Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Published by ED-APHEIT, 2020-05-08 11:53:56

Description: ปรับปรุง@10-04-2562 ใช้ เอกสารประกอบการสอน รายวิชา TP510 ฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน

Search

Read the Text Version

5.11 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน Inquiry Method การจัดการเรยี นร๎แู บบสบื เสาะหาความร๎ู เป็นวิธกี ารจัดการสอนท่ีเน๎นให๎ผเ๎ู รยี นแสวงหา ความร๎ดู ๎วยตนเองมีประสบการณต์ รงในการเรียนร๎โู ดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการ ทางความคดิ ค๎นพบความร๎ูหรือแนวทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความรู๎หรือ แนวทางแกป๎ ัญหาไดเ๎ อง และสามารถนํามาใชใ๎ นชีวติ ประจําวนั ไดส๎ วํ นครเู ป็นเพียงผ๎ูอาํ นวยความสะดวก นักฟิสิกส์ชาวอเมริกา ช่ือ โรเบิร์ต คาร์พลัส (Robert Karplus) เป็นผู๎เสนอการสอนโดย สืบเสาะหาความรู๎ในระดับประถมศึกษา เพื่อกระต๎ุนนักเรียนให๎มีความสนใจเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และ ชํวยลดความนําเบ่ือหนํายของการเรียนในห๎องเรียน ตํอมาได๎มีกลุํมนักการศึกษานาวิธีการนี้มาใช๎อยําง แพรหํ ลาย มีการพฒั นาวธิ ีการและข้ันตอนในการเรียนการสอนแตกตํางกันนักการศึกษาของสหรัฐอเมริกา จากกลํมุ BSCS (Biological Science Curriculum Study) ไดน๎ าวธิ กี ารเรียนการสอนโดยการสืบเสาะหา ความรู๎มาใช๎ในการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีววิทยาและได๎เสนอขั้นตอนในการเรียนการสอนแบบสื บเสาะหา ความร๎ูเป็น 5 ขั้นตอน ในการเรียนการสอนแตํละคร้ังหรือแตํละแนวคิดจะเริ่มต๎นจากข้ันการนาเข๎าสูํ บทเรียนและจบลงโดยการประเมินผล ผลท่ไี ด๎ก็จะถูกนาํ ไปใช๎เป็นพื้นฐานในการเรียนการสอนในคร้ังตํอไป (สถาบันสํงเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2542 : 11) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ (Inquiry Method) หรือนักการศึกษาบางทํานเรียกวําการสอนแบบสืบสวนสอบสวนหรือการสอนแบบ สืบสวน ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่เปิดโอกาสให๎นักเรียนฝึกวิธีการเรียนร๎ูอยํางมีอิสระหรือประสบการณ์ตรง มีการ ทดลองและสรุปผลการทดลอง แก๎ปัญหาด๎วยตนเอง นักเรียนเกิดการเ รียนร๎ูท้ังเนื้อหาวิชาและ กระบวนการสร๎างแสวงหาความร๎ู ได๎มีผ๎ูให๎ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ูหรือการสอน รูปแบบวัฎจักรการเรียนรู๎ 7 ข้ันในลักษณะตําง ๆ เชํน ธีระยุทธ วิเชียรโชติ (2531 : 36) การสอนแบบ สืบเสาะ หมายถึง การสอนที่ครูผู๎สอนมํุงพัฒนาความสามารถในการคิดของนักเรียน โดยสํงเสริมให๎ นักเรียนค๎นพบความร๎ูด๎วยตนเองครูผ๎ูสอนไมํพยายามออกความคิดให๎นักเรียน แตํจะใช๎คําถามกระตุ๎นให๎ นักเรียนได๎ใช๎ความคิดตลอดเวลาในขณะเดียวกันครูผู๎สอนชํวยให๎นักเรียนได๎ฝึกการใช๎ คําถามในการ แสวงหากฎเกณฑ์ของวิชาตําง ๆ ดังกลําวได๎ การสอนแบบนี้ยึดเอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูผู๎สอน เป็นผ๎ูแนะแนวทางความร๎ูในการคิดแก๎ปัญหา ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 123) กลําววํา การสอนแบบสืบ เสาะหาความร๎ูเป็นการสอนที่เน๎นกระบวนการแสวงหาความร๎ูท่ีชํวยให๎นักเรียนได๎ค๎นพบความจริงตําง ๆ ด๎วยตนเองให๎นักเรียน มีประสบการณ์ตรงในการเรียนร๎ูเนื้อหา พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544 : 56) ให๎ ความหมายวิธีสอนแบบสืบสอบ หมายถึงการจดั การเรียนการสอนโดยวธิ ใี หน๎ กั เรียนเปน็ ผ๎คู น๎ คว๎าหาความรู๎ ด๎วยตนเอง หรอื สร๎างความรดู๎ ว๎ ยตนเอง โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ครูเป็นผู๎อานวยความสะดวก เพื่อให๎นักเรยี นบรรลุเปูาหมาย วธิ สี บื สอบความรู๎จะเน๎นนักเรียนเป็นสําคัญของการเรียน ชาตรี เกิดธรรม (2545 : 76) กลําววาํ วิธสี อนแบบสบื สวนสอบสวน เป็นวิธีสอนท่ีฝึกให๎นักเรียนรู๎จักค๎นคว๎าหาความรู๎ โดย ใช๎กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล จะค๎นพบความร๎ูหรือแนวทางแก๎ปัญหาท่ีถูกต๎องด๎วยตนเอง โดย 241

ครูผู๎สอนต้ังคําถามประเภทกระตุ๎นให๎นักเรียนใช๎ความคิดหาวิธีการแก๎ปัญหาได๎เองและสามารถนาการ แก๎ปัญหามาใช๎ในชีวิตประจําวันได๎ ประสาท เนืองเฉลิม (2550 : 26) ได๎ให๎ความหมายการสอนแบบสืบ เสาะหาความร๎ู 7 ข้ันวําเป็นการสอนท่ีเน๎นการถํายโอนการเรียนร๎ูและให๎ความสําคัญเก่ียวกับการ ตรวจสอบความร๎ูเดิมของนักเรียน ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีครูผ๎ูสอนละเลยไมํได๎และการตรวจสอบความร๎ูพ้ืนฐานเดิม ของนักเรยี นจะทาให๎ครูผู๎สอนคน๎ พบวาํ นักเรยี นตอ๎ งเรยี นร๎ูอะไรกํอน กํอนที่จะเรียนร๎ูในเน้ือหาบทเรียนน้ัน ๆซง่ึ จะชวํ ยใหน๎ กั เรยี นเกิดการเรียนร๎ูอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 141) ได๎ให๎ความหมาย การสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขั้นวํา เป็นการดาเนินการเรียนการสอน โดยครูผ๎ูสอนกระตุ๎นให๎ นักเรียนเกิดคําถาม เกิดความคิดและลงมือแสวงหาความรู๎ เพ่ือนามาประมวลหาคาตอบหรือข๎อสรุปด๎วย ตนเอง โดยท่ีครูผู๎สอนชํวยอานวยความสะดวกในการเรียนร๎ูในด๎านตําง ๆ ให๎แกํนักเรียน เชํน ในด๎านการ สืบค๎นหาแหลํงความรู๎ การศึกษาข๎อมูลการวิเคราะห์ การสรุปข๎อมูล การอภิปรายโต๎แย๎งทางวิชาการและ การทํางานรํวมกับผู๎อ่ืนจากความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรเู๎ ป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีเน๎นให๎นักเรียนแสวงหาความร๎ูด๎วยตนเองมีประสบการณ์ ตรงในการเรียนรู๎โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความรู๎หรือ แนวทางแก๎ปัญหาได๎เองและสามารถนามาใช๎ในชีวิตประจําวันได๎ สํวนครูผ๎ูสอนเป็นเพียงผู๎อานวยความ สะดวกสรุปได๎วํา การสืบเสาะ (Inquiry) หมายถึง กระบวนการค๎นหาคาตอบจากปัญหาโดยผําน กระบวนการทา (Process of Doing) และกระบวนการคิด (Process of Thinking) คาตอบท่ีได๎จะเป็น คําตอบที่สมเหตุสมผล วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎เป็นที่ร๎ูจักกันหลายชื่อ เชํน วิธีสอนสืบสวนสอบสวน วิธีสอนแบบสอบสวน วิธีสอนแบบสืบสอบ มาจากภาษาอังกฤษวํา Inquiry Method และให๎ความหมาย ไวต๎ าํ งกันดังน้ี ภพ เลาหไพบูลย์ (2542:123) กลําววํา การสอนแบบสืบเสาะความร๎ูเป็นการสอนท่ีเน๎น กระบวนการแสวงหาความรู๎ที่ชํวยให๎นักเรียนได๎ค๎นพบความจริงตํางๆ ด๎วยตนเองให๎นักเรียนมี ประสบการณ์ตรงในการเรียนร๎เู น้อื หา ชาตรี เกิดธรรม (2542:76) กลําววํา วิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน เป็นวิธีสอนที่ฝึกให๎ นักเรียนรู๎จักค๎นคว๎าหาความร๎ู โดยใช๎กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล จะค๎นพบความรู๎หรือแนวทางท่ี ถูกต๎องด๎วยตนเอง โดยผ๎ูสอนต้ังคําถามประเภทกระต๎ุนให๎นักเรียนใช๎ความคิดหาวิธีการแก๎ปัญหาได๎เอง และสามารถนาํ การแกป๎ ญั หามาใช๎ในชวี ติ ประจาํ วนั ได๎ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2554:56) ให๎ความหมายวิธีสอนแบบสืบสอบ หมายถึง การจัดการ เรียนการสอนโดยวิธีให๎นักเรียนเป็นผ๎ูค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วยตนเอง หรือสร๎างความรู๎ด๎วยตนเอง โดยใช๎ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู๎อํานวยความสะดวก เพ่ือให๎นักเรียนบรรลุเปูาหมาย วิธีสืบสอบ ความรูจ๎ ะเนน๎ ผูเ๎ รยี นเป็นสําคญั ของการเรียน 242

จากความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ สรุปได๎วํา วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความร๎ู เป็นวิธีการจัดการสอนท่ีเน๎นให๎ผู๎เรียนแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเองมีประสบการณ์ตรงในการเรียนร๎ู โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความรู๎หรือแนวทาง วิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค๎นพบความร๎ูหรือแนวทางแก๎ปัญหาได๎เอง และสามารถ นาํ มาใช๎ในชีวติ ประจาํ วนั ไดส๎ วํ นครเู ป็นเพยี งผู๎อาํ นวยความสะดวก ขั้นตอนของการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ การจดั การเรียนรู๎แบบสืบเสาะหาความร๎ูเป็นยุทธวิธีในการจัดการเรียนการสอนสืบเสาะ ท่ีเนน๎ ผ๎ูเรียนเป็นศูนยก์ ลางใหผ๎ ๎เู รียนได๎สรา๎ งองค์ความรู๎ด๎วยตนเอง ผู๎เรียนได๎เรียนร๎ูรํวมกันและประเมินผล การเรียนร๎ูด๎วยตัวของผ๎ูเรียนเอง การจัดการเรียนรู๎แบบสืบเสาะหาความร๎ูระยะแรกพัฒนามาจากทฤษฎี พัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ในเร่ืองการปรับขยายโครงสร๎างปฏิบัติการทางสติปัญญา (Assimilation) การปรับร้ือโครงสร๎างปฏิบัติการทางสติปัญญา(Accommodation) และการจัดระเบียบ สงิ่ เรา๎ ใหมํให๎เขา๎ กบั โครงสรา๎ งปฏิบตั ิการทางสติปญั ญา(Organization) (ไพฑูรย์ สุขศรีงาม. 2545 : อ๎างอิง มาจาก Reilly and Lewis. 1983 : 60)ซ่ึ งมีอยูํ 2 ข้ันตอน คือ ขั้นสํารวจ (Exploration) และขั้นการ อธิบาย (Explanation) ซึ่งตํอมาโรเบริต์ คาร์พลัส และคณะ ได๎นําเสนอยุทธวิธีน้ีเพ่ือปรับผลสัมฤทธ์ิการ เรียนวิทยาศาสตร์ และพัฒนาทักษะกระบวนการเด็ก ซ่ึงเป็นรูปแบบที่ใช๎ปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา (Science Curriculum Improvement Study : SCIS) ประกอบด๎วย3 ขั้นตอน (Renner and Marek. 1990 : 241-246) คือ ขั้นสํารวจ (Exploration) ขั้นสร๎าง มโนทัศน์ (Concept Introduction) และการนํามโนทัศน์ไปใช๎ (Concept Application) ขั้นตอน Mahasarakham Universityเหลาํ นีไ้ ด๎มกี ารจัดเรียงลําดับ และมคี วามสอดคล๎องกับทฤษฎีพัฒนาการทาง สติปัญญาของ เพียเจต์ตํอมาได๎มีกลํุมนักการศึกษาได๎นําวิธีน้ีมาใช๎ และมีการพัฒนาวิธีการและข้ันตอนใน การเรยี นการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู๎ออกเป็น 4 ข้ันตอน (Barman. 1989 : 28-31) ได๎แกํ การสํารวจ (Exploration) การอธิบาย (Explanation) การขยายความคิด (Expansion) และการประเมินผล (Evaluation) และในปีเดียวกนั ไดแ๎ บํงข้ันตอนของการจัดการเรยี นรแู๎ บบสบื เสาะหาความรู๎แบํงออกเป็น 5 ขนั้ ดงั น้ี 1. การนาเข้าส่บู ทเรียน (Engagement) ขนั้ น้ีจะมลี ักษณะเป็นการแนะนําบทเรียน กจิ กรรมจะประกอบไปดว๎ ย การซักถามปัญหา การทบทวนความรเู๎ ดมิ การกําหนดกจิ กรรมที่จะเกิดขน้ึ ใน การเรียนการสอนและเปูาหมาย 2. การสารวจ (Exploration) ขัน้ น้ีจะเปิดโอกาสใหน๎ กั เรียน ไดใ๎ ช๎แนวความคดิ ทมี่ ีอยูํ แล๎วมาจดั ความสัมพนั ธก์ บั หัวข๎อท่ีกาํ ลงั จะเรียนใหเ๎ ข๎าเปน็ หมวดหมูํ ถ๎ากิจกรรมท่ีเกย่ี วกับการทดลอง การ สํารวจ การสืบคน๎ ด๎วยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งเทคนคิ และความรท๎ู างการปฏบิ ัติจะดําเนนิ ไปด๎วย 243

ตวั ของนกั เรียนเอง โดยมีครูทําหน๎าทเี่ ป็นเพียงผูแ๎ นะนํา หรือผู๎เริ่มต๎นในกรณที ีน่ ักเรียนไมํสามารถหา จุดเรมิ่ ตน๎ ได๎ 3. การอธิบาย (Explanation) ในขั้นตอนน้ีกจิ กรรม หรือกระบวนการเรยี นร๎จู ะมีการ นําความร๎ูท่ีรวบรวมมาแล๎วในขัน้ ที่ 2 มาใชเ๎ ปน็ พื้นฐานในการศึกษาหัวข๎อ หรอื แนวความคิดทก่ี ําลงั ศึกษา อยํู กจิ กรรมอาจประกอบไปด๎วยการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู จากการอาํ นและนาํ ขอ๎ มลู มาอภิปราย 4. การลงข้อสรุป (Elaboration) / ขั้นการขยายความคิด (Expansion phase) ในขน้ั ตอนนจ้ี ะเน๎นใหน๎ ักเรียนได๎มีการนําความรู๎หรือข๎อมลู จากข้นั ท่ผี าํ นมาแลว๎ มาใช๎ กจิ กรรมสวํ นใหญํ อาจเป็นการอภปิ รายภายในกลุมํ ของตนเองเพ่ือลงข๎อสรปุ เกิดเป็นแนวความคิดหลกั ขึ้นนักเรียนจะปรับ แนวความคดิ หลักของตัวเองในกรณีท่ีไมสํ อดคล๎อง หรอื คลาดเคลอ่ื นจากข๎อเทจ็ จริง 5. การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นขนั้ ตอนสุดทา๎ ยจากการเรียนรู๎ โดยครูเปิดโอกาส ให๎นักเรียน ได๎การประเมินผลด๎วยตนเองถึงแนวความคิดที่ได๎สรุปไว๎แล๎วในขั้นที่ 4 วํามีความสอดคล๎อง หรือถูกต๎องมากน๎อยเพียงใด รวมท้ังมีการยอมรับมากน๎อยเพียงใด ข๎อสรุปท่ีได๎จะนํามาใช๎เป็นพื้นฐานใน การศึกษาครั้งตํอไป ท้ังน้รี วมทงั้ การประเมนิ ผลของครตู อํ การเรยี นรขู๎ องนกั เรยี นดว๎ ย พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544: 56) ให๎ความหมายวํา การจัดการเรียนรู๎แบบสืบสวน สอบสวน หมายถงึ การจัดการเรยี นการสอนโดยวิธใี ห๎นกั เรียนเป็นผ๎ูค๎นควา๎ หาความรูด๎ ว๎ ยตนเอง หรือสร๎าง ความรดู๎ ว๎ ยตนเอง โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ครูเป็นผู๎อานวยความสะดวก เพ่ือให๎นักเรียนบรรลุ เปาู หมายวธิ สี บื เสาะหาความรู๎จะเนน๎ ผู๎เรียนเป็นสําคัญของการเรียน สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545: 194 ) ได๎ให๎ความหมายของการจัดการ เรียนร๎ูแบบสืบสวนสอบสวนวํา เป็นวิธีสอนท่ีเน๎นการพัฒนา ความสามารถในการคิด การแก๎ปัญหา หรือการแสวงหาความร๎ู โดยใช๎กระบวนการทางความคิด เพ่ือ แสวงหาความร๎ู และคน๎ พบคาตอบดว๎ ยตนเอง โดยมีผ๎ูสอนเป็นผู๎เร๎าความสนใจ กระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนเกิดความ สงสัย คิดหาคาตอบ ชํวยจัดสถานการณ์ สิ่งอานวยความสะดวก จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเอ้ือตํอ การสืบเสาะหาความร๎ู และอาจรํวมอภิปรายกับผู๎เรียน เพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎ค๎นพบความคิดรวบยอด หรือ หลักการทถ่ี กู ตอ๎ ง สวุ ิทย์ มูลคําและอรทยั มูลคํา (2545: 136) ไดใ๎ ห๎ความหมายของการจัดการเรียนรู๎แบบ สบื สวนสอบสวนวาํ เปน็ กระบวนการเรียนรู๎ที่เน๎นการพัฒนาความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วย วิธีการฝึก ให๎ผู๎เรียนศึกษาค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วยตนเอง โดยผ๎ูสอนต้ังคําถามกระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียนใช๎กระบวนการทาง ความคิด หาเหตุผลจนค๎นพบความรู๎ หรือแนวทางในการแก๎ไขปัญหาที่ถูกต๎องด๎วยตนเอง สรุปเป็น หลักการ กฎเกณฑ์ หรือวิธีการแก๎ปัญหาและสามารถนาไปประยุกต์ใช๎ประโยชน์ในการควบคุม ปรับปรุง เปลย่ี นแปลง หรอื สร๎างสรรค์ส่ิงแวดล๎อมในสภาพการณ์ตํางๆ ได๎อยํางกว๎างขวาง สุวิมล เข้ียวแก๎ว (2540: 64) ให๎ความหมายวาํ การจัดการเรียนรู๎แบบสืบสวนสอบสวน หมายถึง การสอนท่ีครูจัดสถานการณ์ หรือ กิจกรรมท่ีชํวยให๎นักเรียนค๎นคว๎าหาความรู๎อยํางมีหลักการและเหตุผลขยายความคิดของตนเองได๎อยําง 244

กว๎างขวาง สามารถวางแผนและกําหนดวิธีการค๎นหาความร๎ูโดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ กระบวนการทางความคิดได๎ด๎วยตนเองโดยไมํต๎องตอบรับฟังการบรรยายของครูเพียงฝุายเดียว จาก ความหมายข๎างต๎นดังกลําว สรุปได๎วํา การจัดการเรียนรู๎แบบสืบสวนสอบสวน หมายถึง เป็นกระบวนการ เรียนรู๎ที่เน๎นการพัฒนาความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วยวิธีการฝึกให๎ผ๎ูเรียนศึกษาค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วย ตนเอง โดยใช๎กระบวนการทางความคิด เพื่อแสวงหาความร๎ู และค๎นพบคาตอบด๎วยตนเอง การจัดการ เรียนรู๎แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method) เป็นรปู แบบการเรียนรู๎ ที่เน๎นผ๎ูเรียนเป็นหลักหรือแนวคิด อีกแบบที่เน๎นการเรียนรู๎โดยเกี่ยวข๎องกับการต้ังคําถามหรือกําหนดสมมติฐานการคิดเชิงวิพากษ์ด๎วยเหตุ และผล (Critical Thinking) และการแกป๎ ญั หาเปน็ พ้นื ฐานท่สี ําคัญ โดยการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน แบบสบื สวนสอบสวน มลี กั ษณะทคี่ ลา๎ ยกับการสอน แบบวิธีแก๎ปัญหาโดยผ๎ูสอนเป็นผ๎ูจัดสถานการณ์ ส่ิงแวดล๎อม เพ่ือให๎เกิดปัญหาทาให๎ ผเู๎ รยี นคดิ แสวงหาคาตอบสงิ่ ท่สี ําคัญที่จะนาไปสูํการค๎นพบ ก็คือ การใช๎คําถามและการตอบคําถามในการ ดาเนินกจิ กรรมการเรยี นการสอน สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545: 196) กลาํ วไว๎วาํ การจัดการเรียนร๎ู แบบสืบ สวนสอบสวนนั้น สามารถแบํงตามลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได๎เป็น 3 ประเภท คือ 1. ผ๎ูสอนมีบทบาทสําคัญในการสืบสวนสอบสวน (Passive Inquiry) วิธีนี้ผ๎ูสอน มีบทบาทสําคัญใน การใช๎คาํ ถาม กระต๎ุนเปน็ แนวทางใหผ๎ ๎เู รียนคิดหาคาตอบ เหมาะสาํ หรับการเรมิ่ สอนแบบสืบสวนสอบสวน เนื่องจากผ๎ูสอนจะเป็นผ๎ูใช๎คําถามถามนาไปสูํคาตอบและพยายามกระตุ๎น ให๎ผ๎ูเรียนตั้งคําถามอยํูเสมอ ผู๎สอนเป็นผู๎ตั้งคําถามเป็นสํวนใหญํ คือ ประมาณร๎อยละ 90 สํวนผู๎เรียนจะเป็นผ๎ูต้ังคําถามเองประมาณ ร๎อยละ 10 เทาํ นน้ั และสํวนใหญผํ ๎ูเรียนจะเป็นผู๎ตอบคําถาม 2. ผู๎สอนและผู๎เรียนรํวมกันสืบสวนสอบสวน (Combined Inquiry) วิธีนี้ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนเป็นผ๎ูดาเนินการในการสืบสวนสอบสวนรํวมกัน โดยผ๎ูสอน เป็นผ๎ูต้ังคําถามเทํา ๆ กับผู๎เรียน คือ ประมาณ ร๎อยละ 50 ซึ่งเหมาะสําหรับการเรียนท่ีผู๎เรียนได๎ผํานขั้น ของ Passive Inquiry มาแล๎ว ผ๎ูเรียนจะค๎ุนเคยกับการตอบคําถามและฝึกการตั้งคําถาม การซักถาม ปัญหาในขั้นนี้ เม่ือผ๎ูเรียนถาม ผ๎ูสอนไมํควรให๎คาตอบทันทีแตํควรจะสํงเสริม หรือถามเพ่ือกระตุ๎นให๎ ผเ๎ู รียนคดิ ด๎วยตนเอง โดยใช๎คําถามนาไปเรือ่ ย ๆ จนกระทั่งผ๎ูเรียนค๎นพบคาตอบด๎วยตนเอง 3. ผ๎ูเรียนเป็น ผู๎มบี ทบาทสําคญั ในการสบื สวนสอบสวน (Active Inquiry) การสอน แบบน้ีผ๎ูเรียนจะเป็นผู๎ตั้งคําถามและ ตอบคําถามเป็นสวํ นใหญํ หลังจากที่ไดฝ๎ กึ การต้ังคําถามและตอบคาํ ถามจนค๎ุนเคยมาแล๎ว ผ๎ูเรียนได๎รับการ พัฒนาการคิด การตัง้ คาํ ถามในกระบวนการสืบสวน เพ่ือหาคาตอบด๎วยตนเองมาตามลาดับข้ัน ในข้ันน้ีจึง มคี วามสามารถ ในการสร๎างกรอบความคิด การสร๎างคําถามนาไปสํูการค๎นพบด๎วยตนเอง ซ่ึงผู๎เรียนมีสํวน ในการต้ังคําถามและตอบคําถามประมาณร๎อยละ 90 จึงนับวําเป็นจุดประสงค์สูงสุดในการเรียนร๎ูโดยวิธี สืบสวนสอบสวน จากการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนข๎างต๎นนั้น สามารถสรุปเปน็ แผนผังประเภทของการจดั การเรียนรแ๎ู บบสบื สวนสอบสวน 3 ประเภท 245

ประเภทของการเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ การสบื เสาะสามารถจดั ประเภทตามเกณฑต์ าํ งๆดงั นี้ 1. การสบื เสาะที่อาศัยการทําปฏิบตั กิ าร สามารถแบํงออกเป็น 3 ประเภท (ไพฑรู ย์ สุขศรงี าม. 2548 : 142 ; อา๎ งองิ มาจาก Tafoya and others. 1980 : 46) คือ 1.1 การสืบเสาะแบบสําเรจ็ รูป (Structured Inquiry) 1.2 การสบื เสาะแบบแนะนํา (Guided Inquiry) 1.3 การสืบเสาะแบบเปดิ กว๎าง (Open Inquiry) หรอื การค๎นพบ (Discovery) 2. การสบื เสาะที่อาศยั การสรา๎ งสรรคค์ วามร๎ูใหมํ แบํงออกเปน็ 2 ประเภท (ไพฑูรย์ สุขศรงี าม. 2548 : 141 ; อ๎างอิงมาจาก Schwab. 1960 : 6-11) 2.1 การสืบเสาะโดยใช๎ความรู๎เดมิ (Stable Enquiry) 2.2 การสืบเสาะหาความร๎ูใหมํ (Fluid Enquiry) 3. การสืบเสาะท่ีไมํทาปฏิบตั ิการ บางครั้งเรยี กการสบื เสาะแบบซักถาม(OralInquiry) แบํง ออกเปน็ 3 ประเภท (ไพฑูรย์ สขุ ศรีงาม. 2548 : 142-143 ; อ๎างอิงมาจาก นดิ าสะเพียรชยั . 2520 : 6) คอื 3.1 การสบื เสาะแบบนักเรยี นเป็นผ๎ซู ักถาม (Action Inquiry) 3.2 การสืบเสาะแบบครเู ป็นผู๎ซักถาม (Passive Inquiry) 3.3 การสืบเสาะแบบผสม (Mixed Inquiry) 4. การสบื เสาะของสถาบนั สํงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีมี3 ขนั้ ตอน (สถาบันสํงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี 2520 : 5-7 ; อา๎ งอิงมาจาก ไพฑูรย์ สุขศรงี าม. 2548 : 146-147) 4.1 ข้นั อภปิ รายกํอนปฏบิ ตั ิการ (Pre-lab Discussion) 4.2 ขั้นปฏิบัตกิ าร (lab session) 4.3 ข้ันอภิปรายหลังปฏบิ ัติการ (Post-lab Discussion) 5. การสืบเสาะแบบ Learning CycleKarplus และคณะ ได๎นาเสนอการเรียนการสอนรูปแบบวัฎ จกั รการเรยี นร๎ู (Learning Cycle) ซึง่ เป็นรูปแบบท่ีใช๎ปรับปรุงหลกั สตู รวิทยาศาสตรร์ ะดับประถมศกึ ษา ของประเทศสหรัฐอเมรกิ า(Science Curriculum Improvement Study : SCIS) ประกอบดว๎ ย 3 ข้นั ดงั น้ี 1. การสารวจ (Exploration หรือ Concept Exploration) เปน็ ข้นั ที่นกั เรียนไดร๎ ับ ประสบการณ์เกี่ยวกบั รปู ธรรม 2. การเกดิ ความคดิ (Invention หรือ Concept Introduction หรอื Clarification) 246

บาร์แมน (Barman. 1992 : 59-63) ระบุวําเร่ิมจากการเสนอมโนทศั น์หรือหลกั การใหมํ หรือคาอธบิ าย เสรมิ เพือ่ ชวํ ยใหน๎ กั เรียนประยุกตร์ ปู แบบการใช๎เหตุผลในประสบการณ์ของเขา แตํก็เปิดโอกาสใหน๎ ักเรียน เสนอแนวคดิ ของตนเองด๎วย 3. ระยะการค๎นพบ (Discovery หรอื Concept Application) เป็นระยะท่นี ักเรียนเกดิ ความรู๎ มโนทัศน์ หรอื ทกั ษะที่เกดิ ขึ้นไปใช๎ในสถานการณ์อน่ื โดยการยกตวั อยํางเพื่อแสดงมโนทัศนท์ ี่รูน๎ ้ัน ตอํ มาได๎มีกลุํมนกั การศึกษาได๎นาวิธกี ารนี้มาใช๎และมกี ารพัฒนาวิธกี ารและข้ันตอนในการเรยี นการสอน แบบวัฎจกั รการเรยี นร๎ูออกเป็น 4 ขั้น (Barman. 1989 : 28-31) ดังนี้ 1. การสํารวจ (Exploration) ระยะการสํารวจเป็นการเน๎นนักเรียนเป็นสําคัญกระตุ๎น ความไมํสมดุลความคิดของผู๎เรียน และชํวยให๎เกิดการปรับขยายความคิด ครูรับผิดชอบการให๎ นกั เรียนได๎รับคาแนะนา คําช้ีแจง และวัสดุอุปกรณ์ อยํางเพียงพอท่ีมีปฏิสัมพันธ์ในทางที่สัมพันธ์ กับแนวคิด คาแนะนาช้ีแจงของครูต๎องไมํบอกนักเรียนวําพวกเขาควรเรียนอะไรและต๎องไมํ อธบิ ายแนวคิดให๎แนวทางและคาแนะนาเพื่อให๎การสํารวจดาเนินตํอไปได๎ นักเรียนรับผิดชอบตํอ การสํารวจ วัสดุ และการเก็บรวบรวมและ/หรือ การบันทึกข๎อมูลของตนเอง ครูอาศัยทักษะการ ถามเพอ่ื แนะแนวทางการเรียนร๎ูเด็กต๎องมีวัสดุอุปกรณ์การเรียน และประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม ด๎วย ถ๎าครูจะให๎เด็กสร๎างแนวคิดวิทยาศาสตร์สําหรับตนเอง ให๎ใช๎คําถามแนะเพื่อชํวยเร่ิม กระบวนการวางแผนและคําถามต๎องนาตรงไปสํูกิจกรรมของเด็ก เสนอแนะประเภทของบันทึกท่ี เด็กควรจะทํา และต๎องไมํบอกหรืออธิบายแนวคิด อาจจะกลําวถึงการสอนอยํางยํอๆได๎ บางที่ อาจจะเป็นในรปู จดุ ประสงค์ของการสอน 2. การอธิบาย (Explanation) ระยะการอธิบายเปน็ ระยะทีย่ ึดนกั เรียนเป็นสําคัญน๎อยลง และหาที่หาสิ่งอานวยความสะดวกทางจิตใจให๎แกํนักเรียน ความมํงหมายของระยะน้ี เพื่อให๎ครู ไดน๎ านักเรียนในการคดิ เพ่ือวางแนวคิดเกี่ยวกับบทเรียนจะได๎รับการสร๎างข้ึนด๎วยความรํวมมือกัน ไมํใชํเพียงครูให๎อยํางเดียว เพื่อทําให๎สําเร็จ ครูเลือกและจัดทาสภาพแวดล๎อมของชั้นเรียนที่พึง ประสงค์ ครูขอให๎นักเรียนให๎ข๎อมูลตามทางจิตใจ เมื่อจัดเรียบเรียงข๎อมูลแล๎วครูแนะนาให๎ร๎ูจัก ภาษาจําเพาะที่ต๎องการแนวคิดให๎มากเทาํ ๆ กับมิสซิส แม็กโดนลั ด์ ทาหลังจากเด็กๆได๎สังเกตและ สํารวจส่ิงท่ีเกิดข้ึนเม่ือองค์ความรู๎ใหมํได๎รับการแนะนาในบรรยากาศการเรียบเรียงของพวกเขา ระยะนีช้ วํ ยนาไปสกํู ารปรับขยายโครงสร๎างความคิด ดังทท่ี ฤษฎีของเพียเจตอ์ ธิบายไวใ๎ นที่นักเรียน ต๎องมุํงเน๎นข๎อค๎นพบเบ้ืองต๎นจากการสํารวจเบ้ืองต๎นของพวกตน ครูต๎องแนะนาภาษา หรือ รปู แบบแนวคดิ เพอื่ ชํวยในการปรับขยายโครงสร๎างความคิด ครูแนะแนวนักเรียนจนต้ังคาอธิบาย ของตนเองเก่ียวกบั แนวคิด ครสู ามารถจะแนะแนวนกั เรยี นและงดจากการบอกนักเรียนได๎อยํางไร ในส่ิงท่ีนักเรียนควรควรจะค๎นพบแล๎วถึงแม๎วําความเข๎าใจของนักเรียนยังไมํสมบูรณ์และสามารถ 247

จะชํวยนักเรียนให๎ใช๎ข๎อมูลของตนสร๎างแนวคิดที่ถูกต๎องได๎ ซึ่งจะนานักเรียนไปสํูระยะตํอไปโดย อตั โนมัติคือระยะการขยายความคิด 3. การขยาย (Expansion) ระยะการขยายควรเป็นระยะที่ยึดนักเรียนเป็นสําคัญให๎มาก ท่ีสุดที่จะมากได๎ และเป็นระยะจัดข้ึนเพ่ือกระตุ๎นความรํวมมือของกลุํมความมุํงหมายของระยะนี้ เพื่อชํวยผู๎เรียนให๎จัดระเบียบประสบการณ์ทางความคิดท่ีนักเรียนได๎มาจากการค๎นพบความ เช่ือมโยงกับประสบการณ์เดิมท่ีคล๎ายคลึงกัน และเพ่ือให๎ค๎นพบการประยุกต์ใหมํสําหรับส่ิงท่ี นักเรียนได๎เรียนรู๎มาแล๎ว แนวคิดที่สร๎างขึ้นต๎องเช่ือมโยงกับความคิดอ่ืนหรือประสบการณ์อ่ืนที่ สัมพันธ์กันความมุํงหมายเพ่ือจะนาความคิดของนักเรียนให๎ไปกวําเดิมซ่ึงเป็นอยํูในปัจจุบัน ครู ต๎องให๎เด็กใช๎ภาษาหรือฉลาก หรือฉายาตํางๆของแนวคิดใหมํ เพื่อวําพวกเขาจะได๎เพ่ิมความ เข๎าใจของพวกตนตรงนี้เป็นท่ีเหมาะสมท่ีจะชํวยนักเรียนให๎ประยุกต์ใช๎ส่ิงที่ได๎เรียนรู๎ โดยการ ขยายตัวอยํางหรือโดยการจัดประสบการณ์เชิงการสํารวจเพิ่มเติมเพ่ือพัฒนาสํวนบุคคลของ นักเรียน การสอบสวนความสัมพันธ์ ภายในระหวํางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี-สังคม ความเติมโต ทางวิชาการ และการตระหนักรู๎ด๎านอาชีพ ระยะการขยายนี้สามารถนาไปสูํระยะการสํารวจ บทเรียนตํอไปได๎โดยอัตโนมัติ ดังน้ันวงจรตํอเน่ืองสําหรับการสอนและการเรียนถูกสร๎างขึ้นใน ระยะนี้ ครูชํวยนักเรียนจัดระเบียบการคิดของตนโดยการเชื่อมโยงส่ิงที่เรียนร๎ูมาเข๎ากับความคิด หรือประสบการณอ์ ื่นๆซ่ึงสัมพันธ์กับแนวคิดท่ีสร๎างขึ้น มีความยากที่จะใช๎ภาษาแนวคิดในระยะน้ี เพม่ิ ความลุํมลึก จงึ ลงในความหมายของแนวคดิ และเพื่อขยายขอบเขตความต๎องการสําหรบั เด็ก 4. การประเมินผล (Evaluation) ความมุํงหมายของระยะน้ี เพื่อเป็นการทดสอบ มาตรฐานการเรียนร๎ู การเรียนร๎ูมักจะเกิดขึ้นในสัดสํวนการเพิ่มข้ึนที่น๎อยกวําการยกระดับทาง ความคดิ ทมี่ ีการหย่ังรจ๎ู รงิ ทเ่ี ป็นไปได๎ ดังนน้ั การประเมนิ ผลควรตอํ เน่ือง ซ่ึงไมํใชํการสิ้นสุดของบท หรือของวิธีการของหนํวยการเรียน การวัดหลายชนิดมีความจาเป็นตํอการจัดทาการประเมิน โดยรวมในการเรียนร๎ูของนักเรียน และเพ่ือกระตุ๎นการสร๎างแนวคิดทางจิตใจและทักษะ กระบวนการประเมินผลรวมถึงในแตํละระยะของวัฎจักรการเรียนรู๎ ไมํใชํเพียงจัดทาเฉพาะตอน สุดท๎ายการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎นี้สามารถพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนได๎ โดยครูผ๎ูสอนอาจต๎องเลือกประเภทของการสืบเสาะหาความรู๎ให๎เหมาะกับเนื้อหาและนักเรียน ท้ังนี้ในแตํละข้ันของวัฏจักรอาจไมํจาเป็นต๎องแยกออกมาเป็นแตํละข้ันอยํางชัดเจน แตํอาจจะ เป็นในลักษณะของการผสมผสานกลมกลืนกันเพื่อใหเ๎ หมาะสมกับการใชใ๎ นสภาพจรงิ ก็ได๎ ขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ ขน้ั ของการเรียนร๎ูตามแนวคดิ ของ Eisenkraft (ประสาท เนืองเฉลิม. 2550 : 26-27) มี เนอ้ื หาสาระ ดงั นี้ 248

1. ขั้นตรวจสอบความรู๎เดิม (Elicitation Phase) ครูผู๎สอนจะต๎องทาหน๎าท่ีในการต้ัง คําถาม เพื่อกระตุ๎นให๎นักเรียนได๎แสดงความรู๎เดิม คําถามอาจจะเป็นประเด็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นตามสภาพ สังคมท๎องถิ่นหรือประเด็นข๎อค๎นพบทางวิทยาศาสตร์การนาวิทยาศาสตร์มาใช๎ใ นชีวิตประจําวันและ นักเรยี นสามารถเชือ่ มโยงการเรียนร๎ูไปยังประสบการณ์ท่ีตนมี ทาให๎ครูผู๎สอนได๎ทราบวํานักเรียนแตํละคน มีความรู๎พ้ืนฐานเป็นอยํางไร ครูผ๎ูสอนควรเติมเต็มสํวนใดให๎กับนักเรียนและครูผู๎สอนยังสามารถวาง แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู๎ได๎อยาํ งเหมาะสมสอดคล๎องกับความต๎องการของนักเรยี น 2. ขั้นเร๎าความสนใจ (Engagcment Phase) ขั้นน้ีเป็นการนาเข๎าสูํเนื้อหาในบทเรียน หรือสิ่งที่นําสนใจ ซึ่งอาจเกิดจากความสนใจของนักเรียนหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลํุมเรื่องท่ี นําสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลังเกิดข้ึนในชํวงเวลานั้น หรือเป็นเร่ืองที่เช่ือมโยงกับความรู๎เดิมที่ นักเรียนเพิ่งเรียนรู๎มาแล๎ว ครูผ๎ูสอนทาหน๎าที่กระตุ๎นให๎นักเรียนสร๎างคําถาม ย่ัวยุให๎นักเรียนเกิดความ อยากรู๎อยากเห็นและกําหนดประเด็นท่ีจะศึกษาแกํนักเรียน ในกรณีที่ยังไมํมีประเด็นที่นําสนใจครูผู๎สอน อาจใหศ๎ กึ ษาจากสื่อตําง ๆ เชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต๎น ซ่ึงทาให๎นักเรียนเกิดความคิด ขัดแย๎งจากส่ิงท่ีนักเรียนเคยร๎ูมากํอน ครูผู๎สอนเป็นผ๎ูท่ีทาหน๎าที่กระต๎ุนให๎นักเรียนคิดโดยเสนอประเด็นที่ สําคัญขึ้นมากํอน แตํไมํควรบังคับให๎นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคําถามท่ีครูผู๎สอนกําลังสนใจเป็นเรื่องท่ี ให๎นกั เรียนศกึ ษา เพอ่ื นาไปสูํการสํารวจตรวจสอบในขั้นตอนตํอไป 3. ขน้ั สํารวจและค๎นหา (Exploration Phase) เมื่อนักเรียนทาความเข๎าใจในประเด็น หรือคําถามท่ีสนใจจะศึกษาอยํางถํองแท๎แล๎วก็มีการวางแผน กําหนดแนวทางการสํารวจตรวจสอบ ตัง้ สมมตฐิ าน กําหนดทางเลือกที่เปน็ ไปได๎ ลงมอื ปฏิบตั เิ พ่ือเก็บรวบรวมข๎อมูลข๎อสนเทศหรือปรากฎการณ์ ตําง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทาได๎หลายวิธี เชํน สืบค๎นข๎อมูล สํารวจ ทดลอง กิจกรรมภาคสนาม เป็นต๎น เพ่อื ให๎ไดข๎ ๎อมูลอยาํ งเพยี งพอ ครผู ู๎สอนทาหน๎าที่กระตุ๎นให๎นักเรียนตรวจสอบปัญหาและดําเนินการสํารวจ ตรวจสอบและรวบรวมข๎อมูลด๎วยตนเอง 4. ขน้ั อธบิ ายและลงข๎อสรุป (Explanation Phase) เม่อื นักเรียนได๎ขอ๎ มลู มาแลว๎ นักเรียนก็จะนาข๎อมูลเหลําน้ันมาทาการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนาเสนอผลที่ได๎ในรูปแบบตําง ๆ เชํน บรรยายสรุป สร๎างแบบจาลอง รูปวาด ตาราง กราฟ ฯลฯ ซึ่งจะชํวยให๎นักเรียนเห็นแนวโน๎มหรือ ความสัมพันธ์ของข๎อมูล สรุปและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ๎างอิงประจักษ์พยานอยํางชัดเจน เพื่อนา เสนอแนวคิดตํอไป ข้ันน้ีจะทําให๎นักเรียนได๎สร๎างองค์ความร๎ูใหมํ การค๎นพบในข้ันนี้อาจเป็นไปได๎หลาย ทาง เชํน สนับสนุนสมมติฐาน แตํผลท่ีได๎จะอยํูในรูปแบบใดก็สามารถสร๎างความร๎ูและชํวยให๎นักเรียนได๎ เกดิ การเรียนรู๎ 5. ข้ันขยายความร๎ู (Elaboration Phase) ขั้นนี้เป็นการนาความร๎ูที่สร๎างข้ึนไปเชื่อมโยง กับความรู๎เดิมหรือแนวคิดเดิมท่ีค๎นคว๎าเพิ่มเติม หรือนาแบบจาลองหรือข๎อสรุปท่ีได๎ไปใช๎อธิบาย สถานการณห์ รอื เหตุการณ์อ่ืน ๆ ถ๎าใช๎อธิบายเร่ืองราวตําง ๆ ได๎มากก็แสดงวํามีข๎อจากัดน๎อย ซ่ึงก็จะชํวย 249

ให๎เช่ือมโยงเกี่ยวกับเรื่องราวตํางๆ และทาให๎เกิดความรู๎กว๎างขวางข้ึน ครูผู๎สอนควรจัดกิจกรรมหรือ สถานการณ์ให๎นักเรียนมีความร๎ูมากข้ึนและขยายกรอบแนวคิดของตนเองและตํอ เติมให๎สอดคล๎องกับ ประสบการณเ์ ดมิ ครูผสู๎ อนควรสงํ เสริมให๎นักเรียนต้ังประเด็นเพ่ืออภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม ให๎ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 6. ข้ันประเมินผล (Evaluation Phase) ขั้นน้ีเป็นการประเมินการเรียนร๎ูด๎วย กระบวนการตําง ๆ วํานกั เรียนรูอ๎ ะไรบา๎ ง อยํางไรและมากนอ๎ ยเพียงใด ขั้นน้ีจะชํวยให๎นักเรียนสามารถนา ความรท๎ู ี่ได๎มาประมวลและปรบั ประยุกตใ์ ชใ๎ นเร่อื งอ่ืน ๆ ได๎ ครผู ูส๎ อนควรสํงเสริมให๎นักเรียนนําความรู๎ใหมํ ทีไ่ ดไ๎ ปเชือ่ มโยงกับความร๎เู ดิมและสร๎างเป็นองค์ความร๎ูใหมํ นอกจากน้ีครูผู๎สอนควรเปิดโอกาสให๎นักเรียน ไดต๎ รวจสอบซงึ่ กนั และกัน 7. ข้ันนําความรู๎ไปใช๎ (Extention Phase) ครูผ๎ูสอนจะต๎องมีการจัดเตรียมโอกาสให๎ นักเรียนนําความรู๎ที่ได๎ไปปรับประยุกต์ใช๎ให๎เหมาะสมและเกิดประโยชน์ตํอชีวิตประจําวัน ครูผู๎สอนเป็นผ๎ู ทาหน๎าท่ีกระตุ๎นให๎นักเรียนสามารถนาความรู๎ไปสร๎างความรู๎ใหมํ ซ่ึงจะชํวยให๎นักเรียนสามารถถํายโอน การเรียนร๎ูรปู แบบการจดั การสอนตามแนวคิดของ Einsenkraft เป็นรูปแบบที่ครูผ๎ูสอนสามารถนําไปปรับ ประยุกต์ให๎เหมาะสมตามธรรมชาติวิชา โดยเฉพาะอยํางยิ่งกลํุมสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ซึ่งเน๎น กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ูอันท่ีจะทาให๎นักเรียนเข๎าถึงความรู๎ความจริงได๎ด๎วยตนเองและนักเรียน ได๎รับการกระต๎ุนให๎เกิดการเรียนรู๎อยํางมีความสุข การจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูท้ัง 7 ข้ัน ควรระลึกอยํูเสมอ วําครูผู๎สอนเป็นเพียงผ๎ูทาหน๎าที่คอยชํวยเหลือ เอ้ือเฟื้อและแบํงปันประสบการณ์ จัดสถานการณ์เร๎าให๎ นักเรยี นได๎คดิ ตั้งคาํ ถามและลงมอื ตรวจสอบนอกจากน้ีครูผ๎ูสอนควรจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูให๎เหมาะสมกับ ความรู๎ ความสามารถบนพืน้ ฐานของความสนใจความถนัดและความแตกตํางระหวํางบุคคล อันท่ีจะทาให๎ การจดั การเรียนรบู๎ รรลสุ ํูจดุ มุงํ หมายของการเรียนการสอนท่ีเน๎นนกั เรียนเปน็ สําคัญ ลกั ษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น 1. เป็นการสอนท่มี นี ักเรียนเป็นศูนย์กลาง 2. การเรียนแบบสบื เสาะหาความรู๎ เป็นการสรา๎ งมโนทศั นโ์ ดยตัวนักเรียนเอง 3. ระดบั ความคาดหวงั ของนักเรยี นเพิม่ สูงขนึ้ หลังจากที่ได๎ประสบความสําเร็จในการสืบ เสาะหาความรู๎ 4. การเรยี นแบบสืบเสาะหาความรู๎ เป็นการพฒั นาความสามารถดา๎ นตาํ ง ๆของนักเรียน เชํน ความสามารถทางวิชาการ ทางสงั คมความคิดสร๎างสรรค์ ซ่ึงต๎องอาศยั ความเปน็ อสิ ระและใหน๎ กั เรียนมโี อกาสคดิ 5. การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ จะหลีกเลีย่ งการเรยี นรร๎ู ะดบั วาจาหรือการ บรรยาย แตจํ ะเน๎นการทดลองเพือ่ ให๎นักเรียนค๎นพบดว๎ ยตนเอง 250

6. การเรียนแบบสบื เสาะหาความร๎ู 7 ข้ันจะกําหนดเวลาสาํ หรับการเรยี นรู๎สรุปการสอน แบบสืบเสาะหาความรู๎ 7 ขัน้ เป็นการสอนที่มํุงสํงเสรมิ ใหน๎ ักเรียนรจ๎ู ักค๎นควา๎ หาความร๎ู ดว๎ ยตนเอง โดยใช๎ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เน๎นกิจกรรมของนักเรยี น ครผู ๎สู อนมหี นา๎ ทเี่ พยี งจัดสภาพการเรียนการสอนให๎เอ้ือตํอการเรยี นรู๎ ในการเรยี นการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ ต๎องคาํ นึงถึงหลักการและพื้นฐานทางจติ วิทยาดว๎ ย บทบาทของครูผู้สอนในการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ ประสาท เนืองเฉลมิ (2550 : 28-30) ไดใ๎ ห๎ข๎อเสนอแนะสําหรับครผู ูส๎ อนในการสอนแบบ สบื เสาะหาความร๎ู 7 ขนั้ ไว๎ดงั นี้ 1. ขั้นตรวจสอบความร้เู ดิม (Elicit) 1.1 ตง้ั คาํ ถาม/กาํ หนดประเด็นปญั หา 1.2 กระตุน๎ ใหน๎ ักเรียนแสดงความรูเ๎ ดมิ 1.3 ตรวจสอบความรเ๎ู ดมิ /ประสบการณ์เดมิ ของนักเรยี น 1.4 เตมิ เต็มประสบการณ์เดมิ 1.5 วางแผนการจดั การเรียนรู๎ 2. ขั้นเรา้ ความสนใจ (Engage) 2.1 สร๎างความสนใจ 2.2 กระตน๎ุ ให๎รํวมกนั คิด 2.3 ตง้ั คาํ ถามกระต๎ุนให๎คิด 2.4 สร๎างความกระหายใครํรู๎ 2.5 ยกตัวอยาํ งประเด็นทน่ี ําสนใจ 2.6 จดั สถานการณ์ให๎นกั เรยี นสนใจ 2.7 ดึงคาตอบทย่ี งั ไมํชดั เจนนักมาคิดและอภิปรายรวํ มกัน 3. ข้ันสารวจและคน้ หา (Explore) 3.1 สํงเสรมิ ใหน๎ ักเรียนทาํ งานรวํ มกันในการสํารวจตรวจสอบ 3.2 ซกั ถามนักเรยี นเพอ่ื นาไปสูกํ ารสํารวจคน๎ หา 3.3 สังเกตและรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของนักเรียน 3.4 ใหข๎ อ๎ เสนอแนะ คาปรกึ ษาแกนํ ักเรยี น 3.5 ใหก๎ าลงั ใจและเสนอประเดน็ ท่ชี ้ีแนะแนวทางนาไปสํูการสํารวจตรวจสอบ 3.6 สงํ เสริมให๎นักเรยี นไดส๎ าํ รวจตรวจสอบโดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3.7 สงํ เสริมคุณธรรม จริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ 3.8 สํงเสริมและพฒั นาเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์แกนํ กั เรียน 251

4. ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (Explain) 4.1 สํงเสริมให๎นักเรยี นได๎คดิ และแสดงความคดิ เหน็ อยํางอสิ ระ 4.2 สงํ เสรมิ ให๎นกั เรยี นอธบิ ายความคดิ รวบยอดตามความเขา๎ ใจของตวั เอง 4.3 ให๎นักเรยี นแสดงหลักฐาน ใหเ๎ หตุผลอยํางเหมาะสม 4.4 สํงเสรมิ ให๎นกั เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเองสงั เกต 4.5 ให๎นกั เรยี นอธบิ ายให๎คาจากดั ความและบงํ ชีป้ ระเด็นที่สาํ คญั จากปรากฏการณ์ 4.6 ให๎นกั เรียนใช๎ประสบการณเ์ ดิมของเป็นพ้นื ฐานในการอธิบายความคิดรวบยอด 5. ขน้ั ขยายความรู้ (Elaborate) 5.1 สงํ เสรมิ ใหน๎ ักเรียนได๎นาความรท๎ู ่เี รยี นมาไปปรับประยุกตใ์ ช๎ใหเ๎ กิดประโยชน์ อยาํ งสรา๎ งสรรค์ 5.2 สํงเสรมิ ใหน๎ กั เรยี นนาสง่ิ ทีน่ กั เรียนได๎เรยี นรไู๎ ปประยุกต์ใชห๎ รอื ขยายความรใู๎ น สถานการณ์ใหมํ 5.3 สงํ เสริมใหน๎ ักเรยี นได๎ใช๎ทักษะและกระบวนการทเ่ี รยี นรู๎มาไปปรับใชต๎ ามบริบท 5.4 เปดิ โอกาสใหน๎ ักเรยี นได๎อธบิ ายความรู๎ความเข๎าใจอยาํ งหลากหลาย 5.5 ให๎นกั เรียนอ๎างอิงขอ๎ มูลท่ีมอี ยํูพรอ๎ มทัง้ แสดงหลักฐานและถามคําถามเกย่ี วกบั สงิ่ ท่นี กั เรียนได๎เรียนรู๎ 6. ขัน้ ประเมินผล (Evaluate) 6.1 สงั เกตนักเรยี นในการนาความคดิ รวบยอดและทักษะใหมไํ ปปรับใช๎ 6.2 ประเมินความรูแ๎ ละทักษะของนกั เรยี น 6.3 หาหลักฐานท่ีแสดงวาํ นกั เรยี นได๎เปลี่ยนความคดิ หรอื พฤติกรรม 6.4 ให๎นักเรยี นประเมินตนเองเกย่ี วกับการเรียนรแ๎ู ละทักษะกระบวนการกลุํม 6.5 ถามคําถามปลายเปิดในประเด็นตําง ๆ หรือสถานการณ์ท่ีกําหนดให๎ 7. ขน้ั นาไปใช้ (Extend) 7.1 กระต๎ุนให๎นักเรยี นต้ังขอ๎ คําถามตามประเดน็ ที่สอดคล๎องกับบริบท 7.2 กระตน๎ุ ใหน๎ ักเรยี นนาสิง่ ท่ีได๎เรยี นรู๎ไปปรับใช๎ 7.3 แนะแนวทางในการนาความรู๎เดิมไปสร๎างเปน็ องค์ความรู๎ใหมํ 7.4 ปรบั ปรงุ วธิ ีการจดั การเรียนการสอน ดงั น้นั บทบาทของครูผ๎สู อนในการสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขั้น จงึ ตอ๎ งเปน็ ผส๎ู ร๎าง สถานการณ์ทีเ่ ปดิ โอกาสใหน๎ ักเรียนมีสํวนรํวมในกจิ กรรมตํางๆ ดว๎ ยตวั นักเรียนเองเปน็ ผ๎ูถามคาํ ถาม ตํางๆ ทจ่ี ะนาทางใหน๎ ักเรยี นคน๎ หาความรู๎ 252

บทบาทของนักเรียนในการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ประสาท เนอื งเฉลมิ (2550 : 28-30) ได๎ใหข๎ ๎อเสนอแนะสาํ หรับนักเรยี นในการเรียนแบบ สบื เสาะหาความร๎ู 7 ขนั้ ไว๎ดงั น้ี 1. ขน้ั ตรวจสอบความรู้เดิม (Elicit) 1.1 ตอบคําถามตามความเข๎าใจของตนเอง 1.2 แสดงความคิดเหน็ อยาํ งอิสระ 1.3 อภิปรายรวํ มกันระหวํางครูผ๎ูสอนกับนักเรียนและนกั เรยี นกบั นกั เรยี น 2. ขั้นเรา้ ความสนใจ (Engage) 2.1 ถามคําถามตามประเดน็ 2.2 แสดงความสนใจในเหตุการณ์ 2.3 กระหายอยากรู๎คาตอบ 2.4 แสดงความคิดเหน็ และนาเสนอความคิด 2.5 นาเสนอประเดน็ /สถานการณ์ท่สี นใจ 2.6 อภิปรายประเด็นทตี่ อ๎ งการทราบ 3. ขน้ั สารวจและค้นหา (Explore) 3.1 คิดอยํางอสิ ระแตํอยูํในขอบเขตของกิจกรรมสํารวจตรวจสอบ 3.2 ทดสอบการคาดคะเนและสมมติฐาน 3.3 คาดคะเนและตงั้ สมมติฐานใหมํ 3.4 พยายามหาทางเลือกในการแก๎ปญั หาและอภิปรายทางเลือกกับคนอน่ื ๆ 3.5 บันทึกการสงั เกตและให๎ข๎อคดิ เห็น 3.6 ลงข๎อสรุปบนพนื้ ฐานของข๎อมลู ที่มคี วามนําเช่ือถือได๎ 3.7 ใชท๎ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสาํ รวจตรวจสอบ 3.8 เสริมสรา๎ งเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 3.9 มจี รรยาบรรณของนกั วทิ ยาศาสตร์ 4. ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explain) 4.1 อธบิ ายการแก๎ปญั หาหรือคาตอบทเ่ี ป็นไปได๎ 4.2 รบั ฟงั คาอธบิ ายของคนอ่ืนอยํางสร๎างสรรค์ 4.3 คิดวิเคราะหว์ ิจารณ์ในประเด็นท่เี พื่อนนาเสนอ 4.4 ถามคําถามอยาํ งสรา๎ งสรรค์เกีย่ วกบั สง่ิ ท่ีคนอ่ืนได๎อธิบาย 4.5 รับฟงั และพยายามทาความเขา๎ ใจเก่ียวกับสงิ่ ท่ีครอู ธิบาย 4.6 อ๎างอิงกิจกรรมท่ีไดป๎ ฏิบัตมิ าแล๎ว 253

4.7 ใชข๎ ๎อมลู ท่ีไดจ๎ ากการบนั ทกึ การสงั เกตประกอบคาอธิบาย 5. ข้ันขยายความรู้ (Elaborate) 5.1 นาขอ๎ มลู ท่ีได๎จากการสารวจตรวจสอบไปปรับประยุกต์ใชใ๎ นสถานการณ์ ใหมทํ ี่คลา๎ ยกับสถานการณเ์ ดิม 5.2 ใช๎ขอ๎ มลู เดิมในการถามตามความมํุงหมายของการทดลอง 5.3 บนั ทึกการสังเกตและข๎ออธิบาย 5.4 ตรวจสอบความเข๎าใจตนเองดว๎ ยการอภปิ รายข๎อค๎นพบกับเพื่อน ๆ 6. ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluate) 6.1 ตอบคําถามโดยอาศยั ประจักษ์พยานหลกั ฐานและคาอธิบายที่ยอมรบั ได๎ 6.2 แสดงความรค๎ู วามเข๎าใจของตนเองจากกจิ กรรมสารวจตรวจสอบ 6.3 ประเมินผลตนเองวาํ ไดเ๎ รียนร๎ูอะไรบา๎ ง 6.4 เสนอแนะข๎อคําถามหรอื ประเด็นทเ่ี กี่ยวข๎อง เพื่อสงํ เสรมิ ให๎มีการนาํ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช๎ในการสารวจตรวจสอบตอํ ไป 7. ขน้ั นาไปใช้ (Extend) 7.1 นาความรู๎ท่ีได๎ไปปรบั ใช๎อยาํ งเหมาะสม 7.2 ใชท๎ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการเช่ือมโยงเนอ้ื หาสาระไปสกูํ าร แก๎ปญั หา 7.3 มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม ในการนาความร๎ูไปปรับใชใ๎ นชวี ติ ประจาํ วนั ข้อดขี องการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น มดี ังนี้ 1. นักเรียนมีโอกาสไดพ๎ ฒั นาความคิดอยํางเต็มที่ ได๎ศกึ ษาค๎นควา๎ ดว๎ ยตนเองจึงมคี วาม อยากร๎ูอยากเหน็ อยํตู ลอดเวลา 2. นักเรียนมีโอกาสไดฝ๎ ึกความคดิ และฝึกการกระทา ไดเ๎ รียนรู๎วิธีจดั ระบบความคิดและ วธิ ีเสาะแสวงหาความร๎ดู ๎วยตนเองทาให๎ความร๎คู งทนและถํายโยงการเรยี นรู๎ได๎ คือทาให๎สามารถจดจาได๎ นานและนําไปใชใ๎ นสถานการณ์ใหมไํ ด๎ 3. นักเรียนเปน็ ศนู ย์กลางของการเรียนการสอน 4. นกั เรียนสามารถเรยี นร๎ูมโนทัศนแ์ ละหลักการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด๎เรว็ ข้ึน 5. นกั เรยี นจะเปน็ ผ๎มู เี จตคติที่ดีตอํ การเรยี นการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ ขอ้ จากัดของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน มดี ังนี้ คอื 1. ใชเ๎ วลามากในการสอนแตํละครัง้ 2. ถา๎ สถานการณ์ที่ครผู ส๎ู อนสร๎างข้นึ ไมทํ าให๎นาํ สนใจ แปลกใจ จะทาใหน๎ กั เรียน 254

เบอื่ หนาํ ยและถ๎าครผู สู๎ อนไมํเข๎าใจบทบาทหนา๎ ทใ่ี นการสอนวิธนี ้ี มงํุ ควบคมุ พฤตกิ รรมของนกั เรยี นมาก เกนิ ไปจะทาใหน๎ ักเรียนไมํมีโอกาสได๎สืบเสาะหาความรด๎ู ว๎ ยตนเอง 3. นักเรยี นท่ีมรี ะดบั สตปิ ัญญาต่ําและเนื้อหาวชิ าคอํ นข๎างยาก นกั เรียนอาจจะไมํสามารถ ศึกษาหาความร๎ูได๎ดว๎ ยตนเองได๎ 4. นกั เรียนบางคนทย่ี ังไมเํ ป็นผู๎ใหญพํ อ ทาใหข๎ าดแรงจูงใจของนักเรียนในการศกึ ษา คน๎ ควา๎ ลดลง 5. ถ๎าใช๎การสอนแบบนอี้ ยํเู สมอ อาจทาให๎ความสนใจของนักเรียนในการศึกษาลดลง สรุปวําการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู๎ 7 ขัน้ เป็นการสอนทีด่ ี นักเรยี นเรียนดว๎ ยความเขา๎ ใจ ไมใํ ชํการเรยี นแบบทํองจา โดยมีครผู ู๎สอนเปน็ ผสู๎ รา๎ งบรรยากาศท่เี อ้ือตํอการเรียนการสอนใหน๎ กั เรยี นสร๎าง ความรู๎ดว๎ ยตนเอง ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ จากการศึกษาคน๎ ควา๎ คร้ังนพ้ี บวาํ การจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ู โดยใช๎แผนการจัดกิจกรรม การเรยี นรแ๎ู บบสบื เสาะหาความรู๎ 7 ข้ัน กลุมํ สาระการเรียนรวู๎ ิทยาศาสตร์ เร่อื งสารในชีวติ ประจําวนั ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 สามารถพัฒนาความคิดสรา๎ งสรรค์ ทาให๎ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตรข์ อง นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 สงู ข้นึ ดังนน้ั ผูศ๎ ึกษาคน๎ คว๎ามคี วามคิดเห็นวํา การจดั กจิ กรรมการเรียนการ สอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขั้น เปน็ เคร่อื งมืออยํางหน่งึ ของครทู ี่จะนามาใช๎ในการพฒั นาการเรียนการ สอน ซ่ึงผศู๎ กึ ษาค๎นคว๎ามีข๎อแนะนา คือ 1.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรโู๎ ดยใช๎กระบวนการสบื เสาะหาความรทู๎ ผ่ี ๎ูศกึ ษา คน๎ คว๎าสร๎างข้นึ เปน็ แผนที่มีคุณภาพเหมาะสมกบั การนาไปประยกุ ตใ์ ช๎ได๎ทุกชวํ งชน้ั โดยสามารถนาไปเปน็ แนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนได๎ทกุ กลมํุ สาระ 1.2 ครผู ๎ูสอนสามารถปรับเน้ือหาสาระในบางแผนใหเ๎ หมาะสมกับระดบั ช้นั อนื่ ๆ และ หลักสูตรสถานศึกษาแล๎วจัดกิจกรรมการเรยี นร๎ูโดยใช๎กระบวนการสบื เสาะหาความรู๎ 7 ขั้นไดท๎ กุ ระดบั ชัน้ 1.3 ควรสํงเสรมิ ให๎ทงั้ รายบคุ คลและรายกลุํมกลา๎ แสดงความคิดเห็นในระหวํางการ อภปิ รายกลํุม พร๎อมทง้ั สํงเสริมใหเ๎ หน็ คณุ คาํ ของการชํวยเหลือกันในการทํางานกลมํุ 5.12 การสอนแบบทดลอง (Experimental Method) วิธีการสอนแบบทดลองเป็นวิธีสอนท่ีนิยมใช๎ในการสอน เพื่อให๎นักเรียนค๎นคว๎าหาความ จริงดว๎ ยตนเอง ในการสอนโดยการทดลองน้ัน ครูจะยกปัญหาข้ึนมากระตุ๎นให๎นักเรียนเกิดความสงสัยใครํ หาคําตอบ ครจู ะไมอํ ธิบายหลกั การหรือทฤษฎคี วามรู๎เก่ียวกับเน้ือหา แตํครูจะให๎นักเรียนนักเรียนได๎ลงมือ ปฏิบัตทิ ดลองด๎วยตนเอง จากการท่ีนักเรียนได๎ลงมือปฏิบัติด๎วยตนเองนี้ จะทําให๎ทราบคําตอบของปัญหา 255

โดยดจู ากผลท่ไี ดจ๎ ากการทดลอง การสอนโดยวิธีทดลองนี้เป็นการเรียนที่นักเรียนมีสํวนรํวมในการกระทํา เปน็ การเรียนท่ีเรยี กวาํ Active Learning ผเ๎ู รียนจะไมํเกิดความเบอื่ หนําย (ลําพอง บญุ ชํวย, 2530 : 148) การสอนแบบทดลองสวํ นมากใชก๎ ับวิชาวิทยาศาสตร์ที่ใช๎การทดลองเป็นวิธีการสอน แตํ ปัจจุบันสามารถนําทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เอาไปใช๎กับเนื้อหาวิชาอ่ืน ๆ ได๎ นอกจากนี้การ สอนแบบน้ียังสามารถพัฒนาทักษะอ่ืนๆ ได๎ด๎วย เชํน ทักษะการคิด การวิเคราะห์ กระบวนการกลํุม การคดิ รวบยอด ฯลฯ (ชาญชยั ยมดิษฐ์, 2548 : 222) ทิศนา แขมมณี (2550 : 333) ได๎ให๎ความหมายของการสอนโดยใช๎การทดลองไว๎อยําง ชัดเจนวํา การสอนโดยใช๎การทดลอง คือ กระบวนการท่ีผ๎ูสอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตาม วัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการท่ีผู๎สอน/ผู๎เรียนกําหนดปัญหาและสมมุติฐานในการทดลอง ผู๎สอนให๎ คําแนะนําแกํผู๎เรียนและให๎ผู๎เรียนลงมือทดลองปฏิบัติตามขั้นตอนท่ีกําหนด ใช๎วัสดุอุปกรณ์ท่ีจําเป็น เก็บรวบรวมขอ๎ มลู วิเคราะห์ข๎อมูล สรปุ อภิปรายผลการทดลองและสรุปการเรียนร๎ูทีไ่ ดจ๎ ากการทดลอง ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช๎การทดลองมีความสําคัญตํอทั้งผ๎ูเรียนและผ๎ูสอน โดย การสอนแบบทดลองมจี ุดมุํงหมายทีส่ าํ คญั ดงั น้ี (อาภรณ์ ใจเท่ยี ง, 2550 : 157) 1. เพอ่ื ให๎ผเู๎ รียนไดร๎ ับประสบการณ์ตรงจากการทดลอง ค๎นควา๎ ดว๎ ยตนเอง 2. เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเกิดทักษะในการใช๎เครื่องมือ อุปกรณ์การทดลองตําง ๆ ให๎สามารถ ใช๎ไดอ๎ ยาํ งถูกตอ๎ ง เป็นแนวทางในการประดษิ ฐค์ ดิ คน๎ ส่งิ ใหมตํ ํอไป 3. เพือ่ ฝึกฝนการปฏบิ ตั ิงานทดลองค๎นคว๎าขอ๎ เท็จจริงอยํางมีระบบขั้นตอนและรอบคอบ 4. เพือ่ ฝึกการสงั เกต คดิ วิเคราะห์ สรุปผล และรายงานตามความเปน็ จริงทีค่ ๎นพบ ทิศนา แขมมณี (2550 : 332) ได๎กลําวถึงจุดมํุงหมายของวิธีสอนโดยใช๎การทดลองวํา เปน็ วิธกี ารทีม่ ํุงชวํ ยให๎ผู๎เรียนรายบุคคลหรือรายกลุํม เกิดการเรียนร๎ูโดยเห็นผลประจักษ์จากการคิดและ การกระทาํ ของตนเอง ทําใหก๎ ารเรยี นรนู๎ น้ั ตรงกับความเปน็ จรงิ มีความหมายสําหรบั ผ๎เู รยี นและจําได๎นาน และสามารถ คงสะอาด (2535 : 72-73) ได๎อธิบายถึงจุดมํุงหมายของวิธีการสอนแบบ ทดลองไวเ๎ ชํนเดียวกนั ดังน้ี 1. เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎รับความรู๎ความเข๎าใจจากประสบการณ์ตรงโดยการสังเกต และการทดลอง 2. เพ่ือฝึกให๎ผู๎เรียนมีทักษะคลํองแคลํวในการนําไปใช๎ เชํน การเพ่ิมอัตราเร็ว ในการอาํ น การทาํ อาหาร การใช๎เครื่องมือในหอ๎ งปฏิบตั กิ ารตําง ๆ 3. เพือ่ ฝึกให๎ผู๎เรียนมคี วามคดิ สร๎างสรรคแ์ ละแสดงความคิด 4. เพื่อเรา๎ ใหผ๎ เู๎ รียนสนใจบทเรียนย่ิงขึ้น เพราะผ๎ูเรียนได๎มีสํวนรํวมในการเรียน การสอนและเป็นการเรยี นโดยการกระทาํ 5. เพ่อื ฝึกใหผ๎ ๎เู รยี นรจู๎ กั การแก๎ปัญหาในสภาพการณต์ ําง ๆ ได๎ 256

จากทั้งหมดที่กลําวมา จึงเห็นได๎วําจุดมุํงหมายของวิธีการสอนโดยการทดลอง มี ความสําคญั ตอํ ผ๎เู รยี นเป็นอยาํ งมาก ซ่ึงจะสรปุ จุดมํุงหมายทส่ี าํ คัญไดด๎ งั ตอํ ไปน้ี 1. เพ่ือให๎นักเรียนได๎ร๎ูและเข๎าใจจากประสบการณ์โดยตรงจากการสังเกตและ การทดลอง 2. เพอ่ื ฝึกใหผ๎ ูเ๎ รียนเป็นคนมเี หตุผลในการค๎นคว๎าหาความรูด๎ ว๎ ยตนเอง 3. เพอ่ื ฝกึ ใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดทักษะในการใชเ๎ ครอื่ งอปุ กรณต์ ํางๆ ไดอ๎ ยาํ งถกู ตอ๎ ง 4. เพ่ือสํงเสริมใหผ๎ ๎ูเรียนสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎีจากการทดลอง 5. เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเกิดทักษะกระบวนการคิด กระบวนการกลํุม รวมท้ัง เกดิ ความคดิ สรา๎ งสรรค์ 6. เพ่ือฝึกให๎ผู๎เรียนเกิดกระบวนการทํางานรํวมกัน เกิดทักษะในการแก๎ปัญหา ในสภาพการณ์ตาํ งๆ ได๎ 7. เพื่อให๎ผู๎เรียนได๎เข๎าใจบทเรียนได๎ดีย่ิงข้ึน สํงผลให๎เกิดการเรียนรู๎และมี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นทสี่ งู ขึ้น องค์ประกอบของการสอนโดยการทดลอง ในการสอนโดยใช๎การสอนทดลองมีองค์ประกอบท่ีสําคัญ (ท่ีขาดไมํได๎) ของวิธีสอนดังน้ี (ทิศนา แขมมณ,ี 2550 : 333) 1. มีผส๎ู อนและผู๎เรยี น 2. มปี ญั หาและสมมตฐิ านในการทดลอง 3. มีวสั ดุอุปกรณส์ าํ หรบั การทดลอง 4. มกี ารทดลอง 5. มผี ลการเรยี นร๎ูของผ๎ูเรียนที่เกดิ จากการทดลอง การสอนโดยใช๎การทดลองเปน็ การสอนที่ทงั้ ผส๎ู อนและผูเ๎ รียนได๎ดําเนินกิจกรรมการเรียน การสอนรํวมกัน สมาชิกทุกคนในชั้นจะได๎มีโอกาสลงมือปฏิบัติ ได๎คิดวิเคราะห์ ฝึกฝนแก๎ปัญหา ดังน้ันใน การทดลองก็ต๎องมีปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง เม่ือต๎องการทดสอบสมมติฐานก็วางแผนการ ทดลองและจดั เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์สาํ หรับการทดลอง และลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง และท่ีสําคัญยิ่งก็คือต๎อง มีผลการเรยี นรขู๎ องผ๎เู รียนทเ่ี กิดจากการทดลอง ขั้นตอนของการสอนโดยการทดลอง ข้ันตอนการเรียนการสอนโดยการทดลองนั้น นักวิชาการได๎เสนอข้ันตอนของการสอน โดยการทดลองทส่ี าํ คัญ ซึ่งมีข้นั ตอนทแ่ี ตกตาํ งกัน ไว๎ดงั น้ี 257

ทิศนา แขมมณี (2550 : 333) ได๎กลําวถึงขั้นตอนสําคัญของการสอนโดยการทดลอง มี ขั้นตอนดงั นี้ 1. ผส๎ู อน/ผูเ๎ รยี นกาํ หนดปัญหาและสมมตฐิ านในการทดลอง 2. ผ๎ูสอนให๎ความร๎ูท่ีจําเป็นตํอการทดลอง ให๎ขั้นตอนและรายละเอียดใน การทดลองแกผํ ู๎เรยี น โดยใช๎วธิ กี ารตํางๆ ตามความเหมาะสม 3. ผูเ๎ รียนลงมือทดลองโดยใช๎วัสดุอุปกรณท์ จ่ี ําเปน็ ตามขน้ั ตอนท่ีกําหนดและ บันทกึ ขอ๎ มูลการทดลอง 4. ผเ๎ู รียนวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง 5. ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนอภปิ รายผลการทดลอง และสรปุ การเรียนร๎ู 6. ผ๎สู อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ขู องผู๎เรยี น อาภรณ์ ใจเที่ยง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายขั้นตอนการสอนโดยการทดลองมี 5 ข้ันตอน ด๎วยกัน คอื 1. ขนั้ เตรียมการทดลอง 2. ขั้นทดลอง 3. ขนั้ เสนอผลการทดลอง 4. ขน้ั อภิปรายสรุปผล 5. ขัน้ ประเมนิ ผล ไสว ฟักขาว (2544 : 104) ได๎เสนอขนั้ ตอนการสอนโดยใช๎ทดลองออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นนํา 2. ขนั้ ทดลอง 3. ขั้นเสนอผลการทดลอง 4. ขั้นสรุปผล ในที่นี้ขอนําเสนอข้ันตอนการสอนโดยใช๎การทดลองเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียมการ สอน 2) ขั้นสอนโดยใช๎การทดลอง และ 3) ขั้นวิเคราะห์ สรุปและประเมินผล โดยมีรายละเอียด ดังตํอไปนี้ 1. ขน้ั เตรียมการสอน ขน้ั ตอนการเตรียมการสอนโดยใชก๎ ารทดลองเป็นการเตรียมการสอนที่คุณครูต๎องใช๎เวลา และการเตรยี มการพอสมควร เพราะต๎องมีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ รวมท้ังเอกสารความร๎ู วิธีการทดลอง และอื่นๆ ดังน้ันครูต๎องเตรียมส่ิงตํางๆ ดังกลําวไว๎ให๎พร๎อม และมีข๎อควรระวังหลายประการดังที่ นกั วชิ าการทาํ นไดแ๎ นะนําไว๎ ดังนี้ 258

ทิศนา แขมมณี (2550 : 334 - 335) ได๎เสนอแนะวํา การเตรียมการสอนโดยใช๎การ ทดลองนั้นผู๎สอนจะต๎องกําหนดจุดมุํงหมาย กําหนดตัวปัญหาท่ีจะใช๎ในการทดลอง และกระบวนการ หรือขั้นตอนในการดําเนินการทดลองให๎ชัดเจน รวมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ท่ีจะใช๎ในการทดลองให๎ พร๎อม และลองซ๎อมทําการทดลองด๎วยตนเอง เพื่อจะให๎เรียนร๎ูและแก๎ไขประเด็นปัญหาข๎อขัดข๎อง นอกจากน้ีผู๎สอนอาจจําเป็นต๎องทําเอกสารคูํมือการทดลองให๎ผู๎เรียน และอาจจัดทําประเด็นคําถามที่จะ ให๎ผ๎ูเรียนหาคําตอบหรือแนวทางที่จะให๎ผู๎เรียนสังเกตการทดลอง นอกจากนั้นในบางกรณีท่ีการทดลอง ตอ๎ งอาศัยพื้นฐานความร๎ูทีจ่ าํ เปน็ ซึง่ หากผ๎ูเรยี นขาดความรูด๎ ังกลําวไมํสามารถทําการทดลองได๎ จึงควรมี การตรวจสอบความรผ๎ู ๎ูเรยี นกํอนให๎ทําการทดลอง และผ๎ูสอนจะต๎องตรวจสอบความปลอดภัยรวมท้ังการ เตรยี มการทัง้ ทางด๎านปูองกันและแก๎ไขปัญหาทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ดว๎ ย อาภรณ์ ใจเท่ียง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายขั้นตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ไวด๎ ังนี้ ดังนี้ 1. กําหนดจุดประสงค์ ผู๎สอนต๎องศึกษาหลักสูตร คูํมือครู หรือแผนการสอนแล๎วตั้ง จุดประสงค์การสอนให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎างจาก การเรียน ด๎วยการลงมอื ทดลองปฏบิ ัติ 2. วางแผนการทดลอง เป็นข้ันที่ผู๎สอนต๎องลําดับข้ันตอนการสอนและเตรียมกําหนด กิจกรรมไวล๎ ํวงหน๎าวาํ จะนําเขา๎ สูํบทเรยี นอยํางไรใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎ทดลองตามลําดับขัน้ อยาํ งไรบ๎าง สรุปผลการ ทดลองและเสนอผลตอนใด อยํางไร หรอื โดยวิธีใด เป็นต๎น 3. จดั เตรียมวัสดุและเครื่องมือ ตลอดจนแบบบันทึกผลการทดลองและแบบประเมินผล ผ๎สู อนตอ๎ งเตรยี มไว๎ใหพ๎ รอ๎ ม ใหม๎ จี าํ นวนมากเพียงพอกบั จํานวนนักเรยี น และอยใํู นสภาพท่ใี ชก๎ ารได๎ 4. ตรวจสอบความถูกต๎องและประสิทธิภาพของเครื่องมือ วัสดุที่ใช๎ ผ๎ูสอนควรได๎ ทดลองใช๎เคร่ืองมือกํอนสอน เพื่อให๎เห็นปัญหาที่อาจจะเกิดข้ึนได๎ลํวงหน๎า และเพ่ือประโยชน์ในการ แนะนาํ ตักเตอื น ผูเ๎ รียนในขณะทดลอง 5. เตรียมแบํงกลํุมผู๎เรียน ผู๎สอนต๎องกําหนดกลํุมผ๎ูเรียนให๎เหมาะสม ไมํควรเป็นกลุํม ใหญํมาก เพื่อให๎ผ๎ูเรียนทุกคนได๎เรียนร๎ูวิธีทดลองอยํางทั่วถึง การแบํงกลุํมผ๎ูเรียนนี้ต๎องสอดคล๎องกับ จาํ นวนวัสดุ เคร่อื งมือ อุปกรณท์ มี่ อี ยํู สรุปได๎วํา ข้ันตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูสอนควรดําเนินการตาม ขัน้ ตอน ดังนี้ 1) ต้ังจุดประสงค์ให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผู๎เรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎าง 2) วาง แผนการทดลองและกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 3) จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ให๎พร๎อม 4) ลองซ๎อม ทําการทดลองด๎วยตนเองเพ่ือแก๎ไขปัญหาข๎อขัดข๎อง หรือเพ่ือประโยชน์ในการแนะนํา ตักเตือนผู๎เรียน ในขณะทดลอง 5) เตรียมเอกสารคูํมือการทดลองพร๎อมใบความร๎ูและคําถาม 6) เตรียมแบํงกลุํมผู๎เรียน 259

และ 7) ควรตรวจสอบความรผ๎ู ๎ูเรยี นกํอนให๎ทาํ การทดลอง หากการทดลองนนั้ ผ๎เู รียนไมํสามารถดําเนินการ ไดห๎ รือขาดความรพ๎ู ืน้ ฐาน 2. ขนั้ การสอนโดยใช้การทดลอง ขั้นการทดลองและวิเคราะห์เป็นขั้นท่ีผู๎สอนได๎ทดลอง หรือให๎ผู๎เรียนทําการ ทดลองดว๎ ยตัวเอง ซึง่ เปน็ ขน้ั ทมี่ ีความสําคญั มาก ดงั ท่ีนกั วชิ าการไดแ๎ นะนาํ ไวด๎ งั น้ี อาภรณ์ ใจเท่ียง ( 2550 : 157) ได๎อธิบายข้ันตอนการสอนโดยใช๎ทดลองไว๎วํา กํอนการทดลองจะต๎องมีการข้ันนําเข๎าสํูบทเรียน เพื่อเร๎าความสนใจ โดยผู๎สอนควรได๎แจ๎งจุดประสงค์ การทดลอง ขนั้ ตอน วธิ ีการทดลอง แนะนําการใชเ๎ ครอ่ื งมือ วัสดุอุปกรณ์ให๎ผู๎เรียนได๎ทราบบทบาทของ ตน และให๎การศึกษาคํูมือปฏิบัติการกํอนลงมือทดลอง เม่ือถึงข้ันการทดลอง ผ๎ูเรียนเป็นผู๎ดําเนินการ ทดลองเอง โดยมีผูส๎ อนคอยดแู ล แนะนํา ชวํ ยเหลอื เป็นการทดลองที่อาจกํอให๎เกิดอันตรายได๎ ผู๎สอน ต๎องควบคุมดูแลอยํางใกล๎ชิด ทิศนา แขมมณี (2550 : 334 - 335) กลําววํา ในการทดลองนั้นสามารถทําได๎ หลายแบบ ผูส๎ อนอาจทาํ ให๎ผู๎เรียนลงมือทดลองตามข้นั ตอนทไี่ ด๎กาํ หนดไว๎ทง้ั หมด โดยครูทําหน๎าท่ีสังเกต และให๎คําแนะนําหรือให๎ข๎อมูลปูอนกลับแกํผู๎เรียน หรือผ๎ูสอนลงมือทําการลองทดลองเอง ให๎ผู๎เรียน สังเกต แล๎วทําการทดลองตามไปทีละข้ัน หรือผ๎ูสอนอาจลงมือทําการทดลองให๎ผ๎ูเรียนดูจนจบ กระบวนการแลว๎ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นไปทําการทดลองด๎วยตนเอง ผ๎ูสอนจะใช๎เทคนิคใดน้ันขึ้นกับความเหมาะสมกับ ลกั ษณะของการทดลองครั้งนั้น ผเู๎ รียนจะเรยี นดว๎ ยวธิ ีนี้ได๎ดี หากมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ จาํ เปน็ ผสู๎ อนจงึ ควรฝึกฝนใหผ๎ ู๎เรียนกํอนให๎ผเ๎ู รยี นทาํ การทดลอง หรอื ไมกํ ต็ ๎องฝึกไปพรอ๎ ม ๆ กัน สรุปได๎วํา ในข้ันตอนของการสอนโดยใช๎การทดลองผ๎ูสอนดําเนินการนําเข๎าสํู บทเรียน และแจ๎งจุดประสงค์การเรียนรู๎เชํนเดียวกับการสอนโดยท่ัวไป แตํท่ีพิเศษก็คือ ครูต๎องแนะนํา วิธีการทดลอง การสังเกต การใช๎คํูมือปฏิบัติการทดลอง ข๎อควรระมัดระวัง แล๎วผู๎เรียนเริ่มปฏิบัติการ ทดลองดว๎ ยตัวเอง หรอื ผูส๎ อนทําการทดลองไปทีละคร้ังแล๎วผ๎ูเรียนปฏิบัติตาม หรือผู๎สอนทําการทดลองให๎ ผ๎เู รยี นดจู นจบกระบวนการแล๎วให๎ผเู๎ รียนทดลองด๎วยตนเอง จะใช๎วิธีใดก็แล๎วแตํความเหมาะสมของความ ยากงาํ ย ของการทดลองและเวลาทมี่ ี ผ๎ูสอนอาจวางแผนการทดลองรํวมกับผ๎ูเรียนก็ได๎ เพ่ือเสริมสร๎างทักษะ กระบวนการคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให๎ผ๎ูเรียนมากยิ่งข้ึน แตํอยํางไรก็ตามก็ให๎แนํใจวําการ ทดลองนัน้ ปลอดภยั โดยผ๎สู อนตอ๎ งตรวจสอบแผนการทดลองกํอนการทดลองจรงิ ของผ๎ูเรยี น 3. ข้นั วิเคราะห์ สรปุ และประเมนิ ผล ข้ันวิเคราะห์ สรุปและประเมินผล เป็นขั้นตอนท่ีสําคัญมาก หากผู๎เรียนไมํ สามารถวิเคราะห์และสรปุ ผลการทดลองได๎ ผลการเรียนรขู๎ องผ๎เู รียนก็ไมบํ รรลุวัตถุประสงค์ 260

ทิศนา แขมมณี (2550 : 335) กลําววํา การวิเคราะห์สรุปผลการทดลองและ สรุปการเรียนร๎ู ผ๎ูสอนควรให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียนเก่ียวกับการวิเคราะห์ข๎อมูลและการสรุปผล ซึ่งจะชํวย ให๎ผู๎เรียนได๎พัฒนาทักษะกระบวนการคิดและทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์ ซ่ึงสามารถนําไปใช๎ ประโยชน์ในเร่ืองอื่น ๆ ได๎อีกมาก นอกจากนั้น ผ๎ูสอนควรให๎ผ๎ูเรียนมีการวิเคราะห์อภิปรายเกี่ยวกับ กระบวนการในการแสวงหาความร๎ู กระบวนการทํางาน และกระบวนการอ่ืน ๆ และสรุปการเรียนร๎ู รวํ มกนั ดว๎ ย อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 157) ได๎อธิบายวําในข้ันน้ีผู๎เรียนจะแลกเปล่ียน ประสบการณ์ที่ตนได๎รับ เชํน บางกลํุมอาจได๎ผลการทดลองที่คลาดเคล่ือนก็จะได๎ชํวยกันวิเคราะห์สาเหตุ วําผิดพลาดที่ขั้นตอนใดและมีแนวทางในการแก๎ปัญหาอยํางไร ในขั้นน้ีผ๎ูสอนจะมีบทบาทในการให๎ความ คิดเห็นเพิ่มเติมย้ําประเด็นสําคัญ และสรุปหลักการ ความคิดรวบยอดที่ได๎จากการทดลอง เมื่อการ อภิปรายสรุปผลเสร็จส้ินลง ผู๎สอนควรได๎ประเมินผลผู๎เรียนในด๎านตําง ๆ และแจ๎งให๎ผ๎ูเรียนทราบเพ่ือ การปรับปรุงแก๎ไขในการทดลองท่ีจะมีขึ้นในคร้ังตํอไป เชํน ประเมินด๎านการใช๎เคร่ืองมือ ด๎านความ ละเอียดรอบคอบในการทดลอง ด๎านการจดบันทึก ผลการทดลอง ด๎านการรายงานผล ด๎านการให๎ ความรวํ มมอื กับกลํุม เปน็ ตน๎ หลงั การทดลองแล๎ว ผ๎สู อนต๎องติดตามการวิเคราะห์และสรุปผลการทดลองของ ผ๎ูเรียน พร๎อมท้ังให๎คําแนะนําตอบข๎อสงสัย ให๎ความคิดเห็นเพ่ิมเติมและย้ําประเด็นสําคัญ และในตอน สุดทา๎ ยผสู๎ อนและผเ๎ู รยี นควรรวํ มกันอภิปรายและสรปุ หลักการความคิดรวบยอดที่ได๎จากการทดลอง และ ผ๎ูสอนควรได๎ประเมินผู๎เรียนในทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝึกปฏิบัติ การค๎นคว๎าหาขอ๎ มูล เปน็ ตน๎ จุดเดน่ ของการสอนโดยใชก้ ารทดลอง การสอนโดยใช๎การทดลองเป็นการสอนท่ีเน๎นทักษะกระบวนการหลายๆ อยําง โดยเฉพาะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นการสอนท่ีผู๎เรียนมีสํวนรํวมอยํางมากใน กิจกรรมการเรยี นการสอน นักวิชาการบางทํานได๎กลาํ วถึงจุดเดํนหรือข๎อดีของการสอนโดยวิธีน้ีวํามีหลาย ประการ ดังนี้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 158) ก็ยังได๎กลําวถึงจุดเดํนของการสอนแบบทดลองไว๎หลาย ประการดงั น้ี 1. ผู๎เรยี นได๎ประสบการณ์ตรงในการเรียนร๎ูขณะลงมือปฏบิ ตั กิ ารทดลองด๎วยตนเอง 2. ผู๎เรียนเกดิ ทกั ษะของกระบวนการในการใช๎ความคิดอยาํ งมีเหตุผล 3. ผู๎เรียนมีทักษะในการใชเ๎ คร่อื งมอื และอุปกรณต์ ําง ๆ 4. ผู๎เรียนได๎ทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝึก ปฏบิ ัติ การค๎นควา๎ หาขอ๎ มลู เปน็ ต๎น 261

5. ผ๎ูเรียนสามารถนําผลจากการทดลองไปใช๎ให๎เป็นประโยชน์ในการศึกษาข้ันตํอไป และในชวี ติ จริง 6. ผ๎เู รยี นเกดิ ความรู๎สกึ สนกุ และต่ืนเตน๎ กบั การทดลอง ทาํ ให๎บทเรยี นนําสนใจยิง่ ขนึ้ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 336) กลาํ วถงึ จุดเดํนของวธิ สี อนโดยใชก๎ ารทดลอง ไวด๎ งั นี้ 1. เป็นการสอนที่ผ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ์ตรง ได๎ผํานกระบวนการตําง ๆ ได๎พิสูจน์ ทดสอบ และเหน็ ผลประจกั ษ์ด๎วยตนเอง จึงเกดิ การเรียนรู๎ได๎ดี มคี วามเข๎าใจ และจะจดจําการเรียนร๎ูน้ัน ไดน๎ าน 2. เป็นวิธีสอนที่ผ๎ูเรียนมีโอกาสได๎เรียนรู๎และพัฒนาทักษะกระบวนการตําง ๆ จํานวน มาก เชํน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความร๎ู ทักษะกระบวนการ คิด และทกั ษะกระบวนการกลุํม รวมทั้งได๎พฒั นาลักษณะนสิ ัยใฝุร๎ู 3. เป็นวิธกี ารสอนทผี่ ๎เู รยี นมีสํวนรํวมในกิจกรรมมาก จะทําให๎เกิดความกระตือรือร๎นใน การเรียนร๎ู สรุปไดว๎ าํ การสอนโดยใชก๎ ารทดลอง มจี ุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนหลาย ประการ ซงึ่ ประมวลสรุปประเด็นท่ีนําสนใจ ดงั นี้ 1. ผูเ๎ รียนได๎ประสบการณต์ รงจงึ เกิดการเรยี นรูไ๎ ดดแี ละจดจําไดน๎ าน 2. ผ๎ูเรียนมีโอกาสได๎เรียนรู๎ทักษะกระบวนการตํางๆ จํานวนมาก เชํน ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความร๎ู ทักษะกระบวนการคิด และทักษะ กระบวนการกลํุม รวมท้ังไดพ๎ ัฒนาลกั ษณะนิสัยใฝรุ ู๎ 3. ทาํ ให๎เกิดความกระตอื รือรน๎ ในการเรียนรูแ๎ ละสนุกตื่นเต๎นในการทดลอง 4. ผ๎ูเรียนสามารถนําผลจากการทดลองไปใช๎ให๎เป็นประโยชน์ในการศึกษาข้ันตํอไปและ ในชวี ติ จริง ข้อจากัดของการสอนโดยใช้การทดลอง ทิศนา แขมมณี (2550 : 336) กลาํ วถงึ ขอ๎ จํากดั ของการสอนโดยใช๎การทดลอง ไว๎ดงั น้ี 1. เป็นการสอนท่ีมีคําใช๎จํายสูง เน่ืองจากจําเป็นต๎องมีอุปกรณ์ เครื่องมือ วัสดุ สําหรับ ผู๎เรียนจํานวนมาก หรือในกรณีท่ีต๎องออกไปเก็บข๎อมูลนอกสถานท่ี ก็ต๎องมีคําใช๎จํายพาหนะ ที่พัก และ วสั ดุตําง ๆ ด๎วย 2. เปน็ วิธกี ารสอนท่ใี ชเ๎ วลามาก เนื่องจากการดําเนินการแตลํ ะข้นั ตอนต๎องใช๎เวลา 3.เป็นวิธีสอนที่ผ๎ูสอนต๎องมีความรู๎ ความเข๎าใจ และมีทักษะกระบวนการท าง วทิ ยาศาสตร์ จึงจะสามารถสอนและฝกึ ฝนใหผ๎ เู๎ รียนเกดิ การเรียนร๎ูได๎ดี อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 158) ให๎ความเห็นถึงข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ไว๎หลายประการดงั นี้ 262

1. ในการดาํ เนินการทดลอง ถา๎ กระทําผิดขน้ั ตอนอาจเกดิ อันตรายได๎ 2. อาจเสียเวลาในการเรยี นการสอนมากเพ่อื รอผลการทดลอง 3. การสอนแบบทดลองบางครั้งต๎องใช๎ทรัพยากรมากทําให๎มีการลงทุนสูง ซึ่งอาจไมํ ไดผ๎ ลคม๎ุ คํากับการทไี่ ด๎ลงทุนไป 4. ในบางครั้งถ๎าเป็นการทดลองโดยกลํุมอาจมีผ๎ูเรียนหรือสมาชิกของกลํุมหลีกเล่ียง การปฏบิ ัติงาน ทําให๎การเรยี นการสอนไมบํ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์เทาํ ท่คี วร จากที่นักวิชาการได๎กลําวถึงข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูเขียนประมวล สาระสําคัญและเพิม่ เติมขอ๎ คดิ เหน็ ดังนี้ 1. เป็นการสอนที่มีคําใช๎จํายสูงในสํวนของวัสดุ อุปกรณ์และและการเก็บข๎อมูลนอก สถานท่ี 2. ใชเ๎ วลามากในการเตรียมการสอนและดําเนินการทดลอง 3. ตอ๎ งระมดั ระวังเป็นพเิ ศษในการใชว๎ ัสดุ อุปกรณเ์ พราะอาจเกดิ อันตรายได๎ 4. ในบางครั้งถ๎าเป็นการทดลองโดยกลํุมอาจมีผู๎เรียนหรือสมาชิกของกลํุมหลีกเล่ียง การปฏบิ ัติงาน ทําให๎การเรยี นการสอนไมํบรรลุวตั ถุประสงคเ์ ทาํ ที่ควร กลําวโดยสรุปการสอนโดยใชก๎ ารทดลอง คือ กระบวนการทีผ่ ๎สู อนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียน เกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการท่ีผู๎สอน/ผู๎เรียนกําหนดปัญหาและสมมุติฐานในการ ทดลอง ผู๎สอนให๎คําแนะนําแกํผู๎เรียนและให๎ผ๎ูเรียนลงมือทดลองปฏิบัติตามข้ันตอนที่กําหนด ใช๎วัสดุ อปุ กรณท์ ี่จําเป็น เกบ็ รวบรวมขอ๎ มูล วเิ คราะหข์ ๎อมูล สรุปอภิปรายผลการทดลองและสรุปการเรียนร๎ูท่ีได๎ จากการทดลอง จุดมุํงหมายที่สําคัญของการสอนโดยใช๎การทดลอง คือ 1) เพื่อให๎นักเรียนได๎ร๎ูและเข๎าใจ จากประสบการณ์โดยตรงจากการสังเกตและการทดลอง 2) เพื่อฝึกให๎ผู๎เรียนเป็นคนมีเหตุผลในการ ค๎นคว๎าหาความรู๎ด๎วยตนเอง 3) เพื่อฝึกให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะในการใช๎เคร่ืองอุปกรณ์ตํางๆ ได๎อยํางถูกต๎อง 4) เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎีจากการทดลอง 5) เพื่อสํงเสริมให๎ผู๎เรียนเกิดทักษะ กระบวนการคิด กระบวนการกลํุม รวมท้ังเกิดความคิดสร๎างสรรค์ 6) เพื่อฝึกให๎ผ๎ูเรียนเกิดกระบวนการ ทํางานรํวมกัน เกิดทักษะในการแก๎ปัญหาในสภาพการณ์ตํางๆ ได๎ และ 7) เพื่อให๎ผ๎ูเรียนได๎เข๎าใจบทเรียน ได๎ดียิง่ ข้นึ สงํ ผลใหเ๎ กิดการเรยี นร๎แู ละมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นที่สูงขึ้น การสอนโดยใช๎การทดลองเป็นการสอนทที่ ้ังผส๎ู อนและผู๎เรียนได๎ดําเนินกิจกรรมการเรียน การสอนรํวมกัน สมาชิกทุกคนในชั้นจะได๎มีโอกาสลงมือปฏิบัติ ได๎คิดวิเคราะห์ ฝึกฝนแก๎ปัญหา ดังนั้นใน การทดลองก็ต๎องมีปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง เมื่อต๎องการทดสอบสมมติฐานก็วางแผนการ ทดลองและจดั เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณส์ ําหรับการทดลอง และลงมือปฏิบัตกิ ารทดลอง และท่ีสําคัญย่ิงก็คือต๎อง มผี ลการเรยี นร๎ขู องผูเ๎ รยี นที่เกิดจากการทดลอง 263

ขั้นตอนการสอนโดยใช๎การทดลองแบํงเป็น 3 ข้ันตอน คือ 1.ขั้นเตรียมการสอน 2.ขั้น สอนโดยใช๎การทดลอง และ 3. ขน้ั วเิ คราะห์ สรปุ และประเมนิ ผล โดยมรี ายละเอยี ดดงั ตํอไปน้ี ข้นั ตอนการเตรียมการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูสอนควรดําเนินการตามขั้นตอน ดังน้ี 1) ตั้งจุดประสงค์ให๎ชัดเจนวําต๎องการให๎ผู๎เรียนเกิดพฤติกรรมแตํละด๎านอยํางไรบ๎าง 2) วางแผนการทดลอง และกําหนดกิจกรรมการเรยี นการสอน 3) จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณใ์ ห๎พรอ๎ ม 4) ลองซ๎อมทําการทดลองด๎วย ตนเองเพ่ือแก๎ไขปัญหาข๎อขัดข๎อง หรือเพ่ือประโยชน์ในการแนะนํา ตักเตือนผู๎เรียนในขณะทดลอง 5) เตรียมเอกสารคํูมือการทดลองพร๎อมใบความรู๎และคําถาม 6) เตรียมแบํงกลํุมผู๎เรียน และ 7) ควร ตรวจสอบความร๎ผู เ๎ู รียนกอํ นใหท๎ าํ การทดลอง หากการทดลองน้ันผ๎ูเรียนไมํสามารถดําเนินการได๎หรือขาด ความรูพ๎ ื้นฐาน ในขั้นตอนของการสอนโดยใช๎การทดลองผ๎ูสอนดําเนินการนําเข๎าสูํบทเรียน และแจ๎ง จุดประสงค์การเรียนร๎ูเชํนเดียวกับการสอนโดยทั่วไป แตํท่ีพิเศษก็คือ ครูต๎องแนะนําวิธีการทดลอง การ สังเกต การใช๎คมูํ อื ปฏบิ ัติการทดลอง ข๎อควรระมดั ระวงั แล๎วผ๎ูเรียนเร่ิมปฏิบัติการทดลองด๎วยตัวเอง หรือ ผ๎ูสอนทําการทดลองไปทีละคร้ังแล๎วผ๎ูเรียนปฏิบัติตาม หรือผู๎สอนทําการทดลองให๎ผู๎เรียนดูจนจบ กระบวนการแล๎วให๎ผ๎ูเรียนทดลองด๎วยตนเอง จะใช๎วิธีใดก็แล๎วแตํความเหมาะสมของความยากงําย ของ การทดลองและเวลาที่มี ผู๎สอนอาจวางแผนการทดลองรํวมกับผู๎เรียนก็ได๎ เพื่อเสริมสร๎างทักษะกระบวนการคิด และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให๎ผ๎ูเรียนมากย่ิงข้ึน แตํอยํางไรก็ตามก็ให๎แนํใจวําการทดลองนั้น ปลอดภยั โดยผู๎สอนตอ๎ งตรวจสอบแผนการทดลองกอํ นการทดลองจริงของผเ๎ู รียน ผูเ๎ ขียนมคี วามคิดเห็นวํา หลงั การทดลองแล๎ว ผ๎ูสอนต๎องติดตามการวเิ คราะห์และสรุปผล การทดลองของผู๎เรียน พร๎อมท้ังให๎คําแนะนําตอบข๎อสงสัย ให๎ความคิดเห็นเพ่ิมเติมและย้ําประเด็นสําคัญ และในตอนสดุ ทา๎ ยผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนควรรํวมกันอภิปรายและสรุป หลักการความคิดรวบยอดที่ได๎จากการ ทดลอง และผ๎ูสอนควรได๎ประเมินผู๎เรียนในทักษะของการเรียนอยํางมีประสิทธิภาพ เชํน การสังเกต การฝกึ ปฏิบัติ การค๎นคว๎าหาข๎อมลู เปน็ ตน๎ จุดเดํนที่เป็นประโยชน์ตํอการเรียนการสอนของการสอนโดยใช๎การทดลอง มีอยํูหลาย ประการ ไดแ๎ กํ 1) ผู๎เรียนไดป๎ ระสบการณต์ รงจึงเกิดการเรียนร๎ูไดดีและจดจําได๎นาน 2) ผู๎เรียนมีโอกาสได๎ เรยี นรูท๎ กั ษะกระบวนการตํางๆ จํานวนมาก เชํน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ แสวงหาความรู๎ ทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการกลุํม รวมท้ังได๎พัฒนาลักษณะนิสัยใฝุรู๎ 3) ทาํ ใหเ๎ กดิ ความกระตอื รือรน๎ ในการเรียนรู๎และสนุกตื่นเต๎นในการทดลอง และ 4) ผ๎ูเรียนสามารถนําผล จากการทดลองไปใชใ๎ ห๎เปน็ ประโยชนใ์ นการศกึ ษาขนั้ ตอํ ไปและในชีวิตจรงิ ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎การทดลอง ผ๎ูเขียนประมวลสาระสําคัญและเพิ่มเติม ข๎อคิดเห็น ดังนี้ 1) เป็นการสอนที่มีคําใช๎จํายสูงในสํวนของวัสดุ อุปกรณ์และและการเก็บข๎อมูลนอก 264

สถานที่ 2) ใชเ๎ วลามากในการเตรยี มการสอนและดําเนนิ การทดลอง 3) ต๎องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช๎ วัสดุ อุปกรณ์เพราะอาจเกิดอันตรายได๎ และ 4) ในบางคร้ังถ๎าเป็นการทดลองโดยกลํุมอาจมีผ๎ูเรียนหรือ สมาชิกของกลมุํ หลกี เลย่ี ง การปฏิบตั งิ าน ทําใหก๎ ารเรียนการสอนไมบํ รรลุวตั ถปุ ระสงค์เทําท่ีควร คาถามท้ายบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจดุ มุํงหมายของ “วธิ สี อนโดยใช๎การทดลอง” ตามความคิดเหน็ ของทาํ น 2. วธิ สี อนโดยใชก๎ ารทดลองตอ๎ งมีองคป์ ระกอบท่สี าํ คญั อะไรบ๎าง 3. ขนั้ ตอนของการสอนโดยใชก๎ ารทดลองมีข้ันตอนอะไรบ๎าง จงอธบิ าย 4. จงอธิบายขอ๎ ดีและข๎อจํากดั ของการสอนโดยใชก๎ ารทดลอง มาพอสังเขป 5. ให๎ทํานทดลองฝกึ สอนโดยใชก๎ ารทดลอง แล๎วใหเ๎ พือ่ นหรือผ๎เู ชย่ี วชาญให๎คําตชิ ม หรืออาจ บนั ทึกวีดีทศั น์ไว๎วเิ คราะห์การสอนของตนเองก็ได๎ 5.13 Problem Based Learning (Problem-Based Learning) การเรยี นรโู๎ ดยใชป๎ ญั หาเปน็ ฐาน เป็นกระบวนการเรยี นร๎โู ดยใชป๎ ญั หาเป็นตัวกระต๎นุ ให๎ ผูเ๎ รียนตั้งสมมติฐาน สาเหตแุ ละกลไกของการเกดิ ปญั หานั้น รวมถงึ การค๎นควา๎ ความร๎ูพ้ืนฐานที่เก่ียวขอ๎ ง กับปญั หา เพื่อนาํ ไปสูกํ ารแก๎ปญั หาตอํ ไป โดยผ๎ูเรียนอาจไมมํ ีความรใ๎ู นเรื่องน้ันๆ มากํอน แตอํ าจใช๎ความร๎ู ทผี่ ูเ๎ รยี นมีอยเูํ ดิมหรือเคยเรยี นมา นอกจากน้ียังมุํงให๎ผู๎เรียนใฝุหาความรู๎เพ่ือแก๎ไขปัญหา ได๎คิดเป็น ทําเป็น มีการตัดสินใจ ท่ีดี และสามารถเรียนร๎ูการทํางานเป็นทีม โดยเน๎นให๎ผ๎ูเรียนได๎เกิดการเรียนรู๎ด๎วยตนเอง และสามารถนํา ทักษะจาก การเรยี นมาชํวยแกป๎ ัญหาในชวี ติ การเรียนรู๎โดยใช๎ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนร๎ูจากประสบการณ์ โดยเริ่มจากการได๎ ประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหา ผํานกระบวนการคิดและการสะท๎อนกลับ ไปสูํความรู๎และความคิดรวบ ยอด อันจะนําไปใช๎ในสถานการณ์ใหมํตํอไป การเรียนร๎ูโดยใช๎ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการตอบสนองตํอ แนวคดิ constructivism โดยให๎ผู๎เรียนวิเคราะห์หรือตั้งคําถามจากโจทย์ปัญหา ผํานกระบวนการคิดและ สะท๎อนกลับ เน๎นปฏิสัมพันธ์ระหวําง ผ๎ูเรียนในกลุํม เน๎นการเรียนรู๎ที่มีสํวนรํวม นําไปสูํการค๎นคว๎าหาคา ตอบหรือสรา๎ งความรใ๎ู หมบํ นฐานความรูเ๎ ดมิ ทผี่ ๎ูเรยี นมีมากํอนหน๎าน้ี นอกจากน้ี การเรยี นรูโ๎ ดยใช๎ปัญหาเป็นฐานยงั เปน็ การสร๎างเงื่อนไขสําคญั ทสี่ ํงเสรมิ การ เรยี นร๎ู กลาํ วคือ 1. การเรียนรู๎สงิ่ ใหมํจะไดผ๎ ลดีข้นึ ถา๎ ได๎มกี ารเชื่อมโยงหรือกระต๎ุนความรู๎เดิมทีผ่ เู๎ รยี นมี อยํู 265

2. การเรียนรเู๎ นื้อหาท่ีใกล๎เคยี งสถานการณ์จริงหรือมปี ระสบการณ์ตรงจากโจทยป์ ญั หา จะทําใหผ๎ ู๎เรยี นเรียนร๎ูได๎ดีขน้ึ 3. เน่ืองจากการเรียนร๎ูโดยใช๎ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนกลํุมยํอย การได๎แสดงออก แสดงความคดิ เห็นหรือ อภิปรายถกเถียงกันจะทาํ ใหผ๎ ู๎เรียนเขา๎ ใจและเรยี นร๎ูส่ิงนนั้ ได๎ดีขึน้ การเรียนร๎ูโดยใช๎ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนรู๎ที่เกิดข้ึนจากแนวคิดตามทฤษฎี การเรียนร๎ูแบบสร๎างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให๎ผ๎ูเรียนสร๎างความร๎ูใหมํ จาก การใช๎ปัญหาที่ เกิดข้ึนจริงในโลก เป็นบริบทของการเรียนร๎ู เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก๎ปัญหา รวมทั้งได๎ความร๎ูตามศาสตร์ในสาขาวิชาท่ีตนศึกษาไปพร๎อมกันด๎วย การเรียนร๎ูโดยใช๎ปัญหาเป็นฐานจึง เป็นผลมาจากกระบวนการทาํ งานท่ีตอ๎ งอาศยั ความเขา๎ ใจและการแก๎ไขปัญหาเป็นหลัก ส่ิงสําคัญในการจัดการเรียนร๎ูแบบใช๎ปัญหาเป็นฐานคือปัญหา เพราะปัญหาท่ีดีจะเป็นส่ิงกระตุ๎นให๎ผู๎เรียน เกิดแรงจูงใจใฝุแสวงหาความร๎ูในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู๎สอนจะต๎องคํานึงถึงพื้นฐาน ความร๎ูความสามารถของผู๎เรียน ประสบการณค์ วามสนใจและภมู หิ ลังของผ๎เู รียน เพราะคนเรามีแนวโน๎มท่ี จะสนใจเรอ่ื งใกลต๎ ัวมากกวําเร่ืองไกลตัว สนใจส่ิงท่ีมีความหมายและความสําคัญตํอตนเองและเป็นเร่ืองท่ี ตนเองสนใจใครํร๎ู ดังนั้นการกําหนดปัญหาจึงต๎องคํานึงถึงตัวผ๎ูเรียนเป็นหลักรวมถึงสภาพแวดล๎อม และ แหลํงเรยี นร๎ู ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรยี นทเ่ี อ้ืออาํ นวยตํอการแสวงหาความรูข๎ องผูเ๎ รยี นด๎วย การจัดการเรียนรู๎ในรูปแบบนี้จะเน๎นการสํงเสริมให๎ผู๎เรียนได๎ลงมือปฏิบัติด๎วยตนเอง เผชญิ หน๎ากับปญั หาด๎วยตนเอง เพื่อใหผ๎ ๎ูเรยี นไดฝ๎ ึกทกั ษะในการคดิ หลายรปู แบบ เชนํ การคิดวิจารณญาณ คดิ วเิ คราะห์ คิดสังเคราะห์ คดิ สร๎างสรรค์ เป็นต๎น วตั ถปุ ระสงค์หรือผลลัพธ์ทีค่ าดหวงั จากการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ไดแ๎ กํ 1. ได๎ความรทู๎ ่สี อดคล๎องกับบริบทจรงิ และสามารถนาํ ไปใชไ๎ ด๎ 2. พัฒนาทักษะการคิดอยํางมีวิจารณญาณ การให๎เหตุผล และนําไปสูํการแก๎ปัญหาที่มี ประสทิ ธิผล 3. ผเ๎ู รียนสามารถเรียนรูไ๎ ดด๎ ว๎ ยตวั เองอยํางตํอเนื่อง 4. ผ๎ูเรียนสามารถทํางานและส่ือสารกบั ผูอ๎ น่ื ไดอ๎ ยาํ งมีประสิทธิภาพ 5. สร๎างแรงจูงใจในการเรียนรใู๎ ห๎แกํผ๎ูเรียน 6. ความคงอยูํ (retention) ของความร๎ูจะนานขนึ้ ลักษณะสาคัญของการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 1. ใช๎ปัญหาท่ีสอดคล๎องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระตุ๎นการแก๎ปัญหาและเป็นจุดเร่ิมต๎น ในการแสวงหาความร๎ู ปัญหาทเี่ หมาะสมกับการนาํ มาจัดกจิ กรรมควรมีลกั ษณะดังนี้ 266

- เป็นเร่ืองจริงเกี่ยวข๎องกับชีวิตประจําวันที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ ของผเ๎ู รียนหรือผู๎เรยี นอาจมีโอกาสเผชิญกับปัญหานน้ั - ท๎าทาย กระตุน๎ ความสนใจ อาจต่ืนเต๎นบา๎ ง เปน็ ปญั หาท่ียังไมํมีคําตอบชดั เจนตายตัว เปน็ ปัญหาทม่ี ีความซบั ซ๎อน คลมุ เครอื หรอื ผ๎ูเรยี นเกิดความสบั สน - เป็นปญั หาทีพ่ บบอํ ย มีความสาคัญ มขี อ๎ มูลประกอบเพยี งพอสาหรับการค๎นคว๎าไดฝ๎ ึก ทกั ษะการตดั สนิ ใจโดยข๎อเทจ็ จริง ข๎อมลู ขําวสาร ตรรกะ เหตุผล และตัง้ สมมตฐิ าน - เชื่อมโยงความรู๎เดิมกับข๎อมูลใหมํ สอดคล๎องกับเนื้อหา/แนวคิดของหลักสูตร มีการ สร๎างความรู๎ใหมํ บูรณาการระหวํางบทเรยี น นําไปประยุกต์ใชไ๎ ด๎ - ปญั หาซับซ๎อนทกี่ อํ ให๎เกดิ การทาํ งานกลมํุ รวํ มกัน มีการแบงํ งานกนั ทําโดยเชือ่ มโยงกัน ไมํ แยกสํวน เหมาะสมกับเวลา เกิดแรงจูงใจในการแสวงหาความรใ๎ู หมํ - ชักจูงใหเ๎ กดิ การอภิปรายไดก๎ ว๎างขวาง ปัญหาทเ่ี ปน็ ประเด็นขดั แยง๎ ขอ๎ ถกเถยี งในสังคม ท่ยี งั ไมมํ ขี ๎อยตุ ิ เป็นปลายเปดิ ไมํมีคําตอบท่ีชัดเจน มีหลายทางเลือก/หลายคําตอบ สัมพันธ์กับสิ่งที่เคย เรียนร๎ูมาแล๎ว มขี ๎อพิจารณาที่แตกตําง แสดงความคิดเห็นไดห๎ ลากหลาย - ปัญหาทสี่ รา๎ งความเดอื ดรอ๎ น เสียหาย เกิดโทษภัยเป็นสง่ิ ท่ีไมดํ หี ากใช๎ขอ๎ มลู โดยลาํ พงั คนเดยี วอาจทาํ ให๎ตอบปญั หาผดิ พลาด - ปัญหาทม่ี กี ารยอมรับวําจริง ถกู ต๎อง แตผํ ู๎เรยี นไมํเช่อื จริง ไมสํ อดคล๎องกบั ความคิดของ ผ๎ูเรยี น - ปัญหาที่อาจมีคําตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคําตอบได๎หลายทาง ครอบคลุมการ เรียนรท๎ู ี่กวา๎ งขวางหลากหลายเนื้อหา - ปัญหาทมี่ คี วามยากความงาํ ยเหมาะสมกับพน้ื ฐานของผู๎เรยี น - ปัญหาที่ไมํสามารถหาคําตอบได๎ทันที ต๎องการการสํารวจ ค๎นคว๎าและการรวบรวม ข๎อมลู หรอื ทดลองดูกอํ น ไมสํ ามารถที่จะคาดเดาหรอื ทํานายไดง๎ ํายๆวาํ ต๎องใชค๎ วามรอ๎ู ะไร - ปญั หาทส่ี งํ เสริมความร๎ูดา๎ นเนอื้ หาทักษะ สอดคล๎องกับหลักสตู รการศกึ ษา - ใช๎สื่อหลากหลายรูปแบบในการระบุปัญหา เชํน ข๎อความบรรยาย รูปภาพ วีดีทัศน์ สั้นๆ ขอ๎ มูลจากผลการทดลองในห๎องปฏบิ ัตกิ าร ขาํ ว บทความจากหนงั สือพิมพ์ วารสาร ส่งิ พิมพ์ 2. บรู ณาการเนือ้ หาความรใู๎ นสาขาตํางๆ ท่ีเกีย่ วขอ๎ งกบั ปัญหานน้ั 3. เน๎นกระบวนการคิดอยํางมีเหตุผลและเป็นระบบ 4. เรียนเปน็ กลํุมยอํ ย โดยมีครูหรอื ผ๎ูสอนเป็นผส๎ู นับสนุนและกระตุน๎ ใหผ๎ ๎ูเรียนรวํ มกันสร๎าง บรรยากาศท่ีสํงเสริมการเรียนรใู๎ หเ๎ กิดขึ้นในกลมุํ 5. ผเ๎ู รียนมบี ทบาทสาํ คัญในการเรยี นรู๎ และเรียนโดยการกาํ กบั ตนเอง (Self-directed learning) กลาํ วคอื 267

- สามารถประเมินตนเองและบํงชีค้ วามต๎องการได๎ - จดั ระบบประเด็นการเรยี นรไู๎ ดอ๎ ยํางเที่ยงตรง - ร๎ูจักเลอื กและใชแ๎ หลงํ เรียนร๎ทู เ่ี หมาะสม - เลือกกจิ กรรมการศกึ ษาคน๎ คว๎า แกป๎ ญั หา ท่ตี รงประเดน็ มีประสทิ ธภิ าพ - บํงชข้ี ๎อมลู ทไี่ มํเกี่ยวขอ๎ งได๎ และคัดแยกออกได๎อยํางรวดเรว็ - ประยกุ ตใ์ ช๎ความร๎ูใหมเํ ชงิ วิเคราะห์ได๎ - รจู๎ ักขัน้ ตอนการประเมิน กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ขน้ั ที่ 1 กาหนดปัญหา จดั สถานการณต์ าํ งๆ กระตุ๎นใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดความสนใจ และมองเห็นปัญหา สามารถกําหนดส่งิ ทีเ่ ป็นปัญหาทผี่ เู๎ รยี นอยากร๎ู อยากเรยี นเกดิ ความสนใจท่ีจะคน๎ หาคาํ ตอบ 1. จัดกลุํมผเ๎ู รยี นให๎มีขนาดเลก็ (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2. ใช๎ปัญหาเป็นตัวกระตุ๎นให๎เกิดการเรียนรู๎ โดยลักษณะของปัญหาท่ีนํามาใช๎ ควรมีลักษณะ คลุมเครอื ไมชํ ดั เจน มีวิธีแก๎ไขปัญหาได๎อยํางหลากหลาย อาจมีคําตอบได๎หลายคําตอบ โดยคํานึงถึง การ เชื่อมโยงความรู๎ใหมํเข๎ากับความรู๎เดิม ความซับซ๎อนของปัญหาจ ากงํายไปสํูยาก ระดับและ ประสบการณผ์ ูเ๎ รียน เวลาทก่ี าํ หนดใหผ๎ ๎เู รยี นใช๎ดาํ เนนิ การ และแหลํงค๎นควา๎ ขอ๎ มูล ข้ันที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ปัญหาที่ต๎องการเรียนรู๎ ต๎องสามารถอธิบายส่ิงตํางๆ ที่ เก่ยี วข๎องกับปญั หาได๎ 1. ผู๎เรียนทําความเข๎าใจหรือทําความกระจํางในคําศัพท์ท่ีอยํูในโจทย์ปัญหานั้น เพ่ือให๎ เข๎าใจตรงกัน 2. ผ๎ูเรียนจับประเด็นข๎อมูลที่สําคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์วิเคราะห์ หาข๎อมูลท่ีเป็น ขอ๎ เทจ็ จรงิ ความจรงิ ท่ีปรากฏในโจทย์ แยกแยะขอ๎ มลู ระหวํางข๎อเทจ็ จริงกับข๎อคิดเห็น จับประเด็นปัญหาออกเป็นประเด็นยํอย 3. ผู๎เรียนระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหา อภิปราย แตํละประเด็นปัญหาวําเป็นอยํางไร เกดิ ข้ึนได๎อยํางไร ความเป็นมาอยาํ งไร โดยอาศยั พน้ื ความร๎เู ดมิ เทาํ ท่ผี เ๎ู รยี นมอี ยํู 4. ผู๎เรียนรํวมกันตั้งสมมติฐานเพื่อหาคําตอบปัญหาประเด็นตํางๆ พร๎อมจัดลําดับ ความสาํ คญั ของสมมตฐิ านทเ่ี ปน็ ไปได๎อยํางมีเหตผุ ล 5. จากสมมติฐานท่ีตั้งขน้ึ ผ๎ูเรียนจะประเมนิ วํามีความรูเ๎ รื่องอะไรบ๎าง มีเรื่องอะไรที่ยังไมํรู๎ หรอื ขาด 268

6. ความรู๎ และความรู๎อะไรจําเป็นที่จะต๎องใช๎เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ซ่ึงเช่ือมโยงกับโจทย์ ปัญหาท่ีได๎ ขั้นตอนน้ีกลํุมจะกําหนดประเด็นการเรียนร๎ู หรือวัตถุประสงค์การเรียนร๎ู เพื่อจะไปค๎นควา๎ หาข๎อมลู ตอํ ไป ขน้ั ที่ 3 ดาเนินการศึกษาค้นคว้า ผเู๎ รียนศกึ ษาค๎นควา๎ ดว๎ ยตนเองดว๎ ยวิธกี ารหลากหลาย 4. ผู๎เรียนค๎นคว๎าหาข๎อมูลและศึกษาเพ่ิมเติมจากทรัพยากรการเรียนรู๎ตํางๆ เชํน หนังสือ ตํารา วารสาร สอื่ การเรยี นการสอนตํางๆ การศึกษาในห๎องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ชํวย สอน อินเทอร์เน็ต หรือปรึกษาผ๎ูร๎ูในเนื้อหาเฉพาะ เป็นต๎น พร๎อมท้ังประเมินความ ถกู ต๎องโดย - ประเมินแหลํงข๎อมลู ความถูกตอ๎ ง เชอ่ื ถือได๎ของขอ๎ มูล - เลือกนําความร๎ูท่ีเกี่ยวข๎องมาเช่ือมโยงวําตรงประเด็นเพียงพอที่จะแก๎ปัญหา อยาํ งไร - หาประเดน็ ความร๎ูเพิม่ เตมิ ถ๎าจาํ เปน็ - สรปุ เตรียมสื่อ เลอื กวธิ นี ําเสนอผลงาน ข้ันท่ี 4 สังเคราะห์ความรู้ ผู๎เรยี นนาํ ความร๎ทู ่ไี ดค๎ ๎นควา๎ มาแลกเปล่ยี นเรียนรูร๎ วํ มกัน 1. ผู๎เรียนนําข๎อมูลหรือความรู๎ที่ได๎มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์สมมติฐานและประยุกต์ ใหเ๎ หมาะสมกบั โจทย์ปัญหา พรอ๎ มสรปุ เป็นแนวคดิ หรือหลักการทว่ั ไปโดย - นําเสนอผลงานกลมํุ ด๎วยสื่อหลากหลาย - สะท๎อนความคิด ให๎ข๎อมูลย๎อนกลับ อภิปราย ทําความเข๎าใจ แลกเปล่ียนความ คิดเห็นระหวํางกลํุม ถึงกระบวนการเรียนรู๎ การแก๎ปัญหา การเช่ือมโยง การสร๎าง องค์ความร๎ูใหมํ - สรุปภาพรวมเป็นความร๎ทู ่วั ไป ขน้ั ที่ 5 สรปุ และประเมินคา่ หาคาตอบ 1. ผู๎เรียนแตํละกลํุม สรุปผลงานของกลุํมตนเอง และประเมินผลงานวําข๎อมูลท่ีศึกษา ค๎นคว๎ามีความเหมาะสม หรือไมํเพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลุํมของตนเอง อยาํ งอสิ ระ ทุกกลมุํ ชวํ ยกนั สรปุ องค์ความรู๎ ในภาพรวมของปัญหาอกี ครั้ง 2. ประเมนิ ผลจากสภาพจริง โดยดูจากความสามารถในการปฏบิ ัติ บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 1. ทําหนา๎ ท่ี เป็นผอ๎ู าํ นวยความสะดวก หรอื ผู๎ให๎คาํ ปรึกษาแนะนํา 2. เปน็ ผูก๎ ระต๎ุนให๎เกิดการเรียนรู๎ มิไดเ๎ ป็นผู๎ถาํ ยทอดความร๎ูใหแ๎ กผํ ู๎เรยี นโดยตรง 3. ใชท๎ ักษะการตัง้ คาํ ถามท่ีเหมาะสม 269

4. กระต๎ุนและสํงเสริมกระบวนการกกลํุม ให๎กลุํมดําเนินการตามข้ันตอนของการเรียนร๎ูโดยใช๎ ปัญหาเป็นฐาน 5. สนับสนุนการเรียนร๎ูของผู๎เรียนและเน๎นให๎ผู๎เรียนตระหนักวําการเรียนรู๎เป็นความรับผิดชอบ ของผเู๎ รียน 6. กระต๎ุนให๎ผูเ๎ รียนเอาความรู๎เดิมท่มี อี ยมํู าใช๎อภปิ รายหรือแสดงความคิดเห็น 7. สนับสนุนใหก๎ ลมํุ สามารถตงั้ ประเด็นหรอื วัตถุประสงค์การเรยี นร/ู๎ แก๎ปัญหาไดส๎ อดคล๎องกบั วัตถุประสงคข์ องกจิ กรรมท่ีครกู ําหนด 8. หลีกเลีย่ งการแสดงความคดิ เห็นหรือตดั สนิ วาํ ถกู หรอื ผดิ 9. สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนประเมินการเรียนรู๎ของตนเอง รวมท้ังเป็นผ๎ูประเมินทักษะของผ๎ูเรียนและ กลมุํ พรอ๎ มการใหข๎ อ๎ มูลย๎อนกลบั ขอ้ พึงระมัดระวัง “การสอนโดยใช๎ปัญหาเป็นฐาน” ( Problem-based Learning) ไมํใชํ “การสอนแบบ แก๎ปัญหา” (Problem solving method) ซึ่งเป็นความเข๎าใจคลาดเคลื่อน เชํน สอนเน้ือหาไปบางสํวน กํอน จากน้ันก็ทดลองให๎นักเรียนแก๎ปัญหาเป็นกลํุมยํอย ซึ่งการดําเนินการดังกลําว เป็นวิธีสอนแบบ แกป๎ ัญหาไมใํ ชํการสอนโดยใชป๎ ญั หาเปน็ ฐาน การสอนโดยใช๎ปัญหาเป็นฐานนั้น ใช๎ปัญหาเป็นตัวกระตุ๎นหรือเป็นตัวนําทางให๎ผ๎ูเรียน ไปแสวงหาความรู๎ ความเข๎าใจด๎วยตนเอง เพื่อจะได๎คน๎ พบคาํ ตอบของปัญหาดงั กลําว กระบวนการหาความร๎ูด๎วยตนเองนี้ทํา ให๎ผเู๎ รยี นเกิดทกั ษะในการแกไ๎ ขปญั หา (Problem solving skill) 5.2 การสอนแบบจ๊ิกซอร์ วธิ ีสอนแบบจ๊ิกซอร์ เปน็ รปู แบบการเรียนการสอนท่ีสํงเสริมการเรยี นรแ๎ู บบรํวมมอื รปู แบบหนึ่ง มีวิธีการหลกั ๆ ไดแ๎ กํ การจัดกลํมุ การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคดิ คะแนน และ ระบบการใหร๎ างวัล เพื่อสนองวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ ซง่ึ ใชห๎ ลักการ เรยี นร๎ูแบบรวํ มมือ 5 ประการ และมี วัตถุประสงค์มํงุ ตรงไปในทิศทางเดียวกนั คือเพ่ือชวํ ยให๎ผเู๎ รียนเกดิ การเรยี นรู๎ในเรอื่ งทศ่ี กึ ษาอยาํ งมากที่สดุ โดยอาศยั การรํวมมอื กนั ชํวยเหลอื กัน และแลกเปลยี่ นความร๎ูกันระหวาํ งกลุํมผ๎เู รยี นด๎วยกัน ความ แตกตํางของรปู แบบแตลํ ะรูปแบบจะอยูํทีเ่ ทคนิคในการศึกษาเน้อื หาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการให๎ รางวลั เปน็ ประการสาํ คัญ กรมวิชาการ (2545ข : 119) ได๎ให๎ความหมายของเทคนิค Jigsaw เป็นกิจกรรมท่ี ครูผ๎ูสอนมอบหมายให๎สมาชิกในกลุํมแตํละกลุํมศึกษาเนื้อหาท่ีกําหนดให๎ สมาชิกแตํละคนจะถูกกําหนด โดยกลํุม ให๎ศึกษาเนื้อหาคนละตอนที่แตกตํางกัน ผู๎เรียนจะไปทํางานรํวมกับสมาชิกกลุํมอื่น ๆ ท่ีได๎รับ 270

มอบหมายให๎ศึกษาเนอ้ื หาท่เี หมือนกัน หลงั จากท่ีทุกคนศึกษาเน้ือหานั้นจนเข๎าใจแล๎ว จึงกลับเข๎ากลํุมเดิม แล๎วเลําเรื่องท่ีตนศึกษาให๎สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุํมฟัง โดยเรียงตามลําดับเร่ืองราว เสร็จแล๎วให๎สมาชิกใน กลุํมคนใดคนหน่ึงสรุปเนื้อหาของสมาชิกทุกคนเข๎าด๎วยกัน ครูผู๎สอนอาจเตรียมข๎อสอบเก่ียวกับบทเรียน นัน้ ไว๎ ทดสอบความเขา๎ ใจเน้อื หาทเ่ี รียนในชํวงสุดทา๎ ยของการเรียน ข้นั ตอนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิค Jigsaw นักการศึกษาหลายทํานไดเ๎ สนอข้ันตอนการจัดการเรียนร๎ู โดยใชเ๎ ทคนคิ Jigsaw ไวด๎ งั น้ี สมคิด สร๎อยนํ้า(2542 : 132-133) ได๎นําเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไวด๎ ังนี้ 1. ครูแบํงหัวขอ๎ ทจ่ี ะเรยี นเป็นหวั ข๎อยํอย ๆ ให๎เทํากบั จาํ นวนสมาชิกของแตลํ ะคน 2. จัดกลุํมนักเรียนโดยให๎มีความสามารถคละกันภายในกลํุมเป็น กลุํมบ๎าน (Home group) กลํุมละ 3-4 คน สมาชิกแตํละคนในกลํุมอํานเฉพาะหัวข๎อยํอยท่ีตนได๎รับมอบหมาย เทาํ นั้น 3. นักเรียนท่ีอํานหัวข๎อยํอยเดียวกันมาน่ังด๎วยกันเพื่อทํางานซักถาม และทํากิจกรรมใน กลุํมเช่ียวชาญ (Expert group) 4. นักเรียนแตํละคนในกลํุม Expert group กลับมายังกลํุมเดิม (Home group) ของ ตนเอง แลว๎ ผลดั กันอธิบายให๎เพือ่ นสมาชิกในกลมํุ ฟัง เร่ิมจากหัวข๎อยอํ ยที่ 1 2 3 และ 4 5. ทําการทดสอบ (Quiz) หัวข๎อยํอยที่ 1-4 แกํนักเรียนทุกคนทั้งห๎อง (สอบเดี่ยว) แล๎ว นําคะแนนของสมาชิกแตํละกลมํุ มารวมกนั เปน็ คะแนนกลํุม 6. กลํมุ ที่ไดค๎ ะแนนสงู สดุ ในการสอบคร้ังนี้ จะติดประกาศไวใ๎ นปูายนิเทศของห๎องหรือมุม จดหมายขําวของห๎อง สนอง อินละคร (2544 : 122) ได๎นําเสนอข้ันตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไวด๎ ังนี้ 1. แบงํ นกั เรยี นเป็นกลํุมคละความสามารถ กลํุมละ 4-6 คน แตํละกลํุมประกอบด๎วยคน เกงํ 1 คน ปานกลาง 2-4 คน และอํอน 1 คน แตํละกลํุมเลือกประธาน และเลขานุการกลํุม เรียกวํา กลํุม บา๎ น (Home group) 2. กลุํมบ๎าน (Home group) แตํละกลํมุ มอบหมายภาระงานให๎สมาชิกรบั ผิดชอบดังนี้ คนที่ 1 รับผิดชอบเน้ือหา หรือใบงานหรอื บัตรกิจกรรมท่ี 1 คนท่ี 2 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมท่ี 2 คนท่ี 3 รับผิดชอบเน้ือหา หรอื ใบงานหรือบัตรกิจกรรมท่ี 3 คนท่ี 4 รบั ผดิ ชอบเนือ้ หา หรือใบงานหรือบตั รกจิ กรรมที่ 4 คนท่ี 5 รบั ผดิ ชอบเนอ้ื หา หรอื ใบงานหรอื บตั รกจิ กรรมท่ี 5 271

คนที่ 6 รับผดิ ชอบเนอ้ื หา หรอื ใบงานหรือบตั รกิจกรรมท่ี 6 3. จัดกลํุมเช่ียวชาญ (Expert group) โดยให๎นักเรียนกลํุมบ๎านของแตํละกลํุมท่ี รับผิดชอบเรื่องเดียวกันไปรวมกลํุมใหมํ แล๎วศึกษา ฝึกฝน ทําความเข๎าใจเนื้อหา ทําใบงาน หรือทํา กจิ กรรมรวํ มกันจนมีความเขา๎ ใจในเร่อื งน้ัน ๆ อยํางดี 4. กลับกลุํมบ๎าน (Home group) โดยนักเรียนแตํละคนกลับกลุํมเดิม แล๎วผลัดกัน อธบิ ายใหส๎ มาชิกในกลุํมฟงั เริม่ จากเรอื่ งท่ี 1 2 3 ไปจนครบทุกคน สมาชกิ ในกลุมํ ซักถามจนเป็นทเี่ ขา๎ ใจ 5. แตํละกลมุํ เตรยี มตวั ทดสอบรายบุคคล แลว๎ รวมคะแนน หรอื เฉลย่ี คะแนนเปน็ คะแนน ของกลุมํ 6. มอบรางวัลหรือประกาศเกียรตคิ ณุ แกํกลมํุ ที่ได๎คะแนน รวมหรือคะแนนเฉลีย่ สูงสดุ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 176) ได๎นําเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎เทคนิค Jigsaw ไว๎ดังนี้ 1. ครแู บงํ เนือ้ หาทจ่ี ะเรยี นออกเปน็ หวั ข๎อยอํ ย ๆ ใหเ๎ ทํากับจํานวนสมาชิกกลุํม 2. จัดกลํุมผ๎ูเรียนโดยให๎มีความสามารถคละกันเรียกวํา กลํุมบ๎าน (Home group) แล๎ว มอบหมายให๎สมาชกิ แตํละคนศึกษาหัวข๎อทีต่ ํางกัน 3. ผ๎ูเรยี นท่ีได๎รบั หวั ขอ๎ เดียวกนั จากแตํละกลมุํ มานงั่ ด๎วยกันเพ่ือทํางานและศึกษารวํ มกัน ในหวั ขอ๎ ดงั กลาํ ว เรียกวํา กลมํุ ผู๎เชย่ี วชาญ (Expert group) 4. สมาชิกแตํละคนออกจากลุํมผ๎ูเช่ียวชาญกลับไปกลํุมเดิมของตน ผลัดกันอธิบายเพื่อ ถาํ ยทอดความร๎ทู ่ตี นศกึ ษาให๎เพ่อื นฟงั จนครบทุกหวั ข๎อ 5. ครูทดสอบเนอ้ื หาท่ศี ึกษาแลว๎ ให๎คะแนนรายบุคคล จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนรู๎โดยใช๎เทคนิค Jigsaw แล๎วสรุปข้ันตอนได๎ 6 ขั้นตอนดังนี้ 1. ผุ๎สอนจัดเตรียมเน้ือหาสาระหรือเรื่องท่จี ะให๎ผเู๎ รียนไดเ๎ รยี นรโู๎ ดยแบงํ เนื้อหาหรือหัวข๎อ ท่ีจะเรียนออกเปน็ หวั ขอ๎ ยอํ ยเทาํ กบั จาํ นวนสมาชิกของแตลํ ะกลํุม 2. ผ๎ูสอนจัดแบํงกลุํมผ๎ุเรียนให๎มีสมาชิกท่ีมีความสามารถคละกันเป็นกลุํมบ๎าน (Home group) จํานวนสมาชิกในกลํมุ อาจมี 2-6 คนก็ได๎ 3. ผูส๎ อนแจกเอกสาร อปุ กรณห์ รือสอื่ การเรยี นรใู๎ หก๎ ลํุมละ 1 ชุด หรือให๎สมาชิกคนละ 1 ชดุ กไ็ ด๎ (ทกุ กลํุมจะศึกษาในเร่ืองเดียวกัน) มอบหมายให๎สมาชิกในกลุํมแตํละคนรับผิดชอบศึกษา ค๎นคว๎าเพียงคนละ 1 สํวน 4. สมาชิกทาํ หนา๎ ท่ีผู๎เชยี่ วชาญแตํละคนแยกย๎ายจากกลํมุ บ๎าน ไปจับกลํุมใหมํเพอ่ื 272

ทําการศึกษาเอกสารหรือค๎นคว๎าเพ่ิมเติมในสํวนท่ีตนเองได๎รับมอบหมาย โดยสมาชิกที่ได๎รับ มอบหมายให๎ศึกษาหัวข๎อยํอยเดียวกัน จะไปนั่งรวมกลํุมกัน กลํุมละ 3-6 คน หรือตามจํานวนท่ี ผู๎สอนกําหนด อําน ศึกษา หรือค๎นคว๎า สรุปเน้ือหาสาระ จัดลําดับขั้นตอนการนําเสนอ และ เตรยี มนําไปสอนหรือให๎ความรแ๎ู กํสมาชิกในกลุมํ บ๎าน 5. ผ๎ูเช่ียวชาญของแตลํ ะกลุํมกลบั กลุํมเดมิ ของตนแล๎วผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกนั อธิบาย ให๎ความร๎ูสมาชิกในกลุํมทีละคนจนครบ มีการซักถามข๎อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวน ให๎เกิดความ เขา๎ ใจอยํางชัดเจน 6. ผ๎ูสอนใหผ๎ ู๎เรยี นแตลํ ะคนทาํ การทดสอบเกย่ี วกบั เน้ือหาความรู๎ที่ครอบคลมุ ทุกหัวข๎อท่ีเรยี นรู๎ แล๎วนาํ คะแนนของสมาชกิ แตลํ ะคนในกลมํุ มารวมกันเปน็ คะแนนของกลมุํ มอบรางวลั หรือคาํ ช่นื ชมกลุมํ ทีม่ คี ะแนนรวมสงู สดุ ทิศนา แขมมณี (2545, 2547, 2548, 2550, 2551) ได๎กลําวถงึ กระบวนการเรียนการ สอนของรปู แบบจ๊กิ ซอร์ มีกระบวนการดงั น้ี 1. จัดผเู๎ รียนเข๎ากลุมํ คละความสามารถ ( เกํง-กลาง-ออํ น ) กลุํมละ 4 คนและเรียก กลมํุ นวี้ ํา กลมุํ บ๎านของเรา (Home Group) 2. สมาชกิ ในกลมํุ บ๎านของเราไดร๎ ับมอบหมายให๎ศึกษาเนอ้ื หาสาระคนละ 1 สํวน (เปรยี บเสมือนได๎ชิน้ สํวนของภาพตัดตอํ คนละ 1 ชน้ิ ) และหาคาํ ตอบในประเดน็ ปัญหาที่ผสู๎ อน มอบหมายให๎ 3. สมาชกิ ในกลุํมบ๎านของเรา แยกยา๎ ยไปรวมกับสมาชิกกลํุมอื่นซึง่ ไดร๎ บั เนื้อหาเดียวกนั ต้ังเป็นกลมํุ ผู๎เช่ยี วชาญ (expert group) ข้ึนมา และรวํ มกันทําความเข๎าใจในเนื้อหาสาระน้นั อยํางละเอยี ด และรวํ มกนั อภิปรายหาคาํ ตอบประเด็นทผ่ี ๎ูสอนมอบหมายให๎ 4. สมาชิกกลุมํ ผูเ๎ ชี่ยวชาญ กลบั ไปสกูํ ลํุมบ๎านของเรา แตํละกลมํุ ชวํ ยสอนเพื่อนในกลมุํ ใหเ๎ ข๎าใจสาระท่ตี นไดศ๎ ึกษารํวมกับกลุํมผเู๎ ชยี่ วชาญเชํนน้ี สมาชกิ ทกุ คนกจ็ ะไดเ๎ รยี นร๎ูภาพรวมของ สาระทง้ั หมด 5. ผูเ๎ รียนทุกคนทาํ แบบทดสอบ แตลํ ะคนจะไดค๎ ะแนนเป็นรายบคุ คล และนาํ คะแนน ของทกุ คนในกลุํมบ๎านของเรามารวมกนั (หรอื หาคําเฉลีย่ ) เปน็ คะแนนกลุํม กลํุมที่ได๎คะแนน สงู สดุ ไดร๎ ับรางวัล เอกสารอ้างองิ ทศิ นา แขมมณี . (2550). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามร๎เู พอ่ื การจัดกระบวนการเรียนร๎ูท่มี ี ประสทิ ธิภาพ. พมิ พค์ รัง้ ที่ 5 (ฉบบั ปรับปรงุ ). กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . 273

. (2551). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามรู๎เพ่ือการจดั กระบวนการเรียนร๎ทู ่ีมี ประสิทธิภาพ. พมิ พ์ครัง้ ที่ 7 (ฉบบั พมิ พ์เพิม่ เติม). กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . 5.14 การสอนแบบศนู ย์การเรยี น (Learning Center) การสอนโดยการใช๎ศูนย์การเรียนเป็นเทคนิคการสอนท่ีเน๎นการเรียนเป็นกลํุมยํอย ให๎ ผู๎เรยี นมคี วามรับผิดชอบในการเรียนรวํ มกนั ผเ๎ู รียนจะเกดิ การเรยี นรดู๎ ๎วยตนเอง ศูนยก์ ารเรียนแตํละศูนย์ก็ จะมเี นอื้ หาและบทเรยี นท่แี ตกตํางกนั ไป โดยจะมกี ารแบงํ กลํมุ เพื่อปฏิบัติกจิ กรรมของแตํละศูนย์การเรียน เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนมีโอกาสได๎เข๎ารํวมกิจกรรมการเรียนโดยท่ัวถึง ทําให๎ผ๎ูมีโอกาสหาคําตอบโดยตนเองและ สามารถรํวมงานกับเพ่ือนๆ ได๎ โดยท่ัวไปแล๎วเมื่อมีการแบํงกลํุมผู๎เรียนแล๎วจะมีการตั้งประธานกลํุมและ เลขานุการประจํากลํุมไว๎สําหรับประสานงานและติดตํอกันระหวํางผ๎ูเรียนกับสมาชิกในกลุํม (ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์, 2530 : 58) เพ่ือให๎เกิดความเข๎าใจเกี่ยวกับวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนมากยิ่งข้ึน ในบทนี้กลําวถึง ความหมาย จุดมํุงหมาย องค์ประกอบของการเรียนการสอน ลักษณะสําคัญของการเรียนการสอน ขั้นตอนการเรียนการเรียนการสอน และข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน พร๎อมด๎วย สรปุ ท๎ายบทและกิจกรรมและคําถามทา๎ ยบทดว๎ ย ทิศนา แขมมณี (2550 : 374) กลําวถึงวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน คือกระบวนการใน การสอนใหผ๎ เ๎ู รยี นบรรลวุ ตั ถุประสงค์ทกี่ ําหนด โดยผสู๎ อนใหผ๎ เู๎ รียนศึกษาหาความรู๎ด๎วยตนเองจากศูนย์การ เรียนหรือมุมความรู๎ ซ่ึงผ๎ูสอนได๎จัดเตรียมเน้ือหาสาระและกิจกรรมที่ใช๎สื่อการสอนหลายๆ อยํางประสม กันเอาไว๎ให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ด๎วยตนเอง ปกติศูนย์การเรียนจะมีหลายศูนย์จะมีเนื้อหาสาระเบ็ดเสร็จใน ตัวเอง ผู๎เรียนจะหมุนเวียนกันเข๎าศูนย์ตํางๆ จนครบทุกศูนย์โดยมีศูนย์สํารองไว๎สําหรับผู๎เรียนที่เรียนท่ี เรยี นรูไ๎ ดเ๎ รว็ และทํากิจกรรมเสร็จกํอนคนอื่นๆ ผ๎ูสอนทําหน๎าที่เป็นผู๎จัดเตรียมศูนย์การเรียน ให๎คําแนะนํา ชวํ ยอํานวยความสะดวกในการเรียนรแ๎ู กผํ เ๎ู รียน และประเมินผลการเรียนรูข๎ องผเ๎ู รยี น ไสว ฟักขาว (2544 : 126) อธิบายวํา วิธีสอนแบบศูนย์การเรียนเป็นวิธีจัดการเรียนการ สอนที่ให๎ผเ๎ู รยี นแบํงเป็นกลํุมๆ แล๎วรํวมกันศึกษาและทํากิจกรรมในการศึกษาหาความรู๎ด๎วยตนเองโดยแตํ ละกลุํมจะหมนุ เวยี นไปตามศูนยก์ จิ กรรมทคี่ รูไดจ๎ ัดเตรียมไว๎จนครบทุกศูนย์กิจกรรม โดยทั่วไปจํานวนกลุํม ของผ๎ูเรยี นจะเทาํ กับจาํ นวนของศนู ย์กิจกรรมทีจ่ ัดเตรียมไว๎ กรมวิชาการ (2527 : 214) อ๎างใน อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 165) กลําววํา ศูนย์การ เรียนเป็นวธิ กี ารสอนที่เน๎นความสาํ คัญของนกั เรียนหรือยดึ นกั เรียนเปน็ ศูนย์กลางและใช๎เทคนิคการจัดการ เรียนการสอนท่ีใช๎สื่อประสม (Multi Media Approach) และกระบวนการกลุํม (Group Process) เป็นสงิ่ สําคัญ เพอ่ื สงํ เสริมใหก๎ ารเรียนการสอนมีชวี ิตชีวา ผูเ๎ รียนจะเกิดการเรียนร๎แู ละพัฒนาสติปัญญาจาก 274

การกระทํากิจกรรม และการศึกษาด๎วยตนเอง โดยแตํละศูนย์มีชุดการสอนให๎นักเรียนแตํละกลํุมได๎ หมนุ เวยี นเรยี นจนครบทุกศูนย์ สามารถ คงสะอาด (2535 : 47-48) กลําววํา การสอนแบบศูนย์การเรียน หมายถึง การ จัดการเรยี นท่เี นน๎ กิจกรรมการเรยี นโดยใชส๎ อื่ การสอนท่เี รียกวําชุดการเรียน โดยการแบํงนักเรียนออกเป็น กลํมุ ยํอย เป็นการเปิดโอกาสให๎ผเ๎ู รียนไดศ๎ ึกษาหาความร๎ูด๎วยตนเอง ด๎วยการปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีกําหนด ไว๎ในแตํละชุดการสอน โดยผู๎เรียนจะต๎องผลดั เปลี่ยนหมนุ เวยี นกันทาํ กิจกรรมจนครบทุกศนู ย์ จากท่ีนักวิชาการได๎กลําวถึงวิธีสอนแบบศูนย์การเรียน จึงสรุปได๎วํา การสอนแบบศูนย์ การเรยี น หมายถงึ การจัดการเรยี นการสอนทแี่ บํงใหน๎ ักเรียนแบํงเป็นกลํุมยํอย โดยเน๎นกิจกรรมการเรียน ส่ือการเรียนการสอนที่เป็นชุดการสอน เปิดโอกาสให๎ผู๎เรียนศึกษาหาความร๎ูด๎วยตนเองตามกิจกรรมที่ กําหนดไว๎ โดยแตํละกลุํมจะต๎องหมุนเวียนเรียนจนครบทุกศูนย์ และครูจะเป็นผู๎คอยให๎คําแนะนํา ชํวยเหลือในการสอนพรอ๎ มการสรปุ และประเมนิ ผลการเรยี นรข๎ู องผ๎เู รยี น จดุ มงุ่ หมายของวิธสี อนโดยใช้ศูนย์การเรยี น วิธีสอนโดยใชศ๎ นู ยก์ ารเรียน นับวาํ เป็นการทีด่ มี ปี ระสิทธภิ าพวธิ ีหนึ่ง ซึง่ มจี ดุ มํุงหมาย ของการสอนไวด๎ ังนี้ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 374) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน เป็นวิธีการที่มุํงชํวย ใหผ๎ ๎ูเรยี นไดศ๎ กึ ษาค๎นคว๎าและเรียนรดู๎ ว๎ ยตนเอง อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 165) อธิบายความมุํงหมายของการสอนแบบศูนย์การเรียน ดงั น้ี 1. เพื่อสํงเสรมิ ให๎ผ๎ูเรียนแสวงหาความรูด๎ ๎วยตนเอง 2. เพอื่ ฝึกการทาํ งานเปน็ กลมุํ รจู๎ กั เคารพสทิ ธแิ ละความคดิ เห็นของผอู๎ ื่น 3. เพื่อฝึกความรับผิดชอบ และการทํากิจกรรมตามความถนัด ความสนใจ และ ความสามารถของตนเอง และ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) ได๎เสนอแนะความมํุงหมายของการสอนโดนใช๎ศูนย์ การเรยี น ไว๎วํา 1. เพอื่ ฝกึ นักเรียนทํางานเป็นหมํู 2. เพอ่ื ฝึกใหเ๎ ปน็ ผนู๎ าํ และผตู๎ ามท่ีดี 3. เพื่อฝกึ ปฏิบัติตนภายในกรอบกฎเกณฑท์ ่ีกําหนดไว๎ 4. เพ่อื ฝกึ รบั ผดิ ชอบตอํ ตนเองและหมํคู ณะ สรุปได๎วํา วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนมีจุดมุํงหมายสําคัญคือ มํุงให๎ผู๎เรียนค๎นคว๎าหา ความรด๎ู ว๎ ยตนเอง ฝึกใหผ๎ ๎ูเรียนทาํ งานเป็นกลุํม มคี วามรบั ผดิ ชอบและสามารถปฏบิ ัตงิ านภายในกรอบตาม กฎเกณฑท์ ่ีกําหนดไวไ๎ ด๎ 275

ลักษณะสําคญั ของวิธีสอนโดยใชศ๎ นู ยก์ ารเรียน วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน (Learning Center) เป็นนวัตกรรมท่ีเน๎นกิจกรรมการเรียน ของผู๎เรยี น โดยแบงํ บทเรียนออกเป็น 4-6 กลุํม แตํละกลุํมจะมีส่ือการเรียนท่ีจัดไว๎ในซองหรือในกลํองวาง บนโต๏ะ เป็นศูนยก์ ิจกรรม ซ่ึงจะมีกิจกรรม เนื้อหาสาระการเรียนและวัสดุอุปกรณ์แตกตํางกัน ในการสอน วิธีน้ีจะแบํงผู๎เรียนออกเป็นกลํุมตามจํานวนศูนย์กิจกรรม แตํละกลุํมมีจํานวน 6-8 คน หมุนเวียนกัน ประกอบกิจกรรมตามศูนย์ตาํ งๆ ซง่ึ จะใช๎เวลาแหงํ ละ 15-20 นาที จนกวาํ จะครบทกุ ศนู ย์ ตัวอยํางของการ จดั หอ๎ งเรยี นแบบศูนย์การเรยี นแสดงไว๎ในภาพ (บุญชม ศรีสะอาด, 2541 : 101) วิธีสอน โดยใช๎ศูนย์ การเ รียนเป็ นนวัต กรรมที่อาศัยพื้นฐา นทฤษ ฎีการ ใช๎สื่อประส ม (Multimedia) และกระบวนการกลํุม (Group Process) เป็นการนําบูรณการใช๎สื่อการสอนชนิดตํางๆ และกลุมํ กจิ กรรมเพ่อื สํงเสรมิ ให๎เกดิ การเรยี นรู๎อยาํ งมีประสทิ ธิภาพ และ ไสว ฟักขาว (2544 : 127) กลําวถึงลักษณะสําคัญของวิธีสอนแบบศูนย์การเรียน ไว๎ดังนี้ 1. ฝึกใหผ๎ ๎เู รยี นเรยี นรูด๎ ว๎ ยตนเอง 2. เปิดโอกาสให๎ผ๎เู รียนไดเ๎ รียนตามความสามารถท่แี ตกตํางกนั ในอตั ราตาํ งกนั 3. ฝกึ การเรียนรู๎รํวมกนั รวํ มมือกันในการทํากิจกรรม นอกจากนี้ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53-54) กลําวถึงลักษณะสําคัญของวิธีสอนแบบ ศนู ยก์ ารเรยี นคือ ให๎นักเรยี นไดล๎ งมอื ทํากิจกรรมและศกึ ษาดว๎ ยตนเองมากขึ้น รู๎จักแสดงความคิดเห็น รู๎จัก ตดั สนิ ใจ มีความรับผดิ ชอบและรจ๎ู ักรวํ มมือ การสอนแบบน้เี ป็นการนําเนื้อหาในบทเรียนมาแบํงเป็นสํวนๆ เพื่อให๎นักเรียนได๎เรียนร๎ูทีละหนํวย ซึ่งถือวําเป็นการจัดบรรยากาศการเรียนรู๎ให๎เป็นไปอยํางมี ประสทิ ธภิ าพ อันหมายถงึ สิ่งตํอไปน้ี 1. เปน็ การจัดการเรียนการสอนให๎เดก็ ไดเ๎ รียนรด๎ู ๎วยตนเอง 2. เป็นวิธกี ารทีท่ าํ ให๎นกั เรียนมโี อกาสเรียนรู๎ไปทีละนอ๎ ยตามความเหมาะสม 3. ครใู หค๎ าํ ปรึกษาและแนะนํา 4.ครูจัดเตรียมเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอนตลอดจนการวัดผลให๎ พร๎อมมูล เพ่ือจะใช๎สอนแบบศูนย์การเรียน ซ่ึงจะเป็นปัจจัยให๎การเรียนร๎ูมีประสิทธิภาพตาม วตั ถุประสงค์ 5. นักเรียนจะทราบผลการเรียนทันทีหลังจากท่ีเรียนจบศูนย์ ถ๎าเป็นผลแหํงความพึง พอใจก็จะเกิดความมีกาํ ลงั ใจ แตํถ๎าเป็นผลทยี่ ังไมพํ อใจก็จะปรบั ปรงุ ให๎ดีขึน้ 6. เปน็ การเรียนที่ไมกํ ํอใหเ๎ กดิ ความเบ่อื หนํายเพราะเด็กตอ๎ งเรยี นรแ๎ู ขงํ กับเวลา องคป์ ระกอบของวิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรยี น 276

อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 166-167) กลําวถึง ศูนย์การเรียนมีองค์ประกอบที่สําคัญ 4 ประการ คอื บทบาทของผูส๎ อน บทบาทของผเ๎ู รยี น ชุดการสอน การจัดห๎องเรียน ซึ่งสาระสําคัญของแตํ ละองคป์ ระกอบ มดี งั น้ี 1. บทบาทของผู้สอน การสอนแบบศูนย์การเรียน แม๎วําผ๎ูสอนได๎ลดบทบาทในการ สอนลงไปมากแล๎วก็ตาม แตํการสอนแบบศูนย์การเรียนจุขาดประสิทธิภาพไปถ๎าขาดผู๎สอนบทบาทของ ผูส๎ อนในการสอนแบบศนู ยก์ ารเรียน มีดงั นี้ 1.1 เป็นผู๎กาํ กับการเรยี นรู๎ 1.2 เปน็ ผ๎ูประสานงานกิจกรรมการเรียน 1.3 บนั ทกึ การพฒั นาของผเ๎ู รียนแตลํ ะคน 1.4 เป็นผู๎เตรียมกิจกรรมและสื่อสารสอนเพิ่มเติม เพ่ือให๎สอดคล๎องกับสภาพที่ เปล่ียนแปลงไป 2. บทบาทของผู้เรียน เน่ืองจากผ๎ูเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ดังน้ันจึงมีความสําคัญ มากบทบาทท่ีถูกต๎องของผ๎ูเรียนจะทําให๎การสอนแบบศูนย์การเรียนมีประสิทธิภาพ และมีผลลัพธ์ที่นํา พอใจ บทบาทและหนา๎ ทข่ี องผเู๎ รียน มดี ังน้ี 2.1 ทําความเข๎าใจเกยี่ วกบั ขอ๎ ปฏบิ ตั ใิ นการเรียนแบบศนู ย์การเรียน 2.2 ปฏิบตั ิกจิ กรรมตามคาํ ส่งั ทไี่ ดร๎ ับจากศูนย์การเรยี นแตลํ ะศูนยอ์ ยํางเครํงครัด ศกึ ษาใหค๎ รบทุกศนู ย์กิจกรรม 2.3 ใหค๎ วามรํวมมือกับกลํุมในการประกอบกจิ กรรม รวมทั้งการเป็นผนู๎ าํ หรือผู๎ ตามทด่ี ีดว๎ ย 3. ชุดการสอน ในการสอนแบบศูนย์การเรียน ชุดการสอนถือวําเป็นองค์ประกอบท่ี สําคัญ ชุดการสอนจะเสนอเนื้อหาสาระในรูปของส่ือประสม ซ่ึงประกอบด๎วยวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการ ชุด การสอนแตํละชุดจะประกอบดว๎ ย 3.1 คมํู อื ครู 3.2 แบบฝกึ ปฏิบัติสําหรับผ๎ูเรียน 3.3 สือ่ สาํ หรบั ศูนย์กจิ กรรม 3.4 แบบทดสอบสําหรบั การประเมินผล 4. การจัดห้องเรียน การจัดห๎องเรียนแบบศูนย์การเรียน จัดแบํงเป็นกลุํมๆ ตามกลุํม กจิ กรรมทร่ี ะบไุ ว๎ในชุดการสอน การจัดกลุํมกจิ กรรมอาจแยกได๎เป็น 2 ประเภท คอื 4.1 จดั เป็นกลํมุ สําหรับให๎ผ๎เู รียนประกอบกิจกรรมตามปกติ โดยวิธีดังกลาํ วก็ อาจจดั งํายๆ โดยการจัดโต๏ะเกา๎ อ้ี 4-6 ตวั มารวมกันเป็นกลุํมเรยี กวาํ ศูนย์กจิ กรรม โดยนยิ มจดั ไว๎กลางหอ๎ ง 277

4.2 จดั กลุํมตามความสนใจ จัดตามกลมุํ วชิ าโดยจดั โตะ๏ และเก๎าอ้เี ปน็ กลมุํ ๆ วางเขา๎ ชิดผนงั นอกจากนน้ั ผ๎ูสอนอาจตกแตงํ หอ๎ งเรียนเพ่ือเสริมบรรยากาศของการเรียนรู๎ เชํน มีปูายนิเทศ มีรปู ภาพติดทีผ่ นังหอ๎ ง เป็นตน๎ ทิศนา แขมมณี (2550 : 374 ) เสนอองค์ประกอบสําคัญของวิธีการสอนแบบศูนย์การ เรยี นดงั น้ี 1. มีผสู๎ อนและผูเ๎ รียน 2. มีชดุ การเรียนการสอน ซ่ึงประกอบด๎วยเนื้อหาสาระ บัตรคําสั่งในการทํากิจกรรม วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ และส่ือท่ีจําเป็นสําหรับทํากิจกรรม รวมทั้งแบบวัดและประเมินผลการ เรยี นร๎ู 3. มีศูนย์การเรียนหรือมุมความร๎ูหรือสถานที่สําหรับกลํุมผ๎ูเรียนในการศึกษาและ กิจกรรมตํางๆ ตามท่ีระบุไว๎ในบัตรคําส่ังผ๎ูเรียนศึกษาและทํากิจกรรมตามศูนย์ตํางๆ รํวมกันเป็น กลํุม หรือเป็นรายบุคคล จนครบทุกศูนย์หรือครบทุกเน้ือหาผ๎ูเรียนมีผลการเรียนรู๎ที่เกิดจากการ ทํากจิ กรรมตาํ งๆ ในศูนย์ ไสว ฟกั ขาว (2544 : 126) อธบิ ายถงึ องค์ประกอบในศูนยก์ จิ กรรม ประกอบไปดว๎ ย 1. ชุดการสอน ที่มีหนังสือสําหรับค๎นคว๎า รูปภาพแบบทดสอบและบัตรคําสั่งที่จะ ชแี้ จงแนวทางในการทํากจิ กรรมในแตํละศนู ย์ 2. วัสดุ อปุ กรณใ์ นการเรยี น 3. เครอื่ งมือ องค์ประกอบของชุดการสอน สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) กลําวถึงสํวนประกอบของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน ประกอบไปดว๎ ย 1. คูํมือครู ซ่ึงจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดมํุงหมายเชิงพฤติกรรม เน้ือหาผลงานท่ี คาดหลังจากนักเรียน สื่อการเรียน หนังสือประกอบการค๎นคว๎าสําหรับครู แนวการประเมินผล ขัน้ การดําเนนิ การสอน 2. แบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรยี น 3. บัตรตํางๆ ที่ใช๎ในการประกอบกิจกรรม ได๎แกํ บัตรคําสั่ง บัตรเน้ือหา บัตร กิจกรรม บตั รคําถาม และบัตรเฉลย 4. ส่อื การเรียนการสอนทีเ่ ลอื กแลว๎ มคี วามเหมาะสมในดา๎ นตํางๆ ประเภทของชดุ การสอน 278

สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 53) กลําวถึงประเภทของชุดการสอนในการสอนแบบศูนย์การ เรยี นไวด๎ ังน้ี 1. ชุดการสอนแบบเรียนด๎วยตนเอง หรือชุดการสอนรายบุคคล ซึ่งประกอบด๎วย บทเรยี นโปรแกรม แบบประเมนิ ผล และอุปกรณก์ ารเรียน 2. ชุดการสอนแบบเรียนเป็นกลํุมยํอย ซ่ึงจัดประสบการณ์ตํางๆ ท่ีนักเรียนจะต๎อง ประกอบกิจกรรมเปน็ หมคํู ณะ ตามบตั รคาํ สั่ง โดยจัดแบบศนู ย์การเรยี น 3. ชุดการสอนประกอบการบรรยายของครู เป็นกลํองกิจกรรมสําหรับชํวยครูในการ สอนกลมํุ ใหญํ ใหน๎ กั เรียนไดป๎ ระสบการณ์ทีพ่ ร๎อมๆ กัน ตามเวลาที่กาํ หนด บทบาทของผ้เู รยี น ไสว ฟักขาว (2544 :127) อธบิ ายถงึ บทบาทของผ๎ูเรยี นวําจะตอ๎ งประกอบไปดว๎ ย 1. ทําความเขา๎ ในวิธีการเรียนแบบศนู ยก์ ารเรียน 2. ปฏิบัตกิ ิจกรรมตามบตั รคําส่ังในแตํละศูนย์ 3. รํวมมือกันทํากิจกรรมโดยปฏิบตั ิตนเป็นผูน๎ ําและผตู๎ ามท่ดี ี ขน้ั ตอนการสร้างชุดการสอนโดยใช้ศนู ยก์ ารเรียน ขัน้ ตอนของการสรา๎ งชดุ การสอนแบบศนู ย์การเรียนสรปุ ไดด๎ ังนี้ (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 : 167) 1. เลือกเรอื่ งที่จะสอน แลว๎ แบงํ เปน็ หวั เรื่องยอํ ยประมาณ 4-6 หัวเร่อื ง 2. กาํ หนดมโนทัศน์หรือความคดิ รวบยอดของแตลํ ะหัวเร่อื ง 3. กาํ หนดจดุ มงุํ หมายเชิงพฤติกรรม 4. กาํ หนดกิจกรรมการเรียนโดยให๎สอดคลอ๎ งกบั หวั เร่ืองของชุดการสอน 5. กําหนดสื่อการสอน สื่อการสอนท่ีจะใช๎ควรเป็นสื่อที่มีราคาถูกและสามารถ ผลิตเองได๎ เชํน บัตรคําส่ัง บัตรเนื้อหา บัตรคํา บัตรคําถาม บัตรภาพ กระดาษคําตอบเกมตํางๆ บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นต๎น 6. เตรียมข๎อสอบท่ีจะใชท๎ ดสอบกํอนเรียนและหลงั เรียน ออกขอ๎ สอบใหส๎ ามารถวดั 7. ได๎ตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมทก่ี าํ หนดไว๎ ควรเปน็ ข๎อสอบแบบปรนัย ข้ันตอนการสอนโดยใช้ศนู ย์การเรยี น บุญชม ศรีสะอาด (2541 :102-103) ขั้นตอนในการสอนแบบศูนย์การเรียนแบํงเป็น 5 ขน้ั คอื ข้ันประเมนิ ผลกอํ นเรยี น ขัน้ นําเข๎าสบูํ ทเรยี น ขนั้ ประกอบกิจกรรมการเรียน ขั้นสรุปบทเรียน และ ข้ันประเมนิ ผลการเรยี น มรี ายละเอียดดงั น้ี 279

1. ขั้นประเมินผลกํอนเรียน ข้ันแรกจะทําการทดสอบเพื่อวัดวําผู๎เรียนมีความรู๎ความ เขา๎ ใจในเร่อื งทีจ่ ะเรยี นอยํูกํอนแลว๎ มากน๎อยเพยี งใด โดยอาจใชเ๎ วลาทดสอบประมาณ 5-10 นาที ผู๎สอนจะ ตรวจใหค๎ ะแนนเกบ็ ไว๎ 2. ขั้นนาํ เข๎าสํูบทเรียน ผู๎สอนจะใช๎เวลาประมาณ 5-10 นาที เพื่อดึงดูดความสนใจของ ผ๎ูเรียนตํอบทเรียน โดยอาจใช๎วิธีเลํานิทาน เลํนเกม ใช๎โสตทัศนูปกรณ์ เชํน ภาพยนตร์ วีดีโอ สไลด์ รูปภาพเปน็ ตน๎ หลงั จากน้นั กจ็ ะอธบิ ายให๎ทราบถงึ วิธเี รยี น 3. ข้นั ประกอบกจิ กรรมการเรียน แบํงผ๎ูเรียนออกเป็นกลุํมตามจํานวนของศูนย์กิจกรรม แตํละกลํุมอาจคละกันระหวํางคนเกํงและคนอํอนหรือให๎ผู๎เรียนเลือกกลํุมกันเอง ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์ กิจกรรม อํานบัตรคําส่ังและปฏิบัติกิจกรรมตามลําดับขั้น หมุนเวียนกันจนครบทุกศูนย์ทั้งน้ีอาจมีศูนย์ สาํ รองสาํ หรับกลุมํ ทที่ ํากจิ กรรมเสร็จกํอนกําหนด 4. ขั้นสรุปบทเรียน หลังจากท่ีผู๎เรียนปฏิบัติกิจกรรมครบทุกศูนย์แล๎ว ผู๎สอนจะสรุป บทเรียนเพ่อื ใหเ๎ กดิ ความเข๎าใจกระจํางชัดยง่ิ ขึ้น 5. ข้ันประเมินผลการเรียน ผ๎ูสอนจะให๎ผ๎ูเรียนทําแบบทดสอบเพ่ือวัดผลการเรียน ซ่ึง เปน็ แบบทดสอบชุดเดียวกับที่ให๎ทํากํอนเรียน นําคะแนนการสอบกํอนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ กันเพอ่ื ทราบความก๎าวหนา๎ ในการเรียน ทิศนา แขมมณี (2550 : 375) เสนอข้ันตอนสําคัญของการสอนแบบศูนย์การเรียน ไว๎ดังน้ี 1. ผู๎สอนจดั เตรียมชุดการเรยี นการสอนและจดั ศนู ย์การเรียน 2. ผู๎สอนให๎คําชี้แจงและคําแนะนาํ แก๎ผเู๎ รียนในการเรยี นร๎ูโดยใชศ๎ ูนย์การเรยี น 3. ผ๎เู รียนทาํ แบบสอบกํอนเรยี น 4. ผูเ๎ รียนศึกษาและทาํ กิจกรรมตามบตั รคาํ สง่ั ในศนู ย์ตาํ งๆ รวํ มกนั เป็นกลุมํ หรือ 5. เป็นรายบคุ คล จนครบทุกศูนยห์ รือครบทกุ เนือ้ หา 6. ผสู๎ อนประเมินผลการเรียนรขู๎ องผู๎เรียน นอกจากนี้ ไสว ฟักขาว (2544 :127) ยังได๎เสนอข้ันตอนการสอนแบบศูนย์การเรียน วํา ประกอบไปด๎วย 1. ขัน้ ประเมินผลกอํ นเรียน เป็นการทดสอบความร๎ูพน้ื ฐานเกย่ี วกับเร่อื งที่จะเรียน อาจ ใชเ๎ วลา 5-10 นาที 2. ข้ันนําเข๎าสํูบทเรียน ครูนําเข๎าสํูเรื่องที่จะเรียนโดยการเลํา การใช๎รูปภาพ การถาม พร๎อมทั้งอธบิ ายวธิ ีการเรยี นแบบศนู ย์การเรียน 3. ขั้นทํากิจกรรม แบํงผู๎เรียนเป็นกลุํม แตํละกลุํมควรคละคนท่ีเกํง ปานกลาง และอํอน แล๎วให๎ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์กิจกรรม จากนั้นปฏิบัติกิจกรรมตามบัตรคําส่ัง เมื่อจบศูนย์หน่ึงก็ให๎เปลี่ยน 280

ศูนย์ หมุนเวียนจนครบทุกศูนย์ กลํุมใดทํากิจกรรมเสร็จกํอนกําหนดเวลา ก็ให๎เข๎าไปศึกษาท่ีศูนย์สํารอง กอํ น 4. ขน้ั สรปุ บทเรียน ครูและผูเ๎ รียนรวํ มกนั สรปุ บทเรียนเพ่อื ให๎เกิดความเข๎าใจทีช่ ัดเจน 5. ขั้นประเมนิ ผล ครจู ะทาํ การทดสอบความร๎ูของผูเ๎ รียน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 648) กลําวถึงลําดับขั้นของการสอนแบบศูนย์การเรียนวํา อาจแบงํ เปน็ 3 ขนั้ คอื 1. ขน้ั นําเข๎าสํบู ทเรียน ครูจะต๎องเปน็ ผน๎ู ําเข๎าสํบู ทเรียน โดยบอกถงึ เนือ้ หาตาํ งๆ ของ การเรียน และจะต๎องใช๎สิ่งประกอบการนําเข๎าสูํบทเรียน เพ่ือให๎นักเรียนเกิดความสนใจในสิ่งท่ีจะเรียน นอกจากน้ีจะต๎องทําการทดสอบนักเรียน ซึ่งนับเป็นการทดสอบกํอนเรียน แล๎วให๎นักเรียนแบํงกลํุม ประกอบกจิ กรรม 2. ขั้นประกอบกจิ กรรม ผูเ๎ สนอจะกําหนดใหแ๎ ตลํ ะกลํมุ ประกอบกิจกรรมกลํุมละ 15 - 20 นาที เมื่อประกอบกิจกรรมเสร็จแล๎ว อาจมีการเขียนรายงานผลลงในกระดาษคําตอบและตอบคําถาม จากบตั รคําถามลงในแบบฝึกปฏิบัติทุกศูนย์ เม่ือเสร็จจากศูนย์กิจกรรมหน่ึงก็จะเวียนไปตามศูนย์กิจกรรม อนื่ ๆ จนครบทกุ กลมุํ หากกลมุํ ใดประกอบกิจกรรมเสรจ็ กอํ นกลุํมอื่นก็จะไปปฏบิ ัตกิ จิ กรรมที่ศนู ย์สาํ รอง 3. ขน้ั สรปุ บทเรียนและการประเมินผล เมื่อประกอบกิจกรรมเสร็จแล๎วจะต๎องมีการสรุป บทเรียนอีกคร้ังหนึ่ง โดยการใช๎สื่อการสอนตํางๆ หรือจะให๎นักเรียนประกอบกิจกรรมรํวมกันทั้งช้ัน เชํน ให๎แตํละกลุํมสํงตัวแทนออกมารายงานหรือกําหนดกิจกรรมอื่นตามความเหมาะสมแล๎วจึงให๎นักเรียนทํา แบบทดสอบ ซึง่ เรียกวํา การทดสอบหลงั เรียน อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 167-169) เสนอข้ันตอนการสอนการสอนแบบศูนย์การเรียน วาํ มขี ้ันตอนการสอน 5 ขั้นตอน ดงั นี้ 1. ขั้นทดสอบกอํ นเรยี น การทดสอบกอํ นเรียนเป็นการวดั พ้นื ฐานความร๎ูเดิมของผเู๎ รียน วํามีความเข๎าใจในเร่ืองที่จะเรียนอยํางไร การทดสอบกํอนเรียนนี้ใช๎เวลาไมํมากนักเพียง 5-10 นาที เทํานนั้ เมอ่ื ผ๎เู รียนทําแบบทดสอบเสร็จแล๎ว ผส๎ู อนจะตรวจและให๎คะแนนไว๎ 2. ขัน้ นาํ เขา๎ สูบํ ทเรยี น การนาํ เขา๎ สบํู ทเรยี นเพอ่ื ดึงดดู ความสนใจของผ๎เู รียนท่จี ะมีตํอ บทเรียน กิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือนําเข๎าสูํบทเรียนน้ันใช๎เวลาไมํมากนักเชํนกัน อาจเพียง 10-15 นาที เชํน การนําเขา๎ สบํู ทเรียนโดยการเลํานิทาน ถ๎าเป็นกลุํมผ๎ูเรียนที่เป็นเด็กเล็กเพื่อเร๎าความสนใจ หรือ เปน็ การเลํนเกม แสดงบทบาทสมมตุ ิอาจใชส๎ อ่ื ประกอบเปน็ ตน๎ วํา รูปภาพ แผนภูมิ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 3. ขน้ั ประกอบกจิ กรรมการเรียน โดยเรมิ่ ต๎น ดงั นี้ 1.1 การแบงํ กลมํุ ผ๎เู รยี น การให๎ผ๎เู รียนประกอบกจิ กรรมการเรียนการสอน ผูส๎ อนจะแบํงกลุํมกจิ กรรมออกเป็น 5-6 กลุํม โดยมวี ิธแี บํงได๎หลายแบบ เปน็ ต๎นวาํ แบงํ ตาม 281

ความเหมาะสม คอื คละกนั ระหวาํ งเดก็ เรียนเกงํ เดก็ ปานกลาง และเดก็ เรียนออํ น หรอื ใหผ๎ ูเ๎ รยี น เลือกกลมุํ เองก็ได๎ 1.2 เม่อื แบํงกลมํุ แล๎ว ผเ๎ู รียนจะอาํ นบัตรคาํ สง่ั และปฏิบัตกิ ิจกรรมตามลําดบั ขัน้ แตลํ ะกลมํุ จะใช๎เวลา 15-20 นาที เมอื่ ประกอบกจิ กรรมตามที่มอบหมายแลว๎ กเ็ ตรียมเปล่ียนกลํุม ปฏิบตั กิ ิจกรรมตํอไป การเปล่ียนกลํุมกิจกรรม ผู๎สอนจะให๎ผู๎เรียนเปลี่ยนกลํุมเพื่อให๎ทุกคนได๎ ประกอบ กิจกรรมทกุ อยาํ งจนครบถ๎วน 4. ขนั้ สรุปบทเรยี น เม่อื ผูเ๎ รียนได๎ประกอบกจิ กรรมครบทกุ ศูนยแ์ ลว๎ ผ๎ูสอนจะต๎องสรปุ บทเรยี นอีกคร้งั เพอื่ ใหผ๎ ๎เู รยี นเข๎าใจกระจาํ งชัดย่ิงขน้ึ 5. ข้นั ประเมนิ ผลการเรียน ผูส๎ อนจะใหผ๎ ู๎เรียนทําแบบทดสอบหลงั เรียน ซ่งึ จะดวู าํ ผู๎ เรยี นมคี วามก๎าวหนา๎ ในการเรยี นเพียงใด กลําวคือ เรียนรู๎มากขึ้นกวําเดิมเทําใด โดยนําไปเปรียบเทียบกับ คะแนนที่ได๎จากการทําแบบทดสอบกํอนเรียน สําหรับกิจกรรมที่ผ๎ูเรียนได๎ทําไปแล๎วน้ัน ผ๎ูสอนควร ประเมินผลและใหค๎ ะแนนด๎วยเพ่อื ดวู าํ การเรียนร๎ูของผเ๎ู รยี นมีประสทิ ธภิ าพเพยี งใด ขนั้ ตอนวิธีสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น สรปุ ได๎ดงั น้ี สเ่ี หลีย่ มผนื ผา๎ มมุ มน: 1. ขั้นทดสอบกอํ นเรยี น ส่เี หลีย่ มผืนผ๎ามมุ มน: 2. ขั้นนําเข๎าสบูํ ทเรยี น สเี่ หล่ยี มผืนผา๎ มุมมน: 3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรยี น ส่เี หล่ียมผนื ผา๎ มุมมน: 4. ข้ันสรปุ บทเรยี น ส่เี หลี่ยมผืนผา๎ มุมมน: 5. ขั้นประเมนิ ผลการเรียน สรปุ ไดว๎ ํา ขน้ั ตอนการสอนโดยใช๎ศนู ยก์ ารเรียน มี 5 ข้นั ตอน ดังน้ี 1. ขั้นทดสอบกํอนเรียน ผ๎ูสอนประเมินผ๎ูเรียนกํอนการให๎การสอบ เพื่อทดสอบวํา ผเู๎ รียนมีความร๎ูในเรอื่ งท่จี ะสอนหรอื ไมํ 2. ขน้ั นําเข๎าสบํู ทเรยี น ผส๎ู อนกระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ู เกิดความสนใจอยากท่ีจะ เรียนรู๎ อาจใชเ๎ วลาประมาณ 10-15 นาที 3. ขน้ั ประกอบกจิ กรรมการเรียน แบํงผู๎เรยี นออกเป็นกลํมุ ตามจาํ นวนของศนู ย์กจิ กรรม 282

ผู๎เรียนเข๎าประจําศูนย์กิจกรรม อํานบัตรคําส่ังและปฏิบัติกิจกรรมตามลําดับขั้น หมุนเวียนกันจนครบทุก ศนู ยท์ ้ังนอ้ี าจมีศนู ยส์ าํ รองสาํ หรบั กลุํมที่ทาํ กิจกรรมเสร็จกํอนกาํ หนด 4. ข้ันสรุปบทเรียน หลังจากท่ีผู๎เรียนปฏิบัติกิจกรรมครบทุกศูนย์แล๎ว ผ๎ูสอนจะสรุป บทเรยี นเพ่ือใหเ๎ กิดความเขา๎ ใจกระจาํ งชัดย่ิงขึ้น 5. ข้ันประเมินผลการเรียน ผู๎สอนจะให๎ผู๎เรียนทําแบบทดสอบเพ่ือวัดผลการเรียน ซ่ึง เป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับที่ให๎ทํากํอนเรียน นําคะแนนการสอบกํอนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ กนั เพอ่ื ทราบความก๎าวหน๎าในการเรยี น เทคนิคและข๎อเสนอแนะตํางๆ ในการใช๎วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 375-376) 1. การเตรียมการ ในการสอนดว๎ ยวธิ นี ้ี ผส๎ู อนจําเป็นตอ๎ งมีการจัดเตรียมชุดการ เรียนการสอนให๎พร๎อม โดยผ๎ูสอนจะนําเนื้อหาสาระและประสบการณ์ที่ต๎องการให๎ ผ๎เู รยี นได๎เรยี นรม๎ู าจัดแบํงออกเป็นหนํวย หรอื เรื่องสําหรับศูนย์ และกําหนดจุดมํุงหมาย เนื้อหาสาระ และกิจกรรมการเรยี นรท๎ู ผี่ ู๎เรียนสามารถเรียนร๎ูด๎วยตนเอง ชุดการเรียนการ สอนโดยทั่วไป มักประกอบด๎วย จุดมํงหมาย แบบสอบกํอนเรียนและหลังเรียน เนื้อหา สาระบตั รคําสัง่ ใหป๎ ฏิบตั ิกิจกรรมตาํ งๆ พรอ๎ มท้งั แบบฝึกหัด แบบสอบหลังเรียน เอกสาร และวัสดุตํางๆ ที่จําเป็น เชํน คํูมือ คําชี้แจง บัตรคําถาม บัตรเฉลยคําตอบ เป็นต๎น นอกจากน้ันอาจมีส่ือการเรียน เชํน แผนท่ี ภาพ รวมท้ังเคร่ืองมือ หรืออุปกรณ์ท่ี จําเป็นต๎องใช๎ในการทํากิจกรรม เชํน เคร่ืองเลํนเทป ม๎วนเทป วีดีโอเทป สไลด์ ภาพยนตร์ เปน็ ต๎น การสรา๎ งชุดการเรียนการสอนสาํ หรับศนู ยก์ ารเรยี นนัน้ ครสู ามารถจดั ทําขึน้ โดย ใช๎หลกั การเชํนเดยี วกบั การทําแผนกการสอนตามปกติ แตแํ ทนทคี่ รจู ะเปน็ ผูด๎ ําเนนิ กจิ กรรมการ สอน ครูจะตอ๎ งจัดเนื้อหาสาระและคิดกจิ กรรมท่ีผ๎ูเรยี นสามารถเรยี นร๎ูไดด๎ ๎วยตนเอง โดยครูให๎ คําแนะนาํ และคาํ ชแ้ี จงไวใ๎ นบตั รคาํ สงั่ รวมทั้งจดั เตรยี มส่อื ตํางๆ ท่ีจะชํวยใหผ๎ ูเ๎ รยี นสามารถเรียนรู๎ ได๎ ตลอดจนจดั ทําแบบสอบกอํ นเรยี นและหลังเรียนสําหรับการประเมนิ ผลการเรยี นร๎ูของผ๎ูเรียน ดว๎ ย โดยทว่ั ไปชุดการเรยี นการสอนมี 3 ชนิด คือ (1) ชดุ การเรียนการสอนรายบคุ คล เป็นชดุ การ เรยี นการสอนทีผ่ ู๎เรียนสามารถเรียนรูไ๎ ด๎ดว๎ ยตนเอง ซ่งึ ผู๎เรียนอาจนาํ ไปเรยี นท่บี ๎านกไ็ ด๎ เมื่อเรยี น จบและสามารถทําแบบสอบได๎ในระดับทก่ี าํ หนดไวแ๎ ล๎วผูเ๎ รยี นจะสามารถเรยี นชดุ การเรียนการ สอนตํอไปได๎ (2) ชุดการเรียนการสอนสาํ หรบั กจิ กรรมกลมุํ เป็นชุดการเรยี นการสอนทผี่ เู๎ รยี น หลายคน (กลํุมยํอยประมาณ 4-8 คน) สามารถเรียนร๎รู วํ มกนั ได๎ โดยครจู ะจัดสอื่ และวสั ดตุ ํางๆ เตรียมไวอ๎ ยํางพอเพียงสําหรบั กลุํม (3) ชดุ การเรยี นการสอนประกอบการบรรยาย เปน็ ชดุ การ เรียนการสอนท่มี กี ิจกรรมและสอ่ื ท่คี รสู ามารถใชป๎ ระกอบการบรรยาย เปน็ การชํวยใหค๎ รพู ูด 283

นอ๎ ยลง และผ๎ูเรียนมโี อกาสทาํ กจิ กรรมมากข้ึน นอกจากการจัดทําชุดการเรียนการสอนแล๎ว กํอนสอนผู๎สอนจะต๎องจัดสถานที่ สาํ หรบั ผเ๎ู รียนไว๎ใหพ๎ รอ๎ ม โดยทวั่ ไปวธิ ีท่สี ะดวกสําหรบั ครกู ค็ อื จัดโตะ๏ และเก๎าอเี้ ป็นกลุํมยํอย และ จัดวางชุดการเรียนการสอนพร๎อมท้ังวัสดุและสื่อตํางๆ ไว๎ให๎พร๎อม ปกติศูนย์การเรียนจะมีหลาย ศูนย์ โดยแตํละศูนย์จะมีเน้ือหาสาระเบ็ดเสร็จในตัวเอง และจะมีศูนย์สํารองไว๎ 1 ศูนย์ เพื่อให๎ ผู๎เรียนท่ีสามารถเรียนรู๎ได๎เร็วกวําเพื่อนๆ มาทํากิจกรรมเสริมในระหวํางรอเพื่อท่ียังทําไมํเสร็จ การจัดศูนย์แตํละศูนย์ควรจัดให๎หํางกันพอสมควร เพื่อจะได๎ไมํรบกวนกันและควรจะจัดชํอง ทางเดินระหวาํ งศูนยใ์ ห๎สามารถเดนิ ได๎สะดวก เพื่อเวลาสบั เปลยี่ นกลมุํ จะไดไ๎ มยํ งุํ ยากสบั สน 2. การดาํ เนินการเรียนการสอน เริ่มต๎นครจู ําเป็นต๎องช้ีแจงและให๎คําแนะนําแกํ ผู๎เรียนในการเรียน โดยเฉพาะผ๎ูเรียนท่ียังไมํเคยได๎เรียนรู๎โดยใช๎ศูนย์การเรียนมากํอนหลังจากท่ี แนํใจวํา ผ๎ูเรียนเข๎าใจและพร๎อมแล๎ว จึงให๎ลงมือทํากิจกรรมตํางๆ ตามที่ปรากฏอยํูในบัตรคําสั่ง โดยหมุนเวียนกันเข๎าศูนย์การเรียนท่ีมีอยํูจนครบทุกศูนย์ และทําแบบสอบประเมินผลการเรียนรู๎ ของตน ครทู ําหน๎าทีด่ ูแล ให๎คําแนะนําและความชํวยเหลือแกํผู๎เรียนในการทํากิจกรรมตํางๆ และ ประเมินผลการเรยี นรขู๎ องผเู๎ รยี น 3. การวัดและประเมินผลการเรียนร๎ู ของผู๎เรียนด๎วยวิธีนี้ สํวนใหญํจะเป็นการ ประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ และมักใช๎วิธีการตํางๆ ที่หลากหลาย เชํน การใช๎แบบสอบกํอนเรียน และหลังเรียน การตรวจสอบจากผลงานท่ีผู๎เรียนทํา การดูพัฒนาการหรือความก๎าวหน๎าในการ เรียนรแู๎ ละการใหผ๎ เ๎ู รียนประเมินตนเอง หรือให๎เพ่อื นๆ รวํ มกนั ประเมินด๎วยเป็นต๎น จุดเดน่ ของวธิ สี อนโดยใชศ้ ูนย์การเรียน จดุ เดนํ ของวธิ ีสอนโดยใชศ๎ ูนยก์ ารเรียน ได๎มีนกั วิชาการได๎เสนอไว๎หลายทําน ดังน้ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 376) กลําวถึงจุดเดํนของการเรียนการสอนโดยใช๎ศูนย์การ เรียนไว๎ ดงั นี้ 1. เป็นวิธสี อนที่ชวํ ยให๎ผเ๎ู รียนสามารถเรยี นร๎ไู ด๎ดว๎ ยตนเอง 2. เปน็ วิธีสอนทีช่ ํวยใหผ๎ ู๎เรยี นเกิดความกระตือรอื รน๎ ในการเรยี นรู๎ 3. เปน็ วิธสี อนทช่ี วํ ยให๎ผเ๎ู รยี นทราบผลการเรียนรท๎ู ันทีท่ีเรียนจบ 4. เป็นวธิ ีสอนที่ชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนสามารถเรียนรู๎เป็นรายบคุ คลและเป็นกลํมุ ยํอยได๎ อาภรณ์ ใจเทยี่ ง (2550 : 169) กลาํ วถึง จดุ เดนํ ของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน ดังนี้ 1. สงํ เสริมให๎ผู๎เรยี นเรียนตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเองทําให๎ ผ๎เู รยี นมีโอกาสพัฒนาการเรียนรูข๎ องตนเองตามอัตภาพ 2. สํงเสริมความเปน็ ผ๎ใู ฝุรขู๎ องผเู๎ รียน เปิดโอกาสให๎แสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเองแทนการ 284

เรียนจากผสู๎ อนเพยี งอยาํ งเดียว 3. สํงเสรมิ ความรบั ผิดชอบในการเรียนของผ๎ูเรยี นแตลํ ะกลุํม 4. สงํ เสริมความเช่ือม่นั ในการเรยี นรู๎ของผู๎เรยี น เพราะผู๎เรียนจะเรยี นรด๎ู ว๎ ยตนเอง 5. สํงเสรมิ การทาํ งานรวํ มกนั เป็นกลุํม สรา๎ งความสามัคคี โดยเปดิ โอกาสให๎ กลํุมท่รี ํวมปฏิบตั ิกจิ กรรมในศูนยเ์ ดียวกนั มกี ารชํวยเหลอื รวํ มมือดําเนินกิจกรรมการเรียนรํวมกัน เชํน เด็ก เกงํ ชํวยเหลือเด็กออํ น เปน็ ตน๎ 6. ชํวยลดปัญหาการขาดแคลนผส๎ู อน เพราะผู๎สอนมีบทบาทในการสอนนอ๎ ยลงมาก 7. สามารถใช๎ได๎กับกลมํุ ผเ๎ู รียนจาํ นวนมาก สุพิน บญุ ชวู งศ์ (2544 : 57) กลาํ วถงึ จุดเดํนของการสอนแบบศนู ย์การเรียน ดังน้ี 1. สํงเสริมให๎นักเรียนรูจ๎ ักแสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเอง 2. ฝึกใหน๎ กั เรยี นร๎ูจักการทาํ งานเป็นหมูํคณะ 3. สงํ เสรมิ ใหน๎ กั เรียนรจ๎ู กั แสดงความคิดเหน็ และวิพากษว์ ิจารณ์ นอกจากนี้ สามารถ คงสะอาด (2535 : 50) กลําวถึง จุดเดํนของการสอนโดยใช๎ศูนย์การ เรยี นมีดงั นี้ 1. สํงเสริมใหผ๎ เู๎ รยี นไดศ๎ ึกษาหาความร๎ูด๎วยตนเอง 2. สํงเสรมิ การทาํ งานรวํ มกนั เป็นกลมํุ 3. สํงเสริมใหน๎ ักเรียนไดแ๎ สดงออกซง่ึ ความคดิ เห็นรูจ๎ กั คดิ รู๎จักวจิ ารณ์ อยํางมีเหตุผล 4. สงํ เสรมิ ความมีวนิ ยั และความรบั ผดิ ชองรวํ มกนั 5. ชํวยใหบ๎ ทเรยี นนําสนใจและบรรยากาศในการเรยี นดีขึ้น และ บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 103) กลําวถึง จุดเดํนของการสอนแบบศูนย์การเรียน วาํ มีประโยชนด์ งั นี้ 1. การสอนแบบศูนย์การเรียนมขี อ๎ ดดี ังน้ี 2. สํงเสรมิ ความรบั ผดิ ชอบในการเรยี นของผเ๎ู รยี น 3. สํงเสรมิ การทาํ งานรํวมกนั เป็นกลํมุ 4. ผเ๎ู รียนกล๎าแสดงออก บรรยากาศในการเรยี นไมเํ ครํงเครียด 5. ผู๎เรียนสามารถนําส่อื การเรยี นมาทบทวนไดต๎ ามตอ๎ งการ 6. ผู๎เรยี นมโี อกาสศึกษาจากสอ่ื หลายประเภท จากที่นักวิชาการหลายทํานได๎กลําวถึงจุดเดํนของการสอนโดยศูนย์การเรียน สรุปประเด็นที่ นําสนใจได๎ ดงั นี้ 1. ผ๎ูเรยี นสามารถเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง สํงเสรมิ การใฝุร๎ู 2. ผูเ๎ รยี นเกิดความกระตือรือร๎นในการเรียน 285

3. เปน็ การเรยี นทที่ ําใหผ๎ ูเ๎ รียนทราบผลทนั ที 4. สงํ เสริมความรบั ผิดชอบให๎กบั ผเู๎ รยี น 5. ชํวยลดปัญหาการขาดแคลนครู 6. เป็นการเรยี นทสี่ ามารถใช๎กบั กลมุํ ผเ๎ู รียนจํานวนมากได๎ 7. สํงเสรมิ ใหผ๎ ๎ูเรยี นมสี วํ นรวํ มในการทํางานกลํมุ ข้อจากดั ของการสอนโดยศูนยก์ ารเรยี น ทิศนา แขมมณี (2550 : 376) กลําววํา การสอนโดยศูนย์การเรียนเป็นวิธีสอนท่ีผู๎สอน ต๎องใช๎เวลาในการเตรียมการมาก กลําวคือ ต๎องจัดเตรียมชุดการเรียนการสอน จัดวัสดุอุปกรณ์และ สถานท่ีให๎พรอ๎ มกอํ นสอนเปน็ วิธสี อนทีต่ อ๎ งใชส๎ อื่ และวสั ดตุ ํางๆ จาํ นวนมาก ใชง๎ บประมาณมาก อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 169) กลําวถึง ข๎อจํากัดของการสอนแบบศูนย์การเรียน วํา ผ๎ูสอนต๎องมีความรู๎ความเข๎าใจ และมีทักษะในการจัดทําชุดการสอนการให๎กลํุมผู๎เรียนหมุนเวียนกันเรียน ในแตํละศูนย์ อาจไมเํ ปน็ ไปตามลําดับขั้นของหลักสตู ร สุพิน บญุ ชูวงศ์ (2544 : 57) กลาํ ววาํ ขอ๎ จาํ กดั ของการสอนโดยใชศ๎ นู ย์การเรยี น คือ 1. ต๎องเสยี คาํ ใช๎จาํ ย และเสยี เวลาในการสร๎างชุดการสอน 2. ความร๎ทู ี่ไดจ๎ ากชดุ การสอนอยใูํ นวงจาํ กัด 3. ไมํเหมาะกับเนอ้ื หาบางวิชา เชํน วชิ าทป่ี ฏบิ ตั ิแล๎วอาจเกิดอนั ตราย เชนํ การทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ สามารถ คงสะอาด (2535 : 50) กลําวถึง ข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนไว๎ ดังนี้ 1. การผลติ ชุดการสอนจะต๎องใชเ๎ วลาและเสยี คําใช๎จาํ ยมาก 2. ชุดการสอนมีขอบเขตจํากัด ไมํสามารคลมุ เนื้อหาไดห๎ มด 3. การผลติ ชุดการสอนทม่ี ีประสทิ ธิภาพ ครสู ํวนใหญยํ งั ทาํ ไดย๎ าก สรปุ ขอ๎ จํากัดของการสอนโดยใช๎ศูนยก์ ารเรยี นท่นี าํ สนใจไดด๎ ังน้ี 1. ต๎องใชส๎ ่อื การสอนเปน็ จาํ นวนมาก ทําให๎ใชง๎ บประมาณมาก 2. ผ๎สู อนจะตอ๎ งมกี ารเตรยี มตัว เตรียมสอื่ การสอนเปน็ อยํางดี 3. ในการหมุนเวยี นไปศูนยต์ ํางๆ อาจเกดิ ความวุนํ วายได๎ 4. ผูเ๎ รยี นได๎ความร๎ใู นวงจาํ กดั 5. เปน็ การสอนท่ีไมเํ หมาะสมกับเนือ้ หาบางวชิ า เชํน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ตน๎ กลําวโดยสรุปวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีครูจัด ผ๎ูเรียนออกเป็นกลํมุ ยอํ ย โดยให๎ผู๎เรียนศึกษาเน้ือหาจากบทเรียนท่ีผ๎ูสอนได๎จัดเตรียมไว๎ให๎ด๎วยตนเอง โดย เน๎นกิจกรรมการเรียนสื่อการเรียนการสอนที่เป็นชุดการสอน เปิดโอกาสให๎ผู๎เรียนศึกษาหาความร๎ูด๎วย 286

ตนเองตามกิจกรรมท่ีกําหนดไว๎ โดยแตํละกลุํมจะต๎องหมุนเวียนเรียนจนครบทุกศูนย์ ซ่ึงการสอนโดยใช๎ ศนู ย์การเรยี นมีจุดมํงุ หมายสําคญั คือ มุํงให๎ผ๎เู รยี นค๎นคว๎าหาความร๎ดู ๎วยตนเอง ฝกึ ให๎ผเ๎ู รยี นทาํ งานเป็นกลุํม มีความรบั ผิดชอบและสามารถปฏิบตั ิงานภายในกรอบตามกฎเกณฑท์ ่ีกําหนดไว๎ได๎ สาํ หรับองค์ประกอบของวิธีสอนโดยใช๎ศนู ยก์ ารเรยี นมี 4 ประการดว๎ ยกนั คือ 1. บทบาท ของผู๎สอน โดยผสู๎ อนจะตอ๎ งมกี ารกาํ กบั งาน ประสานกิจกรรม พร๎อมด๎วยการบันทึกการพัฒนาของผ๎ูเรียน ตามความจริง 2. บทบาทของผ๎ูเรยี น ซง่ึ ผู๎เรียนจะต๎องเขา๎ ใจการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามที่ผ๎ูสอนได๎ให๎คําแนะนํา ไว๎และต๎องให๎ความรํวมมือในการเรียนการสอนเป็นอยํางดี 3.ชุดการสอน ประกอบไปด๎วยชุดคํูมือครู แบบฝึกปฏิบัติสําหรับผู๎เรียน ส่ือการสอนสําหรับทุกศูนย์พร๎อมด๎วยแบบทดสอบของผู๎เรียนทั้งกํอนและ หลังเรียน โดยทั่วไปชดุ การสอนมี 3 ชนิด คือ 1) ชุดการเรียนการสอนรายบุคคล 2) ชุดการเรียนการสอน สําหรับกิจกรรมกลุํม และ 3) ชุดการเรียนการสอนประกอบการบรรยาย และการจัดห๎องเรียน เป็น สํวนประกอบสาํ คญั ซึง่ ผ๎สู อนสามารถจดั ไดต๎ ามความสะดวกและตามความสนใจของผู๎เรยี น ในสวํ นของขัน้ ตอนการเรยี นการสอนโดยใช๎ศนู ย์การเรยี นแบงํ เป็น 5 ขั้นตอน คือ 1. ข้ันประเมินกํอนเรียน โดยผู๎สอนทําการทดสอบความร๎ูพ้ืนฐานของผู๎เรียนกํอนการ เรียน ใชเ๎ วลาประมาณ 5-10 นาที 2. ข้นั นาํ เข๎าสูํบทเรียน ผู๎สอนใช๎การเลํา อธิบายบทเรียน หรือใช๎คําถามเพ่ือดึงดูดความ สนใจ 3. ขัน้ กิจกรรม ผูส๎ อนกาํ หนดผ๎ูเรยี นเป็นกลํมุ เพ่ือประจําศูนยก์ ารเรียนแตํละกลุํม ผ๎ูเรียน ปฏบิ ัติตามคาํ สง่ั ท่ีผเู๎ รยี นกําหนดไว๎ โดยใหผ๎ ๎ูเรียนหมุนเวียนจนครบทุกศูนย์ แตํถ๎ากลุํมใดเสร็จกํอนก็ให๎เข๎า ประจาํ กลมุํ สาํ รอง 4. ขนั้ สรปุ เปน็ ขน้ั ท่ีผู๎สอนสรุปบทเรียนท้งั หมดหลังจากทผี่ ๎เู รียนเรยี นจนครบทกุ ศูนย์ 5. ขั้นประเมินผล ผ๎ูสอนทดสอบผ๎ูเรียนหลังการเรียนร๎ู เพื่อเปรียบเทียบคะแนน กอํ นหลัง สง่ิ สาํ คัญทส่ี ดุ ในการเรยี นวิธีสอนโดยใช๎ศูนยก์ ารเรียน คือ ผ๎ูสอนจะต๎องเป็นผ๎ูที่จัดเตรียม ชดุ การสอนใหพ๎ ร๎อม ในการสอนผ๎ูสอนก็จะต๎องช้ีแจงและให๎คําแนะนําแกํผ๎ูเรียน จัดสถานที่สําหรับผู๎เรียน ให๎พร๎อม อีกท้ังยังต๎องให๎คําแนะนําชํวยเหลือผู๎เรียนในขณะสอน และประเมินผลการเรียนของผ๎ูเรียนท้ัง กํอนและหลังเรียนด๎วย ซ่ึงจะเห็นได๎วําผู๎สอนจะต๎องมีความพร๎อม ความรู๎ และความถนัดในการสอน พอสมควร เพอื่ ใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ การเรียนรูม๎ ากท่ีสดุ ถึงแม๎วําวิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนจะมีความยุํงยากในการเรียน เพราะผ๎ูสอนจะต๎อง ชี้แจงรายละเอยี ดใหผ๎ ูเ๎ รยี นทราบอยาํ งถํองแท๎เสียกอํ น แตกํ ็ยงั ข๎อดหี ลายประการคอื ผเู๎ รยี นสามารถเรียนร๎ู ได๎ดว๎ ยตนเอง สงํ เสรมิ การใฝุรู๎ ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการทํางานกลํุม สํงเสริมความรับผิดชอบให๎ผู๎เรียนเกิด ความกระตือรือร๎นในการเรียน สามารถทราบผลการเรียนได๎ทันที อีกทั้งชํวยลดปัญหาการขาดแคลนครู 287

และเป็นการเรียนท่ีสามารถใช๎กับกลํุมผู๎เรียนจํานวนมากได๎ แตํการสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียนก็มีข๎อจํากัด อีกเชนํ กัน คอื เปน็ การเรียนท่ตี ๎องใชส๎ ื่อการสอนทใี่ ช๎งบประมาณมาก ผู๎สอนจะต๎องมีการเตรียมตัว เตรียม ส่อื การสอนเป็นอยาํ งดี ซึ่งบางครงั้ อาจเกดิ ความวํนุ วายในการหมนุ เวียนไปศูนย์ตํางๆ ได๎ ผู๎เรียนได๎ความรู๎ ในวงจํากัด และเปน็ อาจไมํเหมาะสมกับเนอื้ หาบางวิชา เชํน การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ต๎น คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและจุดมุํงหมายของ “วิธีสอนโดยใช๎ศูนย์การเรียน” ตามความ คิดเหน็ ของทําน 2. ลักษณะสําคญั ของวธิ ีสอนโดยใชศ๎ ูนยก์ ารเรียนมีอะไรบ๎าง 3. วธิ สี อนโดยใช๎ศูนยก์ ารเรยี นจะตอ๎ งมีองคป์ ระกอบทส่ี าํ คัญอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 4. วธิ สี อนโดยใชศ๎ ูนยก์ ารเรยี นมกี ่ขี ั้นตอน อะไรบ๎าง จงอธบิ าย 5. จงอธิบายข๎อดีและขอ๎ จํากัดของวิธีสอนโดยใช๎ศนู ย์การเรยี น มาพอสงั เขป 6. ให๎ทาํ นทดลองฝึกสอนโดยใชศ๎ นู ย์การเรียนแลว๎ ใหเ๎ พอื่ นหรือผู๎เชี่ยวชาญใหค๎ าํ ติชม หรืออาจ บนั ทึกวดี ที ัศนไ์ วว๎ เิ คราะหก์ ารสอนของตนเองกไ็ ด๎ 5.15 วธิ ีสอนโดยใชเ้ กม (Game Method) ปัจจุบนั การจดั การเรียนการสอนสํวนใหญํได๎เน๎นให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎ด๎วยตนเองมาก ทีส่ ุด หรอื จดั การเรียนการสอนท่ีให๎ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการเรียนน้ันๆ ด๎วย เพราะเม่ือผู๎เรียนมีสํวนรํวมใน การเรยี นแลว๎ จะทาํ ให๎ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจ จดจาํ ไมเํ พียงแตํจะไดค๎ วามรู๎และผลสัมฤทธ์ิที่สูงข้ึนเทํานั้น แตํผ๎ูเรียน ยังจะได๎รับความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด๎วย การสอนโดยใช๎เกมจึงเป็นอีกวิธีหน่ึงท่ีจะทําให๎ผู๎เรียน สนกุ สนานในการเรียนและทําใหผ๎ เ๎ู รยี นเข๎าใจเน้อื หาจากบทเรยี นได๎ดีย่ิงขน้ึ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 365) อธิบายวํา วิธีสอนโดยใช๎เกม คือ กระบวนการท่ีผ๎ูสอนใช๎ ในการชํวยให๎ผู๎เรยี นเกดิ การเรยี นร๎ูตามวัตถปุ ระสงค์ที่กําหนด โดยการให๎ผู๎เรียนเลํนเกมตามกติกา และนํา เนื้อหาและข๎อมูลของเกม พฤติกรรมการเลํน วิธีการเลํน และผลการเลํนเกมของผ๎ูเรียนมาใช๎ในการ อภิปรายเพ่อื สรปุ การเรยี นร๎ู วตั ถุประสงคข์ องวิธสี อนโดยใช้เกม วธิ สี อนโดยใช๎เกมเป็นวิธีการที่ชํวยให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎เร่ืองตํางๆ อยํางสนุกสนานและท๎า ทายความสามารถ โดยผ๎ูเรียนเป็นผู๎เลํนเอง ทําให๎ได๎รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให๎ ผ๎ูเรยี นมีสํวนรวํ มสูง (ทศิ นา แขมมณี, 2550 : 365) องค์ประกอบของวิธีสอนโดยใช้เกม ทิศนา แขมมณี (2550 : 365) อธบิ ายองคป์ ระกอบของวธิ ีการสอนโดยใช๎เกม ดงั นี้ 288

1. มีผส๎ู อนและผู๎เรยี น 2. มีเกม และกติกาการเลํน 3. มกี ารเลนํ เกมตามกตกิ า 4. มีการอภิปรายเก่ียวกับผลการเลํน วิธีการเลํน และพฤติกรรมการเลํนของผู๎เลํน หลังการเลนํ 5. มีผลการเรียนรขู๎ องผเู๎ รียน ขั้นตอนสาคัญของการสอนโดยใชเ้ กม ทิศนา แขมมณี (2550 : 365) กลําวถงึ ขน้ั ตอนสําคัญของการสอนไวว๎ าํ มีขัน้ ตอนดังน้ี 1. ผส๎ู อนนาํ เสนอเกม ชแ้ี จงวธิ กี ารเลนํ และกตกิ าการเลํน 2. ผเู๎ รียนเลํนเกมตามกตกิ า 3. ผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนอภิปรายเก่ียวกับผลการเลํนและวิธีการหรือพฤติกรรมการ เลํนของผู๎เรียน 4. ผูส๎ อนประเมินผลการเรยี นรู๎ของผู๎เรียน เทคนคิ และข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใช้วิธสี อนโดยใช้เกมให้มปี ระสทิ ธิภาพ (ทศิ นา แขมมณ,ี 2550 : 366-368) 1. การเลือกและนําเสนอเกม เกมท่ีนํามาใช๎ในการสอนสํวนใหญํจะเป็นเกมท่ีเรียกวํา “เกมการศกึ ษา” คอื เป็นเกมที่มวี ัตถุประสงค์ มํุงใหผ๎ ู๎เลนํ เกิดการเรียนรู๎ตามวัตถุประสงค์ มิใชํเลํนเพียงเพ่ือ ความสนกุ สนานเทาํ นนั้ อยาํ งไรกต็ าม ผสู๎ อนอาจมีการนาํ เกมทีเ่ ลํนกนั เพ่ือความบันเทิงเป็นสําคัญ มาใช๎ใน การสอน โดยนาํ มาเพมิ่ ขนั้ ตอนสําคัญคือการวิเคราะห์อภิปรายเพื่อการเรียนรู๎ เกมที่ได๎รับการออกแบบให๎ เปน็ เกมการศกึ ษาโดยตรงมีอยูดํ ว๎ ยกนั 3 ประเภทคือ 1) เกมแบบไมํมกี ารแขํงขัน เชํน เกมการส่ือสาร เกม การตอบคําถาม เป็นต๎น 2) เกมแบบแขํงขัน มีผู๎แพ๎ ผ๎ูชนะ เกมสํวนใหญํจะเป็นเกมแบบน้ี เพราะการ แขํงขันชํวยให๎การเลํนเพิ่มความสนุกสนานมากขึ้น และ 3) เกมจําลองสถานการณ์ (simulation game) เปน็ เกมที่จําลองความเป็นจรงิ สถานการณ์จริง ซ่งึ ผเ๎ู ลนํ จะต๎องคดิ ตัดสนิ ใจจากข๎อมูลท่ีมี และได๎รับผลของ การตัดสนิ ใจ เหมือนกับทีค่ วรจะได๎รับในความเป็นจริงเกมแบบน้ีมีอยูํ 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกเป็นการ จําลองความเป็นจรงิ ลงมาเลนํ ในกระดานหรือบอรด์ เรียกวาํ บอรด์ เกม (board game) เชํน เกมเศรษฐี เกมมลภาวะเป็นพิษ (pollution) เกมแก๎ปัญหาความขัดแย๎ง (conflict resolution) อีกลักษณะหนึ่ง เป็นเกมสถานการณ์ท่ีจําลองสถานการณ์และบทบาทขึ้นให๎เหมือนความเป็นจริง และผ๎ูเลํนจะต๎องลงไป เลํนจริงๆ โดยสวมบทบาทเป็นคนใดคนหนึง่ ในสถานการณน์ ้นั เกมแบบนี้อาจใช๎เวลาเลํนเพียง 2-3 ช่ัวโมง หรือใช๎เวลาเป็นวันหรือหลายๆ วันติดตํอกัน หรือแม๎กระทั่งเลํนกันตลอดภาคเรียน เป็นการเรียนร๎ูทั้ง รายวิชาเลยก็มี ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีขั้นสูงได๎พัฒนาก๎าวหน๎าไปมากจึงเกิดเกมจําลองสถานการณ์ใน 289

รูปแบบใหมํๆ ข้ึนคือ คอมพิวเตอร์เกม (computer game) ซึ่งเป็นเกมจําลองสถานการณ์ท่ีผู๎เลํน สามารถควบคุมการเลํนผาํ นทางจอคอมพวิ เตอรไ์ ด๎ ปจั จบุ ันเกมแบบนี้ได๎รบั ความนยิ มสงู มาก การเลือกเกมเพื่อนํามาใช๎สอนทําได๎หลายวิธี ผู๎สอนอาจเป็นผู๎สร๎างเกมข้ึนให๎เหมาะกับ วัตถุประสงค์ของการสอนของตนก็ได๎หรืออาจนําเกมที่มีผ๎ูสร๎างขึ้ นแล๎วมาปรับดัดแปลงให๎เหมาะกับ วตั ถุประสงคต์ รงกบั ความต๎องการของตน หากผสู๎ อนต๎องการสร๎างเกมข้ึนใช๎เอง ผ๎ูสอนจําเป็นต๎องมีความรู๎ ความเข๎าใจเก่ียวกับวิธีสร๎างและจะต๎องทดลองใช๎เกมที่สร๎างหลายๆ คร้ัง จนกระท่ังแนํใจวํา สามารถใช๎ ได๎ผลดีตามวัตถุประสงค์ หากเป็นการดัดแปลง ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาเกมนั้นให๎เข๎าใจกํอน แล๎วจึง ดัดแปลงและทดลองใช๎กํอนเชํนกัน สําหรับการนําเกมการศึกษามาใช๎เลยนั้น ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาเกม นั้นให๎เข๎าใจและลองเลํนเกมนั้นกํอน เพ่ือจะได๎เห็นประเด็นและข๎อขัดข๎องตํางๆ อันจะชํวยให๎ผู๎สอนมีการ เตรียมการปอู งกนั หรอื แก๎ไขไว๎ลวํ งหน๎า ชํวยให๎การเลํนจริงของผูเ๎ รียนเป็นไปอยํางราบรื่นสํวนคอมพิวเตอร์ เกมน้ัน ผู๎สอนจําเป็นต๎องมีทั้งซอฟต์แวร์ (software) และฮาร์ดแวร์ (hardware) คือตัวเกมและเคร่ือง คอมพิวเตอรส์ าํ หรบั ผู๎เรยี น จงึ จะสามารถเลํนได๎ ในกรณที ผ่ี ส๎ู อนต๎องการเลอื กเกมทีม่ ผี จ๎ู ัดทําและเผยแพรแํ ล๎ว (published game) มาใช๎ ผู๎สอนจําเป็นต๎องแสวงหาแหลํงข๎อมูลวํา มีใครทําอะไรไว๎บ๎างแล๎ว ซึ่งในปัจจุบันเกมประเภทน้ีมีเผยแพรํ และวางจําหนาํ ยในท๎องตลาดจาํ นวนมาก ซงึ่ สวํ นใหญแํ ล๎ว เป็นผลงานท่ีจัดทําขึ้นในตํางประเทศ ส่ิงสําคัญ ซ่ึงผ๎ูสอนถึงตระหนักในการเลือกใช๎เกมจําลองสถานการณ์ก็คือ เกมจําลองสถานการณ์ท่ีจัดทําขึ้นใน ตํางประเทศ ยํอมจําลองความเป็นจริงของสถานการณ์ในประเทศน้ัน ซึ่งจะมีความแตกตํางไปจาก สถานการณ์ในประเทศไทย ดังน้ันผ๎ูสอนจึงควรช้ีแจงให๎ผู๎เรียนเข๎าใจ หรือไมํก็จําเป็นต๎องดัดแปลงหรือตัด ทอนสํวนท่แี ตกตาํ งออกไป หากสามารถทาํ ได๎ 2. การชี้แจงวิธีการเลํน และกติกาการเลํน เนื่องจากเกมแตํละเกมมีวิธีการเลํน และ กติกาการเลํนที่มีความยุํงยากซับซ๎อนมากน๎อยแตกตํางกัน ในกรณีที่เกมนั้นเป็นเกมงํายๆ มีวิธีเลํนและ กติกาไมํซับซ๎อน การช้ีแจงก็ยํอมทําได๎งําย แตํถ๎าเกมน้ันมีความซับซ๎อนมาก การชี้แจงก็จะทําได๎ยากข้ึน ผ๎ูสอนควรจัดลําดับข้ันตอนและให๎รายละเอียดที่ชัดเจนโดยอาจต๎องใช๎สื่อเข๎าชํวย หรืออาจให๎ผู๎เรียนซ๎อม เลํนกํอนการเลนํ จริง กติกาการเลํน เป็นสิ่งที่สําคัญมากในการเลํนเกม เพราะกติกานี้จะต้ังข้ึนเพ่ือควบคุมให๎ การเลํนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู๎สอนควรศึกษากติกาการเลํน และวิเคราะห์ (หากเกมไมํได๎ให๎ รายละเอียดไว๎) กติกาวํา กติกาแตํละข๎อมีข้ึนด๎วยวัตถุประสงค์อะไร และควรดูแลให๎ผู๎แลํนปฏิบัติตาม กติกาของการเลํนอยํางเครงํ ครัด 3. การเลํนเกม กํอนการเลํน ผ๎ูสอนควรจัดสถานท่ีของการเลํนให๎อยํูในสภาพท่ีเอื้อตํอ การเลํน ไมํเชํนนั้น อาจจะทําให๎การเลํนเป็นไปอยํางติดขัดและเสียเวลา เสียอารมณ์ ของผ๎ูเลํนด๎วย การ เลํนควรเป็นไปตามลําดับข้ันตอน และในบางกรณีต๎องควบคุมเวลาในการเลํนด๎วย ในขณะท่ีผู๎เรียนกําลัง 290


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook