนของกิจกรรมการเรียนการสอน 230
ในหัวข๎อน้ีกลําวถึง ความหมายของการสอนโดยใช๎การสาธิต จุดมุํงหมาย องค์ประกอบ ข้ันตอนการสอน เทคนิคและขอ๎ เสนอแนะการสอน และข๎อดแี ละขอ๎ จาํ กดั ของการสอน พร๎อมด๎วยการสรุป บทเรียนท๎ายบท และกจิ กรรมคาํ ถามท๎ายบทดว๎ ย สาํ หรับความหมายของวิธีสอนโดยใช๎การสาธิต ได๎มีนักวิชาการหลายทํานให๎ความหมาย ไวด๎ ังน้ี ทศิ นา แขมมณี (2550 : 330) กลาํ ววํา วธิ ีสอนโดยใช๎การสาธติ คอื กระบวนการที่ผ๎ูสอน ใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ที่กําหนด โดยการแสดงหรือทําสิ่งที่ต๎องการให๎ ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ู ให๎ผ๎ูเรียนสังเกตดูแล๎วให๎ผ๎ูเรียนซักถาม อภิปราย และสรุปการเรียนรู๎ท่ีได๎จากการสังเกต การสาธิต สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 78) กลําววํา การสอนแบบสาธิต คือ การแสดงหรือกระทําพร๎อม ๆ กับการบอกหรืออธิบายเพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรมซึ่ง จะทําใหส๎ ามารถเข๎าใจมโนมติและหลักการไดด๎ ีขน้ึ อนิ ทริ า บุณยาทร (2542 : 87) ได๎อธิบายวํา การสาธิต คือ วิธีสอนท่ีผ๎ูสอนหรือวิทยากร แสดงหรอื กระทําใหด๎ เู ป็นตวั อยาํ งพรอ๎ ม ๆ กับการบอก อธิบายเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎รับประสบการณ์ตรงในเชิง รูปธรรม ผ๎ูเรยี นจะเกิดการเรยี นร๎จู ากการสงั เกตกระบวนการ ขัน้ ตอนสาธติ นน้ั ๆ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 142) ได๎กลําววํา วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง วิธีการสอนท่ี ผู๎สอนหรอื บุคคลใดบุคคลหน่ึง (อาจเป็นวิทยากรท่ีผ๎ูสอนเชิญมา) แสดงหรือกระทําให๎ดูเป็นตัวอยํางพร๎อม ๆ กับการบอก อธิบาย เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรม ผู๎เรียนจะเกิดการเรียนร๎ูจากการ สังเกตกระบวนการขน้ั ตอนการสาธติ นั้น ๆ ไสว ฟักขาว (2544 : 98) อธิบายการสาธิตเป็นการแสดงให๎ดู ซึ่งอาจเป็นการแสดงให๎ เหน็ ถึงข้นั ตอน วิธีการ ผลที่จะเกิดข้ึนหรือทําทางตําง ๆ โดยอาจทําในรูปของการสาธิตทดลอง หรือสาธิต ปฏิบัติ วิธีสอนแบบสาธิต อาจนําไปใช๎รํวมกับวิธีสอนแบบอ่ืนได๎ เชํน สาธิตประกอบการบรรยาย สาธิตประกอบการอธิปราย เปน็ ตน๎ การสอนด๎วยวิธีการสาธิต เป็นท่ีนิยมใช๎กันอยํางแพรํหลายในหมูํผู๎สอน ไมํวําจะเป็นการ สอนนักเรียนในระดับใด โดยเฉพาะเมื่อผู๎สอนพบวําการอธิบายบทเรียนเพียงอยํางเดียวมีข๎อจํากัด กลาํ วคอื ผู๎เรียนเกิดความไมเํ ข๎าใจอยํางถอํ งแท๎ในเนื้อหาวิชาน้ัน ๆ ไมํเกิดมโนมติหรือสามารถสรุปเน้ือหาท่ี เรียนไปแล๎วได๎ หลังจากที่ผ๎ูสอนสอนเนื้อหาดังกลําวจบแล๎ว (สิริวรรณ ศรีพหล และพันทิพา อุทัยสุข, 2540 : 79) สรุปได๎วํา การสอนโดยวิธีการสาธิต หมายถึง กระบวนการท่ีผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ ผ๎ูเรียนได๎เกิดการเรียนรู๎ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว๎ โดยการแสดงหรือการกระทําให๎ดูเป็นตัวอยําง 231
พร๎อมๆ กบั การบอก อธิบาย เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรงจากการสังเกต แล๎วให๎ผู๎เรียนได๎ซักถาม อภิปรายและสรปุ การเรียนรูท๎ ไี่ ดจ๎ ากการสังเกตดงั กลําว จุดมุ่งหมายของวธิ สี อนโดยใชก้ ารสาธิต นักวิชาการหลายทํานไดก๎ ลาํ วถงึ จดุ มํงุ หมายของการสอนโดยใช๎การสาธิตไว๎ดังน้ี อินทริ า บุณยาทร (2542 : 88) อธิบายจุดมํงุ หมายของการสอนโดยการสาธติ ดังนี้ 1. เพื่อกระตน๎ุ ความสนใจใหผ๎ ูเ๎ รียนมีความสนใจในบทเรียนยิง่ ขึน้ 2. เพื่อชํวยอธิบายเนื้อหาวิชาท่ียาก ซึ่งต๎องใช๎เวลามาก ให๎เข๎าใจงํายข้ึนและ ประหยดั เวลา 3. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติตําง ๆ ซ่ึงจะชํวยให๎ผู๎เรียนเข๎าใจและ สามารถปฏบิ ัตติ ามได๎ ไสว ฟกั ขาว (2544 : 98) ได๎อธิบายวาํ จุดมํงุ หมายของวธิ ีการสอนแบบสาธิต มดี ังนี้ 1.เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎เห็นถึงขั้นตอนการปฏิบัติในกิจกรรมบางอยํางที่มีความ ซบั ซอ๎ นและตอ๎ งอาศยั ทักษะสูง 2. เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เห็นผลการทดลองท่ีผ๎ูเรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อัน เนอ่ื งจากเครือ่ งมือ อปุ กรณไ์ มพํ อทจี่ ะให๎ผู๎เรยี นทดลองทุกคนหรอื เปน็ การทดลองที่มีอันตราย ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) ได๎กลาํ ววํา วิธสี อนโดยใชก๎ ารสาธิตเปน็ วิธีการที่มํุงชํวยให๎ ผ๎ูเรียนทั้งชั้นได๎เห็นการปฏิบัติจริงด๎วยตาตนเอง ทําให๎เกิดความร๎ูความเข๎าใจในเรื่องหรือการปฏิบัตินั้น ชดั เจนขึ้น สรปุ ไดว๎ าํ จุดมุํงหมายของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ มีดงั นี้ 1. เพ่อื กระต๎ุนความสนใจในการเรยี นของนักเรียน 2. เพอ่ื มํุงชํวยใหผ๎ ู๎เรยี นท้งั ช้ันไดเ๎ ห็นการปฏิบัติจริงด๎วยตาตนเอง ทําให๎เกิดความร๎ูความ เข๎าใจในเรอื่ งหรือการปฏบิ ตั นิ นั้ ชดั เจนข้ึน 3. เพื่อชํวยอธิบายเน้ือหาวชิ าที่ยาก ซงึ่ ต๎องใชเ๎ วลามาก ใหเ๎ ขา๎ ใจงาํ ยขน้ึ และประหยดั เวลา 4. เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เห็นผลการทดลองท่ีผ๎ูเรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อันเน่ืองจาก เครอ่ื งมือ อุปกรณ์ไมํพอทจี่ ะให๎ผ๎เู รยี นทดลองทกุ คนหรอื เปน็ การทดลองท่มี ีอันตราย องคป์ ระกอบสาคัญของวิธกี ารสอนโดยใช้การสาธติ ในการสอนโดยใช๎การสาธิตนั้นมีองค์ประกอบที่สําคัญ 4 ประการ ดังท่ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําวไวด๎ งั น้ี 232
1. มีผู๎สอนและผ๎ูเรียน 2. มีเร่ืองหรือสิ่งทจี่ ะสาธิต 3. มีการแสดง/การทํา/ใหผ๎ ๎ูเรียนสงั เกตดู 4.มีผลการเรยี นรข๎ู องผเ๎ู รยี นที่เกิดจากการสาธติ องค์ประกอบแรกน้ันคือ ผู๎สอนและผ๎ูเรียน ผู๎สอนต๎องเตรียมส่ิงท่ีจะสาธิตให๎พร๎อมโดย คาํ นึงถงึ การรบั รโ๎ู ดยการมองเห็นของผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ รวมท้ังต๎องคํานึงถึงความปลอดภัยด๎วย โดยเฉพาะ ในการสาธิตเกี่ยวกับวัตถุอันตราย สํวนผ๎ูเรียนก็ต๎องมีทักษะในการสังเกต คิดวิเคราะห์ตามการสาธิตน้ัน เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจและเรียนร๎ูได๎ชัดเจนขึ้น สํวนองค์ประกอบที่สองคือ เร่ืองหรือส่ิงที่จะสาธิต ผ๎ูส อน อาจเชิญบุคคลภายนอกหรือผู๎ท่ีมีความเช่ียวชาญหรือให๎นักเรียนในชั้นเรียนเข๎ารํวมในการสาธิตด๎วยก็ได๎ ตามความเหมาะสม สําหรับองค์ประกอบท่ีสาม มีการแสดงหรือลงมือปฏิบัติให๎นักเรียนดูน้ัน ครูหรือ วิทยากรต๎องอธิบายประกอบไปตามข้ันตอนโดยไมํรีบเรํงจนเกินไป และสุดท๎ายองค์ประกอบท่ีสี่ ซึ่งเป็น องค์ประกอบทส่ี าํ คัญทส่ี ุดคอื ผลการเรียนรู๎ของผ๎ูเรยี นที่เกิดจากการสาธติ ข้นั ตอนของการสอนโดยใชก้ ารสาธติ ขน้ั ตอนของการสอนโดยใช๎การสาธติ นั้น นกั วิชาการกําหนดไว๎โดยมีรายละเอียดแตกตําง กันดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550: 330) ได๎เสนอข้ันตอนของการสอนไวด๎ ังน้ี 1. ผส๎ู อนแสดงการสาธติ ผ๎เู รยี นสังเกตการสาธิต 2. ผ๎สู อนและผ๎ูเรยี นอภปิ รายและสรุปการเรียนร๎ทู ไี่ ดจ๎ ากการสาธติ 3. ผสู๎ อนประเมนิ ผลการเรียนร๎ขู องผูเ๎ รียน ปรชี า คมั ภรี ปกรณ์ (2538 : 246) ไดเ๎ สนอขั้นตอนการสอนโดยใช๎การสาธติ ไว๎ ดงั นี้ 1. ข้นั เตรยี มการสอน 2. ขน้ั การสาธติ 3. ข้นั สรปุ และประเมินผล สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) ได๎เสนอแนะรายละเอียดของแตํละ ขั้นตอนออกมาเป็นแผนผังทีน่ าํ สนใจ ดังนี้ 1. ข้นั เตรยี มการสอน - เตรียมบทเรยี น - เตรียมอุปกรณ์ - เตรยี มกจิ กรรมการเรียนการสอน - เตรยี มผ๎ูฟงั 2. ข้ันการสาธิต 233
- บอกวัตถปุ ระสงค์ของการสาธิต - ทําการสาธิตตามข้ันตอน 3. ขนั้ สรุปและการประเมินผล - สรุปเนอื้ หา - ถามคาํ ถามเพอื่ สอบถามความเข๎าใจผ๎เู รยี น - เปดิ โอกาสให๎ผเ๎ู รียนซักถามถา๎ สงสยั จากทกี่ ลาํ วมา สรปุ ไดว๎ าํ ข้นั ตอนการสอนโดยใช๎การสาธติ อาจแบํงได๎เป็น 3 ขนั้ ตอน คอื ข้นั เตรียมการสอน ขน้ั การสาธติ ขั้นอภิปราย สรปุ และประเมนิ ผล โดยมรี ายละเอียดดงั ตอํ ไปน้ี 1.ข้นั เตรยี มการสอนโดยใช๎การสาธิต ข้ันเตรยี มการสอนโดยใช๎การสาธติ น้นั มลี ักษณะเฉพาะท่ีครผู ๎ูสอนต๎องเตรียมสิ่งท่ีจะสาธิต ให๎พรอ๎ มโดยคาํ นงึ ถึงวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรียนเปน็ สาํ คญั ซง่ึ นกั วิชาการได๎ใหค๎ ําแนะนาํ ไว๎ดังน้ี สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) ได๎เสนอแนะการเตรียมการสอน ได๎อยํางนําสนใจวํา ต๎องเรียบเรียงและลําดับขั้นตอนของการสาธิตให๎เหมาะสม โดยพิจารณาวําสิ่งใดท่ี จะต๎องแสดงกํอน ส่ิงใดจะต๎องแสดงหลัง และให๎สอดคล๎องกับเน้ือหาและวัตถุประสงค์ด๎วย ตอนใดควร เน๎นหรือแสดงให๎ดูอีกคร้ังเพื่อให๎การเรียนการสอนกระจํางชัดข้ึน นอกจากน้ันควรพิจารณาเร่ือง ระยะเวลาและอาจลองสาธิตดูกํอนเพื่อกะระยะเวลาให๎ตามกําหนด นอกจากนี้ ต๎องเตรียมอุปกรณ์ (ถ๎ามี) ให๎พร๎อม สิ่งใดขาดหายไปต๎องหาให๎ครบ รวมท้ังตรวจดูความปลอดภัยของอุปกรณ์น้ันๆ ด๎วยและเม่ือ เตรยี มกจิ กรรมการเรียนการสอนพร๎อมแล๎ว ผ๎ูสอนควรลองปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ กํอนเพื่อหาข๎อบกพรํอง จะไดแ๎ กไ๎ ขกํอนนาํ ไปสอนจรงิ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 47) ได๎เสนอข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิต ไว๎ ดังน้ี 1. กาํ หนดจุดมุํงหมายของการสาธิตใหช๎ ดั เจน และตอ๎ งสาธิตให๎เหมาะสมกบั เนื้อเร่อื ง 2. เตรยี มอปุ กรณ์ในการสาธติ ให๎พรอ๎ ม และตรวจสอบความสมบูรณข์ องอุปกรณ์ 3. เตรียมกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและข้ันตอน จะเริ่มต๎นดําเนินการและจบ ลงอยํางไร ผ๎สู าธิตต๎องเข๎าใจในขั้นตอนตาํ ง ๆ เหลาํ น้ีอยาํ งละเอยี ดแจมํ แจ๎ง 4. ทดลองสาธิตกํอนสอน ควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร๎อมตลอดจนผลที่จะ เกิดขนึ้ เพื่อปอู งกนั ขอ๎ ผิดพลาดในเวลาสอน 5. ต๎องจัดทําคูํมือคําแนะนําหรือข๎อสังเกตในการสาธิต เพื่อที่นักเรียนจะใช๎ประกอบใน ขณะทม่ี กี ารสาธติ 234
ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 221) ได๎อธิบายถึงขั้นตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎วิธีการ สาธิตมี อยํางสรปุ ไว๎ดงั นี้ 1. เตรยี มจุดประสงค์การเรยี นร๎ู 2. ลําดบั เนือ้ หา 3. กําหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 4. กาํ หนดสอื่ และอุปกรณก์ ารเรียน 5. กาํ หนดเวลาและสภาพห๎องเรยี น 6. ซกั ซ๎อมการสาธติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําวถึงการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิตไว๎วํา การ เตรียมการ ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องมีการเตรียมการพอสมควร เพ่ือให๎การเรียนร๎ูเป็นไปอยํางสะดวกและราบร่ืน การเตรียมตัวทส่ี ําคัญคือ ผสู๎ อนควรมกี ารซ๎อมการสาธิตกํอนเพื่อจะได๎เห็นปัญหาและเตรียมแก๎ไข/ปูองกัน ปัญหาท่ีจะเกิดข้ึน ตํอไปจึงจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ และจัดวางไว๎อยํางเหมาะสมสะดวกแกํการ ใช๎ นอกจากน้ันควรจัดเตรียมแบบสังเกตการณ์สาธิต และเตรียมคําถามหรือประเด็นที่จะให๎ผู๎เรียนได๎รํวม คดิ และอภิปรายด๎วย สรุปได๎วํา ข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิต ผ๎ูสอนควรได๎ดําเนินการตาม ขั้นตอน ดังนี้ 1. กําหนดจุดมุงํ หมายของการสาธติ ใหช๎ ดั เจน และต๎องสาธิตให๎เหมาะสมกับเนือ้ เร่ือง 2. เตรยี มอปุ กรณใ์ นการสาธติ ให๎พรอ๎ ม และตรวจสอบความสมบูรณข์ องอปุ กรณ์ 3. เตรียมกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและขั้นตอน จะเร่ิมต๎นดําเนินการและจบ ลงอยํางไร ผู๎สาธิตต๎องเขา๎ ใจในขัน้ ตอนตําง ๆ เหลํานอ้ี ยาํ งละเอียดแจํมแจ๎ง 4. ทดลองสาธิตกํอนสอน ควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร๎อมตลอดจนผลที่จะ เกดิ ขึน้ เพ่อื ปอู งกันข๎อผดิ พลาดในเวลาสอน 5. ควรจดั เตรียมแบบสงั เกตการณส์ าธิต และเตรียมคาํ ถามหรือประเด็นท่จี ะให๎ผู๎เรียนได๎ รวํ มคดิ และอภิปรายด๎วย 2. ขั้นการสาธติ ขั้นสาธิตเปน็ ขั้นที่ผ๎ูสอนได๎สาธิต ได๎แสดงให๎ผู๎เรียนได๎เห็นการปฏิบัติ ซ่ึงมีส่ิงคํานึงถึงอยูํ หลายประการ ดังทีน่ ักวิชาการไดแ๎ นะนาํ ไว๎ ดงั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําววํา กํอนการสาธิต ผ๎ูสอนควรให๎ความรู๎เก่ียวกับ เรื่องที่สาธิตแกํผ๎ูเรียนอยํางเพียงพอที่จะทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดความเข๎าใจส่ิงที่สาธิตได๎ดี โดยอาจใช๎วิธีบรรยาย หรือเตรียมเอกสารท่ีให๎รายละเอียดเกี่ยวกับลําดับขั้นตอนให๎ผ๎ูเรียน หรือใช๎สื่อ เชํน วีดีทัศน์ หรือผ๎ูสอน 235
อาจมอบหมายใหผ๎ ูเ๎ รยี นไปศึกษาเนื้อหาสาระที่จะสาธิตมาลํวงหนา๎ นอกจากน้นั ควรใหค๎ ําแนะนําแกํผู๎เรียน ในการสังเกต หรือจัดทําแบบสังเกตการณ์สาธิตให๎ผ๎ูเรียนใช๎ในการสังเกตและผ๎ูสอนอาจใช๎เทคนิคการ มอบหมายให๎ผู๎เรียนรายบุคคลสังเกตเป็นพิเศษเฉพาะจุดเฉพาะประเด็น เพ่ือชํวยให๎ผ๎ูเรียนต้ังใจสังเกต และมสี ํวนรํวมอยํางทว่ั ถึง ผูส๎ อนอาจใช๎วธิ กี ารบรรยายประกอบการสาธิต การสาธติ ควรเป็นไปอยํางมลี ําดับขั้นตอน ใช๎เวลาอยํางเหมาะสม ไมํเร็วเกินไป ขณะสาธิตอาจใช๎แผนภูมิการดานดําหรือแผํนใสประกอบ และควร เปิดโอกาสให๎ผ๎เู รยี นซกั ถาม หรือซักถามผู๎เรยี นเปน็ ระยะ ๆ เพ่ือกระตุ๎นความคดิ และความสนใจของผ๎ูเรียน และในบางกรณีอาจให๎ผู๎เรียนบางคนมาชํวยในการสาธิตด๎วย เทคนิคการสาธิตอีกเทคนิคหน่ึงคือ การใช๎ การสาธติ เงยี บแทนการบรรยายประกอบการสาธติ และอาจมีการสาธิตซ้ําหากผู๎เรียนยังไมํเกิดความเข๎าใจ ชดั เจน นอกจากนน้ั ผู๎สอนอาจให๎ผเ๎ู รียนเปน็ ฝาุ ยแสดงการสาธิตด๎วยก็ได๎ ในกรณีท่ีการสาธิตมีสิ่งท่ีอาจเป็น อนั ตรายได๎ ผ๎ูสอนจะตอ๎ งสอนให๎ผ๎ูเรยี นรู๎และระมดั ระวงั ในเร่ืองความปลอดภัย และควรเตรียมการปูองกัน และแกไ๎ ขปญั หาไวด๎ ๎วย สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) แนะนําวํา ผู๎สอนต๎องบอก วัตถุประสงค์ของการสาธิตให๎แกํผ๎ูเรียน เพ่ือผู๎เรียนจะได๎เข๎าใจวําการเรียนการสอนนั้น ตนจะได๎อะไรจาก บทเรียนกํอนกไ็ ด๎ เพือ่ ชวํ ยให๎ความเขา๎ ใจกระจาํ งชดั ยิ่งข้นึ ข้นั ตํอไป ผ๎ูสอนควรบอกกิจกรรมการเรียนให๎แกํผู๎เรียนด๎วย กลําวคือ ระหวํางการสาธิต จะใหผ๎ ู๎เรียนทําอะไร เชํน การจดบันทกึ การสงั เกตกระบวนการ เป็นต๎น ผู๎สอนควรบอกกิจกรรมให๎ชัดเจน อาจเขยี นเปน็ คาํ สัง่ บนกระดานกไ็ ด๎ ผู๎สอนทาํ การสาธิตไปตามลําดับข้ัน ส่ิงใดควรเน๎น ควรอธิบายเพิ่มเติมก็ควรทํา และต๎อง มน่ั ใจวาํ ผูเ๎ รียนในชั้นจะได๎เห็นการสาธิตอยํางท่ัวถึง ถ๎านักเรียนสงสัยหรือมองไมํเห็นอาจแสดงให๎ดูอีกครั้ง ถ๎าไมเํ สยี เวลาจนเกินไปนกั สรุปวํา ในขัน้ ตอนการสาธิต ผ๎ูสอนควรเริ่มด๎วยการให๎ความร๎ูเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะสาธิต ซึ่ง สามารถทําได๎โดย การบรรยายใช๎เอกสารประกอบ หรือใช๎ส่ือ วีดีทัศน์ เป็นต๎น จากน้ันจึงให๎คําแนะนําแกํ ผเ๎ู รียนถงึ วิธีการในการสังเกต และการบันทกึ โดยมีแบบสังเกตการณส์ าธติ ประกอบ แล๎วจึงเร่ิมการสาธิต ในขณะทกี่ าํ ลังสาธิตผส๎ู อนอาจใช๎การบรรยายประกอบการสาธิต และเปิดโอกาสให๎ผูเ๎ รยี นซักถามข๎อสงสัย หรือซักถามผู๎เรียนเป็นระยะๆ เพื่อกระต๎ุนความคิดและความสนใจของผ๎ูเรียน อยํางไรก็ตามการสาธิต เงยี บในบางครงั้ กอ็ าจทําให๎นักเรยี นมีใจจดจํออยูํกบั การสาธติ น้ันๆ ได๎ 3. ขั้นอภปิ ราย สรปุ และประเมินผล สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) กลําววํา เม่ือการสาธิตส้ินสุดลง ผ๎สู อนควรสรปุ ความสําคัญของสิ่งท่ีสาธิตไปนั้น อาจใช๎การอธิบายส้ัน ๆ ประกอบ หรืออาจให๎ผู๎เรียนเป็นผู๎ สรปุ เอง เพือ่ ประเมนิ วาํ ผ๎ูเรยี นมีความเข๎าใจในบทเรยี นนนั้ ๆ มากนอ๎ ยเพยี งใด 236
ผ๎ูสอนอาจใช๎วิธีการสรุปโดยการถามปัญหาหรือคําถามกับผู๎เรียน เกี่ยวกับสาระสําคัญ ของการสาธิต เพ่ือประเมินดูวาํ ผเ๎ู รยี นเข๎าใจการสาธิตนัน้ ๆ อยาํ งไร หรือในบางคร้ัง ผ๎ูเรียนอาจยังไมํเข๎าใจหรือเข๎าใจคลุมเครือในสิ่งท่ีตนได๎ดูไปในการสาธิต ผส๎ู อนกค็ วรเปดิ โอกาสให๎ผเู๎ รยี นซกั ถามหรอื แสดงความคดิ เห็นภายหลังการสาธิตส้ินสุดลงแล๎ว ทั้งนี้เพื่อให๎ ผ๎เู รยี นเข๎าใจบทเรียนน้นั ๆ ไดด๎ ียง่ิ ข้ึน นอกจากน้ัน ผ๎ูสอนอาจใช๎วิธีการสรุปและประเมินผลผ๎ูเรียนในวิธีตําง ๆ กัน เชํน ให๎ ผเู๎ รียนบางคนออกมาสาธิตสงิ่ ท่ไี ด๎ดูไปแล๎ว เพื่อทดสอบความสามารถและความเข๎าใจ หรืออาจให๎ไปเขียน รายงานเกย่ี วกับกระบวนการและสง่ิ ท่ไี ด๎รับจากการสาธิตนั้น ๆ กไ็ ด๎ เป็นการประเมนิ ผลผเ๎ู รยี นวําได๎เรียนรู๎ อะไรบา๎ งเก่ยี วกบั บทเรยี นนน้ั ๆ สรปุ ได๎วาํ หลงั จากการสาธิตแลว๎ ผ๎ูสอนควรให๎ผ๎เู รียนรายงานส่งิ ทีส่ ังเกตเห็นพร๎อมท้ังเปิด โอกาสให๎ผ๎ูเรียนได๎ซักถาม อภิปรายแลกเปลี่ยนความร๎ูความคิดท่ีแตํละคนได๎รับ และนักเรียนสรุปการ เรียนร๎ูท่ีได๎รับ โดยมีครูผู๎สอนให๎คําแนะนําในการสรุป สํวนการประเมินผลการเรียนร๎ูอาจทําได๎โดยใช๎ คาํ ถาม และใหน๎ ักเรยี นบางคนออกมาสาธติ ส่งิ ท่ดี ูไปแล๎ว หรือการเขียนรายงานเกี่ยวกับกระบวนการหรือ สง่ิ ทไี่ ด๎รบั จากการสาธิตนั้นๆ จดุ เดน่ ของการสอนโดยใช้การสาธติ นกั วชิ าการหลายทาํ นกลําวถึงจุดเดนํ ของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ ไว๎อยํางนาํ สนใจ ดังน้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 331-332) ได๎เสนอแนะถึงข๎อดีของการสอนแบบสาธติ คอื 1.เปน็ วิธีการสอนทีช่ ํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นไดร๎ บั ประสบการณต์ รงเหน็ สิ่งท่เี รยี นร๎อู ยํางเป็นรูปธรรม ทําใหเ๎ กิดความเข๎าใจและจะจําในเรอ่ื งทส่ี าธิตได๎ดีและนาน 2. เปน็ วิธีการสอนท่ชี วํ ยประหยัดเวลา อปุ กรณ์และคาํ ใชจ๎ าํ ย หากใชท๎ ดแทนการทดลอง 3. เป็นวธิ ที ี่สามารถสอนผ๎ูเรียนได๎จํานวนมาก อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 144-145) กลาํ ววํา ข๎อดขี องการสอนโดยใช๎การสาธติ มดี ังน้ี 1. ประหยัดเวลาการลองผิดลองถูกของนักเรียน และประหยัดวัสดุในการสอนเมื่อสาธิต ใหด๎ ูเป็นหมํหู รือทงั้ ชน้ั 2. นักเรียนสามารถเข๎าใจวิธีปฏิบัติได๎ดี เพราะเป็นประสบการณ์ตรง มีตัวอยํางให๎ดูจับ ตอ๎ งได๎ และเหน็ ขั้นตอนในการปฏิบัติอยํางชดั เจน 3. เป็นการกระตุ๎นการเรยี นการสอน เพราะเปดิ โอกาสให๎นักเรียนรวํ มกิจกรรม 4. เปน็ การฝึกนกั เรียนใหร๎ จู๎ ักสังเกต หาเหตผุ ล และสรปุ หลักเกณฑ์ได๎ วไลพร คุโณทยั (2530 : 24) กลําววาํ การสอนแบบสาธติ มขี ๎อดีดังน้ี 1. การสาธติ เป็นการนําเข๎าสํบู ทเรยี นอยํางหนง่ึ ทีท่ าํ ให๎ผ๎ูเรียนเกิดความอยากร๎ูอยากเห็น อยากคน๎ หาคาํ ตอบตํอไปได๎ 237
2. การสาธิตสามารถสร๎างความเข๎าใจในความคิดรวบยอด หลักการทฤษฎีโดยผู๎เรียน สามารถมองเหน็ ไดโ๎ ดยตรง 3. การสาธติ ทําให๎เหน็ จริง ทาํ จริง เขา๎ ใจไดง๎ าํ ย 4. ประหยัดเวลาของผู๎สอนและผ๎ูเรียน เพราะการสาธิตทําให๎ผู๎เรียนเห็นไปพร๎อม ๆ กัน ท้ังห๎อง 5. การสาธิตฝกึ ให๎ผู๎เรียนรจู๎ กั สงั เกต รจ๎ู ักคดิ หาเหตผุ ล และรจ๎ู กั สรปุ หลักเกณฑ์ได๎เอง 6. การสาธิตสามารถแสดงซ้ําตรงจุดใดจุดหน่ึง เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจแจํมแจ๎งในจุดท่ี ตอ๎ งการได๎ 7. ผ๎เู รยี นมสี ํวนรํวมในกจิ กรรมการเรียนการสอน สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎การสาธิตมีจุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนหลาย ประการ ซ่งึ ประมวลสรปุ ประเด็นทน่ี ําสนใจได๎ ดงั นี้ 1. เป็นการสอนท่ีเพ่ิมความเข๎าใจของผ๎ูเรียน เนื่องจากได๎เห็นกิจกรรมการสาธิต ตามลําดบั ข้นั ตอนและผเู๎ รียนจะจาํ เรื่องที่สาธิตได๎ดแี ละนาน 2. เปน็ วธิ ีการสอนทีช่ วํ ยประหยดั เวลา อุปกรณแ์ ละคําใชจ๎ ําย หากใชท๎ ดแทนการทดลอง 3. เป็นวิธที สี่ ามารถสอนผูเ๎ รียนได๎จาํ นวนมาก 4. สามารถใชผ๎ สมผสานกับวธิ สี อนแบบตาํ งๆ ได๎ เชํน วิธสี อนโดยใช๎การบรรยายหรือการ ทดลอง เปน็ ต๎น 5. เปน็ การสอนท่ีเรา๎ ใจผ๎เู รียน 6. การสาธิตสามารถแสดงซ้ําตรงจุดใดจุดหน่ึง เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจแจํมแจ๎งในจุดที่ ต๎องการได๎ 7. ผ๎เู รยี นสามารถมีสวํ นรํวมในกจิ กรรมได๎ 8. เป็นการฝึกนกั เรยี นให๎ร๎จู กั สงั เกต หาเหตผุ ล และสรปุ หลกั เกณฑไ์ ด๎ ขอ้ จากัดของวธิ ีสอนโดยใช้การสาธติ การสอนโดยใช๎การสาธิตเป็นการสอนที่เหมาะกับเรื่องท่ีต๎องการให๎ผู๎เรียนได๎สังเกต ฝึกคดิ วเิ คราะห์หาเหตุผล ซ่ึงทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ท่ีดี อยํางไรก็ตามก็ยังมีข๎อจํากัดบางประการที่ ครูผูส๎ อนควรคํานงึ ถึงกํอนนําวิธีการสอนน้ีไปใช๎ ดังที่ ทิศนา แขมมณี (2550 : 331-332) ได๎เสนอแนะถึง ขอ๎ จํากดั ของการสอนโดยใช๎สาธิต ดงั นี้ 1. หากกลุมํ ใหญํผ๎ูเรยี นอาจสงั เกตเห็นการสาธติ ไมํชดั เจน และท่ัวถงึ 2. เปน็ วิธีทผ่ี ส๎ู อนเป็นผูส๎ าธติ จงึ อาจไมํเหน็ พฤตกิ รรมของผ๎ูเรยี น 238
3. เปน็ วธิ ีท่ีผูเ๎ รยี นอาจมีสํวนรวํ มไมํทว่ั ถึง และมากพอ 4. เป็นวธิ ีท่ผี เ๎ู รยี นไมไํ ดล๎ งมอื ทําเอง จึงอาจไมเํ กิดความร๎ูทล่ี กึ ซงึ้ เพยี งพอ จากทก่ี ลําวมาจะเหน็ ได๎วาํ ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การสาธิตท่ีควรคํานึง ได๎แกํ หาก เป็นการสอนกลํุมใหญํ ผ๎ูเรียนอาจสังเกตเห็นการสาธิตไมํได๎ชัดเจนท่ัวถึง และในขณะท่ีผ๎ูสอนกําลังสาธิต อาจไมเํ ห็นพฤติกรรมของผเ๎ู รยี น หากผู๎เรยี นมีสวํ นรวํ มไมํท่วั ถึงและมากพอ นอกจากนี้ การสอนโดยใช๎การ สาธติ นี้เป็นวิธที ่ีผเู๎ รยี นไมํไดล๎ งมอื ทําเอง จงึ อาจไมํเกิดความรู๎ท่ลี กึ ซ้ึงเพียงพอ กลําวโดยสรุปการสอนโดยวิธีการสาธิต หมายถึง กระบวนการที่ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ ผู๎เรียนได๎เกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว๎ โดยการแสดงหรือการกระทําให๎ดูเป็นตัวอยําง พรอ๎ มๆ กบั การบอก อธิบาย เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรงจากการสังเกต แล๎วให๎ผู๎เรียนได๎ซักถาม อภิปรายและสรุปการเรียนรทู๎ ไ่ี ด๎จากการสังเกตดังกลาํ ว ในการสอนโดยใช๎การสาธิตมีจุดมุํงหมาย เพื่อกระต๎ุนความสนใจของนักเรียน และมํุง ชวํ ยให๎ผเู๎ รียนท้ังช้ันไดเ๎ ห็นการปฏิบตั จิ รงิ ด๎วยตาตนเอง ทาํ ให๎เกิดความรู๎ความเข๎าใจในเร่ืองหรือการปฏิบัติ นั้นชัดเจนข้ึน นอกจากนี้การสาธิตยงั ชวํ ยอธบิ ายเนื้อหาวิชาท่ียาก ซ่ึงต๎องใช๎เวลามาก ให๎เข๎าใจงํายขึ้นและ ประหยัดเวลา รวมท้ังเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เห็นผลการทดลองที่ผู๎เรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อันเน่ืองจาก เครอื่ งมอื อุปกรณไ์ มํพอท่จี ะใหผ๎ เู๎ รยี นทดลองทุกคนหรือเป็นการทดลองท่มี ีอันตราย ข้ันตอนการสอนโดยใช๎การสาธิตอาจแบํงได๎เป็น 3 ข้ันตอน คือ ข้ันเตรียมการสอน ข้ัน การสาธิต และขั้นสุดท๎ายข้ันอภิปราย สรุปและประเมินผล สําหรับข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎ การสาธิต ผ๎ูสอนควรได๎ดําเนินการตามขั้นตอน ดังน้ี 1) กําหนดจุดมุํงหมายของการสาธิตให๎ชัดเจน และ ต๎องสาธิตให๎เหมาะสมกับเน้ือเรื่อง 2) เตรียมอุปกรณ์ในการสาธิตให๎พร๎อม และตรวจสอบความสมบูรณ์ ของอุปกรณ์ 3) เตรียมกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและข้ันตอน จะเริ่มต๎นดําเนินการและจบลง อยาํ งไร ผู๎สาธิตต๎องเข๎าใจในข้ันตอนตําง ๆ เหลํานี้อยํางละเอียดแจํมแจ๎ง 4) ทดลองสาธิตกํอนสอน ควร ทดลองสาธติ เพ่ือตรวจสอบความพรอ๎ มตลอดจนผลท่ีจะเกิดข้ึน เพ่ือปูองกันข๎อผิดพลาดในเวลาสอน และ 5) ควรจัดเตรียมแบบสังเกตการณ์สาธิต และเตรียมคําถามหรือประเด็นที่จะให๎ผ๎ูเรียนได๎รํวมคิดและ อภปิ รายด๎วย ในขน้ั ตอนการสาธติ ผู๎สอนควรเริม่ ด๎วยการให๎ความร๎ูเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะสาธิต ซ่ึงสามารถ ทําได๎โดย การบรรยายใช๎เอกสารประกอบ หรือใช๎สื่อ วีดีทัศน์ เป็นต๎น จากน้ันจึงให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียน ถึงวิธีการในการสังเกต และการบันทึก โดยมีแบบสังเกตการณ์สาธิตประกอบ แล๎วจึงเร่ิมการสาธิต ในขณะทก่ี าํ ลงั สาธติ ผูส๎ อนอาจใช๎การบรรยายประกอบการสาธติ และเปิดโอกาสใหผ๎ ๎เู รียนซักถามข๎อสงสัย หรือซักถามผู๎เรียนเป็นระยะๆ เพ่ือกระตุ๎นความคิดและความสนใจของผ๎ูเรียน อยํางไรก็ตามการสาธิต เงยี บในบางคร้งั กอ็ าจทําให๎นกั เรียนมใี จจดจอํ อยูํกับการสาธติ นัน้ ๆ ได๎ 239
หลงั จากการสาธิตแลว๎ ผส๎ู อนควรให๎ผเู๎ รยี นรายงานสง่ิ ทสี่ งั เกตเห็นพร๎อมทั้งเปิดโอกาสให๎ ผ๎ูเรยี นไดซ๎ ักถาม อภิปรายแลกเปล่ียนความรค๎ู วามคดิ ท่ีแตํละคนไดร๎ บั และนักเรยี นสรุปการเรียนร๎ูท่ีได๎รับ โดยมีครูผู๎สอนให๎คําแนะนําในการสรุป สํวนการประเมินผลการเรียนร๎ูอาจทําได๎โดยใช๎คําถาม และให๎ นักเรียนบางคนออกมาสาธิตสิ่งท่ีดูไปแล๎ว หรือการเขียนรายงานเก่ียวกับกระบวนการหรือส่ิงที่ได๎รับจาก การสาธิตนั้นๆ การสอนโดยใช๎การสาธิตมจี ุดเดํนทเ่ี ป็นประโยชน์ตอํ การเรียนการสอนหลายประการ ซึ่ง ประมวลสรุปประเด็นที่นําสนใจได๎ ดังนี้ 1) เป็นการสอนท่ีเพิ่มความเข๎าใจของผ๎ูเรียน เน่ืองจากได๎เห็น กิจกรรมการสาธิตตามลําดับขั้นตอนและผู๎เรียนจะจําเรื่องที่สาธิตได๎ดีและนาน 2) เป็นวิธีการสอนที่ชํวย ประหยดั เวลา อุปกรณแ์ ละคําใชจ๎ ําย หากใช๎ทดแทนการทดลอง 3) เป็นวิธีท่ีสามารถสอนผ๎ูเรียนได๎จํานวน มาก 4) สามารถใช๎ผสมผสานกับวิธสี อนแบบตาํ งๆ ได๎ เชนํ วิธีสอนโดยใช๎การบรรยายหรือการทดลอง เป็น ต๎น 5) เป็นการสอนที่เร๎าใจผ๎ูเรียน 6) การสาธิตสามารถแสดงซํ้าตรงจุดใดจุดหน่ึง เพ่ือให๎ผู๎เรียนเข๎าใจ แจํมแจ๎งในจุดที่ต๎องการได๎ 7) ผ๎ูเรียนสามารถมีสํวนรํวมในกิจกรรมได๎ และ 8) เป็นการฝึกนักเรียนให๎ รจู๎ ักสงั เกต หาเหตุผล และสรปุ หลักเกณฑ์ได๎ ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การสาธิตที่ควรคํานึง ได๎แกํ หากเป็นการสอนกลํุมใหญํ ผ๎ูเรียนอาจสังเกตเห็นการสาธิตไมํได๎ชัดเจนทั่วถึง และในขณะที่ผู๎สอนกําลังสาธิตอาจไมํเห็นพฤติกรรม ของผ๎ูเรียน หากผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมไมํท่ัวถึงและมากพอ นอกจากน้ี การสอนโดยใช๎การสาธิตน้ีเป็นวิธีท่ี ผเู๎ รียนไมไํ ด๎ลงมอื ทาํ เอง จงึ อาจไมํเกิดความรท๎ู ีล่ กึ ซ้งึ เพยี งพอ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมาย จุดมํุงหมายและลักษณะสําคัญของ “การสอนโดยใช๎การสาธิต” ตาม ความคดิ เหน็ ของทําน 2. การสอนโดยใช๎การสาธิตจะต๎องมีองค์ประกอบทสี่ ําคัญอะไรบ๎าง 3. ขนั้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ มขี ั้นตอนอะไรบ๎าง จงอธิบาย 4. จงอธบิ ายจุดเดํนและขอ๎ จาํ กดั ของการสอนโดยใช๎การสาธติ มาพอสังเขป 5. ให๎ทาํ นทดลองฝกึ สอนโดยใชก๎ ารสาธติ แล๎วใหเ๎ พื่อนหรือผ๎ูเชย่ี วชาญให๎คําตชิ ม หรืออาจบันทึก วีดีทศั น์ไว๎วิเคราะห์การสอนของตนเองก็ได๎ 240
5.11 การสอนแบบสบื สวนสอบสวน Inquiry Method การจัดการเรยี นรแู๎ บบสบื เสาะหาความร๎ู เป็นวธิ ีการจดั การสอนท่เี น๎นใหผ๎ เ๎ู รียนแสวงหา ความรด๎ู ว๎ ยตนเองมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรโู๎ ดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการ ทางความคิด คน๎ พบความรูห๎ รอื แนวทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด คน๎ พบความรูห๎ รอื แนวทางแก๎ปัญหาไดเ๎ อง และสามารถนํามาใช๎ในชวี ิตประจําวันได๎สวํ นครูเป็นเพยี งผ๎ูอํานวยความสะดวก นักฟิสิกส์ชาวอเมริกา ช่ือ โรเบิร์ต คาร์พลัส (Robert Karplus) เป็นผ๎ูเสนอการสอนโดย สืบเสาะหาความร๎ูในระดับประถมศึกษา เพื่อกระต๎ุนนักเรียนให๎มีความสนใจเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และ ชํวยลดความนําเบื่อหนํายของการเรียนในห๎องเรียน ตํอมาได๎มีกลํุมนักการศึกษานาวิธีการน้ีมาใช๎อยําง แพรํหลาย มกี ารพัฒนาวธิ กี ารและขนั้ ตอนในการเรยี นการสอนแตกตํางกันนักการศึกษาของสหรัฐอเมริกา จากกลมุํ BSCS (Biological Science Curriculum Study) ได๎นาวิธกี ารเรยี นการสอนโดยการสืบเสาะหา ความร๎ูมาใช๎ในการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีววิทยาและได๎เสนอข้ันตอนในการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหา ความร๎ูเป็น 5 ขั้นตอน ในการเรียนการสอนแตํละคร้ังหรือแตํละแนวคิดจะเร่ิมต๎นจากข้ันการนาเข๎าสูํ บทเรยี นและจบลงโดยการประเมนิ ผล ผลทีไ่ ดก๎ ็จะถูกนาํ ไปใช๎เปน็ พื้นฐานในการเรียนการสอนในคร้ังตํอไป (สถาบันสํงเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2542 : 11) การสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู (Inquiry Method) หรือนักการศึกษาบางทํานเรียกวําการสอนแบบสืบสวนสอบสวนหรือการสอนแบบ สืบสวน ซ่ึงเป็นวิธีหนึ่งท่ีเปิดโอกาสให๎นักเรียนฝึกวิธีการเรียนร๎ูอยํางมีอิสระหรือประสบการณ์ตรง มีการ ทดลองและสรุปผลการทดลอง แก๎ปัญหาด๎วยตนเอง นักเรียนเกิดการเรียนร๎ูทั้งเน้ือหาวิชาและ กระบวนการสร๎างแสวงหาความรู๎ ได๎มีผู๎ให๎ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ูหรือการสอน รูปแบบวัฎจักรการเรียนร๎ู 7 ข้ันในลักษณะตําง ๆ เชํน ธีระยุทธ วิเชียรโชติ (2531 : 36) การสอนแบบ สืบเสาะ หมายถึง การสอนที่ครูผู๎สอนมํุงพัฒนาความสามารถในการคิดของนักเรียน โดยสํงเสริมให๎ นักเรียนค๎นพบความรู๎ด๎วยตนเองครูผู๎สอนไมํพยายามออกความคิดให๎นักเรียน แตํจะใช๎คําถามกระต๎ุนให๎ นักเรียนได๎ใช๎ความคิดตลอดเวลาในขณะเดียวกันครูผู๎สอนชํวยให๎นักเรียนได๎ฝึกการใช๎คําถามในการ แสวงหากฎเกณฑ์ของวิชาตําง ๆ ดังกลําวได๎ การสอนแบบน้ียึดเอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูผู๎สอน เป็นผู๎แนะแนวทางความร๎ูในการคิดแก๎ปัญหา ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 123) กลําววํา การสอนแบบสืบ เสาะหาความร๎ูเป็นการสอนท่ีเน๎นกระบวนการแสวงหาความรู๎ที่ชํวยให๎นักเรียนได๎ค๎นพบความจริงตําง ๆ ด๎วยตนเองให๎นักเรียน มีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู๎เน้ือหา พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544 : 56) ให๎ ความหมายวธิ สี อนแบบสบื สอบ หมายถึงการจดั การเรียนการสอนโดยวธิ ใี หน๎ กั เรียนเป็นผ๎คู น๎ ควา๎ หาความรู๎ ด๎วยตนเอง หรอื สรา๎ งความรู๎ดว๎ ยตนเอง โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ครูเป็นผู๎อานวยความสะดวก เพ่อื ให๎นักเรยี นบรรลเุ ปาู หมาย วธิ สี บื สอบความร๎ูจะเน๎นนักเรียนเป็นสําคัญของการเรียน ชาตรี เกิดธรรม (2545 : 76) กลาํ ววาํ วธิ ีสอนแบบสืบสวนสอบสวน เป็นวิธีสอนที่ฝึกให๎นักเรียนร๎ูจักค๎นคว๎าหาความร๎ู โดย ใช๎กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล จะค๎นพบความร๎ูหรือแนวทางแก๎ปัญหาที่ถูกต๎องด๎วยตนเอง โดย 241
ครูผู๎สอนต้ังคําถามประเภทกระตุ๎นให๎นักเรียนใช๎ความคิดหาวิธีการแก๎ปัญหาได๎เองและสามารถนาการ แก๎ปัญหามาใช๎ในชีวิตประจําวันได๎ ประสาท เนืองเฉลิม (2550 : 26) ได๎ให๎ความหมายการสอนแบบสืบ เสาะหาความร๎ู 7 ข้ันวําเป็นการสอนท่ีเน๎นการถํายโอนการเรียนรู๎และให๎ความสําคัญเก่ียวกับการ ตรวจสอบความร๎ูเดิมของนักเรียน ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีครูผ๎ูสอนละเลยไมํได๎และการตรวจสอบความรู๎พ้ืนฐานเดิม ของนักเรยี นจะทาให๎ครูผู๎สอนคน๎ พบวาํ นักเรยี นตอ๎ งเรยี นร๎ูอะไรกํอน กํอนที่จะเรียนรู๎ในเนื้อหาบทเรียนน้ัน ๆซง่ึ จะชวํ ยใหน๎ กั เรยี นเกิดการเรียนร๎ูอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 141) ได๎ให๎ความหมาย การสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขั้นวํา เป็นการดาเนินการเรียนการสอน โดยครูผู๎สอนกระตุ๎นให๎ นักเรียนเกิดคําถาม เกิดความคิดและลงมือแสวงหาความรู๎ เพ่ือนามาประมวลหาคาตอบหรือข๎อสรุปด๎วย ตนเอง โดยท่ีครูผู๎สอนชํวยอานวยความสะดวกในการเรียนร๎ูในด๎านตําง ๆ ให๎แกํนักเรียน เชํน ในด๎านการ สืบค๎นหาแหลํงความรู๎ การศึกษาข๎อมูลการวิเคราะห์ การสรุปข๎อมูล การอภิปรายโต๎แย๎งทางวิชาการและ การทํางานรํวมกับผู๎อ่ืนจากความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรเู๎ ป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีเน๎นให๎นักเรียนแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเองมีประสบการณ์ ตรงในการเรียนรู๎โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความร๎ูหรือ แนวทางแก๎ปัญหาได๎เองและสามารถนามาใช๎ในชีวิตประจําวันได๎ สํวนครูผู๎สอนเป็นเพียงผู๎อานวยความ สะดวกสรุปได๎วํา การสืบเสาะ (Inquiry) หมายถึง กระบวนการค๎นหาคาตอบจากปัญหาโดยผําน กระบวนการทา (Process of Doing) และกระบวนการคิด (Process of Thinking) คาตอบที่ได๎จะเป็น คําตอบท่สี มเหตุสมผล วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎เป็นที่ร๎ูจักกันหลายชื่อ เชํน วิธีสอนสืบสวนสอบสวน วิธีสอนแบบสอบสวน วิธีสอนแบบสืบสอบ มาจากภาษาอังกฤษวํา Inquiry Method และให๎ความหมาย ไวต๎ าํ งกันดังน้ี ภพ เลาหไพบูลย์ (2542:123) กลําววํา การสอนแบบสืบเสาะความรู๎เป็นการสอนที่เน๎น กระบวนการแสวงหาความรู๎ที่ชํวยให๎นักเรียนได๎ค๎นพบความจริงตํางๆ ด๎วยตนเองให๎นักเรียนมี ประสบการณ์ตรงในการเรียนร๎เู น้อื หา ชาตรี เกิดธรรม (2542:76) กลําววํา วิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน เป็นวิธีสอนที่ฝึกให๎ นักเรียนรู๎จักค๎นคว๎าหาความร๎ู โดยใช๎กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล จะค๎นพบความรู๎หรือแนวทางที่ ถูกต๎องด๎วยตนเอง โดยผ๎ูสอนต้ังคําถามประเภทกระต๎ุนให๎นักเรียนใช๎ความคิดหาวิธีการแก๎ปัญหาได๎เอง และสามารถนาํ การแกป๎ ญั หามาใช๎ในชวี ติ ประจาํ วนั ได๎ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2554:56) ให๎ความหมายวิธีสอนแบบสืบสอบ หมายถึง การจัดการ เรียนการสอนโดยวิธีให๎นักเรียนเป็นผ๎ูค๎นคว๎าหาความร๎ูด๎วยตนเอง หรือสร๎างความรู๎ด๎วยตนเอง โดยใช๎ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู๎อํานวยความสะดวก เพ่ือให๎นักเรียนบรรลุเปูาหมาย วิธีสืบสอบ ความรูจ๎ ะเนน๎ ผูเ๎ รยี นเป็นสําคญั ของการเรียน 242
จากความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความร๎ู เป็นวิธีการจัดการสอนท่ีเน๎นให๎ผู๎เรียนแสวงหาความร๎ูด๎วยตนเองมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู๎ โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความร๎ูหรือแนวทาง วิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความร๎ูหรือแนวทางแก๎ปัญหาได๎เอง และสามารถ นาํ มาใช๎ในชวี ิตประจาํ วนั ไดส๎ วํ นครเู ป็นเพียงผ๎อู ํานวยความสะดวก ขั้นตอนของการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ การจดั การเรียนรู๎แบบสืบเสาะหาความร๎ูเป็นยุทธวิธีในการจัดการเรียนการสอนสืบเสาะ ท่ีเนน๎ ผ๎ูเรียนเป็นศูนยก์ ลางใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎สร๎างองค์ความรู๎ด๎วยตนเอง ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูรํวมกันและประเมินผล การเรียนร๎ูด๎วยตัวของผ๎ูเรียนเอง การจัดการเรียนรู๎แบบสืบเสาะหาความรู๎ระยะแรกพัฒนามาจากทฤษฎี พัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ในเร่ืองการปรับขยายโครงสร๎างปฏิบัติการทางสติปัญญา (Assimilation) การปรับร้ือโครงสร๎างปฏิบัติการทางสติปัญญา(Accommodation) และการจัดระเบียบ สงิ่ เรา๎ ใหมํให๎เขา๎ กบั โครงสรา๎ งปฏิบตั ิการทางสตปิ ญั ญา(Organization) (ไพฑูรย์ สุขศรีงาม. 2545 : อ๎างอิง มาจาก Reilly and Lewis. 1983 : 60)ซ่ึ งมีอยูํ 2 ขั้นตอน คือ ขั้นสํารวจ (Exploration) และข้ันการ อธิบาย (Explanation) ซ่ึงตํอมาโรเบริต์ คาร์พลัส และคณะ ได๎นําเสนอยุทธวิธีนี้เพื่อปรับผลสัมฤทธ์ิการ เรียนวิทยาศาสตร์ และพัฒนาทักษะกระบวนการเด็ก ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช๎ปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา (Science Curriculum Improvement Study : SCIS) ประกอบด๎วย3 ขั้นตอน (Renner and Marek. 1990 : 241-246) คือ ข้ันสํารวจ (Exploration) ขั้นสร๎าง มโนทัศน์ (Concept Introduction) และการนํามโนทัศน์ไปใช๎ (Concept Application) ข้ันตอน Mahasarakham Universityเหลาํ นีไ้ ด๎มกี ารจดั เรียงลําดบั และมคี วามสอดคล๎องกับทฤษฎีพัฒนาการทาง สติปัญญาของ เพียเจต์ตํอมาได๎มีกลํุมนักการศึกษาได๎นําวิธีน้ีมาใช๎ และมีการพัฒนาวิธีการและขั้นตอนใน การเรยี นการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู๎ออกเป็น 4 ขั้นตอน (Barman. 1989 : 28-31) ได๎แกํ การสํารวจ (Exploration) การอธิบาย (Explanation) การขยายความคิด (Expansion) และการประเมินผล (Evaluation) และในปีเดียวกนั ไดแ๎ บํงข้ันตอนของการจดั การเรยี นร๎แู บบสบื เสาะหาความรู๎แบํงออกเป็น 5 ขนั้ ดงั น้ี 1. การนาเข้าสบู่ ทเรียน (Engagement) ข้นั น้ีจะมีลักษณะเป็นการแนะนาํ บทเรียน กจิ กรรมจะประกอบไปดว๎ ย การซักถามปญั หา การทบทวนความรู๎เดิม การกาํ หนดกจิ กรรมท่จี ะเกดิ ข้ึนใน การเรียนการสอนและเปูาหมาย 2. การสารวจ (Exploration) ขัน้ นีจ้ ะเปดิ โอกาสใหน๎ ักเรียน ไดใ๎ ชแ๎ นวความคิดทม่ี ีอยํู แล๎วมาจัดความสัมพนั ธก์ บั หัวข๎อท่ีกาํ ลงั จะเรียนใหเ๎ ข๎าเป็นหมวดหมํู ถ๎ากจิ กรรมที่เกย่ี วกับการทดลอง การ สํารวจ การสืบคน๎ ด๎วยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ รวมท้ังเทคนิคและความรูท๎ างการปฏบิ ตั ิจะดาํ เนนิ ไปด๎วย 243
ตัวของนกั เรยี นเอง โดยมีครทู ําหน๎าทเี่ ป็นเพยี งผูแ๎ นะนํา หรือผเู๎ ริ่มต๎นในกรณีท่นี ักเรยี นไมํสามารถหา จดุ เร่มิ ต๎นได๎ 3. การอธิบาย (Explanation) ในข้ันตอนนี้กจิ กรรม หรือกระบวนการเรยี นรู๎จะมีการ นําความรู๎ท่รี วบรวมมาแลว๎ ในขั้นที่ 2 มาใช๎เป็นพน้ื ฐานในการศกึ ษาหวั ข๎อ หรอื แนวความคิดที่กาํ ลังศกึ ษา อยูํ กจิ กรรมอาจประกอบไปด๎วยการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู จากการอาํ นและนาํ ขอ๎ มูลมาอภิปราย 4. การลงข้อสรุป (Elaboration) / ข้นั การขยายความคิด (Expansion phase) ในขน้ั ตอนน้จี ะเน๎นให๎นักเรยี นไดม๎ กี ารนําความรู๎หรือข๎อมูลจากข้ันที่ผาํ นมาแลว๎ มาใช๎ กจิ กรรมสํวนใหญํ อาจเปน็ การอภิปรายภายในกลมุํ ของตนเองเพื่อลงข๎อสรุป เกดิ เปน็ แนวความคดิ หลกั ขึน้ นักเรยี นจะปรับ แนวความคดิ หลักของตัวเองในกรณที ่ีไมสํ อดคลอ๎ ง หรอื คลาดเคล่ือนจากข๎อเท็จจรงิ 5. การประเมนิ ผล (Evaluation) เปน็ ขน้ั ตอนสุดทา๎ ยจากการเรียนรู๎ โดยครูเปิดโอกาส ให๎นักเรียน ได๎การประเมินผลด๎วยตนเองถึงแนวความคิดท่ีได๎สรุปไว๎แล๎วในข้ันท่ี 4 วํามีความสอดคล๎อง หรือถูกต๎องมากน๎อยเพียงใด รวมท้ังมีการยอมรับมากน๎อยเพียงใด ข๎อสรุปท่ีได๎จะนํามาใช๎เป็นพ้ืนฐานใน การศกึ ษาคร้ังตํอไป ทง้ั น้ีรวมท้งั การประเมนิ ผลของครตู ํอการเรยี นรู๎ของนักเรียนดว๎ ย พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544: 56) ให๎ความหมายวํา การจัดการเรียนรู๎แบบสืบสวน สอบสวน หมายถงึ การจัดการเรียนการสอนโดยวิธใี ห๎นักเรียนเป็นผู๎ค๎นควา๎ หาความรูด๎ ๎วยตนเอง หรือสร๎าง ความร๎ูดว๎ ยตนเอง โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ครูเป็นผ๎ูอานวยความสะดวก เพ่ือให๎นักเรียนบรรลุ เปูาหมายวธิ ีสบื เสาะหาความร๎จู ะเน๎นผู๎เรียนเป็นสําคัญของการเรียน สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545: 194 ) ได๎ให๎ความหมายของการจัดการ เรียนรู๎แบบสืบสวนสอบสวนวํา เป็นวิธีสอนท่ีเน๎นการพัฒนา ความสามารถในการคิด การแก๎ปัญหา หรือการแสวงหาความรู๎ โดยใช๎กระบวนการทางความคิด เพื่อ แสวงหาความร๎ู และค๎นพบคาตอบดว๎ ยตนเอง โดยมีผู๎สอนเป็นผ๎ูเร๎าความสนใจ กระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนเกิดความ สงสัย คิดหาคาตอบ ชํวยจัดสถานการณ์ สิ่งอานวยความสะดวก จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เอ้ือตํอ การสืบเสาะหาความรู๎ และอาจรํวมอภิปรายกับผ๎ูเรียน เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎ค๎นพบความคิดรวบยอด หรือ หลักการที่ถูกต๎อง สวุ ิทย์ มลู คาํ และอรทยั มลู คาํ (2545: 136) ไดใ๎ ห๎ความหมายของการจัดการเรียนร๎ูแบบ สืบสวนสอบสวนวาํ เป็นกระบวนการเรียนรูท๎ ่ีเน๎นการพัฒนาความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วย วิธีการฝึก ให๎ผ๎ูเรียนศึกษาค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วยตนเอง โดยผู๎สอนต้ังคําถามกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนใช๎กระบวนการทาง ความคิด หาเหตุผลจนค๎นพบความรู๎ หรือแนวทางในการแก๎ไขปัญหาที่ถูกต๎องด๎วยตนเอง สรุปเป็น หลักการ กฎเกณฑ์ หรือวิธีการแก๎ปัญหาและสามารถนาไปประยุกต์ใช๎ประโยชน์ในการควบคุม ปรับปรุง เปลยี่ นแปลง หรอื สร๎างสรรค์สิ่งแวดล๎อมในสภาพการณ์ตํางๆ ได๎อยํางกว๎างขวาง สุวิมล เข้ียวแก๎ว (2540: 64) ให๎ความหมายวาํ การจัดการเรียนรู๎แบบสืบสวนสอบสวน หมายถึง การสอนที่ครูจัดสถานการณ์ หรือ กิจกรรมท่ีชํวยให๎นักเรียนค๎นคว๎าหาความร๎ูอยํางมีหลักการและเหตุผลขยายความคิดของตนเองได๎อยําง 244
กว๎างขวาง สามารถวางแผนและกําหนดวิธีการค๎นหาความรู๎โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ กระบวนการทางความคิดได๎ด๎วยตนเองโดยไมํต๎องตอบรับฟังการบรรยายของครูเพียงฝุายเดียว จาก ความหมายข๎างต๎นดังกลําว สรุปได๎วํา การจัดการเรียนร๎ูแบบสืบสวนสอบสวน หมายถึง เป็นกระบวนการ เรียนรู๎ที่เน๎นการพัฒนาความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วยวิธีการฝึกให๎ผ๎ูเรียนศึกษาค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วย ตนเอง โดยใช๎กระบวนการทางความคิด เพ่ือแสวงหาความร๎ู และค๎นพบคาตอบด๎วยตนเอง การจัดการ เรียนรู๎แบบสบื สวนสอบสวน (Inquiry Method) เปน็ รปู แบบการเรียนรู๎ ท่ีเน๎นผู๎เรียนเป็นหลักหรือแนวคิด อีกแบบที่เน๎นการเรียนร๎ูโดยเกี่ยวข๎องกับการตั้งคําถามหรือกําหนดสมมติฐานการคิดเชิงวิพากษ์ด๎วยเหตุ และผล (Critical Thinking) และการแก๎ปัญหาเปน็ พนื้ ฐานทสี่ ําคญั โดยการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน แบบสบื สวนสอบสวน มลี กั ษณะทคี่ ลา๎ ยกับการสอน แบบวิธีแก๎ปัญหาโดยผู๎สอนเป็นผู๎จัดสถานการณ์ ส่ิงแวดล๎อม เพ่ือให๎เกิดปัญหาทาให๎ ผเู๎ รยี นคดิ แสวงหาคาตอบสิง่ ทีส่ ําคัญท่ีจะนาไปสูํการค๎นพบ ก็คือ การใช๎คําถามและการตอบคําถามในการ ดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน สุคนธ์ สินธพานนทแ์ ละคณะ (2545: 196) กลําวไว๎วาํ การจัดการเรียนร๎ู แบบสืบ สวนสอบสวนน้ัน สามารถแบํงตามลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได๎เป็น 3 ประเภท คือ 1. ผ๎ูสอนมีบทบาทสําคัญในการสืบสวนสอบสวน (Passive Inquiry) วิธีนี้ผู๎สอน มีบทบาทสําคัญใน การใช๎คําถาม กระต๎ุนเปน็ แนวทางใหผ๎ ู๎เรยี นคดิ หาคาตอบ เหมาะสาํ หรับการเริ่มสอนแบบสืบสวนสอบสวน เนื่องจากผ๎ูสอนจะเป็นผ๎ูใช๎คําถามถามนาไปสูํคาตอบและพยายามกระตุ๎น ให๎ผู๎เรียนต้ังคําถามอยํูเสมอ ผู๎สอนเป็นผู๎ตั้งคําถามเป็นสํวนใหญํ คือ ประมาณร๎อยละ 90 สํวนผ๎ูเรียนจะเป็นผ๎ูต้ังคําถามเองประมาณ ร๎อยละ 10 เทาํ น้ัน และสํวนใหญผํ เ๎ู รียนจะเป็นผู๎ตอบคําถาม 2. ผู๎สอนและผู๎เรียนรํวมกันสืบสวนสอบสวน (Combined Inquiry) วิธีน้ีผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนเป็นผู๎ดาเนินการในการสืบสวนสอบสวนรํวมกัน โดยผ๎ูสอน เป็นผ๎ูต้ังคําถามเทํา ๆ กับผ๎ูเรียน คือ ประมาณ ร๎อยละ 50 ซึ่งเหมาะสําหรับการเรียนท่ีผู๎เรียนได๎ผํานขั้น ของ Passive Inquiry มาแล๎ว ผ๎ูเรียนจะค๎ุนเคยกับการตอบคําถามและฝึกการตั้งคําถาม การซักถาม ปัญหาในขั้นนี้ เม่ือผ๎ูเรียนถาม ผ๎ูสอนไมํควรให๎คาตอบทันทีแตํควรจะสํงเสริม หรือถามเพื่อกระต๎ุนให๎ ผเ๎ู รียนคดิ ด๎วยตนเอง โดยใช๎คําถามนาไปเรือ่ ย ๆ จนกระท่ังผู๎เรียนค๎นพบคาตอบด๎วยตนเอง 3. ผู๎เรียนเป็น ผู๎มบี ทบาทสําคญั ในการสบื สวนสอบสวน (Active Inquiry) การสอน แบบนี้ผู๎เรียนจะเป็นผ๎ูต้ังคําถามและ ตอบคําถามเป็นสวํ นใหญํ หลังจากท่ไี ดฝ๎ ึกการต้ังคําถามและตอบคําถามจนคุ๎นเคยมาแล๎ว ผ๎ูเรียนได๎รับการ พัฒนาการคิด การตัง้ คาํ ถามในกระบวนการสืบสวน เพ่ือหาคาตอบด๎วยตนเองมาตามลาดับขั้น ในขั้นนี้จึง มคี วามสามารถ ในการสร๎างกรอบความคิด การสร๎างคําถามนาไปสํูการค๎นพบด๎วยตนเอง ซ่ึงผู๎เรียนมีสํวน ในการต้ังคําถามและตอบคําถามประมาณร๎อยละ 90 จึงนับวําเป็นจุดประสงค์สูงสุดในการเรียนรู๎โดยวิธี สืบสวนสอบสวน จากการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนข๎างต๎นนั้น สามารถสรุปเปน็ แผนผงั ประเภทของการจดั การเรียนร๎ูแบบสบื สวนสอบสวน 3 ประเภท 245
ประเภทของการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ การสบื เสาะสามารถจดั ประเภทตามเกณฑต์ าํ งๆดงั นี้ 1. การสบื เสาะที่อาศัยการทําปฏิบตั กิ าร สามารถแบํงออกเปน็ 3 ประเภท (ไพฑรู ย์ สุขศรงี าม. 2548 : 142 ; อา๎ งองิ มาจาก Tafoya and others. 1980 : 46) คือ 1.1 การสืบเสาะแบบสาํ เรจ็ รูป (Structured Inquiry) 1.2 การสบื เสาะแบบแนะนํา (Guided Inquiry) 1.3 การสืบเสาะแบบเปดิ กว๎าง (Open Inquiry) หรอื การค๎นพบ (Discovery) 2. การสบื เสาะที่อาศยั การสรา๎ งสรรคค์ วามร๎ูใหมํ แบํงออกเปน็ 2 ประเภท (ไพฑูรย์ สุขศรงี าม. 2548 : 141 ; อา๎ งองิ มาจาก Schwab. 1960 : 6-11) 2.1 การสบื เสาะโดยใช๎ความรู๎เดมิ (Stable Enquiry) 2.2 การสบื เสาะหาความรใ๎ู หมํ (Fluid Enquiry) 3. การสืบเสาะท่ีไมํทาปฏิบัติการ บางครั้งเรยี กการสบื เสาะแบบซกั ถาม(OralInquiry) แบํง ออกเปน็ 3 ประเภท (ไพฑรู ย์ สขุ ศรงี าม. 2548 : 142-143 ; อ๎างอิงมาจาก นิดาสะเพียรชยั . 2520 : 6) คอื 3.1 การสืบเสาะแบบนักเรยี นเป็นผ๎ซู ักถาม (Action Inquiry) 3.2 การสืบเสาะแบบครเู ป็นผู๎ซักถาม (Passive Inquiry) 3.3 การสบื เสาะแบบผสม (Mixed Inquiry) 4. การสบื เสาะของสถาบนั สงํ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยมี ี3 ขน้ั ตอน (สถาบันสํงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี 2520 : 5-7 ; อา๎ งอิงมาจาก ไพฑรู ย์ สุขศรงี าม. 2548 : 146-147) 4.1 ขัน้ อภปิ รายกํอนปฏบิ ตั ิการ (Pre-lab Discussion) 4.2 ขั้นปฏิบัตกิ าร (lab session) 4.3 ขน้ั อภิปรายหลงั ปฏบิ ัติการ (Post-lab Discussion) 5. การสืบเสาะแบบ Learning CycleKarplus และคณะ ได๎นาเสนอการเรียนการสอนรูปแบบวัฎ จกั รการเรยี นร๎ู (Learning Cycle) ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีใช๎ปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศกึ ษา ของประเทศสหรัฐอเมริกา(Science Curriculum Improvement Study : SCIS) ประกอบดว๎ ย 3 ข้นั ดงั น้ี 1. การสารวจ (Exploration หรือ Concept Exploration) เปน็ ขัน้ ทน่ี กั เรียนไดร๎ ับ ประสบการณ์เกี่ยวกบั รูปธรรม 2. การเกดิ ความคดิ (Invention หรือ Concept Introduction หรือ Clarification) 246
บาร์แมน (Barman. 1992 : 59-63) ระบุวาํ เรม่ิ จากการเสนอมโนทศั นห์ รือหลักการใหมํ หรือคาอธบิ าย เสรมิ เพือ่ ชวํ ยใหน๎ กั เรียนประยุกตร์ ปู แบบการใช๎เหตผุ ลในประสบการณ์ของเขา แตํก็เปิดโอกาสให๎นักเรยี น เสนอแนวคดิ ของตนเองด๎วย 3. ระยะการค๎นพบ (Discovery หรือ Concept Application) เป็นระยะทนี่ ักเรียนเกดิ ความรู๎ มโนทัศน์ หรือทกั ษะที่เกดิ ขึ้นไปใช๎ในสถานการณ์อ่ืนโดยการยกตวั อยาํ งเพ่ือแสดงมโนทัศนท์ ่รี น๎ู ้ัน ตอํ มาได๎มีกลมํุ นักการศึกษาได๎นาวธิ กี ารนีม้ าใชแ๎ ละมกี ารพัฒนาวิธีการและข้ันตอนในการเรยี นการสอน แบบวัฎจกั รการเรยี นร๎ูออกเป็น 4 ขั้น (Barman. 1989 : 28-31) ดงั นี้ 1. การสํารวจ (Exploration) ระยะการสํารวจเป็นการเน๎นนักเรียนเป็นสําคัญกระตุ๎น ความไมํสมดุลความคิดของผู๎เรียน และชํวยให๎เกิดการปรับขยายความคิด ครูรับผิดชอบการให๎ นกั เรียนไดร๎ ับคาแนะนา คําช้ีแจง และวัสดุอุปกรณ์ อยํางเพียงพอที่มีปฏิสัมพันธ์ในทางที่สัมพันธ์ กับแนวคิด คาแนะนาช้ีแจงของครูต๎องไมํบอกนักเรียนวําพวกเขาควรเรียนอะไรและต๎องไมํ อธบิ ายแนวคิดให๎แนวทางและคาแนะนาเพื่อให๎การสํารวจดาเนินตํอไปได๎ นักเรียนรับผิดชอบตํอ การสํารวจ วัสดุ และการเก็บรวบรวมและ/หรือ การบันทึกข๎อมูลของตนเอง ครูอาศัยทักษะการ ถามเพอ่ื แนะแนวทางการเรียนร๎ูเด็กต๎องมีวัสดุอุปกรณ์การเรียน และประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรม ด๎วย ถ๎าครูจะให๎เด็กสร๎างแนวคิดวิทยาศาสตร์สําหรับตนเอง ให๎ใช๎คําถามแนะเพื่อชํวยเร่ิม กระบวนการวางแผนและคําถามต๎องนาตรงไปสํูกิจกรรมของเด็ก เสนอแนะประเภทของบันทึกที่ เด็กควรจะทํา และต๎องไมํบอกหรืออธิบายแนวคิด อาจจะกลําวถึงการสอนอยํางยํอๆได๎ บางที่ อาจจะเป็นในรปู จดุ ประสงค์ของการสอน 2. การอธิบาย (Explanation) ระยะการอธิบายเปน็ ระยะที่ยึดนักเรียนเป็นสําคัญน๎อยลง และหาที่หาสิ่งอานวยความสะดวกทางจิตใจให๎แกํนักเรียน ความมํงหมายของระยะน้ี เพื่อให๎ครู ไดน๎ านักเรยี นในการคดิ เพ่ือวางแนวคดิ เก่ียวกับบทเรียนจะได๎รับการสร๎างข้ึนด๎วยความรํวมมือกัน ไมํใชํเพียงครูให๎อยํางเดียว เพื่อทําให๎สําเร็จ ครูเลือกและจัดทาสภาพแวดล๎อมของชั้นเรียนที่พึง ประสงค์ ครูขอให๎นักเรียนให๎ข๎อมูลตามทางจิตใจ เม่ือจัดเรียบเรียงข๎อมูลแล๎วครูแนะนาให๎รู๎จัก ภาษาจําเพาะที่ต๎องการแนวคิดให๎มากเทาํ ๆ กบั มิสซิส แมก็ โดนลั ด์ ทาหลังจากเด็กๆได๎สังเกตและ สํารวจส่ิงที่เกิดข้ึนเม่ือองค์ความร๎ูใหมํได๎รับการแนะนาในบรรยากาศการเรียบเรียงของพวกเขา ระยะนีช้ วํ ยนาไปสกํู ารปรับขยายโครงสร๎างความคิด ดังท่ที ฤษฎขี องเพียเจต์อธิบายไวใ๎ นท่ีนักเรียน ต๎องมุํงเน๎นข๎อค๎นพบเบ้ืองต๎นจากการสํารวจเบ้ืองต๎นของพวกตน ครูต๎องแนะนาภาษา หรือ รปู แบบแนวคดิ เพอื่ ชํวยในการปรับขยายโครงสร๎างความคิด ครูแนะแนวนักเรียนจนตั้งคาอธิบาย ของตนเองเก่ียวกบั แนวคิด ครสู ามารถจะแนะแนวนกั เรียนและงดจากการบอกนักเรียนได๎อยํางไร ในส่ิงท่ีนักเรียนควรควรจะค๎นพบแล๎วถึงแม๎วําความเข๎าใจของนักเรียนยังไมํสมบูรณ์และสามารถ 247
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315