Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-07-02 00:57:24

Description: 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Search

Read the Text Version

๑๓๑ ๓.๒.๓.๒ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์จำกกำรศึกษำของนักโบรำณคดีพบหลักฐำนกำรอยู่อำศัยของมนุษย์มำต้ังแต่สมัยก่อน ประวัติศำสตร์ สืบเน่ืองมำถึงสมัยทรำวดี และส่งิ สำคญั ท่ีพบอยู่ท่ัวไปในจังหวัดบุรีรัมย์คือ๗๑ หลักฐำน ทำงวัฒนธรรมขอมโบรำณ ซ่ึงมที ้ังปรำสำทอฐิ และปรำสำทหนิ เป็นจำนวนมำกกว่ำ ๖๐แห่ง รวมทัง้ ได้ พบแหล่งโบรำณคดีท่ีสำคัญคือเตำเผำ๗๒ ภำชนะดินเผำ และภำชนะดินเผำแบบที่เรียกว่ำเครื่องถ้วย เขมร ซ่ึงกำหนดอำยุไดป้ ระมำณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ถึง ๑๘ อยู่ทั่วไปซง่ึ ถ้ำหำกเรำดจู ำกแผนท่ี จะเห็น ว่ำจงั หวดั บุรีรัมยม์ ีชำยแดนท่ีติดกับประเทศกมั พูชำ ดงั น้ันกำรไดร้ ับอิทธิพลจำกขอม จึงเป็นเสน้ ทำง ใกลช้ ิดมำกจำกกำรที่ชุมชนบริเวณจังหวดั บุรีรัมย์ได้รับวัฒนธรรมและควำมเช่ือในศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู ผ่ำนเข้ำมำทำงกำรค้ำขำยสินค้ำ ระหว่ำงพระนคร – เมืองพิมำย ทำให้ศลิ ปะของขอมได้รับกำร พัฒนำพ้ืนที่แถบน้ี แม้ว่ำต่อมำในบำงสมัย ขอมจะเปลย่ี นไปนับถอื พระพุทธศำสนำ ลัทธิมหำยำน ซ่ึง ทั้งสองศำสนำจะเจรญิ รุง่ เรอื งตำมแตก่ ษัตริยท์ นี่ บั ถอื แต่ละศำสนำตำมยคุ สมยั น่ันเอง จำกประวัติศำสตร์ท่ียำวนำนของขอม จึงทำให้ชุมชนเมืองโบรำณมีกำรพัฒนำด้ำนงำน ศลิ ปกรรมทล่ี งตัวระหว่ำงทวำรวดี และขอมจนเกิดเป็นเอกลกั ษณ์เป็นของตัวเอง แล้วยงั แผ่อทิ ธิพลไป ในเมืองตำ่ ง ๆ บริเวณใกล้เคียงด้วย เส้นทำงอำรยธรรมขอมเข้ำมำสู่ดินแดนบริเวณชำยแดนประเทศ ไทย สจู่ งั หวัดบรุ รี ัมยในสมัยรำว ๆ พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ในสมัยอำณำจักรเจนละ ซ่งึ ตรงกบั ยุคทวำรวดี ของไทย โดยเข้ำมำทำงภำคอีสำนเป็นแห่งแรก ซ่ึงเข้ำมำโดยผ่ำนทำงศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดู และ พระพุทธศำสนำลัทธิมหำยำน ซ่ึงในท่ีนี้ ผู้วิจยั จะนำเสนอเพียงอิทธิพลของพระพุทธศำสนำที่ส่งผลถึง สถำปัตยกรรม และประติมำกรรมในจงั หวัดบุรรี มั ย์ และ ดงั นี้ ๑) ปรำสำทกุฏิฤำษีตั้งอยู่ที่ บ้ำนโคกเมือง ตำบลจรเข้มำก อำเภอประ โคนชัย จังหวัดบุรีรมั ย์ เป็นปรำสำทศิลำแลงขนำดเล็กท่ีเป็นสิ่งก่อสร้ำงในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เช่ือว่ำ เป็นอโรคยำศำล เช่นเดียวกับกุฏิฤำษีหนองบัวรำย องค์ประกอบเป็นปรำงค์ก่อด้วยศิลำแลงและหิน ทรำย ฐำนเป็นรูปส่ีเหลี่ยม ย่อมุมด้ำนทิศตะวันออกเป็นมุขย่ืนออกไปเป็นประตูทำงเข้ำออกทำงทิศ ตะวนั ออกเฉียงใต้เปน็ บรรณำลยั กอ่ ดว้ ยศิลำแลงและหนิ ทรำย๗๓ ๗๑ ดุสิต ทมุ มำกรณ์, ขอ้ คิดเหน็ บางประการเก่ยี วกับปราสาทบ้านสาโรง จารึกปราสาทพระขรรค์ และอานาจทางการเมอื งของพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗, กรุงเทพฯ: กรมศิลปำกร, ๒๕๕๑, หนำ้ ๘๐. ๗๒ ธิดำ สำระยำ,อาณาจักรเจนละ : ประวตั ศิ าสตร์โบราณอีสาน, กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พ์มติชน . ๒๕๔๘, หน้ำ ๓๔ – ๓๗. ๗๓ วัฒนะ บุญจบั และคนอืน่ ๆ บรรณำธิกำร, ศลิ ปวัฒนธรรมไทย, (กรงุ เทพมหำนคร: กระทรวง วัฒนธรรม,๒๕๕๒), หนำ้ ๗๙.

๑๓๒ ภำพท่ี ๓.๔๗ ปรำสำทกฏุ ิฤๅษี จงั หวัดบุรรี ัมย์ จำกภำพท่ี ๓.๔๗ ปรำสำทกุฏิฤำษีเป็นหน่ึงในศำสนสถำนที่เรียกว่ำอโรคยำศำลำ ซึ่ง เปน็ ศำสนสถำนประจำสถำนพยำบำล สรำ้ งข้ึนในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ในสมัยพระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ แห่งอำณำจักรขอมโบรำณ ปรำสำทประธำนมักประดิษฐำนพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภำซ่ึงเป็น พระพุทธเจ้ำแห่งยำและกำรรักษำโรคภัยไข้เจ็บตำมคติควำมเชื่อของพระพุทธศำสนำ ลัทธิมหำยำน ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วท่ีมีโคปุระหรือประตูทำงเข้ำอยู่ทำงด้ำนหน้ำ วัสดุที่ใช้ในกำรก่อสร้ำงนิยมใช้ ศิลำแลงซ่งึ เป็นเอกลักษณท์ โ่ี ดดเดน่ ของสถำปัตยกรรมในสมัยบำยน ๒) ประติมำกรรมสัมฤทธ์ิรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในบริเวณ ปรำสำทปลำยบลัด ๒ มีกำรค้นพบประติมำกรรมท่ีสำคญั ชุดหนึ่งก็คือ๗๔ หมู่ประติมำกรรมสัมฤทธิ์รูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระโพธิสัตว์ศรีอำรยิ เมตไตรย มีอำยุรำวระหว่ำงพุทธศตวรรษที่ ๑๓- ๑๔ ค้นพบท่ีอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีข่ำวเล่ำลือว่ำได้ค้นพบประมำณ ๒๐ กว่ำองค์เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๗ แต่กไ็ ดถ้ ูกลักลอบนำออกนอกประเทศเกือบหมดสิ้น คงเหลืออยู่เฉพำะในพิพธิ ภัณฑ์ส่วน บคุ คลภำยในประเทศเพยี ง ๒ - ๓ องคเ์ ท่ำน้ัน รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง๗๕กล่ำววำ่ “ประติมำกรรม กล่มุ นี้ มีควำมสำคัญทำงวิชำกำรมำก แต่คนไทยรจู้ ักน้อย อย่ำงประเด็นแรกสดุ เทคนิคกำรหล่อสำริด โบรำณ แสดงว่ำคนหล่อต้องมีควำมรู้ควำมสำมำรถสูงมำก ถ้ำเทียบกับประเทศเพ่ือนบ้ำนในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยเดียวกัน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีควำมโดดเด่นสูงสุดก็ว่ำได้ ประเด็นท่ีสองคือ สำมำรถเอำไปเช่ือมโยงให้เห็นควำมสัมพันธ์ของพื้นท่ีอีสำนใต้กับกัมพูชำได้ เพรำะหน้ำตำของ ศิลปกรรมเป็นไปทำนองเดียวกันกับศิลปะก่อนพระนคร อำจถือได้ว่ำ เป็นกำรพบพระพุทธรูปฝ่ำย ๗๔ สัมภำษณ์ นำงสำว ธัชสร, ตันติวงศ์ เจ้ำพนักงำนพิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร.วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๗๕ รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, งำนเสวนำวิชำกำรในหัวข้อ “ประติมากรรมสาริดจากอาเภอประโคนชัย มรดกไทยในอุง้ มือต่างชาติ”, ในวนั ที่ ๒๒ พฤษภำคม ๒๕๕๙.

๑๓๓ มหำยำนท่ีเจอร่วมกันคร้ังใหญ่ท่ีสุด และถือเป็นหลักฐำนพุทธฝ่ำยมหำยำนท่ีใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต้เลยทเี ดยี ว” ภำพท่ี ๓.๔๘ พระโพธิสัตว์จำกปรำสำทปลำยบดั อำเภอลำปลำยมำศ จงั หวัดบุรีรัมย์ จำกหลักฐำนต่ำงๆท่ีนับเสนอข้ำงต้นแสดงให้เห็นถึงบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์พบว่ำวัฒนธรรม สมัยทวำรวดีเข้ำมำมีอิทธิพลไม่ต่ำงจำกชุมชนอื่นในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจำกนั้นยังมี วัฒนธรรมของเขมรโบรำญเผยแพร่เข้ำมำเช่นกัน๗๖ จำกหลักฐำนท่ีปรำกฏซึ่งก็คือพระพุทธรูป พระพุทธศำสนำ ลทั ธหิ ินยำนและพระโพธิสตั ว์ ลัทธิมหำยำนที่พบในอำเภอประโคนชยั จังหวดั บุรีรมั ย์ สิง่ เหล่ำนี้ช้ีใหเ้ ห็นว่ำชมุ ชนโบรำณประโคนชัยท่ีนบั ถอื พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนในวฒั นธรรมเขมร ซึ่งตั้งอยู่ท่ีอีสำนใต้ใกล้กับแหล่งวัฒนธรรมเขมร พระนคร ได้มีกำรแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน ซ่ึง หมำยถึงกำรแพร่กระจำยของวัฒนธรรมแบบทวำรวดีลงมำถึงชุมชนวฒั นธรรมเขมร ขณะเดียวกนั ก็ได้ มีกำรแพรก่ ระจำยวัฒนธรรมเขมรส่ชู มุ ชนทวำรวดอี กี ดว้ ย นอกจำกนั้นยังมีหลักฐำนทำงโบรำณคดีอื่นๆ ท่ีช้ีให้เห็นว่ำดินแดนแถบนี้ได้มีกำร ผสมผสำนทำงวัฒนธรรม เชน่ ภำพสลกั บนใบเสมำท่ีเขำอังคำร อำเภอนำงรอง จงั หวดั บุรีรมั ย์ ใบเสมำ นี้ทำดว้ ยหินภเู ขำไฟ สลักภำพสถปู ธรรมจกั ร และภำพสลกั บคุ คลซึ่งมีลักษณะของวัฒนธรรมทวำรวดี แต่กำรนุง่ ผำ้ กลบั มลี ักษณะของวฒั นธรรมเขมร๗๗ ๗๖ สมั ภำษณ์ นำงสำว ธัชสร ตนั ตวิ งศ์, เจ้ำพนักงำนพพิ ิธภณั ฑส์ ถำนแห่งชำติ พระนคร, วนั ท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๗๗ ศกั ดช์ิ ัย สำยสงิ ห.์ พระพทุ ธรูปในประเทศไทย : รปู แบบ พฒั นาการและความเช่ือของคนไทย. กรุงเทพฯ : ภำควิชำประวตั ศิ ำสตรศ์ ิลปะ คณะโบรำณคดี มหำวิทยำลัยศลิ ปำกร,๒๕๕๖ ,หนำ้ ๖๓.

๑๓๔ ภำพที่ ๓.๔๙ ใบเสมำที่แสดงถึงกำรผสมผสำนระหว่ำงศิลปะทวำรวดี กับ ศลิ ปะขอมจำกวัดเขำอังคำร ดังนัน้ เรำคงปฏเิ สธไมไ่ ด้ว่ำกำรเกดิ จำกวัฒนธรรมที่ผสมผสำนกันนี้ ดงั นั้นดนิ แดนในส่วนนี้ จึงถือว่ำมีควำมม่ังค่ังทำงวัฒนธรรมซึ่งทำให้เกิด อำรยะธรรมชั้นสูงในควำมเป็นจริงแล้วอิทธิพลของ วัฒนธรรมเขมรได้เข้ำมำมีบทบำทในชีวิตประจำวัน ของชำวไทยในขณะท่ีเรำไม่รู้ตัวตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน จนคนไทยคิดว่ำวัฒนธรรมไทยนั้นเป็นของไทยแท้ๆ ไม่ว่ำจะเป็นภำษำ ศิลปกรรม สถำปัตยกรรม ดนตรี และอนื่ ๆ แตค่ วำมจริงแล้วเรำไดห้ ยิบยมื ของเขมรมำใช้บำงส่วน ในขณะเดยี วกัน เขมรก็ได้หยิบยืมวัฒนธรรมทวำรวดีไปใช้บำงส่วนเช่นกัน จึงทำให้วัฒนธรรมทั้งสองผสมผสำนกัน เช่นเดยี วกับชำติพนั ธุ์ เมอื่ เวลำผ่ำน วฒั นธรรมท่ีได้ผสมผสำนกันและผำ่ นกำลเวลำอันยำวนำนกไ็ ด้เกิดกำรพลวัต ขึ้นเป็น วัฒนธรรมสมัยใหม่แต่ก็ยงั ไม่ทิ้งวัฒนธรรมเดิมๆอันมีคุณคำ่ ทีส่ ืบทอดมำจำก บรรพบุรุษถ้ำมอง ทำงด้ำนวัฒนธรรมโดยไม่มีประเทศชำติเข้ำมำเก่ียวข้องด้วยแล้ว ไทย-เขมร ก็มีรำกเง้ำวัฒนธรรม เดยี วกันนน่ั เอง ๓.๒.๓.๓ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดนครรำชสีมำ จังหวัดนครรำชสีมำอยู่ในดินแดนแถบอีสำนที่มีทรัพยำกรท่ีสำคัญอยู่ ๒ อย่ำง คือ เหล็กและเกลือ กระจำยอยู่ทั่วไปจึงดึงดูดใหผ้ ู้คนเดนิ ทำงเขำ้ มำอยู่เสมอ ตั้งแต่ยคุ ก่อนประวตั ิศำสตร์ สบื เนือ่ งมำจนถึง ยุคประวัติศำสตร์ซึ่งวัฒนธรรมทวำรวดีได้ก่อให้เกิดศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศำสนำอยู่เป็น จำนวนมำก คร้ันเมื่อทรวำรวดเี สื่อมลง อำณำจักรขอมเข้ำมีอิทธิพลและควำมสัมพันธ์ในเชิงเครือญำติ ทำให้เกิดกำรติดต่อระหว่ำงพระนครซ่ึงเป็นศูนย์กลำงกำรปกครอง กบั เมืองต่ำง ๆที่อยู่แถบอีสำนที่มี สนิ ค้ำตำมทชี่ ำวเมืองพระนครต้องกำร ดังนนั้ กำรเดินทำงในอดตี นัน้ มีกำรสร้ำงธรรมศำลำหรือที่พักคน

๑๓๕ เดินทำง และอโรคยำศำลำหรือโรงพยำบำล๗๘ จะมีกำรสร้ำงทุกระยะประมำณ ๑๕ กิโลเมตร เป็น ระยะกำรเดินทำงที่พอเหมำะในสมัยโบรำณ ถ้ำเดินทำงเป็นหมู่คณะใหญ่ๆมีกองเกวียนจะใช้ ระยะเวลำ ๑วัน ก็จะถึงที่พกั คนเดนิ ทำงหรือบำ้ นคนมไี ฟ ถ้ำเป็นคณะเล็กๆเดนิ ทำงอย่ำงเร่งรีบจะใช้ เวลำประมำณ ๖ - ๘ ชัว่ โมง ถำ้ มีกำรเร่งรีบพิเศษไปโดยสัตวพ์ ำหนะเช่นม้ำ จะถึงบำ้ นพักคนเดินทำง ได้เร็วกว่ำน้ี ในสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ นี้มีกำรสร้ำงปรำสำทหินที่เรียกว่ำ ธรรมศำลำ ตำม เส้นทำงรำชมรรคำ ซึง่ ได้เสนอ แผนภำพท่ี ๓.๕๐ เสน้ ทำงประวัตศิ ำสตร์ “รำชมรรคำ”จำกพระนครถึงเมืองพิมำย๗๙ จำกแผนภำพท่ี ๓.๕๐ เส้นทำงสำยรำชมรรคำทัง้ ๕ สำยที่สร้ำงขึ้นในรชั สมัย พระ เจ้ำยโศวรมันที่ ๑ แผ่ขยำยออกไปทุกทิศทำงจำก \"นครธม\" หรือ \"เมืองพระนคร\" เป็นเส้นทำงสำย สำคญั ดงั นี้ (๑)จำกเมอื งพระนคร - ปรำสำทพิมำย ประเทศไทย (๒) จำกพระนคร - ปรำสำทวดั ภู แขวงจำปำศกั ด์ิ ประเทศลำว (๓) จำกพระนคร - สวำยจิก (๔) จำกพระนคร - ปรำสำทพระขรรค์ กำปงสวำย (๕) จำกพระนคร – กำปงธม ส่วนจดุ หมำยปลำยทำงของเส้นทำงสำคัญของถนนสำยน้ีคอื ปรำสำทหินพมิ ำย ที่กษัตรยิ ์แห่ง อ ำณ ำจั ก ร ขอ งต้ อ ง เดิ น ท ำงม ำสั ก ก ำร ะ พ ระ พุ ท ธ รูป ภ ำย ป ร ำส ำท เพื่ อ ค ว ำม อุ ด ม ส ม บู ร ณ์ แ ห่ ง ๗๘ สมั ภำษณ์ นำยวิษรตุ วะสกุ นั , เจ้ำพนักงำนพพิ ิธภณั ฑ์สถำนแหง่ ชำติ พระนคร, วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๗๙ สุภัทรดศิ ดิศกลุ . ศลิ ปะในประเทศไทย. พิมพ์คร้งั ท่ี ๑๒. (กรุงเทพมหำนคร: โรงพมิ พ์ มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์, ๒๕๔๖),หนำ้ ๕๖ – ๕๙.

๑๓๖ รำชอำณำจักรน่ันเอง ซึ่งในแต่ละปีจะต้องเสด็จมำ และนอกจำกน้ันยังเป็นเส้นทำงขนถ่ำยสินค้ำที่ จำเป็นของชำวอำณำจักรขอม น่ันคือ เกลือ และแร่ธำตุต่ำง เช่น เหล็ก ทองแดง ในกำรสร้ำงอำวุธ ยทุ โธปกรณ์ ดงั นัน้ เสน้ ทำงพระพทุ ธศำสนำสมยั ลพบรุ ี จึงเกิดขนึ้ ดงั จะนำเสนอต่อไปนี้ ๑) ปรำสำทหินพิมำยตั้งอยู่ท่ี อำเภอพิมำย จังหวัดนครรำชสีมำ เป็น ปรำสำทหินบนพ้ืนรำบทมี่ ีขนำดใหญ่ทีส่ ดุ ในประเทศไทย๘๐สร้ำงขึน้ เพือ่ เป็นพทุ ธสถำนในลัทธิมหำยำน สันนิษฐำนว่ำสร้ำงข้ึนในยุคท่ีอำณำจักรขอมแผ่อิทธิพลมำยังภูมิภำคน้ีในสมัยพระเจ้ำสุริยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๑) มหำรำชองค์สุดท้ำยของอำณำจักรขอมประกอบด้วยปรำสำทประธำนเป็น ปรำงค์องคใ์ หญ่ สร้ำงด้วยหินปนู และหนิ ทรำย ตัวปรำสำทหันหนำ้ ไปทำงทิศใต้ (โดยปกติปรำสำทขอม มักสร้ำงหันหน้ำไปทำงทิศตะวันออก) คงให้รับกับถนนโบรำณ ซ่งึ ตัดตรงจำกเมืองพระนครหลวงของ ขอมมำยงั ปรำสำทหินพิมำยกระน้ันก็ดี ยังมีนักวิชำกำรหลำยท่ำนได้เสนอแนวคิดของสำเหตทุ ี่ปรำสำท หินพิมำย หันหน้ำไปทำงทิศใต้ เช่นควำมเช่ือในคัมภีร์มหำปรินิพพำนสูตร ท่ีเช่ือว่ำทิศใต้เป็นทิศแห่ง กำรเกิด นอกจำกนี้ตำแหน่งกำรตัง้ ของตัวปรำสำทยังสมั พันธ์กับแกนด่ิงของโลก ( ทิศเหนือ - ใต้ ) ซึ่ง ให้ควำมสำคัญกับ สุรยิ ทวำร( ประตูทิศเหนือ) เพรำะเช่ือว่ำเป็นทำงสำหรบั ผ้พู ้นจำกโลก ส่วนปติ ุรยำน ( ประตูทิศใต้) เป็นทำงกลับสู่สังสำรวัฏในช่วงสุดท้ำยของปลำยยุคพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ จนถึงช่วงต้น ของพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ได้เกดิ กำรสร้ำงมหำปรำสำทขนำดใหญ่ หันหน้ำไปทำงทิศใตเ้ ข้ำหำเมืองพระ นครหลวงตำมเส้นทำงถนนโบรำณ มีแผนผังของหมู่อำคำรท่ีซับซ้อนรำยล้อมรอบจุดศูนย์กลำงของ จักรวำลสมมุติ ทเี่ มือง “พิมำย” หรอื “วิมำยะปรุ ะ”(Vimayapura) ดังน้ันแผนผังของ “ปรำสำทหินพิมำย” (Phimai Pr.) มีลักษณะของกำรใช้ระบบ “ระเบียงคด”๘๑ แผนผังส่ีเหล่ียมล้อมรอบปริมณฑลศักด์ิสิทธิ์ วำงตัวตำมแนวแกนหลัก (Plan Axe) หันหน้ำไปทำงทิศใต้เฉียงตะวันออก รับกับแนวเส้นทำงถนนรำชมรรคำ (Royal Road) ลงไปสู่ เขตเทือกเขำพนมรุ้งและเขมรต่ำนั่นเอง นอกจำกน้ันส่ิงที่แสดงถึงควำมศรัทธำในพระพุทธศำสนำ นิกำยวัชรยำน จึงนำไปสู่กำรสร้ำงศำสนสถำนตำมหลักคำสอนสำคัญที่ปรำกฏในคัมภีร์ มหำไวโรจน สูตร หมำยถึง ธำตุครรภมณฑล ซึ่งเป็นแผนผังครรภ์แห่งหลักจักรวำลที่ให้กำเนิดพระตถำคต ท้ังหลำย นอกจำกน้ันในคัมภีร์วัชรเศขรสูตร กล่ำวถึง วัชรธำตุมณฑล ซ่ึงเป็นมณฑลของพระชิน พุทธะ ๕ องค์ ซ่ึงผวู้ ิจัยได้นำมำเสนอ ๘๐ พริ ิยะ ไกรฤกษ์, การปรับเปล่ียนอายุพทุ ธศลิ ปใ์ นประเทศไทย, ในวารสารเมืองโบราณ, ปีท่ี ๒๕ ฉบับที่ ๒ เมษำยน-มิถนุ ำยน.๒๕๔๒, หน้ำ ๕๕. ๘๑ อำ้ งแล้ว, สนั ติ เล็กสุขมุ , ศิลปะในประเทศไทย ต้ังแต่ พุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๘, หน้ำ ๕๔.

๑๓๗ แผนภำพที่ ๓.๕๑ แผนผังรอบบรเิ วณปรำสำทหนิ พมิ ำย๘๒ จำกแผนภำพที่ ๓.๕๑ ปรำสำทหินพิมำย หันหน้ำไปทำงทิศใต้ไปทำงท่ีตั้งของเมืองพระ นคร ซง่ึ เป็นเมืองหลวงของอำณำจักรขอม ปรำสำทหินพิมำยมีแบบแปลนเป็นรปู สี่เหลยี่ มผืนผำ้ กว้ำง ๕๖๕ ม.ยำว๑,๐๓๐ ม.ล้อมรอบด้วยคูน้ำมีประตูเมืองท้ังส่ีทิศ อีกประกำรหน่ึงเป็นปรำสำทหินท่ีมี ขนำดใหญ่ทีส่ ดุ ในประเทศไทย มีรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบำปวนและนครวัดทมี่ ีควำมงดงำม เชือ่ ว่ำ เป็นต้นแบบในกำรสร้ำงนครวัดในเขมรปรำสำทหินแห่งนี้ต้ังอยู่กลำงเมืองพิมำยซึ่งเป็นเมืองโบรำณท่ี สำคัญของภูมิภำค มีเส้นทำงคมนำคมเชื่อมโยงกับเมืองสำคัญทำงตอนเหนือของลำวและทำงตอนใต้ ของขอม เป็นศำสนสถำนที่มคี วำมสำคัญท่ีกษัตริยข์ อมจะต้องเดินทำงมำสักกำระเปน็ ประจำทุกปี จึงมี สร้ำงอยำ่ งสวยงำม ภำพที่ ๓.๕๒ ปรำงคป์ ระธำน ปรำสำทหนิ พมิ ำย ๘๒ <http://pantip.com/topic/31697678 สบื ค้น>, เม่ือวันที่ ๑๔ พฤษภำคม ๒๕๕๙.

๑๓๘ ๒) อโรคยำศำล หรือ โรงพยำบำล๘๓ กษัตริยก์ ัมพูชำคอื พระเจำ้ ชัยวร มันท่ี ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ - ๑๗๖๑) มหำรำชองค์สุดท้ำยของอำณำจักรขอม ได้สร้ำง อโรคยำศำลหลำย หลัง บ้ำงกว็ ่ำศำลำมไี ฟ ทีพ่ กั ริมทำง ในดนิ แดนทเ่ี ปน็ ประเทศไทยปัจจบุ นั ควำมสำคัญของอโรคยำศำล ท่จี ะกล่ำวถึงน้ี มิใช่วำ่ อยู่ที่ใครสรำ้ ง หำกแต่อยู่ที่ผคู้ นร่วมพันคนทำงำนทอี่ โรคยำศำล คือชำวสยำมที่มี ควำมรู้ทำงกำรแพทย์ ที่เกิดจำกคนในพ้ืนที่ แสดงถึงคนไทยมีกำรเรียนรู้ในกำรดูแลสุขภำพของตน มำถึงข้ันรวมตวั ทำงำนคล้ำยโรงพยำบำลมำแลว้ ส่วนประกอบของอโรคยำศำลนั้น ประกอบด้วยปรำงค์ประธำน มีอำคำรท่ีเรียกว่ำ บรรณำลัยสร้ำงด้วยศิลำแลง หันหน้ำเขำ้ ส่ตู ัวปรำสำทประธำน ล้อมรอบด้วยกำแพงแกว้ ตำแหนง่ ของ บรรณำลัยมักจะอยู่ค่อนไปท่ีมุมด้ำนทิศตะวันออกเฉียงใต้เสมอ มีซุ้มประตูทำงเข้ำที่เรียกว่ำ โคปุระ ทำงด้ำนหน้ำเพยี งแหง่ เดียว ตั้งอยู่ใกลๆ้ จดุ กึ่งกลำงของกำแพงแกว้ ด้ำนทิศตะวนั ออก บรเิ วณดำ้ นนอก กำแพงแก้วด้ำนทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสระน้ำรูปสีเ่ หลี่ยมจัตุรสั หรือท่ีเรียกว่ำ บำรำย หรือสระ น้ำศักด์ิสิทธิ์กรุด้วยศลิ ำแลง สถำนพยำบำลที่สร้ำงขึ้นตำมรำยทำงโบรำณของอำณำจักรขอมสมัยพระ นคร จะเชื่อมกบั ปรำสำทนครธมซง่ึ เป็นศนู ยก์ ลำงของอำณำจักร ภำพที่ ๓.๕๓ แผนผังอโรคยำศำล จำกแผนภำพที่ ๓.๕๓ สันนิษฐำนว่ำกำรรักษำพยำบำล นำ่ จะอยู่บริเวณด้ำนนอกมณฑล ศักดิ์สิทธ์ิ เม่ือประชำชนผู้เจบ็ ป่วยต้องกำรรักษำโรค ก็จะเดนิ ทำงมำพักรักษำตัวอยู่ด้ำนนอก ส่วนใหญ่ จะต้องอยู่หลำยวันเพรำะทำงมันไกล ต้องใช้เท้ำเดนิ เอำเป็นส่วนใหญ่ แตล่ ะวนั จะมปี ระชำนและผ้ปู ่วย เข้ำมำบูชำพระพุทธเจ้ำแห่กำรรักษำโรคอยู่ดำ้ นหน้ำชำนชำลำ แต่ ก็ \"ไม่มสี ิทธ์ิ\" ท่ีจะก้ำวล่วงเข้ำไปใน ปรำสำทอย่ำงเด็ดขำด กำรรักษำพยำบำล จะเริ่มต้นด้วยกำรลงทะเบียนผู้ป่วยกับเจ้ำพนักงำนผู้เป็น “ขำ้ กัลปนำ” (ข้ำทำสท่ีถูกนำมำถวำยให้ศำสนำสถำนเพ่ือทำงำน) ของ อโรคยศำลำ ตรวจเบ้ืองต้นแล้ว แจกแจงอำกำรโรคผู้ปว่ ย จดบันทึก แลว้ ค่อยแยกยำ้ ยผ้ปู ่วยไปตำมศำลำรำย ๘๓ สัมภำษณ์ นำยวิษรตุ วะสกุ นั , เจ้ำพนกั งำนพพิ ิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร, วนั ท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๓๙ ซ่ึงในจังหวดั นครรำชสีมำมีกำรค้นพบอโรคยำศำลทงั้ หมด ๘ แห่ง ไดแ้ ก่ (๑) กฏุ ฤิ ำษี ต.ประตูชัย อ.พิมำย จ.นครรำชสมี ำ (๒) ปรำสำทพลสงครำม อ.โนนสงู จ.นครรำชสีมำ (๓) ปรำสำทนำงรำ ต.นำงรำ อ.ประทำย จ.นครรำชสีมำ (๔) ปรำงคค์ รบรุ ี ต.ครบุรี อ.ครบรุ ี จ.นครรำชสมี ำ (๕) ปรำสำทเมืองเก่ำ อ.สงู เนนิ จ.นครรำชสีมำ (๖) ปรำสำทบ้ำนปรำสำท อ.สูงเนนิ จ.นครรำชสีมำ (๗) ปรำสำทปรำงค์สดี ำ อ.สีดำ จ.นครรำชสมี ำ (๘) ปรำงค์บ้ำนปรำงค์ ต.หินดำด อ.ห้วยแถลง จ.นครรำชสีมำ ๓) รูปเคำรพ ตำมคติพ ระพุทธศำสนำ นิกำยมหำยำนจังหวัด นครรำชสีมำมีกำรค้นพบหลักฐำนทำงโบรำณคดีที่จำกกำรขุดแต่งโบรำณสถำน คือประติมำกรรม๘๔ ส่วนใหญ่เป็นรูปพระพุทธรปู นำคปรก รูปพระโพธิสัตว์อวโลกเิ ตศวร และรูปนำงปรชั ญำปำรมิตำหรือ นำงปัญญำบำรมี ซึ่งท้ัง ๓ องค์น้ีถือว่ำเป็นประติมำกรรมสูงสุดของพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน หรือที่เรียกกันว่ำ รัตนตรัยมหำยำน พระพุทธรูปนำคปรกส่วนใหญ่มีสภำพชำรุด เหลือเพียงส่วนฐำน บ้ำง ลักษณะพระพักตร์ลำงเลือน เนื่องจำกจำหลักยังไม่เสร็จบ้ำง บำงองค์มีลักษณะท้องถ่ินเข้ำมำ ปะปนแตก่ ็ถือได้ว่ำเป็นศิลปขอมแบบบำยนในรำวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ลกั ษณะของพระพุทธรูปสมัยน้ี จะมพี ระพักตรอ์ มยม้ิ แสดงควำมเมตรำกรุณำพระเนตรปิดสนิท ภำพท่ี ๓.๕๔ ภำพซ้ำยพระพุทธเจำ้ ไภสัชยครุ ุไวฑรู ยประภำสุคต ประธำนแห่งอโรคยศำลำปรำสำท นำงรำจังหวัดนครรำชสมี ำ ๘๔ เสวนำวิชำกำร ประติมำกรรมสำรดิ จำกอำเภอประโคนชยั มรดกไทยในองุ้ มือตำ่ งชำติ เมอื่ วันที่ ๒๒ พฤษภำคม ๒๕๕๙.

๑๔๐ ภำพขวำพระพุทธเจำ้ ไภสัชยคุรุไวฑูรยประภำสุคต ประธำนแห่งอโรคยศำลำ ปรำสำทกุฏิ ฤำษพี มิ ำย จงั หวัดนครรำชสมี ำ ภำพท่ี ๓.๕๕ ซ้ำยพระ(โพธสิ ัตว์)ศรีจนั ทรไวโรจนโรหินศี ะ “พระหม้อยำใหญ่”ปรำสำทพลสงครำม จังหวัดนครรำชสมี ำ ขวำ รูปสลักพระ(โพธิสัตว์)ศรีจันทรไวโรจนโรหินีศะ “พระหม้อยำใหญ่”จัดแสดงอยู่ใน พพิ ิธภณั ฑสถำนแห่งชำติ มหำวีรวงศ์ จงั หวัดนครรำชสีมำ นอกจำกนัน้ ยงั พบ๘๕หลกั ฐำนจำรกึ ทส่ี อดรบั กับหลกั ฐำนกำรขุดค้นพบรูปเคำรพท้ัง ๓ และ คติควำมเชื่อตำมวิถีพิธีกรรมในลัทธิวัชรยำนตันตระท่ีถือให้รูปเคำรพเป็นเพียงมโนภำพบุคลำธิษฐำน เปน็ เครอื่ งมือเพื่อนำไปสู่ “เป้ำหมำย” รูปพระพุทธเจำ้ ไภสัชยคุรไุ วฑูรยประภำสคุ ต กค็ อื รูปเคำรพองค์ กลำง ในภำพของพระวัชสัตว์ท่ีกำลังแสดงท่ำ “วชั ร หุง กร มทุ รำ” อันมีควำมหมำยถงึ “กำรใชป้ ัญญำ และอุบำยเพือ่ กำรบรรลุ (กำรปฏบิ ตั ิ,กำรรกั ษำ) เปำ้ หมำย(หำยจำกโรค) ได้โดยเร็ว(ฉับพลัน)”๘๖ ๘๕ พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์, ข้อคิดเหน็ เกีย่ วกนั แบบศลิ ปใ์ นประเทศไทย. (กรุงเทพมหำนคร: กรมศลิ ปำกร . ๒๕๕๐), หน้ำ ๖๐. ๘๖ ดุสิต ทุมมำกรณ์ , ขอ้ คดิ เหน็ บางประการเกีย่ วกับปราสาทบ้านสาโรง จารกึ ปราสาทพระขรรค์ และอานาจทางการเมอื งของพระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๗,(กรุงเทพมหำนครกรมศิลปำกร,๒๕๕๑), หนำ้ ๘๐.

๑๔๑ ภำพท่ี ๓.๕๖ ซ้ำยรปู สลักพระมำนษุ โิ พธิสตั ว์ ๔ กรจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถำนแห่งชำติ มหำวรี วงศ์ จงั หวดั นครรำชสมี ำ ขวำ “โลเกศวฺ ร อำโรคยศำลี” พระโพธิสตั ว์อวโลกิเตศวรแห่งกำรบรบิ ำล (ผูเ้ จ็บป่วย)จำก ปรำสำทนำงรำ จดั แสดงอยใู่ นพพิ ิธภัณฑสถำนแหง่ ชำตพิ มิ ำย ส่วนท่ีทำเป็นรูป “พระโพธิสัตว์ทรงครุฑ”๘๗ ประจำอโรคยศำลำจะพบไดไ้ ม่มำกนัก อำจ เพรำะมีขนำดเล็ก ถูกทุบทำลำยและเคล่ือนย้ำยได้ง่ำย ท่ียังพบเป็นเศษชิ้นส่วนแตกหัก (จำกกำรทุบ ทำลำย) ที่ปรำสำทพลสงครำมอีกด้วย ภำพท่ี ๓.๕๗ พระโพธิสตั ว์ “หริหรหิ ริวำหนะ” จัดแสดงอยใู่ นพิพธิ ภณั ฑสถำนแห่งชำติพมิ ำย ๘๗ สัมภำษณ์ นำยวษิ รตุ วะสุกัน, เจำ้ พนักงำนพพิ ิธภณั ฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร, วันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๔๒ จำกภำพที่แสดงจะเป็นรูปประติมำกรรมพระโพธสิ ัตว์ “หรหิ ริหริวำหนะ” ทรงครฑุ พบที่ ปรำสำทนำงรำ จังหวัดนครรำชสีมำ คือ พระโพธิสัตว์แห่งกำรเกิดและกำรดับ กำรสวดอ้อนวอน ภำวนำ มนตรำและเพ่งกสิณผ่ำนรูปเคำรพ เพื่อจุดมุ่งหมำยของกำรบรรลุสู่กำรกำเนิดของชีวิตใหม่ที่ ปลอดภัย (สำหรับกำรเกิด) บรรลุสูก่ ำรมีชีวิตที่ยนื ยำว ปรำศจำกโรคภยั ไขเ้ จ็บ (สำหรับควำมตำย)รวม ไปถงึ กำรบรบิ ำลจำกรปู พระโพธิสัตวป์ ระธำนแห่งบรรณำลัยให้หำยจำกโรครำ้ ยน่ันเอง จงั หวดั นครรำชสีมำมีหลกั ฐำนของกำรตั้งชุมชนโบรำณ ซึง่ ในพื้นท่เี หลำ่ น้จี งึ อำจมองภำพ ควำมเคลื่อนไหวของกลุ่มชนท่ีหลำกหลำยเผำ่ พันธุ์ทม่ี ีวัฒนธรรมและมีวิถีชวี ิตสืบเนื่องมำตั้งแต่เกดิ จน ตำย ที่ผ่ำนกำรประกอบพิธีกรรมต่ำงๆ เช่น กำรพบโครงกระดูกท่ีแสดงให้เห็นถึงพิธีกรรมกำรฝังศพ กำรแต่งกำย เช่น มีกำรทอผ้ำ มีกำรประดิษฐ์เครื่องประดับรูปแบบต่ำงๆ ท่ีทำด้วยหินหรือโลหะ เช่น สัมฤทธิ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่ำงๆ เช่น เคร่ืองปั้นดินเผำ อำวุธต่ำงๆ เป็นต้น ตลอดจนแสดงใหเ้ ห็น ถงึ ควำมเจริญของวฒั นธรรมกำรปลูกข้ำว และกำรเลีย้ งสตั ว์ ซึง่ มีพฒั นำกำรมำจนถึงปจั จุบนั ๓.๒.๓.๔ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดปรำจีนบุรีใน ปัจจุบัน ถ้ำศึกษำจำกตำนำนพ้ืนเมือง ศิลำจำรึก จดหมำยเหตุของจีน รำวพุทธศตวรรษที่ ๘ ว่ำ ดินแดนแถบน้ีในชว่ งแรก ๆ อยู่ใตอ้ ทิ ธพิ ลทำงกำรเมอื งของฟนู ัน๘๘ ในบริเวณนีเ้ ดิมมชี อ่ื วำ่ \"เมอื งอวธั ย ปุระ\" \"เมอื งพระรถ\" หรือ \"เมืองมโหสถ\" เป็นเมืองเมืองโบรำณซึ่งมีโบรำณสถำน โบรำณวัตถุ จำนวน มำก มีขนำดใหญ่และสวยงำม ซ่ึงแสดงให้เห็นถงึ ควำมเจรญิ ทเี่ คยมีมำแล้วก่อนหน้ำน้ี ตำแหน่งอันเป็น ที่ต้ังของเมือง ได้แสดงให้เห็นควำมเป็นศูนย์กลำงทำงเศรษฐกิจและกำรคมนำคมในทำงภูมิศำสตร์ ภำยในเมืองมีโคกเนินท่ีเป็นศำสนสถำน สร้ำงด้วยศิลำแล และอิฐ บริเวณเหล่ำน้ีมีเศษกระเบ้ือง มำกมำยหลำยสมัย นับตั้งแต่สมัยทวำรำวดี ลพบุรี สุโขทัย และอยุธยำ ที่เมืองอวัธยปุระนี้ มีระบบ ชลประทำนเพื่อกักน้ำไว้ใช้อุปโภคและบริโภคซ่ึงมีควำมเจริญอย่ำงมำก ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เม่ือ อำณำจักรฟูนันล่มสลำยลง อำณำจักรทวำรำวดีได้มีอำนำจในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้ำพระยำ และได้แผ่ ขยำยอำนำจมำถึงเมืองอวัธยปุระ จนกระถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อำณำจักรทวำรำวดีสิ้นสุดลง เมือง อวัธยปุระจึงตกไปอยู่ภำยใต้กำรปกครองของอำณำจักรอีศำนปุระ (อำณำจักรเจนละ) ซ่ึงจะเห็นได้ จำกพระพทุ ธปฏมิ ำกรนำคปรกองค์แรก ๆ ท่อี ำจมีอำยเุ ก่ำแก่ที่สดุ ของอษุ ำคเนย์(เอเชียตะวันออกเฉยี ง ใต้) พบที่เมืองโบรำณศรีมโหสถ จังหวัดปรำจีนบุรี ปัจจุบันได้จัดแสดงอยู่ท่ีพิพิธภัณฑสถำนแห่งชำติ พระนคร ตัวอยำ่ งของโบรำณวตั ถุท่ไี ดส้ ำรวจพบในจงั หวดั ปรำจีนบุรมี ดี งั นี้ ๑) รูปเคำรพในพระพุทธศำสนำมีกำรสำรวจพบทเ่ี มืองโบรำณศรมี โหสถ จังหวัดปรำจีนบุรี เป็นหลักฐำนให้ทรำบว่ำบริเวณแถบนี้ได้รับพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทจำก วฒั นธรรมทวำรวดี๘๙ ต่อมำในสมัยพระเจ้ำสุริยวรมันที่ ๑ ถึงพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ ได้พบหลักฐำนว่ำ เคยมีกำรนับถือพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนในบริเวณนี้ด้วย เพรำะได้พบโบรำณวัตถุ พระพทุ ธศำสนำนกิ ำยมหำยำน ท่มี อี ำยอุ ยู่ในชว่ งเวลำนี้หลำยชิ้นในจังหวัดปรำจนี บรุ ี ดงั นี้ ๘๘ สัมภำษณ์ นำยวิษรุต วะสุกัน, เจ้ำพนักงำนพิพิธภัณฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร,วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๘๙ สมั ภำษณ์ นำงสำว ธัชสร ตันติวงศ์, เจำ้ พนกั งำนพิพธิ ภณั ฑ์สถำนแหง่ ชำติ พระนคร, วนั ท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙.

๑๔๓ ภำพท่ี ๓.๕๘ ด้ำนซำ้ ยพระพทุ ธรปู สมยั ลพบุรี ด้ำนขวำ พระนำงปรชั ญำปำรมติ ำ จัดแสดงท่ี พิพธิ ภณั ฑ์สถำนแหง่ ชำติ ปรำจีนบุรี ภำพท่ี ๓.๕๙ พระโพธสิ ัตวอ์ วโลกิเตศวร ดำ้ นขวำพระพุทธรปู นำคปรกหินทรำยในรปู แบบของ “พระชยั พุทธมหำนำถ” ศิลปะแบบ บำยน ฝีมอื เลียนแบบโดยช่ำงในท้องถ่ิน จดั แสดงอยู่ท่พี ิพิธภณั ฑสถำนแห่งชำติปรำจีนบรุ ี ๓.๒.๓.๕ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบรุ ีในจังหวดั สระแก้ว จำก หลักฐำนทำงโบรำณคดี ซ่ึงได้มีกำรสำรวจพบ คือ ปรำสำทบ้ำนน้อย ต้ังอยู่หมู่ที่ ๔ บ้ำนห้วยพะใย ตำบลผักขะ อำเภอวัฒนำนคร จังหวดั สระแก้ว เป็นปรำสำทขนำดใหญ่ ฐำนของปรำสำทก่อด้วยศิลำ แลง ผนังก่อดว้ ยอิฐ มีหอ้ งสมุดหรือ บรรณำลยั ต้ังอยทู่ ำงดำ้ นตะวันออกเฉียงใต้ ตัวปรำสำทมกี ำแพง ๒ ชั้น ระหว่ำงกำแพง ๒ ชั้นมีสระน้ำขนำดใหญ่ นอกกำแพงช้ันนอกมีสระน้ำขนำดใหญ่ ประมำณ ๘๐ x ๑๘๐ เมตร รูปแบบผังอำคำรสอดคล้องกับผังอำคำรที่เรียกว่ำ อโรคยำศำล ซ่ึงเชื่อว่ำเป็น

๑๔๔ ศำสนสถำนท่ีสร้ำงตำมควำมเช่ือในพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน สร้ำงขึ้นในสมัยพระเจำ้ ชยั วรมันท่ี ๗ นอกจำกนี้ยังพบทับหลังทำด้วยหินทรำย อำยุรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ และเคร่ืองประกอบ รำชยำนคำนหำมในสมยั บำยน อำยุรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อยใู่ นสมัยพระเจำ้ ชัยวรมันท่ี ๗ ภำพที่ ๓.๖๐ ปรำสำทบ้ำนน้อย เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจงั หวดั สระแกว้ ถอื เป็นเสน้ ทำงเชือ่ มต่อ ชุมชนที่มีควำมสำคัญแหง่ หนงึ่ มฐี ำนะเปน็ เมืองข้นึ ของเมืองปรำจนี บุรี (เมืองประจิมในสมยั โบรำณ) ใน ระหว่ำงปี พ.ศ.๑๓๔๕ - ๑๗๖๓ เป็นชว่ งที่เมอื งพระนครรุ่งเรอื ง บริเวณจงั หวัดสระแก้วปัจจุบัน และ บริเวณชำยแดนกัมพูชำที่ติดกับจังหวัดสระแก้ว อยู่ในอิทธิพลของเมืองพระนคร ได้พบโบรำณสถำน และโบรำณวตั ถแุ บบศลิ ปะขอม ในเขตอำเภอโคกสูง อำเภอตำพระยำ อำเภออรญั ประเทศ และอำเภอ วฒั นำนคร ซงึ่ มีอย่หู ลำยแห่ง สรุปประวัติศำสตร์ที่ยำวนำนของขอม ทำให้มีกำรพัฒนำด้ำนงำนศิลปกรรมท่ีเป็น เอกลักษณ์เป็นของตัวเอง๙๐ และแผ่อิทธิพลไปในอำณำจักรใกล้เคียงในละแวกอินโดจีน อำรยธรรม ขอมเขำ้ มำสู่ดินแดนประเทศไทย ในรำว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ในสมัยอำณำจักรเจนละ ซ่ึงตรงกับยุค ทวำรวดีของไทย โดยเข้ำมำทำงภำคอีสำนเป็นแห่งแรก ซึ่งเข้ำมำโดยผ่ำนทำงศำสนำ ทั้งศำสนำ พรำหมณ์ - ฮนิ ดู และพระพุทธศำสนำนกิ ำยมหำยำน สำหรับศิลปกรรมท่ีพบในประเทศไทยซึ่งมีอำยุอยู่ในรำวพุทธศตวรรษท่ี๙๑ ๑๒ - ๑๘ ศิลปกรรมแบบต่ำง ๆ ท่ีพบเป็นส่ิงแสดงให้เห็นว่ำกลุ่มคนท่ีอำศัยอยู่ในแถบนี้ได้เคยมีกำรนับถือ พระพุทธศำสนำควบคู่กันไปกับศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู และพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยมหำยำนได้เข้ำมำ สปู่ ระเทศไทยโดยผ่ำนเส้นทำงอันเป็นดินแดนในภำคตะวันออกเฉียงเหนือและภำคตะวันออกของไทย กอ่ น ต่อจำกนนั้ จึงได้ขยำยเข้ำไปยังภำคกลำงของประเทศไทย เห็นไดจ้ ำกหลักฐำนทำงโบรำณคดีทง้ั ท่ี เป็นโบรำณสถำนและโบรำณวัตถุ ซึ่งมีกำรสำรวจพบในแถบภำคกลำงและภำคตะวันตกของประเทศ ๙๐ เสวนำวชิ ำกำร ประติมำกรรมสำรดิ จำกอำเภอประโคนชยั มรดกไทยในองุ้ มือตำ่ งชำติ วนั ที่ ๒๒ พฤษภำคม ๒๕๕๙. ๙๑ กรมศิลปำกร กระทรวงวฒั นธรรม พิมพ์ครัง้ ที่ ๒, จำก...แผ่นดินไทยในอดีต , กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นตงิ้ แอนดพ์ ับลิชชง่ิ ,๒๕๕๘, หนำ้ ๓๓.

๑๔๕ ไทย หลำยแห่งและหลำยช้ิน เช่น พระปำงสำมยอดในจังหวัดลพบุรี เป็นต้น ได้สร้ำงข้ึนมำตำมหลัก ควำมเชื่อที่ประสมประสำนกันระหว่ำงศำสนำพรำหมณ์ – ฮนิ ดู และพระพุทธศำสนำนิกำยมำหำยำน ซงึ่ ไดเ้ ผยแผเ่ ข้ำมำโดยผ่ำนเสน้ ทำงอนั เป็นดนิ แดนในภำคตะวันออกเฉียงเหนอื และภำคตะวันออกของ ประเทศไทย จึงก่อให้เกิดงำนศิลป์ประสมประสำนที่งดงำม ตำมวัดวำอำรำมต่ำง ๆ เป็นมรดกของ ประเทศท่ที รงคุณค่ำและมมี ูลค่ำทสี่ ืบทอดตกมำถงึ ลูกหลำนไทยในปัจจุบัน แผนภำพที่ ๓.๖๑ แหลง่ โบรำณคดี ทำงพระพุทธศำสนำสมยั ลพบรุ ี ในภำคตะวันออกเฉียงเหนอื และในภำคตะวนั ออก ๓.๓ หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในหลักฐานทางโบราณ คดี ตามเส้นทางเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาสมัยลพบรุ ใี นประเทศไทย จำกกำรสืบค้นจำรึกสมัยลพบุรี พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ พบว่ำได้มีกำรสำรวจพบหลัก พุทธธรรมที่ปรำกฏในหลักฐำนทำงโบรำณคดีตำมเส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในประเทศไทย สมัยลพบุรี ในภูมิภำคต่ำง ๆ ของไทย ท้ังดำ้ นอักษรจำรึก เช่น อักษรปัลวะ อักษรหลังปัลลวะ อักษร มอญโบรำณ เป็นต้น ภำษำใช้จำรึก เช่น ภำษำสันสกฤต ภำษำมอญโบรำณ เป็นต้น เพื่อให้ทำควำม เข้ำใจเรือ่ งน้ีไดช้ ดั เจนและงำ่ ยตอ่ กำรศกึ ษำ คณะผูว้ จิ ัยได้แบง่ ประเดน็ กำรศึกษำออกเปน็ ภมู ิภำคตำ่ ง ๆ โดยกำหนดเอำพ้ืนท่ีในแต่ละภำคของไทยในปัจจุบันเป็นเกณฑ์ โดยแบ่งออกเป็น ๓ หัวข้อ คือ ๑)

๑๔๖ จำรกึ หลกั พุทธธรรมท่ีพบภำคกลำงและภำคตะวันตก ๒) จำรกึ หลกั พุทธธรรมท่พี บภำคเหนือ ๓) จำรึก หลกั พุทธธรรมทพี่ บภำคตะวันออกเฉียงเหนอื และภำคตะวันออก จะไดน้ ำเสนอตำมลำดับดงั น้ี ๓.๓.๑ จารกึ หลกั พุทธธรรมท่ีพบในภาคกลางและภาคตะวันตก จำรึกหลกั พุทธธรรมสมยั ลพบุรีท่ีพบแถบภำคกลำงและภำคตะวันตกของประเทศ ไทย คือ อำณำเขตตั้งแต่จังหวัดสุโขทัย ตำก พิษณุโลก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธำนี ชัยนำท ลพบุรี สิงห์บุรี กำญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่ำงทอง สระบุรี พระนครศรีอยุธยำ นครนำยก นครปฐม ปทุมธำนี นนทบุรี กรุงเทพมหำนคร สมุทรปรำกำร สมุทรสำคร สมุทรสงครำม รำชบุรี เพชรบุรี และประจบคีรีขันธ์ จำรึกเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศำสนำ ท่ีสำรวจพบในแถบ ภำคกลำงและภำคตะวนั ตกนี้จะไดน้ ำเสนอใหเ้ หน็ ไว้สกั ๓ ตวั อย่ำงดังนี้ ๓.๑.๑.๑ จำรกึ ฐำนพระพุทธรูปวดั ข่อย (Base of Wat Khoi Standing Buddha Image Inscription) จำรึกเป็นภำษำมอญโบรำณ อักษรปัลลวะ จำรึกอยู่ที่ฐำนบัวหินทรำยละเอียด ของพระพทุ ธรูปประทับยืนบนฐำนบวั บำน (พระหัตถ์ท้ังสองหัก) มีอำยุอยู่ในพุทธ ศตวรรษที่ ๑๒ จำนวน ๑ ด้ำน มี ๑ บรรทัด ไม่ปรำกฏหลักฐำนของปีและช่ือผู้ ที่พบจำรึกน้ี สถำนที่พบจำรึก คือ วัดข่อย (ไม่ทรำบว่ำเป็นวดั ไหนในปัจจุบัน) อำเภอ บ้ำนหมี่ (ข้อมูลเดิมว่ำอำเภอเซ่ำ) จังหวัด ลพบุรี ปัจจุบันอยู่ท่ีมุขพระระเบียงนอก ภำพท่ี ๓.๖๒ จำรกึ ฐำนพระพุทธรปู วัดขอ่ ย ดำ้ นท่ี ๑ กำแพงพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิต วนำรำมรำชวรวิหำร เขตดุสิต กรุงเทพมหำนคร ซึ่งศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน) ได้ บันทกึ เนื้อหำโดยย่อไว้ดังนี้ เนื้อหำโดยย่อของจำรึกฐำนพระพุทธรูปวัดข่อยคำจำรึกที่ฐำนของพระพุทธรูป เป็นกำร บอกเล่ำว่ำ เจ้ำปแู่ ละลูกหลำนเป็นผู้สรำ้ งพระพุทธรูป องค์น้ีข้ึน ซ่ึงอำจเป็นกำรสร้ำงขึ้นเพื่อถวำยแก่วัด กำหนดอำยุตำมรูปแบบของอักษรปัลลวะ ได้อำยุรำว พุ ท ธ ศ ต ว ร ร ษ ที่ ๑ ๒ ๙๒ ห ลั ก พุ ท ธ ธ ร ร ม ท ำ ง พระพทุ ธศำสนำท่ีพบในจำรึกนี้เปน็ เร่ือง “กำรทำบุญ ในพระพุทธศำสนำ” เป็นกำรเล่ำถึงเหตุกำรณ์ท่ีมีผู้ ศรัทธำเล่ือมใสในพระพุทธศำสนำแล้วได้ทำบุญด้วย กำรสร้ำงพระพุทธรูปองค์หนึ่งขึ้นมำเพ่ือถวำยให้เป็น ทำนไวใ้ นพระพุทธศำสนำ เปน็ ตน้ ภำพท่ี ๓.๖๓ จำรกึ เสำแปดเหล่ยี ม (ลพบรุ )ี ดำ้ นท่ี ๑-๘ ๙๒ ศูนย์มำนุษยวทิ ยำสริ ินธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนข้อมลู จำรกึ ในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=273 >, 14 January 2016

๑๔๗ ๓.๓.๑.๒ จำรึกเสำแปดเหล่ียม (ลพบุรี) (Inscription on Octagon Pillar (Lop Buri)) จำรึกเป็นภำษำมอญโบรำณ อักษรหลังปัลลวะ จำรึกอยู่ท่ีเสำหินทรำยหยำบ เป็นเสำแปดเหลี ยม หวั เสำเป็นรูปสี่เหลย่ี มจำหลักลวดลำย มอี ำยุอยู่ใน พ.ศ. ๑๓๑๔ ขนำดของของวตั ถทุ ใ่ี ชจ้ ำรกึ กวำ้ ง ดำ้ นละ ๙ เซนติเมตร สูง ๑๔๕ เซนติเมตร ไม่ปรำกฏหลักฐำนของปีและช่ือผู้ท่ีพบจำรึกนี้ สถำนท่ีพบ จำรึก คือ ศำลสูงเมืองลพบุรี ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ที่หอพระสมุดวชิรญำณ กองหอสมุดแห่งชำติ กรุงเทพมหำนคร (ภำพที่ให้ไว้น้ีเป็นภำพจำลอง) ซ่ึงศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน) ได้ บันทกึ เนื้อหำโดยย่อไวด้ งั น้ี เนื้อหำโดยย่อของจำรึกเสำแปดเหลี่ยม (ลพบุรี) เนื้อหำในจำรึกน้ี แบ่งเป็น ๔ เรื่อง กล่ำวถึงกำรทำบุญของบุคคลและคณะบุคคลต่ำงๆ กัน โดยกำรถวำยสัตว์ สิ่งของ และข้ำพระแก่ พระพุทธรูป กำรกำหนดอำยุจำกรูปแบบของตัวอักษรเป็นอักษรหลังปัลวะ อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๕๙๓ หลักพุทธธรรมทำงพระพุทธศำสนำท่ีพบในจำรึกน้ีเป็นเร่ือง “กำรทำบุญ ใน พระพุทธศำสนำ” คือ กำรถวำยถวำยสัตว์ สตั ว์ ส่งิ ของ และข้ำพระแก่พระพทุ ธรูป จัดเป็นอำมิสทำน หรือวตั ถุทำน คอื กำรนำเอำวตั ถุสิง่ ของต่ำง ๆ มำทำทำน เปน็ ต้น ๓.๓.๑.๓ จำรึกฐำนพระพุทธรูปยืนวัดมหำธำตุเมืองลพบุรี (Standing Buddha Image Base Inscription of Wat Maha That, Mueang Lop Buri) จำรึกเป็นภำษำสันสกฤต อกั ษรหลังปัล ลวะ จำรึกอยู่ท่ีหินปูนสีเทำแก่รูปกลีบบวั ซ่ึงเป็นฐำนพระพทุ ธรปู ยืน มีอำยุอยูใ่ น พุทธศตวรรษที่ ๑๒- ๑๔ ขนำดของของวัตถุท่ีใช้จำรึกกว้ำง ๕๐ เซนติเมตร สูง ๒๐ เซนตเิ มตร ไมป่ รำกฏหลักฐำนของปีท่ีพบจำรึกนี้ ผทู้ ่ีพบจำรกึ คือ หลวงบริบำลบุรีภัณฑ์ (ปวน อินทุวงศ์) สถำนท่ีพบจำรึก คือ มุม กำแพงชั้นนอก วัดมหำธำตุ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถำนแห่งชำติ สมเด็จพระณำรำย มหำรำช จังหวัดลพบุรี (ภำพท่ีให้ไว้นี้เป็นภำพจำลอง) ซึ่งศูนย์ มำนุษยวิทยำสิรินธ (องค์กำรมหำชน) ได้บันทึกเนื้อหำโดยย่อไว้ ดังนี้ เนื้อหำโดยย่อของจำรึกฐำนพระพุทธรูปยืนวัด มหำธำตุเมืองลพบุรี กล่ำวถึงอธิบดีแห่งชำวเมืองตังคุระ นำมว่ำ ภำพท่ี ๓.๖๔ จำรกึ ฐำนพระพุทธรปู ยืน “อำรชวะ” ผู้เป็นรำชโอรสของพระรำชำแห่งศำมพูกะ เป็น วดั มหำธำตเุ มอื งลพบรุ ี ด้ำนท่ี ๑ ผู้สร้ำงพระพุทธรูปองค์นี้ข้ึน กำรกำหนดอำยุ จำกรูปแบบของ ตัวอักษรเป็นอักษรหลังปัลลวะ อำยุรำวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ๙๔ หลักพุทธธรรมทำง พระพทุ ธศำสนำที่พบในจำรึกน้ีเปน็ เรื่อง “กำรทำบุญในพระพทุ ธศำสนำ”เปน็ กำรเล่ำถึงเหตุกำรณ์ของ ๙๓ ศูนยม์ ำนษุ ยวทิ ยำสิรนิ ธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนขอ้ มลู จำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=921>, 10 January 2016. ๙๔ ศนู ยม์ ำนุษยวิทยำสริ ินธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนข้อมูลจำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=923 >, 10 January 2016.

๑๔๘ รำชตระกลู ท่ีศรทั ธำเลอ่ื มใสในพระพุทธศำสนำแล้วได้ทำบุญด้วยกำรสร้ำงพระพทุ ธรูปข้ึนมำเพ่ือถวำย ให้เปน็ ทำนไวใ้ นพระพุทธศำสนำ เปน็ ต้น ภำพที่ ๓.๖๕ แผนทแ่ี ละจำรึกหลักพทุ ธธรรมท่ปี รำกฏในหลักฐำนทำงโบรำณคดีตำมเสน้ ทำง กำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมยั ลพบรุ ี ในภำคกลำงและภำคตะวนั ตก ๓.๓.๒ จารึกหลกั พทุ ธธรรมท่พี บในภาคเหนอื หนังสือชินกำลมำลี ปกรณ์ ที่พระรัตนปัญญำเถระ ชำวล้ำนนำ แต่งข้ึน โดยใช้ ภำษำบำลี ระหว่ำง พ.ศ. ๒๐๖๐ – ๒๐๗๑ มีตำนำนเก่ียวกับ ฤษีวำสุเทพ ได้สร้ำงเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ใน พ.ศ. ๑๒๐๔ ต่อจำกน้ันอีก ๒ ปี ก็ได้ส่งทูตล่องไปตำมแม่น้ำปิงลงไปยังเมืองลวปุระ (ลพบุรี) ทูลขอเช้ือสำยกษัตริย์ลวปุระให้ ข้ึนมำปกครองเมืองหริภุญไชย กษัตริย์ลวปุระจึงได้ พระรำชทำนพระนำงจำมเทวี พระรำชธิดำให้ขึ้นไปปกครองเมืองหรภิ ุญไชย สมยั นน้ั ในเมอื งลวปุระได้ นับถือพระพุทธศำสนำอยู่แล้ว เม่ือนำงจำมเทวีขึ้นมำปกครองเมืองหริภุญไชยจึงได้นำเอำ พระพทุ ธศำสนำจำกเมืองลวปุระข้ึนมำเผยแผใ่ นเมืองหรภิ ญุ ไชยดว้ ย จำรึกหลักพุทธธรรมสมัยลพบุรีที่ สำรวจพบแถบภำคเหนือของประเทศไทย คือ อำณำเขตต้ังแต่จังหวัดเชียงรำย แม่ฮ่องสอน พะเยำ น่ำน เชียงใหม่ ลำปำง ลำพูน แพร่ และ อุตรดิตถ์ หลักธรรมในพระพุทธศำสนำท่ีสำรวจพบในแถบ ภำคเหนอื น้จี ะได้นำเสนอใหเ้ ห็นไวส้ ัก ๒ ตวั อย่ำงดังน้ี

๑๔๙ ๓.๓.๒.๑ จำรึกวัดมหำวัน (ลำพูน) เป็นภำษำมอญโบรำณ อักษรมอญโบรำณ จำรึกอยู่ที่รูปใบเสมำหินทรำย มีอำยุอยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ขนำดของวัตถุท่ีใช้จำรึกกว้ำง ๗๘ เซนติเมตร สูง ๑๓๑ เซนติเมตร หนำ ๒๔ เซนติเมตร ไม่ปรำกฏหลักฐำนของปีและชื่อผู้ท่ีพบจำรึกน้ี สถำนที่พบจำรึก คือ วัดมหำวนั อำเภอเมืองลำพูน จังหวดั ลำพนู ปัจจุบนั ถูกเก็บอยู่ที่พิพธิ ภัณฑสถำน แห่งชำติ หริภุญไชย อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ซึ่งศูนย์มำนุษยวิทยำสิริน(องค์กำรมหำชน) ได้ บันทึกเนอ้ื หำโดยยอ่ ไว้ดังนี้ เนอ้ื หำโดยย่อของจำรกึ วดั มหำวัน (ลำพูน) คือ (๑) ข้อควำมเรม่ิ ต้นกล่ำวถึง ควำมสัตย์ท่ี แท้จริง คือ จรมตฺต ในผลงำน ของท่ำน (กษัตริย์) ผู้บำเพ็ญ พ ร ะ ร ำ ช กุ ศ ล ใ น พระพุทธศำสนำ (๒) กำร สร้ำงพระเจดีย์ พระพุทธรูป ทั้ง ๓ กุฏิ คูหำ ฉัตร และกำร ถวำยข้ำพระ (๓) กลำ่ วถงึ รำช ตระกูลและผู้ท่ีเก่ียวข้องกับ กิจกำรน้ี (ส่วนใหญ่เป็นคำวิ ภำพท่ี ๓.๖๖ จำรึกวดั มหำวนั ดำ้ นที่ ๑ ภำพที่ ๓.๖๗ จำรึกวัดมหำวนั ด้ำนที่ ๒ สำมำนยนำม) (๔) กำรถวำย ส่ิงของแด่วัดและพระสงฆ์ กำร กำหนดอำยุจำกรูปอักษรมอญ โบรำณ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง กับตัวอักษรที่ ปรำกฏบนศิลำ จำรึก”มยเจดีย์” (Mayazedi) ข อ ง พ ร ะ เ จ้ ำ จั น สิ ต ถ ำ (Kyanzittha) (อักษรโรมัน Ky ภำพที่ ๓.๖๘ จำรกึ วดั มหำวนั ด้ำนท่ี ๓ ภำพที่ ๓.๖๙ จำรึกวัดมหำวนั ดำ้ นที่ ๔ ในภำษำพม่ำแทนเสียง /c/ ซึ่ง เท่ำกับ จ ในภำษำไทย) กษัตริย์พุกำม (พม่ำ) ซ่ึงจำรึกไว้เม่ือ พ.ศ.๑๖๒๘ และ ๑๖๓๐ ดังนั้น จำรึก หลักน้ีจึงน่ำจะมีอำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ เช่นเดียวกัน อน่ึง อำณำจักรพุกำมมีกำรรับอทิ ธิพลด้ำน ตัวอักษรไปจำกมอญ เมื่อพระเจ้ำอนิรุทธ (อโนรธำมังฉ่อ) กษัตริย์พุกำม (พม่ำ) ทรงยกทัพไปตีเมือง สะเทิม (ถะทนหรือสธุ รรมวดี) ซ่ึงเป็นรำชธำนขี องหัวเมืองมอญฝ่ำยใต้สำเร็จ จงึ ได้มีกำรกวำดต้อนผูค้ น ช่ำงฝีมือ ตลอดจนภิกษุสงฆ์ และคัมภีร์ทำงพุทธศำสนำที่มีอยู่ในดินแดนดังกล่ำวไปสู่พุกำม ทำให้ วัฒนธรรมมอญ แพร่หลำยในพุกำม รวมไปถงึ กำรใช้ตัวอักษร โดยศำสตรำจำรย์ เรอชินำล์ด เลอเมย์ (Reginald Le May) กล่ำวว่ำ พม่ำ รับวัฒนธรรมกำรเขียนหนงั สือไปจำกมอญ เมื่อรำว พ.ศ. ๑๖๐๖ ซ่งึ พระเจำ้ จันสติ ถำนนั้ ก็คือผู้ท่คี รองรำชยต์ อ่ จำกพระเจำ้ อนริ ทุ ธ (อโนรธำมงั ฉ่อ) นัน่ เอง๙๕ ๙๕ ศูนย์มำนุษยวทิ ยำสิรนิ ธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนขอ้ มลู จำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=573 >, 20 January 2016.

๑๕๐ หลักพุทธธรรมทำงพระพุทธศำสนำที่พบในจำรึกน้ีเป็นเรื่อง “สัจจะและกำรทำบุญใน พ ร ะ พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ ” เป็ น ก ำ ร เล่ ำ ถึ ง เห ตุ ก ำ ร ณ์ ข อ ง ก ษั ต ริ ย์ แ ล ะ ร ำ ช ต ร ะ กู ล ท่ี ศ รั ท ธ ำ เลื่ อ ม ใ สใ น พระพทุ ธศำสนำแลว้ ได้ทำบุญด้วยกำรสรำ้ งพระเจดีย์ พระพุทธรูปทั้ง กุฏิ คหู ำ ฉตั ร และ สงิ่ อืน่ ๆ เพ่ือ ถวำยใหเ้ ป็นทำนไวใ้ นพระพทุ ธศำสนำ เปน็ ตน้ ๓.๓.๒.๒ จำรกึ วดั ดอนแก้ว เป็นภำษำมอญโบรำณ อักษรมอญโบรำณ จำรึกอยู่ที่ รูปใบเสมำหินทรำย มีอำยุอยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ขนำดของวตั ถุทีใ่ ช้จำรึกกว้ำง ๖๖ เซนตเิ มตร สูง ๑๔๗ เซนติเมตร หนำ ๑๙ เซนตเิ มตร ไม่ปรำกฏหลกั ฐำนของปีและชือ่ ผ้ทู ีพ่ บจำรกึ น้ี สถำนท่ีพบจำรึก คอื วัดดอนแก้ว อำเภอเมืองลำพูน จังหวดั ลำพูน ปัจจุบนั ถกู เก็บอยู่ท่ีพพิ ิธภัณฑสถำนแหง่ ชำติ หรภิ ุญ ไชย อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ซ่ึงศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน) ไดบ้ ันทึกเนื้อหำ ยอ่ ไวด้ ังน้ี เนือ้ หำโดยยอ่ ของจำรึกวดั ดอนแก้ว คอื กล่ำวถึงกำรสร้ำงเจดีย์และผูกพัทธสีมำซึ่งมีกำร บรรจุทองคำ จำนวน ๑๓ อัว๙๖ หลักพุทธธรรมทำงพระพุทธศำสนำท่ีพบในจำรึกน้ีเป็นเร่ือง “กำร ทำบุญในพระพทุ ธศำสนำ” เปน็ กำรเลำ่ ถงึ กำรทำบญุ ด้วยกำรสรำ้ งพระเจดีย์ และผูกพทั ธสีมำซงึ่ มีกำร บรรจทุ องคำ เพื่อถวำยให้เป็นทำนไว้ในพระพทุ ธศำสนำ เป็นตน้ ภำพท่ี ๓.๗๐ จำรกึ วดั ดอนแกว้ ด้ำนที่ ๑ ๓.๓.๓ จารึกหลักพุทธธรรมท่ีพบแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาค ตะวนั ออก จำรึกหลกั พุทธธรรมสมยั ลพบรุ ีท่ีพบแถบภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศ ไทย คือ อำณำเขตตั้งแต่จังหวัดเลย หนองคำย บึงกำฬ นครพนม หนองบัวลำภู อุดรธำนี สกลนคร ขอนแกน่ กำฬสินธุ์ มกุ ดำหำร ชัยภมู ิ มหำสำรคำม ร้อยเอด็ ยโสธร อำนำจเจรญิ นครรำชสีมำ สุรนิ ทร์ ศรีศะเกษ อุบลรำชธำนี ฉะเชิงเทรำ สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบรี และ ตรำด หลักธรรมใน พระพทุ ธศำสนำทสี่ ำรวจพบในแถบภำคเหนอื นจี้ ะไดน้ ำเสนอใหเ้ หน็ ไว้สัก ๓ ตัวอยำ่ งดงั น้ี ๙๖ ศนู ยม์ ำนุษยวทิ ยำสริ ินธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนข้อมูลจำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=571>, 20 January 2016.

๑๕๑ ๓.๓.๓.๑ จำรึกเนินสระบวั (Noen Sa Bua Inscription) เป็นภำษำเขมร, บำลี อักษรหลังปัลลวะ จำรึกอยู่ท่ีใบเสมำประเภทหินทรำยสีเขียว มีอำยุอยู่ใน พุทธศักรำช ๑๓๐๔ ขนำดของวัตถุท่ีใช้จำรึก กว้ำง ๔๐ เซนติเมตร สูง ๑๗๗ เซนติเมตร หนำ ๒๘ ปีท่ีพบจำรึก คือ พ.ศ. ๒๔๙๖ และช่ือผู้ที่พบจำรึก คือ นำยชิน อยู่ดี สถำนที่ พบจำรึก คือ เนินสระบัว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ (ข้อมูลเดิมว่ำ อำเภอศรีมหำโพธิ) จังหวัดปรำจีนบุรี ปัจจุบัน ถูกเก็บอยู่ท่ีวัดต้นโพธิ์ศรีมหำโพธ์ิ ตำบลโคกปีบ อำเภอ ศรีมโหสถ (ข้อมูลเดิมว่ำ อำเภอศรีมหำโพธิ) จังหวัด ภำพที่ ๓.๗๑ จำรึกเนนิ สระบัว ดำ้ นท่ี ๑ ปรำจีนบุรี ซ่ึงศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน) ได้บันทึกเนอ้ื หำยอ่ ไวด้ ังน้ี เนื้อหำโดยย่อของจำรึกเนินสระบัว เป็นคำสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย กำรทำบุญ และ กำรประดิษฐำนเทวรูป กำรกำหนดอำยุ รูปแบบของตัวอักษรเป็นอักษรหลังปัลลวะ อำยุรำวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ประกอบกับมีเลขมหำศกั รำช ๖๘๓ ซึง่ ตรงกับ พุทธศกั รำช ๑๓๐๔ จงึ กำหนดอำยุ ไดว้ ่ำจำรึกเนนิ สระบวั มีอำยรุ ำวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ ๙๗ หลกั พุทธธรรมทำงพระพุทธศำสนำทีพ่ บในจำรกึ น้ีเป็นเร่ือง “พระรัตนตรัย” สง่ิ มีคำ่ และ เคำรพบูชำสูงสุดของชำวพุทธ ๓ อย่ำง คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นอกจำกนี้ยังได้พบ เน้อื หำเกย่ี วกับกำรทำบญุ ในพระพุทธศำสนำ โดยสำระของบญุ จะเปน็ เรือ่ งท่เี กีย่ วกับ ทำน ศลี ภำวนำ ในศำสนสถำนของชำวพุทธโดยท่ัวไปเรำจะพบรูปของเทวรูปซึ่งสร้ำงไว้ให้ปกปักรักษำวัดและป้องกัน สิ่งอัปมงคลที่จะเข้ำมำภำยในวัดตำมคติควำมเชื่อของคนในแต่ละยุคสมัย ควำมเช่ือเหล่ำนี้ได้รับ ถ่ำยทอดต่อกันมำจำกรุ่นสู่รุ่น เช่น กำรสร้ำงรูปยักษ์ถือกระบองเฝ้ำประตูวัดดังท่ีปรำกฏอยู่ทั้งในวัด โพธทิ์ ำ่ เตยี น วัดแจ้ง ที่กรงุ เทพมหำนคร และในที่อื่น ๆ อกี เปน็ ต้น ๓.๓.๓.๒ จำรึกปรำสำทหินพิมำย ๒ (Prasat Hin Phimai Inscription 2) เป็น ภำษำเขมร, สันสกฤต อักษรขอมโบรำณ จำรึกอยู่ที่รูปใบเสมำศิลำชำรุด เน้ือศิลำส่วนล่ำงขำดหำยไป มีอำยุอย่ใู นพทุ ธศักรำช ๑๕๘๙ ขนำดของวัตถุทใ่ี ช้จำรกึ กวำ้ ง ๒๓ เซนติเมตร สงู ๑๘ เซนติเมตร หนำ ๕.๕ เซนติเมตร ปีที่พบจำรกึ ๒๔๙๗ ผู้ที่พบจำรึก คือ เจ้ำหนำ้ ที่กองโบรำณคดี กรมศิลปำกร สถำนที่ พบจำรกึ คือ บริเวณมุมตะวนั ออกเฉียงใตข้ องปรำงค์ใหญ่ ปรำสำทหินพิมำย บ้ำนพมิ ำย ตำบลในเมอื ง อำเภอพิมำย จังหวัดนครรำชสีมำ ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ท่ีพิพิธภัณฑสถำนแห่งชำติ พระนคร กรงุ เทพมหำนคร ซง่ึ ศูนย์มำนุษยวิทยำสริ นิ ธร (องคก์ ำรมหำชน) ไดบ้ นั ทกึ เน้ือหำย่อไวด้ ังน้ี เน้ือหำโดยย่อของจำรึกปรำสำทพิมำย ๒ เน้ือควำมด้ำนที่ ๑ เริ่มต้นด้วยกำรกล่ำว นมัสกำรพระพุทธเจ้ำ จำกนั้นก็กล่ำวถึงกำรซื้อทำส แลสิ่งของเพ่ือถวำยแด่เทวรูปในเทวสถำน ในวัน บรรพวิวัสนะ และวันสงกรำนต์ เนื้อควำมด้ำนท่ี ๒ กล่ำวสรรเสริญพระพุทธเจ้ำ ซึ่งมีพระพรหมและ ๙๗ ศูนยม์ ำนุษยวทิ ยำสิรนิ ธร (องคก์ ำรมหำชน), ฐำนข้อมลู จำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=571>, 20 January 2016.

๑๕๒ พระวิษณุมำกรำบไหว้ กำรกำหนดอำยุ จำรึกด้ำนที่ ๑ บรรทัดท่ี ๓ บอกมหำศักรำช ๙๕๘ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๕๗๙ ส่วนจำรึกดำ้ นที่ ๒ บรรทดั บนสุดบอกมหำ ศกั รำช ๙๖๘ ซงึ่ ตรงกบั พ.ศ. ๑๕๘๙๙๘ หลักพทุ ธธรรมทำงพระพุทธศำสนำท่พี บในจำรึกนเ้ี ป็นเรอ่ื ง “พทุ ธำนุสติ” เป็นกำรอ้ำงถึง คุณของพระพุทธเจ้ำเป็นที่พ่ึงและที่ระรึก นอกจำกน้ีเป็นกำรแสดงให้เห็นถึงควำมศรัทธำเล่ือมใสใน พระพุทธศำสนำ โดยกำรกล่ำวสรรเสริญพระพุทธเจ้ำว่ำเป็นศำสดำผู้สูงสุด ซึ่งแม้แต่พระพรหมและ พระวษิ ณุที่เป็นเทพเจ้ำในศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู ยงั ต้องเคำรพกรำบไหว้ในพระพุทธเจำ้ แสดงให้เห็น วำ่ พระพุทธเจ้ำเปน็ ศำสดำสงู ส่งกวำ่ พระพรหมและพระวษิ ณุ เป็นต้น ภำพท่ี ๓.๗๒ จำรกึ ปรำสำทหินพิมำย ๒ ด้ำนท่ี ๑ ภำพที่ ๓.๗๓ จำรึกปรำสำทหนิ พิมำย ๒ ด้ำน ท่ี ๒ ๓.๓.๓.๓ จำรึกปรำสำทตำเมียนโตจ (Prasat Ta Mian Tot Inscription) เป็น สันสกฤต อกั ษรขอมโบรำณ จำรึกอยู่ที่ศิลำหินทรำยแทง่ สี่เหลี่ยม ยอดทรงกระโจมหรือทรงยอ มอี ำยุ อยใู่ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ขนำดของวัตถุทใ่ี ชจ้ ำรึกกวำ้ ง ๓๔ เซนติเมตร สูง ๑๖๖ เซนติเมตร หนำ ๒๗ เซนติเมตร ไม่ปรำกฏและผู้ที่พบจำรกึ นี้ สถำนท่ีพบจำรึก คือ ปรำสำทตำเมียนโตจ บ้ำนหนองคันนำ ตำบลตำเมียง กงิ่ อำเภอพนมดงรกั จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ปจั จุบนั ถูกเก็บอยู่ท่ีหอพระสมุดวชริ ญำณ กอง หอสมุดแห่งชำติ กรงุ เทพมหำนคร ซ่ึงศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องคก์ ำรมหำชน) ได้บนั ทึกเนอื้ หำย่อ ไว้ดงั น้ี ภำพที่ ๓.๗๔ จำรึกปรำสำทตำเมียนโตจ ด้ำนที่ ๑ ภำพที่ ๓.๗๕ จำรกึ ปรำสำทตำเมยี นโตจ ด้ำนที่ ๒ ๙๘ ศนู ยม์ ำนษุ ยวิทยำสริ ินธร (องค์กำรมหำชน), ฐำนขอ้ มูลจำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=395 >, 20 January 2016.

๑๕๓ ภำพท่ี ๓.๗๖ จำรึกปรำสำทตำเมยี นโตจ ด้ำนท่ี ๓ ภำพที่ ๓.๗๗ จำรกึ ปรำสำทตำเมียนโตจ ด้ำนที่ ๔ เนื้อหำโดยยอ่ ของจำรึกตำเมือนโตจ ด้ำนท่ี ๑ เริ่มต้นด้วยกำรกล่ำวนมัสกำรพระพุทธเจ้ำ แล้วกล่ำวสรรเสริญพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ ด้ำนที่ ๒ กล่ำวถึงพระรำชภำรกิจของพระองค์ในกำรสร้ำง โรงพยำบำล (อโรคยำศำลำ) สร้ำงพระพุทธรูปไวโรจนชินเจ้ำ และจดั เจ้ำหน้ำที่เพื่อทำหน้ำที่ประจำใน โรงพยำบำล ดำ้ นที่ ๓ กล่ำวถงึ รำยกำรสิ่งของท่ีพระเจำ้ ชัยวรมันที่ ๗ ประทำนเป็นเครอื่ งพลีทำน ส่วน ใหญ่เป็นรำยช่ือสมุนไพร ด้ำนท่ี ๔ กลำ่ วถึงส่งิ ของท่ีพระเจำ้ ชัยวรมันที่ ๗ ประทำนเป็นเครื่องพลีทำน ตอ่ จำกด้ำนที่ ๓ จำกน้ันมีกำรกล่ำวหำ้ มไม่ให้มีกำรทำร้ำยกนั หำกผู้ใดฝำ่ ฝืนจะถูกลงโทษ ลงทำ้ ยด้วย กำรถวำยพระพรแด่พระเจำ้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ให้ได้รับควำมสขุ จำกบุญกุศลในครัง้ น้ี กำรกำหนดอำยุ จำรึก ด้ำนที่ ๑ บรรทัดท่ี ๗ ได้ระบุพระนำมของกษัตริยพ์ ระองคห์ น่ึง คือ ศรีชัยวรมนั ว่ำเป็นพระโอรสของ พระเจ้ำธรณีนทรวรมันท่ี ๒ ดงั นัน้ พระนำม “ศรชี ัยวรมนั ” ในท่ีน้ี ก็นำ่ จะหมำยถงึ พระเจ้ำชัยวรมนั ที่ ๗ ซ่ึงครองรำชย์ในช่วง พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๑๙๙ หลักพุทธธรรมทำงพระพุทธศำสนำท่ีพบในจำรกึ น้ีเป็น เรือ่ ง “พุทธำนุสติ กำรทำให้ทำน และเวน้ จำกบียดเบียนกัน” เป็นกำรอ้ำงถึงคุณของพระพุทธเจ้ำเป็น ทีพ่ ่ึงและท่ีระรึก กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ เช่น กำรสร้ำงพระพุทธรูปถวำยไว้ในพระพุทธศำสนำ กำรสร้ำงโรงพยำบำลเพื่อรักษำเพ่ือนมนุษย์ผู้เจ็บป่วย เข้ำกับหลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำข้อที่ว่ำ ด้วยเรอ่ื ง “จำคะ” คือ กำรเสียสละ กำรให้ปัน หรือ ข้อท่ีว่ำด้วยเรื่อง “จำคสัมปทำ” ถึงพร้อมด้วย กำรบรจิ ำคทำน เปน็ กำรเฉล่ียสุขใหแ้ ก่ผอู้ ืน่ ๙๙ ศูนย์มำนษุ ยวิทยำสริ ินธร (องคก์ ำรมหำชน), ฐำนขอ้ มลู จำรึกในประเทศไทย, < http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=473>, 20 January 2016.

๑๕๔ ภำพที่ ๓.๗๘ แผนท่ีและจำรกึ หลักพุทธธรรมท่ปี รำกฏในหลักฐำนทำงโบรำณคดตี ำมเสน้ ทำงกำรเผยแผ่ พระพทุ ธศำสนำสมยั ลพบุรี ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื และภำคตะวนั ออก สรปุ ประวัติศำสตร์ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ และหลักพุทธธรรม สมัยลพบุรี ที่ได้ ศกึ ษำทัง้ หมดในบทน้มี ขี อ้ ค้นพบทีน่ ำ่ สนใจดังนี้ ๑. ประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรี คือ พระพุทธศำสนำมีควำม เจริญควบคู่กันมำทั้งนิกำยเถรวำท และนิกำยมหำยำน ศำสนำสำคัญในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ คือ ศำสนำพรำหมณ์– ฮินดู ชำวลพบุรีได้รับแบบแผนทำงวัฒนธรรม ด้ำนกำรปกครอง ศิลปะ กำรช่ำง วิทยำกำรต่ำง ๆ จำกทวำรวดี และจำกขอม แม้ว่ำอำณำจักรลพบุรีบำงยุคสมัยจะนับถือศำสนำ พรำหมณ์– ฮินดู แต่พระพุทธศำสนำก็เจรญิ รุ่งเรอื งควบคู่กนั ไปกบั ศำสนำพรำหมณ์-ฮนิ ดู ซ่งึ จำกบันทึก ของพระสงฆจ์ ีนอ้ีจิง ผู้จำรกิ ไปอนิ เดียทำงเรือผ่ำนทะเลใต้ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ กล่ำวถึงดินแดนขอม ในยุคนั้นว่ำ พระพุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองมำก ในเมืองมีวัดทั่วไปทุกแห่ง ศำสนำพรำหมณ์และ

๑๕๕ พระพุทธศำสนำอยู่ร่วมกันอย่ำงสงบสขุ ชำวเมืองและเจ้ำนำยนยิ มบวชในพระพุทธศำสนำ๑๐๐ ท้ังกล่ำว ด้วยว่ำดินแดนต่ำง ๆ ในทะเลใต้นับถือปฏิบัติพระพุทธศำสนำนิกำยต่ำง ๆ รวมทั้งนิกำยมูลสรวำสติ วำท ซึ่งเป็นนกิ ำยหินยำนทใ่ี ช้ภำษำสันสกฤตจำรึกพระธรรมวนิ ัย ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ท่ีนครธมสมัย พระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ มหำรำชองค์สุดท้ำยของขอม พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศำสนำให้ เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงสร้ำงพุทธสถำน ปรำสำทต่ำง ๆ และพระพุทธรูปจำนวนมำก ให้ พระพุทธศำสนำฝ่ำยมหำยำน ทรงสร้ำงปรำสำทตำพรมให้เป็นมหำวิทยำลัยสงฆ์ มีพระมหำเถระเป็น อำจำรย์ใหญ่อยู่ถึง ๑๘ รูป และอำจำรย์รองลงมำถึง ๒,๗๔๐ รูป ทรงให้รำชกุมำรเสด็จไปศึกษำ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทที่ประเทศศรีลังกำ และผนวชท่ีวัดมหำวิหำรในประเทศศรีลังกำ ปลำย ยคุ เมืองพระนคร ศำสนำพรำหมณ์– ฮนิ ดู และพระพุทธศำสนำนกิ ำยมหำยำนเสื่อมถอยลง คงเหลอื แต่ พระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำทท่ีเจริญรุ่งเรือง และได้รับกำรนับถือต่อกันเรื่อยมำ จำกผู้คนทุกระดับ ตัง้ แต่ระดบั ชนชัน้ ผปู้ กครองสงู สดุ ลงมำจนถึงประชำชนท่ัวไป ๒. เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรี ในภำคต่ำงของประเทศ ไทยสรุปไดด้ ังนี้ ๑) เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรีในภำคกลำงและภำค ตะวนั ตก เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดลพบุรี คือ อำณำจักร ละโว้(ลพบุรี) เป็นดินแดนเก่ำแก่ท่ีมีประวัติควำมเป็นมำยำวนำน เป็นเมืองที่มีควำมเจริญทำง วัฒนธรรมยำวนำนกว่ำ ๓,๐๐๐ ปี ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศำสตร์ มีกำรสำรวจพบหลักฐำนทำง โบรำณคดีทีส่ ำคญเช่น กำรขดุ พบโครงกระดกู มนษุ ย์พรอ้ มภำชนะดินเผำ ทีแ่ หลง่ โบรำณคดีบ้ำนท่ำแค อำยุระหว่ำง ๓,๕๐๐-๔,๕๐๐ ปี กำรขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่ ท่ีบ้ำนโคกเจริญ อำยุ ระหว่ำง ๒,๗๐๐-๓,๕๐๐ ปี กำรขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคสำริด ท่ีศูนย์กำรทหำรปืนใหญ่ อำยุ ระหว่ำง ๒,๓๐๐ - ๒,๗๐๐ ปี กำรขุดพบชมุ ชนโบรำณในสมัยทวำรวดี ที่เมืองโบรำณซับจำปำ อ.ท่ำ หลวง และเมืองโบรำณดงมะรุม อ.โคกสำโรง เมืองใหม่ไพศำลี ซ่ึงสันนิษฐำนว่ำมีอำยุประมำณ ๑,๐๐๐ ปี กำรพบหลักฐำนท่ีเป็นเคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ เช่น เหรียญทำด้วยเงิน มีลำยดุนเป็นรูป สญั ลักษณ์ต่ำง ๆ ตำมคตินิยมของกลมุ่ ชนในสมยั นนั้ ที่ ตำบลหลุมขำ้ ว อำเภอโคกสำโรง เป็นตน้ โดยใน อดีตรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ลพบุรีรู้จักกันในช่ือว่ำ “ละโว้” หรือ “ลวะปุระ” เป็นเมืองที่มี ควำมสำคัญทำงฝั่งตะวันออกของลุ่มนำ้ เจ้ำพระยำ ซ่งึ กำรพบหลักฐำนต่ำงๆ เหล่ำนี้ แสดงวำ่ ลพบุรี เป็นที่ตั้งของชุมชนมำต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศำสตร์ ในส่วนของกำร สร้ำงเมืองลพบุรีนั้น ตำม ประวัติศำสตร์ในพงศำวดำรโยนก กล่ำววำ่ ผู้สร้ำงเมืองลพบุรีหรือที่เรียกว่ำ \"ละโว้\" ในสมัยโบรำณ คอื \"พระเจ้ำกำฬวรรณดษิ \" รำชโอรสแห่งพระเจำ้ กรุงขอม ซ่ึงสรำ้ งขน้ึ ในปี พ.ศ.๑๐๐๒ และเป็นเมือง ท่ีมีควำมสำคัญมำต้ังแต่ สมัยทวำรวดีเคยอยู่ใต้อำนำจของมอญและขอม นอกจำกนั้นหลักฐำนที่เป็น เครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เหรียญทำด้วยเงิน มลี ำยดนุ เปน็ รูปสัญลักษณ์ต่ำง ๆ ตำมคตินิยมของอินเดยี ที่ บ้ำนหลุมข้ำว อ.โคกสำโรง แสดงใหเ้ ห็นกำรพฒั นำกำรของเมืองลพบุรี ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๔ ๑๐๐ พระสธุ รรมญำณวิเทศ. (สุธรรม สุธมโฺ ม), และคณะนักวิจัย DIRI จำกวำรสำรอย่ใู นบุญฉบับเดือน มีนำคม พ.ศ.๒๕๕๙, หนำ้ ๓๔.

๑๕๖ ว่ำพิจำรณำจำกชุมชนโบรำณสมัยก่อนประวัติศำสตร์ มำเป็นศูนย์กลำงทำงกำรค้ำ และเม่ือได้รับ อิทธิพลทำงศิลปะ และควำมเชื่อทำงศำสนำ ของอินเดีย ก็กลำยมำเป็นศูนย์กลำงทำงศำสนำ พุทธ ศตวรรษท่ี ๑๕-๑๘ วัฒนธรรมขอมโบรำณได้แผ่ขยำยอิทธิพลเข้ำมำสู่อำณำจักรลพบุรี จึงทำให้ ศิลปกรรมต่ำง ๆ ของลพบุรีในช่วงนี้ คือ พระปรำงค์สำมยอด ศำลพระกำฬ ปรำงค์แขก ท่ีมีอยู่ใน จังหวัดลพบุรี มีลักษณะคล้ำยคลึงกับศิลปะขอมท่ีมีอยู่ตำมสถำนที่ต่ำง ๆ เช่น ปรำสำทหินพิมำย จังหวัดนครรำชสีมำ ปรำสำทหินเขำพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปรำสำทนครวัด ปรำสำทนครธม ใน จังหวัดเสียมเรียบในประเทศกัมพูชำ เป็นต้น อำณำจักรละโว้ (ลพบุรี) ในชว่ งนน้ั เคยได้เป็นศูนย์กลำง ด้ำนศิลปวิทยำกำร พงศำวดำรในสมัยสุโขทัยกล่ำวไว้ว่ำ พ่อขุนรำมคำแหง เคยได้เสด็จมำศึกษำเล่ำ เรยี นทเี่ ขำสมอคอน ในปี พ.ศ.๑๗๘๘ และ พอ่ ขนุ งำเมือง รำชโอรสแหง่ เมืองพะเยำ กเ็ ป็นอีกพระองค์ หน่ึงเคยได้เสด็จมำศึกษำท่ีเขำสมอคอนเช่นกันในปี พ.ศ.๑๗๙๗ เนื่องจำกสภำพทำงภูมิศำสตร์ของ ลพบรุ ตี ง้ั อยู่ในสถำนที่เหมำะสม สำมำรถตดิ ตอ่ กับเมอื งอ่ืน ๆ ได้ทัง้ ทำงบกและทำงน้ำทำใหเ้ มืองลพบุรี กลำยเป็นเมืองท่ำสำคัญในกำรติดต่อค้ำขำยกับต่ำงประเทศ และเป็นเมืองศูนย์กลำงทำงพุทธศำสนำ ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงจำกกำรท่ีได้ติดต่อกับอำณำจักรขอมซ่ึงเป็นศูนย์กลำงแห่งอำนำจที่ สำคัญในขณะน้ัน ทำให้ลพบุรีรับเอำศิลปวัฒนธรรมจำกขอมเข้ำมำมำกมำย ส่งผลให้เกิดกำรพัฒนำ ด้ำนต่ำง ๆ จนทำให้ลพบุรีกลำยเป็นเมืองท่ีเจริญรุ่งเรืองมำกกว่ำเมืองอื่น ๆ ที่มีอยู่ในเขตลุ่มน้ำ เจ้ำพระยำซ่งึ อยู่ในสมัยเดยี วกัน เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมัยลพบรุ ีในจังหวัดสุโขทัย คือ จังหวัดสุโขทัยในอดีต ไดเ้ รมิ่ ก่อตวั ขึ้นบนเสน้ ทำงกำรค้ำท่สี ำคัญ และได้เป็นปึกแผ่นมีควำมเจรญิ รุง่ เรืองอยู่ระยะหน่ึงแลว้ จึง ได้ลม่ สลำยลงไปพร้อม ๆ กันกบั อำณำจกั รขอม รำว พ.ศ. ๑๗๕๐ กำรล่มสลำยของอำณำจกั รขอมน้ัน สำเหตุส่วนหนึ่งเกิดจำกสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ ได้มีกำรเกณฑ์แรงงำนจำนวนมำกมำยเพื่อมำ สรำ้ งปรำสำทจำนวนมำกเพอ่ื ถวำยไว้ในพระพุทธศำสนำ ทำใหป้ ระชำชนเกิดควำมทอ้ แทเ้ หน่ือยหน่ำย และอ่อนล้ำ จึงขำดกำลังใจท่ีจะลุกข้ึนมำปกป้องประเทศชำติให้มีควำมม่ันคงได้อีกต่อไป จนทำให้ อำณำจักรขอมลม่ สลำยลงในท่ีสดุ กษตั ริยข์ อมในรัชกำลต่อมำเม่ือข้ึนครองรำชยแ์ ล้วก็ไดเ้ ปลยี่ นมำนับ ถือศำสนำฮินดูอีกคร้ังหนึ่ง เมืองต่ำง ๆ ที่เคยอยู่ภำยใต้อิทธิพลของขอม จึงถือโอกำสในช่วงที่ อำณำจักรขอมกำลังเสื่อมอิทธพิ ลลง ได้สถำปนำตนเองขน้ึ เป็นอำณำจักรใหม่ ได้แก่ อำณำจักรสโุ ขทัย (ประมำณ พ.ศ. ๑๗๙๒) และอำณำจักรอยุธยำ (ประมำณ พ.ศ. ๑๘๙๓) เป็นต้น ซ่ึงชำ่ งสุโขทัยในสมัย แรกเริ่มต้ังเป็นอำณำจักรนั้น ได้รับเอำศิลปะวัฒนะธรรมดั้งเดิมท่ีสืบทอดมำจำกอำณำจักรพุกำม อำณำจักรตำมพรลิงค์ อำณำจักรขอมรวมลพบุรีด้วย แล้วปรับปรุงและพัฒนำจนได้งำนศิลปะที่มี ควำมเฉพำะตัว อ่อนช้อย งดงำม สะทอ้ นสภำพเศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง ในอำณำจกั รสุโขทยั ได้เป็น อยำ่ งดี จงึ ทำใหส้ มยั สโุ ขทัยมศี ลิ ปะทส่ี วยงำมมำกยคุ หนง่ึ ในประศำสตร์ศิลปะไทย เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดกำญจนบุรี หลักฐำนทำง โบรำณคดีที่ได้สำรวจพบในจังหวัดกำญจนบุรี รำวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ คอื ปรำสำทเมืองสงิ ห์ ซ่ึง มีควำมเชื่อมโยงกับศิลำจำรึกปรำสำทพระขรรค์๑๐๑ ที่สำรวจพบพบในเมืองเสียมเรียบของประเทศ ๑๐๑ กอ่ งแก้ว วีระประจกั ษ,์ จารึกปราสาทเมืองสงิ ห์ ใน จารึกในประเทศไทย เลม่ ๔ : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘, (กรงุ เทพมหำนคร: กรมศิลปำกร, ๒๕๒๙), หน้ำที่ ๑๕๐-๑๕๒.

๑๕๗ กัมพูชำที่มีกำรระบุว่ำ พระเจ้ำชยั วรมนั ท่ี ๗ ได้ทรงประดิษฐำนพระชัยพุทธมหำนำถ(รูปจำลอง) ในศำ สนสถำนถึง ๒๓ เมือง ซึ่งบรรดำช่ือเมืองต่ำง ๆ เหล่ำน้ีเช่ือกันว่ำมีอยู่ จำนวน ๖ เมือง ตั้งอยู่ในภำค กลำงของประเทศไทยปัจจุบัน สันนิษฐำนว่ำน่ำจะเป็นบริเวณท่ีตั้งปรำสำทเมืองสิงห์ คือ เมืองศรีชัย สิงห์ปุรี เพรำะมีชื่อพ้องกับเมืองที่ปรำกฏในจำรึก และปรำสำทเมืองสิงห์นี้มีลักษณะทำงด้ำน สถำปตั ยกรรมและประติมำกรรมแบบขอมสมัยจึงเช่ือวำ่ น่ำจะสรำ้ งในสมัยพระเจำ้ ชัยวรมันท่ี ๗ และ ในปัจจุบันปรำสำทเมืองสิงห์ได้ประดิษฐำนพระนำคปรกมีอุษณีษะในแบบของ “พระชัยพุทธมหำ นำถ” และ โพธิสัตว์อวโลกเิ ตศวรเปลง่ รัศมอี ำนุภำพ ท่ีปรำสำทเมืองสงิ หน์ ี้ดว้ ย นอกจำกโบรำณสถำน และโบรำณวัตถทุ ี่สำรวจพบในปรำสำทเมืองสิงหแ์ ล้วแล้ว ในบริเวณจังหวัดกำญจนบุรนี ี้ยังไดส้ ำรวจพบ ซำกเมืองโบรำณ ซ่ึงมีลักษณะรูปแบบทำงสถำปัตยกรรมเช่นเดียวกับที่พบในประเทศกัมพูชำและ ประเทศไทย แหล่งอื่น ๆ สมัยเดียวกัน คือ เมืองโบรำณกลอนโดตั้งอยู่ริมน้ำแควน้อยฝั่งทำงทิศใต้ ตำบลกลอนโด อำเภอดำ่ นมะขำมเตยี้ จังหวดั กำญจนบุรี เป็นตน้ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดรำชบรุ ี หลักฐำนทำงโบรำณคดีท่ี ได้สำรวจพบในจังหวัดกำญจนบุรี รำวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ คือ ช่ือของเมืองรำชบุรีน้ีได้มีควำม เชื่อมโยงกับศิลำจำรกึ ปรำสำทพระขรรค์ทร่ี ะบุถงึ ช่อื เมือง “ชยรำชบุรี” สันนษิ ฐำนว่ำนำ่ จะเป็น “เมือง รำชบุรี”๑๐๒ และอีกชื่อหน่ึง คือ “ศัมภูวะปัฏฏนะ” น่ำจะ ได้แก่ แหล่งโบรำณสถำนเมืองศัมพูกปัฏฏ นะ ซึ่งต้ังอยู่ตำมฝ่ังน้ำแม่กลอง ถือเป็นเส้นทำงสัญจรสำคัญของเมืองคูบัว ชุมชนโบรำณใน อดตี เส้นทำงนำ้ สำยน้ี เชอ่ื มต่อกบั น้ำท่ำจีน สำละวิน เจำ้ พระยำ ป่ำสัก โยงยำวไปถึงชี มลู โขง จงึ เป็น เส้นทำงหลักที่ใช้เพื่อกำรคมนำคม กำรค้ำขำย๑๐๓ ยังได้เป็นเส้นทำงในกำรเผยแพร่วัฒนธรรมและ ศำสนำของชนกลุ่มต่ำง ๆ ที่ใช้เส้นทำงดังกล่ำวน้ีด้วย หลักฐำนทำงโบรำณคดีตำมเส้นทำงกำรเผยแผ่ พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดรำชบุรีที่สำรวจพบ เช่น ปรำงค์วัดมหำธำตุ จังหวัดรำชบุรี ที่มี ลักษณะทำงสถำปัตยกรรมคล้ำยคลงึ กับกลุ่มปรำสำทขอมแบบบำยนในภำคกลำงของประเทศไทย แต่ หลักฐำนท่ีเหลืออยู่ให้เห็นในที่น้ีมีเพียงกำแพงวัดเท่ำน้ันที่ปรำกฏอิทธิพลของศิลปะขอมแบบบำยน สมยั ลพบรุ ี กอ่ ด้วยศิลำแลงบนสันของกำแพง มีพระพุทธรปู ปำงสมำธใิ นซุ้มเรอื นแกว้ มวี ตั ถุเล็ก ๆ อยู่ ในพระหัตถ์ สันนิษฐำนว่ำน่ำจะเป็นหม้อยำ จึงเรียกพระพุทธรูปน้ีว่ำ “พระไภษัชยคุรุ” ชื่อน้ีตำมคติ ของพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนเป็นชื่อของพระโพธิสัตวท์ ำงกำรแพทย์ นอกจำกน้ียังได้สำรวจพบ แหล่งโบรำณสถำนเมืองศรีศัมพูกปัฏฏนะ หรือ อีกช่ือหน่ึง คือ เมืองโบรำณโกสินำรำยณ์ ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแม่กลอง ตำมถนนสำยบำ้ นโปง่ กำญจนบุรี ในเขตตำบลท่ำผำ อำเภอบ้ำนโปง่ จังหวัดรำชบุรี ใน อดีตเคยมีปรำสำทใบริเวณนี้ด้วย แต่ปัจจุบันสภำพของปรำสำทได้ถูกทำลำยจนเหลือเพียงเนินดิน ขนำดใหญ่ หลักฐำนทำงโบรำณคดีเหลำ่ น้ีเปน็ สงิ่ แสดงให้เห็นวำ่ พระพุทธศำสนำนกิ ำยมหำยำนในสมัย ลพบุรไี ด้เผยแผเ่ ขำ้ มำยังดนิ แดนในจังหวดั รำชบุรนี ้ีด้วย เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจงั หวดั เพชรบรุ ี คือ บริเวณชุมชนในแถบ ลุ่มแมน่ ำ้ เพชรบรุ ี ไดม้ ีกำรสำรวจพบรอ่ งรอยกำรสรำ้ งเมืองแบบวัฒนธรรมขอมโบรำณ แนวคเู มอื งและ ๑๐๒ เดชำ สุดสวำท, โบราณสถานทุ่งเศรษฐ.ี (เอกสำรอัดสำเนำ). สำนกั งำนโบรำณคดีและพิพิภัณฑ สถำนแหง่ ชำติท่ี ๑ จังหวดั รำชบุรี.กรมศิลปำกร.๒๕๕๑, หนำ้ ๕๑ – ๕๔. ๑๐๓ มโน กลีบทอง, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรีและจังหวัดราชบุรี, (กรุงเทพมหำนคร: พิพิธภัณฑ,์ ๒๕๔๔), หนำ้ ๗๘.

๑๕๘ กำแพงเมืองมีผังเป็นรปู ส่ีเหล่ียมจัตุรสั อยู่ทำงฝ่ังตะวันออกของแม่น้ำเพชรบุรี ในเขตตำบลช่องสะแก อำเภอเมืองเพชรบุรี ควำมยำวของแนวคูกำแพงเมืองแต่ละด้ำนมำกกว่ำ ๑ กิโลเมตร สันนิษฐำนว่ำ น่ำจะสร้ำงขึ้นในสมัยที่ขอมเรืองอำนำจอยู่ในดินแดนแถบนี้ หลักฐำนทำงโบรำณคดีท่ีสำรวจพบ ประเภทโบรำณสถำนและโบรำณวัตถุ เช่น ปรำสำทกำแพงแลง ท่ีวัดกำแพงแลงหรือวัดเทพปรำสำท ศิลำแลง ตำบลท่ำรำบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เป็นปรำสำทขอมก่อด้วยศิลำแลง มีกำแพงศิลำ แลงล้อมรอบ มีปรำสำท ๕ หลัง คือ แถวกลำง ๓ หลัง แถวหลัง ๒ หลัง และมีโคปุระหรือซุ้มประตู เป็นทำงเข้ำศำสนสถำน สันนิษฐำนว่ำปรำสำททั้ง ๕ หลัง เป็นท่ีประดิษฐำนรูปเคำรพใน พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน เพรำะได้พบประติมำกรรมรูปเคำรพ ๔ องค์ คือ ๑) พระโพธิสัตว์อว โลกิเตศวรเปล่งรศั มี พบตรงบริเวณปรำสำททิศตะวันตก ทำจำกวสั ดศุ ิลำทรำยขำว วรกำยชำรุดหักพัง ในส่วนพระเศยี ร แขน และขำ แต่ได้พบเศยี รอยู่บรเิ วณใกล้ ๒) พระโพธิสตั ว์อวโลกิเตศวรสี่กร พบใน สภำพชำรุดเหลือเพียงส่วนพระวรกำยและท่อนแขน ๔ ท่อน ทรงภูษำสมพต(คล้ำยกำงเกง)ขำสั้นใน ศิลปะขอมแบบบำยน ถ้ำสมบูรณ์ จะมี ๔ กร กรซ้ำยหน้ำถือดอกบัว กรขวำหน้ำถือหม้อน้ำ กรซ้ำย หลังถือประคำ กรขวำหลังถือคัมภีร์ ๓) พระวัชรสัตว์นาคปรกหรือพระชัยพุทธมหานาถ พบใน ปรำสำทองค์กลำง (หลวงพ่อเพชร) เป็นพระพุทธรปู นำคปรก พบเพียงสว่ นของพระพกั ตร์และพระอรุ ะ ด้ำนหลังมีแผ่นหินสลักติดเป็นตัวนำคแผ่พังพำน ถ้ำสมบูรณ์จะเป็นพระพุทธรูปนำคปรก บนฐำน พญำนำคขด ปำงสมำธิ ๔) พระนางปรัชญาปารมิตา พบเพียงส่วนเศียรเท่ำน้ัน ปัจจุบันเป็นสมบัติ เอกชน โบรำณสถำนกลุ่มน้ี สันนิษฐำนว่ำน่ำจะสร้ำงขึ้นในสมัยเม่ือขอมเรืองอำนำจ และมีอิทธิพล ขยำยเขำ้ มำถึงในดนิ แดนแถบนี้ ตั้งแต่สมัยพระเจ้ำชัยวรมัน ท่ี ๗ ประมำณ พ.ศ.๑๗๓๔ เพรำะปรำกฎ นำมเมืองในจำรึกปรำสำทพระขรรค์ กล่ำวถึงเมือง \"ศรีชัยวัชรปุระ\" เชื่อกันว่ำ เป็นเมืองเพชรบุรี ลักษณะของศิลปกรรมและสถำปัตยกรรมท่ียังปรำกฏให้เห็น จะคล้ำยคลึงกับสถำปัตยกรรมหลำย ๆ แห่ง ที่อำนำจของขอม เข้ำไปถึง ทั้งที่เมืองลพบุรี กำญจนบุรี ไปกระทั่งถึง สุโขทัย ศรีสัชชนำลัย ซ่ึง สถำปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบน้ีจะมีอิทธิพลกับสถำปัตยกรรมและศิลปกรรม ยุคต้น ของ อำณำจักรไทย สมัย พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ -๒๐ ดว้ ย ๒) เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรีในภำคเหนอื คอื ใน หนังสือชินกำลมำลี ปกรณ์ เป็นภำษำบำลี ที่รจนำข้ึนโดย พระรัตนปัญญำเถระ ชำวล้ำนนำ ระหว่ำง พ.ศ. ๒๐๖๐ – ๒๐๗๑ มีตำนำนเก่ียวกับ ฤษีวำสุเทพ ได้สร้ำงเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ใน พ.ศ. ๑๒๐๔ ตอ่ จำกนั้นอีก ๒ ปี ก็ได้ส่งทูตไปทำงเรือตำมแม่น้ำปิงลงไปยงั เมืองลวปุระ (ลพบุรี) ทูลขอเชื้อ สำยกษัตริย์ลวปุระให้ ข้ึนมำปกครองเมืองหริภุญไชย กษัตริย์ลวปุระจึงได้พระรำชทำนพระนำงจำม เทวี พระรำชธิดำให้ข้ึนไปปกครองเมืองหริภุญไชย สมยั นัน้ ในเมอื งลวปุระไดน้ ับถือพระพุทธศำสนำอยู่ แล้ว เม่ือนำงจำมเทวขี ้ึนมำปกครองเมืองหริภุญไชยจงึ ได้นำเอำพระพุทธศำสนำจำกเมืองลวปุระขึ้นมำ เผยแผ่ในเมืองหรภิ ุญไชยด้วย ร่องรอยหลักฐำนทำงโบรำณคดีทเี่ ก่ียวข้องกับนำงจำมเทวี ซึ่งปรำกฏให้ เห็นอยู่ในจังหวัดลำพูนปัจจุบันอย่ำงน้อย ๒ อย่ำง คือ วัดจำมเทวี และ เจดีย์จำมเทวีหรือเจดีกู่กุด ตัง้ อยู่ที่ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพนู จังหวัดลำพูน ข้อสังเกตประกำรหนึ่งเรอื่ งรำวของ “พระนำง จำมเทวี” มีปรำกฏอยู่ในหนังสือ “ตำนำนมูลศำสนำ”แต่งขึ้นประมำณ พ.ศ. ๑๙๐๐ โดยพระพุทธ พุกำมและพระพุทธญำณเถระ ยังมีปรำกฏอยู่ในหนังสือ “ชินกำลมำลปี กรณ์” แต่งเปน็ ภำษำบำลี แต่ง ขึ้นประมำณ พ.ศ. ๒๐๖๐ โดยพระรัตนปัญญำ และยังมีปรำกฏอยู่ในวรรณกรรมล้ำนนำเร่ือง “จำม

๑๕๙ เทวีวงศ์” ด้วย สันนิษฐำนว่ำวรรณกรรม “ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวีวงศ์” ผู้แต่งอำจจะได้เค้ำ โครงของเร่อื งหรืออำจแปลมำจำกวรรณกรรม “ตานานานมูลศาสนา” เพรำะมเี นอื้ หำในแนวเดยี วกัน คือ เป็นเรื่องเก่ียวกับประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำและล้ำนนำ โดยข้อสันนิษฐำนน้ีเกิดจำก วรรณกรรมเรอื่ งตำนำนมูลศำสนำมอี ำยเุ ก่ำกวำ่ จงึ นำ่ จะเปน็ เป็นตน้ แบบให้เกิดวรรณกรรมชินกำลมำลี ปกรณ์และจำมเทวีวงศ์ท่ีแต่งข้ึนมำในภำยหลัง จำกหลักฐำนทำงโบรำณคดีที่ได้นำเสนอไว้น้ีเป็นส่ิง แสดงให้เห็นวำ่ สมัยลพบุรพี ระพุทธศำสนำไดเ้ ผยแผ่ขน้ึ ไปยังหริภุญไชย ซึงปัจจุบัน คือ จังหวัดลำพนู ท่ี อย่ใู นทำงภำคเหนือของประเทศไทย ๓) เส้นทำงกำรเผยแผ่พ ระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยลพบุรี ในภำค ตะวันออกเฉียงเหนือและภำคตะออกของประเทศไทย คือ วัฒนธรรมอินเดียทแ่ี ผ่ขยำยเข้ำมำสเู่ อเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ต้ังแต่รำวพุทธศตวรรษท่ี ๔– ๕ กลุ่มทเ่ี ขำ้ มำสู่บริเวณในแถบลุ่มน้ำแม่กลองและลุ่ม น้ำเจ้ำพระยำ เม่ือได้ผสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นต้ังแต่สมัยฟูนันเรื่อยมำจนกระทั่งถึงสมัยทวำรวดีจึง เรียกว่ำ “วัฒนธรรมทวำรวดี”๑๐๔ (Dvaravati Culture) และวัฒนธรรมทำรวดีนี้ได้ขยำยตัวจำก ภูมิภำคตะวันตกลุ่มน้ำเจ้ำพระยำ ลุ่มน้ำแม่กลอง เข้ำสู่ภูมิภำคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่รำวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๐– ๑๒ และตอ่ มำรำวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๔– ๑๕ อิทธิพลทำงวัฒนธรรมและกำรปกครอง จำกกลมุ่ ชนในเขตเขมรต่ำ (ขะแมรก์ รอม) ซึ่งมีศูนย์กลำงอย่ทู ่ี “ศรยี โสธรปุระ” ไดเ้ ริ่มแผข่ ยำยเขำ้ มำสู่ ภูมิภำคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อำนำจทำงกำรทหำร กำรปกครองและวัฒนธรรมของอำณำจักร กัมพุช๑๐๕ ได้แผ่ขยำยข้ึนมำส่บู ้ำนเมอื งในกล่มุ ภมู ิภำคอีสำนใตห้ รือเขมรสูง (ขะแมร์ลอื ) ผสมกันเข้ำกับ วัฒนธรรมทวำรวดีซ่ึงมมี ำแต่เดิมไดอ้ ย่ำงลงตวั จงึ ทำให้วัฒนธรรมของกลุม่ ชนท่อี ำศัยอยใู่ นเขตเขมรสูง และเขตเขมรต่ำถูกหลอมรวมเข้ำหำกันอย่ำงได้ลงตัว หลักฐำนทำงโบรำณคดีซึ่งปรำกฏให้เห็นตำม เส้นทำงไกลมำกกว่ำ ๒๕๐ กิโลเมตร๑๐๖ มีทัง้ โบรำณสถำนและรำณวัตถใุ นรูปแบบของวัฒนธรรมขอม เช่น ภำชนะดนิ เผำ เคร่ืองใช้โลหะ รูปเคำรพตำมควำมเชื่อในทำงศำสนำ และกำรสร้ำงศำสนสถำนใน รูปแบบของปรำสำท ด้วยอิฐและศิลำแลง เป็นศิลปะแบบขอมยุคต้น กระจำยให้เห็นอยู่ตำมชุมชน เมอื งโบรำณตำ่ ง ๆ ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื และภำคตะวนออกของประเทศไทยดงั น้ี เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมัยลพบุรใี นจังหวัดสุรินทร์ คอื ได้สำรวจพบหลกั ฐำน ทำงโบรำณคดีท่ีเกี่ยวข้องกับกำรแผ่พระพุทธศำสนำ มีโบรำณสถำนท่ีสร้ำงขึ้นมำตำมควำมศรัทธำ เลื่อมใสในพระพุทธศำสนำมำหำยำน ดังน้ี ๑) อัคคิศำลำหรือบ้ำนมีไฟ เป็นพุทธศำสนสถำนนิกำย มหำยำน ท่ีสร้ำงขึ้นมำ เพ่ือให้เป็นที่พักของคนเดินทำง ปัจจุบัน คือ ปรำสำทตำเมือนโตจ ในอำเภอ พนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ๒) อโรคยำศำลหรือโรงพยำบำล เช่น ปรำสำทตำเมืองโตจ ปรำสำทช่ำงปี ปรำสำทจอมพระ ปรำสำทกังแอน ปรำสำทบ้ำนเซ็ม และ ปรำสำทบ้ำนปรำสำท เป็นต้น เป็นพุทธ ศำสนสถำนนิกำยมหำยำน ๓) พระชัยพุทธมหำนำถ สมัยขอมพระนครมีอำนำจปกครอง เม่ือ ๑๐๔ สด แดงเอยี ด, การปฏิบตั ิงานขุดสารวจแหลง่ โบราณคดีที่โคกพลับ จังหวัดราชบรุ ี, ในศิลปำกร, ปีท่ี ๒๒ ฉบบั ท่ี ๔ พฤศจิกำยน.๒๕๔๑,หน้ำ ๓๓ - ๓๖. ๑๐๕ พิริยะ ไกรฤกษ์, กำรปรับเปลย่ี นอำยุพุทธศิลป์ในประเทศไทย, เมืองโบราณ, ปีท่ี ๒๕ ฉบับที่ ๒ เมษำยน-มิถนุ ำยน ๒๕๔๒, หนำ้ ๕๑ . ๑๐๖ วัฒนะ บุญจับ และคนอื่น ๆ บรรณำธกิ ำร, ศิลปวฒั นธรรมไทย, (กรุงเทพมหำนคร: กระทรวง วฒั นธรรม, ๒๕๕๒), หน้ำ ๔๕.

๑๖๐ ประชำชนผู้เจ็บป่วยต้องกำรรักษำโรคท้ังทำงกำยและใจ ก็จะเดินทำงตำมเส้นทำงโบรำณเพ่ือมำพัก รกั ษำตัวอยู่ด้ำนนอก และพักอยู่หลำยวันเพรำะหนทำงไกล แต่ละวันมีผู้ป่วยเข้ำมำบูชำพระโพธิสัตว์ แห่งกำรบริบำลสร้ำงด้วยไม้อยู่หน้ำศำลำด้ำนนอก ไม่มีสิทธิ์ล่วงเข้ำไปในเขตมณฑลศักดิ์สิทธ์ิภำยใน กำแพงปรำสำทสคุ ตำลัยอย่ำงเด็ดขำด ดังน้นั “พระชัยพุทธมหำนำถ” พระพุทธปฏมิ ำกรนำคปรกแบบ มีอษุ ณษี ะ จึงเป็นท่พี ่ึงของประชำชนในยคุ น้ัน๑๐๗ โบรำณสถำนและโบรำณวัตุถเหลำ่ นไ้ี ด้สร้ำงขึ้นมำใน พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ สมัยของพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ เพ่ือให้เป็นที่พักคนเดินทำง เป็นสถำนพยำบำล และเป็นทพี่ ึง่ ทำงใจของประชำรำษฎร์ในอำณำจกั รของพระองค์ เส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในจังหวัดบุรีรัมย์ เส้นทำงอำรยธรรมขอม เข้ำมำสู่จังหวัดบุรีรมั ย์ รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ในสมยั อำณำจักรเจนละ ตรงกับสมัยทวำรวดขี องไทย เข้ำมำโดยผ่ำนทำงศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดู และพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน ประวัติศำสตร์ท่ี ยำวนำนของขอม ได้ทำให้ชุมชนเมืองโบรำณมีกำรพัฒนำด้ำนงำนศิลปกรรมที่ลงตัวระหว่ำงทวำรวดี และขอมเกิดเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซ่ึงได้มีกำรสำรวจพบหลักฐำนทำงโบรำณคดีเก่ียวกับกำร เผยแผ่พระพุทธศำสนำ เช่น ๑) อัคคิศำลำหรือบ้ำนมีไฟ คือ ปรำสำททมอ ปรำสำทบ้ำนบุ ปรำสำท หนองกง และปรำสำทบ้ำสำโรง เป็นพุทธศำสนสถำนนิกำยมหำยำน ๑) อัคคิศำลำหรือบ้ำนมีไฟ คือ ปรำสำททมอ ปรำสำทบ้ำนบุ ปรำสำทหนองกง และปรำสำทบ้ำสำโรง เป็นพุทธศำสนสถำนนิกำย มหำยำน สรำ้ งข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ สมยั ของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ เพ่ือใหเ้ ป็นท่ีพักคนเดนิ ทำง ๒) อโรคยำศำลหรอื โรงพยำบำล คอื ปรำสำทกฏุ ิฤำษีบ้ำนโคกเมอื งและปรำสำทกุฏิฤำษีหนองบวั รำย ใน อำเภอประโคนชัย ปรำสำทบ้ำนโคกงิ้ว ในอำเภอประคำ เป็นต้น เป็นพุทธศำสนสถำนนิกำยมหำยำน ๓) ประตมิ ำกรรมรูปพระโพธิสตั ว์อวโลกิเตศวรสมั ฤทธ์ิ ทส่ี ำรวจพบในบริเวณปรำสำทปลำยบลดั ๒ หมู่ ประติมำกรรมสัมฤทธ์ิรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระโพธิสัตว์ศรีอำริยเมตไตรย มีอำยุรำว ระหว่ำงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ค้นพบที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ค้นพบประมำณ ๒๐ กว่ำองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ แต่ก็ได้ถูกลักลอบนำออกนอกประเทศเกือบหมดสิ้น คงเหลืออย่เู ฉพำะใน พพิ ิธภัณฑส์ ่วนบคุ คลภำยในประเทศเพยี ง ๒ - ๓ องค์เท่ำน้ัน นักวิชำกำรทำงโบรำณคดีได้ให้ทศั นะว่ำ “ประติมำกรรมกลุ่มนี้ มีควำมสำคัญทำงวิชำกำรมำก แต่คนไทยรู้จักน้อย อย่ำงประเด็นแรกสุด เทคนิคกำรหล่อสำริดโบรำณ แสดงว่ำคนหล่อต้องมีควำมรู้ควำมสำมำรถสูงมำก ถ้ำเทียบกับประเทศ เพ่ือนบ้ำนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยเดียวกัน กลุ่มน้ีเป็นกลุ่มที่มีควำมโดดเด่นสูงสุดก็ว่ำได้ ประเด็นท่ีสองคือ สำมำรถเอำไปเชื่อมโยงให้เห็นควำมสัมพันธ์ของพื้นที่อีสำนใต้กับกัมพูชำได้ เพรำะ หน้ำตำของศิลปกรรมเป็นไปทำนองเดียวกันกับศิลปะก่อนพระนคร อำจถือได้ว่ำ เป็นกำรพบ พระพุทธรูปฝ่ำยมหำยำนที่เจอร่วมกนั ครงั้ ใหญ่ท่ีสดุ และถือเป็นหลักฐำนพทุ ธฝ่ำยมหำยำนท่ีใหญ่ท่ีสุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว”๑๐๘ นอกจำกนี้ยังมีภำพสลักบนใบเสมำท่ีเขำอังคำร อำเภอ ๑๐๗ สัมภำษณ์ นำยวษิ รุต วะสกุ ัน, เจ้ำพนักงำนพิพธิ ภณั ฑ์สถำนแห่งชำติ พระนคร, วนั ท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๙. ๑๐๘ รงุ่ โรจน์ ธรรมรุง่ เรือง, งำนเสวนำวิชำกำรในหวั ขอ้ “ประติมากรรมสาริดจากอาเภอประโคนชัย มรดกไทยในอุง้ มอื ต่างชาติ” วนั ที่ ๒๒ พฤษภำคม ๒๕๕๙.

๑๖๑ นำงรอง ซึ่งใบเสมำนี้ทำด้วยหินภูเขำไฟ สลกั ภำพสถูป ธรรมจักร และภำพสลักบุคคลซ่ึงมีลักษณะของ วฒั นธรรมสมยั ทวำรวดี แต่กำรน่งุ ผ้ำกลบั มีลกั ษณะของวัฒนธรรมเขมร๑๐๙ เปน็ ต้น เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมยั ลพบุรใี นจังหวัดนครรำชสีมำ เมื่ออำณำจักรทวำร วดีล่มสลำยลง อำณำจักรขอมเข้ำมีอิทธิพลและมีควำมสัมพันธ์ในเชิงเครือญำติในดินแดนภำค ตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ทำให้เกิดกำรติดต่อระหว่ำงเมืองพระนครซงึ่ เปน็ ศนู ย์กลำงกำรปกครอง กับเมืองต่ำง ๆ มีกำรสร้ำงอัคคิศำลำหรือบ้ำนมีไฟ และอโรคยำศำลำหรือโรงพยำบำล ตำมเส้นทุก ระยะประมำณ ๑๕ กิโลเมตร เป็นระยะกำรเดินทำงที่พอเหมำะในสมัยโบรำณ ถ้ำเดินทำงเป็นคณะ ใหญ่ ๆ หรือมกี องเกวียนจะใชร้ ะยะเวลำประมำณ ๑ วัน ถ้ำเปน็ คณะเลก็ ๆ จะใช้เวลำประมำณ ๖ - ๘ ชั่วโมง ถ้ำมีกำรเร่งรีบพิเศษไปโดยสัตว์พำหนะเช่นม้ำก็ถึงได้เร็วกว่ำนี้ ซ่ึงได้มีกำรสำรวจพบ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดีท่ีเกย่ี วข้องกบั กำรเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำ เชน่ ๑) อัคคศิ าลาหรอื บ้านมีไฟ คือ ปรำสำทห้วยแคน ตำบลห้วยแคน และปรำสำทกู่ศิลำขันธ์ ตำบลหลุ่งตะเคียน อำเภอห้วยแถลง เป็น พุทธศำสนสถำนนิกำยมหำยำน สร้ำงข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ สมยั ของพระเจ้ำชยั วรมันที่ ๗ เพ่อื ให้ เปน็ ทพ่ี กั คนเดินทำง ๒) อโรคยาศาล หรือโรงพยาบาล มอี ยูอ่ ย่ำงน้อย ๘ แห่ง คือ (๑) กุฏฤิ ำษี ตำบล ประตูชัย อำเภอพิมำย (๒) ปรำสำทพลสงครำม อ.เภอโนนสูง (๓) ปรำสำทนำงรำ ตำบลนำงรำ อำเภอประทำย (๔) ปรำงคค์ รบุรี ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี (๕) ปรำสำทเมืองเกำ่ อำเภอโนนสูงเนิน (๖) ปรำสำทบ้ำนปรำสำท อำเภอสูงเนิน (๗) ปรำสำทปรำงค์สีดำ อำเภอสีดำ และ (๘) ปรำงค์บ้ำน ปรำงค์ ตำบลหินดำด อำเภอหว้ ยแถลง ๓) ปราสาทหนิ พิมายต้งั อยูท่ ่ี อำเภอพิมำย เป็นปรำสำทหนิ บน พนื้ รำบที่มีขนำดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย๑๑๐ สร้ำงขึ้นเพ่ือเป็นพุทธสถำนในลัทธิมหำยำน สันนิษฐำน ว่ำสร้ำงขึน้ ในยุคท่อี ำณำจักรขอมแผอ่ ทิ ธิพลมำยงั ภูมภิ ำคน้ีในสมัยพระเจำ้ สรุ ิยวรมนั ที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔- ๑๗๖๑) ๔) รปู เคารพในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน พระพุทธรปู ปำงนำคปรก พระโพธิสัตวอ์ วโลกิ เตศวร นำงปรัชญำปำรมิตำหรือนำงปัญญำบำรมี พระพุทธเจ้ำไภสัชยคุรุไวฑูรยประภำ แห่งอโรคย ศำลำปรำสำทนำงรำ รปู สลักพระ(โพธิสัตว์)ศรีจนั ทรไวโรจนโรหินีศะ “พระหม้อยำใหญ่”จัดแสดงอยู่ ในพิพิธภัณฑสถำนแห่งชำติ มหำวีรวงศ์ จังหวัดนครรำชสีมำ เหล่ำน้ีเป็นศิลปขอมแบบบำยนในรำว พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ลักษณะของพระพุทธรูปสมัยน้ีจะมีพระพักตร์อมย้ิมแสดงควำมเมตรำกรุณำพระ เนตรปิดสนทิ เป็นตน้ เสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยลพบรุ ใี นจงั หวดั ปรำจีนบุรี เม่ืออำณำจกั รฟูนัน ล่มสลำยลง ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ต่อมำอำณำจักรทวำรำวดีเรืองอำนำจขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำ เจำ้ พระยำ และได้แผข่ ยำยมำถึงเมอื งอวัธยปุระหรอื เมืองมโหสถถึงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ อำณำจักรทวำ รำวดีสิ้นสุดลง เมืองอวัธยปุระจึงตกอยู่ภำยใต้กำรปกครองอำณำจักรอีศำนปุระหรือเจนละ ซงึ่ เห็นได้ จำกพระพุทธปฏิมำกรนำคปรกองค์แรก ๆ ท่ีอำจมีอำยุเก่ำท่ีสุดของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบท่ี เมอื งโบรำณศรมี โหสถ ปัจจุบันไดจ้ ดั แสดงอยู่ทีพ่ ิพธิ ภัณฑสถำนแห่งชำติพระนคร และ โบรำณวัตถทุ ่ีได้ สำรวจพบในจังหวัดปรำจีนบุรีอ่ืนอีก เช่น พระนำงปรัชญำปำรมิตำ จัดแสดงท่ีพิพิธภัณฑ์สถำน ๑๐๙ ศกั ดิช์ ัย สำยสงิ ห์, พระพทุ ธรปู ในประเทศไทย : รูปแบบพัฒนาการและความเชอื่ ของคนไทย ,กรุงเทพฯ : ภำควชิ ำประวตั ศิ ำสตรศ์ ลิ ปะ คณะโบรำณคดี มหำวทิ ยำลัยศลิ ปำกร, ๒๕๕๖, หน้ำ ๖๓. ๑๑๐ พริ ิยะ ไกรฤกษ,์ “กำรปรับเปลยี่ นอำยุพทุ ธศิลป์ในประเทศไทย”, เมอื งโบราณ, ปีท่ี ๒๕ ฉบบั ท่ี ๒ เมษำยน-มถิ นุ ำยน ๒๕๔๒, หน้ำ ๕๕.

๑๖๒ แหง่ ชำติปรำจนี บุรี พระชยั พุทธมหำนำถ ศลิ ปะแบบบำยน เลียนแบบฝีมือโดยช่ำงในท้องถิ่น จัดแสดง อยู่ท่ีพิพิธภัณ ฑสถำนแห่งชำติปรำจีนบุรี โบรำณวัตถุเหล่ำนี้แสดงให้เห็นว่ำสมัยลพบุรีมี พระพทุ ธศำสนำมหำยำนไดเ้ ผยแผม่ ำยงั เมอื งมโหสถในจังหวดั ปรำจีนบรุ ีนด้ี ว้ ย เส้นทำงกำรเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำสมัยลพบรุ ใี นจงั หวดั สระแก้ว จำกหลกั ฐำนทำง โบรำณคดี ซ่ึงได้มีกำรสำรวจพบ คือ ปรำสำทบ้ำนน้อย ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ บ้ำนห้วยพะใย ตำบลผักขะ อำเภอวัฒนำนคร จังหวัดสระแก้ว เป็นปรำสำทขนำดใหญ่ ฐำนของปรำสำทก่อดว้ ยศลิ ำแลง ผนังก่อ ด้วยอิฐ มีห้องสมุดหรือ บรรณำลัยต้ังอยู่ทำงด้ำนตะวันออกเฉียงใต้ ตัวปรำสำทมีกำแพง ๒ ชั้น ระหว่ำงกำแพง ๒ ช้ันมีสระน้ำขนำดใหญ่ นอกกำแพงชั้นนอกมีสระน้ำขนำดใหญ่ ประมำณ ๘๐ x ๑๘๐ เมตร รูปแบบผังอำคำรสอดคล้องกับผังอำคำรที่เรียกว่ำ อโรคยำศำล ซึ่งเช่ือว่ำเป็นศำสน สถำนท่ีสร้ำงตำมควำมเชื่อในพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน สร้ำงข้ึนในสมัยพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ นอกจำกนี้ยังพบทับหลังทำด้วยหินทรำย อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ และเครื่องประกอบรำชยำน คำนหำมในสมัยบำยน อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ อยู่ในสมัยพระเจ้ำชัยวรมันที่ ๗ แสดงให้เห็นว่ำ สมยั ลพบุรพี ระพทุ ธศำสนำมหำยำนไดเ้ ผยแผ่มำยังบรเิ วณจงั หวดั สระแก้วด้วย ๓. หลักพุทธธรรมทีป่ รำกฏในหลักฐำนทำงโบรำณคดีตำมเส้นทำงเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำ สมัยลพบุรีในประเทศไทย ๑) จำรึกหลักพุทธธรรมท่ีพบในภำคกลำงและภำคตะวันตก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องท่ีว่ำ ดว้ ย “กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ” ดังน้ี (๑) จารึกฐานพระพุทธรปู วัดข่อย อำเภอบ้ำนหมี่ จงั หวัด ลพบุรี เป็นเร่ือง “กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ” เป็นกำรเล่ำถึงเหตุกำรณ์ท่ีมีผู้ศรัทธำเล่ือมใสใน พระพุทธศำสน ำแล้วได้ทำบุญ ด้วยกำรสร้ำงพระพุทธรูปองค์หนึ่ งขึ้นมำเพื่อถวำยให้เป็นทำน ไว้ใน พระพทุ ธศำสนำ (๒) จารกึ เสาแปดเหลยี่ ม (ลพบรุ ี) เป็นเรอื่ ง “กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ” คือ กำร ถวำยถวำยสัตว์ สัตว์ สิ่งของ และข้ำพระแก่พระพุทธรูป จัดเป็นอำมิสทำนหรือวัตถุทำน คือ กำร นำเอำวัตถุสิง่ ของตำ่ ง ๆ มำทำทำน และ (๓) จารึกฐานพระพุทธรูปยนื วดั มหาธาตุเมอื งลพบุรี เปน็ เรอ่ื ง “ ก ำร ท ำบุ ญ ใน พ ระ พุ ท ธศ ำส น ำ ” เป็ น กำ รเล่ ำถึ ง เห ตุ ก ำรณ์ ขอ ง ร ำชต ร ะ กู ล ท่ี ศ รัท ธำเล่ื อ ม ใส ใน พ ร ะ พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ แ ล้ ว ได้ ท ำ บุ ญ ด้ ว ย ก ำ ร ส ร้ ำง พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ข้ึ น ม ำเพื่ อ ถ ว ำย ให้ เป็ น ท ำน ไว้ ใน พระพทุ ธศำสนำ เปน็ ตน้ ๒) จำรึกหลักพุทธธรรมท่ีพบภำคในภำคเหนอื เป็นเรื่องเก่ียวกับสจั จะและกำรทำบุญ ในพระพุทธศำสนำ ดังน้ี (๑) จารึกวัดมหาวัน (ลาพูน) ท่ีสำรวจพบเป็นเรื่องเก่ียวกับ “สัจจะและกำร ทำบุญในพระพุทธศำสนำ” เป็นกำรเล่ำเหตุกำรณ์ของกษัตริย์และรำชตระกูลที่ศรัทธำใน พระพทุ ธศำสนำแล้วไดท้ ำบุญดว้ ยกำรสร้ำงพระเจดีย์ พระพุทธรูปทั้ง กฏุ ิ คหู ำ ฉัตร และ สิ่งอนื่ ๆ เพ่ือ ถวำยให้เป็นทำนไว้ในพระพุทธศำสนำ เปน็ ต้น (๒) จารกึ วัดดอนแกว้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ท่ีสำรวจพบเป็นเร่ือง “กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ” เป็นกำรเล่ำถึงกำรทำบุญด้วยกำรสร้ำงพระ เจดีย์ และผูกพัทธสีมำซึง่ มกี ำรบรรจทุ องคำ เพื่อถวำยให้เป็นทำนไวใ้ นพระพุทธศำสนำ เปน็ ตน้ ๓) จำรึกหลักพุทธธรรมทีพ่ บแถบภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภำคตะวันออก เป็น เร่ืองเกี่ยวกับพุทธำนุสติ พระรัตนตรัย และกำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ ดังนี้ (๑) จารึกเนินสระบัว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปรำจีนบุรี เป็นเรื่อง “พระรัตนตรัย” สิ่งมีค่ำและเคำรพบูชำ สูงสุดของชำวพทุ ธ ๓ อย่ำง คอื พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นอกจำกนีย้ งั ได้พบเน้ือหำเก่ียวกับ

๑๖๓ กำรทำบุญในพระพุทธศำสนำ โดยสำระของบุญจะเป็นเรื่องท่ีเก่ียวกับ ทำน ศีล ภำวนำ ใน ศำสน สถำน ของชำว พุทธ โดยท่ัว ไปเรำจะ พ บ รูปของเทว รูปซ่ึ ง สร้ำงไว้ ให้ปก ปัก รัก ษำวั ดและ ป้องกั น สิ่ง อัปมงคลท่ีจะเข้ำมำภำยในวัดตำมคติควำมเชือ่ ของคนในแต่ละยคุ สมัย ควำมเช่ือเหล่ำนี้ได้รับถ่ำยทอด ต่อกันมำจำกรนุ่ สู่รุ่น เช่น กำรสรำ้ งรูปยักษ์ถือกระบอกเฝำ้ ประตวู ัดดังทปี่ รำกฏอยทู่ ้ังในวดั โพธท์ิ ่ำเตียน วัดแจ้ง ท่ีกรุงเทพมหำนคร และในท่ีอื่น ๆ อีก เป็นต้น (๒) จารึกปราสาทหินพิมาย ๒ เป็นเรื่อง “พทุ ธำนุสติ” เป็นกำรอ้ำงถงึ คุณของพระพุทธเจ้ำเปน็ ที่พ่ึงและทร่ี ะลึก นอกจำกนีเ้ ปน็ กำรแสดงให้เห็น ถึงควำมศรัทธำเลื่อมใสในพระพุทธศำสนำ โดยกำรกล่ำวสรรเสริญพระพุทธเจ้ำว่ำเป็นศำสดำผู้สูงสุด ซึ่งแม้แต่พระพรหมและพระวิษณุที่เป็นเทพเจ้ำในศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู ยังต้องเคำรพกรำบไหว้ใน พระพุทธเจ้ำ แสดงให้เห็นว่ำพระพุทธเจ้ำเป็นศำสดำสูงส่งกว่ำพระพรหมและพระวิษณุ เป็นต้น (๓) จำรึกปรำสำทตำเมยี นโตจ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรนิ ทร์ เปน็ เร่อื ง “พุทธำนสุ ติ กำรทำใหท้ ำน และ เว้นจำกเบียดเบียนกัน” เป็นกำรอ้ำงถึงคุณของพระพุทธเจ้ำเป็นท่ีพึ่งและที่ระลึก กำรทำบุญใน พระพุทธศำสนำ เช่น กำรสร้ำงพระพุทธณุปถวำยไวนพระพุทธศำสนำ กำรสรำ้ งโรงพยำบำลเพ่ือช่วย เหลื่อเพ่ือนมนุษย์ผูเ้ จ็บปว่ ยเข้ำกับหลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำข้อที่ว่ำด้วยเร่ือง “จำคะ” คือ กำร เสยี สละ กำรใหป้ ัน หรือ ข้อท่ีว่ำดว้ ยเรื่อง “จำคสัมปทำ” ถึงพร้อมด้วยกำรบรจิ ำคทำน เป็นกำรเฉล่ีย สุขใหแ้ กผ่ อู้ ื่น เป็นตน้

บทท่ี ๔ ประวตั ศิ าสตร์ เสน้ ทางการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาและหลักพทุ ธธรรม สมยั สุโขทยั และล้านนา สมัยท่ีจักรวรรดิขอมหรือเขมรเรืองอำนำจปกครองอำณำบริเวณที่เรียกว่ำประเทศไทย ปัจจุบัน เรียกว่ำสมัยลพบุลพบุรี ซ่ึงมีอำยุอยู่รำวประมำณ พ.ศ. ๑๗๙๒ – ๑๒๒๖ กำรศึกษำ ประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำสมัยลพบุรีในบทท่ีผ่ำนมำเรำได้ทรำบแล้วว่ำกษัตริย์ขอมบำงพระองค์ เป็นพุทธมำมกะและบำงพระองค์เป็นพรำหมณมำมกะ แต่พระพุทธศำสนำซ่ึงแพร่หลำยอยู่ในสมัย ลพบุรีนี้ มีทั้งฝ่ำยเถรวำทและมหำยำน แต่พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนลัทธิมนตรยำนได้ เจริญรุ่งเรืองขำยตัวไปในดินแดนแถบน้ีอย่ำงรวดเร็วทั้งในดินแดนท่ีเรียกว่ำประเทศกัมพูชำปัจจุบัน ตลอดทั้งในดินแดนภำคกลำง และภำคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบันด้วย ดังปรำกฏ หลักฐำนคือ สถำนที่สำคัญเก่ียวกับพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนลัทธิมนตรยำน เชน่ ปรำสำทหินที่ อำเภอพิมำย จังหวัดนครรำชสมี ำ และพระปรำงค์สำมยอด ที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น ในทำงตอนเหนือ เมื่อรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ สมัยของพระเจ้ำอนุรุทธมหำรำช กษัตริย์พุกำมเรืองอำนำจ ทรงรวบรวม เอำพม่ำกับมอญเข้ำเป็นอำณำจักรเดียวกัน แล้วแผ่อำณำเขตเข้ำมำถึงอำณำจักรล้ำนนำ อำณำจักร ล้ำนช้ำง ละโว้หรือลพบุรี และทวำรวดี๑ พระเจ้ำอนุรุทธมหำรำช ทรงเลื่อมใสพระพทุ ธศำสนำฝ่ำยเถร วำท ส่งเสริมทำนุบำรุงและเผยแผ่พระพุทธศำสนำด้วยศรัทธำอย่ำงแรงกล้ำ เมอ่ื อำณำจักรพุกำมของ กษัตริย์พม่ำเข้ำมำครอบครองดินแดนแถบน้ี พระพุทธศำสนำเถรวำทแบบพุกำม จึงเจริญแพร่หลำย ทั่วไป พบหลักฐำนคือ ปูชนียสถำนแบบพม่ำหลำยแห่ง และเจดีย์ท่ีมีฉัตรอยู่บนยอด และฉัตรท่ีส่ีมุม ของเจดีย์ ซึ่งเป็นศิลปะพุกำมแบบพม่ำ ต่อมำประมำณปี พ.ศ.๑๖๙๘ พระเจ้ำปรักกรมพำหุ ได้ทรง ฟ้ืนฟูพระพุทธศำสนำข้ึนในประเทศศรีลังกำ จนเล่ืองลือมำถึงพม่ำ มอญ และไทย ส่งผลให้ภิกษุใน ประเทศเหล่ำน้ีเดินทำงไปศึกษำพระพุทธศำสนำในศรีลังกำ เกิดควำมเลื่อมใสศรัทธำถงึ กับอุปสมบท ใหมเ่ ปน็ นิกำยลังกำวงศ์ แล้วเดินทำงกลับมำตั้งสำนักอยู่ทน่ี ครศรีธรรมรำช พระพุทธศำสนำแบบลงั กำ วงศ์จึงได้ตั้งม่ันและเจริญรุ่งเรืองข้ึนในนครศรธี รรมรำชและอำณำบริเวณใกล้เคยี ง เวลำต่อมำจึงไดเ้ ผย แผ่ขึ้นไปทำงตอนเหนือจนถึงอำณำจักรสุโขทยั ล้ำนนำ และอยุธยำ จำกน้ันเป็นตน้ มำพระพุทธศำสนำ นกิ ำยเถรวำทแบบลังกำวงศ์จึงได้ประดิษฐำนอยำ่ งมนั่ คงในประเทศไทยมำจนถงึ ปจั จุบนั ๑ พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรุงเทพมหำนคร : โรง พมิ พม์ หำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลยั , ๒๕๓๑), หน้ำ ๑๑๒.

๑๖๕ ๔.๑ ประวัติศาสตร์ เส้นทางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาและหลักพทุ ธธรรม สมยั สโุ ขทยั ประมำณ พ.ศ.๑๘๒๐ ในสมัยสุโขทัย เมื่อพ่อขุนรำมคำแหงมหำรำชเสด็จข้ึน ครองรำชย์ ทรงสดับกิตติศพั ทข์ องพระสงฆ์ลังกำจงึ ทรงอำรำธนำพระมหำเถระสังฆรำช พระเถระชำว ลังกำที่มำเผยแผ่อยู่ทนี่ ครศรีธรรมรำช เดินทำงขึ้นมำเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำในกรุงสุโขทยั รำวปี พ.ศ. ๑๘๙๗ พระยำลิไทขึ้นครองรำชย์ ได้ทรงส่งทูตไปอำรำธนำพระมหำวำสี สังฆรำช ชำวลังกำ ช่ือ “สุมนะ” เข้ำมำยังกรุงสโุ ขทัย ด้วยพระรำชศรัทธำในพระพุทธศำสนำ พระองค์ทรงได้เสด็จออกบวช ช่ัวครำว ณ วัดปำ่ ม่วง ในเขตอรัญญิก และทรงนพิ นธ์หนงั สอื “เตภูมกิ ถำ” หรอื “ไตรภมู ิพระรว่ ง” ทมี่ ี อิทธพิ ลต่อควำมคิด ควำมเช่ือ และวิถีกำรดำเนนิ ชีวิตของประชำชนทั่วไปในเรอื่ งนรก สวรรค์ และกำร ทำควำมดีควำมช่ัว มำจนถึงปัจจุบัน สมัยของพระยำลิไทนี้พระพุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองมำก นับเป็น กำรเรม่ิ ศักรำชแห่งควำมรุ่งเรืองของพระพุทธศำสนำในประเทศไทยอย่ำงแทจ้ รงิ นอกจำกน้ันยังส่งผล ต่อศิลปะสมัยสุโขทัย โดยเฉพำะพระพุทธรูปท่ีมีพุทธลักษณะงดงำมและเป็นเอกลักษณ์แบบสุโขทัย เช่น พระพุทธชินรำช และพระพุทธชินสีห์ เป็นต้น เพื่อให้เห็นถึงประวัติศำสตร์ หลักพุทธธรรมท่ี ปรำกฏในหลักฐำนทำงโบรำณคดีตำมเส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมยั สุโขทยั ใน มิติทำงภูมิศำสตร์วัฒนธรรมชดั เจนมำกขน้ึ ในบทน้ีผ้วู ิจัยจึงได้แบ่งเนื้อหำกำรศึกษำออกเป็น ๓ หัวข้อ หลัก ดังน้ี คือ ๑) ประวัติศำสตร์พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยสุโขทัย ๒) เส้นทำงกำรเผยแผ่ พระพุทธศำสนำในประเทศไทยสมัยสุโขทยั และ ๓) หลักพุทธธรรมที่ปรำกฏในหลกั ฐำนทำงโบรำณคดี ตำมเสน้ ทำงกำรเผยแผพ่ ระพุทธศำสนำสมัยสุโขทยั แตล่ ะหัวขอ้ จะได้ศึกษำตำมลำดบั ดงั น้ี ๔.๑.๑ ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในประเทศไทยสมัยสุโขทัย เมืองสุโขทัย ต้ังอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำเจ้ำพระยำตอนบน เป็นเมือง เก่ำของขอมท่ีมีผู้นำเป็นคนไทย แต่ขึ้นกับกษัตริย์ขอม ประชำชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศำสนำทั้ง มหำยำนและเถรวำท รวมถึงศำสนำพรำหมณ์ ในตอนต้นแห่งพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เม่ือจักรวรรดิขอม เรม่ิ เสอ่ื มอำนำจลง ขุนบำงกลำงหำว๒ และพระสหำย ไดป้ ระกำศอิสรภำพโดยขับไล่ขอมท่เี คยมีอำนำจ อยู่ในบริเวณตอนกลำงและตอนเหนือของสยำมประเทศออกไป พระสหำยสำมำรถเข้ำยึดครองเมือง สุโขทัยได้ก่อน แต่ยอมถวำยเมือง และสถำปนำขุนบำงกลำงหำวให้เป็นกษัตริย์นำมว่ำ “พ่อขุนศรี อินทรำทติ ย์” ปฐมกษัตริย์แห่งรำชวงศ์พระร่วง พร้อมกับตั้งเมอื งสุโขทยั เปน็ รำชธำนี กำรเปล่ียนแปลง คร้ังนี้น่ำจะส่งผลให้คติควำมเชื่อทำงศำสนำมีกำรเปลี่ยนแปลงตำมไปด้วย เนื่องจำกพ่อขุนศรีอินทรำ ทิตย์ทรงเคำรพนบั ถือพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทมำกกว่ำนิกำยอื่น และทั้งนี้อำจจะเป็นเหตุผลทำง ๒ จำนงค์ ทองประเสริฐ, ประวัติพระพุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์, (กรุงเทพฯ: คุรุสภำ, ๒๕๓๔), หน้ำ ๓๗๒ – ๓๗๓.

๑๖๖ กำรเมือง ด้วยกลุ่มคนไทยนับถือพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำท ส่วนพวกขอมเดิมนับถือศำสนำ พรำหมณ์และพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน ครั้นกำจัดอำนำจขอมออกไป จึงไม่ต้องกำรสนับสนุน ลัทธินิกำยตำมอย่ำงเขำด้วย อย่ำงไรก็ตำม วฒั นธรรมควำมเชือ่ ดงั กล่ำวยงั คงหลงเหลือติดแน่นกับชำว สุโขทัยมไิ ดเ้ สื่อมสนิ้ ไปเลยทีเดยี ว ยังคงเห็นได้จำกพระนำมของกษัตริย์ ช่ือสถำนที่ต่ำง ๆ ทีย่ ังเป็นแบบ พรำหมณ์และมหำยำนอยู่ ในระยะเวลำน้ีเอง พระพทุ ธศำสนำลังกำวงศจ์ ำกนครศรีธรรมรำชก็ได้แพร่หลำยเข้ำมำยัง สุโขทยั แล้ว ปรำกฏหลกั ฐำนใน ชิ น ก ำล ม ำลี ป ก ร ณ์ ซึ่ งได้ กล่ำวถึง “พระโรจราช” ซึ่ง นำ่ จะหมำยถึงพ่อขุนศรอี ินทรำ ทิตย์ ได้ไปอัญเชิญพระพุทธ สิ หิ ง ค์ จ ำ ก น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร ำ ช ม ำ ยั ง เ มื อ ง สุ โ ข ทั ย๓ ศำสตรำจำรย์ ขจร สุขพำนิช ได้วิเครำะห์ ค วำม สัมพั น ธ์ ร ะ ห ว่ ำ ง เมื อ ง สุ โข ทั ย กั บ นครศรีธรรมรำชไว้ว่ำ ปู่ไส ส ง ค ร ำ ม ห รื อ ที่ ต ำ น ำ น เมื อ ง ภำพที่ ๔.๑ บริเวณในอทุ ยำนประวัติศำสตร์สโุ ขทัย นครศรีธรรมรำชเรียกว่ำ “พระ ยาศรีไสยณรงค์” น่ำจะเป็นโอรสของพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ กับพระมำรดำ ชำวนครศรีธรรมรำช ซึ่ง เป็นธิดำของพระยำศรีธรรมำโศกรำช โดยให้เหตุผลว่ำ เม่ือพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์เสด็จลงไปเมือง นครศรีธรรมรำชในครั้งนั้น ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มำด้วย และกำรที่ปู่ไสสงครำมนำกองทัพลงไป เมืองนครศรีธรรมรำช และได้รับกำรต้อนรับเป็นอย่ำงดีทำให้เชื่อว่ำปู่ไสสงครำมเป็นพระญำติ เน่ืองจำกมีพระรำชมำรดำเป็นเจ้ำหญิงแห่งเมืองนครศรีธรรมรำช๔ หลักฐำนดังกล่ำวแสดงให้เห็น ควำมสัมพันธ์ใกล้ชิดของสุโขทัยกับนครศรีธรรมรำช และกำรเผยแผ่เข้ำมำของพระพุทธศำสนำนิกำย เถรวำทแบบลงั กำวงศต์ ั้งแตส่ มยั นนั้ เปน็ ตน้ มำ ๓ พระรัตนปัญญำเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดย แสง มนวิทูร, (พระนคร : กรมศิลปำกร, ๒๕๐๑), หน้ำ ๑๐๐ – ๑๐๑. อ้ำงใน สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและ พระพุทธศาสนาลงั กาวงศ์ในประเทศไทย, หนำ้ ๑๒. ๔ นคร พันธุ์ณรงค์ (บรรณำธิกำร), รายงานผลการสัมมนาการเมืองและสภาพสังคมสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พพ์ ฆิ เณศ, ๒๕๒๑), หน้ำ ๑๗๖ – ๑๗๗.

๑๖๗ ๔.๑.๑.๑ พระพทุ ธศำสนำสมัยพ่อขุนรำมคำแหง ครั้นถึงสมัยพ่อขนุ รำมคำแหง ซงึ่ เป็นกษัตรยิ ์องคท์ ี่ ๓ แห่งรำชวงศ์พระร่วง พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำนซึ่งรุ่งเรอื งอยูท่ ำงใต้หรือ อำณำจักรศรีวิชัย และทำงตะวันออกคืออำณำจักรขอม ได้ค่อย ๆ เส่ือมลงพร้อมกัน ประกอบกับ พระองค์ทรงทรำบกิตติศัพท์ว่ำ พระสงฆ์ท่ีได้ไปศึกษำเล่ำเรียนจำกลังกำ มำอยู่ที่นครศรีธรรมรำชนั้น ปฏิบัติธรรมวินัยกันอยำ่ งเคร่งครัด พระองค์จงึ เลื่อมใสศรัทธำและโปรดให้อำรำธนำพระสงฆ์เหล่ำนั้น ขน้ึ มำยงั กรุงสุโขทัย แล้วทรงโปรดสรำ้ งวัดป่ำถวำย เกดิ เป็นคณะอรัญญิกหรือคณะลังกำวงศ์สบื ตอ่ มำ จำกหลักฐำนขอ้ ควำมท่ีปรำกฏในหนงั สือชินกำลมำลีปกรณใ์ นตอนทว่ี ำ่ ด้วยพระเถระสวดอนุโมทนำใน ครำวเม่ือพระเจ้ำพิลกปนัดดำธิรำช๕ ทรงบำเพ็ญกุศล มีควำมกล่ำวว่ำ “เพื่อจะยังพระศำสนำของพระ พุทธ ซ่ึงกษัตริย์ทรงพระนำมว่ำ รำมรำช เป็นต้นเค้ำ นำมำแต่ลังกำนัน้ ให้ร่งุ เรอื ง”๖ สอดคล้องกับศิลำ จำรึกหลักที่ ๑ ที่วำ่ ในรำวต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ พ่อขุนรำมคำแหงอำรำธนำนมิ นตพ์ ระสงฆ์จำกเมือง นครศรีธรรมรำช ซ่ึงมีควำมร้เู ก่ียวกับพระไตรปฎิ กเข้ำมำเผยแผ่พระพุทธศำสนำในสโุ ขทัย รวมทง้ั สรำ้ ง วัดขึ้นในอรัญญิกด้วย และในศิลำจำรึกหลักท่ี ๒ ว่ำ “เบ้ืองตะวันตกสุโขทัยน้ีมีอรัญญิก พ่อขุน รำมคำแหงกระทำโอยทำน แก่พระสังฆรำชปรำชญ์เรียนพระไตรปิฎก หลวกั (รหู้ ลักฉลำด) กว่ำปคู่ รูใน เมอื งน้ีทกุ คนลกุ แต่เมืองนครศรธี รรมรำชมำ...” พอ่ ขนุ รำมคำแหงทรงศรัทธำในพระพทุ ธศำสนำมำก ทรงรกั ษำศีล ทรงเสด็จไปฟงั ธรรมศกึ ษำ พระคัมภีร์ และบำเพ็ญพระกศุ ลท่ีวัดเป็นประจำ อีกทั้งรณรงค์ให้ประชำชนมีศรัทธำในพระพุทธศำสนำ ตำมอยำ่ งพระองค์ อำทิ ทรงโปรดให้ปลกู ตน้ ตำล แล้วให้ช่ำงจัดเอำแท่นหินไปต้ังไว้ท่ีกลำงดงตำล ในทุก วันพระองคจ์ ะทรงนมิ นตพ์ ระเถระมำนั่งเทศนำสงั่ สอนประชำชนบนแทน่ น้ี และหำกไมใ่ ช่วันพระ พระองค์ กท็ รงรับหน้ำที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนประชำชนด้วยพระองค์เอง แท่นหินนี้ต่อมำเรียกว่ำ “พระแท่นมนังค ศลิ ำบำตร”๗ ด้วยเหตนุ ้ีจึงส่งผลทำใหช้ ำวสุโขทัยมจี ิตใจสูง ชอบทำบญุ ใหท้ ำน ดังปรำกฏในศิลำจำรึกว่ำ “คนในเมืองสุโขทัยน้ี ท้ังชำวแม่ ชำวเจ้ำ ท่วยปั่ว ท่วยนำง ลูกเจ้ำลูกขุนทั้งสิ้นท้ังหลำย ทั้งผู้ชำยและ ผูห้ ญิง ฝงู ทว่ ยมศี รัทธำในพระพุทธศำสนำ ทรงศีลเมอื่ พรรษำทุกคน”๘ ๔.๑.๑.๒ พระพุทธศำสนำสมัยพระยำเลอไท ในรำวปลำยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นช่วงเวลำระหว่ำงสมัยของพระยำเลอไทกับพระมหำธรรมรำชำลิไท พระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทแบบลังกำวงศ์ได้เข้ำมำสู่สุโขทัยอีกคร้ังหนึ่ง โดยพระมหำเถรศรีศรัทธำ รำชจุฬำมุนี ซ่ึงได้จำริกแสวงบุญเดินทำงไปศึกษำพระพุทธศำสนำยังลังกำแล้วนำกลับมำเผยแผ่ยัง ๕ หรือ พระเมอื งแกว้ ๖ พระรัตนปัญญำเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, หน้ำ ๑๖. อ้ำงใน สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับ ประวตั ิศาสตรบ์ ้านเมอื งและพระพทุ ธศาสนาลงั กาวงศ์ในประเทศไทย, หนำ้ ๑๓. ๗ จำนงค์ ทองประเสริฐ, ประวัตศิ าสตร์พุทธศาสนาในเอเชยี อาคเนย์, หน้ำ ๓๗๘.

๑๖๘ สโุ ขทยั นักวชิ ำกำรบำงท่ำนเรียกวำ่ พระพทุ ธศำสนำลงั กำวงศส์ ำยลังกำหรือสำยสีหล เร่อื งรำวของท่ำน ปรำกฏในศิลำจำรกึ หลกั ที่ ๒ และหลักที่ ๑๑ ซึ่งศำสตรำจำรย์ ดร. ประเสรฐิ ณ นคร สรปุ ไวว้ ่ำ พระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจฬุ ำมุนีนัน้ เปน็ พระโอรสของพระยำคำแหงพระรำม ซง่ึ เป็นรำช นัดดำของพ่อขุนศรีนำวนำถุม เป็นบุคคลที่อยู่ร่วมสมัยกับพระยำเลอไทและพระมหำธรรมรำชำลิไท ของกรุงสโุ ขทัย ที่ได้ไปบำเพ็ญกรณีเก่ียวกับพระพุทธศำสนำ ซึ่งข้อควำมในจำรึกได้เล่ำถึงประวัติของ พระองค์ต้ังแต่สมัยยังเป็นฆรำวำสว่ำ มีฝีมือรบพุ่งมำก คือ ข่ีช้ำงพังไปรบช้ำงพลำยที่ตกน้ำมันชนะ และไดร้ ับคำชมเชยจำกพระยำเลอไทว่ำเกง่ มำก ในทส่ี ดุ เข้ำใจว่ำลูกชำยของทำ่ นเสยี ชีวิต จงึ เห็นวำ่ โลก นี้ไม่เท่ียงแท้แน่นอน ก็เลยสละเหย้ำเรือนออกผนวช ได้กล่ำวถึงพระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนี เดนิ ทำงไปไหว้พระธำตตุ ่ำงๆ ที่มอี ยใู่ นเมืองไทย เรม่ิ ต้ังแตแ่ ถวสระหลวง สองแคว ขนึ้ ไปเมืองขวำง คือ เมืองอุตรดิตถ์ และขึ้นไปถึงลำพูน ลงมำตำก เชียงทองแถวตำกระแหง ข้ำมไปอินเดีย ไปปำตำลีบุตร ไปไหว้สถำนท่ีสำคัญของพระพุทธศำสนำท้ังหลำย แล้วผ่ำนมำทำงอินเดียใต้ลงไปถึงเกำะลังกำ ได้ไป ทำกำรอุปสมบทใหม่ตำมลัทธิลังกำวงศ์ และจำพรรษำอยู่ที่ลังกำเป็นเวลำถึง ๑๐ ปี ระหว่ำงน้ันได้ไป บรู ณะวดั สำคัญๆ เชน่ ถูปำรำม และมหิยงั คเจดีย์ กษตั ริยล์ งั กำจงึ ทรงแตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ พระมหำสวำมี เม่ือ เดนิ ทำงกลบั มำแล้วได้นำเอำพระบรมสำรีรกิ ธำตุมำบรรจุไวใ้ นเมอื งไทย โดยกำรเดินทำงผ่ำนทำงภเู ขำ ตะนำวศรี ผำ่ นเมืองเพชรบุรี รำชบรุ ี จำกน้ันมำถึงเมืองอโยธยำศรีรำมเทพนคร และถงึ เมืองสโุ ขทัยใน ทสี่ ดุ ๙ นอกจำกน้ัน ศำสตรำจำรย์หม่อมเจ้ำสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ทรงกล่ำวถึง เร่ืองรำวของพระ มหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนีไว้ว่ำ “ในรัชกำลของพระเจ้ำเลอไทได้มีเจ้ำชำยไทยองค์หน่ึงซ่ึงได้ทรง ผนวชเป็นพระภิกษุและได้เดนิ ทำงไปยงั ประเทศอนิ เดียและลังกำ พระองค์ทรงนำพระสำรีริกธำตขุ อง พระพุทธเจ้ำกลับมำด้วย ต่อมำเจ้ำชำยองค์น้ีไดท้ รงรบั ตำแหน่งเป็นสมเด็จพระมหำเถรศรีศรัทธำรำช จุฬำมุนีศรีรัตนลังกำทีปมหำสวำมีเป็นเจ้ำ สมเด็จพระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนีฯ คงจะได้ทรง ขยำยและบูรณะวัดมหำธำตุกลำงเมืองสุโขทัย งำนเหล่ำน้ีมีช่ำงจำกเกำะลังกำเข้ำมำชว่ ย ด้วยเหตุนั้น จงึ ปรำกฏมอี ิทธิพลของศลิ ปะลังกำปะปนอยู่ในศิลปะสุโขทัย”๑๐ พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์สำยสีหลน้ี ทำให้กำรศึกษำพระพุทธศำสนำได้รับควำมสนใจขยำยตัวออกไปอย่ำงกว้ำงขวำง และมีผู้คนเลื่อมใส ๘ มนต์ชัย เทวัญวโรปกำร, พลิกประวัติศาสตร์สุโขทัย ฉบับ ๗๐๐ ปี กาเนิดลายหนังสือไทย, (กรุงเทพฯ : เจ้ำพระยำกำรพิมพ์, ๒๕๒๖), หน้ำ ๔ – ๕. อ้ำงใน ฟ้ืน ดอกบัว, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน นานาประเทศ, (กรุงเทพฯ : ศิลปำบรรณำคำร, ๒๕๕๔), หน้ำ ๒๓๐. ๙ ประเสรฐิ ณ นคร, การอภิปรายในหัวข้อเรอ่ื ง ประวัติศาสตร์สมยั สโุ ขทัย, รายงานผลการสมั มนา สังคโลกใต้อ่าวไทยกับการวินิจฉัยปัญหาเศรษฐกิจการเมืองและสังคมในสมัยสุโขทัย , คณะโบรำณคดี มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์พฆิ เณศ, ๒๕๑๙), หนำ้ ๓๘ – ๓๙. ๑๐ หม่อมเจ้ำ สุภัทรดิศ ดิศกลุ , ประวัติศาสตรเ์ อเชียอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐, (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๒), หน้ำ ๒๓๘. อ้ำงใน สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์ บา้ นเมืองและพระพุทธศาสนาลงั กาวงศใ์ นประเทศไทย, หนำ้ ๑๔.

๑๖๙ มำกข้ึน แต่ภำยหลังเมื่อพระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนีฯ ถึงแก่มรณภำพ พระสงฆ์ท้ังหลำยเกิด หย่อนยำนทำงพระวินยั จึงทำให้พระสงฆ์ท่ีเคร่งครัดหนั ไปสนใจวัตรปฏิบัติของสำนักลังกำวงศ์ท่ีเมือง พันหรอื เมำะตะมะ ซึ่งมพี ระอทุ ุมพรบบุ ผำมหำสวำมเี ปน็ เจำ้ สำนกั และกำลงั มชี ่ือเสยี งอยูใ่ นขณะนน้ั ๔.๑.๑.๓ พระพุทธศำสนำสมยั พระมหำธรรมรำชำลิไท ในปลำยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ในสมัยของพระมหำธรรมรำชำลิไท ได้มีพระสงฆ์ชำวสุโขทัยสองรูป คือ พระอโนมทัสสีและพระ สมุ นเถระ ซึ่งเป็นศิษย์ของพระมหำบรรบต สังฆรำชในเมืองสุโขทัย ได้เคยบวชคร้งั แรกในฝ่ำยคำมวำสี และเคยเดินทำงไปศึกษำพระพุทธศำสนำท่ีเมืองอโยธยำมำก่อน ต่อมำท่ำนท้ังสองได้เดินทำงไปยัง เมอื งพันหรือเมำะตะมะ และเขำ้ บวชใหมใ่ นฝ่ำยอรัญวำสที ีส่ ำนักของพระอุทมุ พรบุบผำมหำสวำมี๑๑ ซึ่ง ซ่งึ ถอื กันวำ่ มีควำมเคร่งครดั ท่สี ดุ ในลังกำ โดยพระเถระชำวสงิ หลช่อื พระมติมำ ได้มำตั้งลัทธิดงั กลำ่ วใน เมืองพันหรือเมืองเมำะตะมะ ในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมอื ง ผู้คนเมื่อได้เหน็ วัตรปฏิบัติของพระมตมิ ำ ลว้ นเกดิ ควำมศรทั ธำเลื่อมใสเป็นอย่ำงยิ่ง ถึงกับทำพิธีอุษยำภเิ ษกท่ำนขน้ึ เป็นพระอุทุมพรบุบผำมหำ สวำมี เชน่ กันกับช่ืออำจำรย์ผู้เป็นเจ้ำสำนักในลังกำ และเมอื่ พระอโนมทสั สีและพระสุมนเถระเดินทำง กลับมำยงั สุโขทัยแล้ว ได้มีกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำลงั กำวงศ์ตำมแนวทำงของสำนกั พระอทุ ุมพรบุบ ผำมหำสวำมี หรือเรียกว่ำพระพุทธศำสนำลังกำวงศ์สำยรำมัญ จนแพร่หลำยออกไปทั่ว กระท่ังถึง อำณำจักรล้ำนนำและลำ้ นช้ำงด้วยไดร้ บั กำรสนบั สนนุ จำกพระมหำธรรมรำชำลิไทอยำ่ งดี ต่อมำใน พ.ศ. ๑๙๐๔ พระอโนมทัสสีและพระสุมนเถระได้เดินทำงไปเมืองพันอีกครั้ง ครำวน้ีได้ไปอำรำธนำนิมนต์พระอุทุมพรบุบผำมหำสวำมีใหม้ ำเปน็ พระอุปัชฌำย์ในกำรผนวชของพระ มหำธรรมรำชำลิไท พร้อมกันกับได้นำพระสงฆ์ชำวสุโขทัยอีก ๘ รูป คือ พระอำนนท์ พระพุทธสำคร พระสุชำตะ พระเขมะ พระปิยทัสสี พระสุวัณณคีรี พระเวสสภู และพระสัทธำติสสะ ร่วมเดินทำงไป บวชแปลงใหมใ่ ห้เป็นพระสงฆ์ฝำ่ ยอรญั วำสี ครัน้ ถงึ เมืองพัน พระอุทมุ พรบบุ ผำมหำสวำมีไดม้ อบหมำย ใหพ้ ระอโนมทัสสีและพระสมุ นเถระเป็นพระอุปัชฌำย์บวชแปลงใหพ้ ระสงฆ์ท้งั ๘ รูปน้ัน แลว้ กล่ำวว่ำ “ดูรำ อำวโุ สทั้งหลำย ศำสนำอัน กูนำมำแต่ลังกำทวีปน้ัน จักไม่ม่ันคงในเมืองเม็งนีนำ จกั ไปตั้งมั่นอยู่ ในเมืองสูโพน้ ต่อเทำ่ ๕ พันปีแล” คร้ันแล้วพระองคท์ รงเดนิ ทำงมำเป็นพระอุปชั ฌำย์ให้พระมหำธรรม รำชำลไิ ท และจำพรรษำท่ีวดั ป่ำมะม่วงเป็นเวลำหลำยเดือน หลงั จำกที่พระมหำธรรมรำชำลไิ ททรงลำ ผนวชแล้ว ทรงโปรดให้สง่ พระสงฆ์ท่ีไดเ้ คยศึกษำพระพุทธศำสนำลังกำวงศ์สำยรำมญั น้ี เดินทำงไปเผย แผ่ส่ังสอนพระศำสนำยังเมืองต่ำงๆ ภำยนอกอำณำจักรอีกด้วย อำทิ พระปิยทัสสีไปยังเมืองอโยธยำ พระสุวัณณคีรีไปเมืองหลวงพระบำง พระเวสสภูไปเมืองน่ำน พระพุทธสำคร พระสุชำตะ พระเขมะ ๑๑ พระพุทธพุกำม และ พระพุทธญำณ, ตานานมูลศาสนา, (กรุงเทพฯ : เสริมวิทย์บรรณำคำร, ๒๕๑๙), หนำ้ ๓๑๖. อำ้ งใน เรอื่ งเดียวกัน, หนำ้ ๑๖.

๑๗๐ พระสัทธำติสสะไปเมืองสองแคว พระอำนนท์อยู่ท่ีวัดป่ำมะม่วง เป็นต้น๑๒ และในปี พ.ศ.๑๙๑๒ พระ สุมนเถระได้เดินทำงไปเจริญพระพุทธศำสนำในเมืองเชียงใหม่ตำมที่ได้รับนิมนต์จำกพระเจ้ำกือนำ กษตั ริยแ์ ห่งลำ้ นนำ กำรไปครงั้ นีไ้ ดน้ ำคณะสงฆ์ไปทั้ง ๕ รูป เพ่อื สำมำรถที่จะอุปสมบทกุลบตุ รไดด้ ้วย พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์เจริญรงุ่ เรืองเป็นอย่ำงมำกในอำณำจักรสโุ ขทัย แต่อย่ำงไรก็ดใี น รำวคร่ึงหลงั ของพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ไดม้ พี ระภกิ ษุที่อำศัยอยู่ในเชียงใหม่กลุ่มหนง่ึ พรอ้ มด้วยพระภกิ ษุ ในแคว้นกัมโพช (ลพบุรี) และมอญจำนวนรวม ๓๙ รูป ไดเ้ ดินทำงไปยังลังกำ เพ่ือบวชแปลงใหม่และ ศึกษำธรรมวินัยท่เี กำะลงั กำระยะหนึ่ง เมือ่ เดินทำงกลับมำได้พำพระเถระชำวลังกำมำด้วย ๒ รูป เพื่อ จะให้มำเป็นพระอุปัชฌำย์ทำกำรบวชให้ถูกต้อง คณะสงฆ์กลุ่มนี้ถือได้ว่ำเป็นคณะสงฆ์ลังกำวงศ์ใหม่ หรือสีหลสำยใหม่ ในกำรเดินทำงกลับมำครั้งนั้นได้เผยแผ่พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์ใหม่น้ีตำมเมือง ตำ่ งๆ หลำยแห่ง เช่น กรุงศรอี ยุธยำ เมืองศรีสัชนำลัย เมืองสโุ ขทยั โดยเฉพำะทเี่ มืองศรสี ชั นำลัย พระ มหำเถระไดอ้ ุปสมบทใหพ้ ระพุทธสำครในเมืองนัน้ และต่อมำไดจ้ ำพรรษำทเ่ี มืองสุโขทัย หลังจำกนน้ั จึง เดินทำงกลับถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๙๗๓๑๓ พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์ฝ่ำยสีหลหรอื ลังกำสำยใหม่ที่ เขำ้ มำในระยะนีม้ ีบทบำทสำคัญในสุโขทัย โดยเฉพำะในช่วงท่ีสโุ ขทยั อย่ใู ต้อำนำจทำงกำรเมอื งของกรุง ศรีอยุธยำ และน่ำจะเป็นพระพุทธศำสนำลังกำวงศ์ระลอกสุดท้ำยท่ีเข้ำมำเผยแผ่ในอำณำจักรสุโขทัย จะเห็นไดว้ ่ำ กษัตริยใ์ นสมัยสุโขทยั น้นั ทรงให้ควำมสำคญั กับพระพุทธศำสนำเป็นอยำ่ งมำก โดยเฉพำะ อยำ่ งยิ่ง พระมหำธรรมรำชำลิไท พระองคท์ รงมีบทบำทในด้ำนศำสนำอยำ่ งเด่นชัด ดว้ ยทรงรอบรู้ดำ้ น ศำสนำ และศลิ ปศำสตรม์ ำกมำย๑๔ สำมำรถสรุปไดด้ งั นี้ ๑) กำรศึกษำในพระศำสนำ พระองค์ทรงศึกษำพระไตรปิฎกกับ คณำจำรย์ อำทิเชน่ พระอโนมทัสสี พระสำรีบุตร และอุปเสนรำชบัณฑิต เปน็ ต้น ตั้งแต่ยงั เป็นพระรำช บตุ ร จนรอบรู้ในภำษำมคธและพระไตรปิฎก ถึงกับสำมำรถพระรำชนิพนธ์เตภูมิกถำ พรรณนำควำม เปน็ ไปของสัตว์ในไตรภูมิ และตำรำทพ่ี ระองค์ทรงใชเ้ รียบเรียงนัน้ ลว้ นแต่เปน็ คัมภีร์มคธ ทัง้ อรรถกถำ ฎกี ำ ประมำณ ๓๐ ปกรณ์ ภำยหลงั สมเด็จกรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ได้เปลย่ี นช่ือเป็น ไตรภูมพิ ระ รว่ ง ๒) กำรคณะสงฆ์ พระองค์ได้ส่งทูตไปอำรำธนำนิมนต์คณะสงฆ์ลังกำ วงศ์เข้ำมำสุโขทัย ในจำรึกวัดป่ำมะม่วงเรียกว่ำ สังฆรำชลังกำ ถึงกับให้ตัดถนนจำกสุโขทัยไป กำแพงเพชร จำกกำแพงเพชรไปเมืองพันหรือเมำะตะมะ และท่ีสำคัญพระมหำธรรมรำชำลิไททรงเป็น กษัตรยิ ์ไทยองค์แรกท่ีบวชในขณะเสวยรำชย์ และได้ปริวรรคเพศออกมำในท่ำมกลำงอ้อนวอนขอร้อง ของเหลำ่ อำมำตย์ ๑๒ สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ใน ประเทศไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แหง่ จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั , ๒๕๕๔), หนำ้ ๓๒๐. ๑๓ พระรัตนปัญญำเถระ, ชนิ กาลมาลปี กรณ์, หนำ้ ๑๐๗ – ๑๐๘.

๑๗๑ ๓) กำเนิดโรงเรยี นไทยโรงเรียนแรก นั่นคือ พระองค์ทรงอทุ ิศพระรำช มณเฑยี รใหเ้ ปน็ สถำนที่ศึกษำพระปริยัตธิ รรมแก่ภกิ ษสุ ำมเณรขึ้นเปน็ คร้งั แรก ๔) ทรงส่งทูตไปจำลองรอยพระพุทธบำทบนยอดเขำสุมนกูฏในลังกำ มำสรำ้ งไว้ ณ ไหล่เขำ ตำมหัวเมืองสำคัญ เชน่ สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณโุ ลก อำทิ รอยพระบำทที่วัด บวรนเิ วศ จงึ ทำใหเ้ กิดประเพณีไหวพ้ ระบำทขึ้นเป็นคร้ังแรก ๕) ทรงหล่อพระพทุ ธปฏิมำชุดใหม่หลำยชุด หลำยครัง้ ครง้ั ละหลำยสิบ องค์ ครง้ั ท่ีสำคญั ที่สดุ คือ ชุดพระพทุ ธชนิ รำช พระพทุ ธชนิ สหี ์ และพระศรีศำสดำ ๖) ทรงให้สร้ำงพระมหำธำตุท่ีสำคัญในเมืองกำแพงเพชร ท่ีปำกคลอง สวนหมำก เป็นพระเจดีย์ทรงพุ่มข้ำวบิณฑ์ แต่ในสมัยรัชกำลที่ ๕ มีกำรร้ือสร้ำงใหม่เป็นรูปเจดีย์พม่ำ ดังปรำกฏอยทู่ ุกวนั นี้ ๗) ทรงโปรดให้ทูตไปเชิญหน่อพระศรีมหำโพธ์ิจำกอนุรำธปุระมำปลูก ไว้ในอำณำเขตสโุ ขทัยหลำยแหง่ ทำให้เกดิ ประเพณีบชู ำตน้ โพธิ์ขึ้น ๘) ทรงสนพระทัยในโหรำศำสตร์ และไสยศำสตร์ ทรงโปรดให้หล่อ เทวรปู ชดุ สำคญั อำทิ พระอิศวร พระนำรำยณ์ และพระอมุ ำ เป็นตน้ จำกกำรท่ีพระพุทธศำสนำลัทธิลังกำวงศไ์ ด้ตงั้ มั่นที่สุโขทัย ได้กอ่ ให้เกิดควำมเปลี่ยนแปลง กำ้ วหน้ำขนึ้ ในบำ้ นเมอื งหลำย ๆ ดำ้ น พอจะกลำ่ วได้ดังตอ่ ไปน้ี ๑) กำรปกครอง แต่เดิมขอมใช้กำรปกครองแบบลัทธิเทพำวตำร กษัตริย์คือพระเจ้ำ และเป็นใหญ่ในโลก ส่วนสุโขทัยใช้กำรปกครองระบบพ่อเมืองปกครองลูกเมือง กษัตริยไ์ มใ่ ช่พระเจ้ำ กษตั รยิ ์สุโขทัยเปรียบเหมอื นพ่อ และใกลช้ ิดกับประชำชนผู้เปน็ ลูกอยเู่ สมอ หรือ กำรปกครองแบบ พ่อปกครองลูก ทำให้เกิดสภุ ำษิตคำสอนรำษฎร เชน่ พอ่ สอนลูก เรยี กวำ่ ภำษิตพระ ร่วง คอื อำสำเจำ้ จนตัวตำย อำสำนำยจนพอแรง ปลูกไมตรีอยำ่ รู้ร้ำง สรำ้ งกศุ ลอย่ำรู้โรย เป็นตน้ และ ดว้ ยอิทธพิ ลของพระพุทธศำสนำทำให้สุโขทัยไม่มีทำส ระบบทำสเริ่มในสมัยอยุธยำ โดยเลียนแบบจำก เขมร ตำมคติศำสนำพรำหมณ์ แต่ในสมยั สุโขทัยประชำชนเป็นลูกเมืองเสมอกันหมด เพรำะฉะนั้นใน อัยกำลักษณะลักพำซึ่งตรำข้นึ ในปี พ.ศ. ๑๘๙๙ สมัยพระเจำ้ อทู่ องของอยุธยำ กลำ่ วถงึ ทำสที่หนีไปสู่ เมืองเลียง สุโขทัย ทุ่งยั้ง บำงยม สองแคว สระหลวง ซำกังรำว จนเจ้ำทำสขอร้องให้รัฐบำลอยุธยำไป ติดตำมจับ ด้วยทำสท่ีหนีไปสอู่ ำณำจกั รสุโขทยั จะได้รับอิสระ รฐั บำลสโุ ขทัย จะมอบทนุ ทรัพย์ทำกนิ ให้ แม้ในสมยั พระธรรมรำชำท่ี ๒ คือพระเจ้ำไสยลือไท เมื่อกรงุ สโุ ขทัยตกเป็นประเทศรำชของอยุธยำแล้ว ถงึ กระน้ันทำงสุโขทัยก็ยังถือเปน็ กฎหมำยว่ำ ทำสเชลยใดท่ีหนีมำมีกำหนดระยะเวลำ ถ้ำไม่มีเจ้ำทำส ตำมมำ พ้นระยะกำหนดแลว้ กจ็ ะเป็นอิสระชนทันที ๑๔ กนกวรรณ โสภณวัฒนวิจติ ร, ประวัตศิ าสตรส์ มยั สโุ ขทยั , (กรงุ เทพฯ : สำรคดี, ๒๕๕๔), หนำ้ ๖๖.

๑๗๒ ๒) กำรศึกษำ ได้รับพระไตรปิฎก ทั้งอรรถกถำฎีกำจำกลังกำ แม้ก่อน หน้ำนี้จะมีอยู่แล้วในเถรวำทแบบมอญครั้งสมัยทวำรวดี แต่ครั้นได้รับพระไตรปิฎกอย่ำงครบถ้วน สมบูรณ์ในสมัยต้นสุโขทัยจำกลังกำ ทำให้กำรออกเสียงภำษำมคธของพระสงฆ์ไทยชดั ถ้อยชัดคำตำม แบบลังกำ และคมั ภีรศ์ ำสนำฉบับเดมิ เขยี นเปน็ ตัวสิงหล แตค่ รัน้ มำถึงเมืองไทยมีกำรปรวิ รรตตัวสงิ หล เปน็ ตัวขอม เนื่องจำกในสมัยลพบุรี ได้ใช้อักษรขอมจนแพร่หลำยแล้ว อีกประกำรหน่งึ อกั ษรไทยท่ีพ่อ ขนุ รำมบญั ญตั ขิ ึน้ ใหม่ มีพยัญชนะไม่พอเขียน คำมคธจงึ ได้ถอื เอำหนังสือขอมเปน็ หลักในกำรจำรึก ๓) เนื้อหำในศิลำจำรึก ขอมมักจะขน้ึ ต้นศิลำจำรกึ ด้วยกำรสดุดพี ระเจ้ำ แล้วพูดถึงเกียรติคุณของกษัตริย์ ลงท้ำยด้วยกำรสำปแช่งศตั รู แต่จำรึกในสุโขทยั ใช้ภำษำง่ำยๆ พูดถึง สถำนกำรณ์ของบ้ำนเมืองเศรษฐกิจและสังคม เป็นผลจำกกำรปกครองโดยระบบพ่อเมือง ไม่มีกำร สำปแชง่ ศัตรู ตรงกันข้ำมมีแต่ให้อภัย ในจำรึกพอ่ ขุนรำมคำแหงยังแสดงให้เห็นว่ำ ในระยะเวลำไม่ถึง ๕๐ ปี หลังจำกพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ประกำศอิสรภำพ บ้ำนเมืองได้มีควำมเจริญรุ่งเรืองข้ึนอย่ำง รวดเร็ว ด้วยประเทศรำชของขอมอื่นๆ และรำษฎรพำกนั เบือ่ หนำ่ ยในส่ิงท่ตี นต้องแบกเอำไว้ เชน่ กำร เสยี ภำษีอย่ำงแรง กำรถูกเกณฑแ์ รงงำนไปสรำ้ งปรำสำทหนิ คนเหล่ำนี้ไดห้ นั มำอ่อนน้อมต่อสุโขทยั อัน ส่งผลใหจ้ กั รวรรดขิ อมพังทลำยอยำ่ งไม่คำดฝนั ๔) กำรปกครองคณะสงฆ์ อิทธิพลลังกำวงศ์ทำให้เกิดสมณศักดิ์ข้ึน ซึ่ง ไม่เคยมีในอนิ เดีย นน่ั คือลังกำเป็นผู้คิดขน้ึ แต่เดิมมีเพียง ๒ ตำแหน่ง คือ สวำมี และ มหำสวำมี ส่วน ชือ่ สมณศักดิ์แตกต่ำงออกไปตำมเกียรติคณุ ของเถระผไู้ ดร้ ับ คติน้ีพอมำถึงสุโขทัยได้มีกำรปรับปรงุ โดย เทียบด้วยยศของพวกพรำหมณ์ในทำงโลก จึงเกิดทำเนียบสมณศักดิข์ ้ึนเป็นคร้งั แรก ได้แก่ (๑) ครูบำ (๒) เถระ (๓) มหำเถระ (๔) สังฆรำชำ (สงั ฆรำชำเทียบมหำสวำมี) และ (๕) สังฆปริณำยกสทิ ธิ ๕) ศิลปะ จำกเดิมกำรสร้ำงปูชนียสถำนมักจะสร้ำงรูปทรงแบบรูป ปรำงค์ ตำมแบบขอม เช่น พระปรำงค์ วัดพระศรีรัตนมหำธำตุ เมืองสวรรคโลก พระปรำงค์ ๓ ยอด วัดศรีสวำย และ พระปรำงค์ วัด พระพำยหลวง เมืองสุโขทัย เป็น ตน้ เปน็ กำรสร้ำงตำมคตมิ หำยำน ต่อมำพ่อขุนรำมคำแหงได้เปลี่ยน มำสร้ำงเป็นรูปทรงเจดีย์ ซ่ึงได้ ถ่ ำ ย แ บ บ ม ำ จ ำ ก เจ ดี ย์ ใน ลั ง ก ำ เช่น เจดีย์แบบลอมฟำงหรือทรง กลม พระมหำธำตุ วัดช้ำงล้อม เมืองศรีสัชนำลัย ได้แบบอย่ำงมำ จ ำ ก ถู ป ำ ร ำ ม แ ล ะ ม รี จิ เจ ดี ย์ ใ น ภำพท่ี ๔.๒ พระปรำงค์ ๓ ยอด วัดศรสี วำย จ.สุโขทยั

๑๗๓ ลังกำ นอกจำกน้นั ยังมี วดั เขำพระบำทน้อย และวัดเจดยี ์เจ็ดแถว เป็นตน้ แม้กำรสร้ำงพระพุทธรปู กย็ ัง ไดร้ ับอิทธพิ ลของลงั กำด้วย ภำยหลังจำกท่ไี ดพ้ ระพุทธสิหิงค์มำประดิษฐำนที่สุโขทัย ซึ่งต่อมำได้กลำย มำเปน็ แมแ่ บบของพระพุทธรูปสโุ ขทัย นัน่ คอื พระเกตมำลำของพระพทุ ธรปู มเี ปลวรัศมีหรอื เปลวเพลิง สงู อกี ทัง้ สงั ฆำฏมิ ลี กั ษณะเป็นแฉกชนดิ ทเ่ี รียกว่ำ เขยี้ วตะขำบ เป็นต้น ๖) ประเพณี ชำวสุโขทัยมีควำมเลื่อมใสศรัทธำในพระพุทธศำสนำเป็น อย่ำงย่ิง ดังปรำกฏในศิลำจำรึกหลักที่ ๑ ด้ำนที่ ๒ ท่ีกล่ำวถึง วิถีชีวิตท่ีผูกพันกับประเพณีทำงพุทธ ศำสนำ ท้ังกษัตริย์ผู้ทรงเป็นองค์ศำสนูปถัมภก และรำษฎรทั้งหลำยท่ีมักทำบุญทำทำน รักษำศีล ใน ยำมเข้ำพรรษำ และเม่ือออกพรรษำ ก็มีประเพณีทอดกฐิน มีกำรบำรุงพระพุทธศำสนำอยู่เนืองนิตย์ คนในเมืองสุโขทัยน้ี มักทำน มักทรงศีล มักโอยทำน พ่อขุนรำมคำแหงเจ้ำเมืองสุโขทัย ท้ังชำวแม่ชำว เจ้ำ ท่วยป่ัวท่วยนำง ลูกเจ้ำลูกขุนทั้งส้ินท้ังหลำย ทั้งผู้ชำยผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธำในพระพุทธศำสนำ ทรงศีลเม่ือพรรษำทุกคน เมื่อออกพรรษำ กรำนกฐินเดือนหน่ึงจึงแล้ว เม่ือกรำนกฐนิ มีพนมเบี้ยพนม หมำกมพี นมดอกไม้ มีหมอน นง่ั หมอนนอน บริพำรกฐนิ โอยทำนแล่ปแี ลญบิ ลำ้ น ไปสวดณตั ตกิ ฐำนถึง อรัญญิกพู้น... ใครจะมักเล่น เล่น ใครจะมักหัว หัว (หัวเรำะ) ใครจะมักเลอ่ื น เลื่อน เมืองสุโขทัยนี้มีส่ี ปำกประตหู ลวง เทยี นญอมคนเสยี ดกันเข้ำดทู ำ่ นเผำเทยี น เลน่ ไฟ เมืองสุโขทยั นี้มีดังจะแตก ๔.๑.๒ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยสมัยสุโขทยั เมืองสุโขทัย ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำเจ้ำพระยำตอนบน เป็นเมือง เก่ำของขอมที่มีผู้นำเป็นคนไทย แต่ข้ึนกับกษัตริย์ขอม ประชำชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศำสนำทั้ง มหำยำนและเถรวำท รวมไปถึงศำสนำพรำหมณ์ นกั ประวตั ศิ ำสตร์มีควำมเชอื่ ว่ำเมืองสุโขทยั แต่เดิมนั้น มีช่ือว่ำ “สยำมเทศ” ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซแดส์ พบคำว่ำ “สยำม” เป็นแห่งแรกในจำรึกของจำม (อำณำจักรจำมปำ) ที่เมืองญำตรังในพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ต่อมำได้พบหลักฐำนจำกภำพสลักนูนของ ขอมท่ีปรำสำทนครวัดในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เชอ่ื กันวำ่ “สยำมเทศะ”หรือ “เสียน” ในบันทึกของจีน เป็นดินแดนที่ขึ้นต่ออำณำจักรกัมพูชำในรัชกำลพระเจ้ำสูริยวรมันที่ ๒ (ครองรำชย์พ.ศ. ๑๖๕๖- ๑๖๙๓) ช่วั ระยะหนึง่ โดยอ้ำงอิงพยำนหลกั ฐำนจำกงำนปะติมำกรรมนูนต่ำบนระเบยี งผนังหนิ ระเบียง คดปรำสำท “นครวัด” ด้ำนใต้ซึ่งเป็นภำพร้ิวขบวนกำรเดินสวนสนำมของ “กองทัพชำวสยำม” ที่ไป ชว่ ยกองทพั ขอมต่อสู้กบั กองทพั จำม เพรำะมีอักษรจำรกึ ไว้ว่ำ “สยำมกุก” (หอ้ งสยำม) ๑๕ จำกร่องรอยโบรำณสถำนและโบรำณวัตถุที่ได้จำกกำรขุดค้น สะท้อนถึงพัฒนำกำรของ ผู้คนในบริเวณที่จะกลำยมำเป็นแคว้นสุโขทัยในระยะต่อมำ โดยพบว่ำอำณำบริเวณสุโขทัยและพ้ืนที่ โดยรอบได้แก่ ศรีสัชนำลัย กำแพงเพชร เคยมีมนุษย์อำศัยอยู่มำนับพันปี จำกกำรขุดค้นแหล่ง โบรำณคดีชุมชนท่ีบ้ำนวังหำด อำเภอบ้ำนด่ำนลำนหอย จังหวัดสุโขทัย แสดงให้เห็นว่ำชุมชนน้ีมีอำยุ รำว ๒,๕๐๐ ปี พบเคร่ืองมือเครื่องใช้จำพวกเหล็ก กำไรสำริด ลูกปัด เหรียญโบรำณ ภำชนะดินเผำ ฯลฯ และมีหลกั ฐำนกำรอำศัยอยสู่ ืบมำจนถึงสมัยทรำรวดี ในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๖ นอกจำกน้ี ๑๕ สงวน รอดบญุ , พทุ ธศิลป์สุโขทัย, หนำ้ ๒๔ - ๒๖.

๑๗๔ ยังพบรอ่ งรอยของโบรำณสถำนและคูน้ำคันดิน แสดงถงึ กำรตั้งถ่ินฐำนผคู้ นในระดับชมุ ชนเมือง ซ่ึงถือ เป็นชุมชนระยะเร่ิมแรกของสุโขทัยคือ บริเวณที่มีวดั พระพำยหลวง และเมืองเชลียง ปรำกฎร่องรอย ทำงศำสนสถำนในศำสนำฮินดูหรือพุทธมหำยำน ที่ไดร้ ับอทิ ธิพลจำกศลิ ปะละโว้และวัฒนธรรมขอม๑๖ ที่วัดพระพำยหลวง มีศำสนสถำนกอ่ ด้วยศิลำแลงเป็นรูปปรำสำทแบบขอมสมัยบำยน พบ พระพุทธรูปหินสมัยลพบรุ ี ส่วนศำลตำผำแดง เป็นอำคำรหลังเดยี วก่อด้วยศิลำแลง ลักษณะผังอำคำร เป็นสถำปัตยกรรมขอมในสมัยพระเจ้ำสุริยวรมันท่ี ๒ สำหรับวัดศรีสวำย มีร่องรอยปรำสำทก่อด้วย ศลิ ำแลง แต่ได้รับกำรเปลี่ยนแปลง เดิมคงเป็นเทวสถำนเพรำะพบแผ่นศลิ ำที่ทำเป็นทับหลังสลักภำพ พระนำรำยณ์บรรทมสินธ์ิ สมัยปำบวน ส่วนบริเวณเมืองศรีสัชนำลัย มีพระบรทธำตุเชลียงและวัดเจ้ำ จันทร์ มศี ำสนำสถำนก่อดว้ ยศลิ ำแลงเป็นรปู ปรำสำทแบบขอม๑๗ ในตอนต้นแห่งศตวรรษท่ี ๑๘ เม่ือจักรวรรดิขอมเร่ิมเสื่อมอำนำจลง ขุนบำงกลำงหำว๑๘ และพระสหำย ได้ประกำศอิสรภำพโดยขับไล่พวกขอมท่ีเคยมีอำนำจอยู่ในบริเวณตอนกลำงและตอน เหนอื ของสยำมประเทศออกไป และสถำปนำขุนบำงกลำงหำวใหเ้ ปน็ กษตั รยิ ์นำมว่ำ “พ่อขนุ ศรอี นิ ทรำ ทิตย์” ปฐมกษัตริย์แห่งรำชวงศ์พระร่วง พร้อมกับตั้งเมืองสุโขทัยเป็นรำชธำนี ส่งผลให้คติควำมเชื่อ ทำงศำสนำมีกำรเปลี่ยนแปลงตำมไปด้วย เนื่องจำกพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ทรงนับถือพระพุทธศำสนำ นิกำยเถรวำท เห็นได้จำกกำรประดิษฐำนพระมหำธำตุไว้กลำงเมือง อันเป็นคติท่ีนิยมในบรรดำ บ้ำนเมืองที่นับถือพุทธศำสนำเถรวำท ดังนั้นกลุ่มคนไทยจึงนบั ถือพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำท ส่วน พวกขอมเดิมนับถือศำสนำพรำหมณ์และพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน อย่ำงไรก็ตำม วัฒนธรรม ควำมเช่อื ดงั กล่ำวยังคงหลงเหลือติดแน่นกับชำวสโุ ขทยั มิได้เส่อื มสิ้นไปเลยทีเดียว ยังคงเห็นได้จำกพระ นำมของกษัตริย์ ช่ือสถำนทีท่ ่ียังเป็นแบบพรำหมณ์และมหำยำน๑๙ ดงั หลักฐำนทำงด้ำนสถำปัตยกรรม และประติมำกรรมแบบขอม เช่น พระปรำงค์สำมยอด (กัมโพชนคร) พระปรำงค์วัดพระศรีรัตนมหำ ธำตุ พระปรำงค์วัดเจ้ำจันทน์ ศรสี ัชนำลัย พระปรำงคส์ ำมยอดวัดศรสี วำย ปรำสำทแบบขอมที่วดั พระ พำยหลวง ศำลตำผำแดงซึ่งพบประตมิ ำกรรมรปู เทวดำ นำรีสลกั ลอยตัวดว้ ยหนิ ทรำย๒๐ อำณำจักรสุโขทัยรุ่งเรืองมำกในสมัยพ่อขุนรำมคำแหงและพญำลิไท แพร่กระจำยในเขต ตอนล่ำงของลุ่มน้ำยม ปิง น่ำน และตอนบนของลุ่มน้ำป่ำสักมำกกว่ำ ๕๐ เมือง ในเขตจังหวัดตำก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิจิตร และนครสวรรค์ รวมทั้งบ้ำนเมืองอื่นใน ดินแดนล้ำนนำ นครพัน นครศรีธรรมรำช เมืองลังกำ เป็นต้น ในด้ำนศำสนำ ชำวสุโขทัยนับถือท้ัง ศำสนำพุทธ ศำสนำพรำหมณ์และผี ต่อมำสโุ ขทัยรบั พระพุทธศำสนำจำกลังกำ และไดร้ ับส่งเสริมจำก กษัตริย์ ทำให้พุทธศำสนำจำกลังกำรุ่งเรืองมำก ก่อให้เกิดกำรสร้ำงพุทธสถำน และงำนศิลปะท่ี ๑๖ กนกวรรณ โสภณวฒั นวิจิตร, ประวัตศิ าสตรส์ มยั สุโขทยั , หนำ้ ๑๖. ๑๗ ศรีศักร วลั ลโิ ภดม, เมอื งโบราณในอาณาจักรสุโขทยั , (กรุงเทพฯ: เมอื งโบรำณ, ๒๕๕๒), หน้ำ ๑๙ - ๒๐. ๑๘ บำงแห่งเรียก พ่อขุนบำงกลำงทำ่ ว ๑๙ สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ใน ประเทศไทย, หน้ำ ๑๒. ๒๐ สงวน รอดบุญ, พุทธศิลปส์ ุโขทัย, หนำ้ ๒๔ - ๒๖.

๑๗๕ เก่ียวเนื่องกับพุทธศำสนำเช่น คติกำรบูชำพระบรมธำตุ กำรบูชำพระพุทธบำท เป็นตน้ สมัยพญำลิไท เปน็ ช่วงเวลำท่ีสุโขทัยรุ่งเรืองในกำรเปน็ ศูนย์กลำงของพุทธศำสนำ ทัง้ กำรเผยแผพ่ ระศำสนำ กำรสรำ้ ง วัดและพระพุทธรปู กำรบูชำพระบรมธำตุ กำรสักกำระพระพุทธบำท และทรงพระรำชนิพนธ์ไตรภูมิ พระร่วง ซ่ึงเป็นวรรณกรรมทำงพระพุทธศำสนำที่สำคัญของไทยมำจนปัจจุบัน ควำมรุ่งเรืองทำง ศำสนำสะท้อนออกมำในรูปแบบของศิละและสถำปัตยกรรมที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ ไม่วำ่ จะเป็นเจดีย์ หรือพระพุทธรูป โดยเฉพำะเจดียพ์ ุ่มข้ำวบิณฑ์ เจดียข์ ้ำงล้อม พระสอี่ ิริยำบถ พระพุทธรูปปำงลีลำที่มี ควำมงดงำมยงิ่ ซึ่งกลำยเป็นสกุลช่ำงแขนงหนึง่ ท่ีเรยี กวำ่ “ศลิ ปะสุโขทัย”๒๑ จำกกำรศกึ ษำเส้นทำงกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำในสมัยสุโขทัยพบวำ่ เส้นทำงกำรเผยแผ่ พระพุทธศำสนำเขำ้ มำสู่สุโขทัยนั้น อยู่ในชว่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ สำมำรถแจกแจงได้ ๒ ครั้งหลัก ๆ ดังตอ่ ไปน้ี คร้งั ท่ี ๑ สมัยพ่อขนุ ศรอี ินทราทิตย์ และพ่อขุนรามคาแหง (ปลายศตวรรษท่ี ๑๘ ถึง ต้นศตวรรษท่ี ๑๙) ลังกา --> นครศรีธรรมราช --> สุโขทัย เมื่อมีกำรสถำปนำรำชธำนีสุโขทัยรำวพ.ศ. ๑๘๐๐ ในรัชกำลพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ ขณะน้ันกระแสวัฒนธรรมขอมได้ลดลงมำกแล้ว ในขณะท่ีกำรเกี่ยวโยงกับล้ำนนำและพม่ำได้เข้ำมำ แทนที่ ประวัติศำสตร์สุโขทัยในแผ่นดินพญำลิไท หรือพระมหำธรรมรำชำท่ี ๑ ทรงผนวชใน พระพุทธศำสนำฝ่ำยเถรวำทลังกำวงศ์ โดยอญั เชิญพระอปุ ัชฌำย์จำกเมืองมอญทำงตอนใตข้ องพม่ำ รำชธำนีสุโขทัยมีเมืองคู่แฝด คือ ศรีสัชนำลัย มีเมืองหน้ำด่ำนทำงตอนใต้คือ กำแพงเพชร และมเี มือง พิษณุโลกเป็นเมืองรำชธำนีช่ัวครำว ๒๒ ซึ่งเมืองศรีสัชนำลัย ปรำกฏนำมอยู่คู่กัน (twin capital) ใน ศิลำจำรึกสุโขทัยหลำยหลัก เป็นท่ีประจักษ์ชัดว่ำเคยเป็นรำชธำนีที่รุ่งโรจน์ของไทย หลักฐำนต่ำง ๆ จำกศลิ ำจำรกึ ทำให้เรำทรำบพระนำมพ่อเมืองศรีสชั นำลยั สโุ ขทยั ในสมัยเรม่ิ แรก คือ “พ่อขุนศรีนำวนำ ถม” พระรำชบิดำพ่อขุนผำเมืองเจ้ำเมืองรำด ต่อมำพ่อขุนบำงกลำงหำว เจ้ำเมืองบำงยำง พ่อขุนผำ เมือง เจ้ำเมืองรำด ทรงร่วมแรงร่วมใจกันกอบกู้ควำมเป็นไทยจำกกำรปกครองของขอมเม่ือรำวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๘ เม่อื เสร็จส้ินภำระกจิ สำคญั แล้ว พ่อขนุ ผำเมืองทรงสถำปนำพ่อขุนบำงกลำงหำวขึน้ เป็น พอ่ เมืองศรสี ัชนำลัยสุโขทยั พร้อมกับพระรำชทำนนำม“ศรีอินทรำทิตย์” พ่อขุนศรอี นิ ทรำทติ ย์ไดส้ รำ้ ง บำ้ นแปงเมืองทัง้ นครศรีสชั นำลยั และสโุ ขทัยจนมีควำมเจริญรงุ่ เรือง จนถงึ รัชกำลของพระโอรสท้ังสอง คือ พ่อขุนบำนเมอื ง และพอ่ ขนุ รำมคำแหง ๒๓ ๒๑ กนกวรรณ โสภณวฒั นวิจติ ร, ประวตั ิศาสตรส์ มัยสโุ ขทยั , หนำ้ ๑๗. ๒๒ สนั ติ เล็กสขุ มุ , ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย (ฉบับย่อ), พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕, (กรุงเทพฯ: ด่ำนสุทธำกำรพมิ พ์, ๒๕๕๔), หน้ำ ๙๓ - ๙๔. ๒๓ สงวน รอดบญุ , พุทธศิลป์สุโขทยั , หนำ้ ๒๘.

๑๗๖ พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์จำกนครศรีธรรมรำชได้แพร่หลำยเข้ำมำยังสุโขทัย ปรำกฏ หลักฐำนในชินกำลมำลีปกรณ์ ซ่ึงได้กล่ำวถึง พระโรจรำช ซ่ึงควรหมำยถึง พ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ได้ อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จำกนครศรีธรรมรำชมำยังเมืองสุโขทัย๒๔ ศำสตรำจำรย์ขจร สุขพำนิช ได้ วเิ ครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเมืองสุโขทัยกับนครศรีธรรมรำชไว้ว่ำ ปู่ไสสงครำมหรือท่ีตำนำนเมือง นครศรีธรรมรำชเรียกว่ำ พระยำศรีไสยณรงค์น้ัน น่ำจะเป็นโอรสของพ่อขุนศรีอินทรำทิตย์ กับพระ มำรดำ ชำวนครศรีธรรมรำช ซึ่งเป็นธิดำของพระยำศรีธรรมำโศกรำช โดยให้เหตุผลว่ำ เม่ือพ่อขุนศรี อินทรำทิตย์เสด็จลงไปเมืองนครศรีธรรมรำชในครั้งนั้น ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มำด้วย และกำรท่ีปู่ ไสสงครำมนำกองทัพลงไปเมืองนครศรีธรรมรำช และได้รับกำรต้อนรับเป็นอย่ำงดี ทำให้เชื่อว่ำปู่ไส สงครำมเป็นพระญำติ เนื่องจำกมีพระรำชมำรดำเป็นเจ้ำหญิงแห่งเมืองนครศรีธรรมรำช๒๕ หลักฐำน ดังกล่ำวแสดงให้เห็นควำมสัมพันธ์ใกล้ชิดของสุโขทัยกับนครศรีธรรมรำช และกำรเผยแผ่เข้ำมำของ พระพทุ ธศำสนำนิกำยเถรวำทแบบลงั กำวงศ์ต้งั แต่สมัยน้นั เปน็ ตน้ มำ ในปี พ.ศ.๑๘๒๒ สมัยพ่อขุนรำมคำแหงกษัตริย์องค์ท่ี ๓ แห่งรำชวงศ์พระร่วงข้ึน ครองรำชย์ มีกรุงสุโขทัยเป็นรำชธำนีและมีกรุงศรีสัชนำลัยเป็นเมืองลูกหลวง พระพุทธศำสนำนิกำย มหำยำนซึ่งรุ่งเรืองอยู่ทำงใต้หรือ อำณ ำจัก รศรีวิชัย และท ำง ตะวันออกคือประเทศเขมร ได้ ค่ อ ย ๆ เส่ื อ ม ล ง พ ร้ อ ม กั น ประกอบกับพระองค์ทรงทรำบ กิตติศัพท์ว่ำ พระสงฆ์ท่ีได้ไป ศึกษำเล่ำเรียนจำกศรีลังกำมำอยู่ ที่นครศรีธรรมรำชนั้น ปฏิบัติ ธ ร ร ม วิ นั ย กั น อ ย่ ำ ง เค ร่ ง ค รั ด พระองค์จึงเลื่อมใสศรัทธำและ โป ร ดให้ อ ำรำธ น ำพ ระ ส งฆ์ เห ล่ ำนั้ น ขึ้ น ม ำยั ง ก รุ ง สุ โข ทั ย ภำพที่ ๔.๓ อทุ ยำนประวตั ศิ ำสตรศ์ รีสชั นำลัย แล้วทรงโปรดสร้ำงวัดป่ำถวำย เกิดเป็นคณะอรัญญิกหรือคณะลังกำวงศ์สืบต่อมำ จำกหลักฐำนข้อควำมที่ปรำกฏในหนังสือชินกำล มำลีปกรณ์ในตอนท่ีว่ำด้วยพระเถระสวดอนุโมทนำในครำวเม่ือพระเจ้ำพิลกปนัดดำธิรำช๒๖ ทรง ๒๔ พระรัตนปญั ญำเถระ, ชนิ กาลมาลีปกรณ์, หนำ้ ๑๐๐ – ๑๐๑. ๒๕ นคร พันธุ์ณรงค์ (บรรณำธิกำร), รายงานผลการสัมมนาการเมืองและสภาพสังคมสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพพ์ ิฆเณศ, ๒๕๒๑), หนำ้ ๑๗๖ – ๑๗๗. ๒๖ หรือ พระเมอื งแกว้

๑๗๗ บำเพ็ญกุศลมีควำมกล่ำวว่ำ “เพื่อจะยังพระศำสนำของพระพุทธ ซง่ึ กษัตริย์ทรงพระนำมว่ำ รำมรำช เปน็ ตน้ นำมำแตล่ งั กำนัน้ ใหร้ ุง่ เรือง”๒๗ สอดคล้องกับศิลำจำรึกหลักท่ี ๑ ที่ว่ำในรำวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พ่อขุนรำมคำแหง อำรำธนำนิมนต์พระมหำสังฆรำชจำกเมืองนครศรีธรรมรำช ซึ่งขณะน้ันเป็นศูนย์กลำงกำรเผยแผ่ พระพุทธศำสนำจำกลังกำยุคแรกซ่ึงมีควำมรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎกเข้ำมำเผยแผ่พระพุทธศำสนำใน สโุ ขทัย รวมท้ังสร้ำงวัดขึน้ ในอรญั ญิกด้วย ทำให้พุทธศำสนำจำกลงั กำรุ่งเรอื งขึ้นในสโุ ขทยั มำนบั แตน่ ั้น ในศิลำจำรึกหลกั ท่ี ๒ ว่ำ “เบือ้ งตะวนั ตกสุโขทัยนีม้ ีอรัญญิก พ่อขุนรำมคำแหงกระทำโอย ทำน แก่พระสังฆรำชปรำชญ์เรียนพระไตรปิฎก หลวัก (รู้หลักฉลำด) กว่ำปู่ครูในเมืองนี้ทุกคนลุกแต่ เมืองนครศรีธรรมรำชมำ...” โดยนักวิชำกำรชใ้ี ห้เห็นว่ำสโุ ขทัยคงรับพระพุทธศำสนำจำกลังกำผำ่ นทำง เมืองนครศรีธรรมรำชในสมัยพ่อขุนรำมคำแหงน่ีเอง นอกจำกน้ียังปรำกฏในตำนำนพระพุทธสิหิงค์ที่ กล่ำวถึงกำรอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จำกเมืองนครศรีธรรมรำชขึ้นมำประดิษฐำนที่เมืองสุโขทัย เป็น หลักฐำนหนง่ึ ทบ่ี อกถึงควำมสมั พนั ธ์ทำงกำรศำสนำของเมอื งท้ังสอง ๒๘ ในยุคนี้ สุโขทัยมีควำมเจริญรุ่งเรืองดังระบุในศิลำจำรึกสุโขทัยหลักท่ี ๑ ว่ำอำณำเขต แคว้นสุโขทัยแผ่ออกไปอย่ำงกว้ำงขวำง เช่น ทำงใต้ถึงนครศรีธรรมรำชและเขตแดนมลำยู ทำงทิศ ตะวนั ออกไปจนถึงเมอื งเวยี งจันทน์ และเวยี งคำทำงฝั่งซ้ำยของแม่นำ้ โขงในเขตแดนลำวปัจจุบนั และ ทำงตะวนั ตกถึงเมืองหงสำวดี เม่อื สนิ้ รชั กำลของพ่อขนุ รำมคำแหง อำณำจักรสุโขทยั ต้องสญู เสียบรรดำ หัวเมืองไปบำ้ ง แตก่ ำรทำนบุ ำรงุ ศิลปวัฒนธรรมยังคงมอี ย่ำงต่อเนอ่ื ง กำรรับพระพุทธศำสนำจำกลังกำมีผลต่อแบบแผนทำงศิลปะสถำปัตยกรรม และ ก่อให้เกิดคติควำมเช่ือแพร่หลำยในหมู่ชนต่ำง ๆ เช่น คติเกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรย คติควำมเช่ือ เร่ืองปำฏิหำริย์ของพระพุทธเจ้ำ เร่ืองชำดก คติกำรบูชำพระพุทธบำท เป็นต้น รวมไปถึงกำรสร้ำง พระพุทธรูป กำรสร้ำงวัดอรัญญิก คือ วัดท่ีอยู่นอกเมืองในป่ำเขำให้เป็นที่จำพรรษำของพระสงฆ์ท่ี ต้องกำรปลีกวิเวก และควำมสงบ ซึ่งเขตอรัญญิกนอกเมืองสุโขทัยทำงด้ำนทิศตะวันตก มีวัดกระจำย อยู่หลำยวัด ได้แก่ วัดป่ำมะมว่ ง วัดตะพำนหิน วดั ตึก ฯลฯ ๒๗ พระรัตนปัญญำเถระ (ร.ต.ท.แสง มนวิทูร แปล), ชินกาลมาลีปกรณ์, (พระนคร : กรมศิลปำกร, ๒๕๐๑), หน้ำ ๑๖. อ้ำงใน สุรพล ดำริห์กุล, เจดียช์ ้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกา วงศ์ในประเทศไทย, หน้ำ ๑๓. ๒๘ กนกวรรณ โสภณวัฒนวจิ ติ ร, ประวตั ิศาสตร์สมยั สุโขทัย, หน้ำ ๗๙.

๑๗๘ คร้ังที่ ๒ สมยั พระยาเลอไท และพระมหาธรรมราชาลิไท (ปลายศตวรรษท่ี ๑๙ ถงึ ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๐) สโุ ขทัย --> เมอื งพัน --> อินเดีย --> ลงั กา --> สุโขทัย ในปี พ.ศ.๑๘๔๔ พระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมณี ๒๙ ผู้เป็นหลำนของพ่อขุนผำเมือง เสดจ็ กลับมำจำกลงั กำ หลังจำกทรงผนวชและศึกษำพทุ ธศำสนำ ตรงกับสมัยพญำเลอไทข้ึนครองรำชย์ สำระสำคัญของพุทธศำสนำลังกำวงศ์ต้นแบบแห่งศรัทธำของสุโขทยั คือ เมอื งพันซึ่งเป็นเมืองมอญอยู่ ทำงตอนใตข้ องพมำ่ พระมหำเถรศรีศรัทธำฯ ทรงเดินทำงจำกสโุ ขทัยไปเมอื งลำพูนแล้วย้อนลงมำทำง ตำกเพ่ือไปสู่เมืองพัน แล้วจึงเดินทำงต่อไปยังลังกำ แสดงให้เห็นถึงเส้นทำงกำรเผยแผ่ของ พระพุทธศำสนำจำกเมืองพัน และประเทศลังกำมำสู่สุโขทัย ภิกษุชำวสุโขทัยหลำยรูปเช่น พระสุมน เถระ เดนิ ทำงไปบวชใหม่ในสำนักพระอุทุมพรมหำสำมีที่เมืองพัน และกลับมำสู่สโุ ขทัยในรัชกำลของ พญำลิไท ๓๐ นอกจำกน้ัน ศำสตรำจำรย์ หม่อมเจ้ำสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ทรงกล่ำวถึง เรื่องรำวของพระ มหำเถรศรศี รัทธำรำชจฬุ ำมนุ ไี ว้ว่ำ ในรัชกำลของพระเจ้ำเลอไทได้มเี จ้ำชำยไทยองคห์ น่งึ ซึ่งได้ทรงผนวชเปน็ พระภิกษุและได้ เดินทำงไปยังประเทศอินเดียและลังกำ พระองค์ทรงนำพระสำรีริกธำตุของพระพุทธเจ้ำกลับมำด้วย ต่อมำเจ้ำชำยองค์น้ีได้ทรงรับตำแหน่งเป็นสมเด็จพระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนีศรีรัตนลังกำทีป มหำสวำมีเปน็ เจำ้ สมเด็จพระมหำเถรศรีศรทั ธำรำชจุฬำมนุ ีฯ คงจะได้ทรงขยำยและบรู ณะวัดมหำธำตุ กลำงเมืองสุโขทัย งำนเหล่ำน้ีมีช่ำงจำกเกำะลังกำเข้ำมำช่วย ด้วยเหตุน้ัน จึงปรำกฏมีอิทธิพลของ ศลิ ปะลงั กำปะปนอยู่ในศลิ ปะสโุ ขทัย๓๑ ในจำรกึ วัดศรีชุม กล่ำวถงึ วัตรปฏบิ ัติของเจ้ำศรีศรัทธำฯ ภำยหลังกำรออกบวชวำ่ ได้ถือ ตำมแบบสิงหลทุกประกำร อีกท้ังยังออกธุดงค์บำเพ็ญศีลภำวนำ ทำนุบำรุงพุทธศำสนำ เช่น ก่อพระ เจดีย์ทรำย ปลูกต้นพระศรีมหำโพธิ บูรณปฏิสังขรณ์ กระทำกำรบูชำพระมหำธำตุ พระมหำเถรศรี ๒๙ จำรกึ วดั ศรชี ุมมีบันทึกเร่ืองรำว พระมหำเถรศรีศรทั ธำรำชจฬุ ำมณศี รรี ตั นลงั กำทีปมหำสำมีเปน็ เจ้ำ ว่ำเกิดทเ่ี มืองสระหลวงสองแคว เป็นลูกของพระยำคำแหงพระรำม เป็นหลำนพอ่ ขุนผำเมือง และเป็นหลำนปขู่ องพ่อ ขนุ ศรนี ำวนำถม สันนิษฐำนวำ่ นำมเดิมคอื เจำ้ ศรีศรัทธำ เปน็ นักรบทม่ี ีควำมสำมำรถ และขณะเดียวกันมคี วำมศรัทธำ ในพทุ ธศำสนำ เมอื่ อำยุ ๓๑ ปีได้ออกบวช ซึ่งกำรออกบวชของเจ้ำศรีศรัทธำ นักวชิ ำกำรวิเครำะห์ว่ำอำจเป็นเพรำะ เหตุผลทำงกำรเมือง พระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมณีศรี ตนลังกำทีปมหำสำมีเป็นเจ้ำ เป็นสมณศักดิ์ท่ีได้รับเม่ือ ตอนทพ่ี ระองคอ์ อกบวช (กนกวรรณ โสภณวัฒนวิจติ ร, ประวตั ิศาสตรส์ มัยสโุ ขทัย, หนำ้ ๖๘.) ๓๐ สันติ เลก็ สขุ ุม. ศิลปะสโุ ขทยั , หน้ำ ๑๐ - ๑๒. ๓๑ สุรพล ดำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ใน ประเทศไทย, หน้ำ ๑๔.

๑๗๙ ศรัทธำฯ ได้จำรกึ ไปยงั เมืองตำ่ งๆ เชน่ ฝำง แพร่ น่ำน ลำพูน ตำก เชียงทอง นครพัน นครศรีธรรมรำช จำกนนั้ ข้ำมทะเลอันดำมันมุ่งสู่อินเดียใต้ ไปสิน้ สุดท่ีเกำะลงั กำแถบริมฝง่ั แม่น้ำมำวลิกคงคำ เพื่อ ศกึ ษำพุทธศำสนำนิกำยเถรวำท โดยชำวสงิ หลได้เคำรพเลื่อมใสพระองค์เป็นอย่ำงมำก ทำ่ นอยทู่ ่ีลังกำ รำว ๑๐ ปีจำกน้ันเดินทำงกลับและนำพระศรมี หำโพธิ พระคีวำธำตุ (พระธำตุสว่ นกระดูกต้นคอ) และ พระทันตธำตุ (ฟนั ) มำประดิษฐำนในเมืองสุโขทัย รวมท้ังนำพระธรรมวินัยท่ไี ดศ้ ึกษำจำกลังกำมำเผย แผ่ในสโุ ขทยั ด้วย ๓๒ ในสว่ นของพญำลิไท เร่ืองรำวของพระองค์ปรำกฎในศิลำจำรกึ หลำยหลัก เชน่ จำรกึ วดั ป่ำ มะม่วง จำรกึ นครชุม มใี จควำมสรุปว่ำ พญำลิไทเปน็ โอรสของพระเจำ้ เลอไท หลังจำกพระเจำ้ เลอไทย ทีส่ ้ินพระชนม์ รำวปีพ.ศ.๑๘๙๐ เกิดเหตุกำรณ์แย่งชิงอำนำจในกำรครองเมืองสโุ ขทัย พญำลิไททรง ยกกำลังไพร่พลจำกศรีสัชนำลัยมำประหำรศตั รู จำกน้ันจงึ ขึ้นเสวยรำชย์ในเมืองสุโขทัยแทนพระรำช บิดำมนี ำมวำ่ “พระมหำธรรมรำชำที่ ๑” พญำลิไทเป็นกษัตรยิ ์ทม่ี บี ทบำททำงศำสนำเป็นอันมำก ทรง เปน็ เอกอัครศำสนปู ถัมภกและได้รับกำรกล่ำวถึงว่ำเป็นธรรมรำชำ คติธรรมรำชำในกำรปกครองได้แก่ “ธรรม” ตำมหลักพุทธศำสนำ ประกอบด้วย รำชสังคหวัตถุ จักกวัตติธรรม และทศพิธรำชธรรม ปรำกฏในหนงั สอื ไตรภมู ิพระร่วง ทรงแก้ไขศกั รำช ทรงสง่ รำชบณั ฑติ ไปอำรำธนำพระมหำสำมสี งั ฆรำช จำกนครพนั (เมืองมอญ) มำจำพรรษำที่สุโขทัย ๓๓ ควำมสัมพันธ์แนบแน่นทำงด้ำนพทุ ธศำสนำระหว่ำง สุโขทัยกับแคว้นล้ำนนำ ปรำกฏในศิลำจำรึกท่ีวัดพระยืน ลำพูน กล่ำวถึงพญำลิไทโปรดเกล้ำให้พระ สุมนเถระองค์ท่ีกลับจำกเมืองพันข้ึนไปเผยแผ่พุทธศำสนำท่ีแคว้นล้ำนนำ ตำมคำทูลขอของพระ เจำ้ กือนำแห่งเมอื งเชียงใหม่ ๓๔ ในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ พญำลิไทโปรดให้ประดิษฐำนรอยพระพุทธบำทครั้ง แรกบนยอดเขำพระบำทใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเป็นเขำสุมนกฏู เหมอื นในลังกำ ในปพี .ศ. ๑๙๐๔ พญำลิ ไททรงออกผนวชในปีพ.ศ. ๑๙๐๔ ทว่ี ัดป่ำมะม่วง โดยทรงอำรำธนำพระมหำสำมสี ังฆรำชจำกนครพัน ให้มำเป็นพระอปุ ัชฌำย์ ทำงดำ้ นวรรณกรรมทรงเรียบเรียงหนังสอื ไตรภูมพิ ระร่วง ประดษิ ฐำนพระธำตุ และโปรดให้ปลูกพระศรมี หำโพธิ์ จำกลงั กำทวปี ท่นี ครชมุ ฯลฯ ๓๕ ลงั กาวงศ์สานักรามญั ปลำยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ในสมัยของสมเด็จพระมหำธรรมรำชำลิไท ได้มีพระสงฆ์ชำว สโุ ขทยั สองรูป คอื พระอโนมทัสสีและพระสมุ นเถระ ซ่ึงเป็นศษิ ย์ของพระมหำบรรบต สงั ฆรำชในเมือง สุโขทัย ได้เคยบวชครั้งแรกในฝำ่ ยคำมวำสี และเคยเดินทำงไปศึกษำพระพทุ ธศำสนำทเี่ มืองอโยธยำมำ ก่อน ต่อมำท่ำนทั้งสองได้เดินทำงไปยังเมืองพันหรือเมำะตะมะ และเข้ำบวชใหม่ในฝ่ำยอรัญวำสีท่ี สำนกั ของพระอุทุมพรบบุ ผำมหำสวำมี๓๖ ซ่ึงถือกันวำ่ มคี วำมเครง่ ครัดที่สุดในลังกำ โดยพระเถระชำว สิงหลช่ือพระมติมำ ได้มำต้ังลัทธิดังกล่ำวในเมืองพันหรือเมืองเมำะตะมะ ในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อ ๓๒ กนกวรรณ โสภณวฒั นวิจติ ร, ประวตั ศิ าสตร์สมัยสุโขทัย, หนำ้ ๖๙. ๓๓ เรื่องเดียวกัน, หน้ำ ๖๕. ๓๔ สนั ติ เล็กสขุ มุ . ศลิ ปะสุโขทยั , หน้ำ ๑๐-๑๒. ๓๕ อ้ำงแลว้ , ประวัตศิ าสตรส์ มยั สโุ ขทัย, หนำ้ ๖๖ และ ๑๕๙. ๓๖ ตานานมลู ศาสนา, หน้ำ ๓๑๖. อ้ำงใน เรือ่ งเดยี วกัน, หน้ำ ๑๖.

๑๘๐ เมือง ผู้คนเม่ือได้เห็นวัตรปฏิบัติของพระมติมำ ล้วนเกิดควำมศรัทธำเล่ือมใสเป็นอย่ำงย่งิ ถึงกับทำพิธี อษุ ยำภิเษกท่ำนขึ้นเป็นพระอุทมุ พรบุบผำมหำสวำมี เชน่ กันกบั ชื่ออำจำรยผ์ ู้เป็นเจำ้ สำนักในลังกำ และ เมื่อพระอโนมทัสสีและพระสมุ นะเถระเดินทำงกลับมำยังสโุ ขทัยแล้ว ได้มีกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ ลงั กำวงศ์ตำมแนวทำงของสำนักพระอุทุมพรบุบผำมหำสวำมี หรือเรียกว่ำพระพุทธศำสนำลังกำวงศ์ สำยรำมัญ จนแพร่หลำยออกไปท่ัว กระท่ังถึงอำณำจักรล้ำนนำและล้ำนช้ำงด้วยได้รับกำรสนับสนุน จำกพระมหำธรรมรำชำลิไทเป็นอยำ่ งดี ต่อมำใน พ.ศ. ๑๙๐๔ พระอโนมทัสสีและพระสุมนเถระได้เดินทำงไปเมืองพันอีกคร้ัง ครำวน้ีได้ไปอำรำธนำนิมนต์พระอทุ ุมพรบุบผำมหำสวำมีใหม้ ำเป็นพระอุปชั ฌำย์ในกำรผนวชของพระ มหำธรรมรำชำลิไท พร้อมกันกับได้นำพระสงฆ์ชำวสุโขทัยอีก ๘ รปู คือ พระอำนนท์ พระพุทธสำคร พระสุชำตะ พระเขมะ พระปิยทัสสี พระสุวัณณคีรี พระเวสสภู และพระสัทธำติสสะ ร่วมเดินทำงไป บวชแปลงใหมใ่ หเ้ ปน็ พระสงฆ์ฝำ่ ยอรญั วำสี ครัน้ ถงึ เมืองพัน พระอุทุมพรบบุ ผำมหำสวำมีไดม้ อบหมำย ใหพ้ ระอโนมทัสสีและพระสมุ นเถระเป็นพระอุปัชฌำย์บวชแปลงใหพ้ ระสงฆ์ทั้ง ๘ รูปน้ัน แลว้ กล่ำวว่ำ “ดูรำ อำวโุ สท้ังหลำย ศำสนำอัน กูนำมำแต่ลังกำทวีปนั้น จักไม่มัน่ คงในเมืองเม็งนีนำ จกั ไปตั้งม่ันอยู่ ในเมืองสูโพ้นต่อเท่ำ ๕ พันปีแล” ครั้นแล้วพระองค์ทรงเดนิ ทำงมำเป็นพระอุปชั ฌำย์ใหพ้ ระมหำธรรม รำชำลไิ ท และจำพรรษำท่ีวัดป่ำมะมว่ งเปน็ เวลำหลำยเดอื น หลังจำกที่พระมหำธรรมรำชำลิไททรงลำผนวชแล้ว ทรงโปรดใหส้ ่งพระสงฆ์ท่ีไดเ้ คยศึกษำ พระพุทธศำสนำลังกำวงศ์สำยรำมัญน้ี เดินทำงไปเผยแผ่ส่ังสอนพระศำสนำยังเมืองต่ำง ๆ ภำยนอก อำณำจกั รอีกดว้ ย อำทิ พระปิยทัสสีไปยังเมอื งอโยธยำ พระสุวัณณคีรไี ปเมอื งหลวงพระบำง พระเวสส ภไู ปเมอื งน่ำน พระพทุ ธสำคร พระสุชำตะ พระเขมะ พระสัทธำตสิ สะไปเมอื งสองแคว พระอำนนท์อยู่ ที่วัดป่ำมะม่วง เป็นต้น๓๗ และในปี พ.ศ.๑๙๑๒ พระสุมนเถระได้เดินทำงไปเจริญพระพุทธศำสนำใน เมืองเชียงใหม่ตำมทีไ่ ด้รบั นิมนต์จำกพระเจ้ำกือนำ กษัตริยแ์ ห่งล้ำนนำ กำรไปคร้งั นี้ได้นำคณะสงฆ์ไป ครบทั้ง ๕ รปู เพอ่ื สำมำรถที่จะอุปสมบทกลุ บตุ รได้ด้วย๓๘ ลงั กาวงศ์สานกั สหี ล (ลงั กาวงศ์ใหม)่ ในรำวปลำยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ซ่ึงเป็นช่วงเวลำระหว่ำงสมัย ของพระยำเลอไทกับพระมหำธรรมรำชำลิไท พระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทแบบลงั กำวงศ์ได้เข้ำมำสู่ สุโขทัยอีกครั้งหน่ึง โดยพระมหำเถรศรีศรัทธำรำชจุฬำมุนี ซ่ึงได้จำริกแสวงบุญเดินทำงไปศึกษำ พระพุทธศำสนำยังลังกำแล้วนำกลับมำเผยแผ่ยังสุโขทยั นักวิชำกำรบำงท่ำนเรยี กว่ำพระพุทธศำสนำ ลังกำวงศ์สำยลังกำหรือสำยสีหล ปรำกฏในศิลำจำรึกหลักท่ี ๒ และหลักท่ี ๑๑ ซ่ึงศำสตรำจำรย์ ดร. ประเสรฐิ ณ นคร สรปุ ไว้วำ่ พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีน้ันเป็นพระโอรสของพระยาคาแหงพระราม ซ่ึงเป็น ราชนดั ดาของพ่อขุนศรนี าวนาถุม เป็นบุคคลท่ีอย่รู ่วมสมัยกับพระยาเลอไทและพระมหาธรรมราชาลิ ไทของกรุงสุโขทัย ที่ได้ไปบาเพ็ญกรณีเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ซ่ึงข้อความในจารึกได้เล่าถึงประวัติ ๓๗ ตานานมลู ศาสนา, หนำ้ ๓๑๖. อ้ำงใน เร่อื งเดยี วกัน, หน้ำ ๓๒๐. ๓๘ พระรตั นปัญญำเถระ, ชินกาลมาลปี กรณ์, หน้ำ ๙๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook