Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Published by ED-APHEIT, 2020-05-08 11:53:56

Description: ปรับปรุง@10-04-2562 ใช้ เอกสารประกอบการสอน รายวิชา TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Search

Read the Text Version

สํงเสริมความแมํนยําและการถํายโยงการเรียนรู๎ เพราะถ๎าเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ไดด๎ ังการแตงํ กายของบคุ คล วธิ ีสอนก็เปรียบเทียบเคร่ืองประดับที่ติดอยํูบนชุดตําง ๆ สําหรับใช๎แตํงกาย ของคนเรา โดยรูปแบบของชุดเปรียบได๎กับรูปแบบการสอนท่ีนํามาใช๎น่ันเอง ดังนั้น การแตํงกายจะดี หรือไมเํ พยี งใดอยทูํ ่กี ารเลือกแตํงกายใหเ๎ หมาะสมกับวัตถุประสงค์ โดยมีชุดและเคร่ืองประดับท่ีเหมาะสม กลมกลนื กนั และกจิ กรรมการเรียนการสอน รปู แบบการสอน และวธิ กี ารสอนก็เชํนเดยี วกัน วธิ สี อนทีใ่ ช๎กันโดยแพรํหลาย ได๎แกํ วิธีสอนแบบบรรยาย ซ่ึงเป็นวิธีการที่ใช๎กับคนหมูํ มาก มีเวลาในการสอนจํากัดในขณะท่ีมีเนื้อหาท่ีต๎องสอนมาก ผ๎ูเรียนสํวนมากต๎องเป็นผู๎ใหญํหรือ ระดับช้ันมัธยมศึกษาขึ้นไปเพราะต๎องใช๎ความสนใจในเน้ือหามาก การบรรยายเป็นวิธีสอนท่ียึดครูเป็น ศนู ย์กลางสมั ฤทธ์ผิ ลของการเรยี นรจู๎ ะเกิดได๎ดีเพียงใดอยูํท่ีผ๎ูบรรยายหรือตัวครูเป็นหลัก เพราะถ๎าหากครู มีความสามารถสูงมีวิธีการอื่นๆ มาแทรก มีทักษะและเทคนิคการบรรยายได๎ดี ก็จะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎รับ ประโยชน์ได๎มาก ในขณะท่ีวิธีสอนแบบอภิปรายเป็นการสอนท่ียึดผู๎เรียนเป็นผู๎กระทําศึกษาและค๎นคว๎า แล๎วนํามาแสดงออกอยํางสร๎างสรรค์ เป็นการหาความรู๎ได๎อยํางไมํมีท่ีส้ินสุด และได๎ทักษะกระบวนการ กลุํมอีกด๎วย เน่ืองจากการอภิปรายมีรูปแบบและเทคนิคหลายวิธีจําเป็นที่ผ๎ูใช๎จะต๎องใช๎ให๎ถูกต๎องตาม รปู แบบ วิธีการและวตั ถปุ ระสงค์ของการใช๎นั้น ๆ โดยเฉพาะความแตกตํางระหวาํ งการอภิปรายกลุํมยํอย กับการจัดสัมมนานั้นแตกตํางกันอยํางส้ินเชิงท้ัง ๆ ที่เป็นการอภิปรายเหมือนกัน ในขณะที่เช่ือกันวํา วิธกี ารแบบนี้ใหผ๎ ู๎เรียนได๎รบั ประโยชน์จากการเป็นผ๎ูกระทําจริง แตํไมํเหมาะกับผ๎ูเรียนที่ไมํกล๎าแสดงออก และมีปญั หาเร่อื งการพดู นาํ เสนองาน วิธีสอนแบบทดลองใช๎สําหรับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นสํวนใหญํ โดยมุํงให๎ผ๎ูเรียน นําความรู๎ทางด๎านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ออกมาใช๎ในการทดลองพิสูจน์หลักการและทฤษฎีตําง ๆ โดยผู๎เรียนเปน็ ผท๎ู ดลองโดยมคี รคู อยควบคมุ ดแู ลอยาํ งใกล๎ชดิ ข๎อดีของวิธีสอนแบบน้ีเป็นการสอนที่มุํง ให๎นักเรียนเป็นผ๎ูกระทําจริง (learning by doing) เคร่ืองมือในการทําลองมีราคาสูง มีข๎อจํากัดเรื่องของ สถานท่ีและวิชาที่ศึกษาพอสมควร วิธีการสอนท่ีนําสนใจอีกวิธีหนึ่งคือ กาสาธิตเป็นการแสดงให๎เห็นถึง ประสบการณ์ในการทํางานหรือปฏิบัติงานอยํางชํานาญในด๎านใดด๎านหน่ึงอยํางถํองแท๎ให๎ผู๎เรียนเห็น กระบวนการทํา เข๎าใจความคิดรวบยอดและเชื่อถือศรัทธาตํอผ๎ูสอนและบทเรียน ข๎อดีของวิธีการนี้ สามารถใช๎ในการประกอบการสอนทกั ษะไดอ๎ ยาํ งดี วิธีการสอนโดยใช๎การจําลองสถานการณ์ การสอนแบบน้ีเป็นการสอนท่ีเน๎นให๎ผ๎ูเรียน เตรยี มพบสถานการณ์จรงิ ในอนาคต เปน็ การจาํ ลองเหตุการณ์กํอนออกปฏิบัติงาน โดยเน๎นการพิจารณา กระบวนการท้ังหมดของสถานการณ์วํามีความถูกต๎องเหมาะสมหรือไมํ เพียงใด โดยถือเป็นการเตรียม ความพร๎อมสําหรับสถานการณ์จริงที่เกิดแนํนอนในอนาคต ซ่ึงวิธีการน้ีแตกตํางจากวิธีสอนแบบบทบาท สมมุติตรงที่บทบาทสมมุติมุํงท่ีสมมุติให๎ผ๎ูเรียนสวมบทบาทของใครคนใดคนหน่ึงเพราะเลํนสมมุติเป็น 191

บคุ คล ดังนั้น คุณคาํ ของการแสดงอยํูท่ีความสมจริงกับพฤติกรรมของคนที่ถูกสวม โดยมํุงพัฒนาเจตคติ คํานิยม และการแก๎ปญั หา ซึ่งยังไมํทราบวธิ ีการทแ่ี นชํ ัด บทบาทวธิ กี ารสอนแบบโครงงานเป็นการจัดทําวิธีงําย ๆ โดยใช๎วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาให๎ผู๎เรียนหาความรู๎ความจริงในโครงการที่กําหนดขึ้นในระยะเวลาหน่ึง เพ่ือสํงเสริมการศึกษาหา ความร๎ูเพิ่มเติมโดยผู๎เรียนเองในสถานการณ์จริง โดยผู๎เรียนศึกษาและวิจัยอยํางเป็นระบบตามข้ันตอน ตําง ๆ แล๎วจึงนําเสนอผลงาน ขณะท่ีการศึกษานอกสถานท่ีก็เป็นวิธีการหนึ่งท่ีมุํงให๎ผ๎ูเรียนเกิด ประสบการณ์ตรงจากการเรียน ชํวยให๎ผู๎เรียนสนุกสนานมีชีวิตชีวา แตํข๎อจํากัดอยํูท่ีกระบวนการไป ศกึ ษาตอ๎ งเตรียมการอยาํ งดี และเตรียมแกไ๎ ขปญั หาอันอาจจะเกิดขึ้นได๎ วิธีสอนทั่วไป หมายถึง วิธีการที่เป็นแนวในการสอน เพ่ือให๎เกิดการเรียนรู๎ตาม วัตถุประสงค์ โดยเฉพาะวิธีสอนทั่วไปนั้น เป็นวิธีสอนข้ันพ้ืนฐานที่ผู๎เร่ิมเป็นครูพึงทราบและสามารถ ประยุกต์ใช๎ให๎เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึง่ วธิ สี อนขัน้ พืน้ ฐานมีหลายวธิ ี เชํน การบรรยาย การอภิปราย การทดลอง การสาธิต การจําลองสถานการณ์ การสอนแบบโครงการ ฯลฯ หลักในการนําวิธีสอนไปใช๎ นั้น ต๎องนําไปใช๎ให๎เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน ข้ันตอนการสอน ตลอดจนวัตถุประสงค์ และเน้ือหาสาระในการสอน ดังน้ัน หากครูมีความรู๎พื้นฐานด๎านวิธีสอน แล๎วสามารถนําไปประยุกต์ใช๎ กับวธิ ีสอนอ่ืนๆ เพือ่ จดั การเรียนการสอนไดเ๎ ป็นอยํางดี (ชาญชัย ยมดษิ ฐ์, 2548 : 230) การผสมผสานวธิ ีสอนแบบต่าง ๆ ปรีชา คัมภรี ปกรณ์ (2540 : 275) กลาํ ววํา ตามทฤษฎีการสอนน้ันไมํสามารถสรุปได๎วํา วิธีสอนวิธีใดวิธีหนึ่งจะใช๎ได๎ผลในการถํายทอดความรู๎ เจตคติ และทักษะได๎ดีท่ีสุด การเลือกวิธีสอนนั้น ยํอมขึ้นอยํูกับองค์ประกอบหลายประการด๎วยกัน เชํน เนื้อหาวิธีท่ีสอน วัตถุประสงค์ของบทเรียน ธรรมชาติของผ๎ูเรียน และเวลาท่ีใช๎ในการสอน ซึ่งนักศึกษาได๎ศึกษารายละเอียดมาแล๎วการท่ีจะให๎เกิด ประสทิ ธผิ ลในการสอนให๎มากทสี่ ุดน้ัน ผูส๎ อนจาํ เปน็ จะต๎องใชว๎ ิธผี สมผสานวิธีสอนแบบตําง ๆ เข๎าด๎วยกัน เพราะความจําเป็นดงั น้ี 1) วัตถปุ ระสงค์ของการสอน ในการเรียนการสอนบทเรยี นหนงึ่ ๆ นัน้ มกั จะกําหนด ให๎ผ๎ูเรียนเกิดความรู๎ เจตคติ และทักษะซ่ึงดังได๎กลําวมาแล๎ววํายังไมํสามารถจะใช๎วิธีการสอนอยํางใด อยาํ งหนึ่งเพื่อใหเ๎ กิดผลดงั กลาํ วท้ัง 3 ประการได๎ 2) ผ๎เู รียน เรายอมรบั วาํ ผ๎เู รียนมีความแตกตํางกนั ดงั นนั้ ถา๎ หากเปิดโอกาสให๎ผ๎เู รียน ได๎รับการสอนแบบตําง ๆ ทําให๎โอกาสท่ีผ๎ูเรียนจะเกิดการเรียนร๎ูหรือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมก็จะมี มากขน้ึ 3) บรรยากาศของการสอน ในการสอนบทเรียนหน่งึ ในบางครงั้ กนิ เวลามาก ถ๎า หากผู๎สอนใช๎วิธีการสอนแบบเดียวจะทําให๎ท้ังผ๎ูเรียนและผู๎สอนเกิดความเบ่ือหนําย ขาดความ กระตือรอื รน๎ ผลการเรยี นการสอนจะไมํดีเทําทีค่ วร 192

4) ผูส๎ อน การใช๎วธิ กี ารสอนหลายแบบจะทาํ ให๎ผู๎สอนต๎องตน่ื ตัวและกระฉับกระเฉง ไมเํ บื่อหนําย จากเหตผุ ลดงั กลําวข๎างตน๎ จึงเห็นวาํ ในการสอนบทเรยี นพงึ ควรจะประกอบด๎วยวิธีสอน หลาย ๆ แบบ สํวนจะใชแ๎ บบใดหรือวิธใี ดนัน้ ยํอมข้ึนอยูํกับดุลยพินิจของผู๎สอน เชํน อาจจะเร่ิมจากการ อภิปราย บรรยาย ฝึกปฏบิ ัติ หรอื เริ่มจากการบรรยาย ฝึกปฏิบตั ิ และอภปิ รายก็ได๎ เหตผุ ลของการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ ปรีชา คัมภีรปกรณ์ (2540 : 161-162) ได๎กลําวไว๎วํา การสอนมีอยํูมากมายหลายแบบ แบบทีเ่ น๎นผส๎ู อนเป็นศูนย์กลางของการเรยี นการสอน เชํน การบรรยาย การสาธิต การใช๎คําถาม เป็น ต๎น หรอื แบบทเี่ น๎นผเ๎ู รยี นเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนซ่ึงมีท้ังที่เน๎นเป็นกลํุมหรือที่เป็นรายบุคคล เชํน การสอนแบบอภิปราย การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนแบบแก๎ปัญหา การใช๎แบบเรีย น แบบโปรแกรม การสอนแบบให๎เรยี นโดยอสิ ระ จากวิธีการสอนดังกลําวจะพบวําการสอนแบบหนึ่ง ๆ ยํอมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง มีการใช๎ประโยชน์ได๎เฉพาะอยําง ดังนั้นในการสอนบทเรียนบทหน่ึง ๆ ช่ัวโมงหนึ่ง ๆ หรือในหนํวยการ เรยี นหนึ่ง ๆ จงึ เกดิ ปญั หาวําจะใช๎การสอนแบบใดจงึ จะเหมาะสมในบางกรณีบาง บทเรียนอาจต๎องใช๎การ สอนมากกวําหน่ึงแบบข้ึนไป การสอนแบบเดียวอาจไมํสนองตํอวัตถุประสงค์ของบทเรียน เน้ือหาของ บทเรียน หรือกลํุมผูเ๎ รียน เป็นตน๎ จึงต๎องมีการผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบเขา๎ ดว๎ ยกัน ถ๎าจะสรปุ เหตุผลวาํ ทําไมจึงต๎องมีการผสมผสานการสอนแบบตาํ ง ๆ เข๎าดว๎ ยกนั อาจได๎เหตุผลดังนี้ 1. วตั ถุประสงคข์ องบทเรยี น ในการสอนบทเรียนบทหน่ึง ๆ หรือการสอนครั้งหน่ึง ๆ ผู๎สอนมักจะมีการกําหนด วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมครอบคลมุ ในด๎านเน้ือหา เจตคติ และทักษะ เพ่ือครอบคลุมวัตถุประสงค์ทาง การศึกษา ตามท่บี ลมู กําหนด ในแงํของพุทธิพิสัย เจตพิสัย และทักษะพิสัย น่ันเอง ซ่ึงปรากฏวําการ สอนแบบใดแบบหน่ึงน้ันอาจไมํสามารถสนองวัตถุประสงค์ท้ัง 3 ด๎าน ได๎ในเวลาเดียวกัน ดังน้ันในการ สอนคร้ังหนง่ึ ยอํ มตอ๎ งการการสอนหลาย ๆ แบบผสมผสานกันไป เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ครอบคลุม ถึงวตั ถุประสงค์ท่ีตงั้ ไว๎ 2. ผ๎ูเรียนโดยทั่วไปกลุํมผ๎ูเรียนในห๎องเรียนมีความแตกตํางกันในเร่ืองของความถนัด ความสามารถและความสนใจ การใช๎วิธีการสอนเพียงแบบเดียว ยํอมไมํสนองกับความต๎องการของ ผู๎เรียนเหลํานั้นถ๎าหากผู๎สอนใช๎วิธีการสอนหลาย ๆ แบบผสมผสานด๎วยกันยํอมเปิดโอกาสให๎ ผู๎เรียนได๎ แสดงความสามารถ ความถนัดของตนไดอ๎ ยาํ งเตม็ ที่ ทาํ ให๎ผ๎ูเรียนมีความเช่ือม่ันในการเรียนของตนย่ิงขึ้น นอกจากน้นั จะพบวําความสนใจของกลุํมผู๎เรียนยังไมํคงท่ี เป็นต๎นวําตอนต๎น ๆ ช่ัวโมงผ๎ูเรียนจะมีความ 193

กระตือรือร๎น แตํพอถึงกลาง ๆ ช่ัวโมงหรือท๎ายช่ัวโมง ความกระตือรือร๎นของผ๎ูเรียนจะลดลง ดังนั้นจึง ไมคํ วรสอนโดยใช๎การสอนแบบเดียวตลอดทง้ั ชัว่ โมง 3. บรรยากาศของการเรยี นการสอน การเรยี นการสอนในชว่ั โมงหน่งึ ๆ หรือคาบหนึ่ง ๆ ถ๎าผส๎ู อนใชว๎ ิธีการสอนเพียง แบบเดยี วโดยไมเํ ปล่ียนแปลง ตั้งแตํต๎นชั่วโมงจนถึงท๎ายชั่วโมง จะทําให๎บรรยากาศ นําเบ่ือหนําย ไมํมี ความตนื่ เตน๎ นําสนใจ โดยเฉพาะถ๎าผู๎สอนยึดการสอนที่ให๎ตนเองเป็นศูนย์กลางด๎วยแล๎ว บรรยากาศของ การเรยี นการสอนจะนาํ เบ่ือหนาํ ยมาก เพราะผเ๎ู รียนไมมํ สี ํวนรวํ มในกิจกรรมการเรียนการสอนเทาํ ท่คี วร แตํถา๎ ผสู๎ อนจะนําวธิ กี ารสอนแบบตาํ ง ๆ มาผสมผสานเข๎าด๎วยกนั มกี ิจกรรม การเรยี นการสอนหลาย ๆ แบบอันจะสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเข๎ารํวมกิจกรรมได๎ ยํอมทําให๎บรรยากาศของการ เรียนการสอนนําสนใจ ผ๎ูเรียนจะรส๎ู ึกตืน่ เตน๎ และมีความต๎องการท่ีจะเรียนโดยไมํคิดวําถูกบงั คบั 4. ผู๎สอน โดยปกติผ๎ูสอนมักจะใช๎การสอนแบบเดียวในการสอนคร้ังหน่ึง ๆ โดยเฉพาะ จะเลือกการสอนแบบที่ตนถนัดและคิดวําจะทําให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจเน้ือหาของบทเรียนได๎ การเรียนการสอน ในลักษณะที่ผ๎ูสอนมีความถนัดเชํนน้ี ยํอมทาํ ให๎ผ๎เู รยี นเบือ่ หนาํ ย เพราะมีความซํ้าซาก อีกท้ังผูสอนเองก็ เบื่อหนํายเชํนกนั เพราะจะตอ๎ งปฏบิ ตั ิกจิ กรรมซํ้า ๆ ทกุ วัน ๆ แตํถ๎าผสู๎ อนใช๎วิธกี ารสอนโดยผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบแลว๎ นอกจากทาํ ให๎ ผ๎ูเรียนเกิดความสนใจ ความสนุกสนานในการเรียนแล๎ว ยังจะทําให๎การเรียนการสอนในชั่วโมงน้ัน ๆ มี ความหมายรวมเป็นการเปลีย่ นบรรยากาศของผสู๎ อนเองอีกด๎วย 5.6 การสอนแบบบทบาทสมมตุ ิ วธิ สี อนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ได๎สํงเสรมิ ใหผ๎ ู๎เรยี นได๎รูแ๎ ละเขา๎ ใจไดด๎ ๎วยตนเอง โดย เนน๎ กิจกรรมใหผ๎ ๎ูเรยี นมีสวํ นรํวมและเน๎นผเ๎ู รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง การสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ เปน็ อกี วิธสี อนหนงึ่ ทจ่ี ะให๎ผ๎เู รียนมีสวํ นรํวมในการเรยี น ใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎แสดงออก ท้ังทางดา๎ นความคดิ และทาํ ทาง การแสดง ซง่ึ จะทาํ ใหผ๎ ูเ๎ รียนเกดิ การเรียนร๎ู ได๎เกิดความสนุกสนานและเพลดิ เพลนิ ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์ (2530 : 74) กลําวถึงการสอนแบบการแสดงบทบาทสมมติ วํา เป็นการสอนท่ีกําหนดให๎ผ๎ูเรียนแสดงบทบทตามที่สมมติข้ึนเทียบเคียงกับสภาพท่ีเป็นจริง ตามลักษณะที่ ผแ๎ู สดงบทบาทเข๎าใจ เพื่อให๎ผ๎ูดูเกิดความร๎ู ความเข๎าใจในสิ่งท่ีเกิดข้ึน หลักสําคัญของการสอนแบบน้ีคือ ผู๎สอนจะสรา๎ งปัญหาใหผ๎ เ๎ู รยี นไดค๎ ิดและให๎ผูเ๎ รียนแก๎ปัญหานนั้ ๆ ใหไ๎ ด๎ดว๎ ยตนเอง ดว๎ ยการแสดงที่ทําให๎ได๎ ดว๎ ยตวั เอง ด๎วยการแสดงที่ทําให๎ผู๎ดูเห็นจริง วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติจึงนับวําเป็นวิธีการฝึก การแก๎ปัญหาและการตัดสินใจวิธีหนึ่ง เพราะในสถานการณ์ที่สมมติขึ้นมาและบทบาทท่ีสมมติข้ึนมาให๎ คลา๎ ยคลึงกบั สิ่งท่ีเป็นจริงน้ัน มักจะมีปัญหาและข๎อขัดแย๎งตําง ๆ แฝงมาด๎วย การที่ให๎ผู๎เรียนได๎เลือกที่ จะแสดงบทบาทตาํ ง ๆ โดยไมตํ ๎องใดหรือเตรียมตัวมากํอนนั้น ผ๎ูแสดงจะตอ๎ งแสดงไปตามธรรมชาติโดยท่ี 194

ไมํรู๎วําผ๎ูแสดงคนอ่ืนจะมีปฏิกิริยาตอบโต๎อยํางไรน้ัน นับวําเป็นการชํวยฝึกให๎ผู๎แสดงได๎เรียนร๎ูท่ีจะปรับ พฤตกิ รรมและหาทางแกป๎ ญั หาตัดสินใจอยาํ งธรรมชาติ ในสํวนน้ีกลําวถึง ความหมายของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ จุดมุํงหมาย องค์ประกอบ ลักษณะสําคัญของการสอน ข้นั ตอนการสอน บทบาทของผ๎ูสอน เทคนิคข๎อเสนอแนะที่ใช๎ ในการสอน และข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอน พร๎อมด๎วยการสรุปท๎ายบท กิจกรรมและคําถามท๎ายบท ดว๎ ย ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กลําวถึงวิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ คือ กระบวนการท่ีผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ที่กําหนด โดยการให๎ผู๎เรียน สวมบทบาทในสถานการณ์ซ่ึงมีความใกล๎เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกมาตามความร๎ูสึกนึกคิด ของตน และนําเอาการแสดงออกของผู๎แสดง ทั้งทางด๎านความร๎ู ความคิด ความร๎ูสึกและพฤติกรรมที่ สังเกตพบวําเป็นขอ๎ มลู ใน การอภปิ ราย เพอ่ื ใหผ๎ ูเ๎ รยี นเกิดการเรียนรต๎ู ามวัตถปุ ระสงค์ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 67) กลําววําวิธีสอนที่ใช๎บทบาทที่สมมติข้ึนจากความเป็นจริง มาเป็นเคร่ืองมือในการสอนโดยท่ีครูสร๎างสถานการณ์สมมติและบทบาทขึ้นมาให๎นักเรียนได๎แสดงออก ตามทีต่ นคดิ วาํ ควรจะเปน็ มกี ารนําการแสดงออกทั้งทางด๎านความร๎ูความคิด และพฤติกรรมของผู๎แสดง มาใช๎เป็นพื้นฐานในการให๎ความรู๎และสร๎างความเข๎าใจให๎แกํนักเรียนในเร่ืองความรู๎สึกและพฤติกรรม และปัญหาตําง ๆ ได๎อยํางเหมาะสม อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 160) อธิบายถึง วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ หมายถึง วิธี สอนท่ีผ๎ูสอนสร๎างสถานการณ์และบทบาทสมมติข้ึนจากความเป็นจริง มาให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกตามที่ ผู๎เรยี นคิดวําควรจะเปน็ ผ๎ูสอนจะใชก๎ ารแสดงออกทง้ั ทางด๎านความร๎ูความคิด และพฤติกรรมของผู๎แสดง มาเป็นพ้ืนฐานในการให๎ความรู๎และสร๎างความเข๎าใจแกํผ๎ูเรียน อันจะทําให๎ผู๎เรียนเข๎าใจเน้ือหาสาระของ บทเรียนอยาํ งลกึ ซึ้ง และรู๎จกั ปรับเปลีย่ นพฤติกรรม และการแก๎ไขปญั หาตําง ๆ ไดอ๎ ยาํ งเหมาะสม บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 161) กลําวถึงการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) คอื เทคนคิ การสอนที่ให๎ผ๎ูเรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ท่ีสมมติข้ึน นั่นคือ แสดงบทบาท ท่ีกําหนดให๎ อินทิรา บุณยาทร (2542 : 98) อธิบายการสอนด๎วยบทบาทสมมติ หมายถึง วิธีสอน ท่ีผู๎สอนสร๎างสถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกตามที่ตนคิดวําควรจะเป็น โดย แสดงออกทงั้ ทางด๎านความร๎ู ความคิด และพฤติกรรมเพ่อื เป็นพื้นฐานในการเรยี นรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ หมายถึง การสอนที่ผ๎ูสอนสร๎าง สถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นมาที่ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง โดยให๎ผู๎เรียนเป็นผู๎แสดงบทบาทสมมติ นั้นๆ ตามวัตถุประสงค์ที่ผู๎สอนได๎กําหนดไว๎ เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกทางด๎านความร๎ู ความคิด ที่คิดวํา ตนควรจะเป็น 195

จดุ มงุ่ หมายของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ เป็น วธิ ีการที่มํุงชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนได๎เรยี นร๎ูการเอาใจเขามาใสํใจเรา เกิดความเข๎าใจในความรู๎สึกและพฤติกรรมทั้ง ของตนเองและผ๎ูอ่นื หรือเกดิ ความเข๎าใจในเร่ืองตาํ ง ๆ เกยี่ วกบั บทบาทสมมติท่ีตนแสดง สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 67) อธิบายถึงความมํุงหมายของการสอนโดยใช๎การแสดง บทบาทสมมติ ดงั นี้ 1. เพอื่ ฝกึ ให๎นักเรียนทํางานรวํ มกัน 2. เพ่อื ให๎นักเรยี นกล๎าแสดงออกซ่ึงความรสู๎ ึก 3. เพอื่ ฝึกการแกป๎ ญั หา สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 106) กลําวถึงเปูาหมายการสอนโดย การแสดงบทบาทสมมติวํา การแสดงบทบาทสมมติเป็นการนาํ เอาตัวอยํางพฤตกิ รรมของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนใน สังคมมาใหผ๎ เ๎ู รียนไดศ๎ กึ ษา ซึ่งผลทีจ่ ะได๎รบั จากการศกึ ษาโดยวธิ ีการดังกลาํ วจะทาํ ให๎ 1. ผ๎ูเรียนได๎มีโอกาสสํารวจความร๎ูสึกของบุคคลอ่ืน ๆ และเมื่อสํารวจแล๎วก็จะสามารถ วิเคราะหพ์ ฤตกิ รรมของบคุ คลเหลาํ นน้ั ในเชิงเจตคติ 2. ผู๎เรยี นได๎มโี อกาสในการศกึ ษาความสัมพนั ธ์และความขัดแย๎งท่เี กิดขึ้นระหวาํ งกลมํุ 3. ผู๎เรียนได๎มีโอกาสฝึกฝนวิธีการแก๎ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในกลุํม ในบุคคล หรือระหวําง บุคคลได๎อยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 4. ผ๎เู รยี นได๎มีโอกาสพฒั นาคาํ นิยมในเรือ่ งความเหน็ อกเหน็ ใจตํอผ๎ูอน่ื 5. ผู๎เรียนสามารถสํารวจเจตคติของตนเอง รวมทั้งแก๎ไขข๎อบกพรํองโดยการเรียนร๎ูจาก เจตคตขิ องผูอ๎ ืน่ ท่มี ีตอํ ตนเอง อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 160) กลําวถึงจุดมํงุ หมายของการแสดงบทบาทสมมตไิ วว๎ าํ 1. เพือ่ ให๎ผเ๎ู รยี นเกิดความเข๎าใจในพฤติกรรมและความร๎สู ึกของผ๎ูอื่น 2. เพอ่ื ใหผ๎ เ๎ู รียนไดป๎ รับเปล่ยี นพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสม 3. เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรียนได๎ฝกึ การใช๎ความรค๎ู วามคดิ ในการแกป๎ ัญหา และการตัดสินใจ 4. เพื่อให๎ผ๎เู รียนไดม๎ ีโอกาสแสดงออก ได๎เรยี นดว๎ ยความเพลดิ เพลิน 5. เพอ่ื ใหก๎ ารเรยี นการสอนมคี วามใกลเ๎ คียงกบั สภาพความเป็นจรงิ มากขนึ้ อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 98-99) อธิบายถงึ ความมุงํ หมายของการสอน ดังน้ี 1. เพือ่ ใหผ๎ ๎เู รียนเกดิ ความเข๎าใจในพฤตกิ รรมและความรู๎สึกของผ๎ูอ่ืน 2. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎ฝึกการใช๎ความร๎ู ความคิด ความสามารถในการแก๎ปัญหาและ การตัดสนิ ใจ 3. เพอื่ ใหก๎ ารเรยี นการสอนมีความใกล๎เคยี งกบั สภาพความเป็นจริงมากทสี่ ุด 196

4. เพื่อฝึกให๎ผเู๎ รียนมคี วามกลา๎ ทจี่ ะแสดงออก ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์ (2530 : 74-75) อธิบายถงึ จดุ มงํุ หมายในการใชบ๎ ทบาทสมมติ ไว๎ดงั นี้ 1. เพ่อื ให๎ผูเ๎ รียนมีความร๎คู วามเข๎าใจเก่ียวกับเจตคติ และความคดิ ตําง ๆ ได๎กว๎างขวางขน้ึ 2. เพ่อื ให๎ผส๎ู อนทราบถงึ เจตคติและความคดิ ของผเ๎ู รยี น 3. เพ่อื ใหผ๎ ๎เู รียนเกิดความเขา๎ ใจเก่ียวกับสถานการณต์ ําง ๆ ของสังคมได๎กว๎างขวางยิง่ ขึน้ 4. เพอ่ื เตรยี มผเ๎ู รยี นในการปฏิบตั เิ ทคนคิ บางอยํางในสถานการณจ์ รงิ 5. เพื่อชํวยในการทดสอบสมมติฐานสําหรับการแก๎ปัญหา 6. เพือ่ ฝึกความเป็นผู๎นาํ และทกั ษะอ่นื ๆ ทางสังคมใหแ๎ กผํ เู๎ รยี น สรุปไดว๎ ํา การสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ มีจดุ มุงํ หมายท่ีสําคัญ คอื มงํุ ฝึกการทํางาน รํวมกัน กล๎าคิด กล๎าแสดงออกในการแกป๎ ัญหา การตัดสนิ ใจ ทําใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ ความเข๎าใจในเน้อื มากย่ิงข้ึน ลดความตงึ เครียด เพราะเปน็ การสอนท่ีใกล๎เคยี งกับสภาพความเปน็ จรงิ มากทส่ี ดุ ลักษณะสาํ คญั ของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ลกั ษณะของบทบาทสมมติ (อาภรณ์ ใจเทย่ี ง, 2550 : 160-161) บทบาทสมมตทิ ่ีผ๎ูเรยี น แสดงออกแบํงไดเ๎ ปน็ 2 ลักษณะ คือ 1. การแสดงบทบาทสมมติแบบละคร เป็นการแสดงบทบาทตามเรื่องราวที่มีอยํูแล๎ว ผ๎แู สดงจะได๎ทราบเร่อื งราวทั้งหมด แตํจะไมํได๎รับบทที่กําหนดให๎แสดงตามอยํางละเอียด ผ๎ูแสดงจะต๎อง แสดงออกตามความคิดของตน และดําเนนิ เร่ืองไปตามทอ๎ งเรือ่ งท่ีกาํ หนดไว๎แลว๎ ซึ่งมลี ักษณะเหมือนละคร 2. การแสดงบทบาทสมมติแบบแก๎ปัญหา เป็นการแสดงบทบาทสมมติท่ีผ๎ูเรียนได๎รับทราบ สถานการณ์หรือเรื่องราวแตํเพียงเล็กน๎อยเทําท่ีจําเป็น ซ่ึงมักเป็นสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีความ ขดั แย๎งแฝงอยูํ ผู๎แสดงบทบาทจะใช๎ความคิดของตนในการแสดงออกและแกป๎ ัญหาตําง ๆ อยํางเสรี บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 161) กลําวถึง การแสดงบทบาทสมมติวํา แตกตํางจากเกม จําลองสถานการณ์ตรงที่ไมํมีกฎเกณฑ์และการแขํงขัน กลําวคือ เป็นการสอนที่หยิบยกเอาเหตุการณ์ ประเดน็ หรือปัญหาขึ้นมาให๎ผ๎ูเรียนศึกษา โดยวิธีการให๎ผ๎ูเรียนได๎เข๎าใจถึงสภาพการณ์ที่เกิดข้ึน เข๎าใจถึง ปัญหาในเหตุการณ์นั้น ๆ ท้ังน้ีเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจถึงสภาพการณ์ท่ีเกิดขึ้น เข๎าใจถึงปัญหาใน เหตุการณน์ ัน้ ๆ ตลอดจนสามารถแก๎ไขปญั หาที่เกิดขึน้ ด๎วยนน้ั สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข ( (2540 : 105) ได๎กลําววําการแสดงบทบาทสมมติ จะสํงเสริมผ๎ูเรียนให๎แสดงพฤติกรรมหรือบทบาทตําง ๆ กันไปตามบทบาทท่ีกําหนดไว๎ในเหตุการณ์ พฤตกิ รรมที่ผ๎เู รยี นซึง่ เป็นผู๎แสดงบทบาทแสดงออกมานั้นจะสะท๎อนให๎เห็นถึงความรู๎สึก อารมณ์ เจตคติ ของผแู๎ สดงทมี่ ีตํอบทบาทหรอื พฤตกิ รรมทผ่ี ูแ๎ สดงสวมบทบาทน้ันอยูํ รวมทั้งเข๎าใจถึงพฤติกรรมของผู๎อ่ืนท่ี เข๎าไปเก่ยี วขอ๎ งกบั เหตกุ ารณ์หรือปัญหานัน้ ดว๎ ย 197

การท่ีจะให๎ผู๎เรียนเข๎าใจวําสิ่งน้ันดีส่ิงนั้นไมํดี หรือบุคคลน้ันมีพฤติกรรมอยํางนั้น ทําไมไมํมี พฤติกรรมอยํางน้ีตํอเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น บางครั้งจะสอนโดยตรงไมํได๎ ผู๎เรียนจะไมํเข๎าใจ แตํถ๎าใช๎การ สอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ จะชํวยให๎ผเ๎ู รียนเข๎าใจพฤติกรรมของบคุ คลทอ่ี ยํูเบ้ืองหลังเหตุการณ์หรือ ปัญหาน้ันได๎ดแี ละกระจํางยิง่ ขึ้น นอกจากนี้ เสรมิ ศรี ลักษณศิริ (2540 : 260-261) กลําววําการใช๎บทบาทสมมติในการเรียน การสอน บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือและวิธีการอยํางหน่ึงที่ใช๎ในการสอนเพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎มีความเข๎าใจ อยํางลึกซ้ึงในเร่ืองที่เรียน โดยที่ผู๎สอนสร๎างสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติข้ึน ให๎ผ๎ูเรียนได๎ แสดงออกมาตามทตี่ นคิดวาํ ควรจะเปน็ และถอื เอาการแสดงออกทั้งทางความร๎ูและพฤติกรรมของผ๎ูแสดง มาเป็นขอ๎ อภิปรายเพื่อการเรยี นรู๎ การแสดงบทบาทสมติเป็นการฝึกให๎ผ๎ูแสดงได๎ประสบการณ์จริงในสภาพของการสมมติข้ึนมา ทง้ั นเี้ พือ่ ให๎ผ๎เู รียนไดท๎ ดลองและเรยี นรท๎ู ่ีจะปรบั พฤติกรรมของตนอยํางมปี ระสิทธิภาพในสภาวะตํางๆ ได๎ ประเภทของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 98) กลาํ ววําการสอนแบบบทบาทสมมติ แบํงออกเป็น 2 ประเภท คอื 1.ผูแ๎ สดงจะต๎องแสดงบทบาทของคนอ่ืนตามท่ีถูกกําหนด โดยละทิ้งแบบแผนพฤติกรรมของ ตนเอง เชํน แสดงบทบาทของผู๎มีช่ือเสียงในประวัติศาสตร์ หรือบุคคลอ่ืน ๆ ท่ีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ ของตัวเองเป็นบุคคลสมมติ เชํน สมมติวําเป็นชาวนา เป็นครู เป็นนายอําเภอ เป็นพํอค๎า ฯลฯ ผูแ๎ สดงจะต๎องพดู คิด ประพฤติ มีความร๎ูสกึ เหมือนกับบุคคลท่ีสวมบทบาทน้นั ๆ 2.ผแู๎ สดงจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง แตํกําหนดสถานการณ์ที่ อาจพบในอนาคต เชํน การสมัครงาน การสัมภาษณ์กลุํมตัวอยําง การเป็นผู๎แนะแนวให๎คําปรึกษาแกํ ผเ๎ู รียน ฯลฯ บทบาทสมมติประเภทน้ีเป็นประโยชน์ตํอการฝึกฝนทักษะเฉพาะอยําง เชํน การแนะแนว การสมั ภาษณ์ การสอน การจูงใจ บุญชม ศรสี ะอาด (2541 : 161) กลาํ วถึง การแสดงบทบาทสมมตมิ ี 2 ประเภท ประเภทแรก ผ๎ูแสดงบทบาทสมมติจะต๎องแสดงบทบาทของคนอ่ืนโดยละท้ิงแบบแผน พฤติกรรมของตนเอง บทบาทของบุคคลอื่นอาจเป็นบุคคลจริง เชํน คนท่ีมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ เพื่อนรวํ มหอ๎ ง หรือการเปล่ียนบทบาทซึ่งกันและกันกับเพ่ือน หรือเป็นบุคคลสมมติ เชํน สมมติวําเป็น ครูใหญํ สมมติวําเป็นชาวนา เป็นต๎น ผ๎ูแสดงบทบาทสมมติจะพูด คิด ประพฤติหรือมีความร๎ูสึก เหมอื นกบั บคุ คลทีต่ นสวมบทบาท ประเภทที่สอง ผูแ๎ สดงบทบาทจะยังคงรกั ษาบทบาทและแบบแผน พฤติกรรมของตนเอง แตํ ปฏิบัติอยูํในสถานการณ์ท่ีอาจพบในอนาคต เชํน การสมัครงาน สัมภาษณ์กลุํมตัวอยําง ผู๎แนะแนวให๎ 198

คําปรึกษาแกํนักเรียน บทบาทสมมติประเภทน้ีเป็นประโยชน์ตํอการฝึกฝนทักษะเฉพาะ เชํน การแนะ แนว การสมั ภาษณ์ การจงู ใจ การควบคมุ ความขดั แยง๎ เปน็ ต๎น สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 105-106) กลําววําการแสดงบทบาทสมติน้ัน เป็นวิธีการสอนที่ครูใช๎สอนกันมากในปัจจุบัน เพราะข้ันตอนของการสอนไมํยากหรือซับซ๎อนมากเทําใด นกั โดยทั่วไปการแสดงบทบาทสมมติเพอ่ื นาํ มาปฏิบตั ใิ นห๎องเรียนน้ันอาจแยกไดเ๎ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. การแสดงบทบาทสมมติท่ีมีการเตรียมมาลํวงหน๎า ผ๎ูสอนจะผูกเรื่องหรือประเด็นเสียกํอน แล๎วนํามาเลําให๎ผ๎ูเรียนฟัง พร๎อมกันน้ันก็จะกําหนดตัวผู๎แสดงและบทละครอยํางครําว ๆ โดยอาจ เพมิ่ เติมรายละเอยี ดตามความเหมาะสมและตามความเห็นของผแ๎ู สดงเอง 2. การแสดงบทบาทที่ไมํมีการเตรียมมากํอน วิธีการนี้อาจใช๎ระหวํางบทเรียนหรือเร่ิมต๎น บทเรยี นเพื่อเรา๎ ความสนใจของผเู๎ รียนเป็นต๎นวํา ระหวํางผู๎ท่ีสอนกําลังสอนเร่ืองหน๎าท่ีพลเมืองของบุคคล ในอาชีพตําง ๆ และความสําคัญของหน๎าท่ีท่ีมีตํอสังคม ผ๎ูสอนอาจเรียกผู๎เรียน 4-5 คน ออกไปแสดง บทบาทของบุคคลในอาชีพตําง ๆ กัน หลังจากนั้นก็จะให๎ผ๎ูเรียนในชั้นวิจารณ์บทบาทที่แสดงไปแล๎ว วธิ กี ารสอนเชํนนกี้ ็นับวําเปน็ วิธีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตเิ ชํนกนั การใช๎บทบาทสมมติในการเรียนการสอนมี 2 วิธีใหญํ ๆ คือ (เสริมศรี ลักษณศิริ, 2540 : 262) 1. การใชบ้ ทบาทสมมติแบบเตรียมไวพ้ รอ้ ม หมายความถึง การใช๎บทบาทสมมติเข๎าชํวยในการสอนโดยที่ผู๎สอนได๎เตรียมบทมาลํวงหน๎า หวังจะให๎ผ๎ูเรียนไดเ๎ รียนไปตามแบบแผนและขัน้ ตอนทเ่ี ตรียมไว๎ เชํน ครูเตรยี มวาํ จะใช๎บทบาทสมมติชํวย ในการสอนให๎ผู๎เรียนได๎รู๎จักเอาใจเขามาใสํใจเรา ครูจะต๎องเตรียมสถานการณ์สมมติมาลํวงหน๎าและ เตรยี มบทบาทมาอยํางเรียบรอ๎ ย เม่อื เขา๎ สอนครูจะสอนและใชบ๎ ทบาทสมมติตามขนั้ ตอนที่เตรียมมา 2. การใชบ้ ทบาทสมมติแบบไม่มบี ทเตรียมไว้ หมายความถึง การใช๎บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือชํวยในการสอนตามวาระและโอกาสท่ี อาํ นวย ครูไมํไดเ๎ ตรียมบทบาทมาให๎ผ๎เู รียนลํวงหน๎า นอกจากนี้ จําเริญ ชูชํวยสุวรรณ (2544 : 50-51) กลําวถึงวิธีแสดงบทบาทสมมติทําได๎ 3 วิธคี ือ 1. การแสดงแบบละคร การแสดงแบบนี้ผู๎แสดงจะต๎องฝึกซ๎อมกํอน เชํน อาจจะซ๎อมทําทาง ฝึกซ๎อมบทพูด ตามบทบาทของตัวละครในเร่ืองที่แสดง ซ่ึงอาจจะเป็นเร่ืองบทเรียน วรรณคดี หรือ บทเรยี นประวตั ิศาสตรก์ ็ได๎ 2. การแสดงทันทีทันใจ การแสดงแบบนี้ ผู๎แสดงไมํต๎องเตรียมตัวฝึกซ๎อม แตํเม่ือเรียนถึง เรอื่ งใดกใ็ ห๎นกั เรยี นแสดงได๎ทันที เชํน แสดงเป็นตาํ รวจ แสดงเป็นบรุ ุษไปรษณีย์ แสดงเป็นพํอ เป็นลูก ฯลฯ โดยใหน๎ ักเรียนแสดงไปตามความนึกคดิ ของนักเรยี นเองใหเ๎ หมาะสมกับบทบาททีร่ บั มา 199

3. การแสดงโดยครูหรือนักเรียนชํวยกนั กาํ หนดเรอื่ งใหก๎ ารแสดงแบบน้ผี ๎ูแสดงจะต๎องแสดงไป ตามเร่อื งที่กําหนดแตอํ าจจะแตงํ เตมิ บทของตนเองเข๎าไปบ๎างก็ได๎ตามความเหมาะสม จากประเภทของการสอนโดยใช๎การแสดงละครท่ีกลําวมาแล๎วน้ัน จะเห็นได๎วํา นักวิชาการได๎ แบงํ ประเภทของการสอนไวแ๎ ตกตํางกัน ซ่ึงพอจะสรุปไดเ๎ ปน็ 4 ประเภท ดังนี้ 1. ผูแ๎ สดงเป็นจะตอ๎ งเป็นผ๎แู สดงบทบาทตามทถ่ี กู กาํ หนดไว๎ โดยไมเํ ก่ยี วขอ๎ งกับความรู๎ ความร๎ูสึกสํวนตวั 2. ผู๎แสดงจะต๎องแสดบทบาทตามแบบแผนพฤตกิ รรมของตนเอง 3. การแสดงบทบาทท่ีผู๎แสดงจะต๎องเตรียมตวั กํอนการแสดงละคร 4. การแสดงบทบาทท่ผี ูแ๎ สดงต๎องแสดงบทบาทโดยทันที ไมํมกี ารเตรยี มตัวลวํ งหน๎า องค์ประกอบของการสอนแบบบทบาทสมมติ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 358) กลําวถงึ องค์ประกอบสําคญั (ทข่ี าดไมํได๎) ของวิธีสอนแบบ บทบาทสมมติ ไวด๎ งั นี้ 1. มผี ูส๎ อนและผูเ๎ รยี น 2. มสี ถานการณ์สมมตแิ ละบทบาทสมมติ 3. มีการแสดงบทบาทสมติ 4. มีการอภปิ รายเก่ียวกบั ความร๎ู ความคดิ ความรู๎สึก และพฤตกิ รรมที่แสดงออกของ ผ๎ูแสดง และสรุปการเรียนรท๎ู ี่ได๎รบั 5. มีผลการเรยี นร๎ขู องผเ๎ู รียน สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทัยสขุ (2540 : 106) กลาํ วถึงองคป์ ระกอบของการสอน โดยการแสดงบทบาทสมมติ มดี ังน้ี 1. ผ้แู สดงและผู้สงั เกตการณ์ การแสดงบทบาทสมติ เมอ่ื นํามาปฏิบตั ิในห๎องเรยี นแลว๎ จะแยกกลํมุ ผ๎เู รยี นออกเป็น 2 กลุมํ คือ กลํุมผแ๎ู สดงเปน็ กลํมุ ทไ่ี ด๎รับมอบหมายบทบาทจากครูผส๎ู อนแลว๎ จากการวางแผน การเรียนการ สอนของผเ๎ู รยี นท้ังชั้นใหแ๎ สดงบทบาทตาํ ง ๆ กัน กับกลํุมผ๎ูชมซ่ึงจะเป็นกลุํมสังเกตการณ์ โดยจะนําผล จากการสงั เกตไปอภปิ รายภายหลัง 2. เหตกุ ารณ์ ประเดน็ หรอื ปัญหา ซ่งึ อาจจะหยบิ ยกจากในแบบเรียน หรือผส๎ู อนสร๎าง ขน้ึ ใหมํเองตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดไวว๎ ําจะให๎ผเู๎ รียนร๎ูอะไรจากเหตุการณน์ น้ั โดยทว่ั ไป ผูส๎ อนจะเป็นผู๎ กาํ หนดเหตุการณ์เอง และนําเหตกุ ารณน์ น้ั ๆ มาเสนอแกํผเู๎ รียนเพือ่ การแสดงตํอไป 200

3. ฉากและสอ่ื การสอน ฉากมเี พยี งทีจ่ าํ เป็นเทําน้ัน หรอื อาจไมํใช๎เลยก็ได๎ สวํ นสอ่ื การ สอนกเ็ ชํนกนั จาํ เปน็ ไมมํ ากนกั ทั้งนเ้ี พราะความสําคญั ของการเรียนการสอนดว๎ ยการแสดงบทบาท สมมติขึ้นอยํูกับบทบาทของผ๎ูแสดงมากกวําส่ิงใด ข้ันตอนของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 358-359) อธิบายข้ันตอนสําคญั ของการสอนไว๎ดังนี้ 1. ผู๎สอน / ผเู๎ รียน นาํ เสนอสถานการณส์ มมติและบทบาทสมมติ 2. ผ๎สู อน / ผเู๎ รยี นเลอื กผูแ๎ สดงบทบาท 3. ผสู๎ อนเตรียมผสู๎ ังเกตการณ์ 4. ผ๎เู รียนแสดงบทบาท และสงั เกตพฤตกิ รรมท่ีแสดงออก 5. ผ๎สู อนและผเู๎ รยี น อภิปรายเก่ยี วกบั ความรู๎ ความคดิ ความรู๎สกึ และพฤติกรรมท่ี แสดงออกของผแู๎ สดง 6. ผสู๎ อนและผเ๎ู รยี นสรปุ การเรียนรท๎ู ี่ไดร๎ ับ 7. ผสู๎ อนประเมินผลการเรียนรขู๎ องผ๎เู รียน อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 161-163) อา๎ งใน กรมวิชาการ (2527 : 37 – 40) ได๎เสนอข้ันตอน ท่สี าํ คญั ของการสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมติมี 5 ขน้ั ตอน ในแตลํ ะข้ันตอนมีวิธีการสอน ดงั นี้ 1. ข้ันเตรยี มการสอน เปน็ การเตรยี มใน 2 หวั ขอ๎ ใหญํ ไดแ๎ กํ 1.1 เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติให๎แนํชัดและเฉพาะเจาะจงวํา ตอ๎ งการให๎ผเู๎ รียนเกดิ ความร๎ูความเข๎าใจอะไรบ๎างจากการแสดง 1.2 เตรียมสถานการณส์ มมติ เพอื่ ใหผ๎ ู๎เรยี นฟงั โดยให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์ที่กําหนด ไว๎ การเตรียมสถานการณ์และบทบาทสมมตนิ ้ีอาจเตรยี มเขยี นไวอ๎ ยํางละเอียดเพื่อมอบให๎แกํผู๎เรียน หรือ เตรียมเฉพาะสถานการณเ์ พ่ือเลาํ ให๎ผเ๎ู รียนฟัง สวํ นรายละเอยี ดผเ๎ู รยี นต๎องคิดเอง 2. ขน้ั ดําเนนิ การสอน จัดแบงํ ยํอยได๎ 7 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 2.1 ขั้นนําเข๎าสูํการแสดงบทบาทสมมติ เป็นการกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนเกิดความสนใจและ กระตอื รือร๎นทีจ่ ะเขา๎ รวํ มกจิ กรรม โดยผส๎ู อนอาจใชว๎ ิธโี ยงประสบการณ์ใกลต๎ วั ผเู๎ รียน เลําเรื่องราว หรือสถานการณส์ มมติ ชแ้ี จงประโยชนข์ องการแสดงบทบาทสมมติ และการรวํ มกันชํวยกนั แกป๎ ญั หา 2.2 เลือกผ๎ูแสดง เมอ่ื ผเ๎ู รียนเกิดความกระตือรือร๎นท่ีจะเข๎ารํวมกิจกรรมแล๎วผ๎ูสอนจะจัด ตัวผแู๎ สดงในบทบาทตําง ๆ ในการเลอื กตัวผแ๎ู สดงนั้นอาจใชว๎ ธิ ีดงั น้ี 1) เลือกอยํางเจาะจง เชํน เลือกผ๎ูท่ีมีปัญหาออกมาแสดง เขาได๎ร๎ูสึกในปัญหาและ เหน็ วธิ ีแกป๎ ญั หา 201

2) เลือกผ๎ูที่มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัติ มีความสามารถเหมาะสมกับบทบาทท่ี กาํ หนดให๎ 3) เลอื กผแ๎ู สดงโดยให๎อาสาสมคั ร เพอ่ื ใหเ๎ สรภี าพแกํผเู๎ รียนในการเรียน การตัดสินใจ 2.3 การเตรียมความพร๎อมของผ๎ูแสดง เมื่อเลือกผู๎แสดงได๎แล๎ว ผ๎ูสอนควรให๎เวลา ผู๎ แสดงได๎เตรียมตัวและตกลงกันกํอนการแสดง ผู๎สอนควรชํวยให๎กําลังใจ ชํวยขจัดความตื่นเต๎นประหมํา และความวติ กกังวลตําง ๆ เพ่ือผู๎แสดงไดแ๎ สดงอยาํ งเป็นธรรมชาติ 2.4 การจัดฉากการแสดง การจัดฉากการแสดงอาจจะจัดแบบงําย ๆ คํานึงถึงความ ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เชํน อาจสมมติโดยการเล่ือนโต๏ะเพียงตัวเดียว เพราะการจัดฉากน้ีเป็น เพียงสวํ นประกอบยอํ ยของการแสดง 2.5 การเตรียมผูส๎ งั เกตการณ์ ในขณะท่ผี ู๎แสดงเตรยี มตัว ผส๎ู อนควรได๎ใชเ๎ วลานัน้ เตรยี ม ผชู๎ มดว๎ ย โดยควรทําความเขา๎ ใจกับผ๎ชู มวาํ ควรสงั เกตอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ตํอ การวิเคราะห์ และอภิปรายในภายหลัง ผู๎สอนอาจเตรียมหัวข๎อการสังเกต หรือจัดทําแบบสังเกตการณ์เตรียมไว๎ให๎ พร๎อม แลว๎ เลือกผู๎สงั เกตการณช์ ํวยกันดู และบนั ทึกพฤตกิ รรมและเหตุการณท์ เ่ี กิดขนึ้ เป็นเรื่อย ๆ ไป 2.6 การแสดง เมื่อทุกฝุายพร๎อมแล๎วจึงเร่ิมแสดง การแสดงนี้ควรปลํอยให๎เป็นไปตาม ธรรมชาติ ผู๎สอนและผ๎ูชมไมํควรเข๎าขัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผู๎แสดงต๎องการ ความ ชวํ ยเหลือ ในขณะทแี่ สดงผส๎ู อนควรสังเกตพฤติกรรมของผ๎ูแสดงและผช๎ู มอยํางใกลช๎ ดิ 2.7 การตัดบท ผ๎ูสอนหรือผู๎กํากับควรตัดบทหรือหยุดการแสดงเมื่อการแสดงผํานไป เป็นเวลาพอสมควร ไมํควรปลํอยให๎การแสดงเย่ินเย๎อเกินไปจะทําให๎เสียเวลาและผู๎ชมเกิด ความเบ่ือ หนาํ ย การตดั บทควรจะทาํ เมื่อ 1) การแสดงไดใ๎ หข๎ ๎อมลู แกํกลํุมเพียงพอท่ีจะนาํ มาวิเคราะห์และอภิปรายได๎ 2) ผู๎ชมและผ๎แู สดงพอจะเลาํ ไดว๎ าํ เรือ่ งราวจะเปน็ อยาํ งไรถ๎ามีการแสดงตอํ ไป 3) ผ๎ูแสดงไมํสามารถแสดงตํอไปได๎ เพราะเกิดความเข๎าใจผิดบางประการหรือเกิด อารมณส์ ะเทอื นใจมากเกินไป 4) การแสดงยืดเย้ือไมํยอมจบหรือจบไมํลง และผู๎ชมหมดความสนใจที่จะชมการ แสดงจนจบเร่อื ง 3. ขนั้ วเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดง (ขัน้ ประเมินผล) ข้ันน้ีถือเป็นข้ันท่ีสําคัญยิ่งในการ สอน เพราะเป็นขน้ั ทจี่ ะชํวยให๎ผเ๎ู รยี นได๎รวบรวมขอ๎ มลู ตาํ ง ๆ ท่ีไดส๎ ังเกตเห็นและนํามาวิเคราะห์อภิปราย จนเกิดเป็นการเรียนร๎ูที่มีความหมายสําหรับตนเอง ในขน้ั น้ีครคู วรจะเตรยี มคําถามตําง ๆ ไว๎เป็นแนวทาง สําหรับตนเอง ท่ีจะใช๎กระตนุ๎ ให๎ผเ๎ู รียนคิดวิเคราะห์และอภิปรายรํวมกัน โดยท่ัว ๆ ไปวิธีการท่ีใช๎ในการ ดาํ เนนิ การในขั้นน้ี มดี งั น้ี 202

3.1 ชแ้ี จงใหท๎ ัง้ ผแู๎ สดงและผชู๎ มเขา๎ ใจวาํ การอภปิ รายจะเนน๎ ทเี่ หตุผลและพฤติกรรมท่ีผ๎ู แสดงไดแ๎ สดงออกมาไมํใชํเน๎นท่ใี ครแสดงดีไมดํ อี ยํางไร 3.2 สมั ภาษณ์ความร๎ูสกึ และความคิดผ๎ูแสดง 3.3 สัมภาษณ์ความรสู๎ ึกและความคดิ ของผสู๎ ังเกตการณ์หรอื ผู๎ชม 3.4 ใหก๎ ลมุํ ผ๎ูแสดงและผชู๎ มวเิ คราะห์เหตกุ ารณ์ เสนอความคิดเห็นและอภิปรายรํวมกัน โดยครูอาจใช๎คําถามตาํ ง ๆ กระตนุ๎ ให๎ผ๎ูเรียนคิด ข๎อสําคัญข๎อหน่ึงที่ครูพึงระวังในการดําเนินการอภิปรายก็คือ ครูควรแสดงความเป็น ประชาธิปไตย ใหเ๎ สรภี าพแกํผู๎เรยี นอยํางเต็มท่ีในการคดิ ตัดสนิ ใจ ไมํประเมินคําตัดสินความคิดเห็นของ ผ๎ูเรียน อนั อาจทําให๎ผู๎เรยี นเกิดความรส๎ู กึ ไมปํ ลอดภัย ไมกํ ลา๎ เปิดเผยความรู๎สึกท่ีแทจ๎ รงิ 4. ขั้นแสดงเพ่ิมเติม หลงั จากการวเิ คราะห์และอภปิ รายผลการแสดงแล๎ว กลํุมอาจจะเสนอ แนวทางใหมํ ๆ ในการแก๎ปัญหาหรือการตัดสินใจ ครูอาจจะให๎มีการแสดงเพ่ิมเติมก็ได๎ แตํถ๎าการแสดง เพม่ิ เตมิ น้ไี มจํ าํ เปน็ ครสู ามารถขา๎ มข้นั ไปถึงขัน้ ท่ี 5 เลยก็ได๎ 5. ข้ันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป หลังจากอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงแล๎วครูควร กระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียนได๎แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่มีสํวนสัมพันธ์หรือเก่ียวข๎องกับเร่ืองท่ีได๎ศึกษา แกํกัน และกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์นี้จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางขึ้น และสํงเสริมให๎ ผ๎ูเรียนเห็นวําสิ่งที่เรียนน้ันเกี่ยวข๎องกับความจริง จะทําให๎ผู๎เรียนสามารถท่ีจะหาข๎อสรุป หรือได๎ แนวความคิดรวบยอดทีต่ นสามารถเข๎าใจได๎อยํางดี จุไรรัตน์ นิพัทธ์สัจก์ (2529 : 139–146) อ๎างใน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 263-266) กลาํ ววาํ ไมวํ าํ จะเป็นการใช๎บทบาทสมมติแบบมีบทเตรียมไว๎ หรอื แบบไมมํ บี ทเตรยี มไว๎ มีขนั้ ตอนดงั ไปนี้ 1. ขั้นที่ 1 ข้ันเตรยี มการ แบง่ ออกเป็น 2 ตอน คอื 1.1 การแจกแจงและกําหนดขอบเขตของปัญหา ในขั้นนี้ครูจะต๎องวิเคราะห์แยกแยะ สถานการณ์ออกมาให๎ได๎วํา อะไรคือปัญหา หรือจุดที่ต๎องการชี้ให๎ผู๎เรียนเป็นและเรียนเพื่อความเข๎าใจ และกําหนดขอบเขตของปญั หาที่จะสอน 1.2 การกําหนดสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ เมื่อได๎ปัญหาที่ชัดเจนแล๎วครู จะต๎องกําหนดสถานการณ์สมมติที่งํายและชัดเจนข้ึน พร๎อมท้ังเขียนบทบาทสมมติท่ีจะให๎ผ๎ูเรียนแสดง บทบาทสมมติท่ีเขียนข้ึนนี้ ควรจะสามารถชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎ประสบปัญหาและข๎อขัดแย๎งเพ่ือฝึกฝนการ แกป๎ ัญหาและการตดั สินใจ 2. ขน้ั ท่ี 2 ข้ันแสดง แบ่งออกเปน็ 7 ตอน คอื 2.1 การอํานเร่ือง หมายถึง การนําผ๎ูเรียนให๎ไปสูํเรื่องท่ีจะศึกษาหรือปูพ้ืนให๎ผ๎ูเรียนมี ความเข๎าใจตรงกันในเร่ืองท่ีจะเรียน ในขั้นน้ีครูอาจจะเลําเรื่องราวหรือสถานการณ์สมมติให๎ผู๎เรียนฟัง การเลําเรอ่ื งอํุนเครื่องน้ีจะเปน็ ไปมากน๎อยเพยี งใดยํอมขึน้ อยํูกบั จุดมงํุ หมายและสถานการณท์ ่ีตง้ั ไว๎ 203

2.2 การเลือกตวั ผ๎แู สดง การเลือกตัวผ๎ูแสดงอาจเป็นไปได๎ใน 2 ลักษณะ คือ อาจจะ เลอื กตวั ผ๎แู สดงทมี่ ีลักษณะใกล๎เคียงกบั ลกั ษณะตรงกันข๎ามกับลักษณะของบทบาทท่ีมอบหมายให๎ก็ได๎ ใน กรณีแรกการแสดงจะชํวยให๎กลํุมเข๎าใจปัญหาได๎ดี เพราะการแสดงจะชํวยให๎ผ๎ูแสดงและผ๎ูชมได๎เข๎าใจถึง บทบาทของผู๎ทม่ี ีลกั ษณะแตกตํางออกไป ดังน้ันการเลือกตัวผู๎แสดงจึงข้ึนอยูํกับจุดมํุงหมายของการแสดง และการสอน เป็นตน๎ 2.3 การจัดฉากแสดง การจัดฉากนั้นก็เป็นการจัดฉากแบบสมมติข้ึนมา เพื่อให๎ การ แสดงน้ันดูใกล๎เคียงกับความเป็นจริงนั้น การจัดฉากอาจจะเป็นไปในลักษณะแบบงําย ๆ โดยการเลื่อน โตะ๏ เพยี งตัวเดียวไปจนถึงการจดั ฉากแบบหรหู รา 2.4 การเตรียมผ๎ูสังเกตการณ์ การใช๎บทบาทสมมติในการเรียนน้ันชํวยให๎การเรียน สนุกสนานมีชีวิตชีวาก็จริง แตํครูจะต๎องไมํลืมวําการเรียนนี้ไมํใชํการเรียนเพ่ือสนุกอยํางเดียว ครูควร ชํวยให๎นักเรียนหัดสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ ดังน้ัน การเตรียมผู๎ชมหรือผู๎สังเกตการณ์จึงเป็น สง่ิ จําเปน็ ไมํเชนํ นนั้ การอภิปรายและวิเคราะหห์ ลงั การแสดงจะไมไ๎ ดผ๎ ลเทาํ ที่ควร 2.5 การเตรียมความพร๎อมกํอนแสดง การที่ผู๎เรียนจะแสดงบทบาทสมมติให๎เป็นไป อยํางธรรมชาติ ดังน้นั ครจู าํ เปน็ ต๎องชํวยขจดั ความต่ืนเต๎นประหมําและความวิตกกังวลของผ๎ูแสดงออกไป ดว๎ ยวธิ ีการตําง ๆ 2.6 การแสดง เมอื่ ผ๎ูแสดงและผูช๎ มพรอ๎ มแล๎ว ผ๎แู สดงกเ็ รมิ่ แสดงได๎ การแสดงนี้ควรให๎ เป็นไปตามธรรมชาติ ไมํมีการตัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผ๎ูแสดงต๎องการความชํวยเหลือ ครูหรือผ๎ู กํากบั การแสดงอาจเขา๎ ไปชวํ ยได๎ตามโอกาส 2.7 การตดั บท เมื่อผู๎แสดงได๎แสดงเป็นไปเป็นเวลานานพอสมควรแล๎ว ครูหรือผ๎ูกํากับ การแสดงควรตดั บทหรอื หยดุ การแสดง ไมคํ วรปลอํ ยให๎การแสดงเยิ่นเยอ๎ ไปจะทาํ ให๎เสียเวลาและผ๎ูชมเกิด ความเบ่ือหนําย การตดั จะทําไดใ๎ นกรณีตํอไปนี้ 2.7.1 เมื่อการแสดงน้ันได๎ให๎ข๎อมูลเพียงพอแกํกลํุมที่จะนํามาวิเคราะห์และอภิปราย ได๎ 2.7.2 กลมุํ พอจะเดาไดว๎ าํ เร่อื งราวจะเปน็ อยาํ งไรถ๎าจะมกี ารแสดงตํอไป 2.7.3 ผู๎แสดงไมสํ ามารถแสดงตอํ ไปไดเ๎ พราะเกิดความเขา๎ ใจผิดบางประการ 2.7.4 การแสดงจบเร่ือง 3. ข้นั ท่ี 3 ขั้นวเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดง การวิเคราะห์การแสดงมักจะเป็นไปในรูปการอภิปรายรํวมกันระหวํางผ๎ูแสดงผ๎ูชมหรือผู๎ สงั เกตการณ์ การอภปิ รายจะเป็นไปในรูปใดนั้นมักขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการเรียน บางคร้ังอาจจะมีการ ให๎ผ๎ูแสดงได๎เปิดเผยความร๎ูสึกและเสนอความเห็นกํอนแล๎ว จึงให๎ผ๎ูชมหรือ ผู๎สังเกตการณ์เสนอความ คดิ เหน็ การอภิปรายนจี้ ะต๎องเปน็ ไปอยํางตรงไปตรงมา และเน๎นที่เหตผุ ลของการแสดงออกและพฤติกรรม 204

ท่ีบทแสดงออกมา โดยปกติการอภิปรายจะไมํมุํงถึงวําใครแสดงดีไมํดีอยํางไร นอกจากวัตถุประสงค์ของ การแสดง คือ การฝึกทักษะการแสดง การเรียนร๎ูทั้งหลายจะอยํูตรงข้ันน้ีเป็นสําคัญ ครูจะต๎องชํวย กระตน๎ุ ให๎คิดและหาคําตอบโดยอาจใชว๎ ธิ กี ารตั้งคาํ ถามชวํ ย กระบวนการในการวางแผนและใชบ้ ทบาทสมมตใิ นการสอน ขน้ั ท่ี 1 ขนั้ เตรียมการ ก. แจกแจงและกาํ หนดขอบเขตของปัญหา ข. กาํ หนดสถานการณ์และบทบาทสมมติ ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ แสดง ก. อนุํ เครือ่ ง ข. เลือกผู๎แตงํ ค. จัดฉาก ง. เตรยี มผูส๎ ังเกตการณ์ จ. เตรยี มความพร๎อม ฉ. เริ่มแสดง ช. ตดั บท ขน้ั ที่ 3 ขนั้ วิเคราะห์และอภปิ ราย ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ แสดงเพม่ิ ข้ันท่ี 5 ข้นั แลกเปลีย่ นประสบการณ์และสรุป 4. ข้นั ที่ 4 ขั้นแสดงเพมิ่ หลังจากการวเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดงแล๎ว กลมํุ อาจจะเสนอแนะแนวความคิดใหมํๆ ในการแก๎ปัญหาหรือตัดสินใจ หรือถ๎าหากการแสดงครั้งแรกยังได๎ผลไมํเป็นที่พอใจ ครูอาจจะให๎มีการ แสดงซํ้า หรือเพิ่มเติมก็ได๎ เม่ือดูผลอีกคร้ัง หากการแสดงใหมํนี้ไมํจําเป็นครูจะสามารถข๎ามไปข้ันที่ 5 ได๎เลย 5. ขน้ั ที่ 5 ขน้ั แลกเปลยี่ นประสบการณแ์ ละสรปุ หลงั จากการอภิปรายเกยี่ วกบั การแสดงแลว๎ ครูควรจะกระต๎ุนให๎ผู๎เรียนได๎อภิปรายท่ัว ๆ ไป ซึ่งโดยมากจะเป็นการเลําประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องท่ีเกี่ยวข๎องให๎กันและกันฟัง การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์น้ีจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางข้ึนและสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเห็นวําส่ิงที่เรียนน้ัน เกี่ยวข๎องกับความเป็นจริงจะทําให๎ผู๎เรียนสามารถที่จะหาข๎อสรุป หรือได๎แนวความคิดรวบยอดที่ตน สามารถเขา๎ ใจไดอ๎ ยาํ งดี ระวีวรรณ วฒุ ิประสทิ ธ์ิ (2530 : 75) อธิบายข้นั ตอนการใช๎บทบาทสมมติ ไว๎ดงั น้ี 1. ขั้นเตรยี มการ มดี ังนี้ 205

1.1 กําหนดขอบเขตของปัญหาวํา จะใช๎บทเรียนตอนใดให๎ผู๎เรียนเรียนโดยใช๎บทบาท สมมติ อะไรคอื ปัญหาท่ีตอ๎ งการเน๎น ความคดิ รวบยอดทีต่ อ๎ งการคอื อะไร บงํ ออกมาให๎ชัดเจน 1.2 กําหนดสถานการณ์และบทบาทที่จะแสดง สถานการณ์สมมตติ ๎องให๎งาํ ยและชัดเจน โดยครูและผ๎ูเรียนจะรํวมมือกันในการคัดเลือกตัวผู๎แสดง ผู๎กํากับการแสดง การจัดฉาก ตอลดจนการ เขยี นบทบาทสมมตขิ นึ้ 2. ขัน้ แสดง ผ๎แู สดงจะต๎องรบ๎ู ทบาทของตวั เอง แสดงใหเ๎ ปน็ ไปตามธรรมชาติ คอรบคลมุ เน้อื หาของ บทเรยี นเพียงพอแกํการนํามาวิเคราะหแ์ ละอภิปราย สรปุ 3. ข้นั วิเคราะห์และอภิปราย ครแู ละผูเ๎ รียนชํวยกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั ผ๎ูแสดงวํา ไดแ๎ สดงทาํ ทางไดถ๎ ูกตอ๎ งใกล๎เคียง ความจรงิ เพยี งใด ได๎เน้ือหาถูกตอ๎ งหรือไมํ และการแสดงนั้นมขี อ๎ บกพรํองหรือปัญหาอะไรบา๎ ง และควร จะแก๎ปัญหาน้ัน ๆ อยาํ งไร 4. ขน้ั สรุป เป็นขัน้ ทผ่ี ู๎เรยี นสรปุ แนวความคิดท่ีไดภ๎ ายหลงั จากการแสดงบทบาทสมมตทิ ุกครั้ง ขัน้ นี้จงึ เปน็ ข้นั ทช่ี วํ ยให๎ผูเ๎ รียนมแี นวคดิ ที่กว๎างขวางขน้ึ ไสว ฟักขาว (2544 : 124) กลําววาํ วธิ ีสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมตเิ ป็นวิธีจดั การเรยี นการสอนท่ี ให๎ผ๎ูเรียนจากเร่ืองราวที่ครสู มมตขิ นึ้ ซึง่ ผเู๎ รียนจะได๎ฝึกคดิ และแสดงความร๎สู กึ ในสถานการณ์ท่ีตนเองสวม บทบาทอยูํมีข้นั ตอนการสอน ประกอบด๎วย ขั้นที่ 1 : ขน้ั อุํนเครือ่ ง ครูจะบอกวตั ถปุ ระสงค์ และความคาดหวงั จากการเรยี นรู๎จากบทบาทสมมตทิ ่ีสร๎างขึน้ ขั้นท่ี 2 : ขัน้ คัดเลอื กผ๎ูแสดง ครูคดั เลอื กผ๎แู สดงที่เต็มใจและมคี วามกล๎าแสดงออกและมแี ววเป็นนักแสดงท่ีดีแลว๎ ให๎ทําการ ฝึกซ๎อม ขน้ั ที่ 3 : ขั้นจัดฉาก ครจู ะใหผ๎ เู๎ รยี นชวํ ยกนั ออกแบบฉากให๎ใกลเ๎ คยี งกบั ความเปน็ จริง ข้นั ท่ี 4 : ขั้นเตรยี มผ๎สู งั เกตการณ์ ครูจะบอกบทบาทของผู๎ชมวาํ ควรสงั เกตอะไรบ๎าง เชนํ การแสดงบทบาทของผู๎แสดง ข๎อคิด และข๎อเสนอท่ีไดจ๎ ากการชม ขั้นท่ี 5 : ขั้นแสดงและการตัดการแสดง 206

ครใู ห๎ผู๎แสดง แสดงบทบาทสมมตเิ ป็นนักศกึ ษาที่ฝึกสอนและนักเรยี นตามเรอ่ื งทกี่ าํ หนด และ เมื่อเวลาผํานไปพอสมควรเม่ือเห็นวาํ ผ๎ูชมไดข๎ อ๎ มูลเพยี งพอแลว๎ จงึ ส่ังใหย๎ ตุ ิการแสดง ขัน้ ที่ 6 : ขัน้ อภิปรายและประเมนิ ผล ครูให๎นักเรยี นรวํ มกันอภิปรายอยํางเสนีจากเร่ืองทไี่ ด๎ชมการแสดงท้งั เห็นด๎วยและไมเํ ป็นด๎วยใน พฤติกรรมของผแู๎ สดง ขั้นท่ี 7 : ข้นั แลกเปลีย่ นประสบการณ์และสรุป ครูใหผ๎ ๎ูเรียนรํวมกันอภิปรายแลกเปลย่ี นประสบการณ์ของแตลํ ะคนในชวี ติ จริงเพ่ือให๎ผูเ๎ รยี นมี แนวคิดท่กี ว๎างขวางมากขึ้นและชํวยกนั สรปุ เปน็ ข๎อความรท๎ู ี่ไดจ๎ ากการเรียน ขน้ั ท่ี 8 : ข้นั สรุปอ๎างองิ ครูมอบหมายใหผ๎ เู๎ รยี นคดิ เพิ่มเติมเกีย่ วกับบทบาทของแตํละคนในสถานการณ์ใหมํที่ใกลเ๎ คยี ง กบั เรือ่ งทไี่ ดเ๎ รยี นไปแลว๎ เพ่ือจะนาํ ไปสูํการตัดสนิ ใจท่จี ะปรับปรุงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการปฏิบตั ิตน อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 99-100) อธบิ ายถึงข้นั ตอนการสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาท สมมติ ดงั นี้ 1. ขน้ั เตรียมการ 1.1 กําหนดจุดประสงคใ์ ห๎แนชํ ดั วํา ตอ๎ งการให๎ผู๎เรียนเกดิ ความร๎ูความเข๎าใจอะไรจากการ แสดง 1.2 เตรยี มสถานการณ์ใหส๎ อดคล๎องกับจุดประสงค์ โดยเขียนแลว๎ มอบให๎ผเู๎ รยี นหรือเลํา ให๎ผเ๎ู รยี นฟงั สํวนรายละเอียดใหผ๎ ๎เู รยี นคิดเอง 2. ขนั้ ดาเนนิ การสอน 2.1 นําเข๎าสกูํ ารแสดงบทบาทสมมติโดยกระตุ๎นให๎นกั เรยี นเกิดความสนใจ เชนํ โยง ประสบการณ์ใกล๎ตวั ผู๎เรียนเข๎ามาในบทเรียน เลําเร่ืองราว กําหนดสถานการณ์สมมติ ฯลฯ ซง่ึ เป็น ประโยชนต์ อํ การแสดง และรํวมกันหาทางแก๎ปญั หา 2.2 เลอื กผู๎แสดง - เลอื กแบบเจาะจง เชนํ เลือกผท๎ู ่ีมีปัญหาออกมาแสดง เพราะรู๎ดถี ึงปัญหาและ วิธแี ก๎ไข - เลือกผูท๎ ี่มีบคุ ลกิ ลกั ษณะ คณุ สมบัตเิ หมาะสม มีความสามารถตามบทบาทท่ี ต๎องการ - เลอื กอาสาสมัครเพอ่ื ให๎เสรภี าพแกํผู๎เรียนในการเรียนและการตัดสนิ ใจ 2.3 เตรยี มความพร๎อมของผ๎ูแสดง เม่ือเลอื กผู๎แสดงได๎แล๎ว ผูส๎ อนต๎องใหเ๎ วลาผู๎แสดงได๎ เตรยี มตัว โดยให๎กาํ ลังใจ ขจดั ความตนื่ เตน๎ ประหมํา ฯลฯ 2.4 เตรียมจัดฉากการแสดงซ่งึ ต๎องเป็นไปอยาํ งงาํ ย ๆ ประหยัดทงั้ เวลาและทรพั ยากร 207

2.5 เตรยี มผชู๎ ม โดยทําความเขา๎ ใจกับผชู๎ มวาํ ควรจะสังเกตอะไรบ๎างจงึ จะเปน็ ประโยชน์ตํอการเรียนการสอน กําหนดเปน็ หวั ขอ๎ หรือจัดทําแบบสังเกตการณ์เตรยี มไวใ๎ ห๎พรอ๎ มเพ่ือให๎ ผ๎ชู มบันทึกพฤตกิ รรมและเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ เป็นเรอ่ื ง ๆ ไป 2.6 เมือ่ ทุกฝาุ ยพร๎อมก็ให๎เริ่มแสดง การแสดงจะต๎องปลอํ ยให๎เป็นไปตามธรรมชาติ ไมํ ขดั กลางคนั 2.7 การตัดบท ผสู๎ อนจะตอ๎ งตดั บทหรือหยุดการแสดงเมื่อการแสดงผํานไปพอสมควร ไมํปลํอยให๎เยิ่นเย๎อ วิธีการตัดบทควรทาํ เม่ือ - การแสดงให๎ขอ๎ มูลแกผ๎ ูช๎ มเพยี งพอทจี่ ะนาํ มาวเิ คราะห์และอภปิ รายได๎ - สามารถเดาเหตกุ ารณ์ตํอไปได๎ถูกต๎อง - ผ๎แู สดงไมํสามารถแสดงตํอไปได๎ เพราะความเข๎าใจผดิ ในบทบาทและอ่นื ๆ - การแสดงยืดเยอ้ื ผูช๎ มหมดความสนใจ 3. ข้ันวิเคราะหแ์ ละอภปิ รายผลการแสดง ขน้ั น้ีเป็นขน้ั ทสี่ าํ คัญยิ่งในการสอน เพราะจะชวํ ยรวบรวมขอ๎ มลู ตาํ ง ๆ ให๎กบั ผเ๎ู รยี นตามที่ได๎ สงั เกตเห็นเพ่ือนํามาอภปิ รายจนเกิดเปน็ การเรยี นรู๎ท่มี ีความหมายสาํ หรับตนเอง ข้ันน้ผี ๎ูสอนจะต๎องเตรียม คําถามไว๎เป็นแนวทางสาํ หรับตนเองในการทจี่ ะกระตุ๎นผู๎เรียนใหค๎ ดิ และอภิปรายรํวมกนั โดยมขี น้ั ตอน ดงั น้ี 3.1 ชแี้ จงทัง้ ผูแ๎ สดงและผ๎ูชมวํา การอภิปรายจะเนน๎ ที่เหตุผลและพฤติกรรมท่แี สดง ออกมาไมํใชํเนน๎ ท่ีใครแสดงดไี มดํ อี ยาํ งไร 3.2 สมั ภาษณค์ วามร๎ูสึกและความคิดของผแ๎ู สดง 3.3 สมั ภาษณค์ วามรูส๎ ึกและความคิดของผช๎ู มการแสดง 3.4 ใหก๎ ลํมุ ผแู๎ สดงและกลุํมผ๎ูชมวิเคราะห์เหตกุ ารณ์ เสนอความคดิ เห็นและอภปิ ราย รวํ มกัน 4. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละสรุป เม่ือจบการอภิปรายผส๎ู อนจะตอ๎ งกระต๎ุนให๎ผู๎เรยี นแลกเปล่ยี นประสบการณ์ท่ีมีสวํ นสัมพันธ์ หรอื เก่ียวข๎องกับเร่ืองทกี่ าํ ลงั เรยี น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะชํวยทาํ ใหผ๎ ๎เู รียนได๎แนวความคิด กว๎างขวางข้นึ และเปน็ การสํงเสริมใหผ๎ ๎ูเรียนเหน็ วาํ สง่ิ ที่ไดเ๎ รียนรูไ๎ ปนั้นเปน็ เร่อื งจรงิ กอํ ใหเ๎ กดิ แนวความคิด รวบยอดทสี่ ามารถเขา๎ ใจบทเรียนดียิง่ ขนึ้ นอกจากน้ี สริ วิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทัยสุข (2540 : 107-109) ไดเ๎ สนอขัน้ ตอนการ สอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ แบํงออกเปน็ 9 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 208

ขน้ั ที่ 1 กาํ หนดปัญหาหรือประเด็นท่จี ะนํามาสํกู ารแสดง การกําหนดเหตุการณ์หรือปญั หา นัน้ ควรเลอื กปญั หาท่ีไมซํ ับซ๎อนมากนัก และควรเก่ยี วข๎องเฉพาะประเดน็ หรือวัตถุประสงคเ์ ดียวเทําน้ัน การกาํ หนดเหตุการณ์ทซ่ี ับซ๎อนและการมีวตั ถปุ ระสงคห์ ลาย ๆ ข๎อน้ันไมํเกดิ ประโยชน์อะไร การกําหนดปัญหาหรอื ประเดน็ นั้น ครเู ป็นผ๎กู ําหนดสํวนใหญํ ครูจงึ ควรเขา๎ ใจเหตกุ ารณ์ทจี่ ะ นาํ มาแสดงอยาํ งชดั เจนพอสมควร สวํ นขอ๎ สรปุ น้นั อาจไมจํ ําเป็น เพราะขอ๎ สรปุ หรือตอนจบของเร่ืองเป็น เรอื่ งของผแู๎ สดงวําจะแสดงออกอยาํ งไร เมือ่ ได๎ปัญหาแลว๎ ครกู ็จะนาํ ปญั หาน้ันมาเสนอใหแ๎ กผํ ๎เู รยี น อาจวิธเี ลาํ เหตกุ ารณห์ รือปัญหา นน้ั ๆ ดว๎ ยตนเอง หรืออาจฉายภาพยนตร์ หรอื การแสดงรปู ภาพประกอบการเลาํ เร่ืองราวน้ัน หนา๎ ท่ี ของครูในชน้ั นีจ้ ะต๎องทาํ ให๎ประเด็นทเี่ สนอมานน้ั กระจาํ งชัดเพือ่ ให๎ผเู๎ รยี นเขา๎ ใจและต๎องเป็นความเข๎าใจที่ รวมกันทงั้ กลุํมดว๎ ย เมือ่ เขา๎ ใจเหตุการณ์และปัญหาทจ่ี ะศกึ ษาตรงกันแลว๎ ครแู ละนกั เรยี นจะชํวยกนั ตคี วามใน เรื่องราวนั้น ๆ คือ เพ่ิมรายละเอียดในเหตกุ ารณ์น้ัน ๆ น่นั เอง รวมทง้ั สาํ รวจวําอะไรคือปญั หาของเร่ือง จากน้นั จะชวํ ยกนั ทํานายวาํ เหตุการณน์ น้ั ๆ นาํ จะส้ินสุดลงอยํางไร เชนํ ปญั หาของนางสาว เรวดใี นเหตกุ ารณน์ ี้คอื อะไรและเรวดีควรทําอยํางไร การถามคาํ ถามเหลาํ น้จี ะเป็น การทา๎ ทายให๎ ผเ๎ู รียนสนใจติดตามเหตุการณ์วําจะลงเอยในรูปใด ซ่งึ กเ็ ปน็ การกระต๎ุนผ๎ูเรยี นให๎สนใจตอํ บทเรยี นนนั้ เอง ขนั้ ท่ี 2 เลอื กผู๎แสดง เม่อื เข๎าใจเหตุการณ์และบคุ คลที่เขา๎ ไปเก่ียวข๎องกบั เหตุการณน์ ัน้ ๆ ตลอด จนบทบาทของบุคคลในเหตกุ ารณน์ ั้น ก็จะมาถึงข้ันตอนการเลือกผ๎ูแสดง ครูและนกั เรยี นอาจ รํวมกนั เลือกผู๎แสดงวาํ ใครควรเลนํ บทบาทใด อาจให๎นักเรียนผ๎ูอาสาสมคั รเองก็ได๎ หรอื บางคร้งั ครูอาจมี เง่ือนไขในการเลอื กผ๎ูแสดงเพ่ือความเหมาะสมทง้ั นตี้ ๎องแลว๎ แตคํ รูจะวนิ จิ ฉยั เองวาํ อะไรควรหรือไมํควร ขั้นท่ี 3 จดั ฉากและกาํ หนดขอบเขตของบทบาท การแสดงบทบาทสมมติต๎องการฉากเพยี ง เล็กนอ๎ ย สวํ นบทนัน้ จะไมํมีการเตรียมบทสนทนาอยํางเป็นทางการ บทบาทนนั้ ถือวําเป็นความอิสระของ ผแ๎ู สดงท่จี ะแสดงอะไรกไ็ ด๎ตามที่เขาคดิ วาํ บุคคลในเหตกุ ารณ์นั้น ๆ ควรแสดง ข้ันที่ 4 เตรยี มผสู๎ งั เกตการณ์ ดงั ได๎กลําวแล๎ววาํ การแสดงบทบาทสมมตินัน้ ผ๎ูเรยี นจะถูก แบงํ เป็นสองฝุาย คือ ฝุายทเ่ี ปน็ ผู๎แสดงและฝุายทีเ่ ปน็ ผชู๎ ม การเตรียมผู๎สังเกตการณ์ของผชู๎ มนน้ั ครู จะตอ๎ งมอบหมายกจิ กรรมระหวํางการชมบทบาทสมมติแกํผส๎ู ังเกตการณ์ด๎วย เพ่อื ให๎การชมบทบาท สมมตมิ เี ปาู หมายตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไวม๎ ิไดช๎ มไปเฉย ๆ ขน้ั ท่ี 5 แสดง เม่อื เตรยี มการพร๎อมแลว๎ ผูแ๎ สดงทกุ คนแสดงตามบทที่ไดร๎ ับมอบหมายโดย การแสดงอารมณ์ความรสู๎ ึกของตนออกมาอยาํ งเต็มท่ีเหมือนเชนํ ตนเองอยูํในเหตุการณ์น้ัน จรงิ ๆ หรือ สวมวิญญาณของบคุ คลนนั้ อยูํ การแสดงอารมณ์ ทศั นคติ การตดั สินใจ และอื่น ๆ อยํางจรงิ จังของผ๎ู แสดงจะทําใหก๎ ารเรียนได๎ผลดี เพราะทั้งผ๎ูแสดงและผ๎ชู มจะเข๎าใจเหตกุ ารณ์และการแสดงออกของบุคคล ในเหตกุ ารณ์มากขนึ้ 209

ขั้นที่ 6 อภิปรายและการประเมนิ ผล ถา๎ ปญั หาหรือเหตกุ ารณท์ ห่ี ยบิ ยกข้ึนมาแสดงเป็น เหตุการณ์ท่นี ําสนใจ ตลอดจนผแ๎ู สดงและผ๎ชู มกเ็ ป็นกลุมํ ผ๎ูเรยี นที่มคี วามสามารถและมีอารมณร์ ํวมใน เหตกุ ารณแ์ ล๎วนัน้ การอภปิ รายจะได๎ผลมาก โดยทกี่ ารอภปิ รายนน้ั สํวนใหญจํ ะแบงํ เป็นกลุํมยํอย โดย อาจแบํงกลํมุ โดยให๎ผูแ๎ สดงท้ังหมดอยํูกลํุมเดยี วกนั และผู๎สงั เกตการณ์อาจมอี ีก 1 -3 กลุํม หรืออาจแบํง โดยให๎ทกุ กลุํมมที ง้ั ผแ๎ู สดงและผูส๎ งั เกตการณ์แตจํ ะมีท้ังหมดก่ีกลมุํ แล๎วแตํความเหมาะสม และแสดง ความคิดตํอบทบาทท่ผี ู๎แสดงแสดงจบไปแล๎ว อาจมที ั้งเห็นด๎วยหรอื ไมเํ ห็นดว๎ ยท้ังนแี้ ล๎วแตเํ หตผุ ลของผ๎ู อภิปราย ผ๎แู สดงกม็ โี อกาสทจ่ี ะแสดงเหตุผล ทัศนคตขิ องตนกไ็ ด๎วาํ ทาํ ไมจงึ แสดงบทบาทหรือมีความรู๎สึก เชํนนน้ั การอภิปรายจะชวํ ยให๎เกดิ ความคดิ กว๎างไกลขึ้น ข้ันท่ี 7 แสดงเพ่ิมเตมิ ควรจะมกี ารแสดงเพ่ิมเตมิ เพือ่ ให๎เหตุการณน์ ั้นมีทางออก นอกเหนือจากทแี่ สดงไปแล๎ว เชํน บางครง้ั เม่อื อภิปรายจบลง กลมุํ อภิปรายเห็นทางออกของเหตุการณ์ น้นั หรือมวี ธิ ีการแก๎ปัญหาในแนวใหมํ อาจแสดงเพ่มิ เติม เพ่อื ดผู ลวําจะเกดิ อะไรข้ึนถ๎าเปน็ ทางออกใหมํ ขั้นท่ี 8 อภิปรายและประเมนิ ผลอกี ครงั้ เมื่อการแสดงเพิ่มเตมิ จบลง กลุมํ จะอภิปรายและ ประเมนิ ผลอีกครงั้ เกี่ยวกับการแสดงน้นั อาจมกี ารเปรยี บเทียบผลที่ไดจ๎ ากการแสดงครง้ั แรกและครั้งหลงั วําตาํ งกนั อยํางไร พร๎อมกนั นั้นก็จะหาข๎อสรปุ ซึ่งข๎อสรปุ ดังกลําวยอํ มเปน็ ข๎อสรปุ ท่ที ุกฝุายยอมรบั ข้ันท่ี 9 แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรปุ เป็นหลักการ ในข้นั นี้จะเปน็ การสรปุ เร่อื งราวท่ี ได๎ศึกษาไป โดยการแลกเปล่ียนประสบการณ์อาจใหผ๎ ๎ูแทนแตํละกลํุมออกมาสรุปผลการอภิปรายของกลมํุ ตนวาํ เป็นอยาํ งไร ทั้งนจ้ี ะทําใหผ๎ ๎ูเรียนกลุํมอื่น ๆ มีความคิดกว๎างข้ึน จากนนั้ จะนําความคิดและข๎อสรุป จากการศึกษาไปสัมพนั ธก์ บั เหตกุ ารณ์ทีเ่ ปน็ จริงอยูํในสังคม อาจไดเ๎ ปน็ หลักการออกมา ซึง่ เป็นหลกั การ ท่ีเก่ียวข๎องกบั พฤติกรรมของบุคคลในสังคมนั่นเอง ขน้ั ท่ี 6 อภิปรายและประเมินผล ขน้ั ที่ 7 แสดงเพิ่มเตมิ ขั้นที่ 8 ยงั หาข๎อสรปุ ไมํได๎ หาขอ๎ สรปุ ได๎แลว๎ ขั้นท่ี 9 แลกเปล่ยี นประสบการณ์และสรุปเป็นหลักการ เทคนิคและข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการใช๎วิธสี อนโดยการใช๎การแสดงบทบาทสมมติ ใหม๎ ีประสิทธภิ าพ ทิศนา แขมมณี (2550 : 359-360) กลาํ วถงึ การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมตวิ ํามี เทคนคิ และข๎อเสนอแนะ ดังนี้ 1. การเตรียมการ ผู๎สอนกําหนดวัตถุประสงค์เฉพาะให๎ชัดเจน และสร๎างสถานการณ์และ บทบาทสมมติท่ีจะชํวยสนองวัตถุประสงค์นั้น สถานการณ์และบทบาทสมมติที่กําหนดข้ึนควรมีความ ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง สํวนจะมีรายละเอียดมากน๎อยเพียงใดข้ึนกับวัตถุประสงค์ ผ๎ูสอนอาจใช๎ 210

บทบาทสมมติแบบละคร ซึ่งจะกําหนดเรื่องราวให๎แสดงแตํไมํมีบทให๎ ผู๎สวมบทบาทจะต๎องคิดแสดงเอง หรอื อาจใชบ๎ ทบาทสมมติแกป๎ ัญหา ซ่งึ จะกําหนดสถานการณท์ ่ีมปี ัญหาหรอื ความขัดแย๎งและอาจให๎ข๎อมูล เพ่ิมเติมมากบ๎าง น๎อยบ๎าง ซ่ึงผ๎ูสวมบทบาทจะใช๎ข๎อมูลเหลํานั้นในการแสดงออกและแก๎ปัญหาตาม ความคดิ ของตน 2. การเร่ิมบทเรียน ผ๎ูสอนสามารถกระตุ๎นความสนใจของผู๎เรียนได๎หลายวิธี เชํน โยง ประสบการณ์ใกล๎ตัวผู๎เรียน หรือประสบการณ์ที่ผู๎เรียนไดรับจากการเรียนครั้งกํอน ๆ เข๎าสูํเร่ืองท่ีจะ ศึกษา หรืออาจใช๎วิธีเลําเรื่องราวหรือสถานการณ์สมมติที่เตรียมมาแล๎วท้ิงท๎ายด๎วยปัญหา เป็นการ กระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนอยากคิด อยากติดตาม หรืออาจใช๎วิธีชี้แจงให๎ผ๎ูเรียนเห็นประโยชน์จาก การเข๎ารํวม แสดง และชํวยกันคดิ แก๎ปญั หา 3. การเลือกผู๎แสดง ควรเลือกให๎สอดคล๎องกับจุดมํุงหมายของการแสดง เชํน เลือก ผแู๎ สดงท่ีมลี กั ษณะเหมาะสมกบั บทบาท เพือ่ ชวํ ยให๎การแสดงเป็นไปอยาํ งราบรื่นตามวัตถุประสงค์ได๎อยําง รวดเร็ว หรือเลือกผู๎แสดงที่มีลักษณะตรงกันข๎ามกับบทบาทท่ีกําหนดให๎เพื่อชํวยให๎ผู๎เรียนคนน้ันได๎รับ ประสบการณใ์ หมํ ไดท๎ ดลองแสดงพฤติกรรมใหมํ ๆ และเกิดความเข๎าใจในความร๎ูสึกและพฤติกรรมของ ผ๎ูที่มีลักษณะตํางไปจากตน หรืออาจให๎ผู๎เรียนอาสาสมัคร หรือเจาะจงเลือกคนใดคนหนึ่ง ด๎วย วัตถุประสงค์ที่ต๎องการชํวยให๎บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู๎ เม่ือได๎ ผู๎แสดงแล๎ว ควรให๎เวลาผ๎ูแสดง เตรยี มการแสดง โดยอาจให๎ฝกึ ซ๎อมบ๎างตามความจําเป็น 4. การเตรยี มผส๎ู งั เกตการณ์ หรอื ผ๎ชู ม ผู๎สอนควรเตรียมผ๎ูชม และทําความเข๎าใจกับผ๎ูชมวํา การแสดงบทบาทสมมตินี้ จัดขนึ้ มใิ ชมํ ํุงทคี่ วามสนกุ แตํมํุงท่ีจะให๎เกิดการเรียนร๎ูเป็นสําคัญ ดังนั้นจึงควร ชมด๎วยความสังเกต ผ๎ูสอนควรให๎คําแนะนําวําควรสังเกตอะไรและควรบันทึกข๎อมูลอยํางไร และผู๎สอน อาจจัดทาํ แบบสังเกตการณใ์ หผ๎ ๎ชู มใช๎ในการสงั เกตดว๎ ยก็ได๎ 5. การแสดง กํอนการแสดงอาจมีการจัดฉากการแสดงให๎ดูสมจริง ฉากการแสดงอาจเป็น ฉากงําย ๆ หรืออาจจะจัดให๎ดูสวยงาม แตํไมํควรจะใช๎เวลามาก และควรคํานึงถึงความประหยัดด๎วย เมื่อทุกฝุายพร๎อมแล๎ว ผ๎ูสอนให๎เริ่มการแสดง และสังเกตการแสดงอยํางใกล๎ชิด ไมํควรมีการขัดการ แสดงกลางคัน นอกจากกรณีที่มีปัญหาเม่ือการแสดงออกนอกทาง ผ๎ูสอนอาจจําเป็นต๎องให๎คําแนะนํา บ๎าง เมอ่ื การแสดงดําเนินไปพอสมควรแล๎ว ผู๎สอนควรตัดบท ยุติ การแสดง ไมํควรให๎การแสดง ยดื ยาว เยนิ่ เยอ๎ จะทําให๎ผู๎ชมเกดิ ความเบื่อหนาํ ยการตัดบทควรทําเมื่อเห็นวําการแสดงได๎ให๎ข๎อมูลแกํกลํุม เพียงพอที่จะนํามาวิเคราะห์และอภิปรายเพ่ือให๎เกิด การเรียนร๎ูตรงตามวัตถุประสงค์ หรือตัดบท เม่ือการแสดงเริ่มยืดเยื้อ หรือเม่ือผู๎ชมพอจะเดาได๎วํา เร่ืองราวจะดําเนินตํอไปอยํางไร หรือในกรณีที่ผู๎ แสดงเกดิ อารมณส์ ะเทือนใจมากเกนิ ไปจนแสดงตํอไปไมไํ ด๎ ควรตัดบททันที 6. การวเิ คราะหอ์ ภปิ รายผลการแสดง ขน้ั นีเ้ ป็นข้นั สําคัญมาก เพราะเป็นขั้นที่ชํวยให๎ผ๎ูเรียน เกิดการเรียนรู๎ท่ีชัดเจนตามวัตถุประสงค์ เทคนิคที่จําเป็นสําหรับการอภิปรายในชํวงนี้มีหลายประการ ท่ี 211

สําคัญ คือ การสัมภาษณ์ความร๎ูสึกและความคิดของผู๎แสดงและจดบันทึกไว๎บนกระดานตํอจากนั้นจึง สัมภาษณ์ผู๎ชมหรือผู๎สังเกตการณ์ถึงข๎อมูลท่ีสังเกตได๎ผ๎ูสอนควรจดบันทึกข๎อมูลเหลําน้ีบนกระดาน เพื่อ ชํวยให๎ผเ๎ู รียนเห็นประเด็นในการอภปิ รายและสรุป ตํอจากน้นั จงึ ใหท๎ กุ ฝาุ ยรวํ มกันอภิปราย แสดงความ คิดเห็น และสรุปประเด็นการเรียนร๎ู ส่ิงสําคัญมากท่ีผู๎สอนพึงคํานึงในการอภิปรายก็คือ การให๎ผ๎ูเรียน แสดงบทบาทสมมติเพ่ือวัตถปุ ระสงคท์ ่ีจะใช๎บทบาทเป็นเคร่อื งมือในการดงึ ความรู๎สึกนึกคิด การรับรู๎ เจต คติ หรืออคติตําง ๆ ที่ซํอนอยูํในสํวนลึกของผู๎แสดงออกมาเพื่อเป็นข๎อมูลในการเรียนร๎ู ดังน้ันการ อภิปรายจงึ ตอ๎ งมํงุ เน๎นและอภปิ รายในเรื่องของพฤติกรรมท่ีผ๎ูสวมบทบาทแสดงออก และความรู๎สึกท่ีเป็น เหตุผลักดันให๎เกิดการแสดงพฤติกรรมน้ันออกมา การซักถาม จึงควรมํุงประเด็นไปที่วําผู๎แสดงได๎แสดง พฤติกรรมอะไรบ๎าง ทําไมจึงแสดงพฤติกรรมเชํนน้ัน และพฤติกรรมน้ันกํอให๎เกิดผลอะไรตามมา การ อภปิ รายไมํควรมํงุ ประเด็นไปที่การแสดงของผู๎สมบทบาทวํา แสดงได๎ดี – ไมํดี เพียงใด เพราะนอกจาก จะเป็นการอภิปรายท่ผี ิดกบั วัตถุประสงค์แล๎ว ยงั อาจทําใหผ๎ ๎ูแสดงเสียความรู๎สกึ ได๎ ในกรณีท่กี ารอภปิ รายเปน็ ไปอยํางมีประสิทธิภาพ และผู๎เรียนเสนอแนะแนวคิดและแนวทาง อื่น ๆ เพ่ิมเติมแตกตํางไปจากท่ีผู๎สวมบทบาทแสดง ผู๎สอนอาจให๎มีการแสดงและ การอภิปราย เพมิ่ เติม และสรปุ บทเรียนอีกครัง้ หนึ่ง นอกจากน้ี บุญชม ศรีสะอาด (2541: 62) ยังได๎กลําวถึงข๎อเสนอแนะเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ ของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไว๎ดังนี้ 1. ผ๎ูสอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ และสิ่งท่ีต๎องการให๎ผ๎ูสังเกต การศึกษาจากการแสดงบทบาทสมมตนิ ั้น 2. ผู๎สอนต๎องเตรียมสถานการณ์ และมีคําอธิบายสถานการณ์ให๎ชัดเจนสําหรับผ๎ูที่จะแสดง บทบาทแตํละคน ซึ่งจะต๎องจดจําสถานการณ์ท่ีตนจะต๎องแสดงบทบาทไว๎ให๎แมํนยํา มีความเข๎าใจใน บทบาทของตนอยาํ งรู๎แจ๎งสถานการณ์และบทบาทท่ีกําหนดมักพิมพ์ลงในแผํนกระดาษเพ่ือมอบให๎ผู๎แสดง บทบาทไดศ๎ ึกษา 3. ควรใหเ๎ วลาในชํวงส้ัน ๆ สําหรับผ๎ทู จ่ี ะแสดงบทบาทสมมตไิ ดป๎ ระมวลความคดิ ซักซ๎อมและ เตรยี มการ 4. ในการแสดงบทบาทสมมตจิ ะต๎องมีบรรยากาศทเี่ สรแี ละความรู๎สึกปลอดภัย 5. อาจมีการปรับปรงุ และแสดงกจิ กรรมบางตอนใหมํ 6. หลังจากการแสดงบทบาทสมมติควรมีการอภิปรายถึงพฤติกรรมที่แสดง และประเมินผล การปฏบิ ตั ิของผูเ๎ รยี น โดยใช๎คาํ ถามตํอไปนี้ 6.1 แตลํ ะคนแสดงบทบาทไดส๎ มจริงเพยี งใด 6.2 มคี วามแตกตาํ งของบทบาทท่แี สดงในทางใด 6.3 การแสดงบทบาทเปลี่ยนแปลงความคิดของทาํ นเก่ียวกับตวั ละครท่ีแสดงอยํางไร 212

6.4 อะไรคือจดุ ประสงคข์ องการแสดงบทบาทสําหรบั บทเรยี นนี้ ขอ้ ดีและข้อจากดั ของวิธีสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ นักวิชาการหลายทํานได๎กลําววําการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติเป็นวิธีสอนท่ีมีทั้งข๎อดีและ ขอ๎ จาํ กดั หลายประการดว๎ ยกัน ซ่งึ จะกลาํ วไวด๎ งั น้ี บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 61-62) กลําววํา การสอนโดยใช๎บทบาทสมมติมีข๎อดีและจํากัด ดังน้ี ข้อดี 1. ชวํ ยใหเ๎ กิดความเขา๎ ใจวําคนอ่ืนอาจคดิ รูส๎ ึก และปฏบิ ตั อิ ยํางไร เห็นอกเห็นใจคนอ่ืน 2. ใชช๎ ํวยในการเปลี่ยนแปลงเจตคติ 3. ผ๎ูเรยี นได๎รับการเตรยี มสาํ หรับสถานการณ์จรงิ ที่จะเผชิญ 4. กระตุ๎นใหเ๎ กิดความคิดสรา๎ งสรรค์ 5. สามารถใช๎พฒั นาทักษะทางสงั คม 6. ใช๎ในการสอนหรอื ประเมินผลการเรยี นรูด๎ ๎านจิตพิสัย หรือท้งั สองประการ 7. ผูแ๎ สดงบทบาทเรยี นร๎กู ารจัดระบบความคดิ และการตอบสนองโดยฉับพลัน 8. ฝกึ การใช๎ระบบส่ือสารจากการปฏบิ ัตมิ ากกวาํ จากการใช๎ถ๎อยคํา ข้อจากัดหรือจุดดอ้ ย 1. ใชเ๎ วลามาก 2. นกั เรยี นเกํงมกั ผกู ขาดสถานการณ์ 3. ผ๎ูที่ขาดทักษะที่จําเป็น เชํน เป็นคนขี้อาย พูดติดอําง จะรู๎สึกไมํสบายใจและเป็น ปญั หามาก 4. ผ๎เู รยี นบางคนไมสํ ามารถแสดงบทบาทตามกาํ หนดได๎ 5. ถ๎าไมํสามารถเชื่อมโยงการแสดงบทบาทสมมติกับบทเรียนให๎กับผ๎ูเรียนได๎ก็จะทํากิจกรรม ทั้งหมดนีด้ อ๎ ยคณุ คาํ สามารถ คงสะอาด (2535 : 52) กลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนแบบบทบาทสมมติ ไวด๎ งั นี้ ข๎อดี 1. ฝกึ ใหน๎ กั เรียนไดแ๎ สดงออกในทางทเี่ หมาะสม 2. ชํวยใหน๎ กั เรียนมที ักษะมีไหวพรบิ และกล๎าทจี่ ะตดั สินใจ 3. ชํวยใหน๎ ักเรยี นมีใจกวา๎ ง ยอมรับฟังความคดิ เห็นคนอ่นื 4. ทาํ ใหบ๎ ทเรยี นสนกุ สนาน มชี วี ติ ชวี า 5. เป็นการเรียนที่นักเรยี นไดม๎ ีสํวนรวํ ม 213

ขอ๎ จํากดั 1. เน่ืองจากการสอนแบบบทบาทสมมติจะต๎องใช๎ผู๎แสดงนั้น ถ๎าครูกําหนดนักเรียนไมํเหมาะ กับบท ก็จะได๎ผลไมํดีเทําที่ควร หรือบางครั้งอาจจะเสียเวลามากเกินความจําเป็น เชํน ในกรณีที่เด็กข้ี อายไมํกลา๎ แสดงน้ันครจู ะตอ๎ งพจิ ารณาผ๎ูแสดงด๎วย 2. การวิจารณ์หลังการแสดง ถ๎าครูไปวิจารณ์ตัวบุคคล จะทําให๎นักเรียนเกิดความน๎อยใจ และจะไมกํ ลา๎ แสดงในคราวตํอไป อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 163) อธิบายถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ คือ ข๎อดี 1. สงํ เสริมให๎บทเรียนนาํ สนใจ และผํอนคลายความเครยี ด 2. สะทอ๎ นให๎เห็นถึงความรู๎สึก อารมณ์ และเจตคตขิ องผู๎เรียนไดเ๎ ปน็ อยํางดี 3. สร๎างเสริมความสามคั คี และชวํ ยให๎เข๎าใจความร๎ูสกึ ของผอ๎ู ่นื ไดด๎ ขี น้ึ 4. ชวํ ยฝึกฝนแกป๎ ญั หาและการตดั สนิ ใจของผเู๎ รยี น 5. ชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นเกดิ ความเขา๎ ใจในสงิ่ ท่เี รียนไดล๎ กึ ซ้ึงขึ้น 6. ชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการปรับหรือเปล่ียนเจตคติและพฤติกรรม รวมท้ังปฏิบัติตนในสังคมได๎ เหมาะสม ขอ๎ จาํ กัด 1. วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติต๎องใช๎เวลามาก โดยเฉพาะในขั้นอภิปราย ผู๎สอนจึงควร วางแผนและเตรยี มการใหร๎ ดั กุม 2. วิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติอาจพบปัญหาในเรื่องการควบคุมชั้น ห๎องเรียนมักจะเกิด ความวุํนวายสบั สนอันเนื่องมาจากการจัดกจิ กรรมการแสดง ผูส๎ อนต๎องวางแผนใหร๎ ัดกมุ และพยายามฝึก ระเบยี บวนิ ัยให๎ผู๎เรยี นตั้งแตใํ นระยะแรก อินทิรา บุณยาทร (2542 : 100-101) กลําววําข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนแบบบทบาทสมมติ มีดงั น้ี ขอ๎ ดี 1. สงํ เสรมิ บทเรียนให๎สนกุ สนานเพลิดเพลนิ 2. ทาํ ให๎เข๎าใจเรื่องราวรายละเอยี ดในเนอ้ื เรอ่ื งไดด๎ ี 3. ชํวยในการเปลย่ี นแปลงเจตคติ เกดิ ความคิดสร๎างสรรค์ 4. ชวํ ยฝกึ ฝนการแก๎ปญั หาและการตดั สินใจ ข๎อจาํ กดั 1. ใชเ๎ วลามาก 214

2. ผู๎เรียนบางคนไมํสามารถแสดงบทบาทตามที่กําหนดไว๎ 3. มีปญั หาในเรือ่ งคุมชั้นเรียน ผเู๎ รยี นจะสบั สนวํนุ วายในการจัดเตรียมกิจกรรมตําง ๆ ทําให๎ ผ๎สู อนมภี าระเพ่มิ ขึน้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 361) อธิบายถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของวิธีสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ ไวด๎ งั น้ี ขอ๎ ดี 1. เปน็ วธิ ีสอนทชี่ ํวยให๎ผ๎เู รียนเกิดความเข๎าใจความรู๎สึกและพฤติกรรมของผู๎อ่ืน ได๎เรียนรู๎การ เอาใจเขามาใสใํ จเรา เกดิ การเรยี นร๎ทู ีล่ ึกซึง้ 2. เป็นวิธีสอนที่ชํวยให๎ผู๎เรียนมีความเข๎าใจ และเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรม ของตน 3. เป็นวิธีสอนที่ชํวยพัฒนาทกั ษะในการเผชญิ สถานการณ์ ตัดสนิ ใจและแกป๎ ญั หา 4. เป็นวิธีสอนทชี่ ํวยให๎การเรียนการสอนมคี วามใกล๎เคียงกบั สภาพความเปน็ จรงิ 5. เป็นวิธีสอนท่ีเปิดโอกาสให๎ผู๎เรียนมีสํวนรํวมในการเรียนมาก ผู๎เรียนได๎เรียนร๎ูอยําง สนุกสนาน และการเรยี นร๎มู ีความหมายสาํ หรบั ผ๎ูเรยี น เพราะขอ๎ มลู มาจากผเู๎ รยี นโดยตรง ข๎อจํากดั 1. เปน็ วิธีสอนท่ใี ช๎เวลามากพอสมควร 2. เป็นวิธีสอนที่ต๎องอาศัยการเตรียมการและการจัดการอยํางรัดกุม หากจัดการไมํพอดี อาจเกดิ ความยงํุ ยากสบั สนข้ึนได๎ 3. เป็นวิธีสอนที่ต๎องอาศัยความไวในการรับรู๎ (sensitivity) ของผู๎สอน หากผ๎ูสอนขาด คุณสมบัตินี้ไมํรับร๎ูปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับผู๎เรียนบางคน และไมํได๎แก๎ปัญหาแตํต๎น อาจเกิดเป็นปัญหา ตอํ เนอ่ื งไปได๎ 4. เป็นการสอนท่ีต๎องอาศัยความสามารถของครูในการแก๎ปัญหา เนื่องจากการแสดงของ ผ๎เู รยี นอาจไมํเป็นไปตามความคาดหมายของผ๎ูสอน ผ๎ูสอนจะต๎องสามารถแก๎ปัญหาหรือปรับสถานการณ์ และประเด็นใหผ๎ ู๎เรยี นเกิดการเรียนรู๎ได๎ นอกจากนี้ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 :67) ยังได๎กลําวถึงข๎อดีของการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ ไว๎ คือ ข๎อดี 1. สงํ เสรมิ บทเรยี นใหส๎ นุกสนานเพลิดเพลนิ 2. ทําใหเ๎ ขา๎ ใจเรอ่ื งราวรายละเอยี ดในเน้อื เรื่องไดด๎ ี 3. ชํวยสํงเสรมิ พฒั นาการทางอารมณ์ สงั คม มคี วามรับผดิ ชอบรวํ มกนั 215

สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 111) กลําวไว๎เฉพาะข๎อจํากัดของการสอน โดยใช๎บทบาทสมมติวําการแสดงบทบาทบางคร้ังใช๎เวลามาก และครูต๎องมีภาระเพ่ิมขึ้น บางครั้งต๎องมี การฝกึ ซ๎อมเรียนแสดง ผ๎เู รียนยํอมเข๎าใจความต๎องการ อารมณ์ ความรู๎สึก ผลประโยชน์ตลอดจนความ ขัดแยง๎ ของกลุมํ บคุ คลที่เขาสวมบทบาทนั้น ๆ อยูํ ปัญหาทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ปัจจุบัน เหตุการณ์บางอยํางที่เกิดข้ึนในอดีตหรือใน ปัจจุบันก็ตาม ซ่ึงถือได๎วําเป็นเหตุการณ์สําคัญ ๆ ถ๎าผู๎เรียนได๎รับการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ แล๎วผ๎ูเรียนจะเข๎าใจวําผู๎วางนโยบาย นักการเมือง ข๎าราชการ ตลอดจนบุคคลท่ีเก่ียวข๎อง คิดอยํางไร ตัดสินใจอยํางไรตอํ เหตุการณ์นัน้ นอกจากเหตุการณ์หรือปัญหาที่ยกมากลําวบ๎างแล๎ว ยังมีเหตุการณ์หรือปัญหาอีกมากที่ นําสนใจแตํทัง้ นผี้ ส๎ู อนตอ๎ งประเมินวําเหตกุ ารณน์ น้ั ๆ จะสํงเสรมิ หรือพัฒนาเจตคติของผู๎เรียนได๎มากน๎อย เพียงใด บทบาทของผ้สู อนในการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 111) กลําวถึงบทบาทของผ๎ูสอนไว๎วํา ความสําเร็จของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติประการหน่ึงขึ้นอยูํกับผู๎สอน ในฐานะท่ีผู๎สอนเป็น ผู๎จัดการ ในการวางแผนการเรียนการสอน บทบาทและหน๎าท่ีของผ๎ูสอนในการทําให๎การสอนโดยการ แสดงบทบาทสมมตมิ ปี ระสิทธิภาพ คอื 1. กาํ หนดเหตกุ ารณ์หรอื ปัญหา ซึง่ โดยทั่วไปเป็นหน๎าท่ีของผู๎สอน เมื่อกําหนดปัญหาแล๎วจะ นาํ ไปเสนอแกผํ เ๎ู รยี นรวมทง้ั เลือกตัวผแ๎ู สดงด๎วย สําหรับกรณีน้เี ป็นการแสดงบทบาทสมมตทิ ตี่ อ๎ งเตรียมตัว มากํอน 2. เป็นผ๎สู รุปบทเรียน ภายหลังจากการอภิปรายสิ้นสดุ ลง 3. เป็นผค๎ู อยชํวยเหลือในระหวํางปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการเรียนการสอน 4. ผู๎สอนจะต๎องยอมรับพฤติกรรมหรือบทบาทท่ีผ๎ูเรียนแสดงออกไมํมีการประเมินกิริยาหรือ บทบาทตํางๆ ซงึ่ ถอื เป็นเสรภี าพของผ๎ูแสดง 5. ชํวยผ๎ูเรียนหาข๎อสรปุ และเลือกทางออก 6. ชวํ ยสํงเสรมิ และให๎กําลงั ใจแกผํ ๎ูเรยี นในการหาทางออกหรือการแสดงบทบาทสมมติ 7. ชํวยช้ปี ระเดน็ ทีส่ าํ คัญ ๆ ในการเรียน 8. เสนอแนวทางการนําความสัมพันธ์ระหวํางเรื่องที่เรียนไปแล๎วกับเหตุการณ์ที่เกิดจริงใน สงั คม การเรียนการสอนวิชาตําง ๆ วิชาที่เหมาะสมสําหรับการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ได๎แกํ วิชาสังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือวิชาท่ีต๎องการพัฒนาเจตคติให๎แกํผู๎เรียน แตํอาจ เลอื กสอนเพยี งบางบทเรยี นทีเ่ หมาะสมกับการใช๎วธิ ีการนี้ 216

ประโยชนข์ องการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 261-262) อธิบายถึงประโยชน์ของการใช๎บทบาทสมมติในการ เรียนการสอนวําบทบาทสมมตินับวําเป็นเครื่องมือและวิธีการอยํางหน่ึงท่ีชํวยในการสอนได๎มาก โดยเฉพาะในด๎านการสอนสังคมศึกษา และการอบรมระเบียบวินัย คุณธรรม ครูสามารถนําบทบาท สมมตไิ ปชวํ ยให๎ผ๎ูเรียนเกดิ การเรยี นร๎ใู นดา๎ นตําง ๆ หลายดา๎ น ดงั น้ี 1. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เข๎าใจวําพฤติกรรมมีสาเหตุ การท่ีให๎ผ๎ูเรียนได๎แสดงบทบาทตําง ๆ ท่ีถูก จํากัดอยํใู นสภาพการณ์ตาํ ง ๆ จะทําให๎ผู๎เรียนเข๎าใจถึงสาเหตุตําง ๆ ที่ผลักดันให๎ต๎องแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกไป ความเข๎าใจนี้จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนไมํดํวนตัดสินใจอะไรงําย ๆ กํอนท่ีจะพิจารณาถึงสาเหตุ นอกจากนั้นยงั จะชวํ ยให๎ผ๎เู รียนได๎แนวทางในการแก๎ปัญหาใหต๎ รงจุดอกี ด๎วย 2. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎และเข๎าใจความร๎ูสึกของผ๎ูอื่น การที่ให๎ผู๎เรียนได๎สวมบทบาทของ ผู๎อ่ืนจะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎มีประสบการณ์วํา ผู๎อื่นมีความคิดและความรู๎สึกอยํางไรความเข๎าใจน้ีจะชํวยให๎ ผู๎เรียนร๎จู กั เอาใจเขามาใสํใจเรา 3. ชํวยลดความร๎ูสึกตึงเครียดของผ๎ูเรียน ในบางครั้งผ๎ูเรียนอาจจะมีความรู๎สึกรุนแรงในใจ หลายประการท่ีไมํสามารถแสดงออกมาได๎ ครูอาจใช๎บทบาทสมมติเป็นเคร่ืองมือในการชํวยให๎ผู๎เรียนได๎ ระบายความรสู๎ กึ นน้ั ๆ ออกมาเปน็ การชํวยผอํ นคลายความตึงเครยี ดของผเ๎ู รียนลงได๎บา๎ ง 4. ชํวยให๎ครูได๎เรียนร๎ูถึงความต๎องการของผู๎เรียน ในกรณีที่ผ๎ูเรียนไมํสามารถจะบอกความ ต๎องการของตนออกมาได๎ ครูอาจจัดบทบาทสมมติให๎ผู๎เรียนได๎แสดง ซ่ึงผ๎ูเรียนอาจจะเปิดเผยความ ต๎องการของตนออกมาโดยไมํรต๎ู ัว 5. ชํวยสํงเสริมให๎ผู๎เรียนได๎พัฒนาความรู๎สึกเก่ียวกับตนเองในทางที่ดี การให๎ผ๎ูเรียนได๎มี โอกาสสํารวจตนเองและเรียนร๎ูเก่ียวกับผ๎ูอื่น โดยใช๎บทบาทสมมติเป็นเคร่ืองมือจะชํวยให๎ผู๎เรียนมีความ เข๎าใจตนเองมากข้ึน และพัฒนาความรู๎สึกท่ีดีกับตนเอง สิ่งนี้นับวําเป็นพ้ืนฐานของความเจริญงอกงาม ทางจิตใจอนั จะชวํ ยใหบ๎ คุ คลนน้ั ดาํ รงชพี อยูอํ ยาํ งปกติสุข และสามารถทํางานอยาํ งมีประสิทธิภาพ 6. ชํวยสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนได๎มีโอกาสสํารวจคํานิยมของตน และหาหลักยึดเหน่ียวใน การดํารงชีวิตของตน ในขณะที่ผ๎ูเรียนแสดงบทบาทสมมติอยํูนั้น ผู๎เรียนจะมีพฤติกรรมการตัดสินใจที่ แสดงใหเ๎ หน็ ถึงคาํ นยิ มของตน การที่มีโอกาสได๎แสดง อภิปราย และวิเคราะห์ถึงคํานิยมเหลํานั้นจะชํวย ให๎ผ๎ูเรยี นมีความเข๎าใจในตนเองมากขึน้ 7. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาความสามัคคีในกลํุมให๎ดีขึ้นในการทํางานรํวมกัน สมาชิกในกลุํม มกั จะมีปัญหาขัดแยง๎ กันอยบํู า๎ ง ความขัดแย๎งนท้ี าํ ให๎เกดิ ความไมํเขา๎ ใจกนั และเกิดความแตกแยกกันในหมูํ คณะ วิธีการบทบาทสมมตินี้สามารถนํามาใช๎ทําให๎คนในกลํุมเกิดความเข๎าใจกันและมีความสามัคคี ปรองดองกัน 217

8. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎เก่ียวกับการปฏิบัติตนในสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังน้ันการ เรียนรู๎ที่จะปฏิบัติตนให๎เหมาะสมในสังคมจึงเป็นสิ่งจําเป็น บทบาทสมมติจะชํวยให๎การเรียนร๎ูน้ีเป็นจริง และสนุกสนานย่งิ ข้นึ 9. ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎ฝึกการแก๎ปัญหาและการตัดสินใจ บทบาทสมมติแทบทุกบทบาทมักจะมี สถานการณท์ ม่ี คี วามขดั แย๎งแฝงอยํู ผแ๎ู สดงจะต๎องใช๎วิจารณญาณและไหวพริบในการแก๎ปัญหา จึงนับวํา วธิ กี ารน้ีชํวยฝึกเร่ืองการแกป๎ ัญหาและการตัดสินใจได๎อยาํ งดี การนาการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตไิ ปใช้ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 110) กลําวถึงการนําการสอนโดยการ แสดงบทบาทสมมติไปใช๎อยาํ งมีประสทิ ธภิ าพจะต๎องคํานึงถงึ สิ่งตอํ ไปน้ี 1. วัตถปุ ระสงค์ การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติจะมีประสิทธิภาพและได๎ผลดีตํอผ๎ูเรียน ถ๎าผู๎สอนต๎องการให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาในด๎านเจตคติ เชํน เป็นบุคคลท่ีมีความเห็นใจผ๎ูอื่น มีความเมตา กรุณา ฯลฯ บทเรียนท่ีเหมาะสมกับการสอนดังกลําวจะเป็นบทเรียนท่ีเก่ียวกับปัญหาสังคม พฤติกรรม ของมนษุ ยใ์ นสังคม ฯลฯ ดังน้ัน การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ และเนื้อหาท่ีจะสอนในตอนแรกของผ๎ูสอน จึงเป็นส่ิงจําเป็น เพราะถ๎าวัตถุประสงค์และเน้ือหาเอื้อตํอธรรมชาติของการสอนโดยการแสดงบทบาท สมมติแล๎ว การเรียนการสอนในบทเรยี นจะมีความหมายตํอผ๎เู รยี นมาก 2. การเลือกเหตุการณ์หรือปัญหา ความสําเร็จของวิธีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ขึ้นอยํูกับการเลือกเหตุการณ์หรือปัญหาที่จะนํามาศึกษา การเลือกเหตุการณ์หรือปัญหาน้ันขึ้นอยํูกับ ปจั จัยหลายประการ เป็นตน๎ วํา - อายุของผ๎ูเรียน ผู๎เรียนอายุตําง ๆ กันยํอมมีระดับความเข๎าใจและวิธีการแสดง บทบาทตาํ ง ๆ กันดว๎ ย เชํน กลุํมผู๎เรียน อายุ 8 – 10 ปี ยํอมมีความเข๎าใจไมํมากนักในบทบาทหรือ พฤตกิ รรมของบคุ คลประเภททเ่ี ขาไมมํ ีประสบการณ์มากํอน - วฒั นธรรมและความเคยชิน เหตุการณ์ท่ีเลือกมาศึกษาควรเป็นเหตุการณ์ที่ผ๎ูเรียนจะ เข๎าใจดีและมีความคุ๎นเคย เชํน เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในเมืองหลวง หรือพฤติกรรมของกลุํมคนในเมือง หลวงยํอมเปน็ ทเี่ ข๎าใจยากของผู๎เรียนทอ่ี ยูใํ นชนบท ความเหมาะสมขอ๎ น้อี ยํทู ี่วิจารณญาณของผู๎สอน - ความยากงํายของเหตุการณ์ ทั้งน้ีพิจารณาความเหมาะสมของวัยและประสบการณ์ ของผเู๎ รยี น - คุณคําเชิงเจตคติ เหตุการณ์ที่เลือกมาศึกษาน้ันต๎องเป็นเหตุการณ์ท่ีให๎ข๎อคิดหรือ พัฒนาเจตคติของผู๎เรียนมากพอสมควร ถ๎าเหตุการณ์ท่ีเสนอไปอยํางไมํมีคุณคําในด๎านเจตคติเลย การ เรยี นการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตยิ ํอมไมํมปี ระโยชนต์ ํอผ๎ูเรียน 218

- ประสบการณ์ของผ๎เู รียนเกีย่ วกับวธิ ีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ถ๎าเป็นกลํุม ผู๎เรียนท่ีไมํเคยได๎รับการสอนแบบนี้มากํอน กค็ วรเลอื กเหตกุ ารณ์ท่ีไมํซับซ๎อนหรือเข๎าใจยากมาศึกษากํอน เม่อื มีประสบการณ์มากข้นึ เหตกุ ารณท์ น่ี าํ มาเสนออาจเพิม่ ความยากหรือท๎าทายใหค๎ ิดมากกวาํ เดิมได๎ ปัจจัยดังกลําวจะเป็นแนวทางในการเลือกเหตุการณ์หรือปัญหาที่นํามาศึกษาได๎อยําง เหมาะสม สําหรบั เหตกุ ารณ์ท่ีนาํ มาศกึ ษานั้น ดังได๎กลําวในตอนต๎นแล๎ววําเป็นเหตุการณ์ที่เก่ียวข๎องกับ ปัญหาสังคม พฤติกรรมของบุคคลในสังคม นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์หรือปัญหาที่เก่ียวข๎องกับข๎อ ตอํ ไปนที้ คี่ วรนาํ มาพิจารณาเพื่อจะสอนโดยการแสดงบทบาทสมมตอิ ีกด๎วย กลาํ วคอื 1. ความขัดแย๎งระหวํางบุคคล การแสดงบทบาทสมมติจะชํวยให๎ผู๎เรียนเรียนรู๎เก่ียวกับความ ขัดแย๎งท่ีเกิดข้ึนระหวํางบุคคล เข๎าใจถึงพฤติกรรมของบุคคลน้ัน เข๎าใจถึงผลประโยชน์ที่บุคคลพิทักษ์ และหวงแหนจนเกิดความขัดแย๎งข้ึน และยังได๎เรียนรู๎เก่ียวกับเทคนิคของการขจัดความขัดแย๎งนั้น ๆ ด๎วย 2. ความสัมพันธ์ระหวํางกลํุม เชํน ความสัมพันธ์ระหวํางชนกลํุมน๎อยกับชนกลํุมใหญํ กลํุม ชาติพนั ธนุ์ านา ทปี่ รากฏในประเทศ ความสมั พันธ์ของกลุํมชนอาจมีทั้งทางบวกและทางลบ การสอนให๎ ผู๎เรียนเข๎าใจพฤติกรรมของกลุํมตําง ๆ ในสังคมโดยวิธีการแสดงบทบาทสมมติจะเป็นวิธีการสอนที่ เหมาะสมทสี่ ดุ อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 164-165) กลําวถึงการนําวิธีสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติไปใช๎ ผูส๎ อนควรคาํ นึงถึงข๎อตอํ ไปนี้ 1. จุดประสงค์การสอนเป็นการสอนท่ีมุํงพัฒนาผู๎เรียนในด๎านเจตคติ เชํน การเห็นใจผ๎ูอื่น การมีความเมตตากรุณา ฯลฯ บทเรียนท่ีเหมาะสมเป็นบทเรียนท่ีเก่ียวกับพัฒนาสังคม พฤติกรรมของ มนุษย์ในสังคม ดังน้ัน ผู๎สอนจึงต๎องวิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหา ถ๎าเข๎าเกณฑ์นี้ การสอนโดยให๎ แสดงบทบาทสมมตจิ ะมคี วามหมายตอํ ผูเ๎ รยี นมาก 2. ผ๎ูสอน ผ๎ูสอนต๎องทําความเข๎าใจให๎กระจํางกับขั้นตอนการสอน เพ่ือให๎การสอนมีคุณคํา ตํอผเ๎ู รียน เชํน การเลือกปญั หาหรอื เหตุการณ์มาศกึ ษา การเตรียมสถานการณ์ การเขียนบทบาทสมมติ และการวิเคราะหอ์ ภปิ ราย ถา๎ ผสู๎ อนขาดความเขา๎ ใจท่ีถูกต๎อง การสอนจะไมบํ รรลผุ ลดังประสงค์ 3. เวลา การสอนแบบนี้ต๎องใช๎เวลามาก ผู๎สอนต๎องวางแผนโดยอาจให๎ผู๎เรียนศึกษาเนื้อหา มากํอนจากบา๎ น จะชํวยลดเวลาไดบ๎ ๎าง 4. วิชา วิชาท่ีเหมาะสมกับการสอนแบบน้ี ได๎แกํ กลํุมสร๎างเสริมลักษณะนิสัยในระดับ ประถมศึกษา วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา หรือวิชาท่ีต๎องการพัฒนาเจตคติให๎แกํผ๎ูเรียน โดยผูส๎ อนอาจเลือกเพียงบางบทเรียนท่เี หมาะสมกับการใชว๎ ิธีการนี้ 5. วธิ สี อนแบบน้ีใชไ๎ ด๎กับผูเ๎ รียนทกุ ระดับช้นั 219

กลําวโดยสรุปไดว๎ าํ วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ หมายถงึ การสอนท่ีผู๎สอนสร๎าง สถานการณ์และบทบาทสมมติข้ึนมาที่ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง โดยให๎ผู๎เรียนเป็นผู๎แสดงบทบาทสมมติ นั้นๆ ตามวัตถุประสงค์ที่ผ๎ูสอนได๎กําหนดไว๎ เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎แสดงออกทางด๎านความรู๎ ความคิด ท่ีคิดวํา ตนควรจะแสดงออก ซ่ึงการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ มีจุดมํุงหมายที่สําคัญ คือ มํุงฝึกการ ทํางานรํวมกัน กล๎าคิด กล๎าแสดงออกในการแก๎ปัญหา การตัดสินใจ ทําให๎ผู๎เรียนเกิดความเข๎าใจในเนื้อ มากยิ่งข้นึ ลดความตงึ เครียด เพราะเป็นการสอนทใี่ กล๎เคยี งกบั สภาพความเป็นจริงมากทีส่ ดุ ลักษณะสําคัญของการสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติจะเป็นการสอนแบบที่ กําหนดให๎ผู๎เรียนแสดงบทบาทตามที่สมมติข้ึนเทียบเคียงกับสภาพท่ีเป็นจริง ตามลักษณะท่ีผ๎ูแสดง บทบาทเข๎าใจ เพ่ือให๎ผู๎ดูเกิดความรู๎ ความเข๎าใจในสิ่งท่ีเกิดขึ้น หลักสําคัญของการสอนแบบนี้ คือ ผู๎สอนจะสร๎างปัญหาเพื่อใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎คดิ และให๎ผ๎เู รียนแก๎ปัญหาน้ัน ๆ ให๎ได๎ด๎วยตัวเอง ด๎วยการแสดงท่ี ทาํ ให๎ผูด๎ ูเหน็ จริง และเม่ือยุติการแสดงแล๎วก็จะมีการอภิปรายโดยผู๎สอนและผ๎ูเรียนวํา การแก๎ปัญหาน้ัน เหมาะสมหรือไมํ ถ๎ายงั ไมดํ ีไมํเหมาะสม กอ็ าจหาผู๎แสดงชดุ ใหมํเพอื่ หาวิธีใหมํ และให๎ได๎คําตอบที่ถูกต๎อง และชัดเจนยิ่งข้นึ โดยบทบาทสมมติท่ผี เ๎ู รียนต๎องแสดงออกน้ันมี 2 ลักษณะ คือ การแสดงบทบาทสมมติ แบบละคร เป็นการแสดงบทบาทตามเรื่องราวที่มีอยูํแล๎ว ผ๎ูแสดงจะทราบเร่ืองราวท้ังหมด และการแสดง บทบาทสมมติแบบแก๎ปัญหา เปน็ การแสดงบทบาทสมมติทีผ่ เ๎ู รียนได๎รบั ทราบสถานการณ์หรือเรื่องราวแตํ เพยี งเล็กนอ๎ ยเทําทีจ่ ําเป็น การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติแบํงประเภทออกเป็นหลายลักษณะ นักวิชาการ บางทํานกลําววําแบํงจากความพร๎อม บางทํานกลําววําบํางตามบทบาทการแสดง ซึ่งพอจะสรุปได๎เป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ผู๎แสดงเป็นจะต๎องเป็นผู๎แสดงบทบาทตามท่ีถูกกําหนดไว๎ โดยไมํเกี่ยวข๎องกับ ความรูส๎ กึ สํวนตวั 2. ผูแ๎ สดงจะตอ๎ งแสดงบทบาทตามแบบแผนพฤตกิ รรมของตนเอง 3. การแสดงบทบาททีผ่ ู๎แสดงจะต๎องเตรียมตวั กอํ นการแสดงละคร 4. การแสดงบทบาททีผ่ ู๎แสดงตอ๎ งแสดงบทบาทโดยทนั ที ไมมํ กี ารเตรยี มตัวลํวงหน๎า องค์ประกอบสําคัญของวิธีสอนแบบบทบาทสมมติ จะประกอบไปด๎วย ผ๎ูสอนและผู๎เรียน สถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ การแสดงบทบาทสมติ มีการอภิปรายเกี่ยวกับความรู๎ ความคิด ความร๎สู ึก และพฤติกรรมท่ีแสดงออกของ ผ๎ูแสดง และสรุปการเรียนร๎ูที่ได๎รับ และมีผลการเรียนรู๎ของ ผูเ๎ รียน โดยขั้นตอนของการเรยี นการสอนประกอบไปดว๎ ย 5 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1. ขัน้ เตรียม ผสู๎ อนเตรียมจุดประสงคแ์ ละสถานการณ์ในการแสดงบทบาทสมมติ 220

2. ขน้ั ดําเนินการสอน โดยผสู๎ อนจะตอ๎ งนําเขา๎ สํูบทเรียนโดยการกระต๎ุนผู๎เรียนเกิดความ สนใจ ตํอจากน้ันต๎องเลือกผ๎ูแสดงบทบาท เตรียมผ๎ูสังเกตการณ์การแสดงบทบาทสมมติ แล๎วเตรียมความ พรอ๎ มในการจัดฉากและเตรียมการแสดงให๎พร๎อม 3. ขน้ั วิเคราะห์และการอภิปรายผล ผ๎ูเรยี นรวบรวมขอ๎ มูลแลว๎ นาํ ข๎อมูลทไี่ ด๎ไปวเิ คราะห์ และอภปิ รายผล เพ่อื ใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ การเรยี นร๎ูทม่ี ีความหมาย 4. ขนั้ แสดงเพมิ่ เตมิ หลังการอภิปรายสรุปผลการแสดงบทบาทสมมติแลว๎ หากมี ข๎อบกพรํองหรือความไมเํ ขา๎ ใจในเร่ืองของการแสดงบทบาทสมมติ ผสู๎ อนอาจมกี ารแสดงเพม่ิ เติมได๎ 5. ขัน้ แลกเปลย่ี นประสบการณแ์ ละสรปุ ผล หลังจากอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงแลว๎ ครู ควรกระต๎ุนให๎ผูเ๎ รียนไดแ๎ ลกเปล่ยี นประสบการณท์ ม่ี ีสวํ นสมั พนั ธห์ รอื เกี่ยวขอ๎ งกบั เรอ่ื งท่ีไดศ๎ ึกษา แกํกัน และกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์นี้จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎แนวความคิดกว๎างขวางข้ึน และสํงเสริมให๎ ผู๎เรียนเห็นวําสิ่งท่ีเรียนน้ันเกี่ยวข๎องกับความจริง จะทําให๎ผู๎เรียนสามารถท่ีจะหาข๎อสรุป หรือได๎ แนวความคิดรวบยอดทต่ี นสามารถเขา๎ ใจไดอ๎ ยํางดี จงึ เห็นได๎วาํ การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมตนิ ี้ ผสู๎ อนจะตอ๎ งมีบทบาทในการ เตรียมความพร๎อมพอสมควร ต้ังแตํการกําหนดปัญหา เตรียมความพร๎อมด๎านผู๎แสดง ผ๎ูสังเกตการณ์ ต๎อง คอยชํวยเหลอื ผูเ๎ รยี นในขณะปฏบิ ตั ิ ยอมรบั พฤติกรรมทเี่ กดิ ขึ้นของผู๎เรียน และชํวยสรุปบทเรียนและเลือก ทางออกเพ่ือเสรมิ กําลงั ใจในการเรียน การสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมตจิ ึงมที ้ังข๎อดีและข๎อจํากัด ซ่ึง ในสํวนของข๎อดี คือ สํงเสริมให๎บทเรียนมีความนําสนใจ สะท๎อนให๎เห็นถึงความรู๎สึกอารมณ์ และเจตคติ ของผู๎เรียน ชํวยฝึกฝนการแก๎ปัญหาและการตัดสินใจ ทําให๎เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในการเรียน และผ๎ูเรียนยังได๎เข๎าใจรายละเอียดเนื้อเร่ืองได๎ดีย่ิงขึ้น สํวนของข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การแสดง บทบาทสมมติ คือ เป็นวิธีการสอนที่ใช๎เวลามากพอสมควร ตั้งแตํการเตรียมการสอน การใช๎เวลาแสดง บทบาทสมมติ และการวิเคราะห์สรุปอภิปรายผล ซ่ึงจะทําให๎มีปัญหาในการควบคุมช้ันเรียน อาจจะเกิด การสับสนวํุนวาย และผู๎สอนมีภาระเพมิ่ ขน้ึ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจดุ มํุงหมายของ “วิธีสอนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมติ” ตามความคดิ เห็นของทาํ น 2. วิธสี อนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมตมิ ีกปี่ ระเภท อะไรบ๎าง 3. องค์ประกอบสําคญั ของวธิ ีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสมมติ จาํ เป็นตอ๎ งมีอะไรบ๎าง 4. ขั้นตอนของวธิ สี อนโดยใชก๎ ารแสดงบทบาทสมมตมิ ีกข่ี น้ั ตอน อะไรบา๎ ง 5. ทาํ นคดิ วํา วิธีสอนโดยใช๎การแสดงบทบาทสม มติ มีข๎อดีและข๎อจาํ กดั อะไรบา๎ ง จงอธบิ าย 221

5.7 การไปทัศนศึกษา การจดั การเรียนรู๎โดยการไปทศั นศึกษา เปน็ กระบวนการเรยี นรู๎ท่นี ําผ๎ูเรียนออกไปศึกษา เรียนรู๎ ณ สถานท่ีท่ีเป็นแหลํงความรู๎ในเรื่องน้ัน ( ซึ่งอยูํนอกสถานที่เรียนกันอยํูโดยปกติ )โดยมีการศึกษา เรยี นรูส๎ ิง่ ตาํ ง ๆ ในสถานที่นนั้ ตามกระบวนการหรือวิธีการท่ีผู๎สอนและผ๎ูเรียนได๎รํวมกันวางแผนไว๎ และมี การอภปิ รายสรุปผลการเรียนร๎ูจากขอ๎ มูลทไ่ี ดจ๎ ากการศกึ ษาเรยี นรู๎ องคป์ ระกอบสําคญั (ทีข่ าดไมํได๎) ของวิธสี อน 1 มีการวางแผนรํวมกนั ระหวํางผส๎ู อนและผู๎เรียนในเรื่องวัตถปุ ระสงค์ สถานที่ การเดินทาง เรื่องท่ีจะศึกษา วิธีศึกษา คาํ ใช๎จาํ ย กาํ หนดการเดนิ ทางและหน๎าทีค่ วามรบั ผิดชอบ 2 มีการเดินทางออกไปยงั สถานทเ่ี ปาู หมายซงึ่ อยํูนอกโรงเรียน หรือนอกสถานท่ีทเี่ รียนกนั อยํู เปน็ ปกติ 3 มีกระบวนการในการศึกษาสิ่งทต่ี ๎องการเรียนร๎ใู นสถานทนี่ ้นั 4 มสี รปุ ผลการเรียนร๎ทู ผี่ เู๎ รียนได๎รบั จากการไปทัศนศึกษา ขน้ั ตอนสาคญั ( ทขี่ าดไม่ได้ ) ของการสอน 1 ผสู๎ อนและผูเ๎ รียนวางแผนรวํ มกันในเรอื่ งวัตถปุ ระสงค์ สถานทที่ ี่จะไป การเดินทาง สง่ิ ทจ่ี ะ ไปศึกษา วธิ ศี ึกษา คาํ ใชจ๎ าํ ย กาํ หนดการเดินทาง และหน๎าทคี่ วามรบั ผดิ ชอบ 2 ผส๎ู อนและผเู๎ รียนเดนิ ทางไปยังสถานท่ีเปูาหมาย 3 ผ๎ูเรยี นศึกษาส่งิ ตาํ ง ๆ ในสถานทีน่ ัน้ ตามกระบวนการหรือวิธกี ารศกึ ษาท่ีไดว๎ างแผนไว๎ 4 ผส๎ู อนและผู๎เรียนเดินทางกลบั และสรปุ ผลการเรยี นรู๎ หรอื ผ๎ูสอนและผเ๎ู รียนสรปุ ผลการ เรยี นร๎ู และเดนิ ทางกลับ ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ การจัดการเรียนรโู๎ ดยการไปทัศนศึกษามีขน้ั ตอนดังนี้ 1. ขั้นวางแผน เป็นขน้ั ตอนทีผ่ ๎สู อนและผเ๎ู รียนรวํ มกันเตรียมการกํอนท่จี ะไปทศั นศึกษา ซึง่ ควร ประกอบดว๎ ยเรอื่ งตอํ ไปนี้ 1.1 กําหนดวตั ถุประสงค์ของการไปศึกษา 1.2 กําหนดหัวข๎อเร่อื งที่จะศึกษา 1.3 กําหนดสถานทีท่ จี่ ะไปทศั นศึกษา 2. ขน้ั การเดินทางไปทัศนศึกษา เป็นการเดินทางไปทัศนศึกษาตามโปรแกรมที่กําหนดไว๎ ซึ่งผู๎สอนควรดูแลเอาใจใสํใน เรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤตกิ รรมของผ๎ูเรียนและใหค๎ ําปรกึ ษาแนะนําตามความเหมาะสม 3. ข้นั การศึกษาเรียนรูใ๎ นสถานที่หรอื แหลงํ เรียนร๎ู 222

เมือ่ เดนิ ทางไปถึงยังสถานที่เปูาหมายแล๎ว ผ๎ูสอนควรจัดประชุมผู๎เรียนท้ังหมดกํอนท่ีจะ ปลอํ ยใหผ๎ ๎ูเรยี นไปศกึ ษาเรียนรูต๎ ามท่ีได๎รับมอบหมาย โดยมีการย้ําหรือทบทวนเกี่ยวกับเรื่องวัตถุประสงค์ ของการศึกษา การเคารพตํอกฎเกณฑ์ กติกาของสถานท่ี ความปลอดภัย วิธีการศึกษา การนัดหมาย และการตรงตอํ เวลา เปน็ ต๎น 4.ขนั้ การเดินทางกลบั เป็นการเดินทางกลับหลังจากท่ีได๎ศึกษาเรียนร๎ูตามโปรแกรมที่กําหนดไว๎ ซึ่งผู๎สอนควร จะดูแลเอาใจใสํในเรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤติกรรมผ๎ูเรียนและให๎คําปรึกษาหารือแนะนําตามความ เหมาะสม 5. ขั้นสรปุ ผลการเรียนร๎ู 1.สรปุ ผลการเรียนรูท๎ ันที ในกรณที สี่ ามารถจัดสรรเวลาได๎ ไมคํ วรเรงํ รีบ เดนิ ทางกลบั ควรใหโ๎ อกาสผเ๎ู รียนสรุปผลการเรียนรทู๎ ันที 2. สรปุ การเรียนร๎ูหลงั จากกลับถงึ สถานศึกษาผู๎สอนและผ๎เู รียนมักจะไมมํ ีเวลา สรุปทันที ดงั นั้น เมื่อเดนิ ทางกลับถึงสถานศกึ ษาแลว๎ ควรรบี หาโอกาสให๎ผู๎เรียนสรุปผล การเรียนรู๎โดยเรว็ 6. ขน้ั ประเมนิ ผล เป็นข้ันที่ผู๎สอนและผ๎ูเรียนรํวมกันประเมินผล เพื่อให๎ทราบวําการไปทัศนศึกษาคร้ังน้ีมี ผลเป็นอยํางไร เชํน บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไมํ ปัญหาและอุปสรรคมีอะไรบ๎าง ตลอดจน ขอ๎ เสนอแนะอื่น ๆ ซ่งึ อาจประเมนิ ไดจ๎ ากการสอบถาม การสงั เกต หรอื ข๎อเสนอแนะตาํ งๆ เป็นต๎น เอกสารอ๎างอิง : https://goo.gl/uXQVnD 5.8 Research Based Learning Research-Based Learning (RBL) การจดั การศกึ ษาแบบ Research-Based Learning (RBL) หมายถงึ การเรยี นรเู๎ ปน็ การ จัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกิดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ กระบวนการเรียนรู๎ประกอบด๎วย การกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนร๎ู การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนร๎ู การวัดและประเมินผลการ เรียนรู๎ ตามรูป เปน็ เทคนคิ ทม่ี งุํ ให๎ผู๎เรยี น เกิดการเรยี นรแ๎ู ละประสบผลสําเร็จในเน้ือหา และผ๎ูรู๎สารนเทศ ด๎วยการพฒั นาทักษะการเรียนรด๎ู ๎วยตนเองอยาํ งอิสระผเ๎ู รียนเรียนร๎ูโดยอิสระจากการแสวงหาแหลํงเรียนรู๎ ผ๎ูสอนเป็นเพียงผู๎สํงเสริมและกระตุ๎นเป็นแหลํงสารสนเทศใดๆ ท่ีมีอยํูทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ผลลัพธ์ของการใช๎ RBL ผู๎เรียนมีความรู๎ความเข๎าใจในเนื้อหาที่ได๎จากแหลํงเรียนร๎ูที่หลากหลาย ผ๎ูเรียนมี ทกั ษะการรส๎ู ารสนเทศ ซึ่งเปน็ ฐาน สําหรบั การเรยี นรดู๎ ว๎ ยตนเองตลอดชวี ิต 223

ลักษณะสาคัญของรูปแบบ Research –based Learning ลกั ษณะสําคญั ของรูปแบบมี 4 ลักษณะดังตํอไปน้ี หลักการท่ี 1 แนวคิดพน้ื ฐาน เปลย่ี นแนวคิดจาก’เรียนร๎โู ดยการฟงั /ตอบให๎ถกู ’ เป็น ‘การถาม/หาคาํ ตอบเอง’ หลกั การที่ 2 เปูาหมาย เปลี่ยนเปาู หมายจาก’การเรยี นรโ๎ู ดยการจํา/ทาํ /ใช๎’ เปน็ การ คดิ /คน๎ /แสวงหา’ หลกั การที่ 3 วธิ สี อน เปล่ียนวธิ สี อนจาก’ การเรยี นรโ๎ู ดยการบรรยาย’ เป็น ‘การให๎ คําปรกึ ษา’ หลกั การท่ี 4 บทบาทผู๎สอน เปลี่ยนบทบาทผสู๎ อนจาก’ การเป็นผ๎ูปฏิบัติเอง’ เป็น ‘การ จัดการให๎ผูเ๎ รียนปฏิบตั ิ ดังตาราง องคป์ ระกอบของรปู แบบการเรียนรรู้ ปู แบบ Research –based Learning (RBL) สําหรับการจัดการศึกษาแบบ RBL นั้นมีรูปแบบการจัดการศกึ ษาดังนี้ ก. RBL ท่ีใช๎ผลการวจิ ัยเปน็ สาระการเรยี นการสอน ประกอบดว๎ ย (1) เรียนรู๎ผลการวิจัย/ใช๎ผลการวิจัยประกอบการสอน (2) เรยี นรูจ๎ ากการศึกษางานวจิ ยั /การสงั เคราะห์งานการวิจัย ข. RBL ท่ีใชก๎ ระบวนการวจิ ยั เป็นกระบวนการเรยี นการสอน ประกอบดว๎ ย (3) เรียนรว๎ู ชิ าวิจยั /วิธที าํ วิจัย (4) เรยี นรู๎จากการทําวจิ ัย/รายงานเชงิ วิจัย (5) เรียนรจ๎ู ากการทาํ วจิ ัย/รํวมทาํ โครงการวจิ ยั (6) เรียนร๎จู ากการทาํ วิจยั /วจิ ัยขนาดเล็ก (7) เรยี นรู๎จากการทาํ วิจัย/วิทยานพิ นธ์ ขั้นตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ การวางแผนการสอนโดยใช๎ RBL มขี ้นั ตอนที่สาํ คัญดงั นี้ 1. กาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์ทัว่ ไปของรายวชิ าทีส่ อน 2. ศกึ ษา/ทําความเขา๎ ใจ ผ๎ูเรยี นเพอ่ื ใหท๎ ราบความรู๎และทักษะที่เคยมมี ากํอน 3. กําหนดวตั ถุประสงค์เฉพาะทีต่ ๎องการใหเ๎ กดิ การเรยี นร๎โู ดยใช๎ RBL 4. กําหนดกลยทุ ธแ์ ละเทคนิคการสอน และกิจกรรมการเรยี นร๎ู 5. เลอื กแหลํงเรียนร๎ทู ่เี หมาะสม 6. กําหนดตารางเวลา-ส่ิงอาํ นวยความสะดวก-ผช๎ู วํ ยเหลอื 224

7. ดําเนนิ การตามแผนท่วี างไว๎ 8. ตรวจสอบวําผเู๎ รยี นเกดิ การเรยี นรต๎ู ามทีไ่ ด๎ ตงั้ วัตถปุ ระสงค์ไว๎ 9. ประเมินความสําเรจ็ ของผ๎เู รียนและกระบวนการเรยี นการสอน การนาไปใช้ / ตวั อย่างการจัดรูปแบบการเรียนรู้ การจัดการเรยี นรแ๎ู กํผเู๎ รยี นในสถานศึกษาเกยี่ วข๎องการทัง้ กระบวนการเรียนและการ สอน การเรียนนัน้ เป็นบทบาทของผเ๎ู รยี นสํวนการสอนเป็นบทบาทของผู๎สอน การเรียนรแู๎ บบ RBL เป็น การจัดการเรียนการสอนทน่ี ํา ‘การวิจัย’เขา๎ มาเป็นเครอ่ื งมือของการจดั การเรยี นการสอน ตัวอย่างแผนการจดั การเรียนรู้ เรื่อง การปรับตวั ของพชื สาระที่ 2 : ชวี ติ กับส่ิงแวดลอ๎ ม แผนการจัดการเรียนรู๎ท่ี 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 กลํุมสาระการเรียนรู๎ วทิ ยาศาสตร์ จาํ นวน 3 คาบ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ (ว31101) หนํวยการเรยี นร๎ูท่ี 1 เร่อื ง การปรบั ตัวของพชื มาตรฐาน ว 2.1 :เขา๎ ใจสิ่งแวดล๎อมในท๎องถนิ่ ความสมั พนั ธร์ ะหวาํ งส่ิงแวดล๎อมกับสงิ่ มีชีวิตความสัมพันธ์ ระหวํางส่ิงมีชีวิตตํางๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรแ๎ู ละจติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สารสิ่งท่ี เรียนรู๎และนําความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์ สาระหลกั สิ่งมชี วี ิตไมวํ าํ คน สัตว์ พืช ยอํ มมีการเปล่ียนแปลง พัฒนา และปรบั ตวั ไปตามสภาพแวดล๎อมที่ อยํูอาศัย สิ่งใดท่ปี รบั ตวั ไมํได๎กจ็ ะสูญพันธไุ์ ปในท่ีสุด เหมอื นสตั วห์ ลายชนดิ ท่สี ญู พันธุไ์ ปจากโลกนีแ้ ล๎ว การ เปล่ยี นแปลงของสภาพแวดล๎อมมผี ลกระทบตํอการดาํ รงชีวติ ของส่งิ มชี วี ติ ถา๎ สง่ิ มีชวี ิตสามารถปรบั ตวั ให๎ เข๎ากับสภาพแวดลอ๎ มได๎ ก็จะมชี วี ิตอยรูํ อดได๎ ขนั้ ท่ี 1. กาหนดวตั ถุประสงคท์ ่ัวไปของรายวิชาท่ีสอน เพ่อื ใหน๎ ักเรียนเข๎าใจสง่ิ แวดล๎อม ความสมั พนั ธ์ระหวํางสงิ่ แวดล๎อมกับสิง่ มีชวี ิตความสัมพันธ์ ระหวํางสิง่ มชี ีวิตตาํ งๆ ในระบบนเิ วศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู๎ สือ่ สารส่งิ ทีเ่ รียนร๎ูและนาํ ความร๎ูไป ใช๎ในชวี ิตประจําวนั ข้ันที่ 2. ศกึ ษา/ทาความเข้าใจ ผ้เู รียนเพื่อใหท้ ราบความรู้และทักษะทเี่ คยมีมากอ่ น - นักเรียนดูภาพไดโนเสาร์ ภาพจิง้ จก ภาพกระบองเพชร สตั ว์และพืชอื่น ๆ มาเปน็ สือ่ ประกอบ การศึกษา และยกให๎นักเรยี นดู แลว๎ รวํ มอภปิ รายถึงสภาพความเปน็ อยํกู ารปรับตัว และการสญู พันธุ์ของ สตั ว์และพชื แตลํ ะชนิด ครูถามนาํ เพื่อโยงสํสู าระการเรยี นรู๎ตํอไป เชํนถามวาํ - ทาํ ไมทุกวนั นี้จงึ ไมํมีไดโนเสาร์ใหเ๎ ราเห็น 225

- สตั วท์ ี่อาศัยอยูํแถบถน่ิ ทะเลซึง่ รอ๎ นระอุ ทําไมมนั จึงมีชีวติ อยไูํ ด๎ - เหตุใดสตั วบ์ างชนิดจงึ เปลี่ยนสไี ด๎ - เหตุใดหมที ่ขี ้ัวโลกเหนือจงึ มีขนหนามาก - วนั นี้เรามาเรยี นรู๎เกี่ยวกับการปรบั ตวั ของพืชกันดีไหม ขัน้ ที่ 3. กาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะท่ตี อ้ งการใหเ้ กิดการเรยี นร้โู ดยใช้ Research –based Learning 1.สบื ค๎นข๎อมูล อภิปรายและอธบิ ายเก่ียวกับพชื ทงั้ ทม่ี ีชีวติ อยูํและทส่ี ญู พนั ธไุ์ ปแล๎ว 2. สืบคน๎ ข๎อมลู เกี่ยวกบั พชื ท่ีมสี ภาพเหมาะสมตํอสภาพแวดล๎อม ขัน้ ท่ี 4. กาหนดกลยทุ ธ์และเทคนิคการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ 1.ใหน๎ ักเรยี นแตลํ ะกลมํุ ออกไปแสวงหาความรู๎ โดยการต้ังคําถามและค๎นหาคาํ ตอบจากแหลงํ เรียนร๎ูตํางๆ 2.หลังจากแตลํ ะกลํมุ แสวงหาความรู๎มาแล๎ว รํวมระดมความคดิ เห็น และยกตวั อยํางพืชท่เี คยมี และสูญพนั ธ์ุไปแลว๎ วํามีอะไรบา๎ งโดยครูคอยให๎คาํ ปรึกษา 3.แตลํ ะกลมุํ รบั ใบงาน เร่อื ง “การปรบั ตัวของพชื ” ทําตามข้ันตอนทปี่ รากฏในใบงาน แลว๎ ตวั แทนนาํ เสนอผลงาน 4. นักเรยี นรํวมกนั เขียนในลักษณะของรายงาน เพื่อนาํ เสนอตํอหนา๎ ชัน้ 5. ตวั แทนกลํุมนําเสนอผลงาน ทง้ั รายงานและผลการทําใบงาน ขนั้ ท่ี 5. เลือกแหลง่ เรียนรทู้ เ่ี หมาะสม 1. หอ๎ งเรยี น 2. หอ๎ งสมดุ 3. มมุ วิทยาศาสตร์ 4. Internet ขั้นที่ 6. กาหนดตารางเวลา-สิง่ อานวยความสะดวก-ผูช้ ว่ ยเหลือ หัวข๎อ กจิ กรรมกาํ หนดสํง สิ่งอํานวยความสะดวก ผชู๎ ํวยเหลือ 1 สบื ค๎นข๎อมูล เก่ียวกับพืชทั้งท่ีมีชีวติ อยํู 30 นาที ห๎องเรยี น หอ๎ งสมุด มุมวทิ ยาศาสตร์ Internet ครผู ๎ูสอน 2 สบื ค๎นขอ๎ มูล เก่ยี วกับพชื ทส่ี ูญพันธุ์ไปแลว๎ 30 นาที ห๎องเรียน หอ๎ งสมุด มุมวิทยาศาสตร์ Internet ครูผูส๎ อน 3 สบื ค๎นข๎อมลู เก่ียวกบั พชื ที่มีสภาพเหมาะสมตอํ สภาพแวดลอ๎ ม 1 ชวั่ โมง หอ๎ งเรียน ห๎องสมุด มมุ วิทยาศาสตร์ Internet ครผู ส๎ู อน 4 รายงาน สรุปผลการสบื ค๎น 1 ชว่ั โมงแผํนใส โปรเจคเทอร์ คอมพิวเตอร์ แผนภาพ ครูผสู๎ อน 226

ขน้ั ท่ี 7. ดาเนินการตามแผนทว่ี างไว้ ขน้ั ท่ี 8. ตรวจสอบว่าผูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ตามทไ่ี ด้ ตง้ั วตั ถปุ ระสงค์ไว๎ 1. นกั เรยี นรํวมกนั สรปุ การทาํ กิจกรรม 2. ครูซกั ถามเพือ่ ประเมนิ ความเข๎าใจเป็นรายบุคคล 3. นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น เสรจ็ แล๎วสงํ ครูตรวจ ขน้ั ท่ี 9. ประเมินความสาเร็จของผูเ้ รียนและกระบวนการเรียนการสอน 1. วิธกี าร 1.1 สงั เกต 1.1.1 พิจารณาจากการสนทนา อภิปราย การแสดงความคิดเหน็ การตอบ คําถามปากเปลาํ 1.1.2 พิจารณาการสรปุ ขอ๎ มูล การตอบคาํ ถาม 1.2 ตรวจสอบ 1.2.1 ตรวจการทาํ ใบงาน 1.2.2 ตรวจการทําแบบทดสอบหลังเรยี น 2. เครอื่ งมือวดั และประเมิน - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางาน 3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ถือเกณฑ์การผํานร๎อยละ 80 ทุกรายการ (ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผํานเกณฑร์ อ๎ ยละ 80) สังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ผํานเกณฑร์ อ๎ ยละ 80 สงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลํุม ผํานเกณฑ์ร๎อยละ 80 การนําเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑร์ อ๎ ยละ 80 การตรวจผลงาน ผํานเกณฑร์ ๎อยละ 80 ขอ้ ดีข้อจากดั ของการนารปู แบบการเรียนรแู้ บบ Research –based Learning ข้อดีของ Research –based Learning 1. สํงเสริมการเรยี นรใ๎ู นเร่ืองตํางๆ โดยรูจ๎ ักการใช๎แหลงํ เรียนรท๎ู ่หี ลากหลาย 2. กระตุน๎ ใหผ๎ ๎ูเรยี นเกิดการพัฒนาการคดิ เชิงวเิ คราะห์ โดยผํานกระบวนการแกป๎ ญั หา การเสาะ แสวงหา การใหเ๎ หตผุ ล และการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ซ่งึ เปน็ ทกั ษะทจ่ี ําเป็นสาํ หรับการเรียนรู๎ด๎วยตนเอง 3. ใหผ๎ เ๎ู รยี นมโี อกาสศึกษาเรียนรโู๎ ดยอิสระ เนื่องจากการสอนโดยใช๎ Research –based Learning จะให๎เวลากับการเรียนในชั้นเรียนน๎อยกวาํ การให๎ศึกษาคน๎ คว๎าด๎วยตนเอง 227

4. เปน็ เทคนคิ ทเี่ นน๎ กระบวนการเรยี นรู๎มากกวํากระบวนการสอน เม่ือนาํ Research –based Learning มาใช๎ ผูส๎ อนตอ๎ งเน๎นความสาํ คญั ในเรื่องการเรยี นร๎ขู องผ๎เู รียน มากกวาํ การสอน 5. สํงเสรมิ ใหผ๎ ๎เู รียนมีทักษะการรู๎สารสนเทศ ซ่งึ จะเป็นประโยชน์ในการเรยี นรู๎ด๎วยตนเองตลอด ชีวิต 6. สงํ เสริมใหผ๎ ๎เู รยี นมคี วามเชื่อมั่นและกล๎าแสดงออก เน่ืองจากการเรียนร๎ูด๎วยวิธี Research – based Learning ผเู๎ รียนจะต๎องพึ่งพาตนเองสูงและต๎องนาํ ผลงานท่ไี ด๎มาเสนอและแลกเปลย่ี นกบั ผ๎ูอน่ื 7. สรา๎ งความสัมพันธ์อันดีระหวํางผู๎สอนและผเู๎ รียน เนือ่ งจากตอ๎ งมีการพบปะปรึกษาหารือทงั้ ใน รูปแบบทไ่ี มํเปน็ ทางการและเปน็ ทางการ ข้อจากดั ของ Research –based Learning(RBL) 1. แหลํงเรยี นร๎สู าํ หรับเรอ่ื งที่ตอ๎ งการใหศ๎ ึกษาในบางรายวิชา อาจมีไมํเพยี งพอหรอื มีแตํไมํ เหมาะสม 2. ผสู๎ อนบางคนให๎ความสาํ คัญกับการพฒั นาฐานความรู๎ มุํงรวบรวมและสรา๎ งแหลงํ เรยี นรูใ๎ ห๎ สมบูรณ์ จงึ อาจมองข๎างหลกั การที่สําคญั ของ Research –based Learning คือ ใหผ๎ เ๎ู รยี นมีอิสระใน การศึกษาคน๎ คว๎าและเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง 3. หากผูเ๎ รยี นขาดทักษะการรู๎สารสนเทศ การเรยี นรูโ๎ ดยใช๎ Research –based Learning จะไมํ เกิดผล ดงั นน้ั สถาบันจึงควรจัดใหใ๎ ห๎มกี ารสอนหรืออบรมเพื่อสรา๎ งทกั ษะการร๎ูสารสนเทศให๎กบั ผ๎เู รียนทุก คน โดยควรถอื เปน็ ความรพู๎ ้ืนฐานท่ผี เ๎ู รียนทุกคนต๎องมแี ละสามารถทาํ ได๎ 4. ผสู๎ อนจําเป็นต๎องรู๎แหลงํ เรียนรูใ๎ นเรือ่ งทจ่ี ะสอนเป็นอยาํ งดี และต๎องใช๎เวลาในการเตรียมการ และรวบรวมแหลํงเรียนรู๎ท้ังหลายเพื่อสามารถช้ีแนะและให๎คาํ ปรึกษาแกํผูเ๎ รยี นได๎ 5. โรงเรยี นต๎องมีความพร๎อมในเร่ืองแหลํงเรียนรู๎ อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ หอ๎ งเรียนหรือ หอ๎ งปฏบิ ตั ิการ และบุคลากร ที่จะชํวยใหก๎ ารเรียนรด๎ู ๎วยตนเองจากแหลงํ เรียนรูม๎ ีความเป็นไปได๎ และ ประสบผลสําเร็จ 5.9 การสอนแบบโครงงาน/โครงการ (Project Method) เป็นวิธีการจัดการเรียนร๎ูที่ให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาค๎นคว๎า หรือปฏิบัติงานตามหัวข๎อที่ผ๎ูเรียน สนใจ ซ่ึงผู๎เรียนจะต๎องฝึกกระบวนการทํางานอยํางมีข้ันตอน มีการวางแผนในการทํางานหรือการ แก๎ปัญหาอยํางเป็นระบบ จนการดําเนินงานสําเร็จลุลํวงตามวัตถุประสงค์ สํงผลให๎ผู๎เรียนมีทักษะการ เรียนรู๎อยํางหลากหลาย อันเป็นประสบการณ์ตรงที่มีคุณคํา สามารถนําไปประยุกต์ใช๎ในการดําเนินงาน ตําง ๆ ได๎วิธีการสอนโครงงานสามารถสอนตํอเน่ืองกับวิธีสอนแบบบูรณาการได๎ ท้ังในรูปแบบบูรณาการ 228

ภายในกลุํมสาระการเรียนรู๎ และบูรณาการระหวํางกลุํมสาระการเรียนรู๎ เพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎นําองค์ความรู๎ และประสบการณ์ท่ไี ด๎มาบูรณาการเพ่ือทําโครงงาน การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ข้นั กาหนดปัญหา หรือสํารวจความสนใจ ผสู๎ อนเสนอสถานการณห์ รอื ตวั อยาํ งท่ี เป็นปัญหาและกระตุน๎ ใหผ๎ เ๎ู รียนหาวกี ารแก๎ปญั หาหรือยั่วยุให๎ผ๎ูเรียนมีความต๎องการใครํเรียนใครํร๎ู ในเร่ือง ใดเร่อื งหน่ึง 2. ข้ันกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี น ผสู๎ อนแนะนําใหผ๎ ๎ูเรยี นกําหนดจดุ มุงํ หมายให๎ ชัดเจนวําเรียนเพ่อื อะไร จะทําโครงงานนั้นเพื่อแก๎ปัญหาอะไร ซึ่งทําให๎ผู๎เรียนกําหนดโครงงานแนวทางใน การดาํ เนินงานได๎ตรงตามจดุ มํุงหมาย 3. ขนั้ วางแผนและวิเคราะหโ์ ครงงาน ใหผ๎ ๎เู รยี นวางแผนแก๎ปญั หา ซึง่ เป็นโครงงาน เดี่ยวหรือกลุํมก็ได๎ แล๎วเสนอแผนการดําเนินงานให๎ผ๎ูสอนพิจารณา ให๎คําแนะนําชํวยเหลือและ ข๎อเสนอแนะการวางแผนโครงงานของผ๎ูเรียน ผ๎ูเรียนเขียนโครงงานตามหัวข๎อซ่ึงมีหัวข๎อสําคัญ (ช่ือ โครงงาน หลักการและเหตุผลวัตถุประสงค์หรือจุดมํุงหมาย เจ๎าของโครงการ ที่ปรึกษาโครงการ แหลํง ความรู๎ สถานท่ีดาํ เนินการ ระยะเวลาดาํ เนินการ งบประมาณ วิธีดําเนินการ เครื่องมือท่ีใช๎ ผลท่ีคาดวําจะ ได๎รบั ) 4. ขั้นลงมือปฏบิ ัติหรอื แก้ปญั หา ใหผ๎ ๎ูเรียนลงมือปฏบิ ัตหิ รอื แกป๎ ญั หาตามแผนการ ท่ีกําหนดไว๎โดยมีผู๎สอนเป็นที่ปรึกษา คอยสังเกต ติดตาม แนะนําให๎ผู๎เรียนรู๎จักสังเกต เก็บรวบรวมข๎อมูล บันทึกผลดําเนินการด๎วยความมานะอดทน มีการประชุมอภิปราย ปรึกษาหารือกันเป็นระยะ ๆ ผ๎ูสอนจะ เข๎าไปเกยี่ วขอ๎ งเทาํ ทจี่ าํ เป็น ผูเ๎ รียนเป็นผูใ๎ ช๎ความคิด ความร๎ู ในการวางแผนและตดั สินใจทําดว๎ ยตนเอง 5. ขน้ั ประเมนิ ผลระหว่าปฏบิ ตั ิงาน ผู๎สอนแนะนําให๎ผ๎เู รยี นรจ๎ู ักประเมนิ ผลกอํ น ดําเนินการระหวํางดําเนินการและหลังดําเนินการ คือรู๎จักพิจารณาวํากํอนที่จะดําเนินการมีสภาพเป็น อยํางไร มีปญั หาอยาํ งไรระหวาํ งทีด่ าํ เนินงานตามโครงงานนัน้ ยงั มสี ่งิ ใดที่ผิดพลาดหรือเป็นข๎อบกพรํองอยูํ ต๎อแก๎ไขอะไรอีกบ๎าง มีวิธีแก๎ไขอยํางไร เมื่อดําเนินการไปแล๎วผ๎ูเรียนมีแนวคิดอยํางไร มีความพึงพอใจ หรือไมํ ผลของการดําเนินการตามโครงงาน ผู๎เรียนได๎ความรู๎อะไร ได๎ประโยชน์อยํางไร และสามารถนํา ความร๎ูนั้นไปพัฒนาปรับปรุงงานได๎อยํางดีย่ิงข้ึน หรือเอาความร๎ูนั้นไปใช๎ในชีวิตได๎อยํางไร โดยผ๎ูเรียน ประเมนิ โครงงานของตนเองหรือเพอื่ นรํวมประเมิน จากน้นั ผส๎ู อนจึงประเมินผลโครงงานตามแบบประเมิน ซงึ่ ผปู๎ กครองอาจจะมสี วํ นรวํ มในการประเมินดว๎ ยก็ได๎ 6. ขน้ั สรปุ รายงานผล และเสนอผลงาน เมอ่ื ผู๎เรยี นทาํ งานตามแผนและเก็บข๎อมูล 229

แล๎วต๎องทําการวิเคราะห์ข๎อมูล สรุปและเขียนรายงานเพื่อนําเสนอผลงาน ซ่ึงนอกเหนือจากรายงาน เอกสารแล๎ว อาจมีแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ แบบจําลอง หรือของจริงประกอบการนําเสนอ อาจจัดได๎ หลายรปู แบบ เชํน จดั นิทรรศการ การแสดงละคร ฯลฯ 1. เป็นการสอนทีม่ งุํ ให๎ผูเ๎ รยี นมบี ทบาท มีสํวนรํวมในการจดั กระบวนการเรียนร๎ไู ด๎ ปฏบิ ตั จิ รงิ คิดเอง ทาํ เอง อยํางละเอยี ดรอบคอบ อยํางเป็นระบบ 2. ผ๎เู รยี นรูจ๎ กั วแี สวงหาขอ๎ มลู สร๎างองคค์ วามร๎ูและสรปุ ความร๎ูได๎ด๎วยตนเอง 3. ผเ๎ู รียนมที ักษะในการแกป๎ ัญหา มีทกั ษะกระบวนการในการทํางาน มีทกั ษะการ เคลื่อนไหวทางกาย 4. ผูเ๎ รียนได๎ฝกึ กระบวนการกลมํุ สมั พนั ธ์ ทาํ งานรวํ มกนั กับผอ๎ู นื่ ได๎ 5. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย คอื การรับฟังความคิดเห็นซ่งึ กันและกนั มเี หตุผล มี การยอมรบั ในความรู๎ ความสามารถซ่งึ กันและกนั 6. ผู๎เรยี นไดฝ๎ กึ ลักษณะนิสยั ทีด่ ใี นการทํางาน เชนํ การจดบนั ทึกขอ๎ มลู การเกบ็ ข๎อมลู อยํางเป็นระบบ ความรับผิดชอบ ความซื่อตรง ความเอาใจใสํ ความขยันหมั่นเพียรในการทํางาน รู๎จัก ทํางานอยาํ งเป็นระบบ ทํางานอยํางมีแผน ใชเ๎ วลาวํางใหเ๎ ปน็ ประโยชน์ 7. ผู๎เรียนเกดิ ความคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ และสามารถนําความรู๎ ความคิด หรือแนวทางท่ีได๎ ไปใชใ๎ นการแก๎ปญั หาในชวี ติ หรอื ในสถานการณอ์ นื่ ๆ ได๎ 5.10 การสอนแบบสาธิต วิธีสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration Method) หากวําการจัดการเรียนการสอนท่ีผู๎สอนเสนอแบบอยํางให๎ผู๎เรียนได๎เห็นแล๎วจะทําให๎ ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ได๎ดีกวําการสอนแบบธรรมดาได๎นั้น การสอนโดยใช๎วิธีการสาธิต ก็นับวําเป็นวิธีการ สอนทผ่ี ส๎ู อนสามารถนาํ ไปเป็นวิธีการสอนใหก๎ บั ผ๎เู รียนไดเ๎ ชนํ กัน เพราะการสาธิตเป็นการแสดงแบบหนึ่งที่ ผู๎เรียนได๎เห็นและเข๎าใจจากเรื่องราวที่เป็นจริง ได๎สังเกตจากตัวอยํางที่ผ๎ูเรียนได๎นําเสนอ ทําให๎ผู๎เรียน เขา๎ ใจบทเรยี นมากยง่ิ ขนึ้ ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 228) ได๎กลําวถึงธรรมชาติของการสอนแบบน้ีวํายังเป็นการ สอนทีเ่ นน๎ ผูส๎ อนเปน็ ศนู ยก์ ลาง ผูเ๎ รยี นมสี ํวนรวํ มในการเรยี นนอ๎ ยเพราะเพียงสงั เกตสิ่งที่ครูแสดงข้ึนเทําน้ัน แตํการสอนแบบนี้มีประโยชน์มากสําหรับการนําประสบการณ์ท่ีซับซ๎อนอธิบายได๎ยากมาแสดงให๎เห็นเป็น รูปธรรมโดยผู๎มีประสบการณ์ ชํวยให๎เกิดความคิดรวบยอดในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง อยํางไรก็ตามความสําเร็จ ของการสอนวิธีน้ีอยูํท่ีความสามารถในการสาธิตของผู๎สาธิตด๎วย ดังนั้นอาจจะกลําวได๎วําการสอนแบบ สาธติ สามารถนาํ ไปใช๎รวํ มกบั การสอนวธิ ีอ่ืน ๆ ไดห๎ ลายวธิ ีในทกุ ๆ สํวนของกจิ กรรมการเรยี นการสอน 230

ในหัวข๎อนี้กลําวถึง ความหมายของการสอนโดยใช๎การสาธิต จุดมํุงหมาย องค์ประกอบ ขั้นตอนการสอน เทคนิคและข๎อเสนอแนะการสอน และขอ๎ ดีและข๎อจาํ กดั ของการสอน พร๎อมด๎วยการสรุป บทเรียนท๎ายบท และกจิ กรรมคําถามทา๎ ยบทดว๎ ย สําหรบั ความหมายของวิธีสอนโดยใช๎การสาธิต ได๎มีนักวิชาการหลายทํานให๎ความหมาย ไว๎ดังน้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําววาํ วธิ สี อนโดยใช๎การสาธติ คือ กระบวนการท่ีผู๎สอน ใช๎ในการชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการแสดงหรือทําสิ่งที่ต๎องการให๎ ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ ให๎ผ๎ูเรียนสังเกตดูแล๎วให๎ผ๎ูเรียนซักถาม อภิปราย และสรุปการเรียนรู๎ท่ีได๎จากการสังเกต การสาธิต สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 78) กลําววํา การสอนแบบสาธิต คือ การแสดงหรือกระทําพร๎อม ๆ กับการบอกหรืออธิบายเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรมซึ่ง จะทาํ ใหส๎ ามารถเข๎าใจมโนมติและหลักการได๎ดีข้นึ อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 87) ได๎อธิบายวํา การสาธิต คือ วิธีสอนที่ผ๎ูสอนหรือวิทยากร แสดงหรือกระทาํ ใหด๎ ูเปน็ ตวั อยาํ งพร๎อม ๆ กบั การบอก อธิบายเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎รับประสบการณ์ตรงในเชิง รปู ธรรม ผเ๎ู รียนจะเกดิ การเรียนร๎จู ากการสงั เกตกระบวนการ ขนั้ ตอนสาธติ น้ัน ๆ อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 142) ได๎กลําววํา วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง วิธีการสอนที่ ผส๎ู อนหรอื บคุ คลใดบคุ คลหนึ่ง (อาจเป็นวิทยากรที่ผ๎ูสอนเชิญมา) แสดงหรือกระทําให๎ดูเป็นตัวอยํางพร๎อม ๆ กับการบอก อธิบาย เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรม ผ๎ูเรียนจะเกิดการเรียนรู๎จากการ สังเกตกระบวนการขั้นตอนการสาธิตนน้ั ๆ ไสว ฟักขาว (2544 : 98) อธิบายการสาธิตเป็นการแสดงให๎ดู ซึ่งอาจเป็นการแสดงให๎ เห็นถงึ ขัน้ ตอน วธิ กี าร ผลที่จะเกิดขึ้นหรือทําทางตําง ๆ โดยอาจทําในรูปของการสาธิตทดลอง หรือสาธิต ปฏิบัติ วิธีสอนแบบสาธิต อาจนําไปใช๎รํวมกับวิธีสอนแบบอ่ืนได๎ เชํน สาธิตประกอบการบรรยาย สาธิตประกอบการอธิปราย เป็นต๎น การสอนด๎วยวิธีการสาธิต เป็นที่นิยมใช๎กันอยํางแพรํหลายในหมํูผ๎ูสอน ไมํวําจะเป็นการ สอนนักเรียนในระดับใด โดยเฉพาะเม่ือผู๎สอนพบวําการอธิบายบทเรียนเพียงอยํางเดียวมีข๎อจํากัด กลําวคือผูเ๎ รียนเกดิ ความไมเํ ขา๎ ใจอยาํ งถอํ งแท๎ในเน้ือหาวิชานั้น ๆ ไมํเกิดมโนมติหรือสามารถสรุปเน้ือหาที่ เรียนไปแล๎วได๎ หลังจากที่ผู๎สอนสอนเน้ือหาดังกลําวจบแล๎ว (สิริวรรณ ศรีพหล และพันทิพา อุทัยสุข, 2540 : 79) สรุปได๎วํา การสอนโดยวิธีการสาธิต หมายถึง กระบวนการที่ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ ผู๎เรียนได๎เกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว๎ โดยการแสดงหรือการกระทําให๎ดูเป็นตัวอยําง 231

พร๎อมๆ กบั การบอก อธิบาย เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรงจากการสังเกต แล๎วให๎ผู๎เรียนได๎ซักถาม อภิปรายและสรปุ การเรียนรูท๎ ี่ไดจ๎ ากการสังเกตดงั กลาํ ว จุดมุ่งหมายของวธิ สี อนโดยใชก้ ารสาธิต นักวิชาการหลายทํานไดก๎ ลาํ วถงึ จุดมุํงหมายของการสอนโดยใชก๎ ารสาธิตไวด๎ งั นี้ อินทริ า บุณยาทร (2542 : 88) อธิบายจุดมุงํ หมายของการสอนโดยการสาธติ ดงั นี้ 1. เพื่อกระตน๎ุ ความสนใจให๎ผเู๎ รียนมคี วามสนใจในบทเรียนยิ่งขึน้ 2. เพื่อชํวยอธิบายเนื้อหาวิชาท่ียาก ซึ่งต๎องใช๎เวลามาก ให๎เข๎าใจงํายขึ้นและ ประหยดั เวลา 3. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติตําง ๆ ซ่ึงจะชํวยให๎ผู๎เรียนเข๎าใจและ สามารถปฏบิ ัตติ ามได๎ ไสว ฟกั ขาว (2544 : 98) ได๎อธิบายวาํ จุดมํงุ หมายของวธิ ีการสอนแบบสาธิต มดี ังนี้ 1.เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎เห็นถึงขั้นตอนการปฏิบัติในกิจกรรมบางอยํางที่มีความ ซบั ซอ๎ นและตอ๎ งอาศยั ทักษะสูง 2. เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เห็นผลการทดลองท่ีผู๎เรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อัน เนอ่ื งจากเครือ่ งมือ อปุ กรณไ์ มพํ อทจี่ ะให๎ผู๎เรยี นทดลองทุกคนหรอื เป็นการทดลองท่ีมีอนั ตราย ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) ได๎กลาํ ววํา วิธีสอนโดยใชก๎ ารสาธติ เปน็ วิธีการท่ีมุํงชํวยให๎ ผ๎ูเรียนทั้งชั้นได๎เห็นการปฏิบัติจริงด๎วยตาตนเอง ทําให๎เกิดความร๎ูความเข๎าใจในเรื่องหรือการปฏิบัตินั้น ชดั เจนขึ้น สรปุ ไดว๎ าํ จุดมุํงหมายของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ มีดงั นี้ 1. เพ่อื กระต๎ุนความสนใจในการเรยี นของนักเรียน 2. เพอ่ื มํุงชวํ ยใหผ๎ ู๎เรยี นทงั้ ช้ันไดเ๎ ห็นการปฏิบัติจริงด๎วยตาตนเอง ทําให๎เกิดความรู๎ความ เข๎าใจในเรอื่ งหรือการปฏบิ ตั นิ นั้ ชดั เจนข้ึน 3. เพื่อชํวยอธิบายเนือ้ หาวชิ าที่ยาก ซ่ึงต๎องใชเ๎ วลามาก ใหเ๎ ขา๎ ใจงาํ ยขน้ึ และประหยดั เวลา 4. เพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎เห็นผลการทดลองที่ผ๎ูเรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อันเนื่องจาก เครอ่ื งมือ อุปกรณ์ไมํพอทจี่ ะให๎ผ๎เู รยี นทดลองทกุ คนหรอื เปน็ การทดลองทม่ี ีอนั ตราย องคป์ ระกอบสาคัญของวิธกี ารสอนโดยใช้การสาธิต ในการสอนโดยใช๎การสาธิตนั้นมีองค์ประกอบท่ีสําคัญ 4 ประการ ดังท่ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําวไวด๎ งั น้ี 232

1. มีผ๎สู อนและผ๎ูเรียน 2. มีเร่อื งหรือสิง่ ทจี่ ะสาธติ 3. มกี ารแสดง/การทํา/ให๎ผ๎เู รยี นสงั เกตดู 4.มีผลการเรยี นรข๎ู องผเ๎ู รยี นทีเ่ กิดจากการสาธิต องค์ประกอบแรกน้ันคือ ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียน ผ๎ูสอนต๎องเตรียมสิ่งท่ีจะสาธิตให๎พร๎อมโดย คาํ นึงถงึ การรบั รโ๎ู ดยการมองเห็นของผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ รวมท้ังต๎องคํานึงถึงความปลอดภัยด๎วย โดยเฉพาะ ในการสาธิตเกี่ยวกับวัตถุอันตราย สํวนผ๎ูเรียนก็ต๎องมีทักษะในการสังเกต คิดวิเคราะห์ตามการสาธิตนั้น เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจและเรียนร๎ูได๎ชัดเจนขึ้น สํวนองค์ประกอบท่ีสองคือ เร่ืองหรือส่ิงที่จะสาธิต ผู๎สอน อาจเชิญบุคคลภายนอกหรือผู๎ท่ีมีความเช่ียวชาญหรือให๎นักเรียนในช้ันเรียนเข๎ารํวมในการสาธิตด๎วยก็ได๎ ตามความเหมาะสม สําหรับองค์ประกอบที่สาม มีการแสดงหรือลงมือปฏิบัติให๎นักเรียนดูน้ัน ครูหรือ วิทยากรต๎องอธิบายประกอบไปตามข้ันตอนโดยไมํรีบเรํงจนเกินไป และสุดท๎ายองค์ประกอบท่ีสี่ ซ่ึงเป็น องค์ประกอบทส่ี าํ คัญทส่ี ุดคอื ผลการเรียนรู๎ของผ๎ูเรยี นทีเ่ กิดจากการสาธติ ข้นั ตอนของการสอนโดยใชก้ ารสาธติ ขน้ั ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารสาธิตน้นั นกั วชิ าการกําหนดไว๎โดยมีรายละเอียดแตกตําง กันดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550: 330) ได๎เสนอข้นั ตอนของการสอนไว๎ดงั นี้ 1. ผส๎ู อนแสดงการสาธิต ผ๎เู รยี นสังเกตการสาธติ 2. ผ๎สู อนและผ๎เู รยี นอภปิ รายและสรปุ การเรียนรท๎ู ่ีไดจ๎ ากการสาธติ 3. ผสู๎ อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ขู องผูเ๎ รยี น ปรชี า คมั ภรี ปกรณ์ (2538 : 246) ไดเ๎ สนอขัน้ ตอนการสอนโดยใชก๎ ารสาธิตไว๎ ดงั นี้ 1. ข้นั เตรยี มการสอน 2. ขน้ั การสาธติ 3. ข้นั สรปุ และประเมินผล สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) ได๎เสนอแนะรายละเอียดของแตํละ ขั้นตอนออกมาเป็นแผนผังที่นําสนใจ ดังนี้ 1. ข้นั เตรยี มการสอน - เตรียมบทเรยี น - เตรียมอปุ กรณ์ - เตรยี มกจิ กรรมการเรียนการสอน - เตรยี มผ๎ฟู งั 2. ข้นั การสาธติ 233

- บอกวตั ถุประสงค์ของการสาธติ - ทําการสาธติ ตามข้นั ตอน 3. ขนั้ สรุปและการประเมนิ ผล - สรุปเนอื้ หา - ถามคาํ ถามเพื่อสอบถามความเข๎าใจผ๎ูเรียน - เปดิ โอกาสใหผ๎ ู๎เรยี นซักถามถา๎ สงสยั จากทกี่ ลาํ วมา สรปุ ไดว๎ าํ ข้ันตอนการสอนโดยใชก๎ ารสาธิตอาจแบํงได๎เปน็ 3 ข้นั ตอน คือ ข้นั เตรียมการสอน ขน้ั การสาธติ ขั้นอภิปราย สรปุ และประเมินผล โดยมีรายละเอียดดงั ตอํ ไปนี้ 1.ข้นั เตรยี มการสอนโดยใชก๎ ารสาธิต ข้ันเตรยี มการสอนโดยใช๎การสาธติ นน้ั มีลักษณะเฉพาะท่ีครูผู๎สอนตอ๎ งเตรียมส่ิงที่จะสาธิต ให๎พรอ๎ มโดยคาํ นงึ ถึงวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี นเปน็ สําคัญ ซึ่งนกั วิชาการได๎ใหค๎ าํ แนะนาํ ไวด๎ ังน้ี สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) ได๎เสนอแนะการเตรียมการสอน ได๎อยํางนําสนใจวํา ต๎องเรียบเรียงและลําดับข้ันตอนของการสาธิตให๎เหมาะสม โดยพิจารณาวําสิ่งใดท่ี จะต๎องแสดงกํอน ส่ิงใดจะต๎องแสดงหลัง และให๎สอดคล๎องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ด๎วย ตอนใดคว ร เน๎นหรือแสดงให๎ดูอีกคร้ังเพื่อให๎การเรียนการสอนกระจํางชัดขึ้น นอกจากน้ันควรพิจารณาเร่ือง ระยะเวลาและอาจลองสาธิตดูกํอนเพื่อกะระยะเวลาให๎ตามกําหนด นอกจากนี้ ต๎องเตรียมอุปกรณ์ (ถ๎ามี) ให๎พร๎อม สิ่งใดขาดหายไปต๎องหาให๎ครบ รวมท้ังตรวจดูความปลอดภัยของอุปกรณ์นั้นๆ ด๎วยและเม่ือ เตรยี มกจิ กรรมการเรียนการสอนพร๎อมแล๎ว ผู๎สอนควรลองปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ กํอนเพ่ือหาข๎อบกพรํอง จะไดแ๎ กไ๎ ขกํอนนาํ ไปสอนจรงิ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 47) ได๎เสนอข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิต ไว๎ ดังน้ี 1. กาํ หนดจุดมุํงหมายของการสาธิตใหช๎ ดั เจน และตอ๎ งสาธติ ให๎เหมาะสมกบั เนอ้ื เรอ่ื ง 2. เตรยี มอปุ กรณ์ในการสาธติ ให๎พร๎อม และตรวจสอบความสมบรู ณ์ของอปุ กรณ์ 3. เตรียมกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและข้ันตอน จะเร่ิมต๎นดําเนินการและจบ ลงอยํางไร ผ๎สู าธิตตอ๎ งเข๎าใจในขั้นตอนตาํ ง ๆ เหลาํ นี้อยํางละเอียดแจมํ แจง๎ 4. ทดลองสาธิตกํอนสอน ควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร๎อมตลอดจนผลท่ีจะ เกิดขนึ้ เพื่อปอู งกนั ขอ๎ ผิดพลาดในเวลาสอน 5. ต๎องจัดทําคูํมือคําแนะนําหรือข๎อสังเกตในการสาธิต เพ่ือท่ีนักเรียนจะใช๎ประกอบใน ขณะทม่ี กี ารสาธติ 234

ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 221) ได๎อธิบายถึงขั้นตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎วิธีการ สาธติ มี อยาํ งสรุปไวด๎ งั น้ี 1. เตรยี มจุดประสงค์การเรยี นร๎ู 2. ลาํ ดบั เนอ้ื หา 3. กําหนดกิจกรรมการเรยี นการสอน 4. กาํ หนดส่อื และอุปกรณ์การเรียน 5. กาํ หนดเวลาและสภาพห๎องเรียน 6. ซกั ซ๎อมการสาธิต ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําวถึงการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิตไว๎วํา การ เตรียมการ ผู๎สอนจําเป็นต๎องมีการเตรียมการพอสมควร เพื่อให๎การเรียนร๎ูเป็นไปอยํางสะดวกและราบร่ืน การเตรยี มตัวท่ีสําคัญคอื ผ๎ูสอนควรมกี ารซ๎อมการสาธิตกํอนเพื่อจะได๎เห็นปัญหาและเตรียมแก๎ไข/ปูองกัน ปัญหาที่จะเกิดข้ึน ตํอไปจึงจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และจัดวางไว๎อยํางเหมาะสมสะดวกแกํการ ใช๎ นอกจากน้ันควรจัดเตรียมแบบสังเกตการณ์สาธิต และเตรียมคําถามหรือประเด็นท่ีจะให๎ผู๎เรียนได๎รํวม คิดและอภปิ รายดว๎ ย สรุปได๎วํา ขั้นตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การสาธิต ผู๎สอนควรได๎ดําเนินการตาม ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. กาํ หนดจุดมํุงหมายของการสาธติ ให๎ชดั เจน และต๎องสาธิตให๎เหมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ ง 2. เตรยี มอุปกรณ์ในการสาธติ ให๎พรอ๎ ม และตรวจสอบความสมบรู ณ์ของอุปกรณ์ 3. เตรยี มกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและขั้นตอน จะเร่ิมต๎นดําเนินการและจบ ลงอยํางไร ผ๎ูสาธิตตอ๎ งเข๎าใจในข้นั ตอนตําง ๆ เหลาํ นอ้ี ยาํ งละเอยี ดแจมํ แจง๎ 4. ทดลองสาธิตกํอนสอน ควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร๎อมตลอดจนผลท่ีจะ เกิดขึ้น เพือ่ ปอู งกันข๎อผดิ พลาดในเวลาสอน 5. ควรจดั เตรียมแบบสังเกตการณส์ าธติ และเตรียมคาํ ถามหรอื ประเดน็ ที่จะให๎ผ๎ูเรียนได๎ รวํ มคิดและอภิปรายดว๎ ย 2. ขนั้ การสาธติ ขั้นสาธติ เป็นข้ันที่ผ๎ูสอนได๎สาธิต ได๎แสดงให๎ผ๎ูเรียนได๎เห็นการปฏิบัติ ซ่ึงมีสิ่งคํานึงถึงอยูํ หลายประการ ดงั ทน่ี ักวิชาการได๎แนะนาํ ไว๎ ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) กลําววํา กํอนการสาธิต ผ๎ูสอนควรให๎ความรู๎เก่ียวกับ เรื่องท่ีสาธิตแกํผู๎เรียนอยํางเพียงพอท่ีจะทําให๎ผู๎เรียนเกิดความเข๎าใจส่ิงที่สาธิตได๎ดี โดยอาจใช๎วิธีบรรยาย หรือเตรียมเอกสารท่ีให๎รายละเอียดเก่ียวกับลําดับขั้นตอนให๎ผ๎ูเรียน หรือใช๎ส่ือ เชํน วีดีทัศน์ หรือผ๎ูสอน 235

อาจมอบหมายให๎ผเู๎ รยี นไปศึกษาเนือ้ หาสาระทจ่ี ะสาธิตมาลวํ งหนา๎ นอกจากนั้นควรให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียน ในการสังเกต หรือจัดทําแบบสังเกตการณ์สาธิตให๎ผ๎ูเรียนใช๎ในการสังเกตและผ๎ูสอนอาจใช๎เทคนิคการ มอบหมายให๎ผู๎เรียนรายบุคคลสังเกตเป็นพิเศษเฉพาะจุดเฉพาะประเด็น เพ่ือชํวยให๎ผู๎เรียนต้ังใจสังเกต และมสี วํ นรํวมอยาํ งทว่ั ถงึ ผ๎ูสอนอาจใช๎วธิ กี ารบรรยายประกอบการสาธติ การสาธิตควรเป็นไปอยํางมลี ําดับขั้นตอน ใช๎เวลาอยํางเหมาะสม ไมํเร็วเกินไป ขณะสาธิตอาจใช๎แผนภูมิการดานดําหรือแผํนใสประกอบ และควร เปิดโอกาสใหผ๎ ๎ูเรยี นซกั ถาม หรอื ซกั ถามผเู๎ รียนเป็นระยะ ๆ เพ่อื กระตุ๎นความคดิ และความสนใจของผู๎เรียน และในบางกรณีอาจให๎ผ๎ูเรียนบางคนมาชํวยในการสาธิตด๎วย เทคนิคการสาธิตอีกเทคนิคหนึ่งคือ การใช๎ การสาธิตเงยี บแทนการบรรยายประกอบการสาธติ และอาจมกี ารสาธิตซ้ําหากผ๎ูเรียนยังไมํเกิดความเข๎าใจ ชดั เจน นอกจากนนั้ ผสู๎ อนอาจใหผ๎ ู๎เรียนเป็นฝุายแสดงการสาธิตด๎วยก็ได๎ ในกรณีท่ีการสาธิตมีส่ิงท่ีอาจเป็น อันตรายได๎ ผ๎สู อนจะตอ๎ งสอนใหผ๎ ู๎เรยี นรแ๎ู ละระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัย และควรเตรียมการปูองกัน และแกไ๎ ขปัญหาไวด๎ ๎วย สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) แนะนําวํา ผู๎สอนต๎องบอก วัตถุประสงค์ของการสาธิตให๎แกํผู๎เรียน เพ่ือผ๎ูเรียนจะได๎เข๎าใจวําการเรียนการสอนน้ัน ตนจะได๎อะไรจาก บทเรยี นกํอนก็ได๎ เพ่อื ชวํ ยให๎ความเขา๎ ใจกระจาํ งชดั ยิง่ ขน้ึ ข้นั ตํอไป ผ๎ูสอนควรบอกกิจกรรมการเรียนให๎แกํผ๎ูเรียนด๎วย กลําวคือ ระหวํางการสาธิต จะใหผ๎ เู๎ รยี นทาํ อะไร เชนํ การจดบนั ทึก การสังเกตกระบวนการ เป็นต๎น ผู๎สอนควรบอกกิจกรรมให๎ชัดเจน อาจเขยี นเปน็ คําสงั่ บนกระดานก็ได๎ ผส๎ู อนทําการสาธิตไปตามลําดับข้ัน ส่ิงใดควรเน๎น ควรอธิบายเพิ่มเติมก็ควรทํา และต๎อง มนั่ ใจวาํ ผูเ๎ รียนในช้ันจะได๎เห็นการสาธิตอยํางท่ัวถึง ถ๎านักเรียนสงสัยหรือมองไมํเห็นอาจแสดงให๎ดูอีกคร้ัง ถ๎าไมเํ สียเวลาจนเกินไปนัก สรปุ วาํ ในขนั้ ตอนการสาธิต ผ๎ูสอนควรเร่ิมด๎วยการให๎ความร๎ูเกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะสาธิต ซึ่ง สามารถทําไดโ๎ ดย การบรรยายใชเ๎ อกสารประกอบ หรือใช๎ส่ือ วีดีทัศน์ เป็นต๎น จากน้ันจึงให๎คําแนะนําแกํ ผเ๎ู รยี นถึงวิธีการในการสังเกต และการบนั ทึก โดยมีแบบสังเกตการณ์สาธติ ประกอบ แล๎วจึงเร่ิมการสาธิต ในขณะท่กี าํ ลังสาธิตผูส๎ อนอาจใช๎การบรรยายประกอบการสาธติ และเปดิ โอกาสให๎ผู๎เรยี นซักถามข๎อสงสัย หรือซักถามผู๎เรียนเป็นระยะๆ เพ่ือกระต๎ุนความคิดและความสนใจของผู๎เรียน อยํางไรก็ตามการสาธิต เงียบในบางครง้ั กอ็ าจทําใหน๎ กั เรยี นมีใจจดจอํ อยูํกับการสาธิตนัน้ ๆ ได๎ 3. ขั้นอภปิ ราย สรุปและประเมินผล สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 81) กลําววํา เมื่อการสาธิตส้ินสุดลง ผสู๎ อนควรสรุปความสาํ คัญของสง่ิ ที่สาธติ ไปน้นั อาจใช๎การอธิบายส้ัน ๆ ประกอบ หรืออาจให๎ผ๎ูเรียนเป็นผ๎ู สรุปเอง เพ่อื ประเมนิ วาํ ผูเ๎ รยี นมคี วามเข๎าใจในบทเรียนนน้ั ๆ มากน๎อยเพยี งใด 236

ผ๎ูสอนอาจใช๎วิธีการสรุปโดยการถามปัญหาหรือคําถามกับผู๎เรียน เกี่ยวกับสาระสําคัญ ของการสาธิต เพ่ือประเมินดูวาํ ผเ๎ู รยี นเข๎าใจการสาธิตนัน้ ๆ อยาํ งไร หรือในบางคร้ัง ผ๎ูเรียนอาจยังไมํเข๎าใจหรือเข๎าใจคลุมเครือในส่ิงท่ีตนได๎ดูไปในการสาธิต ผส๎ู อนกค็ วรเปดิ โอกาสให๎ผเู๎ รียนซกั ถามหรือแสดงความคดิ เหน็ ภายหลังการสาธิตสิ้นสุดลงแล๎ว ทั้งน้ีเพ่ือให๎ ผ๎เู รยี นเข๎าใจบทเรียนนนั้ ๆ ไดด๎ ียง่ิ ข้ึน นอกจากน้ัน ผ๎ูสอนอาจใช๎วิธีการสรุปและประเมินผลผ๎ูเรียนในวิธีตําง ๆ กัน เชํน ให๎ ผเู๎ รียนบางคนออกมาสาธิตสงิ่ ท่ไี ด๎ดูไปแล๎ว เพื่อทดสอบความสามารถและความเข๎าใจ หรืออาจให๎ไปเขียน รายงานเกย่ี วกับกระบวนการและสง่ิ ทีไ่ ด๎รับจากการสาธิตนั้น ๆ ก็ได๎ เปน็ การประเมนิ ผลผูเ๎ รยี นวําได๎เรียนรู๎ อะไรบา๎ งเก่ยี วกบั บทเรยี นนน้ั ๆ สรปุ ไดว๎ าํ หลงั จากการสาธิตแลว๎ ผ๎ูสอนควรให๎ผูเ๎ รียนรายงานส่ิงทส่ี ังเกตเห็นพร๎อมทั้งเปิด โอกาสให๎ผ๎ูเรียนได๎ซักถาม อภิปรายแลกเปลี่ยนความร๎ูความคิดท่ีแตํละคนได๎รับ และนักเรียนสรุปการ เรียนร๎ูท่ีได๎รับ โดยมีครูผู๎สอนให๎คําแนะนําในการสรุป สํวนการประเมินผลการเรียนร๎ูอาจทําได๎โดยใช๎ คาํ ถาม และใหน๎ ักเรียนบางคนออกมาสาธติ ส่งิ ท่ดี ูไปแล๎ว หรือการเขียนรายงานเกี่ยวกับกระบวนการหรือ สง่ิ ทไี่ ด๎รบั จากการสาธติ นั้นๆ จดุ เดน่ ของการสอนโดยใช้การสาธติ นกั วิชาการหลายทาํ นกลําวถงึ จุดเดนํ ของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ ไว๎อยาํ งนาํ สนใจ ดงั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 331-332) ได๎เสนอแนะถงึ ข๎อดีของการสอนแบบสาธติ คือ 1.เปน็ วธิ ีการสอนทีช่ ํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นไดร๎ บั ประสบการณต์ รงเห็นสงิ่ ท่เี รยี นรูอ๎ ยาํ งเปน็ รูปธรรม ทําใหเ๎ กิดความเข๎าใจและจะจําในเรอ่ื งทส่ี าธิตได๎ดีและนาน 2. เป็นวิธีการสอนท่ชี ํวยประหยัดเวลา อปุ กรณ์และคาํ ใชจ๎ าํ ย หากใชท๎ ดแทนการทดลอง 3. เป็นวธิ ที ี่สามารถสอนผ๎ูเรียนได๎จํานวนมาก อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 144-145) กลาํ ววํา ขอ๎ ดขี องการสอนโดยใช๎การสาธิต มดี ังน้ี 1. ประหยัดเวลาการลองผิดลองถูกของนักเรียน และประหยัดวัสดุในการสอนเมื่อสาธิต ให๎ดูเป็นหมํหู รือทงั้ ชน้ั 2. นักเรียนสามารถเข๎าใจวิธีปฏิบัติได๎ดี เพราะเป็นประสบการณ์ตรง มีตัวอยํางให๎ดูจับ ตอ๎ งได๎ และเหน็ ขั้นตอนในการปฏิบัติอยํางชดั เจน 3. เป็นการกระตนุ๎ การเรยี นการสอน เพราะเปิดโอกาสให๎นักเรียนรํวมกิจกรรม 4. เป็นการฝึกนกั เรียนใหร๎ จู๎ ักสังเกต หาเหตผุ ล และสรุปหลักเกณฑไ์ ด๎ วไลพร คุโณทยั (2530 : 24) กลําววาํ การสอนแบบสาธติ มขี ๎อดีดังน้ี 1. การสาธิตเป็นการนําเข๎าสํบู ทเรยี นอยํางหน่งึ ท่ีทาํ ให๎ผ๎ูเรียนเกิดความอยากรู๎อยากเห็น อยากคน๎ หาคาํ ตอบตํอไปได๎ 237

2. การสาธิตสามารถสร๎างความเข๎าใจในความคิดรวบยอด หลักการทฤษฎีโดยผ๎ูเรียน สามารถมองเหน็ ได๎โดยตรง 3. การสาธติ ทาํ ให๎เหน็ จริง ทาํ จริง เข๎าใจไดง๎ ําย 4. ประหยัดเวลาของผ๎ูสอนและผ๎ูเรียน เพราะการสาธิตทําให๎ผู๎เรียนเห็นไปพร๎อม ๆ กัน ท้ังหอ๎ ง 5. การสาธิตฝึกให๎ผู๎เรียนรจู๎ กั สงั เกต รจู๎ ักคิดหาเหตผุ ล และรู๎จักสรปุ หลักเกณฑไ์ ด๎เอง 6. การสาธิตสามารถแสดงซ้ําตรงจุดใดจุดหนึ่ง เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจแจํมแจ๎งในจุดท่ี ตอ๎ งการได๎ 7. ผเู๎ รียนมสี ํวนรํวมในกจิ กรรมการเรียนการสอน สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎การสาธิตมีจุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนหลาย ประการ ซ่งึ ประมวลสรุปประเด็นทน่ี ําสนใจได๎ ดงั นี้ 1. เป็นการสอนท่ีเพ่ิมความเข๎าใจของผ๎ูเรียน เนื่องจากได๎เห็นกิจกรรมการสาธิต ตามลาํ ดบั ขน้ั ตอนและผเ๎ู รียนจะจาํ เร่อื งที่สาธิตได๎ดแี ละนาน 2. เปน็ วธิ กี ารสอนทีช่ วํ ยประหยดั เวลา อุปกรณแ์ ละคําใชจ๎ าํ ย หากใชท๎ ดแทนการทดลอง 3. เป็นวิธที ส่ี ามารถสอนผูเ๎ รียนได๎จํานวนมาก 4. สามารถใช๎ผสมผสานกบั วธิ สี อนแบบตาํ งๆ ได๎ เชํน วิธสี อนโดยใช๎การบรรยายหรือการ ทดลอง เปน็ ตน๎ 5. เปน็ การสอนท่ีเรา๎ ใจผ๎เู รียน 6. การสาธิตสามารถแสดงซ้ําตรงจุดใดจุดหนึ่ง เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจแจํมแจ๎งในจุดที่ ต๎องการได๎ 7. ผเู๎ รียนสามารถมสี วํ นรํวมในกจิ กรรมได๎ 8. เป็นการฝกึ นักเรียนให๎ร๎จู กั สงั เกต หาเหตผุ ล และสรปุ หลักเกณฑไ์ ด๎ ขอ้ จากัดของวธิ ีสอนโดยใชก้ ารสาธติ การสอนโดยใช๎การสาธิตเป็นการสอนท่ีเหมาะกับเรื่องท่ีต๎องการให๎ผ๎ูเรียนได๎สังเกต ฝึกคดิ วิเคราะห์หาเหตุผล ซึ่งทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ท่ีดี อยํางไรก็ตามก็ยังมีข๎อจํากัดบางประการท่ี ครูผ๎สู อนควรคํานึงถึงกํอนนําวิธีการสอนน้ีไปใช๎ ดังที่ ทิศนา แขมมณี (2550 : 331-332) ได๎เสนอแนะถึง ขอ๎ จํากัดของการสอนโดยใช๎สาธติ ดงั นี้ 1. หากกลํุมใหญํผ๎ูเรยี นอาจสงั เกตเห็นการสาธิตไมชํ ดั เจน และทว่ั ถงึ 2. เป็นวิธที ผี่ สู๎ อนเป็นผส๎ู าธติ จงึ อาจไมเํ ห็นพฤตกิ รรมของผู๎เรียน 238

3. เป็นวิธีทีผ่ ๎ูเรียนอาจมีสวํ นรํวมไมทํ วั่ ถึง และมากพอ 4. เปน็ วิธีที่ผ๎ูเรยี นไมํไดล๎ งมอื ทาํ เอง จึงอาจไมเํ กิดความร๎ทู ีล่ กึ ซึง้ เพยี งพอ จากทกี่ ลําวมาจะเห็นได๎วําขอ๎ จาํ กัดของการสอนโดยใช๎การสาธิตที่ควรคํานึง ได๎แกํ หาก เป็นการสอนกลุํมใหญํ ผู๎เรียนอาจสังเกตเห็นการสาธิตไมํได๎ชัดเจนท่ัวถึง และในขณะท่ีผู๎สอนกําลังสาธิต อาจไมเํ หน็ พฤติกรรมของผเ๎ู รยี น หากผเู๎ รียนมีสํวนรวํ มไมํทัว่ ถึงและมากพอ นอกจากนี้ การสอนโดยใช๎การ สาธิตนี้เป็นวธิ ที ี่ผ๎ูเรียนไมํได๎ลงมอื ทําเอง จึงอาจไมํเกดิ ความร๎ูทลี่ ึกซง้ึ เพียงพอ กลําวโดยสรุปการสอนโดยวิธีการสาธิต หมายถึง กระบวนการท่ีผ๎ูสอนใช๎ในการชํวยให๎ ผู๎เรียนได๎เกิดการเรียนรู๎ตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดไว๎ โดยการแสดงหรือการกระทําให๎ดูเป็นตัวอยําง พรอ๎ มๆ กบั การบอก อธิบาย เพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรงจากการสังเกต แล๎วให๎ผ๎ูเรียนได๎ซักถาม อภิปรายและสรปุ การเรียนรทู๎ ีไ่ ด๎จากการสังเกตดงั กลําว ในการสอนโดยใช๎การสาธิตมีจุดมุํงหมาย เพื่อกระตุ๎นความสนใจของนักเรียน และมุํง ชํวยใหผ๎ ูเ๎ รียนทัง้ ช้ันไดเ๎ ห็นการปฏบิ ตั จิ รงิ ด๎วยตาตนเอง ทาํ ให๎เกิดความรู๎ความเข๎าใจในเร่ืองหรือการปฏิบัติ น้นั ชัดเจนขึ้น นอกจากนกี้ ารสาธิตยังชวํ ยอธิบายเนือ้ หาวิชาที่ยาก ซ่ึงต๎องใช๎เวลามาก ให๎เข๎าใจงํายขึ้นและ ประหยัดเวลา รวมท้ังเพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เห็นผลการทดลองที่ผ๎ูเรียนไมํสามารถทดลองเองได๎อันเนื่องจาก เครอ่ื งมือ อปุ กรณ์ไมพํ อท่ีจะใหผ๎ เ๎ู รียนทดลองทุกคนหรือเปน็ การทดลองทีม่ ีอันตราย ข้ันตอนการสอนโดยใช๎การสาธิตอาจแบํงได๎เป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการสอน ข้ัน การสาธิต และขั้นสุดท๎ายขั้นอภิปราย สรุปและประเมินผล สําหรับข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎ การสาธิต ผู๎สอนควรได๎ดําเนินการตามข้ันตอน ดังนี้ 1) กําหนดจุดมํุงหมายของการสาธิตให๎ชัดเจน และ ต๎องสาธิตให๎เหมาะสมกับเนื้อเร่ือง 2) เตรียมอุปกรณ์ในการสาธิตให๎พร๎อม และตรวจสอบความสมบูรณ์ ของอุปกรณ์ 3) เตรียมกระบวนการสาธิต เชํน กําหนดเวลาและขั้นตอน จะเริ่มต๎นดําเนินการและจบลง อยํางไร ผ๎ูสาธติ ตอ๎ งเขา๎ ใจในขั้นตอนตําง ๆ เหลําน้ีอยํางละเอียดแจํมแจ๎ง 4) ทดลองสาธิตกํอนสอน ควร ทดลองสาธิตเพอื่ ตรวจสอบความพร๎อมตลอดจนผลท่ีจะเกิดขึ้น เพ่ือปูองกันข๎อผิดพลาดในเวลาสอน และ 5) ควรจัดเตรียมแบบสังเกตการณ์สาธิต และเตรียมคําถามหรือประเด็นท่ีจะให๎ผู๎เรียนได๎รํวมคิดและ อภปิ รายด๎วย ในข้นั ตอนการสาธิต ผสู๎ อนควรเร่ิมด๎วยการให๎ความรู๎เกี่ยวกับเร่ืองที่จะสาธิต ซ่ึงสามารถ ทําได๎โดย การบรรยายใช๎เอกสารประกอบ หรือใช๎ส่ือ วีดีทัศน์ เป็นต๎น จากน้ันจึงให๎คําแนะนําแกํผ๎ูเรียน ถึงวิธีการในการสังเกต และการบันทึก โดยมีแบบสังเกตการณ์สาธิตประกอบ แล๎วจึงเริ่มการสาธิต ในขณะที่กําลังสาธติ ผู๎สอนอาจใชก๎ ารบรรยายประกอบการสาธิต และเปดิ โอกาสให๎ผ๎ูเรยี นซักถามข๎อสงสัย หรือซักถามผ๎ูเรียนเป็นระยะๆ เพื่อกระตุ๎นความคิดและความสนใจของผู๎เรียน อยํางไรก็ตามการสาธิต เงยี บในบางครัง้ ก็อาจทําให๎นักเรียนมใี จจดจํออยํูกับการสาธติ น้ันๆ ได๎ 239

หลงั จากการสาธิตแลว๎ ผ๎ูสอนควรให๎ผู๎เรียนรายงานสิ่งท่สี งั เกตเห็นพร๎อมทั้งเปิดโอกาสให๎ ผ๎ูเรยี นไดซ๎ ักถาม อภิปรายแลกเปลี่ยนความร๎ูความคดิ ท่ีแตํละคนได๎รบั และนักเรยี นสรุปการเรียนร๎ูท่ีได๎รับ โดยมีครูผ๎ูสอนให๎คําแนะนําในการสรุป สํวนการประเมินผลการเรียนร๎ูอาจทําได๎โดยใช๎คําถาม และให๎ นักเรียนบางคนออกมาสาธิตสิ่งที่ดูไปแล๎ว หรือการเขียนรายงานเกี่ยวกับกระบวนการหรือส่ิงที่ได๎รับจาก การสาธิตนั้นๆ การสอนโดยใช๎การสาธิตมจี ดุ เดํนทเ่ี ป็นประโยชนต์ อํ การเรียนการสอนหลายประการ ซึ่ง ประมวลสรุปประเด็นที่นําสนใจได๎ ดังน้ี 1) เป็นการสอนที่เพ่ิมความเข๎าใจของผู๎เรียน เน่ืองจากได๎เห็น กิจกรรมการสาธิตตามลําดับข้ันตอนและผู๎เรียนจะจําเร่ืองที่สาธิตได๎ดีและนาน 2) เป็นวิธีการสอนที่ชํวย ประหยดั เวลา อุปกรณแ์ ละคาํ ใชจ๎ ําย หากใช๎ทดแทนการทดลอง 3) เป็นวิธีที่สามารถสอนผ๎ูเรียนได๎จํานวน มาก 4) สามารถใช๎ผสมผสานกบั วธิ สี อนแบบตาํ งๆ ได๎ เชนํ วธิ สี อนโดยใช๎การบรรยายหรือการทดลอง เป็น ต๎น 5) เป็นการสอนที่เร๎าใจผ๎ูเรียน 6) การสาธิตสามารถแสดงซ้ําตรงจุดใดจุดหน่ึง เพ่ือให๎ผู๎เรียนเข๎าใจ แจํมแจ๎งในจุดที่ต๎องการได๎ 7) ผ๎ูเรียนสามารถมีสํวนรํวมในกิจกรรมได๎ และ 8) เป็นการฝึกนักเรียนให๎ รจู๎ ักสงั เกต หาเหตุผล และสรปุ หลักเกณฑ์ได๎ ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การสาธิตที่ควรคํานึง ได๎แกํ หากเป็นการสอนกลุํมใหญํ ผ๎ูเรียนอาจสังเกตเห็นการสาธิตไมํได๎ชัดเจนทั่วถึง และในขณะท่ีผู๎สอนกําลังสาธิตอาจไมํเห็นพฤติกรรม ของผ๎ูเรียน หากผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมไมํท่ัวถึงและมากพอ นอกจากนี้ การสอนโดยใช๎การสาธิตนี้เป็นวิธีท่ี ผเู๎ รียนไมไํ ด๎ลงมอื ทาํ เอง จงึ อาจไมเํ กดิ ความรท๎ู ีล่ กึ ซงึ้ เพยี งพอ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมาย จุดมํุงหมายและลักษณะสําคัญของ “การสอนโดยใช๎การสาธิต” ตาม ความคดิ เหน็ ของทําน 2. การสอนโดยใช๎การสาธติ จะต๎องมอี งคป์ ระกอบท่สี ําคัญอะไรบ๎าง 3. ขนั้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารสาธติ มขี ั้นตอนอะไรบ๎าง จงอธบิ าย 4. จงอธบิ ายจุดเดํนและขอ๎ จาํ กดั ของการสอนโดยใช๎การสาธิต มาพอสังเขป 5. ให๎ทาํ นทดลองฝึกสอนโดยใชก๎ ารสาธิต แล๎วใหเ๎ พ่ือนหรือผูเ๎ ชี่ยวชาญใหค๎ ําตชิ ม หรืออาจบันทึก วีดีทศั น์ไวว๎ ิเคราะห์การสอนของตนเองก็ได๎ 240


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook