12. เปล่ียนคาสนทนากับพํอแมํ ประสานความสัมพันธ์ท่ีดีระหวํางโรงเรียนกับผ๎ูปกครอง ซึ่งการ รับทราบและแลกเปล่ยี นความรู๎รํวมกันจะทาใหเ๎ ดก็ เกดิ การเรียนรูท๎ ่ดี ีได๎ 13. ชํวยให๎เกิดความโปรํงใสในการจัดการศึกษา การใช๎ห๎องเรียนแบบกลับทางโดยนาสาระคา สอนไปไว๎ในวีดิทัศน์นาไปเผยแพรํทางอินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการเรียนให๎ สาธารณชนได๎ทราบ สรา๎ งความเช่อื มน่ั ในคณุ ภาพการเรยี นการสอนให๎ผปู๎ กครองทราบ 2.2 กรณีศกึ ษา : การเรียนรจู้ ากครตู น้ แบบ ครสู อนดี ครูน้ันควรเป็นแบบอยํางท่ีดีของศิษย์ เป็นผ๎ูที่สร๎างทรัพยากรมนุษย์ท่ีดีตํอสังคม ฉะนั้น โดยธรรมชาตขิ องครูต๎องเปน็ ผ๎ูใฝเุ รียน และต๎องรูจ๎ ักพัฒนาตนเองอยํางตํอเน่ือง โดยลักษณการสอนที่ดีน้ัน จะชํวยให๎ครปู ระสบผลสําเรจ็ ในการสอนให๎นกั เรียนมคี วามเขา๎ ใจในบทเรียนนนั้ ๆ การสอนท่ีดีควรมีลักษณะ ดงั นี้ 1. มีการสํงเสริมนักเรียนให๎เรียนด๎วยการกระทํา เพราะการได๎ลงมือทําจริง จะทําให๎ ประสบการณ์ที่มีความหมาย 2. มีการสํงเสริมนักเรียนให๎เรียนด๎วยการทํางานเป็นกลํุม นักเรียนได๎แสดงความคิดเห็น ยอมรับความคดิ เห็นซ่งึ กนั และกัน และรู๎จกั การทาํ งานรํวมกับผูอ๎ ืน่ 3. มีการตอบสนองความต๎องการของนักเรียน เรียนด๎วยความสุข ความสนใจ กระตอื รือร๎นในการทํากิจกรรมตําง ๆ 4. มกี ารสอนใหส๎ มั พันธร์ ะหวาํ งวิชาที่เรียนกับวิชาอื่น ๆ ในหลกั สตู รเป็นอยํางดี 5. มีการใช๎ส่ือการสอน จําพวกโสตทัศนวัสดุ เพื่อเร๎าความสนใจ ชํวย ผ๎ูเรียนเข๎าใจ บทเรยี นไดง๎ ํายข้ึน 6. มกี จิ กรรมทีห่ ลากหลาย เพือ่ เรา๎ ความสนใจ ผู๎เรียนสนุกสนาน ไดล๎ งมือปฏบิ ัตจิ รงิ และดูผลการปฏบิ ตั ิของตนเอง 7. มีการสํงเสริมให๎นักเรียนได๎ใช๎ความคิดอยํูเสมอ ด๎วยการซักถาม หรือให๎แสดงความ คิดเห็นเกย่ี วกับปัญหางาํ ย ๆ เด็กคิดหาเหตุผลเปรียบเทยี บ และพจิ ารณาความสัมพันธข์ องสง่ิ ตําง ๆ 8. มีการสํงเสริมความคิดริเร่ิม และความคิดสร๎างสรรค์ สํงเสริมการคิดทําส่ิงใหมํ ๆ ที่ดี มีประโยชนไ์ มํเลียนแบบใครสงํ เสรมิ กจิ กรรมสุนทรียภาพ รอ๎ ยกรอง วาดภาพ และแสดงละคร 9. มีการใช๎การจูงใจ ในระหวํางเรียน เชํน รางวัล การชมเชย คะแนนแขํงขัน เคร่ืองเชิดชูเกียรติการลงโทษ ซึ่งจะชํวยให๎เกิดความสนใจ ต้ังใจ ขยันหม่ันเพียรในการเรียนและทํา กจิ กรรม 10. มีการสํงเสริมการดําเนินชีวิตตามแบบประชาธิปไตย เปิดโอกาสให๎แสดงความ คิดเห็น มีการรับฟังความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน เคารพความคิดเห็นของผ๎ูอ่ืน ยกยํองความคิดเห็นที่ดี นกั เรียนมสี วํ นรํวมในการวางแผนรํวมกบั ครู 41
11. มีการเรา๎ ความสนใจกํอนลงมือทําการสอนเสมอ 12. มีการประเมนิ ผลตลอกเวลา โดยวธิ ีการตําง ๆ เชํน การสังเกต การซักถาม การ ทดสอบเพื่อให๎แนํใจวําการสอนของครตู รงตามจุดประสงค์มากทีส่ ดุ 2.2.1 คุณครูธนพร. บญุ ประสิทธิ์ ครูสอนเร่อื ง อวัยวะภายใน ครสู อนโดยการสอนแบบรวํ มมือ จิก๊ ซอร์ เพ่ือให๎เด็กได๎ชวํ ยเหลอื กนั และกนั วธิ ีการสอนของครู คาบแรกครูเปิดเพลงให๎เด็กเต๎นตามจังหวะ หลังจากเต๎นเสร็จครูก๎ได๎ใช๎คําถามเป็น ตัวกระตุ๎นนกั เรยี น ถามวาํ รไ๎ู หมครูจะสอนเร่อื งอะไร. ครูก๎ได๎คําตอบที่ตํางกัน และมีเด็กตอบวําจังหวะของ หัวใจ. หลังจากน้ันครูก๎นําเข๎าสํูบทเรียนโดยสอนเร่ืองอัตราการเต๎นของหัวใจกํอน โดยให๎เด็กปฏิบัติลงมือ ทําใหไ๎ ดส๎ งั เกตแุ ละเกดิ การเรยี นรูเ๎ อง. และครกู ับนักเรียนก๎ชํวยกันสรุปในท๎ายคาบ. หลังจากน้ันคาบท่ีสอง ครูก๎ให๎นักเรียนจับกลํุมกัน. และมีผ๎ูเช่ียวชาญในแตํละเร่ือง. ให๎เด็กได๎ชํวยกันในกลํุม. มีปฏิสัมพันธ์กับ เพื่อนมากขนึ้ และเด็กกจ็ ะมีความรับผดิ ชอบในหนา๎ ท่ที ี่ตนได๎รบั ผดิ ชอบ ความประทับใจ ประทับใจที่ครูมีวิธีการสอนท่ีทําให๎เด็กมีความสนใจเข๎าถึงบทเรียนได๎งําย มีวิธีในการ สอนที่ทํามห๎บทเรียนยากๆได๎เข๎าใจงํายมากข้ึน โดยครูสอดแทรกในเรื่องเพลง และมีการเลํานิทาน ทําใหเ๎ ด็กชอบและต้งั ใจเรียน ครูใชค๎ าํ ถามกระตนุ๎ เดก็ ทําให๎เดก็ คิดและเขา๎ เอาได๎อยํางงาํ ย 2.2.2 คณุ ครสู ถาพร มุ่งเพียรม่นั ครทู ป่ี รึกษาชมรมอาสายุวกาชาดโรงเรียนวเิ ชียรมาตุ เจา๎ ของรางวัล\"ยอดคนดีศรตี รัง เมอื งแหํงความสุข\" ปี 2556 คุณครสู ถาพร กลําววาํ การศกึ ษาอยาํ งแทจ๎ รงิ จะไมํมงุํ เน๎นเฉพาะการแขํงขันด๎านวิชาการ แตํต๎องปลูกฝงั คํานยิ มให๎นักเรยี นไดม๎ ภี มู คิ ม๎ุ กันในการอยูํในสังคมแหํงการ แขํงขันอยํางเป็นพันธมิตรและมี จิตรับผิดชอบตํอสํวนรวม โรงเรียนจึงควรจัดกิจกรรมสํงเสริม“จิตอาสา” ที่นอกจากจะเป็นการพัฒนา คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ลว๎ ยงั เปน็ การสงํ เสรมิ การเรียนรู๎จากประสบการณ์ตรง ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ใน การประยกุ ตใ์ ชค๎ วามรส๎ู ชูํ ีวิตจริง กิจกรรมอาสายุวกาชาด เป็นหน่ึงกิจกรรมที่นํามาเป็นหนทางเปิดโอกาสให๎นักเรียนได๎ใช๎ กระบวนการคิด วเิ คราะหเ์ หตุผลสําหรับเด็ก สามารถแยกแยะเร่ือง การคิดถูกต๎อง คิดดี ตามหลักวิชาการ ด๎วยการน๎อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวมา เป็นแนวทางในการประพฤติ ปฏบิ ตั ิตน ไดข๎ ยายพ้นื ทข่ี องความดี และยกระดับ ศรัทธาในคุณงามความดี ประเทศไทยของเรามีเครอื ขาํ ยคนดีมากมาย แตํอยูํกันอยํางกระจัดกระจาย ครูมืออาชีพ ทุกคนจงึ ควรทําหนา๎ ทีด่ ๎วยจิตวิญญาณของความเป็นครู ด๎วยการเสริมสร๎าง ระเบียบ วินัย โดยใช๎ศีลธรรม 42
เปน็ ฐานในการดึงจิตวญิ ญาณของเดก็ และเยาวชนกลับมาในสังคมครอบ ครัว สํงเสริมพลังครอบครัว ใช๎ 3 ประสานได๎แกํ บ๎าน วัด โรงเรียน เพือ่ อนาคตท่ดี ขี องเด็ก และเยาวชนไทย “รางวัลทยี่ ่ิงใหญทํ สี่ ดุ ใน ชีวิตของครู คอื การเปดิ หรอื การขยายพ้ืนท่ี การทาํ กิจกรรม ด๎านจติ อาสา นอกเหนือจากการเรยี นร๎ูวชิ าในห๎องเรยี น เพราะเป็นการขยายพ้นื ที่ของความดี พร๎อมกบั ยกระดับ ศรัทธาในคุณงามความดี และสงํ เสริม คนดี\" ให๎แกํเดก็ และ เยาวชน เน๎นใหเ๎ ดก็ และเยาวชน เหน็ คุณคาํ ของตนเอง และผอู๎ ื่น” คณุ ครสู ถาพร มํุงเพียรมัน่ กลําว กจิ กรรมท้ายบท 1. แบงํ กลมุํ ทําการศกึ ษาครูตน๎ แบบ กลมํุ ละ 2 ทาํ น 2. จดั ทําข๎อสรปุ ของการเปน็ ครูต๎นแบบวําควรมคี ุณลักษณะอยํางไรบ๎าง เอกสารอา้ งองิ สถาบนั สงํ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2559) รจู๎ ักสะเต็ม สบื คน๎ เม่ือ 28 กรกฏาคม 2559 จากเว็ปไซต์ http://www.stemedthailand.org สถาบนั สํงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2559) การเรียนรต๎ู ามแนวทางสะเต็มศกึ ษา สาขา ฟสิ กิ ส์ สบื คน๎ เมอ่ื 28 กรกฏาคม 2559 จากเว็ปไซต์ http://physics.ipst.ac.th วิจารณ์ พานิช. Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day บทที่ ๖ ช่อื The Case for THE Flipped–Mastery Model 43
บทที่ 3 รูปแบบการสอน หัวเร่ือง 1. รูปแบบเน๎นด๎านพุทธพิ สิ ัย 2. รปู แบบเนน๎ ด๎านจติ พสิ ัย 3. รปู แบบเนน๎ ดา๎ นทักษะพสิ ัย 4. รปู แบบเนน๎ ทกั ษะกระบวนการ 5. รปู แบบเนน๎ การบรู ณาการ วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือใหผ๎ เ๎ู รยี นมคี วามรู๎ความเข๎าใจ วเิ คราะหอ์ งคค์ วามรเู๎ กย่ี วกบั รูปแบบการสอนตํางๆ ได๎ กิจกรรมระหวา่ งเรียน ผ๎ูสอนใชว๎ ิธีการสอนแบบผสมผสาน เพ่อื ให๎ผ๎เู รียนเกดิ การเรยี นรู๎ ทกั ษะและการคิดวเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. บรรยาย อภิปราย ซักถาม กระตุน๎ ใหเ๎ กดิ การแลกเปลี่ยนเรียนรู๎เกี่ยวกับประสบการณ์ในเร่ือง ทส่ี อนระหวาํ งผ๎สู อนกบั ผ๎ูเรยี นและระหวาํ งผเ๎ู รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความรู๎จาก อินเทอร์เนต็ 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณีศกึ ษาทัง้ ในรูปแบบเอกสารและวิดโี อ 4. การทํางานกลํุมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ ระหวํางผ๎ูเรียนในชั้นเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระท่ีเกี่ยวข๎องกับหัวข๎อ การเรียน 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในชั้นเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเู๎ รียนและผ๎สู อนรวํ มสรุปประเด็นการเรยี นร๎ู สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสอื ตาํ รา งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข๎อง 2. สือ่ ดิจทิ ัลจากอินเทอร์เนต็ และสไลดน์ าํ เสนอ การประเมินผล 1. การสวํ นรํวมกบั กิจกรรมในชั้นเรียนของผเ๎ู รียน ความสามารถในการวิเคราะห์ประเดน็ ที่ศึกษา 2. จากรายงานการค๎นควา๎ ตามประเดน็ ของเนื้อหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 44
รปู แบบการสอน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร ไพฑูรย์ สินลารัตน์ กลําวไว๎วํา ที่ผํานมาเรามักจะค๎ุนเคยกับ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน๎นผู๎เรียนเป็นศูนย์กลาง ครูผู๎สอนเป็นศูนย์กลางและการเรียนรู๎ที่จากตนเองและ สังคม ซ่ึงเปน็ ภาพกว๎างๆ รูปแบบการเรียนการสอนก็คือตัวแนวคิดที่เก่ียวกับการเรียนการสอนท่ีเป็นรูปธรรม อาจจะเกิดจากแนวความคิดรํวมกันจนกลายเป็นรูปแบบ จากรูปแบบการเรียนการสอนก็กลายมาเป็น กระบวนการและวิธกี ารสอน ท่ีสามารถแจกแจงเป็นเทคนิควิธีการสอน ในสํวนของเทคนิควิธีการสอนก็คือเรามี วิธีการเทคนคิ วิธีท่มี ันแยบยลอยํางไรทีเ่ ราสอนแล๎วนักเรียนเข๎าใจดขี นึ้ อาจจะหมายถึงลูกเลํนก็เป็นได๎ 1. รปู แบบการเรยี นการสอนทางตรง Direct instruction Approach คอื การเรียนการ สอนทีผ่ ูส๎ อนจดั การดาํ เนนิ การและหาวธิ ีการให๎เปน็ ไปตามที่ผู๎สอนต๎องการ ผส๎ู อนอธิบายในรูปแบบที่จํากัด เฉพาะเจาะจง เป็นวิธีการที่ผ๎ูสอนดําเนินการตามผ๎ูสอนโดยตรงและวางเปูาหมายเพ่ือให๎เด็กๆนั้นเป็นไป ตามคาด องค์ประกอบหลัก มีเปูาหมายชัด มีจุดมุํงหมายชัดเจน ครูจะพยายามตรวจสอบดูวําผลท่ีเกิดกับ ตัวเด็กเป็นไปตามท่ีกําหนดหรือปุาว คํอนข๎างเป็นกรอบที่จํากัด ข๎อเสียคือ ไมํมีความยืดหยํุนใน กระบวนการสอนและการเรียนร๎ู เด็กจะได๎แคํฟัง จด จํา และทํอง เด็กจะไมํคํอยได๎คิด จะใช๎ได๎ดีตํอเมื่อ สังคมมกี ารเปลยี่ นแปลงน๎อย ถ๎าลักษณะสังคมแนนํ อนตายตวั เราใช๎วธิ ีนไี้ ด๎ ข้ันแรก ครูบรรยาย ข้ันท่ีสอง ครูจะสาธิตให๎ดู นักเรียนก็ศึกษาตามน้ี สามครูต้ังคําถามและอาจจะมีการทํารายงานที่ครูกําหนดกรอบไว๎ หรืออาจจะเป็นครูกําหนดการอํานออกเสียง ฝึกอําน ถ๎าเราจะนําวิธีนี้มาใช๎ เราต๎องดูวําเราต๎องการอะไร ถา๎ เราไมํคาํ นึงถงึ เดก็ นกั ก็จะใชว๎ ิธนี ีไ้ ด๎ แตสํ ังคมยคุ ให่ไํ มีอะไรแนํนอนตายตวั ชัดเจน 2. การเรียนการสอนในทางตรงกันข๎าม Indirect Approach ครูจัดการเรียนการสอน โดยออ๎ ม แตํเดก็ เรยี นรู๎ตามทเี่ ด็กตอ๎ งการ เด็กกําหนดการเรียนร๎ูเอง ในกระบวนการและวิธีการไมํใชํครูหา มาให๎ แตํเดก็ หามารํวมด๎วย เป็นการเปิดโอกาสให๎เขามีสํวนรํวม นั่นหมายถึงเขาก่ํางเตรียมตัวเพื่ออนาคต ถา๎ เราจะวางแผนการสอนควรใช๎ Indiect แตํสามารถนาํ ทางตรง มาใชบ๎ างสํวนได๎ ทุกวันน้ีเราเรียนรู๎จาก สิ่งอื่นๆท่ีไมํใชํครูจริงๆ เชํน การเรียนรู๎ด๎วยตัวเอง เราจะเข๎าใจยิ่งขึ้น การศึกษาค๎นคว๎าด๎วยตัวเองตาม เปูาหมายที่เราต๎องการ หรือการเรียนร๎ูที่เรียกวําวิธีการวิจัย การฝึกปฏิบัติ การสัมผัสสิ่งตํางๆรอบตัว ใน ฐานะผ๎สู อนให๎เราคาํ นึงวําเด็กกําลังหาความรู๎เพื่อตัวเอง การเรียนรู๎จากเพ่ือนเชํนการคุย การสนทนา การ แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ การเรียนรูจ๎ ากสัมคมรอบขา๎ ง สงิ่ แวดล๎อม รูปแบบการเรียนการสอนขึ้นอยํูกับเราต้ังเปูาหมาย ถ๎าเราต้ังเปูาหายให๎เด็กเกิดความร๎ู ความคิดก็ ใช๎รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Indirect approach เราต๎องให๎เขารู๎จักคิด วางแผน ต้ังเปูาหมายให๎ตัวเอง ครูจัดการเรียนร๎ูแบบอ๎อมๆการเรียนรู๎อยํูกับเด็ก การเรียนการสอนในอนาคต การ จดการทอํ งจาํ เป็นวธิ ีท่ีลา๎ สมยั เราต๎องมแี งมํ มุ ใหมํๆให๎เขานําจิตใจทีด่ ีงามควบคูํกับความรูม๎ าผสมผสานกัน จะทําให๎เกดิ การเรยี นรทู๎ ี่ 45
การเรียนการสอนในห๎องเรียน สํวนใหญํเป็นการเรียนในวิชาตํางๆ โดยมีเน้ือหาสาระตาม มาตรฐานการเรียนร๎ูท่ีกําหนดไว๎ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2551 รวมถึงตามตัวช้ีวัด หรือผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวังเพ่ือให๎ครูผู๎สอนมองเห็นผลที่คาดหวังที่ต๎องพัฒนาการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เพื่อ พฒั นาผู๎เรียนไปสูํเปูาหมายการเรียนรทู๎ ่กี าํ หนดไว๎อยํางมีประสิทธิภาพและเต็มตามศักยภาพของผู๎เรียนแตํ ละคนผสู๎ อนต๎องออกแบบกจิ กรรมการเรียนรแ๎ู ละจัดประสบการณ์การเรียนรู๎อยํางเป็นระบบเน๎นประโยชน์ สูงสุดท่ีจะเกิดแกํผู๎เรียนและคํานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคลพัฒนาผู๎เรียนจนเต็มศักยภาพตามความ ถนัดและความสนใจเป็นรายบุคล ซ่ึงการการจัดการเรียนรู๎ให๎ผู๎เรียนบรรลุเปูาหมายตามมาตรฐานการ เรียนรู๎และตัวช้ีวัดช้ันปีจะต๎องใช๎กระบวนการการเรียนร๎ูที่หลากหลายได๎แกํกระบวนการสร๎างความร๎ู กระบวนการคดิ กระบวนการทางสงั คมกระบวนการแกป๎ ัญหากระบวนการเรยี นร๎จู ากประสบการณ์การจริง กระบวนการปฏบิ ัตกิ ระบวนการพัฒนาคาํ นิยมกระบวนการบูรณาการฯลฯซ่ึงสอดคล๎องกับผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซ่ึงตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Business Reviewเป็นพีระมิดแหํงการเรียนร๎ูแสดง ใหเ๎ ห็นถงึ คาํ รอ๎ ยละจากการจัดกจิ กรรมท่ีตํางกันแตลํ ะอยําง โดยกิจกรรมที่ตํางกันจะทําให๎เราจดจําส่ิงท่ีได๎ การเรียนรูต๎ ํางกันด๎วย ตามแผนภาพท่ี 1 แสดงถึงอัตราของการจําไดจ๎ ากการเรียนร๎ใู นรปู แบบตํางๆ ดังนี้ การฟังเนอื้ หา (Lecture5%) การอ่าน (สส่ วReading10%) ภาพและเสยี ง (Audio Visual 20%) การสาธติ (Demonstration30%) การอภปิ รายกลุ่ม (Discussion Group50%) การฝกึ ฝนจากการลงมือทา (Practice by Doing 75%)50%) การสอนผู้อ่นื (Teaching Others90%) ที่มา : National Training Laboratories, Bethel, Maine อ๎างองิ จาก สารแพทย์ศาสตรศกึ ษา มอ. (2559). การเรยี นรเ๎ู ชงิ รุก (Active Learning), ปที ่ี 2 (ฉบับท่ี 1 เดือนมกราคม-มนี าคม 2559), 2-4 46
ในบทน้ีขอนําเสนอรูปแบบและเทคนิคการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาผ๎ูเรียนให๎เกิด กระบวนการเรยี นร๎ทู ี่หลากหลาย ทิศนา แขมณี (2553) ได๎กลําวถึงรปู แบบตาํ งๆ ดังน้ี 3.1 รูปแบบเนน้ ด้านพุทธพิ ิสัย 1) รปู แบบการเรียนการสอนท่เี น้นการพฒั นาดา้ นพุทธพิ สิ ยั (cognitive domain) รูปแบบการเรยี นการสอนในหมวดนี้ เป็นรปู แบบการเรยี นการสอนที่มงํุ ชวํ ยให๎ ผู๎เรียนเกิดความร๎ูความเข๎าใจในเนื้อหาสาระตํางๆ ซ่ึงเน้ือหาสาระนั้นอาจอยํูในรูปของข๎อมูล ข๎อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอด รปู แบบท่คี ดั เลอื กมานําเสนอในทนี่ ี้ม5ี รปู แบบ ดงั นี้ 1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทศั น์ 1.2 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเยํ 1.3 รปู แบบการเรียนการสอนโดยการนําเสนอมโนทัศน์กว๎างลวํ งหนา๎ 1.4 รูปแบบการเรียนการสอนเน๎นความจาํ 1.5 รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช๎ผังกราฟิก 3.1.1 รปู แบบการเรยี นการสอนมโนทศั น์ (Concept Attainment Model) เน่ืองจากผ๎ูเรยี นเกดิ การเรียนร๎ูมโนทศั น์ จากการคดิ วเิ คราะห์และตัวอยํางทห่ี ลากหลาย ดังนั้นผลท่ผี ๎เู รียนจะไดร๎ ับโดยตรงคือ จะเกดิ ความเขา๎ ใจในมโนทศั นน์ ้นั และได๎เรยี นรท๎ู ักษะการสร๎างมโน ทัศนซ์ ึง่ สามารถนําไปใชใ๎ นการทําความเข๎าใจมโนทศั น์อ่นื ๆตอํ ไปได๎ รวมทั้งชวํ ยพัฒนาทักษะการใช๎ เหตุผลโดยการอุปนยั (inductive reasoning) อกี ดว๎ ย ขั้นท่ี 1 ผู๎สอนเตรียมข๎อมูลสําหรับให๎ผู๎เรียนฝึกหัดจําแนก ผู๎สอนเตรียมข๎อมูล 2 ชุด ถ๎า มโนทัศนท์ ต่ี ๎องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ๎อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช๎วิธีการยกเป็นตัวอยํางเร่ืองสั้น ๆ ท่ีผ๎ูสอนแตํงข้ึนเองนําเสนอแกํผ๎ูเรียน ผู๎สอนเตรียมสื่อการสอนท่ีเหมาะสมจะใช๎นําเสนอตัวอยําง มโนทศั น์เพอื่ แสดงใหเ๎ ห็นลกั ษณะตาํ ง ๆ ของมโนทศั น์ที่ต๎องการสอนอยํางชดั เจน ขั้นที่ 2 ผส๎ู อนอธบิ ายกตกิ าในการเรียนใหผ๎ ๎เู รียนรแ๎ู ละเขา๎ ใจตรงกนั ผส๎ู อนชแ้ี จงวิธกี ารเรียนรใู๎ หผ๎ ๎เู รยี นเข๎าใจกํอนเรมิ่ กจิ กรรมโดยอาจสาธิตวธิ ีการและให๎ผเ๎ู รยี นลองทําตามท่ี ผ๎ูสอนบอกจนกระทง่ั ผเู๎ รยี นเกิดความเข๎าใจพอสมควร ขนั้ ที่ 3 ผสู๎ อนเสนอขอ๎ มูลตัวอยํางของมโนทศั น์ทีต่ อ๎ งการสอน และข๎อมูลทไ่ี มํใชํตวั อยําง ของมโนทศั น์ทตี่ ๎องการสอน ข้ันท่ี 4 ใหผ๎ เู๎ รยี นบอกคุณสมบตั เิ ฉพาะของสิง่ ท่ีตอ๎ งการสอน จากกจิ กรรมท่ีผํานมาใน ขั้นตน๎ ๆผเ๎ู รยี นจะต๎องพยามหาคุณสมบตั ิเฉพาะของตัวอยาํ งที่ใชํและไมํใชสํ ิ่งทผ่ี เู๎ รียนต๎องการสอน ข้นั ท่ี 5 ให๎ผเู๎ รยี นสรปุ และให๎คาํ จาํ กดั ความของส่ิงท่ตี ๎องการสอน เม่ือผ๎เู รยี นไดร๎ ายการของคุณสมบตั ิเฉพาะของส่ิงท่ตี ๎องการสอนแล๎ว ผ๎สู อนให๎ ผ๎เู รยี นชํวยกนั เรยี บเรียงให๎เป็นคํานยิ ามหรือคําจาํ กดั ความ 47
ข้นั ท่ี 6 ผ๎สู อนและผ๎เู รยี นอภปิ รายรวํ มกนั ถึงวิธีการทผี่ ู๎เรยี นใช๎ในการหาคาํ ตอบใหผ๎ ๎เู รียน ได๎เรยี นรู๎เกย่ี วกบั กระบวนการคิดของตวั เอง 3.1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gagne’s Instructional Model) เนือ่ งจากการเรียนการสอนตามรปู แบบนี้ จัดข้นึ ใหส๎ งํ เสริมกระบวนการเรยี นรู๎และ จดจําของมนุษย์ ดงั นนั้ ผเู๎ รยี นจะสามารถเรยี นรส๎ู าระท่ีนําเสนอได๎อยาํ งดี รวดเรว็ และจดจําสิ่งท่ีเรยี นร๎ู ได๎นาน นอกจากน้ันผเู๎ รียนยงั ได๎เพ่ิมพูน ทักษะในการจดั ระบบข๎อมูล สร๎างความหมายของขอ๎ มูล รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนดว๎ ย ขน้ั ที่ 1 การกระตุน๎ และดึงดูดความสนใจของผู๎เรียน เปน็ การชํวยให๎ผเู๎ รียน สามารถรบั สงิ่ เร๎า หรือสงิ่ ที่จะเรียนรู๎ได๎ดี ขั้นที่ 2 การแจ๎งวตั ถุประสงค์ของการเรยี นใหผ๎ ู๎เรียนทราบ เปน็ การชํวยให๎ ผู๎เรียนได๎รบั รูค๎ วามคาดหวัง ขั้นที่ 3 การกระตุ๎นใหร๎ ะลกึ ถึงความรูเ๎ ดิม เป็นการชํวยให๎ผ๎เู รียนดึงข๎อมูลเดิมท่ี อยใูํ นหนวํ ยความจําระยะยาวใหม๎ าอยํูในหนวํ ยความจาํ เพื่อใช๎งาน ขน้ั ท่ี 4 การนาํ เสนอสง่ิ เรา๎ หรือเน้ือหาสาระใหมํ ผ๎ูสอนควรจะจัดสงิ่ เรา๎ ให๎ผู๎เรียน เหน็ ความสาํ คญั ของสงิ่ เรา๎ นั้นอยาํ งชดั เจน เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู๎ของผเ๎ู รียน ข้นั ท่ี 5 การให๎แนวการเรียนรู๎ หรือการจัดระบบข๎อมลู ให๎มีความหมาย เพ่ือชวํ ย ให๎ผูเ๎ รียนสามารถทําความเขา๎ ใจกับสาระทเี่ รยี นไดง๎ ํายและเร็วขน้ึ ขั้นที่ 6 การกระตนุ๎ ใหผ๎ ู๎เรยี นแสดงความสามารถ เพ่ือให๎ผ๎เู รียนมโี อกาส ตอบสนองตอํ สงิ่ เรา๎ หรือสาระทเ่ี รยี นซ่ึงจะชวํ ยให๎ทราบถึงการเรียนรู๎ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในตัวผ๎เู รียน ข้ันที่ 7 การให๎ข๎อมูลปูอนกลับ เปน็ การใหก๎ ารเสรมิ แรงแกํผเ๎ู รียน และข๎อมลู ที่ เป็นประโยชน์กบั ผ๎เู รียน ขน้ั ท่ี 8 การประเมนิ ผลการแสดงออกของผเ๎ู รียน เพื่อชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นทราบวํา ตนเองสามารถบรรลวุ ัตถุประสงคม์ ากน๎อยเพยี งใด ขั้นท่ี 9 การสงํ เสรมิ ความคงทนและการถาํ ยโอนการเรียนร๎ู เพือ่ ชวํ ยให๎ผ๎เู รียน เกดิ ความเขา๎ ใจท่ลี ึกซง้ึ ข้ึน และสามารถถาํ ยโอนการเรยี นรู๎ไปสสํู ถานการณ์อื่น ๆ ได๎ 3.1.3 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการนาเสนอมโนทศั นก์ ว้างล่วงหน้า (Advance Organizer Model) ขั้นท่ี 1 การจดั เตรยี มมโนทศั น์กวา๎ ง โดยการวิเคราะห์หามโนทศั น์ทกี่ วา๎ งและครอบคลุม เนอ้ื หาสาระใหมํทง้ั หมด หรือการให๎ดภู าพรวมของส่ิงที่จะสอน การนาํ เสนอภาพรวมของสงิ่ ท่ีจะสอน การ ทบทวนความรเู๎ ดมิ 48
ขั้นที่ 2 การนาํ เสนอมโนทศั น์กว๎าง 1) ผู๎สอนชแ้ี จงวัตถุประสงคข์ องบทเรยี น 2) ผสู๎ อนนาํ เสนอมโนทัศนก์ วา๎ งด๎วยวิธกี ารตําง ๆ เชนํ การบรรยายสั้น ๆ แสดง แผนผงั มโนทศั น์ ยกตวั อยําง หรอื ใชก๎ ารเปรียบเทยี บ เป็นต๎น ข้ันที่ 3 การนําเสนอเนอื้ หาสาระใหมขํ องบทเรยี น ผ๎ูสอนนาํ เสนอเน้ือหาสาระท่ีตอ๎ งการให๎ ผ๎เู รียนไดเ๎ รยี นร๎ูด๎วยวิธกี ารตาํ ง ๆ ข้นั ท่ี 4 การจดั โครงสร๎างความรู๎ ผสู๎ อนสงํ เสรมิ กระบวนการจดั โครงสร๎าง ความร๎ขู อง ผ๎เู รียนด๎วยวธิ ีการตําง ๆ 3.1.4 รปู แบบการเรียนการสอนเน้นความจา (Memory Model) การเรยี นโดยใชเ๎ ทคนิคชํวยความจําตําง ๆ ของรูปแบบ นอกจากจะชํวยให๎ผเู๎ รียน สามารถจดจําเนื้อหาสาระตาํ งๆ ท่ีเรียนได๎ดีและได๎นานแล๎ว ยงั ชํวยใหผ๎ ูเ๎ รียนเกิดการเรียนร๎กู ลวธิ ีการจาํ ซ่ึงสามารถนาํ ไปใชใ๎ นการเรยี นรสู๎ าระอ่ืน ๆ ได๎อีกมาก ขน้ั ที่ 1 การสังเกตหรอื ศึกษา สาระอยํางตั้งใจ ผูส๎ อนชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นตระหนกั รใู๎ นสาระ ท่เี รยี น โดยการใชเ๎ ทคนิคตาํ ง ๆ ขั้นท่ี 2 การสรา๎ งความเชอ่ื มโยง เม่ือผู๎เรยี นไดศ๎ กึ ษาสาระทีต่ ๎องการเรยี นรู๎แลว๎ ให๎ ผเ๎ู รยี นเช่อื มโยงเนอื้ หาสวํ นตําง ๆทต่ี อ๎ งการจดจํากับสง่ิ ท่ีตนคนุ๎ เคย เชํน กับคํา ภาพ หรือความคิดตําง ๆ ขน้ั ท่ี 3 การใชจ๎ ินตนาการ เพื่อให๎จดจําสาระไดด๎ ีข้ึน ให๎ผเ๎ู รยี นใชเ๎ ทคนิคการเช่ือมโยง สาระตําง ๆ ให๎เห็นเปน็ ภาพท่ีนาํ ขบขัน เกินความเป็นจริง ขั้นที่ 4 การฝึกใช๎เทคนิคตําง ๆ ท่ีทาํ ไว๎ข๎างต๎นในการทบทวนความร๎ูและเนอื้ หาสาระ ตํางๆ จนกระท่ังจดจําได๎ 3.1.5 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใช้ผงั กราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model) ผ๎เู รยี นจะมคี วามเขา๎ ใจในเน้อื หาสาระที่เรยี นและจดจาํ สิง่ ท่ีเรยี นรู๎ไดด๎ ี นอกจากน้นั ยงั ได๎ เรียนรกู๎ ารใช๎ผังกราฟกิ ในการเรยี นร๎ตู ําง ๆ ซง่ึ ผ๎เู รียนสามารถนาํ ไปใชใ๎ นการเรยี นรู๎เนอื้ หาสาระอืน่ ๆ ไดอ๎ ีกมาก 1) การใสใํ จ หากบุคคลมีความใสใํ จในข๎อมลู ที่รบั เขา๎ มาทางการสัมผสั ขอ๎ มลู น้ันก็จะถูกนาํ เข๎าไปสูํความจําระยะสั้นตํอไป หากไมํไดร๎ ับการใสใํ จ ข๎อมูลนั้นกจ็ ะเลือน หายไปอยํางรวดเรว็ 2) การรับร๎ู เมอ่ื บุคคลใสํใจในขอ๎ มูลใดท่ีรบั เข๎ามาทางประสาทสมั ผสั บุคคลก็ จะรับรูข๎ ๎อมลู น้ัน และนาํ ข๎อมูลนี้เข๎าสคํู วามจาํ ระยะสนั้ ตํอไป ข๎อมูลทร่ี บั รูน๎ จี้ ะเปน็ ความ 49
จรงิ ตามการรบั ร๎ูของบุคคลนั้น ซ่งึ อาจไมใํ ชคํ วามจริงเชิงปรนัย เน่ืองจากเปน็ ความจริงท่ี ผาํ นการตคี วามจากบุคคลน้นั มาแล๎ว 3) การทําซํ้า หากบุคคลมกี ระบวนการรักษาข๎อมลู โดยการทบทวนซํ้าแลว๎ ซา้ํ อีกข๎อมูลนนั้ ก็จะยังคงถูกเก็บรกั ษาไว๎ในความจําปฏบิ ตั กิ าร 4) การเข๎ารหสั หากบุคคลมีกระบวนการสรา๎ งตวั แทนทางความคิดเกีย่ วกับ ขอ๎ มลู นั้นโดยมีการนําข๎อมลู น้ันเข๎าสูคํ วามจําระยะยาวและเช่ือมโยงเข๎ากับสิ่งท่มี ีอยูํแล๎ว ในความจาํ ระยะยาว การเรยี นร๎อู ยํางมีความหมายก็จะเกดิ ข้ึน 5) การเรยี กคนื การเรยี กคนื ข๎อมูลท่ีเกบ็ ไว๎ในความจาํ ระยะยาวเพ่ือนาํ ออกมา ใช๎ มีความสมั พนั ธ์อยํางใกลช๎ ดิ กบั การเข๎ารหสั หากการเข๎ารหสั ทาํ ให๎เกิดการเก็บ ความจาํ ไดด๎ ีมีประสิทธิภาพ การเรยี กคืนก็จะมปี ระสิทธภิ าพตามไปดว๎ ย จดุ เด่น ของรปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ พฒั นาดา้ นพทุ ธิพสิ ัย เปน็ รูปแบบการเรยี นการสอนทม่ี งุํ ชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดความรู๎ความเข๎าใจในเน้อื หาสาระ ตําง ๆ ซง่ึ เน้อื หาสาระน้ันอาจอยใํู นรูปแบบของข๎อมูล ข๎อเทจ็ จริง มโนทศั หรอื ความคดิ รวบยอด จดุ ด้อย ของรูปแบบการเรยี นการสอนที่เนน้ พัฒนาดา้ นพุทธิพิสยั เป็นรปู แบบการเรยี นการสอนไปในทางทฤษฏเี ป็นสวํ นมากในการวัดผลประเมนิ ผล จงึ ไมํ สามารถเขา๎ ใจถึงลกั ษณะนสิ ยั ของผ๎ูเรยี น ตามเชงิ พฤตกิ รรม 3.2 รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจติ พิสยั (Affective Domain) รปู แบบการเรียนการสอนในหมวดนี้เป็นรปู แบบที่มํุงชํวยพัฒนาผเู๎ รยี นให๎เกดิ ความรู๎สึก เจตคติ คํานยิ ม คุณธรรม และจรยิ ธรรมทีพ่ ึงประสงค์ ซง่ึ เปน็ เรื่องทีย่ ากแกกํ ารพฒั นาหรือ ปลกู ฝงั การจดั การเรยี นการสอนตามรูปแบบการสอนทเ่ี พยี งใหเ๎ กดิ ความรูค๎ วามเข๎าใจ มักไมํเพยี งพอตํอ การให๎ผ๎ูเรยี นเกิดเจตคติทด่ี ีได๎ จําเป็นตอ๎ งอาศยั หลักการและวิธีการอน่ื ๆ เพมิ่ เตมิ รปู แบบท่ีคัดสรรมา นาํ เสนอในทนี่ ี้มี 4 รปู แบบดงั นี้ 2.1 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาด๎านจิตพิสัยของบลูม (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) 2.2 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการซกั คา๎ น (Jurisprudential Model) 2.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชบ๎ ทบาทสมมติ (Role Playing Model) 50
3.2.1 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาด้านจติ พิสยั ของบลูม (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) บลมู ไดเ๎ สนอแนวคิดในการ จดั การเรียนการสอนไว๎ 5 ขั้นตอน คือ 1. ขนั้ การรับรู๎ (Receiving or attending)หมายถงึ การท่ีผ๎ูเรยี นได๎รบั รู๎คํานยิ ม ทต่ี ๎องการจะปลูกฝงั ในตัวผเู๎ รียน 2. ขน้ั การตอบสนอง (Responding) หมายถงึ การที่ผ๎เู รียนได๎รับรแู๎ ละเกิด ความสนใจในคาํ นิยมนน้ั แลว๎ มีโอกาสได๎ตอบสนองในลกั ษณะใดลักษณะหน่ึง 3. ขัน้ การเห็นคณุ คาํ (Valuing) เป็นข้ันทผ่ี เ๎ู รยี นไดร๎ บั ประสบการณ์เก่ยี วกบั คํานิยมน้ัน และเหน็ คุณคําจนทําใหผ๎ ๎ูเรียนมีเจตคติที่ดีตํอคํานยิ มนัน้ 4. ข้ันการจัดระบบ (Organization)เป็นขัน้ ทผี่ ูเ๎ รียนรับคํานิยมทต่ี นเหน็ คุณคาํ นน้ั เข๎ามาอยํูในระบบคาํ นยิ มของตน 5. ขั้นการสรา๎ งลกั ษณะนสิ ัย (Characterization)เปน็ ขั้นที่ผเู๎ รยี นปฏิบตั ติ าม คาํ นิยมท่ีตนรับมอยาํ งสมา่ํ เสมอและทาํ จนเปน็ นสิ ัย ซง่ึ ท้ัง 5 ขั้นตอนนส้ี ามารถนํามาใชใ๎ นการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝงั คาํ นิยมท่ีพึงประสงคห์ รือจติ พิสัยทตี่ ๎องการได๎ 5 ขนั้ ดงั น้ี ขนั้ ท่ี 1 การรับร๎คู ํานิยม (Receiving / attending) ผ๎ูสอนจดั ประสบการณ์หรอื สถานการณ์ทช่ี ํวยใหผ๎ ๎ูเรยี นได๎รับรูค๎ าํ นิยมนั้นอยํางใสํใจ ให๎นกั เรียนมพี ัฒนาการในการยอมรบั (อยาํ งใจ กว๎าง) ถงึ ความแตกตํางกนั ของสง่ิ ตําง ๆ ท่ผี าํ นเขา๎ มา เชํน คน ส่งิ ของ ผลงาน ปรากฏการณ์ พฤติกรรมท่ี ต๎องการใหเ๎ กดิ คอื 1. การรูต๎ วั (Awareness) เปน็ ความรู๎สกึ ตอํ ส่ิงหน่ึงสิ่งใด เพือ่ รับทราบส่ิงน้นั ๆ 2. ความเต็มใจรบั ร๎ู (Willingnes) เป็นความพอใจทจี่ ะรับร๎ู แตํไมํมีการตัดสินใจใดๆ 3. การควบคมุ การรับร๎ู (Control) เปน็ การเลอื กหรือบังคบั ตนเอง เพ่ือเอาใจใสํ ตํอสงิ่ หนงึ่ ส่งิ ใด ไมํวําจะเปน็ ส่ิงเร๎าอยาํ งใด ขน้ั ที่ 2 การตอบสนองตํอคํานิยม (Responding) ผสู๎ อนจัดสถานการณ์ให๎ผ๎เู รยี น มโี อกาสตอบสนองคํานิยมน้ันในลักษณะใดลักษณะหนง่ึ เชํน ใหพ๎ ูดแสดงความคดิ เหน็ ตํอคํานิยมนน้ั ลอง ทําตามคํานยิ ม พฤติกรรมที่ต๎องการใหเ๎ กิด คือ 1. การยนิ ยอมตอบสนอง (Acquiescencs in Responding) 2. ความเต็มใจท่จี ะโต๎ตอบ (Willingness to Response) 3. ความพงึ พอใจในการตอบสนอง (Satisfaction in Response) 51
ขน้ั ท่ี 3 การเห็นคุณคําของคํานยิ ม (Valuing) ผ๎สู อนจัดประสบการณห์ รือ สถานการณ์ทช่ี วํ ยให๎ผเ๎ู รยี นได๎เห็นคณุ คําของคาํ นยิ มน้ัน เชํนให๎ลองปฏิบัติตามคํานยิ มแล๎วได๎รบั การ สนองตอบในทางท่ดี เี หน็ ประโยชนห์ รือโทษท่ีเกิดขึน้ จากการปฏบิ ตั ิและไมํปฏบิ ตั ิตามคํานิยมนนั้ พฤติกรรมทีต่ ๎องการให๎เกิด คือ 1. การยอมรบั ในคณุ คําน้ัน (Acceptance of a Value) 2. การช่นื ชอบในคุณคาํ นนั้ (Preference for a Value) 3. ความผูกพันในคุณคาํ นนั้ (Commitment) ขั้นที่ 4 การจดั ระบบคาํ นิขม (Organization) เมอ่ื ผ๎ูเรียนเหน็ คณุ คาํ ของคาํ นยิ ม และเกิดเจตคติท่ีดตี ํอคาํ นิยมน้นั จะเกิดความโน๎มเอยี งทจ่ี ะรับคาํ นิยมนน้ั มาใช๎ในชวี ติ ของตน ผ๎ูสอนควร กระตน๎ุ ใหผ๎ ๎ูเรียนพิจารณาคํานยิ มน้นั กบั คํานิยมอ่ืน ๆ และสร๎างความสมั พนั ธ์ระหวํางคาํ นยิ มตาํ ง ๆ ของ ตน พฤติกรรมทผี่ ๎ูสอนควรกระตนุ๎ ผ๎ูเรยี นเพื่อให๎เกิดพฤติกรรมคือ 1. การสร๎างมโนทศั น์ในคณุ คําน้ัน (Conceptualiazation of a Vaiue) 2. การจัดระบบคุณคาํ น้ัน (Organization of a Value System) ขัน้ ที่ 5 การสรา๎ งลักษณะนิสัย (Characterization by a Value ) ผส๎ู อนสงํ เสริม ใหผ๎ ู๎เรียนปฏิบัตติ นตามคํานยิ มน้นั อยาํ งสมํ่าเสมอ โดยตดิ ตามผลการปฏบิ ตั ิและใหข๎ อ๎ มลู ปูอนกลบั และ เสรมิ แรงเปน็ ระยะ จนกระทงั่ ผ๎ูเรียนปฏิบัตเิ ปน็ นสิ ยั พฤติกรรมทต่ี อ๎ งการให๎เกิดในขั้นน้ี คือ 1. การมีหลักยึดในการตัดสนิ ใจ (Generalized Set) 2. การปฏิบตั ติ ามหลักยึดนน้ั จนเปน็ นิสัย (Characterization) วัตถปุ ระสงค์ของจัดการเรียนการสอนเพือ่ พัฒนาดา๎ นจติ พิสยั ของบลูม เพอ่ื ให๎ผเ๎ู รียนเกิดการพฒั นาความรู๎สกึ เจตคติ คํานิยม คุณธรรม จริยธรรม ท่พี งึ ประสงค์ อนั จะนาํ ไปสูํการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมให๎เปน็ ไปตามความต๎องการ ผลทผี่ ูเ๎ รยี นจะไดร๎ ับจากการจัดการเรยี นการสอนที่เนน๎ จติ พิสยั ผู๎เรยี นจะไดร๎ บั การปลูกฝงั คาํ นยิ มท่ีพงึ ประสงคจ์ นถงึ ระดับที่สามารถปฏิบัติได๎จนเปน็ นสิ ัย และได๎กระบวนการในการ ปลกู ฝังคาํ นยิ มให๎เกิดขึ้นจนสามารถนาํ ไปใช๎ในการปลูกฝงั คํานยิ มอนื่ ๆ ให๎แกํตนเองหรือผ๎อู น่ื ตํอไป 3.2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซกั คา้ น (Jurisprudential Model) จอยส์ และ วีล (Joyce & weil, 1996 :106-128) พฒั นารูปแบบนี้ข้นึ จากแนวคดิ ของโอลิเวอร์และ เชเวอร์ (Oliver and Shaver) เก่ียวกับการตัดสินใจอยํางชาญฉลาดในประเด็นปัญหา ขดั แย๎งตาํ ง ๆ ซ่งึ มสี วํ นเกยี่ วพันกบั เรือ่ งคาํ นิยมที่แตกตาํ งกัน ปัญหาดงั กลําวอาจเป็นปัญหาทางสังคม หรือ ปัญหาสํวนตัว ท่ียากแกํการตัดสินใจ การตัดสินใจอยํางชาญฉลาด ก็คือการสามารถเลือกทางท่ีเป็น ประโยชน์มากท่ีสุด โดยกระทบตํอส่ิงอ่ืน ๆ น๎อยที่สุด ผ๎ูเรียนควรได๎รับการฝึกฝนให๎รู๎จักวิเคราะห์ปัญหา 52
ประมวลข๎อมูล ตัดสินใจเลือกทางเลือกอยํางมีเหตุผล และแสดงจุดยืนของตนได๎ ผ๎ูสอนสามารถใช๎ กระบวนการซกั ค๎านอนั เปน็ กระบวนการทใ่ี ช๎กนั ในศาล มาทดสอบผ๎ูเรียนวําจุดยืนท่ีตนแสดงนั้นเป็นจุดยืน ที่แท๎จรงิ ของตนหรือไมํ โดยการใช๎คาํ ถามซักค๎านท่ีชํวยให๎ผู๎เรียนย๎อนกลับไปพิจารณาความคิดเห็นอันเป็น จดุ ยนื ของตน ซง่ึ อาจทําใหผ๎ ๎ูเรียนปรบั เปล่ยี นความคิดเหน็ หรอื จุดยืนของตน หรือยนื ยันจดุ ยืนของตนอยําง มั่นใจขึ้น กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ข้นั ท่ี 1 นาเสนอกรณีปัญหา ประเด็นปัญหาทน่ี ําเสนอควรเป็นประเด็นท่มี ที างออกให๎คดิ ได๎หลาย คําตอบ ควรเป็นประโยคที่มีคําวํา “ควรจะ..” เชํน ควรออกกฎหมายห๎ามคนสูบ บหุ รห่ี รอื ไมํ ? ควรอนญุ าตให๎นกั เรียนประกวดนางงามหรือไมํ อยํางไรก็ตามควร หลีกเล่ียงประเด็นปัญหาที่เก่ียวข๎องกับความเชื่อทางศาสนาที่แตกตํางกัน วิธีการ นําเสนออาจกระทําได๎หลายวิธี เชํน การอํานเรื่องให๎ฟัง การให๎ดูภาพยนตร์ การ เลําประวัติความเป็นมา ครูต๎องระลึกเสมอวําการนําเสนอปัญหานั้นต๎องทําให๎ นกั เรียนไดร๎ ข๎ู อ๎ เทจ็ จริงท่ีเกีย่ วข๎องกับปัญหา ร๎ูวําใครทําอะไร เม่ือใด เพราะเหตุใด และมีแงมํ มุ ของปัญหาที่ขัดแย๎งกันอยํางไร ให๎ผู๎เรียนประมวลข๎อเท็จจริงจากกรณี ปัญหาและวเิ คราะหห์ าคาํ นยิ มทีเ่ กีย่ วขอ๎ งกัน ขนั้ ท่ี 2 ให้ผู้เรียนแสดงจดุ ยืนของตนเอง ขัน้ ท่ี 3 ผสู้ อนใช้คาถาม ทมี่ ีลักษณะดังตัวอยํางตํอไปน้ี 3.1) ถ๎ามีจดุ ยนื อน่ื ๆ ใหเ๎ ลอื กอกี ผเู๎ รียนยงั ยนื ยนั ที่จะเลอื กจุดยืนเดมิ หรือไมํ เพราะอะไร 3.2) หากสถานการณ์แปรเปล่ียนไปผูเ๎ รียนยังจะยนื ยันทจ่ี ะเลือกจุดยนื เดมิ นี้หรอื ไมํ เพราะอะไร 3.3) ถา๎ ผ๎ูเรยี นตอ๎ งเผชญิ กบั สถานการณ์อน่ื ๆ จะยังยนื ยันจุดยนื นีห้ รอื ไมํ 3.4) ผเ๎ู รียนมีเหตผุ ลอะไรท่ียึดมน่ั กับจุดยนื นน้ั จุดยนื นัน้ เหมาะสมกบั สถานการณ์ทีเ่ ป็นปญั หานน้ั หรอื ไมํ 3.5) เหตุผลทีย่ ึดมนั่ กับจุดยืนน้ันเป็นเหตุผลท่ีเหมาะกบั สถานการณ์ที่ เป็นอยูํหรอื ไมํ 3.6) ผูเ๎ รียนมขี ๎อมูลเพยี งพอทจ่ี ะสนบั สนนุ จดุ ยืนนั้นหรอื ไมํ 3.7) ข๎อมูลท่ีผเ๎ู รียนใชเ๎ ปน็ พืน้ ฐานของจุดยนื น้ันถกู ต๎องหรอื ไมํ 3.8) ถ๎ายดึ จุดยืนนีแ้ ล๎วผลท่เี กดิ ขึน้ ตามมาคืออะไร 53
3.9) เม่อื รู๎ผลทีเ่ กดิ ตามมาแล๎ว ผเู๎ รยี นยงั ยืนยนั ที่จะยึดถือจดุ ยนื นี้อกี หรือไมํ ขน้ั ท่ี 4 ผู้เรยี นทบทวนในคา่ นิยมของตนเอง ผสู๎ อนเปิดโอกาสใหผ๎ ๎เู รียนพิจารณาปรบั เปลยี่ น หรอื ยนื ยันในคํานิยม ทย่ี ึดถือ ขนั้ ท่ี 5 ผ้เู รียนตรวจสอบและยนื ยนั จุดยืนใหม/่ เกา่ ของตนอกี ครัง้ และผ๎เู รยี น พยายามหาขอ๎ เท็จจรงิ ตาํ ง ๆ มาสนบั สนุนคาํ นยิ มของตนเพ่ือยนื ยันวําสิง่ ทตี่ น ยึดถืออยํูน้นั เป็นคํานยิ มท่แี ท๎จริงของตน 3.2.3 รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Model) รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช๎บทบาทสมมติ พฒั นาขน้ึ โดย แชฟเทล และ แชฟเทล (Shaftel and Shaftel, 1967: 67-71) ซ่ึงให๎ความสําคัญกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล เขากลําววํา บุคคลสามารถเรียนรู๎เกี่ยวกับตนเองได๎จากการปฏิสัมพันธ์กับผ๎ูอ่ืน และความรู๎สึกนึกคิดของ บคุ คลก็เปน็ ผลมาจากมกี ารปะทะสัมพันธ์กับสง่ิ แวดล๎อมรอบข๎าง และได๎ส่ังสมไว๎ภายในลึก ๆ โดยที่บุคคล อาจไมํรู๎ตัวเลยก็ได๎ การสวมบทบาทสมมติเป็นวิธีการท่ีชํวยให๎บุคคลได๎แสดงความร๎ูสึกนึกคิดตําง ๆ ที่อยูํ ภายในออกมา ทําให๎สิ่งที่ซํอนเร๎นอยํูเปิดเผยออกมา และนํามาศึกษาทําความเข๎าใจกันได๎ ชํวยให๎บุคคล เกดิ การเรียนรเู๎ ก่ียวกับตนเอง เกิดความเขา๎ ใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การท่ีบุคคลสวมบทบาทของผู๎อ่ืน กส็ ามารถชํวยให๎ผเู๎ รยี นเกิดความเข๎าใจในความคิด คํานยิ ม และพฤตกิ รรมของผ๎ูอืน่ ได๎เชนํ เดียวกนั กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขัน้ ที่ 1 นําเสนอสถานการณ์ปญั หาและบทบาทสมมติ ผูส๎ อนนาํ เสนอ สถานการณ์ ปัญหา และบทบาทสมมติ ที่มลี ักษณะใกล๎เคียงกับความเปน็ จรงิ และมีระดับยากงําย เหมาะสมกบั วัยและความสามารถของผู๎เรยี น บทบาทสมมติทก่ี ําหนด จะมีรายละเอียดมากน๎อยเพยี งใด ขนึ้ อยูํกับวตั ถุประสงค์ในการเรียนการสอน ถ๎าต๎องการใหผ๎ ู๎เรียนเปดิ เผยความคิด ความร๎สู ึกของตนมาก บทบาทท่ีให๎ควรมลี ักษณะเปิดกวา๎ ง กาํ หนดรายละเอียดให๎นอ๎ ย แตํถ๎าต๎องการจะเจาะประเด็นเฉพาะ อยําง บทบาทสมมติอาจกําหนดรายละเอยี ด ควบคุมการแสดงของผเ๎ู รียนให๎มงุํ ไปท่ีประเดน็ เฉพาะน้นั ขั้นท่ี 2 เลอื กผแ๎ู สดง ผสู๎ อนและผ๎ูเรยี นจะรํวมกนั เลือกผ๎ูแสดง หรือให๎ผ๎เู รียน อาสาสมัครกไ็ ด๎ แล๎วแตํความเหมาะสมกับวตั ถุประสงค์ และการวนิ ิจฉยั ของผ๎สู อน ขั้นท่ี 3 จัดฉาก การจดั ฉากน้ันจัดได๎ตามความพรอ๎ มและสภาพการณ์ที่เปน็ อยํู ขน้ั ท่ี 4 เตรียมผ๎ูสงั เกตการณ์ กอํ นการแสดงผ๎สู อนจะตอ๎ งเตรยี มผ๎ูชมวาํ ควร สงั เกตอะไร และปฏิบัติตวั อยํางไรเพ่ือให๎เกิดการเรียนรท๎ู ี่ดี ข้ันที่ 5 แสดง ผู๎แสดงมีความสาํ คัญเปน็ อยํางยิง่ ในการทจ่ี ะทาํ ใหผ๎ ชู๎ มเขา๎ ใจ 54
เรือ่ งราวหรอื เหตุการณ์ ผแู๎ สดงจะต๎องแสดงออกตามบทบาททต่ี นไดร๎ ับให๎ดที ส่ี ดุ ขนั้ ที่ 6 อภปิ รายและประเมินผล การอภิปรายผลสํวนใหญํจะแบํงเปน็ กลํุมยํอย การอภิปรายจะเปน็ การแสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั เหตุการณ์ การแสดงออกของผ๎แู สดง และควรเปิด โอกาสใหผ๎ ู๎แสดงได๎แสดงความคิดเหน็ ดว๎ ย ขั้นที่ 7 แสดงเพ่มิ เตมิ ควรมีการแสดงเพิ่มเตมิ หากผูเ๎ รยี นเสนอแนะทางออกอ่ืน นอกเหนือจากที่ได๎แสดงไปแล๎ว ข้ันที่ 8 อภิปรายและประเมินผลอีกคร้ัง หลังจากการแสดงเพมิ่ เตมิ กลมุํ ควร อภิปราย และประเมินผลเก่ยี วกบั การแสดงครง้ั ใหมํดว๎ ย ขัน้ ที่ 9 แลกเปลยี่ นประสบการณ์และสรุปการเรยี นรู๎ แตลํ ะกลํมุ สรปุ ผลการ อภิปรายของกลํมุ ตน และหาขอ๎ สรุปรวม หรอื การเรียนรูท๎ ่ไี ดร๎ บั เก่ียวกบั ความรู๎สึก ความคิดเห็น คาํ นิยม คณุ ธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมของบคุ คล วเิ คราะหจ์ ดุ เดํน จุดด๎อย ของรปู แบบการสอนทีน่ าํ เสนอมาในขัน้ ตน๎ รปู แบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาด๎านจิตพสิ ยั ของบลมู จดุ เดนํ คอื มีการนาํ เอาหวั ข๎อทส่ี ําคญั อยํางมากของการคดิ เเละกําหนดโครงสร๎าง สามารถนาํ ไปปฎบิ ัติใชง๎ านได๎ จุดด๎อย คือ การดําเนินการในขนั้ ตอนทั้ง 5 ข้ัน ไมํสามารถทาํ ได๎ในระยะเวลาอนั ส้ัน ตอ๎ ง อาศยั เวลา โดยเฉพาะในข้ันที่ 4 และ 5 ต๎องการเวลาในการปฏบิ ตั ิ ซ่งึ อาจจะมากน๎อยแตกตาํ ง กนั ไปในผเ๎ู รียนแตลํ ะคน 3.3 รปู แบบเนน้ ด้านทักษะพิสยั ทกั ษะพสิ ยั เป็นกระบวนการที่ เป็นความสามารถของนกั เรียนหรอื ผู๎เข๎ารบั การ ฝึกอบรมในด๎านท่ีเก่ียวข๎องกับการปฏิบัติหรือการกระทํา ด๎วยการแสดงออกตํางๆทั้งท่ีเกี่ยวข๎องกับการ พัฒนาทาง รํางกาย และการแสดงออกมาให๎เห็นทางด๎านรํางกาย ซ่ึงเป็นการทํางานของกล๎ามเน้ือท่ีอาจ ซับซ๎อนต๎องใช๎ กล๎ามเนื้อหลายสํวนประกอบกันซึ่งเกิดจากการส่ังงานของสมองซึ่งต๎องมีปฏิสัมพันธ์กับ ความรส๎ู กึ ท่เี กดิ ขึ้นและทักษะสํวนใหญทํ ี่เกิดข้ึน ภายในรํางกายก็ได๎ เชํน ทักษะด๎านการคิดเป็นการฝึกการ ใชง๎ านสมองใหเ๎ กดิ ประสทิ ธิภาพซึง่ จะสามารถแสดงออกมา ให๎เห็นเปน็ ภาพ ภายนอกอีกคร้ัง ตัวอยํางเชํน การฝึกฝนงานการออกแบบเส้ือผ๎าเมื่อมีทักษะความคิด ที่ดีเยี่ยมในการออก แบบเส้ือผ๎าแล๎ว เมื่อนํางาน ออกแบบเส้ือผ๎า ดังกลําวไปตัดเย็บจะได๎ให๎เห็น ผลงานท่ีดีเยี่ยมตามมาเชํนกัน นั่นคือจะได๎เสื้อผ๎าท่ีมี ความสวยงามน่ันเอง ดังนั้นสามารถสรุปได๎วํา ความหมายของทักษะ ไมํได๎เป็นเพียงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น จากการใช๎ราํ งกาย 55
ภายนอกอยํางเดียวเทาํ นนั้ แตํเปน็ พฤติกรรมท่สี ามารถเกิดข้ึนภายในราํ งกายก็ได๎ เชนํ สมองความคิดหรอื การฝกึ ฝนความคดิ และสตปิ ัญญา ทเี่ รียกวาํ ทักษะทางปัญญา หรอื ทักษะทาง ความคิด ซงึ่ ไมํได๎เป็นการฝกึ ให๎จาํ อยํางเดียวเทํานั้น เชํน อาชีพโปรแกรมเมอร์ หรอื Graphic Designer, หรอื นักออกแบบภาพเคลือ่ นไหว ทเ่ี รียกวาํ นกั Animator เปน็ ตน๎ ทักษะสวํ นใหญํประกอบด๎วยทกั ษะ ยํอยๆ โดยทักษะน้ีพฒั นาไดด๎ ๎วยการฝกึ ฝนท่ํดีจึงจะเกดิ ความ ชาํ นาญในการใช๎งานรํางกายสํวนตํางๆ นนั่ เอง ในทีน่ ้ีจะกลําวถงึ รปู แบบซึ่งเป็นทฤษฎดี า๎ นทักษะพิสยั ของเดฟ (Dave'model) ซิมซัน (Simson's model) แฮร์โรว์ (Harrow's model) ทีไ่ ดจ๎ ดั ลําดบั ขนั้ พฤตกิ รรมดา๎ นทักษะพิสยั โดยแบงํ ตาม พัฒนาการ 3.3.1 รปู แบบการเรยี นการสอนทักษะปฏิบัตขิ องเดฟ (Dave) ทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) พฤตกิ รรมการเรียนรูท๎ บ่ี ํงถึงความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิ งานไดอ๎ ยํางคลํองแคลํวชาํ นชิ าํ นาญ พฤติกรรมด๎านนจี้ ะเห็นได๎จากกระทําซ่ึงแสดงผลของการ ปฏบิ ตั อิ อกมาไดโ๎ ดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงาน เป็นตวั ชี้ระดับของทักษะที่เกิดวํามมี ากน๎อย เพยี งใด การทีจ่ ะทาํ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นเกดิ การเรียนร๎ทู างดา๎ นทักษะพิสัย ผเู๎ รียนจะต๎องพรอ๎ มทจี่ ะใช๎อวยั วะตาํ ง ๆ พฤติกรรมดา๎ นทักษะพสิ ยั ประกอบดว๎ ย พฤติกรรมยํอย ๆ 5 ขั้น ดงั นี้ 1. การรับร๎ู เป็นการให๎ผ๎ูเรียนได๎รบั รห๎ู ลักการปฏิบัติทีถ่ ูกต๎อง หรือ เปนู การเลอื ก หาตวั แบบทีส่ นใจ 2. กระทําตามแบบ หรอื เคร่ืองชี้แนะ เปน็ พฤติกรรมทีผ่ ๎ูเรยี นพยายามฝึกตาม แบบท่ตี นสนใจและพยายามทําซาํ้ เพ่ือที่จะใหเ๎ กดิ ทักษะตามแบบทต่ี นสนใจใหไ๎ ด๎ หรอื สามารถปฏิบัติงานได๎ตามข๎อแนะนาํ 3. การหาความถูกต๎อง เป็นพฤติกรรมท่ีผ๎ูเรียนสามารถปฏบิ ตั ิงานได๎ดว๎ ยตนเอง โดยไมํต๎องอาศัยเคร่ืองช้ีแนะ เมื่อได๎กระทําซ้ําแล๎ว กพ็ ยายามหาความถูกต๎องใน การปฏบิ ัติ ซง่ึ จะพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง อาจจะเหมือนหรือไมเํ หมือนกับตวั แบบเดมิ ก็ได๎ 4. การกระทําอยํางตอํ เนื่อง หลังจากท่ไี ด๎ตดั สินใจเลือกรปู แบบทเี่ ปน็ ของตัวเองก็ จะมีการกระทําตามรปู แบบน้ันอยํางตํอเน่อื ง จนปฏบิ ัติงานทย่ี งํุ ยากซับซ๎อนได๎ เป็นพฤติกรรมทผ่ี ๎ูเรยี นสามารถปฏบิ ัตงิ านได๎อยาํ งรวดเร็ว ถูกต๎อง และคลํองแคลํว น่นั คือ เกดิ ทกั ษะขนึ้ แล๎ว การทจ่ี ะทําใหผ๎ ูเ๎ รียนเกิดทักษะได๎จะต๎องอาศยั การ ฝึกฝนในเรือ่ งนน้ั ๆ และกระทําอยํางสมาํ่ เสมอ 56
5. การกระทําได๎อยํางเปน็ ธรรมชาติ เปน็ พฤติกรรมสดุ ท๎ายที่จะได๎จากการฝึก อยาํ งตํอเนื่อง จนสามารถปฏิบตั ิส่ิงนนั้ ๆ ไดค๎ ลํองแคลวํ วํองไว โดยอัตโนมตั ิ ดู เป็นไปอยาํ งธรรมชาติไมํขัดเขิน ซง่ึ ถอื เป็นความสามารถของการปฏิบตั ใิ นระดบั สูง 3.3.2 รปู แบบการเรยี นการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ขิ องแฮร์โรว์ แฮรโ์ รว์ (Harrow. 1972) ได๎จัดลําดับข้ันของการเรยี นร๎ูทางกกดา๎ นทักษะ ปฏิบตั ิ โดยเริ่มจากระดบั ท่ีซับซ๎อนน๎อยไปจนถึงระดับที่มคี วามซับซ๎อนมากซึง่ กระบวนการเรียนการสอน ของรปู แบบมที ั้ง หมด 5 ขนั้ คือ ระเบยี บวธิ กี ารสอน(Methodology) 1. ข้นั การเลียนแบบ เปน็ ขั้นที่ทาํ ให๎ผ๎ูเรียนสงั เกตการกระทํา ท่ีตอ๎ งการให๎ผู๎เรียน ทําไดม๎ ุํงให๎ผ๎ูเรยี นยํอมจะรบั รู๎หรอื สังเกตเห็นรายละเอียดตําง ๆ ไดไ๎ มคํ รบถ๎วน แตํอยํางน๎อยผู๎เรยี นจะ สามารถบอกไดว๎ าํ ขนั้ ตอนหลักของการกระทํานัน้ ๆ มีอะไรบา๎ ง 2. ขัน้ การลงมือกระทําตามคําสัง่ เมอ่ื ผู๎เรียนได๎เหน็ และสามารถบอกขน้ั ตอนของ การกระทํา ทตี่ ๎องการเรียนร๎แู ลว๎ ใหผ๎ เ๎ู รยี นลงมอื ทาํ โดยไมํมีแบบอยาํ งให๎เห็น ผ๎ูเรียนอาจลงมือทําตามคําสั่ง ของผ๎ูสอน หรือทําตามคํา ส่ังท่ีผ๎สอนเขียนไว๎ในคูํมือก็ได๎ การลงมือปฏิบัติตามคําสั่งนี้แม๎ผู๎เรียนจะยังไมํ สามารถทํา ได๎อยํางสมบูรณ์แตํอยํางน๎อยผ๎ูเรียนก็ได๎ประสบการณ์ใน การลงมือทํา และค๎นพบปัญหาตําง ๆ ซึ่งชํวยให๎ เกดิ การเรียนรู๎ และการปรับการกระทํา ใหถ๎ ูกตอ๎ งสมบรู ณข์ ้ึน 3. ขั้นการกระทาํ อยํางถูกต๎องสมบูรณ์ (Precision) ขนั้ น้เี ป็นข้ันท่ผี ู๎เรียนจะต๎อง ฝึกฝนจนสามารถทาํ สิง่ น้ัน ๆ ได๎อยํางถูกต๎องสมบรู ณ์ โดยไมจํ าํ เปน็ ต๎องมแี บบอยํางหรือมีคาํ สั่งนําทางการ กระทาํ ทถี่ กู ต๎องแมนํ ยาํ ตรง พอดสี มบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่ผู๎เรยี นจะต๎องสามารถทําได๎ในขั้นนี้ 4. ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขนั้ น้ีเป็นขัน้ ที่ผูเ๎ รยี นมีโอกาสได๎ฝึกฝนมากขึ้น จนกระท่งั สามารถกระทาํ ส่ิงน้ันได๎ถูกตอ๎ งสมบูรณ์แบบ อยํางคลํองแคลํว รวดเร็ว ราบรน่ื และดว๎ ยความ ม่ันใจ 5. ขั้นการกระทาํ อยํางเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ขนั้ นเ้ี ป็นขน้ั ทีผ่ ู๎เรียน สามารถกระทํา สงิ่ นั้น ๆอยาํ งสบาย เป็นไปอยาํ งอัตโนมตั โิ ดยไมรํ ๎ูสึกวําต๎องใช๎ความพยายาม เปน็ พเิ ศษ ซง่ึ ตอ๎ งอาศยั การปฏิบตั ิบํอย ๆ ในสถานการณต์ ําง ๆ ท่ีหลากหลาย 57
3.3.3 รปู แบบการเรยี นการสอนทักษะปฏบิ ตั ขิ อง Simpson ซิมพ์ซัน (Simpson. 1972) กลาํ ววํา ทกั ษะปฏบิ ัตินีส้ ามารถพฒั นาไดด๎ ว๎ ยการ ฝึกฝน ซ่ึงหากไดร๎ ับการฝกึ ฝนทดี่ แี ล๎ว จะเกิดความถูกตอ๎ ง ความคลํองแคลํว ความเชยี่ วชาญชาํ นาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทําสามารถสังเกตได๎จากความรวดเรว็ ความแมนํ ยํา ความ แรงหรือความราบรนื่ ในการจัดการ ซง่ึ กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบมีท้งั หมด 7 ขนั้ คอื ระเบียบวิธกี ารสอน(Methodology) 1. ขนั้ การรบั ร๎ู (Perception) เปน็ ขนั้ การให่๎ผ๎เรียนรบั ่รใ๎ นสิ่งที่จะทําโดยการให๎ ผู๎เรียนสังเกตการณ์ทํางานนน้ั อยาํ งตง้ั ใจ 2. ขั้นการเตรยี มความพร๎อม (Readiness) เป็นขน้ั การปรับตัวให๎พร๎อมเพื่อการ ทาํ งานหรือแสดงพฤติกรรมนั้น ทัง้ ทางดา๎ นรํางกาย จิตใจ และอารมณ์ โดยการปรบั ตวั ให๎พรอ๎ มท่จี ะทํา การเคล่ือนไหวหรือแสดงทักษะนั้น ๆ และมจี ิตใจและสภาวะอารมณ์ท่ดี่ ีตํอการทีจ่ ะทํา หรอื แสดงทักษะ น้นั ๆ 3. ข้ันการสนองตอบภายใต๎การควบคมุ (Guided Response) เปน็ ขนั้ ทใี่ ห๎โอกาส แกผํ ู๎เรียนในการตอบสนองตํอสงิ่ ทร่ี ับ่รซ๎ งึ่ อาจใช๎วิธีการให๎ผ๎เู รียนเลยี นแบบการกระทํา หรือการแสดง ทักษะนั้น หรืออาจใช๎วิธกี ารใหผ๎ ๎ูเรยี นลองผดิ ลองถูก (Trial and Error) จนกระทัง่ สามารถตอบสนองได๎ อยาํ งถูกต๎อง 4. ขน้ั การให๎ลงมือกระทํา จนกลายเปน็ กลไกที่สามารถกระทํา ไดเ๎ อง (Mechanism) เปน็ ข้ันที่ชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนประสบผลสาํ เร็จในการปฏิบตั แิ ละเกิดความเชื่อม่นั ในการทําส่งิ นน้ั ๆ 5. ขนั้ การกระทําอยาํ งชาํ นาญ (Complex Overt Response) เปน็ ข้ันที่ชวํ ยให๎ ผู๎เรียนได๎ฝึกฝนการกระทําน้นั ๆ จนผ๎ูเรยี นสามารถทําได๎อยํางคลํองแคลํว ชาํ นาญเป็นไปโดยอัตโนมตั แิ ละ ด๎วยความเชือ่ ม่นั ในตนเอง 6. ขัน้ การปรับปรุงและประยุกต์ใช๎ (Adaptation) เป็นขนั้ ทชี่ วํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนปรบั ปรุง ทักษะหรอื การปฏิบตั ิของตนให๎ดียงิ่ ขนึ้ และประยุกต์ใชท๎ กัษะที่ ตนไดร๎ บั การพัฒนาในสถานการณ์ตําง ๆ 7. ข้ันการคดิ รเิ ร่มิ (Origination) เมื่อผ๎เู รยี นสามารถปฏบิ ตั ิหรอื กระทําสิง่ ใด สิ่งหนึ่งอยําง ชาํ นาญและสามารถประยุกตใ์ ช๎ในสถานการณท์ ่ีหลาก หลายแล๎ว ผ๎ปู ฏบิ ัตจิ ะเริ่มเกิด ความคิดใหมํ ๆ ในการ กระทําหรอื ปรับการกระทํานนั้ ให๎เปน็ ไปตามท่ตี นต๎องการ ตัวอยาํ งการจัดการเรยี นการสอนท่ีเน๎นทางดา๎ น ทกั ษะพสิ ยั ท่ไี ด๎รบั ความนิยมใน ปัจจุบัน เชํน การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL (Problem Based Learning) เป็นรูปแบบการ แก๎ปัญหาในการทาํ งาน และ Project Based Learning ท่ีจะมรี ปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเน๎นให๎ผู๎เรียนได๎ คิด วิเคราะห์จากปัญหาในการเรียนการสอน และมีเคร่ืองมือในการวัดการจัดการเรียนการสอนทางด๎าน ทกั ษะพิสยั คอื “ชนิ้ งาน” ที่ไดจ๎ ากการทาํ แลว๎ นาํ มาประเมนิ ผลการเรียนรูท๎ ี่นักเรียนได๎รับ 58
จดุ เดน่ ดา้ นทักษะพสิ ยั สงํ เสริมใหผ๎ เู๎ รยี นไดเ๎ กดิ การเรียนร๎แู ละสรา๎ งองค์ความร๎ดู ว๎ ยตนเอง ปฎิบตั ผิ ลงานไดอ๎ ยาํ ง คลํองแคลํว และมีความชํานาญ ปฎิบัติงานได๎อยํางสร๎างสรรค์ ประณีต สะอาด เรียบร๎อย สามารถสังเกต และบันทึกพฤติกรรมได๎ มีผลงาน / โครงงานของนักเรียน สามารถนําชิ้นงานที่ทําข้ึน มาไปใช๎ได๎จริง ชวํ ยใหผ๎ เู๎ รยี นมีความสนุกสนานทจ่ี ะเรยี นร๎ูการทาํ ชน้ิ งาน จุดด้อยด้านทักษะพสิ ัย ในการผลติ ชิน้ งานแตลํ ะช้ินใช๎ระยะเวลานาน มีชอํ งโหวใํ นการให๎คะแนนของอาจารย์ วสั ดอุ ปุ กรณบ์ างอยํางมีราคาแพง ข๎อจํากดั ในเร่ืองความแตกตํางระหวาํ งบุคคลของผเู๎ รียนอาจจะเปน็ ปัญหาตํอการเรยี นร๎ู การใช๎เวลาอาจไมํพอตํอเนื้อหาทีจ่ ะสอน การทดลองบางอยาํ งอาจเกิดอนั ตรายได๎ การควบคมุ ช้ันเรยี นทําไดย๎ าก 3.4 รปู แบบเน้นทกั ษะกระบวนการ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน๎ การพัฒนาทักษะ กระบวนการ (process skill) ทักษะกระบวนการ เป็นทกั ษะท่ีเกี่ยวขอ๎ งกับวธิ ีดาํ เนินการตาํ ง ๆ ซง่ึ อาจเป็น กระบวนการทางสติปัญญา เชํน กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู๎ หรือกระบวนการคิดตําง ๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ การอุปนัย การนิรนัย การใช๎เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ และการคิด อยํางมวี ิจารณญาณ เปน็ ตน๎ หรอื อาจเป็นกระบวนการทางสังคม เชํน กระบวนการทํางานรํวมกัน เป็นต๎น ปัจจุบันการศึกษาให๎ความสําคัญกับเร่ืองน้ีมาก เพราะถือเป็นเคร่ืองมือสําคัญในการดํารงชีวิต ในที่น้ีจะ นําเสนอรปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรูเ๎ ป็นกลมํุ 3.4.1 รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรเู้ ปน็ กลมุ่ (Group Investigation Instructional Model) Joyce & Weil (1996: 80-88) เปน็ ผพู๎ ัฒนารปู แบบนจ้ี ากแนวคิดหลกั ของ Thelen 2 แนวคิด คือแนวคิดเก่ียวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู๎(inquiry) และแนวคิดเก่ียวกับความรู๎ (knowledge) Thelen ได๎อธิบายวํา ส่ิงสําคัญที่สามารถชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดความรู๎สึกหรือความต๎องการท่ี จะสืบค๎นหรือเสาะแสวงหาความร๎ูก็คือตัวปัญหา แตํปัญหาน้ันจะต๎องมีลักษณะท่ีมีความหมายตํอผู๎เรียน และท๎าทายเพียงพอที่จะทําให๎ผู๎เรียนเกิดความต๎องการท่ีจะแสวงหาคําตอบ นอกจากนั้นปัญหาท่ีชวนให๎ เกิดความงุนงงสงสัย หรือกํอให๎เกิดความขัดแย๎งทางความคิด จะยิ่งทําให๎ผ๎ูเรียนเกิดความต๎องการที่จะ เสาะแสวงหาความร๎ูหรือคําตอบมากย่ิงขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยูํในสังคม ต๎องมีปฏิสัมพันธ์กับผ๎ูอื่นใน สังคม เพื่อสนองความต๎องการของตนทั้งทางด๎านรํางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม ความ ขดั แยง๎ ทางความคิดที่เกดิ ขึน้ ระหวํางบุคคลหรือในกลุํม จึงเปน็ สิง่ ท่บี ุคคลต๎องพยายามหาหนทางขจัดแก๎ไข 59
หรือจัดการทําความกระจํางให๎เป็นที่พอใจหรือยอมรับท้ังของตนเองและผ๎ูเกี่ยวข๎อง สํวนในผ เรื่อง “ความรู๎” น้ัน เธเลนมคี วามเห็นวํา ความร๎เู ป็นเปูาหมายของกระบวนการสบื สอบทัง้ หลาย ความร๎ูเป็นสิ่งท่ี ไดจ๎ ากการนําประสบการณห์ รือความรู๎เดิมมาใช๎ในประสบการณ์ใหมํ ดังน้ัน ความร๎ูจึงเป็นสิ่งท่ีค๎นพบผําน กระบวนการสบื สอบโดยอาศัยความรแ๎ู ละประสบการณ์ รปู แบบนม้ี งุํ พัฒนาทกั ษะในการสืบสอบเพื่อใหไ๎ ด๎มาซง่ึ ความรูค๎ วามเข๎าใจ โดยอาศยั กลุมํ ซงึ่ เปน็ เคร่ืองมือทางสังคมชํวยกระตุน๎ ความสนใจหรอื ความอยากรแู๎ ละชํวยดําเนนิ งานการแสวงหาความรู๎ หรือคาํ ตอบทตี่ ๎องการ กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขน้ั ที่ 1 ให๎ผู๎เรียนเผชิญปัญหาหรอื สถานการณท์ ช่ี วนให๎งนุ งงสงสยั ปญั หาหรือ สถานการณ์ท่ีใช๎ในการกระต๎ุนความสนใจและความต๎องการในการสืบสอบและแสวงหาความร๎ูตํอไปนั้น ควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ท่ีเหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผ๎ูเรียน และจะต๎องมี ลักษณะทชี่ วนใหง๎ ุนงงสงสยั เพอ่ื ท๎าทายความคดิ และความใฝุรข๎ู องผูเ๎ รยี น ขั้นที่ 2 ให๎ผ๎ูเรียนแสดงความคิดเห็นตํอปัญหาหรือสถานการณ์น้ัน ผู๎สอนกระต๎ุนให๎ ผู๎เรียนแสดงความคิดเห็นอยํางกว๎างขวาง และพยายามกระตุ๎นให๎เกิดความขัดแย๎งหรือความแตกตํางทาง ความคิดข้ึน เพ่ือท๎าทายให๎ผู๎เรียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข๎อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิด ของตน เม่ือมีความแตกตํางทางความคิดเกิดขึ้น ผ๎ูสอนอาจให๎ผ๎ูเรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลํุมกัน หรืออาจรวมกลมุํ โดยใหแ๎ ตลํ ะกลํมุ มีสมาชิกที่มีความคิดเหน็ แตกตํางกนั ก็ได๎ ขน้ั ที่ 3 ใหผ๎ เ๎ู รียนแตลํ ะกลมํุ รํวมกนั วางแผนในการแสวงหาความรู๎ เมอ่ื กลํุมมคี วาม คิดเห็นแตกตํางกันแล๎ว สมาชิกแตํละกลุํมชํวยกันวางแผนวํา จะแสวงหาข๎อมูลอะไร กลุํมจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลํุมจําเป็นต๎องมีข๎อมูลอะไร และจะไปแสวงหาที่ไหน หรือจะได๎ข๎อมูลน้ันมาได๎ อยาํ งไร จะตอ๎ งใช๎เคร่ืองมอื อะไรบ๎าง เม่ือได๎ข๎อมูลมาแล๎ว จะวิเคราะห์อยํางไร และจะสรุปผลอยํางไร ใคร จะชํวยทําอะไร จะใช๎เวลาเทําใด ข้ันนี้เป็นขั้นท่ีผ๎ูเรียนจะได๎ฝึกทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลํุม ผ๎ูสอนทําหน๎าที่อํานวยความสะดวกในการทํางานให๎แกํผ๎ูเรียน รวมทั้งใหค๎ าํ แนะนาํ เก่ียวกับการวางแผน แหลํงความรู๎ และการทํางานรวํ มกัน ขัน้ ท่ี 4 ให๎ผู๎เรยี นดําเนินการแสวงหาความรู๎ ผเ๎ู รียนดาํ เนนิ การเสาะแสวงหาความรู๎ตาม แผนงานท่ีได๎กาํ หนดไว๎ ผู๎สอนชวํ ยอํานวยความสะดวก ให๎คําแนะนาํ และตดิ ตามการทาํ งานของผ๎ูเรียน ขั้นที่ 5 ให๎ผ๎ูเรียนวเิ คราะห์ข๎อมลู สรุปผลขอ๎ มลู นําเสนอและอภิปรายผล เม่ือกลํมุ รวบรวมขอ๎ มูลได๎มาแล๎ว กลุมํ ทาํ การวิเคราะห์ข๎อมลู และสรุปผล ตอํ จากนั้นจงึ ใหแ๎ ตํละกลํมุ นาํ เสนอผล อภิปรายผลรํวมกันท้ังชน้ั และประเมนิ ผลท้ังทางดา๎ นผลงานและกระบวนการเรียนรู๎ที่ได๎รบั ขน้ั ท่ี 6 ให๎ผ๎ูเรยี นกําหนดประเด็นปญั หาทตี่ ๎องการสบื เสาะหาคาํ ตอบตํอไป การสบื สอบ และเสาะแสวงหาความรขู๎ องกลํุมตามขั้นตอนข๎างต๎นชํวยใหก๎ ลุํมได๎รบั ความร๎ู ความเข๎าใจ และคําตอบใน 60
เรอื่ งที่ศกึ ษา และอาจพบประเด็นท่เี ปน็ ปญั หาชวนใหง๎ ุนงงสงสยั หรอื อยากร๎ูตอํ ไป ผูเ๎ รียนสามารถเริม่ ต๎น วงจรการเรยี นรใู๎ หมํ ต้ังแตํขั้นที่ 1 เป็นตน๎ ไป การเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จงึ อาจมีตํอเนื่องไปเร่ือย ๆ ตามความสนใจของผเ๎ู รยี น ผลทผ่ี ๎เู รียนจะได๎รบั จากการเรียนตามรูปแบบน้ีผ๎เู รียนจะสามารถสบื สอบและเสาะ แสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง เกิดความใฝรุ ๎แู ละมีความมนั่ ใจในตนเองเพิม่ ขน้ึ และได๎พัฒนาทกั ษะการสืบ สอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการทํางานกลุํม จุดเดน่ รปู แบบการสอนแบบเนน้ ทักษะกระบวนการ ผู๎เรียนไดแ๎ สวงหาความรู๎ ได๎แสดงความคดิ เห็นของตนเองอยํางเต็มท่ี ผ๎ูเรียนได๎ทํางาน ตามความถนดั ความสามารถ และความสนใจของตนเอง จุดดอ้ ย รปู แบบการสอนแบบเน้นทักษะกระบวนการ ผู๎เรียนอาจใชเ๎ วลานานพอสมควร ในการเสาะแสงหาความร๎ู 3.5 รปู แบบเนน้ การบรู ณาการ การจดั การเรยี นรู๎แบบบรู ณาการ (Integrated Learning Management) หมายถงึ กระบวนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู๎ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเน้ือหาสาระ ของศาสตร์ตํางๆ ท่ีเก่ียวข๎องสัมพันธ์กันให๎ผู๎เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามารถนําความรู๎ ทักษะและ เจตคติไปสรา๎ งงาน แก๎ปัญหาและใชใ๎ นชวี ิตประจําวันได๎ด๎วยตนเอง เหตุผลในการจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ 1) สงิ่ ตาํ งๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ในชวี ติ ประจําวนั นั้นจะเปน็ สงิ่ ท่เี กีย่ วเนือ่ งสมั พันธก์ นั 2) การจดั การเรยี นรู๎แบบบูรณาการ ทาํ ใหเ๎ กดิ ความสัมพนั ธเ์ ชอื่ มโยงความคิดรวบยอด ของศาสตรต์ าํ งๆ เขา๎ ด๎วยกนั 3) การจดั การเรยี นร๎ูแบบบูรณาการชํวยลดความซ้าํ ซ๎อนของเน้ือหารายวิชาตาํ งๆ 4) การจัดการเรียนร๎ูแบบบูรณาการจะตอบสนองตํอความสามารถในหลาย ๆ ด๎านของ ผู๎เรียน 5) การจัดการเรียนรแ๎ู บบบูรณาการจะสอดคล๎องกบั ทฤษฎกี ารสร๎างความร๎ูโดยผ๎ูเรยี น วัตถุประสงค์ของการเรียนร้แู บบบูรณาการ 1. เพอ่ื ให๎ผ๎ูเรยี นไดร๎ บั สาระความรแ๎ู บบองค์รวมท่เี ชื่อมโยงสัมพนั ธก์ ันจากหลากหลาย สาขาวิชา 2. เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรียนได๎ฝกึ ทักษะกระบวนการเรียนรูต๎ าํ ง ๆ เชํน ทกั ษะกระบวนการกลมํุ ทักษะการคิด ฯลฯ 61
3. เพอื่ สํงเสรมิ ความสามารถของผูเ๎ รียนท่ีมคี วามแตกตาํ งกันในดา๎ นตําง ๆ ทเี่ รยี กวํา พหุปัญญา 4. เพอื่ ให๎ผูเ๎ รียนสามารถแสวงหาความรูจ๎ ากแหลํงเรยี นรู๎ท่ีหลากหลายและนําความร๎ูไป ประยุกต์ใช๎ในชีวิตประจาํ วันได๎ ลกั ษณะการจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการ 1) บรู ณาการระหวาํ งความร๎แู ละกระบวนการเรยี นร๎ู เลอื กใชก๎ ระบวนการเรียนร๎ู ใหมๆํ ทเ่ี หมาะสม 2) บูรณาการระหวาํ งพัฒนาการความร๎ูและทางจติ ใจ ให๎ความสําคญั แกเํ จตคติ คํานิยม ความสนใจและสนุ ทรยี ภาพแกํผู๎เรียน 3) บรู ณาการระหวํางความร๎ูและการกระทาํ ให๎ความสาํ คัญระหวาํ งองค์ความรู๎ที่ศกึ ษา กบั การนําไปปฏบิ ตั จิ ริง 4) บรู ณาการระหวาํ งส่งิ ทเี่ รียนรใ๎ู นโรงเรยี นและชีวิตประจาํ วัน 5) บูรณาการระหวํางวิชาตาํ งๆ รูปแบบของการบรู ณาการ (Model of integration) 1. การบรู ณาการแบบสอดแทรก (Infusion) ครูจะนาํ เนอ้ื หาของวิชาตาํ งๆ มา สอดแทรกในรายวิชาของตนเองเป็นการวางแผนการสอนและทําการสอนโดยครูเพียงคนเดียว ขอ้ ดี 1. ครคู นเดียวบรหิ ารทัง้ เนื้อหาวิชา กจิ กรรมการเรียนรแู๎ ละเวลาที่ใช๎โดยสะดวก 2. ไมมํ ีผลกระทบกบั ครผู ๎อู ืน่ และการจัดตารางสอน ขอ้ ดอ้ ย 1. ครคู นเดียวอาจไมํมีความชาํ นาญในเนื้อหาวชิ าบางเรื่อง 2. เน้ือหาวชิ าและกจิ กรรมการเรียนร๎ูที่จัดอาจซ้ําซอ๎ นกับของวิชาอืน่ 3. ผเู๎ รยี นจะมีภาระงานมากเพราะทกุ รายวิชาจะต๎องมอบหมายงานให๎ 2. การบรู ณาการแบบขนาน (Parallel) ครูต้งั แตํ 2คนข้นึ ไปตํางคนตํางสอนวชิ าของตนเอง แตจํ ะมาวางแผน รํวมกนั วําจะจัดแผนการเรียนร๎ูและจัดกจิ กรรมการเรียนรูโ๎ ดยมุงํ สอน ในหัวเรอื่ ง(Theme) ความคิดรวบยอด (Concept) และปญั หา (Problem) เดียวกันในสํวนหน่งึ 62
ขอ้ ดี 1. ครผู ๎สู อนแตลํ ะคนยังคงบริหารทง้ั เนื้อหาวิชา กิจกรรมการเรยี นรูเ๎ วลา โดยสะดวก 2. ไมํมผี ลกระทบกบั ครผู ๎ูอ่นื และการจัดตารางสอน 3. เน้อื หาวชิ า กจิ กรรมการเรียนลดการซํา้ ซ๎อนลง ชวํ ยให๎เกิดการทํางานรํวมกนั ข้อดอ้ ย 1. ครยู ังคงต๎องรบั ภาระเน้ือหาวชิ าทไี่ มชํ าํ นาญ 2. ผเ๎ู รียนยังมีภาระงานมากเพราะทุกรายวิชาจะต๎องมอบหมายงานให๎ 3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Multidiscipline) ครูต้ังแตํ 2คนขึ้นไปตําง คนตํางสอนวชิ าของตน จัดกจิ กรรมการเรียนร๎ูของตนเองเป็นสํวนใหญํ มาวางแผนการสอน รวํ มกัน ในการให๎งานหรือโครงการทีม่ ีหัวเร่ือง แนวคิดหรือความคิดรวบยอดและปญั หา เดยี วกนั ข้อดี 1. สนบั สนนุ การทาํ งานรวํ มกันของทั้งผสู๎ อนและผเ๎ู รยี น ลดความซํา้ ซ๎อนของ กิจกรรม 2. ผู๎สอนทกุ คนและผูเ๎ รยี นมีเปาู หมายรวํ มกนั ทชี่ ัดเจน 3. ผูเ๎ รยี นเห็นความสําคญั ของการนําความร๎ูไปใชก๎ บั งานอาชพี จริง ขอ้ ดอ้ ย 1. มีผลกระทบตํอการจัดตารางสอนและการจัดแผนการเรียน 4. การบรู ณาการแบบข้ามวิชา (Tran disciplinary) การเรยี นร๎แู บบน้ีผูส๎ อนใน รายวชิ าตาํ งๆ จะมารํวมกนั สอนเป็นคณะ รํวมกนั วางแผน กาํ หนดหวั เรื่อง ความคิดรวบยอดและปัญหา เดยี วกัน ข้อดี 1. สนับสนุนการทาํ งานรวํ มกันของท้ังผสู๎ อนและผเ๎ู รียน ลดความซ้ําซ๎อนของ กิจกรรม 2. ผสู๎ อนทุกคนและผ๎ูเรยี นมีเปาู หมายรวํ มกนั ทช่ี ดั เจน 3. ผเ๎ู รยี นเห็นความสําคัญของการนําความร๎ูไปใชก๎ บั งานอาชีพจริง ข้อดอ้ ย 1. มผี ลกระทบตํอการจดั ตารางสอนและการจดั แผนการเรียน 2. ผ๎ูสอนตอ๎ งควบคุมการเรียนให๎ทนั ตามกาํ หนด 63
ลักษณะสาคัญของการสอนแบบบรู ณาการ 1) การบูรณาการระหวํางโรงเรยี นกบั บ๎าน 2) การบูรณาการระหวํางความรู๎กบั กระบวนการเรยี นรู๎ 3) การบรู ณาการระหวํางความรู๎กับการกระทํา 4) การบรู ณาการระหวํางพัฒนาการความรูก๎ ับพัฒนาการจิตใจ 5) การบูรณาการระหวํางวชิ าตาํ ง ๆ ประโยชน์ท่ไี ดร้ ับจากการจัดการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ 1. เพ่อื สงํ เสรมิ ใหผ๎ ๎เู รียนรส๎ู กึ พึงพอใจ มคี วามร๎เู ปน็ สวํ นหนงึ่ ของหมํูคณะและยอมรบั ผู๎อื่น 2. เพ่อื สงํ เสริมการเรียนร๎ทู ี่เกิดจากการกระทํารํวมกันระหวํางผสู๎ อนกบั ผ๎เู รียน 3. เพื่อชํวยสงํ เสริมพัฒนาคาํ นิยม และบรรยากาศในชนั้ เรียนอันจะเปน็ การสงํ เสรมิ ให๎ ผู๎เรยี นได๎พัฒนาจริยธรรม มาตรฐานของกลํุม ความซาบซง้ึ ในการทาํ งานและความซื่อสัตย์ 4. ชํวยสงํ เสรมิ พฒั นาวนิ ยั ตนเอง โดยสงํ เสรมิ ความสามารถ ในการทาํ งานและควบคุม อารมณ์ของผูเ๎ รยี น 5. สํงเสรมิ ความคดิ สร๎างสรรคใ์ นดา๎ นตําง ๆ เชนํ ศลิ ปะ ดนตรี ฯลฯ การเลือกเน้ือหาการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบบรู ณาการ การเลอื กเนอ้ื หาการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ต๎องศึกษาทห่ี ลักสตู ร ต๎องมลี ักษณะหลากหลาย เนื้อหาวิชาเฉพาะสวํ นท่ีเก่ยี วพนั กันหรือเชอื่ มโยงกนั ได๎สามารถนําไปใช๎ ประโยชน์ได๎จริงในชวี ิตประจําวนั การออกแบบการสอนเพอื่ การเรยี นรแู้ บบบูรณาการ - อะไรท่นี ักเรียนต๎องเรยี นรู๎ - ความคิดรวบยอดของเร่ืองน้ันคืออะไร - มีคาํ ถามสาํ คัญอะไรบา๎ ง - จะประเมินผลการเรียนรู๎อยํางไร - เชือ่ มโยงสาระการเรียนร๎ูอนื่ อยํางไร - มีลาํ ดบั ขั้นตอนการจดั กจิ กรรมอยํางไร - ใชอ๎ ะไรเป็นส่ือและแหลงํ การเรยี นร๎ู - มีช้นิ งานอะไรและมีเกณฑ์การประเมนิ ช้นิ งานเหลํานั้นอยํางไร 64
การประเมินตามสภาพจรงิ การประเมิน (Assessment) หมายถึง กระบวนการท่ีใช๎เพ่ือให๎ได๎ข๎อมูลเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงาน หรอื การเรียนรูข๎ องผ๎เู รยี นและดาํ เนนิ การตัดสินคุณคําความก๎าวหน๎าในการเรียนร๎ูของ ผ๎ูเรียน ซ่ึงจะอธบิ ายลักษณะผู๎เรยี นท้ังเชงิ ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)หมายถึง การวัดและประเมิน กระบวนการทํางานของสมองและจติ ใจอยํางตรงไปตรงมาตามสิ่งทีเ่ ขาทํา โดยพยายามตอบคําถามวาํ เขาทําอยาํ งไร ทําไมจงึ ทาํ เชนํ นนั้ เพอื่ ตดั สนิ ความสามารถทีแ่ ทจ๎ ริงของผูเ๎ รยี นโดยใช๎ ขอ๎ มลู 3 ด๎านไดแ๎ กํ 1. Performance of Learning 2. Process of Learning 3. Product of Learning ลักษณะสาคญั ของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ - เปน็ การประเมนิ ทตี่ ้ังอยูบํ นพน้ื ฐานของสถานการณ์จรงิ หรือที่เปน็ ชวี ติ จริง - การประเมนิ จะทําไปพร๎อมๆ กับกิจกรรมการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนในทกุ สถานการณ์ - เน๎นพฤตกิ รรมการแสดงออกของผเู๎ รียนท่ีแสดงออกมาจริงๆ - เนน๎ การประเมนิ ตนเองของผ๎เู รียน - เน๎นการมสี ํวนรวํ มระหวาํ งผเู๎ รยี น ผส๎ู อน ผ๎ูปกครอง - มีการใช๎ข๎อมูลหลากหลายรวมทง้ั ใช๎เคร่อื งมือทห่ี ลากหลายโดยเกบ็ ข๎อมูล ระหวํางการปฏิบตั ิงานในทุกด๎านทง้ั กระบวนการคิดระดับสูง กระบวนการทาํ งาน กระบวนการแก๎ปญั หา กระบวนการประเมนิ ผล เป็นตน๎ - สํงเสรมิ การมปี ฏิสมั พนั ธ์เชงิ บวก มกี ารชื่นชมสงํ เสรมิ และอาํ นวยความสะดวก ให๎ผูเ๎ รียนได๎เรยี นรอู๎ ยาํ งมีความสขุ กลาํ วโดยสรปุ ไดว๎ ํา รูปแบบทีเ่ น๎นบูรณาการ 3.5.1 Direct Instruction Model ในการจัดทําแผนการสอนหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูของครูผู๎สอนในปัจจุบัน จะต๎องมกี ารศึกษาหลกั สูตรสถานศกึ ษา และกลุํมสาระการเรียนร๎ูการงานอาชีพและเทคโนโลยี มีขั้นตอน ในการจัดทําคือ วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู๎ วิเคราะห์สาระการเรียนรู๎ วิเคราะห์กระบวนการจัดการ เรียนรู๎ วิเคราะห์กระบวนการวัดและประเมินผล วิเคราะห์แหลํงเรียนร๎ู และบันทึกผลการจัดการเรียนรู๎ ตามที่ครูสอนได๎รับปฏิบัติการสอน จึงถือวําได๎วํามีการพัฒนากระบวนการเรียนรู๎ที่สมบูรณ์ เพื่อการ จัดการทํางานศึกษาค๎นคว๎าและพัฒนาผลงานทางวิชาการ เป็นการสอนตามนโยบายของหลักการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 จะเห็นได๎ชัดวํา หลักสูตรมีเจตนารมณ์ต๎องการให๎ผู๎เรียนได๎ลง 65
มอื ปฏบิ ัตจิ ริง มิใชํในกระบวนการทางความคิดเพียงอยํางเดียว ดังน้ันในการนําทักษะกระบวนการเข๎าสํู ช้ันเรียน ไมํวําจะเป็นการสอนหรือการสอบควรจะผํานกิจกรรมหรือภาระงานทางความคิดได๎นั้นถือเป็น เรื่องที่อาจจะเพิ่มเติมได๎ภายหลังเมื่อประสบการณ์ในการใช๎มากขึ้นแล๎วเม่ือเป็นเชํนนั้นการดําเนินการวัด ประเมินผลหรือการสอบวัดเน๎นกระบวนการทกี่ ลําวมา ในท่ีนัน้ ก็เปน็ การวัดประเมินหรือการสอบท่ีอิงการ ใชท๎ ักษะกระบวนการในกิจกรรมหรอื ภาระงานลงมอื ปฏบิ ตั ิจริง เชํนกัน การนํากจิ กรรมการเรยี นรู๎แบบชีแ้ นะ (Direct Instruction) ไปใชส๎ อนเด็กนนั้ กลาํ วถึง ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นการสอนไว๎วํา มีลาํ ดับเหตุการณ์ 6 ขน้ั ตอน คือ 1. ขน้ั ทบทวนความร๎เู ดมิ 2. ขัน้ บอกวัตถุประสงค์ 3. ขัน้ นําเสนอเน้ือหาใหมํ 4. ข้นั ฝกึ โดยการชแ้ี นะ 5. ขนั้ การฝึกโดยอสิ ระ 6. ขน้ั ทบทวน ขอ้ ดี นกั เรียนทกุ คนได๎รบั ความรแู๎ ละทักษะพนื้ ฐานตามทีก่ าํ หนดไวใ๎ นเปูาหมาย แตํอาจใชเ๎ วลาทแี่ ตกตาํ งกนั ได๎รับการเรียนร๎ูอยํางเป็นขั้นเปน็ ตอน พร๎อมไดร๎ บั การเสริมแรงจากผส๎ู อน ฝกึ ใหน๎ ักเรยี นสามารถทํางานได๎โดยไมํมีข๎อผิดพลาดหรือมขี ๎อผิดพลาดน๎อยทส่ี ุด การวัดและประเมนิ ผล งาํ ยไมํซับซ๎อน เพราะประเมินจากพฤตกิ รรมหรือทักษะข้ันพ้นื ฐาน 3.5.2 การเรียนรู้แบบบรู ณาการด้วย Storyline Approach การจัดการเรียนรู๎แบบ Storyline เปน็ การเรยี นร๎แู บบบรู ณาการทนี่ าํ เอาสาระการ เรยี นรูห๎ ลายๆ สาระมาเชือ่ มโยงกัน โดยจัดการเรยี นรภู๎ ายในหัวขอ๎ เรือ่ ง (Theme) เดียวกัน มีการผูกเรื่อง เป็นตอนๆ (Episode) แตํละตอนจะมีลําดบั เหตกุ ารณ์ (Sequence) หรือ “เสน๎ ทางการเดินเรอ่ื ง” (Topic line) และใชค๎ ําถามหลัก (Key question) เปน็ ตัวนาํ ไปสกํู ิจกรรมการเรยี นรู๎ทีห่ ลากหลาย ซงึ่ กิจกรรม เหลาํ นจี้ ะสํงเสรมิ ใหผ๎ ู๎เรียนมีการเรียนรูต๎ ามสภาพจริง ลงมือปฏิบัตจิ ริง เนน๎ ทักษะกระบวนการคิด การ วิเคราะห์ การตดั สินใจ กระบวนการกลมํุ ตลอดจนการสรา๎ งความรูด๎ ๎วยตนเอง การเรยี นร๎ูแบบ Storyline จึงเปน็ การบรู ณาการเน้ือหาสาระพร๎อมทักษะกระบวนการตํางๆ เข๎าด๎วยกัน แนวคิดหลกั ของการจดั การเรียนรแู้ บบ Storyline การจดั การเรียนรแ๎ู บบ Storyline น้ี พัฒนาโดย ดร.สตีฟ เบล็ และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ โดยมแี นวคิดหลักของทฤษฎี ดงั นี้ 1.การเรียนรทู๎ ่ดี ีควรมีลักษณะบูรณาการ หรอื เป็นสหวิทยาการ คอื เปน็ การเรียนรู๎ 66
ท่ผี สมศาสตร์หลายๆ อยํางเข๎าด๎วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสดุ ในการทาํ งานและการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจาํ วนั 2. การเรียนรทู๎ ด่ี เี ปน็ การเรยี นรูท๎ ี่เกิดข้ึนผาํ นทางประสบการณ์ตรง หรือ การ กระทาํ หรือ การมีสํวนรํวมของผ๎เู รยี นเอง 3. ความคงทนของผลการเรียนร๎ู ข้ึนอยํูกบั วธิ ีการเรียนร๎ูหรือวิธกี ารที่ได๎รับความรู๎มา 4. ผูเ๎ รียนสามารถเรียนร๎คู ณุ คําและสรา๎ งผลงานที่ดีได๎ หากมีโอกาสลงมือกระทํา การวางแผนการสอนแบบ Storyline ออกเป็น 7 ลาํ ดบั ขนั้ ดังนี้ 1.วเิ คราะหห์ ลกั สูตร ในสาขาที่เกยี่ วข๎อง เพื่อกําหนดหัวข๎อเรอ่ื ง และเสน๎ ทาง เดินเรือ่ งกําหนดเสน๎ ทางเดินเรอ่ื ง โดยกาํ หนดเป็นหัวข๎อ แบงํ ออกเปน็ ตอนๆ แล๎วกาํ หนดให๎ครบ 2. องค์ประกอบ 4 ประการของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Storyline คอื - ฉาก (Setting) เปน็ การระบุเวลา สถานท่ี และสิง่ แวดล๎อมตาํ งๆ ของเรอ่ื งราว การกาํ หนดฉาก (Setting the scene) จงึ เป็นการสร๎างบรรยากาศ หรอื การนาํ เขา๎ สํูบทเรียนอยํางนําสนใจ - ตวั ละคร (Character) ซ่งึ เป็นผ๎มู ีบทบาท มสี วํ นรํวมในเรื่องราว ในฉากน้นั ๆ ซงึ่ ผสู๎ อนอาจจะกําหนดตวั ละครให๎เปน็ ส่งิ มชี ีวติ หรอื ไมกํ ็ได๎ แตจํ ะตอ๎ งทําใหต๎ ัวละครมีบทบาทโลดแลนํ ในเร่ือง ใหไ๎ ด๎ทุกตวั - การดําเนนิ ชีวติ (A way of life) ของตัวละคร เป็นองคป์ ระกอบที่สาํ คัญอีก ประการหนึง่ เพราะการกําหนดวําตัวละครใดจะดาํ เนนิ ชวี ิตอยาํ งไร เปน็ สวํ นที่มีอิทธพิ ลตํอการดําเนินเรอ่ื ง ตวั ละครแตํละตวั จะมีการดําเนินชีวติ ทีต่ าํ งกัน - เหตกุ ารณ์หรือปัญหา องค์ประกอบที่สาํ คัญมากทสี่ ดุ เพราะถือวาํ เป็นจุดหกั เห ของเร่ือง ท่ที ําให๎ผเ๎ู รียนสามารถแสดงความคิดในการแกป๎ ัญหา ซง่ึ จะพัฒนาให๎นักเรียนได๎พฒั นาแนวคดิ คาํ นิยม เจตคติ รวมถงึ ทักษะแก๎ปัญหา การคดิ วิเคราะห์ การตัดสินใจ โดยใน 1 เรื่อง อาจมีมากกวาํ 1 ปญั หาได๎ และอาจเชื่อมโยงกันในเร่อื งได๎ 3. กําหนดคําถามหลักเพ่ือเปิดประเดน็ เขา๎ สํูกิจกรรม และเช่อื มโยงกจิ กรรมใน แตํละสํวนใหไ๎ ปดว๎ ยกนั และนําผเู๎ รยี นเขา๎ สํกู ิจกรรมการเรยี นร๎ู 4. วางรปู แบบกิจกรรมยํอย โดยเนน๎ การปฏบิ ตั ขิ องนกั เรยี น เพื่อตอบปัญหาหลัก โดยเน๎นกระบวนการตาํ งๆ ท้งั การคิด คุณธรรม จรยิ ธรรม คํานยิ ม และควรให๎มีกิจกรรมท่ีหลากหลาย 5. จดั เตรียมสอ่ื การเรยี นการสอนให๎สอดคล๎องกับกิจกรรมทีก่ าํ หนดไวข๎ ๎างตน๎ 6. กําหนดแนวทางการประเมินผล โดยให๎เนน๎ การประเมินผลตามสภาพจริงจาก ผลงาน และการรวํ มกิจกรรม 7.พิจารณาภาพรวมของกิจกรรมกํอนนําไปใช๎ แตํพงึ ระวงั วํากจิ กรรม Storyline สามารถปรับเปลี่ยนได๎เสมอตามสถานการณ์ 67
ข้อดแี ละข้อเสยี ของวิธีการจัดการเรียนรแู้ บบ Storyline ขอ้ ดี การเรียนรู๎เชํนนี้ ทัง้ ผู๎เรียนและผ๎สู อนเหมอื นเปน็ ห๎ุนสํวนกนั ครูวางโครงเร่อื ง ผูเ๎ รียนลงรายละเอยี ดท่ีมาจากประสบการณ์ชีวิต แล๎วสร๎างการเรียนร๎ูใหมํท่ีเช่ือมตํอจากความร๎ูเดิม มีการ แลกเปล่ียนความคิดและเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน ผ๎ูเรียนมีความร๎ูสึกเป็นเจ๎าของในผลงานที่ สร๎าง และกลายเป็นแรงผลักดันให๎มีการแก๎ปัญหา หากมีเหตุการณ์เลวร๎ายเกิดข้ึน นอกจากน้ี ครูยัง สามารถบูรณาการทุกวิชาได๎ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได๎เรียนรู๎ในส่ิงท่ีใกล๎เคียงกับชีวิตจริง ร๎ูสกึ อบอุนํ และปลอดภยั เมื่อผู๎เรียนมคี วามสขุ จดุ หมายของการเรียนร๎ูก็นับไดว๎ ําประสบความสําเร็จแลว๎ นกั เรียนจะเกิดความรู๎ ความเข๎าใจในเร่ืองที่เรียน ในระดับท่ีสามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได๎ รวมทั้งได๎ พัฒนาทักษะกระบวนการตําง ๆ ข้อด้อย - กิจกรรมน้อี าจเหมาะกับเด็กเล็กมากกวาํ เด็กโต - คํอนขา๎ งใชเ๎ วลาในการเรยี นรู๎ 3. รปู แบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบโฟรแ์ มทซิสเต็ม (4 MAT’S Learning) แมคคารธ์ ี (Mc Carthy) ไดพ๎ ฒั นารปู แบบการจดั กิจกรรมเรยี นรูแ๎ บบวัฏจักรการ เรียนรู๎ 4 MAT น้ี โดยได๎รับอิทธิพลแนวคิดจากทฤษฎีการเรียนร๎ูของคอล์ม (Kolb) ที่เสนอแนวความคิด เร่ืองรูปแบบการเรียนรู๎วํา การเรียนรู๎เกิดจากความสัมพันธ์ 2 มิติ คือ การรับรู๎ (perception) และ กระบวนการจัดการข๎อมูล (processing) การรับร๎ูของบุคคลอาจเป็นประสบการณ์ตรงอาจเป็นความคิด รวบยอดหรือมโนทัศน์ทีเ่ ป็นนามธรรม สํวนกระบวนการจัดกระทํากับข๎อมูลคือการลงมือปฏิบัติ ในขณะท่ี บางคนเรียนรู๎โดยผํานการสังเกต และนําข๎อมูลนั้นมาคิดอยํางไตรํตรอง แมคคาร์ธีแบํงผู๎เรียนออกเป็น 4 แบบ คือ 1) ผู๎เรียนท่ีถนัดการเรียนรู๎โดยจินตนาการ(Imaginative Learners) 2) ผู๎เรียนท่ีถนัดการรับร๎ู มโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม นํากระบวนการสังเกตอยํางไตรํตรอง หรือเรียกวําผ๎ูเรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learners) 3)ผูเ๎ รียนทีถ่ นดั การรับรูม๎ โนทัศนแ์ ลว๎ ผํานกระบวนการลงมือทําหรือท่ีเรียกวําผู๎เรียน ที่ถนัดการใช๎สามัญสํานึก(Commonsense Learners) และ 4) ผู๎เรียนที่ถนัดการรับร๎ูจากประสบการณ์ที่ เป็นรปู ธรรมและนาํ สูํ แมคคาร์ธี และคณะ (ศักด์ิชัย นริ ญั ทวี และไพเราะ พมํุ มน่ั , 2542) ไดน๎ ําแนวคิด ของคอลม์ มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการทํางานของสมองท้ัง 2 ซกี ทําให๎เกิดเปน็ แนวคิดทางการจัด กิจกรรมการเรยี นรูโ๎ ดยใช๎คาํ ถามหลัก 4 คาํ ถาม กับผ๎เู รียน 4 แบบ คือ - ผ๎เู รียนแบบที่ 1 (Imaginative Learners) คือ ผู๎เรยี นที่มีความถนดั ในการรบั ร๎ู 68
จากประสบการณร์ ปู ธรรม ผํานกระบวนการจัดขอ๎ มลู ดว๎ ยการสังเกตอยาํ งไตรํตรอง เขาจะเชื่อมโยงความรู๎ ใหมํกับประสบการณ์เดิมของตนเองได๎อยํางดี การเรียนแบบรํวมมือ การอภิปรายและการทํางานกลุํมจะ ชํวยสงํ เสรมิ การเรยี นรู๎ของผเ๎ู รยี นกลุํมน้ี คําถามนําทางสําหรับผู๎เรียนกลุมํ นค้ี อื “ทําไม” (Why?) - ผูเ๎ รียนแบบที่ 2 (Analytic Learners) คอื ผ๎เู รียนท่มี ีความสามารถในการคิด วเิ คราะหจ์ ะสามารถเรยี นรคู๎ วามคิดรวบยอดท่ีเป็นนามธรรมได๎เป็นอยํางดี ผ๎ูเรียนกลํุมน้ีให๎ความสําคัญกับ ความรทู๎ ่เี ปน็ ทฤษฎี รูปแบบ และความรู๎จากผู๎เช่ียวชาญ การอําน การค๎นคว๎าข๎อมูลจากตําราหรือเอกสาร ตําง ๆ รวมทั้งการเรียนร๎ูแบบบรรยาย จะสํงเสริมการเรียนร๎ูของผู๎เรียนเหลํานี้ คําถามนําทางสําหรับ ผเู๎ รียนในกลุํมนค้ี ือ “อะไร” (What?) - ผ๎ูเรยี นแบบที่ 3 (Commonsense Learners) คือ ผเู๎ รียนที่มีความสามารถ/มี ความถนัดในการรบั ร๎คู วามคดิ รวบยอดท่ีเป็นนามธรรมแล๎วนําสูํการลงมือปฏิบัติ เขาให๎ความสําคัญกับการ ประยุกต์ใช๎ความร๎ู ความก๎าวหน๎า และการทดลองปฏิบัติ กิจกรรมที่เน๎นการปฏิบัติและกิจกรรมการ แก๎ปัญหาจะชํวยสํงเสริมการเรียนร๎ูของผู๎เรียนในกลุํมนี้ คําถามนําทางสําหรับผู๎เรียนในกลุํมน้ีคือ “อยาํ งไร” (How?) - ผู๎เรยี นแบบที่ 4 (Dynamic Learners) คือ ผูเ๎ รยี นทม่ี คี วามถนดั ในการเรยี นร๎ู ประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรมแล๎วนําสํูการลงปฏิบัติ เขาให๎ความสําคัญกับการเรียนรู๎ที่เป็นการสํารวจ ค๎นคว๎า การค๎นพบด๎วยตนเอง แล๎วเช่ือมโยงความรู๎เหลําน้ันไปสํูการทดลองปฏิบัติด๎วยตนเอง คําถามนํา ทางสําหรับผ๎เู รยี นในกลํุมนค้ี ือ “ถา๎ ” (If ?) จากลักษณะของผ๎ูเรียนทง้ั 4 แบบดังกลาํ วขา๎ งตน๎ Morris และ Mc Cathy ได๎ นํามาเป็นแนวคิดพื้นฐานท่ีใช๎ในการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู๎แบบโฟร์แม็ ทซิสเต็มโดยจัด ขน้ั ตอนการสอนให๎ผ๎ูเรียนสามารถใช๎สมองท้ังซีกซ๎ายและซีกขวาอยํางเต็มที่เป็นการพัฒนาพหุปัญหาทั้ง 8 ดา๎ น การจดั กระบวนการเรียนร๎ู 8 ขัน้ ตอนของวฏั จักรการเรยี นร๎ู (4 MAT) แบํงเป็น 2 สํวน คอื สํวนท่ี 1 การบรู ณาการประสบการณ์ใหเ๎ ปน็ สวํ นของตนเอง สวํ นที่ 2 การสรา๎ งความคิดรวบยอด ขอ้ ดี ผู๎เรยี นจะสามารถสรา๎ งความร๎ูดว๎ ยตนเองในเรื่องท่ีเรยี นจะเกิดความรู๎ความเข๎าใจและ นาํ ความรู๎ความเขา๎ ใจน้ันไปใช๎ไดแ๎ ละสามารถสร๎างผลงานที่เปน็ ความคิดสรา๎ งสรรค์ของตนเองรวมทง้ั ได๎ พฒั นาทักษะกระบวนการตําง ๆ อีกจาํ นวนมาก ดังนั้น ลกั ษณะเดนํ ของรปู แบบการจดั กิจกรรมเรยี นร๎ู แบบ 4 MAT จะชวํ ยสงํ เสรมิ การคดิ วเิ คราะห์ตามกรอบความแตกตํางระหวํางบุคคล ได๎แกํ 69
1. การนาํ เสนอประสบการณ์ทมี่ คี วามสมั พันธก์ บั ผ๎ูเรียน 1.1 การเสริมสรา๎ งประสบการณ์ (สมองซีกขวา) 1.2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ทไ่ี ด๎รบั (สมองซีกซ๎าย) 2. การเสนอเนื้อหา สาระข๎อมูลแกํผู๎เรียน (Presentation) 2.1 การบรู ณาการประสบการณ์สรา๎ งความคิดรวบยอด (สมองซีกซ๎าย) 2.2 การพฒั นาเป็นความคิดรวบยอด (สมองซกี ซา๎ ย) 3. การฝกึ ปฏบิ ตั เิ พ่ือพฒั นาความคดิ รวบยอด 3.1 ปฏบิ ัติตามขัน้ ตอน (สมองซีกซ๎าย) 3.2 การนาํ เสนอผลการปฏิบตั ิงาน (สมองซีกขวา) 4. การนําความคดิ รวบยอดไปสํกู ารประยกุ ตใ์ ช๎ (Application) 4.1 การนําความรู๎ไปประยุกต์ใช๎พัฒนางาน (สมองซกี ซ๎าย) 4.2 การนําเสนอผลงานการเผยแพรํ (สมองซีกขวา) 4.วิธีสอนแบบการเรียนรู้ดว้ ยการทางานร่วมกันหรอื สหวิทยาการเรียนรู้ (Cooperative Learning) การเรยี นรูด๎ ๎วยการทํางานรํวมกนั เปน็ วธิ ีการเรยี นรู๎ด๎วยกันสองคน หรอื เปน็ กลมํุ เลก็ ๆ ในการทํางานรวํ มกันก็เพ่ือใหบ๎ รรลุวตั ถุประสงค์ทวี่ างไว๎ วตั ถุประสงค์ของการเรียนรดู๎ ๎วยวธิ กี าร ทํางานรวํ มกันคอื เพ่ือใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎เรียนรูด๎ ว๎ ยตัวเองสงู สดุ และเรียนรูซ๎ ง่ึ กนั และกนั รวมทั้งให๎ได๎ประโยชน์ ของกนั และกันมากทีส่ ดุ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนร๎ูแบบรํวมมือพัฒนาข้ึนโดยอาศัยหลักการ เรียนรูปแบบรํวมมือของจอห์นสัน และจอห์นสันซ่ึงได๎ชี้ให๎เห็นวําผ๎ูเรียนควรรํวมมือกันในการเรียนร๎ู มากกวําการแขํงขันกันเพราะการแขํงขันกํอให๎เกิดสภาพการณ์ของ การแพ๎-ชนะ ตํางจากการรํวมมือกัน ซ่ึงกอํ ให๎เกดิ สภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อนั เปน็ สภาพการณ์ทด่ี ีกวาํ ทัง้ ทางดา๎ นจติ ใจและสตปิ ญั ญา องค์ประกอบทส่ี าคัญของการเรยี นรู้ด้วยการงานรว่ มกัน 1. การเรียนรู๎ต๎องอาศยั หลักการพึง่ พากนั ต๎องมที ัศนคติที่ดใี นการพ่ึงพาอาศยั ซึ่ง กันและกัน (Positive Interdependence) ผ๎ูเรียนตอ๎ งมีความตระหนกั วาํ ทุกคนต๎องมคี วามสมั พันธซ์ ง่ึ กัน และกนั คนใดคนหนึ่งไมํสามารถทาํ งานบรรลวุ ัตถุประสงค์ไดค๎ นเดียว ความสําเรจ็ จะเกดิ ขนึ้ ได๎ ต๎องอาศัย ความรวํ มมือ ความชํวยเหลอื ซ่งึ กันละกันภายในกลมํุ 2. มีปฏิสมั พันธต์ ํอกันและกัน (Face to Face Interaction) ผเู๎ รยี นตอ๎ งทาํ งาน 70
รํวมกนั ใหป๎ ระสบความสาํ เร็จรํวมกนั ฉะนนั้ ผูเ๎ รยี นควรมีการแบํงปันข๎อมูล การสนับสนุนชวํ ยเหลือกัน สํงเสรมิ ซ่ึงกันและกัน และกระตน๎ุ การทํางานรํวมกนั ซึ่งการทํางานรํวมกันน้ี จะเปน็ การพูดคุยถกเถยี งการ แก๎ปญั หารํวมกัน รวมทง้ั เป็นการเรยี นรซู๎ งึ่ กันและกัน เป็นการตรวจสอบความเข๎าใจ การเรียนรูท๎ ัง้ ท่ีผําน มาจนถึงปัจจุบนั 3. การเรียนร๎ูรํวมกนั ต๎องอาศยั ทักษะทางสังคม (social skills) โดยเฉพาะทักษะ ในการทํางานรวํ มกนั 4. การเรยี นรูร๎ วํ มกนั ควรมีการวิเคราะหก์ ระบวนการกลํุม (group processing) สมาชิกในกลมํุ ต๎องมีการอภปิ รายถกเถียงกันถึงความสาํ เร็จของงาน รวมทงั้ ความสัมพันธ์ระหวํางกนั ในการ ทาํ งานให๎มีประสิทธภิ าพ 5. การเรยี นรู๎รวํ มกนั จะต๎องมีผลงานหรอื ผลสมั ฤทธ์ทิ ง้ั รายบุคคลและรายกลุํม ท่ีสามารถตรวจสอบและวัดประเมินได๎ (Individual Accountability) หากผเ๎ู รียนมีโอกาสได๎เรยี นร๎ูแบบ รวํ มมอื กนั นอกจากจะชํวยใหผ๎ ๎ูเรยี นเกิดการเรียนร๎ูทางดา๎ นเน้อื หาสาระตาํ ง ๆ ได๎กว๎างขึ้นและลึกซง้ึ ข้นึ แล๎ว ยงั สามารถชวํ ยพัฒนาผเ๎ู รยี นทางดา๎ นสงั คมและอารมณ์มากขึน้ ดว๎ ย รวมทัง้ มโี อกาสไดฝ๎ กึ ฝนพัฒนา ทกั ษะกระบวนการตําง ๆ ท่จี ําเป็นตํอการดาํ รงชวี ติ อีกมาก รูปแบบน้ีมํุงชํวยให๎ผู๎เรียนได๎เรียนร๎ูเนื้อหาสาระตําง ๆ ด๎วยตนเองและด๎วยความรํวมมือ และความชํวยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได๎พัฒนาทักษะทางสังคมตําง ๆ เชํน ทักษะการสื่อสาร ทักษะ การทาํ งานรํวมกับผอ๎ู น่ื ทกั ษะการสร๎างความสัมพันธ์ รวมท้ังทักษะการแสวงหาความรู๎ ทักษะการคิด การ แก๎ปญั หาและอืน่ ๆ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีสํงเสริมการเรียนรู๎แบบรํวมมือมีหลายรูปแบบ ซ่ึงแตํละ รูปแบบจะมีวิธีการดําเนินการหลัก ๆ ซ่ึงได๎แกํ การจัดกลุํม การศึกษาเน้ือหาสาระ การทดสอบ การคิด คะแนน และระบบการให๎รางวัล แตกตํางกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแตํไมํวําจะเป็นรูปแบบ ใด ตํางก็ใช๎หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนร๎ูแบบรํวมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มํุงตรงไป ใน ทิศทางเดียวกันคอื เพื่อชํวยใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูในเร่ืองท่ีศึกษาอยํางมากที่สุดโดยอาศัย การรํวมมือกัน ชวํ ยเหลือกันและแลกเปล่ียนความรู๎กนั ระหวํางกลุํมผ๎ูเรียนด๎วยกัน ความแตกตํางของรูปแบบแตํละรูป จะ อยํูที่เทคนคิ ในการศึกษาเนือ้ หาสาระและวธิ ีการเสรมิ แรงและการใหร๎ างวลั เปน็ ประการสาํ คัญ การเรียนแบบ Collaborative สามารถใช๎ในการเรียน ดงั ตํอไปน้ี 1. Group Process/Group Activity/Group Dynamics 1.1 เกม 1.2 บทบาทสมมตุ ิ 1.3 กรณตี วั อยําง 1.4 การอภิปรายกลํุม 71
2. Cooperative Learning 2.1 การเลาํ เรื่องรอบวง (Round robin) 2.2 มุมสนทนา (Corners) 2.3 คํูตรวจสอบ (Pairs Check) 2.4 คูํคดิ (Think-Pair Share) 2.5 ปรศิ นาความคิด (Jigsaw) 2.6 กลํุมรํวมมือ (Co-op Co-op) 2.7 การรํวมมือกันแขํงขัน (The Games Tournament) 2.8 รวํ มกนั คิด (Numbered Headed Together) 3. Constructivism 3.1 the Interaction Teaching Approach 3.2 the Generative Learning Model 3.3 the Constructivist Learning Model 3.4 Cooperative Learning ข้อดี ผ๎เู รยี นมีความพยายามทีจ่ ะบรรลเุ ปาู หมายมากขึ้น (Greater Effort to Achieve) การ เรียนรู๎แบบรวํ มมอื ชวํ ยใหผ๎ เู๎ รียนมีความพยายามทจี่ ะเรียนรู๎ใหบ๎ รรลเุ ปาู หมาย เป็นผลทาํ ใหผ๎ ลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขน้ึ และมผี ลงานมากขนึ้ การเรยี นรูม๎ ีความคงทนมากขึน้ (Long – Term Retention) มี แรงจงู ใจภายในและแรงจงู ใจใฝสุ ัมฤทธ์ิ มีการใชเ๎ วลาอยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ ใชเ๎ หตุผลดขี ้ึน และคดิ อยาํ งมี วิจารณญาณมากขึน้ 2. ผู้เรียนมคี วามสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดขี ึ้น (More Positive Relationships among Students) การเรียนรูแ๎ บบรํวมมือชํวยให๎ผูเ๎ รียนมนี ้ําใจนักกีฬามากข้นึ ใสใํ นในผ๎ูอนื่ มากขึ้น เห็นคุณคําของความแตกตําง ความหลากหลาย การประสานสมั พันธ์และการรวมกลมุํ 3. ผ๎เู รยี นมสี ุขภาพจิตดีขึ้น (Greater Psychological Health)การเรยี นรแ๎ู บบ รวํ มมอื ชํวยให๎ผเ๎ู รียนมสี ขุ ภาพจติ ดขี ึ้น มีความรสู๎ กึ ท่ีดีเกี่ยวกบั ตนเองและมีความเชอ่ื ม่ันในตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นยังชวํ ยพฒั นาทักษะทางสังคม และความสามารถในการเผชญิ กบั ความวติ กกังวล ความโกรธ ความเครยี ดและความผนั แปรตํางๆด๎านอารมณ์ไดด๎ ีข้นึ ความกดดนั ความวติ กกังวล ความร๎สู กึ ผิด ความ ละอาย และความโกรธของผูเ๎ รียนน้ัน ล๎วนเป็นสิ่งทบ่ี ั่นทอนศกั ยภาพในการสร๎างความรํวมมือในการ ทํางานรวํ มกัน ดังน้ันเม่ือผเู๎ รียนมีสขุ ภาพจิตที่ดีกจ็ ะเปน็ การเพ่มิ ความสามารถในการทํางานรวํ มกับผู๎อ่ืน 72
เพอื่ การบรรลเุ ปาู หมายรํวมกัน ท่ีตอ๎ งการความรวํ มมือ การติดตํอสอ่ื สารท่ีมปี ระสิทธิภาพ ภาวะผนู๎ าํ และ การจดั การกับข๎อขดั แย๎ง ตลอดกระบวนการเรียนร๎ูแบบรวํ มมอื ข้อด้อย การเรยี นรู๎แบบกลํุมเล็ก บํอยครั้งพบปัญหาทสี่ ัมพนั ธ์กับความคลุมเครือของวัตถุประสงค์ และมคี วามคาดหวงั ในความรับผิดชอบตํา่ การขนึ้ อยํกู ับกลํุมทํางานกลุมํ เลก็ การเรยี กรอ๎ งสทิ ธบิ าง ประการ เป็นการหลีกเล่ยี งการสอนกบั การวิจารณต์ ํางๆน้นั จะทาํ ให๎ไมํเห็นดว๎ ยกับห๎องเรียนในกลมุํ เล็กท่ี ทาํ ใหผ๎ ูส๎ อนหลบหลกี ความรับผิดชอบตอํ ผ๎ูเรยี น เปน็ ครผู สู๎ อนในระดบั มลู ฐาน (Elementary) โรงเรียนมัธยม (High-School) และ นกั เรยี นระดบั วิทยาลยั (College –Level Students) เปน็ ผ๎ูมคี วามรอบคอบในการตํอต๎านการใช๎ในทางท่ี ผดิ และใช๎บํอยเกนิ ไปของการทํางาน เปน็ กลมํุ เน่ืองจากผลประโยชน์มากมายที่ได๎รบั จากการเรียนร๎แู บบ รํวมมอื บางครั้งจึงทาํ ใหม๎ องไมเํ หน็ อปุ สรรคขัดขวางตํางๆ ซง่ึ จําแนกการปฏิบตั ิในจดุ ออํ นดา๎ นตํางๆ ดังนี้ การสรา๎ งความรับผิดชอบของสมาชิกในกลุํม เพอ่ื การเรยี นร๎ูของคนอ่นื ๆ แตํละคนนนั้ ในการผสมผสานความสามารถของคนในกลํุม ผลลพั ธท์ ่ไี ด๎บํอยคร้งั ก็คือ นกั เรยี นทเี่ กํงจะไมสํ อนงาน นักเรียนท่ีอํอน และจะทํางานนน้ั เองเปน็ สวํ นใหญํ การสํงเสรมิ ระดบั ความคิดระดับต่ําเพียงอยาํ งเดียว จะเป็นการปดิ กัน้ ความคดิ อนั เปน็ ประโยชน์ จาํ เปน็ สําหรับการวิเคราะห์หรือความคิดระดบั สูงเขา๎ ดว๎ ยกนั ในการทาํ งานกลุํมเล็กนน้ั บางครงั้ เวลาที่ใชไ๎ ปสําหรับภารกิจหนึ่ง สํวนมากจะเป็นเพยี งความคดิ ในระดับพ้ืนฐานเทํานัน้ โดยภาพรวมของการจัดการเรยี นร๎แู บบบูรณาการ มจี ดุ เดํนและข๎อจํากัด ดังนี้ ขอ๎ ดี 1. สนบั สนุนการทํางานรํวมกันของทั้งผ๎ูสอนและผเู๎ รียน ลดความซาํ้ ซ๎อนของกิจกรรม 2. ผ๎ูสอนทุกคนและผ๎เู รียนมีเปาู หมายรวํ มกนั ท่ีชัดเจน 3. ผู๎เรยี นเหน็ ความสาํ คัญของการนาํ ความรู๎ไปใชก๎ บั งานอาชพี จรงิ ขอ๎ ด๎อย 1. การบรู ณาการเปน็ วิธีการท่ีคอํ นข๎างทาํ ยาก เพราะต๎องอาศัยความรวํ มมือจาก ครูผส๎ู อนหลายคนมาปรึกษาหารือรวํ มกนั ต๎องมีความเขา๎ ใจตรงกนั ละรวํ มมือกนั อยาํ งจริงจงั ต๎องทํุมเททั้งความรู๎ ความสามารถและเวลาอยาํ งเต็มที่ 2. การบูรณาการอาจทําให๎ผเ๎ู รยี นขาดความลึกซึ้งในการเรียนร๎ู มองไมเํ หน็ ความสาํ คญั ของเนื้อหาสาระหรือวชิ าการตาํ งๆตามทีค่ รตู ๎องการได๎ 3. การจัดตารางสอนของครูประจําวชิ าตาํ งๆ เชํน ศลิ ปะ พลศกึ ษา ดนตรี นาฏศิลป์ และ งานเกษตร ซึ่งต๎องสอนหลายชนั้ หลายหอ๎ ง ตอ๎ งจดั ตารางสอนของแตํละห๎องไว๎แนนํ อนตายตัว ซึง่ 73
ไมเํ อ้ือตํอการจดั กระบวนการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ ท่สี อนเน้อื หาวิชาตํางๆคลุกเคล๎ากนั ไป ตามบรรยากาศการเรยี นการสอน 4. การจดั การเรียนการสอนแบบบูรณาการเหมาะสําหรบั นักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษา แตรํ ะดับมัธยมศึกษาไมเํ อ้ืออํานวย เนื่องจากระดบั มธั ยมศึกษาเนือ้ หาวิชาตํางๆมีความลึกซง้ึ มาก หรือถา๎ จะจดั การสอนแบบบูรณาการก็ทําไดใ๎ นบางรูปแบบเทาํ น้นั คาถามทา้ ยบท 1. รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเน๎นการพฒั นาด๎านพุทธิพสิ ยั เปน็ รปู แบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน๎ สิ่งใดให๎เกดิ ขึน้ กบั ตวั ผ๎เู รยี น 2. รปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี น๎นการพฒั นาดา๎ นพทุ ธิพสิ ยั มีก่ีรูปแบบ อะไรบา๎ ง จงอธิบาย 3. รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาด๎านจิตพิสยั ของแครทโวล บลูมและมาเซีย ไดจ๎ ําแนกจุดมํงุ หมายทางการศึกษาเป็นกด่ี ๎าน อะไรบ๎าง 4. รปู แบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏบิ ัติของซมิ พ์ซนั มวี ัตถุประสงค์ใดที่ จะใหเ๎ กิดขึ้นในตวั ผเ๎ู รียน 5. รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาทักษะกระบวนการ (Process Skills) เป็น ทักษะทเ่ี ป็นกระบวนการทางสตปิ ัญญา ไดแ๎ กกํ ระบวนการอะไรบ๎าง จงอธบิ าย รายการอ้างอิง ทิศนา แขมมณี. (2551). รูปแบบการเรยี นการสอน : ทางเลือกท่ีหากหลาย. พมิ พ์คร้งั ท่ี 5. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ทิศนา แขมมณี. (2553).ศาสตรก์ ารสอนองคือความรเ๎ู พ่ือการจัดกระบวนการเรยี นรทู๎ มี่ ีประสิทธิภาพ. กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพ์แหงํ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย รตั นา สิงหกูล. (2547). รปู แบบการสอน. [Online]. Available : http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=11&group_id=50&article_id =910 (15 กมุ ภาพันธ์ 2559) รปู แบบการเรยี นการสอน. [Online]. Available : facebook.com/lsr.php?u=http%3A%2F%2Fstudent.nu.ac.th [6 กุมภาพนั ธ์ 2558] สุวทิ ย์ มูลคาํ และอรทยั มลู คาํ . (2545). 21 วิธจี ัดการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์. 74
Joyce, B, & Weil, M. (1996). Model of teaching. 5th ed. Boston : Allyn and Bacon. http://home.dsd.go.th/techno/trainingsystem/index.php?option=com_content&view= article&id=46:harrow&catid=45:psychomotor&Itemid=52 Simpson, E.J. (1972) The Classification of Educational Objectives in the Psychomotor Domain. Gryphon House, Washington DC. 75
บทที่ 4 การจดั ทาแผนการเรยี นรู้ การเลอื กใช้ การผลติ สือ่ นวัตกรรมทสี่ อดคลอ้ งกับการ จดั การเรียนรู้ หวั เรอ่ื ง 1. การจดั ทาํ แผนการเรยี นร๎ู 2. การเลอื กใช๎ การผลติ สือ่ นวัตกรรมทส่ี อดคลอ๎ งกับการจัดการเรียนรู๎ วัตถุประสงค์ 1. สามารถพัฒนาการจดั ทําแผนการเรยี นรู๎ไปสํจู ดุ ประสงคก์ ารเรียนร๎ูได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง 2. สามารถผลติ และเลือกใช๎ สือ่ นวตั กรรมไดส๎ อดคล๎องกบั การจัดการเรียนรู๎ กิจกรรมระหวา่ งเรยี น ผู๎สอนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพ่อื ใหผ๎ ู๎เรยี นเกดิ การเรยี นร๎ู ทกั ษะและการคดิ วเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. บรรยาย อภปิ ราย ซักถาม กระต๎นุ ใหเ๎ กดิ การแลกเปลี่ยนเรียนรู๎เก่ียวกับประสบการณ์ในเรื่อง ทีส่ อนระหวาํ งผูส๎ อนกบั ผเ๎ู รียนและระหวํางผ๎ูเรียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารทั้งในลักษณะรูปเลํมและข๎อความร๎ูจาก อินเทอร์เน็ต 3. ทําการศกึ ษาจากกรณศี ึกษาทัง้ ในรูปแบบเอกสารและวิดีโอ 4. การทํางานกลํุมเพื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในช้ันเรียน เพ่ือการแลกเปล่ียนเรียนร๎ู ระหวํางผู๎เรียนในช้ันเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระที่เก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรียน 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศึกษา) 6. ผเ๎ู รียนและผ๎ูสอนรํวมสรุปประเดน็ การเรียนรู๎ ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตาํ รา งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข๎อง 2. สื่อดจิ ิทลั จากอนิ เทอร์เน็ตและสไลดน์ าํ เสนอ การประเมินผล 1. การสํวนรํวมกับกิจกรรมในชั้นเรียนของผู๎เรียน ความสามารถในการวเิ คราะห์ประเด็นท่ีศึกษา 2. จากรายงานการคน๎ คว๎าตามประเดน็ ของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 76
การจัดทาแผนการเรียนรู้ การเลือกใช้ การผลิตสอื่ นวตั กรรมที่สอดคลอ้ งกบั การจดั การเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการจดั การเรียนรูโ้ ดย เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั การบนั ทึกและรายงานผลการจัดการเรียนรู้ และการวจิ ยั เพื่อแกป้ ญั หาผเู้ รยี น 4.1 การจดั ทาแผนการเรยี นรู้ รศ.นิลมณี พิทักษ์ กลําวถึง แผนการจัดการเรียนร๎ูวํา เป็นกระบวนการที่ครูเตรียมการ จัดการเรียนรู๎ให๎แกํผ๎ูเรียนอยํางเป็นระบบและเช่ือมโยงหลักสูตรกับการจัดการเรียนรู๎ท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็น สําคัญ ผ๎ูสอนสามารถออกแบบการจัดการเรียนร๎ู ตามองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู๎ เลือกสรร กระบวนการท่ีผู๎เรียนจะได๎รับการพัฒนาตามมาตรฐานการเรียนรู๎และเต็มศักยภาพของแตํละ บุคคล รวมท้ังผ๎ูเรียนจะต๎องได๎รับการพัฒนาทักษะในการแสวงหาความร๎ูจากแหลํงการเรียนร๎ูที่ หลากหลาย สามารถนําความร๎ูไปใช๎ในชีวิตจริงได๎ ดังนั้นแผนการจัดการเรียนรู๎จึงเปรียบเสมือนเป็น เครื่องมือท่ีนาํ ไปสเํู ปูาหมายของความสาํ เร็จทผ่ี สู๎ อนคาดหวังไว๎ องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรท๎ู สี่ าํ คัญแยกเปน็ สองสํวน ไดแ๎ กํ 1. ส่วนหัวของแผน ไดแ๎ กํ โรงเรยี น.............................................................................ชน้ั .............. หนํวยการเรยี นร๎ูท่.ี ...........เร่อื ง...............................เวลา............ชวั่ โมง แผนการจดั การเรยี นร๎ูท่ี.........เรื่อง.......................วันท่.ี .................. เวลา................น. 2. สว่ นท่ีสองรายการทีส่ าคัญ ที่ตอ๎ งระบุในแผนการจัดการเรยี นรู๎ ได๎แกํ 2.1 สาระสาคัญ(ความคิดรวบยอดหรอื มโนมตขิ องบทเรียน) หมายถงึ สาระสาํ คัญของ เน้ือหา ประสบการณท์ ตี่ ๎องการใหเ๎ กิดขน้ึ กบั นกั เรียนหลังจากนกั เรียนได๎รับการปลูกฝงั ด๎วยเทคนิควิธีการ จากครู และการมสี ํวนรวํ มในกิจกรรมรวมท้ังทาํ หนา๎ ท่ีเปน็ ตัวกําหนดขอบเขตเน้ือหา ความร๎ู จดุ ประสงค์ของการเรียนการสอนในแตลํ ะครง้ั ควรเขยี นเป็น ประโยคหรือข๎อความส้ันๆ 2.2 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบงํ เป็น 2 ลักษณะดังนี้ 2.2.1 จดุ ประสงค์ปลายทาง เป็นจดุ ประสงค์การเรยี นร๎ทู เี่ กิดข้นึ กบั นักเรยี น ซง่ึ สะทอ๎ นผลรวมทัง้ หมดท่ีมงุํ หวัง และปรารถนาจะใหเ๎ กิดกับนักเรียนทกุ คน เม่ือผํานกระบวนการเรียนการ สอนวิชานน้ั แลว๎ อกี ทั้งยังสะท๎อนจดุ เน๎นเดนํ ๆ ของเนอื้ หาวชิ าและพฤติกรรมสาํ คัญๆ ของวิชานน้ั ๆ หรอื อาจจะสะท๎อนผลสรุปขนั้ สุดท๎ายของกระบวนการเรยี นร๎ูก็ได๎ วธิ กี ารเขยี นให๎ยดึ “สาระการเรียนรเ๎ู ป็น หลัก” และนํากรอบพฤติกรรมบงํ ชม้ี าวิเคราะห์ให๎สอดคล๎องกับสาระการเรียนรแ๎ู ละมาตรฐานการเรียนร๎ู เชํน 77
1) เพื่อให๎ร๎แู ละเขา๎ ใจระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2) เพอ่ื ใหต๎ ระหนักถงึ ความสําคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 3) เพอ่ื ให๎ปฏิบัติตนเปน็ พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยได๎ 2.2.2 จุดประสงคน์ ําทาง เป็นความคาดหวังที่เกดิ ข้นึ กบั นักเรียนระหวาํ งการ เรียนในแตลํ ะคร้ัง การเขียนจุดประสงคน์ ําทางมวี ัตถุประสงคใ์ ห๎ผูส๎ อนได๎พิจารณาถึงผลการเรยี นยํอยๆ หรือพฤตกิ รรมตํางๆ ท่ีควรจะเกิดขนึ้ ในระหวํางการจดั กิจกรรมการเรยี นร๎ู วธิ กี ารเขียนผ๎สู อนต๎องกาํ หนด พฤติกรรมยํอยๆของสาระการเรยี นรยู๎ อํ ยเพ่ือนาํ ไปสจูํ ุดประสงค์ปลายทาง สามารถเปรียบ เทยี บใหเ๎ หน็ ได๎ ดงั น้ี จุดประสงคป์ ลายทาง จุดประสงคน์ าํ ทาง เพ่ือใหร๎ แ๎ู ละเขา๎ ใจระบอบการปกครองระบอบ 1)บอกลกั ษณะและประเภทของการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย ประชาธปิ ไตยได๎ 2) อธบิ ายความสําคัญของการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยได๎ เพื่อใหต๎ ระหนักถงึ ความสาํ คัญของการปกครอง 1) ยกตวั อยํางหลักการของระบอบประชาธปิ ไตยในการ ระบอบประชาธปิ ไตย ดํารงชวี ิตได๎ เพือ่ ใหป๎ ฏบิ ัตติ นเป็นพลเมอื งดตี ามวถิ ีประชาธปิ ไตย 1) ปฏิบัตติ นเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ีประชาธิปไตยใน ได๎ ชีวติ ประจําวนั ได๎ 2.3 สาระการเรียนรู้ หมายถึงประมวลสาระแหํงองค์ความร๎ูหรือสาระการเรียนรทู๎ ่ี ปรากฏอยใํู นขอบขาํ ยของเร่ืองทีก่ ําหนดให๎เรียน สามารถเขยี นโดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู๎ของผเู๎ รียน เป็นตัวกําหนดได๎ เชนํ ด๎านความร๎ู : ได๎แกสํ าระความรท๎ู ีก่ ําหนดใหผ๎ ๎ูเรียนไดเ๎ รยี น ดา๎ นทักษะกระบวนการ : หมายถึงทักษะท่ีเกย่ี วขอ๎ งกับสาระการเรียนร๎ู ทักษะการทาํ งาน ทักษะการเรียนรู๎ที่ต๎องการให๎ผูเ๎ รยี นได๎ฝึก ด๎านเจตคติ คุณคํา : หมายถึงอารมณ์ความรสู๎ ึก การเห็นประโยชน์ คุณคําของเร่ืองท่ีเรียน 2.4 กจิ กรรมการเรียนรู้ / กระบวนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง วิธีการสอน รูปแบบการสอนแบบตาํ งๆ ทีใ่ ชใ๎ นการจดั การเรียนรู๎ หรือเป็นขั้นตอนและวิธกี ารของการกระทาํ กิจกรรม ตํางๆตัง้ แตํตน๎ จนจบกระบวนการเรียนรท๎ู ่สี ามารถใหน๎ กั เรยี นได๎แสดงออกทั้งด๎าน การปฏิบัติด๎วยการใช๎ ความคดิ พดู และกระทําเพ่อื สรา๎ งประสบการณ์ท่ีกอํ ให๎เกิดการเรียนรู๎ในขณะทเี่ รียน 78
กิจกรรมการเรียนรู้ เปน็ จดั การเรยี นการสอนทเ่ี น๎นนักเรียนเป็นศนู ย์กลาง หลักของการ นํากิจกรรมการเรียนการสอนมาทําแผนการจัดการเรียนร๎ูคือ ยึดหลักนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ใหน๎ ักเรยี นมสี วํ นรํวมในการเรียนการสอนมากที่สุด วิชาสังคมศกึ ษาเป็นวิชาที่ มีลักษณะเป็นนามธรรม ดังนั้นการนํากิจกรรมการเรียนการสอนที่ให๎นักเรียนได๎คิดวิเคราะห์มาใช๎จัด กิจกรรมในแผนการจัดการเรียนรู๎จะชํวยให๎การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ สื่อการสอน ได๎แกํ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการตํางๆ เพื่อให๎เกิดการเรียนรู๎ในบทเรียน สื่อในวิชาสังคมศึกษาจะอยูํใน ลักษณะของแหลํงความรู๎ เชํน บ๎านเรือน โบราณสถาน โบราณวัตถุ บุคคลในชุมชน หนังสือพิมพ์ โทรทศั น์ รวมทั้งส่ือท่ปี ระดิษฐ์ขน้ึ เอง เชนํ บตั รคาํ ภาพพลิก สไลด์ ชุดการสอน ฯลฯ สื่อการสอนที่ จะนํามาใช๎ให๎เกิดประโยชน์สูงสุดได๎นั้นอยํูที่การเลือกใช๎ของผ๎ูสอนให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์ในแผนการ จดั การเรยี นร๎ู การวดั การประเมนิ ผล ผลของการเรยี นในแตลํ ะชวั่ โมง นักเรียนจะประสบผลสําเร็จในการ เรียนและครูประสบผลสําเร็จในการสอนหรือไมํเพียงใด เพื่อท่ีจะพัฒนาการเรียนการสอนให๎ดีข้ึน ซึ่งครู ต๎องกําหนดวําจะใช๎วิธีการประเมินผลใดบ๎าง โดยท่ัวไปแล๎วการวัดการประเมินผลสังคมศึกษามีหลายวิธี เชํน การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจผลงาน การทดสอบ 6) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมสื่อตํางๆ เชํน ใบความร๎ู ส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ ส่ือบุคคล กรณีศึกษา นิทาน เครื่องโสตทัศนูปกรณ์ วีดิทัศน์ แถบเสียง แผํน โปรํงใส Power Point กระดาษ ปากกา สี บัตรคํา บัตรความร๎ู ใบงาน หนังสือ ตํารา เอกสารอ๎างอิง ฯลฯ แหลํงเรียนร๎ูที่ใช๎ประกอบในการทํากิจกรรมการเรียนร๎ูในคาบน้ันๆ เชํน แหลํงเรียนร๎ูในชุมชน วัด ทที่ ําการองคก์ ารบรหิ ารสํวนตาํ บล ศาลจงั หวัด สถานตี าํ รวจ อนามยั ตาํ บล ฯลฯ 7) การวัดและประเมนิ ผล หมายถึง ออกแบบการประเมนิ ผลและการสรา๎ งเครอ่ื งมือ เพอื่ ใชใ๎ นการประเมนิ ผล ในท่นี ี้หมายถึงการวัดและประเมินผลการเรยี นเป็นรายคาบ ไดแ๎ กํ การ สงั เกตความสนใจและการมีสํวนรํวม การแสดงความคดิ เหน็ และการตรวจผลงาน การใชแ๎ บบทดสอบ การทาํ แฟูมสะสมงาน เปน็ ต๎น การจัดกจิ กรรมในข้นั นี้ได๎แกํ การนําผลงานมาติดทป่ี าู ยนิเทศ การอาํ น หนงั สือเพ่ิมเติมนอกเวลา การทาํ แบบทดสอบ ฯลฯ 8) บันทกึ ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ ผูส๎ อนสามารถประเมินแผนการจดั การ เรียนร๎ู โดยใช๎บนั ทึกผลการใช๎แผนฯ เพอ่ื ปรับปรงุ และพัฒนาแผนการจดั การเรียนร๎ูตํอไป ข้ันตอนในการทาแผนการจัดการเรยี นรู้ การทาํ แผนการจัดการเรียนรู๎ มีข้ันตอนดังนี้ 1. วิเคราะหค์ ําอธบิ ายรายวชิ า สาระการเรียนร๎ูรายปีหรือรายภาค และหนํวยการเรียนรู๎ท่ี สถานศึกษาจดั ทาํ ข้ึน เพ่ือประโยชนใ์ นการเขียนรายละเอยี ดของแตลํ ะหวั ข๎อของแผนการจดั การเรยี นร๎ู 2. วิเคราะห์ผลการเรียนร๎ูที่คาดหวังเพื่อนํามาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนร๎ูโดยให๎ ครอบคลุมพฤติกรรมทงั้ ดา๎ นความร๎ู ทกั ษะ/กระบวนการ เจตคติ และคาํ นยิ ม 79
3. วิเคราะห์สาระการเรียนร๎ู โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนร๎ูให๎สอดคล๎องกับผู๎เรียน ชมุ ชนและท๎องถน่ิ 4. วเิ คราะหก์ ระบวนการเรียนร๎ู โดยเลอื กรปู แบบการจัดการเรยี นรูท๎ เี่ น๎นผเู๎ รียนเป็นสาํ คัญ 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผลโดยเลือกใช๎วิธีการวัดผล ประเมินผลให๎สอดคล๎องกับ จุดประสงคก์ ารเรียนร๎ู และสร๎างแบบวัดประเมินผลให๎ครอบคลมุ เนอ้ื หาดว๎ ย 6. วิเคราะห์แหลํงเรียนรู๎ โดยคัดเลือกส่ือการเรียนรู๎และแหลํงการเรียนรู๎ท้ังในและนอก หอ๎ งเรยี นให๎เหมาะสมกับกระบวนการจดั การเรียนร(ู๎ คณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน,2549) วเิ คราะห์กระบวนการเรยี นรู้ /การจดั การเรียนรู้ ผ๎สู อนต๎องวเิ คราะหจ์ ดุ ประสงค์และสาระการเรียนร๎เู พื่อออกแบบการเรียนร๎ูท่เี นน๎ ผ๎ูเรยี น เปน็ สําคัญ ตามองคป์ ระกอบการเรยี นร๎ตู ํอไปนี้ 2.1 ผ๎เู รียนไดแ๎ ลกเปล่ียนประสบการณ์ซ่งึ กนั และกัน เป็นกระบวนการทค่ี รกู ระต๎นุ ให๎ผู๎เรยี น ดงึ หรอื เชอื่ มโยงประสบการณ์เดมิ กับสถานการณ์ใหมํ การแลกเปลีย่ นประสบการณก์ ันน้ีชํวยใหผ๎ ๎เู รียน รวบรวมมวลประสบการณท์ หี่ ลากหลายแล๎วนาํ ไปสํกู ารเรียนร๎สู งิ่ ใหมรํ ํวมกัน การจดั กจิ กรรมในขนั้ น้ี ไดแ๎ กํ การต้ังคําถาม การใหแ๎ ก๎ไขปญั หาด๎วยความร๎เู ดิม เป็นตน๎ 2.2 มกี จิ กรรมการสรา๎ งความร๎ูรํวมกนั เปน็ องคป์ ระกอบท่ชี วํ ยใหผ๎ ู๎เรียนไดค๎ ดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์และสร๎างสรรคม์ วลประสบการณ์ ข๎อมลู ความคิดเห็น ฯลฯ เพือ่ ให๎เกดิ ความเขา๎ ใจท่ีถํองแท๎ หรอื เกดิ ขอ๎ สรุปของความรใ๎ู หมํ ตลอดจบตรวจสอบ ปรับ/เปลย่ี นความคดิ ความเชือ่ ของตน การจดั กจิ กรรมในขน้ั นไี้ ด๎แกํ การต้ังประเดน็ ให๎ผู๎เรียนไดค๎ ดิ และสะท๎อนความคิด ปรบั เปลย่ี นความคดิ อยาํ ง ลึกซ้ึง จนเกดิ ความเข๎าใจชดั เจน จนได๎ข๎อสรปุ หรือความรู๎ใหมตํ ามจดุ ประสงค์ที่กําหนด 2.3 กระบวนการเรียนรู๎ความร๎ูจากครู (ผาํ นสือ่ และแหลงํ การเรียนร๎)ู เป็นองคป์ ระกอบท่ีที่ ผ๎ูเรยี นได๎รับขอ๎ มลู ความรู๎ แนวคิด ทฤษฎี หลกั การ ขนั้ ตอน หรือข๎อสรปุ ตาํ งๆ โดยครูเป็นผจ๎ู ดั ให๎ เพ่อื เปน็ ประโยชน์ในการสร๎างความร๎ใู หมํ และชํวยให๎การเรียนรบู๎ รรลุวัตถปุ ระสงค์ การจดั กจิ กรรมในข้ัน น้ีไดแ๎ กํ การใหแ๎ นวคดิ ทฤษฎีหลักการ ข๎อมูลความร๎ู ข้ันตอนทักษะ ฯลฯ ซ่งึ ทําไดห๎ ลายทางเชํน บรรยาย ดวู ีดที ัศน์ อาํ นเอกสาร ใบความรู๎ ตาํ รา ฯลฯ 2.4 ผเ๎ู รยี นได๎ลงมอื ปฏบิ ตั หิ รอื ประยุกต์ใช๎ เป็นองคป์ ระกอบท่ีทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นไดน๎ ําความคดิ รวบยอดหรอื ข๎อสรปุ หรือความร๎ใู หมทํ เ่ี กิดข้ึนจากการเรยี นไปประยุกต์หรือทดลองใช๎ อาจกลําวอกี ทาง หน่งึ วํา เป็นผลสาํ เร็จของการเรียนรูใ๎ นองคป์ ระกอบข๎างต๎นท่กี ลําวมาแล๎ว และในข้นั น้เี ป็นขน้ั ที่สะท๎อน กระบวนการจดั การเรยี นรว๎ู ํา มิใชํเพยี งเรยี นรู๎เทาํ นั้นแตเํ ป็นกระบวนการทไ่ี ด๎ใช๎ความรทู๎ ่ีเรียน ทาํ ใหเ๎ กดิ เปน็ ทักษะและเจตคติท่ดี ตี ํอการเรียนตามมา การจัดกิจกรรมในขัน้ นี้ไดแ๎ กํ การทาํ แผนภาพ จัด นทิ รรศการ ทํารายงานสรปุ สาระสําคัญ ตารางวเิ คราะห์ ฯลฯ 80
3. ออกแบบปฏิสมั พนั ธใ์ นแตํละกจิ กรรมการเรียนรู๎ โดยเลอื กใชก๎ ระบวนการท่หี ลากหลาย เชํน กระบวนการกลํุม ท้ังกลุํมขนาดเล็ก กลาง และใหญํ การออกแบบปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการ เรียนร๎ูท่ีเน๎นผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ จึงเป็นการจัดให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูจากกลุํมมากท่ีสุด แทนการเรียนด๎วย การฟังครูพูด (บรรยาย) มีผลงานวิจัยสนับสนุนวําการเรียนเป็นกลํุมมีผลดีตํอผ๎ูเรียนคือ ชํวยให๎ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดขี น้ึ สงํ เสริมความคิดสรา๎ งสรรค์และจรยิ ธรรม ผเ๎ู รยี นได๎เรยี นร๎ูอยํางมีความสุข 4. ส่ือ อุปกรณ์ และแหลํงการเรียนร๎ู หมายถึง การเตรียมสื่อตํางๆ เชํน ใบงาน ใบความร๎ู สอ่ื วสั ดุ อปุ กรณ์ แหลํงเรียนรู๎ทใี่ ช๎ประกอบในการทํากิจกรรมการเรียนร๎ูในคาบน้ันๆ เชํน กรณีศึกษา วีดิทัศน์ แถบเสียง แผํนโปรํงใส Power Point ส่ือบุคคล นิทาน เครื่อง โสตทศั นปู กรณ์ กระดาษ ปากกา สี บัตรคํา บัตรความรู๎ ใบงาน หนังสือ ตํารา เอกสารอ๎างอิง ฯลฯ 5. การวัดและประเมินผล หมายถึง ออกแบบการประเมินผลและการสร๎างเครื่องมือเพ่ือใช๎ ในการประเมินผล ในท่ีน้ีหมายถึงการวัดและประเมินผลการเรียนเป็นรายคาบ ได๎แกํ การสังเกต ความสนใจและการมีสํวนรํวม การแสดงความคิดเห็นและการตรวจผลงาน การใช๎แบบทดสอบ การ ทําแฟูมสะสมงาน เป็นต๎น การจัดกิจกรรมในข้ันน้ีได๎แกํ การนําผลงานมาติดที่ปูายนิเทศ การอําน หนังสือเพิ่มเตมิ นอกเวลา การทาํ แบบทดสอบ ฯลฯ 6.จดั การเรียนร๎ูและบันทึกผลการใช๎แผนการจัดการเรียนร๎ู ผู๎สอนสามารถประเมินแผนการ จดั การเรยี นร๎ู โดยใช๎บนั ทึกผลการใช๎แผนฯ เพื่อปรบั ปรงุ และพฒั นาแผนการจัดการเรยี นร๎ูตํอไป 81
ตัวอย่างแบบฟอร์มการเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ 1. การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบความเรยี ง กลุํมสาระ..............................ระดับชน้ั .........................เวลา...............ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรเ๎ู ร่ือง............................................................................. สาระสาคญั ................................................................................................... จุดประสงค์การเรยี นรู้................................................................................. วเิ คราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ 1) ดา๎ นความรู๎ (ระบุพฤติกรรมการเรยี นรูท๎ ี่เกดิ ข้นึ ) 2) เจตคติ (ระบุความรสู๎ ึก คณุ คําของสิ่งท่ีได๎รบั จากการเรียน) 3) ทกั ษะ (ระบทุ กั ษะ ความสามารถท่เี กดิ ขึ้นจากการเรียน) กจิ กรรมการเรยี นรู้ (ลักษณะของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู๎ขึ้นอยํกู บั การออกแบบการจดั การ เรียนรขู๎ องครู โดยคํานึงถึงหลักการ 4 ประการ คือ การให๎โอกาสผู๎เรียนได๎แลกเปล่ียนประสบการณ์ การสรา๎ งความรรู๎ ํวมกนั การใหค๎ วามร๎ใู หมํ และการลงมอื ปฏิบัต)ิ 1) ........................................................................................................ 2) ........................................................................................................ 3) ........................................................................................................ 4) ฯลฯ สอ่ื อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 1) ........................................................................................................ 2) ........................................................................................................ 3) ........................................................................................................ 4) ฯลฯ การวดั และประเมนิ ผล 1) การวัดผล สิ่งทีต่ อ๎ งการวัดผล วิธกี ารทใ่ี ช๎ เครือ่ งมือที่ใช๎ 82
2) การประเมนิ ผล....................................................... แนวทางแก๎ไข/พัฒนา การบนั ทกึ ผลการจัดการเรียนรู้ หัวขอ๎ จุดเดนํ /ดี จดุ ดอ๎ ย/ข๎อบกพรํอง แผนการจัดการเรียนร๎ู พฤติกรรมการสอนของ ครู พฤติกรรมผ๎ูเรยี น ผลการเรียนร๎ู 2. การเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้แบบตาราง กลมํุ สาระ..............................ระดับชนั้ .........................เวลา...............ชว่ั โมง แผนการจัดการเรียนรูเ๎ รื่อง............................................................................. สาระสาคญั ................................................................................................... จุดประสงค์ฯ สาระการ กจิ กรรมการเรยี นร๎ู สื่อ/แหลงํ การวดั และ ผลการ ประเมินผล เรียนร๎ู เรียนร๎ู การเรียนร๎ู ลกั ษณะของแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนทด่ี ี คุณภาพของนักเรียนเป็นผลท่ีเกดิ จากการจดั การเรียนการสอนของครู คุณภาพของการ เรียนการสอนมาจากการออกแบบแผนการสอนหรือแผนการเรยี นรทู๎ ด่ี ีและนาํ ไปใช๎กับนักเรียนใหเ๎ กิด ประสทิ ธภิ าพสูงสุด การออกแบบแผนการรนสอนจึงเป็นตวั ชี้วดั สมรรถภาพทสี่ าํ คัญของผ๎ูประกอบวิชาชีพ ครู เราจงึ ขอนําเสนอลกั ษณะของแผนการเรยี นร๎ทู ีด่ ีมาฝากกันคะํ ลกั ษณะของแผนการจัดการเรยี นรู้ทด่ี ี ควรมีดังน้ี 1. มีความละเอียด ชดั เจน มีหวั ข๎อและสํวนประกอบตําง ๆ ครอบคลุมตามหลักการของการสอน 1.1 สอนเก่ียวกบั อะไร (หนวํ ยการเรียนร๎ู หัวเร่อื ง ความคิดรวบยอดหรือสาระสําคัญ) 1.2 เพ่อื จดุ ประสงค์อะไร (จุดประสงค์การเรยี นรู๎ ซึง่ ควรเขยี นเปน็ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม) 1.3 สาระอะไร (เนื้อหา / โครงราํ งเนื้อหา) 83
1.4 ใชว๎ ธิ ีการใดในการสอน (กจิ กรรมการเรียนรู๎ซ่ึงใช๎กจิ กรรมการเรียนรูท๎ ่ีเนน๎ ผ๎เู รียนเปน็ สาํ คญั ) 1.5 ใช๎เคร่ืองมืออะไรในการสอน (วัสดอุ ปุ กรณ์ ส่ือและแหลํงการเรียนร๎)ู 1.6 เราจะทราบได๎อยํางไรวําแผนการเรยี นรท๎ู ่ีเราออกแบบจะประสบความสาํ เรจ็ (การวดั และประเมนิ ผล) 2. แผนการจัดการเรยี นร๎ูสามารถนําไปปฏิบัติไดจ๎ รงิ 3. สํวนประกอบตําง ๆ ของแผนการจดั การเรียนรมู๎ ีความสอดคล๎องสัมพันธเ์ ชื่อมโยงสัมพนั ธก์ ัน เชํน 3.1 จดุ ประสงค์การเรียนร๎คู รอบคลุมสาระ / เนอื้ หา และเปน็ จุดที่พัฒนาผเ๎ู รียนในด๎าน ความร๎ู ทักษะ กระบวนการและเจตคติ 3.2 กจิ กรรมการเรยี นรู๎ ควรสอดคล๎องกบั จดุ ประสงค์และเนือ้ หา / สาระ 3.3 วัสดอุ ุปกรณ์ สื่อ และแหลงํ การเรียนรู๎ ควรสอดคล๎องสมั พนั ธก์ บั กิจกรรมการเรยี นรู๎ 3.4 การวดั ผลและประเมินผล ควรสอดคล๎องกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ แผนการจดั การเรียนร๎ูทด่ี ตี อ๎ งเปน็ แผนการจดั การเรียนร๎ูทีเ่ น๎นผ๎ูเรยี นเปน็ สําคญั ดังนี้ 1. มีการวิเคราะหห์ ลักสตู ร จัดทําตารางวเิ คราะหค์ ําอธบิ ายรายวชิ า หรอื วเิ คราะหส์ าระการ เรยี นรู๎ จดั ทําหนวํ ยการเรียนร๎ู และจดั ทํากําหนดการสอนหรอื โครงการสอน 2. มกี ารวเิ คราะห์ผ๎ูเรยี น โดยการจัดกลุํมผ๎ูเรยี นตามความร๎ู ความสามารถ ความสนใจ และความ ถนดั แลว๎ นําไปเขียนแผนการจดั การเรียนรู๎ตามศักยภาพของผเู๎ รียนเพอ่ื เน๎นผ๎เู รียนเปน็ สาํ คัญ 3. มีการกาํ หนดเน้ือหาสอดคลอ๎ งกับจุดประสงค์การเรียนรู๎สอดคล๎องกบั ผลการเรียนรู๎ท่ีคาดหวัง ศักยภาพของผูเ๎ รยี น และความตอ๎ งการของท๎องถ่ิน รวมทั้งการบรู ณาการระหวํางวิชา 4. มีการกาํ หนดกิจกรรมการเรยี นรูท๎ ีห่ ลากหลาย เหมาะสมและสอดคล๎องกบั ศักยภาพของผ๎ูเรียน มกี ารบรู ณาการ เน๎นการคดิ (ทักษะการคิด ลักษณะการคดิ และกระบวนการคิด) การฝึกทักษะ การ ปฏิบตั ิจรงิ และการสร๎างองค์ความรู๎ด๎วยตนเอง 5. มกี ารกําหนดส่ือ /นวตั กรรม/แหลงํ เรียนร๎ทู ่ีหลากหลาย สอดคล๎องกับจุดประสงค์การเรียนร/๎ู ผลการเรยี นรทู๎ ี่คาดหวัง กิจกรรมการเรยี นร๎ู วยั และความสามารถของผเ๎ู รียน และใหผ๎ ูเ๎ รยี นมีสวํ นรํวมใน การเลอื ก จัดหาและจดั ทําสื่อ/แหลํงการเรียนรู๎ 6. มกี ารกําหนดการวดั ผลและประเมนิ ผล สอดคลอ๎ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร๎/ู ผลการเรียนรทู๎ ี่ คาดหวังและกจิ กรรมการเรียนร๎ู มีการวัดผลตามสภาพจรงิ ให๎ครอบคลุมท้งั ดา๎ นความร๎ู ทักษะ และเจตคติ 7. มีองค์ประกอบสําคัญครบถ๎วน เน๎นผู๎เรยี นเป็นสําคัญ สอดคลอ๎ งกบั ความต๎องการของท๎องถิ่น เน๎นคุณธรรม จริยธรรม และมกี ารบรู ณาการตามความเหมาะสม 84
8. มคี วามสมบูรณ์ถูกต๎อง มคี วามคิดรเิ รม่ิ สรา๎ งสรรค์ เป็นประโยชน์ตอํ ผู๎เรียน ทําให๎ผเ๎ู รยี นได๎ พฒั นาดา๎ นความรู๎ ทกั ษะและเจตคติ ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนร้ทู ด่ี ี 1. ทาํ ให๎เกดิ การวางแผนวธิ สี อนวธิ ีเรียนท่มี คี วามหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการจัดทาํ อยําง มีหลกั การที่ถูกต๎อง 2. ชํวยให๎ครมู คี มูํ ือการสอนท่ีทําด๎วยตนเอง ทําให๎เกดิ ความสะดวกในการจดั การเรยี น การสอน ทาํ ให๎สอนไดค๎ รบถ๎วนตรงตามหลกั สูตร และสอนได๎ทันเวลา 3. เปน็ ผลงานวิชาการทีส่ ามารถเผยแพรเํ ป็นตัวอยํางได๎ 4. ชํวยให๎ความสะดวกแกํครผู ม๎ู าสอนแทนในกรณที ่ีผู๎สอนไมํสามารถเขา๎ สอนได๎ การมีแผนการสอนทด่ี ีก็เหมือนการวางรากฐานการศกึ ษาให๎คนในประเทศ คุณครูลอง เอาแนวคิดนี้ไปพฒั นาแผนการจัดการเรียนรูใ๎ หน๎ กั เรยี น และยงิ่ จะเปน็ การท่ีทําใหค๎ รูไดเ๎ ตรียมตวั ลํวงหนา๎ กํอนทําการสอนและจะไดเ๎ หน็ รูปแบบการสอนนักเรยี นลํวงหนา๎ คํะ 4.2 การเลือกใช้ การผลติ ส่ือ นักวชิ าการในวงการเทคโนโลยที างการศกึ ษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได๎ให๎ คาํ จาํ กดั ความของ “สอ่ื การสอน” ไว๎อยํางหลากหลาย เชํน ชอร์ส กลําววํา เคร่ืองมือท่ีชํวยส่ือความหมายจัดข้ึนโดยครูและนักเรียน เพ่ือสํงเสริมการ เรียนร๎ู เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นส่ือการสอน เชํน หนังสือในห๎องสมุด โสตทัศนวัสดุตําง ๆ เชํน โทรทัศน์ วทิ ยุ สไลด์ ฟิล์มสตรปิ รปู ภาพ แผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหลํงชมุ ชน บราวน์ และคณะ กลําววํา จําพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถชํวยเสนอความร๎ูให๎แกํผู๎เรียน จนเกิดผลการเรียนที่ดี ท้ังน้ีรวมถึง กิจกรรมตําง ๆ ท่ีไมํเฉพาะแตํส่ิงท่ีเป็นวัตถุหรือเครื่องมือเทําน้ัน เชํน การศึกษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการ สํารวจ เปน็ ตน๎ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให๎ความหมาย ส่ือการสอนวํา วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอน เพ่ือใช๎เป็นสื่อกลางในการส่ือความหมายท่ีผ๎ูสอนประสงค์จะสํง หรือถํายทอดไปยังผ๎ูเรียนได๎อยํางมี ประสทิ ธภิ าพ นอกจากน้ี ยงั มคี าํ อื่น ๆ ทม่ี คี วามหมายใกล๎เคยี งกบั สอ่ื การสอน เป็นต๎นวํา ส่อื การเรียน หมายถงึ เคร่ืองมือ ตลอดจนเทคนิคตําง ๆ ท่ีจะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร๎าความสนใจผเู๎ รยี นรูใ๎ ห๎เกดิ การเรียนรู๎ เกดิ ความเขา๎ ใจดีขึ้น อยาํ งรวดเรว็ 85
สอื่ การศกึ ษา คอื ระบบการนําวัสดุ และวิธีการมาเป็นตัวกลางในการให๎การศึกษาความร๎ูแกํ ผ๎ูเรียนโดยทว่ั ไป โสตทศั นปู กรณ์ หมายถงึ วัสดุทงั้ หลายท่ีนาํ มาใช๎ในหอ๎ งเรียน หรือนํามาประกอบการสอนใด ๆ กต็ าม เพอ่ื ชํวยให๎การเขียน การพดู การอภิปรายน้นั เขา๎ ใจแจมํ แจง๎ ย่ิงขน้ึ ความสาคญั ของส่ือการสอน ไชยยศ เรืองสุวรรณ กลําววํา ปัญหาอยํางหน่ึงในการสอนก็คือ แนวทางการตัดสินใจจัด ดําเนินการให๎ผู๎เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมขึ้นตามจุดมํุงหมาย ซ่ึงการสอนโดยท่ัวไป ครูมักมี บทบาทในการจัดประสบการณ์ตําง ๆ ไมํวําจะเป็นด๎านเนื้อหาสาระ หรือทักษะและมีบทบาทในการจัด ประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยํูกับตัวผู๎เรียนแตํละคนด๎วยวํา ผู๎เรียนมีความต๎องการ อยํางไร ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล๎อมที่ดีเพ่ือการเรียนการสอนจึงมี ความสาํ คญั มาก ทั้งน้ีเพื่อสร๎างบรรยากาศและแรงจูงใจผ๎ูเรียนให๎เกิดความอยากเรียนร๎ูและเพื่อเป็นแหลํง ศกึ ษาคน๎ คว๎าหาความรู๎ของผู๎เรียนได๎ตามจุดมุํงหมาย สภาพแวดล๎อมเพ่ือการเรียนร๎ูท้ังมวลที่จัดขึ้นมาเพ่ือ การเรียนการสอนนั้น ก็คือ การเรยี นการสอน เอด็ การ์ เดล ได๎กลําวสรปุ ถงึ ความสําคัญของสือ่ การสอน ดงั นี้ 1. สอ่ื การสอน ชวํ ยสร๎างรากฐานทเี่ ป็นรูปธรรมข้นึ ในความคิดของผู๎เรียน การฟังเพียงอยําง เดยี วน้ัน ผ๎ูเรียนจะตอ๎ งใชจ๎ นิ ตนาการเข๎าชํวยด๎วย เพอ่ื ใหส๎ ิง่ ท่ีเป็นนามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นในความคิด แตสํ ําหรบั สงิ่ ทยี่ ุํงยากซบั ซ๎อน ผเู๎ รยี นยํอมไมํมีความสามารถจะทําได๎ การใชอ๎ ุปกรณเ์ ข๎าชํวยจะทําให๎ผ๎ูเรียน มคี วามเข๎าใจและสรา๎ งรปู ธรรมข้นึ ในใจได๎ 2. สือ่ การสอน ชวํ ยเรา๎ ความสนใจของผู๎เรยี น เพราะผ๎ูเรยี นสามารถใช๎ประสาทสัมผัสได๎ด๎วย ตา หู และการเคลื่อนไหวจบั ต๎องไดแ๎ ทนการฟังหรือดูเพียงอยาํ งเดยี ว 3. เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนร๎ูและชํวยความทรงจําอยํางถาวร ผ๎ูเรียนจะสามารถ นําประสบการณเ์ ดิมไปสัมพนั ธก์ บั ประสบการณ์ใหมํ ๆ ได๎ เมือ่ มีพ้นื ฐานประสบการณ์เดิมท่ดี อี ยแูํ ลว๎ 4. ชํวยให๎ผู๎เรียนได๎มีพัฒนาการทางความคิด ซึ่งตํอเนื่องเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันทําให๎เห็น ความสัมพนั ธเ์ กีย่ วข๎องกับสิ่งตําง ๆ เชนํ เวลา สถานที่ วัฏจักรของสงิ่ มชี ีวติ 5. ชํวยเพ่ิมทกั ษะในการอาํ นและเสริมสร๎างความเข๎าใจในความหมายของคําใหมํ ๆ ให๎มาก ขึ้น ผ๎ูเรียนที่อํานหนังสือช๎าก็จะสามารถอํานได๎ทันพวกท่ีอํานเร็วได๎ เพราะได๎ยินเสียงและได๎เห็น ภาพประกอบกัน เปร่ือง กุมทุ ใหค๎ วามสาํ คัญของส่ือการสอน ดงั น้ี 1. ชํวยใหค๎ ณุ ภาพการเรยี นร๎ูดีขน้ึ เพราะมคี วามจริงจงั และมคี วามหมายชัดเจนตอํ ผูเ๎ รยี น 86
2. ชวํ ยให๎นกั เรยี นรไ๎ู ดใ๎ นปริมาณมากขน้ึ ในเวลาทกี่ าํ หนดไวจ๎ ํานวนหนงึ่ 3. ชํวยใหผ๎ ๎เู รยี นสนใจและมสี วํ นรํวมอยาํ งแข็งขันในกระบวนการเรยี นการสอน 4. ชวํ ยให๎ผ๎เู รียนจาํ ประทบั ความรูส๎ กึ และทาํ อะไรเป็นเรว็ ขน้ึ และดขี ้นึ 5. ชวํ ยสงํ เสริมการคดิ และการแก๎ปญั หาในขบวนการเรยี นร๎ูของนกั เรยี น 6. ชํวยให๎สามารถเรียนรู๎ในส่ิงท่ีเรียนได๎ลําบากโดยการชํวยแก๎ปัญหา หรือข๎อจํากัดตําง ๆ ไดด๎ ังน้ี • ทาํ สิง่ ท่ซี บั ซ๎อนให๎งํายขน้ึ • ทาํ นามธรรมให๎มรี ูปธรรมขึน้ • ทําสิ่งที่เคลือ่ นไหวเร็วใหด๎ ชู า๎ ลง • ทําสิ่งท่ใี หญํมากใหย๎ อํ ยขนาดลง • ทําสง่ิ ที่เลก็ มากให๎ขยายขนาดขึ้น • นาํ อดตี มาศกึ ษาได๎ • นาํ สง่ิ ที่อยํไู กลหรือลี้ลับมาศึกษาได๎ 7. ชวํ ยใหน๎ ักเรยี นเรียนสาํ เรจ็ งาํ ยขึ้นและสอบไดม๎ ากขนึ้ เม่ือทราบความสําคัญของส่ือการสอนดังกลําวข๎างต๎นแล๎ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ ประเภท หรอื ชนดิ ของส่ือการสอน ดงั จะกลําวตํอไปดงั นี้ ประเภทของส่อื การสอน เอด็ การ์ เดล จําแนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลําดับจากประสบการณท์ เี่ ป็นรูปธรรม ไปสํปู ระสบการณ์ท่เี ป็นนามธรรม โดยยึดหลักวํา คนเราสามารถเขา๎ ใจส่งิ ท่ีเปน็ รูปธรรมได๎ดแี ละเร็วกวําส่ิง ทเี่ ปน็ นามธรรมซ่งึ เรียกวํา \"กรวยแหํงประสบการณ\"์ (Cone of Experiences) ซึ่งมีท้งั หมด 10 ขัน้ ดงั แผนภาพตอํ ไปนี้ 87
โรเบริ ์ต อ.ี ด.ี ดีฟเฟอร์ แบงํ ประเภทของสื่อการสอน ดงั น้ี 1. วสั ดทุ ่ไี มํต๎องฉาย ไดแ๎ กํ รูปภาพ แผนภมู ิ กราฟ ของจริง ของตวั อยาํ ง หุํนจาํ ลอง แผนท่ี กระดาษสาธติ ลูกโลก กระดานชอลค์ กระดานนิเทศ กระดานแมํเหลก็ การแสดงบทบาท นิทรรศการ การสาธิต และการทดลองเป็นตน๎ 2. วสั ดุฉายและเคร่ืองฉาย ไดแ๎ กํ สไลด์ ฟิลม์ สตริป ภาพโปรํงใส ภาพทึบ ภาพยนตร์ และ เครอ่ื งฉายตาํ ง ๆ เชนํ เครอื่ งฉายภาพยนตร์ เคร่ืองฉายสไลด์ และฟลิ ม์ สตริป เคร่อื งฉายกระจกภาพ เคร่อื งฉายภาพข๎ามศรี ษะ เครื่องฉายภาพทบึ แสง เครือ่ งฉายภาพจลุ ทัศน์ เปน็ ตน๎ 3. โสตวัสดุและเครอ่ื งมือ ได๎แกํ แผนํ เสียง เครื่องเลนํ จานเสยี ง เทป เครอ่ื งบนั ทึกเสียง เคร่ือง ขยายเสียง และวิทยุ เป็นต๎น ศาสตราจารยส์ ําเภา วรางกูร ไดแ๎ บงํ ประเภทและชนิดของส่อื การสอน ดังน้ี ก. ประเภทวัสดโุ สตทัศน์ (Audio-Visual Materials) 1. ประเภทภาพประกอบการสอน(Picture Instructional Materials) 88
I. ภาพท่ีไมํตอ๎ งฉาย (Unprojected Pictures) i. ภาพเขียน (Drawing) ii. ภาพแขวนผนงั (Wall Pictures) iii. ภาพตดั (Cut-out Pictures) iv. สมดุ ภาพ (Pictorial Books, Scrapt Books) v. ภาพถาํ ย (Photographs) II. ภาพทตี่ ๎องฉาย (Project Pictures) i. สไลด์ (Slides) ii. ฟลิ ม์ สตริป (Filmstrips) iii. ภาพทึบ (Opaque Projected Pictures) iv. ภาพโปรงํ แสง (Transparencies) v. ภาพยนตร์ 16 มม., 8 มม., (Motion Pictures) vi. ภาพยนตร์ (Video Tape) 2. ประเภทวสั ดุอปุ กรณล์ ายเส๎น (Graphic Instructional Materials) I. แผนภมู ิ (Charts) II. กราฟ (Graphs) III. แผนภาพ (Diagrams) IV. โปสเตอร์ (Posters) V. การต์ นู (Cartoons, Comic strips) VI. รูปสเก็ช (Sketches) VII.แผนท่ี (Maps) VIII. ลูกโลก (Globe) 3. ประเภทกระดานและแผํนปูายแสดง (Instructional Boards and Displays) I. กระดานดําหรือกระดานชอล์ก (Blackboard,Chalk Board) II. กระดานผา๎ สําลี (Flannel Boards) III. กระดานนิเทศ (Bulletin Boards) IV. กระดานแมํเหล็ก (Magnetic Boards) V. กระดานไฟฟูา (Electric Boards) 4. ประเภทวสั ดสุ ามมติ ิ (Three-Dimensional Materials) มี I. หุนํ จําลอง (Models) II. ของตัวอยาํ ง (Specimens) 89
III. ของจริง (Objects) IV. ของล๎อแบบ (Mock-Ups) V. นิทรรศการ (Exhibits) VI. ไดออรามา (Diorama) VII.กระบะทราย (Sand Tables) 5. ประเภทโสตวัสดุ (Auditory Instructional Materials) I. แผํนเสียง (Disc Recorded Materials) II. เทปบันทึกเสยี ง (Tape Recorded Materials) III. รายการวทิ ยุ (Radio Program) 6. ประเภทกจิ กรรมและการละเลํน (Instructional Activities and Plays) I. การทัศนาจรศึกษา (Field Trip) II. การสาธิต (Demonstrations) III. การทดลอง (Experiments) IV. การแสดงแบบละคร (Drama) V. การแสดงบทบาท (Role Playing) VI. การแสดงหนุํ (Pupetry) ข. ประเภทเครื่องมือโสตทัศนปู กรณ์ (Audio-Visual Equipments) 1. เคร่อื งฉายภาพยนตร์ 16 มม. , 8 มม. 2. เครอ่ื งฉายสไลด์และฟลิ ม์ สตริป (Slide and Filmstrip Projector) 3. เครอ่ื งฉายภาพทึบแสง (Opaque Projectors) 4. เครอ่ื งฉายภาพข๎ามศรี ษะ (Overhead Projector) 5. เคร่อื งฉายกระจกภาพ (3 1/4 \"x 4\" หรอื Lantern Slide Projector) 6. เครอ่ื งฉายภาพจลุ ทัศน์ (Micro-Projector) 7. เครื่องเลนํ จานเสียง (Record Plays) 8. เครอื่ งเทปบันทึกภาพ (Video Recorder) 9. เครื่องรับโทรทัศน์ (Television Receiver) 10. จอฉายภาพ (Screen) 11. เครือ่ งรับวทิ ยุ(Radio Receive) 12. เครอ่ื งขยายเสยี ง(Amplifier) 13. อปุ กรณ์เทคโนโลยีแบบใหมํตํางๆ (Modern Instructional Technology Devices) เชํน โทรทศั นศกึ ษา ห๎องปฏิบัตกิ ารภาษา โปรแกรมเรียน (Programmed Learning) และอ่ืนๆ 90
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322