จากการศึกษาถึงความสาํ คัญ ตลอดจนการแบํงประเภทและชนดิ ของส่อื การสอนข๎างต๎น ช้ใี หเ๎ หน็ ถงึ ความสัมพันธข์ องสอ่ื การสอนทีม่ บี ทบาทในการทําให๎การเรยี นการสอนเปน็ ไปอยาํ งมี ประสทิ ธิภาพ อยาํ งไรกด็ ี แม๎สือ่ การสอนจะมีความสาํ คัญและมีประโยชนม์ าก แตํกต็ ๎องอาศัยเทคนิคใน การใชส๎ ื่อการสอนด๎วย ซ่ึงในเรอื่ งน้ีได๎มีนักวชิ าการใหข๎ ๎อคิดในการใชส๎ อื่ ตําง ๆ กบั การสรา๎ งแบบการเรียนร๎ู ดังจะกลําวตํอไปน้ี ธรรมชาติในการเรียนรู้ของมนุษย์ ธรรมชาติในการเรยี นรขู๎ องมนุษยน์ ้นั มาจากการรบั รู๎ (perception) ทต่ี คี วามจากความรสู๎ กึ ท่ไี ด๎ จากส่งิ แวดล๎อมรอบ ๆ ตัว ด๎วยอวัยวะรบั การสัมผัส (sensory organs) หรือเรยี กอีกอยํางหนึง่ วํา เคร่ืองรับ (receptors) ไดแ๎ กํ 1. อวยั วะรับการสมั ผัสภายนอก ประกอบดว๎ ย • ตา (visual sense) สําหรบั การมองเหน็ • หู (auditory sense) สําหรบั การได๎ยนิ • จมูก (olfactory sense) สาํ หรับการดมกลน่ิ • ล้นิ (gustatory sense) สาํ หรบั การชมิ รส • กาย (skin sense) สําหรบั การสัมผัสทางกาย 2. อวยั วะสมั ผัสภายใน ประกอบด๎วย • สัมผสั เก่ยี วกบั การเคลื่อนไหว (kinesthesis) ทาํ ให๎ทราบการเคลือ่ นไหวของอวยั วะ ตาํ ง ๆ ภายในราํ งกาย มนุษย์สามารถรับรู๎ไดโ๎ ดยอาศัยประสาทสมั ผัสในกลา๎ มเนื้อ เอน็ ข๎อตอํ กระดูก • สัมผัสการทรงตวั (vestibular sense) ทําใหร๎ ับรู๎เก่ยี วกับการทรงตัว โดยมนษุ ย์ สามารถรบั รู๎การสัมผัสน้ี ด๎วยอวยั วะสัมผัสในชอํ งหูด๎านใน เมอ่ื อวัยวะสมั ผัสกระทบกบั ส่ิงเร๎า (Stimulus) จากส่ิงแวดล๎อม กจ็ ะสํงความร๎สู กึ ไปยังสมอง ซงึ่ สมองจะทาํ หน๎าที่แปลสมั ผสั (sensation)และสงํ ตํอไปยงั ระบบประสาท(nervous system) จากนนั้ จะ เกดิ การเปลี่ยนแปลง เชนํ กระบวนการไฟฟาู และเคมี เพือ่ ให๎สมองรบั ท้งั พฤตกิ รรม การรับร๎ู หรอื เกดิ วิญญาณ ตัวอยาํ งเชํน เด็กเล็ก ๆ มองเห็นเปลวเทยี นมแี สงสวํางไสว แสงเทียนที่เดก็ เห็นจะเปน็ ส่งิ เร๎า เด็ก จะคลานเขา๎ ไปหา และเอื้อมมือจับเปลวเทียน มอื (กายสมั ผัส) ทส่ี ัมผัสไฟ และตา (จักษสุ ัมผสั ) ทมี่ องเหน็ เปลวเทยี น จะสํงความรสู๎ กึ ไปยงั สมองและระบบประสาท ซึ่งจะทําให๎เด็กนน้ั สามารถรไ๎ู ด๎วํา เปลวไฟนัน้ มี ความรอ๎ นและแสงสวําง 91
สรุปไดว๎ าํ กระบวนการรับรู๎ซงึ่ เกดิ ขึน้ ในมนษุ ยน์ น้ั มีขั้นตอนดงั ตอํ ไปนี้ จากการวิจัยเก่ียวกับการใช๎อวัยวะสมั ผัสเพือ่ การรับร๎ทู ง้ั หา๎ ของมนุษย์ พบวาํ จะมีปริมาณการ รับรู๎ท่ีแตกตาํ งกัน ดังน้ี ประสาทสัมผัส การรับรู้ ปริมาณการรบั รู้ (ร้อยละ) ตา การมองเห็น 75 หู การไดย๎ ิน 13 จมูก การดมกลิ่น 3 ลิ้น การรับรส 3 กาย การสมั ผสั ทางกาย 6 หลังจากนัน้ จงึ เกิดการเรียนรู๎ (learning) ทีเ่ ป็นกระบวนการตํอเน่ืองจากการรบั รู๎ เม่อื ประสาท สมั ผสั กระทบกับส่ิงเร๎า และเกดิ การรบั รู๎ ถ๎าการรับรห๎ู รอื ความรสู๎ กึ นนั้ ผํานไปโดยทีม่ ิไดบ๎ ันทกึ ความจํา การ รบั ร๎ูน้ันจะถอื วาํ ยังไมํกอํ ให๎เกิดประสบการณ์ แตถํ ๎าหากสมองได๎บันทกึ การรับร๎ูนั้นไว๎เป็นประสบการณ์ เม่ือประสาทสมั ผสั กระทบตํอสง่ิ เรา๎ เดมิ อีก จะทําใหเ๎ กิดความระลึกได๎ ทาํ ใหเ๎ กดิ การเรยี นรขู๎ นึ้ อยํางไรกต็ าม การที่มนษุ ย์จะรบั ร๎ูและสามารถพฒั นาจนเป็นการเรียนรไู๎ ด๎ดหี รือไมํนน้ั ยํอมข้ึนอยูกํ บั องค์ประกอบตาํ ง ๆ ดงั น้ี 1. สติปญั ญา ผู๎มสี ติปัญญาสงู กวํา ยอํ มรับรไ๎ู ด๎ดกี วําผ๎ูมีสตปิ ญั ญาตาํ่ กวาํ 2. การสงั เกตและพจิ ารณา ขน้ึ อยกํู ับความชาํ นาญ และความสนใจตํอส่ิงเร๎า 92
3. คณุ ภาพของจติ ในขณะนน้ั ถ๎ามีความเหน่อื ยอํอน เครยี ด หรืออารมณ์ขนํุ มวั อาจทําให๎ แปลความหมายของสิ่งเรา๎ ท่สี ัมผัสไดไ๎ มํดี แตใํ นทางตรงกันขา๎ ม หากสภาพจิตใจผํองใส ปลอดโปรงํ ก็จะทาํ ให๎การรบั รู๎และการเรียนรู๎เปน็ ไปด๎วยดี และเปน็ ระบบ จากการศึกษาเก่ียวกบั ธรรมชาตใิ นการเรยี นรขู๎ องมนุษยด์ งั ทไ่ี ด๎กลาํ วมาข๎างตน๎ น้นั เราจะ สามารถนาํ ความร๎ูดงั กลาํ วมาประยกุ ตใ์ นการสรา๎ งแบบการสอน โดยอาศัยหลกั 4 ประการ ดังนี้ 1. หลกั สตู รหรือคาํ อธิบายรายวชิ า ควรระบุจุดมงุํ หมายวาํ ต๎องการใหผ๎ ูเ๎ รยี นบรรลุ วตั ถปุ ระสงคใ์ นเร่ืองใดบา๎ ง 2. กิจกรรม ควรมีกิจกรรมการเรียนหรอื กิจกรรมเสริมอะไรบ๎างท่ีจะชํวยใหผ๎ ูเ๎ รียนบรรลุ จุดมุงํ หมายและกจิ กรรมเหลาํ นั้นควรจดั ในรปู แบบใด 3. สภาพแวดลอ๎ มของการเรยี น ควรจดั สภาพแวดลอ๎ มเพ่ือกจิ กรรมการเรียนอยํางไร ต๎องใช๎ สถานท่ีเรยี น บุคลากร และวัสดอุ ุปกรณ์อะไรบ๎าง 4. การประเมนิ ผล ต๎องสรา๎ งระบบการประเมนิ ผลทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ เพ่อื ใหท๎ ราบระดับของ สัมฤทธิผลของผูเ๎ รยี น ทง้ั นี้ อาจแสดงระบบการสรา๎ งแบบการสอนใหช๎ ัดเจน ดงั แผนภาพ ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ กลําววํา กํอนท่จี ะวางแผนระบบการสอนข๎างตน๎ สํวนท่ีควรพิจารณาเป็น พเิ ศษ คอื เรื่องของการวิเคราะหผ์ เ๎ู รยี นวาํ มอี ะไรบ๎างทผ่ี ๎เู รยี นตอ๎ งการเรยี นรู๎ มอี ะไรบา๎ งที่ผเ๎ู รยี นร๎ูอยํูแล๎ว อะไรคือปญั หาของผเู๎ รียนในการเรยี น ผูเ๎ รียนมคี วามพร๎อมทีจ่ ะเรียนหรือไมํ หลงั จากน้ันจึงควรเริ่ม วิเคราะห์ระบบการสอน ดังนี้ 1. ความมุํงหมาย (Goals) เรามคี วามมํงุ หมายอะไรบา๎ งที่มุํงจะกํอใหเ๎ กิดผลสาํ เร็จในการ จัดการเรยี นสอน การวิเคราะห์ในเร่ืองนี้ก็คือ การวิเคราะห์ภารกิจของผู๎สอน 2. สภาพการณ์ (Conditions) ผเ๎ู รยี นจะประสบผลสําเร็จในการเรียนได๎ดี ควรเรยี นรู๎อยํู ภายใตส๎ ภาพการณ์อะไรบ๎าง อยาํ งไร ควรใช๎ยทุ ธวธิ ีหรอื วธิ กี ารอยาํ งไร 93
3. แหลํงการเรยี นหรือทรพั ยากรการเรียน (Resources) มีแหลํงการเรยี นหรอื ทรัพยากร อะไรบ๎าง ท่ีจัดวําจาํ เป็นตํอการจดั ประสบการณ์การเรียนรใ๎ู หแ๎ กผํ ู๎เรยี น 4. ผลทีไ่ ด๎ (Outcomes) เราจะประสบผลสําเรจ็ ตามจดุ มงํุ หมายทต่ี ง้ั ไวเ๎ พียงใด มีอะไรบา๎ ง ที่จําเปน็ จะต๎องปรับปรุงแก๎ไข เกอร์ลัชแหํงมหาวิทยาลยั แหํงรัฐอาริโซนาและอลี ีแหงํ มหาวิทยาลยั ซีราควิ ส์สหรัฐอเมรกิ า ได๎ ออกแบบระบบการสอนจนเป็นทยี่ อมรบั กันอยํางแพรํหลาย ระบบการสอนท่เี ขาทัง้ สองออกแบบไวน๎ น้ั มี ท้งั หมด 10 ข้นั ตอน คือ 1. กําหนดจุดมุํงหมาย ซงึ่ นบั เป็นจดุ เริ่มตน๎ ของระบบการสอน จดุ มงุํ หมายควรเป็น จดุ มํุงหมายเฉพาะ หรอื จดุ มํุงหมายเชิงพฤติกรรม ทผี่ เ๎ู รียนสามารถปฏิบตั ิได๎ และครูสามารถวดั และสังเกต ได๎ 2. กาํ หนดเน้อื หา เป็นขนั้ ของการเลือกเน้ือหา เพ่ือนาํ มาชวํ ยใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎เรียนรูแ๎ ละบรรลุ จุดมงุํ หมายเชงิ พฤติกรรมทีต่ ง้ั ไว๎ 3. ประเมินผลพฤติกรรมกํอนเรยี น เป็นการประเมินผลกอํ นเรียนเพื่อให๎ทราบพฤติกรรม เบือ้ งตน๎ หรือพ้นื ฐานเดิมของผู๎เรียน 4. พิจารณายุทธศาสตร์หรอื วิธกี ารสอน คาํ วาํ “ยทุ ธศาสตร์การสอน” เปน็ คําที่ใชเ๎ พ่ือ จาํ เพาะเจาะจงย่ิงกวําคาํ วาํ “วธิ ีสอน” “ยทุ ธศาสตร์” คือ วิธกี ารของครใู นการใชส๎ อ่ื ความ เรือ่ งราว ขําวสาร การเลอื กทรพั ยากร และการกําหนดบทบาทของผู๎เรยี นในการเรียนการสอน ซ่งึ เปน็ แนวปฏิบัติ โดยเฉพาะ เพ่อื ชํวยใหบ๎ รรลุจุดมงุํ หมายของการสอน สํวนคําวํา “วธิ สี อน” เปน็ การวางแผนกระบวนการ สอนอยาํ งมีระบบ ยุทธศาสตร์การสอนที่เกอร์ลชั และอีลีชเสนอมี 2 ระบบ คือ 4.1 แบบทีค่ รูเตรียมเนอื้ หาความรูม๎ าให๎แกํผเ๎ู รยี นเองท้งั หมด โดยครใู ช๎สื่อตาํ ง ๆ เพอื่ การสอนหรอื ถาํ ยทอดความรู๎ ยุทธศาสตร์การสอนแบบน้ีได๎แกํ การสอนแบบบรรยาย อภิปราย ซง่ึ ทัง้ หมด นีเ้ รยี กวาํ ยุทธศาสตรแ์ บบ Expository Approach 4.2 ยทุ ธศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความร๎ู ซง่ึ ครูจะมบี ทบาทเป็นเพยี งผ๎เู ตรียมส่ิงอาํ นวย ความสะดวกตาํ ง ๆ เพ่ือการเรียนและการจดั สถานการณเ์ พอ่ื ให๎การเรียนร๎ูบรรลจุ ุดมงํุ หมาย ยทุ ธศาสตร์ การสอนแบบน้เี รียกวาํ Inquiry หรอื Discovery Approach 5. การจดั แบงํ กลํุมผเู๎ รียน เปน็ การจัดกลุํมผ๎ูเรียนเพื่อให๎ได๎เรียนรรู๎ ํวมกัน จดุ มุํงหมายของ การสอนจะทาํ ใหเ๎ ราสามารถจัดกลมํุ ผ๎ูเรียนได๎อยาํ งเหมาะสม ดงั นั้นในการจดั แบํงกลํุมผู๎เรียนต๎องพิจารณา จากจดุ มงุํ หมาย เนื้อหาและยุทธศาสตรก์ ารสอน ซึ่งสามารถยืดหยุนํ ไดต๎ ามตวั แปรที่กลาํ วมาแลว๎ 6. กําหนดเวลาเรยี น จากการกําหนดยทุ ธศาสตร์และวธิ กี ารสอนกบั ผูเ๎ รียนกลํุมตําง ๆ แล๎ว ก็จะต๎องกําหนดเวลาเรยี น การกําหนดเวลาเรียนจะขึ้นอยํกู ับเนอ้ื หา จดุ มุํงหมาย สถานที่ การบรกิ ารและ 94
ความสามารถตลอดจนความสนใจของผ๎เู รยี น ดงั นั้น การกําหนดเวลาจึงข้ึนอยํูกับผลการวิเคราะห์ สภาพการณ์ดังกลําว 7. กําหนดขนาดหรือสถานทบ่ี รรยาย ห๎องเรยี นปกตโิ ดยทว่ั ไปจะมีผเ๎ู รยี นประมาณ 30-40 คน ภายในห๎องเรยี นมโี ต๏ะนักศกึ ษา โต๏ะครู กระดานดําและปูายนเิ ทศ ซง่ึ นบั วําเหมาะสมกบั การสอนแบบ บรรยาย แตํอาจจะไมเํ หมาะสมกับการสอนทใี่ ช๎ยุทธศาสตร์แบบตาํ ง ๆ ดงั นน้ั ห๎องบรรยายจึงควรมหี ลาย ขนาด 7.1 หอ๎ งเรียนขนาดใหญํ ที่สามารถบรรจุผ๎เู รยี นได๎ระหวําง 60-300 คน 7.2 ห๎องเรยี นขนาดเล็ก สําหรบั การเรยี นระบบกลํมุ ยอํ ย 7.3 ห๎องเรยี นแบบเอกัตบุคคลหรือเรียนแบบเสรี ซึง่ ห๎องเรยี นแบบนอ้ี าจใช๎ห๎องศูนย์ สอ่ื การสอนทีผ่ ๎เู รยี นสามารถเขา๎ ไปศึกษาค๎นคว๎าหรือศึกษาคน๎ คว๎าหรือเรียนรู๎ด๎วยตนเอง ในหอ๎ งเรยี นแบบ นี้อาจจะมีคูหารายบุคคลไวใ๎ ห๎ผเู๎ รียนใชน๎ ง่ั เรียน อยาํ งไรก็ตาม ปัจจุบนั ห๎องบรรยายจาํ เปน็ ต๎องมีระบบการติดตัง้ อปุ กรณป์ ระกอบการใชส๎ ่อื การ สอนมากขน้ึ กวาํ แตํกํอน กลําวคือ เมอ่ื กํอนจะมีเพยี งกระดานดาํ เคร่ืองฉายข๎ามศรี ษะ โตะ๏ อาจารย์ เก๎าอ้ี โตะ๏ ผ๎เู รียน กส็ ามารถทําการสอนได๎ แตํในปจั จบุ ัน ข๎อมลู การเรยี นการสอนเปน็ ไปในลกั ษณะท่ีไรพ๎ รมแดน มากขึ้น ผูส๎ อนจึงมคี วามจาํ เป็นต๎องใช๎สือ่ ชนิดตาํ ง ๆ ที่เหมาะสมมากขนึ้ เชํนกัน เชนํ คอมพวิ เตอร์ วีดทิ ัศน์ เป็นตน๎ ดงั นนั้ ห๎องบรรยายจงึ ควรเปน็ ห๎องบรรยายท่สี ามารถดัดแปลงหรอื เปลี่ยนแปลงได๎ หมายถงึ การ จดั โตะ๏ เก๎าอี้ ท่ีสามารถเปลยี่ นแปลงรปู แบบตําง ๆ ได๎ตามความเหมาะสมกบั บทเรยี นและกจิ กรรมการ เรียนการสอนน้นั ๆ สิง่ ท่ีผู๎สอนพงึ พิจารณาก็คือ อุปสรรคของสง่ิ แวดล๎อมท่มี ตี ํอการเรยี นของผ๎เู รียน โดยมี หลักดงั นี้ 1. หลักการวางแผนการใชห๎ ๎องบรรยาย • พจิ ารณาจากจาํ นวนผ๎เู รยี น • พิจารณาจากจํานวนผ๎ูสอน • จะใชส๎ อื่ อะไรบา๎ งสาํ หรับการเรยี นการสอนในรายวชิ าที่จะบรรยาย • พจิ ารณาจากสภาพหอ๎ งบรรยาย มวี ัสดุอุปกรณ์อะไรบา๎ ง • ห๎องเรยี นสามารถทาํ ให๎มดื เพ่ือใช๎กับเครือ่ งฉายประเภทตาํ ง ๆ ได๎ทกุ เวลาหรือไมํ และห๎องเรียนมพี น้ื ท่กี วา๎ งพอที่จะใหผ๎ เ๎ู รยี นแบํงกลมํุ สําหรบั ใช๎อปุ กรณ์ตําง ๆ ไดห๎ รือไมํ • เนอ้ื หาและส่ือการสอนท่ีจะใช๎ สามารถดัดแปลงไดห๎ รอื ไมํ ส่ือตาํ ง ๆ หรืออปุ กรณ์ สาํ หรบั สอ่ื สามารถเคลื่อนยา๎ ยไดง๎ ํายหรือไมํ เชนํ แผนทโ่ี ลก ลกู โลก แผนภูมิ เทปบันทกึ เสยี ง เครอื่ งฉาย วิดที ศั น์ เครือ่ งฉายทึบแสง ฯลฯ ผ๎เู รียนสามารถใช๎ในหอ๎ งเรียนได๎เลย หรอื ต๎องไปใช๎ท่ีศนู ย์โสตทศั นปู กรณ์ ของมหาวทิ ยาลัย 95
2. หลกั การเตรียมห๎องเรยี นสาํ หรบั การฉาย การเตรยี มสถานทแ่ี ละการเตรียมตัวผเู๎ รียนกํอนการฉายนัน้ เป็นสิง่ จาํ เปน็ มาก ท้ังน้เี พื่อให๎การใชเ๎ ครือ่ งฉาย ในการเรยี นการสอนไดผ๎ ลดี และผเ๎ู รยี นได๎รับความรู๎สมความมุงํ หมาย ไชยศ เรืองสุวรรณไดใ๎ ห๎ ขอ๎ เสนอแนะสาํ หรับการเตรยี มห๎องเรียนที่มผี ๎เู รียนประมาณ 30-35 คน ดังน้ี • สาํ หรบั การฉายท่วั ไป การเตรียมจอฉายขนาดไมํเลก็ กวาํ 70 x 70 นวิ้ มกี ารเลือก ฟลิ ์มภาพยนตร์ ฟิลม์ สไลด์ หรือฟิลม์ สตริป ตรงตามเนื้อหาท่ีผส๎ู อนจะสอน • จัดทนี่ ัง่ ผู๎เรยี นให๎นั่งหาํ งจากจอฉายอยํางเหมาะสม คือ แถวนง่ั หน๎าสุดไมคํ วรใกลจ๎ อ เกินกวาํ 2 เทํา ของความกวา๎ งของจอ และนั่งหลงั สุดไมํควรไกลไปกวาํ 6 เทาํ ของความกว๎างของจอ • จดั ที่นั่งผูเ๎ รยี นใหน๎ งั่ หาํ งกันพอสมควร และให๎ทุกคนในห๎องฉายสามารถมองเหน็ ภาพ บนจออยาํ งชัดเจนทุกคน กลางหอ๎ งควรเว๎นชอํ งให๎กว๎างพอทสี่ งํ แสงจากเครือ่ งฉายพํุงไปยังจอได๎โดยไมมํ ี ผเ๎ู รียนนั่งกดี ขวางอยูํ • ถา๎ เป็นไปได๎ควรให๎แสงสลวั ๆ เขา๎ ไปในห๎องได๎บา๎ ง แตํอยํามากเกนิ ไป เพราะจะทําให๎ ภาพบนจอไมคํ มชัด • ตอ๎ งจําไวเ๎ สมอวาํ จะต๎องตัง้ เครอื่ งฉายโดยหนั ด๎านหลังของเคร่ืองฉายไปทางประตู หรอื หน๎าตํางท่ีมแี สงสวาํ งเขา๎ ได๎ เพราะมีบํอยครง้ั ทป่ี ระตหู อ๎ งถูกเปดิ เพราะผูเ๎ รียนเขา๎ ออก แสงสวาํ งจาก ภายนอกจะได๎ไมรํ บกวนสายตาผู๎เรยี น หรือถา๎ เปน็ ไปได๎ ควรใชผ๎ ๎ามํานกัน้ ประตเู ข๎าออกไวอ๎ ีกชน้ั หนง่ึ กจ็ ะ เปน็ การดี • เมือ่ ทาํ นต๎องการใช๎เคร่ืองฉายเพอ่ื การศึกษาเปน็ กลมุํ ยํอย หรอื เปน็ รายบุคคล ควร ปฏบิ ตั ิ ดังนี้ o แบงํ กลุํมผูเ๎ รยี น แล๎วกาํ หนดเวลาเข๎าหอ๎ งฉายตามเวลาที่ผูส๎ อนกําหนดของแตํละ กลํุม หรอื แตลํ ะบุคคล o ควรทดลองใชเ๎ ครื่องฉายกํอนท่ผี ๎ูเรียนจะเข๎าไปใช๎ o ในกรณีที่ผู๎เรียนจะใชเ๎ ครื่องฉายเอง ผู๎สอนควรพิจารณาวํา เครอ่ื งฉายชนดิ นน้ั มี ความยากในการใชส๎ าํ หรับการทีผ่ เ๎ู รยี นใชเ๎ องหรือไมํ 8. การเลือกทรัพยากรหรือส่ือการเรียนการสอน ในขนั้ นี้ครจู ะเลือกส่ือตําง ๆ เพื่อนํามาใช๎ ในการเรียนการสอนทีใ่ ชย๎ ทุ ธศาสตรก์ ารสอน ขนาดกลุมํ และสถานท่ีในการสอนตําง ๆ กันเพือ่ ใหก๎ ารสอน บรรลุจดุ มงํุ หมาย เชนํ รูปภาพ สไลด์ ภาพยนตร์ เคร่ืองเสียง หนงั สอื และอื่น ๆ 9. การประเมนิ ผลการเรียน การเรยี นเปน็ การปะทะสัมพันธร์ ะหวํางครูกบั ผ๎ูเรียน ผู๎เรยี นกับ ผูเ๎ รยี น หรอื ระหวาํ งผเ๎ู รียนกับสื่อการเรยี นการสอน ดงั น้นั ผลการเรียนจึงเป็นเรือ่ งสําคัญในการเรียน 10.การวิเคราะห์ข๎อมลู ยอ๎ นกลบั เปน็ การตรวจสอบหาข๎อบกพรํองเพื่อปรบั ปรุงแก๎ไข 96
หลกั การใช้สื่อการสอน 1. เตรยี มตวั ผส๎ู อน เป็นการเตรยี มตัวในการอําน ฟังหรือดูเนอ้ื หาท่ีอยํใู นส่อื ที่จะใชว๎ าํ มีเน้ือหา ถกู ต๎อง ครบถ๎วนและตรงกบั ทตี่ อ๎ งการหรอื ไมํ จะต๎องเพิ่มเตมิ ในสวํ นใด จะมีวิธีการใชส๎ ื่ออยํางไร เชํน การ ใชภ๎ าพนง่ิ เพ่ือเป็นการนําเข๎าสูํบทเรยี น แลว๎ อธบิ ายเน้ือหาเกี่ยวกบั บทเรียนนัน้ จากนั้นจงึ ใหช๎ มวดี ิทศั น์ เพือ่ เสริมสร๎างความร๎ู แลว๎ สรปุ ความร๎อู ีกคร้งั ด๎วยแผนํ ภาพโปรํงใส ซง่ึ ขั้นตอนเหลําน้ีผู๎สอนตอ๎ งเตรียมตวั โดยเขียนลงในแผนการสอนเพือ่ การใชส๎ ื่อได๎อยํางถูกตอ๎ ง 2. เตรยี มจดั สภาพแวดลอ๎ ม โดยการจัดเตรยี มวัสดุ เครอ่ื งมือและอุปกรณท์ จ่ี าํ เปน็ ต๎องใชใ๎ ห๎ พรอ๎ ม ตลอดจนจดั เตรียมสถานท่ีห๎องเรียนให๎อยใํู นสภาพทเี่ หมาะสม ซ่ึงสงิ่ เหลําน้จี ะเป็นสง่ิ ท่ีชวํ ยใหก๎ าร เรยี นการสอนเป็นไปด๎วยความสะดวก ราบร่นื ไมํเสียเวลา 3. เตรยี มพรอ๎ มผูเ๎ รียน เปน็ การตวั ผู๎เรียน โดยมกี ารแนะนาํ หรือให๎ความคิดรวบยอดเก่ยี วกบั เนอ้ื หา เพือ่ ให๎ผเู๎ รียนเตรยี มพร๎อมในการฟงั ดูหรอื อํานบทเรียนจากสือ่ นัน้ ใหเ๎ ข๎าใจและสามารถจบั ประเดน็ สาํ คญั ของเน้ือหาได๎ และผูส๎ อนควรบอกผู๎เรียนลวํ งหน๎าวําหลังจากมกี ารเรียนหรือใช๎สอื่ แลว๎ ผเ๎ู รยี นจะตอ๎ งมกี ิจกรรมอะไรบา๎ ง เชํน การทดสอบ การอภิปราย การแสดงหรอื การปฏบิ ัติ เพื่อผเ๎ู รียนจะ ไดเ๎ ตรยี มตวั ได๎ถกู ต๎อง 4. การใชส๎ ื่อ ผสู๎ อนต๎องใชส๎ ่อื ให๎เหมาะสมกบั ข้นั ตอนท่ีเตรยี มไว๎ เพื่อใหด๎ าํ เนินการสอนไปได๎ อยาํ งราบรื่น และต๎องควบคุมการนาํ เสนอส่ือใหถ๎ ูกต๎อง เชนํ การปรบั ภาพบนจอรับภาพใหช๎ ัดเจน การ ปรบั เสียงให๎พอเหมาะสาํ หรบั นกั เรียนในหอ๎ งและไมรํ บกวนหอ๎ งเรยี นอ่ืน เป็นตน๎ 5. การตดิ ตามผล ควรมกี ารติดตามผลโดยการให๎ผเ๎ู รยี นตอบคาํ ถาม อภิปรายหรือเขียนรายงาน เพื่อเปน็ การทดสอบวาํ ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจบทเรียนและเรยี นรู๎จากส่อื ทเ่ี สนอไปนั้นถูกตอ๎ งหรือไมํ เพอื่ ผู๎สอนจะได๎ สามารถทราบถงึ จุดบกพรํองและเพ่ือการแก๎ไขปรับปรงุ การสอนของตนตํอไป A nalyze Learner Characteristics การวิเคราะหล์ ักษณะผ๎ูเรียน S tate Objectives การกําหนดวัตถุประสงค์ S elect , Modify or Design Materials การเลอื ก ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อใหมํ U tilize Materials การใชส๎ ่อื R equire Learner Response การกําหนดการตอบสนองของผ๎ูเรียน E valuation การประเมนิ การใชส๎ ่อื การวเิ คราะห์ลักษณะผเู๎ รียน ( Analyze Learner Characteristics) เพอ่ื เลือกส่ือใหส๎ มั พันธ์กับ ลักษณะของผ๎ูเรียน เชํน 97
ลักษณะทั่วไป เชนํ อายุ ระดับความรู๎ สังคม เศรษฐกจิ และ วัฒนธรรมของผูเ๎ รียนแตลํ ะคน ลกั ษณะเฉพาะ เชํน o ทกั ษะที่มีมากํอน ( prerequitsite skills) o ทกั ษะเปาู หมาย ( targer skills) o ทกั ษะในการเรียน ( study skills) ทัศนคติ ( attitude) การกาหนดวัตถุประสงค์ ( State Objective) เพ่ือ o สะดวกในการเลอื กสื่อและวิธีการท่ถี ูกตอ๎ งตลอดจนการจดั ลาํ ดบั กิจกรรมการเรียนและ สร๎างสิง่ แวดลอ๎ ม หรือประสบการณก์ ารเรียนร๎ู o การประเมนิ ผู๎เรยี นได๎อยาํ งถูกต๎อง ชํวยให๎ผเ๎ู รยี นทราบถึงผลแหํงการเรียนรูแ๎ ละผลแหงํ การกระทาํ หลังจากเสร็จสนิ้ บทเรียนแล๎ว ซึง่ การกําหนดวัตถปุ ระสงค์ ควรประกอบดว๎ ย 1. การกระทาํ ( performance) เป็นส่ิงที่คาดหวงั วําผเู๎ รียนจะสามารถกระทําได๎ภายหลังจบ บทเรยี นแล๎ว 2. เง่ือนไข ( conditions) เปน็ ข๎อจํากดั หรือเง่ือนไขท่ีตั้งขน้ึ โดยรวมอยภูํ ายใต๎การกระทํา 3. เกณฑ์ (criteria) เพอื่ การตัดสนิ การกระทําน้นั วาํ เปน็ ไปตามท่ีกําหนดไว๎หรือไมํ การกําหนดวัตถุประสงค์เป็น \" วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม\" แบงํ ออกเป็น 1. พทุ ธิพสิ ยั เป็นวตั ถปุ ระสงค์ท่ตี ั้งไว๎เพ่ือวัดการเรียนร๎ขู องผ๎เู รียนเกย่ี วกับความรู๎ ความเข๎าใจ สตปิ ัญญา และการพัฒนา 2. จติ ตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางด๎านความคดิ ทัศนคติ ความรส๎ู ึก คาํ นิยมและการเสริมสรา๎ ง ทางปัญญา 3. ทักษะพิสัย เปน็ วตั ถปุ ระสงคท์ ี่เก่ยี วกับการกระทํา การแสดงออกหรือการปฏบิ ัติ การเลอื ก ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อ (Select , Modify or Design Materials) เลอื กจากสื่อท่ีมีอยํูแล๎ว ดัดแปลงสอ่ื ท่ีมอี ยูํแล๎ว การออกแบบสอ่ื ใหมํ การใช๎สอ่ื (Ulilize Materials) 98
ดูหรืออํานเน้ือหาในส่ือเหลํานั้นกอํ นเป็นการเตรียมตัว จัดเตรยี มสถานที่ เตรียมตัวผเ๎ู รยี น ควบคุมช้นั เรยี น การกาํ หนดการตอบสนองของผ๎เู รยี น (Require Learner Response) o การตอบสนองโดยเปดิ เผย (overt response) โดยการพูดหรอื เขียน o การตอบสนองภายในตวั ผ๎เู รยี น (covert response) โดยการทํองจาํ หรอื คิดในใจ เม่ือมีการตอบสนองแล๎วผ๎สู อนควรใหก๎ ารเสรมิ แรงทนั ที เพื่อใหผ๎ ู๎เรยี นทราบวาํ ตนมีความ เขา๎ ใจและเกดิ การเรยี นร๎ูทถี่ ูกต๎องหรือไมํ การประเมนิ (Evaluation) o การประเมนิ กระบวนการสอน ซึง่ สามารถกระทาํ ไดท๎ ้ังในระยะกํอน ระหวาํ งและหลังการสอน o การประเมนิ ความสาํ เรจ็ ของผ๎ูเรียน ซ่ึงขนึ้ อยูํกบั วตั ถุประสงคแ์ ละ เกณฑ์ท่ีต้ังไว๎ การประเมนิ สอ่ื และวิธกี ารสอน โดยให๎ผ๎เู รียนมกี ารอภปิ ราย และวิจารณ์การใชส๎ อ่ื และเทคนคิ การสอนวาํ มีความเหมาะสมมากน๎อยเพียงใด ข้ันตอนการใชส้ อื่ การสอน 1. ขนั้ นําเขา๎ สูํบทเรยี น เพ่อื กระตน๎ุ ใหน๎ กั เรยี นเกิดความสนใจในเนื้อหาทกี่ าํ ลงั จะเรยี น สอื่ ที่ใช๎ ในขัน้ นจ้ี งึ เป็นสือ่ ทีแ่ สดงเน้ือหากว๎าง ๆ หรอื เนื้อหาท่เี กยี่ วข๎องกับการเรยี นในคร้งั กํอน ยังมิใชสํ อื่ ทีเ่ น๎น เนอ้ื หาเจาะลึกอยํางแทจ๎ รงิ อาจเปน็ สือ่ ท่ีเปน็ แนวปัญหาหรือเพ่ือผ๎ูเรียนคิด และควรเป็นส่อื ทง่ี าํ ยตํอการ นําเสนอในระยะเวลาอันสัน้ 2. ข้ันดาํ เนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขน้ั สําคญั ในการเรยี น เพราะเป็นข้ันท่ี จะให๎ความรูเ๎ นื้อหาอยํางละเอียดเพ่ือสนองวัตถปุ ระสงค์ท่วี างไว๎ ผู๎สอนต๎องเลือกสื่อให๎ตรงกับเนื้อหาและ 99
วิธีการสอนหรอื อาจจะใชส๎ อ่ื หลายแบบก็ได๎ ต๎องมีการจดั ลําดบั ข้ันตอนการใชส๎ อ่ื ใหเ๎ หมาะสมและ สอดคล๎องกบั กิจกรรมการเรียน การใช๎สอื่ ในขนั้ นี้จะต๎องเป็นสอ่ื ท่เี สนอความรู๎อยํางละเอียด ถูกต๎องและ ชัดเจนแกํผ๎ูเรียน 3. ขน้ั วเิ คราะหแ์ ละฝึกปฏิบตั ิ เปน็ การเพ่ิมพูนประสบการณ์ตรงแกผํ ู๎เรียนเพ่ือใหผ๎ ๎เู รยี นได๎ ทดลองนาํ ความร๎ูดา๎ นทฤษฎี หรือหลักการทเี่ รยี นมาแล๎วไปใชแ๎ ก๎ปัญหาในขัน้ ฝึกหดั โดยการลงมอื ฝึก ปฏบิ ัตเิ อง ส่อื ในข้ันนจ้ี ึงเปน็ ส่ือท่ีเป็นประเด็นปัญหาให๎ผ๎ูเรียนได๎ขบคดิ โดยผูเ๎ รียนเป็นผู๎ใชส๎ ่อื เองมากท่สี ุด 4. ข้ันสรปุ บทเรียน เปน็ ข้ันของการเรียนการสอน เพื่อการยํ้าเนื้อหาบทเรียนให๎ผ๎เู รียนมีความ เข๎าใจท่ีถกู ต๎องและตรงตามวัตถปุ ระสงคท์ ี่ตั้งไว๎ดว๎ ย ข้นั สรปุ นี้ควรใช๎เพยี งระยะส้ัน ๆ เชํนเดยี วกบั ข้ัน นําเข๎าสบํู ทเรียน สื่อใช๎สรุปนจี้ ึงควรครอบคลุมเน้อื หาสําคัญทง้ั หมดโดยยํอและใชเ๎ วลาน๎อย 5. ขน้ั ประเมินผ๎เู รยี น เปน็ การทดสอบวาํ ผเู๎ รียนสามารถเรียนร๎ูหรือเขา๎ ใจในสิ่งทเ่ี รยี นไปถูกตอ๎ ง มากน๎อยเพียงได และบรรลตุ ามวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมทตี่ งั้ ไว๎หรอื ไมํ ส่อื ในข้ันการประเมนิ น้มี ักจะเป็น คําถามจากเนื้อหาบทเรยี นโดยจะมีภาพประกอบดว๎ ยก็ได๎ หรอื อาจนําสื่อที่ใชใ๎ นขนั้ กิจกรรมการเรียนมา ถามอีกครั้ง และอาจเปน็ การทดสอบโดยการปฏบิ ัตจิ ากสื่อหรอื การกระทาํ ของผ๎ูเรยี น เพื่อทดสอบดวู ํา ผเู๎ รยี นสามารถมีทักษะจากการฝกึ ปฏบิ ัติอยาํ งถูกต๎องครบถ๎วนหรอื ไมํ การประเมนิ การใช้สื่อการสอน 1.การประเมินการวางแผนการใช๎ส่ือ เพ่ือดูวาํ สงิ่ ตําง ๆ ทวี่ างไว๎สามารถดาํ เนินไปตามแผน หรอื ไมํ หรอื เป็นไปเพยี งตามหลักทฤษฎีแตํไมสํ ามารถปฏิบัติจรงิ ได๎ จึงตอ๎ งเก็บรวบรวมข๎อมลู ไวเ๎ พ่อื แก๎ไข ปรบั ปรงุ ในการวางแผนในการวางแผนครั้งตํอไป 2. ประเมนิ กระบวนการการใช๎สื่อ เพื่อดูวาํ การใช๎สื่อในแตํละขั้นตอนประสบปัญหาหรืออุปสรรค อยาํ งไรบ๎าง มสี าเหตุมาจากอะไร และมกี ารเตรยี มการปอู งกนั ไว๎หรือไมํ 3. ประเมนิ ผลทีไ่ ด๎จากการใชส๎ ่ือ เปน็ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กับผูเ๎ รียนโดยตรงวํา เม่ือเรยี นแลว๎ ผ๎เู รียน สามารถบรรลตุ ามวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมท่ีตง้ั ไว๎หรือไมํ และผลที่ได๎นนั้ เป็นไปตามเกณฑห์ รอื ตํ่ากวาํ เกณฑ์ ชนิดของสือ่ การสอน สื่อทใ่ี ชช๎ ํวยในการสอนมหี ลายชนิด ซง่ึ อาจกลําวไดว๎ าํ สิ่งใดกต็ ามท่เี ปน็ เคร่ืองชวํ ยให๎เด็กวยั นมี้ ี พฒั นาการดังกลําว นับวําเปน็ สื่อไดท๎ ้ังส้ิน ไดแ๎ กํ 1. ครู ครูเป็นสื่อนบั ได๎วําความสําคัญ เพราะเป็นผ๎ูกํอให๎เกิดความเคลื่อนไหวตําง ๆ ในการ เรยี นรู๎ และเป็นสอื่ ทจี่ ะนาํ สือ่ อ่ืนใหเ๎ กิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน หากปราศจากครู การเรยี นการ สอนก็จะไมํมีผลแกเํ ด็กในวยั นี้อยาํ งแนํนอน 100
2. สง่ิ แวดล๎อมตามธรรมชาติ สอื่ ชนดิ น้คี รหู รอื ผู๎ใชไ๎ มํจําเป็นตอ๎ งจดั หาหรือทําขึ้น เพราะมีอยูํ แลว๎ ตามธรรมชาติ เพียงแตผํ ใู๎ ชจ๎ ะตอ๎ งเลือกให๎ถูกตามความมงํุ หมาย เชนํ การสอนเรื่องวงจรชวี ิตกบ ก็ควร เลอื กฤดูกาลท่ีเหมาะสม คอื ฤดฝู น เพ่ือจะไดน๎ าํ สง่ิ ที่เป็นไปตามธรรมชาตมิ าศึกษาได๎ แทนท่จี ะใช๎วธิ ีวาด ภาพ ไขํกบ ลกู อ๏อด และลูกกบ ประกอบคาํ อธบิ าย เป็นตน๎ 3. สอื่ ทตี่ อ๎ งจัดทาํ ขน้ึ สื่อชนิดนี้มีมากมายหลายชนิด สดุ แตํผู๎ทส่ี นใจจะจัดซ้ือ จัดหาหรอื จัดทาํ ขน้ึ ได๎แกํ ของจรงิ ของจาํ ลอง ภาพถําย ภาพวาด บตั รคํา เกม กิจกรรม เครื่องฉายภาพนง่ิ เครือ่ ง ฉายภาพยนตร์ เปน็ ต๎น สือ่ ดังกลําวอาจแบํงออกตามลกั ษณะของการใชไ๎ ด๎ 3 ประเภท คือ 1. สอ่ื การสอนประเภทวัสดุ เชนํ สี กระดาน ชอลค์ ภาพ เปลือกหอย หนงั สือพิมพ์ เป็นตน๎ 2. สอ่ื การสอนประเภทอปุ กรณ์ คอื ส่ิงทเี่ ปน็ เครื่องมือ วิทยุ เคร่อื งฉายภาพวีดีโอ กระดานดาํ ปูายนเิ ทศ เป็นตน๎ 3. สือ่ การสอนประเภทวิธกี าร กระบวนการจัดกจิ กรรม ได๎แกํ การสาธิต การทดลอง เลนํ เกม เลํนบทบาทสมมุติ จดั สถานการณ์จาํ ลอง เชํน การจดั มุมตาํ ง ๆ ในหอ๎ งเรยี น ในชั้นเด็กเล็ก ไมํได๎สอนเป็นรายวิชา เปน็ การเตรยี มความพร๎อมโดยนาํ เอาวชิ าตําง ๆ มาบูรณา การเปน็ หนวํ ย และสอดแทรกวธิ สี อนแบบเรยี นปนเลนํ ดว๎ ยกจิ กรรมตาํ ง ๆ ดังกลาํ วมาจากบทกํอน ๆ แล๎ว หากลองจดั สื่อการสอนโดยยึดตามชอื่ หมวดวชิ า จะมรี ายละเอียดดงั น้ี 1. หมวดภาษา วัสดุและอปุ กรณส์ าํ หรับภาษาไทยมจี ุดมุํงหมายใหเ๎ ด็กค๎นุ เคยกบั เส๎นประเภท ตําง ๆ ทีจ่ ะประกอบเปน็ ตัวอักษร ซ่ึงมีผ๎ูวิจยั ไว๎แลว๎ วาํ เสน๎ ตาํ ง ๆ ที่จะประกอบเป็นตวั อักษรซงึ่ มผี ๎วู จิ ยั ไว๎ แลว๎ วาํ เสน๎ ตาํ ง ๆ ที่ประกอบเป็นอกั ษรไทยมี 13 ชนดิ จับคูํกับภาพตําง ๆ ได๎ถูกต๎อง การฝึกการสนทนา เลํานทิ าน แสดงละคร และกิจกรรมทางภาษาอ่ืน ๆ ทจี่ ะเสริมใหเ๎ ดก็ สามารถใชภ๎ าษาให๎ถกู ต๎องตาม วัฒนธรรม วสั ดใุ นหมวดภาษา ได๎แกํ แบบเรียน บัตรคํา ภาพ แผนภมู ิ ตรายาง อักษรตรายาง ภาพคํานาม แทงํ อักษร ตวั อักษรฉลุไม๎ ตัวอกั ษรพลาสติก ภาพชดุ ประกอบนทิ าน หนํุ จาํ ลอง หนํุ กระบอก สเี ทยี น ชดุ สนทนา ฯลฯ 2. หมวดสงั คมศกึ ษา เปน็ วัสดุอุปกรณ์ท่มี ํุงฝึกฝนการอยรูํ วํ มกันในชมุ ชน ฝึกใหเ๎ ป็นสมาชิกท่ี ดี ร๎ูจักบทบาทของตน รํวมเลํน แบงํ ปันส่งิ ของกับคนอืน่ รูจ๎ ักหน๎าทตี่ ามวัยของตน ฝกึ การเสยี สละ ฯลฯ วสั ดอุ ปุ กรณส์ ําหรับหมวดสังคมศกึ ษา ได๎แกํ ภาพชุด แผนภูมิ ของจรงิ (เชนํ ธงชาติ ภาพชดุ นทิ าน หุํนกระบอก เครื่องแตํงกาย นทิ าน ชุดครวั มีถ๎วย ชาม หมอ๎ เตา) ฯลฯ บา๎ นตุ๏กตา (บา๎ นหํุนคนและ สัตวข์ นาดเล็ก) กะบะทราย ฯลฯ 3. หมวดวทิ ยาศาสตร์ (ธรรมชาติศกึ ษา) เปน็ วสั ดอุ ุปกรณ์ที่ชวํ ยฝกึ ใหเ๎ รยี นร๎ธู รรมชาติ ส่ิงแวดลอ๎ ม ทง้ั คน พืช สตั ว์ และปรากฎการณ์ตามธรรมชาตอิ ยํางงําย ๆ ประกอบด๎วยรูปภาพ แผนภมู ิ 101
ของจรงิ (สัตว์ พชื สิ่งของ) ต๎ูสตั ว์ กรงเล้ยี งสตั ว์ ตสู๎ ะสมแมลง กะบะเพาะพชื กะบะทราย อาํ งนาํ้ เครื่อง เลนํ ทราย เลนส์แวนํ ขยาย ชดุ แบตเตอร่ีอยํางงําย ๆ ชดุ แมเํ หลก็ ฯลฯ 4. คณติ ศาสตร์ เปน็ วสั ดุอุปกรณฝ์ ึกมโนทัศน์ทางการนบั คาํ นวณประกอบดว๎ ยบัตรตวั เลข ภาพชุดเกย่ี วกับตวั เลขของจริง ลูกคดิ ลูกปดั กระดานปักหมนุ บนั ไดเลข แทํงไม๎คณิตศาสตร์ แหงํ ไม๎ เรขาคณติ เคร่ืองชัง่ น้ําหนกั เครอื่ งตวง ฯลฯ 5. หมวดขับร๎องและดนตรี เป็นวัสดอุ ุปกรณ์สาํ หรับฝึกการขับรอ๎ ง และดนตรีเพ่ือสร๎างความ ช่ืนชอบศลิ ปดนตรี และฝกึ โสตประสาทตํอเสียงดนตรตี าํ ง ๆ ประกอบด๎วย เคร่อื งเลนํ แผํนเสียง เคร่ือง บันทกึ เสยี ง ออร์แกน เปยี โน กลอง ฉง่ิ ฉาบ ระฆัง เหล็กสามเหลี่ยม กรับพวง กรับกรุง๏ กริ๊ง ลกู ซัด เกราะ กาํ ไลลูกพรวน ระนาด ใชอ๎ ุปกรณท์ ี่ครูทําข้ึนเองจากวัสดุเหลือใช๎หรือผกั พชื ตําง ๆ ก็ได๎ เชนํ ฝกั ราชพฤกษ์ ไมเ๎ คาะจงั หวะ หรืออปุ กรณจ์ ากกระป๋องแปงู ฯลฯ 6. หมวดศิลปศึกษา เปน็ วสั ดุอุปกรณ์ทฝ่ี ึกความชื่นชมทางศิลปกรรม และทักษะทางการใช๎ มอื ประกอบดว๎ ยกระดาษ ขาหยั่งเขียนภาพ ดนิ สอสีตาํ ง ๆ ดินนา้ํ มัน ดินเหนียว เขยี ง ลูกกลงิ้ คลงึ น้ํามนั กระดาษสี (งานพบั ตดั ปะ) กรรไกรปลายทํู เศษวัสดุ ชดุ งานไม๎ (ค๎อน เล่อื ย ไขควง ทําจากพลาสติก) ฯลฯ 7. หมวดพลานามยั สํวนมากเป็นเครือ่ งสนามทจ่ี ะพฒั นาการทางกาย แขน ขา กล๎ามเน้อื ฯลฯ ประกอบด๎วย รถจักรยาน รถเขน็ รถลากมา๎ โยก เรือโยก ลกู บอล หวํ งยาง ลูกชํวง ชงิ ช๎า ม๎าลอด มา๎ หมนุ กระดานอ่นื ฯลฯ หากจะกลาํ วถึงการเลือกส่ือเพื่อสํงเสริมพฒั นาการด๎านตําง ๆ แล๎ว เราอาจเลอื กส่ือเพื่อการ สงํ เสรมิ พฒั นาการแตํละด๎านดังน้ี 1. สอ่ื เพื่อพฒั นาสตปิ ญั ญาและความคดิ รเิ ริม่ สรา๎ งสรรค์ อาจแบงํ ไดด๎ ังน้ี 1.1 ส่อื เพื่อฝึกการรบั รู๎ 1.1.1 สอ่ื ฝกึ การรบั รู๎เกีย่ วกบั ขนาด ได๎แกํ การจดั หาวสั ดสุ ่งิ ของ กลํอง บล็อก วางใหเ๎ ด็ก จับตอ๎ ง วางซ๎อนกัน นาํ ของสองสง่ิ สามสิง่ มาเปรียบเทียบขนาด เลก็ ใหญํ เลก็ ท่ีสดุ ใหญํที่สดุ 1.1.2 ส่ือฝึกการรบั รเ๎ู กีย่ วกบั รูปรําง ครูใหเ๎ ด็กเลนํ ภาพตัดตํอ ลองวางช้ินสวํ นให๎พอดีกบั ชํอง เชํน ชอํ งวงกลม เด็กต๎องหยบิ รปู วงกลมวางลงในชํองสี่เหลี่ยม เด็กต๎องหยบิ รูปส่ีเหลี่ยมวางได๎ถูกต๎อง นอกจากน้ใี หเ๎ ด็กแยกรปู รําง ส่เี หลย่ี ม สามเหลี่ยม วงรี ได๎ 1.1.3 ส่อื ฝึกการรับร๎เู กี่ยวกับเรอ่ื งสี แนะนาํ ให๎เด็กรู๎จักสี เลนํ ส่ิงของเครื่องใช๎ บลอ็ ก แผํนกระดาษรูปทรงเรขาคณิตทม่ี ีสตี าํ ง ๆ โดยเฉพาะเด็กชอบสสี ดใส ให๎เดก็ แยกส่งิ ของ วัตถุ รปู ภาพ ท่มี สี ี เหมอื นกัน 1.1.4 สอ่ื ฝึกการรับรู๎เก่ยี วกับเน้ือผวิ ของวัตถุ ใหเ๎ ด็กได๎สํารวจส่งิ ของใกล๎ตวั ได๎รับได๎ สมั ผสั สงิ่ ของท่ีมีความอํอน นุํม แขง็ หยาบ และบอกไดว๎ าํ ของแตลํ ะช้ิน มีลกั ษณะอยาํ งไร เชํน กระดาษ ทราบหยาบ สาํ ลีนํุม ก๎อนหินแขง็ ฯลฯ 102
1.2 สอ่ื เพื่อฝกึ ความคิดรวบยอด อาจใชว๎ สั ดุ อุปกรณ์ และวิธกี ารจัดสิง่ แวดลอ๎ ม เชนํ เรยี นรู๎ เก่ียวกับชีวติ ของสตั ว์ ครูควรจัดสวนสตั ว์จําลอง เลํานทิ าน เชดิ หนํุ เกี่ยวกบั สัตว์ สนทนาซักถามเก่ยี วกับ สตั วท์ เี่ ดก็ รจ๎ู ัก เปรียบเทยี บลักษณะของสตั วแ์ ตํละชนดิ วาด ป้นั ฉกี แปะ รูปราํ งสัตว์ การจัดกิจกรรมความคดิ รวบยอดเกี่ยวกับอาชพี เกยี่ วกบั ส่ิงของ เครื่องใช๎และบุคคลในสงั คม ครู ควรใชส๎ อ่ื สถานการณจาํ ลอง เสรมิ ให๎เดก็ เข๎าใจได๎ถกู ต๎องรวดเรว็ ขึ้น การรู๎จักตัวเลขมีความคดิ รวบยอดทางคณิตศาสตร์ ด๎วยการใช๎วธิ กี ารใหเ๎ ด็กคน๎ พบดว๎ ยตนเอง จัดวัสดอุ ปุ กรณ์ เชํน กระดุมสีตาํ ง ๆ ฝาเบียร์ ดอกไม๎ ใบไม๎ ขวด บล็อก ใหเ๎ ด็กจับตอ๎ ง นบั สอนใหเ๎ ขา๎ ใจ เลขค่เี ลขคูํ 2. ส่อื เพอื่ พัฒนาทางดา๎ นภาษา การใชส๎ ื่อพัฒนาการทางภาษาจะตอ๎ งคํานงึ ถงึ พัฒนาการที่สาํ คญั ของเดก็ เล็กและตอ๎ งศกึ ษา วําการรบั ฟังและการเข๎าใจภาษาของเดก็ วําอยรํู ะดับท่ีสามารถฟังและแยกเสยี งตาํ ง ๆ ได๎ เชํน เสยี งสัตว์ เสียงดนตรีบางชนดิ ฟังประโยคและข๎อความสน้ั และยาวพอสมควร เขา๎ ใจคําจํากัดความ เขา๎ ใจหนา๎ ท่ขี อง สง่ิ ตําง ๆ แยกภาพตามหนา๎ ที่ได๎ เชนํ สงิ่ ทใี่ ช๎กนิ นอน หรือสงิ่ ทีอ่ ยใูํ นบ๎าน ในครวั เปรยี บเทียบภาพเหมือน ไมเํ หมือนได๎ อํานรูปภาพ จาํ ช่ือตวั เองและเพอ่ื นได๎ เปน็ ต๎น ดังน้นั ครูเด็กเล็กจะต๎องใชส๎ ่ือประเภทวธิ กี าร สือ่ ประเภทวัสดอุ ปุ กรณ์มาจดั กจิ กรรมเสริมความพร๎อมทางดา๎ นภาษาให๎เดก็ ได๎พฒั นาตามเกณฑ์ดงั กลาํ ว ข๎างตน๎ สอื่ ท่ีครูควรจดั เพื่อเสรมิ พฒั นาการทางภาษา ได๎แกํ หนังสือภาพ แผนํ ภาพ ภาพประกอบคําคล๎อง จอง หนํุ มือ หนุํ น้วิ มือ หุํนเชิด หํนุ ถุงกระดาษ เกมเลยี นเสียงสัตว์ เกมสัมพันธ์ภาพกับคํา เกมเรยี นร๎ูด๎าน การฟงั เกมทายเร่ือง เกมจบั คูํภาพเหมือนและแยกภาพตาํ ง ๆ การเลนํ น้ิวมือประกอบคํารอ๎ งหรอื เร่ืองราว วิธกี ารเลํนบทบาทสมมุติ มุมบล็อคตําง ๆ ใหเ๎ ลนํ เป็นกลํุมในมมุ บ๎าน เทป วทิ ยุ เครื่องเสียง 3. ส่อื เพื่อพัฒนาความพร๎อมกลา๎ มเนอื้ เลก็ ใหญํ และประสาทสัมพนั ธ์ ครูจะตอ๎ งศกึ ษาพัฒนา เกีย่ วกบั การทรงตัว ความมั่นคงของการใช๎กล๎ามเนื้อตามวัย เพือ่ จะเลือกใช๎สอื่ ได๎เหมาะ ส่อื ประเภทวัสดุ อปุ กรณ์และวธิ กี ารที่ครสู ามารถเลอื กใชไ๎ ด๎มดี ังน้ี ลูกบอล ดนตรี กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรบั ตขี ณะทใ่ี หเ๎ ด็กยืนทรงตัว เพ่ือให๎เกิดความวอํ งไวในการ บงั คับกลา๎ มเนอ้ื ลกู บอล ตุก๏ ตาผา๎ ลกู ตุ๎มทาํ ด๎วยฟางขา๎ ว หรอื ผ๎าสาํ หรบั แขํงขวา๎ งไกล ๆ รองเทา๎ เชือกผูกรองเทา๎ กระดมุ ซิป สาํ หรบั ฝกึ การบังคับกล๎ามเนอื้ มือและฝึกสายตา แผํนภาพ รูปภาพ ส่ิงของ นํามาแขวนจัดเรียงกันใหเ๎ ด็กมองกรอกสายตาตามภาพหรือของท่ีวางไว๎ ขีดเส๎นใตเ๎ ตมิ ตามเสน๎ คดเคยี้ ว แผํนภาพขีดเป็นชอํ งสําหรบั ใช๎นิ้วลากตามเสน๎ ทางท่ีครกู าํ หนด ดินเหนยี วใหเ๎ ด็กใช๎ปั้นเปน็ รปู ตําง ๆ อุปกรณ์วาดภาพ สไี ม๎ สีเทียน สดี นิ สอ สีจากพชื ฉีกกระดาษปะเป็นรปู ตําง ๆ ขยํากระดาษหนงั สือพิมพ์ ร๎อยดอกไม๎ เลนํ ตดั เมล็ดพชื เปุาสีดว๎ ย หลอดกาแฟ ตํอภาพแบบโยนโบวล์ ่ิง ตวงทราย กรอกน้าํ ใสํขวด เรยี งลกู คิดลงหลกั วางแผนํ รปู ทรงลงใน 103
ชํองท่กี ําหนด เดินกระดานแผํนเดยี ว เลนํ ภาพตัดตอํ เลํนเคร่อื งเลํนสนาม ยิงปืนก๎านกล๎วย ร๎อยเชอื กรอบ แผํนภาพ ฝึกประสาทสัมพันธ์ เลํนเกมจาํ แนกหมวดหมํู สอ่ื ดังกลาํ วน้ีมักจะถูกเลือกมาใช๎ตามความเหมาะสม ซ่ึงอาจมกี ารใชค๎ รง้ั ละชนิดหรือใช๎พร๎อมกนั เกินกวําหนง่ึ ชนิด หรอื ใชต๎ ามลําดบั กํอนหลังก็ได๎ การผลิตสื่อการสอน 1. สาํ รวจความต๎องการ การผลติ ส่ือเพ่ือการใช๎ประโยชนอ์ ยํางแทจ๎ ริง จะต๎องสาํ รวจความ ต๎องการของผูใ๎ ช๎ ความต๎องการของผู๎ใชอ๎ าจจะไดม๎ าจากการแสดงความต๎องการของผใู๎ ชโ๎ ดยตรง หรือจาก การเก็บรวบรวมข๎อมลู จากแบบสาํ รวจ 2. กาํ หนดเปูาหมายการผลิต เมือ่ ทราบความต๎องการของผ๎ูใช๎แลว๎ กจ็ ะนาํ เอาความต๎องการมา ประเมิน จดั ลาํ ดับความสําคัญ แล๎วกําหนดเปาู หมายการผลติ 3. วเิ คราะหก์ ลุํมเปาู หมาย กลมุํ เปาู หมายยอํ มมีความแตกตํางกนั ในด๎านคุณลักษณะบาง ประการ ผผ๎ู ลิตจะต๎องศึกษาแนวโน๎มความแตกตํางของกลุํมในดา๎ นตาํ ง ๆ 4. กาํ หนดจุดมงํุ หมายเชงิ พฤติกรรม การกาํ หนดจดุ มุํงหมายการผลิตสือ่ ควรกาํ หนดเป็น จดุ มุงํ หมายเชงิ พฤติกรรมเพ่ือให๎สามารถตรวจสอบผลได๎ 5. วิเคราะหแ์ ละจดั ทาํ เน้อื หา โดยนาํ เนอื้ หาทจ่ี ะผลติ สื่อมาวิเคราะห์หาความเหมาะสมในการ จดั รปู แบบการนาํ เสนอและจัดลาํ ดับเร่อื งราว 6. เลือกประเภทสื่อท่ีจะผลิต เน้ือหาหนึง่ ๆ อาจผลติ ส่ือได๎หลายประเภท ในการตดั สนิ ใจวาํ จะ ผลติ เป็นส่ือประเภทใดนั้น จะต๎องนํามาพิจารณาหาความเหมาะสมอยาํ งรอบคอบ โดยพจิ ารณา องคป์ ระกอบเกีย่ วกับจุดมุงํ หมายของการผลิต ลักษณะของเนือ้ หา ขดี ความสามารถในการผลิตของ หนํวยงานผลิตหรอื ผูผ๎ ลติ เป็นต๎น 7. ผลติ สือ่ กระบวนการผลติ สอื่ จะต๎องแตกตาํ งกันไปตามประเภทของส่ือ เชํน สอื่ ประเภท เรอ่ื งราวตอํ เน่ือง ก็จะต๎องจดั ทําบตั รเรื่อง เขียนบท ถาํ ยทาํ บันทกึ เสยี ง ถา๎ เป็นสื่อประเภทวัสดุสามิติ ก็ ต๎องเขียนโครงราํ งการออกแบบ ทาํ พิมพ์เขยี วกํอน เปน็ ตน๎ 8. ทดลองเบ้อื งตน๎ เปน็ การทดลองเพ่ือแก๎ไขข๎อบกพรํองเบ้ืองตน๎ เชํน ภาษา ขนาด สัดสํวน และคณุ ภาพทางเทคนิคอ่ืน ๆ เป็นตน๎ อาจทาํ เป็นขั้นตอนยํอย ๆ เป็นตน๎ วํา ทดลอง 1 คน 3 คน 6 คน 9. ทดลองภาคสนาม เป็นการนําสื่อไปทดลองกบั กลุํมผู๎เรยี นจรงิ แล๎วเกบ็ รวบรวมข๎อมลู ประสิทธภิ าพของส่อื นนั้ ๆ เพื่อแก๎ไขปรับปรุงใหด๎ ี กํอนการนาํ ออกไปใช๎จริง 10. การนาํ ไปใชแ๎ ละปรับปรงุ การนําสอ่ื ทีผ่ ํานการทดลองภาคสนามแลว๎ ไปใช๎อาจจะยังมีข๎อบกพรํองอยูํ บา๎ ง เมอ่ื นาํ ไปใชใ๎ นสถานการณ์ที่แตกตาํ งกนั จงึ ควรแก๎ไขปรับปรงุ เปน็ ระยะ 104
ระบบการใช้ส่ือการสอน ที่มา : https://images.app.goo.gl/ASCTjq21xnEtC1bn9 การใช๎สอื่ การสอนน้ัน ผ๎สู อนควรจะได๎มีการวางแผนอยํางเป็นระบบในการใชเ๎ พื่อให๎บรรลุถึง วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู๎ตามจุดประสงค์ท่วี างไว๎ ข้ันตอนดังน้ี การวเิ คราะหผ์ ู้เรยี น เปน็ การวเิ คราะหล์ ักษณะผูเ๎ รียนเพ่ือทผ่ี ู๎สอนจะไดท๎ ราบวํา ผ๎เู รยี นมีความพร๎อมในการเรียนมาก นอ๎ ยเพียงใดทง้ั นี้เพราะการที่จะใช๎สอื่ ให๎ได๎ผลดี ยํอมจะต๎องเลอื กสื่อใหม๎ คี วามสัมพนั ธ์กับลกั ษณะผูเ๎ รียน ดังนน้ั ผูส๎ อนจะต๎องคํานงึ ถึงลักษณะท่วั ไปและลักษณะเฉพาะของผเู๎ รียน เชนํ การกําหนดลกั ษณะท่วั ไป ซึ่ง ไดแ๎ กํ อายุ ระดับความร๎ู สงั คม เศรษฐกิจและวฒั นธรรมของผ๎ูเรยี นแตลํ ะคน ถึงแมว๎ ําลักษณะท่ัวไปของ ผู๎เรียนจะไมํมีความเกี่ยวข๎องกับเนอ้ื หาบทเรยี นกต็ ามแตกํ เ็ ป็น สง่ิ ทีช่ วํ ยใหผ๎ ู๎สอนสามารถตัดสินระดบั ของ บทเรียนและเพ่ือเลือกตวั อยํางของเนื้อหาใหเ๎ หมาะสมกับผูเ๎ รียนได๎ สํวนลกั ษณะเฉพาะของผูเ๎ รยี นแตลํ ะ คนนัน้ นับวาํ มสี วํ นสาํ คัญโดยตรงกับเน้อื หาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวธิ ีการที่จะนํามาใชใ๎ นการ สอน ส่งิ ทีต่ อ๎ งนํามาใช๎ในการวิเคราะห์ ประกอบด๎วย 1. ทกั ษะท่มี ีมากํอน (prerequisite skill) เพื่อใหท๎ ราบวําผ๎ูเรียนมคี วามร๎ูพน้ื ฐาน หรือทกั ษะที่ เก่ยี วขอ๎ งกบั บทเรยี นน้นั วํามีอะไรบา๎ ง กํอนทจ่ี ะเรยี น 2. ทักษะเปูาหมาย (target skill) ผเ๎ู รียนมคี วามชํานาญในทักษะที่จะสอนนัน้ มากํอนหรือไมํ เพื่อจะได๎สอนให๎ตรงกบั ทวี่ างจุดมํงุ หมายไว๎ 3. ทักษะในการเรียน (study skill) ผเ๎ู รยี นมคี วามสามารถข้ันต๎นทางด๎านภาษา การอํานเขยี น การคํานวณ ฯลฯ ซ่ึงเปน็ สงิ่ จาํ เป็นทจ่ี ะชํวยในการเรยี นรู๎นั้นในระดับมากน๎อยเพยี งไร 4. เจตคติ (attitudes) ผเู๎ รยี นมเี จตคติอยาํ งไรตอํ วชิ าทจี่ ะเรียนนัน้ การวิเคราะหล์ ักษณะผ๎ูเรียน นั้นถงึ แม๎วําจะเปน็ การกระทําเพยี งผิวเผินกต็ าม แตกํ ็สามารถนาํ ไปใช๎ในการเลอื ก ส่อื ทีเ่ หมาะสมได๎ เชนํ หากผู๎เรยี นมีทักษะในการอํานต่ํากวาํ เกณฑ์ก็สามารถชํวยได๎ดว๎ ยการใชส๎ อ่ื ประเภทท่มี ใิ ชสํ ่ือสิ่งพิมพ์ หรือ ถ๎าหากผ๎เู รียนในกลุํมนัน้ มีความแตกตาํ งกนั มาก ก็สามารถให๎เรยี นด๎วยชุดการเรยี นรายบุคคลได๎ การวิเคราะห์ลักษณะผู๎เรียนอาจจะทาํ ใดย๎ ากเป็นบางคร้ัง ทั้งนเ้ี พราะผส๎ู อนอาจมีเวลานอ๎ ยทีจ่ ะสงั เกต 105
หรอื ผ๎ูเรียน อาจเปน็ ผม๎ู าจากที่อนื่ ท่เี ขา๎ มาเรยี นหรือรบั การอบรม แตํก็สามารถกระทาํ ได๎ดว๎ ยการสนทนา กับผู๎เรยี นหรอื ผ๎รู วํ มช้ันอื่นๆ หรอื อาจมีการทดสอบกํอนเรียนเพ่ือดูพื้นฐานของผเ๎ู รียนก็ได๎ การกาหนดจุดประสงค์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ป็นส่ิงท่ีตงั้ ขึน้ เพื่อคาดหวงั วาํ ผเ๎ู รยี นจะสามารถบรรลใุ นส่งิ ตาํ งๆ ที่ต้ังหรือกําหนด ไว๎ การตง้ั หรือ กาํ หนดวัตถุประสงค์ในการเรยี นการสอนนน้ั กเ็ พื่อ 1. ผู๎สอนจะไดท๎ ราบวําการเรียนการสอนนั้นมวี ัตถปุ ระสงค์อะไร เพ่ือสะดวกในการเลือกสื่อ และวิธีการใหถ๎ ูกต๎อง วัตถุประสงคน์ ้ีจะชํวยในการจดั ลาํ ดับกิจกรรมการเรยี นและสร๎างสงิ่ แวดล๎อม หรือ ประสบการณ์การเรียนรเู๎ พ่อื ใหบ๎ รรลุตามวัตถุประสงค์นน้ั 2. ชํวยในการประเมินผเู๎ รยี นได๎อยาํ งถูกต๎อง เพราะผู๎สอนจะไมํทราบเลยวาํ ผเ๎ู รียนไดบ๎ รรลุ ตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไวห๎ รือไมํถา๎ ไมมํ ีการกําหนดวตั ถปุ ระสงคไ์ วก๎ ํอนลวํ งหนา๎ 3. ชวํ ยให๎ผเู๎ รยี นทราบวาํ เมือ่ เรียนบทเรียนนัน้ แล๎วจะสามารถเรียนรหู๎ รือกระทาํ อะไรได๎บ๎าง การกาหนดวัตถุประสงค์ ควรประกอบด้วย 1. การกระทาํ (performance) เป็นส่ิงท่ีคาดหวงั วาํ ผ๎ูเรยี นจะสามารถกระทําอะไรไดบ๎ า๎ ง ภายหลังจากการเรยี นแลว๎ ซ่ึงการกระทํานั้นต๎องเปน็ ส่งิ ที่สงั เกตเหน็ ได๎ 2. เงื่อนไข (Conditions) เป็นข๎อจาํ กัดหรือเงื่อนไขทต่ี ้ังขึน้ โดยรวมอยูํภายใตก๎ ารกระทํานน้ั 3. เกณฑ์ (Criteria) เพอ่ื เป็นการตัดสนิ การกระทาํ น้ันวําเป็นไปตามท่กี ําหนดไวห๎ รือไมํ เมอ่ื กําหนดวตั ถุประสงคแ์ ล๎ว ควรมีการแบํงประเภท หรือระดับของขอบเขตการเรียนร๎ู ทงั้ นเี้ พื่อเปน็ ประโยชนห์ รือแนวทางในการตัดสนิ วํา การเรียนร๎ูนั้นจะครอบคลมุ แนวของทกั ษะหรือพฤตกิ รรมอะไรบา๎ ง จึงตอ๎ งมีการกําหนดเปน็ \"วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม\" ซง่ึ ควรจะประกอบดว๎ ยองค์ประกอบตํางๆ ดงั นี้ - พทุ ธิพิสัย เปน็ วตั ถุประสงค์ทีต่ ้ังไว๎เพ่อื วัดการเรียนร๎ูของผูเ๎ รยี นเก่ียวกับความร๎ู ความเข๎าใจ สติปญั ญาและการพัฒนา เปน็ ต๎น - จติ ตพิสยั เป็นวตั ถุประสงค์ทางด๎านความคิด ทศั นคติ ความรสู๎ ึก คาํ นยิ ม และการเสริมสร๎าง ทางปัญญา - ทกั ษะพิสัย เป็นวัตถปุ ระสงค์เก่ียวกบั การกระทํา การแสดงออก หรอื การปฏบิ ตั ิ การเลือก ดดั แปลง หรอื ออกแบบส่ือ การทีจ่ ะมสี ่อื วัสดทุ ่เี หมาะสมในการเรยี นการสอน สามารถทําได๎ 3 วธิ ี คอื 1. เลอื กจากสื่อทีม่ ีอยแูํ ลว๎ สวํ นใหญํในสถาบนั การศึกษามักจะมที รัพยากรทีส่ ามารถใชเ๎ ปน็ สอื่ ได๎อยแูํ ลว๎ ดังนั้น สง่ิ ทีผ่ ส๎ู อนต๎องกระทาํ คือ ตรวจสอบดวู าํ มสี ิง่ ใดที่จะใช๎เป็นส่ือไดบ๎ า๎ ง โดยเลอื กให๎ตรง 106
กับลกั ษณะผเ๎ู รียนและวตั ถุประสงค์ของการเรยี น เชํน สื่อที่มอี ยํูมีเนื้อหาข๎อมลู และกิจกรรมที่ตรงกบั วัตถุประสงค์ทีต่ ั้งไวห๎ รือไมํ และการเลือกสอ่ื นน้ั ยํอมข้ึนอยํูกบั วธิ ีการสอนในบทเรียนและขอ๎ จํากัดของ สถานการณ์การเรียนการสอนด๎วย 2. ดัดแปลงส่อื ทมี่ ีอยํแู ลว๎ ใหใ๎ ช๎ได๎ดีและเหมาะสมมากย่ิงข้ึน ทงั้ นยี้ อํ มขึน้ กับเวลาและ งบประมาณในการดัดแปลงส่ือนน้ั ดว๎ ย เชํน มีภาพยนตร์เสียงในฟลิ ์มเป็นภาษาอังกฤษ ถา๎ มีการแปลเป็น ภาษาไทยแลว๎ บันทึกเสยี งลงใหมํ เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นชมและฟงั เข๎าใจงํายขนึ้ จะค๎ุมกบั เวลาและการลงทนุ หรือไมํ เหลํานเี้ ป็นต๎น 3. การออกแบบส่ือใหมํ กรณีทีไ่ มํมสี ื่อเดมิ อยํู หรือสื่อทม่ี ีอยํแู ลว๎ ไมสํ ามารถนํามาดัดแปลงให๎ ใช๎ได๎ตามท่ตี อ๎ งการผู๎สอนยํอมต๎องมีการออกแบบและจัดทาํ สอื่ ใหมํ ซึ่งต๎องคํานงึ ถึงองคป์ ระกอบตาํ ง ๆ หลายอยาํ ง เชนํ ตอ๎ งให๎ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรยี นและลักษณะของผูเ๎ รียน มีงบประมาณในการ จัดทําเพียงพอหรอื ไมํ มเี ครือ่ งมือและผูช๎ าํ นาญในการจดั ทาํ ส่ือหรือไมํ เหลาํ น้ีเปน็ ต๎น การใช๎สือ่ เป็นขัน้ ของการกระทําจรงิ ซ่งึ ผสู๎ อนจะต๎องดาํ เนินการดังน้ี 1. ดหู รอื อาํ นเน้ือหาในส่ือเหลาํ นั้นกํอนเป็นการเตรยี มตวั ลํวงหนา๎ เชนํ ดูสไลด์หรือวีดิ ทศั น์เพ่ือศึกษาเนื้อหาให๎แมํนยํากอํ นนําไปสอน หรอื อาํ นบทวิจารณ์เก่ียวกบั เร่ืองน้นั รวํ มดว๎ ย 2. จดั เตรียมสถานที่ ทน่ี ั่งเรียน อปุ กรณเ์ คร่อื งมอื และสง่ิ ตํางๆ เพ่ือความสะดวก เรียบร๎อยกํอนการสอนและควรตอ๎ งทดลองอุปกรณ์ทจ่ี ะใชก๎ ํอนวาํ ใช๎ไดด๎ หี รือไมํ 3. เตรียมตวั ผเู๎ รยี น โดยการใช๎สื่อนําเข๎าสูํบทเรยี น ถา๎ มีการฉายวดี ิทัศนห์ รอื ภาพยนตใ์ ห๎ ชม กค็ วรจะต๎องสรปุ เน้ือหาเร่ืองที่จะชมนนั้ ใหผ๎ เ๎ู รยี นทราบเสียกํอนวําเกยี่ วข๎องกบั ทบเรียนอยาํ งไรบ๎าง เปน็ การแนะนํากํอนลํวงหนา๎ และเพื่อสรา๎ งแรงจูงใจแกผํ ู๎เรียน 4. ควบคุมชัน้ เรียน เพ่ือใหผ๎ ู๎เรยี นมคี วามสนใจในส่ือทีน่ ําเสนอนัน้ การกาหนดการตอบสนองของผูเ้ รยี น การใหผ๎ เ๎ู รยี นมีสํวนรวํ มในการเรียน และเปิดโอกาสให๎มกี ารตอบสนองนน้ั เป็นส่ิงสาํ คญั ยง่ิ ซงึ่ ผ๎เู รยี นจะมกี ารตอบสนองหรือไมแํ ละมากน๎อยเพยี งใดกข็ ้ึนอยํูกบั สื่อทนี่ ํามาใช๎ ส่อื บางชนดิ เม่ือใชแ๎ ล๎วจะ เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนมีสวํ นรวํ มมากกวาํ ส่อื ชนดิ อื่นๆ เชํน การใหอ๎ าํ นข๎อความในหนังสอื หรอื ดภู าพ จะทํา ให๎ผเ๎ู รยี นมกี ารอภปิ รายจากส่ิงทอี่ าํ นหรือเห็น ผู๎เรียนยํอมมีการตอบสนองเกิดขน้ึ ได๎ทนั ทีและงํายกวําการ ใหด๎ ูภาพยนตร์ ท้งั นี้เพราะการดภู าพยนตรถ์ า๎ จะใหด๎ รู ๎ูเรื่องจรงิ ๆ แลว๎ ควรจะต๎องดูใหจ๎ บเร่อื งเสียกํอนแล๎ว จงึ อภปิ รายกัน ซึง่ จะดกี วําหยุดดูทีละตอนแลว๎ อภิปราย เพราะจะทําให๎มีการขัดจงั หวะเกิดความไมํ ตํอเนือ่ งในการดู อาจทําให๎ไมํเขา๎ ใจหรือจับความสาํ คญั ของเรื่องไมไํ ด๎ นอกจากน้ผี เู๎ รียนสามารถมีการ ตอบสนองโดยเปิดเผย (overt response) โดยการพดู ออกมา หรือเขียน และ การตอบสนองภายในตัว 107
ผูเ๎ รียน (convert response) โดยการทอํ งจาํ หรือคิดในใจ เมอื่ ผู๎เรียนมีการตอบสนองแล๎วผส๎ู อนควรให๎ การเสริมแรงทนั ทีเพ่ือให๎ผ๎เู รยี นทราบวําตนมีความเข๎าใจและเกิดการเรียนรทู๎ ่ีถกู ต๎องหรอื ไมํ การเรยี นการ สอนโดยการใหท๎ ําแบบฝึกหัด การตอบคาํ ถาม การอภิปราย หรอื การใช๎บทเรียนแบบโปรแกรม จะเปน็ การเปดิ โอกาสให๎ ผูเ๎ รยี นมกี ารตอบสนองและได๎รบั การเสรมิ แรงระหวาํ งการเรียน การประเมนิ ผล การประเมินสามารกระทํา ได๎ 3 ลักษณะ คือ 1. การประเมนิ กระบวนการสอน เพ่ือเปน็ การประเมนิ วําสามารถบรรลุได๎ตามวัตถุประสงค์ ท่ตี ้ังไว๎หรือไมํทั้งในดา๎ นผูส๎ อน สอื่ การสอน และวิธีการสอน โดยในการประเมนิ สามารถทําไดท๎ ง้ั ในระยะ กอํ น ระหวาํ ง และหลังการสอน 2. การประเมนิ ความสาํ เร็จของผู๎เรยี น ข้นึ อยูํกับวตั ถปุ ระสงค์ที่ตง้ั ไว๎วํามเี กณฑ์เทําใด การ วดั ผลอาจทําได๎ดว๎ ยการทดสอบ การสอบปากเปลํา หรอื ดจู ากผลงานของผเ๎ู รียน ส่งิ สาํ คัญท่ีสดุ ทจ่ี ะทราบ วําผเ๎ู รยี นสัมฤทธิผลทางการเรียนมากน๎อยเทําใด คือ สงั เกตจากการปฏบิ ตั ิและการแสดงออกของผเู๎ รียน น้ัน ๆ 3. การประเมนิ ส่ือและวิธกี ารสอน โดยการให๎ผ๎เู รยี นมกี ารอภปิ รายและวจิ ารณ์การใชส๎ ือ่ และเทคนิควิธกี ารสอนวําเหมาะสมมากนอ๎ ยเพยี งใด 4.3 การวดั และประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรโู้ ดยเนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั ทวิ ตั ถ์ มณโี ชติ (2549) ได๎กลําวถงึ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู๎ของผเ๎ู รยี นไวด๎ งั รายละเอยี ดตํอไปนี้ การวัด เป็นกระบวนการกําหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของ คณุ ลักษณะหรือคณุ สมบตั ิของสง่ิ ที่ต๎องการวดั การวัดผล เป็นกระบวนการกําหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของ คณุ ลักษณะหรือคุณสมบัติของส่ิงท่ีต๎องการวัด โดยสิ่งที่ต๎องการวัดน้ันเป็นผลมาจากการกระทําหรือ กิจกรรมอยํางใดอยํางหน่ึงหรือหลายอยํางรํวมกัน เชํน การวัดผลการเรียนร๎ู ส่ิงที่วัดคือ ผลท่ีเกิด จากการเรียนรขู๎ องผูเ๎ รียน องคป์ ระกอบของการวดั องค์ประกอบของการวัดประกอบด๎วย สิ่งที่ต๎องการวัด เคร่ืองมือวัด และผลของการวัด ท่สี าํ คัญทส่ี ุด คอื เคร่ืองมือวดั เครอื่ งมือที่มีคณุ ภาพจะให๎ผลการวดั ที่เท่ียงตรงและแมํนยํา ประเภทของสงิ่ ทีต่ ้องการวดั สิ่งท่ีต๎องการวดั แบงํ ได๎ 2 ประเภทใหญๆํ คือ 108
1. ส่ิงที่เป็นรูปธรรม คือ คน สัตว์ หรือสิ่งของ ที่จับต๎องได๎ มีรูปทรง การวัดสิ่งท่ีเป็นรูปธรรมน้ี เปน็ การวัดทางกายภาพ (physical) คุณลักษณะท่ีจะวัดสามารถกําหนดได๎ชัดเจน เชํน น้ําหนัก ความสูง ความยาว เครื่องมือวัดคุณลักษณะเหลําน้ีให๎ผลการวัดท่ีเที่ยงตรงและแมํนยําสูง วัดได๎ครบถ๎วน สมบูรณ์ และเอยี ดถถ่ี ว๎ น ตัวอยาํ งเคร่อื งมอื วัด เชํน เคร่ืองช่ัง ไม๎บรรทัด สายวัด เป็นต๎น การวัดลักษณะนี้เป็นการ วัดทางตรง ตัวเลขที่ได๎จากการวัดแทนปริมาณคุณลักษณะที่ต๎องการวัดทั้งหมด เชํน หนัก 10 กิโลกรัม สูง 172 เซนติเมตร ยาว 3.5 เมตร ตัวเลข 10 172 และ 3.5 แทนนํ้าหนัก ความสูง และความยาว ทัง้ หมด เชํน 10 แทนน้ําหนักท้ังหมด ถ๎าไมํมีคุณลักษณะดังกลําว เชํนหนัก 0 หนํวย ก็คือ ไมํมีนําหนัก เลย ตัวเลข 0 นเ้ี ป็นศูนย์แท้ (absolute zero) 2. ส่ิงท่ีเป็นนามธรรม คือสิ่งท่ีไมํมีตัวตน จับต๎องไมํได๎ เป็นการวัดพฤติกรรมและสังคมศาสตร์ (behavioral and social science) คุณลักษณะที่จะวัดกําหนดได๎ไมํชัดเจน เชํน การวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน (achievement) วัดเจตคติ (attitude) วัดความถนัด (aptitude) วัดบุคลิกภาพ (personality) เป็นต๎น เคร่ืองมือวัดด๎านนี้มีคุณภาพด๎อยกวําเครื่องมือวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ ให๎ผลการ วดั ทีเ่ ท่ยี งตรงและแมนํ ยาํ นอ๎ ยกวาํ ลกั ษณะการวัด เปน็ การวัดทางอ๎อม วัดได๎ไมํสมบูรณ์ ไมํละเอียดถ่ีถ๎วน และมีความผิดพลาด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได๎จากการวัดเป็นคําโดยประมาณ ไมํสามารถแทนปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลักษณะท่ีต๎องการวัดได๎ท้ังหมด เชํน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนคนหนึง่ ได๎ 15 คะแนน ตัวเลข 15 ไมํได๎แทนปริมาณความร๎ูความสามารถทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนคนนี้ท้ังหมด แม๎แตํนักเรียนท่ีสอบได๎คะแนนเต็ม ไมํได๎หมายความวํานักเรียนผู๎น้ันมีความร๎ู ความสามารถในเรอื่ งดังกลําวสมบรู ณเ์ ต็มตามกรอบของหลกั สูตร ในทางตรงกันข๎ามนักเรียนที่ได๎ 0 คะแนน กไ็ มไํ ดห๎ มายความวํานักเรียนผ๎ูนั้นไมํมีความรู๎ความสามารถในคุณลักษณะดังกลําว เพียงแตํตอบคําถามผิด หรอื เครือ่ งมอื วดั ไมตํ รงกับความรูค๎ วามสามารถทนี่ ักเรียนคนน้นั มี เลข 0 น้ี เปน็ ศนู ยเ์ ทียม ลักษณะการวัดทางการศึกษา การวดั ทางการศกึ ษาเป็นการวดั คณุ ลกั ษณะทเ่ี ป็นนามธรรม มลี กั ษณะการวดั ดงั น้ี 1. เป็นการวัดทางอ้อม คือ ไมํสามารถวัดคุณลักษณะที่ต๎องการวัดได๎โดยตรง ต๎องนิยาม คุณลักษณะดังกลําวไห๎เป็นพฤติกรรมท่ีวัดได๎กํอน จากนั้นจึงวัดตามพฤติกรรมท่ีนิยาม เชํน การวัดความ รับผิดชอบของนักเรียน ต๎องให๎นิยามคุณลักษณะความรับผิดชอบเป็นพฤติกรรมท่ีวัดได๎ โดยอาจจะแยก เปน็ พฤติกรรมยํอย เชํน ไมํมาโรงเรียนสาย ทํางานทุกงานที่ได๎รับมอบหมาย นําวัสดุอุปกรณ์การเรียนที่ ครสู ง่ั มาครบทกุ คร้งั สํงงานหรือการบา๎ นตามเวลาที่กําหนด เป็นตน๎ 2. วัดได้ไม่สมบูรณ์ การวัดทางการศึกษาไมํสามารถทําการวัดคุณลักษณะที่ต๎องการวัดได๎ ครบถ๎วนสมบูรณ์ วัดได๎เพียงบางสํวน หรือวัดได๎เฉพาะตัวแทนของคุณลักษณะทั้งหมด เชํนการวัด 109
ความสามารถการอํานคําของนักเรียน ผ๎ูวัดไมํสามารถนําคําทุกคํามาทําการทดสอบนักเรียน ทําได๎เพียง นาํ คาํ สวํ นหนึง่ ที่คดิ วําเป็นตัวแทนของคาํ ทัง้ หมดมาทาํ การวัด เปน็ ต๎น 3. มีความผิดพลาด สบื เน่ืองจากการทไี่ มสํ ามารถวัดได๎โดยตรง และการนิยามส่ิงที่ต๎องการวัดก็ ไมํสามารถนิยามให๎เป็นพฤติกรรมท่ีวัดได๎ได๎ท้ังหมด จึงวัดได๎ไมํสมบูรณ์ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ท่ีได๎จาก การวัดเป็นการประมาณคุณลักษณะท่ีต๎องการวัด ซ่ึงในความเป็นจริงคุณลักษณะดังกลําวอาจจะมีมาก หรือน๎อยกวํา ผลการวัดจึงมีความผิดพลาดของการวัด หรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การวัดท่ีดี จะตอ๎ งให๎เกิดการผิดพลาดหรือคลาดเคลอ่ื นน๎อยทสี่ ดุ 4. อยู่ในรูปความสัมพันธ์ การท่ีจะรู๎ความหมายของตัวเลขที่วัดได๎ ต๎องนําตัวเลขดังกลําวไป เทียบกับเกณฑ์หรือเทียบกับคนอ่ืน เชํน นําคะแนนท่ีนักเรียนสอบได๎เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุํม เทียบกับคะแนนของเพ่ือนท่ีสอบพร๎อมกัน หรือเทียบกับคะแนนของนักเรียนเองกับการสอบครั้งกํอนๆ ถ๎าคะแนนสูงกวาํ เพอื่ น แสดงวํามีความสามารถในเรื่องท่ีวัดมากกวําเพ่ือนคนนั้น หรือถ๎ามีคะแนนสูงกวํา คะแนนทต่ี นเองเคยสอบผาํ นมา แสดงวาํ มีพฒั นาการข้ึน เปน็ ตน๎ หลกั การวัดทางการศกึ ษา การวัดทางการศกึ ษา มีหลักการเบอื้ งต๎น ดังนี้ 1. นิยามสิ่งที่ต้องการวัดให้ชัดเจน ดังที่กลําวไว๎ในลักษณะการวัดวํา การวัดทางการศึกษาเป็น การวดั ทางอ๎อม การที่จะวดั ใหม๎ ีคณุ ภาพต๎องนิยามคุณลักษณะที่ต๎องการวัดให๎ตรงและชัดเจน การนิยาม น้ี มคี วามสําคัญมาก ถา๎ นยิ ามไมํตรงหรือไมํถูกต๎อง เครื่องมือวัดท่ีสร๎างตามนิยามก็ไมํมีคุณภาพ ผลการ วัดกผ็ ิดพลาด คือ วัดไดไ๎ มํตรงกับคณุ ลักษณะที่ต๎องการวัด 2. ใชเ้ ครอ่ื งมือวัดท่ีมคี ณุ ภาพ หัวใจสําคญั ของการวัด คือ สามารถวัดคุณลักษณะได๎ตรงตามกับ ท่ตี ๎องการวัดและวัดได๎แมํนยํา โดยใช๎เครื่องมือวัดท่ีมีคุณภาพ คุณภาพของเครื่องมือมีหลายประการ ท่ี สําคัญคือ มีความตรง (validity) คือวัดได๎ตรงกับคุณลักษณะที่ต๎องการวัด และมีความเท่ียง (reliability) คือวดั ไดค๎ งที่ คอื วดั ได๎กค่ี ร้งั กใ็ ห๎ผลการวัดทีไ่ มํเปลยี่ นแปลง 3. กาหนดเงื่อนไขของการวัดใหช้ ัดเจน คือกาํ หนดให๎แนํนอนวาํ จะทาํ การวัดอะไร วดั อยาํ งไร กําหนดตวั เลขและสัญลักษณ์อยํางไร ขน้ั ตอนการวดั ทางการศกึ ษา 1. ระบจุ ดุ ประสงค์และขอบเขตของการวดั วาํ วดั อะไร วัดใคร 2. นยิ ามคุณลักษณะท่ตี ๎องการวัดให๎เป็นพฤติกรรมทวี่ ดั ได๎ 3. กําหนดวธิ ีการวดั และเครื่องมอื วดั 4. จัดหาหรือสรา๎ งเครื่องมือวัด กรณสี ร๎างเคร่ืองมือใหมํดาํ เนนิ การตามข้นั ตอน ดังนี้ 110
4.1 สร๎างข๎อคําถาม เง่ือนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร๎า ที่จะกระต๎ุนให๎ผ๎ูถูกวัดแสดง พฤติกรรมตอบสนองออกมาเพื่อทําการวัด โดยข๎อคําถามเงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร๎าดังกลําวต๎อง ตรงและครอบคลุมคุณลักษณะท่ีนยิ ามไว๎ 4.2 พิจารณาข๎อคําถาม เง่ือนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร๎า โดยอาจให๎ผู๎เช่ียวชาญทางด๎าน เนอื้ หาและทางดา๎ นวัดผลชํวยพจิ ารณา 4.3 ทดลองใช๎เครื่องมือ กบั กลุมํ ท่ีเทียบเคยี งกับกลุํมที่ตอ๎ งการวดั 4.4 หาคุณภาพของเคร่อื งมือ มคี ณุ ภาพรายข๎อและคุณภาพ เครื่องมอื ท้ังฉบับ 4.5 จดั ทําคูํมือวัดและการแปลความหมาย 4.6 จัดทําเคร่อื งมือฉบบั สมบูรณ์ 5. ดาํ เนนิ การวดั ตามวธิ กี ารท่กี ําหนด 6. ตรวจสอบและวเิ คราะห์ผลการวดั 7. แปลความหมายผลการวดั และนาํ ผลการวดั ไปใช๎ การประเมนิ (Evaluation or Assessment or Appraisal) การประเมิน เป็นกระบวนการตํอเน่ืองจากการวัด คือ นําตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได๎จากการวัด มาตีคําอยํางมีเหตุผล โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ีกําหนดไว๎ เชํน โรงเรียนกําหนดคะแนนที่นํา พอใจของวิชาคณิตศาสตร์ไว๎ที่ร๎อยละ 60 นักเรียนที่สอบได๎คะแนนตั้งแตํ 60 % ข้ึนไป ถือวําผํานเกณฑ์ท่ี นําพอใจ หรืออาจจะกําหนดเกณฑ์ไว๎หลายระดับ เชํน ได๎คะแนนไมํถึงร๎อยละ 40 อยูํในเกณฑ์ควร ปรับปรุง ร๎อยละ 40-59 อยูํในเกณฑ์พอใช๎ ร๎อยละ 60-79 อยูํในเกณฑ์ดี และร๎อยละ 80 ข้ึนไป อยํูใน เกณฑ์ดีมาก เปน็ ต๎น ลักษณะเชํนนีเ้ รียกวําเปน็ การประเมนิ การประเมินผล มีความหมายเชํนเดียวกับการประเมิน แตํเป็นกระบวนการตํอเน่ืองจากการ วดั ผล สาํ หรับภาษาอังกฤษมีหลายคํา ท่ีใช๎มากมี 2 คํา คือ evaluation และ assessment 2 คํา น้มี ีความหมายตาํ งกัน คอื evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการกําหนดเกณฑ์ชัดเจน (absolute criteria) เชํน ได๎ คะแนนร๎อยละ 80 ข้ึนไป ตัดสินวําอยูํในระดับดี ได๎คะแนนร๎อยละ 60 – 79 ตัดสินวําอยูํในระดับพอใช๎ ได๎คะแนนไมํถึงร๎อยละ 60 ตัดสินวําอยํูในระดับควรปรับปรุง evaluation จะใช๎กับการประเมินการ ดําเนินงานท่ัวๆ ไป เชํน การประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสูตร (Curriculum Evaluation) 111
assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ใช๎เกณฑ์เชิงสัมพันธ์ (relative criteria) เชํน เทียบกับผลการประเมินคร้ังกํอน เทียบกับเพื่อนหรือกลุํมใกล๎เคียงกัน assessment มักใช๎ในการ ประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ เชํน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น การประเมนิ ตนเอง (Self Assessment) ลกั ษณะการประเมนิ ทางการศกึ ษา การประเมนิ ทางการศึกษามีลักษณะ ดงั นี้ 1. เป็นสํวนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการจัดการเรียนร๎ู ซึ่งควรทําการ ประเมินอยํางตํอเนื่อง เพ่ือนําผลการประเมินไปปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให๎มีประสิทธิภาพ ย่งิ ขึน้ 2. เป็นการประเมินคุณลักษณะหรือพัฒนาการการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนวําบรรลุตามจุดประสงค์ หรือไมํ 3. เป็นการประเมินในภาพรวมทัง้ หมดของผู๎เรียน โดยการรวบรวมข๎อมูลและประมวลจากตัวเลข จากการวดั หลายวิธแี ละหลายแหลํง 4. เป็นกระบวนการเกี่ยวข๎องกับบุคลหลายกลุํม ทั้งครู นักเรียน ผู๎ปกครองนักเรียน ผู๎บริหาร โรงเรยี น และอาจรวมถึงคณะกรรมการตํางๆ ของโรงเรียน หลักการประเมินทางการศึกษา หลักการประเมนิ ทางการศกึ ษาโดยท่วั ไปมีดงั นี้ 1. ขอบเขตการประเมนิ ตอ๎ งตรงและครอบคลมุ หลกั สตู ร 2. ใชข๎ ๎อมลู จากผลการวดั ที่ครอบคลมุ จากการวัดหลายแหลํง หลายวธิ ี 3. เกณฑ์ท่ีใช๎ตัดสินผลการประเมินมีความชัดเจน เป็นไปได๎ มีความยุติธรรม ตรงตาม วัตถุประสงค์ของหลกั สูตร ขัน้ ตอนในการประเมนิ ทางการศึกษา การประเมินทางการศกึ ษามขี ้ันตอนท่สี าํ คญั ดังน้ี 1. กาํ หนดจุดประสงคก์ ารประเมนิ โดยให๎สอดคลอ๎ งและครอบคลมุ จดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร 2. กําหนดเกณฑ์เพ่ือตคี าํ ข๎อมูลท่ีไดจ๎ าการวดั 3. รวบรวมขอ๎ มลู จากการวัดหลายๆ แหลํง 4. ประมวลและผสมผสานข๎อมูลตาํ งๆ ของทุกรายการทว่ี ัดได๎ 5. วนิ ิจฉัยช้บี ํงและตัดสินโดยเทียบกับเกณฑ์ที่ต้ังไว๎ 112
ประเภทของการประเมินทางการศกึ ษา การประเมนิ แบงํ ไดห๎ ลายประเภท ข้นึ อยํูกับเกณฑท์ ใี่ ช๎ในการแบงํ ดงั นี้ 1. แบ่งตามจดุ ประสงคข์ องการประเมิน การแบงํ ตามจดุ ประสงคข์ องการประเมิน แบงํ ได๎ดังนี้ 1.1 การประเมินกํอนเรียน หรือกํอนการจัดการเรียนรู๎ หรือการประเมินพื้นฐาน (Basic Evaluation) เป็นการประเมินกํอนเรม่ิ ตน๎ การเรยี นการสอนของแตํละบทเรียนหรือแตํละหนํวย แบํงได๎ 2 ประเภท คือ 1.1.1 การประเมินเพ่ือจัดตําแหนํง (Placement Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อ พิจารณาดูวําผ๎ูเรียนมีความรู๎ความสามารถในสาระที่จะเรียนอย๎ูในระดับใดของกลุํม ประโยชน์ของการ ประเมินประเภทนี้ คือ ครูใช๎ผลการประเมินเพ่ือกําหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู๎ให๎เหมาะสมกับกลํุม ผ๎ูเรียน ผู๎เรียนท่ีมีความร๎ูความสามารถในสาระที่จะเรียนน๎อยคืออยูํในตําแหนํงท๎ายๆ ควรได๎รับการ เพมิ่ พูนเนื้อหาสาระน้ันมากกวํากลํุมทอ่ี ยูํในลําดับต๎นๆ คือ กลุํมที่มีความร๎ูความสามารถในสาระที่จะเรียน มากกวํา หรือกลํุมท่ีมีความร๎ูพ้ืนฐานในสาระท่ีจะเรียนดีกวํา และแตํละกลุํมควรใช๎รูปแบบการเรียนร๎ูท่ี แตกตาํ งกัน 1.1.2 การประเมินเพ่ือวินิจฉัย (Diagnostic Evaluation) เป็นการประเมินกํอนการเรียน การสอนอีกเชนํ กนั แตํเปน็ การประเมินเพ่อื พจิ ารณาแยกแยะวาํ ผูเ๎ รยี นมคี วามร๎ูความสามารถในสาระที่จะ เรยี นรมู๎ ากนอ๎ ยเพียงใด มีพ้ืนฐานเพียงพอที่จะเรียนในเร่ืองท่ีจะสอนหรือไมํ จุดใดสมบูรณ์แล๎ว จุดใดยัง บกพรํองอยํู จําเป็นต๎องได๎รับการสอนเสริมให๎มีพื้นฐานท่ีเพียงพอเสียกํอนจึงจะเริ่มต๎นสอนเน้ือหาใน หนวํ ยการเรยี นตํอไป และจากพ้นื ฐานท่ผี เู๎ รยี นมีอยูํควรใช๎รปู แบบการเรยี นการสอนอยํางไร ท้ังการประเมินเพื่อจัดตําแหนํงและการประเมินเพ่ือวินิจฉัยมีจุดประสงค์เหมือนกันคือ เพื่อทราบพ้ืนฐานความร๎ูความสามารถของผู๎เรียนกํอนที่จะจัดการเรียนร๎ูหรือการเรียนการสอนในสาระ การเรียนรู๎น้ันๆ แตํการประเมิน 2 ประเภทดังกลําวมีความแตกตํางกัน คือ การประเมินเพื่อจัดตําแหนํง เป็นการประเมินเพ่ือพิจารณาในภาพรวม ใช๎เครื่องมือไมํละเอียดหรือจํานวนข๎อคําถามไมํมาก แตํการ ประเมนิ เพื่อวินิจฉัยเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาอยํางละเอียด แยกแยะเน้ือหาเป็นตอนๆ เพื่อพิจารณาวํา ผเ๎ู รียนมคี วามร๎พู นื้ ฐานของเนอ้ื หาแตํละตอนมากนอ๎ ยเพียงใด จุดใดบกพรอํ งบ๎าง ดังนัน้ จํานวนข๎อคําถาม มมี ากกวํา 1.2 การประเมนิ เพอ่ื พัฒนา หรือการประเมินยํอย (Formative Evaluation) เป็นการประเมิน เพือ่ ใชผ๎ ลการประเมินเพ่ือปรบั ปรุงกระบวนการจัดการเรียนร๎ู การประเมินประเภทน้ีใช๎ระหวํางการจัดการ เรียนการสอน เพื่อตรวจสอบวําผู๎เรียนมีความร๎ูความสามารถตามจุดประสงค์ที่กําหนดไว๎ในระหวํางการ จดั การเรยี นการสอนหรือไมํ หากผู๎เรียนไมํผํานจุดประสงค์ที่ต้ังไว๎ ผู๎สอนก็จะหาวิธีการที่จะชํวยให๎ผ๎ูเรียน 113
เกิดการเรียนร๎ูตามเกณฑท์ ต่ี ัง้ ไว๎ ผลการประเมินยังเป็นการตรวจสอบครูผู๎สอนเองวําเป็นอยํางไร แผนการ เรียนรู๎รายครั้งท่ีเตรียมมาดีหรือไมํ ควรปรับปรุงอยํางไร กระบวนการจัดการเรียนร๎ูเป็นอยํางไร มีจุดใด บกพรอํ งทตี่ อ๎ งปรบั ปรุงแก๎ไขตํอไป การประเมินประเภทน้ี นอกจากจะใช๎ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน แล๎ว ผลการประเมนิ ยงั ใชใ๎ นการปรบั ปรุงหลักสตู รของสถานศกึ ษาดว๎ ย กลําวคือ หากพบวําเนื้อหาสาระใด ที่ผู๎เรียนมีผลสัมฤทธ์ิไมํเป็นไปตามผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวัง โดยที่ผู๎สอนได๎พยายามปรับปรุงการจัดการ เรียนการสอนอยํางเต็มท่ีกับผู๎เรียนหลายกลุํมแล๎วยังได๎ผลเป็นอยํางเดิม แสดงวําผลการเรียนร๎ูที่คาดหวัง นั้นสูงเกินไปหรือไมํเหมาะกับผู๎เรียนในช้ันเรียนระดับน้ี หรือเน้ือหาอาจจะยากหรือซับซ๎อนเกินไปท่ีจะ บรรจุในหลักสูตรระดับนี้ ควรบรรจุในช้ันเรียนท่ีสูงขึ้น จะเห็นวําผลจากการประเมินจะเป็นประโยชน์ตํอ การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาด๎วย 1.3 การประเมินเพ่ือตัดสินหรือการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นการ ประเมินเพื่อตัดสินผลการจัดการเรียนรู๎ เป็นการประเมินหลังจากผู๎เรียนได๎เรียนไปแล๎ว อาจเป็นการ ประเมินหลังจบหนํวยการเรียนรู๎หนํวยใดหนํวยหนึ่ง หรือหลายหนํวย รวมทั้งการประเมินปลายภาค เรียนหรือปลายปี ผลจากการประเมินประเภทน้ีใช๎ในการตัดสินผลการจัดการเรียนการสอน หรือตัดสินใจ วําผเู๎ รยี นคนใดควรจะได๎รับระดบั คะแนนใด 2. แบ่งตามการอา้ งองิ การแบงํ ประเภทของการประเมนิ ตามการอา๎ งอิงหรือตามระบบของการวดั แบงํ ออกเป็น 2.1 การประเมินแบบอิงตน (Self-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือนําผลจาก การเรียนรู๎มาเปรียบเทียบกับความสามารถของตนเอง เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุงตนเอง (Self Assessment) เชนํ ประเมนิ โดยการเปรยี บเทียบผลการทดสอบกํอนเรียนกับทดสอบหลังเรียนของตนเอง การประเมินแบบน้ี ควรจะใช๎แบบทดสอบคํูขนานหรือแบบทดสอบเทียบเคียง (Equivalence Test) เพ่ือ เปรียบเทียบกนั ได๎ 2.2 การประเมินแบบอิงกลํุม (Norm-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อ พิจารณาวาํ ผูไ๎ ด๎รับการประเมินแตํละคนมีความสามารถมากน๎อยเพียงใด เม่ือเปรียบเทียบกับกลํุมท่ีถูกวัด ด๎วยแบบทดสอบฉบับเดียวกัน การประเมินประเภทน้ีขึ้นอยูํกับความร๎ู ความสามารถของกลํุมเป็นสําคัญ นิยมใช๎ในการจัดตําแหนงํ ผ๎ูถกู ประเมิน หรือใช๎เพือ่ คดั เลอื กผู๎เขา๎ ศึกษาตํอ 2.3 การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-referenced Evaluation) เป็นการนําผลการสอบ ท่ีได๎ไปเทียบกับเกณฑ์ท่ีกําหนดไว๎ ความสําคัญอยํูท่ีเกณฑ์ โดยไมํจําเป็นต๎องคํานึงถึงความสามารถของ กลํมุ ซง่ึ เกณฑ์ทใี่ ช๎ในการประเมินผลการเรียนรไ๎ู ดแ๎ กํ ผลการเรยี นร๎ทู ค่ี าดหวังและมาตรฐานการเรียนร๎ู 114
3. แบ่งตามผปู้ ระเมนิ การแบํงประเภทของการประเมินตามกลุมํ ผู๎ประเมนิ (Evaluator) แบงํ ออกเปน็ 3.1 การประเมินตนเอง (Self Assessment) หรือการประเมินภายใน (Internal Evaluation) เปน็ การประเมนิ ลกั ษณะเดียวกบั การประเมินแบบอิงตน คือ เพ่อื นาํ ผลการประเมินมาพัฒนาหรือปรับปรุง ตนเอง การประเมินประเภทนี้สามารถประเมินได๎ทุกกลุํม ผ๎ูเรียนประเมินตนเองเพื่อปรับปรุงการเรียนรู๎ ของตนเอง ครูประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนของตนเอง นอกจากประเมินเพื่อพัฒนาปรับปรุงการเรียน การสอนแล๎ว สามารถประเมินเพ่ือพัฒนาปรับปรุงได๎ทุกเรื่อง ผ๎ูบริหารสถานศึกษาประเมินเพ่ือปรับปรุง การบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษาโดยอาจจะประเมินด๎วยตนเอง หรือมีคณะประเมินของ สถานศึกษา เรยี กวาํ การประเมินภายใน (Internal Evaluation) หรือการศึกษาตนเอง (Self Study) โดย อาจจะประเมนิ โดยรวม หรอื แบํงประเมินเปน็ สวํ นๆ เป็นด๎านๆ ลักษณะการประเมินอาจจะมีคณะเดียว ประเมินทุกสํวน หรือจะให๎แตํละสํวนประเมินตนเองหรือภายในสํวนของตนเอง เชํน แตํละระดับชั้นเรียน แตลํ ะหมวดวชิ าหรอื กลํมุ สาระการเรียนรู๎ แตํละฝาุ ย อาทิ ฝุายปกครอง ฝุายวชิ าการ ฝุายอาคารสถานท่ี เป็นต๎น เพ่ือให๎แตํละสํวนมีการพัฒนาปรับปรุงการดําเนินงานของตนเอง และอาจจะรวบรวมผลการ ประเมินแตํละสํวนเพ่ือจัดทําเป็นรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา (Self Study Report : SSR หรือ Self Assessment Report : SAR) 3.2 การประเมินโดยผูอ๎ น่ื หรือการประเมนิ ภายนอก (External Evaluation) สืบเน่ืองจากการ ประเมินตนเองหรอื การประเมนิ ภายในซึ่งมีความสําคัญมากในการพัฒนาปรับปรุง แตํการประเมินภายใน มีจุดอํอนคือความนําเชื่อถือ โดยบุคคลภายนอกมักคิดวําการประเมินภายในนั้น มีความลําเอียง ผู๎ ประเมินตนเองมักจะเข๎าข๎างตนเอง ดังน้ันจึงมีการประเมินโดยผ๎ูอื่นหรือประเมินโดยผู๎ประเมินภายนอก เพ่ือยืนยันการประเมินภายใน และอาจจะมีจุดอํอนหรือจุดท่ีควรได๎รับการพัฒนาย่ิงขึ้นในทรรศนะของผู๎ ประเมินในฐานะท่ีมีประสบการณ์ที่แตกตํางกัน อยํางไรก็ดี การประเมินภายนอกก็มีจุดบกพรํองในเรื่อง การร๎ูรายละเอียดและถูกต๎องของสิงท่ีจะประเมิน และจุดบกพรํองอีกประการหนึ่งคือเจตคติของผ๎ูถูก ประเมิน ถา๎ รู๎สกึ วาํ ถูกจับผิดกจ็ ะตํอต๎าน ไมใํ ห๎ความรํวมมือ ไมยํ อมรบั ผลการประเมิน ทําให๎การประเมิน ดําเนินไปด๎วยความยากลําบาก ดังน้ันการประเมินภายนอกควรมาจากความต๎องการของผ๎ูถูกประเมิน เชํน ครูผ๎ูสอนให๎ผ๎ูเรียน ผ๎ูปกครอง หรือเพ่ือนครูประเมินการสอนของตนเอง สถานศึกษาให๎ผู๎ปกครอง หรอื นักประเมนิ มอื อาชพี (ภายนอก) ประเมินคุณภาพการจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษา 115
ความสาคัญของการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เป็นองค์ประกอบสําคัญในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษา ทําให๎ได๎ข๎อมูลสารสนเทศที่จําเป็นในการพิจารณาวําผู๎เรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู๎ตามผลการ เรียนรูท๎ ี่คาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู๎ จากประเภทของการประเมินโดยเฉพาะการแบํงประเภทโดยใช๎จุดประสงค์ของการประเมินเป็น เกณฑ์ในการแบํงประเภท จะเห็นวํา การวัดและประเมินผลการเรียนนอกจากจะมีประโยชน์โดยตรงตํอ ผ๎ูเรียนแล๎ว ยังสะท๎อนถึงประสิทธิภาพการการสอนของครู และเป็นข๎อมูลสําคัญท่ีสะท๎อนคุณภาพการ ดาํ เนนิ งานการจดั การศกึ ษาของสถานศึกษาด๎วย ดังน้ันครูและสถานศึกษาต๎องมีข๎อมูลผลการเรียนร๎ูของ ผู๎เรียน ทั้งจากการประเมินในระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา และระดับอื่นท่ีสูงข้ึน ประโยชน์ของ การวดั และการประเมินผลการเรยี นรจ๎ู ําแนกเป็นด๎านๆ ดังนี้ 1. ดา้ นการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนร๎ูของผเู๎ รยี นมีประโยชน์ตํอการจัดการเรียนร๎ูหรือการจัดการเรียน การสอนดังนี้ 1.1 เพ่อื จดั ตาแหนง่ (Placement) ผลจากการวดั บอกได๎วําผเ๎ู รียนมีความรู๎ความสามารถอยูํใน ระดับใดของกลํุมหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล๎วอยูํในระดับใด การวัดและประเมินเพ่ือจัดตําแหนํงน้ี มัก ใช๎ในวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1.1.1 เพ่ือคัดเลือก (Selection) เป็นการใช๎ผลการวัดเพื่อคัดเลือกเพ่ือเข๎าเรียน เข๎า รวํ มกจิ กรรม-โครงการ หรือเป็นตวั แทน(เชนํ ของชนั้ เรียนหรอื สถานศึกษา) เพื่อการทาํ กิจกรรม หรือการ ใหท๎ นุ ผล การวดั และประเมนิ ผลลักษณะนค้ี าํ นงึ ถงึ การจดั อันดบั ที่เปน็ สาํ คัญ 1.1.2 เพื่อแยกประเภท (Classification) เป็นการใช๎ผลการวดั และประเมนิ เพื่อแบํงกลุํม ผเู๎ รียน เชนํ แบงํ เป็นกลมํุ ออํ น ปานกลาง และเกํง แบงํ กลุํมผําน-ไมผํ ํานเกณฑ์ หรอื ตัดสนิ ได๎-ตก เป็นต๎น เปน็ การวดั และประเมินท่ยี ึดเกณฑท์ ี่ใชใ๎ นการแบํงกลํุมเปน็ สาํ คญั 1.2 เพ่ือวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการใช๎ผลการวัดและประเมินเพ่ือค๎นหาจุดเดํน-จุดด๎อยของ ผู๎เรียนวํามีปัญหาในเร่ืองใด จุดใด มากน๎อยแคํไหน เพ่ือนําไปสํูการตัดสินใจการวางแผนการจัดการ เรยี นรู๎และการปรบั ปรุงการเรยี นการสอนใหม๎ ปี ระสิทธิภาพยิง่ ขน้ึ เครื่องมอื ทีใ่ ชว๎ ัดเพอ่ื การวินิจฉับ เรียกวํา แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic Test) หรือแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน ประโยชน์ของการวัดและ ประเมินประเภทนนี้ าํ ไปใชใ๎ นวตั ถปุ ระสงค์ 2 ประการดังน้ี 1.2.1 เพอื่ พฒั นาการเรียนรขู้ องผู้เรียน ผลการวัดผู๎เรียนด๎วยแบบทดสอบวินิจฉัยการ เรียนจะทําให๎ทราบวําผ๎ูเรียนมีจุดบกพรํองจุดใด มากน๎อยเพียงใด ซึ่งครูผู๎สอนสามารถแก๎ไขปรับปรุงโดย การสอนซํอมเสริม (Remedial Teaching) ได๎ตรงจุด เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามมาตรฐานการเรียนรู๎ ทคี่ าดหวงั ไว๎ 116
1.2.2 เพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ผลการวัดด๎วยแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน นอกจากจะชํวยให๎เห็นวําผ๎ูเรียนมีจุดบกพรํองเรื่องใดแล๎ว ยังชํวยให๎เห็นจุดบกพรํองของกระบวนการ จัดการเรียนรู๎อีกด๎วย เชํน ผ๎ูเรียนสํวนใหญํมีจุดบกพรํองจุดเดียวกัน ครูผู๎สอนต๎องทบทวนวําอาจจะเป็น เพราะวิธกี ารจดั การเรียนรไู๎ มเํ หมาะสมต๎องปรปั รงุ แกไ๎ ขให๎เหมาะสม 1.3 เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง การประเมินเพ่ือพัฒนา (Formative Evaluation) เป็นการ ประเมนิ เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู๎เทยี บกบั จดุ ประสงค์หรอื ผลการเรียนรู๎ท่ีคาดหวัง ผลจากการประเมิน ใช๎พัฒนาการจัดการเรียนร๎ูให๎มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น โดยอาจจะปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนวิธีการสอน (Teaching Method) ปรับเปลี่ยนส่ือการสอน (Teaching Media) ใช๎นวัตกรรมการจัดการเรียนร๎ู (Teaching Innovation) เพ่อื นาํ ไปสํกู ารพัฒนาการจัดการเรยี นร๎ทู ี่มปี ระสิทธิภาพ 1.4 เพ่ือการเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการใช๎ผลการวัดและประเมินเปรียบเทียบวํา ผ๎เู รียนมีพัฒนาการจากเดมิ เพียงใด และอยํใู นระดับที่พงึ พอใจหรือไมํ 1.5 เพื่อการตัดสิน การประเมินเพื่อการตัดสินผลการเรียนของผู๎เรียนเป็นการประเมินรวม (Summative Evaluation) คือใช๎ข๎อมูลท่ีได๎จากการวัดเทียบกับเกณฑ์เพ่ือตัดสินผลการเรียนวําผําน-ไมํ ผําน หรือใหร๎ ะดบั คะแนน 2 ด้านการแนะแนว ผลจากการวดั และประเมินผ๎ูเรียน ชํวยให๎ทราบวําผู๎เรียนมีปัญหาและข๎อบกพรํองในเรื่องใด มาก น๎อยเพียงใด ซึ่งสามารถแนะนําและชํวยเหลือผ๎ูเรียนให๎แก๎ปัญหา มีการปรับตัวได๎ถูกต๎องตรงประเด็น นอกจากน้ผี ลการวดั และประเมินยังบํงบอกความร๎ูความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู๎เรียน ซ่ึง สามารถนาํ ไปใชแ๎ นะแนวการศกึ ษาตอํ และแนะแนวการเลอื กอาชีพใหแ๎ กผํ เ๎ู รยี นได๎ 3. ด้านการบริหาร ข๎อมลู จากการวัดและประเมินผเู๎ รียน ชํวยให๎ผบ๎ู ริหารเห็นข๎อบกพรํองตํางๆ ของการจัดการเรียนร๎ู เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู และบํงบอกถึงคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ผู๎บริหารสถานศึกษามักใช๎ข๎อมูลได๎จากการวัดและประเมินใช๎ในการตัดสินใจหลายอยําง เชํน การพัฒนา บคุ ลากร การจัดครูเขา๎ สอน การจัดโครงการ การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเรียน นอกจากน้ีการวัดและ ประเมนิ ผลยังให๎ขอ๎ มลู ท่ีสําคัญใน การจัดทํารายงานการประเมินตนเอง (SSR) เพื่อรายงานผลการจัดการศึกษาสํูผ๎ูปกครอง สาธารณชน หนํวยงานต๎นสังกัด และนําไปสํูการรองรับการประเมินภายนอก จะเห็นวําการวัดและประเมินผล การศกึ ษาเปน็ หัวใจสาํ คัญของระบบการประกันคุณภาพท้ังภายในและภายนอกสถานศกึ ษา 117
4. ด้านการวจิ ยั การวดั และประเมินผลมีประโยชน์ตอํ การวิจยั หลายประการดังน้ี 4.1 ข๎อมูลจาการวัดและประเมินผลนําไปสูํปัญหาการวิจัย เชํน ผลจากการวัดและประเมิน พบวําผ๎ูเรียนมีจุดบกพรํองหรือมีจุดที่ควรพัฒนาการแก๎ไขจุดบกพรํองหรือการพัฒนาดังกลําวโดยการ ปรบั เปลีย่ นเทคนคิ วิธสี อนหรือทดลองใช๎นวัตกรรมโดยใช๎กระบวนการวิจัย การวิจัยดังกลําวเรียกวํา การ วิจยั ในชนั้ เรยี น (Classroom Research) นอกจากนี้ผลจากการวัดและประเมินยังนําไปสูํการวิจัยในด๎าน อื่น ระดับอื่น เชํน การวิจัยของสถานศึกษาเก่ียวกับการทดลองใช๎รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะของ ผ๎เู รียน เปน็ ต๎น 4.2 การวัดและประเมินเป็นเคร่ืองมือของการวิจัย การวิจัยใช๎การวัดในการรวบรวมข๎อมูลเพื่อ ศึกษาผลการวจิ ัย ขัน้ ตอนนเ้ี ริ่มจากการหาหรือสร๎างเครอ่ื งมอื วัด การทดลองใชเ๎ คร่ืองมือ การหาคุณภาพ เคร่ืองมือ จนถึงการใช๎เครื่องมือที่มีคุณภาพแล๎วรวบรวมข๎อมูลการวัดตัวแปรที่ศึกษา หรืออาจต๎องตีคํา ขอ๎ มลู จะเหน็ วาํ การวัดและประเมินผลมีบทบาทสาํ คญั มากในการวจิ ยั เพราะการวัดไมํดี ใช๎เคร่ืองมือไมํ มคี ุณภาพ ผลของการวจิ ยั ก็ขาดความนําเช่อื ถอื การวดั และประเมนิ กอ่ นเรยี น ระหว่างเรียน และหลงั เรียน กํอนเรียน ระหวํางเรียน และหลังเรียน 3 คําน้ีมีความเก่ียวเนื่องกัน แตํตํางกันที่ระยะเวลาและ จุดประสงค์ของการวัดและประเมิน 3 คําน้ีมคี วามหมายทัง้ ในมิตทิ ี่กวา๎ งและแคบ ดงั นี้ 1. ก่อนเรียน การวัดและประเมินกํอนเรียนมีจุดประสงค์เพื่อมทราบสภาพของผู๎เรียน ณ เวลากํอนท่ีจะเรียน เชํน ความรู๎พนื้ ฐานในกลมํุ สาระการเรียนรตู๎ ํางๆ กอํ นเรยี นอาจจะหมายถึง 1.1 กํอนเข๎าเรียน ซ่ึงอาจจะตั้งแตํกํอนเรียนระดับปฐมวัย หรือกํอนจะเร่ิมเรียนหลักสูตร สถานศึกษาน้ัน เชํน สถานศึกษาที่เปิดสอนในชํวงช้ันที่ 1 และ 2 กํอนเรียนในท่ีน้ีอาจจะหมายถึงกํอน เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 เป็นต๎น 1.2 กํอนเรียนชํวงชั้น หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานให๎ความสําคัญกับชํวงช้ัน ให๎มีการ ประเมินผลการเรียนรข๎ู องผ๎ูเรียนเม่ือจบแตํละชํวงช้ัน กํอนเรียนในท่ีนี้จึงหมายถึงกํอนจะเร่ิมเรียนชํวงชั้น ใดชํวงชนั้ หนึง่ เชํน กอํ นเรยี นชวํ งช้นั ที่ 2 คอื กอํ นเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 เปน็ ต๎น 1.3 กํอนเรียนแตํละช้ัน ถงึ แมจ๎ ะมีการกาํ หนดเป็นชวํ งชัน้ แตชํ นั้ เรยี นหรอื การเรียนแตํละปีก็ยัง มคี วามสําคัญ โดยเฉพาะในระดบั ประถมศึกษา การเรียนแตํละชั้น/ปี อาจจะหมายถึงการเรียนกับครูคน ใดคนหน่งึ (กรณีที่ครคู นเดยี วสอนนักเรียนท้ังชั้นทุกวิชาหรือเกือบทุกวิชา โดยทั่วไปจะเป็นครูประจําชั้น) 118
หรือเรียนครูกลํุมหนึ่ง (สอนแยกรายวิชา) การวัดและประเมินกํอนเรียนแตํละช้ันจะเป็นประโยชน์ตํอ ครูผู๎สอนในการวางแผนการจดั การเรยี นรูใ๎ ห๎เหมาะสมกบั ผ๎ูเรียนตลอดทั้งปี 1.4 กํอนเรียนแตํละรายวิชา มีลักษณะเชํนเดียวกับกํอนเรียนแตํละช้ัน การวัดและประเมิน กํอนเรยี นแตลํ ะชั้นอาจจะวัดและประเมินในภาพรวมหลายๆ วิชา แตํการวัดและประเมินนี้ แยกวัดและ ประเมินแตํละรายวิชา โดยท่ัวไปจะสอนโดยครูแตํละคน สําหรับระดับมัธยมศึกษา รายวิชาสํวนใหญํ จัดการเรยี นรูเ๎ ปน็ รายภาคเรียน 1.5 กํอนเรียนแตํละหนํวยการเรียนรู๎ หนํวยการเรียนรู๎เป็นการจัดหมวดหมูํเนื้อหาในสาระการ เรียนร๎ูเดียวกัน โดยจัดเน้ือหาเร่ืองเดียวกันหรือสัมพันธ์กันไว๎ในหนํวยเดียวกัน การวัดและประเมินกํอน เรียนแตํละหนํวย เพ่ือให๎ได๎ข๎อมูลความร๎ูพ้ืนฐานของผ๎ูเรียนในเรื่องหรือหนํวยน้ัน ซึ่งท้ังผู๎เรียนและ ครูผู๎สอนสามารถนําไปใช๎ในการวางแผนการเรียนรู๎และจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ในหนํวยนั้นได๎อยําง เหมาะสม 1.6 กํอนเรียนแตํละแผนจัดการเรียนร๎ู คือ การวัดและประเมินกํอนเรียนแตํละคร้ัง ในหนึ่ง หนํวยการเรียนรม๎ู ักจะมีสาระท่จี ะเรียนร๎ูแยกยํอยสําหรบั การสอนมากกวํา 1 คร้ัง แตํละคร้ังจะมีแผนการ จัดการเรยี นร๎ู 2. ระหวา่ งเรียน จดุ ประสงค์ของการวดั และประเมนิ ระหวาํ งเรียน เพ่ือตรวจสอบความก๎าวหน๎าหรือพัฒนาการของ ผู๎เรียนด๎านความร๎ู ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ จากการเรียนร๎ูและการรํวม กจิ กรรมของผเ๎ู รยี น โดยเทียบกบั ผลการวัดและประเมนิ กํอนเรียน การวัดและประเมินระหวํางเรียนจะทํา ใหไ๎ ด๎ข๎อมลู ทีบ่ ํงบอกถึงพัฒนาการการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียน ในขณะเดียวกันยังสะท๎อนให๎เห็นถึงคุณภาพการ จัดการเรียนการสอนของครดู ๎วย ข๎อมูลจากการวัดและประเมินระหวํางเรียนจะเป็นประโยชน์แกํทุกฝุาย ที่เกี่ยวข๎อง ท้ังผู๎เรียน ครูผ๎ูสอน สถานศึกษา และผ๎ูปกครอง สามารถนําข๎อมูลดังกลําวไปพัฒนาผู๎เรียน ให๎บรรลุผลการเรยี นรู๎ท่ีคาดหวังท่ีแตกยํอยมาจากมาตรฐานการเรียนรู๎ และเป็นข๎อมูลที่ใช๎ในการปรับปรุง กจิ กรรมการเรียนการสอนใหเ๎ หมาะสมกับผ๎เู รียน 3. หลงั เรยี น จุดประสงคข์ องการวัดและประเมนิ หลังเรียน เพื่อตรวจสอบผลการเรียนของผู๎เรยี นดา๎ นความร๎ู ทักษะ กระบวนการ และคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ จากการเรียนรแู๎ ละการรวํ มกิจกรรมของผ๎ูเรียน โดยเทียบกับ ผลการวดั และประเมินกํอนเรียนและระหวํางเรียน การวัดและประเมนิ หลังเรยี นจะทาํ ให๎ไดข๎ ๎อมลู ท่บี ํง บอกถงึ พัฒนาการการเรียนร๎ขู องผู๎เรียน ในขณะเดียวกันยงั สะทอ๎ นใหเ๎ หน็ ถงึ คณุ ภาพการจดั การเรยี นการ สอนของครูด๎วย ขอ๎ มูลจากการวดั และประเมนิ หลงั เรยี นมีจดุ ประสงค์หลักคือใช๎ในการตัดสนิ ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นของผู๎เรียน นอกจากนี้ การวัดและประเมนิ ผลหลังเรยี นอาจจะเป็นข๎อมูลกอํ นการเรยี นใน ระดับตํอไป จงึ เปน็ ประโยชน์ทงั้ ผูเ๎ รียน และครผู ๎ูสอน สามารถนําข๎อมูลดังกลาํ วไปพฒั นาและปรบั ปรงุ 119
การเรียนรแ๎ู ละการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนหรือกจิ กรรมการเรียนรใ๎ู หเ๎ หมาะสมกับผู๎เรยี นและ สถานการณ์ 4.4 การบันทกึ และรายงานผลการจัดการเรียนรู้ การบนั ทึกหลงั สอนมีความสาํ คญั สาํ หรับการปรับปรุงกระบวนการจดั การเรยี นรูเ๎ พอื่ ให๎ เกิดประโยชน์กบั ผ๎ูเรียนมากยิ่งขึน้ การบันทึกหลงั การสอนเป็นสวํ นสําคัญท่ที าํ ใหค๎ รผู ู๎สอนทราบวํากิจกรรมตํางๆ ท่ีทําในทํา ในชั้นเรียนมีข๎อดี ข๎อเสีย จุดเดํน และจุดที่ต๎องปรับปรุงแก๎ไข เพื่อการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ตํอไปอยํางไร ซึ่งข๎อมูลตํางๆ เหลาํ น้ีจะเป็นประโยชน์มากตอํ การปรบั ปรงุ การจดั การเรียนรใ๎ู นอนาคต การบนั ทกึ หลงั การสอนทาได้ ดังน้ี 1. จัดทําแบบฟอรม์ เพอื่ การบันทกึ ทช่ี ดั เจน ใหค๎ รอบคลุมหวั ขอ๎ ตํอไปนี้ 1) ผลการเรยี นร๎ู 2) สาระ/เนื้อหา 3) กจิ กรรม 4) สอื่ การเรียนร๎ู 5) การวัดและประเมนิ ผล 2. ใช๎การประเมินเชิงตัวเลขเข๎ามาชํวย เพอื่ ความชัดเจน อาทิเชํน 1) มีผเ๎ู รียนเข๎าเรยี นสายจํานวน 3 คน คิดเป็นรอ๎ ยละ 12 2) มีผูเ๎ รยี นผํานตามผลการเรียนร๎ู 38 คน คิดเปน็ ร๎อยละ 90 3) มผี ู๎เรยี นทีไ่ มํผาํ นผลการเรียนรู๎ จํานวน 2 คน คดิ เป็นรอ๎ ยละ 10 4) มีนกั เรียนสงํ งานตรงเวลาตามกาํ หนดจํานวน 35 คน คิดเป็นร๎อยละ 80 5) มีนักเรยี นไมสํ ํงงานจํานวน 6 คน คดิ เป็นร๎อยละ 20 6) มีนักเรียนคดั ลอกงานจํานวน 12 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 25 7) มีนกั เรียนเขียนคําผิด/ใชภ๎ าษาไมถํ กู ต๎องจาํ นวน 17 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 38 เปน็ ตน๎ 3. บันทึกข๎อมูลเชงิ คณุ ภาพในรายละเอียดท่เี ป็นพฤติกรรมของผู๎เรยี น อาทิเชํน 1) พฤตกิ รรมของผูเ๎ รยี น 2) ปญั หาทเ่ี กดิ ขึน้ ในชั้นเรียน 4. นําเสนอแนวทางในการแก๎ไขปญั หาท่ีชัดเจน 5. สรุปผลการแก๎ไขปัญหาตามทไ่ี ด๎เสนอไวว๎ าํ ประสบความสําเรจ็ มากนอ๎ ยเพยี งใด 120
4.5 การวิจัยเพ่อื แกป้ ัญหาผเู้ รยี น เทียมจันทร์ พานชิ ผลนิ ไชย ไดก๎ ลําวถึง การวิจยั เพื่อพัฒนาคุณภาพผู๎เรียน วําเปน็ การ วิจยั ที่ทาํ โดยครูผ๎สู อนในชัน้ เรียน เพ่อื แก๎ไขปัญหาที่เกดิ ขนึ้ ในชั้นเรียนและนาํ ผลมาใช๎ในการปรบั ปรงุ การ เรยี นการสอนหรอื สํงเสรมิ พัฒนาการเรยี นรูข๎ องผ๎เู รียนใหด๎ ยี ิ่งข้ึน เปน็ การวิจัยทีต่ ๎องทาํ อยํางรวดเรว็ นําผล ไปใชท๎ นั ทีและมีการสะทอ๎ นข๎อมลู เกี่ยวกบั การแกไ๎ ขปัญหาตํางๆกบั กลมํุ เพื่อนรวํ มงานในโรงเรยี นวพิ ากษ์ อภปิ ราย แลกเปลยี่ นเรยี นรู๎ในแนวทางท่ีได๎ปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นเพ่อื พัฒนาการเรยี นรทู๎ ั้งครูและผเ๎ู รียน การวิจัยเพือ่ พัฒนาคุณภาพผเู๎ รยี นสามารถท าไดใ๎ นลกั ษณะการวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติ หมายถงึ กระบวนการศึกษาคน๎ ควา๎ เพื่อแก๎ปญั หาท่ีเกดิ ขึ้นจากการ ปฏบิ ตั ิงานหรอื เพื่อปรับปรงุ และพัฒนาการปฏิบัตงิ านใหบ๎ รรลุผลตามทีต่ ๎องการโดยผู๎ปฏบิ ัติงานเป็น ผด๎ู าํ เนินการวิจัยในสถานท่ีท่ตี นเองปฏิบัตอิ ยูภํ ายใต๎สภาพแวดล๎อมและบรรยากาศที่แท๎จริงเม่ือนําการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิมาใช๎กับการเรียนการสอนจึงเรยี กการวิจยั เชงิ ปฏิบตั วิ ํา การวจิ ัยปฏิบัติการในชัน้ เรยี น หรอื การ วิจยั เพ่อื พัฒนาการเรียนการสอนซึ่งเป็นการศึกษาคน๎ คว๎าเพ่ือแก๎ปัญหาที่เกดิ ขึน้ จากการปฏิบตั กิ ารสอน ของครหู รอื เพอื่ ปรบั ปรุงและพฒั นาการปฏิบตั ิการสอนให๎บรรลุผลตามทต่ี อ๎ งการ โดยครผู ูส๎ อนเป็น ผู๎ดาํ เนนิ การวจิ ยั ในชน้ั เรยี นท่ีตนเองปฏบิ ัติการสอนอยูํ การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิเกิดข้ึนตามแนวคิดของ Kurt Lewin นักจิตวิทยาสงั คม ชาวอเมริกันเม่ือประมาณปีค.ศ. 1946 ไดร๎ ับการยอมรับและนําไปใช๎อยาํ ง กวา๎ งขวางในการพัฒนาและปรับปรงุ กาปฏบิ ัตงิ านในองคก์ รและชุมชนตําง ๆ โดยเฉพาะในวงการศกึ ษาได๎ มีการนาํ การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ไิ ปใช๎ไดผ๎ ลเปน็ ที่นําพอใจในเรอื่ งของการพัฒนาหลักสูตรท๎องถิ่น การพฒั นา วิชาชีพครกู ารพฒั นาและเสริมสร๎างคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคข์ องนักเรยี นและครู ลักษณะสาคัญของการวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในช้นั เรียน การปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน คือ การวจิ ัยทีม่ ลี กั ษณะดังนี้ (สวุ มิ ล วอํ งวาณชิ , 2547 : 22 อ๎างถงึ ใน เทยี ม จันทร์ พานชิ ผลินไชย) ใคร? = ครผู ๎ูสอนในห๎องเรยี น ทาํ อะไร? = ทําการแสวงหาวธิ ีการแก๎ไขปัญหา ทไ่ี หน? = ทเ่ี กดิ ข้ึนในห๎องเรยี น เมอ่ื ไร? = ในขณะที่การเรียนการสอนกําลงั เกิดขึ้น อยํางไร? = ดว๎ ยวธิ ีการวจิ ยั ทมี่ วี งจรการทํางานตอํ เน่ืองและสะท๎อนกลับ การทํางานของ ตนเอง(self-refection) โดยขั้นตอนหลัก คือ การทํางานตามวงจร PAOR (Plan, Act, Observe, Reflect &Revise) เพอ่ื จดุ มุงํ หมายใด? = มีจุดมุํงหมายเพื่อพัฒนาการเรยี นการสอนให๎เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอํ ผ๎ูเรยี น 121
ลักษณะเดํนการวจิ ัย = เป็นกระบวนการวจิ ัยทที่ ําอยํางรวดเร็ว โดยครูผ๎ูสอนนําวิธีการ แก๎ปัญหาท่ีตนเองคดิ ข้ึน ไปทดลองใชก๎ ับผู๎เรียนทันทีและสังเกตผลการแกป๎ ญั หานน้ั มีการสะทอ๎ นผลและ แลกเปล่ยี นประสบการณ์กับเพอ่ื นครูในโรงเรยี น เป็นการวิจยั แบบรํวมมอื (collaborative research) ข้ันตอนทว่ั ไปของการวจิ ัยเชิงปฏิบัติ การวิจัยเชงิ ปฏิบัตมิ ขี นั้ ตอนสําคญั 4 ขน้ั ตอน ได๎แกํ ข้ันวางแผน (plan) ข้ันปฏิบตั ิตามแผน (act) ข้นั สังเกตผล (observe) และขนั้ สะท๎อนผล วงจรการปฏิบตั ิการในชัน้ เรียน (สวุ มิ ล วอํ งวาณิช, 2550) ความสาคัญและความจาเป็นของการวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชั้นเรยี น 1. ให๎โอกาสครใู นการสร๎างองค์ความรู๎ ทักษะการท าวิจัย การประยุกต์ใช๎ การตระหนักถึง ทางเลือกท่ีเป็นไปได๎ทจี่ ะเปล่ียนแปลงการเรยี นการสอนให๎ดขี ึน้ 2. เปน็ การสรา๎ งชุมชนแหํงการเรยี นรข๎ู องครู (Community of practice) 3. เปน็ ประโยชน์ตํอผป๎ู ฏิบตั โิ ดยตรง เน่ืองจากชํวยพฒั นาตนเองดา๎ นวชิ าชีพ 4. ชวํ ยทไให๎เกดิ การพัฒนาท่ีตอํ เน่อื งและเกดิ การเปล่ยี นแปลงผํานกระบวนการวจิ ัยในโรงเรยี น ซึง่ เป็นประโยชนต์ อํ องค์การ เนอ่ื งจากนําไปสํกู ารปรับปรงุ เปล่ียนแปลงการปฏบิ ัตแิ ละการแก๎ปัญหา 5. เป็นการวิจัยท่ีเกี่ยวข๎องกับการมีสํวนรํวมของผ๎ูปฏิบัติในการวิจัย ทําให๎เกิดการยอมรับ ในความรู๎ของผปู๎ ฏิบตั ิ 6. เป็นการตรวจสอบวธิ ีการท างานของครทู ี่มีประสทิ ธิผล 7. ครมู ีการเรยี นรู๎จากงานของตนและท าใหค๎ รเู ปน็ ผ๎ูน าการเปลย่ี นแปลง ประโยชนข์ องการปฏิบตั กิ ารในช้ันเรียน 1. การวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชน้ั เรียนเปน็ เครอื่ งมือสําคัญทีช่ วํ ยในการพัฒนาวชิ าชีพครู 2. ผ๎ูเรียนมีการพัฒนาการเรียนรู๎ และครมู ีการพฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 3. ทาํ ใหเ๎ กิดการพัฒนาชมุ ชนแหํงการเรยี นร๎ขู องผ๎ปู ฏิบตั ิ(Community of practice) 4. สํงเสรมิ บรรยากาศของการท างานแบบประชาธปิ ไตยที่ทุกฝุายเกิดการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์และยอมรบั ในการข๎อคน๎ พบรวํ มกัน 122
ความสอดคล้องของวงจรเชงิ ปฏิบัตกิ ารในชน้ั เรียนกับวงจรพัฒนาคณุ ภาพงาน นงลักษณ์ วิรัชชยั (2545) และ พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์ (2545) (อา๎ งถึงใน เทียมจันทร์ พานชิ ผลินไชย) ได๎กลาํ วถึงขั้นตอนของ การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการในช้นั เรียน โดยนําเอาขั้นตอนของการวจิ ยั ปฏิบัติการ (Action Research) ไปเปรียบเทียบกับวงจรพัฒนาคณุ ภาพงานพบวาํ มีความสอดคล๎องกันดงั น้ี PDCA เป็นวงจรพฒั นาคุณภาพงาน เปน็ วงจรพฒั นาพนื้ ฐานหลกั ของการพัฒนาคณุ ภาพท้ังระบบ (Total Quality Management : TQM) ผท๎ู ี่คดิ คน๎ กระบวนการหรือวงจรพัฒนาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอเมริกนั แตํ Deming ไดเ๎ ผยแพรํทปี่ ระเทศญี่ปนุ จนประสบผลส าเร็จ จนผลักดนั ให๎ ญ่ปี ุนเปน็ ประเทศมหาอํานาจโลก คนทวั่ ไปจึงรูจ๎ ักวงจร PDCA จากการเผยแพรํของ Deming จงึ เรยี กวาํ วงจร(Deming) วงจร PDCA ประกอบดว๎ ย ข้นั ตอนดังตํอไปนี้ 1. วางแผน (Plan-P) คือ การทาํ งานใด ๆ ต๎องมีข้นั การวางแผน เพราะทาํ ใหม๎ ีความ มน่ั ใจวาํ ทํางานได๎สาํ เรจ็ เชํน วางแผนการสอน วางแผนการวิจัย หัวข๎อท่ใี ชใ๎ นการวางแผนคอื วางแผนใน หวั ข๎อตอํ ไปนี้ 1) ทาํ ทําไม 2) ทําอะไร 3) ใครทํา ทาํ กบั กลมํุ เปูาหมายใด 4) ทาํ เวลาใด 5) ทําที่ไหน 6) ทําอยํางไร 7) ใช๎งบประมาณเทําไร การวางแผนในช้ันเรียนเป็นการ วางแผนตามคาํ ถามตํอไปนี้ Why, What และ How 2. การปฏิบัติ (Do-D) เป็นขน้ั ตอนการลงมือปฏบิ ตั ติ ามแผนท่ีวางไว๎ การวิจัยในชนั้ เรยี น ตามแผนการวิจยั คือ การลงมอื เก็บรวบรวมข๎อมูลเพ่ือตอบปัญหาการวจิ ัยในแผน 3. ตรวจสอบ (Check-C) เป็นขั้นตอนของการประเมินการทํางานวําเป็นไปตามท่ีวางไว๎ หรือไมํมีเ่ร่ืองอะไร ปฏิบัติได๎ตามแผน มีเรื่องอะไรที่ไมํสามารถปฏิบัติได๎ตามหรือปฏิบัติแล๎วไมํได๎ผล การตรวจสอบนจี้ ะไดส๎ ิง่ ทสี่ าํ เรจ็ ตามแผน และส่งิ ที่เป็นข๎อบกพรํองท่ตี ๎องแก๎ไข 4. การปรับปรุงแก๎ไข (Action-A) เป็นข้ันของการนําข๎อบกพรํองมาวางแผนการ ปฏิบัติการแก๎ไขข๎อบกพรํองแล๎วลงมือแก๎ไข ซึ่งในข้ันน้ีอาจพบวําประสบความสําเร็จหรืออาจพบวํา มีข๎อบกพรํองอีก ผู๎วิจัยหรือผู๎ทํางานก็ต๎องตรวจสอบเน้ือหาเพื่อแก๎ไข แล๎วไปแก๎ไขอีกตํอไป งานของการ วิจัยในช้ันเรียนจึงเป็นการทําไปเรื่อย ๆ ไมํมีการหยุดวิจัยไปเร่ือย ๆ เป็นการพัฒนาให๎ดีข้ึนเรื่อย ๆ เป็น การพฒั นาอยํางย่งั ยนื ดงั นั้นอาจกลาํ วไดว๎ ําวงจร PDCA กเ็ ปน็ กระบวนการพัฒนางานวิจยั ในชั้นเรียน หรอื การ พฒั นาการเรยี นการสอนทีเ่ ริ่มทีละขน้ั P-D-C-A และเคล่ือนหมุนไปเร่อื ย ๆ โดยในแตํละข้ันหรอื แตํละตัว ของวงจร ก็จะต๎องมีวงจรของ PDCA ด๎วย ดงั ภาพ 2 123
124
การเผยแพร่ - การเขียนรายงานการวิจยั - การนาํ ไปใช๎และเผยแพรํผลงานวจิ ัย (ดัดแปลงจาก : สาํ นกั นิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา สปช. 2544 หนา๎ 13 อา๎ ง ถงึ ใน เทียมจันทร์ พานิชผลินไชย) 1. การรู๎จักผ๎ูเรียน เป็นจุดเร่ิมต๎น ของการพัฒนาการเรียนรู๎ด๎วยการวิจัย ประกอบด๎วย การศึกษาข๎อมูลพ้ืนฐานของผู๎เรียน การวิเคราะห์สภาพปัญหาของผู๎เรียนและการเลือกปัญหาท่ีต๎องการ แกไ๎ ขหรือพฒั นา 1.1 การศึกษาข๎อมูลพ้นื ฐานของผเู๎ รยี น เพราะจะท าใหค๎ รูทราบวําผ๎ูเรียน แตํละคนมีส่งิ ท่คี วรแก๎ไขปรบั ปรุงหรือพัฒนาในด๎านในบา๎ ง โดยครอู าจจะทราบจาก ระเบียนสะสม แบบบันทกึ พฤตกิ รรม การพดู คุยกบั ครู เพือ่ น หรือผป๎ู กครอง บันทกึ ผล หลงั สอน หรอื การทดสอบ ฯลฯ 1.2 การวเิ คราะหส์ ภาพปญั หา เม่อื ศึกษาข๎อมลู พ้นื ฐานของผูเ๎ รียนแล๎ว ครอู าจ พบปัญหามากมายท้งั ที่เปน็ ปัญหารายบคุ คล เปน็ กลุํม หรือท้งั ช้ันเรยี น การวิเคราะห์ สภาพปัญหาคือการหาสาเหตุของปัญหาทเ่ี กิดขึ้น โดยครอู าจใชว๎ ธิ เี ขยี นผงั ความคิด (Mind Mapping) เพื่อชวํ ยจดั ระบบรวบรวมความคิดของครใู หเ๎ ห็นสภาพของปัญหาที่ ชดั เจนยง่ิ ข้นึ ดงั ตัวอยําง 125
1.3 การเลือกและสํารวจปญั หาที่ตอ๎ งการแก๎ไขหรือพฒั นา ในข้ันนี้ครูตอ๎ ง ตัดสนิ ใจเลือกปัญหาทตี่ ๎องการแกไ๎ ขปญั หาพฒั นา จัดลําดับความจาํ เป็นและความสาํ คญั ของปญั หา โดยพจิ ารณาจากความรุนแรงของปญั หาวําปัญหาใดควรไดร๎ ับการแกไ๎ ขหรือ พัฒนากํอน เปน็ ปญั หาที่ชัดเจน มขี อ๎ มูลหลกั ฐานชช้ี ดั วําจาํ เป็นตอ๎ งหาคาํ ตอบท่จี ะเกิด ประโยชนต์ ํอการนําไปพัฒนาผเ๎ู รียน 2. การออกแบบการเรยี นร/๎ู การออกแบบการวิจยั ประกอบดว๎ ย การกาํ หนดเปาู หมายใน การพฒั นาการเรียนรู๎ การสาํ รวจและเลอื กนวตั กรรมทส่ี อดคลอ๎ งกับปัญหาท่ตี ๎องการแก๎ไข การสรา๎ งและ พัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรม และการจัดทําแผนการเรียนร๎ู 2.1 การกาํ หนดเปูาหมายในการพัฒนาการเรยี นร๎ู เปน็ การกําหนดเปาู หมาย ของการพฒั นาท่ีต๎องการหรือกําหนดสภาวะทเ่ี รยี กวําพัฒนาแลว๎ ใหช๎ ดั เจน 2.2 การสํารวจและเลอื กนวตั กรรม เพือ่ ทีจ่ ะใหไ๎ ด๎แนวทางในการแก๎ปญั หา ใน ขนั้ น้ี ครตู อ๎ งศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวขอ๎ ง เชนํ วารสาร บทความ หลักสตู ร ผลงานวจิ ัย หนงั สอื ตาํ รา คํมู อื แนวคิดทฤษฎตี ําง ๆ ตลอดจนประสบการณข์ องครเู อง ทาํ ให๎ครทู ราบวําปญั หาที่คลา๎ ย กับปญั หาของเราเองมีผ๎ูใดศกึ ษาไว๎บา๎ ง ใช๎วิธีใดในการแกป๎ ัญหา ผลการแกป๎ ญั หาเปน็ อยาํ งไร จะทาํ ใหค๎ รเู หน็ แนวทางในการแก๎ปัญหาได๎ชดั เจนข้นึ เชนํ บทเรียนสาํ เรจ็ รูป ชดุ การสอน ชุด กจิ กรรม คํมู อื การสอน บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชํวยสอน (CAI) การเรยี นแบบรวํ มมือ การเรยี น แบบ jigsaw การเรียนแบบ CIPPA การเรยี นแบบ e- learning เปน็ ตน๎ 2.3 การสรา๎ งและพัฒนาวิธกี ารหรือนวัตกรรม หลังจากครจู ะได๎ทางเลือกในการ แก๎ปญั หาหรือพัฒนา ซ่ึงอาจเปน็ วธิ กี ารหรือนวตั กรรมทีเ่ ป็นไปได๎ ในข้ันน้คี รูต๎องกําหนด วธิ กี ารหรือสร๎างนวตั กรรมท่ีใช๎ในการแกป๎ ญั หาหรือพฒั นา แลว๎ ดําเนนิ การหาคุณภาพ ของวิธีการหรือนวัตกรรม นําไปใหเ๎ พ่ือนครู ศึกษานเิ ทศกห์ รือ นกั วิชาการทีเ่ ก่ยี วข๎องกับ เรอื่ งท่ีศกึ ษา ให๎ความคิดเห็น พจิ ารณาความเหมาะสมเพอ่ื นาํ ข๎อคิดเห็นท่ีไดม๎ าปรบั ปรงุ แกไ๎ ขเตรียมนาํ ไปใชแ๎ ก๎ปญั หาหรือพฒั นาตํอไป 2.4 การจดั ทาํ แผนจัดการเรยี นร๎ู ครูจะตอ๎ งมีการวางแผนและเขยี นแผนการ เรียนรู๎ท่ีสอดคล๎องกับปัญหาและนวัตกรรม ส่ิงทค่ี รูควรคํานึงในการเขยี นแผนการเรยี นรู๎ 3. การจดั กระบวนการเรียนรู๎เปน็ การจดั กจิ กรรมตามแผนการจัดการเรยี นร๎ู โดยครู นาํ เอานวตั กรรมทไ่ี ด๎สร๎างหรือพัฒนาขนึ้ มาสูกํ ารปฏบิ ัติการ เกบ็ รวบรวมขอ๎ มูลไปดว๎ ยหรือเก็บหลงั จากจัด กิจกรรม ซงึ่ ขอ๎ มลู ทีเ่ กี่ยวข๎องกับการเรียนการสอน อาจจัดเป็น 4 กลมุํ ใหญํๆ คือ 1) ความรูค๎ วามสามารถได๎แกํ ข๎อมลู ดา๎ นความรู๎ ความคิด และข๎อมลู ด๎านทักษะ การปฏิบตั ิงาน และผลงาน 2) ความร๎ูสึก ไดแ๎ กํ ความคดิ เหน็ อารมณ์ เจตคติ บุคลกิ ภาพและคาํ นิยม 126
3) พฤตกิ รรม ไดแ๎ กํ พฤติกรรมขณะเรียน นสิ ยั ในการเรยี น พฤติกรรมการ ทาํ งาน และกจิ นิสัยในการทาํ งาน 4) ปฏสิ มั พนั ธ์ในชั้นเรยี น ได๎แกํ ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวาํ งผู๎เรียนกับผเ๎ู รียน และ ปฏิสมั พนั ธ์ระหวํางครกู ับผเ๎ู รยี น ในการเกบ็ รวมรวมผลการใชน๎ วัตกรรมนัน้ นอกจากจะเก็บรวมรวมผลในขนั้ ตอนสดุ ท๎าย หลังจากใชน๎ วตั กรรมจบส้นิ ลงแลว๎ ครูควรจะเกบ็ ข๎อมลู ในระหวํางการใช๎นวตั กรรมด๎วย ข๎อมูลนค้ี วรจะเป็น ขอ๎ มลู ด๎านพฤติกรรมของผ๎ูเรยี น ซ่งึ ไดจ๎ ากการสังเกตในขณะท่ีครูนาํ นวัตกรรมท่พี ฒั นาข้นึ มาใช๎กบั ผ๎เู รียน โดยครูควรทาํ การบันทึกผลระหวาํ งหรอื หลังการเรยี นการสอนในแตํละครัง้ เชนํ ผเ๎ู รียนแสดงความสนใจใน การเรยี น ผเ๎ู รียนแสดงความกระตอื รือร๎นในการเรยี น หรอื ผู๎เรยี นแสดงสหี นา๎ เบ่ือหนาํ ย ไมชํ อบ เปน็ ตน๎ ในการบันทึกผลระหวาํ งหรอื หลังจากเรียนรใ๎ู นแตลํ ะครง้ั จะท าให๎ครูได๎ข๎อมูลมาพจิ ารณาประกอบ การ ตดั สนิ ใจ แก๎ไข ปรับปรุง หรือพฒั นานวตั กรรมนน้ั เพื่อพัฒนาการเรยี นรู๎ มีคุณคาํ และเป็นประโยชนต์ ํอ ผู๎เรียนอยาํ งแท๎จรงิ 127
4. การไตรํตรองและปรับปรุง เป็นการนําเอาข๎อมูลที่รวบรวมได๎มาวิเคราะห์เพ่ือจะได๎ ทราบวําครูสามารถแก๎ไขปัญหา/พัฒนาการเรียนได๎ตามเปูาหมายที่วางไว๎หรือไมํ เพียงใด ซ่ึงข๎อมูลที่ เก่ยี วกับการเรยี นการสอนอาจจดั เปน็ 2 ประเภทใหญํ ๆ คือ ข๎อมูลเชงิ ปริมาณและขอ๎ มลู เชิงคณุ ภาพ การวเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ ปริมาณ การวิเคราะห์ข๎อมูลเชงิ ปรมิ าณในการวิจยั ในชน้ั เรียนนนั้ การวิเคราะห์ขอ๎ มลู ทไ่ี ด๎นี้ จะต๎องสอดคล๎อง กบั จดุ ประสงค์ หรือ จุดมุํงหมายของคาํ ถามวิจัย ซง่ึ การวิจยั ในชัน้ เรยี น สวํ นใหญํจะมี จดุ ประสงค์ของการวจิ ยั ทต่ี ๎องการคาํ ตอบในลักษณะตํอไปนี้ คือ 1. เพ่อื การบรรยายข๎อมลู เบื้องตน๎ 2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บความแตกตําง 3. เพือ่ หาความสัมพนั ธ์ ดังน้ันเมื่อครูเก็บรวบรวมข๎อมูลได๎แล๎ว ครูจะต๎องดําเนินการกับข๎อมูลในเบื้องต๎นกํอน เชํน จัดกลํุมข๎อมูล ลดทอนข๎อมูล และสรุปข๎อมูล ด๎วยวิธีการตําง ๆ จากน้ันจึงทําการวิเคราะห์ โดย เลือกใช๎คําสถิติที่เหมาะสมกับลักษณะของข๎อมูลนั้น ๆ ซึ่งการวิจัยในชั้นเรียนน้ีครูยังไมํจําเป็นต๎องใช๎ คาํ สถติ ิท่ีซับซ๎อน เพราะคําสถิตทิ ใ่ี ชใ๎ น การวิจัยในช้ันเรียนน้ัน ควรจะใช๎ในการสรุป และให๎ความหมายตํอ ข๎อมูล โดยมุํงเน๎นให๎ครูได๎ นําไปใช๎ในการพัฒนา การเรียนการสอนของครูได๎โดยตรงคําสถิติที่ครูสามารถ นาํ มาใช๎ในการวเิ คราะหใ์ ห๎เหมาะสมกับชนิดของข๎อมูลและจุดประสงค์ของการวิเคราะห์แสดงได๎ดังตาราง ตอํ ไปน้ี 128
การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ โดยธรรมชาติลกั ษณะของขอ๎ มลู เชิงคณุ ภาพท่ีวิเคราะห์แลว๎ จะอยใูํ นลักษณะคาํ บรรยาย จากข๎อมูลที่ครรู วบรวมมาในรูปของคําบอกเลํา การสมั ภาษณ์ บันทกึ จากการสงั เกตของครู หรอื บนั ทกึ ของผเู๎ รยี น เปน็ ตน๎ การใชข๎ ๎อมลู เชงิ คณุ ภาพเปน็ ข๎อมูลประกอบในงานวจิ ัย ของครู โดยปกติจะเป็น การนาํ าข๎อมูลที่ครูเก็บรวบรวมได๎มาใชเ๎ สริม และยนื ยนั ข๎อมลู การวิเคราะห์ข๎อมูลกระทําไดไ๎ มํยงํุ ยาก ซับซอ๎ นมากนกั ทงั้ นี้ครูอาจจะเลือกข๎อมูล ในสํวนท่เี กี่ยวข๎องมาบรรยาย ซ่ึงอาจจะใชค๎ ําพูด (quotes) ของผ๎เู รยี น หรือผู๎ให๎ข๎อมลู จากแหลํงข๎อมูลอืน่ ๆ มาเสริมการบรรยายผลการวจิ ัย ของครูเพ่มิ เติม การนาํ เสนอและการแปลผลการวเิ คราะห์ข๎อมูล คือการนาํ ผลการวเิ คราะหข์ ๎อมูลท่ไี ด๎มานําเสนอใน รปู แบบท่ีทาํ ให๎เขา๎ ใจงําย เชํน นาํ เสนอในรูปของการบรรยายความเปน็ รอ๎ ยแกว๎ ธรรมดาหรอื นําเสนอในรปู ของตาราง ถ๎าหากข๎อมลู นนั้ มีตวั เลขมากหรอื นําเสนอในรปู แบบของแผนภมู ิแทํง วงกลม หรือเสน๎ ตรง จะเลอื กใช๎แบบไหนก็ข้นึ อยูกํ ับขอ๎ มูลน้ัน ๆ 5. การเผยแพร่ผลงาน รูปแบบการรายงานผลการวิจัยเพอ่ื น าเสนอผลการพฒั นามี 2 รูปแบบ คือ รปู แบบการ รายงานผลการวิจัยอยาํ งไมํเป็นทางการ และรูปแบบการรายงานผลการวิจยั อยํางเปน็ ทางการ 5.1 การรายงานผลการวจิ ัยอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ การเขียนรายงานแบบไมเํ ปน็ ทางการมักจะน าเสนออยํางสั้น ๆ แตมํ ี สาระสาํ คญั แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของกระบวนการวิจยั ใหผ๎ อู๎ ํานเข๎าใจถึงสิ่งที่ครูศึกษา และส่งิ ที่ คน๎ พบ โดยอาจจะนาํ เสนอเป็นความเรยี งหรือกาํ หนดประเดน็ การเขยี น และควรแสดงถึงหลักฐานเกย่ี วกบั กระบวนการดําเนนิ งานและผลการศกึ ษาประกอบ เพ่ือยืนยันข๎อสรปุ ตาํ ง ๆ ท่ีได๎จากการวิจยั ดงั น้ี - เสนอให๎เหน็ วาํ ปญั หาท่ีต๎องการแก๎ไขคอื อะไรหรอื คณุ ภาพที่ต๎องการเพม่ิ พูนคืออะไร - สาํ คัญเพียงใด - แนวทางที่คาดวาํ จะไดผ๎ ลดีหรอื นวตั กรรมคืออะไร - ทาํ ไมจึงคิดวาํ จะไดผ๎ ลดี - ลงมอื ปฏิบัตจิ ริงเมื่อไร กบั เด็กกลมํุ ใด - ปฏบิ ัติไดอ๎ ยาํ งไรบ๎าง - มีอะไรเกิดขนึ้ ในระหวาํ งการปฏบิ ัติจริงบ๎าง ดหี รือไมดํ ีอยํางไร - เมอ่ื ปฏบิ ตั สิ ิน้ สดุ แล๎ว ผลปลายทางที่เกิดขนึ้ คอื อะไร เป็นจ านวนเทําใด มีคุณภาพ อยํางไร ตรงกบั ท่ีคาดหวังไว๎มากเพียงใด - ครูรส๎ู กึ อยํางไรตอํ ผลงาน คิดวาํ นําจะปรบั ปรุงเพิม่ เติมอยํางไรอีก 129
5.2 การเขียนรายงานการวิจัยแบบเป็นทางการ รูปแบบการรายงานการวจิ ยั แบบเปน็ ทางการน้ี มีโครงสร๎างของเน้ือหาสาระทีน่ ําเสนอ ในลักษณะของการวิจัยเชิงวิชาการทสี่ ํวนใหญํมักมีการนาํ เสนอท่ีมีรูปแบบตายตัว ดงั ตัวอยาํ งรายงานวิจัย แบบเป็นทางการมีลักษณะเหมือนรายงานวจิ ัยเชงิ วชิ าการทว่ั ๆ ไปท่ใี ชก๎ นั ในหมนํู ักวจิ ยั มกั นําเสนอในรูป 5 บท คอื บทที่ 1 บทนํา - ความเปน็ มาและความสาํ คัญของปัญหาวิจยั - วตั ถุประสงค์การวจิ ยั - ขอบเขตการวจิ ัย - กลมุํ ประชากร/กลํุมตวั อยําง - เนื้อหา - ตัวแปร - ระยะเวลา - ประโยชนท์ ี่ไดร๎ บั จากการวิจัย บทท่ี 2 เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ๎ งกับการวจิ ยั - แนวคิด ทฤษฎีท่เี กี่ยวขอ๎ ง - กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั บทท่ี 3 วิธดี าํ เนนิ การวจิ ัย - รปู แบบการวิจยั - ขนั้ ตอนการดําเนินการ - เครอ่ื งมือการวจิ ัย - การเกบ็ รวบรวมข๎อมูล - วิธีวิเคราะหข์ ๎อมูล บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ๎อมูล บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข๎อเสนอแนะ - สรปุ ผลการวจิ ัย - อภิปรายผลการวิจัย - ขอ๎ เสนอแนะ - บรรณานุกรม - ภาคผนวก 130
สรปุ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิเปน็ การวจิ ัยที่เหมาะสมกับการพฒั นาการเรียนการสอนของครู หรอื พฒั นาผู๎เรียนในทกุ ระดบั ครูผ๎ูสอนสามารถดาํ เนนิ การวจิ ัยได๎พร๎อมๆ กับการปฏบิ ตั ิหน๎าทีใ่ นชั้นเรียน ไมํต๎องใชเ๎ งนิ งบประมาณมากมาย ไมตํ ๎องเสยี เวลามากนัก แตปํ ระโยชน์ท่ีได๎คม๎ุ คํา เปน็ การพัฒนาครูไปสูํ ครวู ิชาชีพชน้ั สูงอยาํ งแท๎จรงิ การวจิ ยั ปฏิบัติการในช้นั เรยี นก็คอื การแกป๎ ญั หาและปรับปรงุ พัฒนาการ เรยี นการสอนในช้นั เรียนนัน่ เอง และมคี วามยดื หยุํนสงู มากนชน้ั เรยี นนั่นเอง และมีความยืดหยุํนสูงมาก คาถามและกจิ กรรมประจาบท 1. การจัดทําแผนการสอนมีความสําคญั และจําเป็นหรอื ไมํอยํางไรตํอการจดั การเรียนการ สอน 2. การผลิต เลอื กใช๎สื่อการเรียนการสอนมีความสาํ คัญกบั การเรียนการสอนหรือไมํอยาํ งไร 3. แบงํ กลมํุ ทําพิจารณาประเดน็ ปัญหาการเรยี นการสอน และทาํ การศึกษาตาม กระบวนการวจิ ยั เพอื่ แกป๎ ญั หาผู๎เรยี น เอกสารอา้ งองิ กิดานนั ท มลิทอง. (2543). เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวัตกรรม. พิมพครงั้ ที่ 2 ปรบั ปรุง. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั จติ นุวัฒน สนุ ทรนนท สภาพ ปญหา และความตองการการใชสือ่ การสอนของผูสอนใน มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต. กรุงเทพมหานคร: วิทยานพิ นธปรญิ ญาโทมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร จริยา เหนียนเฉลย. (2546). เทคโนโลยีการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศนู ยสื่อเสริมกรุงเทพ. นองนุช บุญชืน่ . (2546). สภาพ ปญหา และความตองการใชส่ือการเรียนรูของครูในโรงเรียนนาํ รอง การใชหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน สงั กัดกรมสามญั ศึกษา. วทิ ยานิพนธปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศกึ ษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร พชร แกวดี. (2550). การศึกษาสภาพปจจบุ ันการใชส่ือการเรยี นรูของครผู ูสอนในสถาบันการ อาชวี ศกึ ษา จงั หวัดยโสธร. วิทยานิพนธปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยี การศกึ ษาบัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแกน. รุจิร์ ภูํสาระ. (2545). การเขียนแผนการเรยี นร.๎ู กรงุ เทพฯ: บุค๏ พอยท์. ทวิ ตั ถ์ มณีโชติ. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พ์ศูนยส์ ํงเสรมิ วชิ าการ. 2549 พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์. (2544). วิจยั ในชน้ั เรียน:หลกั การสู่ปฎบิ ตั ิ. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท เดอะมาสเตอร์กรปุ๏ เเมเนจเมน๎ ท์ จํากดั 131
ลกั ษณะอยํางไรจะเปน็ แผนการจดั การเรียนรู๎ท่ดี ี สืบค๎นเม่ือ 6 กันยายน 2560 จาก : https://goo.gl/9Hgf49 การเขียนแผนการสอน คือภารกจิ ของครู สบื ค๎นเม่ือ 6 กันยายน 2560 จาก : http://202.29.87.101/artilces/PlanBU_Khean.asp วรกติ วัดเขาหลาม. (2 5 3 0) . ก า รผ ลิ ต แล ะกา ร ใช วั ส ดกุ า รส อ น. ค ณะ ศึ กษ า ศา สต ร มหาวทิ ยาลัยขอนแกน. สุวิมล วองวานชิ .(2550). การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชั,นเรยี น = Classroom action research. พมิ พ์คร้ังที่ 10. กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พ์แหํงจุฬาลงกรมหาวทิ ยาลยั . Brown, J.W., D.K. Norberg and K.S. Srygley.(1973). Adminidtering Education Media: Instruction Technology and Library Services. New York: McGraw-Hill Book Dale, Edgar. (1969). Audio-Visual Methods in Teaching. 3 Ed. New York: The Dryden Press Holt, Rineheart and Winston. Inc. Ger;ach, V.S. And D.P. Ely. (1980). Teaching and Media: A Systematic Approach. New Jersey: Prentice-Hal Inc. Gudmundsson, Reynir. (1985). Media Education in the city of Reykjavik, Iceland. Dissertation Abstracts International. 46 (5): 1256-A Heinich, Robert and others. (1985).Instructional Media and the New Technologies instruction. New York: John Wiley&Son. L, Shores. (1960). Instructional Meterials: An instruction for Teacher. New York: The Ronald Press Company. 132
บทท่ี 5 วธิ ีการสอน และเทคนคิ การสอนต่างๆ หัวเรอ่ื ง 1. วิธีการและเทคนิคการสอนตาํ งๆ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให๎ผ๎เู รียนมีความร๎ูความเข๎าใจและวเิ คราะห์องคค์ วามร๎ูท่ีเรียนได๎ 2. เพือ่ ใหผ๎ ๎ูเรยี นสามารถใช๎วธิ กี ารสอนและเทคนคิ การสอนเพ่ือการเรียนการสอนได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ กจิ กรรมระหว่างเรยี น ผ๎ูสอนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพือ่ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นรู๎ ทกั ษะและการคิดวิเคราะห์ ดังนี้ 1. บรรยาย อภิปราย ซกั ถาม กระต๎นุ ใหเ๎ กดิ การแลกเปล่ียนเรียนร๎ูเก่ียวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่สี อนระหวํางผู๎สอนกับผูเ๎ รียนและระหวํางผเู๎ รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารท้ังในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอร์เน็ต 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณีศกึ ษาทั้งในรปู แบบเอกสารและวิดโี อ 4. การทํางานกลุํมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความรู๎ นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในชั้นเรียน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนร๎ู ระหวํางผ๎ูเรียนในชั้นเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระท่ีเก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรยี น 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเ๎ู รยี นและผูส๎ อนรํวมสรุปประเดน็ การเรยี นรู๎ สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนงั สอื ตาํ รา งานวจิ ัยที่เก่ยี วข๎อง 2. สือ่ ดิจิทลั จากอนิ เทอร์เน็ตและสไลด์นาํ เสนอ การประเมนิ ผล 1. การสํวนรํวมกบั กิจกรรมในช้ันเรยี นของผูเ๎ รียน ความสามารถในการวิเคราะห์ประเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการค๎นควา๎ ตามประเดน็ ของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 133
วธิ กี ารสอน และเทคนคิ การสอนตา่ งๆ 5.1 การบรรยาย วธิ ีสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture Method) แมว๎ าํ การสอนโดยใช๎บรรยายจะไมํได๎เน๎นผ๎ูเรยี นเป็นศูนยก์ ลาง แตํกน็ บั วาํ เปน็ วิธีการหนงึ่ ที่ มคี วามสําคญั ตํอผูเ๎ รียนมากเชํนกนั เพราะเปน็ การสอนท่ที ําให๎ผู๎เรียนได๎มคี วามเขา๎ ใจในการเรยี น โดย ผส๎ู อนจะต๎องมกี ารบอก เลาํ อธิบายเน้ือหาในการเรยี นการสอนอยํางละเอียด และผูเ๎ รยี นจะตอ๎ งจดจํา และเกบ็ รายละเอยี ดทง้ั หมดใหไ๎ ด๎ จงึ เป็นการฝกึ ใหผ๎ ู๎เรียนได๎ใชก๎ ระบวนการฟงั การคดิ วางแผน เพอ่ื บันทกึ และจดจําเน้อื หาในบทเรยี นใหไ๎ ดม๎ ากท่สี ดุ ในบทนก้ี ลาํ วถงึ ความหมาย ลกั ษณะสําคัญ จุดมํุงหมาย องคป์ ระกอบ ขน้ั ตอนการสอน เทคนิค และข๎อดแี ละข๎อจํากัดของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย พรอ๎ มดว๎ ยการสรุปใจความสําคัญท้ังหมด และกจิ กรรมและคาํ ถามทา๎ ยบทอีกด๎วย วธิ ีการสอนโดยการบรรยายนับวาํ เป็นวิธีการสอนท่ีผส๎ู อนได๎ใช๎กนั มาเปน็ เวลานานแล๎ว ซ่งึ กน็ ับวาํ เป็นวธิ กี ารสอนท่ดี ีมปี ระสิทธภิ าพ ความหมายตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ของคาํ วํา “บรรยาย” หมายถึง ชแ้ี จงหรืออธิบายเร่ืองให๎ฟัง สาํ หรบั ความหมายของวธิ ีสอนโดยใช๎ การบรรยาย ได๎มีนักวชิ าการใหค๎ วามหมายไว๎คล๎ายคลงึ กัน ดงั นี้ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) กลําววํา วธิ สี อนโดยใช๎การบรรยาย คือกระบวนการที่ ผส๎ู อนใช๎ในการชํวยใหผ๎ ๎เู รียนเกดิ การเรยี นร๎ูตามวัตถุประสงค์ที่กําหนด โดยการเตรยี มเน้ือหาสาระ แล๎ว บรรยายคือ พูด บอก เลํา อธิบาย เนอ้ื หาสาระหรือสงิ่ ท่ีต๎องการสอนแกํผเ๎ู รยี น และประเมินผลการเรียนร๎ู ของผู๎เรยี นด๎วยวิธีใดวิธหี น่ึง อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 138) กลาํ ววํา วธิ ีสอนแบบบรรยาย หมายถึง วิธีสอนท่ผี ๎สู อน พดู บอกเลํา อธบิ าย เน้ือหาหรอื เร่ืองราวตาํ ง ๆ ให๎แกํผู๎เรียน โดยท่ผี สู๎ อนเป็นฝาุ ยเตรียมการศึกษาค๎นคว๎า เนอ้ื เร่ืองมาแลว๎ เปน็ อยํางดี ผู๎เรียนเป็นฝาุ ยมารบั ผลการศึกษาค๎นคว๎านน้ั โดยทั่วไปมักจะเปน็ การสอ่ื ความหมายทางเดยี ว คือ จากผสู๎ อนไปสํูผเ๎ู รียนโดยผูเ๎ รยี นจะมสี ํวนรํวมในกิจกรรมการเรียนการสอนน๎อย เพยี งแตํฟงั จดบนั ทึก หรอื ซักถามบางคร้ัง วิธสี อนแบบนี้จะยดึ บทบาทของผู๎สอนเปน็ หลักสําคัญ จากความหมายท่นี ักวิชาการได๎อธบิ ายมา สรุปไดว๎ าํ การสอนแบบบรรยาย หมายถึง วธิ ีการ สอนท่ผี ๎สู อนเป็นฝาุ ยบอกเลาํ อธิบาย หรือถํายทอดความรู๎ให๎กบั ผูเ๎ รียนในรูปของคําพดู โดยผสู๎ อนจะเป็นผ๎ู คน๎ คว๎าหาความร๎ูมาเพื่ออธบิ ายให๎ผูเ๎ รยี นฟงั โดยเฉพาะ ผ๎เู รียนจงึ เปน็ ฝาุ ยที่จะไดร๎ ับข๎อมูลจากเนื้อหาใน บทเรียนเพยี งอยํางเดียว โดยผู๎เรยี นจะต๎องใช๎การฟัง การวิเคราะห์ การจดจําเนือ้ หาสาระ หรอื จดบนั ทึก จากสิ่งท่ผี ส๎ู อนได๎อธิบายไว๎ ทําให๎ผู๎เรียนไมมํ ีโอกาสศึกษาค๎นควา๎ เป็นเพยี งผูร๎ บั วิธกี ารสอนนจ้ี งึ เนน๎ ผู๎สอน เปน็ สําคัญ 134
ลกั ษณะสาคญั ของวธิ ีสอนโดยใช้การบรรยาย วธิ สี อนโดยใช๎การบรรยายมีลักษณะสาํ คัญคือ ผ๎สู อนพดู อธบิ ายใหผ๎ ู๎เรียนฟงั ซึ่งนักวิชาการ ไดอ๎ ธิบายเพิ่มเติมเกีย่ วกับวธิ ีสอนนี้ไว๎อยาํ งนาํ สนใจ ดงั น้ี สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อุทยั สขุ (2540 : 56) กลาํ วถึงคณุ สมบัติเบื้องตน๎ ของการสอน แบบบรรยาย ไว๎ดงั น้ี 1. เป็นการสอนทเ่ี ป็นการสอ่ื ความหมายทางเดียว กลาํ วคอื ผส๎ู อนเป็นฝาุ ยใหค๎ วามร๎ูแกํผเ๎ู รียน โดยมีผเู๎ รียนเป็นฝาุ ยรับคือ ฟัง และอาจจดบันทกึ สาระสําคัญของเนื้อหาท่ีครบู อกหรืออธิบายน้นั ตามไป ด๎วย 2. เป็นการสอนที่ใหค๎ รเู ปน็ ศนู ย์กลางการเรยี นการสอน ผ๎ูสอนจะมีพฤติกรรมในระหวํางการ เรยี นการสอนมากกวาํ ผู๎เรียน บญุ ชม ศรีสะอาด (2541 : 50-51) อธิบายถึงการสอนแบบบรรยายวําเปน็ วิธสี อนท่ีเกาํ แกํทีส่ ุด โดยมีลกั ษณะสาํ คัญดังน้ี 1. ผ๎สู อนเป็นผถู๎ าํ ยทอดความรแู๎ กผํ ๎เู รยี นในรูปของการบอก เลํา หรืออธบิ าย 2. ผ๎ูเรียนเปน็ ฝาุ ยฟังอาจจดบนั ทึกสาระสําคญั ถา๎ เปน็ การสอนแบบบรรยายลว๎ นใน ระหวํางการบรรยายผ๎เู รียนจะไมมํ โี อกาสถามคาํ ถามหรือวิพากษ์วจิ ารณ์ 3. มุํงถํายทอดความร๎ู (Didactic or Instructional) และ/หรือมุงํ ใหเ๎ รา๎ ใจ (Inspirational) วไลพร คุโณทยั (2530 : 19) กลาํ ววํา การบรรยายของผส๎ู อนเป็นลักษณะของการใหค๎ วามรู๎ ความจํา ซงึ่ ถ๎าผเ๎ู รยี นมีความสนใจในสิ่งที่ผ๎สู อนสอนให๎ การสอนและการเรียนกจ็ ะตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ วางไว๎ ถ๎าผเ๎ู รียนขาดความสนใจ การสอนในลกั ษณะนก้ี จ็ ะไมทํ าํ ให๎ผ๎เู รียนเกดิ การเรยี นรู๎ เพราะผเ๎ู รียนไมํ เกดิ การรับร๎ทู จี่ ะนําไปปฏบิ ตั ิใหม๎ ีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได๎ สรุปไดว๎ ํา ลักษณะสําคญั ของวธิ ีสอนโดยใช๎การบรรยาย ไดแ๎ กํ การท่ีผู๎สอนถํายทอดความร๎ู แกํผูเ๎ รียนโดยการ พดู อธิบาย บอก เลํา ให๎ผเ๎ู รยี นได๎ฟัง และอาจจดบนั ทึกสาระสาํ คญั ไว๎สําหรับการ ทบทวนความรู๎ อยํางไรกต็ าม ผู๎เขยี นมคี วามคดิ เห็นวาํ การบรรยายเพยี งอยํางเดียว ไมสํ ามารถทําให๎ ผู๎เรียนตน่ื ตวั หรือกระตือรือรน๎ ในการเรยี นรูไ๎ ด๎ ดงั นน้ั วธิ ีสอนโดยใชก๎ ารบรรยายต๎องมวี ธิ กี ารสอนแบบอืน่ ๆ เขา๎ ไปผสมผสานด๎วย หรอื อยํางน๎อยที่สดุ ต๎องมีสื่อประกอบ ซ่งึ อาจเป็นการนําเสนอโดยใช๎โปรแกรม คอมพิวเตอร์ มวี ีดที ัศน์ ภาพน่ิง สไลด์ สื่อของจริงประกอบ ก็จะทําให๎การบรรยายนําสนใจข้ึนอยํางมาก นอกจากนกี้ ารมีอารมณข์ นั ของผ๎ูสอน และการถามคาํ ถามจะชํวยใหผ๎ เู๎ รยี นสนกุ กบั การเรียน แลว๎ ไดฝ๎ ึก การคดิ วิเคราะห์ ซงึ่ เปน็ ทักษะทสี่ าํ คัญย่ิงในการเรยี นร๎ูของนักเรียน รายละเอยี ดของสิง่ ตํางๆ ทีก่ ลําวมา จะได๎ศกึ ษารายละเอยี ดในบทน้ี 135
จุดมํุงหมายของวิธสี อนโดยใช๎การบรรยาย วธิ ีสอนใดๆ กม็ จี ุดมุํงหมายเพือ่ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นรู๎ตามวตั ถุประสงค์ของบทเรียนตามท่ี กาํ หนดไว๎ นกั วชิ าการไดอ๎ ธบิ ายเพ่ิมเติมถึงจดุ มงํุ หมายเฉพาะของวิธีสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ดงั น้ี ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) อธิบายถึงจดุ มํงุ หมายของวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยายวาํ เปน็ วิธกี ารท่ีมุํงชํวยใหผ๎ ู๎เรยี นจาํ นวนมากไดเ๎ รยี นรเ๎ู น้ือหาสาระหรอื ข๎อความรจ๎ู ํานวนมากพร๎อม ๆ กันไดใ๎ นเวลา ทจ่ี าํ กัด อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 138) กลําวถงึ ความมํงุ หมายของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายไว๎ดงั นี้ 1. เพือ่ ให๎ความรู๎หรือประสบการณใ์ หมํแกผํ ๎เู รียน เป็นความรทู๎ คี่ น๎ คว๎าหาได๎ยาก หรือเป็น ประสบการณ์เฉพาะของผสู๎ อนเอง 2. เพือ่ ชํวยนําทางในการอาํ นหนงั สอื ของผ๎เู รียน และชํวยสรปุ ประเดน็ สําคัญในกรณีที่ผูส๎ อน มอบหมายให๎ไปอาํ นมาลวํ งหนา๎ แล๎ว 3. เพอ่ื มุํงถํายทอดความรใ๎ู ห๎ผู๎เรยี นได๎อยํางเต็มเม็ดเต็มหนํวยในเวลาอนั จาํ กัด จากจุดมุงํ หมายทงั้ หมดที่นักวิชาการได๎กลําวมา สรปุ ไดว๎ าํ การสอนโดยใช๎การบรรยายมี จุดมํงุ หมายสาํ คัญ คอื 1. มงุํ ชวํ ยให๎ผเ๎ู รยี นจํานวนมากได๎เรียนร๎ูในเวลาท่จี าํ กัด 2. เพือ่ ให๎ความรู๎หรือประสบการณ์ใหมํแกํผเู๎ รียน เปน็ ความรท๎ู คี่ ๎นควา๎ หาได๎ยาก หรอื เป็น ประสบการณ์เฉพาะของผ๎ูสอนเอง 3. เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นได๎มคี วามรูไ๎ ปในทิศทางเดยี วกันและไดเ๎ น้ือหาอยํางเทําเทยี มกนั 4. เพอื่ ชวํ ยนําทางในการอาํ นหนงั สอื ของผ๎ูเรยี น และชวํ ยสรปุ ประเด็นสําคัญในกรณีทผี่ สู๎ อน มอบหมายใหไ๎ ปอํานมาลํวงหนา๎ แล๎ว องคป์ ระกอบของวธิ สี อนโดยใชก้ ารบรรยาย ในการสอนโดยการใช๎การบรรยายมีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ ดังที่ ทิศนา แขมมณี (2550 : 327) ได๎กลาํ วไวด๎ งั นี้ 1. มีผ๎สู อนและผู๎เรียน 2. มเี นื้อหาสาระ หรือขอ๎ ความร๎ูทีต่ ๎องการใหผ๎ ๎ูเรยี นได๎เรยี นร๎ู 3. มกี ารบรรยาย (พดู บอก เลาํ อธบิ าย) โดยผ๎ูสอน 4. มผี ลการเรยี นรูข๎ องผเ๎ู รยี นท่เี กิดจากการบรรยาย องคป์ ระกอบแรกคือ ผสู๎ อนและผูเ๎ รียน หรือมผี ๎ูบรรยายและผู๎ฟงั การบรรยาย ผ๎สู อนมหี นา๎ ที่ บรรยายให๎ผเ๎ู รียนไดร๎ ับความรู๎ ซงึ่ ความรู๎จะเกิดขึ้นได๎กเ็ มื่อผู๎สอนเตรยี มองค์ประกอบทีส่ องมาเปน็ อยาํ งดี องค์ประกอบที่สองน้ีก็คือ เนื้อหาสาระ หรอื ข๎อความรท๎ู ต่ี ๎องการให๎ผ๎ูเรยี นเกดิ การเรียนร๎ู เมื่อมีการเตรยี ม เนอื้ หาสาระแล๎ว กเ็ ปน็ วธิ กี ารทจ่ี ะถาํ ยทอดความร๎นู ้ัน ซึ่งไดแ๎ กํ องคป์ ระกอบท่ีสาม คือ การบรรยายโดย 136
ผ๎สู อน สํวนองคป์ ระกอบสดุ ท๎ายสําคญั มาก นัน่ คือ ผลการเรยี นร๎ูของผเ๎ู รยี นที่เกดิ จากการบรรยาย ซง่ึ หากองค์ประกอบที่สไี่ มํเกดิ ขึ้นการสอนโดยการบรรยายในครั้งนั้นกส็ ูญเปลํา ขัน้ ตอนของวิธสี อนโดยใชก้ ารบรรยาย อยํางท่ีกลําวมาแลว๎ วําวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยายนั้น มอี งคป์ ระกอบหลกั อยูํ 4 องคป์ ระกอบ ได๎แกํ ผู๎สอนและผ๎เู รียน เน้ือหาสาระ การบรรยายโดยผู๎สอน และผลการเรียนร๎ูของผเ๎ู รียนท่เี กิดจากการ บรรยาย ซึ่งหากผ๎สู อนไมไํ ด๎เตรียมองค์ประกอบทีห่ นึ่งถึงสามไว๎ องค์ประกอบทสี่ ี่คือ ผลของการ เรยี นรู๎ท่เี กดิ ขึ้นกบั ผเ๎ู รียนกจ็ ะไมเํ กิดประสทิ ธผิ ลอยาํ งเต็มที่ การทจี่ ะให๎การสอนโดยวิธีการบรรยายเกดิ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสูงสดุ ก็ต๎องมขี ้นั ตอนในการสอน ซงึ่ นกั วชิ าการหลายทํานไดแ๎ นะนําดงั น้ี อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 138 -140) เสนอขน้ั ตอนการสอนแบบบรรยายมี 3 ขน้ั ตอนดงั น้ี 1. ขั้นเตรียมการสอน 2. ขั้นสอน ประกอบดว๎ ย 2.1 ขนั้ นํา 2.2 ข้นั อธิบาย เป็นขน้ั สําคญั ทจี่ ะทําให๎ผู๎เรยี นเกดิ ความรู๎ความเขา๎ ใจในเน้ือหาทเ่ี รยี น 2.3 ข้นั สรปุ เปน็ การปิดทา๎ ยชั่วโมงการบรรยาย 3. ขนั้ ตดิ ตามผล ประกอบดว๎ ย 3.1 วดั ผลประเมนิ ผลผู๎เรียน 3.2 วดั ผลประเมนิ ผลผ๎ูสอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 327) ได๎กลําววําข้ันตอนสาํ คัญ (ที่ขาดไมํได๎) ของการสอนแบบ บรรยาย ควรมดี ังนี้ 1. ผสู๎ อนเตรียมเนอ้ื หาสาระทีจ่ ะบรรยาย 2. ผู๎สอนบรรยาย (พดู บอก เลาํ อธิบาย) เนื้อหาสาระที่ต๎องการใหผ๎ ๎ูเรียนได๎เรยี นรู๎ 3. ผ๎สู อนประเมินผลการเรียนร๎ขู องผเู๎ รียน บญุ ชม ศรสี ะอาด (2541 : 51-53) กลําววาํ เพอ่ื ให๎การสอนแบบบรรยายมีประสทิ ธภิ าพ ควร ดาํ เนินตามข้นั ตอน 3 ข้นั คอื 1. ขั้นเตรยี ม 2. ขน้ั บรรยาย 3. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล จากที่นกั วชิ าการได๎กําหนดขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย สรุปข้นั ตอนทีส่ ําคญั ไวด๎ งั น้ี 1. ขั้นเตรียมการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย 137
2. ขน้ั สอนโดยใชก๎ ารบรรยาย 2.1 ขน้ั นํา 2.2 ขนั้ อธิบาย 2.3 ขัน้ สรปุ 3. ข้นั ประเมินผลการสอนโดยใช๎การบรรยาย 1. ขน้ั เตรยี มการสอนโดยใช้การบรรยาย ขน้ั เตรยี มการสอนเปน็ ข้นั ท่สี าํ คญั ย่งิ หากปราศจากการเตรยี มการสอนแลว๎ การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนกจ็ ะไมรํ าบรน่ื ไมเํ ปน็ ระบบ สํงผลให๎ผูเ๎ รยี นเกิดการเรียนร๎ูไดน๎ ๎อย รายละเอียด ของขั้นตอนการเตรยี มการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมผี เ๎ู สนอไว๎ ดังน้ี อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 138 -139) เสนอการเตรยี มการสอนแบบบรรยายไว๎วํา 1. วนิ ิจฉยั ผูเ๎ รียน โดยพิจารณาถึงพื้นความร๎ู ประสบการณเ์ ดิม ความสามารถของผ๎ูเรียน อาจ ใช๎วิธพี ูดคยุ ซกั ถาม สมั ภาษณ์ หรอื ใช๎แบบทดสอบกํอนเรียนเพื่อประโยชนใ์ นการเตรยี มเนื้อหาและวธิ ีการ สอน 2. เตรียมเนือ้ หา โดยพจิ ารณาถงึ ความละเอยี ด ลึกซ้ึง มากน๎อย และลําดับของเนอื้ หาให๎ เหมาะสมกบั เวลาและลกั ษณะของผ๎ูเรียน 3. เตรียมคําถาม เพื่อใช๎ถามผูเ๎ รียนระหวํางการบรรยาย จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนตน่ื ตัวและสนใจได๎ดีข้ึน 4. เตรียมส่ือการเรียนการสอน โดยเตรยี มสือ่ ใหพ๎ ร๎อมอยใูํ นสภาพใช๎การไดด๎ ี อาจเป็น สไลด์ แผนํ ใส ภาพ ของจาํ ลอง ของจริง ฯลฯ จะชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรยี นเขา๎ ใจบทเรยี นไดด๎ ีขึ้น 5. เตรยี มการวัดผลประเมินผล อาจจดั ทําเป็นแบบทดสอบหลังการเรยี น เป็นแบบฝกึ หัด หรือ การถามคําถามเพ่ือวดั ดวู าํ ผเู๎ รียนเกิดการเรียนรตู๎ ามจดุ ประสงคท์ ก่ี าํ หนดไวห๎ รือไมํ และมากนอ๎ ยเพยี งใด ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) กลาํ วถงึ การเตรียมการบรรยายทด่ี วี าํ ผส๎ู อนจําเป็นต๎อง ศึกษาเนื้อหาสาระที่จะบรรยายให๎เขา๎ ใจแจํมแจ๎ง ตํอจากน้นั ควรคัดเลอื กวาํ เน้ือหาสาระใดมีความจําเปน็ หรอื มีประโยชนต์ ํอผเู๎ รียนเพยี งใด เนือ้ หาใดไมจํ ําเป็นอาจตัดออก ตอํ ไปควรจดั ลาํ ดับเนื้อหาสาระวาํ สง่ิ ใด ควรพูดกํอน พดู หลัง และจะเชื่อมโยงกนั อยํางไร เน้ือหาสาระแตํละสวํ นมีสวํ นใดที่ยังคลุมเครอื ซึ่งควรหา ตวั อยํางประกอบหรือควรใชส๎ ื่อใดชํวย และควรแสวงหาเทคนิคในการนาํ เสนอสาระแตลํ ะสํวนให๎นําสนใจ ทา๎ ทายความคิดและเขา๎ ใจไดง๎ ําย ซ่งึ อาจจะเปน็ การใช๎คําถามกระต๎นุ หรือการเลําประสบการณ์ท่ีแปลก ใหมํ หรอื นําเสนอปญั หาท่ีท๎าทายความคิดกํอนการบรรยาย รวมทั้งผส๎ู อนควรจะมโี ครงรําง (outline) สําหรบั การบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรรยาย สามารถ คงสะอาด (2535 : 20-21) ได๎อธบิ ายข้ันตอนการเตรียมของการสอนโดยใชก๎ าร บรรยายไว๎ ดังน้ี 138
1. กําหนดจุดมงุํ หมายของการสอนให๎ชดั เจนวาํ เมอ่ื เสร็จส้นิ การเรียนการสอนแลว๎ ตอ๎ งการให๎ ผู๎เรียนเกิดการเรยี นร๎ู หรือเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทางด๎านใดบา๎ ง เชนํ เม่อื เรยี นภมู ปิ ระเทศของประเทศ ไทยแล๎ว ผเู๎ รียนสามารถบอกท่ีตง้ั ของประเทศไทยไดถ๎ ูกต๎อง 2. เตรียมเนอื้ หา โดยผส๎ู อนตอ๎ งทาํ ความเข๎าใจเกยี่ วกบั เนอ้ื เร่ืองในบทเรียนน้ันใหแ๎ จํมแจง๎ เพ่อื จดั ประสบการณก์ ารเรียนการสอนให๎แกผํ ๎เู รียนจากเรื่องท่งี าํ ยไปหาเรื่องท่ียาก 3. เตรยี มกิจกรรมใหผ๎ ๎ูเรยี นทํา เพ่ือใหผ๎ ู๎เรยี นมีสวํ นรวํ มในการเรยี นการสอน 4. เตรียมสือ่ การเรยี นการสอน เป็นการเตรียมสงิ่ ท่จี ะให๎ประกอบการเรียนการสอน เอกสาร ประกอบการบรรยายของจรงิ หรือของจําลองรปู ภาพ เป็นต๎น 5. เตรียมการวดั ผล โดยใช๎วธิ ีการหรอื เคร่ืองมือที่เหมาะสม เชํน การให๎ทาํ แบบฝกึ หัด ทาํ แบบทดสอบ การรายงานเพ่อื ให๎ทราบผลการเรียนการสอน บญุ ชม ศรีสะอาด (2541 : 51) ได๎อธบิ ายไว๎วาํ ขน้ั เตรยี มจะต๎องวางแผนการและ เตรียมการสอนอยาํ งดี ดงั น้ี 1. พิจารณาและกําหนดจุดประสงคข์ องการเรียนการสอนใหแ๎ จํมชัด 2. ศึกษาผ๎เู รยี นในดา๎ นภูมหิ ลงั ความรู๎ ความสามารถ ความต๎องการและความสนใจ นาํ ขอ๎ สนเทศเหลํานี้มาพิจารณาวางแผนการสอนให๎เหมาะสมและมปี ระสิทธผิ ลมากทส่ี ุด 3. ศึกษา ค๎นคว๎าในเรอ่ื งน้ัน ๆ ใหก๎ วา๎ งขวางจากตาํ รา วารสาร แหลํงสนเทศท่ีเชือ่ ถือได๎ อ่นื ๆ รวมท้ังพิจารณาประสบการณข์ องตนเอง 4. พิจารณาถึงการทบทวนหรอื เช่อื มโยงความร๎ูพ้นื ฐานท่ีจาํ เป็นสาํ หรับการเรียนเรื่องนน้ั 5. กําหนดเค๎าโครง จดั ลาํ ดับขน้ั ตอนของเนื้อหาเพือ่ ใหผ๎ เ๎ู รียนสามารถเรียนร๎ูได๎ดที ่ีสุด 6. เตรยี มภาษาท่ีจะใชใ๎ นการบรรยาย ซง่ึ จะต๎องมเี หตุผล ผู๎เรยี นเข๎าใจได๎งําย 7.พจิ ารณาส่ิงท่ีจะชํวยให๎การบรรยายมีรสชาติ เชนํ เกรด็ ความรูเ๎ กีย่ วข๎องการอุปมาอุปไมย สถิติท่ีสาํ คญั ผลการวจิ ัยหรือการค๎นคว๎าใหมํ ๆ ตวั อยาํ งคําถามตําง ๆ ฯลฯ 8. พจิ ารณาและตระเตรียมการใช๎สือ่ ตาํ ง ๆ ท่จี ะชวํ ยดงึ ดูดความสนใจและเพ่มิ ความเขา๎ ใจ เชนํ รปู ภาพ ของจรงิ หนํุ จาํ ลอง ภาพยนตร์ สไลด์ แผํนโปรงํ ใส ฯลฯ 9. ในการวางแผนจะตอ๎ งคาํ นงึ ถึงความเหมาะสมในด๎านเวลาเป็นสาํ คัญ 10. การทดลองหรือซกั ซ๎อมสอนจะให๎ประโยชนใ์ นการปรับปรุงการเตรียมการสอนใหด๎ ีย่งิ ขึ้น กอํ นทําการสอนจริง 11. เตรียมวิธกี ารประเมินผลวาํ จะใช๎วธิ ใี ดบ๎าง เชํน การสังเกต การใช๎คาํ ถาม การใช๎ แบบทดสอบ ซ่ึงจะต๎องเตรยี มให๎พรอ๎ มไวล๎ วํ งหน๎า 12. กอํ นเวลาบรรยายควรเตรยี มสถานที่ อปุ กรณ์ตาํ งๆ ใหเ๎ รยี บร๎อย ตรวจสอบการใชส๎ ่ือ ตํางๆ วําพรอ๎ มท่จี ะใช๎ไดต๎ ามความตอ๎ งการ 139
จากคาํ แนะนาํ ของนักวิชาการเกีย่ วกบั การเตรยี มการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ผ๎ูเขียนเหน็ วํา ครคู วรจัดทาํ แผนการสอนหรือแผนการจดั การเรยี นรู๎ โดยคํานึงถงึ พน้ื ความรู๎ ความสามารถ และ ประสบการณเ์ ดิมของผู๎เรียน ซ่งึ ในแผนการสอนนนั้ ครูกต็ ๎องเตรยี มในสวํ นของวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู๎ กจิ กรรมการเรยี นการสอน สอ่ื การวัดผลการเรียนร๎ูของผูเ๎ รยี นเป็นตน๎ แตทํ พี่ ิเศษและท๎าทาย ความสามารถของคณุ ครูก็คือ จะจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช๎การบรรยายอยํางไรใหผ๎ ูเ๎ รยี นไมรํ ส๎ู กึ เบ่ือ ซึง่ ครูอาจทําไดโ๎ ดยใช๎ส่อื ใชค๎ าํ ถาม เร่ืองเลํา สถติ ิที่สาํ คญั คาํ กลอน คาํ อปุ มาอปุ มัย รวมท้งั ใชอ๎ ารมณ์ ขนั หรือกจิ กรรมอื่นๆ ทเี่ หมาะสม และเชํนเดยี วกบั การสอนในทุกคร้ัง กอํ นเวลาสอน ครูควรเตรียมสถานท่ี และอุปกรณต์ าํ งๆ ใหเ๎ รียบร๎อย และพรอ๎ มสําหรบั การใช๎งาน และหากเนื้อหาท่ีจะบรรยายน้นั ใหมสํ ําหรบั คณุ ครู คุณครกู ็ควรซกั ซ๎อมการสอน ซึ่งจะทาํ ให๎ครูมีความชาํ นาญในการสอนโดยใช๎การบรรยายมาก ยิ่งขนึ้ 2. ขนั้ บรรยาย ขั้นตอนที่สอง คือ ข้ันบรรยายหรอื อธบิ าย ซึ่งในข้นั ตอนนี้ มีนักวิชาการได๎กลําวไว๎ คลา๎ ยคลงึ กนั ดงั นี้ อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 139) กลาํ ววํา ข้นั สอน ซ่งึ เป็นขน้ั ที่สองของวิธีสอนโดยใชก๎ าร บรรยายวาํ ประกอบด๎วยรายละเอยี ด ดงั นี้ 1. ข้ันนาํ อาจใช๎วธิ ี 1) ซกั ถามพูดคุยกับผ๎เู รยี นเพื่อเตรยี มความพร๎อมกํอนเรมิ่ เรยี น 2) ทบทวนการบรรยายในครัง้ กํอนเพื่อเช่ือมโยงกับเรื่องใหมํ 2. ข้ันอธิบาย เปน็ ข้ันสําคญั ทจ่ี ะทําใหผ๎ เู๎ รียนเกดิ ความร๎ูความเข๎าใจในเนอื้ หาทเี่ รียน ผส๎ู อน ควรไดด๎ ําเนินการ ดังน้ี 1) บอกโครงเรือ่ ง ขอบขาํ ยของเนื้อหา และแจง๎ จดุ ประสงคข์ องบทเรียน 2) อธบิ ายใหช๎ ัดเจนตามลําดับเน้ือหาอยํางตํอเน่ืองกัน 3) สังเกตปฏิกิรยิ าของผ๎เู รยี นตลอดเวลาเพอ่ื การย้าํ ซํ้า หรือหยดุ ทบทวนใหมํ 4) ถามคําถามในบางตอนเพ่ือกระต๎นุ ความสนใจของผเ๎ู รียน และทดสอบความ เขา๎ ใจ 5) ยกตวั อยาํ งประกอบ เพ่อื เพมิ่ ความแจํมแจ๎งในบทเรียน 6) ใชน๎ ้าํ เสยี ง บุคลิกภาพทําทาง ทําทีการพดู อธบิ าย การใช๎ภาษา และอารมณ์ขันที่ เหมาะสม 3. ขน้ั สรปุ เป็นการปิดทา๎ ยช่ัวโมงการบรรยาย อาจใช๎วธิ ี 1) สรปุ โยงเนอ้ื เรอ่ื งต้งั แตํตน๎ จนจบ 2) ตั้งปัญหาใหผ๎ ๎เู รียนได๎คิดวเิ คราะหว์ ิจารณ์ 140
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322