Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-07-02 00:57:24

Description: 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Search

Read the Text Version

๘๑ ภำพท่ี ๓.๙ เจดีย์ทรงลงั กำ ภำยในปรำสำทพระขรรค์สนั นษิ ฐำนว่ำบรรจอุ ัฐิ ของพระเจำ้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ หรืออำจจะเป็นอิฐขิ องพระรำชบดิ ำพระองค๘์ แต่หำใช่ว่ำ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทจะเข้ำมำสู่อำณำจักรละโว้เป็นคร้ังแรกไม่ แต่ พระพระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำท และนิกำยมหำยำน ได้ประดิษฐำนในดินแดนแถบนี้มำแต่ยุค อำณำจกั รทวำรวดีมำก่อนหนำ้ น้ันแล้ว กำรสืบทอดจึงส่งต่อมำยังยคุ สุโขทัยเมื่อรำว พ.ศ. ๑๘๐๐ และ ยงั คงนบั ถือสบื เนื่องมำจนปจั จุบัน พระพทุ ธศำสนำ สรุป พระพุทธศำสนำในสมัยลพบุรี มีควำมเจริญควบคู่กันมำท้ังนิกำยเถรวำท และนิกำย มหำยำน ในส่วนของพุทธศิลป์ในลัทธิตันตระยำนมีข้อมูลท่ีได้มำจำกศิลำจำรึก เช่น จำรึกที่ปรำสำท เบ็งเวียนในสัมยของพระเจ้ำรำเชนวรมัน (พ.ศ.๑๔๗๘ - ๑๕๑๑) ท่ีกล่ำวถึงพระพทุ ธเจ้ำ พระโลเกศวร ส่กี ร และพระนำงปรชั ญำปำรมิตำ ผปู้ ระทำนกำเนิดแกพ่ ระชินพทุ ธะและทรงเป็นองค์กำเนิดพระธำตุ ทั้งห้ำ (มลู ปฺรกฤต)ิ ในไตรโลก พระโลเกศวร คอื พระโพธิสัตว์อโลกิเตศวร ซึ่งเป็นสัญลกั ษณ์ของควำม กรุณำและอุปำย และทรงเป็นตวั แทนของครรภธำตุมณฑล ที่มีชื่อเต็มว่ำ มหำกรุณำครรโภภวมณฑล ส่วนพระนำงปรัชญำปำรมิตำนอกจำกจะทรงเป็นสัญลักษณ์ของปัญญำและบุคลำธิษฐำนของคัมภีร์ ปรชั ญำปำรมติ ำสูตร แลว้ พระนำงยังอำจจะทรงเป็นตวั แทนของพระนำงปำรมติ ำโพธิสัตวส์ พ่ี ระองค์ ผู้ เป็นพระชนนีของพระชินพุทธะหรือผู้ประทำนกำเนิดปัญญำท่ีล้อมรอบพระมหำไวโรจนะซ่ึงทรงสถิต อยู่กลำงวัชรธำตุมณฑลด้วย ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพำะของลัทธิตันตระยำนในอำณำจกั รละโว้ มำจนกระ ทงั้ ลัทธนิ ้มี ีบทบำทลดนอ้ ยลงในช่วงครง่ึ หลังของพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ กำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสู่อำณำจักรละโว้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ น้ัน ศำสนำสำคัญ ของชำวละโว้ คือ ศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู ส่วนพระพุทธศำสนำได้รับกำรนับถือในระดับเดียวกันซึ่ง ครั้งนั้นจดหมำยเหตุของจีนเรยี ก “ลอหู” มีวัฒนธรรมท่ีรับแบบแผนท้ังด้ำนกำรปกครอง ศิลปะ กำร ช่ำงและวิทยำกำรต่ำง ๆ จำกวัฒนธรรมทวำรวดี และจักรวรรดิขอม แม้วำ่ อำณำจกั รละโวน้ ับถอื ในบำง ยุคสมัยจะนับถือศำสนำพรำหมณ์– ฮินดูเป็นหลักแต่พระพุทธศำสนำก็เจริญรุ่งเรืองควบคู่กันไป ซ่ึง ปรำกฏหลกั ฐำนจำกบันทกึ ของพระสงฆ์จนี อี้จิง ผู้จำริกไปอินเดยี ทำงเรือผำ่ นทะเลใต้ในพุทธศตวรรษท่ี ๘ <http://www.oknation.net/blog/rotisaimai/2015/01/14/entry-1>,. 23 April. 2016.

๘๒ ๑๓ กล่ำวถึงดินแดนขอมในยุคนั้นว่ำ พระพุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองมำก ในเมืองมีวัดทั่วไปทุกแห่ง ศำสนำพรำหมณ์และพระพุทธศำสนำอยู่ร่วมกันอย่ำงสงบสุข ชำวเมืองและเจ้ำนำยนิยมบวชใน พระพุทธศำสนำ๙ ท้ังกล่ำวด้วยว่ำดินแดนต่ำง ๆ ในทะเลใต้นับถือปฏิบัติพระพุทธศำสนำนิกำยต่ำง ๆ รวมทั้งนิกำยมูลสรรวำสติวำทซึ่งเป็นนิกำยหินยำนที่ใช้ภำษำสันสกฤตจำรึกพระธรรมวินัย ในพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๘ ท่ีนครธมสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ ผู้ทรงอำนุภำพพระองค์ทรงทำนุบำรุง พระพุทธศำสนำให้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงสร้ำงวัดวำอำรำมพุทธสถำน ปรำสำทต่ำง ๆ ฝ่ำย มหำยำน และพระพุทธรูปจำนวนมำกมำย ทรงสถำปนำปรำสำทตำพรมให้เป็นมหำวิทยำลัยสงฆ์ มี พระมหำเถระเปน็ อำจำรยใ์ หญ่อยูถ่ ึง ๑๘ องค์และอำจำรย์รองลงมำถึง ๒,๗๔๐ องค์ ทรงใหร้ ำชกุมำร เสด็จไปศึกษำพระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทที่ลังกำ และผนวชที่วัดมหำวหิ ำรในเกำะลังกำ ในปลำย ยุคเมอื งพระนคร ศำสนำพรำหมณ์– ฮินดูและพระพทุ ธศำสนำ นิกำยมหำยำนเสื่อมถอยลง คงเหลือแต่ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทท่ีเจริญรุ่งเรือง และได้รับกำรนับถือจำกผู้คนทุกระดับต้ังแต่กษัตริย์ลง ไปจนประทง่ั ในปจั จบุ นั ๓.๑.๒ ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนา นิกายมหายานสมยั ลพบรุ ี พระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำนเกิดขึ้นหลังกำรสังคำยนำคร้ังท่ี ๓ พระเจ้ำอโศก มหำรำช๑๐ได้ส่งพระสมณะทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศำสนำออกเป็น ๙ สำย สำยท่ี ๘ พระโสณะกับ พระอุตระเป็นหัวหน้ำคณะเข้ำมำสู่บริเวณท่ีเรียกว่ำ “สุวรรณภูมิ”ในกำลต่อมำพระพุทธศำสนำซึ่ง ไดร้ ับอิทธพิ ลโดยผสมผสำนศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู กบั พระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำนหรือท่ีเรียกว่ำ “ลัทธิตันตระยำน” ซ่ึงมีควำมแตกต่ำงจำกพระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำท และนิกำยมหำยำนอย่ำง เหน็ ได้ชัด ท้ังน้ีเพรำะจุดมงุ่ หลำยและหลกั ธรรมของลัทธติ ันตระยำนมีควำมใกล้เคียงกับไศวะตันตระ ของศำสนำพรำหมณ์– ฮินดูมำกกว่ำนิกำยเถรวำท ทั้งน้ีเพรำะไศวะตันตระและตันตระยำนต่ำงก็ให้ ควำมสำคัญในกำรแสวงหำควำมสำเร็จในทำงโลกเช่นเดียวกับกำรบรรลุในธรรม ลัทธิตันตระยำนใช้ อำนำจเรน้ ลบั เขำ้ มำพทิ ักษ์รักษำพระพทุ ธศำสนำและศำสนกิ ชนในรูปแบบทด่ี ุรำ้ ยหรือ โกรธฺ ของพระ ตถำคตรวมทั้งสรำ้ งรปู เทวนำรี (ปรำชฺญำ) ในฐำนะที่เป็นศักยภำพ ของพระตถำคตและพระโพธิสัตว์ และเป็นบุคลำธิษฐำนแทนพระตถำคตรวมทั้งคัมภีร์อีกด้วย นอกจำกนั้นแล้ว กำรใช้ภำษำลับที่ เรียกวำ่ สนธยำภำษำ๑๑ ซ่ึง คุรุจะถ่ำยทอดใหศ้ ิษย์ทไ่ี ด้รบั กำรอภิเษกแล้วเป็นสื่อในกำรสอน แม้กระ ทั้งกำรไข ไตรรหัส เพ่ือท่ีจะบรรลุพุทธภำวะยังต้องใช้มณฑล หรือ วงวิเศษ ซึ่งเป็นแผนภูมิของพระ ตถำคตท่ีแสดงให้เห็นตระกูลของพระองค์เป็นเคร่ืองมือในกำรทำวิปัสนำกรรมฐำน ซ่ึงมณฑลเล่ำนี้ อำจจะทำข้นึ ในรูปแบบของจติ กรรมปฏมิ ำกรรม หรอื สถำปตั ยกรรม เช่น สถปู บุโรพทุ โธทชี่ วำ เป็นต้น ๙ พระสุธรรมญำณวิเทศ. (สุธรรม สธุ มโฺ ม), และคณะนักวิจัย DIRI จำกวำรสำรอย่ใู นบญุ ฉบบั เดอื น มนี ำคม พ.ศ.๒๕๕๙, หนำ้ ๓๔. ๑๐ ธิดำ สำระยำ, อาณาจักรเจนละ: ระวตั ิศาสตร์โบราณอสี าน,(กรุงเทพมหำนคร: สำนกั พิมพ์มติชน, ๒๕๔๘), หนำ้ ๒๑– ๒๔. ๑๑ พิริยะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คิดเหน็ เกี่ยวกันแบบศลิ ป์ในประเทศไทย, (กรงุ เทพมหำนคร: กรมศลิ ปำกร . ๒๕๕๐, หน้ำ ๓๔– ๓๖.

๘๓ ดังน้ัน พุทธศิลป์ในลัทธิตันตระยำนจึงมีควำมแตกต่ำงในทำงปรัชญำและควำมเช่ือทำง ศิลปะในลทั ธิหรือนกิ ำยอืน่ ๆ จำกปรัชญำและควำมเชอื่ เหล่ำนี้ ได้ส่งผลใหเ้ กิดกำรสรำ้ งสรรค์ศลิ ปะให้ มรี ูปแบบทีห่ ลำกหลำยมำกกว่ำศิลปะในลัทธิหรอื นิกำยอื่นๆ ด้วย ศิลปะในลทั ธติ ันตระยำนท่ีปรำกฏใน ประเทศไทย๑๒ จำแนกออกไดเ้ ป็น ๓ กลุ่ม คอื กลุ่มที่ ๑ พุทธศิลป์แบบอินเดีย ชวำและจัมปำ(ประมำณต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๔- ๑๖) ส่วนใหญ่เป็นรูปสัมฤทธ์ิท่ีพบในภำคกลำงและภำคใต้ของประเทศไทย รูปเคำรพเหล่ำนี้หล่อข้ึนใน แคว้นพิหำร (Bihar) แคว้นโอริสสำ (Orissa) และแคว้นเบงกอล (Bengal) ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น ศนู ย์กลำงของลัทธินี้ หรือหล่อขึ้นที่ชวำ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดัดแปลมำจำกของประเทศอินเดีย ทอดหน่ึง ส่วนรูปสลักจำกศิลำนั้น มักจะสลักขึ้นจำกท้องถ่ินเอง เช่น เศียรพระศำกยสิงห์ พระ ประธำนของวิหำรมหำโพธ์ิที่พุทธคยำ ส่วนสถูปวิหำรท่ีสร้ำงข้ึนในลัทธิตันตระยำนน้ัน แม้ว่ำจะ ววิ ัฒนำกำรตำมรสนิยมของท้องถิ่นบ้ำง แต่ยังสะท้อนให้เหน็ ต้นแบบจำกประเทศอินเดีย เช่น วิหำร พระมหำโพธ์ทิ ีพ่ ุทธคยำ โสมปรุ มหำวหิ ำรที่ปำหำรปุระ ประเทศบังกลำเทศและวิกำรกะละสันท่ชี วำ กลุ่มท่ี ๒ พุทธศิลป์แบบท้องถ่ิน (ประมำณพุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๖)ได้แก่ ศิลปะและ สถำปัตยกรรมที่พบในประเทศไทยในปัจจบุ ันที่ไดร้ ับแรงบัลดำลใจจำกพทุ ธศิลป์ของอินเดยี ชวำ และ กัมพูชำ โดยนำมำผสมผสำนกับรูปแบบที่มีมำแล้วในอดีตจนเกดิ เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ศิลปะใน กล่มุ น้ี สว่ นใหญพ่ บในภำคกลำงและภำคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย กลุ่มท่ี ๓ พุทธศิลป์แบบกัมพูชำ(ประมำณพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๙)ที่แพร่กระจำยไปทั่ว ภำคกลำงและภำคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อันสะท้อนให้เห็นควำมเป็นอัตลักษณ์ของ ศิลปะขอมท่ีได้ปรับเปลี่ยนศิลปะในลัทธติ นั ตระยำนให้เขำ้ กบั รูปแบบศิลป์ในศำสนำพรำหมณ์– ฮนิ ดใู น ประเทศกัมพูชำ จนแทบไม่เห็นร่องรอยเดิมของศิลปะในลัทธิตันตระยำนของอินเดียเลย ส่วน ปรำสำทที่สร้ำงข้ึนในลัทธิตันตระยำนของกัมพูชำ เช่น ปรำสำทพิมำย ก็มิได้มีควำมแตกต่ำงไปจำก เทวำลยั ของขอมยกเวน้ แต่ประติมำนิรมำณวิทยำของรปู สลักท่ีทับหลังของวิมำนและท่ีเสำองิ ขำ้ งประตู มขุ ทำงเขำ้ มณฑปเทำ่ น้นั ทจี่ ะบง่ บอกไดว้ ่ำ ปรำสำทหลังนีส้ รำ้ งขึ้นในศำสนำใด จำกกำรศึกษำหลักฐำนทำงโบรำณคดีพบว่ำหลักฐำนด้ำนเอกสำรที่เกี่ยวกบั ประวัติศำสตร์ พระพทุ ธศำสนำในสมยั ลพบุรีมนี ้อยมำก ส่วนใหญ่จะเป็นสถำปัตยกรรม และประตมิ ำกรรม ผู้วิจัยจึง ขออธิบำยเรื่องรำวเส้นทำงกำรเผยแผ่ และภูมิศำสตร์วัฒนธรรมพระพุทธศำสนำ สมัยลพบุรีผ่ำนกำร นำเสนอจำกหลกั ฐำนในส่วนของพทุ ธศลิ ปส์ มยั ลพบุรีดังต่อไปนี้ ๓.๑.๒.๑ ลัทธิวัชรยำนหรือตันตระยำน ลัทธิวัชรยำนหรือตันตระยำนเกิดข้ึน ภำยใต้ลัทธิคำส่ังสอนหรอื หลักปรัชญำของมหำยำน๑๓ ซึ่งมจี ุดมุง่ หมำยท่ีจะช่วยให้สรรพสัตว์หลุดพ้น จำกวัฏสงสำร โดยสืบเนื่องจำกกำรใช้มนต์เป็นพำหนะสำคัญของกำรหลุดพ้น ซ่ึงเร่ิมขึ้นในพุทธ ศตวรรษที่ ๗ จงึ เปน็ วิถที ำงเลือกของพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยมหำยำน ทเ่ี รียกว่ำ มนตรยำน หรอื วถิ ีท่ี ๑๒ มนัส โอภำกลุ , เมืองสมยั ลพบุรีท่ีสุพรรณบรุ ี, (กรงุ เทพมหำนคร: สำนกั พิมพ์เมืองโบรำณ, ๒๕๔๓), หนำ้ ๗๑ – ๗๘. ๑๓ เชษฐต์ ิง สัญชลี ข้อคดิ เหน็ เกยี่ วกับการปรากฏข้นึ ของคติจากคัมภีร์สัทธรรมปณุ ฑรกิ สูตร และอมิ ตาบรู พทุ ธานสุ มฤต ในทางภาคกลางของประเทศไทย, ภำควชิ ำประวตั ิศำสตร์ศลิ ปะ บณั ฑิตวิทยำลยั มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร . ๒๕๔๓, หน้ำ ๕๖.

๘๔ พำไปสนู่ ิรวำณดว้ ยมนต์ เพอื่ ให้เหน็ ควำมแตกตำ่ งจำกกระแสหลักของนิกำยมหำยำนท่ีเรียกว่ำ ปำรมิ ตำยำน อันไดแ้ ก่ วิถีทำงของบำรมี (ปำรมิตำ) หรอื ยำนท่ีพำไปสู่นิพพำนด้วยบำรมี ๑๐ ประกำรของ พระโพธสิ ัตว์ ดังนั้น องค์ควำมรูเ้ ดิมในประเทศไทยจึงเข้ำใจว่ำ ลัทธิตันตระยำนเป็นนิกำยหน่ึงของ นกิ ำยมหำยำน แต่ลัทธติ ันตระยำนแตกตำ่ งจำกมหำยำนตรงวถิ ีทำงทจ่ี ะบรรลุพุทธภำวะ ลทั ธิตันตระ ยำนใช้คมั ภรี ์ตนั ตระและใช้เวทมนต์คำถำร่วมกับกำรบำเพ็ญโยคะซ่ึงนอกเหนือจำกกำรแสวงหำโพธจิ ิต ในทำงธรรมแล้ว ยงั นำมำซึง่ ควำมสำเร็จในทำงโลก (โลกยิ ะ) ในคมั ภรี ์ตันตระ มกี ำรสอนวปิ ัสนำกรรมฐำนทีเ่ รียกวำ่ ๑๔ สำธน ซ่ึงเป็นหนทำง ท่ีจะนำไปสู่ กำรหลุดพ้นด้วยกำรทำวิปัสนำกรรมฐำน โดยพระพุทธเจ้ำ และเทพเจ้ำเป็นบุคลำธิษฐำน เพ่ือท่ีจะ เพง่ มองให้เห็นว่ำ ตนเองเป็นองค์หน่ึงองคเ์ ดยี วกบั พระพุทธเจำ้ หรือเทพเจ้ำและมอี ำนำจเท่ำเทียมกับ พระองค์ และในที่สุดก็มองเห็นว่ำ ตนเองและเทพเจำ้ เปน็ เพียงภำพมำยำและทัง้ คูเ่ ปน็ เพียงควำมว่ำง เปล่ำ (ศูนยฺตำ) สำธน น้ัน มีมนตร์ ธำรณี มุทรำ และมณฑล เป็นองค์ประกอบในกำรทำวิปัสนำ กรรมฐำน โดยให้สิทธะหรือ คุรุ คือ ผู้ท่ีเป็นประสบควำมสำเร็จ (สิทธิ) มำแล้ว เป็นผู้สอนและแปล ควำมลึกลับของคัมภีร์ตันตระ รวมทั้งเป็นผู้ทำพิธี อภิเษก คือ รับเข้ำมำเป็นสมำชิกด้วยกำรพรม นำ้ มนต์ นกั ปรำชญช์ ำวธิเบตได้จำแนกคัมภีร์ตันตระ ออกเปน็ ๔ กลมุ่ อนั ไดแ้ ก่ กลมุ่ ท่ี ๑ กริยำตนั ตระ ได้แก่ คมั ภีรข์ องนกิ ำยมนตรยำนท่ีหลงเหลือจำกช่องระหว่ำงกลำง พทุ ธศตวรรษที่ ๗ ถึงกลำง ๑๑ ซึง่ แทบทง้ั สน้ิ ใชก้ ำรปฏบิ ัตแิ ละพธิ ีกรรมแสวงอำนำจทำงโลก กลุ่มท่ี ๒ จรรยำตันตระ ได้แก่ คัมภีร์ที่เป็นคู่มือในกำรแสวงหำอำนำจทำงโลก เช่น กำร เหำะเหินเดินอำกำศ กำรหำยตัว และควำมสำมำรถในกำรทำนำยอนำคต และในทำงธรรม เช่น คัมภีร์มหำไวโรจนำภิสัมโพธิตันตระ หรือ มหำไวโรจนสูตร ซึ่งรวบรวมขึ้นต้ังแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เปน็ ต้นมำ โดยใช้ สำธนะ คือวปิ ัสนำกรรมฐำน ทีใ่ ช้มณฑล มนต์และมุทรำเป็นเครื่องมือ ดงั นน้ั จึง อำจกลำ่ วไดว้ ่ำ ลทั ธติ ันตระยำนได้แยกตัวเองออกจำกลัทธิมหำยำนในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ ในลัทธิตันตระมีหลักคำสอนสำคัญที่ปรำกฎในคัมภีร์ มหำไวโรจนสูตร หมำยถึง ธำตุ ครรภมณฑล ซ่ึงเป็นแผนผังครรภ์แห่งหลักจักรวำลที่ให้กำเนิดพระตถำคตท้ังหลำย นอกจำกน้ันใน คมั ภรี ์วัชรเศขรสูตร กล่ำวถงึ วชั รธำตุมณฑล ซ่ึงเป็นมณฑลของพระชินพุทธะ ๕ องค์ พระพทุ ธเจ้ำ ทั้งห้ำพระองค์สร้ำงขึ้นมำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของขันธ์ท้ังห้ำท่ีประกอบเข้ำเป็นบุคคล อันได้แก่ รูป เวทนำ สัญญำ สังขำร และวิญญำณ กล่ำวคือพระไวโรจนะเป็นบุคลำธิษฐำนของรูป พระอโมฆสิทธิ เป็นบุคลำธิษฐำนของสังขำร พระอมิตำภะเป็นบุคลำธิษฐำนของสัญญำ พระรัตนสัมภวะเป็น บุคลำธษิ ฐำนของเวทนำ พระอกั โษภยะทรงสอดคลอ้ งกบั วิญญำณ ๑๔ พิริยะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คิดเห็นเกยี่ วกนั แบบศลิ ปใ์ นประเทศไทย, (กรงุ เทพมหำนคร: กรมศิลปำกร, ๒๕๕๐), หนำ้ ๓๔ .

๘๕ ภำพที่ ๓.๑๐ วัชรธำตมุ ณฑล๑๕ จำกแผนภำพที่ ๓.๑๐ ตรงศูนย์กลำงของวัชรธำตุมณฑล จะมีพระพุทธะ ซ่ึงเป็นองค์ รวมของพระพุทธะท้งั ห้ำพระองค์ ทรงมพี ระนำมวำ่ พระมหำไวโรจนะ พระองคท์ รงเป็นสญั ลักษณ์ของ หลักปรัชญำของวัชรยำนวำ่ ด้วย อทวิภำพ (ควำมไม่เปน็ สอง) ทรงมสี องธำตุซ่ึงแยกออกจำกกันไม่ได้ คอื วัชรธำตุ อันแสดงถึงควำมรู้ (ชญฺ ำน) หรอื ปัญญำของพระตถำคตที่มอี ยูใ่ นสรรพส่ิง และ ธำตุครรภ คือ กฏภำยในหรือหลักจักรวำลซึ่งเป็นภำวะอันแท้จริงของพระตถำคตที่อยู่ในสรรพส่ิง แต่ยังมิได้ แสดงออกเสมอื นยังอย่ใู นครรภ์ ชฺญำน ท่ีมีควำมเป็นเท่ียงเปน็ นิรันดร มีเพชร (วชฺร) เป็นสัญญลักษณ์ ส่วนกฎภำยในหรือหลักจักรวำลนั้น มีดอกปัทมะเป็นสัญลักษณ์ ต่อมำวัชระเป็นสัญลักษณ์ของ อวยั วะเพศชำย สว่ นดอกปทั มะเป็นสัญญลักษณ์ของอวัยวะเพศหญิง ดงั นน้ั วชั ระและดอกปัทมะจึง เป็นสญั ลักษณ์ของกำรรวมตัวเปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกัน ระหวำ่ ง ชญฺ ำน กับ หลักจกั รวำล จุดมุ่งหมำยของลัทธิวชั รยำนคอื เพ่ือแสวงหำพุทธภำวะ๑๖ ซ่ึงมีอยู่ในจิตของมนุษย์ทุกคน แต่ได้ถูกปิดบังโดยอวิชชำและโมหะ มนุษย์สำมำรถบรรลุพุทธภำวะได้โดยกำรเข้ำถึงปัญญำโดยวิธี แนบเนียน (อุปำย) อันได้แก่ กำรไข ไตรรหัส เพ่ือที่จะเข้ำถึงควำมล้ีลับ ๓ ประกำรของพุทธะ คือ ปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติอันเปน็ ลักษณะตำ่ ง ๆ ของพระกำย ปรำกฏกำรณ์ทำงจิต อันเป็นลกั ษณะ ต่ำง ๆ ของพระจติ และกำรแสดงธรรม ซึ่งกค็ อื พุทธวัจนะ วถิ ที ำงทีจ่ ะนำไปสู่กำรแกไ้ ตรรหัส คือ กำร ปฏิบัติ สำธน โดนใช้คัมภีร์ตันตระ และคัมภีร์สำธนสมุจจย ซึ่งก็คือ กำรรวบรวมคัมภีร์สำธน ต่ำง ๆ เข้ำไว้ด้วยกัน รวมทั้งคัมภีร์สำธนมำลำ ปัจจุบันคัมภีร์สำธนมำลำ น้ีมีประโยชน์อย่ำงย่ิงในกำรศึกษำ ๑๕ <http://writer.dek-d.com/cartoon-so- thep/story/viewlongc.php?id=620026&chapter=35>, 23 April. 2016. ๑๖ พิรยิ ะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คดิ เห็นเกยี่ วกันแบบศิลป์ในประเทศไทย, หน้ำ ๔๓.

๘๖ ประติมำนิรมำณวิทยำของรูปเคำรพในลัทธติ ันตระยำนไตรรหัส ได้แก่ ๑) กายรหัส คือ กำรทำท่ำมือ (มุทฺรำ) ของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์หรือเทพพระองค์ใดองค์หนึ่ง ๒) วจีรหัส คือ กำรท่องบทสวด (ธำรณ)ี และร่ำยคำถำ (มนฺตรฺ ) ของพระพุทธะหรอื เทพเจำ้ พระองค์นัน้ ๓) มโนรหสั คอื กำรทำวิปสั นำ กรรมฐำน ใหเ้ หน็ ว่ำเปน็ อันหน่ึงอนั เดยี วกันกับพระพุทธะหรือเทพพระองค์นนั้ โดยใช้ (มณฑฺ ล)วงวเิ ศษ ซึ่งเป็นแผนภูมิของพระองค์ เป็นเคร่ืองมือในกำรทำวิปัสนำกรรมฐำน สิทธะ คือ ผู้ท่ีประสบ ควำมสำเร็จในกำรแกไ้ ตรรหัส มี ๓ ระดับ คือ ระดับสูง ระดับกลำง และระดับล่ำง ระดับสงู สำมำรถ แสวงหำสิ่งท่ีปรำถนำเพียงแค่นึกอยำกเท่ำนั้น ระดับกลำงสำมำรถเอำชนะควำมตำย สนทนำกับเทพ เจ้ำเหำะและแสดงปำฏิหำรยิ ไ์ ด้ ตลอดจนรักษำโรคใหห้ ำยไดเ้ พยี งแคเ่ หลอื บมองหรอื สัมผัส ส่วนระดับ ลำ่ งนั้น นำมำซงึ่ อำนำจ วำสนำ เกียรตยิ ศ และช่อื เสียงสทิ ธะในระดับสงู และระดับกลำง เรยี กว่ำ มหำ สิทธะ ซึ่งท่ำนเหล่ำน้ียังเป็นผู้เขียนคัมภีร์สำธน๑๗ ซ่ึงใช้เป็นคู่มือในกำรใช้มณฑลอีกด้วยในช่วงกลำง พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๔ ลทั ธิตันตระยำนได้พัฒนำกำรไปสู่ลัทธิวัชรยำนอย่ำงสมบูรณ์แบบ เมื่อได้มี กำรนำเอำคำว่ำ วชฺร ซ่ึงได้แก่สำยฟ้ำ อำวุธของพระอนิ ทร์ อันเป็นสัญลักษณ์ของควำมเท่ียงตรงแนว แน่ ไม่หวั่นไหวประดุจเพชร มำเป็นสัญลักษณ์ของควำมมั่นคงของโพธิ ควำมเป็น อทวิภำพ ศูนยฺตำ กรณุ ำและปัญญำ วัชรยำน จงึ หมำยถึง วิถีทำงแห่งควำมเที่ยงและแข็งแกร่งดุจเพชร กลมุ่ ท่ี ๓ โยคะตันตระ ได้แก่ คมั ภีร์ซ่ึงเน้นท่ีกำรทำโยคะ กำรทำวปิ ัสนำกรรมฐำนโดยตรง รวบรวมข้ึนประมำณกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ คัมภีร์ท่ีสำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ สรรพตถรคต–ตันตว- สัมครห ซ่ึงในภำคต้นของคัมภีร์น้ีที่แยกออกมำในนำมของ วัชรเศขรสูตร กล่ำวถึงมหำมณฑลและ กำรจำแนกตระกูลของพระพุทธเจ้ำ พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้ำองค์ต่ำง ๆ ออกเป็น ห้ำตระกูล ได้แก่ พระไวโรจนะทรงเปน็ หวั หน้ำของตระกูลตถำคต พระอักโษภยะ ตระกลู วัชระ พระรตั นสมั ภวะ ตระกูล รัตนะ พระอมิตำภะ ตระกูลปัทมะ และพระอโมฆสิทธิ ตระกูลกรรมะ ซึ่งระบบใหม่นี้ได้เข้ำมำแทน ระบบสำมตระกูลของลัทธิมหำยำน ได้แก่ พระศำกยมุนี ตระกูลตถำคต พระวัชรปำณิ ตระกูลวัชระ และพระอวโลกิเตศวร ตระกูลปัทมะ กลมุ่ ที่ ๔ อนุตตร–โยคะ-ตันตระ ในช่วงปลำยพุทธศตวรรษที่ ๑๓- ๑๖ ปรำกฏคัมภีร์ใน หมวดท่ีนักปรชั ญำชำวทิเบตเรียกว่ำ อนุตตร–โยคะ-ตันตระ ซ่ึงเชื่อว่ำ เปน็ หมวดที่มีควำมสำคัญสูงสุด ของคมั ภรี ์ตนั ตระ คัมภีร์อนุตตร–โยคะ-ตนั ตระ ยงั แยกออกเป็น ๓ กลุม่ ย่อย อันไดแ้ ก่ กลุ่มท่ี ๔.๑ บิดำตันตระ หรือ อปุ ำยะตันตระ ซ่ึงเน้นกำรทำสำธน เพ่ือนับตนเอง ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระอักโษภยะและพระนำงมำมกี ปรัชญำของพระองค์ โดยทำวิปัสนำ กรรมฐำนที่มณฑลของพระอักโษภยะในรูปท่ีทรงร่วมสังวำสกับพระนำงมำมกี คัมภีร์ท่ีสำคัญได้แก่ คหุ ยสมำชตันตระ ซงึ่ กลำ่ วถึงพระวชั รปำณวิ ำ่ ประกอบด้วยพระวัชระกำย พระวชั รวัจนะ และพระวัช รจิต คัมภีร์ ศรีคุหยสมำจตันตระ ยังนำเอำสัญ ลักษณ์ทำงเพศและกำรร่วมเพศเข้ำมำใน พระพทุ ธศำสนำเป็นครงั้ แรก กลุ่มท่ี ๔.๒ มำรดำตันตระ หรือ ปรำชญำตันตระ หรือโยคินีตันตระ เน้นกำรทำ สำธน กับพระอักโษภยะในรูปแบบที่ดุร้ำยที่มีพระนำมว่ำ เหรุกะ เหวัชระ หรือวัชริน พร้อมด้วย ปรัชญำของพระองค์โดยมีนำงทำกิณเี ปน็ บริวำรเพอื่ ให้เห็น ศูนยฺตำ โดยทำวปิ สั นำกรรมฐำนท่จี ุดสำคัญ ๑๗ อำ้ งแล้ว, พริ ิยะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คิดเห็นเกีย่ วกนั แบบศลิ ปใ์ นประเทศไทย, หน้ำ ๖๖.

๘๗ ของร่ำงกำยภำยในของตนเอง เชน่ จกั ร วำยุ และ นที คัมภีรใ์ นกลุ่มนท้ี ี่สำคญั ได้แก่ สงั วรตนั ตระ และ เหวัชรตันตระ นอกจำกนั้นแล้ว คัมภีร์ในกลุ่มน้ีได้รับกำรดัดแปลงมำจำกคัมภีร์ ศำกตำคม ของไศวะ ตนั ตระ กลมุ่ ท่ี ๔.๓ กำลจักรตันตระ รวบรวมขนึ้ ประมำณกลำงพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ เป็นตันตระที่รวบรวมขึ้นเล่มสุดท้ำยในอินเดีย เน้นกำรสั่งสอนในสำมระดับ ภำยนอก ภำยใน และที่ เป็นควำมลับ ซึ่งสอดคล้องกับระบบของจักรวำล จดุ สำคัญภำยในของร่ำงกำยและควำมสัมพันธข์ อง ระบบจักรวำลและของตนเอง นอกจำกน้ันแล้ว กำลจักรตันตระ ยังให้ควำมสำคัญกับระบบปฏิทิน และโหรำศำสตร์ รวมทั้งนำเสนอพระอำทิตพุทธหรอื พระปฐมพุทธให้มำเปน็ พุทธะองค์ที่หก ผู้เป็นศูนย์ รวมของ อุปำยะ และปัญญำ พระองค์ทรงเป็นทรี่ ู้จักในพระนำมกำลจักร พระอำทิพุทธะ พระมหำไว โรจนะ พระวชั รสตั ร์และพระวชั รธรอกี ด้วย กำรที่พระพทุ ธศำสนำ ลัทธิตนั ตระเข้ำมำมอี ิทธพิ ลต่อควำมเชื่อของชำวเมืองในพ้ืนท่ีทเ่ี ป็น อำรยธรรมสมยั ทวำรวดี ซ่ึงแนวควำมเช่ือจะเข้ำมำหลำยทิศทำงจำกอำณำจกั รฟนู นั อำณำจักรศรีวชิ ัย ทำให้อำณำจักรขอม ซ่ึงเป็นฝ่ำยปกครองทค่ี รอบคลุมภำคกลำงของประเทศไทยบำงส่วน รวมท้ังภำค ตะวันออกเฉียงเหนือเกอื บทั้งหมดได้รับอิทธิพลจำกกำรเป็นประเทศรำช ดังน้ันพุทธศิลป์ลัทธติ ันตระ สมัยลพบุรีจงึ ไดแ้ พรข่ ยำยไปแทบทกุ สว่ นของพื้นที่ ซง่ึ ผูว้ ิจยั จะนำเสนอดังต่อไปนี้ ๓.๑.๒.๒ พุทธศิลป์ลัทธิวัชรยำนหรือตันตระยำน สมัยลพบุรี พระพุทธศำสนำ ลัทธิตันตระยำนเข้ำมำมีอิทธพิ ลในอำณำจักรขอมจะเห็นจำกหลักฐำนศิลำจำรึกของทำงกัมพชู ำแสดง ใหเ้ หน็ วำ่ อนตุ ตร–โยคะ-ตันตระ เป็นทแ่ี พร่หลำยในอำณำจักรขอม๑๘ซึ่งศิลำจำรกึ ในกมั พูชำไดก้ ลำ่ วถึง คัมภีรศ์ รีสมำจะ นนั่ ก็คือ คัมภีรศ์ รีคหุ ยสมำจตันตระ นัน่ เอง อันไดแ้ ก่ คัมภีร์ในกลุ่ม บิดำตันตระ หรือ อุปำยะตันตระ และมีกำรสร้ำงภำพรูปพระสังวรและพระวัชรนิ หรือพระเหวัชระ ซงึ่ เป็นเทพเจ้ำในกลุ่ม มำรดำตันตระ - ปรำชญำตันตระ หรือโยคินีตันตระ รวมทั้งกำรกล่ำวถึงพระอำทิพุทธ, ภำพพระวัชร สัตวแ์ ละพระวัชรธร ซึง่ เปน็ พระพุทธเจำ้ ในคัมภีร์ กำลจักรตันตระ จึงแสดงให้เห็นว่ำคัมภีรท์ ั้งสำมกลุ่ม ของ อนุตตร-โยคะ-ตันตระ เป็นท่ีรู้จักในอำณำจักรขอมในช่วงที่พระพุทธศำสนำลัทธิตันตระยำน รุ่งเรืองระหว่ำงปลำยพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗ ลัทธิตันตระยำนได้เจริญรุ่งเรืองในอำณำจักรจัมปำ ในช่วงซ่ึงมีรำชธำนีอยู่ท่ีเมืองอินทรปุระ เขตจังหวัดควังนัม (Quang-nam) ในช่วง พ.ศ.๑๔๑๘ ถึง ๑๕๔๓ เพียงช่วงระยะเวลำส้ัน ๆ คือ ในช่วง พ.ศ.๑๔๑๘ ถึง ๑๔๔๑ อันตรงกับรัชกำลของพระเจ้ำ อนิ ทรวรมันที่ ๒ ซึง่ มพี ระนำมเดมิ ว่ำลกั ษมีนทรภมู ีศวรครำมสวมนิ และเมอื่ ส้ินพระชนม์ ทรงได้รบั กำร เฉลิมพระนำมว่ำ พระบรมพุทธโลก ในปี พ.ศ.๑๔๑๘ ท่ีได้จำกกำรสนธิพระนำมของพระองค์กับพระ นำมของพระโพธิสตั วโ์ ลเกศวรนักสำรวจไดพ้ บศลิ ำจำรึกที่อนั -ไท (An-thai) ในจังหวัดกวำ๋ งนำม๑๙ จำร ขึ้นในปี พ.ศ.๑๔๔๕ เนื่องในโอกำสที่มำอุทิศโลกนำถที่วัดประมทุ ิตโลเกศวร ไดใ้ หข้ ้อมูลเก่ียวกับลัทธิ ตนั ตระยำนท่ีจัมปำว่ำ พระพุทธเจ้ำสำมพระองค์ อันได้แก่ พระศำกยมุนี พระอมิตำภะและพระไวโรจ นะ ทรงมกี ำเนดิ จำกวัชระธำตุ ปัทมธำตุและจกั รธำตุ ซ่ึงเปน็ ทีม่ ำของพระโพธิสัตว์วัชรธร พระโพธิสัตว์ อโลติเกศวร และพระวัชรสัตว์ นอกจำกน้ัน ยังกล่ำวว่ำ วัชรธำตุ คือ สัญลักษณ์แห่งควำมว่ำงเปล่ำ ๑๘ สัมภำษณ์ นำงสำวธชั สร ตันติวงศ์, เจ้ำพนักงำนพิพิธภณั ฑ์สถำนแห่งชำติพระนคร, วนั ท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๑๙ พิรยิ ะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คดิ เห็นเกย่ี วกนั แบบศลิ ปใ์ นประเทศไทย, หนำ้ ๕๓.

๘๘ (ศูนฺย) ปัทมธำตุ คือ ควำมว่ำงเปล่ำท่ียิ่งใหญ่ (มหำศูนฺย) และจักรธำตุ คือ ควำมว่ำงเปล่ำที่เกินกว่ำ ควำมเข้ำใจของมนุษย์ (ศูนฺยำตีต) ศิลำจำรึกอีกหลักหนึ่งแสดงให้เห็นคว ำมสัมพันธ์ด้ำน พระพุทธศำสนำระหว่ำงชวำกับจัมปำ๒๐ โดยกล่ำวถึงกำรเดินทำงไปแสวงบุญ (สิทฺธยำตฺรำ) ของ ขำ้ รำชกำรชั้นผใู้ หญ่ชำวจำมทำ่ นหนง่ึ ท่ีเกำะชวำถึงสองคร้ังในชว่ งก่อนปี พ.ศ.๑๔๕๑ ดังน้ัน พุทธศิลป์ลัทธิตันตระยำนที่หลงเหลืออยู่ในประเทศไทยสะท้อนให้เป็นพัฒนำกำร ทำงด้ำนปรชั ญำและควำมเชือ่ ในพระพุทธศำสนำซึ่งแบ่งไดเ้ ปน็ ๓ หมวดหลกั ๒๑ คอื หมวดที่ ๑ รูปแบบจำกอินเดีย ชวำและจัมปำ (ประมำณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔- ๑๖) ส่วนใหญ่สร้ำงข้นึ ในลทั ธิคำสั่งสอนของคัมภรี ์จรรยำตันตระและโยคะตันตระ เช่นเดียวกับนิกำยชนิ งอน ของญป่ี ุ่น หมวดท่ี ๒ แบบท้องถิ่น รำวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ เป็นแบบที่มีลักษณะเฉพำะของ ตนเองสงู โดยนำเอำอทิ ธพิ ลจำกมำผสมผสำนจนเป็นของตนเอง หมวดท่ี ๓ แบบจำกขอมรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕- ๑๗ แสดงให้เห็นอิทธิพลจำกคัมภีร์ใน หมวด อนุตตร-โยคะ-ตันตระ แต่มีควำมแตกต่ำงจำกของอินเดียและทิเบต นั่นคือจักรวรรดิขอมไม่รับ เอำส่วนท่ีเป็นสัญญลักษณ์ทำงเพศและกำรร่วมเพศของคัมภีร์ในหมวดน้ีมำใช้กับลัทธิตันตระยำนใน ควำมเช่ือและศลิ ปะแต่อยำ่ งไร ดังนั้นด้วยอิทธิพลของขอมที่นับถือศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู และพระพุทธศำสนำนิกำย มหำยำนปนกนั ไป ฉะนัน้ รอ่ งรอยโบรำณสถำนทำงพระพทุ ธศำสนำในอำณำจกั รลพบุรชี ว่ งเวลำน้นั สว่ น ใหญ่เป็นของมหำยำน เช่น พระพุทธปฏิมำมักทรงเคร่ืองอลังกำรวิภูษิตำภรณ์ มีกระบังมงกฎุ บนพระ เศียรที่เรียกกันว่ำเทริด พระโอฐหนำ ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณ (หู) ยำวลงมำจดพระอังสะ (บ่ำ) ลักษณะใกล้ไปทำงเทวรูปมำก พระปฏิมำที่ว่ำนี้คือ รูปพระอำทิพุทธะในคติมหำยำน ถ้ำเป็นรูปพระ ศำกยมุนี (พุทธเจ้ำ) มักมีรูปพระโพธสิ ัตว์อวโลกเิ ตศวรและรูปปรัชญำปำรมติ ำโพธิสัตวซ์ ้ำย-ขวำ แทน รูปพระอัครสำวก (ในฝ่ำยเถรวำท คือ พระโมคคัลำนะและพระสำรีบุตร) โดยรูปพระอวโลกิเตศวร โพธิสัตว์น้ันบำงทีทำเป็น ๔ กร (มือ) บ้ำง ๖ กรบ้ำง เป็นเหตุให้คนรุ่นหลังท่ียังไม่รู้นึกว่ำเป็นรูปพระ นำรำยณ์หรือพระพรหมไปก็มี เช่นนักเล่นพระเคร่ืองสกุลลพบุรี เรยี กพระเครื่องชุดหนึ่งว่ำ นำรำยณ์ ทรงปืน ควำมจริงเป็นรูปพระอวโลกิเตศวร พระเคร่ืองแบบ นิกำยมหำยำนท่ีพบในจังหวัดลพบุรีเป็น จำนวนมำก รวมทั้งพระเคร่ืองท่ีเรียกกันว่ำพระหูยำน ท่ีจริงแล้วเป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพุทธเจ้ำประจำทิศบรู พำ สำหรับปรำงคส์ ำมยอดท่ลี พบุรีเดิมเปน็ ท่ีประดิษฐำนพระพทุ ธเจำ้ ตรีกำล ตำมคติมหำยำน แต่มำแปลงเป็นเทวสถำนในชั้นหลัง ปรำสำทหินพิมำย จังหวัดนครรำชสีมำก็เป็นท่ี ประดิษฐำนพระพุทธรูปนำคปรกองค์มหึมำ ที่เรียกกันว่ำชยพุทธมหำนำค และประดิษฐำนรูปปฏิมำ พระไตรโลกวิชยั อันเปน็ ปำงหนึ่งของพระอำทิพทุ ธะพระพุทธรูปในสมัยลพบุรีนิยมสรำ้ งแบบนำคปรก ๒๐ โครงกำรสำรำนกุ รมไทยสำหรบั เยำวชนโดยพระรำชประสงคใ์ นพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว. “ปรำสำทขอมในประเทศไทย.”สำรำนกุ รมไทยสำหรับเยำวชน โดยพระรำชประสงคใ์ นพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยหู่ วั เลม่ ท่ี ๓๐, <http://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=๓๐&chap=๓&page=ch>, 23 April. 2016. ๒๑ สมั ภำษณ์ นำยวิษรุต วะสุกัน, เจำ้ พนักงำนพิพิธภัณฑส์ ถำนแห่งชำติ พระนคร, วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๘๙ และวสั ดุท่ีสรำ้ งส่วนมำกก็เป็นหนิ ที่สร้ำงด้วยโลหะสำรดิ มีแตไ่ ม่มำกส่วนกำรสร้ำงเปน็ นำคปรกเห็นจะ เน่ืองมำแต่คติกำรบูชำงูใหญ่ของพวกขอมก่อนนับถือพระพุทธศำสนำ เมื่อมำรับพระพุทธศำสนำแล้ว จงึ คิดแบบพระพุทธรูปอย่ำงนี้ขึน้ ซ่งึ ไปตรงกับพระพุทธรูปปำงเสวยวิมุตตสิ ุขในขนดล้อมของพญำนำค มุจลินท์พอดี เพ่ือให้เข้ำใจถึงพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน ในสมัยลพบุรี จึงจะนำเสนอพุทธศิลป์ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) พระศำกยมุนพี ระศำกยมุนปี ำงสมำธิ ประทับสมำธิบนขนดนำคสำม ชั้นของนำคเจ็ดเศียร เคียงข้ำงด้วยสถูปซึ่งมีคนธรรพ์แบกอยู่ ทั้งหมดต้ังอยู่บนฐำนท่ีประดับด้วย เกียรติมุข ได้จำกวัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยำพระพุทธรูปองค์นี้ได้วิวัฒนำกำรมำ จำกพระพุทธรูปศิลำนำคปรกท่ีพบท่ีจังหวัดปรำจีนบุรี โดยเพ่ิมขนำดนำคจำกช้ันเดียวโดยเพิ่มขนำด นำคจำกช้ันเดียวเป็นสำมชั้นและเพิ่มคนธรรพ์แบกสถูป พระตถำคตนำคปรกนี้จะพัฒนำกำรมำจำก พระพุทธรูปปำงสมำธิ ประทับสมำธิรำบเคียงข้ำงด้วยสถูปซึ่งสร้ำงข้ึนในลัทธิมหำยำน โดยนำ พระพุทธรปู นำคปรกและสถปู มำไว้ด้วยกนั ภำพท่ี ๓.๑๑ พระศำกยมนุ จี ำกพิพธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติ พระนคร ๒) พระอมิตำภะพระอมิตำภะ พบท่ีบ้ำนฝ้ำย อำเภอลำปลำยมำศ จังหวัดบุรีรัมย์ รูปพระอมิตำภะที่พบในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ มักมีพระพักตร์ที่เรียวกว่ำที่พบใน ภำคกลำง ชำยพระเนตรตวัดขึ้นไปสู่พระขนงที่ทำเป็นสันนูนรูปปีกกำ ชำยจีวรด้ำนล่ำงผำยออกทำง

๙๐ ด้ำนข้ำง กำหนดอำยุประมำณครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ (พ.ป.) สัมฤทธิ์ สูง ๑๑๐ ซม. พพิ ธิ ภัณฑสถำนแห่งชำติ พระนคร ภำพท่ี ๓.๑๒ พระอมิตำภะพพิ ิธภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร ๓) พระวัชรสัตว์พุทธะ พระวชั รสัตว์ (Vajrasattva) ศิลปะลพบุรี อำยุ ประมำณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๘ พระวัชรสัตว์คือองค์แห่งธรรมกำยในตรกี ำยแห่งพุทธะ (นิรมำน กำย สัมโภคกำย ธรรมกำย) ทำให้ทรำบว่ำพระพุทธศำสนำ แบบวัชรยำนหรือตันตระยำนในดินแดน เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้นั้นได้เจริญรุ่งเรอื งมำเป็นเวลำนำนแล้ว ซ่ึงมีกำรสร้ำงหลำยรูปแบบ พระวัชร สตั ว์พุทธะศิลำ เป็นพระพุทธรูปนำคปรกทรงเครื่องท่ีมีลักษณะพิเศษ กล่ำวคือ ด้ำนหลังของนำคเจ็ด เศียรสลักเป็นลำยก้ำนต่อดอกและลำยดอกจัน นำกจำกนั้น ยังมีสร้อยคอลำยประจำยำมท่ีคอนำคอีก ดว้ ย ฝมี ือสลักศลิ ำท่ีเฉยี บคม พระวรกำยดูแข็งเกร่ง พระพักตร์เหล่ยี ม พระขนงสลักเป็นเสน้ ตรง ทรง อุณหิศท่ีมีมงกุฎทรงกรวยแหลม ซ่ึงลักษณะเฉพำะของเศียรนี้ ไม่แตกต่ำงไปจำกพระเศียรของพระ วิษณุที่สร้ำงข้ึนในช่วงระยะเวลำเดียวกันแม้แต่น้อย พระพุทธรูปองค์น้ีประทับสมำธิรำบ ปำงสมำธิ เหนือขนดนำคสำมชั้น ซ่ึงสอบลงด้ำนล่ำง พังพำนขนำดใหญข่ องนำคเจด็ เศยี รที่ปรกเหนือพระพุทธรูป เป็นลักษณะเฉพำะของพระพุทธรูปนำคปรกแบบนครวัด สะท้อนให้เห็นคติธรรมจำกคัมภีร์ กำลจักร ตนั ตระท่ีใหค้ วำมสำคัญกับพระอำทิพุทธะในบรบิ ทของลัทธติ ันตระยำนที่อำณำจกั รขอมสนั นษิ ฐำนว่ำ พระพุทธรูปนำคปรกเป็นพระอำทิพุทธะหรือพระวัชรสัตวพุทธะ ซ่ึงก็คือ บุคลำธิษฐำนของ พระธรรมกำยนนั่ เอง

๙๑ ภำพท่ี ๓.๑๓ พระวชั รสตั ว์พทุ ธะศลิ ำ พิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ สมเด็จพระนำรำยณ์ จำกภำพที่ ๓.๑๓ อย่ำงไรก็ตำม รูปพระวัชรสัตว์พุทธะศิลำแบบนครวัดท่ีสลักข้ึนในภำค กลำง ก็ยงั คงรกั ษำพทุ ธลักษณะของพระพุทธรปู ท้องถ่นิ ไว้ โดยเห็นได้จำกฝมี ือสลกั ศิลำที่นุ่มนวลดูเป็น ธรรมชำตแิ ละมพี ระพักตร์อ่อนโยน เช่น พระพุทธรปู จำกวัดหน้ำพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุทธยำ พระพุทธรูปองคน์ ้ที รงมงกุฎมยี อดเป็นกรวยสูงครอบไรพระศกทเ่ี วำ้ เขำ้ ทีพ่ ระกรรเจียก ทรงกุณฑลและ มงกุฎพระอำภรณ์ทั้งหมดนนั้ เทียบเคียงไดก้ ับมงกุฎและอำภรณ์ของพระเจ้ำสุริยวรมันท่ี ๒ ที่สลกั บน ผนังระเบียงปรำสำทนครวัด พระพุทธรูปประทับบนผ้ำทิพย์เหนือขนดนำคสำมชั้นที่สอบลงด้ำนช่วง ลำ่ ง และมีนำคเจ็ดเศียรแผ่พังพำนขนำดใหญ่เหนือองค์ ถึงแม้วำ่ พระพุทธรูปองค์น้ีจะจำลองแบบมำ จำกรูปพระวัชรสตั วพุทธะของนครวดั แต่ควำมแตกต่ำงที่กล่ำวมำขำ้ งตน้ กแ็ สดงให้เห็นว่ำ เปน็ ผลงำน ที่สรำ้ งขึ้นในประเทศไทย นอกจำกนั้นในปรำสำทหนิ พมิ ำยยังพบพระวชั รสตั วท์ ม่ี เี อกลกั ษณพ์ เิ ศษ

๙๒ ภำพที่ ๓.๑๔ “พระวชั รสัตว์”พระพุทธรปู เค้ำหน้ำพระเจ้ำชยั วรมันที่ ๗ ทปี่ รำสำทหนิ พิมำย ในช่วงปี พ.ศ.๑๗๓๓ - ๑๗๔๒ พระเจำ้ ชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้ำงนครธมขึ้นเป็นรำชธำนี โดย มีปรำสำทบำยนเป็นศูนย์กลำงของเมือง นักวิชำกำรของสำนักฝร่ังเศสแห่งปลำยบูรพำทิศจึงเรยี กชื่อ ของศิลปะทส่ี รำ้ งข้ึนในสมัยของพระเจำ้ ชัยวรมันที่ ๗ ว่ำศลิ ปะแบบบำยน และกำหนดช่วงอำยุให้กว้ำง กว่ำรัชกำลของพระองค์ รำว พ.ศ.๑๗๒๐- ๑๗๗๓ พระพุทธรูปที่แสดงให้เห็นลักษณะเฉพำะของ ศลิ ปะแบบบำยนได้แก่ รูปพระวัชรสัตว์พุทธะศิลำ พบท่ี ปรำสำทพิมำย โดยมีลักษณะพิเศษคือ พระ พักตร์คล้ำยพระรูปของพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ เช่นที่พบในปรำสำทศิลำแลง (ปรำงค์พรหมทัต) ปรำสำทพิมำย นอกจำกนน้ั แลว้ ยังแสดงถงึ ควำมเมตตำกรณุ ำดว้ ยกำรปิดพระเนตรและแย้มพระโอษฐ์ เล็กน้อย กำรทพ่ี ระพุทธรูปองค์นี้ไม่มีพระอุษณีษะและเครื่องประดับเลย ก็เน่ืองจำกวำ่ พระอุษณีษะ คงจะทำด้วยทองคำ เป็นรูปกลีบบัวซ้อนกนั สำมชั้นและมีพระรัศมีเปน็ บวั ตูม เช่นเดียวกันกับเศยี รพระ วัชรสัตวพุทธะศิลำ ส่วนอุณหิศ กรองศอ พำหุรัด ทองกร และกำไลข้อพระบำทนั้น คงจะเป็นทองคำ ฝงั ด้วยรัตนชำติเช่นกัน พระพุทธรูปองคน์ ้ีนำ่ จะได้แก่ รปู จำลองของพระกมรเตงชคตวิมำยะ อันได้แก่ พระวัชรสตั วพ์ ุทธะท่เี ป็นพระประธำนของปรำสำทพมิ ำยเป็นตน้ ๔) พระวัชรธรพระวัชรธรนี้ แทนควำมหมำยของพระพุทธเจ้ำไภษัชย ไวฑรู ยประภำสุคต ประธำนแหง่ อโรคยศำลำ ตำมชื่อทป่ี รำกฏในจำรึกปรำสำทพระขรรค์ พระวัชรธร ตำ่ งจำกพระวัชรสัตว์ ตรงท่ีพระวัชรธรจะทรงถือวัชระในพระหัตถข์ วำและกระดิ่งในพระหัตถ์ซ้ำยใน ทำ่ วชฺรหงู ฺกร (เกี่ยวพระกนิษฐำที่กลำงพระอุระ) ส่วนพระวัชรสัตว์ทีท่ รงถือวชั ระในพระหัตถข์ วำหน้ำ พระอรุ ะและกระดิ่งในพระหัตถซ์ ำ้ ยวำขำ้ งพระโสณี

๙๓ ภำพท่ี ๓.๑๕ พระวัชรธร พพิ ธิ ภัณฑสถำนแห่งชำตพิ ิมำย จำกภำพท่ี ๓.๑๕ พระวัชรธร ได้แก่ พระอำทิพุทธะหรือพระวัชรสัตวพุทธะ เป็น พระพุทธเจ้ำในคติวัชรยำน ยกแขนถือวัชระและกระด่ิงในระดับพระอุระ ในท่ำ “วัชร - ฮูม - กร – มุทรำ” เป็นบุคคลำธิษฐำน แทนควำมหมำย ช้ีกำร“ปฏิบัติ” ให้ใช้ปัญญำและอุบำยไปสู่จุดมุ่งหมำย ทำงธรรมของผบู้ ชู ำ ๕) พระโลเกศวร พระโลเกศวร คือ พระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวร สงั เกตได้ จำกรูปพระอมิตำภะประทับปำงสมำธิหน้ำชฎำมงกุฎ ดังเช่น พระ เศียรศิลำที่ได้จำกจังหวัด นครรำชสีมำ แสดงให้เห็นว่ำ รูปแบบของอุณหิศของพระโลเกศวรน้ัน ไม่แตกต่ำงไปจำกอุณหิศของ เทพเจ้ำในศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู เช่น รปู พระศิวะที่ได้จำกปรำสำทบันทำยศรีซ่ึงสร้ำงข้ึนในปี พ.ศ. ๑๕๑๐ กล่ำวคือ แถวกลำงเป็นลำยประจำยำม ขนำบด้วยแถบลูกประคำ รองรับด้วยแถบบัวหงำย ตอนบนเปน็ แถบบัวขำบ มพี ระเนตรท่ีสำมกลำงพระนลำฏ มพี ระมัสสแุ ละพระทำฒิกะ กำหนดอำยอุ ยู่ ชว่ งครง่ึ แรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เนอ่ื งจำกพระโลเกศวรทรงเป็นบุคลำธิษฐำนของ อปุ ำย จึงเป็นไปไดว้ ำ่ ในรัชสมัยของพระ เจำ้ ชัยวรมันที่ ๗ เมื่อปรำกฏรูปพระโลกเกศวรรว่ มกบั พระนำงปรัชญำปำรมิตำและพระวัชรสัตวพุทธะ ในรูปแบบที่พระโลเกศวรและพระนำงปรัญญำปำรมิตำทรงยืนเคียงขำ้ งพระไภษัชยคุรุไวฑูลยประภำ แล้ว อำจจะทรงได้รับกำรถวำยพระนำมว่ำ พระศรีสรู ยไวโรจนจันทโรจิ ในฐำนะที่ทรงเป็นบรวิ ำรของ พระไภษัชยคุรุ เช่นเดียวกับพระศรีจันทรไวโรจนโรหิณีศะ ซ่ึงได้แก่ พระนำงปรัชญำปำรมิตำ ดังท่ี กล่ำวถงึ ในจำรึก อโรคยศำล และจำรกึ ปรำสำทบำยน เปน็ ต้น

๙๔ ภำพท่ี ๓.๑๖ พระโลเกศวร พิพิธภณั ฑสถำนแห่งชำตพิ ิมำย จำกภำพท่ี ๓.๑๖ พระโลเกศวรในอำณำจักรละโว้นั้น๒๒ นิยมสรำ้ งแบบสี่กร ส่วนใหญ่เป็น รปู ยืน พระหัตถ์ขวำล่ำงทรงถือดอกปัทมะ พระหัตถ์ขวำบนทรงถอื พวงประคำ (อกฺษมำลำ) พระหัตถ์ ซ้ำยบนทรงถือหนังสือ (ปุสฺตก) พระหัตถ์ซ้ำยล่ำงทรงถือหม้อน้ำ (กมณฺฑลุ) เช่น รูปพระโลเกศวร สัมฤทธ์ิ ซึ่งแต่เดิมอำจจะได้แก่ รูปพระศรีสูรยไวโรจนจันทโรจิ ผู้ทรงเป็นบริวำรของพระไภษัชยคุรุ จำกลักษณะของอณุ หิศ กรองศอ และพระภูษำจีบที่ชักชำยเปน็ รูปครึ่งวงกลมทำงด้ำนหน้ำและมีชำย พระภูษำรูปหำงปลำที่มีปลำยเป็นรูปครึ่งวงกลมทำงด้ำนหน้ำน้ี จัดเป็นศิลปะเขมรแบบบำยน จึง กำหนดอำยชุ ่วงครึง่ แรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๘ จำกหลักฐำนท่ีพบในรัชสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ได้มีกำรสร้ำงรูปพระโลเกศวรสี่กร เป็นจำนวนมำก ในฐำนะที่พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์รักษำประชำชน จำกภยันตรำยและโรคภัยไขเ้ จ็บ เช่น รปู พระโลเกศวรศลิ ำ พบในจังหวัดนครรำชสมี ำ ประทับสมำธริ ำบ พระหตั ถซ์ ้ำยบนทรงถอื มณฺฑลุ พระหัตถ์ซ้ำยล่ำงทรงถือหนงั สือ ซึ่งมีลกั ษณะเช่นเดยี วกับที่พบที่ปรำสำทโคกปรำสำท อำเภอนำงรอง จงั หวดั บุรรี มั ย์ ทุกประกำร กลำ่ วคอื ทรงพระภษู ำโจงสน้ั ชำยผ้ำดำ้ นหน้ำพับทบเปน็ รูปครึ่งวงกลม รูป พระโลเกศวรในลักษณะเชน่ น้ี คงทำขน้ึ สำหรบั บูชำตำม อโรคยำศำล ๒๒ สัมภำษณ์ นำยวิษรตุ วะสกุ นั เจ้ำพนักงำนพพิ ิธภัณฑ์สถำนแหง่ ชำติพระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๙๕ ภำพที่ ๓.๑๗ พระโลเกศวรปรำสำทเมืองสงิ ห์ จงั หวดั กำญจนบุรี จำกภำพท่ี ๓.๑๗ เป็นรูปพระโลเกศวรศิลำ พบท่ีปรำสำทเมืองสิงห์ จังหวัดกำญจนบุรี แสดงให้เห็นลักษณะเฉพำะของเศียรแบบบำยนไดอ้ ย่ำงชดั เจน กล่ำวคือ พระพักตร์จำลองมำจำกพระ รปู ของพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ จึงดคู ลำ้ ยคนจรงิ กำรเหลือบพระเนตรลงและกำรแย้มพระโอษฐ์ แสดงถึง ควำมเมตตำกรุณำ อันเปน็ คุณธรรมประจำพระองค์ของพระโลเกศวรจำกกำรวเิ ครำะห์ของนกั วิชำกำร ใหค้ วำมเห็นว่ำพระโลเกศวรศิลำรูปนี้มีลักษณะใกลเ้ คียงกับที่นครธมมำก จึงสนั นิษฐำนว่ำ นำ่ จะนำมำ จำกอำณำจักรขอม๒๓ และมีควำมแตกต่ำงจำกรูปพระโลเกศวรศิลำท่ีสลักขึ้นในท้องถิ่น เช่น ท่ีพบท่ี ปรำสำทเมอื งสิงห์อย่ำงเหน็ ได้ชดั กล่ำวคือ พระเศียรขององค์หลังนำ่ จะดัดแปลงจำกพระเศียรทอี่ ำจจะ นำมำจำกอำณำจักรขอมเพื่อให้เขำ้ กับควำมนิยมของชำวท้องถ่ินที่มีต่อพระพุทธรูปที่คุ้นเคยกวำ่ เช่น พระพักตร์เรียวลง พระนำสิกเป็นสันคม และพระโอษฐ์บำง ส่วนไรพระศกเป็นแถบรูปกลีบบัวและ มงกุฎ ท่ีผำยออกตอนบนน้ันแสดงให้เห็นว่ำ น่ำจะสลักข้ึนหลังพระเศียรแบบบำยน คือ ประมำณครึ่ง หลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ๖) พระโลเกศวรเปล่งรัศมี พระโลเกศวรเปล่งรัศมี พบที่ปรำสำทเมือง สิงห์ กำญจนบรุ ี สะท้อนควำมเชื่อเรื่องควำมย่งิ ใหญ่ของพระองค์ ตำมท่กี ล่ำวถึงในคมั ภีร์กำรัณฑวยูห สูตรโดยเห็นไดจ้ ำกกำรมีพระพุทธเจ้ำประทับสมำธิอยู่โดยรอบพระวรกำยท่อนบนแปดองค์อยู่รอบบั้น ๒๓ สัมภำษณ์ นำงสำวธชั สร ตันติวงศ์, เจำ้ พนักงำนพิพิธภณั ฑส์ ถำนแหง่ ชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๙๖ พระองคแ์ ละอีกหนึง่ องคอ์ ยู่กลำงพระอุระ พระพักตร์ท่คี ลำ้ ยพระรูปของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ พระ บำทกวำ้ ง ข้อพระบำทใหญ่ ตลอดจนชว่ งพระชงฆส์ ้นั ลว้ นเป็นลักษณะของศลิ ปะแบบบำยน ภำพที่ ๓.๑๘ พระโลเกศวรเปลง่ รศั มปี รำสำทเมอื งสิงห์ กำญจนบรุ ี จำกภำพท่ี ๓.๑๘ พระโลเกศวรเปลง่ รัศมี รูปนีจ้ ึงน่ำจะนำมำจำกนครธม ในช่วงเวลำกลำง พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ศิลำ สงู ๑๖๑ ซม. หำกพระโลเกศวรเปลง่ รศั มี รูปน้ีสมบรู ณ์คงจะถือสิ่งของต่ำง ๆ ในพระหัตถ์ ซึ่งเรียงจำกพระหัตถ์ขวำล่ำงสู่ขวำบน ได้แก่ พระพุทธรูป หนังสือ ขอช้ำง และวัชระ ใน พระหตั ถซ์ ้ำยบนถึงซ้ำยล่ำง ไดแ้ ก่ จกั ร พวงประคำ หม้อน้ำ และพระขรรค์ พระวรกำยท่อนบนรวมท้ัง พระพำหำมีรูปพระพุทธเจ้ำประทับสมำธิอยู่โดยรอบ นอกจำกนั้นแลว้ พระเกศำ ชฎำมุงกุฎ ทองพระ บำทและพระธำมรงค์ท่ีน้ิวพระบำทยังเป็นรูปพระพุทธเจ้ำทำสมำธิด้วย ซึ่งน่ำจะเป็นสัญลักษณ์แห่ง ควำมย่ิงใหญ่ของพระโลเกศวร ตำมสรรเสรญิ ไว้ในคมั ภีร์ กำรณั ฑวยหู สูตร วำ่ ภำยในคมุ พระโลมำของ พระองค์ มีพระพุทธเจ้ำประทับสมำธิ รอบบั้นเอวพระองค์มีพระนำงปรัชญำปำรมิตำแปดองค์และที่ กลำงพระอุระอกี หนึ่งองค์ ๗) พระไภษัชยคุรุ เป็นพระพุทธปฏิมำท่ีสร้ำงข้ึนตำมคติพุทธศำสนำ ฝ่ำยมหำยำน ทรงเป็นหนึ่งในบรรดำพระพุทธเจ้ำซ่ึงมีอยู่เป็นอนันต์ นับถือว่ำทรงเป็นพระพุทธเจ้ำ แพทย์ เนอ่ื งจำกทรงบำเพ็ญพระบำรมโี ดยอธษิ ฐำนควำมปรำศโรคภัยของผคู้ นในกำลสมัยของพระองค์ ผู้นบั ถอื และบูชำพระองค์จงึ ปรำศจำกโรคภัยเบียดเบยี น สมัยพระเจ้ำชยั วรมนั ที่ ๗ แหง่ อำณำจักรขอม สร้ำงพระรำชทำนเป็นพระปฏิมำประธำนในอโรคยศำลำ เพ่ือผู้ป่วยและประชำชนบูชำ เพื่อพ้นจำก โรคภยั ไขเ้ จบ็

๙๗ ภำพที่ ๓.๑๙ พระไภษัชยคุรุ ศิลปะลพบรุ ี ภำพนี้มีอำยุรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ แสดงปำงสมำธินำคปรกทรงเครื่อง มีผอบพระ โอสถอยใู่ นพระหัตถ์ พิพิธภัณฑสถำนแหง่ ชำติ พระนคร ๘) พระนำงปรัชญ ำปำรมิตำพระนำงปรัชญ ำปำรมิตำทรงเป็น บุคลำธิษฐำนของคัมภีร์ ปรัชญำปำรมิตำสูตร ทรงมีสองกร ทรงเป็นสญั ลกั ษณะของปัญญำ โดยสร้ำง รปู ของพระนำงร่วมกับพระโลเกศวรส่กี ร ผทู้ รงเป็นสัญลักษณ์ของอุปำยะ ทจี่ ะนำไปสู่ปญั ญำเพ่อื บรรลุ พุทธภำวะ โดยมีพระวัชรสัตว์พุทธะประทับสมำธินำคปรกเป็นสัญลักษณ์ และในรัชสมัยของพระเจ้ำ ชัยวรมันที่ ๗ เม่ือพระนำงปรชั ญำปำรมิตำทรงยืนร่วมกับพระโลเกศวรและพระไวโรจนโรหิณีศะ ดัง ปรำกฎในศิลำจำรึกอโรคยำศำล เนื่องจำกบริวำรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภำมักเป็นรูปพระ โลเกศวรและพระนำงปรัชญำปำรมติ ำอยูเ่ สมอ ดังเช่น ท่ีปรำกฎบนทับหลังของปรำสำทกบู่ ้ำนแดง ซึ่ง เป็นอโรคยศำล รูปพระนำงปรัชญำปำรมิตำเป็นที่เคำรพบูชำอย่ำงแพร่หลำยในรัชสมัยของพระเจ้ำ ชัยวรมันที่ ๗ เชน่ เดียวกับรูปพระโลเกศวร ดังเห็นได้จำกพระรูปของพระนำงเป็นจำนวนมำกท้ังท่ีทำ ดว้ ยสัมฤทธ์ิและศลิ ำ

๙๘ ภำพท่ี ๓.๒๐ ด้ำนซ้ำยมอื พระนำงปรชั ญำปำรมิตำ ๙) พระเคร่อื ง ลัทธิวัชรยำนหรอื ตันตระพระเคร่อื งในคติ “วชั รยำนไตร ลกั ษณ์”๒๔ถกู เรียกในวงกำรพระเครือ่ งวำ่ “พระนำรำยณ์ทรงปืน” ดว้ ยเหตุผลว่ำ เม่ือมีกำรขุดพบโดย ผู้คนในยุคหลังครั้งแรก ๆ รูปของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่มี ๔ กร จะดูเหมือน “พระนำรำยณ์” ตำมควำมเข้ำใจในยุคนั้น กำลังถือวตั ถุย่ืนออกมำจำกมือ มีรูปลักษณะคล้ำย “ปนื ” ในยุคใหม่ รปู พระ “วชั รยำนไตรลกั ษณ์” จงึ กลำยมำเปน็ “พระนำรำยณท์ รงปืน” กำรเขำ้ กันได้เป็นอย่ำงดีของรปู ลักษณ์ คติและศิลปะ ระหว่ำง“วัชรยำนไตรลักษณ์” ท่ีมี พระธยำนิพุทธปำงนำคปรกตรงกลำง กับควำมเช่ือในคติ “พระศำกยมุนี” ของนิกำยเถรวำท รูปลักษณ์ของพระ ๓องค์ จึงถูกผู้คนในอำณำจักรอยุธยำของลุ่มน้ำเจ้ำพระยำนำมำใช้สร้ำงเป็นพระ เครื่องในยุคตอ่ มำ ๒๔ สมั ภำษณ์ นำยวษิ รุต วะสกุ ัน เจ้ำพนกั งำนพิพธิ ภณั ฑ์สถำนแหง่ ชำติ พระนคร.วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๙๙ ภำพที่ ๓.๒๑ พระเคร่ืองในคติ “วชั รยำนไตรลักษณ์” หรอื “พระนำรำยณท์ รงปนื ” จำกภำพท่ี ๓.๒๑ ในคติกำรสรำ้ งพระเคร่ืองเป็นคติของเถรวำท ซง่ึ จะสร้ำง \"พระ\" บรรจุ กรุ เพื่อรอให้พระพุทธเจ้ำในกัลป์ต่อไปมำเปิด นำไปฟ้ืนฟูพระศำสนำ ต่อมำเกิดแนวคิดท่ีผสมผสำน พระเคร่ืองในรูปลักษณ์ “วัชรยำนไตรลักษณ์” หรือ “พระนำรำยณ์ทรงปืน” ถึงจะเริ่มต้นมำจำกคติ วัชรยำน แต่ก็ได้รับควำมนิยมสร้ำงเป็น “พระเครื่อง”เลียนแบบสืบต่อมำในคติ “เถรวำท” ตำม บ้ำนเมืองที่เคยอยู่ในอำณำจักรกัมพุชเทศ(ลพบุร)ี ทั้งในกลุ่มเมืองลพบุรี อยุธยำ สุพรรณบุรี เพชรบุรี กำญจนบุรี เรื่อยขึ้นเหนือไปถึงเมืองสุโขทัย และในภำคอีสำน นอกจำกน้ันยังได้ค้นพบแม่พิมพ์กำร สรำ้ งพระเครือ่ งซ่งึ แสดงถึงควำมศรัทธำ และเจตนำในสืบทอดอำยุพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน ภำพที่ ๓.๒๒ พระพิมพ์แสดงพระพุทธเจ้ำสำมองค์ประทับนั่งภำยในซุ้ม ศิลปะลพบุรี รำวพุทธ ศตวรรษ ที่ ๑๘

๑๐๐ พระพิมพ์แสดงพระพุทธรปู ปำงนำคปรก เคยี งข้ำงด้วยพระโพธสิ ตั ว์อวโลกิเตศวร และพระ นำงปรัชญำปำรมิตำ รำวศตวรรษท่ี ๑๘ แม่พิมพ์แสดงพระพุทธรูปปำงนำคปรก เคียงข้ำงด้วยพระ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระนำงปรัชญำปำรมิตำ ศิลปะลพบุรี รำวศตวรรษท่ี ๑๘ และแม่พิมพ์ แสดงภำพพระพทุ ธเจำ้ สำมองค์ประทับภำยในซ้มุ ศิลปะลพบุรี รำวศตวรรษที่ ๑๘ สรุปจำกกำรศกึ ษำประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำนในประเทศไทยถงึ แม้ว่ำ พระพุทธศำสนำ ลัทธิมหำยำนจะเส่ือมไปจำกประเทศไทยเม่ือ พุทธศตวรรษที่ ๑๘ แต่ควำมเช่ือถือ บำงอย่ำงอันเนื่อง ด้วยคติมหำยำนหำได้สูญหำยไปไม่ เช่น กำรปรำรถนำพุทธภูมิ กำรนับถือพระเจ้ำ แผ่นดินว่ำมีสถำนะเป็นพระบรมโพธิสัตว์แบ่งภำคลงมำโปรดสัตว์๒๕ เป็นต้น เพ่ือให้เห็นภำพรวมได้ อย่ำงชดั เจนผู้วจิ ัยสรปุ โดยกำรลำดับเหตุกำรณ์ ดงั น้ี ประมำณ พ.ศ ๒๙๐ พระพุทธศำสนำได้แพร่ หลำยจำกประเทศอินเดียเข้ำสู่แคว้น สุวรรณภมู ิ ซง่ึ มีชนชำติ ขอม มอญ ละวำ้ และไทย ประมำณ พ.ศ.๑๒๐๐ สมัยศรีวิชัยพระพุทธศำสนำ มหำยำนได้แพร่หลำยจำกเกำะสุ มำตรำเขำ้ ส่เู มอื งไชยำ จงั หวดั สรุ ำษฎร์ธำนี ประมำณ พ.ศ. ๑๔๐๐ สมัยลพบรุ ี พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนหรอื ท่เี รยี กวำ่ อำ จำริยวำท ได้แพร่ขยำยเข้ำสเู่ มืองลพบุรี ไดค้ วำมจำกศิลำจำรึกที่คน้ พบไดใ้ นจงั หวัดลพบรุ ี ประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรี คือ พระพุทธศำสนำมีควำม เจริญควบคู่กันมำทั้งนิกำยเถรวำท และนิกำยมหำยำน ศำสนำสำคัญในพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๘ คือ ศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู ชำวลพบุรีได้รับแบบแผนทำงวัฒนธรรม ด้ำนกำรปกครอง ศิลปะ กำรช่ำง วิทยำกำรต่ำง ๆ จำกทวำรวดี และจำกขอม แม้ว่ำอำณำจักรลพบุรีบำงยุคสมัยจะนับถือศำสนำ พรำหมณ์– ฮนิ ดู แต่พระพุทธศำสนำก็เจรญิ รุ่งเรืองควบคูก่ นั ไปกับศำสนำพรำหมณ์-ฮนิ ดู ซ่ึงจำกบันทึก ของพระสงฆจ์ ีนอี้จิง ผู้จำรกิ ไปอินเดียทำงเรือผ่ำนทะเลใต้ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ กล่ำวถึงดินแดนขอม ในยุคนั้นว่ำ พระพุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองมำก ในเมืองมีวัดท่ัวไปทุกแห่ง ศำสนำพรำหมณ์และ พระพุทธศำสนำอยู่ร่วมกนั อย่ำงสงบสุข ชำวเมืองและเจำ้ นำยนิยมบวชในพระพุทธศำสนำ๒๖ ทง้ั กล่ำว ด้วยว่ำดินแดนต่ำง ๆ ในทะเลใต้นับถือปฏิบัติพระพุทธศำสนำนิกำยต่ำง ๆ รวมท้ังนิกำยมูลสรวำสติ วำท ซง่ึ เป็นนิกำยหินยำนทใ่ี ช้ภำษำสนั สกฤตจำรึกพระธรรมวินัย ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ท่นี ครธมสมัย พระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ มหำรำชองค์สุดท้ำยของขอม พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศำสนำให้ เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงสร้ำงพุทธสถำน ปรำสำทต่ำง ๆ และพระพุทธรูปจำนวนมำก ให้ พระพุทธศำสนำฝ่ำยมหำยำน ทรงสร้ำงปรำสำทตำพรมให้เป็นมหำวิทยำลัยสงฆ์ มีพระมหำเถระเป็น อำจำรย์ใหญ่อยู่ถึง ๑๘ รูป และอำจำรย์รองลงมำถึง ๒,๗๔๐ รูป ทรงให้รำชกุมำรเสด็จไปศึกษำ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำททป่ี ระเทศศรลี ังกำ และผนวชที่วัดมหำวิหำรในประเทศศรลี ังกำ ปลำย ยคุ เมืองพระนคร ศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู และพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยมหำยำนเส่ือมถอยลง คงเหลอื แต่ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทท่ีเจริญรุ่งเรือง และได้รับกำรนับถือต่อกันเร่ือยมำ จำกผู้คนทุกระดับ ตง้ั แตร่ ะดบั ชนช้ันผู้ปกครองสูงสดุ ลงมำจนถึงประชำชนทั่วไป เปน็ ต้น ๒๕ <http://mahamakuta.inet.co.th/buddhism/bud~317.html>, 23 April. 2016. ๒๖ พระสุธรรมญำณวิเทศ. (สุธรรม สธุ มโฺ ม), และคณะนกั วิจยั DIRI จำกวำรสำรอย่ใู นบุญฉบับเดือน มีนำคม พ.ศ.๒๕๕๙, หนำ้ ๓๔.

๑๐๑ ๓.๒ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยสมัยลพบุรี ได้ทรำบมำแล้วว่ำสมัยลพบุรีมีพระพุทธศำสนำอยู่สองนิกำยหลักคือนิกำยเถรวำทเป็น นิกำยดง้ั เดิมที่มีมำต้ังแต่สมัยทวำรวดีชำติพนั ธ์ุท่อี ำศัยอยู่ในอำณำจักรทวำรวดีเป็นชำวมอญต่อมำเมื่อ อำณำจักรทวำรวดเี สือ่ มถอยลงขอมไดเ้ รอื งอำนำจขึ้นจงึ ได้เข้ำปกครองในดินแดนอำณำบริเวณนี้แทน ชนชำตมิ อญที่มมี ำแตเ่ ดิม กษัตรยิ แ์ ละชนชัน้ ปกครองของขอมบำงสมยั นบั ได้ถือศำสนำพรำหมณ์-ฮนิ ดู แต่บำงสมัยก็นับถือพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน จึงทำให้พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนมีควำม เจริญรงุ่ เรอื งอยู่ในสมัยลพบุรดี งั ทไ่ี ดท้ รำบมำแลว้ จำกกำรศึกษำประวัติพระพุทธศำสนำในหัวข้อท่ีผำ่ น มำ สำหรับหัวข้อนี้จะได้ศึกษำเกี่ยวกับเส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรี เพ่ือให้เหน็ ถงึ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในสมยั ลพบุรสี ู่อำณำจักรต่ำง ๆ ซึ่งอยใู่ นสมยั เดียวกัน เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำดงั กลำ่ วสำมำรถสบื ค้นไดจ้ ำกสญั ลกั ษณ์ (Symbolic) วิถชี ีวติ (way of life) และ ค่ำนิยม (Value) ของคนที่อำศัยอยู่ในอำณำบริเวณน้นั ซึ่งสำมำรถศึกษำไดจ้ ำกหลักฐำน ทำงโบรำณคดที ี่ได้สำรวจพบในสถำนท่ีต่ำง ๆ ดังนัน้ เพ่ือให้เห็นประเด็นในกำรศึกษำท่ีมีควำมชัดเจน จงึ ได้แบ่งกำรศึกษำเป็น ๓ หัวขอ้ ได้แก่ .๑) เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมัยลพบรุ ใี นภำคกลำง และภำคตะวันตก ๒) เสน้ ทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในภำคเหนือ ๓) เส้นทำงกำรเผย แผพ่ ระพุทธศำสนำสมยั ลพบุรีในภำคตะวันออกเฉยี งเหนือและภำคตะวันออก แต่ละหัวข้อจะได้ศึกษำ ตำมลำดับดงั น้ี ๓.๒.๑ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสมัยลพบีในภาคกลางและภาค ตะวนั ตก อำณำจักรลพบุรีมีควำมเจริญรุ่งเรืองอยู่ใน ช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ นกั วิชำกำร๒๗สันนิษฐำนว่ำช่ือเมือง “ลวปุระ” หรือ “ลวปุรี” ปรำกฏครั้งแรกในพทุ ธศตวรรษ ๑๒ ได้ เจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณภำคกลำง ภำคตะวันออก ภำคเหนือ และภำคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ปรำกฏหลักฐำนสถำปัตยกรรมและประติมำกรรมท้ังทสี่ ร้ำงขึ้นเนือ่ งในศำสนำพรำหมณ์ –ฮินดู และพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน และนิกำยเถรวำท เนือ่ งจำกมีควำมเชอื่ มโยงกับวฒั นธรรม ขอมโบรำณในประเทศกัมพูชำ ท้ังกำรรบั และใหอ้ ทิ ธิพลต่อกนั เปน็ เวลำนำน ดว้ ยรูปแบบศลิ ปกรรมท่ีมี ควำมคล้ำยคลึงเทียบเคียงกันได้ บำงครั้งเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำ “ศิลปกรรมขอมในประเทศไทย” อย่ำงไรก็ดี ศลิ ปกรรมร่วมสมยั กันน้ที ี่พบในประเทศกัมพูชำกับท่ีพบในประเทศไทย ต่ำงก็มีนัยสำคัญ หรืออัตลักษณ์เฉพำะถิ่นศิลปะขอมในประเทศไทยหรือท่ีเรียกกันติดปำกว่ำเป็นศิลปะลพบุรีน้ัน เป็น ศิลปะที่สร้ำงข้ึนโดยได้รับอิทธิพลทำงด้ำนรูปแบบงำนศิลปกรรมของชนชำติขอม แท้จริงแล้วไม่ใช่แต่ เพียงในจังหวัดลพบุรีเท่ำน้ัน แต่ในท้องท่ีภำคกลำง ภำคตะวันตก ภำคตะวันออก และ ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งจะพบศิลปกรรมแบบนี้กระจำยอยู่โดยท่ัวไป ซ่ึงมีทั้งท่ีเป็น ๒๗ กรมศลิ ปำกร กระทรวงวัฒนธรรม, พมิ พ์ครัง้ ที่ ๒, จำก...แผน่ ดินไทยในอดีต, กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์ พรนิ้ ต้งิ แอนด์พับลชิ ช่ิง ,๒๕๕๘,หนำ้ ๕๓.

๑๐๒ ประตมิ ำกรรมและสถำปัตยกรรม ลักษณะละม้ำยกบั ศิลปกรรมขอมในประเทศกัมพูชำ๒๘ สำเหตุท่ีมัก เรียกกันว่ำศิลปะแบบลพบุรีเน่ืองจำกเมืองละโว้หรือลพบุรีได้เป็นเมืองสำคัญในระยะนั้นคือระหว่ำง พุทธศตวรรษท่ี๑๒ –๑๘คำว่ำศิลปะลพบรุ ีน้ัน๒๙ ในปัจจุบันได้ใช้รวมหมำยถงึ โบรำณวัตถุสถำนขอมซ่ึง ค้นพบในประเทศไทยด้วยซึ่งศลิ ปะแบบขอมในประเทศไทยหรือศิลปะลพบุรีนี้มีรูปแบบทแี่ ตกต่ำงจำก ศิลปะขอมในประเทศกัมพูชำด้วย เช่ือกันว่ำชนชำติขอมก็คือบรรพบุรุษของชนชำติเขมรในปัจจุบัน นน่ั เอง คำว่ำ “ขอม” นน้ั เป็นคำท่ีชนชำตไิ ทยใชเ้ รยี ก เช่นในจำรึกสมัยสุโขทัย เป็นต้น ขอมหรือเขมร สมัยโบรำณเขำเรยี กตนเองว่ำ “กัมพชุ ” ซ่ึงเป็นต้นเค้ำของคำว่ำ “กมั พชู ำ”นัน่ เอง เอกลักษณ์ที่เป็นหลักฐำนชัดเจนถงึ พัฒนำกำรของชำวละโว้น่ันคือกำรพัฒนำกำรทำงด้ำน กำรจัดระบบชลประทำนท้งั ในและนอกเมือง ซึ่งสืบทอดมำจำกทวำรวดี และขอม ทำให้มกี ำรขดุ คลอง สระนำ้ หรอื ทำนบ ซึ่งสง่ิ ตำ่ ง ๆ เหล่ำนไ้ี ด้ถำ่ ยทอดส่อู นุชนรนุ่ หลงั อำณำจกั รสุโขทัยในยุคตอ่ มำ ส่วนใน ด้ำนกำรคมนำคม ผคู้ นในสมัยลพบุรีสัญจรทั้งทำงบกและทำงน้ำ นอกเหนือจำกกำรติดต่อกับชำวเรอื ที่ เดนิ ทำงมำคำ้ ขำยแลว้ ยงั ปรำกฏรอ่ งรอยของคันดนิ ซง่ึ สนั นิษฐำนว่ำอำจเปน็ ถนนเชื่อมระหวำ่ งเมือง แผนภำพท่ี ๓.๒๓ ภำพถ่ำยทำงอำกำศบรเิ วณ อ.บำ้ นกรวด จ.บรุ ีรัมย์ กอ่ นปี ๒๕๒๐๓๐ ๒๘ เขมชำติ เทพไชย, โบราณคดีและประวัติศาสตรเ์ มอื งสุพรรณบรุ ี. กรุงเทพมหำนคร : กรมศลิ ปำกร. ๒๕๕๓, หน้ำ ๖๗. ๒๙ สมั ภำษณ์ นำยธัชสร ตันติวงศ์, เจ้ำหน้ำท่ีพพิ ธิ ภณั ฑ์สถำนแห่งชำติพิมำย นครรำชสมี ำ, เมอ่ื วนั ท่ี ๘ เมษำยน ๒๕๕๙. ๓๐ <http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=951046&page=80,>, 23 April. 2016.

๑๐๓ จำกแผนภำพท่ี ๓.๒๓ แสดงให้เห็นรอ่ งรอยของชุมชนโบรำณ (ปัจจุบันถูกไถทำลำยไปจน เกือบหมดแล้ว) และแนวถนนรำชมรรคำในยคุ โบรำณที่ยังหลงเหลืออย่ใู นเขตบ้ำนตำปำง อำเภอบ้ำน กรวด จังหวัดบุรีรัมย์๓๑นอกจำกน้ันหลักฐำนทำงโบรำณคดีท่ีพบไม่ว่ำจะเป็นสถำปัตยกรรม หรือ ประติมำกรรมล้วนแล้วแต่แสดงถงึ ควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยี และศิลปกรรม เช่น เทคนิคตัด ศิลำแลง กำรทำประติมำกรรม และศิลปกรรม กำรหล่อสำรดิ กำรทำถ้วยชำม กระเบือ้ ง เป็นตน้ เพื่อ ควำมเข้ำใจถึงประวัติศำสตร์ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในสมัยลพบุรี คณะผู้วิจัยจะได้ นำเสนอตวั อย่ำงไว้สัก ๕ จังหวัด คอื ๑) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบรุ ีในจงั หวัดลพบุรี ๒) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดสุโขทัย ๓) เส้นทำงกำรเผยแผ่ พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดกำญจนบุรี ๔) เสน้ ทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีใน จังหวัดรำชบุรี และ ๕) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดเพชรบุรี ซึงจะได้ นำเสนอตำมลำดับดังนี้ ๓.๒.๑.๑ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดลพบุรี จังหวดั ลพบุรีมีหลักฐำนทำงโบรำณคดีทีเ่ ก่ำแก่อำยุกว่ำ ๓,๕๐๐ ปี๓๒ มีกำรต้ังหลกั ปักถน่ิ ฐำนมำต้ังแต่ ยคุ กอ่ นประวัตศิ ำสตร์ จำกกำรขดุ ค้นพบแหล่งโบรำณคดมี ำกมำยในจังหวัดลพบุรี จึงถือวำ่ เป็นดนิ แดน เก่ำแก่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำ ซึ่งมีกำรสันนิษฐำนว่ำกำรเข้ำมำอยู่อำศัยของผู้คน และอิทธิพลทำง วัฒนธรรมที่แผ่ขยำย ท้ังจำกมอญ (ทวำรวดี) และขอม(พระนคร) จึงมีช่ือเรียกแบบมอญว่ำ “ละโว้” หรือ แบบเขมรว่ำ “ลวปุระ”ประวัติศำสตร์สยำมบอกว่ำ ลพบุรี เคยมีควำมสำคัญในฐำนะเป็นรำช ธำนีก่อนท่ีย้ำยมำเป็นกรุงศรีอยุธยำ ดังน้ันเพ่ือให้เห็นกำรเคลื่อนย้ำยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่ำง เมืองต่ำง ๆ ในบริเวณภำคกลำงของประเทศไทยจึงนำเสนอ แผนภำพที่ ๓.๒๔ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมยั ลพบุรใี นภำคกลำง ๓๑ ธดิ ำ สำระยำ, อาณาจักรเจนละ: ประวัติศาสตร์โบราณอสี าน. (กรงุ เทพมหำนคร: สำนกั พมิ พ์มตชิ น .๒๕๔๘), หน้ำ ๕๗. ๓๒ สัมภำษณ์ นำงสำว ธัชสร ตันติวงศ์, เจ้ำพนักงำนพิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๐๔ จำกแผนภำพท่ี ๓.๒๔ จะเห็นว่ำในอดีตละโว้เป็นเมอื งสำคัญหน่ึงในสมัยทวำรวดี๓๓ ต้ังอยู่ ในบริเวณท่ีมีแม่น้ำสำคัญ ๓สำยไหลผ่ำนคือ แม่น้ำเจ้ำพระยำ แม่น้ำป่ำสัก และแม่น้ำลพบุรีทำให้มี ควำมอุดมสมบูรณ์ และมีเส้นทำงติดต่อกับเมืองในลุ่มแม่น้ำป่ำสัก ท่ีรำบสูงโครำช และเขตติดต่อกับ ทะเลสำบเขมร เป็นศูนย์กลำงกำรติดต่อระหว่ำงชุมชนโดยรอบ ส่งผลให้ละโว้กลำยเป็นชุมชนขนำด ใหญ่ท่ีมีเศรษฐกิจดี เม่ือพวกขอมหรือเขมรขยำยอิทธิพลเข้ำมำในลุ่มแม่ น้ำเจ้ำพระยำ ละโว้ได้ กลำยเป็นเมืองประเทศรำชของขอมและได้รับอำรยธรรมของขอมด้วย จนเกิดสถำปัตยกรรม ประติมำกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ท่ีสำคัญของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งผู้วิจัยจะได้นำเสนอสถำนท่ี สำคัญ และประตมิ ำกรรมทีเ่ ด่นๆของจังหวดั ลพบุรีดงั น้ี ๑) พระปรำงค์สำมยอด พระปรำงค์สำมยอดสร้ำงตำมคติควำมเช่ือทำง พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนเปน็ ศิลปะเขมรแบบบำยน๓๔ ซึง่ มีอำยุรำวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘สร้ำงด้วย ศลิ ำแลง หินทรำยและตกแต่งลวดลำยปูนปนั้ ท่ีสวยงำม ตรงซุ้มประตูเดิมคงมีทับหลงั แต่ที่เหลืออยู่ใน ปัจจุบนั คอื เสำประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรปู ฤำษีน่ังชนั เข่ำในซุ้มเรือนแกว้ เป็นแบบเฉพำะของ เสำประดับกรอบประตูศิลปะขอม แบบบำยนปรำงค์องค์กลำงมีฐำน แต่เดิมเป็นท่ีประดิษฐำน พระพุทธรูปและมีเพดำนไม้เขียนลวดลำยเป็นดอกจันทน์สีแดง ด้ำนหน้ำทำงทิศตะวันออก มีวิหำร สร้ำงข้ึนในรัชสมัยสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำช ประดิษฐำนพระพุทธรูปศิลำขนำดใหญ่ปำงสมำธิที่ สมบรู ณด์ ี เปน็ ศลิ ปะแบบสมัยอยุธยำตอนตน้ อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ภำพท่ี ๓.๒๕ ปรำงค์สำมยอด เมืองลวะปุระ ศูนยก์ ลำงของอำณำจักรขอมในเขตลมุ่ เจ้ำพระยำ ๓๓ พริ ิยะ ไกรฤกษ์, ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะ และโบราณคดีในประเทศไทย, หนำ้ ๗๓. ๓๔ มนสั โอภำกลุ , เมอื งสมัยลพบุรีทีส่ พุ รรณบุรี, (กรงุ เทพมหำนคร: สำนกั พิมพ์เมืองโบรำณ), ๒๕๔๓, หน้ำ ๗๑.

๑๐๕ จำกภำพ ที่ ๓.๒๕ พ ระปรำงค์สำมยอดน้ีแต่เดิมคงเป็น เทวสถำน ของขอมใน พระพทุ ธศำสนำลัทธมิ หำยำน ตอ่ มำไดด้ ดั แปลงเป็นเทวสถำนโดยมฐี ำนศวิ ลึงค์ปรำกฏอยู่ในองคป์ รำงค์ ทั้งสำมปรำงค์ จนกระท่ังถึงรัชสมัยสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำช๓๕ จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปรำงค์ สำมยอดเป็นวัดในพระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำท แล้วสร้ำงพระวิหำรก่อด้วยอิฐ ลักษณะ สถำปัตยกรรมแบบอยุธยำผสมแบบยุโรป ในสว่ นของประตูและหนำ้ ต่ำง ภำยในวหิ ำรประดิษฐำนพทุ ธ รูปหนิ ทรำยปำงมำรวชิ ัย ศลิ ปะอยธุ ยำตอนตน้ ๒) ปรำงค์ประธำนวัดมหำธำตุ ต้งั อยูท่ ่ีตำบลทำ่ หิน อำเภอเมือง จังหวัด ลพบุรี เป็นวัดหลวงขนำดใหญ่ มีพื้นที่ ๒๐ ไร่ สร้ำงข้ึนตำมคติพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน และ เป็นศูนย์กลำงควำมศักดิ์สิทธิ์ของเมือง แผนผังหลักประกอบด้วยพระปรำงค์ประธำน อำยุรำวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๘ - ๑๙ อทิ ธิพลศลิ ปะขอมเป็นพระปรำงค์องค์ใหญ่ที่สงู ท่ีสุดในลพบุรี องค์ปรำงคก์ อ่ ดว้ ย ศิลำแลงโบกปูน มีเครื่องประดับลวดลำยเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติ ที่ลำยปูนป้ันหน้ำบันพระ ปรำงค์แสดงถึง๓๖อิทธิพลของพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน และซุ้มโคปุระของปรำงค์องค์ใหญ่เป็น ศลิ ปะละโว้ มีลำยปูนปนั้ ทถ่ี ือว่ำงำมมำก ปรำงค์องค์นเี้ ดมิ บรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมำก ท่ขี ึ้นชื่อ คือ พระเครื่องสมัยลพบุรี เช่น พระหูยำน พระร่วง ซ่ึงมีกำรขุดพบเป็นจำนวน มำก ปรำสำทวัด มหำธำตุลพบุรี จะเป็นรปู แบบของปรำสำทหินในภมู ิภำคตะวนั ตกของรัฐลวปุระแสดงรูปทรงแบบใหม่ นับเป็นปรำงค์แบบไทยท่ีมีอำยุเก่ำที่สุด และเป็นแบบอย่ำงสำหรับเจดีย์ทรงปรำงค์ ในสมัยอยุธยำ ตอนต้น มีระเบียงคดลอ้ มรอบ ๒ ช้ัน มีวหิ ำรหลวงเก้ำห้อง หันหน้ำไปทำงทิศตะวันออก มีกำรบูรณะ ในสมัยสมเด็จพระนำรำยณม์ หำรำช ภำพท่ี ๓.๒๖ ปรำงคว์ ัดพระศรรี ตั นมหำธำตุ จังหวดั ลพบุรี ๓๕ ศำนติ คำภกั ดี, เม่อื “ลวปุระ” หรอื “ลพบรุ ”ี ถูกพระเจ้าสุริยวรมนั ท่ี ๑ “ทาลายกลายเปน็ ปา่ ”, ( (กรุงเทพมหำนคร: ศลิ ปวัฒนธรรม), ๒๕๕๖, หนำ้ ๑๐๘. ๓๖ สมเด็จกรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ, ตานานพุทธเจดีย์สยาม .( (กรุงเทพมหำนคร: โรงพมิ พ์โสภณพิ พรรฒธนำกร, ๒๔๖๙), หนำ้ ๘๑.

๑๐๖ นอกจำกสถำปัตยกรรมแล้ว นักโบรำณคดีไดค้ น้ พบหลกั ฐำนเปน็ ตวั อักษรชนดิ ทเ่ี กำ่ สดุ แห่ง หนึ่งในประเทศไทย๓๗ เป็นจำรึกอักษรปัลลวะ ภำษำบำลี ประมำณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ แต่ หลักฐำนซึ่งเป็นเรื่องรำวเกี่ยวกับประวัติศำสตร์เมืองลพบุรีต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๘ มีไม่มำก พอต่อกำรคล่ีคลำยเหตุกำรณ์ทำงด้ำนประวัติศำสตร์เมืองลพบุรีมำกนัก และเป็นดังน้ีจนถึงรำว ศตวรรษที่ ๑๙ เพรำะฉะน้ันเหตุกำรณ์ซ่ึงพบว่ำเมื่อเร่ิมมีกำรใช้ตัวอักษรท่ีเมืองลพบุรี หรือปรำกฏ ศิลปกรรมต่ำงๆ สะท้อนให้เห็นว่ำสังคมเริ่มมีศำสนำอักษรศำสตร์ในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ จนถึง ช่วงแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ก่อนที่เมืองลพบุรีเป็นเมืองบริวำรของอำณำจักรอยุธยำ สมควร เรยี กวำ่ เปน็ สมัยก่ึงกอ่ นประวตั ิศำสตร์ (Pre to History) มรี ะยะเวลำนำนรำว ๘ ศตวรรษนั่นเอง สรปุ ประวัติศำสตร์ของอำณำจักรละโว้(ลพบุรี)เป็นดินแดนเก่ำแก่ที่มีประวัติควำมเป็นมำ ยำวนำน ต้ังแต่สมัยกอ่ นประวัตศิ ำสตร์ สมยั ประวตั ิศำสตร์ จนถงึ สมยั ปจั จุบัน พบว่ำเป็นเมอื งทีม่ แี ห่ง ควำมหลำกหลำย และตอ่ เนื่องของควำมเจริญทำงวัฒนธรรมยำวนำนกวำ่ ๓,๐๐๐ ปี ต้ังแต่สมัยก่อน ประวตั ิศำสตร์ มหี ลักฐำนสำคญั แสดงถึงควำมเจริญ ดังกล่ำว ได้แก่ - กำรขุดพบโครงกระดูกมนุษย์พร้อมภำชนะดินเผำ ท่ีแหล่งโบรำณคดีบ้ำนท่ำแค อำยุ ระหว่ำง ๓,๕๐๐-๔,๕๐๐ ปี - กำรขุดพบโครงกระดูกมนษุ ย์ยุคหินใหม่ ทบี่ ้ำนโคกเจริญ อำยุระหวำ่ ง ๒,๗๐๐ - ๓,๕๐๐ ปี - กำรขดุ พบโครงกระดูกมนุษย์ยุคสำริด ที่ศูนย์กำรทหำรปนื ใหญ่ อำยุระหว่ำง ๒,๓๐๐ - ๒,๗๐๐ ปี - กำรขุดพบชุมชนโบรำณในสมัยทวำรวดี ทีเ่ มืองโบรำณซับจำปำ อ.ท่ำหลวง และเมือง โบรำณดงมะรุม อ.โคกสำโรง เมอื งใหมไ่ พศำลี ซงึ่ สันนิษฐำนวำ่ มีอำยุประมำณ ๑,๐๐๐ ปี - กำรพบหลักฐำนท่ีเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ เช่น เหรียญทำด้วยเงิน มีลำยดุนเป็นรูป สญั ลักษณ์ตำ่ ง ๆ ตำมคตนิ ิยมของกลุ่มชนในสมัยนนั้ ที่ ตำบลหลุมข้ำว อำเภอโคกสำโรง เปน็ ต้น โดยในอดีตรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ลพบรุ ีรูจ้ ักกันในช่อื ว่ำ “ละโว้” หรือ “ลวะปรุ ะ” เป็น เมืองท่ีมีควำมสำคญั ทำงฝั่งตะวันออกของลมุ่ นำ้ เจำ้ พระยำ ซ่งึ กำรพบหลักฐำนต่ำงๆ เหล่ำนี้ แสดงว่ำ ลพบุรี เป็นท่ตี ้ังของชุมชนมำต้ังแต่สมยั ก่อนประวัติศำสตร์ ในสว่ นของกำร สรำ้ งเมอื งลพบุรนี นั้ ตำม ประวตั ิศำสตร์ในพงศำวดำรโยนก กล่ำววำ่ ผู้สร้ำงเมืองลพบุรีหรือท่ีเรยี กว่ำ \"ละโว้\" ในสมัยโบรำณ คอื \"พระเจ้ำกำฬวรรณดษิ \" รำชโอรสแห่งพระเจำ้ กรงุ ขอม ซง่ึ สรำ้ งขึน้ ในปี พ.ศ.๑๐๐๒ และเป็นเมือง ท่ีมีควำมสำคัญมำต้ังแต่ สมัยทวำรวดีเคยอยู่ใต้อำนำจของมอญและขอม นอกจำกน้ันหลักฐำนที่เป็น เคร่ืองมือเครื่องใช้ เช่น เหรียญทำด้วยเงิน มีลำยดุนเป็นรูปสญั ลักษณ์ต่ำง ๆ ตำมคตนิ ิยมของอินเดียที่ บ้ำนหลุมข้ำว อ.โคกสำโรง แสดงใหเ้ ห็นกำรพฒั นำกำรของเมืองลพบุรี ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๔ ว่ำพิจำรณำจำกชุมชนโบรำณสมัยก่อนประวัติศำสตร์ มำเป็นศูนย์กลำงทำงกำรค้ำ และเม่ือได้รับ อทิ ธิพลทำงศิลปะ และควำมเช่ือทำงศำสนำ ของอนิ เดยี กก็ ลำยมำเป็นศูนยก์ ลำงทำงศำสนำ ๓๗ พิรยิ ะ ไกรฤกษ์, การปรับเปลีย่ นอายพุ ทุ ธศิลปใ์ นประเทศไทย, วารสารเมืองโบราณ, ปที ่ี ๒๕ ฉบับ ที่ ๒ (เมษำยน-มิถนุ ำยน, ๒๕๔๒), หน้ำ ๖๙.

๑๐๗ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ อิทธิพลทำงวัฒนธรรมขอมโบรำณ ทำให้ศิลปกรรมต่ำง ๆ ของลพบุรี มีรูปร่ำงคล้ำยคลึงกับศิลปะขอมเป็นอย่ำงมำก ได้แก่ พระปรำงค์สำมยอด ศำลพระกำฬ ปรำงคแ์ ขก อำณำจักรละโว้(ลพบุรี) ยังเป็นศูนย์กลำงด้ำนศิลปวิทยำกำร ในสมัยสุโขทัย ตำม พงศำวดำรกล่ำวไว้ว่ำ พอ่ ขุนรำมคำแหง ไดเ้ สด็จมำศกึ ษำเล่ำเรียนท่เี ขำสมอคอน ในปี พ.ศ.๑๗๘๘และ พ่อขุนงำเมอื ง รำชโอรสแห่งเมืองพะเยำ ไดเ้ สด็จมำศกึ ษำท่ีเขำสมอคอนเช่นกันในปี พ.ศ.๑๗๙๗ เนื่องจำกมีสภำพแวดล้อมท่ีเหมำะสม สำมำรถติดต่อกับเมืองอื่นๆ ได้ทั้งทำงบกและทำง น้ำทำให้เมืองลพบุรีกลำยเป็นเมืองท่ำสำคัญในกำรติดต่อค้ำขำยกับต่ำงประเทศและยังเป็นเมือง ศูนย์กลำงทำงพุทธศำสนำควบคู่ไปด้วย โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงจำกกำรที่ได้ติดต่อกับอำณำจักรกัมพูชำ ซ่ึงเป็นศูนย์กลำงแห่งอำนำจทสี่ ำคัญในขณะนัน้ ทำให้รับเอำศิลปวัฒนธรรมของอำณำจักรกัมพูชำเข้ำ มำมำกมำย ส่งผลให้มีกำรพัฒนำด้ำนต่ำง ๆ จนทำให้ลพบุรีกลำยเป็นเมืองท่ีมีควำมเจริญรุ่งเรือง มำกกว่ำเมอื งอนื่ ๆ ทอ่ี ยใู่ นเขตลุ่มนำ้ เจ้ำพระยำ ๓.๒.๑.๒ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดสุโขทัย อำณำจักรสุโขทัย นับเป็นอำณำจกั รของคนไทยท่ีได้รับกำรสถำปนำขึ้นเป็นรำชธำนีในปี พ.ศ. ๑๗๖๒ ก่อนหน้ำท่ีจะมีกำรสถำปนำอำณำจักรสุโขทัยขึ้นมำ ได้มีเมืองสุโขทัยท่ีมีควำมเก่ำแก่ เจริญรุ่งเรืองมำ ก่อน๓๘ ผลจำกกำรตีควำมในศิลำจำรกึ สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๒ ระบุว่ำเดิมเมืองสโุ ขทัยมี ผนู้ ำคนไทยชื่อพอ่ ขุน ศรีนำวนำถุม เป็นเจ้ำเมืองปกครองอยู่ ภำยหลังเมื่อพ่อขุนศรีนำวนำถุมส้ินพระชนม์แล้ว ขอมสมำด โขลญลำพง เป็นนำยทหำรขอมที่เป็นใหญ่ ได้นำกำลังทหำรเข้ำยึดเมืองสุโขทัยไว้ได้ ทำงฝ่ำยไทยได้มี กำรเตรียมกำรเพ่ือยึดเมืองสุโขทัยกลับคืนจำก ขอมสมำดโขลญลำพง โดยมีผู้นำไทย ๒ คน ได้แก่ พ่อ ขุนบำงกลำงหำว เจ้ำเมืองบำงยำง และพอ่ ขุนผำเมือง เจ้ำเมืองรำด พอ่ ขุนทั้งสอง เปน็ สหำยสนทิ กัน และมีควำมสมั พันธ์กันทำงเครอื ญำติ รว่ มกันนำกำลังเข้ำชงิ เมอื งสุโขทัยกลับคืนมำ เมื่อยดึ เมอื งสุโขทัย จำกขอมได้เรียบร้อยแล้ว พ่อขุนผำเมืองได้ยกทัพออกจำกเมืองสุโขทัย เพ่ือให้กองทัพของพ่อขุนบำง กลำงหำวเข้ำสู่เมืองสุโขทัย พร้อมกันน้ัน พ่อขุนผำเมืองทรงสถำปนำพ่อขุนบำงกลำงหำวขึ้นเป็น กษัตริยค์ รองเมืองสโุ ขทัย แลว้ ถวำยพระนำมของพระองค์ท่ไี ด้รบั จำกกษตั ริย์ขอม คอื ศรีอินทรบดินท รำทิตย์ ให้เป็นเกียรติแกพ่ ่อขนุ บำงกลำงหำว พร้อมทั้งมอบพระขรรค์ไชยศรี แต่พ่อขุนบำงกลำงหำว ทรงใชพ้ ระนำมใหมว่ ่ำ พ่อขุนศรอี นิ ทรำทติ ย์๓๙ ซึง่ เปน็ ปฐมกษัตรยิ ์แหง่ รำชวงศ์พระร่วง จ ำ ก ข้ อ มู ล ข้ำงต้นจะเห็นได้ว่ำก่อนสถำปนำอำณำจักรสุโขทัย บริเวณดินแดนแถบนี้จะอยู่ในปกครองของเมือง พระนครมำก่อน โดย มีเมืองลวปุระ เป็นศูนย์กลำงอำนำจในส่วนภูมิภำคก่อนท่ีขอมเส่ือมอำนำจลง หลงั จำกพระเจ้ำชยั วรมันท่ี ๗ (ครองรำชย์เมอ่ื พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๑) สน้ิ พระชนม์ พระเจ้ำอินทรวรมัน ที่ ๒ ปกครองต่อมำอ่อนแอ ขำดควำมเข้มแข็ง จึงเกิดช่องว่ำงของอำนำจทำงกำรเมืองข้ึนในดินแดน แถบน้ี เปิดโอกำสให้บรรดำหัวเมืองต่ำงๆเติบโต และต้ังตนเป็นอิสระ ผู้วิจัยจึงได้รวบรวม สถำปตั ยกรรมที่สำคัญ ที่แสดงถงึ เส้นทำงพระพทุ ธศำสนำสมัยลพบรุ ใี นจังหวดั สุโขทยั ดงั ตอ่ ไปนี้ ๓๘ พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์, ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะ และโบราณคดีในประเทศไทย, หน้ำ ๔๕ – ๔๙. ๓๙ สมั ภำษณ์ นำยวษิ รุต วะสกุ ัน, เจ้ำพนกั งำนพิพิธภัณฑส์ ถำนแหง่ ชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๐๘ ๑) ปรำสำทวัดพระพำยหลวง ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้ำนทิศเหนือ ใน เขตอทุ ยำนประวัติศำสตร์สุโขทัยมลี ักษณะปรำสำท ๓ หลงั อยูบ่ นฐำนเดียวกนั ปัจจุบนั เหลือเพียงหลัง เดียวด้ำนทิศเหนือ รูปแบบปรำสำทและคติกำรสร้ำงมีควำมสัมพันธ์กับพระปรำงค์สำมยอดท่ีเมือง ลพบุรี ซ่ึงเกี่ยวข้องกับคติของรัตนตรัยพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำนดังกล่ำวแล้ว แสดงให้เห็นถึง รอ่ งรอยศลิ ปะขอมแบบบำยนในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ก่อนท่ีจะเข้ำส่กู ำรตงั้ อำณำจักรสโุ ขทัย . ภำพที่ ๓.๒๗ ปรำสำทวัดพระพำยหลวง ปรำสำทขอมแบบ ๓ องค์ในยุคเริ่มแรกของกรุงสุโขทัย ๒) ปรำงคเ์ ขำปูจ่ ่ำ อย่ทู ี่ อ.คีรีมำศ จ.สโุ ขทัย บนเทอื กเขำท่ีทอดตัวขวำง จำกเหนอื ลงใต้ ต้งั ตระหงำ่ นเป็นฉำกหลงั ของเมอื งสโุ ขทัย เรยี กกนั วำ่ เทือกเขำประทกั ษ์ มแี นวต่อเนือ่ ง ลงไปทำงใต้เป็นยอดเขำสูงคือ เขำหลวง๔๐ เป็นเขำศักดิ์สิทธ์ิของผู้คนในลุ่มน้ำยมมำไม่น้อยกว่ำ สมัยก่อนประวัติศำสตรค์ ือ ๓,๐๐๐ กว่ำปีมำแล้ว จนถึงสมัยสโุ ขทัยท่ีจำรกึ บำงหลักอ้ำงถึง พระขพุงผี หรือเทวดำอำรกั ษ์ภูเขำตำมควำมชื่อสบื เน่ืองเร่อื งกำรนับถอื ผีในดินแดนแถบน้ีมีภูเขำลูกเตย้ี ๆตรงเชิง เขำหลวงฝั่งตะวันออกในเขต อ.ครี ีมำศ จ.สโุ ขทัย เรยี กกันว่ำ เขำปูจ่ ่ำ บนยอดเขำพบโบรำณสถำนเป็น ปรำสำทกอ่ อิฐพังทลำยลงซกี หนงึ่ แต่ยังเห็นรอ่ งรอยกำรกอ่ ซอ้ นช้ันขึ้นไปตำมระเบยี บของปรำสำทแบบ ขอม ซึ่งอำจเทียบกับปรำสำทที่มีอำยุในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗หรือในช่วงท่ีเรียกว่ำศิลปะแบบ บำปวนถึงนครวัดของเขมรในประเทศกัมพูชำกรมศิลปำกรขุดแต่งและบูรณะปรำงค์หรือปรำสำทบน ยอดเขำปู่จ่ำ ได้พบหลักฐำนน่ำสนใจมำกมำย เช่นช้ินส่วนประติมำกรรมรูปบุคคลซึ่งอำจเป็นเทวรูป๔๑ ๔๐ ไมเคิ ล ไรท์, พ ระสงฆ์ ลังกาวงศ์เข้ามาสยามครั้งแรกเม่ือไร ? จากทิ ศท างไห น ? . (กรุงเทพมหำนคร: ศิลปวฒั นธรรม, ๒๕๔๓), หนำ้ ๑๐๒ – ๑๐๕. ๔๑ กรมศลิ ปำกร กระทรวงวฒั นธรรม, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, จำก...แผ่นดนิ ไทยในอดีต, กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พรน้ิ ติง้ แอนด์พับลิชช่งิ .๒๕๕๘, หนำ้ ๘๘.

๑๐๙ มีรูปแบบทำงศิลปกรรมอยู่ในช่วงเดียวกันกับตัวปรำสำทคือรำว พ.ศ.๑๕๐๐ ลงมำ กำรพบงำน ศิลปกรรมขอมท่ีขึ้นมำจนถึงบริเวณลุ่มน้ำยมแถบเมืองสุโขทัยมีควำมสำคัญอย่ำงย่ิง เพรำะถือเป็น หลักฐำนเกี่ยวกับกำรแพร่ขยำยเส้นทำงจำกศูนย์กลำงในที่รำบลุ่มทะเลสำบหรือเมืองพระนครหลวง ของกัมพูชำข้ึนมำถึงที่รำบลมุ่ น้ำเจ้ำพระยำ (ทั้งน้ีโดยผำ่ นทร่ี ำบสูงโครำชก่อน) โดยคงจะมีเมอื งลพบุรี หรือละโว้ท่ีเป็นฐำนหลักและใช้เส้นทำงแม่น้ำเจ้ำพระยำ-น่ำน-ยม ขึ้นมำจนถึงบริเวณภำคกลำง ตอนบนของไทยดังทก่ี ลำ่ วมำ ภำพท่ี ๓.๒๘ ปรำงค์อฐิ หลงั เด่ียวบนเขำปจู่ ่ำปลำยพุทธศตวรรษที่ ๑๖ จังหวดั สโุ ขทัย ๓) ปรำสำทวัดศรีสวำย ต้ังอยู่ในกำแพงแก้ว ประกอบด้วยปรำงค์ ๓ องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี๔๒ ลักษณะของปรำงค์ค่อนข้ำงเพรียว ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปนำรำยณ์ บรรทมสินธุ์ ช้ินส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ท่ีแสดงให้เห็นว่ำเคยเป็นเทวสถำนในศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดูมำกอ่ น แล้วแปลงเป็นพุทธสถำนโดยตอ่ เติมวหิ ำรข้ึนที่ด้ำนหน้ำ มคี นู ้ำล้อมรอบปรำงค์สำมองค์ มี ที่มำจำกทรงปรำสำทแบบขอม แต่ได้รับกำรดัดแปลงแตกต่ำงจำกต้นแบบ เช่นส่วนประดับของ ปรำสำทขอมท่ีเรียกว่ำ บันแถลง กลำยเป็นรูปกลีบขนุน และปูนป้ันประดับกลีบขนุนเป็นรูปครุฑยุด นำคและเทวดำ ปรำงค์วัดศรีสวำยจงึ แตกตำ่ งจำกปรำงค์สมัยกรุงศรีอยุธยำซง่ึ มีตน้ แบบจำก ปรำงค์ใน ศิลปะขอมและคลำ้ ยคลึงแบบขอมมำกกวำ่ ปรำงค์ในแบบของช่ำงสุโขทัย ๔๒ไมเคิล ไรท์,ยุคมืด หรือช่องว่ำงในประวัติศำสตร์สยำม. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม,๒๕๔๙, หน้ำ ๑๓๑.

๑๑๐ ภำพที่ ๓.๒๙ ปรำสำทวดั ศรีสวำย สรุป อำณำจักรสุโขทัยสร้ำงข้ึนมำจำกเส้นทำงกำรค้ำท่ีสำคัญก่อนเส่ือมสลำยไปในรำว พ.ศ.๑๗๕๐ เป็นต้นมำ อำณำจักรขอมก็เสื่อมลงอย่ำงรวดเร็ว สันนิษฐำนว่ำ๔๓ โดยสว่ นหนึ่งมีสำเหตุ มำจำกในสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ นั้น มีกำรเกณฑ์แรงงำน และกำรอุทิศถวำย เพื่อ พระพุทธศำสนำ จนทำให้ประชำชนเกิดควำมเหนื่อยล้ำและได้ทำให้อำณำจักรเส่ือมลงในที่สุด หลังจำกนั้นกษัตริย์ขอมในรัชกำลต่อมำ ก็ได้ทรงปรับเปล่ียนศำสนำ มำเป็นศำสนำฮินดูอีกคร้ังหน่ึง จำกกำรที่อำนำจของเขมรเสื่อมลงน้ีเอง ทำให้กลุ่มชนท่ีเคยอยู่ภำยใต้อิทธิพลของเขมร เร่ิมสถำปนำ เป็นอำณำจกั ร ได้แก่ อำณำจกั รสุโขทยั (ประมำณ พ.ศ. ๑๗๙๒) และอำณำจักรอยุธยำ (พ.ศ. ๑๘๙๓) ต่อมำ ทำให้ได้รับศิลปวัฒนธรรมจำกอำณำจักรพุกำม อำณำจักรตำมพรลิงค์ อำณำจักรขอม อำณำจักรลพบุรีทำให้ชำ่ งสุโขทัยประติดประต่อเลือกรับปรับปรุงแล้วพัฒนำจนได้งำนศิลปะที่มีควำม เฉพำะตวั อ่อนช้อย งดงำม สะทอ้ นสภำพเศรษฐกิจ สังคม กำรเมืองในอำณำจกั รได้อยำ่ งดี จนปรำชญ์ หลำยท่ำนกล่ำวตรงกันว่ำ ศลิ ปะสุโขทยั คือศลิ ปะท่ีสวยงำมทส่ี ดุ ยคุ หนึ่งของชนชำตไิ ทย พระพุทธศำสนำ สมัยลพบุรี ในภำคกลำงของประเทศไทยได้รับอิทธิพลของอำณำจักร ทวำรวดี ทั้งทำงด้ำนศิลปะ วัฒนธรรม ต่อมำจักรวรรดิขอมมีอิทธิพลต่อเมืองละโว้และประเทศรำช อ่ืนๆ ซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดต่ำง ๆ ในภำคกลำง เช่น ลพบุรี ,สโุ ขทัย ซงึ่ อำณำจักรขอมมีควำมสมั พันธ์ กบั อำณำจักรละโว้ทั้งทำงด้ำนกำรทำสงครำมศำสนำและเศรษฐกิจ จำกอทิ ธิพลด้ำนตำ่ ง ๆ โดยเฉพำะ ควำมเช่ือของชำวละโว้สมัยน้ันมีท้ังศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู และพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน ๔๓ สมั ภำษณ์ นำยวิษรตุ วะสุกัน เจำ้ พนักงำนพพิ ิธภัณฑส์ ถำนแห่งชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๑๑ ควบคู่กันไปซึ่งในกำรศึกษำวิจัยในครงั้ น้ีจะมุ่งเน้นเฉพำะประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำเท่ำนั้น ผู้วิจัย ได้สังเครำะหใ์ หเ้ ห็นถึงเส้นทำงของพระพุทธศำสนำทีป่ รำกฏในภำคกลำงของประเทศไทยเปน็ แผนภำพ นำเสนอเพ่อื ใหเ้ ขำ้ ใจง่ำยๆ จำกแผนภำพท่ี ๓.๓๐ หลักฐำนทำงด้ำนโบรำณวตั ถสุ ถำนพระพทุ ธศำสนำสมัยลพบรุ ใี นภำคกลำง จำกหลักฐำนดังกล่ำวข้ำงต้นพบว่ำกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำจะมีควำมสัมพันธ์กันเป็น อย่ำงดีกบั หลกั ฐำนทำงดำ้ นประวตั ิศำสตรข์ องพ้ืนที่เปำ้ หมำย นั่นคือ ลพบุรี และสุโขทัยศำสนสถำนที่ สร้ำงด้วยควำมเช่ือในศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู จะมีจำนวนมำกกว่ำ ศำสนสถำนทำงพระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน ซึ่งในขณะน้ันเป็นควำมเช่ือในลัทธิตันตระ หรือวัชรยำน ในจังหวัดลพบุรีได้แก่ พระ ปรำงค์สำมยอดสถำนท่ีสำคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลพบุรีมีแบบและผังเป็นสถำปัตยกรรม ประติมำกรรม จะเปน็ ขอมแบบบำยน และไดว้ ิวฒั นำกำรจนมีลักษณะเฉพำะเรยี กว่ำ ศิลปะแบบลพบุรี และคงเป็นต้นเค้ำของบรรดำพระปรำงค์ ทั้งหลำยในประเทศไทยในศตวรรษตอ่ มำ, ศำลพระกำฬ, วัด พระศรีมหำธำตุ, เขำสมอคอน, เมืองโบรำณซับจำปำ, ปรำงค์นำงผมหอม เป็นต้น ส่วนศำสนสถำน พระพุทธศำสนำ สมัยลพบุรี ในจังหวัดสุโขทัย ได้แก่ ปรำงค์วัดพระหำยหลวง๔๔เป็นสถำปัตยกรรม แบบขอมได้รับกำรกำหนดอำยุว่ำอยใู่ นรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ - ๑๘,พระพทุ ธรปู พระโพธิสัตว์อวโลกิ เตศวร,ปรำงคเ์ ขำปูจ่ ำ่ ,ปรำสำทวัดศรีสวำย และศำลตำผำแดง เปน็ ตน้ ๔๔ พิรพน พิสณุพงศ์ บรรณำธิกำร, ประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ, (กรุงเทพมหำนคร: กรมศลิ ปำกร,๒๕๔๕), หนำ้ ๗๘.

๑๑๒ ๓.๒.๑.๓ เส้นทำงพระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดกำญจนบุรีจังหวัด กำญจนบุรี เท่ำที่มีกำรค้นพบหลักฐำนนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศำสตร์๔๕ เม่ือมีกำรค้นพบ เคร่ืองมือหินในบริเวณบ้ำนเก่ำ อำเภอเมืองกำญจนบุรี ล่วงมำถึงสมัยทวำรวดี ซ่ึงมีหลักฐำนคือซำก โบรำณสถำนที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัด นครปฐม บ้ำนคูบัว จังหวัดรำชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมท้ังค้นพบโบรำณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวำรวดีจำนวนมำก สืบเนื่องต่อมำถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ หลักฐำนทำง ประวัติศำสตร์ท่ีค้นพบคือปรำสำทเมืองสิงห์ ซ่ึงมีรูปแบบศิลปะลพบุรี หรือแบบขอม สมัยบำยน ซ่ึง ปรำกฏในหลักศิลำจำรกึ ปรำสำทพระขรรค์ ในสมยั พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ซ่ึงผูว้ ิจยั จะนำเสนอเส้นทำง พระพทุ ธศำสนำสมยั ลพบรุ ี ในจงั หวัดกำญจนบุรดี งั ต่อไปนี้ ๑) ปรำสำทเมืองสิงห์หลักฐำนจำกจำรึกที่เกี่ยวข้องกับปรำสำทเมือง สิงห์๔๖ ท่ีพบในเมืองพระนครของกัมพูชำกล่ำวว่ำ พระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ ของอำณำจักรขอม ได้ทรง ประดิษฐำนพระชัยพุทธมหำนำถ (รูปจำลอง) ในศำสนสถำนถึง ๒๓ เมือง ซึ่งบรรดำชื่อเมืองต่ำงๆ เหล่ำนี้เชอ่ื กันวำ่ มอี ยู่ ๖ เมอื งท่ตี ั้งอยูใ่ นภำคกลำงของประเทศไทยในปัจจบุ ัน สันนษิ ฐำนว่ำนำ่ จะเป็น บริเวณท่ีตั้งของปรำสำทเมืองสิงห์ คือ เมืองศรีชัยสิงห์ปุรี เพรำะนอกจำกจะมีช่ือพ้องกับชื่อเมืองท่ี ปรำกฏในจำรึกแล้ว ปรำสำทเมืองสิงห์แห่งน้ียังมีลักษณะทำงด้ำนสถำปัตยกรรมและประติมำกรรม แบบขอมในสมัยบำยน ทส่ี นบั สนนุ วำ่ น่ำจะสร้ำงในสมัยพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ ดงั ภำพแสดงท่ี ๓.๓๑ ภำพที่ ๓.๓๑ ปรำสำทเมืองสิงห์ อำเภอเมืองสงิ ห์ จงั หวดั กำญจนบรุ ี ๔๕ กรมศิลปำกร.เมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี, (กรุงเทพมหำนคร : กรมศลิ ปำกร, ๒๕๓๐), หน้ำ ๕๘. ๔๖ ก่องแก้ว วีระประจักษ์, จารึกปราสาทเมืองสิงห์ ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม ๔ : อักษรขอม พุทธศตวรรษท่ี ๑๗ – ๑๘, (กรงุ เทพมหำนคร: กรมศิลปำกร, ๒๕๒๙), หน้ำที่ ๑๕๐-๑๕๒.

๑๑๓ จำกกำรสำรวจจะเห็นว่ำปรำสำทเมืองสงิ หม์ ีขนำดไม่ใหญน่ ัก เม่ือบำ้ นเมอื งในบริเวณภำค กลำงของประเทศไทยได้เข้ำมำครอบครองดินแดนแถบนี้แทนอำณำจักรขอมที่เสื่อมอำนำจลง โดยเฉพำะสมยั กรุงศรอี ยุธยำนน้ั พระเจ้ำแผน่ ดินผู้ปกครองบำ้ นเมืองคงมพี ระรำชดำริวำ่ เมืองสงิ ห์เป็น เมืองเล็ก ไม่มีควำมสำคัญอย่ำงใด จึงไม่มีกำรแต่งตั้งเจ้ำเมืองไปปกครอง และในทำเนียบศักดินำหัว เมืองก็ไม่ปรำกฏชื่อเมอื งสิงห์อยู่เลย จึงเปน็ ท่ีเข้ำใจวำ่ เมือ่ อำณำจักรขอมหมดอำนำจลงแลว้ เมืองสิงห์ และปรำสำทเมืองสิงห์คงถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้ำงไป นอกจำกน้ันยังมีกำรค้นพบซำกเมืองโบรำณที่มี ลักษณะรูปแบบเช่นเดียวกับที่พบในประเทศกัมพูชำและแหล่งอ่ืน ๆ ในประเทศไทยในสมัยเดียวกัน เช่น เมอื ง “กลอนโด” เป็นตน้ ๒) เมืองโบรำณกลอนโดต้ังอยรู่ ิมน้ำแควน้อยฝ่ังทำงทิศใต้ ในเขตตำบล กลอนโด อำเภอด่ำนมะขำมเตี้ย จังหวัดกำญจนบุรี๔๗ เป็นเมืองที่มีคันดินสูงกว่ำ ๓ – ๕ เมตร กว้ำง ประมำณ ๑๒ - ๑๓ เมตร ล้อมรอบตวั เมืองเป็นรูปสี่เหล่ียม มีควำมกว้ำงยำวประมำณ ๒๕๐ x ๒๖๐ เมตร เคยมีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบ แต่ในปัจจุบันถูกไถทำกำรเพำะปลูก เกลย่ี ดินถมคูน้ำไปจนหมด ภำยในมีพ้ืนท่ีประมำณ ๓๕ ไร่ ตรงกลำงเป็นเนนิ สูงกว่ำโดยรอบเลก็ นอ้ ย ปัจจบุ ันใช้เปน็ ทเ่ี พำะปลูกพืช ไร่อย่ำงอ้อยหรือข้ำวโพด ทำงทิศตะวันตก มีบ้ำนเรือนต้ังอยู่ ๒ – ๓ หลัง โดยได้รับกำรอนุญำตจำก สำนักศิลปำกรที่ ๒ ใหต้ ้งั บ้ำน ชว่ ยดแู ลรักษำอยู่ภำยใน แผนภำพที่ ๓.๓๒ ภำพถำ่ ยทำงอำกำศเมอื งโบรำณ “กลอนโด” ๔๗ ธชั สร ตันตวิ งศ์, ร่องรอยวัฒนธรรมเขมรในบริเวณลุม่ แม่น้าแมก่ ลอง – ทา่ จีน, (กรุงเทพมหำนคร : บณั ฑติ วทิ ยำลัย มหำวิทยำลยั ศลิ ปำกร, ๒๕๔๘), หนำ้ ๒๓ – ๒๕.

๑๑๔ เมืองโบรำณกลอนโด เป็นหลักฐำนสำคัญ๔๘ ท่ีแสดงให้เห็น “ข้ันตอน” กำรขยำยอิทธิพล ทำงกำรเมืองและคติควำมเช่ือของ ”จกั รวรรดบิ ำยน” (Bayon Empire) ในยคุ สมัยของพระเจ้ำชัยวร มันที่ ๗ (Jayavarman๗) เข้ำมำส่แู ดนตะวันตก จำกฐำนท่ีมั่นใหญข่ องรำชวงศ์ “มหิธระปุระ” ท่ีเมือง ลวะปุระหรือจังหวัดลพบุรี จำกกำรขุดค้นทำงโบรำณคดีในช่วงปี ๒๕๔๘๔๙ พบเคร่ืองเซรำมิคเคลือบ ขำวแบบจีน (ชิงไป๋) (Chinese Glaze Stoneware) ที่ผลิตจำกเตำในมณฑลฟูเจี้ยน เครื่องเคลือบดิน เผำแบบเขมร (Khmer Glaze Stoneware) แบบเตำรำชวงศ์มหิธระปุระ อำยุในรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ กระจำยตัว แตกหักทับถมอยู่ท่ัวบริเวณเมืองเป็นจำนวนมำก อีกทั้งยังพบเครื่องประดับ ตะก่วั สำริด เงนิ รูปเคำรพหินทรำยเทวสตรที ี่แตกหัก และ “ก้อนดินเผำ” ที่มีร่องรอยกำรกดประทับ พิมพ์ของโครงสร้ำงอำคำรไม้ ท้ังเป็นรอยโค้งนูน รอยเว้ำ เรียบแบน คล้ำยแผ่นไม้ไผ่สำนขัดเป็นผนัง โครงสร้ำง และรอยพิมพ์ของเศษเยื่อไผ่ติดอยู่กับก้อนดินเผำซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงควำมเจริญ ทำงด้ำนเทคนคิ กำรสร้ำงเครื่องใช้ในสมัยโบรำณ ๓) พระนำคปรกเม่ืออำณำจักรขอมโบรำณ๕๐ รกุ เข้ำมำสู่ภำคตะวันตก ตำมแนวลำนำ้ แม่กลองเข้ำสูล่ ำนำ้ แควนอ้ ยนอกจำกได้สรำ้ งสถำปตั ยกรรมท่แี สดงถึงควำมเจริญรงุ่ เรอื ง ของอิทธิพลสมัยลพบุรี(ขอมในประเทศไทย) ไว้ที่เมือง \"ชยสิงหปุระ\" หรือปรำสำทเมืองสิงห์ จังหวัด กำญจนบุรแี ล้ว ยังพบพระนำคปรกแบบมอี ษุ ณษี ะ ในรูปแบบของ “พระชยั พุทธมหำนำถ” ซงึ่ อำจเป็น ฝีมือเลียนแบบช่ำงหลวงคติควำมเช่ือ รูปลักษณะทำงศิลปะและ “ควำมหมำย” (Meaning) ท่ีเป็น เหตุผลกำกับกำรส่งรูปพระชัยพุทธมหำนำถให้ไปเป็นพระประธำนหลักในรำชวิหำรของเมืองต่ำง ๆ กลุ่มชำยขอบของจักรวรรดิขอมที่มีควำมหมำยถึงเชื่อมต่อกับกำรประดิษฐำนรูปประติมำกรรมพระ นำคปรกขนำดใหญ่คู่กับจักรวรรดิที่ปรำสำทบำยน น่ันคือเป็นพระพุทธรปู ปำงนำคปรกขนำดใหญ่ท่ีมี อุษณีษะ (พระเกตุมำลำ) ยอดแหลม ในแบบของฝีมือช่ำงหลวง ที่ถูกแกะสลักขึ้นท่ีเมืองพระนครธม แลว้ คอ่ ยส่งออกไปตำมหัวเมืองดงั ชือ่ ทป่ี รำกฏในจำรกึ ท่ีปรำสำทพระขรรค์ ๔๘ สัมภำษณ์ นำงสำว ธัชสร ตันติวงศ์, เจ้ำพนักงำนพิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร.วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๔๙ พจนก กำญจนจันทร และคณะ, การสารวจวฒั นธรรมโบราณลุ่มแม่นา้ แมก่ ลอง – ท่าจีน ในชว่ ง พุทธศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๘ ดว้ ยเทคโนโลยีสอ่ื ระยะไกล (Remote Sensing), รำยงำนกำรวิจัย สำนักงำนพฒั นำ เทคโนโลยีอวกำศและภมู สิ ำรสนเทศ (องค์กรมหำชน) (GISTDA).๒๕๕๖, หน้ำ ๖๐ – ๖๕. ๕๐ พิริยะ ไกรฤกษ์, การปรับเปลี่ยนอายุพุทธศิลป์ในประเทศไทย. ในวำรสำรเมืองโบรำณ ปีท่ี ๒๕ ฉบบั ที่ ๒ เมษำยน-มถิ นุ ำยน.๒๕๔๒, หนำ้ ๖๖.

๑๑๕ ภำพท่ี ๓.๓๓ พระนำคปรกมีอุษณีษะในแบบของ “พระชยั พุทธมหำนำถ” ที่ปรำสำทเมอื งสงิ ห์ ๔) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอำนุภำพ(Bodhisattva Avalokitesvara irradiant) ที่พบในปรำสำทเมืองสิงห์ จังหวัดกำญจนบุรี๕๑ ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึง กำรขยำยตัวของอิทธิพลทำงกำรทหำร อำนำจกำรปกครองและวัฒนธรรมขอม ในยุคพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่ขยำยเข้ำสู่แผ่นดินตะวันตกได้อย่ำงชัดเจน และสันนิษฐำนว่ำ เป็นเมืองหนึ่งที่ปรำกฏในจำรึก ปรำสำทพระขรรคค์ ือ \"ศรีชยั สงิ หปรุ ี\" น่ันเองทถี่ กู จัดส่งออกไปพร้อม ๆ กันในชว่ งเวลำหนงึ่ ๕๑ กรมศิลปำกร กระทรวงวัฒนธรรม, จาก...แผ่นดินไทยในอดีต พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, (กรุงเทพมหำนคร : อมรินทรพ์ ร้นิ ต้งิ แอนดพ์ ับลชิ ช่งิ , ๒๕๕๘), หน้ำ ๗๙.

๑๑๖ ภำพท่ี ๓.๓๔ โพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวรเปลง่ รศั มีอำนภุ ำพ ปรำสำทเมืองสงิ ห์ เส้นทำงพระพุทธศำสนำสมยั ลพบุรี ในภำคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งผวู้ ิจัยได้ศึกษำถึง อิทธิพลของวัฒนธรรมลพบุรี(ขอมในประเทศไทย)มีควำมเจริญรุ่งเรืองในจังหวัดกำญจนบุรี และ รวมทั้งดินแดนในภูมิภำคอ่ืน ๆ ของไทยเป็นอยู่ประมำณ ๓๐๐ ปี ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๘ หลังจำกน้ันก็เส่ือมลง บรรดำเมืองและนครรัฐต่ำง ๆ ในบริเวณที่รำบลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำเร่ิมมีกำร รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น และได้มีกำรพัฒนำเอกลักษณ์ทำงวัฒนธรรมตนเองขึ้น ก่อตัวเป็นต้นเค้ำของ วฒั นธรรมไทยมำต้ังแตป่ ลำยพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ ในชว่ งระยะเวลำดังกล่ำวแคว้นสพุ รรณภูมิ เจรญิ ร่งุ เรืองควบคู่กบั แคว้นละโว้ ในบริเวณลุ่ม นำ้ แม่กลอง และเมืองกำญจนบุรีจดั เปน็ เมืองสำคัญเมืองหน่ึง ของแควน้ สพุ รรณภูมิ เช่นเดียวกับเมือง เพชรบุรี และเมืองสิงห์บุรี ก่อนท่ีแคว้นละโว้จะรวมกับแคว้นสพุ รรณภูมิเป็นอำณำจักรอยุธยำ เห็นได้ จำกร่องรอยหลักฐำนทำงศิลปกรรม ท้ังที่โบรำณสถำนและโบรำณวัตถุ เช่น เจดีย์ ท่ีเรียกว่ำ แบ บ สุพรรณภูมิ เมื่อสมเด็จพระเจ้ำอู่ทองทรงรวบรวมแคว้นสุพรรณภูมิ และแคว้นละโว้เข้ำด้วยกัน และ สถำปนำกรุงศรีอยุธยำเป็นรำชธำนี เมืองกำญจนบุรีก็ถูกรวมเข้ำเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยำ จดั เป็นเมืองในมณฑลรำชธำนี ต่อมำในรัชสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนำถ ทรงขยำยกำรปกครองรำช ธำนีครอบคลุมเมอื งใหญ่ทเี่ ป็นเมอื งหน้ำดำ่ นทง้ั สี่ เช่น ลพบรุ ี สุพรรณบุรี นครนำยก ทำให้เมืองชนั้ ใน อยำ่ งกำญจนบรุ ถี ูกลดฐำนะลงเป็นเมอื งจตั วำในระยะต่อมำ

๑๑๗ ๓.๒.๑.๔ เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวดั รำชบุรี จังหวัด รำชบุรีตำมหลักฐำนมีลักษณะที่เป็นเมืองท่ีได้รบั วัฒนธรรมทำงด้ำนพระพทุ ธศำสนำมำตง้ั แต่สมัยทวำร วดี และในสมัยต่อมำได้รบั อทิ ธิพลขอมซ่ึงมหี ลักฐำนในช่ือของ “ชยรำชบรุ ี” ท่ีปรำกฏในจำรกึ ประสำท พระขรรค์สันนิษฐำนว่ำ คือเมืองรำชบุรี๕๒ ท่ีต้ังอยู่แนวฝงั่ น้ำแม่กลองถือเป็นเส้นทำงสญั จรสำคัญของ เมืองคูบัว ชุมชนโบรำณในอดีต เส้นทำงน้ำสำยนี้ เช่ือมต่อกับท่ำจีน สำละวิน เจ้ำพระยำ ป่ำสัก โยง ยำวไปถึงชี มลู โขง จึงเป็นเส้นทำงหลกั ท่ีนอกจำกจะใช้เพ่ือกำรคมนำคม ติดต่อคำ้ ขำยกันแต่กำลกอ่ น แลว้ ๕๓ ท่ีสำคญั คือ สำยนำ้ แต่ละสำยจำกต้นน้ำถึงปลำยนำ้ ยังนำมำสู่กำรเคล่ือนท่ขี องวัฒนธรรมไดแ้ พร่ สะพัดไปทั่วในเอเชียอำคเนย์แห่งน้ีและยังหมำยถึงกำรเคลื่อนย้ำยของชุมชนกลุ่มชำติพันธุ์ต่ำงๆ อีก ด้วย เพ่อื แสดงถึงเส้นทำงพระพทุ ธศำสนำสมยั ลพบรุ ี ในจังหวดั รำชบุรี จึงนำเสนอดงั ต่อไปน้ี ๑) ปรำงค์วัดมหำธำตุรำชบุรี วัดมหำธำตุวรมหำวิหำรแห่งเมืองรำชบุรี น้ี๕๔ เคยเปน็ ที่ต้งั ของ “รำชวิหำร”หรือ “พระอำรำมหลวง” ในยุคสมัยของจักรวรรดิบำยนอันย่ิงใหญ่ ทม่ี ีควำมคลำ้ ยคลึงกับเหล่ำปรำสำทหนิ ท่เี ป็นรำชวหิ ำรศำสนสถำนแหง่ นี้เป็นอีกแหง่ หนง่ึ ท่ีแสดงให้เห็น ถงึ อิทธิพลของศิลปะขอมแบบบำยนในภำคกลำงของประเทศไทย แตห่ ลกั ฐำนทีเ่ หลืออยู่มเี พยี งกำแพง วดั เท่ำนั้นท่ีปรำกฏอิทธิพลศิลปะขอม– ลวปุระในยุคท้ำยสุดแต่เป็นยุคต้นของกลุ่มลูกผสมชำวกัมพุช เทศะและกลุ่มทวำรวดีคือก่อด้วยศิลำแลง และบนสันของกำแพงประดับด้วยแนวพระพุทธรูปปำง สมำธิในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งพระพุทธรูปดังกล่ำวจะมีวัตถุเล็กๆ อยู่ในพระหัตถ์ มักตีควำมวำ่ เป็นหม้อยำ จึงเรียกวำ่ พระไภษชั ยครุ ุ ภำพที่ ๓.๓๕ ปรำงคว์ ดั มหำธำตุ จังหวัดรำชบรุ ี ๕๒ เดชำ สุดสวำท, “โบราณสถานทุ่งเศรษฐี”, สำนักงำนโบรำณคดีและพิพิภัณฑสถำนแห่งชำติท่ี ๑ จงั หวดั รำชบรุ .ี กรมศิลปำกร.๒๕๕๑, หนำ้ ๕๑ – ๕๔ (อดั สำเนำ). ๕๓ มโน กลีบทอง, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตริ าชบุรแี ละจังหวดั ราชบรุ ี, (กรงุ เทพมหำนคร: พพิ ิธภัณฑ์ , ๒๕๔๔), หนำ้ ๗๘. ๕๔ โบรำณคดี,ภำควิชำ, การขุดค้นและการศึกษาวัฒนธรรมของชุมชนโบราณที่บ้านคูเมือง อาเภอ อนิ ทร์บุรี จังหวดั สงิ บรุ ี, (กรงุ เทพมหำนคร: มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร, ๒๕๔๒), หน้ำ ๗๓.

๑๑๘ .๒) แหล่งโบรำณสถำนเมืองศัมพูกปัฏฏนะ ตัง้ อยู่ริมแม่น้ำแมก่ ลอง ตำม ถนนสำยบ้ำนโป่ง – กำญจนบรุ ี ในเขตตำบลท่ำผำ อำเภอบ้ำนโป่ง จังหวดั รำชบุรี๕๕ โบรำณสถำนเมอื ง ศรีศัมพูกปัฏฏนะ หรือช่ือใหม่คือ เมอื งโบรำณโกสนิ ำรำยณ์ จำกร่องรอยหลักฐำน ได้สะท้อนให้เห็นว่ำ อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมจำกประเทศกัมพูชำ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลำเดียวกันกับที่ มีกำรแพร่ขยำย อิทธิพลของวัฒนธรรมขอม พร้อมด้วยอำนำจทำงกำรเมืองครั้งใหญ่เข้ำมำในบริเวณท่ีรำบลุ่มแม่น้ำ เจำ้ พระยำ รำชบุรีในช่วงเวลำนค้ี งกลำยเป็นเมอื งทำ่ ชำยทะเลสำคัญ จำกหลักฐำนศิลำจำรึกซึ่งพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ มหำรำชองค์สุดท้ำยของรำชอำณำจักร ขอม ผู้สร้ำงปรำสำทนครธมให้เป็นพุทธรำชำ ได้ทรงสนับสนุนให้มีกำรเผยแพร่พระพุทธศำสนำลัทธิ มหำยำน ดังปรำกฏควำมอยู่ในศิลำจำรึกปรำสำทพระขรรค์ ที่ทรงให้จำรึกข้ึนว่ำได้พระรำชทำนพระ ชัยพุทธมหำนำถ ไปประดิษฐำนยังศำสนสถำนต่ำงๆ จำนวน ๒๓ แห่ง ซึ่งมีช่ือเมืองท่ีต้ังอยู่ในพ้ืนท่ี จงั หวัดรำชบุรีถงึ ๒ เมืองด้วยกัน คอื ศมั ภวู ะปัฏฏนะ และชยรำชปุรี ภำพที่ ๓.๓๖ ปรำสำทอำนุภำพท่ีถูกทำลำย จนเหลือเพยี งเนินดินขนำดใหญ่ ท่ีเมืองศัมภวู ะปัฏฏนะ อำเภอบำ้ นโป่ง จงั หวัดรำชบรุ ี จังหวัดรำชบุรีจำกร่องรอยหลักฐำนต่ำง ๆ ทำงโบรำณคดีที่กล่ำวมำแล้ว แสดงให้เห็นว่ำ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๘อันเป็นช่วงระยะเวลำที่อำณำจักรขอมเรืองอำนำจ ชำวเมืองรำชบุรี ๕๕ ศิลป์ พีระศรี, การขุดค้นทางโบราณที่บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี, สมุดนำชมโบรำณวตั ถุสถำนสมัย ทวำรวดี ตำบลคูบวั จงั หวัดรำชบรุ ี.พระนคร : ศวิ พร.๒๕๕๐, หนำ้ ๖๖ – ๖๘.

๑๑๙ และโกสินำรำยณ์ก็ได้รับเอำวัฒนธรรมขอมมำผสมผสำนกับวัฒนธรรมทวำรวดี อันเป็นวัฒนธรรม ดั้งเดิมในหลำย ๆ ด้ำน เช่นระบบกำรวำงผังเมืองท่ีเปลี่ยนจำกรูปวงรี มำเป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้ำหรือ ส่เี หลี่ยมจตุรัส กำรสรำ้ งศำสนสถำนขนำดใหญ่ไว้กลำงเมอื ง ระบบชลประทำนท่ีมีกำรขุดสระน้ำไว้ใช้ ภำยในตัวเมือง และบริเวณใกลเ้ คียง นอกเหนือไปจำกกำรขุดคลองเชอื่ มตอ่ กับแม่น้ำเพ่อื นำน้ำมำใชใ้ น ตัวเมือง กำรก่อสร้ำงอำคำรท่ีนำเอำหินทรำยและศิลำแลง มำใช้ในกำรสร้ำงศำสนสถำนขนำดใหญ่ แทนกำรก่ออิฐถือปูนขนำดเล็ก และมีกำรตกแต่งอำคำรด้วยกำรสลักลวดลำยบนช้ินส่วน ประกอบ สถำปัตยกรรมที่เป็นหินทรำยเพิ่มเติม จำกกำรประดับตกแต่งลวดลำยปูนป้ัน รวมท้ังกำรผสมผสำน รปู แบบศิลปกรรมทวำรำวดกี บั ศิลปกรรมขอมเข้ำด้วยกนั เป็นเอกลักษณป์ ระจำถิน่ ไดเ้ ปน็ อย่ำงดี ๓.๒.๑.๕ เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมยั ลพบุรใี นจงั หวดั เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีเป็นชุมชนในแถบลุ่มแม่น้ำเพชรบุรีได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมขอมในช่วงเวลำน้ีน่ำจะมี กำรพัฒนำข้ึนในระดบั หน่ึง๕๖ คงมีกำรสร้ำงเมืองในรูปแบบของวัฒนธรรมขอมโบรำณเป็นรูปสี่เหล่ียม ข้ึนท่ีทำงฝ่ังตะวันออกของแม่น้ำเพชรบรุ ี (ปัจจุบนั อยู่ในเขตตำบลช่องสะแก อำเภอเมืองเพชรบุรี) ผล จำกกำรศกึ ษำจำกภำพถำ่ ยทำงอำกำศ พบวำ่ บริเวณเมืองเพชรบรุ มี ีร่องรอยของแนวคเู มืองและกำแพง เมือง ท่ีมีผังเป็นรูปสเี่ หล่ียมท่ีใกล้จะเป็นรูปสี่เหล่ียมจัตุรสั มำกกว่ำสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ ควำมยำวของแนวคู เมืองกำแพงเมืองแต่ละด้ำนกว่ำ ๑ กิโลเมตร เมืองน้ีใช้แม่น้ำเพชรบุรีเป็นคูเมืองด้ำนทิศตะวันตก ลักษณะของผังเมืองที่เป็นรูปส่ีเหลี่ยมแบบสม่ำเสมอเป็นเมืองที่มีอำยุหลังสมัยทวำรวดีมักพบมำก ในช่วงท่ีได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมขอมโบรำณลงมำจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยำตอนต้น จึงอำจกล่ำวได้ว่ำ รอ่ งรอยของแนวคูเมืองกำแพงเมอื งทห่ี ลงเหลอื อยู่นี้ เป็นร่องรอยของเมอื งตงั้ แตใ่ นช่วงที่ไดร้ ับอทิ ธพิ ล วฒั นธรรมขอม หลกั ฐำนท่ีเป็นเครอ่ื งสนบั สนนุ ควำมเป็นบำ้ นเปน็ เมอื งในช่วงเวลำนี้ คือ ๑) ปรำสำทกำแพงแลง ที่วัดกำแพงแลงหรือวัดเทพปรำสำทศิลำแลง ต้ังอยู่ในเขตตำบลท่ำรำบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี อยู่ห่ำงแม่น้ำเพชรบุรีมำทำงตะวันอ อก ประมำณ ๑ กิโลเมตร ช่อื ดั้งเดิมไมม่ ผี ู้ใดทรำบแนช่ ดั สำหรับช่ือที่เรียกกันวำ่ “กำแพงแลง” น้นั คงเป็น ช่ือทีผ่ ู้คนในสมยั หลังเรยี กกันตำมลกั ษณะท่ีพบเห็น เนื่องจำกภำยในวัดมีปรำสำทเขมรกอ่ ด้วยศลิ ำแลง และมีกำแพงศิลำแลงล้อมรอบ จำกลักษณะดงั กล่ำวจึงเป็นที่มำของชื่อวัดนี้ว่ำ \"กำแพงแลง\" หมำยถึง กำแพงวัดที่ก่อด้วยศิลำแลงนั่นเองจำกโบรำณสถำนที่ยังคงเหลือ เห็นเป็น ๖ หลัง แต่แท้ท่ีจริงเป็น ปรำสำท ๕ หลัง คือ แถวกลำง ๓ หลงั แถวหลัง ๒ หลัง ส่วนท่ีอยู่ขำ้ งหนำ้ (หลวงพ่อนิล) เป็นโคปุระ หรือ ซุ้มประตขู องกลุ่มศำสนสถำนแห่งน้ี ๕๖ สมั ภำษณ์ นำงสำว ธชั สร ตนั ตวิ งศ์, เจ้ำพนกั งำนพิพิธภณั ฑส์ ถำนแหง่ ชำติ พระนคร.วนั ที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๒๐ ภำพที่ ๓.๓๗ ปรำสำทกำแพงแลง ท่เี มอื ง \"ชยวัชรปุระ\" หรือจังหวัดเพชรบุรี จำกภำพ ที่ ปรำสำทท้ัง ๕ หลัง สัน นิษฐำนว่ำเป็นที่ประดิษฐำนรูปเคำรพ ใน พระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำน เพรำะไดป้ รำกฏพบ ประตมิ ำกรรมรปู เคำรพ ๔ องค์ คือ (๑) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี พบตรงบริเวณปรำสำททิศ ตะวันตก ลักษณะประติมำกรรมรูปพระโพธิสัตว์โลเกศวรเปล่งรัศมีท่ีพบ ทำจำกวัสดุศิลำทรำยขำว วรกำยชำรดุ หักพังในส่วนศีรษะ แขน และขำ แต่ยังคงพบศีรษะในบริเวณใกล้เคยี งอยู่ ลวดลำยบริเวณ พระวรกำยท่อนบนตรงบริเวณพระอุระปรำกฏพระพุทธรูปปำงสมำธิองค์เล็กประดับเรยี งเป็นแถว ถ้ำ สมบูรณ์ จะมี ๘ กร มีพระพุทธรูปปำงสมำธิประดับเหนือกระบังหน้ำ สวมพระธำมรงค์ท่ีมีหัวเป็น พระพุทธรูปปำงสมำธิท่ีน้ิวพระบำททั้งสบิ อันแสดงถงึ ภำวะเหนอื พระพุทธเจ้ำท้ังปวง (๒) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สี่กร พบในสภำพชำรุดเหลือเพียงส่วน พระวรกำยและท่อนแขน ๔ ทอ่ น ทรงภูษำสมพตในศิลปะเขมรแบบบำยน ถ้ำสมบูรณ์ จะมี ๔ กร กร ซ้ำยหน้ำถอื ดอกบวั กรขวำหนำ้ ถือหมอ้ นำ้ กรซ้ำยหลงั ถอื ประคำ กรขวำหลังถอื คัมภีร์ (๓) พระวัชรสัตว์นำคปรก หรือ พระชัยพุทธมหำนำถ พบในปรำสำท องค์กลำง (หลวงพ่อเพชร) เป็นพระพุทธรูปนำคปรก พบเพียงส่วนของพระพักตร์และพ ระอุระ ด้ำนหลังมีแผ่นหินสลักติดเป็นตัวนำคแผ่พังพำน ถ้ำสมบูรณ์จะเป็นพระพุทธรูปนำคปรก บนฐำน พญำนำคขด ปำงสมำธิ (๔) พระนำงปรัชญำปำรมิตำ พบเพียงส่วนเศียรเท่ำน้ัน ปัจจุบันเป็น สมบตั เิ อกชน โบรำณสถำนกลุ่มน้ี สันนิษฐำนว่ำ จะสร้ำงข้ึนในสมัยเม่ือขอมเรืองอำนำจ และมีอิทธิพล ขยำยเขำ้ มำถึงในดนิ แดนแถบน้ี ตงั้ แตส่ มัยพระเจ้ำชัยวรมัน ท่ี ๗ ประมำณ พ.ศ.๑๗๓๔ เพรำะปรำกฎ นำมเมืองในจำรกึ ปรำสำทพระขรรค์ กล่ำวถึงเมือง \"ศรีชยั วัชรปรุ ะ\" เชอื่ กันวำ่ เป็นเมอื งเพชรบุรี ลักษณะของศิลปกรรมและสถำปัตยกรรมที่ยังปรำกฏให้เห็น จะคล้ำยคลึงกับ สถำปัตยกรรมหลำย ๆ แห่ง ท่ีอำนำจของขอม เข้ำไปถึง ทั้งท่ีเมืองลพบุรี กำญจนบุรี ไปกระท่ังถึง

๑๒๑ สุโขทัย ศรีสัชชนำลัย ซ่ึงสถำปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบน้ีจะมีอิทธิพลกับสถำปัตยกรรมและ ศิลปกรรม ยุคต้น ของ อำณำจกั รไทย สมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ -๒๐ มำกพอสมควร เพชรบุรีปรำกฏในจำรึกสุโขทัยท้ัง ๒ หลักก็บ่งชัดว่ำเพชรบุรีมีฐำนะเป็นเมืองเมืองหนึ่ง ตำแหน่งท่ีต้ังของมหำธำตุน้ีอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรีทำงฝ่ังตะวันตก ซึ่งอยู่คนละฟำกกับเมืองในสมัยที่ ได้รบั อทิ ธิพลวัฒนธรรมขอม มีศูนยก์ ลำงอยทู่ ปี่ รำสำทวดั กำแพงแลง หำกว่ำวัดมหำธำตุได้สถำปนำขึ้น ในช่วงสมัยสุโขทัย บ้ำนเมืองทำงฝ่ังตะวันตกของแม่น้ำเพชรบุรี ก็คงมีควำมสำคัญอำจเป็นศูนย์กลำง ของเมืองในช่วงเวลำดังกล่ำว ในเอกสำรของชำวตะวันตกที่เข้ำมำในสมัยกรุงศรีอยุธยำยังได้บันทึก เร่ืองรำวของเมืองเพชรบุรี ไว้อีกหลำยท่ีด้วยกัน๕๗ เช่น Tome Piresชำวโปรตุเกสท่ีเดินทำงไปยัง อินเดียและมะละกำ ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ และได้ทำบันทึกเก่ียวกับเมืองท่ีสำคัญที่มีบทบำททำงกำรค้ำ ระหว่ำงโลกตะวันออกและตะวันตกเอำไว้โดยกล่ำวถึง เมืองเพชรบุรี (Peperim , Pepory) ว่ำเป็น เมอื งท่ำที่สำคัญ เมืองหน่ึงใน เขตฝ่ังตะวันออก แล้วยังเปน็ เมืองท่ีมีเจ้ำเมอื งปกครองเยี่ยงกษตั รยิ ์ และ ยังมสี ำเภำส่งไปค้ำขำยยงั ภมู ภิ ำคต่ำงๆดว้ ย จำกกำรศึกษำเส้นทำงพระพุทธศำสนำสมัยลพบุรี ในภำคตะวันตกของประเทศไทยซ่ึง ผวู้ ิจัยไดด้ ำเนินกำรเกบ็ รวมรวมขอ้ มูลในพน้ื ท่ีกลุ่มเป้ำหมำย คือจังหวัดกำญจนบุรี และจงั หวดั รำชบุรี ดังนำเสนอ ภำพท่ี ๓.๓๘ เส้นทำงพระพุทธศำสนำ สมยั ลพบุรีในภำคตะวันตก ๕๗ อำ้ งแลว้ , ธชั สร ตนั ตวิ งศ,์ ร่องรอยวัฒนธรรมเขมรในบรเิ วณล่มุ แม่นา้ แมก่ ลอง – ท่าจีน, หนำ้ ๗๙.

๑๒๒ จำกแผนภำพที่ ๓.๓๘ เส้นทำงพระพุทธศำสนำสมัยลพบุรี ในภำคตะวนั ตก ท่ีปรำกฏใน จังหวัดกำญจนบุรี สถำปัตยกรรมได้แก่ ปรำสำทเมืองสิงห์ พระพุทธรูปนำคปรก และ พระโพธิสัตว์ เปล่งรัศมี ส่วนในจังหวดั รำชบุรีได้แก่ ปรำสำทวัดมหำธำตุ และพระพทุ ธรูปซึ่งมีลักษณะเดยี วกับที่พบ ในจงั หวดั กำญจนบรุ ี ภาพที่ ๓.๓๙ แผนทแ่ี ละเส้นทางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาสมยั ลพบรุ ใี นกลางและภาคตะวันตก ๓.๒.๒ เส้นทางการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาสมัยลพบุรใี นภาคเหนือ ในหนังสือชินกำลมำลี ปกรณ์ เป็นภำษำบำลี ที่รจนำข้ึนโดย พระรัตนปัญญำ เถระ ชำวล้ำนนำ ระหวำ่ ง พ.ศ. ๒๐๖๐ – ๒๐๗๑ มีตำนำนเกี่ยวกับ ฤษวี ำสุเทพ ได้สร้ำงเมืองหริภุญ ไชย (ลำพูน) ใน พ.ศ. ๑๒๐๔ ต่อจำกนั้นอีก ๒ ปี ก็ได้ส่งทูตไปทำงเรอื ตำมแม่น้ำปิงลงไปยังเมืองลวปุ ระ (ลพบุรี) ทูลขอเช้ือสำยกษัตริย์ลวปุระให้ ข้ึนมำปกครองเมืองหริภุญไชย กษัตริย์ลวปุระจึงได้ พระรำชทำนพระนำงจำมเทวี พระรำชธิดำให้ขึ้นไปปกครองเมืองหรภิ ุญไชย สมัยนั้นในเมอื งลวปุระได้ นับถือพระพุทธศำสนำอยู่แล้ว เม่ือนำงจำมเทวีขึ้นมำปกครองเมืองหริภุญไชยจึงได้นำเอำ พระพุทธศำสนำจำกเมืองลวปรุ ะข้ึนมำเผยแผใ่ นเมอื งหรภิ ญุ ไชยด้วย รอ่ งรอยหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีท่ี

๑๒๓ เก่ียวข้องกับนำงจำมเทวี ซึ่งปรำกฏให้เห็นอยู่ในจังหวัดลำพูนปัจจุบันอย่ำงน้อย ๒ อย่ำง คือ ๑) วัด จำมเทวี ๒) เจดยี ์จำมเทวีหรือเจดกี ู่กุด ตั้งอยทู่ ี่ ตำบลในเมอื ง อำเภอเมอื งลำพนู จังหวดั ลำพูน ดังน้ี ๓.๒.๒.๑ วัดจำมเทวี ปัจจุบันต้ังอยู่ที่ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัด ลำพูน ในแผน่ ศิลำจำรกึ ประวัตวิ ัดจำมเทวี ไดใ้ หข้ อ้ มลู ไวว้ ำ่ “ประวัติวัดจามเทวี เดิมชาวบ้านเรียกว่า “วัดกุดกู่” สร้างโดยพระนางจามเทวี ปฐม กษัตริย์ แห่งหริภุญไชย ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ เม่ือ พระองค์มีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ได้สละราช สมบัติออกบวชบาเพ็ญ พรตอยู่ ณ วัดน้ี จนถึง พุทธศักราช ๑๒๗๖ พระชนมายุได้ ๙๒ พรรษา แม่ชี จามเทวีได้สวรรคต เจ้าชายมหันตยศ พระราชโอรส ได้ถวายพระเพลิงพระสรรี ะ และไดส้ ร้างเจดียส์ เ่ี หลยี่ ม บรรจุอัฐิธาตุของพระองค์ในเจดีย์นี้ ต่อมาวัดจามเทวี ได้ร้างไป จนกระท่ังปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ สมเด็จพระ บรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ เสด็จ ประพาสภาคเหนือ ทรงสารวจโบราณสถานของวัดนี้ ทรงปรารภว่า พระนางจามเทวีได้สร้างวัดนี้ข้ึน จึงได้ ให้เปลี่ยนช่ือใหม่ว่า “วัดจามเทวี” ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๗๙ พลตรีเจ้าจักรคาขจรศักด์ิ ผู้ครองนครหริภุญ ภำพที่ ๓.๔๐ แผนศลิ ำจำรกึ ประวตั วิ ัดจำเทวี ไชยองค์สดุ ทา้ ย ไดอ้ าราธนา พระครูบาศรวี ชิ ัย นักบุญ แหง่ ลานนาไทยบูรณะขน้ึ มาใหม่ ใหม้ ีพระสงฆส์ ามเณรอย่ปู ระจาจนทกุ วนั นี้”๕๘ ประวัตวิ ัดแห่งนี้ได้ทำให้เห็นถึงควำมเปน็ มำของวัดและผู้ที่สร้ำงวดั น้กี ็คอื นำงจำมเทวี ซ่ึง เป็นพระรำชธิดำของกษัตริย์แห่งละไว้ ซึ่งมีควำมสอดคล้องกันกับเรื่องท่ีปรำกฏอยู่ในหนังสือชินกำล มำลี ปกรณ์ เปน็ สง่ิ แสดงให้เหน็ ว่ำนำงจำมเทวี เมื่อพระองคไ์ ดเ้ สด็จจำกละโว้เพอ่ื มำเปน็ กษตั รีในเมือง หิภญุ ไชยนน้ั ไดน้ ำเอำพระพุทธศำสนำจำกละโว้ (ลพบรุ ี) ขึน้ มำเผยแผ่ในดนิ แดนแห่งนีด้ ว้ ย ๓.๒.๒.๒ เจดีย์จำมเทวีหรือเจดีกู่กุด ตั้งอยู่ในวัดจำมเทวี ตำบลในเมือง อำเภอ เมืองลำพูน จังหวดั ลำพูน เจดีย์น้ีชำวบ้ำนเรยี กวำ่ เจดีย์กู่กุด ท่ีมำของชอื่ น้เี กิดจำกสว่ นยอดของเจดยี ์ท่ี ขำดหำยไป ลักษณะของเจดียน์ ้ีเปน็ ปรำสำททรงส่เี หล่ียม มีเรือนธำตุเปน็ แถวซอ้ นชนั้ ลดหลน่ั กนั ขึ้นไป มีอยู่ท้ังหมด ๕ ชน้ั แต่ละช้ันมีพระพุทธรูปประดิษฐำนในซุ้มจระนำด้ำนละ ๓ องค์ ในช้ันหนึ่งมีอยู่ ๔ ดำ้ น จึงมีพระพุทธรูปอยู่ช้ันละ ๑๒ องค์ เม่ือรวมท้ังหมด ๕ ชั้น จึงมีพระพุทธรูปอยู่ท้ังหมด ๖๐ องค์ พระพุทธรูปแต่ละองค์ทำด้วยปูนปั้น อยู่ในอิริยำบถยืน ซึ่งเช่ือกันว่ำเจ้ำชำยมหันตยศ พระรำชโอรส ของพระนำงจำมเทวี ได้สรำ้ งเจดยี ์สี่เหลยี่ มบรรจุอัฐิธำตุของพระนำงจำมเทวีในเจดียน์ ้ี แผ่นศิลำจำรึก ประวตั เิ จดีย์กู่กดุ (ก่กู ฏุ )ิ ซ่ึงอยใู่ นวดั จำมเทวี ไดใ้ ห้ข้อมูลไว้ว่ำ ๕๘ จำรึกบนแผน่ ป้ำยศลิ ำ, ประวตั วิ ดั จามเทวี, ตำบลในเมอื ง อำเภอเมืองลำพูน จังหวดั ลำพนู , ขอ้ มลู ณ วันที่ ๒๘ มีนำคม ๒๕๖๐.

๑๒๔ “ เจดีย์กู่กุดนี้ได้มีประวัติการก่อสร้างท่ี ชัดเจน เดิมมีความชื่อเกี่ยวกับการก่อสร้างเจดีย์องค์น้ี ๒ ประเด็น คือ ๑) เจดีย์สุวรรณจังโกฏิท่ีเจ้ามหันตยศสร้าง ขน้ึ เพอื่ บรรจอุ ัฐิพระนางจามเทวี ๒) เชอ่ื ว่าเปน็ เจดยี ์มหา พล ที่พระเจ้าอาทิตยราชสร้างข้ึนบริเวณทุ่งมหาพล เพื่อ เป็นที่ระลึกคร้ังชนะสงครามกับทัพชาวละโว้ในราวปลาย พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ชื่อ “กู่กุด” น้ันมาจากส่วนยอดของ เจดีย์ท่ีหักหายไป ส่วน “กู่กุฏิ” หมายถึง “กุฏาคาร” หรือ อาคารที่พักสงฆ์ ซ่ึงอาจหมายถึงพระพุทธรูบท่ี ประดับอยู่ในซุ้มจระนารอบองค์เจดีย์ เจดีย์กู่กุด เป็น เจดย์ทรงปราสาทในผังส่ีเหล่ียมซ้อนลดหล่ันกัน ๕ ชั้น แต่ละช้ันมีซุ้มจระนาประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ภำพที่ ๓.๔๑ เจดียจ์ ำมเทวีหรือเจดยี ์กกู่ ุด ประทับยืนแสดงปางประทานอภัยศิลปะหริภุญไชย อายุ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ จานวนรวมทงั้ สิน้ ๖๐ องค์ ซ่งึ เชอื่ ว่าเป็นรปู แบบทีเ่ กิดจากการปฏิสงขรณ์ของ พระเจา้ สววาธสิ ทิ ธิ ในชว่ งต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดงั หลักฐานทีป่ รากฏในศิลาจารึกวดั กกู่ ดุ (ลพ ๒)”๕๙ ข้อสังเกตประกำรหนึ่งเร่ืองรำวของ “พระนำงจำมเทวี” ผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับกำรสร้ำง เจดีย์กกู่ ดุ นี้ มีปรำกฏอย่ใู นหนังสือ “ตำนำนมลู ศำสนำ” แต่งเปน็ ภำษำไทยเหนือ ใช้อักษรธรรมจำรบน ใบลำน มีควำมยำว ๑๐ ผูก แต่งขึ้นประมำณ พ.ศ. ๑๙๐๐ โดยพระพุทธพุกำมและพระพุทธญำณ เถระ ปรำชญ์ชำวลำ้ นนำ เร่ืองพระนำงจำมเทวีนี้ได้มีปรำกฏอยู่ในหนังสือ “ชินกำลมำลีปกรณ์” แต่ง เป็นภำษำบำลี แต่งขึ้นประมำณ พ.ศ. ๒๐๖๐ โดยพระรตั นปัญญำ ปรำชญ์ชำวลำ้ นนำ และเรอ่ื งพระ นำงจำมเทวี ยังมีปรำกฏอยู่ในวรรณกรรมล้ำนนำเร่ือง “จำมเทวีวงศ์” เป็นหนังสือภำษำบำลี มี ๑๔ ปริจเฉท นำ่ จะแต่งขึ้นในรำว พ.ศ. ๑๙๕๐-๒๐๖๐ โดยพระรงั สี ปรำชญ์ชำวล้ำนนำ สันนิษฐำนกันว่ำ วรรณกรรมเร่ือง ชินกำลมำลปี กรณ์และจำมเทวีวงศ์ ผู้แต่งอำจจะแปลมำจำกวรรณกรรมเรื่อง ตำนำ นำนมูลศำสนำ เพรำะมีเน้ือหำในแนวเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำและ ประวัติศำสตร์ของล้ำนนำ โดยขอ้ สันนษิ ฐำนน้ีเกิดจำกวรรณกรรมเรื่องตำนำนมูลศำสนำมอี ำยุเก่ำกว่ำ จึงนำ่ จะเปน็ เปน็ ตน้ แบบให้เกิดวรรณกรรมชนิ กำลมำลีปกรณ์และจำมเทววี งศ์ที่เกดิ ขน้ึ ในภำยหลงั จำก หลักฐำนทำงโบรำณคดที ี่ไดน้ ำเสนอไวน้ ี้เปน็ สงิ่ แสดงให้เห็นวำ่ สมัยลพบุรพี ระพุทธศำสนำได้เผยแผข่ ้ึน ไปยังหรภิ ญุ ไชย ซงึ ปัจจบุ นั คอื จงั หวัดลำพูนที่อยูใ่ นทำงภำคเหนอื ของประเทศไทย ๕๙ จำรกึ บนแผน่ ปำ้ ยศิลำ, เจดยี ์กู่กุด (กกู่ ุฏิ), ตำบลในเมอื ง อำเภอเมืองลำพนู จังหวัดลำพูน, ข้อมูล ณ วนั ท่ี ๒๘ มนี ำคม ๒๕๖๐.

๑๒๕ ภำพที่ ๓.๔๒ แผนทแี่ ละเส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมัยลพบุรใี นภำคเหนอื ๓ .๒ .๓ เส้ น ท างก ารเผ ย แ ผ่ พ ร ะ พุ ท ธ ศ าส น าส มั ย ล พ บุ รีใน ภ าค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวนั ออก อทิ ธพิ ลของวัฒนธรรมอินเดยี ท่แี ผ่ขยำยเข้ำมำสเู่ อเชียตะวันออกเฉยี งใต้ตัง้ แต่รำว พุทธศตวรรษท่ี ๔– ๕ กลำยมำเป็นวัฒนธรรมผสมกับท้องถ่ินที่เรียกว่ำ “วัฒนธรรมทวำรวดี”๖๐ (Dvaravati Culture) ขยำยตัวจำกภูมิภำคตะวันตกของคำบสมุทร จำกลุ่มน้ำเจ้ำพระยำ – แม่กลอง เข้ำสู่ภูมิภำคอีสำนต้ังแต่รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๐– ๑๒ ร่องรอยหลักฐำนในยุค “หัวเล้ียวหัวต่อ” ของ วัฒนธรรมอนิ เดีย ต่อมำรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔– ๑๕ อิทธพิ ลทำง ”วฒั นธรรมและกำรปกครอง” จำก กลุ่มชนในเขตเขมรต่ำ (ขะแมร์กรอม) ท่ีมีศูนย์กลำงอยู่ที่ “ศรียโสธรปุระ” ได้เร่ิมแผ่ขยำยเข้ำมำสู่ ภูมิภำคอีสำน ทำให้อำนำจทำงกำรทหำร กำรปกครองและวัฒนธรรมของอำณำจักรกัมพุช๖๑ ได้แผ่ ขยำยขึ้นมำสู่บ้ำนเมืองในกลุ่มภูมิภำคอีสำนใต้หรือเขมรสูง (ขะแมร์ลือ) ผสมกลมกลืน เข้ำกับชุมชน โบรำณแบบวัฒนธรรมทวำรวดี ผู้คนชุมชนของทั้งเขตเขมรสูงและเขตเขมรต่ำจึงได้ถูกเช่ือมโยงกัน อย่ำงสมบรู ณ์ ๖๐ สด แดงเอียด. การปฏิบตั ิงานขุดสารวจแหล่งโบราณคดที โ่ี คกพลับ จงั หวดั ราชบรุ ี, ในศิลปำกร . ปที ี่ ๒๒ ฉบับท่ี ๔ พฤศจกิ ำยน.๒๕๔๑, หนำ้ ๓๓ - ๓๖. ๖๑ พิริยะ ไกรฤกษ์ . การปรบั เปลยี่ นอายพุ ุทธศิลปใ์ นประเทศไทย.วารสารเมอื งโบราณ, ปีที่ ๒๕ ฉบับ ท่ี ๒ เมษำยน-มิถุนำยน.๒๕๔๒, หน้ำ ๕๑ .

๑๒๖ กำรเช่ือมโยงกันของบ้ำนเมืองในสองภูมิภำคท่ีมีระยะทำงห่ำงไกลกว่ำ ๒๕๐ กโิ ลเมตร๖๒ ปรำกฏหลักฐำนท่ีเป็นรอ่ งรอยของเครือ่ งมือเครื่องใช้ ท้ังภำชนะดินเผำและเครื่องใช้โลหะ ในรูปแบบของวัฒนธรรมขอม ที่พบได้โดยท่ัวไปบนเมืองโบรำณรูปวงกลมในวัฒนธรรมทวำรวดีเดิม แสดงให้เห็นถึงกระบวนกำร “ซ้อนทับ” ของวัฒนธรรมขอมบนพ้ืนฐำนของผู้คนและวัฒนธรรมแบบ ทวำรวดีในยุคก่อนหน้ำได้อย่ำงชัดเจน อีกท้ังยังปรำกฏกำรสร้ำงศำสนสถ ำนในรูปแบบ ของ “ปรำสำท” ด้วยอิฐและศิลำแลงในศิลปะแบบขอมยุคต้นกระจำยตัวอยู่ใกล้เคียงกับชุมชนตำม เมืองโบรำณเดมิ ดงั ที่แสดงในแผนภำพท่ี ๓.๔๓ ภำพที่ ๓.๔๓ แสดงปรำสำททเี่ ชื่อมโยงจำกเมืองพระนครถงึ เมืองพิมำย จำกแผนภำพที่ ๓.๔๓ เส้นทำงจำกพระนครหรือนครธม มำยังเมืองพิมำยหรือวิมำยะปุ ระ๖๓ ถือเป็นเส้นทำงท่ียำวและไกลท่ีสุด สำเหตุท่ีต้องมีกำรเดินทำงไกลขนำดนั้น ข้อมูลส่วนหน่ึงระบุ ชัดเจนว่ำ ไม่ใช่กำรขยำยหรือเผยแพร่อำณำจกั ร แต่เป็นไปเพ่อื เสำะแสวงหำและแลกเปล่ยี นทรัพยำกร เหล็กและเกลือ ซ่ึงมีมำกในแถบภำคตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบัน๖๔ นอกจำกนี้อีกหน่ึงควำมเช่ือที่ สำคญั คอื กำรสร้ำงบำรมแี ละควำมยงิ่ ใหญ่ด้วยกำรทำนุบำรุงพระพทุ ธศำสนำ ก็เป็นอีกหนง่ึ เหตุผลทท่ี ำ ให้เรำพบควำมเช่ือมโยงของพระพุทธศำสนำ และศำสนำพรำหมณ์ –ฮินดู บนเส้นทำงสำยปรำสำทนี้ แบบแยกออกจำกกันได้ยำก เพ่ือแสดงให้เห็นถึงควำมสัมพันธ์ของอำรยธรรมดังกล่ำว คณะผู้วิจัยจึง ๖๒ วัฒนะ บุญจับ และคนอื่น ๆบรรณำธิกำร, ศิลปวัฒนธรรมไทย, (กรุงเทพมหำนคร: กระทรวง วฒั นธรรม, ๒๕๕๒), หนำ้ ๔๕. ๖๓ อ้ำงแลว้ , พจนก กำญจนจันทร และคณะ, การสารวจวฒั นธรรมโบราณลุ่มแม่นา้ แม่กลอง – ทา่ จีน ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ ด้วยเทคโนโลยสี อ่ื ระยะไกล (Remote Sensing), หน้ำ ๖๐ – ๖๕. ๖๔ สัมภำษณ์ นำงสำว ธัชสร ตันติวงศ์, เจ้ำพนักงำนพิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๒๗ นำเสนอตัวอย่ำงของจังหวัดกลุ่มเป้ำหมำยในภำคตะวันออกเฉียงเหนือและภำคตะวันออกท่ีได้รับ อทิ ธิพลของพระพุทธศำสนำในสมัยลพบรุ ไี ว้ ๕ จงั หวดั คอื ๑) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัย ลพบรุ ใี นจังหวัดสุรนิ ทร์ ๒) เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยลพบุรใี นจังหวัดบุรีรัมย์ ๓) เส้นทำง กำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดนครรำชสีมำ ๔) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ สมัยลพบุรีในจังหวัดปรำจีนบุรี และ ๕) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัด สระแกว้ ซง่ึ จะไดน้ ำเสนอตำมลำดบั ดงั น้ี ๓.๒.๓.๑ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์มีอำณำเขตต่อเน่ืองกับพ้ืนท่ีที่เคยเป็นอำณำจักรขอมโบรำณ๖๕ ทำให้ชุมชนในจังหวัด สุรินทรไ์ ด้รับวัฒนธรรมขอมมำโดยตลอดตงั้ แต่ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ เปน็ ตน้ มำ โดยในชว่ งแรก ได้ พบหลักฐำนเป็นแบบพนมดำรำว พ.ศ.๑๑๐๐- ๑๑๕๐ ที่อำเภอพนมดงรัก และจำรึกวัดจุมพล พบที่ วัดจุมพลสุทธำวำส อำเภอเมืองสุรินทร์ อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๓ รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓- ๑๔ ในยุคแรกอำณำจักรขอม แยกเป็น ๒ ส่วน คือ เจนละบก และเจนละน้ำ สำหรับเขตจังหวัด สุรินทร์ ดินแดนนี้เป็นส่วนหน่ึงของเจนละบก ปรำกฏชุมชนวัฒนธรรมขอมท่ีเก่ำแก่ที่สุดในภำค ตะวันออกเฉียงเหนือที่บ้ำนภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ จัดเป็นชุมชนระดับเมืองท่ีมีศำสนำสถำน สำคัญ คือ ปรำสำทภูมโิ ปน เป็นศนู ย์กลำง ปรำสำทดังกล่ำวร่วมสมัยกบั ศิลปะขอมแบบไพรกเม็ง รำว พ.ศ.๑๑๘๐–๑๒๕๐ ต่อมำอำณำจักรขอมรวมกันอีกคร้ังในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕๖๖ โดยมีศูนย์กลำงท่ีเมือง พระนคร หลักฐำนวัฒนธรรมขอมในช่วงเวลำนี้ ได้แก่ ปรำสำทหม่ืนชยั และปรำสำทบ้ำนจำรย์ อำเภอ สังขะ ซ่ึงร่วมสมัยกบั ศิลปะขอมแบบเกำะแกร์ รำว พ.ศ.๑๔๖๕ – ๑๔๙๐ และพบหลักจำรึกในรัชกำล พระเจ้ำรำเชนทรวรมัน รำว พ.ศ. ๑๔๘๗ - ๑๕๑๑ ภำยในบริเวณตัวเมืองสุรินทร์ หลักฐำนกำรเป็น ชุมชนในวัฒนธรรมขอมเพ่ิมเติมจำนวนมำกขึ้น เชน่ ปรำสำทบ้ำนพลวง ปรำสำทนำงบัวตูม ปรำสำท ตำเหมอื นธม ปรำสำทศรขี รภูมิ และนำ่ จะรวมถึงเมืองสรุ นิ ทรโ์ บรำณช้ันนอกด้วย ในตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ กษัตริย์แห่งอำณำจักรขอมคอื พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗๖๗ ทรงนบั ถอื พระพทุ ธศำสนำลัทธิมหำยำน มี หลักฐำนท่ีกล่ำวไว้ในศิลำจำรึกว่ำ พระองค์โปรดให้สร้ำงที่พักคนเดินทำง(จำรึกปรำสำทพระขรรค์) และสร้ำงอโรคยำศำล หรือสถำนพยำบำลข้ึนในชมุ ชนตำ่ ง ๆ เป็นจำนวนมำก (จำรึกปรำสำทตำพรหม) สำหรับในจังหวดั สรุ นิ ทรไ์ ด้พบส่งิ ก่อสรำ้ งตำ่ ง ๆ หลำยแห่ง เช่น ปรำสำทจอมพระ ปรำสำทชำ่ งปี และ ปรำสำทตำเมืองโต๊ด เป็นต้น ปรำสำทที่กล่ำวมำดังข้ำงต้น มีท้ังที่สร้ำงจำกควำมเช่ือทำงศำสนำ พรำหมณ์ – ฮินดู และทำงพระพุทธศำสนำ ลัทธิมหำยำน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์งำนวจิ ัย จึงขอนำเสนอเพียงปรำสำทที่เป็นเส้นทำงเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำเท่ำนั้น ดังนี้ ๖๕ อ้ำงแล้ว, ธชั สร ตันติวงศ์, ร่องรอยวัฒนธรรมเขมรในบรเิ วณลุ่มแมน่ า้ แม่กลอง – ทา่ จนี , หนำ้ ๖๖. ๖๖ สนั ติ เลก็ สุขมุ , ศิลปะในประเทศไทย ต้ังแต่ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ – ๑๘, ภำควิชำประวตั ศิ ำสตร์ ศลิ ปะ บณั ฑิตวทิ ยำลยั มหำวทิ ยำลยั ศิลปำกร, ๒๕๔๓, หน้ำ ๕๔. ๖๗ สุภัทรดิศ ดิศกุล,หม่อมเจ้ำ. ศิลปะในประเทศไทย, (พิมพ์คร้ังที่ ๑๓). กรุงเทพฯ: มหำวิทยำลัย ศลิ ปำกร,๒๕๕๐, หน้ำ ๕๐.

๑๒๘ ๑) กลุ่มปรำสำทตำเหมือนโบรำณสถำนกลุ่มปรำสำทตำเหมือน ตง้ั อยู่ท่ี บ้ำนหนองคันนำ ตำบลตำเมียง เป็นโบรำณสถำนแบบขอม ๓ หลัง ต้ังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ติด แนวชำยแดนประเทศไทยและกมั พชู ำ๖๘ แผนภำพที่ ๓.๔๔ แสดงทีต่ ง้ั กลมุ่ ปรำสำทตำเหมือนอำเภอพนมดงรกั จงั หวดั สรุ นิ ทร์ (๑) ปรำสำทตำเหมือนเป็นศำสนสถำนของพระพุทธศำสนำลัทธิ มหำยำน สร้ำงขน้ึ เพื่อเปน็ ธรรมศำลำหรือท่พี ักคนเดินทำงแห่งหน่งึ ใน ๑๗ แห่งทีพ่ ระเจ้ำชัยวรมนั ที่ ๗ มหำรำชองคส์ ุดทำ้ ยแห่งเมืองพระนคร โปรดให้สรำ้ งขึน้ จำกเมืองยโสธรปรุ ะ เมืองหลวงของอำณำจักร ขอมโบรำณไปยังเมืองพิมำย ปรำสำทตำเหมือนเป็นศิลปะขอมสร้ำงด้วยศิลำแลงเช่นเดียวกับ โบรำณสถำน สมัยพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ท่ีพบในดินแดนประเทศไทย๖๙ มีลักษณะเป็นปรำงคอ์ งค์เดียว มีห้องยำวเชื่อมต่อมำทำงด้ำนหน้ำ ผนังด้ำนเหนือปิดทึบ แต่สลักเป็นหน้ำต่ำงหลอก ส่วนด้ำนใต้มี หน้ำต่ำงเรยี งกันโดยตลอด เคยมผี ู้พบทับหลงั เปน็ รปู พระพทุ ธรปู ปำงสมำธใิ นซุม้ เรอื นแกว้ ๒-๓ ช้ิน ๖๘ พิรยิ ะ ไกรฤกษ์, ขอ้ คดิ เหน็ เก่ยี วกนั แบบศิลปใ์ นประเทศไทย, กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปำกร . ๒๕๕๐ ๖๙ ดุสิต ทุมมำกรณ์, ข้อคิดเห็นบางประการเกี่ยวกับปราสาทบ้านสาโรง จารึกปราสาทพระขรรค์ และอานาจทางการเมอื งของพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗, กรุงเทพฯ:กรมศลิ ปำกร, ๒๕๕๑, หน้ำ ๗๖ – ๗๘.

๑๒๙ ภำพที่ ๓.๔๕ กล่มุ ปรำสำทตำเหมอื นตำบลตำเมียงอำเภอพนมดงรกั จงั หวดั สุรินทร์ (๒) ปรำสำทตำเมือนธม อยู่ถัดจำกปรำสำทตำเมือนโต๊ดไปทำงทิศใต้ ประมำณ ๒๐๐ เมตร เปน็ ปรำสำทขนำดใหญ่ท่ีสุดในกลุ่มปรำสำทตำเมือน บนแนวเทือกเขำพนมดง รกั ประกอบดว้ ยปรำงค์สำมองค์ โบรำณสถำนแห่งน้ีคงจะสรำ้ งข้นึ ในรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (๓) ปรำสำทตำเหมอื นโตจ เป็นอโรคยำศำล สรำ้ งข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ยังคงสภำพเกือบจะสมบูรณ์ ประกอบด้วยปรำงค์ประธำนรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสมีมุขยื่นทำงด้ำนหน้ำ ก่อด้วยศิลำแลงและหินทรำย มีบรรณำลัยอยู่ทำงด้ำนหน้ำเยื้องไปทำงขวำขององค์ปรำงค์ ล้อมรอบ ด้วยกำแพงกอ่ ศลิ ำแลงเช่นเดียวกัน มซี ุ้มประตู (โคปรุ ะ) อยู่ด้ำนหน้ำ คอื ด้ำนทศิ ตะวนั ออกเพียงด้ำน เดยี ว นอกกำแพงด้ำนหน้ำมีสระน้ำเชน่ เดยี วกบั อโรคยำศำลแหง่ อน่ื ๆ ตรงห้องกลำงของโคปุระได้พบ ศิลำจำรึก ๑ หลัก จำรึกดว้ ยอกั ษรขอมภำษำสนั สกฤต เปน็ จำรึกซ่งึ พระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ โปรดให้สร้ำง ไว้ประจำอโรคยำศำลแห่งน้ี มีข้อควำมเช่นเดียวกับจำรึกที่พบที่อโรคยำศำลแห่งอ่ืน ๆ คือ กล่ำว นมสั กำรพระพุทธเจ้ำพระไภษัชยครุ ุไวฑรู ยะ ซ่ึงเป็นพระโพธิสตั ว์ผู้ประทำนควำมไม่มโี รคแกป่ ระชำชน ผู้นับถือและกล่ำวถึง กำรแต่งตั้งเจ้ำหน้ำที่ประจำสถำนพยำบำลในแผนกต่ำง ๆ เช่น แพทย์ ผู้ดูแล สถำนพยำบำล ปัจจุบันจำรึกหลักน้เี กบ็ รกั ษำไว้ท่ีหอสมุดแหง่ ชำตทิ ่ำวำสุกรี ๒) พระชัยพุทธมหำนำถในสมัยขอมพระนครมีอำนำจปกครอง เมื่อไพร่ทำส ประชำชนผู้เจ็บป่วยต้องกำรรักษำโรคท้ังทำงกำยและใจ ก็จะเดินทำงตำมเส้นทำงโบรำณเพื่อมำพัก รักษำตัวอยู่ด้ำนนอก ส่วนใหญ่จะต้องมำพักอำศัยอยู่หลำยวันเพรำะหนทำงไกล ต้องใช้กำรเดินเท้ำ เปน็ ส่วนใหญ่ แต่ละวันจะมีประชำนและผูป้ ว่ ยเข้ำมำบูชำพระโพธิสัตวแ์ ห่งกำรบริบำลอยู่ด้ำนหนำ้ ชำน ชำลำและศำลำบูชำท่ีสร้ำงด้วยไม้ด้ำนนอก ไม่มีสิทธ์ิล่วงเข้ำไปในเขตมณฑลศักด์ิสิทธิ์ภำยในกำแพง

๑๓๐ ปรำสำทสุคตำลัยอย่ำงเด็ดขำด ดังนั้นพระพุทธปฏิมำกรนำคปรกแบบมีอุษณีษะตำมแบบ “พระชัย พุทธมหำนำถ” จงึ เปน็ ที่พึง่ ของประชำชนในยคุ นนั้ ไดอ้ ย่ำงดี๗๐ ภำพที่ ๓.๔๖ “พระชยั พทุ ธมหำนำถ” พิพิธภณั ฑสถำนแหง่ ชำติสรุ ินทร์ สรุป จังหวัดสุรินทร์เป็นพื้นท่ีซึ่งมีชุมชนโบรำณกระจัดกระจำยมำกมำย กำรตั้งชุมชน โบรำณของมนษุ ยใ์ นสมยั โบรำณน้นั จะขึ้นอยู่กบั สภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติ ไดแ้ ก่ แหล่งน้ำ ควำมสูง ตำ่ ของพ้ืนที่ ควำมอุดมสมบูรณ์ของดนิ และแหลง่ ทรัพยำกรธรรมชำติ ดังน้ัน จึงพบว่ำลักษณะกำรตั้ง ชมุ ชนส่วนใหญ่จะตั้งอย่บู นเนนิ ดินหรอื ลมุ่ ใกล้บริเวณแหล่งนำ้ มกี ำรสร้ำงคนู ำ้ และคันดินลอ้ มรอบ ชุมชนโบรำณท่ีพบในเมืองสุรินทร์ได้ปรำกฏหลักฐำนจำกภำพถ่ำยทำงอำกำศมีจำนวน มำกถึง ๙๒ แหง่ จังหวัดสรุ นิ ทร์จึงเป็นส่วนหนง่ึ ของพ้นื ที่ทไี่ ด้รับอิทธพิ ลทำงวัฒนำธรรมจำกอำณำจกั ร โบรำณท่ีปรำกฏในดินแดนประเทศไทย คือ อำณำจกั รทวำรวดี อำณำจกั รฟูนนั อำณำจักรเจนละ และ อำณำจกั รขอม ซึง่ มีอำยปุ ระมำณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ลงมำโดยสันนษิ ฐำนจำกลกั ษณะของรูปแบบกำร ตงั้ ชุมชนกล่ำวคอื ชมุ ชนโบรำณท่มี ีอำยุเกำ่ แก่อทิ ธพิ ลสมัยอำณำจักรทวำรวดี มักอยูใ่ นบริเวณท่รี ำบลุ่ม และมีผังเมืองเป็นรูปวงรีหรือทรงกลม ขอบเขตหรือแนวเส้นของเมืองเป็นแบบไม่สม่ำเสมอตลอดทั้ง พ้นื ทไ่ี มค่ อยเปน็ ระเบยี บนัก ส่วนชุมชนโบรำณที่มีอำยุเก่ำแก่สมัยอำณำจักรขอมที่เรียกว่ำศิลปะลพบุรีนั้น จะมี ลักษณะกำรสร้ำงชุมชนอยู่บนเนินดินสูงหรือท่ีลำดเชิงเขำลักษณะของผังเมืองเป็นรูปสี่เหล่ียม ผืนผ้ำ หรือส่ีเหลีย่ มจตั ุรัสและนิยมสร้ำงอำ่ งเก็บนำ้ รปู สี่เหลี่ยมขนำดใหญ่ทีเ่ รียกว่ำ “บำรำย” ไวใ้ ช้แทนแหล่ง น้ำธรรมชำติ นอกจำกน้ียังมีกำรสร้ำงศำสนำสถำนไว้ประกอบพิธที ำงศำสนำด้วย ๗๐ สมั ภำษณ์ นำยวิษรุต วะสกุ ัน, เจำ้ พนกั งำนพิพิธภัณฑ์สถำนแหง่ ชำติ พระนคร, วนั ที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook