เลนํ เกม ผ๎ูสอนควรตดิ ตามสงั เกตพฤติกรรมการเลํนของผู๎เรียนอยํางใกล๎ชิด และควรบันทึกข๎อมูลท่ีจะเป็น ประโยชน์ตํอการเรียนร๎ูของผู๎เรียนไว๎ เพ่ือนําไปใช๎ในการอภิปรายหลังการเลํน หากเป็นไปได๎ผู๎สอนควร มอบหมายผ๎ูเรียนบางคนให๎ทําหนา๎ ทสี่ ังเกตการณก์ ารเลํน และควบคุมกติกาการเลํนด๎วย 4. การอภิปรายหลังการเลํน ข้ึนตอนนี้เป็นข้ึนที่สําคัญมาก หากขาดข้ันตอนนี้ การเลํน เกมก็คงไมํใชํวิธีสอน แตํเป็นเพียงการเลํนเกมธรรมดาๆ จุดเน๎นของเกมอยํูที่การเรียนร๎ูยุทธวิธีตํางๆ ที่จะ เอาชนะอุปสรรค เพอ่ื จะไปให๎ถึงเปูาหมาย ผู๎สอนจําเป็นต๎องเข๎าใจวําจุดเน๎นของการใช๎เกมในการสอนน้ัน ก็เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ การใช๎เกมในการสอนโดยทั่วๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะตํางๆ ท่ีต๎องการ(ใช๎ยุทธวิธีการเลํนที่สนุก และการแขํงขันมาเป็นเคร่ืองมือในการ ให๎ผู๎เรียนฝกึ ฝนทักษะตาํ งๆ) 2) เรียนรู๎เนื้อหาสาระจากเกมนั้น (ในกรณีที่เกมนั้นเป็นเกมการศึกษา) และ 3) เรยี นร๎คู วามเป็นจริงของสถานการณ์ตํางๆ (ในกรณีท่ีเกมน้ันเป็นเกมการศึกษา) ดังน้ันการอภิปราย จึง ควรมุํงประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนนั้นๆ กลําวคือ ถ๎าการใช๎เกมนั้นมุํงเพียงเป็นเครื่องมือฝึก ทักษะให๎ผ๎ูเรียน การอภิปรายก็ควรมุํงไปท่ีทักษะน้ันๆ วําผู๎เรียนได๎พัฒนาทักษะนั้นเพียงใด ประสบ ความสําเร็จตามต๎องการหรอื ไมํ และจะมวี ิธีใดทจ่ี ะชวํ ยใหป๎ ระสบความสําเร็จมากขึน้ แตํถ๎ามํุงเน้ือหาสาระ จากเกม ก็ควรอภิปรายในประเด็นท่วี ําผูเ๎ รยี นไดเ๎ รยี นร๎ูเน้ือหาสาระอะไรจากเกมบา๎ ง รู๎ไดอ๎ ยํางไร ด๎วยวิธีใด มีความเข๎าใจในเน้อื หาสาระนั้นอยํางไร ไดค๎ วามเข๎าใจนั้นมาจากการเลํนเกมตรงสํวนใด เป็นต๎น ถ๎ามุํงการ เรียนร๎ูความเปน็ จริงของสถานการณ์ กค็ วรอภิปรายในประเด็นที่วาํ ผเ๎ู รยี นได๎เรยี นรู๎ความจริงอะไรบ๎างการ เรยี นรูน๎ ้ันได๎มาจากไหน และอยํางไร ผ๎ูเรียนได๎มาจากไหน และอยํางไร ผ๎ูเรียนได๎ตัดสินใจอะไรบ๎าง ทําไม จึงตัดสินใจเชํนน้ัน และการตัดสินใจให๎ผลอยํางไร ผลนั้นบอกความจริงอะไร ผู๎เรียนมีข๎อสรุปอยํางไร เพราะอะไรจึงสรปุ อยาํ งน้นั เปน็ ตน๎ ขอ้ ดีและขอ้ จากัดของวิธีสอนโดยใชเ้ กม ทิศนา แขมมณี (2550 : 368) กลาํ วถงึ ข๎อดแี ละขอ๎ จํากดั ของวิธีสอนโดยใช๎เกม ดงั น้ี ข้อดี 1) เป็นวธิ ีสอนทีช่ ํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นมสี ํวนรํวมในการเรียนรส๎ู งู ผู๎เรียนไดร๎ บั ความ สนกุ สนาน และเกิดการเรยี นรูจ๎ ากการเลํน 2) เปน็ วธิ ีสอนทีช่ ํวยใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ การเรียนรู๎ โดยการเห็นประจักษ์แจ๎งด๎วยตนเองทํา ให๎การเรียนรน๎ู ั้นมคี วามหมายและอยูํคงทน 3) เป็นวธิ ีสอนท่ผี ๎สู อนไมํเหน่ือยแรงมากขณะสอนและผเู๎ รยี นชอบ ขอ้ จากัด 1) เปน็ วธิ ีสอนทใ่ี ช๎เวลามาก 291
2) เป็นวิธีสอนท่มี ีคําใชจ๎ ําย เน่ืองจากเกมบางเกมต๎องซ้ือหามาโดยเฉพาะเกมจําลอง สถานการณ์บางเกมมีราคาสูงมาก เนื่องจากการเลํนเกมสํวนใหญํ ผู๎เรียนทุกคนต๎องมี วสั ดุอุปกรณใ์ นการเลนํ เฉพาะตน 3) เปน็ วิธสี อนทข่ี ึ้นกับความสามารถของผ๎สู อน ผส๎ู อนจาํ เปน็ ต๎องมีความรู๎ ความ เข๎าใจเก่ยี วกับการสรา๎ งเกม จงึ จะสามารถสรา๎ งได๎ 4) เป็นวิธสี อนท่ตี อ๎ งอาศัยการเตรียมการมาก เกมเพ่ือการฝึกทักษะ แม๎จะไมํยุํงยาก ซับซ๎อนนัก แตํผู๎สอนจําเป็นต๎องจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ในการเลํนให๎ผ๎ูเรียนจํานวนมาก เกมการศึกษา และเกมจําลองสถานการณ์ ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาและทดลองใช๎จน เข๎าใจ ซงึ่ ต๎องอาศัยเวลามาก โดยเฉพาะเกมท่ีมีความซับซ๎อนมาก และผู๎เลํนจํานวนมาก ยง่ิ ตอ๎ งใช๎เวลามากขน้ึ อกี 5) เปน็ วิธสี อนท่ผี ูส๎ อนตอ๎ งมีทักษะในการนาํ การอภปิ รายทมี่ ปี ระสิทธิภาพจึงจะ สามารถชํวยใหผ๎ เ๎ู รยี นประมวลและสรุปการเรยี นรู๎ได๎ตามวตั ถุประสงค์ กลําวโดยสรุปได๎วํา การสอนโดยการใช๎เกม หมายถึง การสอนที่ผู๎สอนให๎ผู๎เรียนได๎เลํน เกมตามกติกา โดยนําเน้ือหาในบทเรียนมาเป็นสํวนประกอบของการเลํนเกม ซึ่งจะสังเกตพฤติกรรมจาก การเลํน เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนและผู๎สอนนําการเลํนเกมดังกลําวมาใช๎ในการอภิปรายสรุปผล โดยมีจุดมุํงหมาย เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎รับประสบการณ์จริง ได๎เรียนรู๎เน้ือหาสาระจากเกม ฝึกฝนเทคนิคและทักษะตํางๆ เกิด ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน อีกทงั้ มสี ํวนรํวมในการเรยี นการสอนด๎วย มีองค์ประกอบทีส่ ําคญั คอื ผูเ๎ รียน ผู๎สอน เกม กติกาท่ีใช๎ มีผ๎ูเลํนเกม พฤติกรรมของผ๎ู เลํนเกม และผลการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียน ซึ่งมีขั้นตอนในการสอน คือ 1) ขั้นนําเสนอเกม โดยผ๎ูสอนจะต๎อง ชแี้ จง อธิบายถึงเกม กตกิ าท่จี ะเลนํ ใหผ๎ เู๎ รยี นเขา๎ ใจตามจดุ ประสงค์การเรียนร๎ู 2) ขัน้ เรียนรู๎ จากนั้นก็ให๎ผู๎เรียนเลํนเกม กติกาตามที่ผ๎ูสอนกําหนด 3) ขั้นสรุปอภิปรายผล หลังจากเสร็จ สิ้นการเลํนเกม ผ๎ูเรียนและผ๎ูสอนสรุปอภิปรายผลรํวมกัน และสุดท๎าย 4) ข้ันประเมินผล ผ๎ูสอนเป็นผู๎ ประเมินผลการเรยี นรู๎จากสิ่งทผี่ ๎ูเรียนไดเ๎ รียนรจู๎ ากการเลํนเกมวํามผี ลสัมฤทธอ์ิ ยูํในระดับใด เทคนิคสาํ คัญในการสอนโดยใช๎เกม คอื การเลือกเกมในการนําเสนอ เกมที่นํามาเลํนสํวน ใหญตํ อ๎ งเป็นเกมท่มี ีวตั ถุประสงค์ตามที่กําหนด ไมํใชํเพียงเลํนเพื่อความสนุกสนานเทํานั้น กติกาการเลํนก็ ต๎องชี้แจงรายละเอียดให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจ ปราศจากความซับซ๎อน เพื่อให๎ผู๎เรียนซักซ๎อมกํอนการเลํนจริง ซึ่ง กํอนการเลํนเกมผู๎สอนควรจัดสถานท่ีของการเลํนให๎อยํูในสภาพท่ีเอ้ืออํานวยตํอการสอน ผู๎สอนเองต๎อง บันทกึ ขอ๎ มูลระหวํางการเลํน เพอื่ นําข๎อมลู ทไ่ี ด๎ไปสรุปอภปิ รายในขัน้ สุดท๎าย โดยทั้งหมดของการเรียนร๎ู ผ๎ูสอนจะต๎องเป็นผู๎กําหนด ตั้งแตํการเตรียมเกม กติกาที่จะ เลํนให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู๎ อีกท้ังต๎องสังเกตพฤติกรรมของผู๎เรียนในขณะเลํนเกม เพื่อ นาํ ไปสกูํ ารสรปุ และประเมินผลการเรียนร๎ดู งั กลําว การเรยี นโดยใช๎เกมจึงมขี ๎อดี คอื เป็นการเรียนที่ผ๎ูเรียน 292
เกิดความสนุกสนาน เข๎าในบทเรียนได๎ดียิ่งข้ึน เพราะผู๎เรียนได๎มีสํวนรํวมในการเรียนการสอน แตํก็ยังมี ข๎อจํากัด คือ ต๎องใช๎เวลาในการเรียนมากกวําปกติ ผู๎สอนต๎องมีความรู๎เกี่ยวกับเกม และกติกาที่จะให๎ ผ๎ูเรียนเลํน และผ๎ูเรียนจะต๎องมีเวลาในการเตรียมตัวกํอนการสอน อีกท้ังมีทักษะในการสอนและสรุปผล การเรยี นร๎ู การสอนจงึ จะมีประสทิ ธิภาพ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธิบายความหมายและจุดมํุงหมายของ “การสอนโดยใช๎เกม” ตามความคิดเห็น ของทาํ น 2. ลกั ษณะสาํ คญั ของการสอนโดยใชเ๎ กมมอี ะไรบ๎าง 3. องค์ประกอบทส่ี ําคัญของการสอนโดยใช๎เกมจะตอ๎ งมีอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 4. ขน้ั ตอนของการสอนโดยใช๎เกมมีกีข่ น้ั ตอน อะไรบา๎ ง จงอธบิ าย 5. จงอธบิ ายข๎อดแี ละขอ๎ จาํ กัดของการสอนโดยใช๎เกม มาพอสงั เขป 6. ทาํ นจะมีเทคนิคและข๎อเสนอแนะตําง ๆ ในการใชว๎ ธิ สี อนโดยใช๎เกมใหม๎ ีประสิทธิภาพ ได๎อยาํ งไรบ๎าง 5.15 วิธสี อนโดยใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction) บทเรียนสําเร็จรูป มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภาษาไทยท่ี เรียกกัน เชํน บทเรียนสําเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม โปรแกรมการสอน หนังสือฝึกเรียนด๎วยตนเอง เป็น ต๎น สํวนในภาษาอังกฤษท่ีเรียกกันก็มี เชํน Programmed Learning, Programmed Instruction, Programmed Lesson, Programmed Textbook เป็นต๎น แตํคําที่นิยมใช๎กันมากและเป็นที่คุ๎นเคย ได๎แกํ Programmed Instruction และ Programmed Learning หรือในภาษาไทยก็ได๎แกํคําวํา “บทเรียนสําเรจ็ รูป” และ “บทเรียนโปรแกรม” ซ่ึงคาํ เหลาํ นี้ก็หมายถึงส่ิงเดียวกันนั่นเอง แตํในบทนี้จะใช๎ คาํ วาํ บทเรียนโปรแกรม (ลาํ พอง บญุ ชวํ ย, 2530 : 186) วธิ สี อนโดยใชบ๎ ทเรียนโปรแกรม ถือเป็นนวัตกรรมการศึกษาอยํางหน่ึงท่ีชํวยเสริมผ๎ูเรียน ให๎รู๎จักการเรียนร๎ูด๎วยตนเอง โดยพัฒนาไปตามขีดความสามารถของตนเอง ผู๎เรียนสามารถเรียนด๎วย ตนเองตามความสามารถของตน เรียนไปตามลาํ ดับข้นั ท่ีพอเหมาะกบั ความสนใจและความสามารถของตน ผ๎เู รยี นจะเรยี นได๎สําเร็จโดยใช๎เวลามากหรือน๎อยตามความสามารถของตนเอง (อรภัทร สิทธิรักษ์, 2540 : 105) ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําววําวิธีสอนโดยใช๎บทเรียนแบบโปรแกรม คือ กระบวนการที่ผู๎สอนใช๎ในการชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด โดยการให๎ผ๎ูเรียน ศึกษาจากบทเรียนสําเร็จรูปด๎วยตนเอง (ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แตกตํางไปจากบทเรียนปกติ กลําวก็คือ เป็นบทเรียนท่ีนําเนื้อหาสาระที่จะให๎ผ๎ูเรียนได๎เรียนร๎ูมาแตกเป็นหนํวยยํอย (small steps) เพ่ือให๎งําย 293
แกํผ๎ูเรียนในการเรียนร๎ู และนําเสนอแกํผ๎ูเรียนในลักษณะท่ีให๎ผู๎เรียนสามารถตอบสนองส่ิงท่ีเรียน และ ตรวจสอบการเรียนร๎ูของตนเองได๎ทันที (immediately feedback) วําผิดหรือถูก ผู๎เรียนสามารถใช๎ เวลาในการเรียนรม๎ู ากน๎อยตามความสามารถ และสามารถตรวจสอบผลการเรียนรู๎ได๎ด๎วยตนเอง เพราะ บทเรียนจะมีแบบสอบท้ังแบบสอบกํอนการเรียน (pre – test) และแบบสอบหลังการเรียน (post – test) ไวใ๎ ห๎พร๎อม พูลสุข กิจรัตนี (2531 : 133) อ๎างใน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649) อธิบายวํา แบบเรียนแบบโปรแกรมเป็นเครื่องมือสําคัญของการสอนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction) ซ่ึงหมายถึง การสอนท่มี กี ารวางโปรแกรมไวล๎ วํ งหน๎าท่ีจะให๎ผ๎ูเรียนมีโอกาสเรียนรู๎ด๎วยตนเอง ด๎วยการลง มือประกอบกิจกรรมอยํางกระฉับกระเฉง ทราบข๎อติชมทันทํวงที มีความภูมิใจในความสําเร็จและได๎ ใครคํ รวญตามทีละนอ๎ ยตามลาํ ดับขัน้ และกา๎ วไปขา๎ งหน๎า ตามความสามารถ ความสนใจและความสะดวก ของแตํละคน เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649-650) กลําวถึง แบบเรียนแบบโปรแกรม หมายถึง บทเรียนท่ีเสนอเน้ือหาในรูปของกรอบซ่ึงบรรจุเนื้อหาทีละน๎อย มีคําถามท๎าทายให๎ผ๎ูเรียนตอบ และเฉลย ให๎ทราบผลทันที สํวนมากจะเสนอความคิดรวบยอดที่วิเคราะห์และเรียบเรียงมาดีแล๎ว โดยผ๎ูเรียน สามารถศึกษาด๎วยตนเองได๎ ดงั นน้ั วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู๎สอนได๎วางแผนไว๎ ลํวงหน๎าให๎ผ๎ูเรียนได๎มีโอกาสเรียนรู๎ได๎ด๎วยตนเองตามจุดประสงค์ที่ผ๎ูสอนได๎กําหนดไว๎ โดยศึกษาจาก บทเรียนที่สําเร็จรูปแล๎ว ผู๎เรียนสามารถเรียนรู๎เนื้อหาและเข๎าใจได๎ทันทํวงที แตํจะต๎องข้ึนอยูํกับ ความสามารถและความสนใจของผเู๎ รยี นแตลํ ะคน จดุ ม่งุ หมายของวิธสี อนโดยใชบ้ ทเรียนโปรแกรม ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําววํา วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนแบบโปรแกรมเป็น วิธีการที่มํุงชํวยให๎ผู๎เรียนรายบุคคลได๎เรียนร๎ูด๎วยตนเองตามความสามารถ ความต๎องการและความสนใจ ของตน สุกัญญา ธารีวรรณ (2520 : 147) อ๎างใน อินทิรา บุณยาทร (2542 : 116) ได๎ เสนอแนะวํา ความมํุงหมายของบทเรียนโปรแกรม สรุปไวด๎ ังน้ี 1. เพอ่ื ให๎ผู๎เรียนได๎เรียนด๎วยตนเอง 2. เพื่อเป็นการเสรมิ ความรใ๎ู ห๎แกผํ เ๎ู รียน ทาํ ใหม๎ ีความรกู๎ ว๎างขวางขน้ึ จาํ ไดแ๎ มํนยาํ ขน้ึ 3. เพ่ือฝกึ ใหผ๎ ู๎เรียนร๎ูจักควบคมุ ตัวเอง มีความรบั ผิดชอบและคดิ เปน็ 4. เพื่อฝึกใหผ๎ เ๎ู รยี นมีความซื่อสตั ย์ท้ังตอํ ตนเองและผ๎ูอ่ืน 5. ผูเ๎ รยี นจะตอ๎ งตอบคาํ ถามของแตํละหนวํ ยยํอยให๎ถกู ต๎องเสยี กํอน จงึ จะขึน้ ตอน ตํอไปได๎ ถ๎ายงั ทาํ ไมํไดจ๎ ะตอ๎ งซ้ําจนกวําจะทาํ ไดถ๎ ูกท้ังหมด 294
สรุปได๎วําการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมนั้นมํุงให๎ผ๎ูเรียนเรียนตามความสามารถ ความ สนใจของตนเอง เพ่ือให๎เกิดความความรู๎กว๎างขวางข้ึน ร๎ูจักคิดและควบคุมตนเองพร๎อมท้ังเกิดความ ซอ่ื สตั ย์ได๎ด๎วยตนเอง องค์ประกอบของวิธีสอนโดยใช้บทเรียนโปรแกรม ทิศนา แขมมณี (2550 : 378) กลําวถึงการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม ควรจะ ประกอบไปดว๎ ย 1. มผี ส๎ู อนและผเ๎ู รยี น 2. มีบทเรียนแบบโปรแกรมในเรอื่ งท่ีตรงกับความต๎องการและความสนใจของผู๎เรยี น 3. มผี ลการเรยี นรขู๎ องผเู๎ รียนท่ีเกดิ จากบทเรียนแบบโปรแกรม ลกั ษณะสาคัญของแบบเรยี นแบบโปรแกรม เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 649-650) กลําวถึงลักษณะเดํนของแบบเรียนแบบ โปรแกรม คือ 1. เน้อื หาแบํงเปน็ หนวํ ยเลก็ ๆ ทีเ่ รียกวํา กรอบ 2. ผู๎เรยี นแสดงการตอบสนองในแตํละกรอบเพอื่ ใหเ๎ กดิ ความเขา๎ ใจในเนื้อหาอยาํ ง ตํอเนอ่ื ง 3. ผ๎เู รยี นได๎รับการเสริมแรงโดยการทราบผลการตอบทันที 4. กรอบจะเรียงลําดับจากงาํ ยไปหายาก 5. ยดึ ผูเ๎ รียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง 6. ผ๎ูเรยี นสามารถเขียนไดด๎ ว๎ ยตนเอง ขน้ั ตอนการสร้างและการใช้บทเรียนโปรแกรม พูลสุข กิจรัตนี (2531 : 134 -136) อ๎างใน อินทิรา บุณยาทร (2542 : 652) กลําวถึงลําดบั ขน้ั ตอนการสร๎างแบบเรยี นแบบโปรแกรมมี 8 ขน้ั ตอน คือ 1. ต้ังจุดมุํงหมายของบทเรียน (Objectives) โดยตั้งจุดมุํงหมายเชิงพฤติกรรม เพ่ือ กาํ หนดวําต๎องการให๎ผ๎ูเรียนมีพฤติกรรมข้นั สุดท๎ายอยํางไร 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานท่ีต๎องทํา (Task Analysis) เพื่อวิเคราะห์เน้ือหา กําหนด เน้ือหาและงานที่จะทําให๎สอดคล๎องกับจุดมุํงหมาย จากนั้นก็แตกเนื้อหาให๎เป็นสํวนยํอยโดยละเอียด เรียงลําดับจากงาํ ยไปหายาก 3. สรา๎ งแบบทดสอบ (Prepare Tests) เป็นแบบทดสอบทค่ี รอบคลมุ เนอื้ หาและวดั ตามจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เพ่อื นําไปใชท๎ ดสอบกอํ นการสอนและหลังการสอน 4. จัดลําดับเน้ือหา (Instructional Sequences) กําหนดเนื้อหาและลําดับข้ันของ การเรยี นรทู๎ ี่จะนําผ๎เู รียนไปสูจํ ดุ ประสงค์ได๎ 295
5. จัดทํากรอบการเรียน (Instructional Frames) ลงมือเขียนกรอบการเรียนทีละ กรอบตามลาํ ดับเนื้อหาทแ่ี ยกยํอยไว๎แล๎ว บทเรียนแตลํ ะกรอบตอ๎ งตํอเน่ืองกนั ไป 1. ทดลองเปน็ รายบคุ คล (Individual Tryout) นําแบบเรียนที่สรา๎ งขน้ึ ไป ทดลองกบั ผู๎เรยี นรายบุคคล หรอื รายกลํุมเล็ก ๆ เพือ่ นาํ ข๎อมูลย๎อนกลับมาปรบั ปรุงแบบเรยี น 2. ทดลองในสภาพทเี่ ปน็ จริง (Field Tryout) นาํ แบบเรียนแบบโปรแกรมไป ทดลองในหอ๎ งเรยี นจรงิ กับนกั เรยี นกลํุมใหญํ เพื่อนาํ ข๎อมลู มาปรับปรงุ บทเรียนอีกครงั้ 3. นําแบบเรยี นแบบโปรแกรมไปใช๎จรงิ (Implementation) ทิศนา แขมมณี (2550 : 378-379) ได๎กลําวถึงขั้นตอนของการสอนโดยใช๎บทเรียน โปรแกรม มดี งั นี้ 1. ผส๎ู อนศกึ ษาปัญหา ความต๎องการและความสนใจของผู๎เรียน 2. ผู๎สอนเลือก แสวงหา สร๎าง บทเรียนแบบโปรแกรมในเรอื่ งที่ตรงกับปัญหาความ ต๎องการหรอื ความสนใจของผ๎เู รยี น 3. ผู๎สอนแนะนาํ การใช๎บทเรยี นแบบโปรแกรมให๎ผเู๎ รียนเขา๎ ใจ 4. ผส๎ู อนใหผ๎ ู๎เรียนศึกษาบทเรยี นแบบโปรแกรมดว๎ ยตนเอง 5. ผู๎เรียนทดสอบการเรยี นร๎ขู องตนด๎วยตนเอง หรือมารบั การทดสอบจากผ๎สู อน สุวิทย์ คํามลู และอรทัย คาํ มลู (2550 : 38-39) อธบิ ายข้ันตอนการสร๎างและการใช๎ บทเรยี นโปรแกรม โดยบํางออกเป็น 3 ขัน้ ตอน ดงั นี้ 1. ข้ันเตรยี ม (สาหรบั ผู้สอน) ผสู๎ อนศึกษาปัญหาความต๎องการและความสนใจของผเู๎ รยี น นาํ มาหาทางเลอื กหรอื สร๎างบทเรียนโปรแกรมหรือบทเรียนสําเร็จรูปเรื่องใดเร่ืองหน่ึงข้ึนมา โดยควรได๎รับการออกแบบจาก ผ๎ูเช่ียวชาญกํอนและต๎องมีการทดลองตามหลักการวิจัย โดยการหาความเช่ือมั่นกํอนจึงจะให๎ผ๎ูเรียนได๎ เรยี นตามกจิ กรรมในบทเรียนน้นั ๆ สํวนข้ันตอนการออกแบบสามารถดาํ เนินการได๎ดงั น้ี 1.1 วิเคราะห์หลักสูตรเพ่ือพิจารณาขอบขํายของเนื้อหา ระดับ ประเภท เวลาท่ีใช๎ คํูมือ ครูเพอ่ื ให๎เกิดแนวคิดในการผลติ 1.2 กาํ หนดเนอ้ื หา วชิ าและระดับชั้น โดยพิจารณาเนื้อหาวิชาท่ีนํามาผลิตเป็นวิชาอะไร ใชส๎ อนระดบั ใด มสี าระมากน๎อยเพียงใด เปลี่ยนแปลงบอํ ยหรือไมํ 1.3 กําหนดวัตถุประสงค์ เป็นการกําหนดให๎ทราบวํา เม่ือเรียนจบแล๎วผ๎ูเรียนจะเรียนร๎ู อะไร มีความสามารถแคํไหน 1.4 วางขอบเขตของงาน โดยวางเค๎าโรครงเรื่องลําดับเรอ่ื งราวกอํ นหลงั 1.5 วิเคราะห์เนื้อหา เป็นขั้นตอนท่ีสําคัญเพราะเป็นการนําเน้ือหามาแตกยํอยและ เรียงลาํ ดบั จากงาํ ยไปยาก 296
1.6 สร๎างแบบทดสอบและมีคําตอบให๎ไว๎ โดยออกแบบเนื้อหาที่จะใช๎ทดสอบผู๎เรียน ทั้ง กํอนและหลังเรียนในบทเรียนนั้น แบบทดสอบต๎องวัดให๎ครอบคลุม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีวางไว๎ และตอ๎ งสรา๎ งขนึ้ ตามหลกั การสร๎างแบบทดสอบ 1.7 เขียนบทเรียนสําเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรม ผ๎ูออกแบบจะต๎องเขียนโดยยึด โครงสรา๎ งข้นั ตอนการเขยี นและขอบเขตของงาน 1.8 ทดลองใช๎และปรับปรุงแก๎ไข การทดลองแตํละคร้ัง ควรบันทึกผลการทดลอง เพ่ือ นํามาปรบั ปรงุ แก๎ไข เชนํ อาจจะปรบั ปรุงเนื้อหา แก๎ไขด๎านภาษา เปน็ ตน๎ 2. ขนั้ การเรียนรู้ 1.1 ผส๎ู อนใหผ๎ เ๎ู รยี นทําแบบทดสอบกํอนเรยี น 1.2 ผ๎สู อนแนะนําการใชบ๎ ทเรยี นให๎ผูเ๎ รยี นเข๎าในทกุ ข้ันตอน 1.3 แจกบทเรียนให๎ผเู๎ รยี นศึกษาด๎วยตนเองตามกิจกรรมท่ีบทเรียนกําหนดไว๎โดยผู๎เรียน แตลํ ะคนใช๎เวลามากนอ๎ ยแตกตํางกันไป 3. ขนั้ สรุป 1.1 หลงั จากท่ีผ๎เู รียนศกึ ษาจนจบบทเรียนแล๎ว ผ๎ูสอนจงึ ทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน 1.2 ผู๎สอนสรุปสาระสาํ คัญเพ่มิ เตมิ สําหรับผ๎ูเรยี นท่ีต๎องการทราบ 1.3 ผู๎สอนและผเู๎ รยี นรํวมกนั ตรวจสอบและประเมนิ ผลงาน สรปุ ได๎วํา ขน้ั ตอนของการสร๎างและการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม มดี ังนี้ 1. ขัน้ เตรยี ม ผูส๎ อนจะต๎องกําหนดเน้ือหา กาํ หนดวตั ถุประสงค์ เพ่ือนําไปวอเคราะห์และ สร๎างเป็นหลกั สตู รขนึ้ มา แตํต๎องนําไปทดลองใช๎และสรุปแกไ๎ ขกํอนการนําไปใชจ๎ ริง 2. ข้ันนําไปใช๎หรือขั้นเรียนรู๎ ผ๎ูสอนนําบทเรียนโปรแกรมให๎ผ๎ูเรียนได๎ศึกษา กํอนการ นําไปใชต๎ ๎องทดสอบผู๎เรยี นกอํ น 3. ขั้นสรุป เมอ่ื ศกึ ษาแล๎วผู๎สอนให๎ผู๎เรียนทําแบบทดสอบ และสรุปสาระสําคัญจากสิ่งที่ ไดศ๎ กึ ษาไป เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอน โดยการใช๎บทเรียนแบบโปรแกรมให๎มีประสิทธิภาพ (ทศิ นา แขมมณ,ี 2550 : 379-380) 1. การเตรียมการ ผู๎สอนจําเป็นต๎องศึกษาปัญหาความต๎องการและความสนใจของ ผู๎เรยี นเป็นรายบคุ คล เพ่ือจะได๎ทราบวําควรใหบ๎ ทเรียนเรื่องอะไร แกํใคร โดยท่ัวไปการใช๎บทเรียนแบบ โปรแกรมมีการใช๎ใน 2 ลักษณะ คือ ใช๎สอนเนื้อหาสาระใดสาระหน่ึง โดยให๎ผู๎เรียนศึกษาเรียนรู๎ด๎วย ตนเองตามความสามารถ อีกลักษณะหน่ึงคือการให๎สอนซํอมเสริมการเรียนตามปกติ โดยผู๎เรียนอาจ 297
เรียนรู๎ไมทํ ันเพอื่ น หรือสอบไมผํ าํ น ผสู๎ อนอาจให๎บทเรียนแบบโปรแกรมแกํผ๎ูเรียน เพ่ือไปศึกษาเพิ่มเติม ดว๎ ยตนเอง การสอนดว๎ ยวธิ ีน้ี ผูส๎ อนจาํ เปน็ ตอ๎ งมบี ทเรียนสาํ เร็จรปู ซ่งึ มลี ักษณะทีช่ วํ ยให๎ผ๎ูเรียน สามารถเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง ซ่ึงเรียกวํา บทเรียนแบบโปรแกรม บทเรียนนี้จะเสนอเนื้อหาไปทีละน๎อย ในรูปของ “กรอบ” หรือ “เฟรม” (Frame) หลังจากนําเสนอเนื้อหา/มโนทัศน์ไปแล๎ว จะมีคําถาม ทดสอบการเรียนรข๎ู องผ๎ูเรียน ซง่ึ ผู๎เรียนสามารถตรวจคําตอบของตนได๎จากคําเฉลยที่ให๎ไว๎ บทเรียนแบบ โปรแกรมโดยท่ัวไปมี 3 ลักษณะ คือ (1) บทเรียนแบบเส๎นตรง หรือท่ีเรียกวํา “linear program” บทเรียนแบบนมี้ กี ารนาํ เสนอกรอบเนอ้ื หาไปตามลําดบั ผเู๎ รียนจําเปน็ ต๎องศึกษาเน้ือหาและตอบคําถามไป ตามลําดับท่ีให๎ไว๎ (2) บทเรียนแบบสาขา หรือท่ีเรียกวํา “branching program” บทเรียนแบบน้ีตําง จากแบบเส๎นตรง ตรงท่ีการตอบสนองของผ๎ูเรียนจะมีผลตํอลําดับการศึกษาบทเรียนของผ๎ูเรียน ผู๎เรียน เลอื กคําตอบ ก ข หรอื ค จะต๎องพลกิ ไปศึกษาขอ๎ คําตอบท่ตี าํ งกัน เชํน คําตอบ ก. เป็นคําตอบที่ผิด คําเฉลยจะให๎เหตุผลและช้ีแจงวําเหตุใดจึงผิดและให๎กลับไปเลือกคําตอบใหมํ เมื่อเลือกคําตอบ ข. เป็น คําตอบใหมํ ก็ต๎องเปิดไปอํานเฉลยและเหตุผล หลังจากตอบถูกแล๎วจึงจะเรียนกรอบตํอไปได๎ ดังนั้น ลําดับในการศึกษาบทเรียนของผู๎เรียนแตํละคนจึงอาจไมํเหมือนกัน (3) บทเรียนแบบไมํแยกกรอบ บทเรียนนี้เหมือนกับบทเรียนแบบเส๎นตรง เพียงแตํไมํเสนอเนื้อหาในรูปของกรอบ แตํจะเสนอสาระ ตอํ เนื่องกันเป็นความเรยี งตํอกนั ไปเรอื่ ย ๆ บทเรียนแบบโปรแกรมท่ีใช๎สอนอาจเป็นบทเรียนที่มีผู๎ได๎จัดทําไว๎แล๎ว ซึ่งปกติมักเป็น เรื่องที่เป็นปัญหาในการเรียนร๎ูของเด็กจํานวนมาก บทเรียนในกรณีนี้ มักเป็นบทเรียนที่นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือนักวิชาการ ไดจ๎ ัดทําเปน็ วิทยานิพนธห์ รอื ผลงานวิชาการเผยแพรํออกไป อยํางไรก็ตาม ผลงานในลกั ษณะนยี้ ังมไี มํมากนกั และเรอื่ งที่มอี ยอูํ าจไมตํ รงกับความต๎องการของครูผ๎ูสอนซ่ึงมีจํานวนมาก ดังน้ันการสร๎างบทเรียนแบบโปรแกรมข้ึนใช๎เอง จึงเป็นเร่ืองท่ีครูผู๎สอนควรจะดําเนินการ เพ่ือจะได๎ ตอบสนองตํอความต๎องการเฉพาะเร่อื งของตน ในการสร๎างบทเรยี นแบบโปรแกรม ผ๎สู รา๎ งจะต๎องวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาท่ีจะสอนและนํา เน้ือหาสาระมาแตกยํอยและเรียงลําดับให๎เหมาะสม เพื่อให๎งํายตํอการเรียนร๎ู หลังจากน้ันจึงนําเสน อ เนื้อหาสาระนัน้ ทลี ะน๎อยไปตามลําดบั และมีข๎อคําถามที่ท๎าทายความคิดของผู๎เรียนและมีคําตอบเฉลยให๎ ไว๎ด๎วย หลังจากนั้นควรมีการทดลองนําบทเรียนไปใช๎กับกลํุมยํอยแล๎วปรับปรุง จากน้ันจึงนําไปใช๎กับ กลํุมใหญํ เพ่อื หาประสิทธภิ าพของบทเรยี น 2. การดาเนินการ ผู๎สอนให๎ผู๎เรียนทําแบบสอบกํอนเรียน และช้ีแจงวิธีการเรียนจาก บทเรียนแบบโปรแกรม ให๎ผู๎เรียนซักถามจนเป็นที่เข๎าใจ แล๎วจึงให๎ผู๎เรียนศึกษาบทเรียน โดยผู๎เรียนแตํ ละคนใช๎เวลามากน๎อยแตกตํางกนั ไปได๎ 298
3. การประเมินผล หลังจากที่ผู๎เรียนศึกษาบทเรียนจบแล๎ว ผ๎ูสอนจึงให๎ทําแบบสอบ หลงั เรียน และตรวจใหค๎ ะแนน ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของวธิ สี อนโดยใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม ถ๎ากลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมนั้น ได๎มีนักวิชาการ กลําวถงึ ขอ๎ ดแี ละขอ๎ จาํ กัด ไวด๎ ังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 380) กลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎บทเรียน โปรแกรม คอื ข้อดี 1. เปน็ วธิ สี อนทส่ี ํงเสรมิ ให๎ผ๎ูเรียนศึกษาดว๎ ยตนเอง 2. เปน็ วธิ สี อนท่ชี วํ ยใหผ๎ เู๎ รยี นเปน็ รายบคุ คลสามารถเรยี นรไู๎ ดต๎ ามความสามารถของตน เปน็ การตอบสนองความแตกตํางระหวํางบคุ คล 3. เปน็ วิธีสอนทชี่ วํ ยลดภาระครู และชํวยแกป๎ ัญหาการขาดแคลนครู ขอ้ จากัด 1. เป็นวิธีสอนท่ีพึ่งบทเรียนแบบโปรแกรม หากไมํมีบทเรียนหรือบทเรียนไมํมีคุณภาพดีพอ ก็ยอํ มสํงผลตอํ การเรยี นรูข๎ องผเ๎ู รียน 2. การสร๎างบทเรียนให๎มีคุณภาพท่ีดี เป็นเร่ืองที่ต๎องใช๎เวลาและมีความยุํงยากในการจัดทํา ผ๎ูสรา๎ งจําเป็นต๎องมีความร๎ู ความเข๎าใจในการสรา๎ งบทเรียน 3. บทเรยี นแบบโปรแกรมท่ีดียังมปี รมิ าณน๎อย บทเรยี นแบบโปรแกรมที่มคี ณุ ภาพไมดํ ี 4. พอจะไมํนําสนใจ และไมํสามารถดงึ ดูดความสนใจของผูเ๎ รียนและทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นเบ่อื หนํายได๎ บุญชม ศรีสะอาด (2541: 83-84) ได๎เสนอแนะข๎อดีและข๎อที่เป็นปัญหาของบทเรียนโปรแกรม วาํ บทเรียนโปรแกรมมีทง้ั ข๎อดแี ละข๎อทเี่ ป็นปญั หาดังนี้ ขอ๎ ดี 1. ผเู๎ รียนมโี อกาสเรยี นดว๎ ยตนเองตามความสามารถของตน เปน็ การตอบสนองความ แตกตาํ งระหวํางบคุ คล 2. ผ๎เู รยี นจะเรียนท่ีใดเม่อื ใดก็ได๎ 3. ผูเ๎ รียนไดร๎ บั การกระต๎ุนใหเ๎ กิดกาํ ลังใจในการเรียน เพราะเรยี นไปตามลาํ ดบั ความ ยากงํายและทราบคําตอบที่ทําไป ข๎อทีเ่ ป็นปญั หา 299
1. การใชบ๎ ทเรียนโปรแกรมอยาํ งเดยี วโดยตลอด จะทําให๎ผู๎เรียนขาดการติดตํอซ่ึงกันและกัน ไมํสํงเสรมิ การเรยี นรู๎จากกนั และกนั 2. การใช๎บทเรียนโปรแกรมในช้ันเรียน จะมีลักษณะเป็นผ๎ูชํวยครูมากกวําท่ีจะใช๎แทนครู ทง้ั นีเ้ พราะอาจมีนักเรยี นบางคนมีข๎อสงสัยต๎องการคําแนะนําแกํครู จึงจําเป็นต๎องคอยดูแลอยูํตลอดเวลา อนงึ่ ครูอาจต๎องเปน็ ผดู๎ ําเนินการสอบนกั เรยี นกํอนและหลังบทเรยี นโปรแกรมนั้น 3. การใชบ๎ ทเรียนโปรแกรมในชัน้ เรยี นผทู๎ เ่ี รียนไดร๎ วดเรว็ จะเสรจ็ กอํ นและมีเวลาเหลืออีก ถ๎า ไมํมีกิจกรรมให๎ทําก็อาจมีพฤติกรรมที่รบกวนคนอื่น จะต๎องวางแผนและกําหนดงานพิเศษให๎ สํวนผู๎ที่ เรียนช๎าบางคนอาจทาํ ไมเํ สร็จ ต๎องให๎ทํานอกเวลาหรือใหไ๎ ปทาํ ท่บี า๎ นตอํ 4. ความซ่ือสัตย์เป็นสิ่งสําคัญที่จะชํวยให๎บรรลุผลท่ีปรารถนา ถ๎านักเรียนไมํปฏิบัติตามวิธี เรียนท่ีถูกต๎อง กลําวคือ ไมํได๎ใช๎ความคิดในการตอบแตํใช๎วิธีดูเฉลยคําตอบแล๎วนํามาตอบ นอกจากจะ ทาํ ใหเ๎ รยี นไมไํ ด๎ผลแล๎ว ยังปลูกฝังการโกงอีกด๎วย จึงควรช้ีแจงให๎เข๎าใจให๎ถูกต๎องวํา วิธีการดังกลําวนั้น ไมํมีประโยชน์ใด ๆ สาํ หรับผู๎เรียน จากท้ังหมดท่ีกลาํ วมา สรุปไดว๎ าํ การสอนโดยใชบ๎ ทเรยี นโปรแกรมมีทงั้ ขอ๎ ดีและข๎อจํากดั ซงึ่ มขี อ๎ ดดี ังน้ี 1. สงํ เสรมิ ให๎ผเ๎ู รียนเกิดการเรยี นรด๎ู ว๎ ยตนเองตามความสามารถของผ๎ูเรยี น 2. ฝึกให๎ผ๎เู รยี นเป็นคนรบั ผิดชอบและซ่อื สัตย์ตอํ ตนเอง 3. สามารถจดั การเรยี นการสอนทไี่ หน เวลาใดก็ได๎ 4. ชํวยลดภาระของผ๎สู อน แก๎ปัญหาการขาดแคลนครไู ด๎ 5. ผู๎เรียนเกิดกําลงั ใจในการเรยี น โดยจะเรียนไปตามความยากงาํ ย ในสํวนของข๎อจาํ กัดของการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม มีดงั นี้ 1. ผเ๎ู รียนเกิดความเบอื่ หนาํ ยไดง๎ าํ ยหากวาํ มกี ารใชบ๎ อํ ยๆ 2. จาํ กดั ความสามารถของผเ๎ู รยี นเพราะต๎องตอบคําถามตามทผี่ ูส๎ ร๎างบทเรยี นไดว๎ างไว๎ 3. ใชไ๎ ด๎กบั เฉพาะบางวชิ าเทาํ น้นั สรุปไดว๎ าํ วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม หมายถึง การสอนที่ผู๎ได๎สร๎างแบบเรียนเอาไว๎ ให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาเน้ือหาด๎วยตนเอง ตามวัตถุประสงค์ท่ีผ๎ูสอนไว๎กําหนดไว๎ โดยมีการทําแบบทดสอบกํอน และหลัง ซ่ึงเป็นการสอนที่จํากัดความสามารถและความสนใจของผ๎ูเรียนแตํละคน โดยมีเปูาหมายให๎ ผเ๎ู รยี นเรยี นตามความสนใจของตนเอง ได๎มีความร๎ูในบทเรียนได๎กว๎างข้ึน พร๎อมทั้งร๎ูจักคิดและควบคุมการ เรยี นของตนเองใหไ๎ ด๎ องคป์ ระกอบที่สําคญั ของการเรยี นการสอนวธิ ีนี้ประกอบไปด๎วยผู๎เรียนและผู๎สอน มี บทเรยี นโปรแกรมในเรอ่ื งท่ีตรงกบั ความสนใจของผ๎เู รยี นและมีผลการเรยี นรจู๎ ากบทเรียนโปรแกรม 300
วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมจึงเป็นการเรียนท่ียึดผ๎ูเรียนเป็นศูนย์ เน๎นความสามารถ ของผ๎ูเรียนเป็นสําคัญ สามารถแบํงเน้ือหาเป็นหนํวยเล็กๆ ได๎ แตํข้ันตอนการสอนและการสร๎างบทเรียน โปรแกรมคํอนข๎างจะละเอียดและเป็นงานหนักสําหรับผู๎สอน เพราะผู๎สอนต๎องเตรียมเน้ือหาตามวัตถุประ สงที่จะสอน วิเคราะห์เน้ือหาบทเรียนวําต๎องกับความสนใจของผ๎ูเรียนหรือไมํ และยังต๎องนําไปทดลองใช๎ กับผ๎เู รียนอ่ืนๆ กํอนท่จี ะนํามาทดลองใช๎จรงิ อีกดว๎ ย เมื่อผ๎ูสอนเตรียมและสร๎างบทเรียนเสร็จส้ินแล๎วก็ต๎องนําไปให๎ผู๎เรียนเรียนรู๎โดยการ ทดสอบกอํ นการเรียน ผ๎ูสอนให๎คําแนะนําบทเรียนอยํางละเอียด และเม่ือผู๎เรียนศึกษาเสร็จก็ให๎ทําการทํา แบบทดสอบหลงั เรยี นเพราะประเมินวําผ๎ูเรียนเกดิ การเรียนจากบทเรียนโปรแกรมมากน๎อยเพยี งใด แตวํ ิธสี อนโดยใชบ๎ ทเรยี นโปรแกรมกม็ ที ง้ั ข๎อดีและข๎อเสีย ข๎อดีของการสอนวิธีนี้คือ เป็น การสงํ เสรมิ ใหผ๎ เู๎ รยี นศกึ ษาด๎วยตนเอง มีความรับผิดชอบ อีกท้งั ยังชํวยลดภาระการสอนของผู๎สอน หรือใน กรณที ่ขี าดแคลนผูส๎ อนได๎ แตํกย็ ังมขี ๎อจาํ กดั อาจจะทําใหผ๎ ู๎เรยี นเบอื่ หนํายถา๎ ใชบ๎ ํอยๆ และจํากัดความคิด ของผเ๎ู รยี นในการเขียนตอบขอ๎ คําถาม ซึ่งจะใช๎กับการเรียนการสอนไดเ๎ ฉพาะบางวชิ าเทาํ น้นั คาถามท้ายบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจุดมงุํ หมายของ “วิธสี อนโดยใช๎บทเรยี นโปแกรม” 2. องค์ประกอบสําคัญของวธิ ีสอนโดยใช๎บทเรียนโปแกรมจาํ เป็นต๎องมีอะไรบา๎ ง 3. หากทํานต๎องใช๎วธิ สี อนโดยใชบ๎ ทเรยี นโปรแกรม ทํานจะมีขน้ั ตอนในการสรา๎ งและใช๎ บทเรียนโปรแกรมไดอ๎ ยํางไร 4. ทํานคิดวํา การสอนโดยใช๎บทเรยี นโปรแกรม มขี ๎อดแี ละข๎อจํากัดอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 5.16 การสรา้ งผังความคิด หรือแผนทค่ี วามคิด (Concept Mapping Mind Map) จริยา วิไลวรรณ (2560) ไดก๎ ลาํ วไวว๎ าํ การสรา๎ ง แผนท่ีความคดิ หรือ Mind Map น้ัน “ใช๎แสดงการเชื่อมโยงข๎อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเร่ืองหน่ึงระหวํางความคิดหลัก ความคิดรอง และ ความคดิ ยํอยที่เกยี่ วข๎องสัมพันธก์ นั ” ลักษณะการเขียนผังความคิด เทคนิคการคิดคือ นําประเด็นใหญํ ๆ มาเป็นหลัก แลว๎ ตอํ ด๎วยประเดน็ รองในชน้ั ถัดไป ข้นั ตอนการสร้าง Mind Map 1. เขียน/วาดมโนทศั น์หลกั ตรงก่งึ กลางหน๎ากระดาษ 2. เขียน/วาดมโนทศั น์รองที่สัมพนั ธ์กับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ 3. เขยี น/วาดมโนทัศนย์ ํอยที่สมั พันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเร่อื ย ๆ 4. ใช๎ภาพหรือสญั ลักษณ์สื่อความหมายเปน็ ตัวแทนความคิดให๎มากทีส่ ุด 301
5. เขยี นคาํ สาํ คญั (Key word) บนเสน๎ และเสน๎ ต๎องเช่อื มโยงกนั 6. กรณใี ช๎สี ทง้ั มโนทัศนร์ องและยอํ ยควรเปน็ สเี ดียวกัน 7. คิดอยํางอิสระมากที่สุดขณะทํา เขียนคําหลัก หรือข๎อความสําคัญของเรื่องไว๎กลาง โยงไปยังประเด็นรอรอบ ๆ ตามแตวํ าํ จะมกี ี่ประเดน็ กฏการสรา้ ง Mind Map 1. เรม่ิ ด๎วยภาพสีตรงก่ึงกลางหน๎ากระดาษ 2. ใช๎ภาพให๎มากท่สี ดุ ใน Mind Map ของคุณ ตรงไหนที่ใชภ๎ าพได๎ให๎ใช๎ กํอนคํา หรอื รหัส เปน็ การชํวยการทาํ งานของสมอง ดึงดดู สายตา และชวํ ยความจํา 3. ควรเขียนคําบรรจงตวั ใหญํๆ ถา๎ เปน็ ภาษาองั กฤษให๎ใช๎ตวั พิมพใ์ หญํ จะชํวยให๎เราสามารถ ประหยดั เวลาได๎ เม่ือยอ๎ นกลับไปอาํ นอกี คร้ัง 4. เขยี นคําเหนอื เส๎นใต๎ แตํละเส๎นต๎องเชือ่ มตอํ กบั เสน๎ อ่นื ๆ เพอื่ ให๎ Mind Map มโี ครงสร๎างพ้นื ฐานรองรบั 5. คาํ ควรมีลักษณะเป็น \"หนํวย\" เปิดทางให๎ Mind Map คลอํ งตัวและ ยืดหยุํนได๎มากขึ้น 6. ใช๎ สี ทว่ั Mind Map เพราะสีชํวยยกระดับความคดิ เพลนิ ตา กระต๎ุนสมองซีกขวา 7. เพ่ือใหเ๎ กิดความคดิ สรา๎ งสรรค์ใหมํ ควรปลํอยใหส๎ มองคิดมีอสิ ระมากทส่ี ุดเทาํ ท่จี ะเป็นไปได๎ วิธีการเขียน Mind Map โดยละเอียดอีกวิธหี นง่ึ 1.เตรยี มกระดาษเปลําท่ีไมํมเี สน๎ บรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน 2.วาดภาพสหี รือเขยี นคําหรอื ขอ๎ ความท่สี อ่ื หรือแสดงถึงเรือ่ งจะทํา Mind Map กลาง หนา๎ กระดาษ โดยใช๎สีอยํางน๎อย 3 สี และต๎องไมํตีกรอบด๎วยรปู ทรงเรขาคณิต 3.คิดถึงหวั เรือ่ งสําคญั ท่ีเปน็ สํวนประกอบของเรอ่ื งท่ที าํ Mind Map โดยใหเ๎ ขียนเปน็ คํา ท่มี ี ลกั ษณะเป็นหนํวย หรอื เป็นคําสําคญั (Key Word) สั้น ๆ ท่ีมีความหมาย บนเสน๎ ซ่ึงเสน๎ แตลํ ะ เส๎นจะตอ๎ งแตกออกมาจากศูนย์กลางไมํควรเกิน 8 กง่ิ 4.แตกความคดิ ของหวั เร่อื งสาํ คญั แตํละเรื่องในข๎อ 3 ออกเป็นกงิ่ ๆ หลายก่ิง โดยเขยี นคําหรอื วลี บนเส๎นที่แตกออกไป ลักษณะของกง่ิ ควรเอนไมํเกิน 60 องศา 5.แตกความคดิ รองลงไปที่เป็นสํวนประกอบของแตลํ ะกงิ่ ในข๎อ 4 โดยเขียนคําหรอื วลเี ส๎นท่ีแตก ออกไป ซึง่ สามารถแตกความคิดออกไปเรือ่ ยๆ 6.การเขียนคาํ ควรเขยี นด๎วยคําท่ีเป็นคําสาํ คญั (Key Word) หรือคาํ หลกั หรอื เปน็ วลที ่ีมี ความหมายชดั เจน 302
7.คํา วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต๎องการเนน๎ อาจใชว๎ ิธีการทําใหเ๎ ดํน เชํน การล๎อมกรอบ หรอื ใสํกลอํ ง เป็นต๎น 8. ตกแตงํ Mind Map ทีเ่ ขยี นด๎วยความสนกุ สนานทงั้ ภาพและแนวคิดที่เชอื่ มโยงตํอกนั การนาไปใช้ 1. ใชร๎ ะดมพลงั สมอง 2. ใชน๎ ําเสนอข๎อมลู 3. ใชจ๎ ดั ระบบความคดิ และชํวยความจาํ 4. ใช๎วเิ คราะห์เน้ือหาหรืองานตําง ๆ 5. ใช๎สรปุ หรอื สร๎างองค์ความรู๎ ปัญหาท่ีมกั พบในการบันทึกความคิดสรุปดว้ ย Mind Map ในการบนั ทึกความคดิ สรปุ ดว๎ ย Mind Map หรือแผนที่ความคดิ นน้ั ทง้ั จากประสบการณ์ ของตัวเขียนเอง และคําถามจากผู๎ไดล๎ องปฏิบัตมิ ักคล๎ายคลึงกนั พอทีจ่ ะสรปุ ได๎ดงั น้ี 1. ฟังไมํทัน 2. จบั ประเดน็ ไมํถูก แยกไมํออก ไมํร๎ูวาํ ควรเป็นหมวดใด กลมํุ ใด 3. ไมํร๎ูวําจะวางเร่อื งอยํางไร อันไหนควรเป็นเร่ืองหลัก เร่ืองรองหรอื เร่ือง ยํอย ๆลงมา แนวทางแก้ไข จากประสบการณ์ท่เี คยทดลองใชป๎ ระกอบกบั ผเ๎ู ชี่ยวชาญหลายทาํ นเคยเสนอแนะเทคนิค ไว๎ พอสรปุ ทางออกของปญั หาเหลํานี้ไดด๎ งั น้ี 1. การทําความเขา๎ ใจภาพรวมใหญํทง้ั หมดของเร่ืองกํอน จะชํวยให๎เราเหน็ โครงสร๎าง ตาํ งๆ ของเร่อื งน้ันชดั เจนข้นึ 2. ผูบ๎ ันทึกความคิดต๎องมสี มาธสิ ูง มีความน่งิ มากพอท่ีจะทําให๎จติ ใจจดจํอต้ังมั่นอยกูํ บั เรือ่ งท่ีกาํ ลังฟัง พยายามจับประเด็นใหไ๎ ด๎แกํนหรือหวั ใจสาํ คัญของเร่ืองน้นั ๆ แล๎วจึงถอดสรปุ เป็นคาํ สัน้ ๆ 3. ใชว๎ ธิ ีสาํ รวจคราํ ว ๆ ในระหวาํ งท่ีสมาชกิ ผร๎ู วํ มเรียนรก๎ู าํ ลงั ระดมสมอง คิดดูวําในแตํละ กลุํมยํอยนนั้ เขามีประเด็นท่ีคุยกนั หลกั ๆ เร่ืองอะไรบ๎างแล๎วบนั ทกึ หวั ขอ๎ ไว๎ในกระดาษ เพ่ือใชเ๎ ปน็ ข๎อมลู ใน การวางภาพรวมตํอไป 4. หม่ันฝกึ ฝนบอํ ย ๆ ผ๎ูเขยี นสังเกตเห็นเพ่ือนรํวมงานภาคประชาสังคมหลายทํานท่ีใช๎ วธิ ีการบันทกึ แบบ Mind Map เป็นประจาํ ไมวํ ําประเด็นในการประชมุ อบรม สัมมนา แมก๎ ระทง่ั การ 303
ตงั้ วงคุยในเร่อื งจปิ าถะ ไปจนถึงป๊ิง แวบ อะไรขนึ้ มาได๎ แล๎วตอ๎ งบนั ทึกไวก๎ ันลืม ก็ยงั เป็นรปู แบบของแผนที่ ความคดิ การฝึกบํอย ๆ จะชวํ ยใหเ๎ กดิ ทักษะ มีความชํานาญข้ึนเรอ่ื ย ๆ จากประสบการณ์ของผ๎ูเขียนในการจัดเวทีการเรียนร๎ูในประเด็นตําง ๆ ของกลํุมคนที่ หลากหลาย พบวํา Mind Map เป็นเคร่ืองมือที่ชํวยพัฒนาคนให๎สามารถคิดได๎เกํงขึ้น สามารถคิดได๎กว๎าง เกิดการคิดท่ีละเอียดถ่ีถ๎วน มีความเช่ือมโยง เกิดพลังสมอง คิดสร๎างสรรค์ได๎มาก ยิ่งถ๎าได๎เข๎ากลํุมรํวมกัน คิดด๎วยแล๎ว จะเห็นการตํอยอดความคิดของกันและกันหนุนเนื่องไป ชํวยให๎เกิดการแตกแขนงความคิด ออกไปไมรํ ู๎จบ ย่งิ ในคนท่ไี ด๎มีโอกาสเขา๎ รํวมเวทซี ํ้าแล๎วซาํ้ เลําจะยง่ิ เห็นการพฒั นาความคิดของเขาย่ิงแหลม คมข้ึนเรื่อย ๆ Mind Map เป็นเรื่องราวของทักษะการฝึกคิดและฝึกเขียน ยิ่งฝึกฝนก็ย่ิงเกํง ในวันนี้... ยามนี้คงไมํมีอะไรท่ีจะทําให๎ประเทศชาติของเราพัฒนาได๎มากไปกวําการพัฒนาการคิดหรือการพัฒนา สมองของคนในชาตอิ ีกแลว๎ รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สาคัญ (อา้ งถงึ ใน เทคนิค/วิธกี ารสอน ทกั ษะ/พฤตกิ รรมท่ีมงุ่ เนน้ บทบาทผเู้ รียน 1) กระบวนการสบื ค๎น - การศกึ ษาค๎นคว๎า ศกึ ษาค๎นควา๎ เพ่ือสบื คน๎ (Inquiry Process) - การเรียนรู๎กระบวนการ ขอ๎ ความรูด๎ ๎วยตนเอง - การตดั สินใจ - ความคิดสรา๎ งสรรค์ 2) การเรียนแบบค๎นพบ - การสงั เกต การสบื ค๎น ศกึ ษา ค๎นพบข๎อความร๎ูและ (Discovery Learning) - การใหเ๎ หตผุ ล การอ๎างอิง ข้ันตอนการเรียนร๎ดู ๎วยตนเอง - การสร๎างสมมตฐิ าน 3) การเรยี นแบบแก๎ปัญหา - การศกึ ษาคน๎ ควา๎ ศกึ ษา แก๎ปญั หาอยํางเปน็ (Problem-solving) - การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ กระบวนการและฝกึ ทกั ษะการ ประเมินค๎าข๎อมลู เรียนรู๎ท่ีสําคญั ด๎วยตนเอง - การลงข๎อสรุป - การแกป๎ ัญหา 4) การเรียนแบบสร๎างแผนผัง - การคดิ จัดระบบความคดิ ของตนให๎ ความคดิ (Concept Mapping) - การจดั ระบบความคดิ ชดั เจน เห็นความสมั พันธ์ 5) การตัง้ คาํ ถาม (Questioning) - กระบวนการคิด เรียนรู๎จากคดิ เพื่อสร๎างขอ๎ - การตีความ คาํ ถามและคําตอบด๎วยตนเอง 304
รูปแบบการเรียนการสอนท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (อ้างถึงใน เทคนคิ /วธิ กี ารสอน ทกั ษะ/พฤตกิ รรมที่มงุ่ เนน้ บทบาทผเู้ รียน - การไตรํตรอง - การถํายทอดความคิด ความ เข๎าใจ 6) การศึกษาเป็นรายบุคคล - การศกึ ษาคน๎ คว๎าข๎อความร๎ู เรยี นร๎ูอยาํ งเปน็ อิสระดว๎ ย (Individual Study) - การนาํ ความร๎ูไปใช๎ประโยชน์ ตนเอง - ความรบั ผิดชอบ 7) การจดั การเรยี นการสอนท่ีใช๎ - การตอบคาํ ถาม เรยี นรด๎ู ๎วยตนเองตามระดับ เทคโนโลยี (Technology - - การแกป๎ ัญหา ความร๎ูความสามารถของตน มี Related Instruction) - การนําความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ การแก๎ไขฝึกซา้ํ เพื่อสรา๎ งความรู๎ ประกอบด๎วย - การเรียนร๎ูทต่ี ๎องการผลการ ความเข๎าใจและความเช่ียวชาญ - ศูนย์การเรียน เรียนรทู๎ นั ที - ชดุ การสอน - การเรยี นร๎ตู ามลาํ ดับขน้ั - บทเรยี นสําเร็จรูป - คอมพิวเตอร์ชํวยสอน - e-learning 8) การอภปิ รายกลมํุ ใหญํ - การแสดงความคดิ เหน็ มอี ิสระในการแสดงความ (Whole - Class Discussion) - การวิเคราะห์ คดิ เห็น มีบทบาทมสี ํวนรํวมใน - การตีความ การสร๎างข๎อความรู๎ - การสอื่ ความหมาย - ความคิดรเิ ร่ิมสร๎างสรรค์ - การสรปุ ความ 9) การอภปิ รายกลมุํ ยํอย (Small - กระบวนการกลมุํ รับผิดชอบตํอบทบาทหน๎าที่ - Group Discussion) - การวางแผน ของตนเองในฐานะผู๎นํากลํุม - การแกป๎ ัญหา หรือสมาชิกกลุํมทัง้ ในบทบาท - การตดั สนิ ใจ การทํางานและบทบาท - ความคิดระดับสงู เก่ยี วกบั การรวมกลมํุ ในการ - ความคิดสรา๎ งสรรค์ สร๎างขอ๎ ความร๎ูหรอื ผลงานกลุํม - การแก๎ไขข๎อขดั แยง๎ 305
รูปแบบการเรียนการสอนท่เี น้นผ้เู รยี นเป็นสาคัญ (อา้ งถึงใน เทคนิค/วิธกี ารสอน ทักษะ/พฤติกรรมที่มุ่งเน้น บทบาทผ้เู รียน - การส่ือสาร - การประเมนิ ผลงาน - การสร๎างบรรยากาศการเรียนร๎ู - 9.1 เทคนิคคูํคิด (Think- - การค๎นคว๎าหาคําตอบ รบั ผดิ ชอบการเรยี นรวํ มกับ Pair-Share) - การแลกเปลีย่ นความคิดเห็น เพือ่ น - 9.2 เทคนิคการระดมพลัง - การมสี วํ นรํวม แสดงความคดิ เหน็ อยําง สมอง (Brainstorming) - การแสดงความคดิ เห็น หลากหลายในเวลาอันรวดเรว็ - ความคดิ สร๎างสรรค์ - การแกป๎ ัญหา - 9.3 เทคนิค Buzzing - การคน๎ ควา๎ หาคําตอบด๎วยเวลา แสดงความคดิ เหน็ เพื่อหา จาํ กดั ขอ๎ สรุปในเวลาอนั จํากัด - 9.4 การอภปิ รายกลุมํ แบบ - การสอ่ื สาร รบั ฟังข๎อมูลความคิดเหน็ เพอ่ื ตาํ ง ๆ (Panel, Forum, - การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น หาขอ๎ สรปุ ในเวลาอันจํากดั Symposium, Seminar - การสรปุ ข๎อความร๎ู - การฝึกซ้ํา ทบทวนจากกลํุมหรอื เพื่อ - 9.5 กลมํุ ติว - การสอ่ื สาร หรอื เรียนเพมิ่ เตมิ - การค๎นคว๎าหาความร๎ู 10) การฝกึ ปฏบิ ตั ิการ - การรวบรวมขอ๎ มลู ศกึ ษาคน๎ ควา๎ ข๎อความรใ๎ู น - การแก๎ปัญหา ลกั ษณะกลมุํ ปฏิบัติการ 11) เกม (Games) - การคดิ วเิ คราะห์ - การตดั สนิ ใจ ไดเ๎ ลํมเกมด๎วยตนเองภายใต๎ - การแกป๎ ัญหา กฎหรอื กติกาที่กําหนด ได๎คิด วเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมและเกิด 12) กรณีศึกษา (Case Studies) - การค๎นคว๎าหาความร๎ู ความสนกุ สนานในการเรียน - การอภิปราย - การวเิ คราะห์ ไดฝ๎ ึกคิดวเิ คราะห์อภปิ ราย - การแก๎ปัญหา เพือ่ สรา๎ งความเข๎าใจแลว๎ ตดั สินใจเลอื กแนวทาง แก๎ปญั หา 306
รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ น้นผูเ้ รยี นเปน็ สาคญั (อ้างถึงใน เทคนคิ /วิธีการสอน ทักษะ/พฤตกิ รรมท่ีมุ่งเน้น บทบาทผู้เรียน 13) สถานการณ์จําลอง - การแสดงความคดิ เห็น ไดท๎ ดลองแสดงพฤติกรรม (Simulation) - ความร๎สู กึ ตาํ ง ๆ ในสถานการณท์ ีจ่ าํ ลอง - การวิเคราะห์ ใกลเ๎ คยี งสถานการณ์จริง 14) ละคร (Dramatization) - ความรับผิดชอบในบทบาท ได๎ทดลองแสดงบทบาท - การทาํ งานรํวมกนั ตามทกี่ ําหนดเกิดประสบการณ์ - การวเิ คราะห์ เข๎าใจความรสู๎ ึก เหตุผล และ พฤติกรรมผอู๎ ืน่ 15) บทบาทสมมติ - มนุษยสัมพนั ธ์ ได๎ลองสวมบทบาทตาํ ง ๆ - การแกป๎ ัญหา และศึกษาวิเคราะห์ความร๎สู ึก - การวิเคราะห์ และพฤตกิ รรมตน 16) การเรียนแบบรํวมมือ - กระบวนการกลมํุ ไ ด๎ เ รี ย น รู๎ บ ท บ า ท ส ม า ชิ ก (Cooperative Learning) - การสอ่ื สาร กลํุมมีบทบาทหน๎าที่ ร๎ูจักการ ประกอบดว๎ ยเทคนิค JIGSAW, - ความรบั ผดิ ชอบรํวมกนั ไว๎วางใจให๎เกียรติและรับผัง JIGSAW II, TGT, STAD,LT,GI, - ทักษะทางสงั คม ความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิก NHT, Co-op Co-op - การแก๎ปัญหา กลํุม และรับผิดชอบการเรียนร๎ู - การคดิ แบบหลากหลาย ของตนและเพอ่ื น ๆ ในกลมุํ 17) การเรียนรแู๎ บบมสี วํ นรวํ ม - การสร๎างบรรยากาศการ (Participatory Learning) มีสํวนรํวมในการอภิปราย ทํางานรวํ มกนั แสดงความคิดเห็นหรือปฏิบัติ 18) การเรียนการสอนแบบ - การนําเสนอความคิด จนไดข๎ อ๎ สรุป บูรณาการ แบบ Shoreline Method ประสบการณ์ มี สํ ว น รํ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น ท้ั ง - การส่อื สารและปฏสิ มั พนั ธ์ ทางด๎านรํางกาย จิตใจและ - กระบวนการกลมุํ การคิด ดําเนินการเรียนด๎วย - การคน๎ คว๎าหาความร๎ู ต น เ อ ง ทั้ ง ใ น ห๎ อ ง เ รี ย น แ ล ะ - การสร๎างองคค์ วามรูด๎ ๎วย ตนเอง - ทกั ษะทางสงั คม 307
รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ (อ้างถึงใน เทคนิค/วธิ กี ารสอน ทักษะ/พฤตกิ รรมท่ีมุ่งเน้น บทบาทผู้เรียน - กระบวนการกลุมํ สถานการณ์จริง ศึกษา ปฏิบัติ - การสอื่ สาร ด๎วยตนเองทุกเรื่อง รํวมแรง - การแกป๎ ัญหา รวํ มใจดว๎ ยความเต็มใจ เอกสารอ้างองิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กรมวิชาการ. (2539) คํูมือการพฒั นาโรงเรยี นเขา๎ สํูมาตรฐานการศกึ ษา : การจดั ส่ิงแวดล๎อมในการเรียนการสอน. กรุงเทพมหานคร : สํานกั ทดสอบทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. จําเริญ ชชู วํ ยสวุ รรณ. (2544). เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักและวิธกี ารสอน. นครศรธี รรมราช : ภาควิชาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีราช-มงคล. ชาตรี เกดิ ธรรม. (2542). การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรเ์ น๎นนกั เรยี นเป็นศูนย์กลาง. กรงุ เทพฯ. เซน็ เตอรด์ ิสคัพเวอรี. ชาญชัย ยมดิษฐ.์ (2548) เทคนคิ และวิธกี ารสอนรวํ มสมัย. กรงุ เทพมหานคร : หลกั พิมพ์. ดวงเดอื น เทศวานิช. (2533) หลักการสอนท่วั ไป. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลักสตู รและการสอน คณะวิชาครุศาสตร์ วทิ ยาลยั พระครนู คร. ดาริกา วรรณวนชิ . (2549). ยทุ ธศาสตรก์ ารสอน. กรงุ เทพฯ : โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝุายมัธยม). ทองเพชร เกริกชัย. (2555). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ข้ันกลมุํ สาระการ เรียนรู๎วิทยาศาสตร์ เร่อื งสารในชีวิตประจาํ วนั ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6. การศึกษา ค๎นควา๎ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ทิศนา แขมมณี. (2546). รปู แบบการเรยี นการสอน : ทางเลอื กท่หี ลากหลาย. กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พ์แหงํ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ______________. (2550). ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรูเ๎ พื่อการจดั กระบวนการเรียนร๎ูท่ีมี ประสิทธิภาพ. พิมพ์ครง้ั ที่ 6. กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ______________. (2555). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามร้เู พ่ือการจดั กระบวนการเรียนร้ทู ่มี ี ประสทิ ธภิ าพ. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . บุญชม ศรสี ะอาด. (2537) การพฒั นาการสอน. กรงุ เทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์. ______________. (2541). การพฒั นาการสอน. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : ชมรมเดก็ , 308
ประดินันท์ อปุ รนยั . พ้นื ฐานการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช , 2540. ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2550). การออกแบบการเรยี นรแ๎ู บบย๎อนกลบั (Backward Design). วารสาร มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร.์ 26(2): 82-88. ______________. (2550). การเรียนรวู๎ ิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะ 7 ขนั้ . วารสารวชิ าการ. 10(4): 25-30. ______________. (2550). มติ ิวทิ ยาศาสตรพ์ น้ื บ๎านสูํการเรียนการสอน. วารสารวชิ าการ.10(2): 24-28. ปรีชา คมั ภรี ปกรณ์. (2540). หลักการสอน. ใน เอกสารการสอน ชดุ วชิ าวทิ ยาการสอน หนวํ ยท่ี 8-15. พิมพ์ครัง้ ที่ 15. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2544). การเรยี นการสอนทเ่ี น๎นผเ๎ู รียนเปน็ สําคัญ แนวคดิ วธิ ีและเทคนิคการสอน. พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทพัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.). พูลสขุ กิจรตั นี. การสอน : หลกั การและแนวปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาหลกั สูตรและการสอน คณะวชิ าครศุ าสตร์ วิทยาลัยครูพระนคร, 2531. ไพฑูรย์ สุขศรงี าม. (2545). ความร๎ูเกย่ี วกับการสอนแบบสืบเสาะ. วารสารมหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทร วโิ รฒ มหาสารคาม. ไพฑรู ย์ สขุ ศรีงาม. (2546).การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ กับการพัฒนานกั เรียนใหเ๎ ป็ นคนเกงํ คนดี และมีความสุข. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ภพ เลาหไพบลู ย.์ (2542). การสอนวิทยาศาสตร์ ในโรงเรยี น. ภาควิชามัธยมศึกษา: มหาวิทยาลัยเชยี งใหมํ. ระวีวรรณ วุฒิประสิทธ.ิ์ (2530). บทเรยี นวิชาชดุ ครูทางวทิ ยุไปรษณียช์ ดุ วิชาครู ระดบั พ.ม. วิชา หลักการสอน. นครสวรรค์ : ศูนยก์ ารศึกษาสําหรบั ครูทางวิทยไุ ปรษณีย์. วรี ะยุทธ วิเชียรโชต.ิ (2521). “จติ วทิ ยาการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน” มิตรครู. 15(กันยายน), 11-16. รงุํ ทิวา จักรก์ ร. (2523). วธิ ีสอนท่วั ไป. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร. ลําพอง บญุ ชํวย. การสอนเชิงระบบ. ปทุมธานี. วทิ ยาลยั ครเู พชรบุรีวิทยาลงกรณ์ , 2530. วารี ถริ ะจิตร. การพัฒนาการสอนสังคมศึกษาระดับประถมศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : วฒั นาพานิช , 2526. วไลพร คุโณทยั . บทเรียนวิชาชุดครทู างวิทยุไปรษณียช์ ดุ วิชาครู ระดบั พ.ม. วชิ า หลักการสอน. นครสวรรค์ : ศนู ย์การศึกษาสาํ หรับครทู างวิทยุไปรษณีย์ , 2530. วันเพญ็ จันทร์เจริญ. (2542). การเรียนการสอนปจั จุบนั . สกลนคร : สถาบันราชภัฏสกลนคร. วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545) เทคนคิ และกจิ กรรมการเรยี นร๎ทู เ่ี นน๎ ผ๎ูเรยี นเปน็ สาํ คญั . กรุงเทพฯ: สํานักพมิ พ์พรกิ หวานกราฟฟิค. 309
ศักด์ชิ ยั นิรัญทวี และไพเราะ พุํมม่ัน. (2542). วัฏจักรการเรยี นรู้ 4 MAT การจดั กระบวนการ เรยี นรเู้ พอ่ื ส่งเสรมิ คุณลกั ษณะเก่ง ดี มีสขุ . นนทบุรี: SSR Printing. ไสว ฟักขาว. (2544). หลกั การสอนสําหรับการเป็นครมู ืออาชีพ. กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั ราชภฎั จนั ทรเกษม. สามารถ คงสะอาด. หลักการสอน. สงขลา : วทิ ยาลยั สงขลา , 2535. สิริวรรณ ศรีพหล และพันทิพา อุทยั สุข “หลกั การสอน” ใน เอกสารการสอนชุด วชิ าวทิ ยาการสอน หนํวยที่ 8-15. พมิ พ์ครงั้ ที่ 15. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช , 2540. เสริมศรี ลักษณศิริ. (2530). การประถมศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะวชิ าครศุ าสตร์ วิทยาลยั ครพู ระนคร. เสริมศรี ลักษณศิริ. หลักการสอน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ วทิ ยาลัยครสู วนดสุ ิต, 2540. สมศกั ด์ิ ภวูํ ภิ าดาวรรธน์. (2544). การสอนโดยยดึ ผ๎เู รยี นเป็นศูนยก์ ลางและการประเมินตามสภาพจริง. กรงุ เทพมหานคร : Kownlege of Center. สถาบันสงํ เสริมการสอนวทยิ าศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2545). คํูมอื การจดั การเรยี นรู๎ กลุํมสาระการเรยี นรู๎ คณติ ศาสตร์.กรุงเทพฯ: สถาบนั สํงเสริมการสอนวทิยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สุคนธ์ สนิ ธพานนทแ์ ละคณะ. (2545). การจดั กระบวนการเรียนรู๎ : เน๎นผเ๎ู รยี นเป็นสาํ คญั ตามหลักสตู รการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. สชุ าติ วงคส์ ุวรรณ. (2542). การเรียนร๎สู าํ หรับศตวรรษที่ 21 การเรียนรู๎ทผี่ ๎เู รยี นเปน็ ผสู๎ รา๎ งความร๎ดู ๎วย ตนเอง โครงงาน.: ม.ป.ท. สพุ นิ บญุ ชูวงค์. (2544). หลกั การสอน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครศุ าสตร์ วิทยาลัยครูสวนดุสิต. สุภรณ์ สภาพงค์. (2540). โครงงานทางเลอื กหน่ึงของการจัดการเรยี นรใ๎ู ห๎ผ๎ูเรียนให๎ผ๎เู รียน เกดิ การ เรียนรท๎ู ่ีแท๎จริง. กรงุ เทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. สุวัฒน์ มทุ ธเมธา. การเรียนการสอนปจั จุบัน. กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์ , 2523. สวุ ทิ ย์ มลู คาํ , อรทยั มูลคาํ . (2545). 19 วิธีการจดั การเรยี นรเ๎ู พ่ือพัฒนาความรแ๎ู ละทักษะ. กรุงเทพฯ : ดวงกมลสมยั . สุปรยี า ตันสกลุ . (2540). ผลของการใช้รปู แบบการจัดข้อมูลด้วยแผนภาพที่มีต่อสัมฤทธผิ์ ลทางการ เรยี นและความสามารถทางการแกป้ ัญหาของนกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี ชั้นปีที่ 2. (ปริญญา นิพนธป์ ริญญาดุษฎบี ัณฑติ ) กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สวุ มิ ล เขี้ยวแก๎ว. (2540). การสอนวิทยาศาสตรร์ ะดับมธั ยมศึกษา. ปตั ตาน:ี ภาควิชาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตาน.ี 310
อรทยั มลู คํา, สวุ ิทย์ มูลคาํ , นกุ ลู คชฤทธ์ิ และนภดล เจนอักษร. (2542). Child Center Storyline Method : การบรู ณาการหลกั สูตรและการเรียนการสอนโดยเน้นผูเ้ รียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง. กรุงเทพฯ: ที.พ.ี พรนิ้ ท์ จํากัด. อาภรณ์ ใจเทยี่ ง. (2546). หลักการสอน. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พิมพ์หลักพิมพ์. อนิ ทิรา บุญยาทร. (2542). หลกั การสอน. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฎั บา๎ น สมเด็จเจา๎ ยาพระยา. อรภัทร สิทธิรักษ.์ (2540). หลกั การสอน. นครศรีธรรมราช : สถาบนั ราชภฎั นครศรีธรรมราช. Massialas, Byron G. and Cox, Benjamin. (1966). Inquiry in Social Studies. New York : McGraw – Hil., Bloom, B.S. (1956). Taxonomy of educational objectives. Handbook II : Affective domain. New York : Mckay. Barman,C.R. and Kotar,M. 1989. “Teaching Teachers : The Learning Cycle”,Science and. Children. 7 (April 1989),30-32. Bruner, J. , Goodnow, J.J. , & Austin, G.A. (1967). A study of thinking. New York : Science Editions Clarke, J.H. (1991). Using visual organizers to fous on thinking. Journal of Reading, 34(7), 526-534 Dave, R. (1967). Psychomotor domain. Berlin : International Conference of Educational Testing. Gagné, R.M. (1985). The Conditions of Learning. New York : Holt, Rinchart & Winston. Jones, B.F., Pierce, J. & Hunter, B. (1989). Teaching students to construct graphic organizers. Educational Leadership, 46(4); 20-25. Joyce, B. & Weil, M.& Showers, B. (1992). Models of teaching. Boston : Allyn and Bacon. Joyce, B. & Weil,M. (1996). Models of teaching (sthed). London : Allyn and Bacon. Karplus. (1977). primarily for teaching concepts of elementary school Renner, J. W. & Marek, E.A. (1990). An Educational Theory Base for Sciences Teaching Journal of Reseach in Science Teaching, 27, 241-246. Science Teaching. Portsmouth, NH: Heinemann Educational Books. 311
Shaftel, F. & shaftel. (1967). Role playing for social values : Decision making in the social studies. Englewood Cliffs, N.J. : Prentice – ltall. Simpson, D. (1972). Teaching physical education : A system approach. Boston : Houghton Mufflin Co. Slavin, R.E. (1995). Cooperative Learning. (2 nd ed.) London : Allyn and Bacon. Taba, Hilda. (1967). Teacher’s handbook for elementary Social Studies. Mass : Addison – Wesley. 312
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322