Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Published by ED-APHEIT, 2020-05-08 11:53:56

Description: ปรับปรุง@10-04-2562 ใช้ เอกสารประกอบการสอน รายวิชา TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Search

Read the Text Version

3) ฝากปญั หาใหผ๎ ๎ูเรียนไปคดิ ตํอ 4) เปดิ โอกาสให๎ผ๎เู รียนไดซ๎ ักถามปญั หา 5) มอบหมายงานใหผ๎ ู๎เรยี นไปคน๎ คว๎าเพิ่มเติม 6) ควรไดบ๎ อกลํวงหนา๎ ถงึ เนื้อหาท่จี ะเรยี นในคร้ังตํอไป อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 85) ได๎อธบิ ายข้ันตอนท่ีสองของการสอนโดยการบรรยาย ซ่ึงเป็น ขน้ั บรรยายวําประกอบด๎วยรายละเอียด ดังตํอไปนี้ 1. แสดงความจริงจังมคี วามเชื่อมน่ั ในเรื่องทีจ่ ะบรรยาย 2. ควบคมุ อารมณ์ ไมตํ นื่ เตน๎ ไมปํ ระหมํา หรือเครยี ด แสดงความเปน็ กันเอง ย้มิ แยม๎ แจมํ ใส 3. พดู ดว๎ ยเสียงทเี่ ปน็ ธรรมชาติ ชัดถ๎อยชัดคํา ไมํเร็วหรอื ชา๎ เกินไป 4. ใชส๎ ายตามองผเ๎ู รยี น เพ่อื แสดงวําผูส๎ อนเห็นความสาํ คญั ของผ๎ูเรยี น เป็นการเช่ือม ความสัมพันธ์ 5. ควรเรม่ิ ต๎นดว๎ ยการโยงประสบการณ์เดมิ ใช๎เทคนิคนาํ เข๎าสํูบทเรียน เชํน ยกเร่ืองราวที่ เกีย่ วขอ๎ ง ต้ังคําถาม ฯลฯ 6. การบรรยายควรมคี าํ ถามแทรกระหวาํ งการบรรยาย 7. ใหโ๎ อกาสผูเ๎ รยี นได๎ตั้งคําถามถามในเรอื่ งทเี่ รียน 8. ควรมีการสลบั ดว๎ ยกิจกรรมกลํุมยํอย เชํน การระดมความคิด การอภปิ ราย 9. เมื่อบรรยายจบผเ๎ู รียนควรได๎ทําแบบฝึกหัด ผ๎บู รรยายคดิ ทบทวนหาวธิ ีการปรับปรุงให๎ การบรรยายครัง้ ตํอไปดียิ่งขน้ึ สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทพิ า อุทยั สขุ (2540 : 59) ไดเ๎ สนอแนะพฤติกรรมและบุคลกิ ของครใู นการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ดงั น้ี 1. พฤตกิ รรมการสอนของครู ควรเปน็ ดังนี้ 1) บอกหัวขอ๎ หรือเนอื้ เรื่องโดยสงั เขป และวตั ถุประสงค์ของบทเรียนกอํ นทําการบรรยาย เพื่อใหผ๎ ๎เู รยี นสามารถติดตามเนื้อหาด๎วยความเขา๎ ใจและดว๎ ยความสนใจ 2) ผู๎สอนควรจดหัวข๎อยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพื่อให๎ผ๎เู รียนสามารถติดตามบทเรยี น และจดเนอื้ หาสาระสาํ คัญลงในสมุดจดของตนได๎ 3) ขณะที่ทําการบรรยาย อาจถามคาํ ถามผเู๎ รียนไปดว๎ ยก็ได๎ เพ่อื ทดสอบความเข๎าใจของ ผู๎เรียน รวมท้ังเปน็ การดึงความสนใจของผเู๎ รยี นกลบั มายงั บทเรยี นอีกดว๎ ยในกรณีท่ีผ๎เู รยี นเริม่ เบอื่ หนาํ ย การเรียนการสอน 4) ถ๎าผู๎เรยี นไมเํ ขา๎ ใจบทเรยี น หรอื การส่ือความหมายของผู๎สอนไมํดีพอ ตอ๎ งคอยกระต๎ุน ใหผ๎ ๎เู รียนถามปญั หา หรือถามข๎อข๎องใจได๎ 141

5) ในการบรรยาย อาจมีเน้ือหาสาระหรือประเดน็ บางประการท่สี ําคญั ผูส๎ อนควรเนน๎ ให๎ มากเพอื่ ใหผ๎ ๎เู รียนเข๎าใจเนื้อหาดยี ่ิงขึ้น 6) ถ๎าผ๎เู รยี นแสดงความเบ่ือหนาํ ย เชนํ การแสดงออกทางสหี นา๎ หรือการพูดคุยกับเพอ่ื น ในช้นั ผูส๎ อนต๎องคอยสงั เกตและพยายามดึงความสนใจของผเู๎ รยี นกลบั มาสบํู ทเรยี นให๎ได๎ โดยอาจใช๎ วิธีการถามคาํ ถาม หรอื การยกตวั อยาํ งที่นาํ สนใจ หรือเปล่ียนกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ใี หผ๎ เ๎ู รยี นมีสวํ น รวํ มด๎วยกไ็ ด๎ ทัง้ น้ีข้ึนอยํูกับวินจิ ฉัยของผสู๎ อนในการแก๎ปญั หาเฉพาะหน๎า 7) ขณะทที่ ําการบรรยาย ผ๎ูสอนควรใหผ๎ ู๎เรยี นมกี จิ กรรมการเรยี นการสอนไปดว๎ ย เชนํ การให๎จดเนอื้ หาสาระสําคัญของบทเรียน จะทําให๎การเรียนในชวั่ โมงน้นั ๆ มคี วามหมายยิ่งข้นึ 2. สาํ หรับในดา๎ นบุคลกิ ภาพนัน้ เนื่องจากการเรียนการสอนดว๎ ยวิธกี ารบรรยาย เป็นการสอน ที่ครูเปน็ ศูนย์กลางของห๎องเรียน เป็นจุดสนใจของห๎องเรียน ดงั น้ัน บคุ ลกิ ภาพของครจู งึ เปน็ เร่อื งสําคญั เปน็ ต๎น สหี นา๎ ทาํ ทางของครูต๎องแสดงความเปน็ กันเอง เพอ่ื ใหบ๎ รรยากาศของห๎องเรียนเกิดความ หวาดกลวั และไมํอยากเรยี นในช่ัวโมงนัน้ ๆ การแตงํ กายก็เชนํ กนั ควรแตงํ ตวั ดี สภุ าพ และเหมาะกับ กาลเทศะด๎วย นาํ้ เสยี งควรให๎ชัดเจน แทรกอารมณ์ขันในบางคร้งั เพ่ือผํอนคลายความตึงเครยี ดของ บทเรียน ทิศนา แขมมณี (2550 : 327) ได๎ใหข๎ ๎อเสนอแนะของขั้นตอนการบรรยายไว๎วํา การบรรยาย เม่อื เรม่ิ การบรรยาย ผูบ๎ รรยายควรเร๎าความสนใจของผูเ๎ รียนและพยายามรักษาความสนใจนน้ั ใหค๎ งอยํู ตลอดการบรรยายดว๎ ยเทคนคิ ตาํ ง ๆ เชนํ 1. การใช๎ปญั หาเปน็ ส่ิงเรา๎ เชํน ใช๎ขําว เหตุการณ์สําคัญและกรณีตัวอยาํ งตาํ ง ๆ 2. การใช๎การทดสอบกํอนเรยี นและหลงั เรยี นเพอื่ ชํวยให๎ผู๎เรยี นได๎เหน็ ความ สามารถของตนในเรื่องน้นั 3.การใชส๎ อ่ื ประกอบ เชํน ใชแ๎ ผนํ ใส ภาพ สไลด์ เทปเสียง วดี ีทศั น์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน๎ 4. การใช๎การซกั ถามประกอบกบั การบรรยาย 5. การใชก๎ จิ กรรมประกอบการบรรยาย เชํน การอภิปรายกลุํมยอํ ย การสาธิต การแสดง บทบาทสมมติ การเลํนเกม การทดลองปฏิบัติ เป็นตน๎ 6. การยกตวั อยํางประกอบการอธบิ าย 7. การใชอ๎ ารมณ์ขนั 8. การเปิดโอกาสให๎ผ๎ูฟงั ซักถาม และแสดงความคิดเห็น สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อุทยั สขุ (2540 : 64) ได๎กลําวถงึ ข๎อเสนอแนะของไพฑรู ย์ สินลารตั น์ ท่เี ก่ยี วกบั การบรรยายตอนหนง่ึ วาํ ผส๎ู อนควรจะได๎เขา๎ ใจวําความนาํ สนใจหรือความสนกุ สนาน ในการเรยี นนนั้ ไมจํ าํ เป็นต๎องข้นึ อยูํกับความสนุกสนานทางอารมณ์ ดว๎ ยการตลกโปกฮาเสมอไป แตํความ 142

สนกุ สนานในทางปญั ญาก็เป็นสง่ิ ทผ่ี ๎ูเรยี นมคี วามต๎องการเป็นอยาํ งมากเชนํ กนั อารมณ์ขันนัน้ อาจเปน็ เร่อื ง เฉพาะบคุ คล แตํความสนุกกับวชิ านั้นเปน็ เรื่องท่ที ุกคนควรมไี ด๎ ดงั นน้ั กํอนท่ีจะสอนวชิ าอะไร ผส๎ู อนควร จะได๎สาํ รวจตัวเองเสยี กํอนวาํ เราสนใจหรอื สนกุ กับวิชาทีเ่ ราจะสอนเพียงใด ถ๎าเราเองยงั ไมสํ นกุ และไมํ สนใจวิชาทส่ี อนหรอื สอนพอใหเ๎ สร็จ ๆ ไปแล๎ว กย็ ากท่ีจะสอนใหผ๎ ๎ูเรยี นสนกุ สนานได๎ แตํถ๎าเราร๎ูสกึ สนกุ และสนใจแลว๎ โอกาสทจี่ ะสอนให๎สนุกและนาํ สนใจก็ทําไดไ๎ มํยากนกั จากท่กี ลาํ วมา สรุปไดว๎ าํ ข้ันสอนโดยใชก๎ ารบรรยายนั้น ครูควรเรมิ่ ต๎นดว๎ ยขนั้ นําโดยการ ซักถามพูดคุยกับผ๎เู รียน จากนน้ั จงึ ทบทวนการบรรยายในครงั้ กํอนเพื่อเช่ือมโยงกบั เร่ืองใหมํ จากนนั้ ถึงข้ันอธิบายครผู ู๎สอนควร 1) บอกโครงเรอื่ ง ขอบขาํ ยของเน้ือหา และแจ๎งจดุ ประสงค์ ของบทเรยี น 2) อธิบายให๎ชัดเจนตามลําดับเนอื้ หาอยํางตอํ เน่ืองกัน 3) สังเกตปฏกิ ิริยาของผเ๎ู รยี น ตลอดเวลาเพ่ือการยาํ้ ซ้าํ หรอื หยดุ ทบทวนใหมํ 4) ถามคาํ ถามในบางตอนเพื่อกระตุ๎นความสนใจของ ผ๎ูเรียน และทดสอบความเขา๎ ใจ 5) ยกตัวอยาํ งประกอบ เพื่อเพิ่มความแจํมแจง๎ ในบทเรยี น 6) ใช๎นํา้ เสียง บคุ ลกิ ภาพทําทาง ทําทีการพูดอธบิ าย การใชภ๎ าษา และอารมณข์ ันทีเ่ หมาะสม และ 7) ผู๎สอนควรจด หัวขอ๎ ยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพอ่ื ใหผ๎ ๎ูเรียนสามารถติดตามบทเรียนและจดเนื้อหาสาระสาํ คญั ลงในสมุด จดของตนได๎ ขั้นตอํ มา ขัน้ สรุป ผู๎สอนอาจใชว๎ ิธี 1) สรปุ โยงเน้ือเรื่องตง้ั แตํต๎นจนจบ 2) ตั้งปญั หาให๎ผเ๎ู รียน ไดค๎ ิดวิเคราะห์วจิ ารณ์ 3) ฝากปญั หาให๎ผเ๎ู รยี นไปคดิ ตํอ 4) เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนไดซ๎ กั ถามปัญหา 5) มอบหมายงานใหผ๎ ๎ูเรยี นไปคน๎ ควา๎ เพิ่มเติม และ 6) ควรไดบ๎ อกลวํ งหนา๎ ถึงเนื้อหาทจ่ี ะเรียนในคร้ังตํอไป นอกจากน้ี ผสู๎ อนควรจะได๎เขา๎ ใจวาํ ความนําสนใจหรือความสนุกสนานในการเรียนนัน้ ไมํ จาํ เป็นตอ๎ งขึน้ อยูํกับความสนุกสนานทางอารมณอ์ ยํางเดยี ว แตอํ าจจะสนุกสนานในทางปัญญา กบั วิชาที่ เรียนกไ็ ด๎ ดงั นนั้ ผสู๎ อนควรจะสํารวจตัวเองวําเราสนกุ กบั วชิ าที่สอนเพียงใด ถ๎าเราเองยงั ไมสํ นกุ กย็ ากทจ่ี ะ สอนให๎ผู๎เรยี นสนกุ สนานได๎ 3. ข้ันสรุปและประเมินผล ข้ันตอนสดุ ท๎ายของวธิ ีการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายน้ัน คอื ข้นั สรุป และประเมินผล ซ่งึ ได๎มี นักวชิ าการอธิบายไว๎หลายทาํ น ดังนี้ อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 85) ได๎อธิบายข้ันสรปุ ของการสอนโดยวิธีการบรรยาย วํา ประกอบด๎วย 1. สรุปโยงเน้อื เรอ่ื งต้งั แตํตน๎ จนจบ 2. ตั้งปญั หาให๎ผู๎เรยี นไดค๎ ิดวเิ คราะห์วจิ ารณ์ 3. มอบหมายงานให๎ผูเ๎ รยี นไปคน๎ ควา๎ เพิม่ เติม 143

สามารถ คงสะอาด (2535 : 21) อธิบายวํา ข้ันสรุป เป็นข้นั ท่ีผส๎ู อนและผู๎เรียนรวํ มกัน อภปิ ราย และแสดงความคดิ เหน็ เพ่ือเปน็ การสรปุ เน้อื หาทีส่ ําคญั ของบทเรยี นท่ไี ด๎บรรยายต้ังแตํต๎นจนจบ โดยสรปุ เป็นกฎเกณฑ์และข๎อเทจ็ จริงเพ่ือให๎ผเู๎ รยี นจดบนั ทกึ ไว๎ทบทวน สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทยั สุข (2540 : 61) การปรับปรงุ การสอนแบบบรรยาย การ ปรับปรงุ การเรยี นการสอนของครู จะทาํ ให๎การสอนแบบบรรยายมีคุณคาํ มากขึน้ การปรบั ปรุงการสอน ของครูสามารถกระทําได๎หลายวิถีทาง แตํทงั้ นข้ี ้นึ อยูกํ บั ความใจกวา๎ งของผส๎ู อนเอง เป็นต๎นวาํ จดั ทํา แบบสอบถามให๎ผูเ๎ รยี นประเมินการสอนในหวั ข๎อตําง ๆ เชํน เน้อื หา ลําดบั การเสนอเนอ้ื หา วิธีการเสนอ เน้ือหา ระยะเวลาบคุ ลกิ ภาพของครู การใชค๎ าํ ถาม ฯลฯ ซ่ึงการประเมินของผู๎เรยี นดังกลาํ ว จะทําให๎ผ๎สู อน ทราบขอ๎ บกพรํองของตน อนั จะนาํ ไปสํูการปรับปรงุ วธิ ีสอนให๎ดขี น้ึ การให๎เพือ่ นครดู ว๎ ยกนั เขา๎ สังเกตการณ์สอนกเ็ ปน็ วธิ ีหนงึ่ ท่จี ะชวํ ยใหก๎ ารปรับปรุงการเรียนการ สอนไดเ๎ ชํนกนั การเข๎าสังเกตพฤติกรรมการสอนของครจู ะทําให๎ได๎ขอ๎ มลู มาทาํ การปรับปรุงการเรยี นการ สอนอยาํ งมาก นอกจากนนั้ อาจใช๎เทคโนโลยกี ารศึกษาเขา๎ ชํวย เชํน การบนั ทึกเสียงหรอื การถํายวีดีโอเทปเพ่ือ นาํ มาปรับปรงุ การสอนของตนได๎ สิริวรรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อุทยั สขุ (2540 : 61) กลําววํา ข้ันตดิ ตามผล ผู๎สอนควรควรมี การติดตามผลวาํ ผ๎ูเรียนมคี วามเข๎าใจในเน้ือหามากน๎อยเพียงใดหลงั จากที่ไดเ๎ รยี นไปแลว๎ เพราะการสอน แบบบรรยายผเู๎ รยี นมักเปน็ ฝุายที่รบั ฟังเทําน้ัน ไมํคํอยมีสํวนรวํ มกิจกรรมหรอื มปี ฏกิ ิรยิ าโต๎ตอบมากนัก จงึ เปน็ การเดาได๎ยากวําผเ๎ู รียนเข๎าใจเนอื้ หามากน๎อยเพยี งใด ดังนั้นการตดิ ตามผลจึงเป็นสงิ่ สาํ คญั ของผสู๎ อน ในการติดตามผลนั้นกระทําได๎หลายวธิ ี เชํน การตรวจดูสมดุ บันทกึ ท่ผี ูเ๎ รียนจดสรปุ คําบรรยาย การถาม คาํ ถามที่เกี่ยวข๎องกบั เน้อื หาท่ีบรรยายไปแลว๎ การให๎ผเู๎ รียนอภปิ รายปัญหาที่ผูส๎ อนหยิบยกขนึ้ มาภายหลัง การบรรยายส้ินสุดลงแลว๎ เพราะนอกจากจะไดต๎ ิดตามผลในเรือ่ งความรู๎ความเขา๎ ใจของเน้ือหาบทเรียน แลว๎ ยงั เป็นการตรวจสอบปฏิกิริยาหรือเจตคตขิ องผเ๎ู รียนท่ีมีตํอบทเรยี นนน้ั ๆ ดว๎ ย การทดสอบดว๎ ย แบบทดสอบปรนยั สน้ั ๆ ก็เป็นวิธีประเมนิ ผลความเข๎าใจอีกวิธหี นึ่ง การตดิ ตามผลน้นั จะรวมการ มอบหมายงานให๎ไปศกึ ษาตํอหรือค๎นคว๎าด๎วย สรุปได๎วํา ขนั้ สรุปและประเมนิ ผลของการสอนโดยใช๎การบรรยายนั้น เป็นขัน้ ตอนทีค่ รผู ู๎สอน สรปุ โยงเนอื้ เรอื่ งตัง้ แตตํ น๎ จนจบ หรือใหผ๎ เู๎ รยี นไดร๎ ํวมกันสรุปก็เป็นวธิ ีการท่ีเหมาะสม เพราะให๎ผู๎เรียนได๎ ฝึกคิด และเปน็ การวดั ผลการเรียนรข๎ู องผู๎เรยี นไปในตวั โดยครูมบี ทบาทในการแนะนําการสรุป จากนนั้ ครูสามารถตดิ ตามการบรรยายโดยการตรวจดสู มดุ บันทึก การถามคาํ ถาม หรือแบบทดสอบปรนัยส้นั ๆ เป็นต๎น นอกจากนี้ผ๎ูสอนสามารถติดตามผลของผเู๎ รียนโดยการมอบหมายงานใหไ๎ ปศึกษาค๎นควา๎ ตอํ พร๎อม นาํ เสนอการรายงาน การศึกษาคน๎ ควา๎ ตอํ ไป 144

สําหรบั การติดตามผลการสอนของครูก็เป็นสิ่งทคี่ วรกระทํา ซ่ึงสามารถทาํ ได๎โดยใช๎ แบบสอบถามผูเ๎ รียนเกย่ี วกบั ความพึงพอใจในกิจกรรมการเรียนการสอน หรอื ความคดิ เหน็ เก่ียวกับ เทคนคิ วธิ กี ารสอนของครู นอกจากนีผ้ ู๎สอนอาจให๎เพ่ือนครเู ขา๎ สงั เกตการณ์สอนและใหค๎ ําตชิ ม หรอื อาจ ใช๎การบันทกึ วดี ีทัศน์แลว๎ นํามาชมทีหลงั ก็ได๎ จดุ เด่นของวิธีสอนโดยใช้การบรรยาย การสอนโดยใช๎การบรรยายมีจดุ เดํนทีน่ าํ สนใจหลายประการดังท่ีนกั วิชาการเสนอไวใ๎ กล๎เคยี ง กนั ดังขา๎ งลาํ งนี้ อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 140) กลาํ ววํา จดุ เดํนของการสอนโดยใช๎การบรรยาย มดี ังนี้ 1. สามารถสอนกับผ๎เู รียนจาํ นวนมากได๎ เปน็ การประหยดั พลงั งานและเวลาของผสู๎ อน 2. สะดวกในการให๎เน้อื หาทางทฤษฎีแกผํ เ๎ู รียน 3. ผูส๎ อนสามารถดาํ เนนิ คนเดยี วได๎ 4. โอกาสทีจ่ ะปรับปรุงเน้อื หาและวธิ กี ารให๎เหมาะสมกบั ผูฟ๎ งั เวลา และองค์ประกอบอืน่ ๆ ได๎ดีกวําวธิ อี ืน่ 5. สามารถสรปุ เนอื้ หาจากทตี่ ําง ๆ เขา๎ เป็นกลุํมก๎อนได๎งําย 6. ผูเ๎ รียนไมตํ อ๎ งทาํ งานมากและรับรเ๎ู ร่ืองท่เี รียนตรงกนั และพร๎อมกัน 7. ให๎ความรู๎แกํผ๎ูเรียนไดอ๎ ยํางเตม็ เม็ดเตม็ หนํวย ได๎เนอ้ื หามาก กวา๎ งขวาง และเที่ยงตรง เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 230) กลําววํา การสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมีข๎อดี คอื 1. สามารถใชว๎ ิธสี อนบรรยายในการสอนให๎เกิดความสามารถดา๎ นพุทธพิ สิ ยั ได๎ 2. การสอนแบบบรรยายไมจํ าํ เปน็ ต๎องใช๎เคร่ืองมอื อปุ กรณม์ าก 3. การสอนแบบบรรยายสามารถปรับปรุงใชส๎ อนได๎กับกลมํุ ผูเ๎ รยี นทุกขนาด ตั้งแตํกลมํุ ยํอย จนถึงกลํุมใหญํมาก 4. การสอนแบบบรรยายสามารถจะทาํ ได๎ในทุกสถานที่ เชํน ภายในอาคาร นอกอาคาร ใน หอ๎ งเรียน หรือในสนามกต็ าม 5. สามารถสอนให๎ได๎เนือ้ หามากในชํวงเวลาอันจาํ กัด 6. ผ๎บู รรยายอาจยดื หยํนุ การบรรยายของตนให๎เร็วหรือชา๎ ได๎ และอาจเพิ่มเตมิ หรอื ตัดทอน เนอ้ื หาได๎ระหวาํ งการบรรยายท้งั นข้ี ้ึนอยํกู ับปฏกิ ิรยิ าของผฟู๎ ัง ทิศนา แขมมณี (2550 : 329) กลาํ วถึงข๎อดีของวิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย มดี งั น้ี 1. เปน็ วิธีสอนทใี่ ชเ๎ วลานอ๎ ย เม่ือเทยี บกบั วธิ ีสอนแบบอ่นื ๆ 2. เปน็ วิธสี อนทใ่ี ชก๎ บั ผูเ๎ รยี นจาํ นวนมากได๎ 145

3. เป็นวธิ ีสอนที่สะดวก ไมยํ ํุงยาก 4. เป็นวธิ ีสอนที่ถาํ ยทอดเนือ้ หาสาระไดม๎ าก จากที่นกั วชิ าการหลายทํานได๎กลาํ วถงึ จุดเดํนของวธิ สี อนโดยใชก๎ ารบรรยายสรุปเปน็ จุดเดนํ ที่ นําสนใจของการสอนไดเ๎ ป็นข๎อๆ ดังน้ี 1. เป็นวธิ สี อนทใี่ ช๎เวลานอ๎ ย เมือ่ เทียบกับวิธีสอนแบบอนื่ ๆ 2. เป็นวธิ สี อนทใ่ี ชก๎ บั ผเู๎ รียนจาํ นวนมากได๎ 3. เป็นวิธีสอนท่สี ะดวก ไมยํ ุํงยาก 4. เป็นวธิ ีสอนที่ถํายทอดเน้อื หาสาระไดม๎ าก 5. โอกาสที่จะปรับปรุงเนื้อหาและวิธกี ารให๎เหมาะสมกบั ผู๎ฟงั เวลา และองค์ประกอบอืน่ ๆ ไดด๎ กี วาํ วิธีอ่ืน 6. การสอนแบบบรรยายสามารถจะทําไดใ๎ นทุกสถานท่ี เชํน ภายในอาคาร นอกอาคาร ใน ห๎องเรียน หรอื ในสนามกต็ าม ข้อจากัดของวธิ ีสอนโดยใช้บรรยาย นกั วิชาการได๎กลาํ วถงึ ขอ๎ จํากัดท่ีใชใ๎ นการสอนโดยใช๎การบรรยาย ซง่ึ มีรายละเอียด ดังน้ี อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 140-141) กลําววาํ ข๎อจาํ กดั ของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย มี ดงั น้ี 1. การบรรยายไมคํ าํ นงึ ถึงความแตกตํางของผู๎เรยี น เพราะต๎องรับและรเ๎ู รอื่ งเดียวกนั เวลา เดยี วกนั 2. ผู๎เรยี นไมมํ ีโอกาสแสดงความคดิ เห็น (บางคร้งั มไี ด๎บ๎างแตํน๎อย) ทําให๎ขาดโอกาสในการฝึก ความคดิ วเิ คราะห์ 3. การบรรยายทดี่ ีต๎องอาศัยทักษะและเทคนิคการพูดทเี่ รา๎ ความสนใจ ซ่ึงไมสํ ามารถทําได๎ ทกุ ๆ คน 4. สํงเสรมิ ให๎ผู๎เรยี นจด ทอํ งจํา มากกวาํ การศึกษาด๎วยตนเอง 5. ผเู๎ รยี นมีสวํ นรวํ มในการเรียนน๎อย ทําใหเ๎ กิดความเบอื่ หนาํ ย หมดความสนใจได๎งาํ ย 6. ใชไ๎ ด๎เหมาะสมดเี ฉพาะผู๎เรยี นระดับอุดมศึกษา ซึง่ มชี วํ งความสนใจยาวในการฟงั บรรยาย เสริมศรี ลกั ษณศริ ิ (2540 : 230-231) กลําววํา การสอนแบบบรรยายมีข๎อดอ๎ ย ดงั น้ี 1. ผเ๎ู รยี นมสี วํ นรวํ มในกิจกรรมการเรียนการสอนนอ๎ ยมากหรือไมมํ ีเลย ทําใหม๎ ลี ักษณะเปน็ การเรยี นรแ๎ู บบเฉ่ือยชา (Passive Learning) 2. เปน็ การเรยี นการสอนที่ไมสํ งํ เสริมความสามารถในการคดิ ของผ๎ูเรียน 146

3. การสอนแบบบรรยายจะไดผ๎ ลดีต๎องอาศัยผู๎บรรยายท่มี คี วามสามารถในการบรรยายและมี ความรดู๎ ี มฉิ ะนน้ั ไมํไดผ๎ ล 4. ชํวงความสนใจของผู๎เรยี นไมอํ าจคงอยูไํ ด๎ตลอดการบรรยาย ดังนน้ั ถา๎ สอนไปนาน ๆ จะ ไมํไดผ๎ ล 5. การสอนแบบบรรยายไมคํ าํ นึงถึงความแตกตํางของผเ๎ู รยี น เพราะทุกคนต๎องเรียนเรอื่ ง เดยี วกัน ในเวลาเดยี วกนั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 329) กลาํ วถงึ ข๎อจํากัดของวธิ สี อนโดยใช๎การบรรยาย มีดังนี้ 1. เป็นวธิ ีสอนท่ผี ๎เู รยี นมบี ทบาทน๎อยจงึ อาจทําใหผ๎ ูเ๎ รยี นขาดความสนใจในการบรรยาย 2. เป็นวิธีสอนทีอ่ าศยั ความสามารถของผบู๎ รรยาย ถา๎ ผู๎บรรยายไมํมศี ิลปะในการบรรยายท่ี ดึงดูดใจผเ๎ู รียน ผู๎เรียนอาจขาดความสนใจ และถา๎ ผ๎สู อนขาดการเรียบเรยี งเนื้อหาสาระอยํางเหมาะสม ผเู๎ รียนอาจไมํเขา๎ ใจ และไมํสามารถซักถามได๎ (ถา๎ ผ๎ูบรรยายไมเํ ปิดโอกาส) 3. เป็นวิธสี อนทไี่ มสํ ามารถสนองตอบความต๎องการและความแตกตาํ งระหวาํ งบุคคล จากท่ีนกั วิชาการหลายทาํ นได๎กลําวถึงข๎อจาํ กดั มาทัง้ หมดพอจะสรปุ ข๎อจาํ กดั ได๎ดังนค้ี ือ 1. ผู๎สอนต๎องใช๎ทักษะการเรา๎ ความสนใจของนักเรยี นเพื่อใหน๎ กั เรียนมสี ํวนรํวมมากยง่ิ ขึน้ 2. ใช๎ได๎เหมาะสมดเี ฉพาะผู๎เรยี นที่มีชํวงความสนใจในการฟังการบรรยายได๎ยาว 3. ผเู๎ รียนต๎องใชค๎ วามสามารถทกั ษะด๎านการฟงั และการคิด 4. เปน็ การสอนท่ีไมํคํานึงถึงความแตกตาํ งระหวํางบุคคล 5. ผเ๎ู รียนมีสํวนรวํ มและแสดงความคดิ เหน็ ในการเรยี นได๎นอ๎ ย 6. ผู๎เรียนเกดิ ความเบ่อื หนํายและขาดความสนใจไดง๎ ําย 7. ไมเํ อื้อตํอการเรียนร๎ูระดับการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ซ่งึ เป็นความสามารถขน้ั สูง เวน๎ แตํมี กจิ กรรมอ่ืนๆ เสรมิ ระหวํางการบรรยาย กลําวโดยสรุปได๎วํา การสอนแบบบรรยาย หมายถึง วิธีการสอนที่ผู๎สอนเป็นฝุายบอกเลํา อธิบาย หรือถํายทอดความร๎ูให๎กับผ๎ูเรียนในรูปของคําพูด โดยผ๎ูสอนจะเป็นผ๎ูค๎นคว๎าหาความร๎ูมาเพ่ือ อธิบายให๎ผ๎ูเรียนฟังโดยเฉพาะ ผ๎ูเรียนจึงเป็นฝุายที่จะได๎รับข๎อมูลจากเน้ือหาในบทเรียนเพียงอยํางเดียว โดยผ๎ูเรียนจะต๎องใช๎การฟัง การวิเคราะห์ การจดจาํ เน้ือหาสาระ หรือจดบันทึกจากสิ่งที่ผู๎สอนได๎อธิบายไว๎ ทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นไมมํ ีโอกาสศึกษาคน๎ คว๎าเป็นเพยี งผ๎ูรบั วิธกี ารสอนนี้จึงเน๎นผส๎ู อนเป็นสาํ คัญ ลักษณะสําคัญของวิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย ได๎แกํ การท่ีผู๎สอนถํายทอดความรู๎แกํผ๎ูเรียนโดย การ พดู อธิบาย บอก เลาํ ใหผ๎ ๎ูเรียนไดฟ๎ ัง และอาจจดบันทึกสาระสาํ คญั ไวส๎ าํ หรบั การทบทวนความร๎ู การสอนโดยใช๎การบรรยายมีจุดมุํงหมายสําคัญ คือ 1) มํุงชํวยให๎ผ๎ูเรียนจํานวนมากได๎เรียนร๎ูใน เวลาที่จํากัด 2) เพ่ือให๎ความรู๎หรือประสบการณ์ใหมํแกํผู๎เรียน เป็นความรู๎ท่ีค๎นคว๎าหาได๎ยาก หรือเป็น 147

ประสบการณ์เฉพาะของผส๎ู อนเอง 3) เพอื่ ใหผ๎ เู๎ รียนได๎มคี วามรูไ๎ ปในทศิ ทางเดียวกันและได๎เนื้อหาอยํางเทํา เทียมกัน และ 4) เพื่อชํวยนําทางในการอํานหนังสือของผ๎ูเรียน และชํวยสรุปประเด็นสําคัญในกรณีที่ ผ๎สู อนมอบหมายใหไ๎ ปอํานมาลวํ งหนา๎ แลว๎ ขั้นตอนของวิธสี อนโดยใช๎การบรรยายที่สาํ คญั ไดแ๎ กํ ขั้นเตรียมการสอนโดยใช๎การบรรยาย ขั้น สอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ซ่ึงขั้นน้ียังแบํงออกเป็น 1) ขั้นนํา 2) ขั้นอธิบาย และ 3) ขั้นสรุป และสุดท๎ายคือ ขน้ั ประเมินผลการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ขั้นเตรียมการสอนโดยใช๎การบรรยายนั้น ครูควรจัดทําแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนร๎ู โดยคํานึงถึงพื้นความรู๎ ความสามารถ และประสบการณ์เดิมของผ๎ูเรียน ซึ่งในแผนการสอนนั้นครูก็ต๎อง เตรียมในสวํ นของวัตถุประสงค์การเรยี นรู๎ กิจกรรมการเรียนการสอน สือ่ การวัดผลการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เป็นต๎น แตํท่ีพิเศษและท๎าทายความสามารถของคุณครูก็คือ จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช๎การ บรรยายอยํางไรให๎ผู๎เรียนไมํร๎ูสึกเบื่อ ซ่ึงครูอาจทําได๎โดยใช๎สื่อ ใช๎คําถาม เรื่องเลํา สถิติที่สําคัญ คํากลอน คําอุปมาอุปมัย รวมทั้งใช๎อารมณ์ขันหรือกิจกรรมอื่นๆ ท่ีเหมาะสม และเชํนเดียวกับการสอนในทุกครั้ง กํอนเวลาสอน ครูควรเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ตํางๆ ให๎เรียบร๎อย และพร๎อมสําหรับการใช๎งาน และ หากเนื้อหาทจ่ี ะบรรยายนน้ั ใหมสํ าํ หรับคุณครู คุณครูก็ควรซักซ๎อมการสอน ซึ่งจะทําให๎ครูมีความชํานาญ ในการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมากย่ิงข้นึ ข้ันสอนโดยใชก๎ ารบรรยายนน้ั ครคู วรเริ่มตน๎ ด๎วยข้ันนําโดยการซักถามพูดคุยกับผู๎เรียน จากนั้น จึงทบทวนการบรรยายในครง้ั กอํ นเพือ่ เชอ่ื มโยงกบั เร่ืองใหมํ จากน้ันถึงข้ันอธิบายครูผ๎ูสอนควร 1) บอกโครงเรื่อง ขอบขํายของเนื้อหา และแจ๎งจุดประสงค์ ของบทเรียน 2) อธิบายให๎ชัดเจนตามลําดับเนื้อหาอยํางตํอเนื่องกัน 3) สังเกตปฏิกิริยาของผ๎ูเรียน ตลอดเวลาเพ่ือการย้ําซํ้า หรือหยุดทบทวนใหมํ 4) ถามคําถามในบางตอนเพื่อกระต๎ุนความสนใจของ ผู๎เรียน และทดสอบความเข๎าใจ 5) ยกตัวอยํางประกอบ เพ่ือเพ่ิมความแจํมแจ๎งในบทเรียน 6) ใช๎นํ้าเสียง บุคลิกภาพทําทาง ทําทีการพูดอธิบาย การใช๎ภาษา และอารมณ์ขันท่ีเหมาะสม และ 7) ผ๎ูสอนควรจด หัวข๎อยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพื่อให๎ผ๎ูเรียนสามารถติดตามบทเรียนและจดเน้ือหาสาระสําคัญลงในสมุด จดของตนได๎ ขน้ั ตํอมา ข้ันสรุป ผู๎สอนอาจใช๎วิธี 1) สรุปโยงเน้ือเรื่องตั้งแตํต๎นจนจบ 2) ตั้งปัญหาให๎ผู๎เรียนได๎ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ 3) ฝากปัญหาให๎ผู๎เรียนไปคิดตํอ 4) เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนได๎ซักถามปัญหา 5) มอบหมายงานให๎ผ๎ูเรยี นไปค๎นควา๎ เพม่ิ เติม และ 6) ควรได๎บอกลวํ งหนา๎ ถงึ เนื้อหาท่ีจะเรียนในครงั้ ตอํ ไป นอกจากน้ี ผู๎สอนควรจะได๎เข๎าใจวําความนําสนใจหรือความสนุกสนานในการเรียนนั้น ไมํ จําเป็นต๎องข้ึนอยูํกับความสนุกสนานทางอารมณ์อยํางเดียว แตํอาจจะสนุกสนานทางปัญญากับวิชาที่ เรียนกไ็ ด๎ ดงั นั้นผูส๎ อนควรจะสํารวจตวั เองวําเราสนุกกับวิชาที่สอนเพียงใด ถ๎าเราเองยังไมํสนุกก็ยากที่จะ สอนให๎ผู๎เรียนสนกุ สนานได๎ 148

ขั้นสรปุ และประเมินผลของการสอนโดยใช๎การบรรยายนั้น เป็นขั้นตอนที่ครูผ๎ูสอน สรุปโยงเน้ือ เรอื่ งตงั้ แตตํ น๎ จนจบ หรือให๎ผู๎เรียนได๎รํวมกันสรุปก็เป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะให๎ผู๎เรียนได๎ฝึกคิด และ เป็นการวัดผลการเรียนรู๎ของผู๎เรียนไปในตัว โดยครูมีบทบาทในการแนะนําการสรุป จากน้ันครูสามารถ ติดตามการบรรยายโดยการตรวจดูสมุดบันทึก การถามคําถาม หรือแบบทดสอบปรนัยสั้นๆ เป็นต๎น นอกจากนีผ้ ๎ูสอนสามารถติดตามผลของผู๎เรียนโดยการมอบหมายงานให๎ไปศึกษาค๎นคว๎าตํอพร๎อมนําเสนอ การรายงาน การศึกษาคน๎ ควา๎ ตํอไป สําหรับการติดตามผลการสอนของครูก็เป็นสิ่งที่ควรกระทํา ซ่ึงสามารถทําได๎โดยใช๎ แบบสอบถามผู๎เรียนเกี่ยวกับความพึงพอใจในกิจกรรมการเรียนการสอน หรือความคิดเห็นเก่ียวกับ เทคนิควิธีการสอนของครู นอกจากนี้ผู๎สอนอาจให๎เพื่อนครูเข๎าสังเกตการณ์สอนและให๎คําติชม หรืออาจ ใชก๎ ารบันทึกวีดที ัศน์แล๎วนํามาชมทีหลงั ก็ได๎ จดุ เดํนของวิธสี อนโดยใช๎การบรรยายท่ีนําสนใจสรุปได๎ ดังน้ี 1) ใชเ๎ วลาน๎อย เมื่อเทยี บกบั วธิ ีสอน แบบอนื่ ๆ 2) ใชก๎ ับผเู๎ รยี นจาํ นวนมากได๎ 3) สะดวก ไมํยงํุ ยาก 4) ถํายทอดเนอื้ หาสาระได๎มาก 5) โอกาสท่ี จะปรับปรุงเนื้อหาและวิธีการให๎เหมาะสมกับผ๎ูฟัง เวลา และองค์ประกอบอื่น ๆ ได๎ดีกวําวิธีอื่น และ 6) การสอนแบบบรรยายสามารถจะทําได๎ในทุกสถานที่ เชํน ภายในอาคาร นอกอาคาร ในห๎องเรียน หรือใน สนามก็ตาม ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การบรรยายสรุปได๎ดังน้ี คือ 1) ผู๎สอนต๎องใช๎ทักษะการเร๎าความ สนใจของนกั เรยี นเพื่อใหน๎ กั เรยี นมสี ํวนรํวมมากยงิ่ ขึ้น 2) ใช๎ไดเ๎ หมาะสมดเี ฉพาะผ๎ูเรียนที่มีชํวงความสนใจ ในการฟังการบรรยายได๎ยาว 3) ผเู๎ รียนตอ๎ งใช๎ความสามารถทักษะดา๎ นการฟังและการคิด 4) เป็นการสอน ที่ไมํคํานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล 5) ผู๎เรียนมีสํวนรํวมและแสดงความคิดเห็นในการเรียนได๎น๎อย 6) ผู๎เรียนเกิดความเบ่ือหนํายและขาดความสนใจได๎งําย และ 7) ไมํเอื้อตํอการเรียนรู๎ระดับการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ซ่ึงเป็นความสามารถข้ันสูง เว๎นแตํมีกิจกรรมอน่ื ๆ เสรมิ ระหวํางการบรรยาย คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจุดมุงํ หมายของ “วิธีสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย” ตามความคิดเห็นของทาํ น 2. ลักษณะสําคัญของวธิ ีสอนแบบบรรยาย มอี ะไรบ๎าง 3. วธิ สี อนโดยใชก๎ ารบรรยายจะตอ๎ งมอี งค์ประกอบท่ีสาํ คัญอะไรบ๎าง 4. วิธีสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมขี ้นั ตอนอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 5. จงอธิบายจดุ เดนํ และขอ๎ จํากัดของวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยาย มาพอสังเขป 149

5.2 การอภปิ ราย – การแบ่งกลุ่มย่อย วิธีสอนโดยใช๎การอภิปรายกลุํมยอํ ย คือกระบวนการทผ่ี ส๎ู อนใช๎ในการชวํ ยให๎ผเ๎ู รียนเกดิ การเรียนรต๎ู ามวัตถุประสงค์ที่กาํ หนดโดยการจดั ผู๎เรียนเป็นกลมุํ เล็ก ๆ ประมาณ 4-8 คน และใหผ๎ เ๎ู รียนใน กลํุมพดู คยุ แลกเปล่ยี นขอ๎ มลู ความคิดเห็น และประสบการณใ์ นประเด็นทกี่ ําหนด และสรุปผลการ อภิปรายออกมาเปน็ ข๎อสรปุ ของกลํมุ วัตถุประสงค์ วธิ ีสอนโดยใชก๎ ารอภปิ รายกลมํุ ยํอย เปน็ วธิ กี ารท่ีมงํุ ชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นมีสวํ นรํวมในกิจกรรมการเรยี นร๎ูอยํางทั่วถึง มีโอกาสแสดงความคดิ เห็นและแลกเปล่ยี น ประสบการณ์อนั จะชํวยใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ การเรยี นรใ๎ู นเรื่องท่ีเรียนกว๎างข้ึน องคป์ ระกอบสาคัญ (ที่ขาดไม่ได)้ ของวิธีสอน 1 มีการจดั ผู๎เรยี นเปน็ กลํุมยอํ ย ๆ กลํุมละประมาณ 4-8 คน 2 มีประเด็นในการอภปิ ราน 3 มกี ารพดู คยุ แลกเปลยี่ นความคิดเห็น ความรูส๎ ึก และประสบการณ์กันระหวาํ งสมาชิกในกลมุํ ตามประเด็นการอภิปราย 4 มีการสรุปสาระที่สมาชิกลมุํ ไดอ๎ ภิปรายกันเป็นข๎อสรุปของกลมํุ 5 มีการนําข๎อสรุปของกลํมุ มาใชใ๎ นการสรุปบทเรียน ข้นั ตอนสําคัญ (ท่ขี าดไมํได๎) ของการสอน 1 ผู๎สอนจดั ผูเ๎ รยี นออกเป็นกลุํมยอํ ย ๆ กลุมํ ละประมาณ 4-8 คน 2 ผสู๎ อน / ผ๎ูเรยี นกาํ หนดประเด็นในการอภิปราย 3 ผู๎เรยี นพูดคุยแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นกนั ตามประเด็นอภปิ ราย 4 ผูเ๎ รียนสรปุ สาระทีส่ มาชิกกลํุมได๎อภิปรายรวํ มกนั เปน็ ข๎อสรปุ ของกลํุม 5 ผู๎สอนและผู๎เรยี นนําข๎อสรุปของกลุมํ ยํอยมาใชใ๎ นการสรปุ บทเรยี น เทคนคิ และข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการสอนโดยใช๎การอภิปรายกลมํุ ยํอยให๎มปี ระสิทธภิ าพ 1 การจดั ผูเ้ รียนเป็นกลุ่มย่อย จํานวนสมาชิกในกลํุมยํอยควรมีประมาณ 4-8 คน จํานวนท่ีเหมาะสมท่ีสุดคือระหวําง 4-6 คน คอื เป็นกลํมุ ทไี่ มเํ ล็กเกินไป และไมใํ หญํเกนิ ไป เพราะถา๎ กลมุํ เลก็ เกนิ ไป กลํุมจะไมํได๎ความคิดที่หลากหลาย เพียงพอ ถ๎ากลุํมใหญํเกินไป สมาชิกกลํุมจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได๎น๎อยหรือได๎ไมํทั่วถึง การแบํง ผูเ๎ รยี นเข๎ากลมุํ อาจทาํ โดยวิธีสํุม เพ่อื ใหผ๎ เ๎ู รียนมีโอกาสได๎รวํ มกลํมุ กับเพือ่ นไมซํ า้ํ กัน หรืออาจจัดผู๎เรียนเข๎า กลํุมคละความสามารถ เพื่อให๎ผ๎ูเรียนที่เกํงชํวยเหลือผ๎ูที่เรียนอํอน หรืออาจจัดผู๎เรียนเข๎ากลุํมจําแนกตาม เพศ วยั (ถา๎ ผู๎เรียนมีหลายวยั ) ความสนใจ ความสามารถ หรอื เลอื กอยํางเจาะจงตามปัญหาทม่ี ีก็ได๎ ขึ้นกบั วัตถุประสงค์ของผ๎ูสอนและสิ่งท่ีจะอภิปราย เทคนิคที่ใช๎ในการแบํงกลุํมมีหลากหลาย เชํน ใช๎การนับ หมายเลขหรือเป็นภาพ ข๎อความ ผ๎ูท่ีจับฉลากได๎เหมือนกัน ให๎รวมกลุํมกัน หรือใช๎เกมตําง ๆ เชํน เกม 150

คําสัง่ จับกลุํม โดยผ๎ูเรยี น ราํ วงตามเสียงเพลงหรอื ดนตรี เม่ือดนตรีหรือเพลงหยุด ผู๎สอนจะออกคําส่ังให๎ ผู๎เรียนจับกลุํมตามจํานวนท่ีครูสั่ง เชํน จับ 4 จับ 6 หรือจับกลํุมหญิง 3 ชาย 1 ให๎ผ๎ูเรียนเกิดความ สนุกสนาน จนกระท่ังในทสี่ ดุ ครูสงั่ ให๎จบั กลุํมตามจํานวนท่ีครูต๎องการ เทคนิคการจัดกลํุมจะชํวยให๎ผ๎ูเรียน ไมํเกิดความเบ่ือหนํายในการแบํงกลํุม โดยเฉพาะเมื่อครูจําเป็นต๎องแบํงกลํุมบํอย ๆ จะชํวยให๎ผู๎เรียนรู๎สึก สนุกและสนใจท่ีจะเรียนร๎ูในกิจกรรมตํอไป เมื่อจัดผู๎เรียนเข๎ากลํุมแล๎ว ผู๎สอนควรดูแลให๎กลุํมจัดที่น่ัง ภายในกลํุมให๎เรียบร๎อย ให๎อยูํในลักษณะที่ทุกคนมองเห็นกัน และรับฟังกันได๎ดี นอกจากน้ันในกรณีท่ีมี หลายกลมํุ ผูส๎ อนควรจัดกลุมํ ให๎หาํ งกันพอสมควร เพอื่ ไมํให๎เสียงอภิปรายจากลมํุ รบกวนกนั และกัน 2 ประเด็นการอภปิ ราย การอภิปรายจําเปน็ ต๎องมีประเด็นในการอภปิ ราย มีวตั ถปุ ระสงค์ของการอภปิ รายท่ี ชัดเจน ประเดน็ การอภิปรายอาจจะมาจากผสู๎ อนหรือผเ๎ู รียนกไ็ ด๎ แลว๎ แตํกรณี การอภิปรายแตํละครัง้ ไมํ ควรมปี ระเดน็ มากจนเกินไป เพราะจะทาํ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นอภิปรายได๎ไมเํ ตม็ ท่ี 3 การอภปิ ราย การจดั กลุํมอภิปรายมหี ลายแบบ ผู๎สอนควรเลือกใช๎ให๎เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ในการ อภิปรายท่ีดีโดยทั่วไป ควรมีการกําหนดบทบาทหน๎าท่ีที่จําเป็นในการอภิปราย เชํน ประธานหรือผ๎ูนําใน การอภปิ ราย เลขานุการผจ๎ู ดบันทกึ การประชุม และผ๎ูรักษาเวลา เปน็ ต๎น นอกจากนน้ั สมาชิกลํุมทุกคนควร มีความเข๎าใจตรงกันวํา ตนมีบทบาทหน๎าที่ที่จะต๎องชํวยให๎กลํุมทํางานได๎สําเร็จ มิใชํปลํอยให๎เป็นความ รับผิดชอบของสมาชิกเพียงบางคน หากสมาชิกกลุํมมีความรู๎ ความเข๎าใจวํา สมาชิกกลุํมท่ีดีควรทํา อะไรบ๎าง เชํน ให๎ข๎อมูล แสดงความคิดเห็น ซักถาม โต๎แย๎ง สนับสนุน ชํวยไมํให๎กลุํมออกนอกเร่ือง และ สรุป เปน็ ตน๎ การอภปิ รายจะเป็นไปได๎ดี ผ๎ูสอนจงึ ควรให๎ความรูค๎ วามเข๎าใจหรือคําแนะนําแกํกลํุมกํอนการ อภิปราย และควรยํ้าถึงความสําคัญของการให๎สมาชิกทุกคนในกลํุมมีสํวนรํวมในการอภิปรายอยํางทั่วถึง ไมใํ ห๎มกี ารผกู ขาดการอภปิ รายโดยผ๎ใู ดผ๎หู นึง่ เพราะวัตถุประสงค์หลักของการอภิปรายก็คือ การให๎ผู๎เรียน มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอยํางทั่วถึง และได๎รับฟังความคิดเห็นท่ีหลากหลาย อันจะชํวยให๎ผู๎เรียนมี ความคิดท่ลี ึกซึ้ง และรอบคอบขึน้ การอภปิ รายทดี่ คี วรดาํ เนนิ การไปที่ละประเด็น จะได๎ไมํเกิดความสับสน และในกรณีท่ีมีหลายประเด็น ควรมีการจํากัดเวลาของการอภิปรายแตํละประเด็น มิฉะน้ันการอภิปราย อาจยืดยาว เย่ินเย๎อ และประเด็ดที่อยูํท๎าย ๆ จะไมํได๎รับการอภิปราย เพราะหมดเวลาเสียกํอน ประเด็น การอภปิ รายกบั เวลาทใ่ี ห๎ ควรมีความพอเหมาะกนั 4 การสรุปผลการอภปิ ราย กอํ นท่ีการอภปิ รายจะยตุ ลิ ง กลุมํ จําเป็นต๎องมีการสรปุ ผลการอภปิ ราย เพื่อให๎ได๎คาํ ตอบ ตามประเด็นท่กี าํ หนด ผ๎สู อนควรบอกหรือให๎สญั ญาณแกํกลํมุ อภิปรายประมาณ 3-5 นาที กอํ นหมดเวลา เพอื่ กลุํมจะไดส๎ รปุ ผลการอภปิ รายเปน็ ข๎อสรปุ ของกลุมํ ซ่งึ หลงั จากนั้นผส๎ู อนอาจให๎แตํละกลํมุ นําเสนอผล การอภปิ รายแลกเปลยี่ นกนั หรอื ดําเนนิ การในรปู แบบอืน่ ตํอไป 151

5.3 การสอนแบบนิรนัย (Deduction) วิธสี อนโดยใช้การนิรนยั (Deductive Method) เมื่อกลาํ วถงึ หลกั การและทฤษฎีการสอน ผ๎ูสอนบางคนอาจจะคิดวําเป็นสิ่งที่ยํุงยากและ ซบั ซอ๎ นตํอการเรียน ผู๎สอนสวํ นใหญจํ งึ เนน๎ หนักด๎านการเรยี นการสอนโดยอธบิ ายรายละเอียดให๎ผ๎ูเรียนได๎ ทราบกํอน แตํในความเป็นจริงแล๎ว การสอนโดยให๎ผ๎ูเรียนได๎รู๎ถึงหลักการและทฤษฎีกํอนน้ัน จะทําให๎ ผ๎ูเรียนได๎มีความรู๎และเข๎าใจอยํางถํองแท๎กํอนอธิบายโดยละเอียด เพราะผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎จากทฤษฎี เหลําน้ันนํามาแตกยํอยเป็นตัวอยํางได๎โดยงําย เพียงแคํนึกถึงตัวหลักการหรือทฤษฎีก็จะเข๎าใจ รายละเอียดได๎โดยท่ีไมํต๎องจําจากตัวอยําง ซึ่งจะทําให๎นักเรียนเกิดความคิดท่ีเกิดจากหลักการได๎อยําง ถกู ตอ๎ ง สําหรับการเรยี นการสอนแบบนเ้ี รียกวาํ วธิ สี อนโดยใช๎การนิรนยั หรืออาจเรียกอีกอยําง หนง่ึ วาํ วิธีสอนแบบอนมุ ยั ซงึ่ ใชต๎ ั้งแตสํ มัยเพลโต (Palto) โดยเปน็ การสอนทเี่ ร่ิมจากกฎเกณฑ์หรอื หลกั การตํางๆ แล๎วหาเหตุผลมาพสิ ูจน์ยืนยนั วธิ สี อนแบบน้ีจะชวํ ยฝกึ ให๎ผ๎ูเรียนเป็นคนมีเหตผุ ลไมเํ ชอ่ื อะไรงาํ ย ๆ จนกวาํ จะสามารถพสิ จู นก์ ฎเกณฑห์ รือหลกั การทีไ่ ด๎เรียนรูเ๎ สียกํอน (ไสว ฟักขาว, 2544 : 96) ในบทน้ีกลําวถึง ความหมาย-ของวิธีสอนโดยใช๎การนิรนัย จุดมํุงหมาย องค์ประกอบ ขัน้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารนริ นยั ขอ๎ ดีและขอ๎ จํากดั ของการใช๎วิธีสอนแบบนิรนัย รวมไปถึงการสรุป ท๎ายบทเพื่อให๎เกิดความเข๎าใจในบทเรียนได๎ยิ่งข้ึน จะได๎นําไปเป็นแนวทางในการทํากิจกรรมและคําถาม ท๎ายบทดว๎ ย ทศิ นา แขมมณี (2550 : 337) อธบิ ายวาํ วิธกี ารสอนโดยการใชน๎ ิรนัย คือกระบวนการที่ ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดโดยการชํวยให๎ผู๎เรียนมีความร๎ู ความเข๎าใจเก่ียวกับทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข๎อสรุปในเรื่องที่เรียน แล๎วจึงใช๎ตัวอยํางการใช๎ทฤษฎี/ หลกั การ/กฎ หรือข๎อสรปุ นัน้ หลาย ๆ ตัวอยาํ ง หรอื อาจให๎ผูเ๎ รียนฝกึ นําทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข๎อสรุป นั้นไปในสถานการณ์ใหมํ ๆ ท่ีหลากหลาย เพื่อชํวยให๎ผู๎เรียนมีความเข๎าใจในทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือ ข๎อสรปุ นน้ั ๆ อยํางลึกซ้งึ ข้นึ หรือกลําวสนั้ ๆ วําเป็นการสอนจากหลกั การไปสตํู ัวอยาํ งยอํ ย ๆ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 65) กลําววํา วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนท่ีเร่ิมจากทฤษฎีหรือ หลักการตาํ ง ๆ แล๎วใหน๎ ักเรยี นหาหลักฐานเหตุผลมาพสิ ูจน์ยืนยัน วิธีสอนแบบน้ีหัดฝึกให๎นักเรียนเป็นคน มเี หตผุ ลไมํเชื่ออะไรงําย ๆ จนกวาํ จะพสิ ูจนใ์ หเ๎ หน็ จรงิ เสยี กํอน อนิ ทริ า บุณยาทร (2542 :105) ได๎กลําวไว๎วํา วิธีสอนแบบนิรนัย คือ การสอนท่ีเริ่มจากให๎ ผ๎ูเรียนร๎ูจักกฎ หรือหลักการตําง ๆ ความจริงโดยทั่ว ๆ ไปกํอน แล๎วจึงสอนรายละเอียดทีหลัง อาจทํา โดย ให๎ผู๎เรียนทดลองคิด ค๎นหา ศึกษาข๎อมูลรายละเอียดมาพิสูจน์ยืนยันด๎วยเหตุผล พร๎อมทั้งคําแนะ แนวทางจากผส๎ู อนประกอบสรุปเปน็ ความเข๎าใจ 152

จากความหมายทั้งหมดทกี่ ลาํ วมา สรุปได๎วํา การสอนแบบนิรนัย หมายถึง วิธีสอนท่ีผ๎ูสอน ได๎ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ถึงหลักการหรือทฤษฎีโดยท่ัวไปกํอนที่ผ๎ูสอนจะให๎รายละเอียดหรือยกตัวอยํางให๎ ผูเ๎ รียนไดเ๎ ข๎าใจถงึ หลักการนนั้ ๆ น่ันคอื เปน็ วธิ สี อนจากสํวนรวมไปสสํู ํวนยํอยน่ันเอง จดุ มุ่งหมายของวธิ สี อนแบบนริ นัย สาํ หรบั จดุ มงํุ หมายของวิธสี อนแบบนริ นัย ไดม๎ ีนักการศกึ ษาเสนอแนะความคดิ เห็น ไวด๎ งั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได๎ให๎ความคิดเห็นเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของวิธีการสอนโดยใช๎ การนิรนัยวาํ เป็นวธิ ีท่ีมํงุ ชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ การเรียนรหู๎ ลกั การและสามารถนําหลักดังกลําวไปใช๎ได๎ อยาก แยกเปน็ ขอ๎ ๆ ดังน้ี 1. เพื่อใหผ๎ เ๎ู รียนฝึกการเปน็ คนมีเหตผุ ล 2. เพ่อื ใหผ๎ เ๎ู รียนร๎จู กั ใชก๎ ฎ สูตร และหลักเกณฑต์ ําง ๆ ในการแก๎ปัญหา 3. เพ่ือฝึกให๎ผู๎เรียนคิดอยํางรอบคอบ ไมํตัดสินใจทําส่ิงตําง ๆ ไปโดยไมํมีเหตุผลหรือ หลักเกณฑเ์ พียงพอกับความถูกต๎อง เสรมิ ศรี ลักษณศริ ิ (2540 : 281) ได๎กลําวถึงจดุ มํงุ หมายในของวธิ ีสอนโดยใช๎นิรนยั ไวว๎ ํา 1. เพอื่ ใหผ๎ เ๎ู รยี นนําเอากฎ สตู ร นยิ าม ทฤษฎไี ปใชป๎ ระโยชนใ์ นการแกป๎ ญั หา 2. เพื่อให๎ผ๎ูเรียนรู๎จักยับย้ังในการตัดสินใจ จนกวําจะได๎พิสูจน์ความจริงตําง ๆ หรือวิเคราะห์ อยาํ งถอํ งแทแ๎ ลว๎ 3. เพ่ือแก๎ข๎อบกพรํองของผ๎ูเรียนซ่ึงมักจะรีบดํวนสรุปสิ่งตําง ๆ อยํางรวดเร็วและงําย ๆ โดย ไมมํ ีหลักเกณฑใ์ ด ๆ ไสว ฟักขาว (2544 : 96) ไดก๎ ลาํ วเสรมิ วํา วิธีสอนโดยใชน๎ ิรนัยมีจุดมงุํ หมายที่สาํ คัญ ดงั น้ี คือ 1. เพ่ือให๎ผู๎เรียนร๎ูจักนํากฎ สูตร และหลักการตําง ๆ ไปอ๎างอิงในการแก๎ปัญหา ได๎อยําง ถกู ตอ๎ งและมเี หตผุ ล 2. เพ่ือฝึกให๎ผ๎ูเรียนร๎ูจักใช๎เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความร๎ูตําง ๆ กํอนจะตัดสินใจเช่ือวํา ถูกตอ๎ ง นอกจากนี้ สุพนิ บุญชวู งศ์ (2544 : 105) ได๎กลาํ ววํา จดุ มํงุ หมายของการสอนโดยใช๎นริ นัย เพอ่ื ให๎นกั เรยี นรูจ๎ ักใชก๎ ฎ สตู ร และหลักเกณฑต์ ําง ๆ มาชวํ ยในการแก๎ปัญหา ไมํตัดสินใจในการทํางาน อยาํ งงําย ๆ จนกวําจะพสิ จู น์ใหท๎ ราบข๎อเท็จจริงเสียกํอน สรุปได๎วํา การสอนโดยการใชน๎ ิรนยั มีจุดมํุงหมายหลกั คือ 1. เพอ่ื ฝกึ ให๎ผเู๎ รียนเป็นคนมีเหตผุ ล 2. เพ่ือใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดความรจ๎ู ากหลกั การและสามารถนําไปประยุกต์ใชไ๎ ด๎ 3. เพ่อื ให๎ผูเ๎ รยี นสามารถนําหลักการที่ไดเ๎ รยี นร๎ูมาแก๎ปญั หาได๎อยาํ งถูกต๎อง 4. เพอื่ ฝึกให๎ผ๎ูเรยี นไดร๎ ู๎จกั ใช๎เหตุผลมาประกอบการพิสจู นค์ วามร๎ตู ํางๆ ไดเ๎ ปน็ อยํางดี 153

5. เพือ่ ฝกึ ใหผ๎ ู๎เรียนไดแ๎ ก๎ไขขอ๎ บกพรํองอันเกิดจากขอ๎ ผิดพลาดได๎อยํางทนั ทวํ งที ซึ่งทง้ั หมดจะทําให๎ผเู๎ รยี นรูเ๎ กิดการเรียนที่ดีมีเหตผุ ลพรอ๎ มเผชญิ กับปัญหาและแกไ๎ ข ปญั หาทเี่ กดิ จากความบกพรํองของตนเองไดเ๎ ปน็ อยาํ งดี องคป์ ระกอบของการสอนแบบนริ นัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได๎กลําวถึงองค์ประกอบที่สําคัญของการเรียนโดยใช๎วิธีสอน แบบนิรนยั ดังนี้ 1. มผี สู๎ อนผูเ๎ รยี น 2. มีทฤษฎี / หลกั การ / กฎ หรือขอ๎ สรุปตาํ ง ๆ 3. มีตัวอยํางสถานการณ์ที่หลากหลาย ท่ีสามารถนําทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข๎อสรุปนั้น นาํ ไปใชไ๎ ด๎ 4. มีการฝกึ นาํ ทฤษฎี / หลักการ / กฎ หรือขอ๎ สรุปไปใชใ๎ นสถานการณ์ทีห่ ลากหลาย 5. มีผลการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รยี นท่เี กดิ ข้นึ จากการนําหลกั การไปใช๎ ขนั้ ตอนของวธิ สี อนโดยใชก้ ารนิรนยั ข้ันตอนสําคัญ (ท่ีขาดไมํได๎) ของวิธีสอนโดยใช๎การนิรนัย มีดังน้ี (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 337) 1. ผู๎สอนถํายทอดความร๎ู / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ข๎อสรปุ ทตี่ ๎องการใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎เรยี นรู๎ ด๎วย วิธีการตาํ ง ๆ ตามความเหมาะสม 2. ผ๎สู อนให๎ตัวอยาํ งสถานการณ์หลากหลายทีส่ ามารถนําความรท๎ู ีไ่ ด๎เรียนมาไปใช๎ 3. ผส๎ู อนใหผ๎ เู๎ รียนปฏิบัตินําความรคู๎ วามเขา๎ ใจทเ่ี กดิ ขน้ึ ไปใช๎ในสถานการณใ์ หมํ 4. ผูส๎ อนให๎ผ๎เู รยี นวิเคราะหแ์ ละอภปิ รายผลการเรียนรท๎ู ี่เกิดขึ้น 5. ผสู๎ อนวดั ประเมินผลการเรียนรูข๎ องผเู๎ รียน สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อุทัยสุข (2540 : 132-133) ได๎กลําวถึงลําดบั ขัน้ การสอน แบบนิรนยั ไวว๎ ํา การสอนแบบนริ นยั เป็นการสอนที่มีรายละเอยี ดตรงขา๎ มกบั วิธอี ุปนัย กลาํ วคอื วิธสี อน แบบนจ้ี ะเริม่ จากกฎ หรือหลักการตาํ ง ๆ แลว๎ ให๎ผ๎เู รียนชํวยกนั หาข๎อมูล หลกั ฐานและข๎อเท็จจริงมา พิสจู น์ยนื ยันกฎ หรือหลักการนน้ั ๆ วําถูกต๎องหรือไมํ หรอื กลําวได๎วาํ การสอนวิธนี ี้เป็น การสอนโดย เรม่ิ จากสํวนรวมไปหาสวํ นยํอย สวํ นการสอนโดยวิธอี ุปนยั เป็นการสอนจากสํวนยํอยไปหาสํวนรวมนั่นเอง สุพนิ บุญชูวงศ์ (2544 : 66) ไดอ๎ ธบิ ายข้นั ตอนในการสอนแบบนิรนัย มดี ังนี้ 1. ขัน้ อธบิ ายปัญหา ระบุสง่ิ ท่ีจะสอนในแงํของปัญหา เพอ่ื ย่ัวยุใหน๎ ักเรียนเกดิ ความสนใจทีจ่ ะ หาคาํ ตอบ (เชนํ เราจะหาพื้นทข่ี องวงกลมไดอ๎ ยํางไร) ปัญหาจะต๎องเกยี่ วข๎องกับสถานการณจ์ ริงของ ชีวิต และเหมาะสมกับวฒุ ิภาวะของเดก็ 154

2. ข้ันอธิบายข๎อสรุป ไดแ๎ กํ การนาํ เอาขอ๎ สรปุ กฎหรอื นยิ ามมากกวาํ 1 อยาํ ง มาอธิบาย เพ่ือใหน๎ ักเรยี นไดเ๎ ลอื กใชใ๎ นการแกป๎ ัญหา 3. ขน้ั ตกลงใจ เปน็ ขัน้ ทนี่ ักเรียนจะเลือกข๎อสรุป กฎ หรือนิยาม ที่จะนํามาใช๎ในการ แก๎ปญั หา 4. ข้นั พสิ จู น์ หรืออาจเรียกวาํ ข้ันตรวจสอบ เปน็ ขนั้ ที่สรปุ กฎหรือนิยามวาํ เป็นความจริง หรือไมํ โดยการปรึกษาครู ค๎นคว๎าจากตาํ ราตาํ ง ๆ และจากการทดลองขอ๎ สรุปที่ได๎พิสูจน์วําเป็นความ จรงิ จึงจะเปน็ ความรู๎ทถ่ี ูกต๎อง เสรมิ ศรี ลักษณศิริ (2540 : 281) ได๎เสนอข้นั ตอนในการสอนแบบนริ นัยไว๎ 4 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ขน้ั เตรียม เปน็ การเตรยี มบทเรียน เตรยี มการสอน นําเขา๎ สบํู ทเรยี น เร๎าความสนใจของ ผ๎ูเรยี น ทบทวนความร๎เู ดิม เพื่อใหส๎ ัมพันธก์ บั ความรใู๎ หมํ อธบิ ายความมํุงหมายใหผ๎ ๎เู รียนเขา๎ ใจ อาจจะ ทําในรูปของปญั หาก็ได๎ 2. ขั้นสอน ผส๎ู อนนาํ กฎ สูตร นยิ าม ฯลฯ มาอธบิ ายให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจแล๎วเขียนขอ๎ สรปุ น้ัน ๆ ลงบนกระดานชอล์ก แล๎วยกตัวอยํางหรอื ทาํ การพิสูจน์ใหเ๎ หน็ จรงิ และใหผ๎ ๎เู รียนลงมอื ปฏิบัตดิ ๎วย 3. ขนั้ สรุป ผู๎เรยี นสรุปได๎วาํ ส่งิ ทผ่ี ส๎ู อนอธิบายนัน้ เปน็ ความจริงทุกประการตามท่ีผ๎ูสอนได๎ บอกไว๎ ข๎อสรปุ ที่ได๎นับวาํ เป็นความรทู๎ ีถ่ ูกตอ๎ ง 4. ขั้นนําไปใช๎ ผเ๎ู รยี นนาํ ข๎อสรปุ น้นั ๆ ไปใชแ๎ กป๎ ัญหาในชีวติ ประจาํ วัน หรือใชใ๎ นการทํา แบบฝกึ หดั เพ่ิมเตมิ เพอ่ื ชวํ ยใหเ๎ กิดทักษะและเข๎าใจดียง่ิ ข้นึ นอกจากน้ี ไสว ฟกั ขาว (2544 : 97) ไดก๎ ลาํ ววํา การสอนแบบอนุมาน สามารถแบํงขน้ั ตอน การสอนออกเปน็ 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 1. ขน้ั อธบิ ายปัญหา เปน็ ข้นั ทค่ี รูระบสุ ิง่ ที่จะสอนในรูปของปัญหา เพอ่ื ยั่วยุใหผ๎ เู๎ รียนเกดิ ความสนใจทจ่ี ะหาคําตอบ ปัญหาน้นั เก่ยี วข๎องกบั ชวี ติ จรงิ และเหมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะของผ๎เู รยี น 2. ขั้นอ๎างหลกั การ เป็นขั้นทีค่ รูนาํ หลักการ กฎ หรือทฤษฎตี าํ ง ๆ มาอา๎ งเพื่อเป็นแนวทาง ในการแกป๎ ัญหา 3. ขนั้ อธิบาย เป็นข้ันทคี่ รูอธิบายความเปน็ มาของหลักการ กฎ หรอื ทฤษฎตี าํ ง ๆ และ ขน้ั ตอนการนํามาใช๎ในการแก๎ปัญหา 4. ขนั้ ตรวจสอบ เป็นขน้ั ท่คี รใู ห๎ผ๎ูเรยี นตรวจสอบวํา หลกั การท่ีนาํ มาอา๎ งนั้นสมเหตสุ มผล หรอื ไมํ โดยอาจให๎ผเู๎ รยี นทดลอง คน๎ คว๎าจากตาํ ราตาํ ง ๆ หรอื ขอคําแนะนําจากครู จากทนี่ กั วิชาการหลายทาํ นได๎อธบิ ายขัน้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารนิรนัย สรุปได๎วาํ การ สอนโดยใชก๎ ารนิรนยั มขี ัน้ ตอนการสอนดังนี้ 1. ขั้นเตรียม หรือขัน้ อธิบายปัญหา เปน็ ขน้ั ทผ่ี ส๎ู อนจะตอ๎ งนําสบํู ทเรียนโดยเร๎าความ สนใจของผเ๎ู รียน ซงึ่ จะตอ๎ งเตรยี มปญั หาท่เี กี่ยวข๎องกับชีวิตจริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู๎เรยี น 155

2. ขัน้ สอน ผ๎สู อนจะตอ๎ งอธิบาย และสรุปกฎเกณฑ์ หลักการ หรือทฤษฎี ใหผ๎ ู๎เรียนได๎ เขา๎ ใจ พร๎อมกบั ยกตัวอยํางให๎ผู๎เรียนได๎เหน็ จริง 3. ข้นั สรปุ เป็นขน้ั ท่ผี ู๎เรยี นจะตอ๎ งสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎี จากสิ่งทผี่ ๎ูสอนได๎อธบิ ายไว๎ เพอ่ื นํามาใช๎ในการแกป๎ ัญหาไว๎อยํางถกู ต๎อง 4. ขนั้ นาํ ไปใช๎ เป็นข้นั ที่ผเู๎ รียนจะต๎องตรวจสอบข๎อเท็จจริงจากสงิ่ ท่ีผูส๎ อนไดอ๎ ธบิ ายไว๎ วาํ สามารถนาํ ไปใช๎ในการแก๎ปัญหาในชวี ติ ประจําวนั ไดห๎ รือไมํ เทคนิคและข้อเสนอแนะของข้ันตอนการสอนโดยใช้การนริ นยั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 338) อธบิ าย เทคนิคและข๎อเสนอแนะของขน้ั ตอนการสอนโดยใช๎ การนิรนยั ไว๎วํา 1. การเตรียมการ ผูส๎ อนจาํ เปน็ ตอ๎ งทาํ ความเข๎าใจในทฤษฎี / หลกั การ / กฎ / ข๎อความร๎ู / ข๎อสรปุ ทต่ี ๎องการสอนให๎แกํผเู๎ รยี น และหาวิธีทเ่ี หมาะสมในการถาํ ยทอดหรือนาํ เสนอเน้อื หาสาระ เหลําน้นั แกผํ ๎ูเรียน นอกจากน้นั ครูจําเป็นตอ๎ งเตรยี มตัวอยํางทผ่ี ๎ูเรียนสามารถนาํ เน้ือหาสาระเหลํานน้ั ไป ใชใ๎ หเ๎ กิดผลสาํ เรจ็ ตัวอยาํ งควรเปน็ สถานการณท์ ่ีมคี วามหลากลหาย เพ่ือชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ ความคดิ รวบ ยอดและความเข๎าใจท่ีชดั เจน 2. การนาํ เสนอข๎อความรู๎ / ทฤษฎี / หลกั การ / กฎ / ขอ๎ สรปุ แกผํ ูเ๎ รยี น ผ๎ูสอนจาํ เปน็ ตอ๎ ง ทาํ ความเข๎าใจในสิ่งทีจ่ ะสอนเปน็ อยาํ งดี รวมท้งั หาวิธีการท่ีเหมาะสมในการนําเสนอเน้ือหาสาระเหลาํ น้ัน ใหแ๎ กผํ เ๎ู รียน จนกระท่งั ผูเ๎ รยี นเกิดความเขา๎ ใจ เพื่อให๎แนํใจวําผูเ๎ รียนมคี วามเขา๎ ใจเพยี งพอ ผส๎ู อนควร ทดสอบความร๎ูความเข๎าใจของผู๎เรยี นกอํ นให๎ฝึกใชค๎ วามรู๎ 3. การนาํ เสนอสถานการณใ์ หมใํ ห๎ผ๎ูเรียนฝึกใชค๎ วามรู๎ เมอื่ เหน็ วําผเู๎ รยี นเกิดความเขา๎ ใจใน ความรู๎ / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ขอ๎ สรุป ท่ีใหพ๎ อสมควรแลว๎ ผส๎ู อนควรใหผ๎ เ๎ู รียนฝกึ การนําความร๎ูไป ประยุกต์ใช๎ในสถานการณใ์ หมํ ๆ ซงึ่ จะมีความหลากหลายพอสมควรเพ่ือชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนเกิดความเข๎าใจที่ ลกึ ซึง้ ขึน้ ข้อดแี ละข้อจากดั ของการสอนแบบนิรนัย สําหรับข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนแบบนริ นัย นกั วิชาการหลายทาํ นได๎กลําวไวด๎ ังตํอไปนี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 338) กลําวถงึ ขอ๎ ดีและข๎อจํากดั ของการสอนแบบนริ นัย ไวด๎ ังน้ี ข้อดี 1. เปน็ วิธีสอนท่ชี วํ ยถาํ ยทอดเน้ือหาสาระได๎อยํางรวดเร็วและไมํยุํงยาก 2. เปน็ วธิ สี อนท่ีผู๎เรียนมีโอกาสไดฝ๎ กึ ฝนการนําทฤษฎี / หลักการไปใชใ๎ นสถานการณ์ใหมํ 156

3. เปน็ วธิ ีสอนท่ีเอ้ืออาํ นวยให๎ผู๎เรียนที่มีความสามารถหรือเรยี นรู๎ได๎เรว็ สามารถพัฒนา โดยไมํ ตอ๎ งรอผูเ๎ รียนร๎ูไดช๎ ๎ากวํา ขอ้ จากดั 1. เปน็ วธิ ีการทผ่ี สู๎ อนจําเปน็ ตอ๎ งเตรยี มตวั อยําง / สถานการณ์ / ปญั หาทหี่ ลากหลายมาให๎ ผ๎เู รียนไดฝ๎ กึ ทาํ 2. เป็นวธิ ีสอนทีข่ ้ึนกับความเข๎าใจและความสามารถของผส๎ู อนในการนาํ ทฤษฎี หลกั การ 3. เป็นวิธีสอนทผ่ี เู๎ รยี นท่เี รียนรไ๎ู ดช๎ ๎า อาจจะตามไมํทันเพ่ือนและเกิดปัญหาในการเรียนร๎ู เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ ( 2540 : 281) กลําวถงึ ข๎อดีและข๎อเสยี ของวิธสี อนแบบนิรนัย ไวด๎ งั น้ี ข๎อดี 1. เปน็ วธิ ีท่ีงํายกวําและเสยี เวลานอ๎ ยกวําวิธสี อนแบบอนุมาน 2. ใช๎สอนเนือ้ หาวิชาที่งําย ๆ หรือหลักเกณฑ์ตาํ ง ๆ ได๎ดี 3. ผ๎สู อนไมตํ ๎องใช๎เทคนิคการสอนมาก 4. เปน็ การสอนที่เนน๎ ผสู๎ อนเปน็ ศูนยก์ ลางเป็นสํวนใหญํ 5. หลกั เกณฑต์ าํ ง ๆ ท่ีอธบิ ายโดยใช๎วิธสี อนแบบน้ี ชวํ ยใหผ๎ ู๎เรียนเข๎าใจความหมายได๎ดี ข๎อเสยี 1. ผ๎ูเรียนบางคนโดยเฉพาะผ๎ูทีม่ สี ตปิ ัญญาปานกลางและออํ น จะเขา๎ ใจได๎ยาก 2. ใชส๎ อนได๎ดีเฉพาะบางเร่ือง เชนํ การสอนอํานสําหรบั ผ๎ูเริม่ เรียนท่สี อนให๎อํานเป็นคาํ กอํ น แล๎วจงึ ผสมอกั ษรทหี ลงั หรอื การสอนคําใหมํ เป็นตน๎ 3. ไมสํ ํงเสรมิ คุณคาํ ในการแสวงหาความรู๎ และคณุ คําทางอารมณ์ ในการสอนควรนําวิธีสอนแบบอปุ มานและอนุมานมาใช๎รํวมกันจะทําให๎การสอนไดผ๎ ลดยี ง่ิ ขึ้น เพราะวธิ ีสอนแบบอนุมานเป็นวธิ สี อนที่ทาํ ใหผ๎ ๎เู รยี นไดเ๎ ห็นรายละเอียดและคิดค๎นดว๎ ยตนเองสรุปเป็น กฎเกณฑ์ สวํ นวิธสี อนแบบอนมุ านใชก๎ ฎเกณฑท์ ่ีวางไว๎แล๎วไปหารายละเอยี ด ดงั น้ันควรสอนใหค๎ ิดหา เหตผุ ลจนเขา๎ ใจแลว๎ จงึ สรปุ เปน็ เกณฑ์หรือสูตร ตํอจากนั้นกต็ รวจสอบดูกฎเกณฑห์ รือสูตรให๎แนํใจกํอน นาํ ไปใชใ๎ หเ๎ กิดประโยชนต์ าํ ง ๆ การรวมการสอนทง้ั สองวิธีเข๎าดว๎ ยกนั จะทําใหผ๎ ู๎เรยี นเกิดการเรียนรด๎ู ว๎ ย ตนเอง เกดิ ความกระตือรือร๎นอยากร๎ูอยากเห็น ได๎ความรู๎จากการคน๎ ควา๎ ทดลอง และสามารถฝกึ หา เหตุผลในกรณตี ําง ๆ ได๎ จากท้ังหมดท่ีกลําวมา การสอนโดยใช๎การนิรนยั มีทง้ั ข๎อดแี ละข๎อจํากัด ซึ่งมคี วามสาํ คัญ ดว๎ ยกนั ท้ัง จงึ สรปุ ไดว๎ ํา ข๎อดขี องการสอนโดยใช๎การนริ นยั มีดังนี้ 1. เปน็ การสอนทเ่ี หมาะกบั เนื้อหาทเี่ ปน็ กฎเกณฑ์ สามารถทําให๎ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจบทเรียนได๎ งําย 2. สงํ เสริมให๎ผ๎ูเรยี นเป็นคนมีเหตุผล เข๎าใจหลักการและทฤษฎี ไมํเชอื่ อะไรงาํ ยๆ 157

3. เป็นวิธีสอนท่ีชวํ ยถาํ ยทอดเนือ้ หาสาระได๎อยํางรวดเรว็ และไมยํ ุํงยาก 4. เป็นวิธีสอนที่เนน๎ ผูเ๎ รียนเป็นศูนย์กลาง 5. ผ๎สู อนไมตํ ๎องใช๎เทคนิคในการสอนมาก สํวนขอ๎ จํากัดของการสอนโดยใช๎การนริ นยั มีดังน้ี 1. ผ๎สู อนต๎องเตรียมตัวในการเรียนการสอน คํอนขา๎ งจะยงุํ ยาก 2. เปน็ วิธีสอนทไ่ี มสํ งํ เสริมคุณคําในการแสวงหาความร๎ู และคณุ คําทางอารมณ์ 3. เปน็ วิธสี อนทขี่ ้นึ อยํกู ับความเข๎าใจในหลักการ ทฤษฎขี องผเ๎ู รยี นแตลํ ะคน 4. ผูเ๎ รยี นไมํไดแ๎ สดงความคิดรวบยอดเปน็ ของตนเอง เพราะผ๎ูผ๎สู อนบอกให๎ 5. ไมํสํงเสริมการเรยี นการสอนทเ่ี น๎นกระบวนการคดิ มากนัก สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎นิรนัย หมายถึง การสอนที่เน๎นให๎นักเรียนได๎เรียนรู๎ถึงทฤษฎีและ หลกั การในเน้ือหากํอนท่ีจะให๎ได๎เรียนร๎ูถึงรายละเอียด หรือตัวอยําง หรือจะกลําวได๎วําเป็นการเรียนจาก สํวนใหญํไปสํวนยํอย เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจในหลักการ ทฤษฎี มากข้ึน จึงเป็นการสอนท่ีฝึกให๎ผ๎ูเรียน เปน็ คนมเี หตผุ ล ไมํเชอ่ื อะไรงํายๆ จนกวําจะสามารถพิสจู นท์ ฤษฎใี หไ๎ ดก๎ อํ น ซึ่งจุดมํุงหมายหลักที่สําคัญของการสอนโดยการใช๎นิรนัยมีก็คือ เพื่อฝึกให๎ผ๎ูเรียนเป็นคนมี เหตุผล เกดิ ความรู๎จากหลกั การและสามารถนําไปประยุกต์ใช๎ได๎ อีกท้ังสามารถนําหลักการที่ได๎เรียนรู๎มา แก๎ปัญหาได๎อยํางถูกต๎อง รู๎จักใช๎เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความร๎ูตํางๆ ได๎เป็นอยํางดี และที่สําคัญ เพื่อฝึกให๎ผ๎ูเรียนได๎แก๎ไขข๎อบกพรํองอันเกิดจากข๎อผิดพลาดได๎อยํางทันทํวงที ซึ่งจะทําให๎ผู๎เรียนเกิดการ เรียนรู๎ท่ีมีประสิทธิภาพ โดยองค์ประกอบสําคัญที่จะขาดไมํได๎ของการสอนวิธีนี้คือ ผ๎ูเรียนและผ๎ูสอน ทฤษฎี หลักการหรือขอ๎ สรุปตาํ งๆ จะต๎องมตี ัวอยํางสถานการณท์ ่หี ลากหลายที่สามารถนําไปใช๎ได๎ พร๎อม ท้ังต๎องการฝึกนําหลักการและทฤษฎีไปใช๎ในสถานการณ์เหลํานั้นให๎ได๎ ซึ่งจะต๎องมีผลการเรียนร๎ูของ ผเ๎ู รียนท่ีเกิดจากการนาํ หลกั การน้ันไปใชด๎ ว๎ ย ขั้นตอนการสอนโดยใชก๎ ารนิรนยั แบงํ ออกเป็น 4 ข้นั ตอน คือ 1. ข้ันเตรียม หรอื ขั้นอธิบายปัญหา เปน็ ข้ันท่ผี ๎ูสอนจะต๎องเตรียมปญั หาท่เี ก่ียวข๎องกบั ชีวติ จริงและเหมาะสมกบั วุฒิภาวะของผ๎ูเรียน 2. ข้นั สอน ผ๎ูสอนจะต๎องอธิบาย และสรุปกฎเกณฑ์ หลักการ หรอื ทฤษฎี ให๎ผูเ๎ รียนได๎ เข๎าใจ พร๎อมกับยกตวั อยํางให๎ผ๎เู รียนไดเ๎ ห็นจริง 3. ขน้ั สรปุ เป็นข้ันที่ผู๎เรยี นจะตอ๎ งสรปุ กฎเกณฑแ์ ละทฤษฎี จากสิง่ ที่ผ๎สู อนได๎อธิบายไว๎ เพอ่ื นาํ มาใช๎ในการแก๎ปัญหาไว๎อยาํ งถกู ตอ๎ ง 4. ข้นั นาํ ไปใช๎ เปน็ ขัน้ ที่ผ๎ูเรียนจะตอ๎ งตรวจสอบข๎อเทจ็ จริงจากสง่ิ ทผี่ ู๎สอนไดอ๎ ธิบายไว๎ วาํ สามารถนําไปใชใ๎ นการแก๎ปัญหาในชีวิตประจาํ วันได๎หรือไมํ 158

การสอนโดยใช๎การนิรนัยจึงมีข๎อดี คือ เป็นการสอนท่ีเหมาะกับเนื้อหาท่ีเป็นกฎเกณฑ์ สามารถทําให๎ผู๎เรียนเข๎าใจบทเรียนได๎งําย สํงเสริมให๎ผู๎เรียนเป็นคนมีเหตุผล เข๎าใจหลักการและทฤษฎี ไมํเชอื่ อะไรงํายๆ เป็นการสอนทีผ่ ู๎สอนถํายทอดเนื้อหาสาระไดอ๎ ยาํ งรวดเรว็ และไมํยํุงยาก เน๎นผู๎เรียนเป็น ศนู ยก์ ลาง และผู๎สอนไมํตอ๎ งใช๎เทคนคิ ในการสอนมาก เพราะเป็นการอธิบายให๎ผ๎ูเรียนได๎รู๎หลักการผู๎เรียน ก็สามารถนําหลักการทีไ่ ด๎รบั ไปประยกุ ตใ์ ชไ๎ ด๎ แตํการสอนวิธีน้ียังมีข๎อจํากัดอยูํมาก เชํน ผู๎สอนต๎องเตรียม ตัวในการเรียนการสอนท่ีคํอนข๎างจะยํุงยาก เป็นวิธีสอนท่ีไมํสํงเสริมคุณคําในการแสวงหาความร๎ู และ คุณคําทางอารมณ์ ข้นึ อยกํู ับความเขา๎ ใจในหลักการและทฤษฎีของผู๎เรียนแตํละคน ผู๎เรียนจึงไมํได๎แสดง ความคดิ รวบยอดและกระบวนการคิดทีเ่ ปน็ ของตนเองมากนัก เปน็ ตน๎ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายของ “วิธสี อนโดยใช๎การนริ นัย” ตามความคิดเห็นของทําน 2. วธิ สี อนโดยใช๎การนริ นยั มจี ดุ มงํุ หมายในการสอนเพ่ืออะไรบา๎ ง 3. องคป์ ระกอบสําคญั ของวิธีสอนโดยใชก๎ ารนริ นยั จําเป็นต๎องมีอะไรบา๎ ง 4. หากทํานต๎องการใชว๎ ธิ สี อนโดยใช๎การนิรนยั ทาํ นจะมีข้ันตอนในการสอนอยํางไร 5. ใหท๎ ํานเสนอเทคนิคและข๎อเสนอแนะของขั้นตอนกาสอนโดยใช๎การนริ นยั มาพอ สังเขป 6. ทํานคดิ วาํ วิธสี อนโดยใช๎การนริ นัย มีขอ๎ ดีและข๎อจํากดั อะไรบ๎าง จงอธบิ าย 7. หากทาํ นเป็นคนหน่ึงท่คี รูใหค๎ ดั เลอื กวธิ ีสอน ทาํ นจะทาํ การสอนโดยใช๎การนิรนัย หรือไมํ เพราะเหตใุ ด 5.4 วธิ สี อนโดยใชก้ ารอุปนยั (Induction Method) การจัดการเรียนการสอนที่เน๎นนาํ เสนอเหตุการณ์ ตัวอยาํ ง ขอ๎ มูล กํอนการนําเสนอ ทฤษฎี หลักการของบทเรยี นน้นั ๆ จะทําใหผ๎ ๎เู รียนได๎มคี วามหลากหลายในด๎านความคิด การแยกแยะ และ การจาํ แนกสิ่งตํางๆ นาํ ไปสคํู วามเขา๎ ใจในทฤษฎี หลกั การไดย๎ ง่ิ ข้ึน การสอนวธิ ีนี้ คือ การสอนโดยใช๎การ อุปนัย ซ่ึงผสู๎ อนจะต๎องเขา๎ ใจหลกั การ นําเสนอเหตุการณ์ ตวั อยาํ งที่ตรงกับหลกั การทจ่ี ะสอนด๎วย เพื่อให๎ ผเู๎ รยี นเข๎าใจวธิ ีการสอนโดยอุปนัยมากยง่ิ ขึ้น ดังที่ ระวีวรรณ วฒุ ิประสทิ ธ์ิ (2530 : 71) กลําวถงึ วธิ ีสอน แบบอุปมานหรอื อปุ นัยวาํ เป็นวธิ ีใชส๎ อนมาตง้ั แตํสมยั อริสโตเตลิ โดยใช๎การสอนจากตวั อยาํ งไปสูํการสรุป เป็นกฎเกณฑ์หรือหลักทวั่ ไป หรอื กลาํ วได๎วํา การสอนแบบอปุ มานเป็นการสอนจากรายละเอยี ดปลีกยํอย ไปหากฎเกณฑ์ การสอนแบบนจี้ งึ มีจดุ มํงุ หมายเพ่ือให๎ผู๎เรียนร๎จู กั คน๎ หาข๎อเทจ็ จรงิ และหลกั การตํางๆ จาก การสังเกตตวั อยํางทส่ี ัมพันธก์ ันอยาํ งเพยี งพอ ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กลาํ วถงึ วิธสี อนโดยการใช๎การอุปนยั คือ กระบวนการ 159

สอนทผ่ี ส๎ู อนใช๎ในการชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ การเรียนร๎ตู ามวัตถปุ ระสงค์ท่ีกําหนด โดยการนําตวั อยาํ ง / ข๎อมูล / ความคิด / เหตุการณ์ / สถานการณ์ / ปรากฏการณ์ ที่มหี ลกั การ / แนวคดิ ทตี่ ๎องการสอนให๎แกํ ผู๎เรยี น มาใหผ๎ ๎ูเรียนศึกษาวิเคราะห์ จนสามารถดึงหลกั การ / แนวคิดทีแ่ ฝงอยูํออกมา เพือ่ นําไปใชใ๎ น สถานการณ์อื่น ๆ ตอํ ไป กลาํ วอยาํ งสน้ั ๆ ได๎วาํ เปน็ การสอนทใี่ หผ๎ ูเ๎ รยี นสรุปหลักการจากตวั อยาํ งตาํ ง ๆ ด๎วยตนเอง ไสว ฟกั ขาว (2544 : 94) กลาํ ววาํ วธิ สี อนแบบอปุ มาน อาจเรยี กอีกอยํางหน่งึ วํา วธิ ี สอนแบบอปุ นัย ซ่ึงวธิ นี ใ้ี ช๎ตงั้ แตสํ มัยอรสิ โตเติล (Aristotle) เปน็ การสอนยํอยไปหาข๎อสรุปซึ่งเปน็ สวํ นรวม หรอื สอนจากตวั อยํางไปหากฎเกณฑ์ โดยการให๎ผ๎เู รียนทาํ การศึกษา สังเกต ทดลอง เปรยี บเทียบ พิจารณาคน๎ หาองคป์ ระกอบ หรอื ลักษณะสํวนทเ่ี หมือนกนั หรือคลา๎ ยคลงึ กนั จากตัวอยําง ตาํ ง ๆ เพอ่ื นํามาเปน็ ขอ๎ สรปุ สรปุ ไดว๎ ํา วิธสี อนโดยใช๎การอุปนัย หมายถงึ การสอนทมี่ ีการลงรายละเอียดปลีกยํอย กอํ นการนําไปสหํู ลักการหรอื ทฤษฎี โดยอาจจะใชก๎ รณีตวั อยําง ข๎อมูล หรือเหตกุ ารณ์ตํางๆ มาใช๎ เพื่อให๎ ผูเ๎ รยี นไดศ๎ กึ ษา วิเคราะห์ จนสามารถสรุปเปน็ หลกั การของตนเองไดอ๎ ยาํ งถกู ตอ๎ ง จดุ มุ่งหมายของวธิ สี อนโดยใชก้ ารอปุ นยั นักวิชาการกลําวถึงจดุ มงุํ หมายของการสอนโดยใชก๎ ารอปุ นัย ไวด๎ งั น้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กลําววํา เป็นวิธีที่มุงํ ใหผ๎ ๎ูเรียนไดฝ๎ กึ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ สามารถจับหลักการหรือประเด็นสําคัญได๎ดว๎ ยตนเอง ทําใหเ๎ กิดการเรียนรู๎หลกั การแนวคิดหรือ ข๎อความร๎ูตาํ ง ๆ อยาํ งเข๎าใจ ไสว ฟักขาว (2535 : 94) อธบิ ายวํา การสอนแบบอนมุ านทีม่ ํุงชวํ ยใหผ๎ ๎เู รียนได๎คันพบ หลักเกณฑ์ดว๎ ยตนเอง และเข๎าใจความหมายและความสัมพันธร์ ะหวํางความคดิ ตําง ๆ ในสงิ่ ท่ีเรียนอยําง แจํมแจง๎ ตลอดจนสามารถชํวยกระตนุ๎ ให๎ผ๎เู รยี นร๎ูจกั ทําการค๎นคว๎าหาความรูด๎ ว๎ ยตนเอง ชาญชัย ยมดษิ ฐ์ (2548 : 64) กลาํ วถงึ ความมุํงหมายของวิธีสอนแบบอุปนัยวําเพอื่ ชวํ ย ให๎ผู๎เรียนได๎คน๎ พบกฎเกณฑห์ รือความจริงท่สี าํ คัญดว๎ ยตนเองให๎กับเขา๎ ใจความหมายและความสัมพนั ธข์ อง ความคิดตําง ๆ อยํางแจํมแจง๎ ตลอดจนกระตุน๎ ใหน๎ กั เรยี นรู๎จดั ทาํ การสอบสวนค๎นควา๎ หาความรด๎ู ว๎ ย ตนเอง อนิ ทริ า บุณยาทร (2542 : 104) กลําววาํ ความมํุงหมายของการสอนโดยใช๎อุปนัย จาํ แนกเปน็ ข๎อๆ ได๎ดงั น้ี 1. เพ่ือใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎คน๎ พบกฎเกณฑ์ หรือความจริงท่ีสาํ คญั ด๎วยตนเอง 2. เพ่อื ใหผ๎ ๎เู รียนได๎เข๎าใจความหมาย และความสมั พนั ธข์ องความคดิ ตําง ๆ และ คุณสมบัติของสงิ่ ตําง ๆ ได๎อยํางชัดเจน 160

3. เพื่อใหผ๎ เ๎ู รียนไดก๎ ระตอื รือร๎นท่ีจะได๎ศกึ ษา คน๎ คว๎าหาความร๎ดู ว๎ ยตนเอง องคป์ ระกอบของวธิ ีสอนโดยใชก๎ ารอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กลําวถงึ องคป์ ระกอบสําคัญ (ทข่ี าดไมํได)๎ ของวิธีสอน โดยใช๎อุปนัยวํา ประกอบไปด๎วย 1. มผี ู๎สอนและผูเ๎ รียน 2. มตี วั อยาํ ง / ข๎อมูล / สถานการณ์ / เหตุการณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคดิ ทเี่ ปน็ ลกั ษณะยํอย ๆ ของสง่ิ ทีต่ ๎องการใหผ๎ ๎ูเรยี นเกิดการเรยี นร๎ู 3. มีการวิเคราะห์ตัวอยํางตาํ ง ๆ เพื่อหาหลักการทร่ี ํวมกนั 4. มีข๎อสรุปท่ีมลี ักษณะเปน็ หลกั การ / แนวคดิ 5. มผี ลการเรียนรู๎ของผู๎เรียน ขัน้ ตอนในวธิ ีสอนโดยใช้การอุปนัย ทศิ นา แขมมณี (2550 : 340) อธบิ ายถงึ ขน้ั ตอนสําคัญของการสอนโดยใช๎การอุปนัย วาํ มีดงั น้ี 1. ผส๎ู อน และ/หรอื ผ๎ูเรียน ยกตัวอยําง / ข๎อมลู / สถานการณ์ / เหตกุ ารณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคดิ ทเี่ ป็นลักษณะยอํ ยของส่ิงทจี่ ะเรียนร๎ู 2. ผ๎เู รยี นศกึ ษาและวเิ คราะห์หาหลักการที่แฝงอยํูในตวั อยาํ งน้ัน 3. ผเ๎ู รยี นสรปุ หลกั การ / แนวคดิ ท่ีไดจ๎ ากตัวอยํางนั้น 4. ผส๎ู อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รียน สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อทุ ยั สุข (2540 : 132) กลําววาํ ในการดาํ เนินการสอน โดยวิธอี ปุ นยั ประกอบดว๎ ยขนั้ ตอนดงั ตํอไปน้ี 1. ขน้ั เตรยี ม 2. ขน้ั สอน 3. ขน้ั สรปุ 4. ขน้ั ประเมนิ ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) ได๎เสนอขน้ั ตอนกจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบอุปมาน มี ดังน้ี 1. ขั้นเตรียม 2. ขน้ั นําเสนอ 3. ขั้นเปรยี บเทยี บและค๎นหาลกั ษณะรํวม 161

4. ขนั้ สรปุ กฎเกณฑ์ 5. ข้ันนําไปใช๎ จากข้ันตอนการสอนโดยใชก๎ ารอปุ นัยทนี่ ักวิชาการไดเ๎ สนอมา สรุปได๎เปน็ 5 ขัน้ ตอน ดังน้ี 1) ขนั้ เตรยี ม 2) ขั้นสอน 3) ข้ันเปรียบเทยี บ 4) ข้ันสรุป 5) ขั้นนาํ ไปใช๎ 1. การเตรยี มตัวอยา่ ง ทศิ นา แขมมณี (2550 : 341) กลําววาํ ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องเตรยี มตัวอยาํ ง / ขอ๎ มลู / สถานการณ์ / เหตกุ ารณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคิด ท่ีมีหลักการ / แนวคิด ท่ีต๎องการให๎ผู๎เรียนเกิดการ เรียนร๎ูแฝงอยูํ ตัวอยํางที่ควรให๎ประกอบด๎วยลักษณะหรือคุณสมบัติยํอย ๆ ท่ีครอบคลุม หลักการ / แนวคิดนั้น เชํน ถ๎าต๎องการให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎วํา “สัตว์เล้ือยคลานคืออะไร” ตัวอยํางท่ีให๎ก็ควร ครอบคลุมคุณสมบัติยํอยของสัตว์เล้ือยคลาน หรือต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจคําวํา “ซื่อสัตย์สุจริต” ตวั อยาํ งท่ีใหก๎ ค็ วรประกอบด๎วยคุณสมบัติตาํ ง ๆ ของความซ่อื สตั ย์ จะเหน็ ไดว๎ ํา วธิ สี อนในลักษณะน้ีเป็น วิธีการหลักท่ีใช๎ในการสอนมโนทัศน์และหลักการตําง ๆ ซ่ึงการท่ีจะชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎ใช๎ความคิดมาก ๆ น้ัน ตัวอยาํ งที่ให๎ควรจะเป็นตัวอยํางที่นําสนใจและท๎าทายความคิด ความสามารถของผู๎เรียน คือ ต๎อง เป็นเรื่องที่ไมํงายเกินไป แตํก็ไมํยากจนเกินความสามารถ และตัวอยํางที่ให๎ควรมีความหลากหลายและ ครอบคลุมลักษณะ / องค์ประกอบสําคัญของมโนทัศน์ / แนวคิด / หลักการนั้น นอกจากน้ันการต้ัง ประเดน็ คาํ ถามให๎ผูเ๎ รยี นไดค๎ ิดคน๎ หาคาํ ตอบจากตวั อยาํ งท่ีให๎ ก็มีความสําคัญมาก การต้ังประเด็นคําถาม ทีต่ รงจดุ ตรงประเด็น และมลี ักษณะทท่ี ๎าทายความคิด จะชํวยจูงใจให๎ผ๎ูเรียนอยากคิด อยากหาคําตอบ และอยากเรยี นร๎ูเพ่ิมขนึ้ สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทยั สุข (2540 : 132) กลาํ ววาํ ข้ันเตรียมการสอนของ การสอนโดยใชอ๎ ปุ นัยประกอบด๎วยขนั้ ตอนยํอย ดังน้ี 1. กําหนดจุดมํุงหมายของการสอน กํอนจะเตรียมคําสอน ผูส๎ อนต๎องเตรยี ม จดุ มํุงหมายวําต๎องการจะให๎ผู๎เรียนเกิดความร๎ู ความสามารถดา๎ นใด และต๎องการให๎ทราบกฎและ หลักการอะไร 2. กําหนดเน้อื หาและข้ันตอนการสอนในการสอนด๎วยวธิ ีอปุ นยั ข้นั ตอนใน การสอนแตํ ละขั้นตอนจะต๎องมีความสมั พันธ์กนั ผู๎สอนจะต๎องเรยี งลาํ ดับของเนื้อหาของแตลํ ะข้ันตอนใหม๎ ี ความสมั พันธ์สอดคลอ๎ งกัน ถ๎าหากขนั้ ตอนของเนื้อหาไมสํ อดคล๎องกนั จะทําให๎ผ๎เู รียนเกดิ การไขว๎เขวได๎ 3. เตรียมอุปกรณ์การสอน ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั เนื้อหาในแตํละขั้นตอน ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) แนะนาํ วํา ขน้ั เตรียม เปน็ การเตรียมผเู๎ รยี นให๎พร๎อมทีจ่ ะ เรยี น โดยการทบทวนความรเู๎ ดมิ ใหพ๎ ร๎อมทีจ่ ะใชใ๎ นการเช่ือมโยงกบั ความรูใ๎ หมํ บอกจดุ ประสงคแ์ ละ อธิบายจุดประสงคใ์ นการเรียนใหผ๎ เู๎ รียนเข๎าใจอยํางแจมํ แจ๎ง นอกจากน้ี อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 104) อธิบายถงึ ขนั้ เตรียมการของการสอนโดยใช๎ 162

อปุ นัยวํา ข้นั เตรียมการ คือ การเตรียมตวั ผเ๎ู รยี น โดยการทบทวนความรเ๎ู ดมิ และปพู นื้ ฐานความรู๎ใหมํ หรอื เชอ่ื มโยงประสบการณเ์ ดมิ กับประสบการณ์ใหมํ พร๎องทงั้ บอกจุดมํุงหมายใหผ๎ ูเ๎ รียนเขา๎ ใจ สุพนิ บุญชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลําวถงึ ขัน้ ตอนของการสอนโดยใช๎อปุ นยั วาํ ขั้น เตรียม คือ การเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรเู๎ ดิม กาํ หนดจุดมงุํ หมาย และอธบิ ายความมํุง หมายให๎นักเรียนไดเ๎ ข๎าใจแจํมแจง๎ สรปุ ได๎วาํ ขั้นเตรียม ผส๎ู อนต๎องกาํ หนดจุดมํงุ หมายในการสอน เตรียมอุปกรณ์สําหรบั การเรยี นการสอนให๎กบั ผ๎ูเรยี น 2. ข้นั สอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 341-342) กลาํ วถงึ ขอ๎ เสนอแนะเพมิ่ เตมิ ในขนั้ สอนวาํ เปน็ การ ให๎ผู๎เรียนศึกษาวิเคราะห์หาหลักการ / แนวคิด จากตัวอยําง หากตัวอยํางที่ให๎แกํผ๎ูเรียนเป็นตัวอยํางท่ี ครอบคลมุ ลกั ษณะหรือคุณสมบัติยํอย ๆ ของหลักการ / แนวคิดนั้น ๆ และมีคําถามที่สามารถนําผ๎ูเรียน ไปสูํวัตถุประสงค์ที่ต๎องการแล๎ว ยํอมจะชํวยให๎ผู๎เรียนสามารถศึกษาและวิเคราะห์ได๎ตรงวัตถุประสงค์ อยํางรวดเร็ว แตํหากผู๎เรียนไมปํ ระสบความสาํ เรจ็ หรือทาํ ไดไ๎ มํถูกต๎อง ผ๎ูสอนสามารถใช๎คําถามเพ่ิมเติม หรือให๎ข๎อมูลเพ่ิมเติมได๎ แตํไมํควรให๎ในลักษณะที่เป็นการบอกคําตอบ ผ๎ูสอนพึงระลึกอยูํเสมอวํา วิธี สอนน้ีมุํงชํวยให๎ผู๎เรียนได๎คิด ได๎ทําความเข๎าใจด๎วยตนเอง จึงควรใช๎วิธีกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนได๎คิดค๎นตํอไป โดยการตง้ั ประเดน็ คาํ ถามเพ่มิ เติมและควรให๎ผูเ๎ รียนได๎รํวมกันคิดรํวมกันวิเคราะห์เป็นกลํุมยํอย เพื่อจะได๎ แลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กระตุน๎ และตรวจสอบความคิดของกนั และกนั อนั จะนําไปสํูความคิดท่ีรอบคอบ ข้ึนและถูกต๎องมากข้ึน อยํางไรก็ตาม การรํวมกันคิดเป็นกลุํมน้ีก็มีข๎อเสียตรงท่ีวํา ผ๎ูเรียนท่ีเรียนรู๎ได๎ช๎า มักจะถูกครอบงําหรือถูกขํมโดยผู๎เรียนท่ีเรียนรู๎ได๎เร็วกวํา ดังนั้น ผ๎ูสอนจึงควรจัดให๎ผ๎ูเรียนได๎มีเวลาใน การคิดเปน็ รายบุคคลดว๎ ยกอํ นทจ่ี ะอภิปรายกลุํมยอํ ย และควรใช๎เทคนิควิธีการตําง ๆ ที่จะชํวยให๎ผ๎ูเรียน ทุกคนมีสวํ นรวํ มในการอภิปรายกลุํมยํอยอยาํ งทวั่ ถงึ และเทาํ เทียมกันพอสมควร สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พันทพิ า อุทยั สขุ (2540 : 132) กลาํ วถึง ข้นั สอนของการสอน โดยใชอ๎ ปุ นยั วํา การสอนโดยวิธีน้ีควรใช๎วธิ กี ารอธิบายแตเํ พียงส้ัน ๆ เฉพาะในเรือ่ งของความหมาย แนวคิด กว๎าง ๆ และตัวอยํางเทําน้ัน สํวนใหญํแล๎วผ๎ูสอนควรใช๎เทคนิคการใช๎คําถามให๎ผู๎เรียนได๎ตอบและสรุป ความคิดเหน็ หรือแนวคดิ ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กลําววาํ ข้ันนําเสนอ เป็นข้ันทค่ี รูนาํ เสนอตัวอยาํ งหรือ กรณตี ําง ๆ ให๎ผเู๎ รยี นไดพ๎ ิจารณาเพื่อให๎ผเู๎ รยี นสามารถเปรียบเทยี บลกั ษณะรํวมท่ีสาํ คญั เป็นกฎเกณฑไ์ ด๎ สําหรบั การนําเสนอตวั อยํางน้ันควรเสนอหลาย ๆ ตัวอยํางใหม๎ ากพอท่ีจะทําให๎ผู๎เรียนสรุปเป็นกฎเกณฑ์ได๎ ด๎วยตนเอง อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 104) กลาํ ววํา ขัน้ สอน คอื การใหต๎ วั อยาํ งหรือกรณตี วั อยําง หลาย ๆ ตวั อยํางเพ่ือใหผ๎ ๎เู รยี นไดเ๎ ปรียบเทยี บพิจารณาข๎อมลู ตําง ๆ มาสรปุ เปน็ กฎเกณฑ์ 163

สรุปไดว๎ าํ ขั้นสอน ผส๎ู อนนาํ เสนอการสอนโดยการอธิบายเน้ือหาสน้ั ๆ แตตํ ๎องยกตัวอยําง ใหแ๎ กํผูเ๎ รียนหลาย ๆ ตวั อยาํ งให๎มากพอทผ่ี ูเ๎ รียนจะสังเกตพิจารณาและหาข๎อสรุปได๎ 3.ขั้นเปรยี บเทียบหรือขนั้ วิเคราะห์ สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทยั สุข (2540 : 132) กลําวถงึ ขน้ั สรปุ วาํ ในการสรปุ นนั้ ควรให๎ผเู๎ รียนชํวยสรปุ โดยผูส๎ อนพยายามหลีกเลีย่ งการสรุป เสยี เอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) อธิบายวาํ ขนั้ เปรียบเทียบและคน๎ หาลกั ษณะรวํ ม เปน็ การ ใหผ๎ เู๎ รียนพิจารณาองค์ประกอบรวํ มทค่ี ลา๎ ยคลึงกันในตัวอยํางทค่ี รูนําเสนอ เพื่อเตรียมไว๎เป็นข๎อมลู ในการ สรุปเปน็ กฎเกณฑ์ตอํ ไป เสริมศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 279) กลําววาํ ขน้ั เปรียบเทยี บ เมื่อผ๎เู รียนได๎พจิ ารณาจาก ตวั อยํางหลาย ๆ ตัวอยําง หรือได๎ลงมือทดลอง สังเกต วิเคราะห์ด๎วยตนเอง ผู๎เรียนก็สามารถเปรียบเทียบ แยกแยะข๎อแตกตํางหาองค์ประกอบรํวม และมองเห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดท่ีเหมือนกัน ซ่ึงจะ นําไปสํกู ารสรุปในข้ันตอํ ไป อนิ ทริ า บุณยาทร (2542 : 104) กลาํ ววํา ขน้ั วิเคราะห์ คือ การเปรียบเทียบและรวบรวม หาองค์ประกอบจากการทดลองจาก การสังเกตจนพบความแตกตําง และหาความสัมพันธ์ของ รายละเอียดท่เี หมือนกนั จนสามารถนํามาสรปุ ได๎ สุพนิ บญุ ชวู งศ์ (2544 : 64-65) กลาํ ววาํ ขัน้ เปรยี บเทยี บและรวบรวม เป็นข้นั หา องคป์ ระกอบรวม คือ การท่ีนักเรียนได๎มีโอกาสพิจารณาความคล๎ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอยําง เพอื่ เตรียมสรุปกฎเกณฑ์ ไมํควร รีบรอ๎ นหรอื เรงํ เรา๎ เดก็ เกนิ ไป สรุปได๎วํา ขั้นเปรียบเทียบ ผูเ๎ รียนพิจารณาตวั อยาํ งหลาย ๆ ตัวอยาํ ง หรือไดล๎ งมือ ทดลอง สงั เกต วิเคราะห์ดว๎ ยตนเอง ผู๎เรยี นกส็ ามารถเปรียบเทยี บแยกแยะข๎อแตกตํางหาองคป์ ระกอบ รํวม และมองเหน็ ความสัมพันธข์ องรายละเอียดท่เี หมอื นกัน 4.ข้นั สรปุ สริ ิวรรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อทุ ัยสุข (2540 : 132) กลาํ วถงึ ขั้นสรุป ในการสรปุ นั้นควรให๎ผู๎เรยี นชํวยสรุปโดยผู๎สอนพยายามหลีกเลย่ี งการสรุป เสยี เอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กลําววาํ ขั้นสรุปกฎเกณฑ์ เป็นการนําผลการเปรียบเทยี บ และค๎นหาลักษณะรวํ มที่ไดด๎ าํ เนินการไว๎ มาสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ หรือสูตรดว๎ ยตัวผ๎ูเรยี น เอง อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลําววาํ ขนั้ สรุป คือ การสรปุ ประเดน็ สําคญั ตําง ๆ จากการสังเกตตวั อยาํ งจนเป็นหลกั การ หรือกฎเกณฑ์ดว๎ ยตนเองได๎ สรุปไดว๎ ํา ขัน้ สรปุ เปน็ การสรปุ องคป์ ระกอบรํวมจากตัวอยํางตาํ ง ๆ ท่ีผเู๎ รยี นไดส๎ ังเกต 164

พิจารณา ทดลอง พสิ ูจน์ แลว๎ มาสรุปเปน็ กฎเกณฑ์ หลักสูตร สตู ร นิยาม ทฤษฎี ขอ๎ เท็จจริงหรือ ข๎อสรุปตาํ ง ๆ 5. ขนั้ นาไปใช้ ไสว ฟกั ขาว (2535 : 95) กลาํ ววาํ ข้ันนําไปใช๎ เปน็ การทดสอบความเข๎าใจของผู๎เรียน เกี่ยวกบั กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรอื สตู ร ทผ่ี ูเ๎ รียนสรปุ ไดว๎ ําสามารถนาํ ไปใช๎แก๎ปัญหาไดห๎ รอื ไมํ โดยการใหผ๎ ูเ๎ รยี นทาํ แบบทดสอบหรือแบบฝกึ หัด อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลาํ ววาํ ขน้ั นําไปใช๎ คือ ขั้นการทดสอบ ความร๎ูความเข๎าใจของผเู๎ รียนเกย่ี วกับกฎเกณฑ์ที่ได๎ทํามาแล๎ว วําสามารถนําไปปฏบิ ัติ หรือแก๎ปัญหาอนื่ ๆ ในสถานการณท์ ่คี ล๎ายคลงึ กนั ไดด๎ เี พียงใด สรุปได๎วาํ ข้นั นาํ ไปใช๎ เป็นการทดสอบความเข๎าใจของผเู๎ รียนเกี่ยวกบั กฎเกณฑ์ นิยาม หลกั การ หรอื สตู ร ทผ่ี ๎ูเรยี นสรปุ ได๎วาํ สามารถนาํ ไปใชแ๎ ก๎ปญั หาไดห๎ รอื ไมํ โดยการใหผ๎ เ๎ู รยี นทาํ แบบทดสอบหรือแบบฝึกหดั จดุ เดน่ ของวธิ สี อนโดยใช้การอุปนยั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 341-342) กลําวถงึ จดุ เดํนหรอื ข๎อดขี องการสอนโดยใช๎การ อุปนัย ดังนี้ 1. เป็นวธิ สี อนที่ผเู๎ รยี นสามารถคน๎ พบการเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง จึงทําใหเ๎ กดิ ความเข๎าใจ และจดจําได๎ดี 2.เป็นวธิ สี อนทีช่ วํ ยให๎ผเู๎ รยี นไดพ๎ ัฒนาทักษะการคดิ วเิ คราะห์ อนั เปน็ เคร่ืองมอื สาํ คญั ของการเรียนร๎ู 3. เป็นวธิ ีสอนทีผ่ เู๎ รียนไดท๎ ง้ั เนื้อหาความรู๎ (ไดแ๎ กํ หลกั การ / แนวคดิ ฯลฯ) และ กระบวนการ (ไดแ๎ กํ กระบวนการคดิ ) ซ่งึ ผเ๎ู รียนสามารถนาํ ไปใช๎ประโยชนใ์ นการเรยี นร๎ู เร่อื ง อ่นื ๆ ได๎ สิรวิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อทุ ัยสุข (2540 : 131) ได๎กลาํ ววําสําหรบั คุณคําของ วิธีการสอนแบบอปุ นยั มีดังนี้ 1. สํงเสริมให๎ผูเ๎ รยี นรจ๎ู กั คดิ และสังเกต 2. การทผ่ี ๎เู รยี นได๎มโี อกาสสรุปและจดข๎อสังเกตจะทําใหส๎ ามารถจาํ สิ่งท่ีได๎จากบทเรียน ไดน๎ าน 3. การเรียนโดยวธิ ีนน้ี าน ๆ จะสงํ เสรมิ ให๎ผ๎เู รยี นมนี ิสัยชอบคดิ หาเหตผุ ล 4. สํงเสรมิ ใหผ๎ ๎ูเรียนได๎คิดคน๎ หาเหตุผลดว๎ ยตนเองไมํคอยแตคํ าํ สอนของผู๎สอนแตเํ พียง อยํางเดียว 5. ผ๎ูเรยี นได๎มโี อกาสเข๎ารวํ มในพฤติกรรมการเรียนดว๎ ย 165

เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 279-280) ได๎อธบิ ายถึงขอ๎ ดหี รือจุดเดํนของวธิ สี อนแบบ อปุ มาน ไวด๎ ังน้ี 1. ผเ๎ู รยี นเข๎าใจและจดจาํ ได๎นาน เพราะไดเ๎ รยี นโดยการกระทาํ 2. ผเ๎ู รียนเขา๎ ใจวธิ ีทจ่ี ะแก๎ปัญหาในทางรปู ธรรมได๎ในภายหลัง 3. ผ๎ูเรยี นรจ๎ู ักวิธที ํางานทีถ่ ูกต๎องตามหลักจติ วิทยา 4. ผู๎เรียนไดฝ๎ ึกหัดคิดทั้งตามหลักธรรมศาสตรแ์ ละตามหลักวิทยาศาสตร์ 5. ฝกึ ให๎ผู๎เรียนเป็นคนรอบคอบถถ่ี ๎วน ชาํ งสังเกต มีเหตุผล ไมเํ ชื่ออยํางงมงายโดย ไมํได๎พิสูจนใ์ หเ๎ ห็นจรงิ 6. การสอนแบบน้เี หมาะทจี่ ะใชส๎ ําหรบั วิชาทจ่ี ะตอ๎ งคดิ ตามหลักตรรกศาสตร์ สรุปได๎วาํ การสอนโดยใชอ๎ ุปนัย มจี ุดเดํน ดังน้ี 1. สงํ เสริมใหผ๎ ๎ูเรียนพัฒนาการคิด วเิ คราะหแ์ ละการสังเกต 2. ผเู๎ รียนสามารถคน๎ พบด๎วยตนเอง เข๎าใจและจดจาํ รายละเอยี ดของเนอื้ หาได๎ดี 3. ผเู๎ รยี นมกี ารสรุป จดจาํ บทเรียนได๎นาน 4. ผู๎เรียนไดเ๎ รยี นรู๎และกาํ หนดหลักเกณฑต์ ําง ๆ ด๎วยความละเอียดรอบคอบ ขอ้ เสียของวธิ ีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 342) กลําวถึง ข๎อจํากดั ของการสอนโดยใชก๎ ารอุปนยั ดังน้ี 1. เป็นวิธีสอนทีใ่ ช๎เวลาคอํ นข๎างมาก 2. เปน็ วิธสี อนทอ่ี าศัยตวั อยํางที่ดี หากผ๎ูสอนขาดความเขา๎ ใจในการจดั เตรียมตัวอยํางท่ี ครอบคลุมลักษณะสําคญั ๆ ของหลกั การ / แนวคิดท่ีสอน การสอนจะไมํประสบผลสําเรจ็ 3. เป็นวธิ ีการสอนทผ่ี ูเ๎ รียนจะตอ๎ งคิดค๎นหาคาํ ตอบดว๎ ยตนเอง หากผ๎ูเรียนขาดทกั ษะ พน้ื ฐานในการคิด และการทํางานรํวมกนั เป็นกลุมํ อาจไมํเกิดผลทตี่ อ๎ งการ เสรมิ ศรี ลักษณศริ ิ (2540 : 279-280) ไดอ๎ ธิบายถงึ ขอ๎ จํากดั ของวธิ สี อนแบบอปุ มาน ไวด๎ งั นี้ 1. ไมเํ หมาะทีจ่ ะใช๎สอนกับทุกวิชา โดยเฉพาะไมเํ หมาะกับวิชาทีม่ คี ณุ คําทาง สุนทรียศาสตร์ 2. ผสู๎ อนตอ๎ งเขา๎ ใจเทคนิคการสอนวิธีน้อี ยาํ งแจมํ แจ๎ง ชดั เจน เพื่อใหผ๎ เ๎ู รยี นสรุปได๎เอง 3. ถา๎ ผ๎ูสอนรีบบอกข๎อสรปุ หรอื กฎเกณฑต์ ําง ๆ จะทําใหก๎ ารสอนแบบนี้ไมํไดผ๎ ล 4. เปน็ วธิ ีสอนทเ่ี สยี เวลามาก ทาํ ใหเ๎ กดิ ความเบื่อหนํายและมีปัญหาทางวนิ ัย 5. มกั จะทําใหบ๎ ทเรยี นมีพธิ ีรีตองมากเกินไป จาํ เรญิ ชูชํวยสุวรรณ (2544 : 57) กลําวถงึ ขอ๎ จาํ กดั ของวิธีสอนแบบอปุ มยั วาํ การ 166

สอนวธิ ีนี้นักเรียนบางคนอาจจะเข๎าใจยากเพราะเปน็ การสอนในลักษณะนามธรรม ครูจึงต๎องมีวิธีให๎ความรู๎ ที่ชัดเจน บางครง้ั อาจจะต๎องเสียเวลาในการอธบิ ายมาก นอกจากน้ี อินทิรา บณุ ยาทร (2542: 105) กลําววาํ ขอ๎ จํากดั ของวิธีสอนแบบอปุ นัย คือ 1. ผูส๎ อนต๎องมีความเขา๎ ใจในเทคนิควธิ ีสอนแบบนี้เป็นอยาํ งดี 2. ผส๎ู อนต๎องมีประสบการณ์เพียงพอ มิฉะนั้นจะทําให๎ผเู๎ รียนเบ่ือหนํายเพราะใช๎เวลามาก 3. ผูส๎ อนตอ๎ งรู๎จักการสรา๎ งบรรยากาศการเรยี นการสอนให๎นาํ สนใจ ผูเ๎ รยี นจะได๎ กระตือรือร๎นที่จะเรียน สพุ ิน บญุ ชูวงศ์ (2544 : 65) ได๎กลาํ วถึงขอ๎ จํากดั ของการสอนโดยใช๎อุปนยั วาํ 1. ไมํเหมาะสมที่จะใช๎สอนวชิ าทีม่ ีคุณคําทางสุนทรียะ 2. ใช๎เวลามาก อาจทาํ ให๎เด็กเกดิ ความเบื่อหนําย 3. ทาํ ให๎บรรยากาศการเรยี นเปน็ ทางการเกนิ ไป 4. ครตู อ๎ งเข๎าใจเทคนิควิธสี อนแบบนีอ้ ยํางดี จงึ จะได๎ผลสัมฤทธ์ิในการสอน ตัวเองไมํได๎ สรปุ ไดว๎ ํา การสอนโดยใชอ๎ ุปนยั มีข๎อจาํ กัด ได๎ดงั น้ี 1. ไมํเหมาะสําหรับวชิ าทีม่ ีเนื้อหาเขา๎ ใจไดย๎ าก เพราะผ๎เู รียนอาจสรุปกฎเกณฑ์ด๎วย 2. ใชเ๎ วลาในการสอนมาก ทําให๎ผเู๎ รียนเกดิ ความเบ่ือหนาํ ย 3. ครูตอ๎ งใชเ๎ ทคนคิ การสอนอยาํ งดี การสอนจงึ จะสมั ฤทธิผ์ ล 4. ไมเํ หมาะสมท่จี ะใช๎สอนวชิ าท่มี คี ุณคาํ ทางสนุ ทรียภาพ กลาํ วโดยสรปุ ไดว๎ าํ วิธสี อนโดยใชก๎ ารอุปนัย หมายถงึ การสอนท่ผี ส๎ู อนลงรายละเอยี ด ปลีกยํอยกํอนการนําไปสํูหลักการหรือทฤษฎี ผ๎ูสอนอาจนําเสนอโดยการยกตัวอยํางหรือเหตุการณ์ให๎ ผู๎เรียนได๎เกิดความคิด วิเคราะห์จากตัวอยํางท่ีให๎ไว๎เพื่อสรุปเป็นทฤษฎีในภายหลัง ซ่ึงจุดมุํงหมายในการ สอนเพื่อสํงเสริมให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ผ๎ูเรียนเกิดการค๎นพบด๎วยตัวเอง เข๎าใจความหมาย ความสัมพันธ์ของส่ิงตํางๆ โดยมีองค์ประกอบสําคัญของการสอน คือ ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียน จะต๎องมีตัวอยําง ข๎อมูลหรือเหตุการณ์ตํางๆ มีการวิเคราะห์ตัวอยํางตํางๆ เพื่อหาหลักการรํวมกัน มีข๎อสรุปท่ีเป็นหลักการ และตอ๎ งมีผลการเรยี นรู๎ของผเ๎ู รยี นเปน็ สําคญั วิธสี อนโดยการใช๎อุปนยั มขี ้นั ตอนการสอน 5 ขนั้ ตอน คอื 1. ขนั้ เตรียม ผ๎สู อนต๎อง กําหนดจุดมํุงหมายในการสอนให๎กับผู๎เรียน 2. ข้ันสอน ผู๎สอนนําเสนอการสอนโดยการอธิบายเน้ือหา ส้นั ๆ แตํต๎องยกตวั อยํางใหแ๎ กํผูเ๎ รียนหลาย ๆ ตวั อยํางใหม๎ ากพอทีผ่ ๎ูเรยี นจะสงั เกตพิจารณาและหาข๎อสรุป ได๎ 3. ข้ันเปรียบเทียบ ผ๎ูเรียนพิจารณาตัวอยํางหลาย ๆ ตัวอยําง หรือได๎ลงมือทดลอง สังเกต 167

วเิ คราะห์ด๎วยตนเอง ผู๎เรยี นกส็ ามารถเปรียบเทียบแยกแยะข๎อแตกตํางหาองค์ประกอบรํวม และมองเห็น ความสัมพันธ์ของรายละเอียดที่เหมือนกัน 4. ข้ันสรุป เป็นการสรุปองค์ประกอบรํวมจากตัวอยํางตําง ๆ ท่ีผู๎เรียนได๎สังเกตพิจารณาทดลอง พิสูจน์ แล๎วมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎี ข๎อเทจ็ จริงหรอื ข๎อสรปุ ตําง ๆ และสุดท๎าย 5. ข้ันนําไปใช๎ เป็นการทดสอบความเข๎าใจของผ๎ูเรียนเก่ียวกับ กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรอื สูตร ท่ีผ๎ูเรียนสรุปได๎วําสามารถนําไปใช๎แก๎ปัญหาได๎หรือไมํ โดยการให๎ ผเ๎ู รียนทําแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด ข๎อดขี องวธิ สี อนโดยการใชอ๎ ปุ นัย คอื ผ๎ูเรียนได๎พฒั นาทกั ษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละการ สังเกต ซ่ึงจะค๎นพบได๎ด๎วยตนเองและจะจดจําได๎นาน สํวนข๎อจํากัดของการสอนวิธีน้ีคือ ใช๎ได๎กับบางวิชา เทํานั้น และไมเํ หมาะสําหรบั เนอื้ วชิ าทยี่ าก และครูตอ๎ งใชเ๎ ทคนิคการสอนอยํางดี การสอนจึงจะสัมฤทธิ์ผล และมีประสิทธภิ าพ คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและจดุ มงุํ หมายของ “วธิ ีสอนโดยใชก๎ ารอปุ นัย” ตามความ คดิ เห็นของทําน 2. องคป์ ระกอบสําคญั และขนั้ ตอนในการสอนของวธิ ีสอนโดยใช๎การอปุ นยั จาํ เป็นตอ๎ งมี อะไรบา๎ ง 3. ทํานคิดวาํ วธิ สี อนโดยใช๎การอปุ นัยมีข๎อดีและข๎อจํากัดอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 4. ใหท๎ ํานทดลองฝึกสอนโดยใช๎การอปุ นยั แล๎วให๎เพ่ือนหรือผูเ๎ ช่ียวชาญใหค๎ าํ ติชม หรอื อาจบันทึกวีดที ัศน์ไวว๎ เิ คราะห์การสอนของตนเองกไ็ ด๎ 5.5 การสอนแบบร่วมมือ การจดั การเรียนร้แู บบรว่ มมือ (Cooperative Learning) การจัดการเรียนรู๎แบบรํวมมือนับวําเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน๎นผู๎เรียนเป็นสําคัญ โดยใช๎กระบวนการกลํุมให๎ผู๎เรียนได๎มีโอกาสทํางานรํวมกันเพ่ือผลประโยชน์และเกิดความสําเร็จรํวมกัน ของกลุํม ซึ่งการเรียนแบบรํวมมือมิใชํเป็นเพียงจัดให๎ผ๎ูเรียนทํางานเป็นกลุํม เชํน ทํารายงาน ทํากิจกรรม ประดิษฐ์หรือสร๎างชิ้นงาน อภิปราย ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล๎ว ผ๎ูสอนทําหน๎าที่สรุปความรู๎ด๎วย ตนเองเทํานนั้ แตํผส๎ู อนจะตอ๎ งพยายามใชก๎ ลยุทธว์ ธิ ีใหผ๎ ๎ูเรียนได๎ใช๎กระบวนการประมวลส่ิงท่ีมาจากการทํา กิจกรรมตํางๆ จัดระบบความร๎ูสรุปเป็นองค์ความรู๎ด๎วยตนเองเป็นหลักการสําคัญ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ , 2544 :15 ) ดงั น้ัน การจัดการเรียนรแ๎ู บบรํวมมือผ๎ูสอนจะต๎องเลือกเทคนิคการจัดการเรียนท่ีเหมาะสมกับ ผเ๎ู รียน และผ๎ูเรียนจะตอ๎ งมีความพร๎อมที่จะรํวมกันทํากิจกรรม รับผิดชอบงานของกลํุมรํวมกัน โดยท่ีกลํุม จะประสบความสําเร็จได๎ เมื่อสมาชิกทุกคนได๎เรียนร๎ูบรรลุตามจุดมุํงหมายเดียวกัน น่ันคือ การเรียนเป็น กลุมํ หรือเปน็ ทมี อยํางมีประสิทธภิ าพนั่นเอง 168

เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจในการจัดการเรียนร๎ูแบบรํวมมือมากยิ่งข้ึน ในบทน้ีจะกลําวถึง รายละเอยี ดของการจัดการเรียนร๎ูแบบรํวมมือ ประกอบไปด๎วย ความหมาย วัตถุประสงค์ องค์ประกอบ สําคญั ของการเรยี นร๎แู บบรวํ มมือ ความแตกตํางระหวํางการเรียนรู๎แบบรํวมมือกับการเรียนเป็นกลํุมแบบ ด้ังเดิม ขั้นตอนการจัดกิจกรรม เทคนิคการเรียนรู๎แบบรํวมมือ วิธีการเรียนแบบรํวมมือ ประโยชน์ของ การเรียนแบบรํวมมือ เงื่อนไขการเลือกวิธีการสอนแบบตําง ๆ และเหตุผลของการผสมผสานการสอน แบบตาํ ง ๆ และสรปุ ทา๎ ยบทรวมทั้งในตอนทา๎ ยจะมกี ิจกรรมและคําถามทา๎ ยบท สาํ หรบั การจัดการเรยี นรแ๎ู บบรํวมมือได๎มีนักวชิ าการให๎ความหมายไว๎หลายทําน ดงั น้ี อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 121) ได๎กลําววํา การจดั การเรียนรูแ๎ บบรํวมมือหรือแบบมี สํวนรํวม หมายถงึ การจัดกิจกรรมการเรยี นรูท๎ ี่ผ๎ูเรยี นมคี วามรคู๎ วามสามารถตาํ งกนั ไดร๎ วํ มมอื กนั ทาํ งาน กลํุมดว๎ ยความตงั้ ใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน๎าท่ใี นกลมุํ ของตน ทาํ ใหง๎ านของกลํุมดําเนินไปสูํ เปาู หมายของงานได๎ ไสว ฟักขาว (2544 : 193) กลาํ วถงึ การเรียนร๎ูแบบรวํ มมือไวว๎ าํ เปน็ การจัดการเรียน การสอนที่แบํงผ๎เู รียนออกเป็นกลํมุ เลก็ ๆ สมาชกิ ในกลํมุ มีความสามารถแตกตาํ งกัน มีการแลกเปล่ียน ความคิดเหน็ มีการชํวยเหลือสนบั สนุนซึ่งกันและกนั และมีความรบั ผดิ ชอบรวํ มกันทัง้ ในสํวนตน และ สวํ นรวม เพือ่ ใหก๎ ลมํุ ได๎รับความสําเรจ็ ตามเปาู หมายที่กําหนด จากความหมายของการเรียนร๎ูแบบรํวมมือข๎างต๎น สรุปได๎วํา การจัดการเรียนรู๎แบบ รํวมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีผู๎สอนจัดให๎ผู๎เรียนแบํงเป็นกลุํมเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพ่ือใหผ๎ เู๎ รียนได๎เรียนรู๎โดยการทํางานรํวมกัน ชํวยเหลือซ่ึงกันและกัน และรํวมกันรับผิดชอบงานในกลํุมที่ ไดร๎ ับมอบหมาย เพ่อื ให๎เกดิ เปน็ ความสาํ เรจ็ ของกลํมุ สําหรับวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการเรยี นรแ๎ู บบรํวมมือ อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 121) ไดก๎ ลําววํา ดงั นี้ 1. เพ่อื ใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎เรียนรแ๎ู ละฝกึ ทกั ษะกระบวนการกลุํมได๎ฝึกบทบาทหน๎าทแ่ี ละความ รับผิดชอบในการทํางานกลุํม 2. เพอื่ ใหผ๎ ู๎เรยี นไดพ๎ ัฒนาทักษะการคดิ คน๎ คว๎า ทักษะการแสวงหาความร๎ดู ๎วยตนเอง ทกั ษะการคดิ สรา๎ งสรรค์ การแก๎ปัญหา การตัดสนิ ใจ การตง้ั คําถาม ตอบคาํ ถาม การใชภ๎ าษา การพดู ฯลฯ 3. เพื่อให๎ผู๎เรียนไดฝ๎ กึ ทักษะทางสังคม การอยูํรวํ มกบั ผู๎อ่นื การมนี ํา้ ใจชํวยเหลือผูอ๎ ื่น การเสียสละ การยอมรบั กันและกัน การไวว๎ างใจ การเป็นผน๎ู าํ ผู๎ตาม ฯลฯ 169

ลักษณะของการเรียนรแู้ บบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 121) ได๎กลําวถงึ การจัดกิจกรรมแบบรวํ มแรงรํวมใจวาํ มลี กั ษณะ ดังนี้ 1. มีการทํางานกลุํมรํวมกัน มปี ฏสิ มั พนั ธ์ภายในกลํมุ และระหวํางกลมํุ 2. สมาชิกในกลุํมมจี าํ นวนไมํควรเกนิ 6 คน 3.สมาชกิ ในกลมุํ มีความสามารถแตกตาํ งกนั เพ่ือชํวยเหลือกัน 4.สมาชกิ ในกลุํมตาํ งมีบทบาทรบั ผิดชอบในหน๎าท่ที ี่ได๎รับมอบหมาย เชนํ - เป็นผู๎นํากลมุํ (Leader) - เป็นผ๎ูอธิบาย (Explainer) - เป็นผ๎ูจดบนั ทกึ (Recorder) - เปน็ ผู๎ตรวจสอบ (Checker) - เป็นผส๎ู งั เกตการณ์ (Observer) - เป็นผใู๎ ห๎กาํ ลงั ใจ (Encourager) ฯลฯ สมาชกิ ในกลํมุ มคี วามรบั ผดิ ชอบรวํ มกนั ยดึ หลักวาํ “ความสําเร็จของแตํละคน คอื ความสําเรจ็ ของกลุมํ ความสําเร็จของกลมุํ คือ ความสําเรจ็ ของทกุ คน” องค์ประกอบสาคญั ของการเรียนรู้แบบร่วมมอื นกั วิชาการหลายทาํ นได๎กลําวถึงองค์ประกอบของการเรียนรแ๎ู บบรํวมมือ ไวด๎ งั นี้ จอหน์ สนั และจอห์นสัน (Johnson and Johnson,1987 : 13 - 14) อ๎างใน ไสว-ฟักขาว (2544 : 193- 194) ไดก๎ ลาํ วถึงองคป์ ระกอบท่ีสาํ คัญของการเรียนร๎แู บบรวํ มมือ ไวด๎ ังน้ี 1. ความเกี่ยวขอ๎ งสมั พนั ธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การท่สี มาชกิ ในกลํมุ ทาํ งานอยํางมีเปาู หมายรวํ มกัน มีการทํางานรํวมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีสํวนรํวมใน การทํางานนั้น มีการแบํงปันวัสดุ อุปกรณ์ ข๎อมูลตําง ๆ ในการทํางาน ทุกคนมีบทบาท หน๎าท่ีและ ประสบความสําเร็จรํวมกัน สมาชิกในกลุํมจะมีความร๎ูสึกวําตนประสบความสําเร็จได๎ก็๖อเมื่อสมาชิกทุก คนในกลํุมประสบความสําเร็จด๎วย สมาชิกทุกคนจะได๎รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงานกลํุมโดยเทํา เทยี มกนั เชนํ ถา๎ สมาชิกทุกคนชวํ ยกัน ทําให๎กลมุํ ไดค๎ ะแนน 90% แลว๎ สมาชิกแตํละคนจะได๎คะแนน พเิ ศษเพ่ิมอีก 5 คะแนน เปน็ รางวลั เปน็ ต๎น 2. การมีปฏิสมั พันธ์ท่สี งํ เสริมซ่ึงกันและกนั (Face To Face Pronotive Interaction) เป็นการติดตํอสัมพันธ์กัน แลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความร๎ูให๎แกํเพื่อนในกลุํมฟัง เป็นลักษณะสําคัญของการติดตํอปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบรํวมมือ ดังน้ัน จึงควรมีการ 170

แลกเปล่ียน ให๎ข๎อมูลย๎อนกลับ เปิดโอกาสให๎สมาชิกเสนอแนวความคิดใหมํ ๆ เพ่ือเลือกในส่ิงท่ีเหมาะสม ทส่ี ดุ 3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน (Individual Accountability) ความรับผิดชอบของสมาชิกแตลํ ะบุคคล เป็นความรบั ผดิ ชอบในการเรียนรข๎ู องสมาชิกแตํละบุคคล โดยมี การชวํ ยเหลือสงํ เสรมิ ซ่งึ กันและกัน เพอื่ ให๎เกดิ ความสาํ เร็จตามเปูาหมายกลํุม โดยที่สมาชิกทุกคนในกลํุม มคี วามมั่นใจ และพรอ๎ มที่จะได๎รับการทดสอบเปน็ รายบุคคล 4. การใช๎ทักษะระหวํางบคุ คลและทักษะการทํางานกลุมํ ยํอย (Interdependence and Small Group Skills) ทกั ษะระหวาํ งบุคคล และทักษะการทํางานกลํุมยํอย นักเรียนควรได๎รับ การฝึกฝนทักษะเหลํานี้เสียกํอน เพราะเป็นทักษะสําคัญที่จะชํวยให๎การทํางานกลุํมประสบผลสําเร็จ นักเรียนควรได๎รับการฝึกทักษะในการส่ือสาร การเป็นผ๎ูนํา การไว๎วางใจผ๎ูอ่ืน การตัดสินใจ การ แก๎ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะสํงเสริมให๎นักเรียน เพ่ือให๎นักเรียนสามารถทํางานได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ 5. กระบวนการกลุํม (Group Process) เป็นกระบวนการทํางานท่ีมีข้ันตอนหรือ วิธีการท่ีจะชํวยให๎การดําเนินงานกลุํมเป็นไปอยํางมีประสิทธิภาพ น่ันคือ สมาชิกทุกคนต๎องทําความ เข๎าใจในเปูาหมายการทํางาน วางแผนปฏิบัติงานรํวมกัน ดําเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและ ปรบั ปรงุ งาน องค์ประกอบของการเรียนร๎ูแบบรํวมมือท้ัง 5 องค์ประกอบนี้ ตํางมีความสัมพันธ์ซ่ึงกัน และกัน ในอันท่ีจะชํวยให๎การเรียนแบบรํวมมือดําเนินไปด๎วยดี และบรรลุตามเปูาหมายท่ีกลุํมกําหนด โดยเฉพาะทกั ษะทางสังคม ทกั ษะการทาํ งานกลํมุ ยํอย และกระบวนการกลํุมซึ่งจําเป็นท่ีจะต๎องได๎รับการ ฝึกฝน ทง้ั นี้เพอ่ื ให๎สมาชิกกลุํมเกิดความร๎ู ความเข๎าใจและสามารถนําทักษะเหลําน้ีไปใช๎ให๎เกิดประโยชน์ ไดอ๎ ยํางเต็มท่ี อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 : 122) กลําวถงึ องค์ประกอบของการจดั การเรยี นรู๎แบบ รวํ มมอื ไวว๎ าํ ต๎องคํานึงถงึ องค์ประกอบในการให๎ผ๎เู รียนทํางานกลุมํ ดงั ขอ๎ ตํอไปน้ี 1. มกี ารพง่ึ พาอาศัยกนั (Positive Interdependence) หมายถงึ สมาชิกในกลุํมมี เปาู หมายรวํ มกนั มีสํวนรับความสาํ เร็จรํวมกัน ใชว๎ สั ดอุ ปุ กรณ์รวํ มกัน มีบทบาทหน๎าที่ทุกคนท่ัวกัน ทุก คนมีความรส๎ู กึ วาํ งานจะสําเร็จไดต๎ ๎องชํวยเหลือซึ่งกนั และกัน 2. มปี ฏสิ ัมพันธอ์ ยํางใกลช๎ ิดในเชงิ สร๎างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุํมได๎ทํากิจกรรมอยํางใกล๎ชิด เชํน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อธิบาย ความรูแ๎ กํกนั ถามคาํ ถาม ตอบคําถามกันและกนั ด๎วยความรส๎ู ึกทด่ี ีตํอกัน 3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน (IndividualAccountability) เป็นหน๎าที่ของผ๎ูสอนที่จะต๎องตรวจสอบวํา สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบตํองานกลํุมหรือไมํ มากน๎อย 171

เพียงใด เชํน การสุํมถามสมาชิกในกลุํม สังเกตและบันทึกการทํางานกลุํม ให๎ผู๎เรียนอธิบายส่ิงท่ีตน เรียนรใ๎ู หเ๎ พอ่ื นฟัง ทดสอบรายบุคคล เป็นตน๎ 4. มีการฝกึ ทกั ษะการชํวยเหลือกนั ทํางานและทกั ษะการทํางานกลํมุ ยํอย (Interdependence and Small Groups Skills) ผู๎เรียนควรได๎ฝกึ ทักษะที่จะชํวยให๎งานกลุํมประสบ ความสําเร็จ เชํน ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและชํวยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็น โดยไมํ วิจารณ์บุคคล การแก๎ปัญหาความขัดแย๎ง การให๎ความชํวยเหลือ และการเอาใจใสํตํอทุกคนอยํางเทํา เทยี มกนั การทําความร๎ูจักและไวว๎ างใจผูอ๎ ืน่ เป็นตน๎ 5. มกี ารฝึกกระบวนการกลมํุ (Group Process) สมาชกิ ต๎องรับผดิ ชอบตอํ การ ทํางานของกลํุม ต๎องสามารถประเมินการทํางานของกลํุมได๎วํา ประสบผลสําเร็จมากน๎อยเพียงใด เพราะเหตุใด ต๎องแก๎ไขปัญหาท่ีใด และอยํางไร เพ่ือให๎การทํางานกลุํมมีประสิทธิภาพดีกวําเดิม เป็น การฝึกกระบวนการกลํุมอยํางเป็นกระบวนการ จากองค์ประกอบสาํ คญั ของการเรียนรู๎แบบรวํ มมือ จงึ สรุปไดว๎ ําการเรยี นรแ๎ู บบรวํ มมอื นั้นมีองคป์ ระกอบ 5 ประการดว๎ ยกนั คอื 1. มกี ารพึ่งพาอาศัยซึ่งกนั และกนั โดยสมาชิกแตํละคนมเี ปาู หมายในการทํางานกลํุม รํวมกนั ซง่ึ จะต๎องพึงพาอาศยั ซงึ่ กนั และกันเพื่อความสาํ เร็จของการทํางานกลุํม 2. มีปฏิสัมพันธ์กันอยํางใกล๎ชิดในเชิงสร๎างสรรค์ เป็นการให๎สมาชิกได๎รํวมกันทํางาน กลุํมกนั อยํางใกลช๎ ิด โดยการเสนอและแสดงความคิดเห็นกันของสมาชิกภายในกลํุม ด๎วยความรู๎สึกที่ดีตํอ กนั 3. มีความรับผิดชอบของสมาชิกแตํละคน หมายความวํา สมาชิกภายในกลํุมแตํละคน จะต๎องมีความรับผิดในการทํางาน โดยที่สมาชิกทุกคนในกลํุมมีความมั่นใจ และพร๎อมท่ีจะได๎รับการ ทดสอบเปน็ รายบคุ คล 4. มีการใช๎ทักษะกระบวนการกลุํมยํอย ทักษะระหวํางบุคคล และทักษะการทํางาน กลุํมยํอย นักเรียนควรได๎รับการฝึกฝนทักษะเหลํานี้เสียกํอน เพราะเป็นทักษะสําคัญที่จะชํวยให๎การ ทํางานกลํุมประสบผลสาํ เรจ็ เพ่ือใหน๎ ักเรียนจะสามารถทํางานได๎อยาํ งมีประสิทธิภาพ 5. มีการใช๎กระบวนการกลํมุ ซึ่งเป็นกระบวนการทํางานที่มีขั้นตอนหรือ วิธีการท่ีจะชํวย ให๎การดําเนินงานกลํุมเป็นไปอยํางมีประสิทธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเปูาหมายในการทํางาน รวํ มกนั โดยจะตอ๎ งดําเนนิ งานตามแผนตลอดจนประเมนิ ผลและปรบั ปรุงงาน ความแตกตา่ งระหวา่ งการเรยี นรแู้ บบร่วมมือกับการเรยี นเป็นกลุ่มแบบดั้งเดมิ ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195) ได๎กลําววํา จากองค์ประกอบสําคัญของการเรียนรู๎แบบ รํวมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งได๎แกํ ความเก่ียวข๎องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ สงํ เสรมิ กนั และกัน ความรบั ผิดชอบของสมาชกิ แตํละบุคคล การใช๎ทักษะระหวาํ งบคุ คล การทํางานกลุํม 172

ยํอย และกระบวนการกลุํม องค์ประกอบเหลําน้ีทําให๎การเรียนรู๎แบบรํวมมือแตกตํางออกไปจากการ เรียนรู๎เป็นกลุํมแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กลําวคือ การเรียนเป็นกลุํมแบบดั้งเดิมนั้น เป็น เพียงการแบํงกลํุมการเรียนเพื่อให๎นักเรียนปฏิบัติงานรํวมกัน แบํงงานกันทํา สมาชิกในกลํุมตํางทํางาน เพื่อให๎งานสําเร็จ เน๎นที่ผลงานมากกวํากระบวนการในการทํางาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความ รบั ผดิ ชอบในตนเองสูง แตสํ มาชกิ บางคนอาจไมมํ ีความรบั ผิดชอบ ขอเพียงมีช่ือในกลุํม มีผลงานออกมา เพื่อสํงครเู ทํานัน้ ซ่ึงตาํ งจากการเรียนเป็นกลํุมแบบรํวมมือท่ีสมาชิกแตํละคนต๎องมีความรับผิดชอบท้ังตํอ ตนเองและตํอเพื่อนสมาชิกในกลํุมด๎วย จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1987 : 25) อา๎ งใน ไสว ฟักขาว (2544 : 195) ได๎สรุปความแตกตํางระหวํางกลํุมการเรียนรู๎แบบรํวมมือกับกลุํม การเรยี นแบบดงั้ เดิมไว๎ดงั นี้ การเรยี นร๎ูแบบรํวมมอื (Cooperative Learning) การเรยี นรูเ๎ ปน็ กลํมุ แบบดง้ั เดิม (Traditional Learning) 1. มคี วามสัมพันธใ์ นเชงิ บวกระหวํางสมาชิก 2. สมาชิกเอาใจใสํรับผิดชอบตํอตนเอง 3. สมาชิกมีความสามารถแตกตาํ งกัน 4. สมาชิกผลัดเปล่ยี นกนั เป็นผ๎นู ํา 5. รับผดิ ชอบรวํ มกบั สมาชกิ ด๎วยกนั 6. เนน๎ ผลงานและการคงอยซํู ่ึงความเปน็ กลุํม 7. สอนทักษะทางสังคมโดยตรง 8. ครูคอยสังเกตและหาโอกาสแนะนาํ 9. สมาชิกกลมุํ มีกระบวนการทํางานเพอื่ ประสทิ ธผิ ลกลุมํ 1. ขาดการพ่ึงพากันระหวาํ งสมาชิก 2. สมาชิกขาดความรบั ผิดชอบในตนเอง 3. สมาชิกมคี วามสามารถเทาํ เทียมกนั 4. มผี นู๎ าํ ทไ่ี ดร๎ บั การแตํงตั้งเพยี งคนเดียว 5. รับผดิ ชอบเฉพาะตนเอง 6. เนน๎ ท่ีผลงานเพยี งอยํางเดียว 7. ทกั ษะทางสังคมถูกละเลย 8. ครขู าดความสนใจหนา๎ ทข่ี องกลุมํ 9. ขาดกระบวนการในการทาํ งานกลุํม 173

ข้ันตอนการจัดกจิ กรรม อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 122-123) กลําวถึงข้ันตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู๎ แบบรํวมมือ ไวด๎ ังน้ี 1. ขั้นเตรียมการ ผ๎ูสอนช้ีแจงจุดประสงค์ของบทเรียน ผู๎สอนจัดกลุํมผ๎ูเรียนเป็นกลุํมยํอย กลุํมละ ประมาณไมํเกิน 6 คน มีสมาชิกที่มีความสามารถแตกตํางกัน ผู๎สอนแนะนําวิธีการทํางานกลํุมและ บทบาทของสมาชกิ ในกลุํม 2. ขั้นสอน ผู๎สอนนําเข๎าสํบู ทเรยี น บอกปญั หาหรอื งานทตี่ อ๎ งการให๎กลํมุ แก๎ไขหรือคดิ วิเคราะห์ หาคําตอบผู๎สอนแนะนําแหลํงข๎อมูล ค๎นคว๎า หรือให๎ข๎อมูลพ้ืนฐานสําหรับการคิดวิเคราะห์ ผสู๎ อนมอบหมายงานทีก่ ลุํมต๎องทาํ ใหช๎ ดั เจน 3. ขั้นทากจิ กรรมกลมุ่ ผู๎เรยี นรวํ มมือกนั ทํางานตามบทบาทหนา๎ ทที่ ่ีได๎รบั ทุกคนรํวมรบั ผดิ ชอบ รวํ มคิด รํวมแสดงความคดิ เห็น การจดั กิจกรรในขั้นน้ี ครูควรใช๎เทคนิคการเรียนรู๎แบบรํวมแรงรํวมใจ ท่ีนําสนใจ และเหมาะสมกับผู๎เรียน เชํน การเลําเร่ืองรอบวง มุมสนทนา คูํตรวจสอบ คูํคิด ฯลฯผ๎ูสอน สังเกตการณ์ทํางานของกลุํม คอยเป็นผู๎อํานวยความสะดวก ให๎ความกระจํางในกรณีที่ผู๎เรียนสงสัย ตอ๎ งการความชวํ ยเหลือ 4. ขนั้ ตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขัน้ น้ีผเู๎ รียนจะรายงานผลการทาํ งานกลุํม ผ๎ูสอนและเพ่ือนกลํุมอ่ืนอาจซักถามเพ่ือให๎เกิดความกระจํางชัดเจน เพ่ือเป็นการตรวจสอบผลงานของ กลมํุ และรายบุคคล 5. ข้ันสรปุ บทเรยี นและประเมนิ ผลการทางานกลมุ่ ขนั้ น้ผี ๎ูสอนและผู๎เรียนชวํ ยกนั สรุปบทเรียน ผ๎ูสอนควรชํวยเสริมเพ่ิมเติมความรู๎ ชํวยคิดให๎ครบตามเปูาหมายการเรียนท่ีกําหนดไว๎ และชวํ ยกนั ประเมนิ ผลการทํางานกลํมุ ท้ังสํวนทเ่ี ดํนและสํวนท่ีควรปรับปรงุ แกไ๎ ข เทคนิคการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ วัฒนาพร ระงบั ทุกข์ (2545 : 177 – 195) อา๎ งใน อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 123 – 125) กลําวถงึ เทคนิคการจดั การเรยี นร๎ูแบบรํวมมือ ไว๎วํา เทคนคิ ทีน่ ํามาใชใ๎ นการเรยี นร๎ูแบบรํวมมอื มี หลายวิธี ไดแ๎ นะนําไวด๎ งั น้ี 1. ปรศิ นาความคิด (Jigsaw) ปรศิ นาความคดิ เปน็ เทคนคิ ทีส่ มาชกิ ในกลมุํ แยกยา๎ ยกันไปศกึ ษาหาความรู๎ ใน 174

หัวข๎อเนื้อหาท่ีแตกตํางกัน แล๎วกลับเข๎ากลุํมมาถํายทอดความรู๎ที่ได๎มาให๎สมาชิกกลุํมฟัง วิธีนี้คล๎ายกับ การตํอภาพจิกซอร์ จึงเรียกวิธีนี้วํา Jigsaw หรือปริศนาการคิด ลักษณะการจัดกิจกรรมผ๎ูเรียนที่มี ความสามารถตํางกันเข๎ากลุํมรํวมกันเรียกวํา กลํุมบ๎าน (Home Group) สมาชิกในกลํุมบ๎านจะ รับผิดชอบศึกษาหัวข๎อที่แตกตํางกัน แล๎วแยกย๎ายไปเข๎ากลุํมใหมํในหัวข๎อเดียวกัน กลุํมใหมํน้ีเรียกวํา กลมุํ ผเ๎ู ช่ยี วชาญ (Expert Group) เม่อื กลมํุ ผเ๎ู ช่ยี วชาญทํางานรํวมกันเสร็จ ก็จะย๎ายกลับไปกลํุมเดิมคือ กลํุมบ๎านของตน นําความรู๎ท่ีได๎จากการอภิปรายจากกลํุมผ๎ูเชี่ยวชาญมาสรุปให๎กลํุมบ๎านฟัง ผู๎สอน ทดสอบและใหค๎ ะแนน 2. กลุ่มร่วมมือแข่งขนั (Teams – Games – Toumaments : TGT) เทคนิคกลุํมรํวมมือแขํงขัน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลํุมเรียนร๎ูเนื้อหาสาระจากผู๎สอน ด๎วยกัน แล๎วแตํละคนแยกย๎ายไปแขํงขันทดสอบความร๎ู คะแนนท่ีได๎ของแตํละคนจะนํามารวมกันเป็น คะแนนของกลํุม กลํุมที่ไดค๎ ะแนนรวมสงู สดุ ไดร๎ บั รางวัล ลักษณะการจัดกจิ กรรม สมาชกิ กลมํุ จะชํวยกนั เตรยี มตัวเข๎าแขํงขัน โดยผลัดกันถามตอบให๎เกิดความแมํนยาํ ใน ความรู๎ทผ่ี ๎ูสอนจะทดสอบ เมื่อไดเ๎ วลาแขํงขนั แตํละทีมจะเข๎าประจาํ โต๏ะแขํงขนั แล๎วเริ่มเลํนเกมพร๎อม กนั ด๎วยชุดคําถามที่เหมือนกัน เม่ือการแขงํ ขันจบลง ผูเ๎ ข๎ารวํ มแขํงขันจะกลับไปเขา๎ ทีมเดมิ ของตนพร๎อม คะแนนที่ไดร๎ บั ทีมท่ีได๎คะแนนรวมสงู สุดถอื วําเปน็ ทีมชนะเลิศ 3. กลุ่มร่วมมือช่วยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAT) เทคนิคการเรียนร๎ูวธิ นี ี้ เป็นการเรียนรทู๎ ี่เปดิ โอกาสใหส๎ มาชิกแตลํ ะคนได๎แสดง ความสามารถเฉพาะตนกอํ น แล๎วจึงจับคํตู รวจสอบกันและกนั ชํวยเหลอื กนั ทาํ ใบงานจนสามารถผาํ นได๎ ตํอจากน้ันจึงนําคะแนนของแตํละคนมารวมเปน็ คะแนนของกลุํม กลุมํ ท่ีไดค๎ ะแนนสูงสดุ จะเปน็ ฝุายไดร๎ ับ รางวัล ลกั ษณะการจัดกิจกรรม กลํมุ จะมีสมาชกิ 2 – 4 คน จบั คูํกันทํางานตามใบงานที่ไดร๎ ับมอบหมาย แลว๎ แลกเปลีย่ น กันตรวจผลงาน ถ๎าผลงานยงั ไมถํ ูกต๎องสมบูรณ์ ต๎องแก๎ไขจนกวําจะผาํ น ตอํ จากนน้ั ทุกคนจะทาํ ข๎อทดสอบ คะแนนของทุกคนจะมารวมกันเปน็ คะแนนของกลํมุ กลํุมท่ีได๎คะแนนสงู สุดจะไดร๎ ับรางวัล 4. กลุ่มสืบค้น (Group Investigation : GI) กลมํุ สบื ค๎น เปน็ เทคนิคการจัดกิจกรรมทีใ่ หผ๎ เ๎ู รยี นได๎ฝึกทักษะการศกึ ษาคน๎ ควา๎ แสวงหา ความรู๎ดว๎ ยตนเอง ผเ๎ู รยี นแตํละกลมํุ ได๎รับมอบหมายให๎คน๎ คว๎าหาความรู๎มานําเสนอ ประกอบเน้ือหาท่ี เรียน อาจเป็นการทาํ งานตามใบงานที่กาํ หนด โดยท่ีทุกคนในกลํุมรับรูแ๎ ละชํวยกนั ทาํ งาน 175

ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลมุํ จะชวํ ยกันศึกษาค๎นควา๎ หาคาํ ตอบ หรือความรู๎มานําเสนอตํอชน้ั เรียน โดย ผู๎สอนแบํงเนื้อหาเป็นหัวขอ๎ ยํอย แตลํ ะกลุํมศึกษากลมํุ ละ 1 หัวข๎อ เม่อื พร๎อม ผเ๎ู รียนจะนาํ เสนอผลงาน ทีละกลุมํ แล๎วรวํ มกันประเมินผลงาน 5. กลุ่มเรียนรู้รว่ มกัน (Learning Together : LT) กลมํุ เรียนรรู๎ ํวมกัน เปน็ เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให๎สมาชิกในกลํุมได๎รบั ผดิ ชอบ มี บทบาทหนา๎ ท่ีทกุ คน เชํน เป็นผ๎อู ําน เปน็ ผ๎ูจดบนั ทกึ เป็นผู๎รายงานนาํ เสนอ เป็นต๎น ทุกคนชํวยกนั ทาํ งาน จนได๎ผลงานสาํ เรจ็ สํงและนาํ เสนอผู๎สอน ลักษณะการจดั กจิ กรรม กลมุํ ผู๎เรยี นจะแบํงหนา๎ ท่ีกนั ทํางาน เชนํ เปน็ ผูอ๎ ํานคาํ สั่งใบงาน เปน็ ผจ๎ู ดบันทกึ งาน เปน็ ผู๎หาคาํ ตอบ เปน็ ผู๎ตรวจคาํ ตอบ กลํมุ จะไดผ๎ ลงานท่ีเกิดจากการทํางานของทกุ คน 6. กลุ่มร่วมกันคดิ (Numbered Heads Together : NHT) กิจกรรมนีเ้ หมาะสาํ หรบั การทบทวนหรือตรวจสอบความเขา๎ ใจ สมาชิกกลมํุ จะ ประกอบด๎วยผเู๎ รียนทมี่ ีความสามารถเกํง ปานกลาง และอํอนคละกัน จะชํวยกันคน๎ ควา๎ เตรยี มตวั ตอบ คําถามทีผ่ ๎สู อนจะทดสอบ ผู๎สอนจะเรียกถามทีละคน กลํมุ ทสี่ มาชกิ สามารถตอบคาํ ถามได๎มากแสดงวาํ ได๎ชํวยเหลอื กันดี ลกั ษณะการจดั กจิ กรรม สมาชิกกลุมํ ท่ีมีความสามารถแตกตาํ งกัน จะรํวมกันอภปิ รายปัญหาท่ีได๎รับเพื่อใหเ๎ กดิ ความพร๎อมและความมน่ั ใจท่ีจะตอบคาํ ถามผส๎ู อน ผส๎ู อนจะเรียกสมาชกิ กลมุํ ให๎ตอบทลี ะคน แล๎วนํา คะแนนของแตํละคนมารวมเปน็ คะแนนของกลมุํ 7. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) กลุํมรํวมมอื เปน็ เทคนิคการทํางานกลํุมวิธหี นึ่ง โดยสมาชิกในกลุํมทีม่ ีความสามารถและ ความถนดั แตกตํางกนั ได๎ แสดงบทบาทตามหน๎าท่ีท่ีตนถนัดอยาํ งเต็มที่ ทาํ ให๎งานประสบผลสําเร็จ วธิ ีนี้ ทําใหผ๎ เ๎ู รียนไดฝ๎ กึ ความรบั ผิดชอบการทาํ งานกลุมํ รวํ มกนั และสนองตํอหลักการของการเรยี นรู๎ และ รวํ มมอื ทว่ี ํา “ความสําเร็จแตํละคน คือ ความสําเรจ็ ของกลํมุ ความสาํ เร็จของกลํุม คือ ความสําเร็จของ ทุกคน” ลักษณะการจดั กจิ กรรม สมาชิกกลํุมท่ีมีความสามารถแตกตาํ งกนั จะแบงํ หน๎าท่รี ับผิดชอบไปศึกษาหัวขอ๎ ยํอยที ไดร๎ บั มอบหมาย แลว๎ นาํ งานจากการศึกษาคน๎ ควา๎ มารวมกันเป็นงานกลํุมปรับปรุงให๎ตอํ เน่อื งเชอ่ื มโยง มี ความสละสลวย เสรจ็ แลว๎ จึงนาํ เสนอตํอชั้นเรียน ทกุ กลํมุ จะชวํ ยกนั ประเมนิ ผลงาน 176

จากที่กลาํ วมาทง้ั หมดสรปุ ได๎วาํ การเรียนร๎ูแบบรํวมมือ เปน็ วิธีการทีผ่ ๎เู รียนได๎ฝึกทักษะ การมปี ฏิสัมพนั ธ์กบั บคุ คลอน่ื อยํางแทจ๎ รงิ ได๎ฝกึ ความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผ๎นู าํ ผ๎ตู ามกลุํมฝึกการทํางาน ใหป๎ ระสบผลสาํ เรจ็ และฝกึ ทักษะทางสังคม ผส๎ู อนควรเลือกใชเ๎ ทคนิควิธตี ําง ๆ ดังกลํามาใหเ๎ หมาะสม กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงคก์ ารเรียนรูท๎ ่ีกาํ หนดไว๎ วิธีการเรียนแบบรว่ มมอื วนั เพญ็ จนั ทร์เจรญิ (2542 : 119-128) กลําวถงึ วธิ กี ารเรียนแบบรวํ มมือท่นี ิยมใชก๎ ันมี เทคนิคสาํ คัญ 2 แบบ คือ แบบเปน็ ทางการ (Formal cooperative learning) และแบบไมํเปน็ ทางการ (Informal cooperative learning) 1. การเรียนแบบรวํ มมอื อยํางเปน็ ทางการ มดี งั นี้ 1.1 เทคนิคการแขํงขันระหวํางกลํุมด๎วยเกม (Team – Games – Tournament หรอื TGT) คอื การจดั กลํุมนกั เรยี นเปน็ กลุํมเลก็ ๆ กลํุมละ 4 คน ระดับความสามารถ ตํางกัน (Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเกํง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอํอน 1 คน ครูกําหนดบทเรียนและการทํางานของกลํุมเอาไว๎ ครูทําการสอนบทเรียนให๎นักเรียนทั้งช้ันแล๎วให๎กลํุม ทํางานตามที่กําหนด นักเรียนในกลุํมชํวยเหลือกัน เด็กเกํงชํวยและตรวจงานของเพ่ือนให๎ถูกต๎องกํอน นําสํงครู แล๎วจัดกลํุมใหมํเป็นกลุํมแขํงขันท่ีมีความสามารถเทํา ๆ กัน (Homogeneous tournament teams) มาแขงํ ขันตอบปัญหาซ่ึงจะมีการจัดกลํุมใหมํทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจากความสามารถของแตํ ละบคุ คล คะแนนของกลํมุ จะไดจ๎ ากคะแนนของสมาชิกทเ่ี ขา๎ แขํงขันรํวมกับกลํุมอ่ืน ๆ รํวมกัน แล๎วมีการ มอบรางวัลใหแ๎ กํกลมุํ ที่ไดค๎ ะแนนสงู ถึงเกณฑท์ กี่ าํ หนดไว๎ 1.2 เทคนคิ การแบํงกลํมุ แบบกลํมุ สัมฤทธ์ิ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) คือ การจัดกลุํมเหมือน TGT แตํไมํมีการแขํงขัน โดยให๎นักเรียนทุกคนตําง คนตํางทําข๎อสอบ แล๎วนําคะแนนพัฒนาการ (คะแนนที่ดีกวําเดิมในการสอบครั้งกํอน) ของแตํละคนมา รวมกนั เป็นคะแนนกลํุม และมีการให๎รางวลั 1.3 เทคนิคการจัดกลุํมแบบชํวยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA) เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช๎สําหรับระดับประถมปีที่ 3 – 6 วิธีน้ีสมาชิกกลํุมมี 4 คน มีระดับความร๎ูตํางกัน ครูเรียกเด็กท่ีมีความร๎ูระดับเดียวกันของแตํละกลํุมมาสอนตามความยากงําย ของเนื้อหา วธิ ีท่ีสอนจะแตกตาํ งกัน เดก็ กลบั ไปยังกลุํมของตน และตํางคนตํางทํางานที่ได๎รับมอบหมาย แตํชวํ ยเหลือซึ่งกันและกนั มีการใหร๎ างวลั กลมํุ ที่ทําคะแนนไดด๎ ีกวําเดิม 1.4 เทคนคิ โปรแกรมการรวํ มมือในการอํานและเขยี น (Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคน้ีใช๎สําหรับวิชา อําน เขียน และ ทกั ษะอื่น ๆ ทางภาษา สมาชิกในกลุํมมี 4 คน มีพ้ืนความร๎ูเทํากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เทํากัน แตํ 177

ตํางระดับความรู๎กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคํูท่ีมีความรู๎ระดับเทํากันจากกลุํมทุกกลํุมมาสอน ให๎กับเข๎า กลํุม แล๎วเรียกคํูตํอไปจากทุกกลํุมมาสอน คะแนนของกลํุมพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลํุม เปน็ รายบคุ คล 1.5 เทคนิคการตอํ ภาพ (Jigsaw) เทคนคิ นี้ใชส๎ ําหรบั นกั เรยี นช้ันประถมปีที่ 3 - 6 สมาชิกในกลมํุ มี 6 คน ความรู๎ตาํ งระดับกนั สมาชิกแตํละคนไปเรยี นรํวมกนั กบั สมาชิกของกลมํุ อืน่ ๆ ในหัวข๎อที่ตํางกนั ออกไป แล๎วทุกคนกลบั มากลํมุ ของตน สอนเพื่อนในส่ิงทต่ี นไปเรยี นรํวมกบั สมาชิกของ กลมุํ อ่ืนๆ มา การประเมนิ ผลเป็นรายบุคคลแลว๎ รวมเป็นคะแนนของกลุมํ 1.6 เทคนิคการตํอภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคน้ีสมาชกิ ในกลมุํ 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจเรยี นบทเรียนเดยี วกัน สมาชิกแตํละคนในกลมุํ ใหค๎ วามสนใจในหวั ข๎อยํอยของ บทเรียนตาํ งกัน ใครทสี่ นใจหัวขอ๎ เดียวกันจะไปประชุมกัน คน๎ ควา๎ และอภปิ ราย แลว๎ กลับมาทีก่ ลํมุ เดิม ของตนสอนเพื่อนในเร่ืองที่ตนเองไปประชมุ กบั สมาชกิ ของกลุํมอน่ื มา ผลการสอบของแตํละคนเปน็ คะแนนของกลํุม กลุมํ ทท่ี าํ คะแนนรวมได๎ดกี วาํ ครัง้ กํอน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะได๎รบั รางวัล ข้ันตอนการเรยี นมดี ังน้ี 1) ครแู บงํ หวั ข๎อที่จะเรียนเป็นหัวขอ๎ ยํอยๆใหเ๎ ทํากับจํานวนสมาชิกของแตลํ ะกลมุํ 2) จัดกลมุํ นักเรียนโดยให๎มีความสามารถคละกนั ภายในกลํุมเป็นกลุมํ บ๎าน (Home group) สมาชกิ แตํละคนในกลุมํ อํานเฉพาะหัวข๎อยอํ ยที่ตนไดร๎ ับมอบหมายเทํานนั้ โดยใช๎เวลา ตามที่ครูกําหนด 3) จากนน้ั นักเรยี นท่ีอํานหวั ข๎อยํอยเดียวกนั มานัง่ ดว๎ ยกนั เพือ่ ทาํ งาน ซกั ถาม และทํากิจกรรม ซึ่งเรียกวํากลํุมผ๎ูเชี่ยวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน รํวมมือกันอภิปราย หรือทาํ งานอยํางเทาํ เทียมกนั โดยใชเ๎ วลาตามท่ีครูกําหนด 4) นักเรียนแตลํ ะคนในกลมุํ ผู๎เช่ยี วชาญ กลับมายงั กลมํุ บ๎าน (Home group) ของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให๎เพื่อนสมาชิกในกลุํมฟัง เร่ิมจากหัวข๎อยํอยท่ี 1, 2, 3และ 4 เปน็ ต๎น 5) ทําการทดสอบหวั ข๎อยํอย 1 – 4 กับนักเรียนท้ังห๎อง คะแนนของสมาชิก แตลํ ะคนในกลมํุ รวมเป็นคะแนนกลมํุ กลํมุ ที่ได๎คะแนนสูงสดุ จะได๎รับการตดิ ประกาศ 1.7 เทคนคิ การตรวจสอบเป็นกล่มุ (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชกิ ในกลํุมมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบท่ีซับซ๎อน แตํละกลมํุ เลอื กหัวข๎อเรือ่ งท่ีตอ๎ งการจะศึกษาค๎นคว๎า สมาชิก ในกลํุมแบํงงานกันทั้งกลํุมมีการวางแผนการดําเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานท่ีทํา การนาํ เสนอผลงานหรอื รายงานตอํ หน๎าชน้ั การใหร๎ างวลั หรอื ใหค๎ ะแนนเปน็ กลมํุ 1.8 เทคนคิ การเรียนร่วมกัน (Learning Together) วธิ นี ส้ี มาชิกในกลมํุ มี 4 – 5 178

คน ระดับความรู๎ความสามารถตํางกัน ใช๎สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูทําการสอน ท้ังชัน้ เดก็ แตลํ ะกลมํุ ทาํ งานตามทค่ี รูมอบหมาย คะแนนของกลมุํ พจิ ารณาจากผลงานของกลํุม 1.9 เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมอื รว่ มกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซ่งึ เทคนคิ น้ี ประกอบด๎วยขั้นตอนตําง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนชํวยกันอภิปรายหัวข๎อท่ีจะศึกษา แบํงหัวข๎อใหญํเป็น หวั ขอ๎ ยํอย แลว๎ จัดนักเรยี นเขา๎ กลํมุ ตามความสามารถท่ีแตกตํางกัน กลํุมเลือกหัวข๎อท่ีจะศึกษาตามความ สนใจของกลํุม กลํุมแบงํ หัวขอ๎ ยํอยออกเปน็ หัวขอ๎ เล็ก ๆ เพอื่ นกั เรียนแตํละคนในกลุํมเลือกไปศึกษา และ มีการกําหนดบทบาทและหน๎าที่ของแตํละคนภายในกลํุม แล๎วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและ นําเสนอตํอกลมํุ กลํุมรวบรวมหัวขอ๎ ตําง ๆ จากนักเรยี นทุกคนภายในกลมํุ แล๎วรายงานผลงานตํอช้ันและ มีการประเมินผลงานของกลุมํ เทคนคิ ทั้ง 9 ดงั กลาํ วข๎างต๎นน้ี สวํ นมากจะใช๎ตลอดคาบการเรียนหรือตลอด กิจกรรมการเรียนในแตํละคาบ เรียกการเรียนแบบรํวมมือประเภทน้ีวํา การเรียนแบบรํวมมืออยํางเป็น ทางการ (Formal cooperative Learning) แตํยังมีเทคนิคอ่ืน ๆ อีกจํานวนมากท่ีไมํจําเป็นต๎องใช๎ ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนในแตํละคาบ อาจใช๎ในขั้นนํา สอดแทรกในข้ันสอนตอนใด ๆ ก็ได๎ หรือใชใ๎ นขน้ั สรุป หรอื ขั้นทบทวน หรอื ข้ันวัดผล เรียกการเรียนแบบรํวมมอื ประเภทน้ีวํา การเรียนแบบ รวํ มมืออยํางไมเํ ปน็ ทางการ (Informal cooperative learning) ดงั น้ี 2. การเรยี นแบบรว่ มมืออย่างไม่เปน็ ทางการ มดี ังนี้ คาเกน (Kagan 1994 อา๎ งใน พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์, 2541 : 43) ได๎ออกแบบ เทคนิคการเรียนแบบรํวมมืออยํางไมํเป็นทางการไว๎ถึง 52 เทคนิค ในท่ีน้ีจะขอแนะนําเทคนิคของการ เรียนแบบรํวมมือแบบไมํเป็นทางการจํานวน 9 เทคนิค ซ่ึงเป็นเทคนิคที่กระทําได๎งํายจึงสะดวกท่ีจะ นําไปใช๎ ดงั น้ี 2.1 การพูดเป็นคู่ (Rally Robin) เปน็ เทคนิคเปิดโอกาสใหน๎ ักเรยี นพูด ตอบ แสดงความคิดเห็นเป็นคํู ๆ โดยเปิดโอกาสให๎สมาชิกทุกคนใช๎เวลาเทํา ๆ กัน หรือใกล๎เคียงกัน ตัวอยํางเชํน กลมํุ มสี มาชกิ 4 คน แบงํ เป็น 2 คูํ คํูหนึ่งประกอบด๎วยสมาชิกคนท่ี 1 และคนท่ี 2 แตํ ละคูํจะพูดพร๎อมๆ กันไป โดย 1 พูด 2 ฟัง ในเวลาท่ีกําหนด จากนั้น 2 พูด 1 ฟัง ในเวลาที่ กาํ หนดเชนํ กนั 2.2 การเขยี นเปน็ คู่ (Rally Table) เป็นเทคนิคคลา๎ ยกับการพูดเปน็ คูํ ทกุ ประการตํางกันเพียงการเขียนเป็นคูํ เป็นการรํวมมือเป็นคํู ๆ โดยผลัดกันเขียน หรือวาด (ใช๎อุปกรณ์ กระดาษ 2 แผนํ และปากกา 2 ด๎ามตํอกลํมุ ) 2.3 การพดู รอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคท่สี มาชิกของกลุํมผลดั กนั พูด 179

ตอบ เลาํ อธิบาย โดยไมใํ ช๎การเขียน การวาด และเป็นการพูดทผ่ี ลดั กนั ทีละคนตามเวลาทก่ี ําหนด จนครบ 4 คน 2.4 การเขยี นรอบวง (Roundtable) เปน็ เทคนิคทีเ่ หมือนกบั การพูดรอบวง แตกตํางกันที่เน๎นการเขียน การวาด (ใช๎อุปกรณ์ กระดาษ 1 แผํน และปากกา 1 ด๎ามตํอกลํุม) วิธีการคือ ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว๎ทีละคนตามเวลาที่กําหนด เทคนิคนี้อาจดัดแปลงให๎ สมาชิกทุกคนเขียนคําตอบ หรือบันทึกผลการคิดพร๎อม ๆ กันทั้ง 4 คน ตํางคนตํางเขียนในเวลาท่ี กําหนด (ใชอ๎ ปุ กรณ์ : กระดาษ 4 แผํน และปากกา 4 ด๎าม) เรียกเทคนิคนี้วําการเขียนพร๎อมกันรอบวง (Simultaneous Roundtable) 2.5 การแก้ปัญหาดว้ ยการตอ่ ภาพ (Jigsaw Problem Solving) เปน็ เทคนิคที่ สมาชิกแตลํ ะคนคิดคาํ ตอบของตนเองไวจ๎ ากนั้นกลุํมนาํ คําตอบของทุกๆ คนมารํวมกนั อภปิ ราย เพอ่ื หา คําตอบทดี่ ที ่สี ุด 2.6 คดิ เด่ยี ว คิดคู่ ร่วมกันคิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคโดยเรม่ิ จาก ปัญหาหรอื โจทยค์ าํ ถาม โดยสมาชกิ แตลํ ะคนคดิ หาคาํ ตอบดว๎ ยตนเองกํอน แล๎วนําคําตอบไปอภิปรายกับ เพ่ือนเป็นคํู จากน้ันจึงนําคําตอบของแตํละคูํมาอภิปรายพร๎อมกัน 4 คน เม่ือม่ันใจวําคําตอบของตน ถูกต๎องหรือดีทสี่ ุด จงึ นําคําตอบเลาํ ให๎เพื่อนฟงั 2.7 อภิปรายเปน็ คู่ (Pair Discussion) เป็นเทคนคิ ทีเ่ ม่อื ครถู ามคําถาม หรือ กาํ หนดโจทยแ์ ลว๎ ใหส๎ มาชกิ ทีน่ ่ังใกล๎กนั รวํ มกนั คิด และอภปิ รายเปน็ คํู 2.8 อภิปรายเปน็ ทีม (Team Discussion) เปน็ เทคนิคที่เมื่อครตู ้งั คําถามแลว๎ ให๎สมาชิกของกลุมํ ทุก ๆ คน รวํ มกนั คดิ พูด อภิปรายพร๎อมกนั 2.9 ทาเป็นกลุ่ม ทาเป็นคู่ และทาคนเดียว (Team - pair - Solo) เป็นเทคนิคที่ เมื่อครูกําหนดปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให๎ทํา แล๎วสมาชิกจะทํางานรํวมกันทั้งกลุํมจนงานแล๎วเสร็จ จากนั้นจะแบํงสมาชิกเป็นคูํให๎ทํางานรํวมกันเป็นคํูจนงานสําเร็จแล๎วถึงขั้นสุดท๎าย ให๎สมาชิกแตํละ คนทาํ งานคนเดยี วจนสาํ เร็จ การเรียนแบบรํวมมือกําลังได๎รับความสนใจในหมํูนักการศึกษา ครู อาจารย์ ใน ปัจจุบันเป็นอยํางยิ่ง การเรียนแบบรํวมมือมีท้ังเทคนิคท่ีนํามาใช๎ได๎โดยตรงโดยไมํต๎องปรับและเทคนิคที่ ต๎องปรับเพ่ือให๎เหมาะสมกับผ๎ูเรียนและเนื้อหาวิชา อยํางไรก็ตาม การเรียนแบบรํวมมือก็นับเป็นวิธีการ สอนอยาํ งหน่งึ ท่ชี วํ ยสํงเสริมให๎นกั เรียนเรยี นร๎ูดว๎ ยตนเองไดเ๎ ป็นอยาํ งดี รูปแบบการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195 - 217) กลาํ วถึง รปู แบบการเรียนร๎แู บบรวํ มมอื ทนี่ ิยมใชใ๎ น ปจั จุบัน มี 7 รูปแบบ ดงั นี้ 180

1. รปู แบบ Jigsaw เป็นการสอนทอี่ าศยั แนวคิดการตํอภาพ ผู๎เสนอวธิ ีการน้คี นแรก คอื อารอนสนั และคณะ (Aronson and Ohters, 1978 : 22 - 25) ตอํ มามีการปรบั และเพ่ิมเติม ขัน้ ตอน แตวํ ิธกี ารหลักยังคงเดมิ การสอนแบบน้ีนักเรยี นแตํละคนจะได๎ศึกษาเพยี งสํวนหน่ึงหรอื หวั ข๎อ ยํอย ของเน้ือหาทง้ั หมด โดยการศกึ ษาเร่ืองน้ัน ๆ จากเอกสารหรือกจิ กรรมทคี่ รูจดั ให๎ ในตอนทีศ่ ึกษา หวั ข๎อยํอยนน้ั นกั เรยี นจะทํางานเป็นกลมํุ กับเพ่ือนท่ีได๎รับมอบหมายใหศ๎ กึ ษาหัวข๎อยํอยเดียวกนั และ เตรยี มพร๎อมท่ีจะกลบั ไปอธิบายหรือสอนเพ่ือนสมาชิกในกลุมํ พืน้ ฐานของตนเอง Jigsaw มีองค์ประกอบทสี่ าํ คัญ 3 สํวน คอื 1) การเตรียมส่ือการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครสู ร๎างใบงาน ให๎ผเ๎ู ชยี่ วชาญแตํละคนของกลมํุ และสร๎างแบบทดสอบยอํ ยในแตํละหนวํ ยการเรียน แตํถ๎ามหี นังสอื เรยี น อยแูํ ลว๎ ย่งิ ทําใหง๎ ํายขึ้นได๎ โดยแบงํ เนอื้ หาในแตํละหวั ข๎อเรื่องทจ่ี ะสอนเพอื่ ทําใบงานสาํ หรบั ผูเ๎ ชย่ี วชาญ ในใบงานควรบอกวาํ นักเรียนต๎องทาํ อะไร เชนํ ใหอ๎ ํานหนังสือหน๎าอะไร อาํ นหวั ข๎ออะไร จากหนังสอื หนา๎ ไหนถึงหนา๎ ไหน หรอื ให๎ดูวดี ีทัศน์ หรือให๎ลงมือปฏิบัติการทดลองพร๎อมกับคาํ ถามให๎ตอบตอนทา๎ ย ของกจิ กรรมท่ที ําดว๎ ย 2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เช่ียวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะแบํงนักเรียนออกเป็นกลุํม ๆ (Home Groups) แตํละกลํุมจะมีผู๎เชี่ยวชาญในแตํละ เรื่องตามใบงานที่ครูสร๎างขึ้น ครูแจกใบงานให๎ผู๎เช่ียวชาญแตํละคนในกลํุม และให๎ผ๎ูเช่ียวชาญแตํละคน ศึกษาใบงานของตนกํอนท่ีจะแยกไปตามกลุํมของผ๎ูเชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพ่ือทํางานตามใบงาน น้ัน ๆ เม่ือนักเรียนพร๎อมท่ีจะทํากิจกรรม ครูแยกกลํุมนักเรียนใหมํตามใบงาน กิจกรรมในกลุํม ผ๎ูเชยี่ วชาญแตํละกลํุมอาจแตกตาํ งกัน ครพู ยายามกระต๎ุนให๎นักเรียนศึกษาหัวข๎อตามใบงานที่แตกตํางกัน ดังนนั้ ใบงานทีค่ รูสรา๎ งขึ้นจงึ มีความสําคัญมาก เพราะในใบงานจะนําเสนอด๎วยกิจกรรมท่ีแตกตํางกัน ซ่ึง ผู๎เชี่ยวชาญในแตํละกลุํมอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเก่ียวกับส่ิงท่ีได๎รับมอบหมาย พร๎อมกับ เตรียมการนําเสนอส่ิงนั้นอยํางส้ัน ๆ เพื่อวําเขาจะได๎นํากลับไปสอนสมาชิกคนอ่ืนๆ ในกลํุมที่ไมํได๎ศึกษา ในหัวข๎อดงั กลาํ ว 3) การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุํม ผู๎เช่ียวชาญแตํละกลุํมทํางานเสร็จแล๎ว ผ๎ูเช่ียวชาญแตํละคนก็จะกลับไปยังกลุํมเดิมของตัวเอง (Home Group) แล๎วสอนเร่ืองท่ีตัวเองทําให๎กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุํมครู กระตุ๎นให๎นักเรียนใช๎วิธีการ ตําง ๆ ในการนําเสนอส่ิงท่ีจะสอน นักเรียนอาจใช๎วิธีการสาธิต อํานรายงาน ใช๎คอมพิวเตอร์ รูปถําย ไดอะแกรม แผนภูมิหรอื ภาพวาดในการนาํ เสนอความคดิ เหน็ ครูกระตน๎ุ ใหส๎ มาชิกในกลํุมได๎มีการอภิปราย และซักถามปัญหาตําง ๆ โดยที่สมาชิกแตํละคนต๎องมีความรับผิดชอบในการเรียนร๎ูแตํละเร่ืองท่ี ผู๎เชีย่ วชาญแตํละคนนําเสนอ เม่อื ผู๎เชีย่ วชาญไดร๎ ายงานผลงานกบั กลมํุ ของตวั เองแล๎ว ควรมกี ารอภปิ ราย 181

ผ๎ูเช่ียวชาญแตํละคนได๎ศกึ ษา หลังจากนัน้ ครกู ็ทาํ การทดสอบยํอย เกณฑ์การประเมนิ การให๎คะแนน เหมือนกบั วิธกี ารของ STAD วิธกี ารของ Jigsaw จะดีกวํา STAD ตรงทวี่ าํ เปน็ การฝึกให๎นักเรียนแตํละคนมี ความรับผิดชอบในการเรยี นมากขนึ้ และนักเรยี นยงั รับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอ่นื ๆ ของกลํมุ อีก ดว๎ ย นกั เรียนไมํวาํ จะมคี วามสามารถมากน๎อยแคํไหนจะต๎องรับผดิ ชอบเหมือน ๆ กนั ถงึ แม๎วําความลกึ ความกว๎างหรอื คุณภาพของรายงานจะแตกตาํ งกนั ก็ตาม ข้นั ตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้ ขั้นท่ี 1 : ครูแบํงหวั ข๎อที่จะเรยี นเปน็ หวั ข๎อยํอยเทาํ จํานวนสมาชกิ ของแตํละ กลมํุ ถา๎ กลุมํ ขนาด 3 คน ให๎แบงํ เนอ้ื หาออกเป็น 3 สํวน ขน้ั ที่ 2 : จดั กลํุมนกั เรยี นใหม๎ ีสมาชิกทีม่ คี วามสามารถคละกัน เปน็ กลํมุ พ้ืนฐานหรือ Home Groups จํานวนสมาชิกในกลํุมอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได๎ จากน้ันแจกเอกสาร หรืออุปกรณ์การสอนให๎กลุํมละ 1 ชุด หรือให๎คนละชุดก็ได๎กําหนดให๎สมาชิกแตํละคนรับผิดชอบอําน เอกสารเพยี ง 1 สํวนทีไ่ ด๎รบั มอบหมายเทําน้นั หากแตลํ ะกลุํมได๎รบั เอกสารเพยี งชุดเดียว ให๎นกั เรยี นแยกเอกสารออกเปน็ สวํ น ๆ ตามหัวขอ๎ ยอํ ยดงั นี้ ใ น แ ตํ ล ะ ก ลุํ ม นั ก เ รี ย น ค น ท่ี 1 จ ะ อํ า น เ ฉ พ า ะ หั ว ข๎ อ ยํ อ ย ที่ 1 นกั เรียนคนท่ี 2 จะอาํ นเฉพาะหวั ขอ๎ ยอํ ยท่ี 2 นกั เรยี นคนที่ 3 จะอํานเฉพาะหวั ขอ๎ ยอํ ยท่ี 3 ข้นั ท่ี 3 : เปน็ การศึกษาในกลุํมผ๎เู ชีย่ วชาญ (Expert Groups) นักเรียนจะ แยกย๎ายจากกลุํมพ้ืนฐาน ไปจับกลุํมใหมํเพ่ือทําการศึกษาเอกสารสํวนที่ได๎รับมอบหมาย โดยคนที่ได๎รับ มอบหมายให๎ศึกษาเอกสารหัวข๎อยํอยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลํุมด๎วยกัน กลุํมละ 3 หรือ 4 คน แล๎วแตํ จํานวนสมาชิกของกลํุมที่ครูกําหนดในกลํุมผ๎ูเชี่ยวชาญ สมาชิกจะอํานเอกสาร สรุปเน้ือหาสาระ จดั ลาํ ดับข้ันตอน การนําเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให๎พร๎อมท่จี ะไปสอนหวั ข๎อน้นั ท่ีกลมุํ เดมิ ของตนเอง ขนั้ ท่ี 4 : นกั เรยี นแตํละคนในกลมุํ ผูเ๎ ช่ยี วชาญกลับกลํมุ เดิมของตน แลว๎ ผลดั เปล่ียนเวียนกนั อธบิ ายใหเ๎ พ่ือนในกลุํมฟังทลี ะหัวขอ๎ มกี ารซกั ถามข๎อสงสยั ตอบปญั หา ทบทวนให๎เข๎าใจ ชัดเจน ข้ันที่ 5 : นกั เรยี นแตลํ ะคนทาํ แบบทดสอบเกี่ยวกบั เน้ือหาทัง้ หมดทุกหัวข๎อ แล๎วนาํ คะแนนของสมาชกิ แตํละคนในกลํุมมารวมกันเป็นคะแนนกลุํม ขั้นท่ี 6 : กลํุมที่ได๎คะแนนสูงสุด จะได๎รับรางวัล หรือการชมเชยการสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจนําไปใช๎ในการทบทวนเน้ือหาที่มีหลาย ๆ หัวข๎อหรือใช๎กับบทเรียนที่เนื้อหา แบงํ แยกเป็นสวํ น ๆ ได๎ และเป็นเนื้อหาท่นี ักเรยี นศกึ ษาจากเอกสารและส่อื การสอนได๎ 182

2. รปู แบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) (8. : 208-211) สลาวิน (Slavin : 1980) ได๎เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams Learning Method) ซึ่งมี 4 รูปแบบ คือ student Teams – Achievement Divisions (STAD) และ Teams – Games – Toumaments (TGT) ซ่ึงเป็นรูปแบบที่สามารถปรับใช๎กับทุกวิชาและ ระดับชั้น Team Assisted Individualization (TAI) เป็นรูปแบบท่ีเหมาะกับการสอนวิชา คณิตศาสตร์ และ Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) ซ่ึงเป็นรูปแบบ ในการสอนอํานและการเขยี น หลักการพน้ื ฐานของรปู แบบการเรียนแบบเปน็ ทีมของสลาวนิ ประกอบด๎วย 1 .การใหร๎ างวลั เป็นทมี (Team Rewards) ซึง่ เป็นวิธีการหน่ึงในการวางเง่ือนไขให๎ นักเรียนพึง่ พากัน จัดวําเปน็ Positive Interdependence 2. การจัดสภาพการณ์ให๎เกิดความรับผิดชอบในสวํ นบคุ คลทจ่ี ะเรยี นรู๎ (Individual Accountability) ความสําเร็จของทีมหรือกลํุม อยํูที่การเรียนรูข๎ องสมาชิกแตลํ ะคนในทีม 3. การจัดใหม๎ ีโอกาสเทาํ เทยี มกันทจี่ ะประสบความสําเร็จ (Equal Opportunities For Success) นักเรียนมีสวํ นชวํ ยใหท๎ มี ประสบความสาํ เร็จดว๎ ยการพยายามทาํ ผลงานให๎ดีข้ึนกวําเดิมในรูป ของคะแนนปรบั ปรุง ดงั น้ัน แมแ๎ ตคํ นทเี่ รยี นอํอนก็สามารถมสี ํวนชํวยทีมได๎ ดว๎ ยการพยายามทาํ คะแนน ใหด๎ กี วาํ ครั้งกอํ น ๆ นกั เรยี นทัง้ เกํง ปานกลาง และอํอน ตาํ งไดร๎ บั การสํงเสริมให๎ตั้งใจเรยี นให๎ดีทสี่ ุด ผลงานของทุกคนในทีมมีคําภายใตร๎ ปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นแบบนี้ สําหรับรูปแบบ STAD เป็นรปู แบบหนง่ึ ที่ สลาวนิ (Slavin) ไดเ๎ สนอไว๎ เมอื่ ปี ค.ศ. 1980 นน้ั มีองค์ประกอบท่สี ําคญั 5 ประการ คือ องค์ประกอบทสี่ าคัญ 5 ประการ คือ 1. การนาํ เสนอสงิ่ ท่ตี ๎องเรียน (Class Presentation) ครูเป็นผู๎นาํ เสนอส่ิงท่ีนักเรียนต๎อง เรียน ไมํวําจะเป็นมโนมติ ทักษะและ/หรือกระบวนการ การนําเสนอส่ิงท่ีต๎องเรียนน้ีอาจใช๎การบรรยาย การสาธิตประกอบการบรรยาย การใช๎วีดีทัศน์หรือแม๎แตํการให๎นักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตาม หนงั สอื เรยี น 2. การทํางานเป็นกลุํม (Teams) ครูจะแบํงนักเรียนออกเป็นกลํุม ๆ แตํละกลุํมจะ ประกอบด๎วยนักเรียนประมาณ 4 – 5 คน ท่ีมีความสามารถแตกตํางกัน มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย และมีหลายเช้ือชาติ ครูต๎องช้ีแจงให๎นักเรียนในกลํุมได๎ทราบถึงหน๎าที่ของสมาชิกในกลํุมวํานักเรียนต๎อง ชํวยเหลือกัน เรียนรํวมกัน อภิปรายปัญหารํวมกัน ตรวจสอบคําตอบของงานที่ได๎รับมอบหมายและ แก๎ไขคําตอบรํวมกัน สมาชิกทุกคนในกลํุมต๎องทํางานให๎ดีท่ีสุดเพื่อให๎เกิดการเรียนร๎ู ให๎กําลังใจและ ทาํ งานรํวมกนั ได๎ 183

3. การทดสอบยํอย (Quizzes) หลังจากทีน่ กั เรียนแตลํ ะกลมุํ ทาํ งานเสรจ็ เรยี บรอ๎ ยแล๎ว ครูก็ทําการทดสอบยํอยนักเรียน โดยนักเรียนตํางคนตาํ งทาํ เพอื่ เป็นการประเมินความร๎ูท่ี นักเรยี นไดเ๎ รียนมา ส่งิ นจี้ ะเปน็ ตวั กระตนุ๎ ความรบั ผิดชอบของนกั เรยี น 4. คะแนนพฒั นาการของนักเรียนแตลํ ะคน (Individual Improvement Score) คะแนนพัฒนาการของนักเรียนจะเป็นตัวกระต๎นุ ให๎นกั เรียนทํางานหนักข้ึน ในการทดสอบแตํละคร้ังครูจะ มคี ะแนนฐาน (Base Score) ซง่ึ เป็นคะแนนตาํ่ สุดของนักเรียนในการทดสอบยํอยแตํละคร้ัง ซ่ึงคะแนน พัฒนาการของนักเรียนแตํละคนได๎จากความแตกตํางระหวํางคะแนนพ้ืนฐาน (คะแนนตํ่าสุดในการ ทดสอบ) กับคะแนนท่ีนักเรียนสอบได๎ในการทดสอบยํอยนั้น ๆ สํวนคะแนนของกลํุม (Team Score) ได๎จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลุํมเข๎าดว๎ ยกนั 5. การรบั รองผลงานของกลํมุ (Team Recognition) โดยการประกาศคะแนน ของกลํุมแตํละกลุํมให๎ทราบ พร๎อมกับให๎คําชมเชย หรือให๎ประกาศนียบัตรหรือให๎รางวัลกับกลํุมที่มี คะแนนพัฒนาการของกลุํมสูงสุด โปรดจําไว๎วํา คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแตํละคนมีความสําคัญ เทําเทยี มกบั คะแนนที่นกั เรียนแตํละคนไดร๎ ับจากการทดสอบ สําหรบั ขั้นตอนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เปน็ ดงั น้ี ขั้นท่ี 1 : ข้นั สอน ครดู าํ เนินการสอนเนื้อหา ทกั ษะหรือวธิ ีการเกี่ยวกับบทเรียนน้ัน ๆ อาจเป็นกิจกรรมทคี่ รบู รรยาย สาธิต ใชส๎ อื่ ประกอบการสอน หรือให๎นกั เรยี นทํากิจกรรม ขัน้ ที่ 2 : ขน้ั ทบทวนความร๎ูเปน็ กลุมํ แตลํ ะกลมํุ ประกอบด๎วยสมาชกิ 4 – 5 คน ท่ีมีความสามารถทางการเรียนตํางกัน สมาชิกในกลุํมต๎องมีความเข๎าใจกัน สมาชิกทุกคนจะต๎องทํางาน รํวมกันเพื่อชํวยเหลือกันและกันในการศึกษาเอกสารและทบทวนความร๎ูเพ่ือเตรียมพร๎อมสําหรับการสอบ ยํอย ครูเนน๎ ให๎นกั เรยี นทาํ ดงั นี้ ขน้ั ที่ 3 : ขน้ั ทดสอบยอํ ย ครูจดั ให๎นักเรียนทําแบบทดสอบยํอย หลังจากนกั เรยี น เรียนและทบทวนเปน็ กลํุมเกี่ยวกบั เรื่องทก่ี ําหนด นกั เรยี นทําแบบทดสอบคนเดยี ว ขน้ั ท่ี 4 : ข้ันหาคะแนนพัฒนาการ คะแนนพฒั นาการเป็นคะแนนทีไ่ ด๎จากการ พิจารณาความแตกตํางระหวํางคะแนนการทดสอบครั้งกํอน ๆ กับคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบัน ซึ่งมี เกณฑ์การใหค๎ ะแนนกําหนดไว๎ ดังนั้น จะต๎องมีการกําหนดคะแนนฐานของนักเรียนแตํละคน ซึ่งอาจได๎ จากคําเฉลี่ยของคะแนนทดสอบ 3 คร้ังกํอน หรืออาจใช๎คะแนนทดสอบครั้งกํอนหากเป็นการหาคะแนน ปรับปรุงโดยใช๎รูปแบบการสอน STAD เป็นครัง้ แรก ขนั้ ที่ 5 : ขัน้ ใหร๎ างวลั กลมํุ กลมํุ ที่ไดค๎ ะแนนพัฒนาการตามเกณฑท์ ี่กาํ หนดจะ ไดร๎ บั คาํ ชมเชยหรอื ติดประกาศทบี่ อรด์ ในหอ๎ งเรียน การจัดกิจกรรมรูปแบบ STAD อาจนําไปใช๎กับบทเรียนใด ๆ ก็ได๎ เน่ืองจากขั้นแรกเป็นการสอนที่ครู ดําเนนิ การตามปกติ แลว๎ จึงจดั ใหม๎ กี ารทบทวนเป็นกลํุม 184

3. รปู แบบ LT (Learning Together) รปู แบบ LT (Learning Together) นี้ จอหน์ สนั และจอหน์ สนั (Johnson and Johnson) เป็นผ๎ูเสนอในปี ค.ศ. 1975 ตอํ มาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนว้ี ํา วงกลมการเรียนรู๎ (Circles of Learning) รปู แบบนีม้ ีการกําหนดสถานการณแ์ ละเงื่อนไขใหน๎ ักเรยี นทําผลงานเปน็ กลุมํ ให๎นกั เรยี นแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ และแบงํ ปนั เอกสาร การแบงํ งานทเ่ี หมาะสม และการให๎รางวลั กลํุม ซงึ่ จอห์นสนั และจอหน์ สันได๎เสนอหลักการจดั กจิ กรรมการเรยี นแบบรํวมมอื ไวว๎ ํา การจดั กจิ กรรมการเรียน แบบรํวมมือตามรปู แบบ LT จะตอ๎ งมอี งคป์ ระกอบดังนี้ 1. สร๎างความรู๎สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให๎เกิดขึ้นในกลุํม นักเรียน ซึง่ อาจทาํ ไดห๎ ลายวธิ ี 2. จดั ใหม๎ ีปฏสิ มั พันธ์ระหวาํ งนกั เรยี น (Face – To – Face Interaction) ให๎นักเรยี นทํางานดว๎ ยกนั ภายใต๎บรรยากาศของความชวํ ยเหลือและสงํ เสริมกนั 3. จัดใหม๎ คี วามรับผดิ ชอบในสํวนบุคคลท่ีจะเรยี นรู๎ (Individual Accountability) เปน็ การทําใหน๎ กั เรียนแตลํ ะคนต้ังใจเรียนและชํวยกนั ทาํ งาน ไมกํ นิ แรงเพื่อน 4. ให๎ความรเู๎ กี่ยวกบั ทกั ษะสังคม(Social Skills) การทํางานรวํ มกับผู๎อนื่ ไดอ๎ ยาํ งดี นักเรียนต๎องมีทักษะทางสังคมท่ีจําเป็น ได๎แกํ ความเป็นผู๎นํา การตัดสินใจ การสร๎าง ความไว๎ใจ การส่อื สาร และทักษะการจดั การกับข๎อขัดแยง๎ อยาํ งสรา๎ งสรรค์ 5. จดั ใหม๎ กี ระบวนการกลมํุ (Group Processing) เปน็ การเปิดโอกาสให๎ นกั เรียนประเมินการทํางานของสมาชิกในกลุํม ให๎กําลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทํางาน กลมํุ ให๎ดขี น้ึ จากหลักการดงั กลําวทําใหไ๎ ดร๎ ปู แบบการเรยี นรร๎ู วํ มกัน หรอื Learning Together ทน่ี ักเรยี นทํางานเปน็ กลุํมเพอ่ื ใหไ๎ ด๎ผลงานกลํุม ในขณะทํางานนักเรียนชํวยกันคิดและชํวยกันตอบคําถาม พยายามทําให๎สมาชิกทุกคนมีสํวนรํวมและทุกคนเข๎าใจท่ีมาของคําตอบ ให๎นักเรียนขอความชํวยเหลือ จากเพือ่ นกํอนท่ีจะถามครู และครูชมเชยหรือใหร๎ างวัลกลํมุ ตามผลงานของกลุมํ เปน็ หลัก ข้นั ตอนการจดั การเรยี นการสอนแบบ LT 1. ครูและนักเรียนทบทวนเน้อื หาเดิม หรอื ความรู๎พน้ื ฐานทีเ่ กยี่ วข๎อง 2. ครแู จกแบบฝึกหรืองานให๎ทุกกลํุม กลํุมละ 1 ชุดเหมือนเดิม นักเรียนชํวยทํางาน โดยแบํงหน๎าท่ีแตํละคน เชํน นักเรยี นคนที่ 1 อํานคาํ แนะนํา คําสั่งหรือโจทย์ในการดําเนนิ งาน นักเรยี นคนท่ี 2 ฟงั ข้ันตอนและรวบรวมข๎อมูล นักเรียนคนที่ 3 อาํ นส่งิ ทโี่ จทย์ต๎องการทราบแลว๎ หาคําตอบ นกั เรยี นคนที่ 4 ตรวจคําตอบ 185

เม่ือนักเรียนทําแตํละขอ๎ หรอื แตํละสวํ นเสร็จแลว๎ ให๎นกั เรยี นหมนุ เวียนเปล่ียนหน๎าที่ กันในการทําโจทยข์ ๎อถดั ไปทกุ ครงั้ จนเสร็จแบบฝึกทั้งหมด 3. แตลํ ะกลุมํ สํงกระดาษคาํ ตอบหรอื ผลงานเพยี งชุดเดียว ถอื วาํ เป็นผลงานที่ สมาชกิ ทุคนยอมรบั และเขา๎ ใจแบบฝกึ หรอื การทาํ งานชน้ิ นแี้ ลว๎ 4. ตรวจคาํ ตอบหือผลงานให๎คะแนนดว๎ ยกลมุํ เองหรอื ครกู ็ได๎ กลุมํ ที่ได๎คะแนน สงู สุดจะได๎รางวัลหรอื ตดิ ประกาศไวใ๎ นบอร์ด 4. รปู แบบ TAI (Team Assisted Individualization) TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนท่ีผสมผสานระหวําง การเรียนแบบรํวมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข๎าด๎วยกัน โดยให๎ผู๎เรียนได๎ลงมือทํากิจกรรมในการเรียนได๎ด๎วยตนเองตามความสามารถ ของตนและสํงเสริมความรวํ มมือภายในกลุมํ มกี ารแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู๎และปฏิสัมพันธ์ทาง สังคม ข้นั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 1. จดั นกั เรียนเปน็ กลํมุ กลํมุ ละ 4–5 คน ประกอบด๎วยนกั เรยี นเกงํ ปานกลาง และออํ น 2. ทดสอบจดั ระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได๎ 3. นกั เรยี นศกึ ษาเอกสารแนะนําบทเรียน ทํากิจกรรมจากส่ือท่ีได๎รับจบแล๎วสงํ ใหเ๎ พอื่ น ในกลํุม 4. เมือ่ นกั เรยี นทําแบบฝึกหัดทักษะในสื่อท่ไี ด๎เรยี นจบแล๎ว 5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments) การจัดการเรียนการสอนแบบรวํ มมอื ตามรปู แบบ TGT เป็นการเรยี นแบบรวํ มมอื กนั แขงํ ขนั ทาํ กิจกรรม โดยมีขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมดงั นี้ ข้ันที่ 1 : ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล๎วคร้ังกํอน ด๎วยการซักถามและอธิบาย ตอบข๎อสงสยั ของนกั เรียน ขน้ั ท่ี 2 : จัดกลมุํ แบบคละกนั (Home Team) กลํมุ 3 – 4 คน ขน้ั ที่ 3 : แตลํ ะทมี ศกึ ษาหัวขอ๎ ท่เี รียนในวันน้จี ากแบบฝกึ นักเรียนแตลํ ะคนทาํ หน๎าที่ และปฏิบัติตามกติกาของ Cooperative Learning เชํน เป็นผ๎ู จดบันทึก ผู๎คํานวณ ผู๎สนับสนุนเม่ือ สมาชกิ ทุกคน เขา๎ ใจและสามารถทาํ แบบฝึกหัดได๎ ถูกต๎องทกุ ขอ๎ ทีมจะเร่ิมทาํ การแขํงขนั ตอบปัญหา ข้ันที่ 4 : การแขงํ ขนั ตอบปัญหา (Academic Games Tournament) ขั้นที่ 5 : นักเรยี นกลบั มาสํเู ดมิ (Home Team) รวมแต๎มโบนัสของทุกคน ทมี ใดที่ 186

มแี ตม๎ โบนัสสงู สุด จะใหร๎ างวลั หรอื ติดประกาศไวใ๎ นมุมขําวของห๎อง 6. รูปแบบ GI (Group Investigation) GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ เป็นรปู แบบการเรียน แบบรํวมมือที่มีความซับซ๎อนและกว๎างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต๎องการปลูกฝังการรํวมมือกัน อยํางมีประชาธปิ ไตย มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เทําเทียมกันของสมาชิก ในกลํมุ GI มกี ารกระตุ๎นบทบาทท่แี ตกตาํ งกันทงั้ ภายในกลุํมและระหวาํ งกลุํม แนวคิดในการจดั การเรียนการสอน 1. นักเรียนแตลํ ะคนจะไดแ๎ สดงความสามารถของตน ในการแสวงหาความรู๎ 2. นกั เรยี นแตลํ ะคน ต๎องถาํ ยทอดความรู๎หรือวิธกี ารทํางานให๎เพอ่ื นนักเรียน เขา๎ ใจด๎วย 3. ทกุ คนต๎องรวํ มแสดงความคิดเห็นอภปิ รายซกั ถามจนเข๎าใจในทุกเรอ่ื ง (หรอื ทุกงาน) 4. ทกุ คนต๎องรวํ มมือกันสรุปความเขา๎ ใจท่ีได๎ (สูตรหรือความสัมพันธ์หรือผลงาน) นาํ สงํ อาจารย์เพยี ง 1 ฉบับเทาํ น้ัน 5. เหมาะกับการสอนความร๎ทู สี่ ามารถแยกเปน็ อิสระได๎เปน็ สวํ น ๆ หรือแยกทําได๎ หลายวธิ ี หรือการทบทวนเร่ืองใดท่ีแบงํ เปน็ เร่ืองยํอย ๆ ได๎ หรือการทํางานท่ีแยกออกเป็นช้นิ ๆ ได๎ GI มีองคป์ ระกอบอยํดู ๎วยกัน 6 ประการ คือ 1. การเลอื กหัวขอ๎ เรอ่ื งทจ่ี ะศึกษา (Topic Selection) นักเรียนเลอื กหวั ข๎อท่ี เ ฉ พ า ะ เ จ า ะ จ ง ข อ ง ปั ญ ห า ท่ี เ ลื อ ก แ ล๎ ว ก ลํุ ม จ ะ แ บํ ง ภ า ร ะ ง า น อ อ ก เ ป็ น ง า น ยํ อ ย ๆ ทมี่ สี มาชิก 2 – 5 คน รวํ มกนั ทํางาน 2. การวางแผนรํวมมือกันในการทํางาน (Cooperative Planning) ครแู ละ นักเรียนวางแผนรํวมกันในวิธีดําเนินการ ภาระงานท่ีทํา และเปูาหมายของงานในแตํละหัวข๎อยํอยตาม ปญั หาที่เลอื ก 3. การดําเนนิ งานตามแผนการทวี่ างไว๎ (Implementation) นักเรียนดําเนนิ งาน ตามแผนการท่ีวางไว๎ในข้ันท่ี 2 กิจกรรมและทักษะตําง ๆ ท่ีนักเรียนจะต๎องศึกษาควรมาจากแหลํงข๎อมูล ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน ครูจะให๎คําปรึกษากับกลํุมพร๎อมกับติดตามความก๎าวหน๎าในการทํางาน ของนกั เรยี นและชวํ ยเหลือนักเรยี นเมือ่ เขาตอ๎ งการความชํวยเหลือ 4. การวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์งานทีท่ ํา (Analysis and Synthesis) นักเรียน วิเคราะห์และประเมินข๎อมูลท่ีเขารวบรวมได๎ในขั้นที่ 3 และวางแผนหรือลงข๎อสรุปในรูปแบบที่นําสนใจ เพื่อนําเสนอตํอช้ันเรยี น 5. การนําเสนอผลงาน (Presentation of Final Report) กลมุํ นาํ เสนอผลงาน 187

ตามหัวข๎อเรื่องที่เลือก ครูต๎องพยายามให๎นักเรียนทุกคนได๎มีสํวนรํวมขณะที่มีการนําเสนอผลงานหน๎าช้ัน เรยี น เพอื่ เป็นการขยายความคิดของตวั นักเรยี นเองใหก๎ ว๎างไกล โดยเฉพาะในหวั ข๎อเร่ืองท่ีกลํุมไมํได๎ศึกษา ครจู ะทาํ หนา๎ ทีเ่ ป็นผป๎ู ระสานงานในระหวํางการเสนผลงาน 6. การประเมนิ ผล (Evaluation) ครูและนักเรยี นจะรวํ มกนั ประเมินผลงานท่ถี ูกนาํ เสนอ พร๎อมทั้งแสดงความคิดเห็นท่ีมีตํอผลงานทุกช้ิน การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินเป็น รายบุคคลและเปน็ กลํุม GI เป็นการเรียนแบบรวํ มมอื ท่มี อบหมายความรบั ผิดชอบอยํางสูงใหก๎ บั นักเรยี น ในการทจ่ี ะบํงชวี้ าํ เรียนอะไรและเรียนอยาํ งไร ในการรวบรวมข๎อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ ศึกษา โดยเนน๎ การสื่อความหมายและการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ของกันและกนั ในการทาํ งาน 7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) CIRC คือ โปรแกรมสําหรับสอนการอําน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) ใช๎กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน๎นท่ีหลักสูตรและวิธีการสอน ในการพยายาม นําการเรียนร๎ูแบบรํวมมือมาใช๎ โปรแกรม CIRC พัฒนาข้ึนโดย Madden, Slavin และ Stevens ในปี 1986 นับวําเป็นโปรแกรมท่ีใหมํท่ีสุดของวิธีการเรียนรู๎เป็นทีม ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนแบบ รํวมมอื ทีน่ าํ สนใจยิง่ เนอื่ งจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นําการเรียนแบบรํวมมือมาใช๎กับการอําน และการเขียนโครงการ CIRC – Writing/Language Arts สําหรับการเขยี น วธิ กี ารทใ่ี ช๎ข้นึ อยูํกับรูปแบบ กระบวนการเขียน ซ่ึงใช๎รูปแบบทีมเหมือนกับโปรกรม CIRC สําหรับการอําน วิธีการนี้นักเรียนทํางาน รํวมกันเพื่อวางแผน (plan) รํางต๎นฉบับ (draft) ทบทวนแก๎ไข (revise) รวบรวมและลําดับเรื่อง (edit) และพมิ พห์ รือแสดงผลงาน (publish) เรือ่ งท่ีแตงํ ออกมา โดยครูเป็นผ๎ูเสนอเน้ือหาเพียงเล็กน๎อย เกยี่ วกับแนวทางเนือ้ หา และกลวิธขี องการเขยี น CIRC สาํ หรับการอํานและการเขียนนนั้ โดยปกติแลว๎ จะใชค๎ วบคูํไปด๎วยกนั แตํ กระน้ันกส็ ามารถใช๎โปรแกรมน้แี ยกในการสอนอําน หรอื สอนการเขียนเพียงอยาํ งใดอยาํ งหนงึ่ ได๎ โปรแกรมการเรยี นแบบรวํ มมือ มลี ักษณะกจิ กรรมโดยรวมดงั นคี้ อื 1. การสอนเริม่ ต๎นจากครูเสมอ (Teacher Instruction) 2. การฝกึ ปฏบิ ัตภิ ายในทีม (Team Practice) นักเรยี นทํางานในกลมํุ ซ่งึ มสี มาชิก 4 – 5 คน โดยมีความสามารถแตกตํางกัน เรียนรก๎ู นั จากท่ีครูได๎มอบหมายใหโ๎ ดยการใช๎ Worksheet หรอื อุปกรณ์การฝึกอน่ื ๆ ขน้ึ อยูกํ ับเน้อื หาท่ีเรยี น นักเรยี นจะไดป๎ ระเมนิ เพื่อนสมาชิกในกลุมํ ซ่งึ กนั และกัน 3. นกั เรยี นไดป๎ ระเมนิ การเรียนรขู๎ องตนเอง (Individual Assessment) ในเรอ่ื ง ของข๎อความร๎ูหรอื ทักษะท่ีเขาได๎รบั ในบทเรยี น 4. คะแนนจากการประเมนิ นักเรยี นแตํละคน จะรวมเปน็ คะแนนของทีม (Team 188

Recognition) ทีมใดท่ีไดค๎ ะแนนถงึ เกณฑ์ทก่ี าํ หนดไว๎ จะได๎รบั ใบประกาศนียบตั รหรือรางวัลอื่น ๆ การสงั เกตพฤตกิ รรมการร่วมมือในชัน้ เรียน การสงั เกตเปน็ วธิ ีการเก็บรวบรวมข๎อมลู ท่ีเปดิ โอกาสใหผ๎ ๎รู วบรวมข๎อมลู สัมผัสกบั ความ เปน็ จรงิ และสิ่งทตี่ ๎องการจะรวบรวมดว๎ ยตัวเอง ทาํ ใหม๎ โี อกาสทจ่ี ะรวบรวมข๎อมลู ไดต๎ รงสภาพความเปน็ จรงิ ได๎มากและสามารถทจี่ ะรวบรวมรายละเอียดของขอ๎ มูลในแนวลกึ ได๎ การสังเกตพฤติกรรมการรํวมมือ ในชัน้ เรียนของนักเรยี นโดยใช๎วิธกี ารสงั เกต จะชวํ ยใหไ๎ ด๎รายละเอียดของพฤติกรรมท่แี สดงถงึ การรวํ มมือ ของนักเรียนในช้ันเรียนได๎ชัดเจนขึน้ การสงั เกตเปน็ วธิ กี ารพน้ื ฐานท่ีจะไดข๎ ๎อมูลมาตามต๎องการ ซึ่งการท่ีจะได๎ขอ๎ มูลทีเ่ ช่อื ถือ ไดน๎ ัน้ ผสู๎ ังเกตต๎องมลี กั ษณะดังน้ี 1. ความตงั้ ใจของผูส๎ งั เกต (Attention) ในการสังเกตพฤตกิ รรมของสิง่ ใด ผู๎สังเกต ต๎องมีเปูาหมายทีจ่ ะสงั เกตวําศึกษาส่งิ ใด ต๎องสะกดใจอยํางแนวํ แนใํ นการสงั เกตแตสํ งิ่ นนั้ จติ ใจไมไํ ขวเ๎ ขว ไปมา และจะต๎องสงั เกตไปทีละอยาํ งอยาํ งถูกตอ๎ ง นอกจากนผี้ ๎ูสังเกตยงั ต๎องขจัดปญั หาสํวนตัวหรอื ความ ลําเอียงสํวนตวั ของตนเองออกในระยะที่ทาํ การสงั เกต เพ่ือจะได๎ขอ๎ มูลที่เป็นจรงิ หรอื ใกล๎เคียงกบั ความเป็น จรงิ 2. ประสาทสมั ผัส (Sensation) ทางด๎านประสาทสมั ผสั ตอ๎ งแนํใจวําประสาท สัมผสั ของผส๎ู ังเกตจะต๎องทํางานปกตหิ รือสภาพราํ งกายตอ๎ งปกตดิ ว๎ ย เพราะถ๎าหากวาํ สภาพราํ งกายปกติ แลว๎ จะมีผลตํอประสาทสัมผสั อยูํในสภาพดี และวํองไวตํอการสัมผัสส่งิ ท่ีกําลังสงั เกต 3. การรบั รู๎ (Perception) ในการสังเกตส่งิ ทก่ี ําลังศกึ ษา ผ๎สู งั เกตจะต๎องมีการรบั ร๎ูที่ดี เมื่อรับรูม๎ าแลว๎ สามารถแปลความหมายออกมาได๎อยาํ งรวดเร็วและถูกต๎อง หลกั การสังเกต ผู๎สังเกตที่ดี คือ ผ๎ูท่ีทําการสังเกตแล๎วได๎ข๎อมูลท่ีตรงกับความต๎องการมากท่ีสุด ซึ่งผ๎ูสงั เกตจะเป็นผส๎ู งั เกตทดี่ ีไดน๎ นั้ ต๎องมีหลักในการสงั เกต ดงั นี้ 1. กําหนดการสังเกตให๎จํากัดเฉพาะเป็นเรื่องๆไปไมํใชํเห็นสิ่งใดมา กระทบแล๎วรับไว หมด 2. สงั เกตอยํางมีความมุํงหมาย มิใชํวําสังเกตไปเรื่อย ๆ คือ ต๎องมีจุดมุํงหมายที่จะดู เมอ่ื พบเห็นแลว๎ แปลความหมายออกมาวาํ คอื อะไร 3. สังเกตด๎วยความพินิจพิเคราะห์จนสามารถมองเห็นรายละเอียดของเร่ืองน้ันได๎ อยํางลกึ ซึ้ง มใิ ชวํ ํามองเหน็ แตผํ ิว หรือลักษณะของภายนอกเทํานัน้ 4. เมอ่ื สงั เกตแลว๎ ต๎องมีการบันทึกไว๎เพื่อเตือนความจํา จะได๎ไมํหลงลืมรายละเอียดท่ีได๎ สังเกตมา 5. ผูส๎ งั เกตควรใช๎แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือเครอื่ งมือวดั อนื่ ๆ 189

ประกอบในการสังเกตน้ดี ว๎ ย ประเภทของการสงั เกต การรวบรวมข๎อมูลโดยการสังเกต แบํงไดเ๎ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. การสังเกตแบบมีสํวนรวํ ม (Participant Observation) หมายถึง การสงั เกตที่ ผวู๎ จิ ัยเขา๎ ไปมีสวํ นรํวมอยใํู นกลุมํ ท่ตี นศึกษา และมีการทาํ กิจกรรมรํวมกนั โดยผูว๎ จิ ยั เป็นสมาชิกผหู๎ น่ึง ของกลมํุ หรอื สถานการณท์ ่ีศึกษา เชนํ เข๎าไปใชช๎ วี ติ อยใํู นชุมชนนนั้ เมื่อต๎องการศึกษาถึงชีวิตของคนใน ชุมชนน้นั ข๎อดคี ือ จะได๎ขอ๎ มูลทีแ่ ทจ๎ ริง จดุ ด๎อยคือ อาจเกิดจากผูส๎ งั เกต ซง่ึ จะทาํ ให๎ข๎อมูลท่ีได๎ขาด ความเที่ยงตรง 2. การสังเกตแบบไมมํ สี วํ นรํวม (Non - participant Observation) หมายถงึ การสงั เกตทผ่ี ๎วู ิจัยกระทาํ ตนเป็นบุคคลภายนอก ไมเํ ข๎าไปมสี ํวนรวํ มในกิจกรรมที่กลมุํ กําลังทาํ กนั อยํู การ ไมเํ ขา๎ ไปมีสํวนรวํ มในความหมายน้ี หมายถึง ไมเํ ข๎าไปรวํ มในกิจกรรมของกลุํมน้ันเทํานน้ั ไมํไดห๎ มายถงึ การไมเํ ขา๎ ไปอยูํในบริเวณสถานทดี่ ว๎ ย มกั ใชใ๎ นกรณีทไี่ มตํ ๎องการใหผ๎ ูถ๎ ูกสังเกตรู๎สึก รบกวนจากตัวผ๎ู สังเกต ผ๎ูสังเกตเปน็ เพยี งผูส๎ งั เกตการณ์เทํานั้น ประโยชนข์ องการเรียนแบบร่วมมอื วนั เพ็ญ จันเจรญิ (2542 : 119) กลาํ วถึงประโยชน์ของการเรียนแบบรํวมมอื มีดังนี้ 1. สร๎างความสัมพันธท์ ่ดี ีระหวาํ งสมาชกิ เพราะทกุ ๆ คนรํวมมอื ในการทํางานกลมํุ ทุก ๆ คนมีสวํ นรํวมเทาํ เทียมกัน 2. สมาชกิ ทุกคนมีโอกาสคดิ พดู แสดงออก แสดงความคดิ เหน็ ลงมอื กระทาํ อยาํ งเทาํ เทียมกนั 3. เสริมใหม๎ ีความชํวยเหลือกนั เชนํ เดก็ เกงํ ชํวยเด็กทเ่ี รียนไมํเกงํ ทําให๎เดก็ เกงํ ภาคภูมใิ จ รจ๎ู ักสละเวลา สวํ นเด็กทไ่ี มํเกํงเกดิ ความซาบซึ้งในนาํ้ ใจของเพื่อนสมาชกิ ดว๎ ยกนั 4. รํวมกนั คิดทุกคน ทาํ ให๎เกิดการระดมความคดิ นําขอ๎ มลู ท่ไี ด๎มาพิจารณา รํวมกัน เพ่ือประเมินคําตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการสํงเสริมให๎ชํวยกันคิดหาข๎อมูลให๎มาก และ วเิ คราะหแ์ ละตัดสินใจเลือก 5. สํงเสรมิ ทกั ษะทางสังคม เชนํ การอยรูํ วํ มกันดว๎ ยมนุษยสมั พันธ์ทดี่ ตี อํ กนั เข๎าใจกันและกัน อีกทั้งเสริมทักษะการส่ือสาร ทักษะการทํางานเป็นกลุํม ส่ิงเหลําน้ีล๎วนสํงเสริม ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนให๎สงู ขนึ้ หลกั การนาวิธีการสอนแตล่ ะวธิ ไี ปใชใ้ นการสอน วิธีสอนทั่วไปเป็นวิธีการปลีกยํอยท่ีครูสามารถนํามาใช๎ประกอบกิจกรรมการเรียนการ สอนได๎ทุก ๆ ขั้นตอน ไมํวําจะเป็นขั้นนําเข๎าสํูบทเรียน ข้ันสอน ขั้นสรุป และขั้นปฏิบัติกิจกรรม 190


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook