จะชํวยนักเรียนให๎ใช๎ข๎อมูลของตนสร๎างแนวคิดท่ีถูกต๎องได๎ ซึ่งจะนานักเรียนไปสํูระยะตํอไปโดย อตั โนมัติคอื ระยะการขยายความคดิ 3. การขยาย (Expansion) ระยะการขยายควรเป็นระยะท่ียึดนักเรียนเป็นสําคัญให๎มาก ท่ีสุดที่จะมากได๎ และเป็นระยะจัดข้ึนเพื่อกระตุ๎นความรํวมมือของกลุํมความมํุงหมายของระยะนี้ เพื่อชํวยผู๎เรียนให๎จัดระเบียบประสบการณ์ทางความคิดท่ีนักเรียนได๎มาจากการค๎นพบความ เช่ือมโยงกับประสบการณ์เดิมที่คล๎ายคลึงกัน และเพ่ือให๎ค๎นพบการประยุกต์ใหมํสําหรับสิ่งที่ นักเรียนได๎เรียนรู๎มาแล๎ว แนวคิดที่สร๎างข้ึนต๎องเชื่อมโยงกับความคิดอ่ืนหรือประสบการณ์อื่นท่ี สัมพันธ์กันความมุํงหมายเพ่ือจะนาความคิดของนักเรียนให๎ไปกวําเดิมซึ่งเป็นอยูํในปัจจุบัน ครู ต๎องให๎เด็กใช๎ภาษาหรือฉลาก หรือฉายาตํางๆของแนวคิดใหมํ เพื่อวําพวกเขาจะได๎เพิ่มความ เข๎าใจของพวกตนตรงนี้เป็นที่เหมาะสมที่จะชํวยนักเรียนให๎ประยุกต์ใช๎สิ่งท่ีได๎เรียนรู๎ โดยการ ขยายตัวอยํางหรือโดยการจัดประสบการณ์เชิงการสํารวจเพิ่มเติมเพ่ือพัฒนาสํวนบุคคลของ นักเรียน การสอบสวนความสัมพันธ์ ภายในระหวํางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี-สังคม ความเติมโต ทางวิชาการ และการตระหนักร๎ูด๎านอาชีพ ระยะการขยายน้ีสามารถนาไปสํูระยะการสํารวจ บทเรียนตํอไปได๎โดยอัตโนมัติ ดังนั้นวงจรตํอเนื่องสําหรับการสอนและการเรียนถูกสร๎างข้ึนใน ระยะนี้ ครูชํวยนักเรียนจัดระเบียบการคิดของตนโดยการเชื่อมโยงสิ่งท่ีเรียนร๎ูมาเข๎ากับความคิด หรือประสบการณอ์ นื่ ๆซ่ึงสัมพนั ธก์ ับแนวคิดท่ีสร๎างขึ้น มีความยากที่จะใช๎ภาษาแนวคิดในระยะนี้ เพม่ิ ความลุํมลกึ จงึ ลงในความหมายของแนวคดิ และเพื่อขยายขอบเขตความต๎องการสําหรับเด็ก 4. การประเมินผล (Evaluation) ความมํุงหมายของระยะน้ี เพ่ือเป็นการทดสอบ มาตรฐานการเรียนรู๎ การเรียนรู๎มักจะเกิดขึ้นในสัดสํวนการเพิ่มขึ้นที่น๎อยกวําการยกระดับทาง ความคดิ ทีม่ กี ารหยัง่ ร๎ูจรงิ ทเ่ี ปน็ ไปได๎ ดงั น้นั การประเมินผลควรตํอเน่ือง ซึ่งไมํใชํการส้ินสุดของบท หรือของวิธีการของหนํวยการเรียน การวัดหลายชนิดมีความจาเป็นตํอการจัดทาการประเมิน โดยรวมในการเรียนร๎ูของนักเรียน และเพ่ือกระต๎ุนการสร๎างแนวคิดทางจิตใจและทักษะ กระบวนการประเมินผลรวมถึงในแตํละระยะของวัฎจักรการเรียนรู๎ ไมํใชํเพียงจัดทาเฉพาะตอน สุดท๎ายการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ูนี้สามารถพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนได๎ โดยครูผ๎ูสอนอาจต๎องเลือกประเภทของการสืบเสาะหาความรู๎ให๎เหมาะกับเน้ือหา และนักเรียน ท้ังน้ีในแตํละข้ันของวัฏจักรอาจไมํจาเป็นต๎องแยกออกมาเป็นแตํละข้ันอยํางชัดเจน แตํอาจจะ เป็นในลักษณะของการผสมผสานกลมกลนื กันเพ่ือใหเ๎ หมาะสมกบั การใชใ๎ นสภาพจรงิ ก็ได๎ ขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขัน้ ขน้ั ของการเรยี นร๎ูตามแนวคดิ ของ Eisenkraft (ประสาท เนืองเฉลมิ . 2550 : 26-27) มี เนอ้ื หาสาระ ดงั นี้ 248
1. ขั้นตรวจสอบความร๎ูเดิม (Elicitation Phase) ครูผ๎ูสอนจะต๎องทาหน๎าท่ีในการต้ัง คําถาม เพื่อกระตุ๎นให๎นักเรียนได๎แสดงความรู๎เดิม คําถามอาจจะเป็นประเด็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นตามสภาพ สังคมท๎องถิ่นหรือประเด็นข๎อค๎นพบทางวิทยาศาสตร์การนาวิทยาศาสตร์มาใช๎ในชีวิต ประจําวันและ นักเรยี นสามารถเช่อื มโยงการเรยี นรูไ๎ ปยังประสบการณ์ท่ีตนมี ทาให๎ครูผ๎ูสอนได๎ทราบวํานักเรียนแตํละคน มีความร๎ูพ้ืนฐานเป็นอยํางไร ครูผู๎สอนควรเติมเต็มสํวนใดให๎กับนักเรียนและครูผ๎ูสอนยังสามารถวาง แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรไ๎ู ดอ๎ ยาํ งเหมาะสมสอดคล๎องกับความตอ๎ งการของนักเรยี น 2. ขั้นเร๎าความสนใจ (Engagcment Phase) ข้ันนี้เป็นการนาเข๎าสํูเน้ือหาในบทเรียน หรือสิ่งที่นําสนใจ ซึ่งอาจเกิดจากความสนใจของนักเรียนหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุํมเรื่องท่ี นําสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลังเกิดข้ึนในชํวงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู๎เดิมท่ี นักเรียนเพิ่งเรียนร๎ูมาแล๎ว ครูผู๎สอนทาหน๎าที่กระต๎ุนให๎นักเรียนสร๎างคําถาม ยั่วยุให๎นักเรียนเกิดความ อยากร๎ูอยากเห็นและกําหนดประเด็นที่จะศึกษาแกํนักเรียน ในกรณีที่ยังไมํมีประเด็นท่ีนําสนใจครูผ๎ูสอน อาจใหศ๎ กึ ษาจากส่ือตําง ๆ เชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต๎น ซึ่งทาให๎นักเรียนเกิดความคิด ขัดแย๎งจากส่ิงท่ีนักเรียนเคยรู๎มากํอน ครูผ๎ูสอนเป็นผ๎ูที่ทาหน๎าที่กระต๎ุนให๎นักเรียนคิดโดยเสนอประเด็นที่ สําคัญข้ึนมากํอน แตํไมํควรบังคับให๎นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคําถามที่ครูผ๎ูสอนกําลังสนใจเป็นเร่ืองท่ี ให๎นกั เรียนศกึ ษา เพือ่ นาไปสูํการสํารวจตรวจสอบในขนั้ ตอนตํอไป 3. ขั้นสาํ รวจและค๎นหา (Exploration Phase) เม่อื นักเรยี นทาความเข๎าใจในประเดน็ หรือคําถามท่ีสนใจจะศึกษาอยํางถํองแท๎แล๎วก็มีการวางแผน กําหนดแนวทางการสํารวจตรวจสอบ ตัง้ สมมตฐิ าน กําหนดทางเลือกที่เป็นไปได๎ ลงมือปฏิบตั เิ พื่อเกบ็ รวบรวมข๎อมูลข๎อสนเทศหรือปรากฎการณ์ ตําง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทาได๎หลายวิธี เชํน สืบค๎นข๎อมูล สํารวจ ทดลอง กิจกรรมภาคสนาม เป็นต๎น เพ่อื ให๎ไดข๎ ๎อมูลอยาํ งเพียงพอ ครูผู๎สอนทาหน๎าที่กระต๎ุนให๎นักเรียนตรวจสอบปัญหาและดําเนินการสํารวจ ตรวจสอบและรวบรวมข๎อมูลดว๎ ยตนเอง 4. ข้ันอธิบายและลงขอ๎ สรุป (Explanation Phase) เม่อื นักเรยี นได๎ขอ๎ มูลมาแลว๎ นักเรียนก็จะนาข๎อมูลเหลําน้ันมาทาการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนาเสนอผลที่ได๎ในรูปแบบตําง ๆ เชํน บรรยายสรุป สร๎างแบบจาลอง รูปวาด ตาราง กราฟ ฯลฯ ซึ่งจะชํวยให๎นักเรียนเห็นแนวโน๎มหรือ ความสัมพันธ์ของข๎อมูล สรุปและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ๎างอิงประจักษ์พยานอยํางชัดเจน เพื่อนา เสนอแนวคิดตํอไป ข้ันนี้จะทําให๎นักเรียนได๎สร๎างองค์ความร๎ูใหมํ การค๎นพบในข้ันน้ีอาจเป็นไปได๎หลาย ทาง เชํน สนับสนุนสมมติฐาน แตํผลท่ีได๎จะอยูํในรูปแบบใดก็สามารถสร๎างความรู๎และชํวยให๎นักเรียนได๎ เกดิ การเรียนรู๎ 5. ขั้นขยายความร๎ู (Elaboration Phase) ข้ันนี้เป็นการนาความรู๎ท่ีสร๎างขึ้นไปเชื่อมโยง กับความร๎ูเดิมหรือแนวคิดเดิมที่ค๎นคว๎าเพ่ิมเติม หรือนาแบบจาลองหรือข๎อสรุปท่ีได๎ไปใช๎อธิบาย สถานการณห์ รอื เหตุการณ์อื่น ๆ ถ๎าใช๎อธิบายเร่ืองราวตําง ๆ ได๎มากก็แสดงวํามีข๎อจากัดน๎อย ซ่ึงก็จะชํวย 249
ให๎เช่ือมโยงเกี่ยวกับเร่ืองราวตํางๆ และทาให๎เกิดความรู๎กว๎างขวางขึ้น ครูผู๎สอนควรจัดกิจกรรมหรือ สถานการณ์ให๎นักเรียนมีความร๎ูมากข้ึนและขยายกรอบแนวคิดของตนเองและตํอเติมให๎สอดคล๎องกับ ประสบการณเ์ ดมิ ครผู สู๎ อนควรสํงเสริมให๎นักเรียนตั้งประเด็นเพ่ืออภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม ใหช๎ ดั เจนมากยง่ิ ขึ้น 6. ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ขั้นนี้เป็นการประเมินการเรียนร๎ูด๎วย กระบวนการตาํ ง ๆ วํานกั เรยี นรอู๎ ะไรบา๎ ง อยํางไรและมากน๎อยเพียงใด ข้ันนี้จะชํวยให๎นักเรียนสามารถนา ความร๎ูท่ไี ด๎มาประมวลและปรับประยุกต์ใชใ๎ นเรอื่ งอื่น ๆ ได๎ ครผู ๎สู อนควรสํงเสริมให๎นักเรียนนําความร๎ูใหมํ ท่ไี ดไ๎ ปเช่อื มโยงกับความร๎เู ดิมและสร๎างเป็นองค์ความรู๎ใหมํ นอกจากน้ีครูผู๎สอนควรเปิดโอกาสให๎นักเรียน ได๎ตรวจสอบซึ่งกันและกนั 7. ข้ันนําความร๎ูไปใช๎ (Extention Phase) ครูผ๎ูสอนจะต๎องมีการจัดเตรียมโอกาสให๎ นักเรียนนําความร๎ูท่ีได๎ไปปรับประยุกต์ใช๎ให๎เหมาะสมและเกิดประโยชน์ตํอชีวิตประจําวัน ครูผ๎ูสอนเป็นผ๎ู ทาหน๎าที่กระตุ๎นให๎นักเรียนสามารถนาความร๎ูไปสร๎างความร๎ูใหมํ ซ่ึงจะชํวยให๎นักเรียนสามารถถํายโอน การเรยี นรูร๎ ปู แบบการจัดการสอนตามแนวคิดของ Einsenkraft เป็นรูปแบบที่ครูผ๎ูสอนสามารถนําไปปรับ ประยุกต์ให๎เหมาะสมตามธรรมชาติวิชา โดยเฉพาะอยํางย่ิงกลํุมสาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ซึ่งเน๎น กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ูอันที่จะทาให๎นักเรียนเข๎าถึงความรู๎ความจริงได๎ด๎วยตนเองและนักเรียน ได๎รับการกระต๎ุนให๎เกิดการเรียนรู๎อยํางมีความสุข การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ทั้ง 7 ข้ัน ควรระลึกอยูํเสมอ วําครูผู๎สอนเป็นเพียงผู๎ทาหน๎าท่ีคอยชํวยเหลือ เอื้อเฟื้อและแบํงปันประสบการณ์ จัดสถานการณ์เร๎าให๎ นกั เรยี นได๎คิดตั้งคาํ ถามและลงมือตรวจสอบนอกจากน้ีครูผ๎ูสอนควรจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูให๎เหมาะสมกับ ความรู๎ ความสามารถบนพ้นื ฐานของความสนใจความถนัดและความแตกตํางระหวํางบุคคล อันที่จะทาให๎ การจัดการเรียนรบ๎ู รรลุสํจู ุดมํงุ หมายของการเรยี นการสอนทเ่ี นน๎ นกั เรียนเป็นสําคญั ลักษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน 1. เป็นการสอนท่มี ีนักเรยี นเป็นศนู ย์กลาง 2. การเรียนแบบสบื เสาะหาความรู๎ เปน็ การสร๎างมโนทศั นโ์ ดยตัวนักเรยี นเอง 3. ระดบั ความคาดหวงั ของนักเรียนเพ่มิ สูงขึ้น หลังจากทไี่ ดป๎ ระสบความสาํ เรจ็ ในการสืบ เสาะหาความรู๎ 4. การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู๎ เป็นการพัฒนาความสามารถด๎านตาํ ง ๆของนกั เรียน เชํน ความสามารถทางวิชาการ ทางสังคมความคิดสรา๎ งสรรค์ ซง่ึ ตอ๎ งอาศัยความเปน็ อสิ ระและใหน๎ ักเรยี นมโี อกาสคดิ 5. การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ จะหลีกเลย่ี งการเรียนรู๎ระดับวาจาหรอื การ บรรยาย แตจํ ะเน๎นการทดลองเพื่อใหน๎ กั เรียนค๎นพบดว๎ ยตนเอง 250
6. การเรียนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ข้ันจะกําหนดเวลาสาํ หรับการเรยี นรู๎สรุปการสอน แบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ข้ัน เปน็ การสอนที่มํุงสํงเสรมิ ใหน๎ ักเรียนรจ๎ู ักค๎นควา๎ หาความร๎ู ดว๎ ยตนเอง โดยใชท๎ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เน๎นกิจกรรมของนักเรยี น ครผู ๎สู อนมหี นา๎ ทเี่ พียงจัดสภาพการเรียนการสอนให๎เอ้ือตํอการเรยี นรู๎ ในการเรยี นการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ ต๎องคาํ นึงถึงหลักการและพื้นฐานทางจิตวิทยาดว๎ ย บทบาทของครูผู้สอนในการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ ประสาท เนืองเฉลิม (2550 : 28-30) ไดใ๎ ห๎ข๎อเสนอแนะสําหรับครผู ูส๎ อนในการสอนแบบ สบื เสาะหาความร๎ู 7 ขนั้ ไว๎ดงั นี้ 1. ขั้นตรวจสอบความร้เู ดิม (Elicit) 1.1 ตง้ั คาํ ถาม/กาํ หนดประเด็นปญั หา 1.2 กระตุน๎ ใหน๎ ักเรยี นแสดงความรูเ๎ ดมิ 1.3 ตรวจสอบความรเู๎ ดิม/ประสบการณ์เดมิ ของนักเรยี น 1.4 เตมิ เต็มประสบการณ์เดิม 1.5 วางแผนการจดั การเรยี นร๎ู 2. ขั้นเรา้ ความสนใจ (Engage) 2.1 สร๎างความสนใจ 2.2 กระตน๎ุ ให๎รํวมกนั คดิ 2.3 ตง้ั คาํ ถามกระต๎ุนให๎คิด 2.4 สร๎างความกระหายใครํร๎ู 2.5 ยกตัวอยาํ งประเด็นท่นี าํ สนใจ 2.6 จดั สถานการณ์ใหน๎ กั เรียนสนใจ 2.7 ดึงคาตอบท่ยี งั ไมชํ ัดเจนนักมาคิดและอภิปรายรวํ มกนั 3. ข้ันสารวจและคน้ หา (Explore) 3.1 สํงเสรมิ ใหน๎ ักเรยี นทาํ งานรํวมกันในการสํารวจตรวจสอบ 3.2 ซกั ถามนักเรยี นเพอื่ นาไปสกํู ารสํารวจคน๎ หา 3.3 สังเกตและรบั ฟังความคดิ เหน็ ของนักเรียน 3.4 ใหข๎ อ๎ เสนอแนะ คาปรึกษาแกนํ ักเรยี น 3.5 ใหก๎ าลงั ใจและเสนอประเดน็ ท่ชี ้ีแนะแนวทางนาไปสํูการสํารวจตรวจสอบ 3.6 สงํ เสริมให๎นักเรยี นได๎สาํ รวจตรวจสอบโดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3.7 สงํ เสริมคุณธรรม จรยิ ธรรมทางวิทยาศาสตร์ 3.8 สํงเสริมและพัฒนาเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์แกนํ กั เรียน 251
4. ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (Explain) 4.1 สํงเสริมให๎นักเรียนได๎คดิ และแสดงความคดิ เหน็ อยํางอสิ ระ 4.2 สงํ เสรมิ ให๎นกั เรยี นอธบิ ายความคิดรวบยอดตามความเขา๎ ใจของตวั เอง 4.3 ให๎นักเรยี นแสดงหลักฐาน ใหเ๎ หตุผลอยํางเหมาะสม 4.4 สํงเสรมิ ให๎นกั เรียนอธิบายสิ่งทตี่ นเองสงั เกต 4.5 ให๎นกั เรยี นอธบิ ายให๎คาจากดั ความและบํงชีป้ ระเด็นที่สาํ คญั จากปรากฏการณ์ 4.6 ให๎นกั เรียนใช๎ประสบการณเ์ ดิมของเป็นพนื้ ฐานในการอธิบายความคิดรวบยอด 5. ขน้ั ขยายความรู้ (Elaborate) 5.1 สงํ เสรมิ ใหน๎ ักเรียนได๎นาความรท๎ู ี่เรยี นมาไปปรับประยุกต์ใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชน์ อยาํ งสรา๎ งสรรค์ 5.2 สํงเสรมิ ใหน๎ กั เรยี นนาสง่ิ ทีน่ กั เรยี นได๎เรยี นรไู๎ ปประยุกต์ใชห๎ รอื ขยายความรูใ๎ น สถานการณ์ใหมํ 5.3 สงํ เสริมใหน๎ ักเรยี นได๎ใช๎ทักษะและกระบวนการทเ่ี รยี นรู๎มาไปปรบั ใชต๎ ามบรบิ ท 5.4 เปดิ โอกาสให๎นักเรยี นได๎อธบิ ายความรู๎ความเข๎าใจอยาํ งหลากหลาย 5.5 ให๎นกั เรียนอ๎างองิ ขอ๎ มูลท่ีมอี ยํูพรอ๎ มทัง้ แสดงหลักฐานและถามคําถามเกยี่ วกับ สงิ่ ท่นี กั เรียนได๎เรียนร๎ู 6. ขัน้ ประเมนิ ผล (Evaluate) 6.1 สงั เกตนักเรยี นในการนาความคิดรวบยอดและทักษะใหมํไปปรับใช๎ 6.2 ประเมินความร๎ูและทักษะของนกั เรยี น 6.3 หาหลักฐานท่ีแสดงวาํ นกั เรยี นไดเ๎ ปลี่ยนความคิดหรอื พฤติกรรม 6.4 ให๎นักเรยี นประเมินตนเองเกย่ี วกบั การเรียนรูแ๎ ละทักษะกระบวนการกลุํม 6.5 ถามคําถามปลายเปิดในประเด็นตําง ๆ หรือสถานการณ์ท่ีกําหนดให๎ 7. ขน้ั นาไปใช้ (Extend) 7.1 กระต๎ุนให๎นักเรียนต้ังขอ๎ คําถามตามประเด็นที่สอดคล๎องกับบริบท 7.2 กระตน๎ุ ใหน๎ ักเรยี นนาสิง่ ท่ีได๎เรยี นร๎ไู ปปรับใช๎ 7.3 แนะแนวทางในการนาความร๎ูเดมิ ไปสร๎างเปน็ องค์ความรใ๎ู หมํ 7.4 ปรบั ปรงุ วธิ ีการจดั การเรียนการสอน ดงั น้นั บทบาทของครูผ๎สู อนในการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ 7 ขั้น จงึ ตอ๎ งเปน็ ผส๎ู ร๎าง สถานการณ์ทีเ่ ปดิ โอกาสใหน๎ ักเรียนมีสวํ นรํวมในกจิ กรรมตํางๆ ดว๎ ยตัวนักเรียนเองเปน็ ผ๎ูถามคําถาม ตํางๆ ทจ่ี ะนาทางใหน๎ ักเรยี นคน๎ หาความรู๎ 252
บทบาทของนักเรียนในการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขนั้ ประสาท เนอื งเฉลมิ (2550 : 28-30) ได๎ใหข๎ ๎อเสนอแนะสาํ หรับนักเรยี นในการเรียนแบบ สบื เสาะหาความร๎ู 7 ขนั้ ไว๎ดงั น้ี 1. ขน้ั ตรวจสอบความรู้เดิม (Elicit) 1.1 ตอบคําถามตามความเข๎าใจของตนเอง 1.2 แสดงความคิดเหน็ อยาํ งอิสระ 1.3 อภิปรายรวํ มกันระหวํางครูผ๎ูสอนกับนักเรยี นและนกั เรยี นกบั นกั เรยี น 2. ขั้นเรา้ ความสนใจ (Engage) 2.1 ถามคําถามตามประเดน็ 2.2 แสดงความสนใจในเหตุการณ์ 2.3 กระหายอยากรู๎คาตอบ 2.4 แสดงความคิดเหน็ และนาเสนอความคิด 2.5 นาเสนอประเดน็ /สถานการณ์ท่สี นใจ 2.6 อภิปรายประเด็นทตี่ อ๎ งการทราบ 3. ขน้ั สารวจและค้นหา (Explore) 3.1 คิดอยํางอสิ ระแตํอยูํในขอบเขตของกิจกรรมสํารวจตรวจสอบ 3.2 ทดสอบการคาดคะเนและสมมติฐาน 3.3 คาดคะเนและตงั้ สมมติฐานใหมํ 3.4 พยายามหาทางเลอื กในการแก๎ปญั หาและอภิปรายทางเลือกกบั คนอน่ื ๆ 3.5 บันทึกการสังเกตและให๎ข๎อคดิ เห็น 3.6 ลงข๎อสรุปบนพนื้ ฐานของข๎อมลู ที่มีความนําเช่ือถือได๎ 3.7 ใชท๎ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการสาํ รวจตรวจสอบ 3.8 เสริมสรา๎ งเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 3.9 มจี รรยาบรรณของนกั วทิ ยาศาสตร์ 4. ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explain) 4.1 อธบิ ายการแก๎ปญั หาหรือคาตอบทีเ่ ป็นไปได๎ 4.2 รบั ฟงั คาอธบิ ายของคนอ่ืนอยํางสร๎างสรรค์ 4.3 คิดวิเคราะหว์ ิจารณ์ในประเด็นท่เี พ่อื นนาเสนอ 4.4 ถามคําถามอยาํ งสรา๎ งสรรคเ์ กีย่ วกบั ส่งิ ท่ีคนอ่ืนได๎อธิบาย 4.5 รับฟงั และพยายามทาความเขา๎ ใจเก่ียวกบั สงิ่ ท่ีครอู ธิบาย 4.6 อ๎างอิงกิจกรรมท่ีไดป๎ ฏิบัตมิ าแล๎ว 253
4.7 ใชข๎ ๎อมลู ท่ีไดจ๎ ากการบนั ทึกการสงั เกตประกอบคาอธบิ าย 5. ข้ันขยายความรู้ (Elaborate) 5.1 นาขอ๎ มลู ท่ีได๎จากการสารวจตรวจสอบไปปรับประยุกต์ใช๎ในสถานการณ์ ใหมทํ ี่คลา๎ ยกับสถานการณเ์ ดิม 5.2 ใช๎ขอ๎ มลู เดิมในการถามตามความมํุงหมายของการทดลอง 5.3 บนั ทึกการสังเกตและข๎ออธิบาย 5.4 ตรวจสอบความเข๎าใจตนเองดว๎ ยการอภิปรายข๎อค๎นพบกบั เพื่อน ๆ 6. ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluate) 6.1 ตอบคําถามโดยอาศยั ประจกั ษ์พยานหลกั ฐานและคาอธิบายทย่ี อมรับได๎ 6.2 แสดงความรค๎ู วามเข๎าใจของตนเองจากกจิ กรรมสารวจตรวจสอบ 6.3 ประเมินผลตนเองวําไดเ๎ รียนรูอ๎ ะไรบ๎าง 6.4 เสนอแนะข๎อคาํ ถามหรือประเด็นทเี่ กยี่ วขอ๎ ง เพื่อสงํ เสรมิ ใหม๎ ีการนาํ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใชใ๎ นการสารวจตรวจสอบตอํ ไป 7. ขน้ั นาไปใช้ (Extend) 7.1 นาความรู๎ท่ีได๎ไปปรบั ใชอ๎ ยาํ งเหมาะสม 7.2 ใชท๎ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการเช่ือมโยงเนอ้ื หาสาระไปสํกู าร แก๎ปญั หา 7.3 มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม ในการนาความร๎ูไปปรับใชใ๎ นชีวติ ประจําวนั ข้อดขี องการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขน้ั มีดังน้ี 1. นักเรียนมีโอกาสไดพ๎ ฒั นาความคิดอยาํ งเต็มที่ ได๎ศึกษาคน๎ ควา๎ ด๎วยตนเองจึงมีความ อยากร๎ูอยากเหน็ อยํตู ลอดเวลา 2. นักเรียนมีโอกาสไดฝ๎ ึกความคดิ และฝึกการกระทา ได๎เรยี นร๎วู ธิ ีจัดระบบความคดิ และ วธิ ีเสาะแสวงหาความร๎ดู ๎วยตนเองทาให๎ความร๎คู งทนและถํายโยงการเรยี นร๎ไู ด๎ คือทาให๎สามารถจดจาได๎ นานและนําไปใชใ๎ นสถานการณ์ใหมไํ ด๎ 3. นักเรียนเปน็ ศนู ย์กลางของการเรียนการสอน 4. นกั เรียนสามารถเรียนรม๎ู โนทัศน์และหลักการทางวิทยาศาสตรไ์ ดเ๎ ร็วขึน้ 5. นกั เรยี นจะเปน็ ผ๎มู เี จตคติที่ดีตอํ การเรยี นการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ขอ้ จากัดของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั มดี ังน้ี คอื 1. ใชเ๎ วลามากในการสอนแตํละครงั้ 2. ถา๎ สถานการณ์ที่ครูผส๎ู อนสร๎างขน้ึ ไมทํ าให๎นําสนใจ แปลกใจ จะทาให๎นักเรยี น 254
เบอื่ หนาํ ยและถ๎าครผู สู๎ อนไมํเขา๎ ใจบทบาทหนา๎ ทใ่ี นการสอนวิธนี ้ี มงํุ ควบคุมพฤตกิ รรมของนกั เรียนมาก เกนิ ไปจะทาใหน๎ ักเรียนไมํมีโอกาสได๎สืบเสาะหาความรด๎ู ว๎ ยตนเอง 3. นักเรยี นทมี่ รี ะดบั สตปิ ัญญาต่ําและเน้ือหาวชิ าคอํ นข๎างยาก นักเรียนอาจจะไมสํ ามารถ ศึกษาหาความร๎ูได๎ดว๎ ยตนเองได๎ 4. นกั เรียนบางคนทย่ี ังไมเํ ป็นผู๎ใหญพํ อ ทาใหข๎ าดแรงจูงใจของนักเรียนในการศกึ ษา คน๎ ควา๎ ลดลง 5. ถ๎าใช๎การสอนแบบนอี้ ยํเู สมอ อาจทาให๎ความสนใจของนักเรียนในการศกึ ษาลดลง สรุปวําการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ 7 ขัน้ เป็นการสอนทีด่ ี นักเรยี นเรยี นดว๎ ยความเขา๎ ใจ ไมใํ ชํการเรยี นแบบทํองจา โดยมคี รูผ๎ูสอนเปน็ ผสู๎ รา๎ งบรรยากาศท่เี อ้ือตํอการเรยี นการสอนให๎นักเรยี นสร๎าง ความรู๎ดว๎ ยตนเอง ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้ จากการศึกษาคน๎ ควา๎ คร้ังนพ้ี บวาํ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู๎ โดยใชแ๎ ผนการจดั กจิ กรรม การเรยี นรแ๎ู บบสบื เสาะหาความร๎ู 7 ข้ัน กลุมํ สาระการเรียนรวู๎ ิทยาศาสตร์ เร่อื งสารในชีวิตประจําวนั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 สามารถพัฒนาความคิดสรา๎ งสรรค์ ทาให๎ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตรข์ อง นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 สงู ขนึ้ ดงั นน้ั ผูศ๎ ึกษาคน๎ คว๎ามคี วามคิดเหน็ วํา การจัดกจิ กรรมการเรยี นการ สอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขั้น เป็นเครอื่ งมืออยํางหน่ึงของครทู ี่จะนามาใชใ๎ นการพฒั นาการเรยี นการ สอน ซ่ึงผศู๎ กึ ษาค๎นคว๎ามีข๎อแนะนา คือ 1.1 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู๎ ดยใช๎กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ทู ่ีผู๎ศกึ ษา คน๎ คว๎าสร๎างข้นึ เปน็ แผนที่มีคุณภาพเหมาะสมกบั การนาไปประยกุ ตใ์ ช๎ได๎ทุกชวํ งช้ัน โดยสามารถนาไปเป็น แนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนได๎ทกุ กลมํุ สาระ 1.2 ครผู ๎ูสอนสามารถปรับเน้ือหาสาระในบางแผนใหเ๎ หมาะสมกับระดบั ชนั้ อ่นื ๆ และ หลักสูตรสถานศึกษาแล๎วจดั กิจกรรมการเรียนร๎ูโดยใช๎กระบวนการสบื เสาะหาความร๎ู 7 ข้ันไดท๎ ุกระดับชั้น 1.3 ควรสํงเสริมให๎ทงั้ รายบคุ คลและรายกลุํมกลา๎ แสดงความคดิ เหน็ ในระหวาํ งการ อภปิ รายกลํุม พร๎อมทง้ั สํงเสริมให๎เหน็ คณุ คาํ ของการชํวยเหลือกันในการทํางานกลํมุ 5.12 การสอนแบบทดลอง (Experimental Method) วิธีการสอนแบบทดลองเป็นวิธีสอนท่ีนิยมใช๎ในการสอน เพ่ือให๎นักเรียนค๎นคว๎าหาความ จริงดว๎ ยตนเอง ในการสอนโดยการทดลองน้ัน ครูจะยกปัญหาข้ึนมากระตุ๎นให๎นักเรียนเกิดความสงสัยใครํ หาคําตอบ ครจู ะไมอํ ธิบายหลักการหรือทฤษฎคี วามรู๎เก่ียวกับเน้ือหา แตํครูจะให๎นักเรียนนักเรียนได๎ลงมือ ปฏิบัตทิ ดลองด๎วยตนเอง จากการท่ีนักเรียนได๎ลงมือปฏิบัติด๎วยตนเองน้ี จะทําให๎ทราบคําตอบของปัญหา 255
โดยดูจากผลท่ไี ดจ๎ ากการทดลอง การสอนโดยวิธีทดลองนี้เป็นการเรียนที่นักเรียนมีสํวนรํวมในการกระทํา เปน็ การเรียนท่ีเรยี กวาํ Active Learning ผเู๎ รยี นจะไมเํ กดิ ความเบ่ือหนําย (ลําพอง บุญชํวย, 2530 : 148) การสอนแบบทดลองสวํ นมากใชก๎ ับวิชาวิทยาศาสตร์ที่ใช๎การทดลองเป็นวิธีการสอน แตํ ปัจจุบันสามารถนําทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เอาไปใช๎กับเนื้อหาวิชาอื่น ๆ ได๎ นอกจากน้ีการ สอนแบบน้ียังสามารถพัฒนาทักษะอ่ืนๆ ได๎ด๎วย เชํน ทักษะการคิด การวิเคราะห์ กระบวนการกลุํม การคดิ รวบยอด ฯลฯ (ชาญชยั ยมดษิ ฐ์, 2548 : 222) ทิศนา แขมมณี (2550 : 333) ได๎ให๎ความหมายของการสอนโดยใช๎การทดลองไว๎อยําง ชัดเจนวํา การสอนโดยใช๎การทดลอง คือ กระบวนการท่ีผ๎ูสอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ตาม วัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการท่ีผู๎สอน/ผู๎เรียนกําหนดปัญหาและสมมุติฐานในการทดลอง ผู๎สอนให๎ คําแนะนําแกํผู๎เรียนและให๎ผู๎เรียนลงมือทดลองปฏิบัติตามข้ันตอนที่กําหนด ใช๎วัสดุอุปกรณ์ที่จําเป็น เก็บรวบรวมขอ๎ มลู วเิ คราะห์ขอ๎ มูล สรุปอภปิ รายผลการทดลองและสรุปการเรียนร๎ูทีไ่ ดจ๎ ากการทดลอง ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช๎การทดลองมีความสําคัญตํอท้ังผู๎เรียนและผ๎ูสอน โดย การสอนแบบทดลองมจี ดุ มุํงหมายทีส่ ําคญั ดงั น้ี (อาภรณ์ ใจเทยี่ ง, 2550 : 157) 1. เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นไดร๎ บั ประสบการณต์ รงจากการทดลอง ค๎นควา๎ ด๎วยตนเอง 2. เพ่ือให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะในการใช๎เคร่ืองมือ อุปกรณ์การทดลองตําง ๆ ให๎สามารถ ใช๎ไดอ๎ ยาํ งถูกตอ๎ ง เปน็ แนวทางในการประดิษฐค์ ิดคน๎ ส่งิ ใหมํตอํ ไป 3. เพื่อฝึกฝนการปฏบิ ตั ิงานทดลองคน๎ ควา๎ ข๎อเท็จจรงิ อยํางมีระบบขั้นตอนและรอบคอบ 4. เพอื่ ฝกึ การสงั เกต คิดวเิ คราะห์ สรุปผล และรายงานตามความเป็นจริงท่คี ๎นพบ ทิศนา แขมมณี (2550 : 332) ได๎กลําวถึงจุดมํุงหมายของวิธีสอนโดยใช๎การทดลองวํา เปน็ วิธกี ารทีม่ ํงุ ชวํ ยให๎ผ๎ูเรียนรายบุคคลหรือรายกลํุม เกิดการเรียนร๎ูโดยเห็นผลประจักษ์จากการคิดและ การกระทาํ ของตนเอง ทาํ ให๎การเรยี นร๎ูน้นั ตรงกบั ความเปน็ จริง มีความหมายสาํ หรบั ผ๎เู รยี นและจําได๎นาน และสามารถ คงสะอาด (2535 : 72-73) ได๎อธิบายถึงจุดมํุงหมายของวิธีการสอนแบบ ทดลองไวเ๎ ชํนเดียวกนั ดังนี้ 1. เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎รับความร๎ูความเข๎าใจจากประสบการณ์ตรงโดยการสังเกต และการทดลอง 2. เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนมีทักษะคลํองแคลํวในการนําไปใช๎ เชํน การเพิ่มอัตราเร็ว ในการอาํ น การทําอาหาร การใช๎เคร่อื งมอื ในห๎องปฏบิ ัติการตาํ ง ๆ 3. เพ่อื ฝกึ ใหผ๎ เ๎ู รยี นมีความคดิ สรา๎ งสรรค์และแสดงความคิด 4. เพื่อเรา๎ ให๎ผู๎เรียนสนใจบทเรียนย่ิงข้ึน เพราะผ๎ูเรียนได๎มีสํวนรํวมในการเรียน การสอนและเป็นการเรยี นโดยการกระทํา 5. เพอ่ื ฝึกให๎ผู๎เรียนร๎จู ักการแกป๎ ัญหาในสภาพการณต์ ําง ๆ ได๎ 256
จากทั้งหมดที่กลําวมา จึงเห็นได๎วําจุดมุํงหมายของวิธีการสอนโดยการทดลอง มี ความสําคญั ตอํ ผ๎เู รยี นเป็นอยาํ งมาก ซ่งึ จะสรปุ จุดมํุงหมายทีส่ ําคญั ไดด๎ ังตํอไปน้ี 1. เพ่ือให๎นักเรียนได๎ร๎ูและเข๎าใจจากประสบการณ์โดยตรงจากการสังเกตและ การทดลอง 2. เพอ่ื ฝกึ ให๎ผ๎เู รียนเป็นคนมเี หตผุ ลในการค๎นควา๎ หาความรูด๎ ว๎ ยตนเอง 3. เพอ่ื ฝกึ ใหผ๎ เ๎ู รียนเกิดทกั ษะในการใช๎เครื่องอปุ กรณต์ าํ งๆ ไดอ๎ ยํางถกู ต๎อง 4. เพ่ือสํงเสรมิ ใหผ๎ ๎ูเรียนสรุปกฎเกณฑแ์ ละทฤษฎีจากการทดลอง 5. เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเกิดทักษะกระบวนการคิด กระบวนการกลุํม รวมทั้ง เกดิ ความคดิ สรา๎ งสรรค์ 6. เพ่ือฝึกให๎ผู๎เรียนเกิดกระบวนการทํางานรํวมกัน เกิดทักษะในการแก๎ปัญหา ในสภาพการณ์ตาํ งๆ ได๎ 7. เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจบทเรียนได๎ดียิ่งข้ึน สํงผลให๎เกิดการเรียนรู๎และมี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นทสี่ งู ขึ้น องค์ประกอบของการสอนโดยการทดลอง ในการสอนโดยใช๎การสอนทดลองมีองค์ประกอบที่สําคัญ (ท่ีขาดไมํได๎) ของวิธีสอนดังน้ี (ทิศนา แขมมณ,ี 2550 : 333) 1. มผี ๎สู อนและผู๎เรยี น 2. มปี ัญหาและสมมตฐิ านในการทดลอง 3. มีวสั ดอุ ุปกรณส์ าํ หรบั การทดลอง 4. มกี ารทดลอง 5. มีผลการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รียนท่เี กดิ จากการทดลอง การสอนโดยใช๎การทดลองเปน็ การสอนทีท่ ้ังผส๎ู อนและผูเ๎ รียนได๎ดําเนินกิจกรรมการเรียน การสอนรํวมกัน สมาชิกทุกคนในชั้นจะได๎มีโอกาสลงมือปฏิบัติ ได๎คิดวิเคราะห์ ฝึกฝนแก๎ปัญหา ดังนั้นใน การทดลองก็ต๎องมีปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง เมื่อต๎องการทดสอบสมมติฐานก็วางแผนการ ทดลองและจดั เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์สาํ หรบั การทดลอง และลงมือปฏิบัตกิ ารทดลอง และท่ีสําคัญยิ่งก็คือต๎อง มีผลการเรยี นรขู๎ องผ๎เู รียนทเ่ี กิดจากการทดลอง ขั้นตอนของการสอนโดยการทดลอง ข้ันตอนการเรียนการสอนโดยการทดลองน้ัน นักวิชาการได๎เสนอขั้นตอนของการสอน โดยการทดลองทส่ี าํ คัญ ซึ่งมีข้นั ตอนท่ีแตกตาํ งกัน ไว๎ดังน้ี 257
ทิศนา แขมมณี (2550 : 333) ได๎กลําวถึงขั้นตอนสําคัญของการสอนโดยการทดลอง มี ขั้นตอนดงั นี้ 1. ผส๎ู อน/ผูเ๎ รยี นกาํ หนดปัญหาและสมมตฐิ านในการทดลอง 2. ผ๎ูสอนให๎ความร๎ูท่ีจําเป็นตํอการทดลอง ให๎ขั้นตอนและรายละเอียดใน การทดลองแกผํ ู๎เรยี น โดยใช๎วธิ กี ารตํางๆ ตามความเหมาะสม 3. ผูเ๎ รียนลงมือทดลองโดยใช๎วัสดุอุปกรณท์ ่ีจําเปน็ ตามขน้ั ตอนทีก่ ําหนดและ บันทกึ ขอ๎ มูลการทดลอง 4. ผเ๎ู รียนวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง 5. ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนอภปิ รายผลการทดลอง และสรปุ การเรียนร๎ู 6. ผ๎สู อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ขู องผู๎เรยี น อาภรณ์ ใจเที่ยง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายขั้นตอนการสอนโดยการทดลองมี 5 ข้ันตอน ด๎วยกัน คอื 1. ขนั้ เตรียมการทดลอง 2. ขั้นทดลอง 3. ขนั้ เสนอผลการทดลอง 4. ขน้ั อภิปรายสรุปผล 5. ขัน้ ประเมนิ ผล ไสว ฟักขาว (2544 : 104) ได๎เสนอขนั้ ตอนการสอนโดยใช๎ทดลองออกเปน็ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นนํา 2. ขนั้ ทดลอง 3. ขั้นเสนอผลการทดลอง 4. ขั้นสรุปผล ในที่นี้ขอนําเสนอข้ันตอนการสอนโดยใช๎การทดลองเป็น 3 ข้ันตอน คือ 1) ข้ันเตรียมการ สอน 2) ขั้นสอนโดยใช๎การทดลอง และ 3) ขั้นวิเคราะห์ สรุปและประเมินผล โดยมีรายละเอียด ดังตํอไปนี้ 1. ข้ันเตรียมการสอน ขน้ั ตอนการเตรียมการสอนโดยใชก๎ ารทดลองเป็นการเตรียมการสอนที่คุณครูต๎องใช๎เวลา และการเตรยี มการพอสมควร เพราะต๎องมีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งเอกสารความร๎ู วิธีการทดลอง และอื่นๆ ดังน้ันครูต๎องเตรียมส่ิงตํางๆ ดังกลําวไว๎ให๎พร๎อม และมีข๎อควรระวังหลายประการดังที่ นกั วชิ าการทาํ นไดแ๎ นะนําไว๎ ดังนี้ 258
ทิศนา แขมมณี (2550 : 334 - 335) ได๎เสนอแนะวํา การเตรียมการสอนโดยใช๎การ ทดลองนั้นผู๎สอนจะต๎องกําหนดจุดมุํงหมาย กําหนดตัวปัญหาท่ีจะใช๎ในการทดลอง และกระบวนการ หรือขั้นตอนในการดําเนินการทดลองให๎ชัดเจน รวมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ท่ีจะใช๎ในการทดลองให๎ พร๎อม และลองซ๎อมทําการทดลองด๎วยตนเอง เพ่ือจะให๎เรียนร๎ูและแก๎ไขประเด็นปัญหาข๎อขัดข๎อง นอกจากนี้ผ๎ูสอนอาจจําเป็นต๎องทําเอกสารคูํมือการทดลองให๎ผู๎เรียน และอาจจัดทําประเด็นคําถามที่จะ ให๎ผ๎ูเรียนหาคําตอบหรือแนวทางท่ีจะให๎ผ๎ูเรียนสังเกตการทดลอง นอกจากน้ันในบางกรณีท่ีการทดลอง ตอ๎ งอาศัยพื้นฐานความร๎ทู จี่ ําเปน็ ซ่ึงหากผเ๎ู รยี นขาดความรูด๎ ังกลําวไมํสามารถทําการทดลองได๎ จึงควรมี การตรวจสอบความร๎ูผู๎เรียนกอํ นใหท๎ ําการทดลอง และผ๎ูสอนจะต๎องตรวจสอบความปลอดภัยรวมทั้งการ เตรียมการทงั้ ทางด๎านปอู งกันและแก๎ไขปัญหาทอ่ี าจเกดิ ขึ้นด๎วย อาภรณ์ ใจเท่ียง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ไว๎ดงั นี้ ดงั นี้ 1. กําหนดจุดประสงค์ ผู๎สอนต๎องศึกษาหลักสูตร คํูมือครู หรือแผนการสอนแล๎วตั้ง จุดประสงค์การสอนให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผู๎เรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎างจาก การเรียน ด๎วยการลงมอื ทดลองปฏบิ ัติ 2. วางแผนการทดลอง เป็นขั้นที่ผ๎ูสอนต๎องลําดับข้ันตอนการสอนและเตรียมกําหนด กจิ กรรมไว๎ลํวงหน๎าวําจะนําเขา๎ สูบํ ทเรียนอยาํ งไรใหผ๎ เ๎ู รียนไดท๎ ดลองตามลาํ ดบั ขน้ั อยาํ งไรบ๎าง สรุปผลการ ทดลองและเสนอผลตอนใด อยํางไร หรือโดยวิธใี ด เปน็ ต๎น 3. จดั เตรียมวัสดุและเคร่ืองมือ ตลอดจนแบบบันทึกผลการทดลองและแบบประเมินผล ผูส๎ อนตอ๎ งเตรยี มไวใ๎ ห๎พร๎อม ให๎มีจํานวนมากเพยี งพอกบั จํานวนนกั เรียน และอยํูในสภาพท่ีใช๎การได๎ 4. ตรวจสอบความถูกต๎องและประสิทธิภาพของเคร่ืองมือ วัสดุที่ใช๎ ผู๎สอนควรได๎ ทดลองใช๎เคร่ืองมือกํอนสอน เพื่อให๎เห็นปัญหาท่ีอาจจะเกิดขึ้นได๎ลํวงหน๎า และเพ่ือประโยชน์ในการ แนะนํา ตักเตอื น ผเ๎ู รยี นในขณะทดลอง 5. เตรียมแบํงกลุํมผ๎ูเรียน ผู๎สอนต๎องกําหนดกลํุมผู๎เรียนให๎เหมาะสม ไมํควรเป็นกลํุม ใหญํมาก เพื่อให๎ผู๎เรียนทุกคนได๎เรียนร๎ูวิธีทดลองอยํางทั่วถึง การแบํงกลุํมผ๎ูเรียนนี้ต๎องสอดคล๎องกับ จํานวนวสั ดุ เคร่อื งมือ อุปกรณ์ที่มีอยํู สรุปได๎วํา ข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูสอนควรดําเนินการตาม ขัน้ ตอน ดังนี้ 1) ต้ังจุดประสงค์ให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎าง 2) วาง แผนการทดลองและกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 3) จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ให๎พร๎อม 4) ลองซ๎อม ทําการทดลองด๎วยตนเองเพ่ือแก๎ไขปัญหาข๎อขัดข๎อง หรือเพื่อประโยชน์ในการแนะนํา ตักเตือนผ๎ูเรียน ในขณะทดลอง 5) เตรียมเอกสารคูํมือการทดลองพร๎อมใบความรู๎และคําถาม 6) เตรียมแบํงกลํุมผู๎เรียน 259
และ 7) ควรตรวจสอบความร๎ผู เู๎ รยี นกอํ นใหท๎ ําการทดลอง หากการทดลองน้ันผ๎ูเรียนไมสํ ามารถดําเนินการ ได๎หรือขาดความร๎ูพ้นื ฐาน 2. ขน้ั การสอนโดยใช้การทดลอง ขั้นการทดลองและวิเคราะห์เป็นข้ันที่ผู๎สอนได๎ทดลอง หรือให๎ผ๎ูเรียนทําการ ทดลองดว๎ ยตัวเอง ซ่งึ เปน็ ข้นั ท่ีมีความสาํ คญั มาก ดงั ที่นกั วิชาการไดแ๎ นะนาํ ไว๎ดังน้ี อาภรณ์ ใจเที่ยง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายข้ันตอนการสอนโดยใช๎ทดลองไว๎วํา กํอนการทดลองจะต๎องมีการข้ันนําเข๎าสํูบทเรียน เพื่อเร๎าความสนใจ โดยผ๎ูสอนควรได๎แจ๎งจุดประสงค์ การทดลอง ขน้ั ตอน วธิ กี ารทดลอง แนะนาํ การใชเ๎ ครอ่ื งมือ วัสดุอุปกรณ์ให๎ผู๎เรียนได๎ทราบบทบาทของ ตน และให๎การศึกษาคํูมือปฏิบัติการกํอนลงมือทดลอง เม่ือถึงข้ันการทดลอง ผู๎เรียนเป็นผ๎ูดําเนินการ ทดลองเอง โดยมผี ๎สู อนคอยดูแล แนะนํา ชํวยเหลอื เป็นการทดลองท่ีอาจกํอให๎เกิดอันตรายได๎ ผู๎สอน ตอ๎ งควบคุมดูแลอยาํ งใกลช๎ ดิ ทิศนา แขมมณี (2550 : 334 - 335) กลําววํา ในการทดลองน้ันสามารถทําได๎ หลายแบบ ผ๎ูสอนอาจทาํ ให๎ผเ๎ู รยี นลงมอื ทดลองตามข้นั ตอนที่ได๎กําหนดไว๎ท้ังหมด โดยครูทําหน๎าท่ีสังเกต และให๎คําแนะนําหรือให๎ข๎อมูลปูอนกลับแกํผู๎เรียน หรือผู๎สอนลงมือทําการลองทดลองเอง ให๎ผ๎ูเรียน สังเกต แล๎วทําการทดลองตามไปทีละขั้น หรือผู๎สอนอาจลงมือทําการทดลองให๎ผู๎เรียนดูจนจบ กระบวนการแล๎วให๎ผเ๎ู รยี นไปทําการทดลองด๎วยตนเอง ผ๎ูสอนจะใช๎เทคนิคใดน้ันข้ึนกับความเหมาะสมกับ ลักษณะของการทดลองครัง้ นนั้ ผเู๎ รยี นจะเรยี นด๎วยวธิ นี ้ีได๎ดี หากมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ี จําเปน็ ผส๎ู อนจึงควรฝึกฝนใหผ๎ ๎ูเรยี นกํอนใหผ๎ เ๎ู รยี นทําการทดลอง หรอื ไมํก็ต๎องฝกึ ไปพรอ๎ ม ๆ กัน สรุปได๎วํา ในข้ันตอนของการสอนโดยใช๎การทดลองผ๎ูสอนดําเนินการนําเข๎าสํู บทเรียน และแจ๎งจุดประสงค์การเรียนร๎ูเชํนเดียวกับการสอนโดยทั่วไป แตํท่ีพิเศษก็คือ ครูต๎องแนะนํา วิธีการทดลอง การสังเกต การใช๎คํูมือปฏิบัติการทดลอง ข๎อควรระมัดระวัง แล๎วผ๎ูเรียนเร่ิมปฏิบัติการ ทดลองดว๎ ยตัวเอง หรอื ผูส๎ อนทําการทดลองไปทีละครั้งแล๎วผู๎เรียนปฏิบัติตาม หรือผ๎ูสอนทําการทดลองให๎ ผู๎เรยี นดูจนจบกระบวนการแลว๎ ให๎ผู๎เรียนทดลองด๎วยตนเอง จะใช๎วิธีใดก็แล๎วแตํความเหมาะสมของความ ยากงาํ ย ของการทดลองและเวลาท่ีมี ผู๎สอนอาจวางแผนการทดลองรํวมกับผ๎ูเรียนก็ได๎ เพื่อเสริมสร๎างทักษะ กระบวนการคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให๎ผู๎เรียนมากยิ่งขึ้น แตํอยํางไรก็ตามก็ให๎แนํใจวําการ ทดลองนัน้ ปลอดภัยโดยผ๎ูสอนตอ๎ งตรวจสอบแผนการทดลองกอํ นการทดลองจริงของผูเ๎ รยี น 3. ขน้ั วิเคราะห์ สรุปและประเมินผล ข้ันวิเคราะห์ สรุปและประเมินผล เป็นข้ันตอนท่ีสําคัญมาก หากผู๎เรียนไมํ สามารถวเิ คราะห์และสรปุ ผลการทดลองได๎ ผลการเรียนร๎ขู องผูเ๎ รียนก็ไมบํ รรลุวัตถุประสงค์ 260
ทิศนา แขมมณี (2550 : 335) กลําววํา การวิเคราะห์สรุปผลการทดลองและ สรุปการเรียนร๎ู ผ๎ูสอนควรให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข๎อมูลและการสรุปผล ซ่ึงจะชํวย ให๎ผู๎เรียนได๎พัฒนาทักษะกระบวนการคิดและทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์ ซ่ึงสามารถนําไปใช๎ ประโยชน์ในเร่ืองอื่น ๆ ได๎อีกมาก นอกจากนั้น ผ๎ูสอนควรให๎ผู๎เรียนมีการวิเคราะห์อภิปรายเกี่ยวกับ กระบวนการในการแสวงหาความรู๎ กระบวนการทํางาน และกระบวนการอื่น ๆ และสรุปการเรียนรู๎ รวํ มกนั ดว๎ ย อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 157) ได๎อธิบายวําในขั้นน้ีผู๎เรียนจะแลกเปล่ียน ประสบการณ์ที่ตนได๎รับ เชํน บางกลุํมอาจได๎ผลการทดลองที่คลาดเคล่ือนก็จะได๎ชํวยกันวิเคราะห์สาเหตุ วําผิดพลาดที่ขั้นตอนใดและมีแนวทางในการแก๎ปัญหาอยํางไร ในข้ันนี้ผู๎สอนจะมีบทบาทในการให๎ความ คิดเห็นเพิ่มเติมย้ําประเด็นสําคัญ และสรุปหลักการ ความคิดรวบยอดที่ได๎จากการทดลอง เม่ือการ อภิปรายสรุปผลเสร็จส้ินลง ผ๎ูสอนควรได๎ประเมินผลผู๎เรียนในด๎านตําง ๆ และแจ๎งให๎ผู๎เรียนทราบเพื่อ การปรับปรุงแก๎ไขในการทดลองท่ีจะมีขึ้นในครั้งตํอไป เชํน ประเมินด๎านการใช๎เคร่ืองมือ ด๎านความ ละเอียดรอบคอบในการทดลอง ด๎านการจดบันทึก ผลการทดลอง ด๎านการรายงานผล ด๎านการให๎ ความรวํ มมอื กับกลํุม เปน็ ตน๎ หลังการทดลองแลว๎ ผู๎สอนตอ๎ งติดตามการวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลองของ ผ๎ูเรียน พร๎อมท้ังให๎คําแนะนําตอบข๎อสงสัย ให๎ความคิดเห็นเพ่ิมเติมและย้ําประเด็นสําคัญ และในตอน สุดทา๎ ยผสู๎ อนและผเ๎ู รยี นควรรํวมกันอภิปรายและสรุป หลักการความคดิ รวบยอดที่ได๎จากการทดลอง และ ผ๎ูสอนควรได๎ประเมินผู๎เรียนในทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝึกปฏิบัติ การค๎นคว๎าหาขอ๎ มูล เปน็ ตน๎ จุดเดน่ ของการสอนโดยใชก้ ารทดลอง การสอนโดยใช๎การทดลองเป็นการสอนที่เน๎นทักษะกระบวนการหลายๆ อยําง โดยเฉพาะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นการสอนที่ผู๎เรียนมีสํวนรํวมอยํางมากใน กิจกรรมการเรยี นการสอน นักวิชาการบางทาํ นได๎กลําวถึงจุดเดํนหรือข๎อดีของการสอนโดยวิธีน้ีวํามีหลาย ประการ ดังนี้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 158) ก็ยังได๎กลําวถึงจุดเดํนของการสอนแบบทดลองไว๎หลาย ประการดงั น้ี 1. ผู๎เรยี นได๎ประสบการณต์ รงในการเรยี นรู๎ขณะลงมือปฏิบัติการทดลองด๎วยตนเอง 2. ผู๎เรียนเกดิ ทกั ษะของกระบวนการในการใชค๎ วามคิดอยาํ งมีเหตุผล 3. ผู๎เรียนมีทักษะในการใชเ๎ ครอื่ งมือและอุปกรณ์ตาํ ง ๆ 4. ผู๎เรียนได๎ทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝึก ปฏบิ ัติ การค๎นควา๎ หาขอ๎ มลู เป็นต๎น 261
5. ผ๎ูเรียนสามารถนําผลจากการทดลองไปใช๎ให๎เป็นประโยชน์ในการศึกษาขั้นตํอไป และในชวี ิตจริง 6. ผูเ๎ รยี นเกดิ ความรู๎สึกสนุกและตนื่ เต๎นกับการทดลอง ทําให๎บทเรียนนําสนใจยง่ิ ขึ้น ทิศนา แขมมณี (2550 : 336) กลาํ วถึงจดุ เดํนของวธิ ีสอนโดยใช๎การทดลอง ไว๎ดังนี้ 1. เป็นการสอนท่ีผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรง ได๎ผํานกระบวนการตําง ๆ ได๎พิสูจน์ ทดสอบ และเห็นผลประจักษด์ ว๎ ยตนเอง จึงเกดิ การเรียนรไ๎ู ดด๎ ี มคี วามเขา๎ ใจ และจะจดจําการเรียนร๎ูน้ัน ไดน๎ าน 2. เป็นวิธีสอนที่ผู๎เรียนมีโอกาสได๎เรียนรู๎และพัฒนาทักษะกระบวนการตําง ๆ จํานวน มาก เชํน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู๎ ทักษะกระบวนการ คดิ และทกั ษะกระบวนการกลํุม รวมทงั้ ได๎พัฒนาลกั ษณะนสิ ยั ใฝรุ ๎ู 3. เปน็ วธิ ีการสอนทผ่ี ๎เู รยี นมีสํวนรํวมในกิจกรรมมาก จะทําให๎เกิดความกระตือรือร๎นใน การเรียนร๎ู สรุปไดว๎ าํ การสอนโดยใช๎การทดลอง มีจุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนหลาย ประการ ซงึ่ ประมวลสรปุ ประเดน็ ทน่ี ําสนใจ ดังน้ี 1. ผูเ๎ รยี นไดป๎ ระสบการณต์ รงจงึ เกิดการเรยี นรไ๎ู ดดแี ละจดจาํ ได๎นาน 2. ผู๎เรียนมีโอกาสได๎เรียนรู๎ทักษะกระบวนการตํางๆ จํานวนมาก เชํน ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความร๎ู ทักษะกระบวนการคิด และทักษะ กระบวนการกลุมํ รวมท้งั ไดพ๎ ัฒนาลักษณะนสิ ัยใฝุรู๎ 3. ทําให๎เกิดความกระตอื รือรน๎ ในการเรียนร๎แู ละสนกุ ต่นื เต๎นในการทดลอง 4. ผ๎ูเรียนสามารถนําผลจากการทดลองไปใช๎ให๎เป็นประโยชน์ในการศึกษาขั้นตํอไปและ ในชวี ติ จริง ข้อจากัดของการสอนโดยใชก้ ารทดลอง ทศิ นา แขมมณี (2550 : 336) กลําวถึง ข๎อจาํ กดั ของการสอนโดยใชก๎ ารทดลอง ไวด๎ ังนี้ 1. เป็นการสอนที่มีคําใช๎จํายสูง เน่ืองจากจําเป็นต๎องมีอุปกรณ์ เครื่องมือ วัสดุ สําหรับ ผู๎เรียนจํานวนมาก หรือในกรณีที่ต๎องออกไปเก็บข๎อมูลนอกสถานท่ี ก็ต๎องมีคําใช๎จํายพาหนะ ท่ีพัก และ วัสดตุ ําง ๆ ดว๎ ย 2. เปน็ วธิ ีการสอนทใี่ ชเ๎ วลามาก เน่ืองจากการดาํ เนินการแตลํ ะข้นั ตอนตอ๎ งใชเ๎ วลา 3.เป็นวิธีสอนท่ีผู๎สอนต๎องมีความรู๎ ความเข๎าใจ และมีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จงึ จะสามารถสอนและฝึกฝนใหผ๎ ู๎เรียนเกิดการเรยี นรไู๎ ด๎ดี อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 158) ให๎ความเห็นถึงข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ไวห๎ ลายประการดงั น้ี 262
1. ในการดาํ เนินการทดลอง ถ๎ากระทาํ ผดิ ขั้นตอนอาจเกดิ อนั ตรายได๎ 2. อาจเสียเวลาในการเรยี นการสอนมากเพื่อรอผลการทดลอง 3. การสอนแบบทดลองบางครั้งต๎องใช๎ทรัพยากรมากทําให๎มีการลงทุนสูง ซึ่งอาจไมํ ไดผ๎ ลคม๎ุ คํากับการทไี่ ด๎ลงทุนไป 4. ในบางครั้งถ๎าเป็นการทดลองโดยกลุํมอาจมีผ๎ูเรียนหรือสมาชิกของกลุํมหลีกเล่ียง การปฏบิ ัติงาน ทําใหก๎ ารเรยี นการสอนไมบํ รรลุวตั ถปุ ระสงค์เทาํ ทค่ี วร จากที่นักวิชาการได๎กลําวถึงข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูเขียนประมวล สาระสําคัญและเพิม่ เติมขอ๎ คดิ เหน็ ดงั นี้ 1. เป็นการสอนท่ีมีคําใช๎จํายสูงในสํวนของวัสดุ อุปกรณ์และและการเก็บข๎อมูลนอก สถานท่ี 2. ใชเ๎ วลามากในการเตรียมการสอนและดําเนนิ การทดลอง 3. ตอ๎ งระมดั ระวังเปน็ พเิ ศษในการใชว๎ สั ดุ อุปกรณ์เพราะอาจเกิดอนั ตรายได๎ 4. ในบางครั้งถ๎าเป็นการทดลองโดยกลุํมอาจมีผ๎ูเรียนหรือสมาชิกของกลุํมหลีกเลี่ยง การปฏบิ ัติงาน ทําใหก๎ ารเรยี นการสอนไมบํ รรลวุ ัตถุประสงค์เทาํ ทค่ี วร กลําวโดยสรุปการสอนโดยใชก๎ ารทดลอง คือ กระบวนการที่ผู๎สอนใชใ๎ นการชวํ ยให๎ผ๎ูเรียน เกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการท่ีผู๎สอน/ผู๎เรียนกําหนดปัญหาและสมมุติฐานในการ ทดลอง ผู๎สอนให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียนและให๎ผู๎เรียนลงมือทดลองปฏิบัติตามข้ันตอนท่ีกําหนด ใช๎วัสดุ อปุ กรณท์ ี่จําเป็น เกบ็ รวบรวมขอ๎ มูล วเิ คราะหข์ อ๎ มูล สรปุ อภิปรายผลการทดลองและสรุปการเรียนรู๎ที่ได๎ จากการทดลอง จุดมํุงหมายที่สําคัญของการสอนโดยใช๎การทดลอง คือ 1) เพื่อให๎นักเรียนได๎ร๎ูและเข๎าใจ จากประสบการณ์โดยตรงจากการสังเกตและการทดลอง 2) เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนเป็นคนมีเหตุผลในการ ค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วยตนเอง 3) เพื่อฝึกให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะในการใช๎เคร่ืองอุปกรณ์ตํางๆ ได๎อยํางถูกต๎อง 4) เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎีจากการทดลอง 5) เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเกิดทักษะ กระบวนการคิด กระบวนการกลํุม รวมท้ังเกิดความคิดสร๎างสรรค์ 6) เพื่อฝึกให๎ผ๎ูเรียนเกิดกระบวนการ ทํางานรํวมกัน เกิดทักษะในการแก๎ปัญหาในสภาพการณ์ตํางๆ ได๎ และ 7) เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจบทเรียน ได๎ดียิง่ ข้นึ สงํ ผลใหเ๎ กิดการเรยี นร๎แู ละมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นท่สี งู ข้นึ การสอนโดยใช๎การทดลองเป็นการสอนทีท่ ้งั ผสู๎ อนและผูเ๎ รียนได๎ดําเนินกิจกรรมการเรียน การสอนรํวมกัน สมาชิกทุกคนในชั้นจะได๎มีโอกาสลงมือปฏิบัติ ได๎คิดวิเคราะห์ ฝึกฝนแก๎ปัญหา ดังน้ันใน การทดลองก็ต๎องมีปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง เมื่อต๎องการทดสอบสมมติฐานก็วางแผนการ ทดลองและจดั เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณส์ ําหรับการทดลอง และลงมือปฏิบตั กิ ารทดลอง และท่ีสําคัญย่ิงก็คือต๎อง มผี ลการเรยี นร๎ขู องผูเ๎ รยี นทีเ่ กิดจากการทดลอง 263
ขั้นตอนการสอนโดยใช๎การทดลองแบํงเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1.ข้ันเตรียมการสอน 2.ขั้น สอนโดยใช๎การทดลอง และ 3. ขัน้ วเิ คราะห์ สรปุ และประเมนิ ผล โดยมรี ายละเอียดดังตอํ ไปนี้ ขน้ั ตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูสอนควรดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ตั้งจุดประสงค์ให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎าง 2) วางแผนการทดลอง และกาํ หนดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 3) จัดเตรยี มวสั ดุ อปุ กรณ์ให๎พร๎อม 4) ลองซ๎อมทําการทดลองด๎วย ตนเองเพ่ือแก๎ไขปัญหาข๎อขัดข๎อง หรือเพื่อประโยชน์ในการแนะนํา ตักเตือนผู๎เรียนในขณะทดลอง 5) เตรียมเอกสารคํูมือการทดลองพร๎อมใบความรู๎และคําถาม 6) เตรียมแบํงกลุํมผ๎ูเรียน และ 7) ควร ตรวจสอบความรผ๎ู ๎ูเรียนกํอนให๎ทาํ การทดลอง หากการทดลองน้ันผู๎เรียนไมํสามารถดําเนินการได๎หรือขาด ความร๎พู ้ืนฐาน ในข้ันตอนของการสอนโดยใช๎การทดลองผ๎ูสอนดําเนินการนําเข๎าสํูบทเรียน และแจ๎ง จุดประสงค์การเรียนรู๎เชํนเดียวกับการสอนโดยท่ัวไป แตํท่ีพิเศษก็คือ ครูต๎องแนะนําวิธีการทดลอง การ สงั เกต การใชค๎ ูํมอื ปฏิบตั กิ ารทดลอง ข๎อควรระมดั ระวัง แล๎วผู๎เรียนเร่ิมปฏิบัติการทดลองด๎วยตัวเอง หรือ ผ๎ูสอนทําการทดลองไปทีละคร้ังแล๎วผ๎ูเรียนปฏิบัติตาม หรือผู๎สอนทําการทดลองให๎ผู๎เรียนดูจนจบ กระบวนการแล๎วให๎ผ๎ูเรียนทดลองด๎วยตนเอง จะใช๎วิธีใดก็แล๎วแตํความเหมาะสมของความยากงําย ของ การทดลองและเวลาที่มี ผ๎ูสอนอาจวางแผนการทดลองรํวมกับผ๎ูเรียนก็ได๎ เพื่อเสริมสร๎างทักษะกระบวนการคิด และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให๎ผู๎เรียนมากย่ิงข้ึน แตํอยํางไรก็ตามก็ให๎แนํใจวําการทดลองน้ัน ปลอดภัยโดยผูส๎ อนต๎องตรวจสอบแผนการทดลองกํอนการทดลองจรงิ ของผเ๎ู รียน ผ๎ูเขียนมคี วามคิดเหน็ วํา หลังการทดลองแล๎ว ผ๎ูสอนตอ๎ งตดิ ตามการวเิ คราะห์และสรุปผล การทดลองของผเู๎ รยี น พรอ๎ มทง้ั ให๎คําแนะนําตอบข๎อสงสัย ให๎ความคิดเห็นเพิ่มเติมและยํ้าประเด็นสําคัญ และในตอนสุดท๎ายผูส๎ อนและผู๎เรียนควรรํวมกันอภิปรายและสรุป หลักการความคิดรวบยอดท่ีได๎จากการ ทดลอง และผู๎สอนควรได๎ประเมินผ๎ูเรียนในทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝึกปฏบิ ตั ิ การคน๎ ควา๎ หาขอ๎ มูล เป็นต๎น จุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนของการสอนโดยใช๎การทดลอง มีอยํูหลาย ประการ ได๎แกํ 1) ผเู๎ รียนไดป๎ ระสบการณ์ตรงจงึ เกดิ การเรียนร๎ูไดดีและจดจําได๎นาน 2) ผู๎เรียนมีโอกาสได๎ เรยี นร๎ูทกั ษะกระบวนการตํางๆ จํานวนมาก เชํน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ แสวงหาความรู๎ ทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการกลุํม รวมท้ังได๎พัฒนาลักษณะนิสัยใฝุรู๎ 3) ทําให๎เกดิ ความกระตือรอื รน๎ ในการเรียนร๎ูและสนุกตื่นเต๎นในการทดลอง และ 4) ผู๎เรียนสามารถนําผล จากการทดลองไปใชใ๎ ห๎เปน็ ประโยชน์ในการศึกษาขัน้ ตํอไปและในชวี ิตจรงิ ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูเขียนประมวลสาระสําคัญและเพิ่มเติม ข๎อคิดเห็น ดังนี้ 1) เป็นการสอนที่มีคําใช๎จํายสูงในสํวนของวัสดุ อุปกรณ์และและการเก็บข๎อมูลนอก 264
สถานที่ 2) ใชเ๎ วลามากในการเตรยี มการสอนและดําเนินการทดลอง 3) ต๎องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช๎ วัสดุ อุปกรณ์เพราะอาจเกิดอันตรายได๎ และ 4) ในบางคร้ังถ๎าเป็นการทดลองโดยกลํุมอาจมีผู๎เรียนหรือ สมาชิกของกลมุํ หลีกเล่ียง การปฏิบตั งิ าน ทําให๎การเรียนการสอนไมบํ รรลุวัตถุประสงค์เทาํ ทคี่ วร คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและจุดมงุํ หมายของ “วิธีสอนโดยใชก๎ ารทดลอง” ตามความคิดเหน็ ของทาํ น 2. วธิ สี อนโดยใชก๎ ารทดลองตอ๎ งมีองคป์ ระกอบทีส่ าํ คัญอะไรบา๎ ง 3. ขั้นตอนของการสอนโดยใชก๎ ารทดลองมีขน้ั ตอนอะไรบ๎าง จงอธบิ าย 4. จงอธิบายข๎อดีและข๎อจํากดั ของการสอนโดยใชก๎ ารทดลอง มาพอสังเขป 5. ให๎ทาํ นทดลองฝกึ สอนโดยใชก๎ ารทดลอง แลว๎ ให๎เพือ่ นหรอื ผเ๎ู ชย่ี วชาญให๎คาํ ติชม หรอื อาจ บนั ทึกวีดีทศั น์ไว๎วเิ คราะห์การสอนของตนเองก็ได๎ 5.13 Problem Based Learning (Problem-Based Learning) การเรยี นรู๎โดยใชป๎ ญั หาเปน็ ฐาน เปน็ กระบวนการเรยี นรู๎โดยใช๎ปญั หาเปน็ ตัวกระตน๎ุ ให๎ ผูเ๎ รียนตั้งสมมติฐาน สาเหตแุ ละกลไกของการเกิดปัญหานั้น รวมถงึ การค๎นควา๎ ความร๎ูพ้ืนฐานท่ีเกยี่ วข๎อง กับปญั หา เพื่อนําไปสกูํ ารแก๎ปญั หาตอํ ไป โดยผ๎ูเรียนอาจไมํมีความร๎ูในเรื่องนั้นๆ มากํอน แตอํ าจใช๎ความร๎ู ทผี่ ูเ๎ รยี นมีอยเูํ ดิมหรอื เคยเรียนมา นอกจากนี้ยังมุํงให๎ผู๎เรียนใฝุหาความร๎ูเพ่ือแก๎ไขปัญหา ได๎คิดเป็น ทําเป็น มีการตัดสินใจ ท่ีดี และสามารถเรียนรู๎การทํางานเป็นทีม โดยเน๎นให๎ผู๎เรียนได๎เกิดการเรียนรู๎ด๎วยตนเอง และสามารถนํา ทักษะจาก การเรยี นมาชํวยแกป๎ ัญหาในชวี ติ การเรียนรู๎โดยใช๎ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนร๎ูจากประสบการณ์ โดยเริ่มจากการได๎ ประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปญั หา ผาํ นกระบวนการคิดและการสะท๎อนกลับ ไปสํูความรู๎และความคิดรวบ ยอด อันจะนําไปใช๎ในสถานการณ์ใหมํตํอไป การเรียนรู๎โดยใช๎ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการตอบสนองตํอ แนวคดิ constructivism โดยให๎ผู๎เรียนวิเคราะห์หรือต้ังคําถามจากโจทย์ปัญหา ผํานกระบวนการคิดและ สะท๎อนกลับ เน๎นปฏิสัมพันธ์ระหวําง ผ๎ูเรียนในกลุํม เน๎นการเรียนรู๎ที่มีสํวนรํวม นําไปสูํการค๎นคว๎าหาคา ตอบหรือสรา๎ งความร๎ูใหมบํ นฐานความรูเ๎ ดมิ ทผี่ ๎ูเรยี นมมี ากอํ นหน๎าน้ี นอกจากน้ี การเรยี นรูโ๎ ดยใช๎ปัญหาเปน็ ฐานยงั เป็นการสร๎างเงอ่ื นไขสําคัญท่ีสํงเสริมการ เรยี นร๎ู กลาํ วคือ 1. การเรียนรู๎สงิ่ ใหมํจะไดผ๎ ลดีขนึ้ ถา๎ ได๎มกี ารเชื่อมโยงหรอื กระตนุ๎ ความรเู๎ ดิมท่ผี ๎ูเรียนมี อยํู 265
2. การเรยี นรเ๎ู น้ือหาท่ีใกลเ๎ คียงสถานการณ์จริงหรอื มปี ระสบการณต์ รงจากโจทย์ปัญหา จะทําใหผ๎ เู๎ รียนเรยี นรู๎ได๎ดีข้นึ 3. เน่ืองจากการเรียนรู๎โดยใช๎ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนกลํุมยํอย การได๎แสดงออก แสดงความคดิ เห็นหรอื อภปิ รายถกเถยี งกนั จะทําให๎ผ๎เู รียนเขา๎ ใจและเรยี นรู๎ส่งิ นั้นไดด๎ ีขึ้น การเรียนร๎ูโดยใช๎ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนร๎ูที่เกิดข้ึนจากแนวคิดตามทฤษฎี การเรียนร๎ูแบบสร๎างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให๎ผู๎เรียนสร๎างความรู๎ใหมํ จาก การใช๎ปัญหาที่ เกิดข้ึนจริงในโลก เป็นบริบทของการเรียนร๎ู เพ่ือให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก๎ปัญหา รวมทั้งได๎ความร๎ูตามศาสตร์ในสาขาวิชาที่ตนศึกษาไปพร๎อมกันด๎วย การเรียนรู๎โดยใช๎ปัญหาเป็นฐานจึง เป็นผลมาจากกระบวนการทาํ งานท่ตี อ๎ งอาศัยความเขา๎ ใจและการแก๎ไขปัญหาเปน็ หลกั ส่ิงสําคัญในการจัดการเรียนรู๎แบบใช๎ปัญหาเป็นฐานคือปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นส่ิงกระต๎ุนให๎ผู๎เรียน เกิดแรงจูงใจใฝุแสวงหาความรู๎ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู๎สอนจะต๎องคํานึงถึงพื้นฐาน ความร๎ูความสามารถของผ๎เู รียน ประสบการณค์ วามสนใจและภมู หิ ลงั ของผูเ๎ รียน เพราะคนเรามีแนวโน๎มที่ จะสนใจเรอ่ื งใกลต๎ ัวมากกวําเรื่องไกลตัว สนใจส่ิงท่ีมีความหมายและความสําคัญตํอตนเองและเป็นเร่ืองที่ ตนเองสนใจใครํร๎ู ดังนั้นการกําหนดปัญหาจึงต๎องคํานึงถึงตัวผ๎ูเรียนเป็นหลักรวมถึงสภาพแวดล๎อม และ แหลํงเรยี นร๎ู ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียนทีเ่ อ้อื อาํ นวยตํอการแสวงหาความร๎ขู องผูเ๎ รียนด๎วย การจัดการเรียนรู๎ในรูปแบบนี้จะเน๎นการสํงเสริมให๎ผู๎เรียนได๎ลงมือปฏิบัติด๎วยตนเอง เผชญิ หน๎ากับปญั หาด๎วยตนเอง เพือ่ ใหผ๎ ๎เู รียนไดฝ๎ กึ ทกั ษะในการคิดหลายรปู แบบ เชํน การคิดวิจารณญาณ คดิ วเิ คราะห์ คิดสงั เคราะห์ คดิ สร๎างสรรค์ เป็นตน๎ วตั ถปุ ระสงค์หรอื ผลลพั ธ์ที่คาดหวังจากการเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน ได๎แกํ 1. ได๎ความรท๎ู ่ีสอดคล๎องกับบรบิ ทจรงิ และสามารถนําไปใช๎ได๎ 2. พัฒนาทักษะการคิดอยํางมีวิจารณญาณ การให๎เหตุผล และนําไปสูํการแก๎ปัญหาที่มี ประสทิ ธิผล 3. ผเ๎ู รียนสามารถเรียนรไ๎ู ด๎ด๎วยตวั เองอยํางตํอเนื่อง 4. ผ๎ูเรียนสามารถทํางานและสอ่ื สารกับผอ๎ู ืน่ ไดอ๎ ยาํ งมีประสทิ ธิภาพ 5. สร๎างแรงจูงใจในการเรียนรู๎ให๎แกํผเ๎ู รยี น 6. ความคงอยํู (retention) ของความร๎ูจะนานขนึ้ ลักษณะสาคญั ของการเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 1. ใช๎ปัญหาที่สอดคล๎องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระต๎ุนการแก๎ปัญหาและเป็นจุดเริ่มต๎น ในการแสวงหาความร๎ู ปญั หาที่เหมาะสมกับการนาํ มาจัดกิจกรรมควรมลี กั ษณะดงั น้ี 266
- เป็นเร่ืองจริงเก่ียวข๎องกับชีวิตประจําวันท่ีเกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ ของผเ๎ู รียนหรือผู๎เรยี นอาจมีโอกาสเผชิญกับปัญหาน้ัน - ท๎าทาย กระตุน๎ ความสนใจ อาจตน่ื เตน๎ บา๎ ง เปน็ ปัญหาท่ยี ังไมมํ คี ําตอบชัดเจนตายตัว เปน็ ปัญหาทม่ี ีความซบั ซ๎อน คลมุ เครอื หรอื ผ๎ูเรยี นเกดิ ความสบั สน - เป็นปญั หาทีพ่ บบอํ ย มคี วามสาคญั มขี อ๎ มลู ประกอบเพยี งพอสาหรับการค๎นคว๎าได๎ฝึก ทกั ษะการตดั สนิ ใจโดยข๎อเทจ็ จริง ข๎อมลู ขาํ วสาร ตรรกะ เหตผุ ล และต้งั สมมตฐิ าน - เชื่อมโยงความรู๎เดิมกับข๎อมูลใหมํ สอดคล๎องกับเน้ือหา/แนวคิดของหลักสูตร มีการ สร๎างความรู๎ใหมํ บูรณาการระหวํางบทเรยี น นําไปประยุกต์ใชไ๎ ด๎ - ปญั หาซับซ๎อนทกี่ อํ ให๎เกดิ การทํางานกลุมํ รํวมกนั มกี ารแบํงงานกันทําโดยเชอื่ มโยงกัน ไมํ แยกสํวน เหมาะสมกับเวลา เกดิ แรงจูงใจในการแสวงหาความร๎ใู หมํ - ชักจูงใหเ๎ กดิ การอภิปรายไดก๎ ว๎างขวาง ปญั หาทเ่ี ปน็ ประเดน็ ขัดแย๎ง ขอ๎ ถกเถยี งในสังคม ท่ยี งั ไมมํ ขี ๎อยตุ ิ เป็นปลายเปดิ ไมํมีคําตอบท่ีชัดเจน มีหลายทางเลือก/หลายคําตอบ สัมพันธ์กับส่ิงที่เคย เรียนร๎ูมาแล๎ว มขี ๎อพิจารณาที่แตกตําง แสดงความคิดเห็นไดห๎ ลากหลาย - ปัญหาทสี่ รา๎ งความเดือดรอ๎ น เสยี หาย เกดิ โทษภัยเปน็ ส่ิงที่ไมํดีหากใช๎ข๎อมูลโดยลาํ พงั คนเดยี วอาจทาํ ให๎ตอบปญั หาผดิ พลาด - ปัญหาทม่ี กี ารยอมรับวําจริง ถกู ตอ๎ ง แตํผ๎เู รียนไมํเช่ือจริง ไมํสอดคล๎องกบั ความคิดของ ผ๎ูเรยี น - ปัญหาที่อาจมีคําตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคําตอบได๎หลายทาง ครอบคลุมการ เรียนรท๎ู ี่กวา๎ งขวางหลากหลายเน้อื หา - ปัญหาทมี่ คี วามยากความงาํ ยเหมาะสมกับพน้ื ฐานของผเู๎ รียน - ปัญหาที่ไมํสามารถหาคําตอบได๎ทันที ต๎องการการสํารวจ ค๎นคว๎าและการรวบรวม ข๎อมลู หรอื ทดลองดูกอํ น ไมสํ ามารถที่จะคาดเดาหรือทํานายได๎งํายๆวาํ ต๎องใชค๎ วามรู๎อะไร - ปญั หาทส่ี งํ เสรมิ ความร๎ูดา๎ นเนอ้ื หาทักษะ สอดคลอ๎ งกบั หลักสตู รการศึกษา - ใช๎สื่อหลากหลายรูปแบบในการระบุปัญหา เชํน ข๎อความบรรยาย รูปภาพ วีดีทัศน์ สั้นๆ ขอ๎ มูลจากผลการทดลองในห๎องปฏิบัตกิ าร ขาํ ว บทความจากหนังสอื พิมพ์ วารสาร ส่งิ พิมพ์ 2. บรู ณาการเนือ้ หาความรใู๎ นสาขาตํางๆ ที่เกี่ยวข๎องกบั ปญั หานน้ั 3. เน๎นกระบวนการคิดอยํางมีเหตุผลและเป็นระบบ 4. เรียนเปน็ กลํุมยอํ ย โดยมีครหู รือผ๎ูสอนเป็นผสู๎ นบั สนนุ และกระตุ๎นให๎ผเ๎ู รียนรํวมกันสรา๎ ง บรรยากาศท่ีสํงเสริมการเรียนรใู๎ ห๎เกิดขึ้นในกลมุํ 5. ผเ๎ู รียนมบี ทบาทสาํ คัญในการเรียนรู๎ และเรยี นโดยการกาํ กับตนเอง (Self-directed learning) กลาํ วคอื 267
- สามารถประเมินตนเองและบํงชีค้ วามต๎องการได๎ - จดั ระบบประเด็นการเรยี นรู๎ไดอ๎ ยํางเทยี่ งตรง - ร๎ูจักเลอื กและใชแ๎ หลงํ เรียนรท๎ู เ่ี หมาะสม - เลือกกจิ กรรมการศกึ ษาคน๎ คว๎า แกป๎ ญั หา ท่ตี รงประเดน็ มีประสทิ ธภิ าพ - บํงชข้ี อ๎ มลู ท่ไี มํเกี่ยวขอ๎ งได๎ และคัดแยกออกได๎อยํางรวดเรว็ - ประยกุ ตใ์ ช๎ความรใู๎ หมเํ ชงิ วิเคราะห์ได๎ - รจู๎ ักขัน้ ตอนการประเมิน กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ขน้ั ที่ 1 กาหนดปัญหา จัดสถานการณต์ าํ งๆ กระตุ๎นใหผ๎ เ๎ู รียนเกิดความสนใจ และมองเห็นปัญหา สามารถกําหนดส่งิ ทีเ่ ป็นปัญหาทผี่ เ๎ู รยี นอยากร๎ู อยากเรยี นเกดิ ความสนใจท่ีจะค๎นหาคําตอบ 1. จัดกลุํมผเู๎ รยี นให๎มีขนาดเลก็ (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2. ใช๎ปัญหาเป็นตัวกระต๎ุนให๎เกิดการเรียนร๎ู โดยลักษณะของปัญหาท่ีนํามาใช๎ ควรมีลักษณะ คลุมเครอื ไมชํ ดั เจน มีวิธีแก๎ไขปัญหาได๎อยํางหลากหลาย อาจมีคําตอบได๎หลายคําตอบ โดยคํานึงถึง การ เชื่อมโยงความรู๎ใหมํเข๎ากับความรู๎เดิม ความซับซ๎อนของปัญหาจากงํายไปสํูยาก ระดับและ ประสบการณผ์ ูเ๎ รียน เวลาท่ีกาํ หนดใหผ๎ ๎เู รียนใช๎ดาํ เนินการ และแหลํงคน๎ ควา๎ ข๎อมูล ข้ันที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ปัญหาที่ต๎องการเรียนรู๎ ต๎องสามารถอธิบายสิ่งตํางๆ ที่ เก่ยี วข๎องกับปญั หาได๎ 1. ผู๎เรียนทําความเข๎าใจหรือทําความกระจํางในคําศัพท์ท่ีอยูํในโจทย์ปัญหานั้น เพื่อให๎ เข๎าใจตรงกัน 2. ผ๎ูเรียนจับประเด็นข๎อมูลที่สําคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์วิเคราะห์ หาข๎อมูลท่ีเป็น ขอ๎ เทจ็ จรงิ ความจรงิ ทป่ี รากฏในโจทย์ แยกแยะข๎อมลู ระหวาํ งขอ๎ เท็จจริงกับข๎อคิดเห็น จับประเด็นปัญหาออกเป็นประเด็นยํอย 3. ผู๎เรียนระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหา อภิปราย แตํละประเด็นปัญหาวําเป็นอยํางไร เกดิ ข้ึนไดอ๎ ยํางไร ความเป็นมาอยาํ งไร โดยอาศัยพ้นื ความร๎ูเดมิ เทําที่ผ๎ูเรียนมอี ยํู 4. ผู๎เรียนรํวมกันตั้งสมมติฐานเพื่อหาคําตอบปัญหาประเด็นตํางๆ พร๎อมจัดลําดับ ความสาํ คญั ของสมมตฐิ านที่เปน็ ไปได๎อยํางมีเหตผุ ล 5. จากสมมติฐานท่ีตั้งขน้ึ ผเ๎ู รียนจะประเมนิ วํามีความรู๎เรื่องอะไรบา๎ ง มีเรื่องอะไรท่ียังไมํรู๎ หรอื ขาด 268
6. ความรู๎ และความรู๎อะไรจําเป็นที่จะต๎องใช๎เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ซึ่งเช่ือมโยงกับโจทย์ ปัญหาที่ได๎ ข้ันตอนน้ีกลํุมจะกําหนดประเด็นการเรียนร๎ู หรือวัตถุประสงค์การเรียนร๎ู เพื่อจะไปค๎นคว๎าหาขอ๎ มูลตอํ ไป ขน้ั ที่ 3 ดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ ผเู๎ รียนศกึ ษาค๎นคว๎าดว๎ ยตนเองดว๎ ยวิธกี ารหลากหลาย 4. ผู๎เรียนค๎นคว๎าหาข๎อมูลและศึกษาเพ่ิมเติมจากทรัพยากรการเรียนรู๎ตํางๆ เชํน หนังสือ ตํารา วารสาร สื่อการเรยี นการสอนตํางๆ การศึกษาในห๎องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ชํวย สอน อินเทอร์เน็ต หรือปรึกษาผ๎ูร๎ูในเนื้อหาเฉพาะ เป็นต๎น พร๎อมท้ังประเมินความ ถกู ต๎องโดย - ประเมนิ แหลงํ ขอ๎ มลู ความถูกตอ๎ ง เชอ่ื ถือได๎ของขอ๎ มูล - เลือกนําความรู๎ท่ีเกี่ยวข๎องมาเช่ือมโยงวําตรงประเด็นเพียงพอที่จะแก๎ปัญหา อยาํ งไร - หาประเด็นความร๎ูเพิม่ เตมิ ถ๎าจาํ เปน็ - สรุป เตรยี มส่อื เลอื กวธิ นี ําเสนอผลงาน ข้ันท่ี 4 สังเคราะห์ความรู้ ผูเ๎ รยี นนาํ ความร๎ทู ่ไี ดค๎ ๎นควา๎ มาแลกเปล่ยี นเรียนรู๎รวํ มกัน 1. ผู๎เรียนนําข๎อมูลหรือความรู๎ที่ได๎มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์สมมติฐานและประยุกต์ ใหเ๎ หมาะสมกบั โจทย์ปัญหา พร๎อมสรปุ เป็นแนวคดิ หรือหลักการทว่ั ไปโดย - นําเสนอผลงานกลมํุ ด๎วยสื่อหลากหลาย - สะท๎อนความคิด ให๎ข๎อมูลย๎อนกลับ อภิปราย ทําความเข๎าใจ แลกเปล่ียนความ คิดเห็นระหวํางกลํุม ถึงกระบวนการเรียนรู๎ การแก๎ปัญหา การเช่ือมโยง การสร๎าง องคค์ วามรใู๎ หมํ - สรุปภาพรวมเปน็ ความร๎ทู ว่ั ไป ขน้ั ที่ 5 สรปุ และประเมินค่าหาคาตอบ 1. ผู๎เรียนแตํละกลุํม สรุปผลงานของกลุํมตนเอง และประเมินผลงานวําข๎อมูลที่ศึกษา ค๎นคว๎ามีความเหมาะสม หรือไมํเพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลุํมของตนเอง อยาํ งอสิ ระ ทุกกลมํุ ชวํ ยกนั สรปุ องคค์ วามรู๎ ในภาพรวมของปัญหาอกี ครั้ง 2. ประเมนิ ผลจากสภาพจริง โดยดูจากความสามารถในการปฏบิ ัติ บทบาทของครูในการจัดกจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 1. ทําหนา๎ ที่ เป็นผ๎อู าํ นวยความสะดวก หรอื ผู๎ให๎คาํ ปรึกษาแนะนํา 2. เปน็ ผูก๎ ระต๎ุนให๎เกิดการเรยี นรู๎ มไิ ดเ๎ ป็นผู๎ถาํ ยทอดความร๎ูใหแ๎ กผํ เู๎ รยี นโดยตรง 3. ใชท๎ ักษะการตั้งคําถามทเี่ หมาะสม 269
4. กระต๎ุนและสํงเสริมกระบวนการกกลํุม ให๎กลุํมดําเนินการตามขั้นตอนของการเรียนรู๎โดยใช๎ ปัญหาเป็นฐาน 5. สนับสนุนการเรียนร๎ูของผู๎เรียนและเน๎นให๎ผ๎ูเรียนตระหนักวําการเรียนรู๎เป็นความรับผิดชอบ ของผเู๎ รียน 6. กระต๎ุนให๎ผเู๎ รียนเอาความรู๎เดิมทีม่ อี ยมูํ าใชอ๎ ภิปรายหรอื แสดงความคิดเห็น 7. สนับสนุนใหก๎ ลมํุ สามารถตงั้ ประเด็นหรอื วตั ถุประสงคก์ ารเรียนร๎ู/แก๎ปัญหาไดส๎ อดคล๎องกบั วัตถุประสงคข์ องกจิ กรรมท่ีครกู ําหนด 8. หลีกเลีย่ งการแสดงความคิดเห็นหรอื ตดั สนิ วําถกู หรอื ผดิ 9. สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนประเมินการเรียนรู๎ของตนเอง รวมทั้งเป็นผู๎ประเมินทักษะของผู๎เรียนและ กลมุํ พรอ๎ มการใหข๎ อ๎ มูลย๎อนกลบั ขอ้ พึงระมัดระวัง “การสอนโดยใช๎ปัญหาเป็นฐาน” ( Problem-based Learning) ไมํใชํ “การสอนแบบ แก๎ปัญหา” (Problem solving method) ซึ่งเป็นความเข๎าใจคลาดเคลื่อน เชํน สอนเนื้อหาไปบางสํวน กํอน จากน้ันก็ทดลองให๎นักเรียนแก๎ปัญหาเป็นกลุํมยํอย ซึ่งการดําเนินการดังกลําว เป็นวิธีสอนแบบ แกป๎ ัญหาไมใํ ชํการสอนโดยใชป๎ ญั หาเปน็ ฐาน การสอนโดยใช๎ปัญหาเป็นฐานนั้น ใช๎ปัญหาเป็นตัวกระต๎ุนหรือเป็นตัวนําทางให๎ผ๎ูเรียน ไปแสวงหาความรู๎ ความเข๎าใจด๎วยตนเอง เพื่อจะได๎คน๎ พบคาํ ตอบของปัญหาดงั กลําว กระบวนการหาความรู๎ด๎วยตนเองน้ีทํา ให๎ผเู๎ รยี นเกิดทกั ษะในการแกไ๎ ขปญั หา (Problem solving skill) 5.2 การสอนแบบจ๊ิกซอร์ วธิ ีสอนแบบจ๊ิกซอร์ เปน็ รปู แบบการเรียนการสอนท่ีสํงเสริมการเรยี นรแ๎ู บบรวํ มมอื รปู แบบหนึ่ง มีวิธีการหลกั ๆ ไดแ๎ กํ การจัดกลํุม การศึกษาเนอ้ื หาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และ ระบบการใหร๎ างวัล เพอ่ื สนองวัตถปุ ระสงค์เฉพาะ ซง่ึ ใช๎หลกั การ เรยี นรแู๎ บบรวํ มมือ 5 ประการ และมี วัตถุประสงค์มํงุ ตรงไปในทิศทางเดียวกนั คือเพ่ือชวํ ยใหผ๎ ๎เู รยี นเกิดการเรยี นร๎ใู นเรอ่ื งทศ่ี กึ ษาอยาํ งมากทส่ี ดุ โดยอาศยั การรํวมมอื กนั ชํวยเหลอื กัน และแลกเปล่ียนความรูก๎ ันระหวํางกลํมุ ผ๎ูเรยี นด๎วยกนั ความ แตกตํางของรปู แบบแตลํ ะรูปแบบจะอยทํู ีเ่ ทคนิคในการศึกษาเนือ้ หาสาระ และวิธกี ารเสริมแรงและการให๎ รางวลั เปน็ ประการสาํ คัญ กรมวิชาการ (2545ข : 119) ได๎ให๎ความหมายของเทคนิค Jigsaw เป็นกิจกรรมที่ ครูผ๎ูสอนมอบหมายให๎สมาชิกในกลุํมแตํละกลํุมศึกษาเน้ือหาท่ีกําหนดให๎ สมาชิกแตํละคนจะถูกกําหนด โดยกลํุม ให๎ศึกษาเน้ือหาคนละตอนที่แตกตํางกัน ผ๎ูเรียนจะไปทํางานรํวมกับสมาชิกกลุํมอื่น ๆ ที่ได๎รับ 270
มอบหมายใหศ๎ กึ ษาเนือ้ หาท่เี หมือนกนั หลงั จากท่ีทุกคนศึกษาเน้ือหาน้ันจนเข๎าใจแล๎ว จึงกลับเข๎ากลํุมเดิม แล๎วเลําเร่ืองท่ีตนศึกษาให๎สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุํมฟัง โดยเรียงตามลําดับเรื่องราว เสร็จแล๎วให๎สมาชิกใน กลุํมคนใดคนหน่ึงสรุปเน้ือหาของสมาชิกทุกคนเข๎าด๎วยกัน ครูผ๎ูสอนอาจเตรียมข๎อสอบเก่ียวกับบทเรียน นัน้ ไว๎ ทดสอบความเขา๎ ใจเนื้อหาทเ่ี รียนในชํวงสดุ ทา๎ ยของการเรยี น ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรโู้ ดยใชเ้ ทคนิค Jigsaw นกั การศกึ ษาหลายทํานไดเ๎ สนอข้นั ตอนการจัดการเรียนรู๎ โดยใช๎เทคนคิ Jigsaw ไว๎ดังนี้ สมคิด สร๎อยนํ้า(2542 : 132-133) ได๎นําเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไวด๎ ังน้ี 1. ครแู บงํ หัวขอ๎ ท่จี ะเรยี นเปน็ หวั ข๎อยํอย ๆ ให๎เทํากบั จาํ นวนสมาชกิ ของแตลํ ะคน 2. จัดกลํุมนักเรียนโดยให๎มีความสามารถคละกันภายในกลํุมเป็น กลํุมบ๎าน (Home group) กลํุมละ 3-4 คน สมาชิกแตํละคนในกลุํมอํานเฉพาะหัวข๎อยํอยท่ีตนได๎รับมอบหมาย เทาํ น้ัน 3. นักเรียนท่ีอํานหัวข๎อยํอยเดียวกันมานั่งด๎วยกันเพื่อทํางานซักถาม และทํากิจกรรมใน กลํมุ เชย่ี วชาญ (Expert group) 4. นักเรียนแตํละคนในกลํุม Expert group กลับมายังกลํุมเดิม (Home group) ของ ตนเอง แล๎วผลัดกนั อธบิ ายใหเ๎ พื่อนสมาชกิ ในกลมํุ ฟงั เรมิ่ จากหัวข๎อยอํ ยท่ี 1 2 3 และ 4 5. ทําการทดสอบ (Quiz) หัวข๎อยํอยท่ี 1-4 แกํนักเรียนทุกคนท้ังห๎อง (สอบเดี่ยว) แล๎ว นําคะแนนของสมาชกิ แตลํ ะกลํมุ มารวมกันเป็นคะแนนกลมํุ 6. กลุมํ ท่ีได๎คะแนนสงู สดุ ในการสอบครง้ั นี้ จะติดประกาศไว๎ในปูายนิเทศของห๎องหรือมุม จดหมายขาํ วของห๎อง สนอง อินละคร (2544 : 122) ได๎นําเสนอข้ันตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไวด๎ ังนี้ 1. แบงํ นกั เรียนเป็นกลํุมคละความสามารถ กลํุมละ 4-6 คน แตํละกลํุมประกอบด๎วยคน เกํง 1 คน ปานกลาง 2-4 คน และอํอน 1 คน แตํละกลํุมเลือกประธาน และเลขานุการกลํุม เรียกวํา กลุํม บา๎ น (Home group) 2. กลุํมบ๎าน (Home group) แตํละกลุํมมอบหมายภาระงานให๎สมาชกิ รับผิดชอบดงั น้ี คนท่ี 1 รับผดิ ชอบเนอ้ื หา หรอื ใบงานหรอื บัตรกิจกรรมท่ี 1 คนท่ี 2 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรอื บัตรกิจกรรมที่ 2 คนที่ 3 รบั ผดิ ชอบเนือ้ หา หรือใบงานหรือบตั รกิจกรรมที่ 3 คนท่ี 4 รับผดิ ชอบเนื้อหา หรอื ใบงานหรือบัตรกิจกรรมท่ี 4 คนที่ 5 รบั ผิดชอบเนอ้ื หา หรอื ใบงานหรือบตั รกิจกรรมที่ 5 271
คนที่ 6 รับผดิ ชอบเนอ้ื หา หรือใบงานหรือบัตรกจิ กรรมที่ 6 3. จัดกลํุมเช่ียวชาญ (Expert group) โดยให๎นักเรียนกลํุมบ๎านของแตํละกลุํมที่ รับผิดชอบเรื่องเดียวกันไปรวมกลํุมใหมํ แล๎วศึกษา ฝึกฝน ทําความเข๎าใจเน้ือหา ทําใบงาน หรือทํา กจิ กรรมรวํ มกันจนมีความเขา๎ ใจในเร่อื งน้ัน ๆ อยํางดี 4. กลับกลุํมบ๎าน (Home group) โดยนักเรียนแตํละคนกลับกลํุมเดิม แล๎วผลัดกัน อธบิ ายใหส๎ มาชิกในกลุํมฟงั เริม่ จากเรอื่ งท่ี 1 2 3 ไปจนครบทกุ คน สมาชกิ ในกลุํมซกั ถามจนเป็นท่เี ข๎าใจ 5. แตลํ ะกลมุํ เตรียมตวั ทดสอบรายบคุ คล แล๎วรวมคะแนน หรือเฉลีย่ คะแนนเป็นคะแนน ของกลุมํ 6. มอบรางวัลหรือประกาศเกียรตคิ ณุ แกํกลมํุ ท่ีได๎คะแนน รวมหรือคะแนนเฉล่ียสงู สดุ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 176) ได๎นําเสนอข้ันตอนการจัดการเรียนรู๎โดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไว๎ดังนี้ 1. ครแู บงํ เนือ้ หาทจ่ี ะเรยี นออกเปน็ หัวขอ๎ ยอํ ย ๆ ใหเ๎ ทํากับจํานวนสมาชิกกลมุํ 2. จัดกลํุมผ๎ูเรียนโดยให๎มีความสามารถคละกันเรียกวํา กลุํมบ๎าน (Home group) แล๎ว มอบหมายให๎สมาชกิ แตํละคนศึกษาหัวข๎อท่ีตํางกนั 3. ผ๎ูเรียนท่ีได๎รบั หวั ขอ๎ เดียวกนั จากแตํละกลมุํ มานง่ั ดว๎ ยกันเพื่อทาํ งานและศึกษารวํ มกัน ในหวั ขอ๎ ดงั กลาํ ว เรียกวํา กลมํุ ผู๎เชย่ี วชาญ (Expert group) 4. สมาชิกแตํละคนออกจากลุํมผู๎เช่ียวชาญกลับไปกลุํมเดิมของตน ผลัดกันอธิบายเพื่อ ถาํ ยทอดความรูท๎ ่ตี นศกึ ษาให๎เพ่อื นฟงั จนครบทุกหวั ข๎อ 5. ครูทดสอบเนอ้ื หาท่ีศึกษาแลว๎ ใหค๎ ะแนนรายบุคคล จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw แล๎วสรุปขั้นตอนได๎ 6 ขั้นตอนดังนี้ 1. ผุ๎สอนจัดเตรียมเน้ือหาสาระหรือเร่อื งที่จะใหผ๎ ๎ูเรยี นได๎เรยี นรโ๎ู ดยแบงํ เนื้อหาหรือหัวข๎อ ท่ีจะเรียนออกเปน็ หวั ขอ๎ ยอํ ยเทาํ กบั จาํ นวนสมาชกิ ของแตํละกลุํม 2. ผ๎ูสอนจัดแบํงกลุํมผ๎ุเรียนให๎มีสมาชิกท่ีมีความสามารถคละกันเป็นกลํุมบ๎าน (Home group) จาํ นวนสมาชิกในกลํมุ อาจมี 2-6 คนกไ็ ด๎ 3. ผูส๎ อนแจกเอกสาร อปุ กรณ์หรือสื่อการเรยี นรใ๎ู ห๎กลํุมละ 1 ชุด หรือให๎สมาชิกคนละ 1 ชดุ กไ็ ด๎ (ทกุ กลํุมจะศึกษาในเร่ืองเดียวกัน) มอบหมายให๎สมาชิกในกลํุมแตํละคนรับผิดชอบศึกษา ค๎นคว๎าเพยี งคนละ 1 สํวน 4. สมาชิกทาํ หนา๎ ท่ีผู๎เชยี่ วชาญแตลํ ะคนแยกยา๎ ยจากกลุํมบ๎าน ไปจบั กลมํุ ใหมเํ พอ่ื 272
ทําการศึกษาเอกสารหรือค๎นคว๎าเพ่ิมเติมในสํวนท่ีตนเองได๎รับมอบหมาย โดยสมาชิกที่ได๎รับ มอบหมายให๎ศึกษาหัวข๎อยํอยเดียวกัน จะไปนั่งรวมกลุํมกัน กลุํมละ 3-6 คน หรือตามจํานวนท่ี ผู๎สอนกําหนด อําน ศึกษา หรือค๎นคว๎า สรุปเน้ือหาสาระ จัดลําดับขั้นตอนการนําเสนอ และ เตรยี มนําไปสอนหรือให๎ความรูแ๎ กํสมาชิกในกลุมํ บา๎ น 5. ผ๎เู ช่ยี วชาญของแตลํ ะกลุํมกลบั กลุมํ เดิมของตนแล๎วผลดั เปลยี่ นหมนุ เวยี นกนั อธบิ าย ให๎ความร๎ูสมาชิกในกลุํมทีละคนจนครบ มีการซักถามข๎อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวน ให๎เกิดความ เขา๎ ใจอยํางชัดเจน 6. ผ๎ูสอนใหผ๎ ู๎เรียนแตลํ ะคนทําการทดสอบเกย่ี วกับเนื้อหาความร๎ูท่ีครอบคลมุ ทุกหวั ข๎อที่เรยี นรู๎ แล๎วนาํ คะแนนของสมาชกิ แตลํ ะคนในกลมํุ มารวมกันเป็นคะแนนของกลุํม มอบรางวลั หรือคาํ ช่นื ชมกลุมํ ทีม่ คี ะแนนรวมสงู สดุ ทิศนา แขมมณี (2545, 2547, 2548, 2550, 2551) ได๎กลําวถึงกระบวนการเรียนการ สอนของรูปแบบจ๊กิ ซอร์ มกี ระบวนการดงั น้ี 1. จัดผ๎เู รยี นเขา๎ กลุมํ คละความสามารถ ( เกงํ -กลาง-อํอน ) กลํมุ ละ 4 คนและเรยี ก กลมํุ นวี้ ํา กลมุํ บา๎ นของเรา (Home Group) 2. สมาชกิ ในกลํมุ บ๎านของเราได๎รับมอบหมายให๎ศกึ ษาเนอื้ หาสาระคนละ 1 สวํ น (เปรยี บเสมือนได๎ชิ้นสํวนของภาพตัดตํอคนละ 1 ชน้ิ ) และหาคาํ ตอบในประเดน็ ปัญหาที่ผู๎สอน มอบหมายให๎ 3. สมาชกิ ในกลุํมบ๎านของเรา แยกยา๎ ยไปรวมกับสมาชิกกลุํมอนื่ ซ่งึ ได๎รบั เนื้อหาเดยี วกัน ต้ังเป็นกลมํุ ผู๎เชี่ยวชาญ (expert group) ข้ึนมา และรํวมกันทาํ ความเข๎าใจในเนื้อหาสาระนั้น อยํางละเอยี ด และรวํ มกนั อภปิ รายหาคําตอบประเดน็ ทผ่ี ส๎ู อนมอบหมายให๎ 4. สมาชกิ กลุํมผูเ๎ ชี่ยวชาญ กลับไปสกูํ ลมุํ บา๎ นของเรา แตํละกลมํุ ชวํ ยสอนเพือ่ นในกลมํุ ใหเ๎ ข๎าใจสาระท่ตี นไดศ๎ ึกษารํวมกับกลุํมผ๎ูเชยี่ วชาญเชนํ นี้ สมาชกิ ทุกคนกจ็ ะได๎เรียนรภ๎ู าพรวมของ สาระทง้ั หมด 5. ผู๎เรยี นทุกคนทาํ แบบทดสอบ แตํละคนจะได๎คะแนนเป็นรายบุคคล และนาํ คะแนน ของทกุ คนในกลมํุ บ๎านของเรามารวมกัน (หรอื หาคาํ เฉลยี่ ) เปน็ คะแนนกลํมุ กลํุมท่ไี ด๎คะแนน สงู สดุ ไดร๎ ับรางวัล เอกสารอ้างองิ ทศิ นา แขมมณี . (2550). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามร๎เู พอื่ การจดั กระบวนการเรียนรู๎ทีม่ ี ประสทิ ธิภาพ. พมิ พค์ รั้งท่ี 5 (ฉบบั ปรบั ปรงุ ). กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 273
. (2551). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามร๎ูเพ่ือการจัดกระบวนการเรยี นร๎ทู ีม่ ี ประสิทธิภาพ. พมิ พ์ครั้งที่ 7 (ฉบบั พมิ พเ์ พิ่มเติม). กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 5.14 การสอนแบบศนู ย์การเรยี น (Learning Center) การสอนโดยการใช๎ศูนย์การเรียนเป็นเทคนิคการสอนท่ีเน๎นการเรียนเป็นกลํุมยํอย ให๎ ผู๎เรยี นมคี วามรับผิดชอบในการเรียนรํวมกัน ผเ๎ู รียนจะเกิดการเรียนร๎ูด๎วยตนเอง ศนู ย์การเรียนแตํละศูนย์ก็ จะมเี นอื้ หาและบทเรยี นท่แี ตกตํางกันไป โดยจะมีการแบํงกลํมุ เพ่ือปฏิบัติกจิ กรรมของแตํละศูนย์การเรียน เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนมีโอกาสได๎เข๎ารํวมกิจกรรมการเรียนโดยท่ัวถึง ทําให๎ผ๎ูมีโอกาสหาคําตอบโดยตนเองและ สามารถรํวมงานกับเพ่ือนๆ ได๎ โดยทั่วไปแล๎วเม่ือมีการแบํงกลํุมผ๎ูเรียนแล๎วจะมีการตั้งประธานกลํุมและ เลขานุการประจํากลํุมไว๎สําหรับประสานงานและติดตํอกันระหวํางผ๎ูเรียนกับสมาชิกในกลํุม (ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์, 2530 : 58) เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจเกี่ยวกับวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนมากย่ิงข้ึน ในบทน้ีกลําวถึง ความหมาย จุดมํุงหมาย องค์ประกอบของการเรียนการสอน ลักษณะสําคัญของการเรียนการสอน ขั้นตอนการเรียนการเรียนการสอน และข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน พร๎อมด๎วย สรปุ ท๎ายบทและกิจกรรมและคําถามท๎ายบทด๎วย ทิศนา แขมมณี (2550 : 374) กลําวถึงวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน คือกระบวนการใน การสอนใหผ๎ เ๎ู รยี นบรรลวุ ตั ถุประสงค์ที่กาํ หนด โดยผ๎สู อนให๎ผเู๎ รยี นศกึ ษาหาความรู๎ด๎วยตนเองจากศูนย์การ เรียนหรือมุมความรู๎ ซ่ึงผ๎ูสอนได๎จัดเตรียมเนื้อหาสาระและกิจกรรมที่ใช๎สื่อการสอนหลายๆ อยํางประสม กันเอาไว๎ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ด๎วยตนเอง ปกติศูนย์การเรียนจะมีหลายศูนย์จะมีเนื้อหาสาระเบ็ดเสร็จใน ตัวเอง ผู๎เรียนจะหมุนเวียนกันเข๎าศูนย์ตํางๆ จนครบทุกศูนย์โดยมีศูนย์สํารองไว๎สําหรับผ๎ูเรียนที่เรียนท่ี เรยี นรูไ๎ ดเ๎ รว็ และทํากิจกรรมเสร็จกํอนคนอื่นๆ ผู๎สอนทําหน๎าท่ีเป็นผ๎ูจัดเตรียมศูนย์การเรียน ให๎คําแนะนํา ชวํ ยอํานวยความสะดวกในการเรียนรแ๎ู กํผเ๎ู รียน และประเมินผลการเรยี นร๎ูของผ๎ูเรยี น ไสว ฟักขาว (2544 : 126) อธิบายวํา วิธีสอนแบบศูนย์การเรียนเป็นวิธีจัดการเรียนการ สอนที่ให๎ผเ๎ู รยี นแบํงเป็นกลํุมๆ แล๎วรํวมกันศึกษาและทํากิจกรรมในการศึกษาหาความรู๎ด๎วยตนเองโดยแตํ ละกลุํมจะหมนุ เวยี นไปตามศูนยก์ จิ กรรมทคี่ รูไดจ๎ ัดเตรียมไวจ๎ นครบทกุ ศูนย์กิจกรรม โดยทั่วไปจํานวนกลุํม ของผ๎ูเรยี นจะเทาํ กับจาํ นวนของศนู ย์กิจกรรมทีจ่ ัดเตรียมไว๎ กรมวิชาการ (2527 : 214) อ๎างใน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 165) กลําววํา ศูนย์การ เรียนเป็นวธิ กี ารสอนที่เน๎นความสาํ คญั ของนกั เรียนหรือยดึ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลางและใช๎เทคนิคการจัดการ เรียนการสอนท่ีใช๎สื่อประสม (Multi Media Approach) และกระบวนการกลํุม (Group Process) เป็นสงิ่ สําคัญ เพอ่ื สงํ เสริมใหก๎ ารเรยี นการสอนมีชวี ิตชีวา ผ๎ูเรียนจะเกิดการเรียนร๎แู ละพัฒนาสติปัญญาจาก 274
การกระทํากิจกรรม และการศึกษาด๎วยตนเอง โดยแตํละศูนย์มีชุดการสอนให๎นักเรียนแตํละกลํุมได๎ หมนุ เวยี นเรยี นจนครบทุกศูนย์ สามารถ คงสะอาด (2535 : 47-48) กลําววํา การสอนแบบศูนย์การเรียน หมายถึง การ จัดการเรยี นท่เี น๎นกิจกรรมการเรยี นโดยใชส๎ อื่ การสอนทีเ่ รียกวําชุดการเรียน โดยการแบํงนักเรียนออกเป็น กลํมุ ยํอย เป็นการเปิดโอกาสใหผ๎ เ๎ู รียนไดศ๎ ึกษาหาความรู๎ด๎วยตนเอง ด๎วยการปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีกําหนด ไว๎ในแตํละชุดการสอน โดยผ๎ูเรยี นจะต๎องผลดั เปลี่ยนหมุนเวยี นกนั ทาํ กจิ กรรมจนครบทกุ ศูนย์ จากท่ีนักวิชาการได๎กลําวถึงวิธีสอนแบบศูนย์การเรียน จึงสรุปได๎วํา การสอนแบบศูนย์ การเรยี น หมายถงึ การจดั การเรยี นการสอนทแี่ บํงให๎นักเรียนแบํงเป็นกลุํมยํอย โดยเน๎นกิจกรรมการเรียน ส่ือการเรียนการสอนที่เป็นชุดการสอน เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนศึกษาหาความร๎ูด๎วยตนเองตามกิจกรรมท่ี กําหนดไว๎ โดยแตํละกลุํมจะต๎องหมุนเวียนเรียนจนครบทุกศูนย์ และครูจะเป็นผู๎คอยให๎คําแนะนํา ชํวยเหลือในการสอนพรอ๎ มการสรปุ และประเมนิ ผลการเรยี นรขู๎ องผเ๎ู รยี น จดุ มงุ่ หมายของวธิ ีสอนโดยใช้ศูนย์การเรยี น วิธีสอนโดยใชศ๎ นู ยก์ ารเรียน นบั วาํ เป็นการท่ีดีมีประสทิ ธภิ าพวธิ ีหน่ึง ซึ่งมีจดุ มํุงหมาย ของการสอนไวด๎ ังนี้ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 374) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน เป็นวิธีการที่มํุงชํวย ใหผ๎ ๎ูเรยี นไดศ๎ กึ ษาค๎นคว๎าและเรยี นรดู๎ ว๎ ยตนเอง อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 165) อธิบายความมํุงหมายของการสอนแบบศูนย์การเรียน ดงั น้ี 1. เพื่อสํงเสรมิ ให๎ผ๎ูเรียนแสวงหาความรู๎ดว๎ ยตนเอง 2. เพอื่ ฝึกการทาํ งานเปน็ กลมุํ รจู๎ กั เคารพสทิ ธิและความคดิ เหน็ ของผอ๎ู น่ื 3. เพื่อฝึกความรับผิดชอบ และการทํากิจกรรมตามความถนัด ความสนใจ และ ความสามารถของตนเอง และ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) ได๎เสนอแนะความมํุงหมายของการสอนโดนใช๎ศูนย์ การเรยี น ไว๎วํา 1. เพ่ือฝึกนักเรียนทํางานเป็นหมํู 2. เพอ่ื ฝกึ ใหเ๎ ปน็ ผนู๎ าํ และผตู๎ ามท่ดี ี 3. เพื่อฝกึ ปฏิบัติตนภายในกรอบกฎเกณฑ์ท่ีกําหนดไว๎ 4. เพ่อื ฝึกรบั ผดิ ชอบตอํ ตนเองและหมคูํ ณะ สรุปได๎วํา วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนมีจุดมํุงหมายสําคัญคือ มุํงให๎ผู๎เรียนค๎นคว๎าหา ความรด๎ู ว๎ ยตนเอง ฝึกใหผ๎ ๎ูเรียนทาํ งานเป็นกลุํม มคี วามรบั ผิดชอบและสามารถปฏบิ ตั ิงานภายในกรอบตาม กฎเกณฑท์ ่ีกําหนดไวไ๎ ด๎ 275
ลกั ษณะสาํ คัญของวิธสี อนโดยใชศ๎ นู ยก์ ารเรยี น วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน (Learning Center) เป็นนวัตกรรมที่เน๎นกิจกรรมการเรียน ของผเู๎ รียน โดยแบงํ บทเรยี นออกเป็น 4-6 กลุํม แตํละกลํุมจะมีสื่อการเรียนที่จัดไว๎ในซองหรือในกลํองวาง บนโต๏ะ เป็นศนู ย์กจิ กรรม ซึ่งจะมีกิจกรรม เนื้อหาสาระการเรียนและวัสดุอุปกรณ์แตกตํางกัน ในการสอน วิธีนี้จะแบํงผ๎ูเรียนออกเป็นกลํุมตามจํานวนศูนย์กิจกรรม แตํละกลุํมมีจํานวน 6-8 คน หมุนเวียนกัน ประกอบกจิ กรรมตามศูนยต์ ํางๆ ซึง่ จะใช๎เวลาแหํงละ 15-20 นาที จนกวําจะครบทุกศูนย์ ตัวอยํางของการ จัดห๎องเรยี นแบบศูนย์การเรียนแสดงไวใ๎ นภาพ (บุญชม ศรีสะอาด, 2541 : 101) วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนเป็นนวัตกรรมที่อาศัยพื้นฐานทฤษฎีการใช๎สื่อประสม (Multimedia) และกระบวนการกลุํม (Group Process) เป็นการนําบูรณการใช๎สื่อการสอนชนิดตํางๆ และกลํุมกจิ กรรมเพอ่ื สงํ เสรมิ ให๎เกดิ การเรยี นร๎ูอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ และ ไสว ฟักขาว (2544 : 127) กลําวถึงลักษณะสําคัญของวิธีสอนแบบศูนย์การเรียน ไวด๎ งั น้ี 1. ฝกึ ให๎ผเู๎ รยี นเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง 2. เปดิ โอกาสใหผ๎ ู๎เรียนได๎เรยี นตามความสามารถทแ่ี ตกตํางกัน ในอัตราตํางกัน 3. ฝกึ การเรียนรูร๎ ํวมกนั รวํ มมอื กันในการทาํ กจิ กรรม นอกจากน้ี สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53-54) กลําวถึงลักษณะสําคัญของวิธีสอนแบบ ศนู ย์การเรียนคือ ใหน๎ ักเรียนไดล๎ งมอื ทาํ กิจกรรมและศึกษาดว๎ ยตนเองมากข้ึน รู๎จักแสดงความคิดเห็น รู๎จัก ตัดสินใจ มคี วามรับผิดชอบและรู๎จักรวํ มมอื การสอนแบบน้ีเป็นการนําเน้ือหาในบทเรียนมาแบํงเป็นสํวนๆ เพ่ือให๎นักเรียนได๎เรียนร๎ูทีละหนํวย ซึ่งถือวําเป็นการจัดบรรยากาศการเรียนรู๎ให๎เป็นไปอยํางมี ประสิทธภิ าพ อันหมายถึงสิง่ ตํอไปนี้ 1. เป็นการจดั การเรยี นการสอนให๎เด็กได๎เรียนรดู๎ ว๎ ยตนเอง 2. เป็นวิธกี ารทท่ี ําใหน๎ ักเรยี นมีโอกาสเรียนรูไ๎ ปทลี ะนอ๎ ยตามความเหมาะสม 3. ครูให๎คําปรกึ ษาและแนะนํา 4.ครูจัดเตรียมเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอนตลอดจนการวัดผลให๎ พร๎อมมูล เพื่อจะใช๎สอนแบบศูนย์การเรียน ซึ่งจะเป็นปัจจัยให๎การเรียนร๎ูมีประสิทธิภาพตาม วัตถุประสงค์ 5. นักเรียนจะทราบผลการเรียนทันทีหลังจากท่ีเรียนจบศูนย์ ถ๎าเป็นผลแหํงความพึง พอใจกจ็ ะเกิดความมกี ําลังใจ แตถํ า๎ เปน็ ผลทย่ี งั ไมพํ อใจกจ็ ะปรับปรุงใหด๎ ขี ้ึน 6. เป็นการเรยี นทไี่ มํกํอให๎เกิดความเบื่อหนํายเพราะเด็กต๎องเรยี นรแู๎ ขงํ กบั เวลา องค์ประกอบของวธิ สี อนโดยใช้ศูนยก์ ารเรียน 276
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 166-167) กลําวถึง ศูนย์การเรียนมีองค์ประกอบที่สําคัญ 4 ประการ คอื บทบาทของผูส๎ อน บทบาทของผเ๎ู รยี น ชุดการสอน การจัดห๎องเรียน ซึ่งสาระสําคัญของแตํ ละองคป์ ระกอบ มดี งั น้ี 1. บทบาทของผู้สอน การสอนแบบศูนย์การเรียน แม๎วําผ๎ูสอนได๎ลดบทบาทในการ สอนลงไปมากแล๎วก็ตาม แตํการสอนแบบศูนย์การเรียนจุขาดประสิทธิภาพไปถ๎าขาดผ๎ูสอนบทบาทของ ผส๎ู อนในการสอนแบบศนู ยก์ ารเรียน มีดงั น้ี 1.1 เป็นผ๎ูกาํ กับการเรยี นร๎ู 1.2 เปน็ ผ๎ปู ระสานงานกิจกรรมการเรยี น 1.3 บันทกึ การพัฒนาของผเ๎ู รียนแตลํ ะคน 1.4 เป็นผู๎เตรียมกิจกรรมและสื่อสารสอนเพิ่มเติม เพ่ือให๎สอดคล๎องกับสภาพที่ เปล่ียนแปลงไป 2. บทบาทของผู้เรียน เน่ืองจากผ๎ูเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ดังนั้นจึงมีความสําคัญ มากบทบาทท่ีถูกต๎องของผ๎ูเรียนจะทําให๎การสอนแบบศูนย์การเรียนมีประสิทธิภาพ และมีผลลัพธ์ที่นํา พอใจ บทบาทและหนา๎ ทข่ี องผเู๎ รียน มดี ังน้ี 2.1 ทําความเข๎าใจเกยี่ วกบั ขอ๎ ปฏบิ ตั ใิ นการเรียนแบบศูนยก์ ารเรียน 2.2 ปฏิบตั ิกจิ กรรมตามคาํ ส่งั ทไี่ ดร๎ ับจากศูนย์การเรยี นแตลํ ะศนู ย์อยํางเครงํ ครัด ศกึ ษาใหค๎ รบทุกศนู ย์กิจกรรม 2.3 ให๎ความรํวมมือกับกลมุํ ในการประกอบกจิ กรรม รวมทั้งการเปน็ ผ๎ูนําหรอื ผ๎ู ตามทด่ี ีดว๎ ย 3. ชุดการสอน ในการสอนแบบศูนย์การเรียน ชุดการสอนถือวําเป็นองค์ประกอบท่ี สําคัญ ชุดการสอนจะเสนอเนื้อหาสาระในรูปของส่ือประสม ซ่ึงประกอบด๎วยวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการ ชุด การสอนแตํละชุดจะประกอบดว๎ ย 3.1 คมํู อื ครู 3.2 แบบฝกึ ปฏิบัติสําหรับผเ๎ู รียน 3.3 สือ่ สาํ หรบั ศนู ย์กจิ กรรม 3.4 แบบทดสอบสําหรบั การประเมินผล 4. การจัดห้องเรียน การจัดห๎องเรียนแบบศูนย์การเรียน จัดแบํงเป็นกลํุมๆ ตามกลํุม กจิ กรรมทร่ี ะบไุ ว๎ในชุดการสอน การจัดกลุมํ กจิ กรรมอาจแยกได๎เป็น 2 ประเภท คือ 4.1 จัดเปน็ กลุํมสําหรับให๎ผ๎เู รียนประกอบกิจกรรมตามปกติ โดยวธิ ดี งั กลําวก็ อาจจดั งํายๆ โดยการจดั โตะ๏ เกา๎ อี้ 4-6 ตวั มารวมกันเป็นกลมํุ เรยี กวํา ศนู ยก์ ิจกรรม โดยนยิ มจัด ไว๎กลางหอ๎ ง 277
4.2 จดั กลํุมตามความสนใจ จดั ตามกลุํมวิชาโดยจัดโตะ๏ และเก๎าอเี้ ป็นกลุํมๆ วางเขา๎ ชิดผนงั นอกจากนน้ั ผ๎ูสอนอาจตกแตงํ หอ๎ งเรยี นเพอ่ื เสรมิ บรรยากาศของการเรยี นร๎ู เชํน มีปูายนิเทศ มีรปู ภาพติดทีผ่ นงั หอ๎ ง เปน็ ตน๎ ทิศนา แขมมณี (2550 : 374 ) เสนอองค์ประกอบสําคัญของวิธีการสอนแบบศูนย์การ เรยี นดงั น้ี 1. มีผูส๎ อนและผู๎เรียน 2. มีชุดการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด๎วยเนื้อหาสาระ บัตรคําสั่งในการทํากิจกรรม วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ และส่ือที่จําเป็นสําหรับทํากิจกรรม รวมท้ังแบบวัดและประเมินผลการ เรยี นร๎ู 3. มีศูนย์การเรียนหรือมุมความร๎ูหรือสถานที่สําหรับกลุํมผู๎เรียนในการศึกษาและ กิจกรรมตํางๆ ตามท่ีระบุไว๎ในบัตรคําส่ังผ๎ูเรียนศึกษาและทํากิจกรรมตามศูนย์ตํางๆ รํวมกันเป็น กลํุม หรือเป็นรายบุคคล จนครบทุกศูนย์หรือครบทุกเนื้อหาผู๎เรียนมีผลการเรียนร๎ูท่ีเกิดจากการ ทํากจิ กรรมตาํ งๆ ในศูนย์ ไสว ฟกั ขาว (2544 : 126) อธบิ ายถงึ องค์ประกอบในศูนยก์ จิ กรรม ประกอบไปดว๎ ย 1. ชุดการสอน ที่มีหนังสือสําหรับค๎นคว๎า รูปภาพแบบทดสอบและบัตรคําสั่งท่ีจะ ชแี้ จงแนวทางในการทาํ กิจกรรมในแตํละศนู ย์ 2. วัสดุ อุปกรณ์ในการเรยี น 3. เครอื่ งมอื องค์ประกอบของชุดการสอน สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) กลําวถึงสํวนประกอบของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน ประกอบไปดว๎ ย 1. คูํมือครู ซ่ึงจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดมํุงหมายเชิงพฤติกรรม เนื้อหาผลงานท่ี คาดหลังจากนักเรียน สื่อการเรียน หนังสือประกอบการค๎นคว๎าสําหรับครู แนวการประเมินผล ขัน้ การดําเนนิ การสอน 2. แบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรียน 3. บัตรตํางๆ ที่ใช๎ในการประกอบกิจกรรม ได๎แกํ บัตรคําสั่ง บัตรเน้ือหา บัตร กิจกรรม บตั รคําถาม และบัตรเฉลย 4. ส่อื การเรียนการสอนทเี่ ลอื กแลว๎ มคี วามเหมาะสมในด๎านตาํ งๆ ประเภทของชดุ การสอน 278
สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) กลําวถึงประเภทของชุดการสอนในการสอนแบบศูนย์การ เรยี นไวด๎ ังนี้ 1. ชุดการสอนแบบเรียนด๎วยตนเอง หรือชุดการสอนรายบุคคล ซึ่งประกอบด๎วย บทเรียนโปรแกรม แบบประเมนิ ผล และอุปกรณ์การเรียน 2. ชุดการสอนแบบเรียนเป็นกลํุมยํอย ซ่ึงจัดประสบการณ์ตํางๆ ที่นักเรียนจะต๎อง ประกอบกิจกรรมเป็นหมํูคณะ ตามบัตรคําสัง่ โดยจัดแบบศูนย์การเรียน 3. ชดุ การสอนประกอบการบรรยายของครู เป็นกลํองกิจกรรมสําหรับชํวยครูในการ สอนกลุํมใหญํ ให๎นักเรยี นได๎ประสบการณท์ ีพ่ รอ๎ มๆ กัน ตามเวลาทก่ี าํ หนด บทบาทของผู้เรียน ไสว ฟักขาว (2544 :127) อธิบายถึงบทบาทของผ๎ูเรยี นวาํ จะต๎องประกอบไปดว๎ ย 1. ทําความเข๎าในวธิ กี ารเรียนแบบศูนย์การเรยี น 2. ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามบัตรคําส่ังในแตลํ ะศูนย์ 3. รวํ มมอื กนั ทาํ กิจกรรมโดยปฏบิ ตั ติ นเป็นผ๎นู ําและผตู๎ ามท่ีดี ขน้ั ตอนการสรา้ งชุดการสอนโดยใชศ้ นู ยก์ ารเรียน ขัน้ ตอนของการสรา๎ งชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนสรปุ ไดด๎ งั น้ี (อาภรณ์ ใจเท่ียง, 2550 : 167) 1. เลอื กเรอ่ื งท่ีจะสอน แลว๎ แบงํ เปน็ หวั เรื่องยอํ ยประมาณ 4-6 หัวเรอ่ื ง 2. กําหนดมโนทศั น์หรือความคดิ รวบยอดของแตํละหัวเรือ่ ง 3. กาํ หนดจดุ มุํงหมายเชงิ พฤตกิ รรม 4. กาํ หนดกจิ กรรมการเรียนโดยใหส๎ อดคล๎องกับหัวเรื่องของชุดการสอน 5. กําหนดสื่อการสอน สื่อการสอนท่ีจะใช๎ควรเป็นสื่อที่มีราคาถูกและสามารถ ผลิตเองได๎ เชํน บัตรคําสั่ง บัตรเน้ือหา บัตรคํา บัตรคําถาม บัตรภาพ กระดาษคําตอบเกมตํางๆ บทเรยี นแบบโปรแกรม เปน็ ต๎น 6. เตรยี มขอ๎ สอบท่จี ะใช๎ทดสอบกอํ นเรยี นและหลงั เรียน ออกข๎อสอบใหส๎ ามารถวดั 7. ไดต๎ ามจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมทีก่ ําหนดไว๎ ควรเป็นข๎อสอบแบบปรนัย ข้ันตอนการสอนโดยใช้ศูนยก์ ารเรียน บุญชม ศรีสะอาด (2541 :102-103) ขั้นตอนในการสอนแบบศูนย์การเรียนแบํงเป็น 5 ขน้ั คอื ข้นั ประเมนิ ผลกอํ นเรียน ขนั้ นาํ เขา๎ สูํบทเรียน ขัน้ ประกอบกิจกรรมการเรียน ขั้นสรุปบทเรียน และ ข้ันประเมนิ ผลการเรียน มีรายละเอียดดังน้ี 279
1. ขั้นประเมินผลกํอนเรียน ขั้นแรกจะทําการทดสอบเพื่อวัดวําผู๎เรียนมีความร๎ูความ เขา๎ ใจในเร่อื งทีจ่ ะเรยี นอยํูกํอนแล๎วมากนอ๎ ยเพียงใด โดยอาจใชเ๎ วลาทดสอบประมาณ 5-10 นาที ผ๎ูสอนจะ ตรวจใหค๎ ะแนนเกบ็ ไว๎ 2. ข้นั นาํ เข๎าสํูบทเรียน ผู๎สอนจะใช๎เวลาประมาณ 5-10 นาที เพ่ือดึงดูดความสนใจของ ผ๎ูเรียนตํอบทเรียน โดยอาจใช๎วิธีเลํานิทาน เลํนเกม ใช๎โสตทัศนูปกรณ์ เชํน ภาพยนตร์ วีดีโอ สไลด์ รูปภาพเปน็ ตน๎ หลงั จากน้นั กจ็ ะอธิบายใหท๎ ราบถงึ วิธเี รยี น 3. ข้นั ประกอบกิจกรรมการเรียน แบํงผ๎ูเรียนออกเป็นกลุํมตามจํานวนของศูนย์กิจกรรม แตํละกลํุมอาจคละกันระหวํางคนเกํงและคนอํอนหรือให๎ผู๎เรียนเลือกกลํุมกันเอง ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์ กิจกรรม อํานบัตรคําส่ังและปฏิบัติกิจกรรมตามลําดับข้ัน หมุนเวียนกันจนครบทุกศูนย์ทั้งน้ีอาจมีศูนย์ สาํ รองสาํ หรับกลุมํ ทีท่ ํากิจกรรมเสรจ็ กํอนกาํ หนด 4. ข้ันสรุปบทเรียน หลังจากที่ผู๎เรียนปฏิบัติกิจกรรมครบทุกศูนย์แล๎ว ผ๎ูสอนจะสรุป บทเรียนเพ่อื ใหเ๎ กดิ ความเข๎าใจกระจาํ งชดั ยิ่งข้ึน 5. ข้ันประเมินผลการเรียน ผู๎สอนจะให๎ผู๎เรียนทําแบบทดสอบเพื่อวัดผลการเรียน ซ่ึง เปน็ แบบทดสอบชุดเดียวกับที่ให๎ทํากํอนเรียน นําคะแนนการสอบกํอนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ กันเพอ่ื ทราบความกา๎ วหนา๎ ในการเรียน ทิศนา แขมมณี (2550 : 375) เสนอข้ันตอนสําคัญของการสอนแบบศูนย์การเรียน ไว๎ดังน้ี 1. ผู๎สอนจัดเตรยี มชุดการเรยี นการสอนและจดั ศูนยก์ ารเรียน 2. ผู๎สอนใหค๎ าํ ชแ้ี จงและคําแนะนาํ แกผ๎ ู๎เรียนในการเรยี นรูโ๎ ดยใชศ๎ ูนย์การเรยี น 3. ผ๎เู รยี นทําแบบสอบกอํ นเรยี น 4. ผู๎เรียนศกึ ษาและทํากจิ กรรมตามบตั รคําสง่ั ในศูนยต์ าํ งๆ รวํ มกนั เป็นกลมํุ หรือ 5. เป็นรายบุคคล จนครบทกุ ศนู ยห์ รือครบทกุ เน้อื หา 6. ผู๎สอนประเมนิ ผลการเรยี นรขู๎ องผู๎เรยี น นอกจากน้ี ไสว ฟักขาว (2544 :127) ยังได๎เสนอข้ันตอนการสอนแบบศูนย์การเรียน วํา ประกอบไปด๎วย 1. ขัน้ ประเมินผลกํอนเรยี น เป็นการทดสอบความรูพ๎ ืน้ ฐานเกี่ยวกบั เรอ่ื งทีจ่ ะเรยี น อาจ ใชเ๎ วลา 5-10 นาที 2. ข้ันนําเข๎าสูํบทเรียน ครูนําเข๎าสํูเรื่องที่จะเรียนโดยการเลํา การใช๎รูปภาพ การถาม พร๎อมทั้งอธบิ ายวธิ ีการเรยี นแบบศนู ย์การเรยี น 3. ขั้นทํากิจกรรม แบํงผ๎ูเรียนเป็นกลุํม แตํละกลํุมควรคละคนท่ีเกํง ปานกลาง และอํอน แล๎วให๎ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์กิจกรรม จากนั้นปฏิบัติกิจกรรมตามบัตรคําส่ัง เมื่อจบศูนย์หนึ่งก็ให๎เปลี่ยน 280
ศูนย์ หมุนเวียนจนครบทุกศูนย์ กลุํมใดทํากิจกรรมเสร็จกํอนกําหนดเวลา ก็ให๎เข๎าไปศึกษาท่ีศูนย์สํารอง กอํ น 4. ขน้ั สรปุ บทเรียน ครูและผเู๎ รยี นรวํ มกนั สรุปบทเรยี นเพื่อให๎เกิดความเข๎าใจที่ชดั เจน 5. ขน้ั ประเมนิ ผล ครูจะทาํ การทดสอบความร๎ูของผ๎เู รียน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 648) กลําวถึงลําดับข้ันของการสอนแบบศูนย์การเรียนวํา อาจแบงํ เปน็ 3 ขัน้ คอื 1. ขน้ั นําเขา๎ สํูบทเรียน ครจู ะต๎องเปน็ ผนู๎ าํ เข๎าสบํู ทเรียน โดยบอกถงึ เน้ือหาตํางๆ ของ การเรียน และจะต๎องใช๎สิ่งประกอบการนําเข๎าสูํบทเรียน เพื่อให๎นักเรียนเกิดความสนใจในส่ิงที่จะเรียน นอกจากน้ีจะต๎องทําการทดสอบนักเรียน ซึ่งนับเป็นการทดสอบกํอนเรียน แล๎วให๎นักเรียนแบํงกลํุม ประกอบกิจกรรม 2. ข้ันประกอบกิจกรรม ผูเ๎ สนอจะกําหนดใหแ๎ ตลํ ะกลํมุ ประกอบกิจกรรมกลํมุ ละ 15 - 20 นาที เม่ือประกอบกิจกรรมเสร็จแล๎ว อาจมีการเขียนรายงานผลลงในกระดาษคําตอบและตอบคําถาม จากบัตรคาํ ถามลงในแบบฝึกปฏิบัติทุกศูนย์ เม่ือเสร็จจากศูนย์กิจกรรมหน่ึงก็จะเวียนไปตามศูนย์กิจกรรม อื่นๆ จนครบทุกกลมุํ หากกลํมุ ใดประกอบกิจกรรมเสร็จกํอนกลํุมอื่นกจ็ ะไปปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ีศูนย์สํารอง 3. ขัน้ สรปุ บทเรียนและการประเมินผล เม่ือประกอบกิจกรรมเสร็จแล๎วจะต๎องมีการสรุป บทเรียนอีกครั้งหน่ึง โดยการใช๎ส่ือการสอนตํางๆ หรือจะให๎นักเรียนประกอบกิจกรรมรํวมกันท้ังชั้น เชํน ให๎แตํละกลํุมสํงตัวแทนออกมารายงานหรือกําหนดกิจกรรมอ่ืนตามความ เหมาะสมแล๎วจึงให๎นักเรียนทํา แบบทดสอบ ซึง่ เรยี กวาํ การทดสอบหลงั เรียน อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 167-169) เสนอข้ันตอนการสอนการสอนแบบศูนย์การเรียน วํามีขั้นตอนการสอน 5 ข้ันตอน ดงั นี้ 1. ขั้นทดสอบกํอนเรียน การทดสอบกอํ นเรยี นเป็นการวัดพื้นฐานความร๎เู ดิมของผู๎เรยี น วํามีความเข๎าใจในเรื่องที่จะเรียนอยํางไร การทดสอบกํอนเรียนนี้ใช๎เวลาไมํมากนักเพียง 5-10 นาที เทาํ นนั้ เมอื่ ผู๎เรยี นทําแบบทดสอบเสรจ็ แลว๎ ผูส๎ อนจะตรวจและใหค๎ ะแนนไว๎ 2. ขั้นนําเขา๎ สูํบทเรียน การนาํ เขา๎ สบํู ทเรียนเพื่อดงึ ดดู ความสนใจของผ๎ูเรยี นทจ่ี ะมีตํอ บทเรียน กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อนําเข๎าสํูบทเรียนนั้นใช๎เวลาไมํมากนักเชํนกัน อาจเพียง 10-15 นาที เชนํ การนาํ เขา๎ สํบู ทเรียนโดยการเลํานิทาน ถ๎าเป็นกลํุมผ๎ูเรียนท่ีเป็นเด็กเล็กเพื่อเร๎าความสนใจ หรือ เปน็ การเลํนเกม แสดงบทบาทสมมตุ อิ าจใช๎สื่อประกอบเป็นต๎นวํา รปู ภาพ แผนภมู ิ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 3. ขน้ั ประกอบกจิ กรรมการเรียน โดยเร่ิมตน๎ ดงั น้ี 1.1 การแบํงกลมํุ ผ๎เู รียน การใหผ๎ ๎ูเรยี นประกอบกจิ กรรมการเรียนการสอน ผ๎สู อนจะแบงํ กลมุํ กจิ กรรมออกเปน็ 5-6 กลมุํ โดยมีวธิ ีแบงํ ได๎หลายแบบ เปน็ ต๎นวํา แบํงตาม 281
ความเหมาะสม คือคละกนั ระหวาํ งเด็กเรยี นเกงํ เดก็ ปานกลาง และเดก็ เรยี นอํอน หรอื ให๎ผูเ๎ รียน เลือกกลํมุ เองก็ได๎ 1.2 เมอ่ื แบํงกลุมํ แล๎ว ผ๎ูเรยี นจะอาํ นบัตรคําสั่งและปฏิบัตกิ ิจกรรมตามลําดับขนั้ แตํละกลุํมจะใช๎เวลา 15-20 นาที เมอ่ื ประกอบกิจกรรมตามทม่ี อบหมายแล๎วกเ็ ตรยี มเปลี่ยนกลุํม ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตํอไป การเปล่ียนกลุํมกิจกรรม ผ๎ูสอนจะให๎ผ๎ูเรียนเปลี่ยนกลํุมเพื่อให๎ทุกคนได๎ ประกอบ กจิ กรรมทุกอยํางจนครบถว๎ น 4. ขน้ั สรุปบทเรียน เมอื่ ผเู๎ รยี นได๎ประกอบกจิ กรรมครบทุกศูนย์แลว๎ ผส๎ู อนจะต๎องสรปุ บทเรียนอกี ครงั้ เพือ่ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นเข๎าใจกระจาํ งชดั ย่งิ ขนึ้ 5. ขั้นประเมนิ ผลการเรียน ผ๎สู อนจะให๎ผู๎เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น ซง่ึ จะดูวําผ๎ู เรยี นมคี วามกา๎ วหน๎าในการเรียนเพียงใด กลําวคือ เรียนรู๎มากข้ึนกวําเดิมเทําใด โดยนําไปเปรียบเทียบกับ คะแนนที่ได๎จากการทําแบบทดสอบกํอนเรียน สําหรับกิจกรรมที่ผ๎ูเรียนได๎ทําไปแล๎วนั้น ผู๎สอนควร ประเมินผลและใหค๎ ะแนนดว๎ ยเพอื่ ดวู าํ การเรียนรูข๎ องผ๎ูเรยี นมีประสิทธภิ าพเพียงใด ขนั้ ตอนวธิ ีสอนแบบศูนยก์ ารเรียน สรุปได๎ดงั น้ี สเ่ี หล่ยี มผืนผา๎ มุมมน: 1. ขนั้ ทดสอบกํอนเรยี น ส่ีเหลี่ยมผืนผา๎ มุมมน: 2. ขนั้ นําเขา๎ สํบู ทเรยี น สี่เหลี่ยมผนื ผา๎ มมุ มน: 3. ขัน้ ประกอบกจิ กรรมการเรยี น สี่เหล่ยี มผนื ผ๎ามมุ มน: 4. ขั้นสรุปบทเรยี น สเ่ี หลีย่ มผนื ผา๎ มมุ มน: 5. ขั้นประเมินผลการเรยี น สรุปไดว๎ ํา ข้ันตอนการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน มี 5 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1. ข้ันทดสอบกํอนเรียน ผู๎สอนประเมินผ๎ูเรียนกํอนการให๎การสอบ เพื่อทดสอบวํา ผ๎ูเรยี นมีความรู๎ในเรอ่ื งท่จี ะสอนหรอื ไมํ 2. ขั้นนําเข๎าสูํบทเรยี น ผู๎สอนกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ู เกิดความสนใจอยากท่ีจะ เรียนร๎ู อาจใชเ๎ วลาประมาณ 10-15 นาที 3. ขัน้ ประกอบกจิ กรรมการเรียน แบํงผูเ๎ รยี นออกเป็นกลํุมตามจํานวนของศูนย์กิจกรรม 282
ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์กิจกรรม อํานบัตรคําส่ังและปฏิบัติกิจกรรมตามลําดับขั้น หมุนเวียนกันจนครบทุก ศนู ยท์ ั้งนีอ้ าจมศี ูนย์สํารองสําหรบั กลํุมที่ทาํ กิจกรรมเสร็จกํอนกาํ หนด 4. ข้ันสรุปบทเรียน หลังจากที่ผ๎ูเรียนปฏิบัติกิจกรรมครบทุกศูนย์แล๎ว ผ๎ูสอนจะสรุป บทเรยี นเพอื่ ใหเ๎ กิดความเข๎าใจกระจํางชดั ย่ิงขน้ึ 5. ขั้นประเมินผลการเรียน ผ๎ูสอนจะให๎ผู๎เรียนทําแบบทดสอบเพื่อวัดผลการเรียน ซ่ึง เปน็ แบบทดสอบชุดเดียวกับที่ให๎ทํากํอนเรียน นําคะแนนการสอบกํอนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ กนั เพ่ือทราบความก๎าวหนา๎ ในการเรยี น เทคนิคและข๎อเสนอแนะตํางๆ ในการใช๎วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 375-376) 1. การเตรยี มการ ในการสอนดว๎ ยวธิ ีนี้ ผ๎สู อนจําเปน็ ตอ๎ งมีการจัดเตรียมชุดการ เรียนการสอนให๎พร๎อม โดยผ๎ูสอนจะนําเนื้อหาสาระและประสบการณ์ท่ีต๎องการให๎ ผเู๎ รียนไดเ๎ รียนรู๎มาจัดแบํงออกเปน็ หนวํ ย หรือเร่ืองสําหรับศูนย์ และกําหนดจุดมุํงหมาย เน้อื หาสาระ และกจิ กรรมการเรียนร๎ทู ี่ผ๎ูเรียนสามารถเรียนร๎ูด๎วยตนเอง ชุดการเรียนการ สอนโดยทั่วไป มักประกอบด๎วย จุดมํงหมาย แบบสอบกํอนเรียนและหลังเรียน เน้ือหา สาระบัตรคําส่ังใหป๎ ฏิบัติกจิ กรรมตํางๆ พร๎อมท้งั แบบฝึกหัด แบบสอบหลังเรียน เอกสาร และวัสดุตํางๆ ที่จําเป็น เชํน คํูมือ คําชี้แจง บัตรคําถาม บัตรเฉลยคําตอบ เป็นต๎น นอกจากนั้นอาจมีสื่อการเรียน เชํน แผนที่ ภาพ รวมทั้งเคร่ืองมือ หรืออุปกรณ์ที่ จําเป็นต๎องใช๎ในการทํากิจกรรม เชํน เคร่ืองเลํนเทป ม๎วนเทป วีดีโอเทป สไลด์ ภาพยนตร์ เป็นตน๎ การสรา๎ งชุดการเรยี นการสอนสาํ หรบั ศูนย์การเรยี นนน้ั ครูสามารถจัดทําขึ้นโดย ใชห๎ ลกั การเชํนเดียวกับการทาํ แผนกการสอนตามปกติ แตแํ ทนท่คี รจู ะเป็นผ๎ูดําเนนิ กจิ กรรมการ สอน ครูจะตอ๎ งจัดเน้อื หาสาระและคิดกิจกรรมทผี่ ูเ๎ รียนสามารถเรยี นร๎ูได๎ดว๎ ยตนเอง โดยครใู ห๎ คําแนะนําและคาํ ชแี้ จงไว๎ในบตั รคาํ สั่ง รวมทั้งจัดเตรียมสอ่ื ตาํ งๆ ทจ่ี ะชํวยให๎ผ๎ูเรยี นสามารถเรียนรู๎ ได๎ ตลอดจนจัดทําแบบสอบกอํ นเรยี นและหลังเรียนสาํ หรบั การประเมนิ ผลการเรียนร๎ขู องผ๎ูเรียน ดว๎ ย โดยทวั่ ไปชุดการเรียนการสอนมี 3 ชนดิ คอื (1) ชดุ การเรยี นการสอนรายบุคคล เป็นชดุ การ เรยี นการสอนท่ผี ู๎เรียนสามารถเรียนร๎ไู ด๎ด๎วยตนเอง ซ่ึงผูเ๎ รียนอาจนาํ ไปเรียนที่บ๎านก็ได๎ เมือ่ เรียน จบและสามารถทําแบบสอบไดใ๎ นระดบั ทีก่ าํ หนดไวแ๎ ลว๎ ผูเ๎ รยี นจะสามารถเรียนชุดการเรียนการ สอนตํอไปได๎ (2) ชดุ การเรียนการสอนสําหรบั กิจกรรมกลุมํ เปน็ ชุดการเรียนการสอนทีผ่ ๎ูเรยี น หลายคน (กลํุมยอํ ยประมาณ 4-8 คน) สามารถเรยี นร๎รู วํ มกันได๎ โดยครจู ะจดั สื่อและวัสดุตํางๆ เตรยี มไวอ๎ ยาํ งพอเพยี งสาํ หรบั กลุํม (3) ชุดการเรียนการสอนประกอบการบรรยาย เป็นชดุ การ เรยี นการสอนทีม่ ีกจิ กรรมและส่อื ท่ีครสู ามารถใชป๎ ระกอบการบรรยาย เปน็ การชํวยใหค๎ รูพูด 283
นอ๎ ยลง และผเู๎ รยี นมีโอกาสทํากจิ กรรมมากข้นึ นอกจากการจัดทําชุดการเรียนการสอนแล๎ว กํอนสอนผู๎สอนจะต๎องจัดสถานท่ี สาํ หรบั ผเู๎ รยี นไวใ๎ ห๎พรอ๎ ม โดยทวั่ ไปวธิ ีทส่ี ะดวกสาํ หรบั ครูก็คอื จดั โตะ๏ และเก๎าอี้เป็นกลํุมยํอย และ จัดวางชุดการเรียนการสอนพร๎อมท้ังวัสดุและส่ือตํางๆ ไว๎ให๎พร๎อม ปกติศูนย์การเรียนจะมีหลาย ศูนย์ โดยแตํละศูนย์จะมีเนื้อหาสาระเบ็ดเสร็จในตัวเอง และจะมีศูนย์สํารองไว๎ 1 ศูนย์ เพ่ือให๎ ผู๎เรียนที่สามารถเรียนรู๎ได๎เร็วกวําเพื่อนๆ มาทํากิจกรรมเสริมในระหวํางรอเพ่ือที่ยังทําไมํเสร็จ การจัดศูนย์แตํละศูนย์ควรจัดให๎หํางกันพอสมควร เพ่ือจะได๎ไมํรบกวนกันและควรจะจัดชํอง ทางเดนิ ระหวาํ งศูนย์ให๎สามารถเดินได๎สะดวก เพ่อื เวลาสับเปล่ยี นกลุํมจะไดไ๎ มยํ ํงุ ยากสับสน 2. การดาํ เนินการเรียนการสอน เริ่มตน๎ ครูจําเป็นต๎องช้ีแจงและให๎คาํ แนะนําแกํ ผู๎เรียนในการเรียน โดยเฉพาะผู๎เรียนท่ียังไมํเคยได๎เรียนร๎ูโดยใช๎ศูนย์การเรียนมากํอนหลังจากท่ี แนํใจวํา ผ๎ูเรียนเข๎าใจและพร๎อมแล๎ว จึงให๎ลงมือทํากิจกรรมตํางๆ ตามท่ีปรากฏอยูํในบัตรคําสั่ง โดยหมุนเวียนกันเข๎าศูนย์การเรียนท่ีมีอยํูจนครบทุกศูนย์ และทําแบบสอบประเมินผลการเรียนร๎ู ของตน ครูทาํ หน๎าทดี่ แู ล ให๎คําแนะนําและความชํวยเหลือแกํผู๎เรียนในการทํากิจกรรมตํางๆ และ ประเมนิ ผลการเรยี นร๎ขู องผ๎ูเรยี น 3. การวัดและประเมินผลการเรียนร๎ู ของผ๎ูเรียนด๎วยวิธีนี้ สํวนใหญํจะเป็นการ ประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ และมักใช๎วิธีการตํางๆ ที่หลากหลาย เชํน การใช๎แบบสอบกํอนเรียน และหลังเรียน การตรวจสอบจากผลงานที่ผ๎ูเรียนทํา การดูพัฒนาการหรือความก๎าวหน๎าในการ เรียนร๎ูและการใหผ๎ ูเ๎ รยี นประเมนิ ตนเอง หรือใหเ๎ พอ่ื นๆ รวํ มกนั ประเมินดว๎ ยเป็นตน๎ จุดเดน่ ของวธิ สี อนโดยใชศ้ ูนย์การเรียน จุดเดนํ ของวิธสี อนโดยใช๎ศนู ยก์ ารเรยี น ได๎มีนกั วิชาการได๎เสนอไวห๎ ลายทําน ดงั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 376) กลําวถึงจุดเดํนของการเรียนการสอนโดยใช๎ศูนย์การ เรียนไว๎ ดงั น้ี 1. เป็นวิธสี อนทช่ี ํวยใหผ๎ ๎ูเรยี นสามารถเรยี นร๎ไู ด๎ด๎วยตนเอง 2. เป็นวิธสี อนท่ชี ํวยใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดความกระตือรอื รน๎ ในการเรียนร๎ู 3. เปน็ วิธสี อนที่ชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรยี นทราบผลการเรยี นรูท๎ ันทที ่เี รียนจบ 4. เป็นวิธีสอนทชี่ ํวยใหผ๎ ูเ๎ รยี นสามารถเรียนรเ๎ู ป็นรายบุคคลและเปน็ กลมํุ ยํอยได๎ อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 169) กลาํ วถงึ จุดเดนํ ของการสอนโดยใชศ๎ ูนย์การเรยี น ดงั น้ี 1. สํงเสรมิ ให๎ผู๎เรยี นเรียนตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเองทําให๎ ผู๎เรยี นมีโอกาสพัฒนาการเรียนรูข๎ องตนเองตามอตั ภาพ 2. สงํ เสรมิ ความเป็นผูใ๎ ฝรุ ข๎ู องผเู๎ รียน เปดิ โอกาสใหแ๎ สวงหาความรด๎ู ๎วยตนเองแทนการ 284
เรียนจากผสู๎ อนเพยี งอยาํ งเดียว 3. สํงเสรมิ ความรบั ผิดชอบในการเรียนของผูเ๎ รียนแตลํ ะกลุํม 4. สงํ เสริมความเช่ือม่นั ในการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รยี น เพราะผู๎เรยี นจะเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเอง 5. สํงเสรมิ การทาํ งานรวํ มกันเป็นกลุํม สรา๎ งความสามคั คี โดยเปดิ โอกาสให๎ กลํุมท่รี ํวมปฏิบตั ิกจิ กรรมในศนู ยเ์ ดียวกนั มกี ารชวํ ยเหลือรวํ มมอื ดําเนนิ กิจกรรมการเรียนรํวมกัน เชํน เด็ก เกงํ ชํวยเหลือเด็กออํ น เปน็ ต๎น 6. ชํวยลดปัญหาการขาดแคลนผส๎ู อน เพราะผูส๎ อนมบี ทบาทในการสอนนอ๎ ยลงมาก 7. สามารถใช๎ได๎กับกลมํุ ผเ๎ู รียนจาํ นวนมาก สุพิน บญุ ชูวงศ์ (2544 : 57) กลาํ วถงึ จุดเดํนของการสอนแบบศนู ยก์ ารเรียน ดงั น้ี 1. สํงเสริมให๎นกั เรยี นรูจ๎ ักแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง 2. ฝึกใหน๎ กั เรียนรจ๎ู ักการทาํ งานเป็นหมูํคณะ 3. สงํ เสรมิ ใหน๎ กั เรยี นรจ๎ู กั แสดงความคิดเห็น และวิพากษว์ ิจารณ์ นอกจากน้ี สามารถ คงสะอาด (2535 : 50) กลําวถงึ จุดเดํนของการสอนโดยใช๎ศูนย์การ เรยี นมีดงั นี้ 1. สํงเสริมให๎ผเู๎ รยี นไดศ๎ ึกษาหาความรูด๎ ๎วยตนเอง 2. สํงเสรมิ การทาํ งานรวํ มกนั เป็นกลมํุ 3. สํงเสรมิ ใหน๎ ักเรียนไดแ๎ สดงออกซึ่งความคดิ เหน็ รจู๎ ักคดิ รู๎จักวิจารณ์ อยํางมีเหตุผล 4. สงํ เสรมิ ความมีวนิ ยั และความรบั ผดิ ชองรวํ มกัน 5. ชํวยให๎บทเรยี นนําสนใจและบรรยากาศในการเรียนดขี ึ้น และ บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 103) กลําวถึง จุดเดํนของการสอนแบบศูนย์การเรียน วาํ มีประโยชนด์ งั นี้ 1. การสอนแบบศนู ย์การเรยี นมขี อ๎ ดดี งั น้ี 2. สํงเสรมิ ความรบั ผดิ ชอบในการเรยี นของผู๎เรียน 3. สํงเสรมิ การทาํ งานรํวมกนั เป็นกลมํุ 4. ผเ๎ู รียนกล๎าแสดงออก บรรยากาศในการเรยี นไมเํ ครํงเครียด 5. ผู๎เรียนสามารถนําส่อื การเรยี นมาทบทวนไดต๎ ามตอ๎ งการ 6. ผู๎เรยี นมโี อกาสศึกษาจากสอ่ื หลายประเภท จากที่นักวิชาการหลายทํานได๎กลําวถึงจุดเดํนของการสอนโดยศูนย์การเรียน สรุปประเด็นที่ นําสนใจได๎ ดงั นี้ 1. ผ๎ูเรยี นสามารถเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง สํงเสรมิ การใฝุรู๎ 2. ผูเ๎ รยี นเกิดความกระตอื รือร๎นในการเรียน 285
3. เปน็ การเรยี นทท่ี าํ ใหผ๎ ๎เู รียนทราบผลทันที 4. สํงเสริมความรบั ผดิ ชอบใหก๎ ับผู๎เรยี น 5. ชํวยลดปัญหาการขาดแคลนครู 6. เป็นการเรยี นท่ีสามารถใชก๎ ับกลมํุ ผเ๎ู รียนจาํ นวนมากได๎ 7. สํงเสริมใหผ๎ ู๎เรียนมสี วํ นรํวมในการทาํ งานกลํมุ ขอ้ จากัดของการสอนโดยศนู ยก์ ารเรียน ทิศนา แขมมณี (2550 : 376) กลําววํา การสอนโดยศูนย์การเรียนเป็นวิธีสอนท่ีผ๎ูสอน ต๎องใช๎เวลาในการเตรียมการมาก กลําวคือ ต๎องจัดเตรียมชุดการเรียนการสอน จัดวัสดุอุปกรณ์และ สถานทใ่ี หพ๎ ร๎อมกอํ นสอนเป็นวธิ ีสอนทต่ี ๎องใชส๎ ่ือ และวัสดุตํางๆ จํานวนมาก ใชง๎ บประมาณมาก อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 169) กลําวถึง ข๎อจํากัดของการสอนแบบศูนย์การเรียน วํา ผ๎ูสอนต๎องมีความรู๎ความเข๎าใจ และมีทักษะในการจัดทําชุดการสอนการให๎กลํุมผู๎เรียนหมุนเวียนกันเรียน ในแตลํ ะศนู ย์ อาจไมเํ ป็นไปตามลาํ ดบั ขน้ั ของหลกั สูตร สพุ ิน บุญชูวงศ์ (2544 : 57) กลาํ ววํา ข๎อจาํ กัดของการสอนโดยใชศ๎ นู ย์การเรยี น คือ 1. ตอ๎ งเสยี คําใช๎จาํ ย และเสยี เวลาในการสร๎างชุดการสอน 2. ความร๎ูทีไ่ ดจ๎ ากชดุ การสอนอยูํในวงจาํ กัด 3. ไมํเหมาะกับเน้อื หาบางวิชา เชํน วิชาที่ปฏบิ ตั ิแล๎วอาจเกดิ อนั ตราย เชํน การทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ สามารถ คงสะอาด (2535 : 50) กลําวถึง ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนไว๎ ดังนี้ 1. การผลิตชดุ การสอนจะตอ๎ งใช๎เวลาและเสียคาํ ใชจ๎ าํ ยมาก 2. ชดุ การสอนมีขอบเขตจํากัด ไมํสามารคลมุ เนอื้ หาได๎หมด 3. การผลติ ชดุ การสอนทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ ครสู วํ นใหญํยงั ทาํ ได๎ยาก สรุปขอ๎ จาํ กดั ของการสอนโดยใช๎ศูนยก์ ารเรยี นทีน่ ําสนใจไดด๎ งั น้ี 1. ต๎องใช๎สื่อการสอนเป็นจาํ นวนมาก ทําให๎ใช๎งบประมาณมาก 2. ผ๎สู อนจะตอ๎ งมีการเตรยี มตัว เตรยี มสื่อการสอนเปน็ อยาํ งดี 3. ในการหมุนเวยี นไปศูนย์ตํางๆ อาจเกดิ ความวนํุ วายได๎ 4. ผเ๎ู รียนไดค๎ วามร๎ใู นวงจํากัด 5. เปน็ การสอนทไี่ มํเหมาะสมกับเน้ือหาบางวิชา เชํน วิชาวิทยาศาสตร์ เป็นตน๎ กลําวโดยสรุปวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีครูจัด ผูเ๎ รยี นออกเปน็ กลํุมยํอย โดยให๎ผ๎ูเรียนศึกษาเน้ือหาจากบทเรียนท่ีผ๎ูสอนได๎จัดเตรียมไว๎ให๎ด๎วยตนเอง โดย เน๎นกิจกรรมการเรียนสื่อการเรียนการสอนท่ีเป็นชุดการสอน เปิดโอกาสให๎ผู๎เรียนศึกษาหาความรู๎ด๎วย 286
ตนเองตามกิจกรรมท่ีกําหนดไว๎ โดยแตํละกลํุมจะต๎องหมุนเวียนเรียนจนครบทุกศูนย์ ซ่ึงการสอนโดยใช๎ ศนู ย์การเรยี นมีจุดมํงุ หมายสาํ คญั คือ มงํุ ให๎ผ๎ูเรียนค๎นคว๎าหาความรด๎ู ๎วยตนเอง ฝึกใหผ๎ ๎เู รยี นทํางานเป็นกลํุม มีความรบั ผิดชอบและสามารถปฏบิ ตั ิงานภายในกรอบตามกฎเกณฑท์ ่ีกาํ หนดไวไ๎ ด๎ สาํ หรับองคป์ ระกอบของวธิ ีสอนโดยใช๎ศนู ยก์ ารเรยี นมี 4 ประการด๎วยกนั คือ 1. บทบาท ของผู๎สอน โดยผสู๎ อนจะตอ๎ งมกี ารกาํ กับงาน ประสานกิจกรรม พร๎อมด๎วยการบันทึกการพัฒนาของผู๎เรียน ตามความจริง 2. บทบาทของผูเ๎ รยี น ซง่ึ ผ๎ูเรยี นจะต๎องเข๎าใจการปฏิบัตกิ จิ กรรมตามที่ผส๎ู อนได๎ให๎คําแนะนํา ไว๎และต๎องให๎ความรํวมมือในการเรียนการสอนเป็นอยํางดี 3.ชุดการสอน ประกอบไปด๎วยชุดคํูมือครู แบบฝึกปฏิบัติสําหรับผู๎เรียน ส่ือการสอนสําหรับทุกศูนย์พร๎อมด๎วยแบบทดสอบของผ๎ูเรียนท้ังกํอนและ หลังเรียน โดยทั่วไปชดุ การสอนมี 3 ชนิด คือ 1) ชุดการเรียนการสอนรายบุคคล 2) ชุดการเรียนการสอน สําหรับกิจกรรมกลุํม และ 3) ชุดการเรียนการสอนประกอบการบรรยาย และการจัดห๎องเรียน เป็น สํวนประกอบสาํ คญั ซึง่ ผส๎ู อนสามารถจัดไดต๎ ามความสะดวกและตามความสนใจของผเ๎ู รียน ในสวํ นของขน้ั ตอนการเรียนการสอนโดยใช๎ศนู ย์การเรียนแบํงเปน็ 5 ข้นั ตอน คือ 1. ข้ันประเมินกํอนเรียน โดยผู๎สอนทําการทดสอบความร๎ูพ้ืนฐานของผู๎เรียนกํอนการ เรียน ใชเ๎ วลาประมาณ 5-10 นาที 2. ข้นั นําเขา๎ สูํบทเรียน ผู๎สอนใช๎การเลํา อธิบายบทเรียน หรือใช๎คําถามเพ่ือดึงดูดความ สนใจ 3. ขัน้ กิจกรรม ผสู๎ อนกาํ หนดผเู๎ รียนเปน็ กลมุํ เพ่ือประจาํ ศนู ยก์ ารเรยี นแตํละกลํุม ผู๎เรียน ปฏบิ ัติตามคาํ สง่ั ท่ีผเู๎ รยี นกําหนดไว๎ โดยใหผ๎ เ๎ู รียนหมุนเวียนจนครบทุกศูนย์ แตํถ๎ากลุํมใดเสร็จกํอนก็ให๎เข๎า ประจาํ กลมุํ สาํ รอง 4. ขนั้ สรปุ เปน็ ขั้นท่ีผูส๎ อนสรุปบทเรียนทัง้ หมดหลังจากที่ผเู๎ รียนเรยี นจนครบทุกศูนย์ 5. ขั้นประเมินผล ผู๎สอนทดสอบผู๎เรียนหลังการเรียนร๎ู เพ่ือเปรียบเทียบคะแนน กอํ นหลัง สง่ิ สาํ คัญที่สุดในการเรยี นวิธีสอนโดยใช๎ศนู ยก์ ารเรียน คือ ผ๎ูสอนจะต๎องเป็นผ๎ูท่ีจัดเตรียม ชดุ การสอนใหพ๎ ร๎อม ในการสอนผ๎ูสอนก็จะต๎องช้ีแจงและให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียน จัดสถานท่ีสําหรับผู๎เรียน ให๎พร๎อม อีกท้ังยังต๎องให๎คําแนะนําชํวยเหลือผ๎ูเรียนในขณะสอน และประเมินผลการเรียนของผู๎เรียนทั้ง กํอนและหลังเรียนด๎วย ซ่ึงจะเห็นได๎วําผู๎สอนจะต๎องมีความพร๎อม ความรู๎ และความถนัดในการสอน พอสมควร เพอื่ ใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ การเรียนร๎มู ากท่สี ดุ ถึงแม๎วําวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนจะมีความยํุงยากในการเรียน เพราะผ๎ูสอนจะต๎อง ชี้แจงรายละเอยี ดใหผ๎ ูเ๎ รยี นทราบอยํางถอํ งแท๎เสียกอํ น แตกํ ็ยงั ข๎อดหี ลายประการคอื ผเ๎ู รยี นสามารถเรียนรู๎ ได๎ดว๎ ยตนเอง สงํ เสรมิ การใฝุรู๎ ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการทํางานกลุํม สํงเสริมความรับผิดชอบให๎ผ๎ูเรียนเกิด ความกระตือรือร๎นในการเรียน สามารถทราบผลการเรียนได๎ทันที อีกท้ังชํวยลดปัญหาการขาดแคลนครู 287
และเป็นการเรียนท่ีสามารถใช๎กับกลุํมผ๎ูเรียนจํานวนมากได๎ แตํการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนก็มีข๎อจํากัด อีกเชนํ กัน คอื เป็นการเรียนทตี่ ๎องใชส๎ ื่อการสอนท่ใี ช๎งบประมาณมาก ผู๎สอนจะต๎องมีการเตรียมตัว เตรียม ส่อื การสอนเป็นอยาํ งดี ซ่ึงบางคร้ังอาจเกดิ ความวํนุ วายในการหมนุ เวียนไปศูนย์ตํางๆ ได๎ ผ๎ูเรียนได๎ความร๎ู ในวงจํากัด และเปน็ อาจไมเํ หมาะสมกบั เนือ้ หาบางวชิ า เชํน การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นตน๎ คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและจุดมุํงหมายของ “วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน” ตามความ คิดเหน็ ของทําน 2. ลักษณะสาํ คญั ของวิธสี อนโดยใชศ๎ ูนยก์ ารเรียนมอี ะไรบา๎ ง 3. วิธีสอนโดยใชศ๎ ูนยก์ ารเรยี นจะตอ๎ งมีองค์ประกอบทสี่ าํ คัญอะไรบา๎ ง จงอธบิ าย 4. วธิ สี อนโดยใชศ๎ นู ย์การเรยี นมีกข่ี ั้นตอน อะไรบ๎าง จงอธบิ าย 5. จงอธิบายขอ๎ ดีและข๎อจาํ กัดของวิธีสอนโดยใชศ๎ นู ย์การเรยี น มาพอสงั เขป 6. ให๎ทาํ นทดลองฝึกสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนแลว๎ ใหเ๎ พื่อนหรือผเ๎ู ชยี่ วชาญใหค๎ าํ ติชม หรืออาจ บนั ทึกวดี ที ัศนไ์ วว๎ ิเคราะหก์ ารสอนของตนเองกไ็ ด๎ 5.15 วธิ ีสอนโดยใช้เกม (Game Method) ปจั จบุ ันการจัดการเรยี นการสอนสํวนใหญํได๎เน๎นให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ด๎วยตนเองมาก ทีส่ ุด หรอื จดั การเรียนการสอนท่ีให๎ผู๎เรียนมีสํวนรํวมในการเรียนนั้นๆ ด๎วย เพราะเมื่อผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมใน การเรยี นแลว๎ จะทาํ ให๎ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจ จดจาํ ไมเํ พียงแตจํ ะไดค๎ วามรู๎และผลสัมฤทธิ์ท่ีสูงข้ึนเทําน้ัน แตํผู๎เรียน ยังจะได๎รับความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด๎วย การสอนโดยใช๎เกมจึงเป็นอีกวิธีหน่ึงท่ีจะทําให๎ผ๎ูเรียน สนกุ สนานในการเรยี นและทาํ ใหผ๎ เ๎ู รียนเขา๎ ใจเน้อื หาจากบทเรียนไดด๎ ีย่ิงข้นึ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 365) อธิบายวํา วิธีสอนโดยใช๎เกม คือ กระบวนการที่ผ๎ูสอนใช๎ ในการชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรยี นรู๎ตามวตั ถุประสงค์ที่กําหนด โดยการให๎ผู๎เรียนเลํนเกมตามกติกา และนํา เนื้อหาและข๎อมูลของเกม พฤติกรรมการเลํน วิธีการเลํน และผลการเลํนเกมของผ๎ูเรียนมาใช๎ในการ อภิปรายเพ่อื สรปุ การเรียนรู๎ วตั ถุประสงคข์ องวธิ สี อนโดยใชเ้ กม วิธสี อนโดยใช๎เกมเป็นวิธีการที่ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎เร่ืองตํางๆ อยํางสนุกสนานและท๎า ทายความสามารถ โดยผู๎เรียนเป็นผู๎เลํนเอง ทําให๎ได๎รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการท่ีเปิดโอกาสให๎ ผ๎ูเรยี นมีสํวนรวํ มสูง (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 365) องค์ประกอบของวิธีสอนโดยใช้เกม ทิศนา แขมมณี (2550 : 365) อธบิ ายองค์ประกอบของวิธกี ารสอนโดยใชเ๎ กม ดังน้ี 288
1. มีผส๎ู อนและผเ๎ู รยี น 2. มีเกม และกตกิ าการเลํน 3. มกี ารเลนํ เกมตามกตกิ า 4. มีการอภิปรายเกี่ยวกับผลการเลํน วิธีการเลํน และพฤติกรรมการเลํนของผ๎ูเลํ น หลังการเลนํ 5. มีผลการเรยี นรู๎ของผ๎ูเรียน ขั้นตอนสาคัญของการสอนโดยใชเ้ กม ทิศนา แขมมณี (2550 : 365) กลาํ วถึงข้ันตอนสาํ คัญของการสอนไวว๎ ํา มีขัน้ ตอนดังน้ี 1. ผสู๎ อนนําเสนอเกม ชแ้ี จงวิธีการเลนํ และกติกาการเลนํ 2. ผเ๎ู รยี นเลํนเกมตามกติกา 3. ผู๎สอนและผู๎เรียนอภิปรายเก่ียวกับผลการเลํนและวิธีการหรือพฤติกรรมการ เลํนของผู๎เรียน 4. ผูส๎ อนประเมนิ ผลการเรียนรูข๎ องผูเ๎ รยี น เทคนคิ และข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใชว้ ิธสี อนโดยใชเ้ กมให้มปี ระสิทธภิ าพ (ทศิ นา แขมมณ,ี 2550 : 366-368) 1. การเลือกและนําเสนอเกม เกมท่ีนํามาใช๎ในการสอนสํวนใหญํจะเป็นเกมที่เรียกวํา “เกมการศกึ ษา” คอื เป็นเกมท่ีมวี ัตถปุ ระสงค์ มํุงใหผ๎ ๎เู ลนํ เกดิ การเรยี นรตู๎ ามวตั ถุประสงค์ มิใชํเลํนเพียงเพื่อ ความสนกุ สนานเทาํ นนั้ อยาํ งไรกต็ าม ผ๎สู อนอาจมีการนาํ เกมท่เี ลนํ กนั เพอ่ื ความบันเทิงเป็นสําคัญ มาใช๎ใน การสอน โดยนาํ มาเพมิ่ ขนั้ ตอนสําคัญคือการวิเคราะห์อภิปรายเพื่อการเรียนรู๎ เกมท่ีได๎รับการออกแบบให๎ เปน็ เกมการศกึ ษาโดยตรงมีอยํูดว๎ ยกนั 3 ประเภทคือ 1) เกมแบบไมมํ กี ารแขํงขัน เชํน เกมการสื่อสาร เกม การตอบคําถาม เป็นต๎น 2) เกมแบบแขํงขัน มีผ๎ูแพ๎ ผ๎ูชนะ เกมสํวนใหญํจะเป็นเกมแบบน้ี เพราะการ แขํงขันชํวยให๎การเลํนเพิ่มความสนุกสนานมากขึ้น และ 3) เกมจําลองสถานการณ์ (simulation game) เปน็ เกมที่จําลองความเป็นจรงิ สถานการณ์จริง ซ่งึ ผู๎เลนํ จะตอ๎ งคิดตัดสินใจจากข๎อมูลท่ีมี และได๎รับผลของ การตัดสนิ ใจ เหมือนกับทีค่ วรจะได๎รับในความเป็นจริงเกมแบบน้ีมีอยูํ 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกเป็นการ จําลองความเป็นจรงิ ลงมาเลนํ ในกระดานหรือบอร์ด เรยี กวําบอรด์ เกม (board game) เชํน เกมเศรษฐี เกมมลภาวะเป็นพิษ (pollution) เกมแก๎ปัญหาความขัดแย๎ง (conflict resolution) อีกลักษณะหน่ึง เป็นเกมสถานการณ์ท่ีจําลองสถานการณ์และบทบาทขึ้นให๎เหมือนความเป็นจริง และผ๎ูเลํนจะต๎องลงไป เลํนจริงๆ โดยสวมบทบาทเป็นคนใดคนหนึ่งในสถานการณน์ นั้ เกมแบบนี้อาจใช๎เวลาเลํนเพียง 2-3 ช่ัวโมง หรือใช๎เวลาเป็นวันหรือหลายๆ วันติดตํอกัน หรือแม๎กระทั่งเลํนกันตลอดภาคเรียน เป็นการเรียนรู๎ทั้ง รายวิชาเลยก็มี ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีขั้นสูงได๎พัฒนาก๎าวหน๎าไปมากจึงเกิดเกมจําลองสถานการณ์ใน 289
รูปแบบใหมํๆ ข้ึนคือ คอมพิวเตอร์เกม (computer game) ซึ่งเป็นเกมจําลองสถานการณ์ที่ผู๎เลํน สามารถควบคมุ การเลนํ ผาํ นทางจอคอมพิวเตอร์ได๎ ปัจจุบันเกมแบบนี้ได๎รับความนิยมสงู มาก การเลือกเกมเพื่อนํามาใช๎สอนทําได๎หลายวิธี ผ๎ูสอนอาจเป็นผ๎ูสร๎างเกมข้ึนให๎เหมาะกับ วัตถุประสงค์ของการสอนของตนก็ได๎หรืออาจนําเกมท่ีมีผู๎สร๎างข้ึนแล๎วมาปรับดัดแปลงให๎เหมาะกับ วตั ถุประสงค์ตรงกับความต๎องการของตน หากผ๎สู อนต๎องการสร๎างเกมข้ึนใช๎เอง ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องมีความร๎ู ความเข๎าใจเกี่ยวกับวิธีสร๎างและจะต๎องทดลองใช๎เกมท่ีสร๎างหลายๆ คร้ัง จนกระท่ังแนํใจวํา สามารถใช๎ ได๎ผลดีตามวัตถุประสงค์ หากเป็นการดัดแปลง ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องศึกษาเกมน้ันให๎เข๎าใจกํอน แล๎วจึง ดัดแปลงและทดลองใช๎กํอนเชํนกัน สําหรับการนําเกมการศึกษามาใช๎เลยน้ัน ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาเกม น้ันให๎เข๎าใจและลองเลํนเกมน้ันกํอน เพ่ือจะได๎เห็นประเด็นและข๎อขัดข๎องตํางๆ อันจะชํวยให๎ผู๎สอนมีการ เตรยี มการปูองกนั หรอื แกไ๎ ขไวล๎ วํ งหนา๎ ชํวยใหก๎ ารเลนํ จริงของผ๎ูเรยี นเป็นไปอยํางราบรื่นสํวนคอมพิวเตอร์ เกมนั้น ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องมีทั้งซอฟต์แวร์ (software) และฮาร์ดแวร์ (hardware) คือตัวเกมและเครื่อง คอมพวิ เตอร์สําหรับผ๎ูเรยี น จงึ จะสามารถเลํนได๎ ในกรณีท่ีผ๎สู อนต๎องการเลือกเกมทีม่ ีผูจ๎ ัดทําและเผยแพรํแล๎ว (published game) มาใช๎ ผู๎สอนจําเป็นต๎องแสวงหาแหลํงข๎อมูลวํา มีใครทําอะไรไว๎บ๎างแล๎ว ซึ่งในปัจจุบันเกมประเภทน้ีมีเผยแพรํ และวางจาํ หนาํ ยในท๎องตลาดจํานวนมาก ซึ่งสวํ นใหญํแล๎ว เป็นผลงานที่จัดทําข้ึนในตํางประเทศ สิ่งสําคัญ ซึ่งผ๎ูสอนถึงตระหนักในการเลือกใช๎เกมจําลองสถานการณ์ก็คือ เกมจําลองสถานการณ์ที่จัดทําขึ้นใน ตํางประเทศ ยํอมจําลองความเป็นจริงของสถานการณ์ในประเทศนั้น ซ่ึงจะมีความแตกตํางไปจาก สถานการณ์ในประเทศไทย ดังนั้นผู๎สอนจึงควรช้ีแจงให๎ผู๎เรียนเข๎าใจ หรือไมํก็จําเป็นต๎องดัดแปลงหรือตัด ทอนสํวนท่ีแตกตาํ งออกไป หากสามารถทําได๎ 2. การช้ีแจงวิธีการเลํน และกติกาการเลํน เนื่องจากเกมแตํละเกมมีวิธีการเลํน และ กติกาการเลํนท่ีมีความยุํงยากซับซ๎อนมากน๎อยแตกตํางกัน ในกรณีที่เกมน้ันเป็นเกมงํายๆ มีวิธีเลํนและ กติกาไมํซับซ๎อน การชี้แจงก็ยํอมทําได๎งําย แตํถ๎าเกมนั้นมีความซับซ๎อนมาก การช้ีแจงก็จะทําได๎ยากขึ้น ผ๎ูสอนควรจัดลําดับขั้นตอนและให๎รายละเอียดท่ีชัดเจนโดยอาจต๎องใช๎ส่ือเข๎าชํวย หรืออาจให๎ผ๎ูเรียนซ๎อม เลนํ กอํ นการเลนํ จริง กติกาการเลํน เป็นส่ิงที่สําคัญมากในการเลํนเกม เพราะกติกานี้จะต้ังข้ึนเพ่ือควบคุมให๎ การเลํนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู๎สอนควรศึกษากติกาการเลํน และวิเคราะห์ (หากเกมไมํได๎ให๎ รายละเอียดไว๎) กติกาวํา กติกาแตํละข๎อมีข้ึนด๎วยวัตถุประสงค์อะไร และควรดูแลให๎ผ๎ูแลํนปฏิบัติตาม กติกาของการเลํนอยาํ งเครงํ ครัด 3. การเลํนเกม กํอนการเลํน ผู๎สอนควรจัดสถานท่ีของการเลํนให๎อยํูในสภาพท่ีเอื้อตํอ การเลํน ไมํเชํนน้ัน อาจจะทําให๎การเลํนเป็นไปอยํางติดขัดและเสียเวลา เสียอารมณ์ ของผ๎ูเลํนด๎วย การ เลํนควรเป็นไปตามลําดับขั้นตอน และในบางกรณีต๎องควบคุมเวลาในการเลํนด๎วย ในขณะท่ีผู๎เรียนกําลัง 290
เลํนเกม ผู๎สอนควรตดิ ตามสงั เกตพฤติกรรมการเลํนของผู๎เรียนอยํางใกล๎ชิด และควรบันทึกข๎อมูลที่จะเป็น ประโยชน์ตํอการเรียนรู๎ของผู๎เรียนไว๎ เพื่อนําไปใช๎ในการอภิปรายหลังการเลํน หากเป็นไปได๎ผู๎สอนควร มอบหมายผ๎ูเรียนบางคนใหท๎ าํ หน๎าทส่ี ังเกตการณ์การเลนํ และควบคุมกตกิ าการเลนํ ดว๎ ย 4. การอภิปรายหลังการเลํน ขึ้นตอนนี้เป็นขึ้นท่ีสําคัญมาก หากขาดข้ันตอนนี้ การเลํน เกมก็คงไมํใชํวิธีสอน แตํเป็นเพียงการเลํนเกมธรรมดาๆ จุดเน๎นของเกมอยูํที่การเรียนร๎ูยุทธวิธีตํางๆ ที่จะ เอาชนะอปุ สรรค เพอื่ จะไปให๎ถึงเปูาหมาย ผู๎สอนจําเป็นต๎องเข๎าใจวําจุดเน๎นของการใช๎เกมในการสอนนั้น ก็เพ่ือให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ตามวัตถุประสงค์ การใช๎เกมในการสอนโดยท่ัวๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะตํางๆ ท่ีต๎องการ(ใช๎ยุทธวิธีการเลํนท่ีสนุก และการแขํงขันมาเป็นเคร่ืองมือในการ ให๎ผูเ๎ รยี นฝึกฝนทกั ษะตาํ งๆ) 2) เรียนร๎ูเน้ือหาสาระจากเกมนั้น (ในกรณีท่ีเกมนั้นเป็นเกมการศึกษา) และ 3) เรียนร๎ูความเป็นจริงของสถานการณ์ตํางๆ (ในกรณีที่เกมน้ันเป็นเกมการศึกษา) ดังนั้นการอภิปราย จึง ควรมุํงประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนนั้นๆ กลําวคือ ถ๎าการใช๎เกมน้ันมุํงเพียงเป็นเครื่องมือฝึก ทักษะให๎ผ๎ูเรียน การอภิปรายก็ควรมํุงไปที่ทักษะนั้นๆ วําผู๎เรียนได๎พัฒนาทักษะนั้นเพียงใด ประสบ ความสําเร็จตามต๎องการหรือไมํ และจะมีวิธีใดที่จะชวํ ยใหป๎ ระสบความสําเรจ็ มากขน้ึ แตํถ๎ามุํงเน้ือหาสาระ จากเกม ก็ควรอภปิ รายในประเด็นท่วี าํ ผู๎เรยี นไดเ๎ รยี นร๎ูเน้ือหาสาระอะไรจากเกมบ๎าง รไู๎ ดอ๎ ยาํ งไร ด๎วยวิธีใด มคี วามเขา๎ ใจในเน้ือหาสาระนั้นอยํางไร ไดค๎ วามเข๎าใจน้ันมาจากการเลํนเกมตรงสํวนใด เป็นต๎น ถ๎ามํุงการ เรียนร๎คู วามเป็นจริงของสถานการณ์ ก็ควรอภิปรายในประเด็นท่วี ํา ผู๎เรียนไดเ๎ รยี นรู๎ความจริงอะไรบ๎างการ เรียนร๎นู ้ันไดม๎ าจากไหน และอยํางไร ผู๎เรียนได๎มาจากไหน และอยํางไร ผู๎เรียนได๎ตัดสินใจอะไรบ๎าง ทําไม จึงตัดสินใจเชํนน้ัน และการตัดสินใจให๎ผลอยํางไร ผลนั้นบอกความจริงอะไร ผู๎เรียนมีข๎อสรุปอยํางไร เพราะอะไรจงึ สรปุ อยาํ งนัน้ เป็นตน๎ ข้อดแี ละข้อจากัดของวธิ สี อนโดยใชเ้ กม ทิศนา แขมมณี (2550 : 368) กลาํ วถงึ ข๎อดแี ละข๎อจํากัดของวธิ สี อนโดยใช๎เกม ดังน้ี ข้อดี 1) เปน็ วิธีสอนที่ชํวยให๎ผูเ๎ รียนมสี ํวนรํวมในการเรยี นรสู๎ ูง ผ๎ูเรียนไดร๎ บั ความ สนกุ สนาน และเกิดการเรยี นรูจ๎ ากการเลนํ 2) เป็นวธิ ีสอนท่ีชํวยให๎ผู๎เรยี นเกิดการเรียนรู๎ โดยการเห็นประจักษ์แจ๎งด๎วยตนเองทํา ให๎การเรยี นรน๎ู ั้นมีความหมายและอยูํคงทน 3) เปน็ วธิ ีสอนท่ผี ูส๎ อนไมํเหนอ่ื ยแรงมากขณะสอนและผูเ๎ รยี นชอบ ข้อจากัด 1) เป็นวิธสี อนท่ใี ช๎เวลามาก 291
2) เป็นวิธสี อนทม่ี คี าํ ใชจ๎ ําย เน่ืองจากเกมบางเกมต๎องซ้ือหามาโดยเฉพาะเกมจําลอง สถานการณ์บางเกมมีราคาสูงมาก เน่ืองจากการเลํนเกมสํวนใหญํ ผู๎เรียนทุกคนต๎องมี วสั ดุอุปกรณใ์ นการเลนํ เฉพาะตน 3) เปน็ วิธีสอนทข่ี ึ้นกับความสามารถของผส๎ู อน ผส๎ู อนจาํ เปน็ ต๎องมคี วามรู๎ ความ เข๎าใจเก่ยี วกับการสร๎างเกม จึงจะสามารถสรา๎ งได๎ 4) เป็นวิธสี อนทีต่ อ๎ งอาศัยการเตรียมการมาก เกมเพื่อการฝึกทักษะ แม๎จะไมํยุํงยาก ซับซ๎อนนัก แตํผ๎ูสอนจําเป็นต๎องจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ในการเลํนให๎ผ๎ูเรียนจํานวนมาก เกมการศึกษา และเกมจําลองสถานการณ์ ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องศึกษาและทดลองใช๎จน เข๎าใจ ซงึ่ ต๎องอาศัยเวลามาก โดยเฉพาะเกมท่ีมีความซับซ๎อนมาก และผ๎ูเลํนจํานวนมาก ยง่ิ ตอ๎ งใช๎เวลามากขนึ้ อกี 5) เปน็ วิธสี อนทผี่ สู๎ อนต๎องมีทกั ษะในการนําการอภิปรายที่มปี ระสิทธิภาพจึงจะ สามารถชํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นประมวลและสรุปการเรยี นรู๎ไดต๎ ามวตั ถปุ ระสงค์ กลําวโดยสรุปได๎วํา การสอนโดยการใช๎เกม หมายถึง การสอนท่ีผู๎สอนให๎ผู๎เรียนได๎เลํน เกมตามกติกา โดยนําเนื้อหาในบทเรียนมาเป็นสํวนประกอบของการเลํนเกม ซ่ึงจะสังเกตพฤติกรรมจาก การเลํน เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนและผู๎สอนนําการเลํนเกมดังกลําวมาใช๎ในการอภิปรายสรุปผล โดยมีจุดมํุงหมาย เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎รับประสบการณ์จริง ได๎เรียนร๎ูเน้ือหาสาระจากเกม ฝึกฝนเทคนิคและทักษะตํางๆ เกิด ความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน อีกท้งั มสี ํวนรํวมในการเรียนการสอนดว๎ ย มีองค์ประกอบทส่ี าํ คญั คือ ผ๎ูเรียน ผส๎ู อน เกม กติกาที่ใช๎ มีผู๎เลํนเกม พฤติกรรมของผ๎ู เลํนเกม และผลการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียน ซ่ึงมีขั้นตอนในการสอน คือ 1) ขั้นนําเสนอเกม โดยผ๎ูสอนจะต๎อง ชแี้ จง อธิบายถึงเกม กตกิ าท่จี ะเลํนใหผ๎ ูเ๎ รียนเขา๎ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ 2) ขัน้ เรยี นรู๎ จากนั้นก็ให๎ผู๎เรียนเลํนเกม กติกาตามที่ผู๎สอนกําหนด 3) ข้ันสรุปอภิปรายผล หลังจากเสร็จ สิ้นการเลํนเกม ผ๎ูเรียนและผ๎ูสอนสรุปอภิปรายผลรํวมกัน และสุดท๎าย 4) ข้ันประเมินผล ผู๎สอนเป็นผู๎ ประเมินผลการเรยี นรจ๎ู ากสิ่งทผี่ ๎ูเรียนไดเ๎ รียนรูจ๎ ากการเลํนเกมวาํ มผี ลสัมฤทธ์ิอยใูํ นระดบั ใด เทคนิคสาํ คญั ในการสอนโดยใช๎เกม คือ การเลอื กเกมในการนาํ เสนอ เกมที่นํามาเลํนสํวน ใหญตํ อ๎ งเป็นเกมที่มีวัตถุประสงคต์ ามที่กําหนด ไมํใชํเพียงเลํนเพื่อความสนุกสนานเทําน้ัน กติกาการเลํนก็ ต๎องชี้แจงรายละเอียดให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจ ปราศจากความซับซ๎อน เพ่ือให๎ผู๎เรียนซักซ๎อมกํอนการเลํนจริง ซึ่ง กํอนการเลํนเกมผู๎สอนควรจัดสถานท่ีของการเลํนให๎อยูํในสภาพที่เอื้ออํานวยตํอการสอน ผ๎ูสอนเองต๎อง บันทกึ ขอ๎ มูลระหวํางการเลํน เพอื่ นาํ ข๎อมลู ทไ่ี ดไ๎ ปสรปุ อภปิ รายในข้นั สดุ ทา๎ ย โดยทั้งหมดของการเรียนรู๎ ผ๎ูสอนจะต๎องเป็นผ๎ูกําหนด ต้ังแตํการเตรียมเกม กติกาท่ีจะ เลํนให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค์การเรียนร๎ู อีกท้ังต๎องสังเกตพฤติกรรมของผู๎เรียนในขณะเลํนเกม เพื่อ นาํ ไปสกูํ ารสรปุ และประเมินผลการเรยี นรู๎ดงั กลาํ ว การเรียนโดยใชเ๎ กมจึงมขี ๎อดี คอื เปน็ การเรียนท่ีผู๎เรียน 292
เกิดความสนุกสนาน เข๎าในบทเรียนได๎ดียิ่งข้ึน เพราะผู๎เรียนได๎มีสํวนรํวมในการเรียนการสอน แตํก็ยังมี ข๎อจํากัด คือ ต๎องใช๎เวลาในการเรียนมากกวําปกติ ผู๎สอนต๎องมีความรู๎เกี่ยวกับเกม และกติกาที่จะให๎ ผ๎ูเรียนเลํน และผ๎ูเรียนจะต๎องมีเวลาในการเตรียมตัวกํอนการสอน อีกท้ังมีทักษะในการสอนและสรุปผล การเรยี นร๎ู การสอนจงึ จะมีประสิทธิภาพ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมายและจุดมํุงหมายของ “การสอนโดยใช๎เกม” ตามความคิดเห็น ของทาํ น 2. ลกั ษณะสาํ คัญของการสอนโดยใชเ๎ กมมีอะไรบ๎าง 3. องค์ประกอบท่สี ําคัญของการสอนโดยใชเ๎ กมจะตอ๎ งมอี ะไรบา๎ ง จงอธิบาย 4. ขน้ั ตอนของการสอนโดยใช๎เกมมกี ่ีข้ันตอน อะไรบ๎าง จงอธบิ าย 5. จงอธบิ ายข๎อดแี ละขอ๎ จาํ กัดของการสอนโดยใช๎เกม มาพอสงั เขป 6. ทาํ นจะมเี ทคนิคและข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการใชว๎ ธิ สี อนโดยใช๎เกมใหม๎ ีประสิทธิภาพ ได๎อยาํ งไรบ๎าง 5.15 วิธสี อนโดยใชบ้ ทเรยี นแบบโปรแกรม (Programmed Instruction) บทเรียนสําเร็จรูป มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ ท้ังในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภาษาไทยท่ี เรียกกัน เชํน บทเรียนสําเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม โปรแกรมการสอน หนังสือฝึกเรียนด๎วยตนเอง เป็น ต๎น สํวนในภาษาอังกฤษที่เรียกกันก็มี เชํน Programmed Learning, Programmed Instruction, Programmed Lesson, Programmed Textbook เป็นต๎น แตํคําที่นิยมใช๎กันมากและเป็นที่คุ๎นเคย ได๎แกํ Programmed Instruction และ Programmed Learning หรือในภาษาไทยก็ได๎แกํคําวํา “บทเรียนสําเรจ็ รูป” และ “บทเรยี นโปรแกรม” ซ่ึงคาํ เหลาํ น้กี ็หมายถึงสิ่งเดียวกันนั่นเอง แตํในบทน้ีจะใช๎ คาํ วาํ บทเรียนโปรแกรม (ลาํ พอง บญุ ชวํ ย, 2530 : 186) วธิ สี อนโดยใชบ๎ ทเรียนโปรแกรม ถือเป็นนวัตกรรมการศึกษาอยํางหน่ึงท่ีชํวยเสริมผ๎ูเรียน ให๎รู๎จักการเรียนร๎ูด๎วยตนเอง โดยพัฒนาไปตามขีดความสามารถของตนเอง ผู๎เรียนสามารถเรียนด๎วย ตนเองตามความสามารถของตน เรียนไปตามลาํ ดับข้นั ท่ีพอเหมาะกบั ความสนใจและความสามารถของตน ผ๎เู รยี นจะเรยี นได๎สําเร็จโดยใช๎เวลามากหรือน๎อยตามความสามารถของตนเอง (อรภัทร สิทธิรักษ์, 2540 : 105) ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎บทเรียนแบบโปรแกรม คือ กระบวนการที่ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการให๎ผ๎ูเรียน ศึกษาจากบทเรียนสําเร็จรูปด๎วยตนเอง (ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แตกตํางไปจากบทเรียนปกติ กลําวก็คือ เป็นบทเรียนท่ีนําเนื้อหาสาระท่ีจะให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎มาแตกเป็นหนํวยยํอย (small steps) เพ่ือให๎งําย 293
แกํผ๎ูเรียนในการเรียนร๎ู และนําเสนอแกํผ๎ูเรียนในลักษณะท่ีให๎ผู๎เรียนสามารถตอบสนองส่ิงที่เรียน และ ตรวจสอบการเรียนร๎ูของตนเองได๎ทันที (immediately feedback) วําผิดหรือถูก ผู๎เรียนสามารถใช๎ เวลาในการเรียนรม๎ู ากน๎อยตามความสามารถ และสามารถตรวจสอบผลการเรียนรู๎ได๎ด๎วยตนเอง เพราะ บทเรียนจะมีแบบสอบท้ังแบบสอบกํอนการเรียน (pre – test) และแบบสอบหลังการเรียน (post – test) ไวใ๎ ห๎พร๎อม พูลสุข กิจรัตนี (2531 : 133) อ๎างใน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649) อธิบายวํา แบบเรียนแบบโปรแกรมเป็นเคร่ืองมือสําคัญของการสอนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction) ซ่ึงหมายถึง การสอนท่มี กี ารวางโปรแกรมไวล๎ วํ งหน๎าท่ีจะให๎ผ๎ูเรียนมีโอกาสเรียนร๎ูด๎วยตนเอง ด๎วยการลง มือประกอบกิจกรรมอยํางกระฉับกระเฉง ทราบข๎อติชมทันทํวงที มีความภูมิใจในความสําเร็จและได๎ ใครคํ รวญตามทีละนอ๎ ยตามลาํ ดับขัน้ และก๎าวไปขา๎ งหน๎า ตามความสามารถ ความสนใจและความสะดวก ของแตํละคน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649-650) กลําวถึง แบบเรียนแบบโปรแกรม หมายถึง บทเรียนท่ีเสนอเน้ือหาในรูปของกรอบซ่ึงบรรจุเน้ือหาทีละน๎อย มีคําถามท๎าทายให๎ผ๎ูเรียนตอบ และเฉลย ให๎ทราบผลทันที สํวนมากจะเสนอความคิดรวบยอดที่วิเคราะห์และเรียบเรียงมาดีแล๎ว โดยผ๎ูเรียน สามารถศึกษาด๎วยตนเองได๎ ดงั นน้ั วิธีสอนโดยใช๎บทเรยี นโปรแกรม หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู๎สอนได๎วางแผนไว๎ ลํวงหน๎าให๎ผู๎เรียนได๎มีโอกาสเรียนรู๎ได๎ด๎วยตนเองตามจุดประสงค์ท่ีผ๎ูสอนได๎กําหนดไว๎ โดยศึกษาจาก บทเรียนที่สําเร็จรูปแล๎ว ผู๎เรียนสามารถเรียนรู๎เนื้อหาและเข๎าใจได๎ทันทํวงที แตํจะต๎องข้ึนอยูํกับ ความสามารถและความสนใจของผเู๎ รยี นแตลํ ะคน จดุ ม่งุ หมายของวิธสี อนโดยใชบ้ ทเรียนโปรแกรม ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําววํา วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนแบบโปรแกรมเป็น วิธีการที่มํุงชํวยให๎ผู๎เรียนรายบุคคลได๎เรียนร๎ูด๎วยตนเองตามความสามารถ ความต๎องการและความสนใจ ของตน สุกัญญา ธารีวรรณ (2520 : 147) อ๎างใน อินทิรา บุณยาทร (2542 : 116) ได๎ เสนอแนะวํา ความมํุงหมายของบทเรียนโปรแกรม สรุปไวด๎ ังน้ี 1. เพอ่ื ให๎ผู๎เรียนได๎เรียนดว๎ ยตนเอง 2. เพื่อเป็นการเสรมิ ความรใ๎ู ห๎แกผํ เ๎ู รยี น ทาํ ใหม๎ ีความร๎ูกว๎างขวางขน้ึ จาํ ไดแ๎ มํนยาํ ขน้ึ 3. เพ่ือฝกึ ใหผ๎ ู๎เรียนร๎ูจักควบคมุ ตวั เอง มีความรบั ผิดชอบและคดิ เปน็ 4. เพื่อฝึกใหผ๎ เ๎ู รยี นมคี วามซื่อสตั ย์ทั้งตอํ ตนเองและผ๎อู ่นื 5. ผูเ๎ รยี นจะตอ๎ งตอบคาํ ถามของแตํละหนวํ ยยํอยใหถ๎ ูกต๎องเสยี กอํ น จงึ จะขึน้ ตอน ตํอไปได๎ ถ๎ายงั ทาํ ไมํไดจ๎ ะตอ๎ งซ้ําจนกวําจะทาํ ไดถ๎ ูกท้ังหมด 294
สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมนั้นมํุงให๎ผ๎ูเรียนเรียนตามความสามารถ ความ สนใจของตนเอง เพ่ือให๎เกิดความความร๎ูกว๎างขวางข้ึน ร๎ูจักคิดและควบคุมตนเองพร๎อมทั้งเกิดความ ซอ่ื สตั ย์ได๎ด๎วยตนเอง องค์ประกอบของวธิ สี อนโดยใช้บทเรียนโปรแกรม ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําวถึงการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม ควรจะ ประกอบไปดว๎ ย 1. มีผ๎ูสอนและผเ๎ู รยี น 2. มีบทเรียนแบบโปรแกรมในเรอื่ งท่ีตรงกบั ความต๎องการและความสนใจของผ๎เู รยี น 3. มผี ลการเรยี นรขู๎ องผเู๎ รียนท่ีเกดิ จากบทเรยี นแบบโปรแกรม ลกั ษณะสาคัญของแบบเรียนแบบโปรแกรม เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649-650) กลําวถึงลักษณะเดํนของแบบเรียนแบบ โปรแกรม คือ 1. เนื้อหาแบํงเปน็ หนวํ ยเลก็ ๆ ทีเ่ รยี กวํา กรอบ 2. ผเู๎ รยี นแสดงการตอบสนองในแตํละกรอบเพอ่ื ใหเ๎ กิดความเขา๎ ใจในเนือ้ หาอยาํ ง ตํอเนื่อง 3. ผูเ๎ รียนได๎รับการเสริมแรงโดยการทราบผลการตอบทนั ที 4. กรอบจะเรียงลําดับจากงาํ ยไปหายาก 5. ยดึ ผ๎เู รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง 6. ผเ๎ู รยี นสามารถเขียนไดด๎ ว๎ ยตนเอง ขนั้ ตอนการสร้างและการใช้บทเรียนโปรแกรม พูลสุข กิจรัตนี (2531 : 134 -136) อ๎างใน อินทิรา บุณยาทร (2542 : 652) กลําวถึงลําดบั ขน้ั ตอนการสรา๎ งแบบเรยี นแบบโปรแกรมมี 8 ขน้ั ตอน คอื 1. ตั้งจุดมํุงหมายของบทเรียน (Objectives) โดยต้ังจุดมํุงหมายเชิงพฤติกรรม เพื่อ กาํ หนดวําต๎องการให๎ผู๎เรียนมีพฤติกรรมข้นั สุดท๎ายอยํางไร 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานท่ีต๎องทํา (Task Analysis) เพื่อวิเคราะห์เน้ือหา กําหนด เน้ือหาและงานท่ีจะทําให๎สอดคล๎องกับจุดมุํงหมาย จากน้ันก็แตกเนื้อหาให๎เป็นสํวนยํอยโดยละเอียด เรยี งลําดับจากงาํ ยไปหายาก 3. สร๎างแบบทดสอบ (Prepare Tests) เป็นแบบทดสอบท่คี รอบคลมุ เนือ้ หาและวดั ตามจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เพ่อื นําไปใช๎ทดสอบกอํ นการสอนและหลงั การสอน 4. จัดลําดับเน้ือหา (Instructional Sequences) กําหนดเนื้อหาและลําดับข้ันของ การเรยี นรทู๎ ี่จะนําผ๎เู รียนไปสูํจดุ ประสงค์ได๎ 295
5. จัดทํากรอบการเรียน (Instructional Frames) ลงมือเขียนกรอบการเรียนทีละ กรอบตามลาํ ดับเนื้อหาทแ่ี ยกยํอยไวแ๎ ล๎ว บทเรยี นแตลํ ะกรอบตอ๎ งตอํ เน่ืองกนั ไป 1. ทดลองเปน็ รายบคุ คล (Individual Tryout) นําแบบเรยี นทีส่ ร๎างขึ้นไป ทดลองกบั ผู๎เรยี นรายบุคคล หรอื รายกลุํมเลก็ ๆ เพอ่ื นาํ ข๎อมลู ย๎อนกลบั มาปรับปรงุ แบบเรยี น 2. ทดลองในสภาพทเี่ ป็นจริง (Field Tryout) นาํ แบบเรียนแบบโปรแกรมไป ทดลองในหอ๎ งเรยี นจรงิ กับนักเรียนกลมุํ ใหญํ เพอ่ื นําขอ๎ มูลมาปรับปรุงบทเรียนอกี คร้งั 3. นาํ แบบเรียนแบบโปรแกรมไปใชจ๎ ริง (Implementation) ทิศนา แขมมณี (2550 : 378-379) ได๎กลําวถึงข้ันตอนของการสอนโดยใช๎บทเรียน โปรแกรม มดี งั นี้ 1. ผส๎ู อนศกึ ษาปญั หา ความต๎องการและความสนใจของผเู๎ รียน 2. ผู๎สอนเลอื ก แสวงหา สรา๎ ง บทเรียนแบบโปรแกรมในเรือ่ งที่ตรงกับปญั หาความ ต๎องการหรอื ความสนใจของผ๎เู รยี น 3. ผู๎สอนแนะนาํ การใชบ๎ ทเรียนแบบโปรแกรมให๎ผ๎ูเรยี นเข๎าใจ 4. ผส๎ู อนใหผ๎ ูเ๎ รยี นศกึ ษาบทเรียนแบบโปรแกรมดว๎ ยตนเอง 5. ผู๎เรียนทดสอบการเรยี นร๎ูของตนดว๎ ยตนเอง หรอื มารับการทดสอบจากผู๎สอน สุวิทย์ คํามูล และอรทัย คาํ มลู (2550 : 38-39) อธบิ ายข้ันตอนการสรา๎ งและการใช๎ บทเรยี นโปรแกรม โดยบํางออกเป็น 3 ขัน้ ตอน ดังนี้ 1. ข้ันเตรยี ม (สาหรบั ผูส้ อน) ผสู๎ อนศึกษาปญั หาความต๎องการและความสนใจของผูเ๎ รยี น นาํ มาหาทางเลอื กหรอื สร๎างบทเรียนโปรแกรมหรือบทเรียนสําเร็จรูปเรื่องใดเร่ืองหน่ึงขึ้นมา โดยควรได๎รับการออกแบบจาก ผ๎ูเช่ียวชาญกํอนและต๎องมีการทดลองตามหลักการวิจัย โดยการหาความเช่ือมั่นกํอนจึงจะให๎ผ๎ูเรียนได๎ เรยี นตามกจิ กรรมในบทเรียนนนั้ ๆ สวํ นข้ันตอนการออกแบบสามารถดาํ เนนิ การได๎ดงั น้ี 1.1 วิเคราะห์หลักสูตรเพื่อพิจารณาขอบขํายของเน้ือหา ระดับ ประเภท เวลาที่ใช๎ คํูมือ ครูเพอ่ื ให๎เกิดแนวคิดในการผลิต 1.2 กาํ หนดเนือ้ หา วิชาและระดับช้ัน โดยพิจารณาเนื้อหาวิชาที่นํามาผลิตเป็นวิชาอะไร ใชส๎ อนระดบั ใด มสี าระมากน๎อยเพียงใด เปล่ยี นแปลงบอํ ยหรือไมํ 1.3 กําหนดวัตถุประสงค์ เป็นการกําหนดให๎ทราบวํา เม่ือเรียนจบแล๎วผู๎เรียนจะเรียนร๎ู อะไร มีความสามารถแคํไหน 1.4 วางขอบเขตของงาน โดยวางเคา๎ โรครงเรอื่ งลาํ ดบั เรอื่ งราวกอํ นหลัง 1.5 วิเคราะห์เน้ือหา เป็นขั้นตอนท่ีสําคัญเพราะเป็นการนําเนื้อหามาแตกยํอยและ เรียงลาํ ดบั จากงาํ ยไปยาก 296
1.6 สร๎างแบบทดสอบและมีคําตอบให๎ไว๎ โดยออกแบบเน้ือหาท่ีจะใช๎ทดสอบผู๎เรียน ท้ัง กํอนและหลังเรียนในบทเรียนนั้น แบบทดสอบต๎องวัดให๎ครอบคลุม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่วางไว๎ และต๎องสรา๎ งขนึ้ ตามหลกั การสร๎างแบบทดสอบ 1.7 เขียนบทเรียนสําเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรม ผู๎ออกแบบจะต๎องเขียนโดยยึด โครงสรา๎ งข้นั ตอนการเขยี นและขอบเขตของงาน 1.8 ทดลองใช๎และปรับปรุงแก๎ไข การทดลองแตํละครั้ง ควรบันทึกผลการทดลอง เพื่อ นํามาปรบั ปรงุ แก๎ไข เชนํ อาจจะปรบั ปรุงเนื้อหา แก๎ไขดา๎ นภาษา เปน็ ตน๎ 2. ขนั้ การเรยี นรู้ 1.1 ผ๎สู อนใหผ๎ เ๎ู รียนทาํ แบบทดสอบกํอนเรียน 1.2 ผูส๎ อนแนะนาํ การใชบ๎ ทเรียนให๎ผ๎ูเรยี นเข๎าในทกุ ขั้นตอน 1.3 แจกบทเรียนให๎ผูเ๎ รียนศึกษาด๎วยตนเองตามกิจกรรมที่บทเรียนกําหนดไว๎โดยผ๎ูเรียน แตลํ ะคนใช๎เวลามากนอ๎ ยแตกตํางกนั ไป 3. ขนั้ สรุป 1.1 หลังจากท่ีผู๎เรียนศกึ ษาจนจบบทเรียนแลว๎ ผ๎ูสอนจึงทําแบบทดสอบหลังเรยี น 1.2 ผู๎สอนสรุปสาระสําคัญเพ่ิมเตมิ สําหรบั ผเู๎ รียนท่ีต๎องการทราบ 1.3 ผส๎ู อนและผเ๎ู รียนรํวมกนั ตรวจสอบและประเมนิ ผลงาน สรปุ ได๎วํา ขั้นตอนของการสร๎างและการสอนโดยใชบ๎ ทเรียนโปรแกรม มดี งั น้ี 1. ขัน้ เตรยี ม ผ๎ูสอนจะต๎องกําหนดเน้ือหา กําหนดวตั ถุประสงค์ เพ่ือนําไปวอเคราะห์และ สร๎างเป็นหลกั สตู รขนึ้ มา แตํต๎องนําไปทดลองใช๎และสรุปแกไ๎ ขกํอนการนาํ ไปใช๎จรงิ 2. ข้ันนําไปใช๎หรือข้ันเรียนรู๎ ผ๎ูสอนนําบทเรียนโปรแกรมให๎ผ๎ูเรียนได๎ศึกษา กํอนการ นําไปใชต๎ ๎องทดสอบผู๎เรยี นกอํ น 3. ขั้นสรปุ เม่ือศกึ ษาแล๎วผู๎สอนให๎ผ๎ูเรียนทําแบบทดสอบ และสรุปสาระสําคัญจากส่ิงที่ ไดศ๎ กึ ษาไป เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอน โดยการใช๎บทเรียนแบบโปรแกรมให๎มีประสิทธิภาพ (ทศิ นา แขมมณ,ี 2550 : 379-380) 1. การเตรียมการ ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาปัญหาความต๎องการและความสนใจของ ผู๎เรยี นเป็นรายบคุ คล เพอ่ื จะได๎ทราบวําควรใหบ๎ ทเรียนเรื่องอะไร แกํใคร โดยท่ัวไปการใช๎บทเรียนแบบ โปรแกรมมีการใช๎ใน 2 ลักษณะ คือ ใช๎สอนเนื้อหาสาระใดสาระหนึ่ง โดยให๎ผู๎เรียนศึกษาเรียนรู๎ด๎วย ตนเองตามความสามารถ อีกลักษณะหน่ึงคือการให๎สอนซํอมเสริมการเรียนตามปกติ โดยผู๎เรียนอาจ 297
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315