Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

Description: แนวคิดทางการเมือง การบริหาร และการปกครองของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก เอกสาร ตำราทางพระพุทธศาสนา และจากผลงานของนักวิชาการสมัยใหม่ หลักธรรมสำหรับการปกครอง และเปรียบเทียบหลักการปกครองพระพุทธศาสนากับรัฐศาสตร์กระแสหลัก
The political concepts, administration and administration of Buddhism from Tripitaka, Buddhist texts and from the academic works of modern scholars, the Buddhist principles for administration and compare the principles of Buddhist principles with mainstream political science.

Keywords: พุทธศาสตร์

Search

Read the Text Version

101 อย่างไรก็ตาม ส่ิงเหล่าน้ีจึงเป็นคาํ ถามของผู้ทาํ หน้าท่ีเปน็ รัฐบาลจะต้องให้ความกระจ่างแก่ ประชาชนท้ังในแง่ของการนโยบายและการปฏิบตั ิเพื่อใหเ้ กิดผลท้งั ทางด้านมนษุ ย์ สงั คม ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ดังท่ีวา่ “การพัฒนาที่ย่ังยืนจะเกิดขึ้นเม่ือระบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทั้ง 4 ดําเนินไป ด้วยดี โดยท่ีทุกส่วนเป็นปัจจัยส่งผลในทางเกื้อกูลแก่กัน ทําให้ดํารงอยู่ด้วยดีด้วยกัน” (พระธรรม ปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), 2539) นอกจากนี้ขงจื้อยังได้กล่าวถึงสูตรการปกครองรัฐให้เป็นที่เรียบร้อยไว้ 9 ประการ ดังนี้ (เสถยี ร โพธินันทะ, 2512) 1. ซิวซงิ ไดแ้ ก่ การอบรมคุณธรรมใหม้ ีในตน 2. จุงเฮ๊ียง ได้แก่ การเคารพยกย่องผู้มีความรคู้ วามสามารถ 3. ชงิ ชงิ ได้แก่ การปฏบิ ัตหิ น้าทีอ่ ย่างดที ีส่ ุดตอ่ บุคคลผู้เก่ยี วเนื่องในสังคม 4. เก้งไตช้ ิง้ ไดแ้ ก่ การยกยอ่ งขนุ นางผ้ใู หญ่ หรือผ้มู ีอาํ นาจในแผน่ ดนิ 5. ท่ีคงุ้ ชง้ิ ได้แก่การแผ่พระคณุ ในหมู่ขนุ นางผนู้ อ้ ย 6. จอื้ สูม้ ้ิง ได้แก่ การแผค่ วามรักในราษฎรนใหเ้ หมือนบุตรในอทุ ร 7. ไลแ้ ปะกัง ไดแ้ ก่ การอดุ หนุนสง่ เสรมิ ศลิ ปะวทิ ยาการอาชีพต่างๆให้เจริญ 8. ยวิ้ เอีย้ งนง๊ั ไดแ้ ก่ การให้การตอ้ นรบั ชาวตา่ งแดนใหม้ าค้าขาย หรอื สวามภิ กั ด์ิ 9. ไฮว้ จโู ฮ้ว ได้แก่ การผกู มดั นา้ํ ใจด้วยไมตรีในบรรดาเจา้ ครองรฐั ทง้ั หลาย จาณักยะ หรอื เกาฏิลยะ หน้าท่ีของรัฐตามทรรศนะของเกาฏิลยะ มีส่วนสําคัญในการดํารงชีวิตของคนท้ังในด้าน สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศีลธรรม และจิตใจ ซ่ึงจะนําไปสู่การพัฒนาชีวิตในทุกรูปแบบ เกาฏิล ยะได้กําหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบของรัฐไว้เป็นหลักเกณฑ์ ดังต่อไปน้ี (ลุยง ตรัยไชยาพร, 2528) (1) รัฐต้องเป็นผู้ให้ความคุ้มครองปกป้องสังคมด้วยการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ เหมาะสม (2) รฐั ต้องเป็นผู้รักษากฎหมายอาญาและแพ่ง โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในเรื่องภาษีอากรและการ ใชท้ ี่ดนิ (3) รัฐต้องเป็นผู้รักษาความสงบในสังคม รัฐต้องถือว่าการสนใจในเร่ืองธรรมะ เป็น ความสําคัญขัน้ พืน้ ฐาน (4) รัฐต้องเป็นผู้ให้บริการทางสังคม โดยถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐและผลประโยชน์ ของประชาชนซง่ึ เปน็ ความสนใจหลักของเกาฏิลยะ

102 การให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่เหมาะสมในแง่ของการให้ความคุ้มครองปกป้องสังคม นน้ั ต้องอาศัยเศรษฐกิจ เร่ืองนเี้ กาฏิลยะ จะเน้นให้มีการใช้ทรัพยากรทีม่ ีอยู่ทุกอยา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ แก่รัฐและประชาชนโดยตรง ความม่ังค่ังจะใช้เพื่อให้ประชาชนมีความสุข และความพอใจ ดังนั้น รัฐจึงเข้าบริหารเศรษฐกิจด้วยการควบคุมทรัพยากรและผลผลิตทั้งท่ีเป็นกิจการของรัฐเอง และ กิจการส่วนบุคคลอีกหลายๆด้าน เป็นผู้กําหนดราคาสินค้า และผลกําไร เป็นผู้จ้างแรงงานรายใหญ่ ส่งเสรมิ กสกิ รรม ค้าขาย และอุตสาหกรรม ส่วนนโยบายในเรอ่ื งแรงงานกไ็ ดก้ ําหนดไวอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพด้วย โดยมีการกําหนดและ ควบคุมไว้แนน่ อน ผู้ที่กดขค่ี า่ แรง ทาํ ให้รฐั เสยี รายได้ หรือขัดขวางการซือ้ ขายของรัฐจะถูกพจิ ารณา ลงโทษ การรักษากฎหมาย รัฐในทรรศนะของเกาฏิลยะมีการรักษากฎหมายโดยใช้อํานาจศาล ซ่ึง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ธรรมสติยะ (dhamastiya) เป็นศาลธรรมดา มีพราหมณ์เป็นผู้แนะนําทําหน้าที่เก่ียวกับ กฎหมายและภาษีอากรตา่ งๆ การแตง่ งาน และอ่ืนๆ ท่เี ป็นเร่อื งทางแพง่ (2) กันตกะ โศธัมมะ (Kantaka Sodhamma) เป็นศาลท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องการบริหารรัฐ ทําลายความชั่วร้าย ของสังคม มีสายลับ มีการทรมานคนให้รับว่า ทําผิดเพ่ือขจัดความสับสนใน สงั คม เป็นเรอ่ื งของกฎหมายอาญาทั้งหมด เชน่ คอรปั ช่นั ขโมย การรักษาความสงบในรัฐนอกจากจะใช้กฎหมายแล้ว เกาฏิลยะยังให้ความสนใจทางด้าน ศีลธรรมและจริยธรรม โดยจัดกิจกรรมบางอย่างของรัฐที่มุ่งผลให้มีการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีท้ัง ทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซ่ึงเป็นการช่วยให้ประชาชนได้พัฒนาบุคลิกภาพอย่างสมบูรณ์ แบบ นับได้ว่าได้สร้างความสมดุลท้ังด้านธรรมะ และอธิกร (Adhikara) โดยกษัตริย์จะพยายาม บรหิ ารงานใหป้ ระชาชนเป็นสุขและมคี วามพอใจ วัตถุ จิตใจ และศีลธรรมของประชาชนจะเป็นกิจกรรมหลักของรัฐ จุดมุ่งหมายสําคัญของ รัฐ คือ ต้องการให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และมุ่งหน้าท่ีจะยกระดับทางสังคมและ จริยธรรม รัฐเปรียบเสมือนศูนย์กลางของสงั คมท่ีจะผสมผสานความสนใจในด้านรูปแบบต่างๆเขา้ ด้วยกนั การให้สวัสดิการทางด้านสังคม ซ่ึงถือเป็นหน้าที่ของรัฐอีกอย่างหน่ึงในสมัยนี้มีการสนใจ ในเร่ืองการรักษาความสะอาดในเมืองที่วางไว้ นอกจากน้ีหากเกิดสภาวะน้ําท่วมหรือมีโรคระบาด รัฐจะเข้าช่วยเหลอื โดยการแจกขา้ งหรอื ของใช้ที่จาํ เป็น มีการจ้าง แรงงานเพมิ่ ขึน้ ในชว่ งเวลานีด้ ว้ ย กิจกรรมของรัฐท่ีถือเป็นหน้าท่ีและเป็นผลประโยชน์แก่รัฐท่ีกล่าวไว้ในอรรถศ าสตร์ของ เกาฏิลยะนั้นได้แก่

103 (1) การรักษาความสงบภายใน และการป้องกันประเทศจากภยันอันตรายภายนอก (2) การแบง่ รฐั ออกเป็นสว่ นต่างๆ (3) การดําเนนิ การทางการทูต และการบรกิ ารสาธารณประโยชน์ (4) การทาํ นุบํารงุ ศาสนา (5) ปกป้องสังคม จากศัตรทู างธรรมชาตแิ ละศัตรูอนื่ ๆ จึงกล่าวได้ว่า เกาฏิลยะ เป็นรัฐบุรุษที่มีความสามารถ มองสภาพการณ์ตามความเป็นจริง และให้แนวทางการปกครองประเทศในลกั ษณะที่จะให้ผลประโยชนแ์ กป่ ระชาชนอย่างแทจ้ ริง โดย กระตุ้นให้เกิดธรรมะด้วยการก่อให้เกิดความสงบในใจ ทําให้เกิดอรรถะ ด้วยการกระตุ้นให้มีการ ค้าขาย อุตสาหกรรม กสิกรรม และส่งเสริมกามะ ด้วยการสร้างความสงบให้เกิดแก่รัฐทําให้รัฐมี ระเบียบและสง่ เสริมให้มกี ารทํางานด้านศิลปะ สร้างโรงพยาบาลสถานพักฟื้น และสถานท่เี พ่ือการ กุศลต่างๆ รวมท้ังให้การศึกษาและช่วยทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสามี ภรรยา บิดา และ บุตรพี่ชาย น้องสาว โดยถือว่าสิ่งดังกล่าวเป็นส่วนหน่ึงของการปกครองดูแล รัฐของเกาฏิลยะจึงมี ส่วนสําคัญในการดํารงชีวิตของคนท้ังด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศีลธรรม และจิตใจ ซ่ึงจะ นําไปสู่การพฒั นาชวี ติ ทุกรปู แบบ แม้จะเป็นรัฐสังคมนยิ มอย่บู า้ งแต่ยังปล่อยให้ประชาชนมีเสรีภาพ ส่วนบุคคลได้อยา่ งเตม็ ที่ 4. ทฤษฎีกาํ เนดิ รฐั ตามแนวพุทธศาสตร์ แม้ว่าวิชารัฐศาสตร์จะมีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมสาขาวิชาต่างๆ มากมาย แต่เม่ือ พิจารณาอย่างถ่ีถ้วนแล้ว สาขาวิชาต่างๆเหล่าน้ันเป็นเรื่องท่ีเก่ยี วกับการดําเนินกิจการภายในรัฐและ ระหว่างรัฐเพ่ือให้บรรลุจุดหมายสุดท้าย คือ ความผาสุกและสงบเรียบร้อยของสังคมทั้งมวล ดังน้ัน เพื่อเป็นจุดรวมของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์และเพื่อให้การศึกษารัฐศาสตร์ในแนวพุทธศาสตร์ เป็นไปได้ในบทน้ี จะได้พิจารณาถึงแนวความคิดเร่ืองกาํ เนิดของรัฐและระบบการเมืองท่ีปรากฏอยู่ ในพุทธศาสตร์ และในขณะเดียวกันจะได้พิจารณาถึงแนวทางรัฐศาสตร์ท่ีสอดคล้องกับแนวพุทธ ศาสตร์ในประเด็นดังกลา่ ว 1) กําเนิดรฐั ตามแนวคดิ ในอคั คัญญสูตร ในพระพุทธศาสนา ก็มีการกล่าวถึงกําเนิดรัฐเช่นเดียวกัน ท้ังนี้โดยปรากฏอยู่ในพระสูตร ชอ่ื อคั คัญญสูตร (พระไตรปฎิ ก ฉบับหลวง, 2526)และอรรถาธิบายของเกจิอาจารย์ทง้ั หลาย โดยเร่ิม จากกําเนดิ ของโลกดังตอ่ ไปนี้ เมอ่ื โลกเกา่ พินาศด้วยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งแผดเผาเป็นจุณวิจุณไปแล้ว กเ็ กดิ ฝนตก ใหญ่ท่วมนองเต็มไปหมดทั้งจักรวาล ต่อมานํ้าก็งวดลง พัฒนาขึ้นมาเป็นโลกอย่างท่ีเห็นในปัจจุบนั

104 ต่อมาบรรดามนุษย์ท่ีไปเกิดในช้ันอาภัสสรพรหม ซึ่งมีปิติเป็นอาหารมีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย ตนเอง สญั จรไปได้ในอากาศอยู่ในวิมานอันงามได้พากันจุตลิ งมาเกิดในโลกซง่ึ ในขณะน้ันยังอยู่ใน ความมืด ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏแต่อาศัยท่ีมนุษย์เหล่านั้นมีรัศมีแผ่ซ่านจากกาย จึงพอ มองเห็นได้ ต่อมาได้เกิดง้วนดินข้ึน มนุษย์เหล่าน้ันจึงกินง้วนดินน้ันเป็นอาหาร ทําให้รัศมีกายของ มนุษย์เหล่าน้ันหายไป แล้วเกิดมีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ข้ึนมาแทนและเกิดดวงดาวต่างๆ เต็มท้องฟา้ กลาคืนกลางวันจึงมีขึ้นตามกันเม่ือมนุษย์เหล่านั้นกินง้วนดินเป็นอาหาร ร่างกายก็เปล่ียนเป็นแข็ง กล้าข้ึน เมอื่ มนุษย์เหล่าน้ันกนิ งว้ นดนิ เป็นอาหาร รา่ งกายก็เปลยี่ นเปน็ แขง็ กลา้ ขน้ึ ทุกที ทั้งผวิ พรรณ ก็ปรากฏแตกต่างกันไปบางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกก็ไม่งามทําให้เกิดการดูหม่ินเหยียดหยาม กันข้ึน ทําให้ง้วนดินหายไปเกิดส่ิงใหม่ท่ีเรียกว่า กระบิดิน (มีลักษณะคล้ายเห็ด) ข้ึนมาแทน มนุษย์ เหล่านั้นได้กินกระบิดินเป็นอาหาร ร่างกายก็แข็งกลา้ ข้ึนอีกผิวพรรณกแ็ ตกต่างกันในด้านความงาม และไม่งาม และเกิดการเหยียดหยามผิดกันขึ้นอีกต่อมากระบิดินก็หายไปเกิดเครือดินขึ้นมาแทน มนุษย์เหล่าน้ัน กินเครือดินเป็นอาหาร ร่างกายก็แข็งกล้าขึ้นผิวพรรณก็แตกต่างกันไป และเกิดการ เหยียดหยามผิวกนั ขึ้นมาอีก ทําให้เครือดินหายไป และเกิดข้าวสาลขี ้ึนมาแทน เป็นข้าวไม่มีรํา ไม่มี แกลบ ขาวสะอาดกล่ินหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารและที่สําคัญก็คือ เก็บกินเท่าไรก็ไม่หมด เพราะ เกิดขน้ึ แทนกนั เป็นสนั ติตอ่ เนื่องอยู่ตลอดเวลา เมื่อมนุษย์เหล่าน้ันได้กินข้าวสาลีเป็นอาหาร ร่างกายก็แข็งกล้าขึ้น ผิวพรรณก็แตกต่างกัน และท่ีพเิ ศษออกไปก็คอื มีเพศหญิง เพศชาย ปรากฏขน้ึ ในหมมู่ นษุ ยเ์ หลา่ นน้ั และเริ่มสมส่กู ัน การสมสู่ในสมัยนั้น ถือว่าเป็นความช่ัวช้าเพราะเป็นส่ิงแปลกดีท่ีไม่เคยมีมาก่อน ผู้ใดสมสู่ กันก็จะถูกประณามอย่างรุนแรง ท้ังยังถูกขับไล่ออกไปจะเข้าบ้านหรือนิคมไม่ได้และโดยที่การสม สู่กันนี้เป็นสัญชาตญาณจึงทํากันอยู่เสมอ แต่ด้วยความละอายหรือความกลัวจึงเป็นสาเหตุหน่ึงให้ พากันสร้างเรือนเป็นท่ีกําบัง และเร่ิมมีการไปเก็บข้าวสาลีมาสะสมไว้เพื่อบริโภคไปได้หลายๆวัน แทนการไปเก็บเช้ากินค่ํา เก็บเย็นกินเย็น อย่างที่เคยนํามาจึงกล่าวได้ว่า สภาพครอบครัวได้เกิดขึ้น แล้ว เม่ือมีการเก็บสะสมเช่นน้ี สภาพข้าวสาลีก็เปลี่ยนไป ดังท่ีเก็บเกี่ยวแล้วก็ไม่มีต้นใหม่งอก ข้ึนมาแทน ปรากฏว่าทุ่งข้าวสาลีขาดเป็นตอนๆ มีข้าวสาลีออกเป็นกลุ่มๆ มนุษย์เหล่าน้ันจึงตกลง แบ่งข้าวสาลีกัน โดยปั่นเขตแดนกันให้แน่นอน เมื่อมาถึงขั้นน้ีก็ปรากฏว่ามีบางคนเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้แล้วขโมยเอาส่วนของคนอื่นมาบริโภค เขาจงึ จบั ขโมยนั้นลงโทษด้วยประการ ต่างๆ การตําหนิติเตียนการประหัตประหารและการทะเลาะวิวาทจึงเกิดข้ึน ทําให้สังคมวุ่นวาย จึง เกิดความจาํ เปน็ ที่จะตอ้ งมหี วั หนา้ เปน็ ผ้ปู กครอง ซึง่ ปรากฏขอ้ ความในอคั คัญญสตู รดังน้ี

105 “ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็ปรับทุกข์กันว่าพ่อเอ๋ยการ ถือเอาสง่ิ ของที่เจ้าของไม่ไดใ้ ห้จักปรากฏการติเตียนจกั ปรากฏการพูดเท็จ จกั ปรากฏการถือท่อนไม้ จักปรากฏในเพราะบาปธรรมธรรมเหลา่ ใด บาปธรรมเหล่าน้ันเกดิ ปรากฏแลว้ ในสตั ว์ทัง้ หลาย อย่า กระนั้นเลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่ง ให้เป็นผู้กล่าวผู้ท่ีควรว่ากล่าวโดยชอบให้เป็นผู้ติเตียน บุคคลทคี่ วรติเตียนได้โดยธรรม ให้เปน็ ผู้ขับไล่ผู้ท่คี วรขับไล่โดยชอบ สว่ นพวกเราจักแบ่งส่วนข้าว สาลีให้แก่ผนู้ ั้น ...... ครั้นแลว้ สัตวเ์ หลา่ นนั้ พากันไปหาสตั วท์ ส่ี วยงามกว่า นา่ ดูน่าชมกว่า นา่ เลอ่ื มใส กว่า และน่าเกรงขามมากกว่าสัตว์ทุกคนแล้ว จึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่สัตว์ผู้เจริญมาเถิดพ่อ ขอพ่อจง ว่ากล่าวผู้ท่ีควรว่ากล่าวได้โดยชอบ จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ จงขับไล่ผู้ท่ีควรขับไล่ได้ โดยชอบ สว่ นพวกข้าพเจ้าจักแบง่ ส่วนขา้ วสาลีให้แก่พ่อ.......... สัตว์ผ้นู ้นั แลรับคาํ ของสัตว์เหล่าน้ัน แลว้ จึงวา่ กลา่ วผู้ทค่ี วรวา่ กลา่ วได้โดยชอบ ตเิ ตียนผู้ท่คี วรติเตียนได้โดยชอบ ขบั ไล่ผทู้ คี่ วรขบั ไล่ได้ โดยชอบ ส่วนสตั วเ์ หล่านน้ั กแ็ บง่ ส่วนขา้ วสาลใี ห้แก่สตั วท์ ่ีเป็นหวั หน้านนั้ ” โดยหัวหน้าซึ่งทําหน้าที่คุ้มครองปกป้องกันชีวิตและทรัพย์สินดังกล่าว ได้รับมอบหมาย จากมหาชน จึงได้รับสมัญญาว่า “มหาชนสมมติ” และโดยที่จะต้องปกป้องคุ้มครองในอาณาเขต กว้างใหญ่จึงเรียกว่า “กษัตริย์”และโดยหัวหน้านั้นเป็นผู้มีคณุ ธรรม ยังความพอใจใหเ้ กิดแก่ตนเปน็ อนั มาก จงึ เรียกวา่ “ราชา” พระสูตรนี้แสดงให้เห็นความตกต่ําของมนุษย์ทั้งทางกายและศีลธรรมจากสภาพสมบูรณ์ ซงึ่ ปราศจากความชั่วไปสูส่ ภาพที่มีตัณหา ความยดึ ม่ันในตัวตน ความโลภ เพศ และนําไปสูส่ ถาบัน ท่ีสําคัญ คือ ครอบครัวและทรัพย์สินส่วนตัวทรัพย์สินส่วนตัวน้ันทําให้การทํามาหากินหรือระบบ เศรษฐกิจเปล่ียนจากแบบการหากินร่วมกันอยา่ งสงบมาเป็นการแยง่ ชิงและต่อสู้จนเกิดข้อพิพาทข้ึน เกี่ยวกับทรัพย์สินความคิดเร่ืองครอบครัวและทรัพย์สิน ส่วนตัวจึงมาจากความยึดม่ันในตัวตน (อัตตา) อัตตาทําให้เกิดการพิพาท การลงโทษ และความไม่เป็นธรรม คนจึงแก้ไขข้อบกพร่องน้ี โดยการตัดอัตตา วิธีหน่ึงก็คือ หาความถูกต้องหรือธรรมมาเป็นหลักข้อน้ีจะเป็นท่ีมาของสถาบัน ที่ สําคัญอีกสถาบันหน่ึงคือ กฎหมาย ซึ่งจะทําให้รัฐเป็นรัฐท่ีสมบูรณ์ แต่กฎหมายก็ยังไม่ปรากฏ ชัดเจนในตอนน้ี ยังคงต้องอาศัยความสามารถของบุคคลซ่ึงส่วนรวมยอมรับคือ มหาชนสมมติ ซ่ึง เป็นท่ีมาของสถาบันกษัตริย์หรือผู้ปกครองรัฐ กระบวนการทางการเมือง ซ่ึงปรากฏในตอนน้ีก็คือ การมีผู้ปกครองซ่ึงมาจากการเลอื กต้งั เราจะเห็นได้ว่า รัฐตามทฤษฎีทางพุทธศาสนานี้ไม่ใช่รัฐแบบเทวสิทธ์ิซ่ึงถือว่าอํานาจอัน ชอบธรรมในการปกครองมาจากเทวะหรือพระเจ้า แตผ่ ู้ปกครองมีลักษณะเป็นธรรมราชา คือ ผทู้ รง ไว้ซึ่งธรรมะ ผู้ใช้ธรรมมะในการปกครอง อํานาจการปกครองยังเป็นของประชาชนอยู่เพราะใน

106 ระบบน้ีประชาชนมิได้มอบอํานาจให้แก่ผู้ปกครองอย่างส้ินเชิง ดังเช่น ในปรัชญาการเมืองของ ฮอบส์ซ่ึงถือว่า ประชาชนทําสัญญากันเอง แล้วยกอํานาจให้แก่ผู้ปกครองโดยที่ผู้ปกครองมิใช่ คู่สัญญา ในกรณีอัคคัญญสูตร ประชาชนพร้อมใจกันมอบอํานาจให้ผู้ปกครองก็จริงแต่ก็มีพันธ สัญญาว่าผปู้ กครองจะตอ้ งปกครองโดยธรรมและประชาชนจะแบง่ ผลประโยชน์ให้ เมื่อพิจารณาบทบาทของผู้ปกครองในกรณีเช่นนี้ จะเห็นว่ามีบทบาทจํากัดคือ แก้ไขข้อ พิพาทเท่าน้ัน เป็นบทบาทเพื่อรักษาสังคมให้เป็นปกติสุขมากกว่าจะมีบทบาทสร้างสรรค์ กําหนด นโยบายหรือนําสังคมไปสู่จุดหมาย ไม่มีการใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเจริญอะไรให้มากกว่า สภาวะที่ดําเนินอยู่โดยปกติ ไม่มีการจัดสรรผลประโยชน์ ดังเช่น รัฐสวัสดิการ หรือ รัฐสังคมนิยม รัฐตามทัศนะน้ีมีลักษณะค่อนไปทางเสรีนิยมซึ่งผู้ปกครองจะมีอํานาจน้อยที่สุด ผู้ปกครองมีหน้าที่ ปกครองปัจเจกชนมากกว่าจะสร้างสถาบันและปกครองสถาบัน เช่น การสร้างและรักษาสาธารณ สมบตั กิ ารกําหนดระบบเศรษฐกจิ และการคุ้มครองระบบเศรษฐกิจนั้น นอกจากเรื่องสถาบัน ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองดังกล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ วา่ นอกจากมูลเหตุทางดา้ นศลี ธรรม ซ่ึงตกตํ่าในทีส่ ุดต้องใชก้ ฎหมายปกครองแทน จากสภาพอสิ ระ มาสู่การควบคุมกันด้วยกฎเกณฑ์แล้ว การท่ีสถาบันการเมืองไม่อาจมีอํานาจสูงได้ก็เนื่องจาก ความคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อัคคัญญสูตร ได้แสดงว่ามนุษย์มิได้ต่างกันด้วยลักษณะทาง ชีวภาพ ความแตกต่างกันเป็นความแตกต่างภายนอกซึ่งเป็นเร่ืองผิวเผิน เช่น ผิวพรรณ แต่เพราะ ความตกตํ่าทางจิตใจ และศีลธรรมของมนุษย์ทําให้เกิดอุปาทานในอัตตา ในทิฐิ แล้วยึดเอาส่ิงไม่ สําคัญน้ีมาเป็นสําคัญ ดังเช่นการถือวรรณะของพราหมณ์ การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอัคคัญญ สูตรก็เพ่ือให้เห็นว่า การเกิดข้ึนและการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์และสังคมเป็นเร่ืองธรรมชาติ อธิบายได้ดว้ ยเหตุผลตามธรรมชาติ มใิ ชเ่ รอื่ งเหนอื ธรรมชาติ คือ เปน็ การกําหนดของเทพเจ้าอย่างที่ พราหมณ์อธิบาย น่ันคือ พระพุทธองค์ไม่ทรงให้ความสําคัญแก่วรรณะและเช้ือชาติแต่ได้ทรงช้ีว่า แม้เรื่องวรรณะก็เกิดจากการแบ่งหน้าที่กันตามความจําเป็นในสังคม การประพฤติปฏิบัติตนของ บุคคลสามารถเปลีย่ นวรรณะได้ เช่นศูทร ท่ีปฏิบัติธรรมก็มีฐานะเท่าพราหมณ์ ส่วนพราหมณ์ซ่ึงทาํ ความผิดมีฐานะเป็นโจร ไม่พึงใช้วรรณะเป็นข้อกําหนดความแตกต่างระหว่างบุคคล จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเน้นว่าบุคคลมีความเท่าเทียมกันในความเป็นคน ในโอกาสท่ีจะปฏิบัติธรรมและ ทําอาชีพต่างๆ ศาสนาก็ดี รัฐก็ดี ไม่พึงกําหนดให้บุคคลแตกต่างกัน ความแตกต่างของบุคคลอยู่ท่ี กรรมหรือการกระทําของบุคคลน้ันๆ สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ สิทธิท่ีจะไม่ถูกละเมิด ในด้านร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินพึงมีเสมอกัน มิใช่แตกต่างกันตามวรรณะดังท่ีพราหมณ์ ยึดถือ (ปรีชา, 2529)บุคคลเกิดมาต่ําแต่ทําตนให้อยู่ในฐานะสูงข้ึนได้ เกิดมาสูงแล้วทําตนให้ต่ําลงก็ได้ จึง ต้องตัดสนิ จากการกระทําของบุคคลเสมอกัน มิใชเ่ ปลยี่ นแปลงมาตรฐานไปตามฐานะของบคุ คล

107 สรุปใจความสําคัญของอัคคัญญสูตร และเม่ือวิเคราะห์เน้ือหาในพระสูตรนี้อย่างรอบคอบ จะเห็นได้ว่าได้ใหท้ ฤษฎีความรู้ แล้วบงั เกิดความร้อู นื่ ๆที่น่าศกึ ษาคือ 1. การเกดิ ของโลกเปน็ วัฏฏจักรทไ่ี ม่ส้นิ สดุ 2. มนุษยย์ ุคดง้ั เดมิ แรกเริ่ม ยงั มีความดีพรอ้ ม ยงั บรสิ ุทธค์ิ ล้ายผ้าขาวพร้อมที่จะรับสีตา่ งๆ 3. สิ่งแวดล้อมทางวัตถุและสังคม ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดเป็นครอบครัวชุมชน และรฐั 4. โดยผลของการเกิดเป็นชุมชนและรัฐ ส่ิงท่ีตามมา คือระบบซึ่งเกิดขึ้นเพื่อความดีงาม และความสงบสุขของสังคม 5. เม่ือมีระบบการปกครอง ก็มีผู้ปกครองและผู้อย่ใู ต้ปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างผ้อู ยู่ ใตป้ กครอง ต้องเกื้อกูลผลประโยชน์กัน 6. เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงสร้างของสังคม จึงต้องมีคุณความดีหรือศีลธรรมเป็นหลักเพ่ือให้ ทกุ ฝา่ ยได้รับประโยชน์โดยชอบธรรม ไปไดพ้ ้น ตราบใดที่เขายงั เป็นสมาชิกของสังคมของเราอยู่ ในทางพุทธศาสตร์นั้น สมควรท่ีจะพึงทําความเข้าใจเบ้ืองต้นอีกคร้ังว่า ศาสนาไม่ใช่ การเมือง และการเมืองก็ไม่ใช่ศาสนา สถาบันทั้งสองต่างก็มีอาณาจักรของตนเอง ต่างมีความมุ่ง หมายของตนเอง แต่มีความมุ่งหมายอย่างหน่ึงซ่ึงสอดคล้องกัน คือ ต่างก็ประสงค์ท่ีจะสร้างสรรค์ สังคมมนุษย์ ให้เป็นสังคมที่ดีมีระเบียบ ให้อยู่ด้วยความสงบสุขและอุดมสมบูรณ์อย่างท่ีเรียกว่าจะ สร้างพ้ืนพิภพให้เป็นสวรรค์ซึ่งพระพุทธศาสนา ยังมุ่งจะสร้างคนให้เป็นมนุษย์และให้เป็นเทวดา หรือสูงขึ้นไปกว่าน้ัน ก็คือ ให้เป็นอริยะคือ ผู้ประเสริฐคือ ผู้ละกิเลสได้เด็ดขาด เพียงบางส่วนหรือ ทงั้ หมด ในขณะทีก่ ารเมืองต้องการเพียงสรา้ งคนให้เป็นมนุษย์เท่าน้ัน โดยนัยนี้ พระพุทธศาสนามีแนวคิดทุกด้านเป็นของศาสนา แต่อาจจะไปพ้องกับแนวคิด ทางการเมืองเข้าก็ได้เพราะต่างก็มีความมุ่งหมายตรงกันในบางส่วนในด้านการสร้างสรรค์สังคม มนุษย์ดังกล่าวแล้ว ส่วนหนึ่งที่พ้องกับทางรัฐศาสตร์ ก็คือ การตีความว่า “การเมืองคือธรรม” ซึ่งมี ความหมายว่า การเมืองคือกิจกรรมส่วนรวมของสังคมและในเมื่อมนุษย์เป็นสมาชิกของสังคม มนุษย์จึงต้องช่วยกันรักษาและทาํ นุบํารุงผลประโยชน์ของส่วนรวมของเขาเอาไว้ ดังน้ัน การเข้ายุ่ง เกี่ยวกับกิจกรรมของกิจการบ้านเมือง จึงเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีมนุษย์ในสังคมจะหลีกเลี่ยงมิได้ นนั่ เอง

108 5. สรปุ บทท่ี 4 เม่ือกล่าวโดยสรุปทฤษฎีกําเนิดรัฐตามความคิดของนกั รัฐศาสตร์มีหลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีท่ี มคี วามคล้ายคลึงเกีย่ วขอ้ งกับพระพทุ ธศาสนามี อยู่ 2 ทฤษฎี คอื 1. ทฤษฎนี ติ ิศาสตร์ (Juristic Theory) ทฤษฎนี ีเ้ ชอื่ ว่า รฐั มีฐานะเป็นนิตบิ คุ คล (Juristic person) ถอื กาํ เนดิ มาเพื่อสร้างกฎหมายเพ่ือ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม การที่รัฐถือกําเนิดมาเพ่ือสร้างกฎและระเบียบในสังคมนั้น ทํา ให้ประชาชนภายในรัฐมีศีลธรรมและระเบียบวินัยการมีระเบียบวินัยมิได้หมายถึงแต่เพียง พฤติกรรมที่แสดงออกมาในรูปแบบของการกระทําเท่านั้น เช่น การไม่ทําลายสาธารณสมบัติ การ ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย ฯลฯ หากแต่ยังหมายถึงการมีศีลธรรมประจําใจอีกด้วย เช่น การมีความสํานกึ ใน หนา้ ทีข่ องพลเมืองที่จะไมฝ่ ่าฝืนกฎหมาย ถงึ แม้วา่ จะไมม่ ีเจ้าหนา้ ที่ตํารวจหรือพนกั งานของรัฐในท่ี น้ันด้วยก็ตาม บุคคลจะต้องมีคุณธรรมตามหน้าท่ีของเขาไม่ว่าจะเป็นข้าราชการในตําแหน่งหน้าที่ ใด หรอื ประชาชนท่วั ไป ในทางพระพทุ ธศาสนาก็กลา่ วถงึ กฎของศลี ธรรมสําหรบั รัฐและบุคคลในรัฐไวเ้ ช่นเดียวกัน โดยผู้มีอํานาจรัฐจะต้องออกกฎหมายที่ดีในประการท่ีจะก่อให้เกิดประโยชน์โดยส่วนรวมของ ประชาชนของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐทุกคน รวมทั้งพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐด้วย เช่น ทศพิธราชธรรมเป็นต้น นอกจากน้ปี ระชาชนทุกคนก็จะต้องมีหน้าทใี่ นการปฏบิ ัติตามกฎหมายของ รัฐ เพอ่ื ความสงบสขุ และความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยอกี ด้วย 2. ทฤษฎชี วี ภาพ (Organismic Theory) ทฤษฎีน้ีถอื ว่า รัฐเป็นส่งิ มีชีวติ (Living Things) เช่นเดยี วกับสัตว์ทั้งหลาย ทฤษฎีน้ถี ือวาส่ิง ท่ีมีชีวิตทั้งหลายอยู่ภายใต้กฏแห่งความเจริญ (Growth) และการเสื่อมโทรม (Decay) สุดแล้วแต่ว่า เซลล์ (Cell) ของส่ิงท่ีมีชีวิตจะมีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด กล่าวคือ ถ้าหากเซลล์มีความ สมบูรณ์ร่างกายของส่ิงที่มีชีวิตก็มีความเจริญด้วยและการที่เซลล์จะเจริญได้ก็ต้องมีความสัมพันธ์ กบั จิตใจ กล่าวคือ จิตใจจะตอ้ งเจริญดว้ ยร่างกายจงึ จะเจริญ ทฤษฎีน้ถี อื วา่ รฐั ซง่ึ ประกอบด้วยประชาชนท้ังหลายมีสภาพเป็นสิ่งท่ีมีชีวิต โดยพลเมืองแต่ ละคนเปรียบเสมือนเซลล์ของรัฐ ซ่ึงจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน รัฐจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต่อเมื่อพลเมือง จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและคําสั่งของรัฐ รุสโซ (Rouseau) นักปรัชญาทางรัฐศาสตร์กล่าวว่า ภายในรัฐนั้นอํานาจอธิปไตย (Scverighty) เป็นศีรษะ กฎหมายและระเบียบสาธารณะเป็นสมอง ประชาชนเป็นร่างกาย ส่วนโธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า ความอ่อนแอของรัฐก็คือ ความเจ็บป่วยของร่างกาย นอกจากน้ีรุสโซกล่าวว่าอํานาจอธิปไตยเป็นหัวใจ และมีความสําคัญต่อ รา่ งกายของรัฐเป็นอยา่ งมาก รัฐจะมีความเจรญิ ก้าวหนา้ ไดด้ ีกต็ ่อเมือ่ ประชาชนเชื่อฟังรัฐเทา่ น้ัน

109 ผลจากทฤษฎีนี้ทําให้นักการเมืองในสมัยหลังได้นํามาใช้ในการนําเอาลัทธิเผด็จการมาใช้ เช่น ฮิตเลอร์ มุสโซลินีฯลฯ รวมท้ังลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย เพราะเช่ือว่า การเช่ือฟังคําส่ังของรัฐ ย่อมจะทําให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสามัคคีกลมเกลียวกันด้วยซึ่งจะเป็นผลดีแก่ ความเจริญของรฐั ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวเร่ือง “กายนคร” (นครคือร่างกาย) เอาไว้ว่า รัฐ เปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์ ซ่ึงบุคคลไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้อยู่ใต้การปกครองจะมี ความสมั พันธซ์ ่ึงกนั และกนั และต่างคนตา่ งก็จะต้องนาํ เอาหลักธรรมมาปฏิบัติตามหนา้ ท่ีของตนไม่ ว่าจะเป็นผู้ปกครอง (พระมหากษัตริย์) ข้าราชการ ประชาชน ซึ่งถ้าทุกคนมีหน้าท่ีซ่ึงกันและกัน ตามหลักธรรมะแล้ว ไมว่ ่าจะเป็นรปู การปกครองแบบใดก็ย่อมมคี วามเจริญเช่นกนั

110 คําถามประจําบทที่ 4 1. จงอธิบายความเป็นมาเกยี่ วกับรฐั โดยสังเขป 2. จงใหค้ าํ นยิ ามคาํ ว่า รฐั และจงยกตัวอยา่ งทฤษฎีของนกั คดิ ตะวันตกและตะวันออกประกอบ 3. จงอธิบายความหมายองค์ประกอบของรัฐ 4. จงยกตวั อย่างเจา้ ของทฤษฎกี ําเนดิ รัฐประกอบมา 1 ทฤษฎี 5. จงอธิบายถึงจุดประสงค์และหน้าทีข่ องรฐั โดยอ้างถงึ ผเู้ สนอแนวคดิ 6. จงอธบิ ายทฤษฎกี ําเนดิ รฐั ตามแนวพุทธศาสนาโดยยกพระสตู รประกอบ 7. จงยกคาํ พูดของอรสิ โตเตลิ ทแี่ สดงทัศนะไวเ้ กย่ี วกบั จดุ ประสงคแ์ ละหน้าทแ่ี หง่ รัฐ 8. จงเปรียบเทยี บจดุ ประสงคแ์ ละหน้าทแี่ ห่งรฐั ตามกระแส

111 การอ้างองิ ปรีชา ช้างขวญั ยืน. (2529). ระบบปรัชญาการเมืองในมานวธรรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ: สํานักพมิ พ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ประยงค์ สุวรรณบบุ ผา. (2541). รฐั ปรชั ญา แนวคิดตะวนั ออก-ตะวนั ตก, . กรุงเทพฯ: สํานักพมิ พ์ โอเด้ยี นสโตร์. พระมหาอุทัย ญาณธโร. (2538). พทุ ธวิถีแห่งสังคม. กรุงเทพฯ: ธรรมสาร. ลุยง ตรัยไชยาพร. (2528). การศกึ ษาเปรียบเทียบความคิดทางการเมืองในคมั ภีรอรรถศาสตร์เกาฏลิ ยะกบั แนวความคดิ ในหนังสือเร่ืองเจา้ ของมาเคยี เวลลี”, วิทยานพิ นธป์ ริญญาอักษรศาสต รมหาบัณฑิต, . กรงุ เทพฯ: บัณฑติ วทิ ยาลัย : จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั . พระไตรปฎิ ก ฉบับหลวง เล่ม 11 หนา้ 71. (2526). รฐั ศาสตรต์ ามแนวพทุ ธศาสตร์. กรุงเทพฯ: สาํ นกั พิมพ์ กราฟิคอาร์ต. สนธิ เตชานนั ท์. (2543). พ้นื ฐานรัฐศาสตร์, พิมพค์ รง้ั ที่ 2, . มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์,. สมบตั ิ จันทรวงศ.์ (2520). ทฤษฎีการเมืองตะวันตก, . กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ . เสถยี ร โพธินนั ทะ. (2512). เมธีตะวนั ออก, . กรงุ เทพฯ: ธนบุรี : โพธ์ิสามตน้ . อานนท์ อาภิรม. (2545). รฐั ศาสตร์เบื้องต้น. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์. Leon P. Baradat. (1998). Political Ideologies, third edition . Singapore: Republic of Singapore : Prentice Hall International,. Robert Sewart (comp.). (1984). The Penguin Dictionary of Political Quotations, . Middlesex : Penguin Books.

112 บทที่ 5 สถาบันการเมอื งตามแนวพุทธศาสตร์ (Political Institution in Buddhistic Appraoch) 5.1 แนวคิด (Concept) สถาบันทางการเมืองมีองค์ประกอบหลายส่วน โดยเฉพาะองค์ประกอบหลักและสําคัญ ที่สุดคือ รัฐธรรมนูญและกฎหมาย ส่วนประกอบอ่ืนๆที่เก่ียวข้องอย่างเช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการเอง สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนาซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละ สถาบันจากหลายๆสว่ นมาประกอบกันถงึ ทําใหเ้ กิดเปน็ สถาบัน 5.2 เนือ้ หาทส่ี ําคัญประจําบทเรยี น 5.2.1 แนวคิดทเ่ี กย่ี วข้องกับสถาบัน 5.2.2 แนวคดิ ความเปน็ มาของรฐั ธรรมนูญ 5.2.3 แนวคดิ ความเป็นมาของกฎหมาย 5.2.4 แนวคิดและคําสอนท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั สถาบันตามแนวพทุ ธ 5.2.5 แนวคิดและความเป็นมาของธรรมนูญตามแนวพทุ ธ 5.2.6 กระบวนการบัญญตั ิ กฎ ระเบียบ และปรบั ปรงุ แก้ไข 5.3 วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 5.3.1 อธบิ ายและวเิ คราะห์ความหมายและความเป็นมาของสถาบัน ระหวา่ งฝ่ายอาณาจักร และศาสนจกั รได้ 5.3.2 อธิบายและวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดสถาบันทางการเมือง กับแนวคิดทางพุทธ ศาสนาทีส่ อดคลอ้ งและเข้ากันได้กบั แนวคิดทางการเมืองโดยทวั่ ไปได้ 5.3.3 อธิบายและวิเคราะห์เปรียบเทียบกระบวนการบัญญัติกฎหมายสูงสุดทางอาณาจักร กบั กระบวนการบัญญัติกฎหมายตามแนวพทุ ธศาสนาได้ 5.3.4 อธบิ ายวิเคราะห์เปรียบเทยี บกระบวนการลงโทษทางอาณาจกั รและศาสนจักรได้

113 5.4 กจิ กรรมการเรยี นการสอน 5.4.1 ให้ผู้เรียนศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถาบันทางการเมืองตามแนวคิด ตะวันตกและตะวนั ออกโดยละเอยี ด 5.4.2 ให้ผู้เรียนศึกษาแนวคิดความเป็นมาของสถาบันทางการเมืองตามแนวพุทธโดย ละเอียด 5. 4.3 ให้ผเู้ รียนศึกษาเทียบเคียงแนวคิดทัง้ ระบบ 5. 4.4 ใหผ้ ู้เรียนเน้นวิธคี ดิ และระบบวเิ คราะห์สถาบันทางการเมอื งส่ปู จั จบุ นั 5. 4.5 บรรยาย แสดงทัศนะ/ถาม-ตอบ สรปุ ประเดน็ 5. 4.6 นาํ เสนอผลการคน้ คว้าประจาํ ภาคการศกึ ษาตามท่ีผสู้ อนกาํ หนดประเดน็ 5.5 สอ่ื การเรียนการสอน 5.5.1 เอกสารประกอบการสอนชดุ สถาบนั ทางการเมืองตามแนวพุทธ 5.5.2 คอมพิวเตอร์ Power Point 5.5.3 วดี ทิ ศั น/์ ภาพยนต์ท่เี กย่ี วขอ้ งกับสถาบันทางการเมือง 5.5.4 รูปภาพ บคุ คลและสถานทสี่ ําคัญที่เกีย่ วขอ้ งกับสถาบนั ทางการเมอื ง 5.5.5 ทศั นศึกษานอกสถานท่ีท่ีเกย่ี วข้องกับสถาบันทางการเมอื ง 5.5.6 แนะนาํ หนังสือและเอกสารท่ีควรอา่ นประกอบ 5.6 สารัตถะวชิ าสถาบนั ทางการเมอื งตามแนวพทุ ธศาสนา 5.6.1 ความเปน็ มาของสถาบนั ทางการเมอื ง 5.6.2 ความหมายของสถาบันทางการเมือง 5.6.3 สถาบนั ฝา่ ยนติ บิ ัญญัติ 5.6.4 สถาบนั ฝา่ ยบริหาร 5.6.5 สถาบันฝา่ ยตุลาการ 5.6.6 สถาบันทางการเมืองตามแนวพทุ ธศาสนา 5.6.7 สถาบนั ฝา่ ยนติ ิบัญญัตติ ามแนวพทุ ธศาสนา 5.6.8 สถาบนั ฝ่ายบรหิ ารตามแนวพุทธศาสนา 5.6.9 สถาบนั ฝา่ ยตุลาการตามแนวพทุ ธศาสนา 5.7 แบบฝกึ หัดตอบคาํ ถามประจําบทท่ี 6

114 1. ความเปน็ มาของสถาบนั ทางการเมอื ง (Political Institution) สถาบันการเมืองเป็นสถาบันหนึ่งของสถาบันสังคมเหมือนกับสถาบันเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษา สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา ซึ่งต่างก็เป็นหน่วยย่อยของสถาบันสังคม เช่นกัน ในระบบการแสวงหา การรักษา และการใช้อํานาจทางการเมือง ระบบการเมืองจําเป็นต้อง อาศัยสถาบันทางการเมืองต่างๆที่มีอยู่ในระบบ เพ่ือให้การจัดสรรสิ่งท่ีมีคุณค่าในสังคมดําเนินไป อย่างชอบธรรม ดังน้ัน สถาบันทางการเมืองจึงมีความสําคัญและจะขาดเสียมิได้ในทุกระบบ การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยท่ีรัฐบาลมาจากตัวแทนประชาชน (Representative Government) เงื่อนไขท่ีจําเป็นและสําคัญย่ิงสําหรับประชาธิปไตยได้แก่ การที่ ประชาชนรู้ถึงประโยชน์ของตนเอง และมีความต้องการที่จะแสดงออกซึ่งผลประโยชน์เหล่าน้ัน ดว้ ยการแขง่ ขันกันอย่างสันติ ท้ังน้ี เพือ่ ใหผ้ ลประโยชน์ของตนได้รับการยอมรบั และสนบั สนุนจาก รัฐบาล อํานาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงกระจายอยู่ตามสถาบันทางการเมืองต่างๆ มไิ ด้กระจกุ หรือรวมศูนย์อย่ทู ใ่ี ดท่ีหน่งึ แนวความคิดทางการเมืองได้เกิดข้ึนโดยความคิดของนักปราชญ์ต่างๆมากมาย ก่อนจะมา เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีรูปแบบท่ีชัดเจนดังเช่นในปัจจุบัน วิวัฒนาการทางความคิดของ นักปราชญ์แต่ละยุคแต่ละสมัยซ่ึงได้สั่งสมประสบการณ์ต่างๆในชีวิตของเขาบางครั้งก็ทารุณ โหดร้ายแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ แต่ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ เพ่ือให้พลเมืองเพ่ือนร่วมโลกปลอดจากการกดขี่ข่มแหงจากผู้มีอํานาจโดยไม่ชอบธรรม มีชีวิตอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ และยอมรับซ่ึงกันและกัน วิวัฒนาการทางความคิดดังกล่าวอาจแบ่งเป็นยุคสมัย ได้ ดงั ต่อไปนี้ 1. การเมืองยุคกรีก มีระยะเวลากว่า 2,000 ปีมาแล้ว ซ่ึงมีนักปราชญ์ท่ีสําคัญ 2 คน คือ พลาโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) มีสถาบันการเมืองแบบโบราณเรียกว่า Cit-Stateโดยเพลโตได้เสนอ หนังสือเรอ่ื ง The Republic ในรปู ของการสนทนาซ่ึงสรุปแนวคิดโดยย่อไดด้ ังนี้ คอื 1.1 คุณงามความดีคือความรู้ (Virtue is knowledge) หมายความว่า รัฐท่ีดีจะต้องถูก ปกครองโดยคนท่มี ีความรู้ 1.2 การแบ่งงานกันทํา โดยเชือ่ ว่าสงั คมมนษุ ย์ควรจะแบ่งานกันทําตามท่ตี ัวเองถนัด 1.3 รัฐตอ้ งให้ความยุตธิ รรม 2. การเมืองสมัยกลางของยุโรป ได้มีการต่อสู้กันเกี่ยวกับเร่ืองความแตกต่างของแนวคิด ทางศาสนาโดยเฉพาะกลุ่มสนับสนุนอํานาจของศาสนจักร และกลุ่มสนับสนุนอํานาจกษัตริย์ แต่ ภาพรวมศาสนามอี ํานาจมากกวา่

115 3. ยุคฟื้นฟู (Renaissance) มีการทํามาค้าขายต่อกันจากตะวันออกสู่ตะวันตก ทําให้มีการ ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ค้นพบดินแดนใหม่ๆการค้าขายขยายตัวเพ่ิมขึ้น ทําให้ฝ่ายศาสนาพ่ายแพ้ ใน ที่สุดกษตั ริย์กลบั มามอี ํานาจมากข้นึ 4. การเมืองยุคใหม่ ผู้คนเร่ิมมีการศึกษา โดยเฉพาะเหล่าปัญญาชน ทําให้มีการลิดรอน อํานาจของกษัตริยล์ งได้ กษัตริย์ตกอยภู่ ายใต้รฐั ธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) 5. ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ (Enlightenment) ยุคนี้สิทธิบุคคลได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างดี ในทางการเมือง ได้มีการนําหลักเหตุผลของความจริงมาใชท้ างการเมืองด้วย โดยมีการทดลอง การ ค้นคว้า และการพิสูจน์ทดลองในแนวประจักษ์นิยม มีการวางกฎเกณฑ์เป็นแนวทางการเมือง หรือ สรา้ งแบบทางการเมอื งข้ึน โดยมีนักคดิ ที่สําคญั ยงิ่ แหง่ ยคุ น้ี คอื มองเตสกิเออ และรสุ โซ มองเตสกิเออ (Montesquieu) ได้เสนอว่า บุคคลพึงมีเสรีภาพตามกฎหมายจึงได้สนับสนุน ให้มีการแยกอํานาจอธิปไตยออก 3 ทางเท่าๆกัน คอยถ่วงดุลอํานาจ ตรวจสอบซ่ึงกันและกัน เพื่อมิ ให้อํานาจใดเข้ามาลิดรอนสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนได้ รุสโซ (Jean-Jacque Reussean) เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งเพราะเกิดในครอบครัวท่ีมี ปญั หา โดยแมเ่ สยี ชวี ติ ตั้งแตเ่ ขายังเปน็ เดก็ ทารก สว่ นพอ่ หนไี ปอย่ใู นเมืองอ่ืนเปน็ เด็กกําพร้า มีชวี ิต เรร่ ่อนอยกู่ บั ญาติและผู้อุปถัมภ์หลายคน ไดแ้ ต่งหนงั สืออันสุดประทับใจของผู้คนท่ัวโลกทีส่ ะท้อน แนวคดิ ของเขาว่า 1. มนษุ ยเ์ กดิ มากบั เสรีภาพ 2. มนุษย์เกิดมามีเสรีภาพร่วมกัน หรือเจตนาร่วม (Genert Will) ทุกคนจะต้องฟังเจตนา ร่วมน้ี เจตนาร่วมจึงเป็นอํานาจอธิปไตย อยู่เหนือทุกๆคนในสังคม ในการสร้างแบบแผน กําหนด วิถีทางการดําเนินชีวิต และวางรูปแบบสถาบันต่างๆของสังคม และได้กลายเป็นแนวคิดที่มีผลให้ ผูค้ นในยคุ สมยั ใหม่ไดน้ าํ มาใชจ้ นกระทง่ั ปัจจบุ ันนี้ (อานนท์ อาภาภริ มย์, 2528) 2. ความหมายของสถาบันทางการเมือง คําว่า “สถาบัน” ถอดศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า “Institution” มีความหมายว่า แบบอย่าง แห่งพฤติกรรมที่สร้างขึ้น และมีการปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมาเป็นท่ียอมรับกันในสังคม สําหรับ พฤตกิ รรมดังกล่าวมลี กั ษณะเปน็ พฤตกิ รรมทีม่ ่ันคง (Established Behaviors) และในทุกสงั คมย่อมมี สถาบันเกดิ ขึน้ ตามมิตติ ่าง ๆ แหง่ พฤติกรรมมนุษย์ สถาบันการเมือง (Political Institution) เกิดขึ้นจากแนวความคิดทางการเมืองที่ต้องการ แสวงหากลไก และมาตรการในการจัดความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เหมาะสมระหวา่ งผ้ปู กครองกับ ผู้ถูกปกครองในระบบการเมือง มี 2 ระดับ คือระดับแรก เป็นกลไกท่ีกําหนดความสัมพันธ์ภายใน

116 สถาบันการปกครองของรัฐบาล เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบนั ตุลาการ ระดับ ที่สอง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันของรัฐกับประชาชน ได้แก่ พรรคการเมือง กลุ่ม ผลประโยชน์ และระบบราชการ แมคริดิส (Roy C. Macridis) อธิบายว่า สถาบันการเมือง หมายถึง องค์กรท่ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการของชุมชนทางการเมือง เพื่อทําหน้าท่ีพิจารณาตัดสินใจในกิจการทางการเมือง ต่างๆ จึงเป็นเครื่องมือของสังคมท่ีจะผลักดันให้ชุมชนทางการเมืองได้บรรลุเป้าหมายร่วมกนั ส่วน ไอเซนตัดท์ (S.N. Eisenstadt) นิยามว่า สถาบันทางการเมืองหมายถึงกิจกรรมของกลุ่มคนในสังคม ทม่ี ุง่ รกั ษาความเปน็ ปกึ แผน่ และความเปน็ องค์กรของตนเอง พลศกั ดิ์ จริ ไกรศิริ ได้สรปุ วา่ ความหมายของสถาบันทางการเมือง อาจหมายถึง องค์กรทาง การเมืองทั้งถาวรและช่ัวคราว หรือเป็นแบบแผนท่ีสะสมพฤติกรรมทางการเมืองหรือเป็นเพียง กจิ กรรมทางการเมอื งขององคก์ รทางสงั คม แลว้ เสนอลักษณะสําคัญทางการเมือง 4 ประการ คือ 1. มโี ครงสรา้ งแนน่ อน หรอื คอ่ นขา้ งแนน่ อนที่สามารถศึกษาได้ 2. มหี น้าทห่ี รอื กิจกรรมทส่ี ืบเน่ืองกนั นานพอสมควร 3. เปน็ แบบแผนของพฤตกิ รรมทางการเมืองอยา่ งหน่ึงท่ีคนทว่ั ไปยอมรบั 4. แสดงถงึ การมคี วามสมั พันธ์ตอ่ กนั ระหวา่ งมนุษยใ์ นทางการเมือง สถาบันที่สําคัญทางการเมืองการปกครองอาจแบ่งแยกได้ตามลักษณะโครงสร้างของการ ปฏิบัติหน้าท่ีของสถาบันทางการเมืองในปัจจุบัน ซ่ึงประกอบด้วยสถาบันต่าง ๆ ตามอํานาจ อธิปไตยซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประการคือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการ เช่น สถาบนั ประชาธปิ ไตย สถาบนั กษตั รยิ ์ สถาบันราชการฯลฯ ดังจะได้กลา่ วถึงตอ่ ไป 3. สถาบนั ฝา่ ยนติ ิบญั ญัติ (Legislature) สถาบันฝ่ายนิติบัญญัติ มีบทบาทหน้าที่ท่ีสําคัญในการออกกฎหมายของรัฐ ซ่ึงเป็นกลไก และเครื่องมือในการบริหารและการปกครองประเทศ ทําหน้าที่คุ้มครองรักษาสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน สถาบันฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย รัฐสภา ซึ่งแบ่งออกเป็นระบบสภาเดียว และระบบ สภาคู่ (สพุ จน,์ 2551) 3.1 องค์ประกอบของสถาบันฝา่ ยนิติบญั ญัติ ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ท่ีมีรัฐสภานั้น ได้มีการแบ่งสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติออกเปน็ 2 ระบบ ด้วยกนั คอื

117 1) ระบบสภาเดียว (Unicameral) ระบบสภาเดียว เป็นระบบที่ไม่ได้รับความนิยมและมี การนํามาปฏิบัติกันน้อยมาก ระบบสภาเดียวส่วนใหญ่ใช้กับการปกครองระดับท้องถ่ินใน สหรัฐอเมริกา ข้อดขี องระบบสภาเดียว (1) ทาํ ให้การปฏิบัตหิ น้าท่ขี องสภาดําเนินไปด้วยความรวดเร็ว เพราะมีสภาเดียวเป็นผู้ พิจารณา (2) ไม่เปลอื งเงนิ งบประมาณเพราะจ่ายเงินเดือนใหก้ ับสมาชิกสภาเดยี ว (3) ไม่มีปัญหาการขัดแย้งระหว่างสภาสูง (วุฒิสภา) กับสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร เหมือนกับระบบสองสภา (4) ทําใหเ้ กิดความรบั ผดิ ชอบชดั แจง้ ในการปฏิบตั ิหน้าท่วี า่ อยู่ท่สี ภาเพยี งแหง่ เดียว (5) สมาชิกสภาในระบบสภาเดียวบังเกิดความภูมิใจว่า ตนเป็นผู้แทนของประชาชน เพยี งสภาเดยี วเทา่ นน้ั ขอ้ เสียของระบบสภาเดียว (1) ระบบสภาเดียวอาจทําให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรอบคอบเพราะ ไมม่ สี ภาที่สองคอยทําหน้าที่กล่ันกรอง (2) สภาเดียวอาจนําไปสู่ระบบเผด็จการในรัฐสภา เพราะไม่มีสภาท่ีสองคอยเป็นดุล ถ่วงอํานาจไว้ 2) ระบบสองสภา (Bicameral) วัตถุประสงค์ของการจัดต้ังระบบสองสภาเพื่อเปิดโอกาส ให้มีสภาท่ีประกอบด้วยสมาชิกท่ีมาจากประชาชนธรรมดาท่ัวไป และสมาชิกที่มีคุณสมบัติเป็น พิเศษ ระบบสองสภาแบ่งได้เป็น สภาล่าง ซึ่งก็คือ สภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง เป็นสภาท่ีสมาชิกเป็น ราษฎรทั่วไป มาจากการเลือกต้ังของประชาชน และสภาสูง ซึ่งก็คือ วุฒิสภามีหน้าที่กลั่นกรองร่าง กฎหมายที่ผา่ นจากสภาลา่ งและมอี าํ นาจยงั ย้งั สภาล่าง ข้อดีของระบบสองสภา (1) เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนกลมุ่ ต่างๆ ของประเทศไดม้ ีตวั แทนของตนเข้าไป มีสทิ ธมเี สยี งในสภา (2) สภาสงู มหี น้าทก่ี ล่ันกรองรา่ งกฎหมายท่ผี ่านจากสภาลา่ ง (3) ทําใหเ้ กดิ ดุลแหง่ อาํ นาจในรัฐสภา เพราะมีการยบั ยงั้ ระหว่างสภาลา่ งกับสภาสูง (4) ทําให้การพิจารณากฎหมายต่างๆ ดําเนินไปด้วยความรอบคอบเป็นผลดี และ ก่อใหเ้ กิดประโยชน์แก่ประชาชน เพราะมที ั้งสภาสูง และสภาลา่ งคอยตรวจสอบ

118 3.2 อํานาจและหน้าท่ีของสถาบันฝ่ายนิตบิ ัญญตั ิ อาํ นาจหนา้ ท่ขี องสถาบนั ฝา่ ยนติ ิบัญญตั ิมหี ลายประการ ดงั น้ี 1) การออกกฎหมาย การออกกฎหมายเป็นอํานาจหน้าท่ีหลักของสถาบันนิติบัญญัติ ครอบคลมุ ทงั้ กฎหมายระดับชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ 2) การมีส่วนร่วมในอํานาจฝ่ายบริหาร แม้สถาบันบริหารจะแยกออกไปต่างหาก แต่ สถาบันนิติบัญญัติก็มีบทบาทในการบริหารด้วย เช่น ในสหรัฐอเมริกา สภาสูงมีอํานาจในการ รับรองการแต่งตัง้ ประธานาธิบดี 3) การมีส่วนร่วมในทางการปกครองหรือการบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติมีบทบาทในการ บริหารราชการแผ่นดิน เช่น การจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม และการอนุมัติงบประมาณ จะต้องทํา โดยผา่ นความเหน็ ชอบของฝ่ายนติ บิ ญั ญัติ 4) การมีส่วนร่วมในทางตุลาการ รัฐสภาในการปกครองแบบประธานาธิบดีมีอํานาจ ในทางตุลาการด้วย คือ ในการปลดผู้ดํารงตําแหน่งทางตุลาการโดยวิธีการท่ีเรียกว่า “อิมพีชเม้นท์” (Impeachmend) 5) บทบาทในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในกรณีการปกครองท่ีใช้รัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์ อักษรและภายใต้ระบบประธานาธิบดี รัฐสภาอาจแต่งตั้งท่ีประชุมเพื่อพิจารณา รัฐธรรมนูญหรือ สภาว่าด้วยรัฐธรรมนูญ เพอื่ การแก้ไขรฐั ธรรมนญู ได้ 6) บทบาทในการเลือกตั้ง ปกติรัฐสภามีบทบาทในการเลือกตั้งอยูแ่ ล้ว คือ สมาชิกรัฐสภา (ในส่วนที่เป็นการแต่งต้ัง) เช่น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของ สหรฐั อเมริกา สภาสูงจะเป็นผ้ตู ดั สินชี้ขาดว่า ผู้ใดไดเ้ ป็นรองประธานาธบิ ดี 7) บทบาทอื่นๆ อํานาจอ่ืนๆ ท่ีรัฐสภาอาจใช้เป็นครั้งคราว เช่น ให้มีการสอบสวนเจ้า พนกั งานของรฐั และมกี ารพจิ ารณาคณุ สมบัติของสมาชิกของรัฐสภาเองดว้ ย 3.3 รัฐสภา (Parliament) ความหมายและความสาํ คัญของรัฐสภา คําว่า รัฐสภา (Parliament) มีที่มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า Parler หมายถึงการพูด การเจรจา ต่อรอง ดังนั้น รัฐสภาก็คือ สถานที่หรือสถาบันทางการเมืองเพื่อการพูด การเจรจาต่อรอง ผลประโยชนท์ เี่ กีย่ วขอ้ งกับการใช้อํานาจรัฐ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2493 ให้ความหมายของคําว่า “รัฐสภา” ไว้สั้น ๆ ว่า องค์การนิติบัญญัติ ซ่ึงหมายถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการออกกฎหมายอันมีผลบังคับ ใช้ท่ัวไปในราชอาณาจักร แต่แท้จริงแล้ว รัฐสภาในทางรัฐศาสตร์ มีความหมายมากไปกว่า

119 หน่วยงานท่ีมีหน้าท่ใี นการออกกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพราะรัฐสภานอกจากจะมีบทบาทหน้าที่นิติบัญญัติ ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีหน้าท่ีควบคุมดูแลการปกครองบริหารประเทศ รัฐบาลซ่ึงเป็นฝ่ายบริหาร ดังนน้ั รัฐสภาจงึ ทาํ หนา้ ท่ีเป็นตัวแทนของประชาชน 3.4 ท่มี าและรปู แบบของรัฐสภาในประเทศต่าง ๆ 1) ทมี่ าและรปู แบบของรัฐสภาในประเทศอังกฤษ รัฐสภาของประเทศอังกฤษเริ่มเกิดขึ้นมาต้ังแต่คริสตศักราช 1215 จากการท่ีบรรดาขุน นางบีบบังคับให้พระเจ้าจอห์น ยอมรับฐานะของตนโดยการกําหนดข้อตกลงในแม็กนา คาร์ต้า ซ่ึง เท่ากับเป็นการลิดรอนอํานาจของพระมหากษัตริย์ให้ลดลง ต่อมาในสมัยพระเจ้า เอ็ดเวอร์ดที่ 1 ได้ เกิดสถาบันรัฐสภาขึ้น อันเป็นผลมาจากการท่ีพระองค์ได้เรียกให้พ่อค้าวานิช และบรรดาขุนนาง อัศวิน มาประชุมร่วมกัน เพื่อออกไปชี้แจงนโยบายและเหตุผลดังกล่าว ให้ประชาชนท่ัวไปทราบ การประชมุ ดังกล่าวน้ี จงึ เป็นทม่ี าของระบบสองสภา คือ สภาสามญั (สภาผแู้ ทนราษฎร)และสภาสูง (สภาขนุ นาง) ในระยะเรมิ่ แรกสภาสูงมบี ทบาทสําคญั มากกว่าสภาสามัญ แต่ในระยะหลงั เม่ือประชา ชนมีสิทธิเลือกตั้งโดยท่ัวหน้า และการออกกฎหมายน้ีเรียกว่า The Parliament Act ค.ศ. 1911 และ 1949 แล้วอํานาจและบทบาทของสภาขุนนางมีความสําคัญน้อยกว่าสภาสามัญ โดยจะทําหน้าที่แต่ เพยี งใหค้ าํ ปรกึ ษาหรือทกั ท้วงมาตรการบางอยา่ งของสภาสามัญเทา่ น้นั รูปแบบของรัฐสภาอังกฤษในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทสภาคู่หรือระบบสองสภา คือ ประกอบด้วยสภาสามัญ และสภาสูง สมาชิกสภาสามัญได้รับเลือกต้ังจากประชาชนโดยตรง อยู่ใน ตาํ แหน่งคราวละ 5 ปี มหี น้าทีใ่ นการออกกฎหมายและควบคุมตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ส่วนสมาชิกสภาสูงประกอบด้วยบรรดาขุนนางทั้งหลายโดยชาติกําเนิดและโดยตําแหน่ง มีสมาชิก ประมาณ 1,000 คน 2) ทมี่ าและรปู แบบของรัฐสภาในฝรั่งเศส รัฐสภาของฝรั่งเศส มีวิวัฒนาการมาจากการประชุมของคณะบุคคลที่มีฐานันดร แตกต่างกัน 3 ฝ่าย คือ ขุนนาง พระและประชาชน การประชุมนี้เป็นการให้คําปรึกษาแก่พระเจ้า แผ่นดินเท่าน้ัน เรียกการประชุมนี้ว่า “เอตา เจเนโร” ซ่ึงปกติมักมีการประชุมไม่บ่อยนัก ต่อมาหลัง การปฏิวัตครั้งใหญ่ ค.ศ. 1789 อันเป็นผลมาจากแนวความคิดเก่ียวกบั อํานาจอธิปไตย และหลักการ มตี ัวแทนของประชาชน ทาํ ใหร้ ฐั สภาของฝร่งั เศส เดมิ เปลีย่ นสภาพมาเปน็ สถาบนั ทีม่ อี าํ นาจหน้าท่ี ในการออกกฎหมายและควบคุมดูแลการปกครองประเทศ ปัจจุบันระบบรัฐสภาของฝร่ังเศส เป็นแบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทน ราษฎร อยู่ในตําแหน่งคราวละ 5 ปี สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ส่วนสภาสูง สมาชิก

120 มาจากการเลือกต้ังโดยอ้อม โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชกิ สภาจังหวัดเป็นผู้เลือก อยู่ใน ตําแหน่งคราวละ 9 ปีทุกๆ3 ปี จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูง สภาสูงจะมีอํานาจและบทบาทน้อย กวา่ สภาผูแ้ ทนราษฎรเพราะมไิ ด้รบั การเลอื กต้งั โดยตรงจากประชาชน 3) ทม่ี าและรปู แบบของรฐั สภาไทย ระบบรัฐสภาของไทยในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 การ เปล่ียนแปลงครั้งนี้เป็นผลให้ประเทศไทยใช้รูปแบบการปกครองแบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสถาบันทางการเมืองต่างๆทําหน้าท่ีนิติบัญญัติบริหารและตุลาการ รูปแบบของรัฐสภาไทยมี ท้งั รปู แบบทเ่ี ป็นระบบสภาเดี่ยว และระบบสภาคู่หรอื สองสภาขนึ้ อยกู่ บั บัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแต่ ละฉบับซึ่งกาํ หนดรูแบบของรัฐสภาไวแ้ ตกต่างกันไป 4. สถาบนั ฝ่ายบริหาร (Executive) 1.ความหมายของสถาบนั ฝา่ ยบรหิ าร ฝา่ ยบริหารหมายถึง บคุ คล คณะบุคคล หรอื กล่มุ บุคคล ซ่งึ มีหนา้ ที่ในการนํานโยบายไปใช้ เพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายตามวตั ถุประสงค์ของนโยบายนน้ั ๆ เชน่ นโยบายด้านการศึกษา การเศรษฐกิจ การระหวา่ งประเทศ เป็นตน้ องค์กรที่ถูกกําหนดให้เป็นผู้ใช้อํานาจบริหาร คือ รัฐบาล ซึ่งตามความหมายอย่างแคบ หมายถึง คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี แต่ในความหมายอย่างกว้างจะหมายรวมไปถึงข้าราชการ ทกุ คนท่ีรว่ มกนั ปฏิบัติหน้าที่ในการปกครองบริหารประเทศ 2. อาํ นาจหน้าทขี่ องฝ่ายบรหิ าร ฝ่ายบริหารมีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการตามนโยบายของรัฐ ซ่ึงรวมท้ังการได้มีการ ปฏิบตั ติ ามทีก่ ฎหมายบัญญัติ ฝ่ายบริหารมไิ ดม้ ีอํานาจแต่เพยี งด้านการบงั คับบัญชา แตย่ งั มีบทบาท ด้านอนื่ ๆ อกี ดังนี้ 1) อาํ นาจหนา้ ทใ่ี นการบริหาร อาํ นาจหน้าทน่ี ี้ไดแ้ ก่ การดูแลใหม้ ีการปฏิบัติตามกฎหมาย และการวางระเบียบข้อบังคบั เพอื่ ให้การบรหิ ารงานเป็นไปโดยเรียบร้อย 2) อํานาจหน้าที่ในด้านการแต่งต้ังและถอดถอน ฝ่ายบริหารแต่งต้ังข้าราชการหรือ พนักงานของรัฐเป็นส่วนมาก ยกเว้นตําแหน่งบางตําแหน่งโดยเฉพาะในระดับวางนโยบาย มักจะ ต้องได้รับรองหรือให้ความเห็นชอบซํ้าอีกคร้ังหนึ่ง โดยวุฒิสภา สําหรับอํานาจในการถอดถอนนั้น มักมาคกู่ บั อํานาจในการแตง่ ต้ัง

121 3) การมีส่วนร่วมอํานาจหน้าที่ในด้านนิติบัญญัติ อํานาจเชิงนิติบัญญัติของฝ่ายบริหาร แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ แบบท่ีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และแบบอยู่นอกเหนือบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ อํานาจดา้ นนิตบิ ญั ญัตทิ ีเ่ ป็นตามรฐั ธรรมนูญ - การให้ความเห็นชอบหรือการยับยั้งกฎหมาย อํานาจยังยั้งกฎหมาย มีเฉพาะในระบบ ประธานาธิบดี คือ เมื่อรัฐสภาได้ผ่านหรือให้ความเห็นชอบกฎหมายฉบับใดฉบับหน่ึงไปแล้ว จะต้องมีการประกาศใช้กฎหมาย ในการประกาศให้กฎหมายมีผลบังคับใช้น้ันจะต้องได้รับความ เห็นชอบ คือ การลงนามของประมุขฝ่ายบริหาร ซ่ึงอาจจะไมย่ อมผ่านกฎหมาย คอื ไมย่ อมลงนามก็ ได้ แต่ทั้งน้ีมักมีข้อกําหนดเพิ่มเติมว่า หากรัฐสภายังยืนยันท่ีจะให้การประกาศใช้กฎหมายฉบบั น้นั ดว้ ยคะแนนทสี่ งู มาก การยบั ยง้ั ย่อมตกไป ฝ่ายบริหารจะตอ้ งลงนาม - การควบคุมกําหนดสมัยประชุมของสภา ในระบบประธานธิบดี การเปิดและปิดสมัย ประชุมตามปกติมักมีกําหนดไว้ล่วงหน้า และเป็นการยากที่ฝ่ายบริหารจะปิดสมัยประชุมก่อน กําหนด สําหรับในระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหารอาจประกาศปิดสมัยประชมุ ไดโ้ ดยงา่ ย อํานาจในเชิงนิติบัญญัติของฝ่ายบริหารท่ีมีนอกเหนือบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การใช้ อํานาจน้ีข้ึนอยู่กับบุคลิกภาพหรือวิธีการของฝ่ายบริหาร ซึ่งโดยปกติถือว่าไม่เหมาะสม หรือไม่ สอดคล้องกับจรรยาบรรณในระบอบประชาธิปไตยตัวอย่างเชน่ - การใหผ้ ลประโยชน์ ตอบแทนแกส่ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรทีส่ นบั สนนุ นโยบาย - การใช้มติมหาชนในการสนบั สนุน หรือคัดค้านเร่ืองที่ต้องการให้ผ่านหรือไม่ผา่ นความ เหน็ ชอบของสภา - การช่วยผู้สมัครเลือกตั้งของฝ่ายรัฐบาล ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงโดยทางตรง เช่น กําหนดเป็นนโยบายให้ข้าราชการช่วยออกเสียงสนับสนุนผู้สมัครท่ีฝ่ายบริหารต้องการ หรือ ทางออ้ ม เช่น ดว้ ยการไมด่ แู ลใหม้ ีการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายว่าดว้ ยวงเงนิ และการใชเ้ งนิ หาเสียงตามท่ี กาํ หนดไวใ้ นกฎหมายเลือกตง้ั เป็นตน้ 4) อํานาจหน้าท่ีในทางตุลาการ ฝ่ายบริหารมีอํานาจในการลดโทษหรืออภัยโทษหรือนิร โทษกรรม ผู้ท่ีต้องโทษในคดีต่างๆ แต่ทั้งน้ีย่อมอยู่ในวงกรอบที่ตนมีอํานาจอยู่ เช่น ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกามีอํานาจในการอภัยโทษผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องโทษตามกฎหมายระดับชาติ แต่ไม่มี อํานาจดังกล่าวในกรณีที่ผู้นั้นถูกกล่าวหาหรือต้องโทษตามกฎหมายระดับชาติ แต่ไม่มีอํานาจใน การอภัยโทษผู้ถูกกล่าวหาหรือต้องโทษตามกฎหมายมลรัฐ ซ่ึงในกรณีดังกล่าวเป็นอํานาจของผู้ว่า การรัฐ

122 5) อํานาจหน้าที่ในด้านการทูต ฝ่ายบริหารทําหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศในการติดต่อ กับนานาชาติ การรับรองรัฐบาลอื่นๆ ก็กระทําโดยฝ่ายบริหาร รวมท้ังการแต่งต้ัง ผู้ไปเป็นเอกอัคร ราชฑตู ณ ตา่ งประเทศและการรับสาส์น ตราตงั้ ของเอกอัครราชฑูตจากนานาประเทศ แตอ่ ํานาจใน ด้านการฑูตกม็ ขี ้อจํากดั ได้ แล้วแต่ละรัฐจะกําหนด 6) อํานาจหนา้ ท่ีในทางการทหาร ตัวอยา่ งของการใช้อํานาจหน้าที่ของฝา่ ยบริหารในระบบ รัฐสภา คือ กรณีพิพาทระหว่างอังกฤษกับอาร์เจตินา เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2525 เรื่องหมู่เกาะ ฟอล์คแลนด์ ในมหาสมุทรแอตแลนติดตอนใต้ นายกรัฐมนตรีมาการ์เร็ต เททเชอร์ แห่งอังกฤษ มี อํานาจในการส่งทหารองั กฤษไปยังบรเิ วณทีม่ ีการพิพาท ในระบบประธานาธิบดี เช่น สหรัฐอเมริกา ประธานารธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาทหารสงู สดุ ซึ่งมีอํานาจในเร่ืองการใช้กาํ ลังทหารอย่างเต็มท่ี ในกรณีของสมัยสงครามเกาหลีเมื่อประมาณ 30 ปี มาแล้ว ประธานาธิบดี แฮรี เอส ทรูแมน แห่งสหรัฐอเมริกาสามารถปลด นายพลแมค อาร์เธอร์ ผู้ บญั ชาการรบในสมรภูมิเกาหลีออกจากตาํ แหน่งเพราะขัดคําสั่งประธานาธิบดี 2. การเข้าสู่ตําแหน่งของฝา่ ยบรหิ าร 1) โดยการสืบสายโลหิต ตําแหน่งบริหารในระดับพระมหากษัตริย์และในระดับสําคัญ ๆ ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นไปโดยสืบสายโลหิต ซ่ึงมีการกําหนดรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แตใ่ นปัจจุบันการสบื ต่ออํานาจฝา่ ยบริหารโดยการสืบสายโลหิตมีน้อยมาก 2) โดยการเลือกตั้งโดยตรง การเป็นผู้บริหารโดยการเลือกต้ังโดยตรง คือ โดยการออก เสยี งลงคะแนนของประชาชนทีจ่ ัดขึน้ เพอ่ื เป็นการเลือกต้ังตําแหน่งนนั้ โดยเฉพาะ เช่น การเลอื กผู้ว่า ราชการมลรัฐของสหรฐั อเมริกา 3) โดยการเลือกตั้งโดยอ้อม คือ จะต้องผ่านข้ันตอนอ่ืนก่อนที่จะดําเนินการแต่งตั้งได้ คือ โดยผ่านรฐั สภา หรอื ฝ่ายนิติบัญญัติ และโดยผ่านองคก์ ารท่ีเก่ียวกบั การเลือกสรรโดยเฉพาะ 4) โดยการแต่งต้ัง ในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แต่งต้ัง นายกรฐั มนตรจี ากสมาชกิ สภาสามัญ และมอบให้นายกรฐั มนตรจี ดั ต้ังรัฐบาล 5) โดยการยึดอํานาจ ในประเทศด้อยพัฒนาหรือกําลังพัฒนาหลายประเทศมีการยึด อํานาจด้วยวิธีการที่เรียกว่า “รัฐประหาร” หรือ “การปฏิวัติ” เม่ือยึดอํานาจอยู่ก่อนแล้ว ก็ต้ังตนเอง เป็นผบู้ ริหารเสยี เอง

123 3. วาระการดํารงตําแหน่งของฝา่ ยบรหิ าร 1) แบบไม่ตายตัว มีตัวอยา่ งในระบบรฐั สภา คือ รัฐบาลมีวาระเท่ากับรัฐสภา (เชน่ 5 ปี ) แต่หากนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรก็อาจยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่ เม่ือเป็นเช่นนั้น อายุของ รฐั บาลซ่งึ ขนึ้ อย่กู บั การสนับสนุนของฝ่ายรัฐสภายอ่ มส้ันกว่าวาระท่ีกําหนดไว้ 2) แบบตายตัว มีตัวอย่างในระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามี วาระการดํารงตาํ แหน่ง 4 ปี ผวู้ า่ ราชการมีอายุของการดํารงตาํ แหน่งแล้วแต่มลรัฐ เชน่ เป็น 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปกี ็ได้ 4. รัฐบาล (Govement) ความหมายและความสาํ คญั ของรัฐบาล รัฐบาล หมายถึง “กลุ่มหรือคณะบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้ใช้อํานาจบริหารเพ่ือ ดําเนินการปกครองประเทศ” หรือ หมายถึง “องค์กรของรัฐท่ีเป็นผู้ใช้อํานาจบริหารประเทศ โดย การยินยอมของฝา่ ยนิตบิ ญั ญัติ ทมี่ ีขอบเขตกว้างขวาง” ความสําคัญของการมีรัฐบาลก็คือ เพื่อการคงอยู่ของรัฐ เพื่อการจัดระเบียบภายในรัฐ และ เพอื่ แก้ไขในแง่ความสงบสุขสว่ นรวมของรฐั และของประชาชน 4.1 รปู แบบของรัฐบาล 1) การแบง่ ประเภทรัฐบาล โดยพิจารณาจํานวนผใู้ ช้อาํ นาจอธปิ ไตย (1) รัฐบาลแบบคนเดียวใช้อํานาจอธิปไตย เป็นรัฐบาลที่มีบุคคลเพียงคนเดียวเป็น ผู้ใช้อาํ นาจอธิปไตย รปู แบบของรฐั บาลประเภทนมี้ ี 2 แบบ คือ - แบบกษัตริย์ (Monarchy) เป็นรูปแบบท่ีได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต อริสโตเติล กล่าวว่า การปกครองแบบนี้เป็นการปกครองท่ีดีท่ีสุด เพราะกษัตริย์จะปกครองโดยมี คุณธรรมเพ่อื พสกนกิ รของพระองค์ - แบบทรราชย์ (Tyanny) อริสโตเติล ถือว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่เลวท่ีสุด เพราะทรราชย์จะใชอ้ ํานาจอธปิ ไตยในการปกครองเพ่อื ตนเองตามอําเภอใจ ไมม่ คี ณุ ธรรม (2) รัฐบาลแบบคนกลุ่มน้อย เป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตย เป็นรูปแบบรัฐบาลท่ี ประกอบด้วยคนกลุ่มน้อยเข้าไปใช้อํานาจอธิปไตย โดยคนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธ์ิเข้าไปมีส่วนร่วมใน การปกครองประเทศ แบง่ ออกได้เป็น 2 แบบคอื - แบบอภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยพวกขุนนางหรือชน ช้ันสงู ในสงั คม อริสโตเติล เช่ือว่าเป็นการปกครองทีด่ ีรปู แบบหนง่ึ เพราะขุนนางหรือชนชัน้ สูง เปน็ ผมู้ โี อกาสไดร้ ับการศกึ ษาและคงไมก่ อบโกยผลประโยชน์เพ่อื ตนเอง เนอ่ื งจากความเป็นชนช้ันสูงมี ฐานะดีเพียงพอแก่ตนแลว้

124 - แบบคณาธิปไตย (Oligarchy) ผู้มีอํานาจปกครองไม่ได้มาจากกลุ่มของชน ชน้ั สงู ในสังคม และมกั ไดม้ าซึ่งอํานาจจากการใช้กําลงั กล่มุ ผู้นําประเภทนี้มกั ทําอะไรตามอําเภอใจ และไมค่ ํานงึ ถงึ ผลประโยชนข์ องคนสว่ นใหญ่ 4.2 การแบง่ ประเภทรฐั บาลโดยพจิ ารณาการแยกอํานาจอธปิ ไตย (1) รฐั บาลในรปู แบบประธานาธิบดี (Presidential Government) ใชห้ ลกั การแยกอํานาจ อธิปไตยออกเป็นสัดส่วนให้อํานาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการเท่าเทียมกัน แต่ยังคงไว้ซ่ึง อํานาจของแต่ละฝ่ายที่สามารถจะยับย้ังหรือถ่วงดุลซ่ึงกันและกันได้ มีประธานาธิบดีทําหน้าที่เป็น ประมขุ ของประเทศและเปน็ หัวหน้าฝา่ ยบรหิ ารไปพร้อมกัน (2) รัฐบาลในรูปแบบรัฐสภา (Parliamentary Government) นายกรัฐมนตรี และคณะ รฐั มนตรีจะต้องมาจากรฐั สภาโดยต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาโดยตรง ก่อนเขา้ บรหิ ารประเทศ รัฐบาล จะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจะบริหารประเทศในนามของคณะรัฐบาล ซ่ึง หมายถึงการผูกมัดรัฐมนตรีทุกคนในคณะรัฐบาลให้รับผิดชอบร่วมกัน วิธีการตรวจสอบและ ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีได้เข้าบริหารประเทศแล้ว จะกระทําได้ โดยการเปิดอภปิ ราย ซึ่งมีทั้งการอภปิ รายแบบมกี ารลงมตแิ ละอภปิ รายแบบไมม่ กี ารลงมติ 4.3 การแบ่งประเภทรฐั บาลโดยพิจารณาการแบ่งอํานาจอธิปไตย (1) รัฐบาลเด่ียว มีลักษณะเป็นการรวมอํานาจอยู่ท่ีรัฐบาล เรื่องของนโยบายตั้งแต่การ กําหนดนโยบายจนถึงการบริหารนโยบายในการนําออกไปปฏิบัติถือเป็นอํานาจของรัฐบาลเท่านน้ั หน่วยงานอ่ืนใดมีหน้าท่ีเพียงการปฏิบัติตามนโยบายการปกครองในรูปแบบนี้มีข้อด้อยอยู่ที่ความ คล่องตัว และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิ ภาพและประสทิ ธิผล จงึ มีการกระจายอํานาจใหก้ บั หน่วยปกครองอืน่ เพื่อแกไ้ ขปัญหาดังกลา่ ว (2) รัฐบาลรวม มีลักษณะแบ่งอํานาจการปกครอง คือ ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลกลางเท่าน้ัน ที่มีอํานาจอธิปไตย แต่จะมีการแบ่งอํานาจอธิปไตยให้กับรัฐบาลท้องถ่ินรูปแบบของรัฐบาลรวม แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื - สมาพันธรฐั เป็นการเข้าร่วมกันของรัฐต่าง ๆ อยา่ งหลวม ๆ และเปน็ การช่ัวคราว เพื่อจดุ ประสงคอ์ ย่างใดอย่างหนง่ึ ซ่งึ แต่ละรฐั ยังคงไวซ้ ึง่ อาํ นาจอธปิ ไตย คือ เปน็ การรวมตวั ท่ีแต่ละ รัฐไมไ่ ดส้ ญู เสียอํานาจอธิปไตยให้ใคร และหากจะแยกตวั ออกจากสมาพนั ธก์ ส็ ามารถทาํ ได้ไมย่ าก - สหพันธรัฐ เป็นรูปแบบที่รัฐบาลมีการแบ่งอํานาจอธิปไตยออกเป็นสัดส่วน รัฐบาลใดได้รับอํานาจอธปิ ไตยในส่วนใด ไปก็จะไดร้ ับอํานาจสงู สุดในส่วนนั้นๆ รัฐธรรมนูญของ รฐั บาลแบบสหพันธรัฐ จึงเปน็ บทบัญญัติที่กําหนดและเป็นหลักประกันในการแบง่ อํานาจอธิปไตย

125 ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ว่าเรื่องใดที่รัฐบาลกลางมีอํานาจสูงสุดและในเรื่องใดท่ี รัฐบาลทอ้ งถน่ิ มอี าํ นาจสูงสดุ 4.4 อํานาจหน้าทีข่ องรัฐบาล 1) กําหนดและดําเนินนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายดังกล่าวรัฐบาล จัดทําข้นึ เพ่ือความดาํ รงอยู่ ความปลอดภัย ความเจรญิ และความมั่นคงของประเทศ 2) ริเร่ิมเสนอพระราชบัญญัติ ร่างกฎหมายอื่นเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาและคอย ดแู ลรกั ษากฎหมายตา่ ง ๆ เหล่านั้นดว้ ย 3) ประสานงานระหว่างกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ หมายความว่า โดยท่ัวไปในการ ดําเนินงานของแต่ละกระทรวงย่อมจะต้องมีความเก่ียวข้อง และต้องอาศัยความร่วมมือกัน เม่ือเป็น เช่นนี้การท่ีจะให้การดําเนินงานต่างๆ เป็นไปตามนโยบายได้จึงต้องอาศัยคณะรัฐมนตรีเป็น ศูนยก์ ลางทีจ่ ะให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ไดม้ ีการรว่ มมือและประสานงานกัน 4) วางระเบียบ ข้อบังคับให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ถือปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็ทํา การพิจารณา ลงมติเรื่องต่าง ๆ ท่ีกระทรวง ทบวง กรม เสนอขึ้นมา เพราะการปฏิบัติของหน่วยงาน ตา่ งๆดังกลา่ วโดยปกติมกั จะมีปัญหาต่างๆเกดิ ข้นึ เสมอ 5. สถาบนั ฝา่ ยตลุ าการ (Judiciary) ความหมายและความสาํ คญั ของสถาบนั ฝ่ายตลุ าการ สถาบนั ฝา่ ยตลุ าการ หมายถงึ สถาบนั ทางการเมอื งการปกครองทีใ่ ช้อาํ นาจอธิปไตยในส่วน ที่เกีย่ วกับอาํ นาจตลุ าการ เปน็ องคก์ ารทางการเมืองทใี่ ช้อํานาจของรัฐในการชขี้ าดตดั สินกรณีพิพาท ตลอดจนคดีความทั้งหลายท้ังปวงให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เพื่อจุดมุ่งหมายในการปกปอ้ งและ ธํารงรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ตลอดจนให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในด้านต่างๆ ตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้ ซ่ึงสถาบันทางการเมืองท่ีเป็นผู้ใช้อํานาจตุลาการของรัฐ ได้แก่ ศาล และผพู้ พิ ากษา สถาบันฝ่ายตุลาการมีความสําคัญในฐานะท่ีเป็นสถาบันทางการเมืองท่ีทําหน้าท่ีปกป้อง ธํารงรักษาความยุติธรรม ตลอดจนคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยความเสมอภาค เพ่ือ ความสงบสขุ และความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยในสังคม

126 5.1 หน้าท่ขี องสถาบนั ตุลาการ สถาบันฝ่ายตุลาการมีหน้าท่ีในการให้ความยุติธรรมโดยการใช้กฎหมาย ซึ่งครอบคลุมถึง การตีความหมาย การใช้กฎหมายในการตัดสินคดีและในบางประเทศมีอํานาจหน้าที่ในการตีความ วา่ กฎหมายถกู ต้องตามรฐั ธรรมนูญหรือไม่ การเข้าสู่ตาํ แหน่งและวาระการดํารงตําแหน่งของสถาบนั ฝา่ ยตลุ าการ 1) การเข้าสู่ตําแหนง่ ของสถาบันฝ่ายตุลาการ (1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าสู่ตําแหน่งโดยการแต่งตั้ง โดยผู้มีอํานาจ สูงสดุ ของฝา่ ยบริหาร (2) ผู้พากษา เข้าสู่ตําแหน่งได้ 2 วิธี คือ การเลือกต้ังและการแต่งตั้งซึ่งโดยปกติแล้วใน ประเทศส่วนมากเข้าสูต่ ําแหนง่ โดยวิธีการแต่งต้งั วาระการดํารงตาํ แหนง่ ของสถาบันฝ่ายตุลาการ (1) วาระการดํารงตําแหน่งของผู้พากษามี 2 แบบ คือ ประเภทมีวาระและประเภทไม่มี วาระ (2) การพ้นจากตําแหน่งผู้พากษา นอกเหนือจากการตายและลาออก ผู้พิพากษาอาจถูก ออกจากตําแหนง่ หากมีการกระทาํ ท่ีขดั ตอ่ จรรยาบรรณ 5.2 สถาบันฝา่ ยตลุ าการของไทยในปัจจุบนั 1) การจดั โครงสรา้ งและอาํ นาจหนา้ ที่ของศาลไทย (1) ศาลชั้นต้น เป็นศาลท่ีมีอํานาจทั่วไปทั้งทางแพ่งและทางอาญา มีอยู่ใน กรงุ เทพฯ และตามจงั หวดั ตา่ งๆ ทัว่ ประเทศ อย่างนอ้ ยจังหวดั ละ 1ศาล ท้งั น้เี พอื่ ความสะดวกในการ ดําเนินคดีความ ศาลชั้นต้นมีอํานาจหน้าทใี่ นการพจิ ารณาคดีเป็นชั้นแรก โดยยึดถือคําพิพากษาฎกี า เปน็ บรรทดั ฐานในการพิจารณาคดเี สมอ (2) ศาลอุทธรณ์ เป็นศาลชั้นกลาง คือ เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว คู่ความอาจไม่ พอใจในคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิท่ีจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภายใต้เง่ือนไข และวิธีการท่ีกฎหมายกาํ หนดไว้ มเี พยี งศาลเดียวในกรุงเทพมหานคร (3) ศาลฎีกา เป็นศาลชั้นสูงสุดท่ีรับคดีร้องขอฎีกามาจากศาลอุทธรณ์คําพิพากษา ของศาลฎกี าถอื ว่าเปน็ อันสิ้นสดุ จะฏีกาต่อไปไม่ได้ มเี พียงศาลเดียวในกรุงเทพมหานคร 2) อํานาจหน้าท่ีของรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงยุตธิ รรม

127 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับผิดชอบงานในธุรการของกิจการด้านงาน ยุติธรรม ซึ่งอํานาจในทางธุรการพระธรรมนูญศาลยุติธรรมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นั้น สรปุ ไดด้ งั น้ี (1) อํานาจในการแบ่งแผนกในศาล (2) อํานาจในการจดั ตงั้ ศาลชว่ั คราวหรอื ศาลเคลื่อนท่ี (3) อํานาจในการจดั ตงั้ และยกเลิกศาล (4) อํานาจในการกําหนดอัตรากําลังผู้พิพากษาประจําศาล อาํ นาจหนา้ ท่ีของประธานศาลฎีกา ประธานศาลฎีกาในฐานะประมุขของฝ่ายตุลาการ มีความสําคัญเท่าเทียมกับประธาน รัฐสภาและนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกาจะเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการโดยตําแหน่ง พระธรรมนูญศาลยุติธรรมกําหนดว่าให้ประธานศาลฎีกามีหน้าที่วางระเบียบราชการฝ่ายตุลาการ ของศาลท้งั หลาย เพอ่ื ใหก้ จิ การของศาลดาํ เนินไปโดยเรยี บรอ้ ยและเปน็ ระเบียบเดียวกนั ทงั้ นี้อนุมัติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานศาลฎีกามีอํานาจแนะนําหรือตักเตือนผู้พิพากษา ทัง้ หลายในการปฏบิ ัติตามระเบียบวิธีการต่างๆ ทตี่ งั้ ขึ้นโดยกฎหมายหรือโดยประการอื่นให้เป็นไป โดยถูกตอ้ ง 6. สถาบนั ทางการเมอื งตามแนวพุทธศาสตร์ สถาบันทางการเมืองตามแนวความคิดทางรัฐศาสตร์ หมายถึงสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการ ปกครองหรือการบริหารบ้านเมืองให้ดําเนินไปอย่างมีระเบียบตามกฎเกณฑ์ของสังคม โดยมีความ สงบสุขและความเจริญกา้ วหน้าของสังคมโดยรวมเปน็ จุดมุ่งหมายสูงสุด สถาบันทางการเมือง ที่จัดว่าเป็นหลักของการปกครอง มี 3 สถาบันด้วยกันคื้อ สถาบันนิติ บัญญัติ สถาบันบริหารและสถาบันตุลาการ สถาบันทั้ง 3 นี้ ทําหน้าที่ต่างกันแต่ก็ดุลและคานซงึ่ กัน และกัน ไมม่ ีสถาบนั ใดมอี ํานาจเด็ดขาดเหนือสถาบนั อนื่ สถาบัญนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา ซ่ึงมีอํานาจและหน้าท่ีตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ ขณะเดียวกันก็มีอํานาจควบคุมรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ให้ทําหน้าท่ีบริหารราชการแผ่นดินให้ เป็นไปตามตัวบทกฎหมายและนโยบายท่ีแถลงไว้ต่อรัฐสภา เพื่อประโยชน์สุขของมวลชนใน ประเทศ หากฝา่ ยบรหิ ารปฏิบัติหนา้ ที่ผิดพลาดบกพร่องหรือละเลยต่อหน้าที่รัฐสภากม็ ีอํานาจลงมติ ไม่ไวว้ างใจ อนั จะมีผลให้รัฐบาลต้องลาออก ในส่วนทเ่ี กยี่ วกับสถาบันตลุ าการนน้ั “ ฝา่ ยนิติบัญญัติ มีอํานาจควบคุมฝ่ายตุลาการในแง่ที่ว่า บรรดากฎหมายทั้งหลายท่ีศาลยุติธรรมใช้รวมตลอดถึงการ จัดองค์กรตุลาการน้ันลว้ นแตข่ น้ึ อยูก่ บั ฝ่ายนิติบัญญตั ทิ ัง้ สน้ิ (นายธานนิ ทร์ กรัยวิเชียร, 2520)

128 สถาบันบริหารได้แก่ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีหน้าท่ี บริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย และนโยบายท่ีแถลงไว้ต่อรัฐสภา ในแง่ท่ี สัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารทําหน้าที่ควบคุมให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายออกใช้บงั คบั แก่ประชาชนใหห้ มาะสมกับสภาพของบา้ นเมืองมีความเป็นธรรม และชอบด้วยเหตุผล หากฝ่ายนิติ บัญญัติละเลยต่อหน้าท่ีหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินไปในทางไม่กอ่ ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ บ้านเมือง ฝา่ ยบรหิ ารก็มีอํานาจประกาศยุบรัฐสภาเพ่ือให้มกี ารเลอื กต้งั ใหมไ่ ด้ สถาบันตุลาการ ได้แก่ ศาลยุติธรรม ซ่ึงมีหน้าท่ีพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามตัวบท กฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราขึ้นไว้ เป็นฝ่ายทําหน้าที่ผดุงไว้ซ่ึงความยุติธรรมในบ้านเมืองให้ ความยตุ ิธรรมแกค่ กู่ รณใี นคดีท่ีนาํ มาสูก่ ารพิจารณาของศาล ฝา่ ยบริหารและฝ่ายตุลาการตา่ งควบคุม ซ่ึงกันและกัน โดยฝ่ายบริหารเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดต้ังศาลยุติธรรม จัดหาบุคลากรให้ และช่วย ให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลยุติธรรมสามารถพิจารณาคดีให้สําเร็จไปโดยเร็ว “ส่วนศาลยุติธรรมก็มี อํานาจวินิจฉัยข้อพิพาทท่ีเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับเอกชนในคดีท่ีฝ่ายบริหารมีฐานะอย่าง เดียวกับเอกชน (นายธานนิ ทร์ กรยั วเิ ชยี ร, 2520) ในแนวพทุ ธศาสตร์นั้นพระพุทธศาสนาไม่ใช่การเมือง ฉะน้ันเรื่องหรือส่ิงตา่ งๆทป่ี รากฏใน ขอบเขตของพุทธศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องของการเมือง ถ้าพระพุทธศาสนาจะมีส่วนเก่ียวข้องกับ การเมอื งอยู่บา้ งกเ็ ฉพาะในแงท่ เี่ ปน็ สิ่งซงึ่ เกิดมขี น้ึ ในสงั คมของมนษุ ย์ และดํารงอยู่เป็นองคป์ ระกอบ ท่ีสําคัญอย่างหน่ึงของสังคมมนุษย์เท่าน้ัน การพิจารณาพระพุทธศาสนาในแนวของสถาบันทาง การเมืองตามหลักวิชารัฐศาสตร์ จึงทําได้ในขอบเขตจํากัด คือ พิจารณาเทียบเคียวกันได้เฉพาะ เกี่ยวกับวิธแี ละหลกั การบางอยา่ งเท่าน้นั 7. สถาบนั นิติบญั ญัตติ ามแนวพทุ ธศาสตร์ สถาบันนิติบัญญัติก็คือ รัฐสภา หน้าที่ของรัฐสภาอย่างหนึ่งก็คือ การตราพระราชบัญญัติ โดยวิธีประชุมกันพจิ ารณาร่างพระราชบัญญัติทส่ี มาชิกหรือรัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา ใช้ระบบเสียงส่วนใหญ่เป็นมติชี้ขาด การตราพระราชบัญญัติน้ีถ้าเปรียบเทียบกับวิธีการใน พระพุทธศาสนาก็เทียบได้กับการบัญญัติพระวินัย ซึ่งใช้เป็นหลักปฏิบัติของพระภิกษุ พระวินัยเป็น พุทธบัญญัติท้ังหมด การบัญญัติพระวินัยเป็นภาระหน้าท่ีของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะไม่ใช่เป็น ภารกิจของคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ คือ กลุ่มพระภิกษุ ที่ประชุมกันทํากิจต้ังแต่ 4 รูปขึ้นไปก็ดีพระภิกษุ แต่ละรูปก็ดีมีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตามพระวินัยซ่ึงเป็นพุทธบัญญัติ เพราะฉะนั้น สถาบันนิติบัญญัตื หรอื สถาบนั ท่ีมลี กั ษณะและหนา้ ท่ีอยา่ งสถาบันนิตบิ ัญญัตใิ นระบอบปกครองทางโลก จึงไมม่ อี ยใู่ น พระพุทธศาสนา

129 การตราพระราชบัญญัติหรือการออกกฎหมายของสถาบันนิติบัญญัติอาจกล่าวโดยสรุปได้ ว่ามี 2 ลกั ษณะคือ 1. การตราพระราชบัญญัติ เพ่ือป้องกันมิให้มีการกระทําความผิดซ้ําอีก ในกรณีน้ีการตรา พระราชบัญญัติมีข้ึนหลังจากการกระทําความผิดอันยังความเสียหายให้เกิดขึ้น แก่ผู้อื่นหรือแก่ สว่ นรวมเกิดขน้ึ แลว้ กล่าวส้นั ๆก็คือ การออกกฎหมายมีขึน้ หลงั จากเกิดเหตกุ ารณ์อันทาํ ให้เกดิ ความ เสียหายขน้ึ แลว้ 2. การตราพระราชบัญญัติเพื่อป้องกันล่วงหน้า ในกรณีน้ีเหตุการณ์ที่จะก่อให้เกิดความ เสยี หายยังไมเ่ กดิ ขึน้ แตค่ าดวา่ จะเกดิ มีขน้ึ ไดใ้ นอนาคต จึงออกกฎหมายป้องกนั ล่วงหน้าไว้กอ่ น การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้ามีลักษณะเดียว คือ ทรงบัญญัติหลังจากเหตุการณ์อัน ก่อให้เกิดความเสยี หายเกิดขึ้นแลว้ ไม่มีการบัญญัติล่วงหนา้ วิธีของพระพุทธเจ้าจึงเป็นวิธีที่ป้องกนั ข้อครหาอันอาจเกิดข้ึนภายหลังได้ว่า บัญญัติพระวินัยเข้มงวดจนเกินไป หรือโดยไม่คํานึงถึง ขอ้ เทจ็ จริง พระวินัยซึ่งเป็นหลักประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นส่วน สําคัญ 2 ส่วน คือ 1. พระพทุ ธบญั ญัตทิ พ่ี ระพุทธเจา้ ทรงกาํ หนดขึ้นเพ่ือปอ้ งกนั ความประพฤติเสยี หายของผู้ อุปสมบทเป็นภิกษุผู้ล่วงละเมิดโดยการปรับอาบัติหนักบ้างเบาบ้างตามควรแก่กรณี พระพุทธ บัญญัติประเภทนี้แบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ เป็นต้น ในแต่ละ หมวดแบ่งออกเป็นสิกขาบท มีจํานวนมากน้อยตามลักษณะของหมวดนนั้ ๆ 2. ขนบธรรมเนียมที่ทรงตั้งหรือกําหนดไว้เพื่อเป็นหลักแห่งความประพฤติอันดีงามของ ภิกษุผู้อยู่ในเพศบรรพชิต ซ่ึงดําเนินชีวิตแตกต่างจากฆราวาสท่ัวไป กล่าวอีกอย่างหน่ึงก็คือ หลัก ความประพฤติที่เป็นไปเพ่ือรักษาสมณสารูป (กิริยามรรยาทท่ีเหมาะสมแก่ความเป็นสมณะหรือ นักบวช) สว่ นน้ีรวมเรียกว่า อภิสมาจาร ทั้งพระพุทธบัญญัติที่เป็นสิกขาบท และอภิสมาจาร รวมเรียกว่า พระวินัย มีท้ังท่ีมาในพระ ปาฏิโมกข์และนอกพระปาฏิโมกข์ ที่นับว่าเป็นหลักสําคัญสําหรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่สิกขาบททม่ี าในพระปาฏิโมกข์ 227 สิกขาบท พระพทุ ธเจ้าทรงกาํ หนดใหส้ งฆป์ ระชุมกนั สวด ทบทวนทกุ กึง่ เดือนในวันขึ้นหรอื แรม 15 ค่ํา แล้วแต่จะเป็นเดือนเตม็ หรือเดอื นขาด ดังกล่าวแล้วว่า การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ก่อนล่วงหน้า “ เมื่อใดความเสียหายเกิดข้ึน เพราะภิกษุรูปใดรูปหน่ึง ทําอย่างใดอย่างหนึ่งลง เม่ือนั้นพระองค์จึง ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามความประพฤติเช่นนั้นเปน็ อย่างๆไป” (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ ยาวชิรญาณวโรรส, 2522) แมพ้ ระวินัยสว่ นท่เี ป็นอภสิ มาจารก็ทรงบัญญัติหลงั จากเกิดเหตุการณ์ขึ้น

130 แล้วเช่นกัน หากสิกขาบทที่ทรงบัญญัติห้ามการกระทําเฉพาะอย่างไว้แล้วยังไม่รัดกุม ยังมีช่องให้ การปฏิบัติหลบเลี่ยงในลักษณะอื่นเมื่อมีเหตุเสียหายในลักษณะเช่นนั้นเกิดข้ึนอีก ก็ทรงบัญญัติ เพ่ิมเติมห้ามการกระทําในลักษณะเช่นนั้นด้วย เช่นในปาราชิกสิกขาบทท่ีทรงห้ามภิกษุฆ่ามนุษย์ ตอ่ มาภายหลงั ได้ทรงบัญญัติเพิม่ เติมรวมไปถึงการใช้ให้คนอ่นื ฆ่า หรือแมก้ ารพรรณาคณุ ของความ ตายเพื่อให้คนอื่นฆ่าตัวตายก็เป็นความผิด ในบางกรณีสิกขาบทท่ีทรงบัญญัติไว้เดิมตึงเกินไป หรือ ครอบคลุมกว้างเกินไป เม่ือมีเหตุการณ์เกิดข้ึนก็ทรงเพ่ิมเติมข้อบัญญัติให้ผ่อนเพลาลงมา หรือมี ข้อยกเว้นเฉพาะกรณี เช่น ปาราชิกสิกขาบทท่ีห้ามไม่ให้ภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีจริงในตน (เชน่ อวดวา่ ตนได้บรรลุมรรค แต่ความเปน็ จรงิ ไม่ไดบ้ รรลุจริง) ขอ้ หา้ มตามสกิ ขาทน้ีเกินความรวม ไปถึงการกล่าวโดยสําคัญผิดว่าตนได้บรรลุมรรคผล แต่ความเป็นจริงไม่ได้บรรลุจริงๆ ในกรณีน้ี ทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า ถ้ากล่าวโดยความสําคัญผิดก็ไม่มีโทษตามสิกขาบทนี้ ข้อความท่ีทรงบัญญัติ เพิ่มเติมท้ังในกรณีที่ทําให้รัดกุมขึ้นและในกรณีท่ีผ่อนเพลาลงมาน้ีเรียกว่า อนุบัญญัติส่วนท่ีทรง บญั ญตั ไิ วเ้ ดิมเรยี กวา่ มูลบัญญัติ ข้อน่าสังเกตในการบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง คือ สิกขาบทท่ีทรง บัญญัติไว้แล้วน้ัน แม้ภายหลังจะเป็นการไม่สะดวกท่ีจะปฏิบัติตามก็ไม่ทรงยกเลิกเสียทีเดียว ทรง ดดั แปลงแกไ้ ขให้เหมาะสมกับกาลเทศะขนึ้ ดว้ ยอนบุ ัญญัติ ถ้าจะเปรียบเทียบพระวินัยอันเป็นพระพุทธบัญญัติท่ีมาในพระปาฏิโมกข์กั บกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ก็พอจะเปรียบเทียบกันได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญจัดเป็นกฎหมายหลักของการ ปกครองในทางโลก เช่นเดียวกับท่ีพระวินัยในพระปาฏิโมกข์เป็นหลักในการปกครองคณะสงฆ์ ของพระพุทธเจ้าในสมัยท่ียงั ทรงพระชนม์อยูแ่ ละเปน็ หลักของการบริหารคณะสงฆ์ในสมัยตอ่ ๆมา แต่ในระบอบการปกครองทางโลกนอกจากกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วยังมีกฎหมายอ่ืนๆอีกเป็น จํานวนมาก ท่ีออกตามความในกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือที่ตราขึ้นใช้โดยไม่ขัดกับกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ความคล้ายคลึงกันระหว่างพระวินัยกับกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงมีเฉพาะในแง่ที่ต่างก็ เป็นบทบัญญัติสูงสุด ท่ีใช้เป็นหลักในการปกครองตามลักษณะของตนเท่าน้ัน น่ันคือ พระวินัยเป็น บทบัญญัติสูงสุดในการปกครองหรือบริหารคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ส่วนกฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติสูงสุดในการปกครองหรือบริหารประเทศ ความแตกต่างที่สําคัญก็คือ พระวินัยแต่ละสิกขาบทมีบทบัญญัติระบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ด้วย ส่วนกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่มี บทบัญญัติระบุโทษควบคู่ไปด้วย แต่ไประบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ในกฎหมายท่ีออกตามความใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะฉะน้ัน พระวินัยอันเป็นพุทธบัญญัติจึงมีส่วนคล้ายประมวลกฎหมาย มากกว่า

131 ในระบอบการปกครองทางโลก การแบ่งประเภทของกฎหมายวิธีหนึ่ง ก็คือ แบ่งเป็น กฎหมายเอกชน และกฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชนไดแ้ ก่ กฎหมายแพ่งที่บัญญัติถงึ ความสมั พันธ์ ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับนิติบุคคล หรือระหว่างเอกชนกับเอกชน และได้กําหนดวิธีการ ต่างๆเพื่อให้เอกชนกับบุคคลสามารถรักษาและป้องกันสิทธิของตนมิให้ถูกละเมิดจากผู้อ่ืนได้ (โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, 2533) ส่วนกฎหมายมหาชนหมายถึง กฎหมายซ่ึงรัฐเป็นคู่กรณีด้วย เป็น กฎหมายท่ีบัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน (โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, 2533) ได้แก่ กฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมายปกครอง และกฎหมายอาญา พระวินัยอันเป็นพระพุทธบัญญัติของพระพุทธศาสนา ถ้าจะเปรียบกับกฎหมายทั้ง 2 ประเภทดงั กลา่ วนนั้ อาจกลา่ วได้วา่ พระวินยั มีทงั้ ลกั ษณะของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน รวมอยู่ด้วยกัน พระวินัยบางสิกขาบทเป็นเร่ืองเฉพาะตัวของภิกษุ แต่เป็นความประพฤติหรือการ กระทําท่ีไม่เหมาะสมแก่ภาวะของครองเพศเป็นภิกษุ พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติห้ามการกระทํา เช่นน้ันและทรงปรับอาบัติแก่ผู้ล่วงละเมิด เช่นสิกขาบทที่ 8 แห่งโภชนวรรคในปาจิตตีย์ซึ่งมีพระ พุทธบัญญตั ิว่า “อน่ึง ภิกษุใดเคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเค้ียวก็ดี ซ่ึงของฉันก็ดี ที่ทําการส่ังสมเป็นปาจิตตีย์” (วิ.มหา 2/51/37.)สิกขาบทนี้ถ้าจะจัดประเภทแบบกฎหมายในระบอบการปกครองทางโลก ก็ สงเคราะห์เข้าในประเภทกฎหมายเอกชนได้ บางสิกขาบทในพระวินัยบัญญัติอาจสงเคราะห์เข้าใน ประเภทกฎหมายมหาชนได้ เช่น สกิ ขาบทท่ี 2 ในทุตยิ ปาราชกิ กัณฑซ์ ่ึงมีพระพทุ ธบัญญัติว่า “อน่ึงภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย พระราชา ท้ังหลายจับโจรไดแ้ ล้วพงึ ประหารเสยี บ้าง จองจําไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ในเพราะเหตุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ปานใด ภิกษุนกี้ เ็ ป็นปาราชกิ หาสังวาสมิได้ (ว.ิ มหา 1/83/83.) ในปาราชิกสิกขาบทนี้ ลักษณะของพฤติกรรมจัดว่าเป็นความผิดทางอาญา ในกฎหมาย อาญาซ่ึงจัดเป็นกฎหมายมหาชนในระบอบการปกครองทางโลก ความผิดเช่นน้ีย่อมมีบทบัญญัติ ลงโทษตามควรแก่กรณี ในพระวินัยของพระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุกระทํา ทรงปรับ อาบัติปาราชิกแก่ผู้ละเมิด ผู้ต้องอาบัติปาราชิกก็คือ ขาดจากความเป็นภิกษุ ถ้าเทียบกับการลงโทษ ในระบอบการปกครองทางโลกก็เท่ากับตัดสินประหารชีวิต ซึ่งถือเป็นโทษหนักท่ีสุด ปาราชิก สิกขาบทน้ีมลี ักษณะทอ่ี ย่ใู นประเภทเดียวกบั กฎหมายอาญา ซ่ึงเป็นกฎหมายมหาชน (1) เจตนารมณ์ในการบญั ญัติกฎหมายและพระวินัย สังคมของมนุษย์ที่เจริญแล้ว ย่อมประกอบด้วยหมู่ชนท่ีอยู่รวมกันเป็นจํานวนมาก ในหมู่ ชนจํานวนมากนนั้ ย่อมมีคนทม่ี ีพนื้ อธั ยาศยั และจิตใจแตกตา่ งกนั รวมกนั อยู่ในสงั คม ซงึ่ ยอ่ มจะมที ้ัง

132 เป็นบุคคลประเภทดีมากชั่วน้อยดีช่ัวพอๆกัน ลงไปจนถึงประเภทดีน้อยชั่วมาก และธรรมดาของ มนุษย์โดยท่ัวไปย่อมมีความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ประโยชน์ของตัวมากกว่าท่ีจะเห็นแก่ประโยชน์ ของผู้อื่น หรือประโยชน์ของส่วนรวม ความประพฤติหรือการกระทําของมนุษย์จึงย่อมมีแนวโน้ม ไปในลักษณะเช่นน้ี หากไม่มีกฎระเบียบใด ๆใช้เป็นหลักในการปกครองหรือควบคุมความ ประพฤติของบุคคลในสังคมเลย สังคมโดยส่วนรวมคือ รัฐหรือประเทศชาติก็ย่อมไม่อาจต้ังอยู่ใน ความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าไปได้ ด้วยเหตุน้ีรัฐหรือประเทศซ่ึงเป็นสังคมใหญ่จึงจําเป็นต้องมี กฎหรือระเบียบสําหรับใช้เป็นหลักในการปกครอง กฎหรือระเบียบดังกล่าวน้ีก็คือ กฎหมาย ประเภทต่างๆ เจตนารมณ์ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นในสังคมใหญ่คือ ประเทศ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เพ่ือเป็นหลักในการปกครองหรือบริหารสังคมให้ดําเนินไปอย่างมีระเบียบและมีความสงบสุข ตลอดจนเพื่อให้สังคมเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าไปอย่างไม่ติดขัด อันจะอํานวยให้ปัจเจกบุคคล สามารถดํารงและดาํ เนนิ ชีวติ ไปไดต้ ามปกติ และอย่างมคี วามสงบสขุ ตามสมควรแก่อตั ภาพ ประโยชน์ท่ีจะพึงบังเกิดข้ึนจากการมีกฎหมายเป็นหลักในการปกครองประเทศนั้น อาจ แจกแจงให้เห็นรายละเอียดได้มากมาย โดยสรุปประโยชน์ท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นย่อมสอดคล้องกับ เจตนารมณข์ องการบญั ญัติกฎหมายดังกล่าวนัน้ เจตนารมณ์ในการบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้าก็คล้ายกับเจตนารมณ์ของการตรา พระราชบัญญตั ิหรือกฎหมายขนึ้ ใช้เป็นหลกั ในการปกครองประเทศของฝา่ ยอาณาจักร แต่เนอื่ งจาก สังคมทางโลกับสังคมของภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีวิธีการและจุดมุ่งหมายสุดท้ายของการ ดาํ เนนิ ชีวิตท่ีตา่ งกัน การบัญญตั ิพระวินัยของพระพทุ ธเจา้ จึงมีหลายอย่างท่มี ีลกั ษณะแตกตา่ งกันไป จากเจตนารมณ์ของการออกกฎหมายของระบอบการปกครองทางโลก จะเห็นไดจ้ ากพระพทุ ธดาํ รัส ท่ีทรงรับส่ังแกพ่ ระภิกษอุ ันเน่อื งดว้ ยการบัญญัตปิ ฐมปาราชิกสิกขาบท ดังนี้ “ดกู รภิกษทุ ั้งหลาย เพราะเหตุน้นั แล เราจกั บญั ญัติสกิ ขาบทแก่ภิกษทุ ้งั หลาย อาศัยอํานาจประโยชน์ 10 ประการ คือ เพื่อความดีแห่งสงฆ์ 1 เพื่อความสําราญแห่ง สงฆ์ 1 เพอ่ื ขม่ ผู้เก้อยาก 1 เพอื่ ยู่สาํ ราญแห่งภกิ ษุผมู้ ีศลี เป็นที่รกั 1 เพอื่ ป้องกันอาสวะ อันจะบังเกิดในปัจจุบัน 1 เพ่ือกําจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต 1 เพ่ือความ เลื่อมใสของชมุชนทีย่ ังไม่เลื่อมใส 1 เพอื่ ความเล่อื มใสยง่ิ ของชุมชนท่เี ล่ือมใสแลว้ 1 เพอื่ ความต้ังม่ันแห่งพระสัทธรรม 1 เพอื่ ถือตามพระวนิ ยั 1” (ว.ิ มหา 1/20/37.) จากพระพุทธดํารัสนี้จะเห็นได้ว่า มีจุดมุ่งหมายหลายอย่างท่ีมีลักษณะเฉพาะสําหรับสังคม ของภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นสังคมบรรพชิตหรือนักบวช แต่มีจุดมุ่งหมายประการหน่ึงที่มีลักษณะอย่าง

133 เดียวกับจุดมุ่งหมายของการออกกฎหมายในฝ่ายอาณาจักร นั่นคือ จุดมุ่งหมายของการบัญญัติพระ วินัยท่ีต้องการให้สงฆ์อันได้แก่พระภิกษุท่ีอยู่ในสังคมบรรพชิตของพระพุทธศาสนาทั้งหมด สามารถดํารงและดําเนินชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข เพราะพระวินัยท่ีพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ จะ เป็นเคร่ืองปิดกั้นช่องทางท่ีคนช่ัวหรือสมาชิกท่ีไม่ดีของสังคมบรรพชิตจะได้โอกาสส ร้างความ เดือดร้อนแกสมาชิกท่ีดีหรือภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก (คือ มีศีลบริสุทธิ์หรือมีศีลาจารวัตรน่าเล่ือมใส) จุดมุ่งหมายของการบัญญัติพระวินัย นอกจากมีสาระสําคัญตามพระพุทธดํารัสที่ได้ยกมากล่าวไว้ แล้ว ในลักษณะอย่างอื่นอาจเห็นได้ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรส ทรง สรุปไว้วา่ “พระพุทธบัญญัติบางข้อและอภิสมาจารบางหมวด พระศาสดาทรงต้ังไว้เพือ่ ป้องกันไม่ให้ เป็นคนเห้ียมโหดจนถึงต้องโทษเป็นอาญาแผ่นดินอย่างอุกฏษฎ์ก็มี เช่น ห้ามทําโจรกรรมและฆ่า มนุษย์เพ่ือป้องกันความลวงโลกเลี้ยงชีพก็มี เช่นห้ามไม่ให้อวดอุตริมนุสธรรม เพ่ือป้องกันความดุ ร้ายก็มี เช่น ห้ามไม่ให้ด่ากันตีกัน เป็นต้น เพ่ือป้องกันความประพฤติเลวทรามก็มี เช่น ห้ามพูดปด หา้ มพดู ส่อเสียด ห้ามเสพสรุ า เปน็ ตน้ เพ่ือป้องกนั ความประพฤติเสยี หายก็มี เช่น หา้ มแอบฟงั ความ ของเขา เพือ่ ป้องกันความเล่นซกุ ซนก็มี เช่น หา้ มไมใ่ หเ้ ล่นจกี้ นั ไมใ่ ห้เล่นนํา้ ไมใ่ ห้ซอ่ นบริขารของ กัน ทรงบัญญัติตามความนิยมของคนในครั้งน้ันก็มี เช่น ห้ามไม่ให้ขุดดิน ไม่ให้ฟันต้นไม้ท่ีเขาถือ ว่ามีชีวิต ทรงบัญญัติโดยเป็นธรรมเนียมของภิกษุตามความสะดวกบ้าง ตามนิยมของบรรพชิตบ้าง เช่น หา้ มไมใ่ ห้ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล จะฉนั ของอ่นื นอกจากน้าํ ต้องรบั ประเคนก่อน นเ้ี ปน็ ตวั อย่าง แห่งผลท่มี ุง่ หมายของสิกขาบทน้นั ๆ (2) การรักษากฎหมายกบั การรักษาพระวนิ ัย กฎหมายเป็นส่ิงจําเป็นต่อความเป็นระเบียบและความสงบสุขของการปกครองทางฝ่าย อาณาจักรอย่างไร พระวินัยก็เป็นสิ่งจําเป็นต่อความเป็นระเบียบและความสงบสุขของสังคม บรรพชิตของพระพุทธศาสนาอย่างน้ัน ในระบอบการปกครองทางโลกเม่ือมีกฎหมายขึ้นแล้วก็ จําเป็นต้องมีบุคคลผู้ทําหน้าที่เป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อทําหน้าท่ีดูแลให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้โดยไม่มีการละเมิด หากมีการล่วงละเมิดผู้รักษากฎหมายก็มีอํานาจ ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ ดําเนินการจับกุมผู้ล่วงละเมิดมาลงโทษตามควรแก่กรณี เพราะฉะน้ัน นอกจากมกี ฎหมายที่บงั คบั ใช้แก่บุคคลทั่วไปแล้วยงั มีกฎหมายบางเร่อื งหรือบางมาตราทก่ี ําหนดให้ บุคคลบางประเภททําหน้าท่ีเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่ผู้รักษากฎหมายนี้ก็ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เช่นเดียวกับบุคคลท่ัวไป หากผู้ทําหน้าท่ีรักษากฎหมายกระทําความผิดเสียเองกจ็ ะถูกจับกุมและถูก ลงโทษเช่นเดยี วกบั บุคคลท่ัวไป

134 การละเมิดกฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ละเมิดเพราะไม่รู้ การละเมิดกฎหมายในลักษณะผู้ละเมิดไม่รู้ว่าการกระทําน้ันๆ เป็น ความผิด เพราะมีกฎหมายห้ามการกระทําเช่นนั้นไว้ ในกรณีแม้ผู้ละเมิดจะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นการผดิ กฎหมาย กฎหมายก็ไม่มขี ้อยกเว้นให้ ถึงแม้จะไม่รู้แต่เมอ่ื ไดก้ ระทําการละเมิดแลว้ ก็ต้องได้รับโทษ ตามทก่ี ฎหมายได้บญั ญตั ไิ ว้ 2. ละเมิดท้ัง ๆ ท่ีรู้ ลักษณะนี้อาจเรียกได้อีกอยา่ งหนึ่งว่า ละเมิดเพื่อผลประโยชน์ ในกรณี น้ีผู้ละเมิดรู้อยู่เป็นอย่างดีว่าการกระทํานั้นๆเป็นการผิดกฎหมาย แต่ก็ยังกระทําการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะความเหน็ แกต่ ัวหรอื เพราะเห็นแก่ประโยชนส์ ่วนตัว สําหรับพระวินัยซึ่งเป็นพุทธบัญญัตินั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้ึนบังคับใช้กับพระภิกษุ ทกุ รูปเสมอหน้ากนั ท่นี บั วา่ แตกต่างจากกฎหมายบ้านเมืองก็คือ ไมม่ พี ระพุทธบญั ญัติใหบ้ ุคคลกลุ่ม ใดกลุม่ หน่งึ หรอื พระภิกษกุ ลุม่ ใดกลุ่มหนงึ่ เป็นผทู้ ําหน้าที่รกั ษาพระวินยั โดยเปน็ ผู้คอยดูแลให้ภิกษุ ท่วั ไปปฏบิ ัตติ ามพระวินยั แม้ในบางกรณีจะทรงบัญญัติใหส้ งฆ์ทาํ หน้าท่ีเกี่ยวกบั วินยั เชน่ การออก จากอาบัติสังฆาทิเสสของภิกษุผู้ต้องอาบัติชนิดน้ี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทรงบัญญัติให้สงฆ์เป็น ผู้รกั ษาพระวินยั อย่างกรณขี องเจ้าหน้าท่ีผ้รู กั ษากฎหมายในระบอบการปกครองของฝ่ายอาณาจกั ร การลว่ งละเมิดพระวินยั แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คล้ายกับการละเมิดกฎหมายบา้ นเมือง 1. การล่วงละเมิดโดยเจตนา เรียกว่า สจิตตกะ ลักษณะได้แก่การล่วงละเมิดพระวินัยด้วย ความจงใจหรอื ลว่ งละเมดิ ทั้งๆทร่ี ู้ 2. การลว่ งละเมิดโดยไม่เจตนา เรียกว่า อจติ ตกะ ลักษณะน้ีเป็นได้ท้ังกรณีท่ีไม่รู้วา่ ผิดและ กรณที ีร่ ู้วา่ ผิด แตก่ ารละเมิดเกิดขน้ึ โดยไมไ่ ดต้ ้ังใจหรือไมไ่ ด้จงใจ ข้อแตกต่างท่ีน่าสังเกตประการหน่ึงระหว่างกฎหมายบ้านเมืองกับพระวินัยอันเป็นพระ พุทธบัญญัติสําหรับพระภิกษุก็คือ ในกฎหมายบ้านเมืองแม้จะมีบทบัญญัติระบุโทษผู้ละเมิด กฎหมายไว้ แตต่ ราบใดที่ยังไม่มีเจา้ หน้าท่ผี ู้รกั ษากฎหมายทาํ การจับกุมนาํ ไปฟ้องรอ้ งต่อศาลเพื่อให้ ตัดสินลงโทษ ผู้ละเมิดหรือกระทําผิดกฎหมายก็ยังไม่ได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่ใน กรณีของพระภิกษุประพฤติผิดพระวินัยการต้องโทษจะเป็นไปโดยอัตโนมัติคือ โทษจะมีติดตัวข้ึน ในทันทีท่ีการประพฤติผิดพระวินัยน้ันเสร็จสิ้นลง โทษเช่นน้ีพระวินัยเรียกว่า การต้องอาบัติ อาบัติ นั้นจะติดอยู่ตลอดไปตราบเท่าท่ียังไม่ได้ปฏิบัติตนให้พ้นจากอาบัติตามวิธีท่ีพระพุทธเจ้าทรง บัญญัติไว้ อาบตั ิที่มีวธิ ีทาํ คืนให้พน้ ได้เรียกวา่ สเตกจิ ฉา แต่ถา้ เปน็ อาบัตทิ ีจ่ ัดเป็นโทษขน้ึ อกุ ฤษฎ์ซึ่ง ทําให้ขาดจากภาวะของภิกษุก็ไม่มีทางจะแก้ไขได้ อาบัติประเภทนี้เรียกว่า อเตกิจฉา ได้แก่ อาบัติ ปาราชิก โทษประเภทน้ีจะติดตัวอยู่ไปตลอดไปจนตลอดชีวิต ผู้ต้องโทษชนิดน้ีจะไม่มีโอกาส อปุ สมบทเป็นพระภกิ ษไุ ดอ้ กี ตลอดไป เมอ่ื ปฏบิ ัติผิดวินยั และต้องอาบัติแลว้ เปน็ หน้าทีข่ องภิกษุนั้น

135 ท่ีจะหาทางออกจากอาบัติตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ โดยวิธีเช่นน้ีจัดว่า พระพุทธเจ้าทรง ให้ภิกษุเป็นโจทย์และจําเลยโดยตนเอง หากภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้วก็ยังเพิกเฉยอยู่ต่อไป ก็เป็นหน้าที่ ของสงฆ์ที่จะใช้อาํ นาจสงฆ์บงั คบั ให้เปน็ ไปตามควรแก่พระธรรมวินยั การลงโทษผู้ล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมืองมีโทษลดหล่ันลงมาตามลักษณะของความผิดมี โทษตั้งแต่โทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชวี ิต จําคุกมีกําหนดเวลา โทษทั้งจําทั้งปรับ โทษปรับเพยี ง อย่างเดยี ว จนถงึ โทษแคภ่ าคทัณฑ์หรือการรอ ลงอาญา ในพระวินัยพทุ ธบัญญัตกิ ม็ ีการปรับโทษใน ลักษณะคล้ายกัน โทษหนัก คือ ให้ขาดจากความเป็นภิกษุเม่ือต้องอาบัติปาราชิกเทียบได้กับโทษ ประหารชีวิต โทษอย่างกลาง เช่นต้องอยู่กรรมหรืออยู่ปริวาสและประพฤติมานัต (สมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2522) เม่ือต้องการอาบัติสังฆาทิเสสเทียบได้กับโทษจําคุก การต้องอาบัติอย่างอื่นนอกจากนี้จัดเป็นโทษสถานเบาเทียบได้กับโทษปรับตามกฎหมายบ้านเมือง ในระบอบการปกครองของฝา่ ยอาณาจักร อาการทตี่ ้องโทษหรือต้องอาบัติตามพระวนิ ัยพุทธบัญญัตนิ ัน้ มีอยู่ 6 อย่าง คอื 1. ต้องด้วยไม่ละอาย ข้อน้ีหมายความว่า ไม่มีความละอายใจในการฝ่าฝืนหรือละเมิดพระ วินยั คอื ท้งั ๆ ท่ีรอู้ ยูว่ า่ การกระทําเช่นนน้ั ผดิ กย็ ังขืนทาํ 2. ต้องด้วยไมร่ ู้ ข้อนหี้ มายความว่า ทําผิดโดยไม่รวู้ า่ การกระทําอยา่ งนน้ั มพี ระพุทธบัญญัติ หา้ มไว้ พระวินัยไม่มขี ้อยกเวน้ สําหรับผไู้ ม่รูห้ รืออา้ งว่าไม่รู้ 3. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทํา ข้อน้ีหมายความว่า มีความสงสัยไม่แน่ใจว่าการทําอย่างนน้ั ๆ ผิดพระวินัยหรือไม่ แล้วขืนทําลงไป ถ้าการกระทํานั้นมีพระพุทธบัญญัติห้ามไว้ ก็มีความผิดตาม ลกั ษณะนัน้ ๆ แมแ้ ตก่ ารกระทาํ นั้นไมผ่ ิดพระวินัย ผ้กู ระทาํ กย็ ังต้องอาบัติทกุ กฏ เพราะสงสยั แล้วยัง ขืนทําลงไป 4. ต้องด้วยสําคัญว่าควรในของที่ไม่ควร กรณีน้ี เช่นเนื้อสัตว์บางชนิดพระพุทธเจ้าทรง ห้ามไม่ให้ภิกษุฉัน ภิกษุไม่ทราบว่าทรงห้ามไว้คิดว่าฉันได้จึงฉัน อย่างน้ีเรียกว่า ต้องอาบัติด้วย สําคัญวา่ ควรในของทไ่ี มค่ วร 5. ต้องด้วยว่าสําคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ข้อน้ีหมายความว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรง อนุญาตให้ภิกษุทําได้ไม่ผิดพระวินัย แต่ภิกษุเข้าใจผิดว่าทําไม่ได้ แล้วขืนทําลงไปท้ังๆที่การทําน้นั ไมผ่ ดิ พระวินยั กต็ อ้ งอาบตั ิ (ทกุ กฏ) เพราะคิดว่าทําไมไ่ ดแ้ ลว้ ยังขนื ทํา 6. ต้องด้วยลืมสติ ข้อน้ีหมายถึงภิกษุต้องอาบัติเพราะหลงลืม เช่น นํ้าผ้ึงพระพุทธเจ้าทรง อนุญาตให้ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้เพียง 7 วัน เม่ือครบ 7 วันแล้ว ถ้ายังฉันไม่หมดก็ต้อง สละให้ผู้อื่นไป ถ้าเกิน 7 วันแล้วยังนํามาฉันอีกก็เป็นอาบัติ แต่ท้ังๆท่ีเก็บไว้เกิน 7 วัน แล้ว แต่ภิกษุ ผู้รบั ประเคนไวจ้ าํ ไม่ได้ คิดว่ายังไมค่ รบ 7 วันจงึ นํามาฉนั อยา่ งนี้เรยี กวา่ ตอ้ งอาบตั ิด้วยลืมสติ

136 จากอาการของการต้องโทษหรือต้องอาบัติตามพระวินัยดังกล่าวน้ี จะเห็นไดว้ า่ การบัญญัติ พระวินัยของพระพุทธเจ้ามีความรอบคอบและละเอียดอ่อนอย่างย่ิง ซึ่งหลายอย่างไม่มีอยู่ใน ลกั ษณะของกฎหมายในระบอบการปกครองทางโลก สรปุ ในการปกครองของฝ่ายอาณาจกั ร พระราชบัญญัตหิ รือกฎหมายในลกั ษณะต่างๆ เป็น องค์ประกอบสําคัญท่ีใช้เป็นหลักในการบริหารสังคมใหญ่ คือ ประเทศชาติให้ดําเนินไปอย่างมี ระเบียบมีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี ในฝ่ายพุทธจักรหรือพระพุทธศาสนา พระวินัย อันเป็นพระพุทธบัญญัติก็เป็นหลักท่ีก่อให้เกิดความเป็นระเบียบ และความสงบสุขในสังฆมณฑล ในทํานองเดยี วกัน แมโ้ ดยท่ัวไปจะมสี ว่ นหรอื ลกั ษณะทคี่ ล้ายกันระหว่างกฎหมายบ้านเมืองกับพระ วินัยพุทธบัญญัติ แต่องค์กรที่เรียกว่าสถาบนั นิติบัญญัติในระบอบการปกครองทางโลกก็ไม่มีอยู่ใน พระพุทธศาสนา เพราะการบัญญัติพระวินัยอันเป็นหลักแห่งความเป็นระเบียบและความสงบสุข ในสังฆมณฑลเป็นภาระหน้าที่ของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ 8. สถาบนั บรหิ ารตามแนวพุทธศาสตร์ ในระบอบการปกครองทางโลก สถาบันบริหารได้แก่ รัฐบาล ซ่ึงก็คือ คณะรัฐมนตรีท่ีมี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ จํานวนรัฐมนตรีจะมีมากน้อยแค่ไหนย่อมเป็นไปตามที่กําหนดไว้ ในรัฐธรรมนูญ ซ่ึงเป็นกฎหมายสูงสุดตามกฎเกณฑ์ในระบอบประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีก็ดี รฐั มนตรกี ็ดีต้องเปน็ สมาชกิ รฐั สภาที่ได้เลือกตั้งจากราษฎรโดยตรง แตร่ ัฐธรรมนูญของบางประเทศ ได้จํากัดไว้ตายตัวว่า นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกรัฐสภาเสมอไป อย่างไรก็ ตาม ผู้ท่ีจะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล จะต้องได้รับความยินยอมเห็นชอบจาก รัฐสภากอ่ น สว่ นรัฐมนตรที ่ีจะมาร่วมเป็นคณะรัฐบาลน้ัน นายกรัฐมนตรีซ่ึงเป็นผู้รบั ผิดชอบในการ บริหารราชการแผน่ ดนิ ต่อรัฐสภาจะเปน็ ผู้เลอื กตามที่พิจารณาเห็นเหมาะสม ในการบริหารราชการแผ่นดินท่ีได้รับมอบหมายจากรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมีภาระหน้าที่ที่ จะตอ้ งปฏิบัติ 2 ประการ คอื 1. กําหนดนโยบาย หรือการวางหลักเกณฑ์อันเป็นแนวทางในการบริหารประเทศและ วินิจฉัยปัญหาสําคญั ตา่ งๆท่ีเกยี่ วกบั การบริหารราชการแผ่นดนิ 2. การนําเอานโยบายน้ันไปปฏิบัติในรายละเอียด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายนั้น รวมทั้งการปฏิบัติงานซ่ึงต้องกระทําเป็นประจํากันอันเป็นปกติธุระ หรือเป็นการปฏิบัติ ตาม ระเบียบแบบแผน (โกวทิ วงศส์ ุรวัฒน์, 2533)

137 ในพระพุทธศาสนา สถาบนั บริหารทีม่ รี ูปแบบและวิธีการเหมือนกันกับสถาบันบริหารของ ระบอบการปกครองทางโลกไม่มี ในสมัยท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ในระยะแรกๆท่ีพระ สาวกยังมีจํานวนไม่มากนัก พระองค์ได้ทรงบริหารพระศาสนาด้วยพระองค์เอง โดยมีพระสาวกท่ี สําคัญ เช่น พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา และพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้อง ซ้าย คอยช่วยแบ่งเยาภาระบ้างตามความจําเป็น บรรดาพระสาวกท่ีมีอยู่ท้ังหมด ล้วนแต่ได้รับ อุปสมบทจากพระองค์โดยตรง การอุปสมบทที่พระองค์ประทาน เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ การอุปสมบทที่สําเร็จด้วยการประทานอนุญาตให้เป็นภิกษุ พระสาวกส่วนมากเป็นพระอริยบุคคล ปัญหาในการปกครองจึงมีไม่มาก ต่อมาเม่ือมีพระสาวกเพิ่มมากข้ึน และมีผู้ขอเข้าอุปสมบทใน พระพุทธศาสนามากข้ึน พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสาวกให้อุปสมบทแก่ผู้เข้ามาบวชเองได้ โดยให้ผู้ขอบวชเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ การอุปสมบทแบบน้ีเรียกว่า ติสฺรณคมนูป สัมปทา ในระยะน้ี แม้พระพุทธองค์จะยังทรงเป็นผู้บริหารคณะสงฆ์โดยส่วนรวมอยู่ก็จริง แต่ใน ระดับตํ่าลงมาภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ย่อมมีหน้าที่ในการปกครองดูแลผู้เป็นสัทธิวิหาริ ก หรอื อนั เตวาสิก (ศิษย์) ของตนอีกชัน้ หนงึ่ ครัน้ ตอ่ มาภายหลังเมื่อพระภกิ ษใุ นพระพุทธศาสนาเพมิ่ ข้ึน พระพทุ ธองค์จึงทรงมอบความ เป็นใหญ่แก่สงฆ์ในการทํากิจกรรมท่ีสําคัญท้ังปวงของพุทธศาสนา เช่น การให้บรรพชาอุปสมบท การกรานกฐิน การกําหนดเขตสีมาการสมมติหรือแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทําการสงฆ์เป็นต้น การให้ อุปสมบทแก่ผู้มีศรทั ธาขอเขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนา ซึง่ เปน็ กิจกรรมท่สี ําคัญอย่างหนึง่ นัน้ ทรง ยกเลิกวิธีสรณคมนูปสัมปทา ท่ีใช้อยู่เดิมแล้วทางอนุญาตให้ใช้วิธีใหม่ที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกัมม อุปสัมปทาแทน ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาแปลว่า อุปสมบทท่ีกระทาํ โดยมีการกล่าววาจาประกาศ (ญัตติ) เป็นที่ส่ี การอุปสมบทแบบนี้มีวิธีการคือ ถ้าเป็นมัธยมชนบท ซึ่งหาภิกษุเข้าร่วมประชุมได้ ง่าย ต้องประชุมสงฆ์โดยมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 10 รูป เข้าร่วมประชุม ถ้าเป็นในปัจจันต ชนบทหรือชนบทบ้านนอกที่หาภิกษุได้ยากต้องประชุมสงฆ์โดยมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 5 รูป ในการอุปสมบทต้องมภี กิ ษรุ ปู หนึง่ สวดประกาศคือ แจ้งให้ สงฆ์ทราบ 1 ครงั้ (ญัตติ) และสวด ขออนุมัติสงฆ์ 3 ครั้ง (อนุสาวนา) เมื่อไม่มีภิกษุเข้าร่วมประชุมองค์ใดทักท้วง การอุปสมบทก็เป็น อันเสร็จส้ินโดยชอบด้วยพระวินัย ภิกษุผู้รับรองและเสนอแนะต่อสงฆ์ให้กุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ อุปสมบทเรยี กว่า อุปัชฌาย์ การที่พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์ในกิจกรรมท้ังหลายของศาสนาก็เท่ากบั ทรงมอบให้สงฆ์เป็นผู้บริหารศาสนานั่นเอง คําว่า สงฆ์ ในท่ีน้ีก็คือ ท่ีประชุมของพระภิกษุซึ่งเข้า ประชุมกันมีจํานวนครบองค์ตามที่กําหนดไว้ในพระวินัย กิจกรรมของพระศาสนาที่สําคัญ บางอย่าง สงฆ์จะต้องประชุมกันดําเนินการ เช่น การให้อุปสมบทภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจะดําเนินการ

138 ตามลําพังโดยพลการมิได้ กิจกรรมหลายอย่างจะต้องประชุมกันทําในเขตท่ีกําหนดไว้แน่นอน ซ่ึง เรียกว่า สีมา กิจกรรมบางอย่างเพียงประชุมสงฆ์ครบองค์ประชุมตามทพ่ี ระวนิ ัยกําหนดโดยไม่ต้อง ให้ภิกษุที่อยู่ในอาวาสเดียวกันเข้าร่วมประชุมด้วยท้ังหมดก็ใช้ได้ แต่กิจกรรมบางอย่างต้องให้ภิกษุ ทุกรูปที่อยู่ในอาวาสหรือเขตสีมาเดียวกันเข้าร่วมประชุมด้วยจึงจะใช้ได้ หากภิกษุรูปใดไม่สามารถ เข้าร่วมประชุมได้เพราะอาพาธ จะต้องมอบฉันทะ คือ ความยินยอมของตนให้ภิกษุรูปหน่ึงนําไป แจง้ แก่สงฆย์ อมให้สงฆ์กระทํากรรมโดยตนไม่ได้อยู่ร่วมในท่ีประชุมได้ และผ้ทู ม่ี อบฉันทานมุ ัติแก่ สงฆ์แลว้ จะต้องยอมรับมติของสงฆ์ทกุ ประการ หากไม่เปน็ ท่พี อใจจะกล่าววิพากษ์ วจิ ารต์ เิ ตียนใน ภายหลังไมไ่ ด้ หากขืนทําก็เปน็ ความผดิ และตอ้ งอาบตั ติ าม่ีระบุไว้ในพระวนิ ยั การประชุมกันของสงฆ์เพื่อทํากิจกรรมที่สําคัญตามท่ีระบุไว้ในพระวินัย อาจเทียบได้กับ การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปัญหาบ้านเมือง แต่ก็เทียบได้เฉพาะในบางแง่เท่าน้ัน คือใน แง่ท่ีถ้าเป็นกิจกรรมที่สําคัญของส่วนรวม จะต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติของท่ี ประชุม แต่ในแง่น้ีก็ยังมีข้อแตกต่าง คือ มติของที่ประชุมสงฆ์เกือบทุกกรณีต้องเป็นมติเอกฉันท์ หากยังมีเสียงคัดค้านแม้เพียงเสียงเดียว ก็จะต้องทบทวนพิจารณากันใหม่ส่วนการประชุม คณะรัฐมนตรีในระบอบบริหารของฝ่ายอาณาจักรนั้น ส่วนมากจะถือเสียงข้างมากของผู้เข้าร่วม ประชมุ เป็นมตชิ ีข้ าด ข้อแตกต่างที่นับว่าสําคัญก็คือ ในระบอบบริหารในทางโลกคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นคณะ ผู้บรหิ ารสงู สุดมีคณะเดียว สว่ ยฝา่ ยพทุ ธจกั รไม่มีคณะบริหารท่มี ีลักษณะแน่นอนท้ังจาํ นวน และตัว บุคคลรวมเป็นคณะเดียวกันทําหน้าท่ีเป็นวาระเช่นนั้น ในเมืองไทยปัจจุบันท่ีมีมหาเถรสมาคมเป็น องค์กรบริหารสูงสุดของฝ่ายพุทธจักรก็เป็นการอนุโลมตามระบอบการปกครองทางโลก องค์กร บริการเช่นนี้จะไม่ขัดต่อพระวินัยก็ไม่ได้มีบัญญัติไว้ในพระวินัยเป็นเรื่องเฉพาะของประเทศไทย การบริหารพระพุทธศาสนาของประเทศอ่ืน อาจเป็นอย่างอื่น ข้ึนอยู่กับความเห็นชอบร่วมกันของ พุทธศาสนกิ ในประเทศนัน้ ๆ คําว่า “สงฆ์” แปลตามตัวว่า “หมู่” ในความหมายท่ีกว้างอาจแปลงว่า “ส่วนรวม” ได้ตาม พระวินัย คําว่า สงฆ์ใช้หมายถึงหมู่หรือกลุ่มพระภิกษุที่ประชุมกันทํากิจกรรมตามพระวินัย มี 4 ประเภท คือ สงฆ์ที่มีจํานวนภกิ ษเุ ขา้ รว่ มประชมุ 4 รูป เรียกว่า จตุรวรรค 5 รปู เรียกว่า ปญั จวรรค 10 รูปเรียกว่า ทสวรรค 20 รูปเรียกว่า วีสติมรรค สงฆ์ประเภทไหนทําวินัยกรรมอย่างไหนได้ย่อม เป็นไปตามพระวินัยพุทธบัญญัติ ส่วนที่แปลว่า “ส่วนรวม” นั้น เช่นในคําว่า ทรัพย์สินของสงฆ์ หมายความว่าเป็นทรัพย์สินส่วนรวมทภ่ี ิกษุผู้อยู่ในอาวาสเดียวกันเป็นเจ้าของร่วมกนั ภิกษรุ ูปใดรูป หน่งึ จะถือเอาทรัพยส์ ินเช่นนัน้ เปน็ ของสว่ นตัวไมไ่ ด้ เวน้ แต่จะไดร้ บั อนมุ ตั ิจากสงฆ์

139 เม่ือคําว่า สงฆ์ มีความหมายดังกล่าวมาแลว้ จึงไม่มีการจํากัดว่า ภิกษุกลุ่มน้ีเท่านั้นเรียกวา่ สงฆ์ ส่วนกลุ่มอื่นไม่ใช่ ฉะน้ัน สงฆ์ตามความหมายของพระพุทธศาสนาจึงไม่มีลักษณะที่ตายตัว ภิกษุในพระพุทธศาสนามีท่ีอยู่รวมกันเรียกว่า อาวาส หรืออาราม เม่ือภิกษุท่ีอยู่ในอาวาสเดียวกัน ประชุมพร้อมกันทํากิจกรรมตามพระวินัย ก็ได้ชื่อว่าเป็นการประชุมกันของสงฆ์ โดยนัยนี้ถ้ามี อาวาสอยู่สิบแห่ง ก็อาจมีสงฆ์ได้ 10 กลุ่มหรือคณะสงฆ์ท่ีเป็นผู้บริหารพระศาสนาท่ีมีลักษณะเป็น คณะท่ีแน่นอนและมีจํานวนตัวบุคคลท่ีแน่นอน อย่างคณะรัฐมนตรีซ่ึงเป็นสถาบันบริหารของฝ่าย อาณาจกั รจงึ ไม่มีอยใู่ นพระพทุ ธศาสนา อยา่ งไรก็ตาม เน่อื งจากในพระพุทธศาสนา มพี ระวินยั อันเป็นพุทธบัญญัติ เป็นหลกั วนิ ิจฉัย ตัดสินในกิจกรรมของสงฆ์ในทุกกรณีและในเกือบทุกเร่ืองถือเสียงเอกฉันท์ของที่ประชุมเป็นมติช้ี ขาด มติของสงฆ์คณะหนึ่งหากสอดคล้องกับพระธรรมวินัยแล้ว ย่อมใช้ได้และรับฟังได้สําหรับ สงฆ์คณะอื่นๆทุกคณะ โดยนัยนี้พอจะจัดโดยอนุโลมได้ว่า สถาบันสงฆ์ตามพระวินัยคือ สถาบัน บริหารสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา 9. สถาบันตลุ าการตามแนวพุทธศาสตร์ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย สถาบันตุลาการเป็น 1ใน 3 แห่งสถาบันท่ีเป็น หลักของการปกครอง สถาบันตุลาการตามความหมายในท่ีนี้คือ ศาลยุติธรรม “บทบาทของศาล ยุติธรรมก็คือ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีท้ังหลายตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างเป็นอิสระไม่ ว่าจะเปน็ อรรถคดีระหว่างเอกชนด้วยกันหรือระหว่างเอกชนกบั รัฐบาลในกรณีที่รัฐบาลอยู่ในฐานะ เดยี วกันกบั เอกชน” (โกวทิ วงศส์ ุรวัฒน์, 2533) ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยมีหลักการอยู่ว่า ฝ่ายบริหารเป็นผู้รับผิดชอบใน การจัดตั้งศาลยุติธรรม และพยายามดําเนินการทุกวิถีทางท่ีจะช่วยให้ศาลยุติธรรมพิจารณาและ ตัดสินคดีทั้งหลายให้เสร็จสิ้นไปโดยรวดเร็ว แต่ก็มีหลักการสําคัญอยู่ว่าศาลยุติธรรมจะต้องเป็น อิสระไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายรัฐบาลหรือภายใต้อาณัติของรัฐสภาด้วยประการใดๆ เพราะถ้า ตอ้ งตกอย่ภู ายใต้อิทธิพลของรฐั บาลหรอื รัฐสภา ศาลยตุ ิธรรมกจ็ ะไมอ่ าจรักษาความยตุ ิธรรมไวไ้ ด้ สิ่งที่กระบวนการตุลาการในระบอบการปกครองของฝ่ายอาณาจักรเรียกว่าคดีนั้น ในพระ ธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเรียกว่า อธิกรณ์ เมื่อมีอธิกรณ์เกิดข้ึนสงฆ์ทําหน้าที่เป็นสถาบันตุลา การ วินิจฉัยตัดสินให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย ทํานองเดียวกับที่ศาลยุติธรรมทําหน้าท่ีวินิจฉัย และพพิ ากษาอรรถคดีใหส้ อดคล้องกบั กฎหมายของบ้านเมือง วธิ ีการในการวนิ จิ ฉัยของสงฆเ์ รียกว่า วธิ รี ะงบั อธกิ รณ์

140 9.1 กระบวนการวินิจฉัยคดีตามพระวินัย พุทธบัญญัติคดีหรืออธิกรณ์ที่สงฆ์จะต้องทํา หนา้ ทเ่ี ปน็ สถาบันตลุ าการมี 4 อย่าง คอื 1. วิวาทาธิกรณ์ ได้แก่ การวิวาทของภิกษุ 2 ฝ่าย การวิวาทหรือการโต้แย้งท่ีจัดว่าเป็น อธิกรณ์ท่ีสงฆ์จะต้องประชุมกันพิจารณาตัดสินนั้น จะต้องเป็นการวิวาทที่ปรารภพระธรรมวินัย เม่ือวิวาทาธิกรณ์ทํานองนี้เกิดข้ึน สงฆ์จําเป็นต้องวินิจฉัยและตัดสนิ วา่ ฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถกู ส่วนการ วิวาทกันเพราะเหตุอ่ืนที่ไม่ใช่เร่ืองเกี่ยวกับพระธรรมวินัย สงฆ์อาจไม่จําเป็นต้องประชุมกันตัดสิน เพราะในกรณีเช่นนั้น ผู้ก่อการทะเลาะวิวาทผิดด้วยกนั ท้ัง 2 ฝ่าย ซ่ึงมีพระวินัยปรับอาบัติชัดเจนอยู่ แล้ว แตใ่ นบางกรณกี อ็ าจตอ้ งประชุมสงฆเ์ ชน่ กนั ตวั อยา่ งของววิ าทาธิกรณ์ เชน่ ววิ าทกนั วา่ นีเ้ ป็นธรรม นไี้ มเ่ ป็นธรรม น้เี ปน็ วนิ ัย น้ีไม่ เป็นวินัย เรื่องน้ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ เร่ืองนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ น้ีเป็นอาบัติ น้ีไม่เป็นอาบัติ นี้ เป็นอาบัติเบา น้ีเป็นอาบัติหนัก (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2522) เป็น ต้น 2. อนุวาทาธิกรณ์ ได้แก่ การกล่าวโจทกันด้วยอาบัติ เช่น ภิกษุ ก. กล่าวโจท ภิกษุ ข. ว่าตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทเิ สส เพราะเหน็ ภิกษุ ข. จบั ตอ้ งกายผหู้ ญิงเป็นตน้ ตามพระวินัยการกล่าวโจทกัน ด้วยอาบัติจัดเป็นเร่ืองสําคัญเร่ืองหนึ่ง ท่ีสงฆ์จะต้องประชุมกันวินิจฉัยตัดสนิ สมเด็จพระมหาสมณ เจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงใหค้ าํ อธบิ ายไวว้ ่า “อธิกรณ์อันภิกษุจะพึงยกข้ึนว่าได้น้ัน ต้องเป็นเรื่องมีมูล มูลในท่ีนี้ไม่ได้ หมายเอาเร่ืองท่ีเป็นจริงและมีเงาแห่งความเป็นจริงโดยส่วนเดียว หมายเอาเรื่องท่ีได้ เห็นเอง 1 เรื่องได้ยินเองหรือมีผู้บอกและเช่ือว่าเป็นจริง 1 เร่ืองที่เว้นจาก 2 สถานนั้น แต่รงั เกยี จโดยอาการ 1 เช่นได้ยินวา่ พัสดุช่ือนั้นของผมู้ ีชื่อหายไปได้พบพัสดุชนิดน้ัน ในที่อยขู่ องภิกษชุ ่ือน้ัน” (สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส, 2522) พระพุทธศาสนามีข้อแนะนําไว้ว่า ภิกษุผู้ประสงค์จะโจทผู้อ่ืนหรือภิกษุอ่ืนจะต้อง ประกอบด้วยคุณธรรม 5 ประการ คอื 1. จักพูดในเวลาทเี่ หมาะสม จกั ไมพ่ ดู ในเวลาทไี่ ม่เหมาะสม 2. จกั พูดแตค่ ําจริง จกั ไม่พดู คาํ เทจ็ 3. จักพดู ดว้ ยถอ้ ยคําสภุ าพ จักไม่พูดดว้ ยคําหยาบ 4. จักพดู ดว้ ยคําประกอบด้วยประโยชน์ จกั ไมพ่ ูดดว้ ยคําไรป้ ระโยชน์ 5. จกั พูดด้วยมเี มตตาจติ จักไม่พดู ดว้ ยเพง่ โทษหรอื คิดจะจบั ผดิ

141 อีกประการหน่ึง ท่านกล่าวว่าผู้โจทหรือผู้ประสงค์จะโจทผู้อ่ืน พึงกําหนดธรรม 5 ประการไว้ในใจ คือ ความการุณย์ ความหวังประโยชน์ ความเอ็นดู ความออกจากอาบัติและการมงุ่ ความถกู ตอ้ งตามพระวินัยเปน็ หลกั สาํ คัญ 3. อาปัตตาธิกรณ์ ได้แก่อาบัติที่ภิกษุต้องแล้ว คือ ประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติและ เป็นอาบัติตามลักษณะที่ประพฤติผิด จัดเป็นอธิกรณ์อย่างหน่ึง เพราะเม่ือต้องอาบัติแล้วจําเป็นต้อง ปลดเปลื้องตนให้พ้นจากอาบัติโดยวิธีที่พระวินัยกําหนด จึงจะกลับเป็นผู้มีศีลบริสุทธ์ิตามเดิม ยกเว้นภิกษุต้องอาบตั ิปาราชิก เพราะอาบัติชนิดน้ีเมื่อต้องแล้วกข็ าดจากความเป็นภิกษุไปเลย จะทํา คืนเหมือนอยา่ งอาบัติประเภทอน่ื ไมไ่ ด้ 4. กิจจาธิกรณ์ ได้แก่ กิจที่เกิดขึ้นแล้วเป็นหน้าท่ีของสงฆ์จะต้องจัดต้องทําทุก ประเภทเช่น การรับบคุ คลเขา้ หมู่ (อุปสมบท) การสวดปาฏโิ มกข์ แตใ่ นทน่ี ข้ี อกลา่ วเฉพาะกิจท่ีสงฆ์ พึงทําเพ่ือลงโทษภิกษุหรือคฤหัสถ์ผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือแก่สว่ นรวม การลงโทษในลกั ษณะของกิจจาธิกรณน์ ี้ศัพท์วชิ าการของพระวินยั เรยี กวา่ นิคคหะ หรือนิคคหกรรม คําว่า นิคคหะ แปลว่า ข่ม หรือ การข่ม โดยใจความก็คือ การลงโทษกิจกรรมของ สงฆ์ที่เรียกว่านิคคหะนี้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการบัญญัติพระวินัยอย่างหน่ึงท่ีว่า “เพ่ือข่ม บุคคลผู้เก้อยากเพ่ืออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก” (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิร ญาณวโรรส, 2522) คําว่า “เพ่ือข่มบุคคลผู้เก้อยาก” โดยใจความก็คือ เพื่อลงโทษบุคคลผู้ประพฤติ ชวั่ โดยไม่มคี วามละอาย วัตถุประสงคข์ องการลงโทษก็เพื่อใหร้ สู้ กึ ในความผิดและเพ่ือใหเ้ ขด็ หลาบ ไม่ประพฤตเิ สื่อมเสยี อกี ตอ่ ไป 9.2 วิธกี ารในการระงับอธกิ รณ์ เมื่อมีอธิกรณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดข้ึน ย่อมเป็นหน้าที่ของวินัยสงฆ์ท่ีจะต้องประชุมกนั ไต่ สวน วินิจฉัย ตัดสิน และลงโทษ ผู้ก่อให้เกิดอธิกรณ์ ตามควรแก่กรณี ศัพท์วิชาการของพระวินัย เรยี กวิธรี ะงับอธกิ รณ์ว่า อธกิ รณสมถะ มีอยู่ 7 วิธดี ว้ ยกัน คอื 1. สัมมุขาวินัย แปลถือเอาความว่า การระงับอธิกรณ์แบบพร้อมหน้า วิธีน้ีเป็นวิธีหนึ่งท่ี สงฆ์ให้ระงับอธิกรณ์ท้ัง 4 ดังกล่าวแล้ว ในท่ีพร้อมหน้าสงฆ์ พร้อมหน้าธรรม พร้อมหน้าวินัย และ พรอ้ มหน้าบคุ คล คําว่าพร้อมหน้าสงฆ์หมายความว่า ในการระงับอธกิ รณ์มีภกิ ษุเข้าร่วมประชุมครบองค์เป็น สงฆ์ตามพระวินัยกําหนด ส่วนพร้อมหน้าธรรม พร้อมหน้าวินัยน้ัน หมายความว่า วิธีการระงับ อธิกรณ์นั้นดําเนินไปถูกต้องตามพระธรรมวินัย คําว่าพร้อมหน้าบุคคล ได้แก่ คู่วิวาท ผู้ก่อให้เกิด อธกิ รณอ์ ย่พู ร้อมหนา้ กันทัง้ สองฝ่าย

142 ในการระงบั อธิกรณ์ แบบสมั มุขาวนิ ยั น้ี มีวิธปี ฏบิ ตั ิอยู่ 3 อยา่ งคือ 1.1 ด้วยการตกลงกันเอง คือ คู่พิพาทท้ัง 2 ฝ่ายสามารถประนีประนอมกันได้ โดยฝ่าย ใดฝา่ ยหนึง่ ยอมรบั ผิด หรอื ทัง้ 2 ฝา่ ย ยอมรบั ในสว่ นที่เปน็ ความผิดของตน แล้วเลกิ แลว้ ตอ่ กนั 1.2 ด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย วิธีน้ีเมื่อไม่สามารถใช้วิธีท่ีหนึ่งได้ โดยคู่พิพาทท้ัง 2 ฝ่าย พร้อมใจกันเลือกตั้งพระเถระที่ท้ัง 2 ฝ่ายยอมรับรูปหนึ่งหรือหลายรูปก็ได้แล้วแต่งต้ังกันให้เป็นผู้ วินิจฉัย เมื่อพระเถระผู้ได้รับเลือกต้ังให้เป็นผู้วินิจฉัย ได้ไต่สวนโดยรอบคอบและวินิจฉัยตัดสินช้ี ขาดโดยถือความถูกต้องกับพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ในท่ีประชุมสงฆ์น้ันไม่มีผู้คัดค้านหรือ โต้แย้งการวินิจฉัยตัดสินนั้น ถือว่าเป็นอันเด็ดขาดและสิ้นสุด เมื่อสงฆ์เลิกประชุมแล้ว ต่อมา ภายหลังค่กู รณฝี ่ายใดฝา่ ยหนึง่ จะโตแ้ ย้งคดั ค้านอกี มิได้ 1.3 ดว้ ยอาํ นาจแหง่ สงฆ์ วิธนี ี้ส่วนมากจะใช้กบั กรณที ่มี ภี ิกษเุ ป็นจาํ นวนมาก ปฏบิ ัตผิ ดิ ธรรม ผิดวนิ ัย และไม่สอดคล้องกับคําสอนของพระศาสดา (สตั ถุสาสนะ) ผู้ก่อใหเ้ กดิ อธกิ รณ์เช่นนี้ จะยนิ ยอมหรือไม่ยินยอมให้สงฆ์วินจิ ฉยั ตัดสินก็ตาม ภิกษุผู้เปน็ ธรรมวาที และวินัยวาทีจาํ นวนมาก เห็นว่าเป็นการปฏิบัติผดิ จึงนัดประชุมสงฆ์วินิจฉัยและลงมติชขี้ าดการปฏิบัติทีผ่ ิดธรรม ผิดวินัยนั้น อยา่ งนเ้ี รยี กว่า การระงบั อธกิ รณด์ ้วยอาํ นาจแห่งสงฆ์ 2. สติวินัย วิธีน้ี ใช้กับกรณีที่บุคคลหรือภิกษุผู้รู้เท่าไม่ถึงการ หรือมีเจตนาชั่วร้ายบางรูป กล่าวโจท พระอรหันต์ด้วยอาบัติชั่วหยาบอย่างใดอย่างหน่ึง สงฆ์จึงสวดประกาศให้สมบัติแก่พระ อรหนั ตว์ ่า เปน็ ผ้มู สี ตสิ มบูรณ์เต็มท่ี เพอื่ ป้องกนั ไมใ่ หใ้ ครๆ โจทท่านด้วยอาบัติอีก วธิ ีระงับอธิกรณ์ อยา่ งนี้เรียกวา่ สติวนิ ยั 3. อมูฬหวินัย วิธีนี้ ใช้กับกรณีท่ีภิกษุเคยเป็นบ้าแต่หายจากการเป็นบ้าแล้ว คือ ขณะท่ียัง เป็นบ้าอยู่น้ัน อาจประพฤติผิดวินัยโดยอาการต่าง ๆ เพราะสติวิปลาส แต่เมื่อหายจากเป็นบ้าแล้ว ก็ ไม่มีการประพฤติผิดวินัยเช่นนั้นอีก แต่อาจมีบุคคลหรือภิกษุผู้รู้เท่าไม่ถึงการกระทําตอนที่เป็นบ้า มาโจทปรับอาบัติท่าน สงฆ์จึงสวดประกาศสมมติให้อมูฬหวินัยแก่ท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครๆ โจททา่ นด้วยอาบัติที่ทาํ ผิดวินยั ตอนเป็นบา้ เพราะตามพระวินัย มขี อ้ ยกเวน้ สําหรบั ภกิ ษุผู้เป็นบ้าแม้ จะทําผดิ วินัยอยา่ งไรก็ไมถ่ ือว่าเป็นความผิดหรอื เปน็ อาบตั ิ เพราะกระทําไปด้วยสติวิปลาส 4. ปฏิญญาตกรณะ วิธีน้ี เป็นวิธีระงับอธิกรณ์ด้วยการปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลย ผู้รับเป็นสัตย์ คือในกรณีท่ีบุคคลหรือภิกษุรูปหนึ่งโจทภิกษุอีกรูปหนึ่งด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ปาจิตตีย์ เพราะเห็นภิกษุรูปนั้นน่ังในทลี่ ับหู กับผู้หญิงสองต่อสอง และมีกิริยาอาการน่าสงสยั หรือ โจทด้วยอาบัติอย่างอ่ืนในเร่ืองอ่ืน เม่ือมีอนุวาทาธิกรณ์เช่นนี้เกิดข้ึน สงฆ์จึงได้ประชุมกันพิจารณา ไต่สวน ภิกษุผู้เป็นจําเลยรับเป็นสัตย์ด้วยอาบัติอย่างใดสงฆ์ก็ปรับอาบัติอย่างน้ันแก่ภิกษุจําเลยนั้น

143 เมือ่ สงฆป์ รับอาบตั จิ าํ เลยแลว้ และจาํ เลยยนิ ยอมปฏิบตั ติ ามมติของสงฆแ์ ลว้ อนุวาทาธิกรณ์กเ็ ป็นอัน ระงบั 5. เยภุยยสิกา วิธีระงับอธิกรณ์โดยตัดสินตามเสียงส่วนมากของผู้เข้าประชุม วิธีน้ีใช้กับ กรณีท่ีไม่สามารถหาข้อยุติโดยเสียงเอกฉันท์ได้ เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมบางคนหรือส่วนหนึ่ง แสดงความเห็นแย้งต่อคําวินิจฉัยท่ีสงฆ์รับรอง เม่ือเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงจําเป็นต้องให้มีการออก เสียงลงคะแนน เมือ่ นบั คะแนนแลว้ เห็นวา่ เสียงข้างมากเป็นอย่างไร สงฆ์ก็ตัดสนิ ไปตาม น้นั 6. ตัสสปาปิยสกิ า คํานแ้ี ปลว่า กริ ยิ าทท่ี ําดว้ ยความทผ่ี ูน้ ัน้ เป็นผู้ช่วั ชา้ วิธนี ี้เป็นวิธที ี่ลงโทษ จําเลยผู้ทําการละเมิดพระวินัยแล้ว ไม่ยอมรับสารภาพหรือไม่ยอมรับผิด ความผิดในที่น้ีมีลักษณะ เป็นอนุวาทาธิกรณ์ คือ มีผู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการละเมิดพระวินัยของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งหรือ หลายรูป แลว้ กลา่ วโจทขึน้ คร้นั มอี นวุ าทาธิกรณ์เกิดขึ้น สงฆ์ก็ต้องประชมุ กันเพ่ือระงับอธกิ รณ์ แต่ ท้ังๆที่มีหลักฐานชัดแจ้งผู้เป็นจําเลยก็ไม่ยอมรับสารภาพผิด สงฆ์พิจารณาแล้วเห็นว่าจําเลยละเมิด จริง จงึ ปรบั อาบตั ิจาํ เลยตามลกั ษณะท่ีละเมดิ 7. ติณวัตถารกวินัย เป็นวิธีการระงับอธิกรณ์อย่างหนึ่งท่ีใช้กับโทษขึ้นลหุกาบัติ (อาบัติ เบา) แปลตามช่ือว่า ดลุ กลบไว้ด้วยหญา้ วธิ ีนีใ้ ช้กบั กรณที ีม่ ภี กิ ษุเป็นจํานวนมากทะเลาะวิวาทกันจน แบ่งเป็นฝักฝ่าย และในแต่ละฝ่ายก็มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณะหลายอย่าง เพ่ือป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ยืดเยื้อลุกลามจนเป็นผลเสียหายร้ายแรงแก่พระศาสนา สงฆ์จึง ดําเนินการระงับอธิกรณ์ แต่เนื่องจากผู้ทําผิดมีจํานวนมาก และยากที่จะสืบสาวเอาความของแต่ละ คนว่าได้ทําผิดมากน้อยแค่ไหนเพียงไร สงฆ์จึงรวบรัดตัดตอนไม่สาวย้อนถึงรายละเอียดของ ความผิดท่ีแต่ละฝ่ายได้ทําไปแล้ว ดําเนินการระงับอธิกรณ์ด้วย ติณวัตถารกวิธี โดยให้ทั้งสองฝ่าย ประชุมพร้อมกันท้ังหมดแล้ว สวดประกาศให้ทั้งสองฝ่ายต้ังตัวแทนแสดงอาบัติแทนฝ่ายของตน เม่ือดําเนินการเสร็จส้ินแล้ว ผู้กระทําผิดทั้งสองฝ่ายก็เป็นอันพ้นผิด คือ พ้นจากอาบัติตามที่ได้ ประพฤติผิดไปแลว้ การระงับอธิกรณ์ด้วยวิธีนี้มุง่ ความสามัคคีของท้ังสองฝ่ายเปน็ หลกั ไม่พยายาม ขุดค้ยุ ความผิดทลี่ ่วงมาแล้ว จงึ มีลกั ษณะคล้ายเอาหญา้ กลบสิ่งไม่ดีไว้ ลักษณะของอธิกรณ์ และวิธีการระงับอธิกรณ์ตามแบบของพระพุทธศาสนาดังได้กล่าวมา อย่างย่อๆ จะเห็นได้ว่า บางอย่างคล้ายกบั คดีและวิธีพจิ ารณาตัดสินอรรถคดีในสถาบันตุลาการของ ฝ่ายอาณาจักร ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งในสถาบันตุลาการของพระพุทธศาสนาก็คือ เกือบทุกกรณี สงฆ์จะเป็นผู้พิจารณาสอบสวนและตัดสินอธิกรณ์ต่าง ๆ โดยมติเอกฉันท์ แม้ในกรณีการต้ังผู้ วนิ ิจฉัยในการระงบั อธิกรณ์แบบสัมมุขาวินยั การตดั สินช้ขี าดของผู้วนิ ิจฉัยกต็ ้องผ่านการอนมุ ัติโดย มติของสงฆ์ คงมีการระงบั อธกิ รณโ์ ดยวิธเี ยภุยยสิกาเทา่ น้ันที่ถือเสยี งส่วนใหญข่ องผูเ้ ขา้ ร่วมประชุม เป็นเสียงชี้ขาด วิธีนี้คล้ายกับวิธีการแบบประชาธิปไตยของระบอบการปกครองทางโลก ว่าตาม

144 ความจริงการระงับอธิกรณ์วิธีอื่นๆ ก็มีลักษณะประชาธิปไตยอยู่ในทุกๆวิธี เพราะอนุญาตให้มีการ คัดค้านหรือโต้แย้งวิธีพิจารณาและการตัดสินของสงฆ์ได้ แต่ท่ีมักจะไม่มีการคัดค้านหรือโต้แย้งก็ เพราะในทกุ กรณีมีพระวินัยพุทธบัญญัติเป็นบรรทัดฐาน ซง่ึ พระวนิ ัยแต่ละสกิ ขาบทหรือแต่ละเร่ือง มคี วามชัดเจนและรดั กุม ไม่มที างให้ตคี วามออกนอกธรรมนอกวินัยไดโ้ ดยไม่ผดิ 9.3 กระบวนการตัดสินลงโทษตามแนวพทุ ธศาสตร์ ในการพิจารณาระงับอธิกรณ์ของสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาก็มีการตัดสินลงโทษเช่น เดยี วกบั การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลยุตธิ รรมของฝ่ายอาณาจักรเช่นกัน การลงโทษตามที่ กลา่ วไว้ในพระวินัย เรยี กวา่ นิคคหะ แปลวา่ การข่ม ค่กู ับปคั คหะ ซง่ึ แปลวา่ การยกยอ่ ง ท้ัง ๒ อยา่ ง นี้เป็นวิธีการของผู้ปกครองหมู่คณะ ส่วนคนดีย่อมทําให้เกิดความเจริญและความสงบสุขขึ้น เพ่ือ ไม่ให้คนช่ัวมีกําลังกล้าแข็งสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนดี ผู้ปกครองหมู่คณะจึงจําต้องใช้วิธี นิคคหะข่มคนชัว่ ดว้ ยการลงโทษตามสมควรแกค่ วามประพฤติอนั มชิ อบ และในทาํ นองเดยี วกนั เพ่ือ เป็นกําลังใจแก่ผู้ประพฤติชอบ ผู้ปกครองจําเป็นต้องใช้วิธีปัคคหะ ยกย่องผู้กระทําความดีตาม สมควรแกก่ รณี การลงโทษตามทกี่ ลา่ วไวใ้ นพระวินัย มี 6 ลกั ษณะ คอื 1. ตัชชนียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอันจะพึงขู่ ได้แก่การตําหนิติเตียน สงฆ์ลงโทษดว้ ยตัชชะนยี กรรมแกภ่ กิ ษผุ มู้ ีความประพฤตเิ สียหายอยา่ งใดอย่างหนึ่งดังต่อไปน้ี 1.1 เป็นผู้ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์ เป็นผู้มีอาบัติมาก ทําการคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ด้วยการ คลกุ คลอี ันไมส่ มควร 1.2 เปน็ ผ้มู ีศีลวบิ ตั ิ เปน็ ผู้มอี าจารวบิ ัติ (มีความประพฤติเส่ือมเสยี ) เป็นผู้มที ิฏฐวิ ิบตั ิ (มี ความคดิ เหน็ ผดิ ธรรมผิดวนิ ยั ) 1.3 กล่าวติเตยี นพระพทุ ธ กลา่ วตเิ ตยี นพระธรรม กลา่ วติเตียนพระสงฆ์ วิธีทําตัชชนียกรรมทา่ นกล่าวว่า ข้ันแรกพึงกล่าวโจทผู้ที่สงฆ์จะลงโทษข้ึนกอ่ น แล้วให้ จําเลยให้การ เมื่อจําเลยให้การแล้วจึงปรับอาบัติความผิด ต่อจากน้ันภิกษุรูปหน่ึงท่ีได้รับมอบหมาย สวดประกาศบรรยายเรื่องราวให้สงฆ์ทราบ สงฆ์จึงทําตัชชนียกรรมด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมเสร็จ แล้วก็เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี ผู้ที่สงฆ์ลงโทษด้วยตัชชนียกรรมต้องเสียสิทธิของภิกษุปกติหลายอย่าง เช่น ห้ามทํา หน้าท่ีอุปัชฌาย์อาจารย์ ห้ามใช้สามเณรเป็นอุปัฏฐาก ห้ามสอนนางภิกษุณี ถูกสงฆ์ทําตัชชนียกรรม ด้วยอาบัติอย่างใด ไม่พึงต้องอาบัติอย่างน้ัน หรืออาบัติอ่ืนที่มีโทษอย่างเดียวกันหรือมีโทษมากกว่า

145 ห้ามเป็นโจทกล่าวโทษภิกษุอ่ืน แม้จะเข้าเป็นฝ่ายของภิกษฝุ ่ายใดฝ่ายหน่ึง ที่ต่อสู้กันในอธิกรณต์ า่ ง ๆกไ็ ม่ได้ เป็นต้น ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ทําตัชชนียกรรมจะพ้นโทษได้ต่อเมื่อได้ประพฤติตนเรียบร้อย และสงฆ์ เหน็ ควรระงับโทษจึงประกาศระงบั กรรมดว้ ยญัตตจิ ตุตถกรรม ทาํ นองเดียวกับการลงโทษจงึ เป็นอัน พน้ โทษ 2. นิยสกรรม แปลว่า กรรมคือ การถอดยส การถอดยศในที่นี้หมายถึง การลดฐานะทางวินัย สงฆ์ทํากรรมนี้หรือลงโทษด้วยวิธีนี้แก่ภิกษุท่ีคลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีท่ีไม่สมควร เช่น ประจบประแจงรบั ใช้คฤหัสถ์ในเร่ืองหรือธุรกิจตา่ งๆ วิธีทํานิสยกรรมเปน็ เช่นเดียวกบั การทาํ ตัชชนียก รรม ภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงโทษด้วยนิสยกรรม ถ้าเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็หมดสิทธิ์เป็นอุปัชฌาย์ อาจารย์ ถ้าเป็นพระเถระ คือ มีพรรษาครบสิบหรือเกินแล้ว ก็ต้องถือนิสสัย (คือ ต้องอยู่ในปกครอง ดแู ล) กบั ภิกษแุ มจ้ ะมีพรรษาออ่ นกว่าตน การพน้ โทษก็เป็นไปทํานองเดยี วกับกรณขี องตชั ชะนยี กรรม 3. ปัพพาชนียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอันจะพึงไล่เสีย หมายถึงการขับไล่ ภิกษุผู้ประพฤติเสื่อมเสียออกจากวัด ไม่ให้อยู่ในวัดอีกต่อไป การลงโทษอย่างนี้สงฆ์ทําแก่ภิกษุที่ ประพฤติเสื่อมเสียโดยการเล่นคะนอง เกินขอบเขต ทําอนาจาร ลบล้างพระพุทธบัญญัติประกอบ มิจฉาชีพท่ีผิดวินัยของนักบวช วิธีทําและวิธีระงับการลงโทษอย่างน้ีเป็นเช่นเดียวกับกรณีของตัชชะ นียกรรม 4. ปฏิสารนียกรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไป โดยความ หมาย ได้แก่ การลงโทษของสงฆ์โดยบังคับให้ภิกษุกลับไปขอโทษคฤหัสถ์ สงฆ์ลงโทษอย่างน้ีแก่ ภิกษุที่ด่าว่าคฤหัสถผ์ ู้มีศรัทธาเล่อื มใสในพระพุทธศาสนาและอุปถัมภ์บํารุงพระศาสนาด้วยปจั จัย 4 ท่ีสงฆ์ต้องลงโทษแก่ภิกษุผู้ประพฤติเช่น้ีก็เพราะเป็นความประพฤติท่ีก่ อให้เกิดความเสียหายแก่ พระศาสนา ทําให้ผู้ท่ีเลื่อมใสอยู่แลว้ หมดความเล่ือมใส ส่วนผู้ที่ยังไม่เลอ่ื มใสก็หมดทางทีจ่ ะทาํ ให้ เลื่อมใส เมื่อมีภิกษุทําความผิดเช่นนั้นขึ้น สงฆ์จึงบังคับให้กลับไปขอขมา คฤหัสถ์วิธีลงโทษและ ระงับโทษเป็นอย่างเดียวกับกรณขี องการลงโทษอย่างอน่ื ทกี่ ล่าวมาแลว้ 5. อุกเขปนียกรรม แปลตามตัวอักษรว่า กรรมอันสงฆ์พึงทําแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย โดย ความหมายของการลงโทษอย่างนก้ี ็คือ ตัดสทิ ธ์ิแห่งความเป็นภกิ ษุช่ัวคราว จัดเปน็ การลงโทษอย่าง แรงอย่างหน่ึง ลักษณะของการกระทําความผิดที่ต้องถูกลงโทษอย่างน้ีคล้ายกับการที่ถูกลงโทษ โดยตัชชนยี กรรม นิยสกรรม และปัพพาชนียกรรม แตอ่ ุปเขปนียกรรมน้ีเป็นโทษรุนแรงกว่าโทษทั้ง 3อย่างดังกล่าว อีกนัยหนึ่งท่านกล่าวว่า สงฆ์พึงลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุที่มีความผิดอย่างใดอย่าง หนงึ่ ใน 3อยา่ ง คอื

146 5.1 เพราะไม่เห็นอาบัติ คือท้ังๆท่ีประพฤติผิดพระวินัยและต้องอาบัติแล้วแต่ยังด้ือรั้น ไม่ยอมรับวา่ ทําผดิ พระวินยั และเปน็ อาบตั ิ 5.2 เพราะไม่ทําคืนอาบัติ ข้อน้ีหมายความว่า ทําผิดพระวินัยและเป็นอาบัติแล้วแต่ ทั้งๆท่ีรู้ก็เพิกเฉยหรือปล่อยปะละเลย ไม่ยอมปลดเปลื้องตนเอง ให้พ้นจากอาบัติตามวิธีการที่พระ วินัยบญั ญตั ไิ ว้ 5.3 เพราะไม่ละสละทิฏฐิบาป หมายความว่า เป็นผู้มีทรรศนะหรือความคิดเห็นนอก ธรรมนอกวินัย ซ่ึงไม่เหมาะกับภาวะของผู้เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เช่นเห็นว่า พระพุทธเจ้า ไมไ่ ดต้ รัสรจู้ รงิ ผลของกรรมดกี รรมชั่วไม่มี เปน็ ตน้ วิธีการและลักษณะของการทําและระงับอุกเขปนียกรรมเป็นเช่นเดียวกับกรณีของกรรม อ่นื ๆ ทกี่ ลา่ วมาแล้ว ตา่ งกัน เพราะกรรมวาจาหรอื การสวดประกาศในเวลาทํากรรมเท่านั้ 6. ตัสสปาปิยสิกากรรม แปลว่า กรรมอันสงฆ์ทําด้วยความที่ภิกษุน้ันเป็นผู้ช่ัวช้าโดย ใจความหมายถึง การเพ่ิมโทษท่ีกล่าวถึงแล้วในเร่ืองตัสสปาปิยสิกา การเพ่ิมโทษนี้สงฆ์ทําแก่ภิกษุ จําเลยผู้ถูกซักถึงอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ให้การกลับไปกลับมา รับแล้วปฏิเสธ ปฏิเสธแล้วรับ พูด มสุ าซึ่งๆหน้า สงฆ์จึงเพม่ิ โทษโดยปรับอาบตั ิเพมิ่ ขึ้นอกี กระทงหนึ่งจากท่ีปรบั อาบัติแลว้ ในเรอื่ งตัส สปาปิยสิกาวิธีทําและระงับกรรมน้ีก็เป็นเช่นเดียวกับกรณีของกรรมอ่ืนๆ เกี่ยวกับสถาบันตุลาการ ตามแนวพุทธศาสตร์ดังกล่าวมาแล้วท้ังหมดจะเห็นได้ว่า มีบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับสถาบัน ตุลาการของฝ่ายอาณาจักร แต่ก็มีหลายอย่างท่ีมีลักษณะเฉพาะตามพระธรรมวินัยของ พระพทุ ธศาสนา ลักษณะทว่ั ไปท่ีเหมอื นกันหรือคลา้ ยกันก็คอื การมีกฎหรือระเบยี บของสงั คมที่วาง ไว้เพ่ือเป็นบรรทัดฐานแห่งการกระทําหรือความประพฤติของบุคคลในสังคมป้องกันไม่ให้มีการ กระทําหรือความประพฤติท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบสุขของสังคม ฝ่ายอาณาจักรมีกฎหมายเป็น หลกั ของการปกครอง ส่วนทางฝ่ายพทุ ธจักรก็มพี ระธรรมวินัยเป็นหลักแห่งความประพฤตขิ องผู้อยู่ ในสังคมบรรพชิต แต่ก็เป็นธรรมดาของสังคมใหญ่ท่ีมีบุคคลอยู่รวมกันเป็นจํานวนมาก ย่อมมีท้ัง คนดีและคนไม่ดี เม่ือมีกฎหรือระเบียบของสังคมก็ย่อมมีบุคคลไม่ดีฝ่าฝืนหรือละเมิดกฎของสังคม ทางฝา่ ยอาณาจักรก่อให้เกดิ คดีข้ึน ทางฝา่ ยพุทธจักรก็เกิดมีอธิกรณข์ น้ึ ฝ่ายอาณาจักรเมื่อเกดิ มคี ดีข้ึน ก็ย่อมมีกระบวนการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี และมีวิธีการลงโทษผู้กระทําความผิดตาม ควรแกโ่ ทษานุโทษ ทางฝ่ายพุทธจักรเม่ือเกิดมีอธิกรณข์ ้ึน กม็ ีกระบวนการในการระงับอธกิ รณ์และ มีวิธีการลงโทษตามควรแก่โทษานุโทษเช่นกัน แต่ลักษณะของโทษท่ีภิกษุผู้กระทําได้รับตามพระ วินัยกับโทษที่บุคคลผู้กระทําผิดกฎหมายของบ้านเมืองได้รับน้ัน แตกต่างกันและเปรียบเทียบกัน ยาก เพราะสังคมบรรพชิตหรือนักบวช เป็นสังคมท่ีมีรูปร่างแตกต่างไปจากสังคมของฆราวาส มี กฎระเบียบของสังคมแตกต่างกัน การกระทําบางอย่างท่ีบรรพชิตทําแล้วมีความผิดอย่างร้ายแรง

147 ฆราวาสทําอย่างนั้นอาจจะไมผ่ ิดเลยเช่น ความสัมพันธ์ทางเพศกบั เพศตรงขา้ ม สาํ หรบั ฆราวาสเป็น เรื่องธรรมดาและธรรมชติ หากเปน็ การปฏบิ ัติที่ไม่ผิดทาํ นองครองธรรมก็ไม่เป็นความผดิ หรอื ความ เสียหายแต่อย่างใด แต่ถ้าภิกษุปฏิบัติในทํานองเดียวกันก็เป็นความผิดร้ายแรงถึงกับขาดความเป็น ภิกษุและกลับบวชใหม่ไม่ได้อีกตลอดไป อนึ่ง สังคมบรรพชิตนอกจากจะต้องปฏิบัติตาม กฎระเบียบของสังคมของตนแลว้ ยังต้องปฏบิ ัตติ ามกฎหมายของบ้านเมืองด้วย การกระทาํ บางอยา่ ง ของผู้เป็นภิกษุนอกจากจะผิดพระวินัยพุทธบัญญัติแล้ว ยังผิดและต้องรับโทษตามกฎหมายของ บา้ นเมอื งด้วย เชน่ การฆา่ และการลกั ขโมย เป็นต้น

148 10. สรปุ บทที่ 5 สถาบันทางการเมอื งตามแนวพุทธศาสตร์ ดงั ได้กล่าวมาแลว้ ได้แบง่ ออกเป็น 3 สถาบนั คอื สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันตุลาการ การแบ่งเช่นน้ีได้อนุโลมตามการแบ่ง สถาบันทางการเมืองท่ีสาํ คญั ออกเป็น 3 สถาบันตามหลักวิชารัฐศาสตร์ แต่ผู้อ่านคงจะเห็นแล้วว่ามี บางเร่อื งหรือบางอย่างเท่านน้ั ทีม่ ีลักษณะคลา้ ยกัน บางเรอื่ งเพยี งพอจะเทียบเคียงกันได้โดยนยั แต่ก็ มีหลายเรอ่ื งที่มีลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนา ซึง่ ไม่อาจเทยี บเคียงกบั หลักการและวิธกี ารของ วิชารัฐศาสตร์ที่เก่ียวกับระบอบการปกครองทางโลกได้ การพิจารณาเร่ืองสถาบันทางการเมืองตาม แนวพทุ ธศาสตรเ์ ชอ่ื มโยงกับสถาบันทางการเมอื งตามแนวรัฐศาสตร์ จงึ ทาํ ไดใ้ นขอบเขตจํากดั

149 คําถามประจาํ บทท่ี 5 1. จงแสดงขอบเขตและความหมายของสถาบันการเมอื งและสถาบนั การเมืองตามแนวพทุ ธ 2. จงเปรียบเทียบเปรียบเทียบกระบวนการบัญญัติกฎหมายสูงสุดทางอาณาจักรกับกระบวนการ บัญญตั กิ ฎหมายตามแนวพุทธศาสนา 3. กระบวนการลงโทษทางอาณาจกั รและศาสนจกั รมีความแตกตา่ งกันอย่างไรจงอธบิ าย 4. การรกั ษากฎหมายทางฝ่ายอาณาจักรกับฝ่ายศาสนจักรต่างกนั อยา่ งไร อธิบายพอเข้าใจ 5. การปรบั โทษของฝ่ายบา้ นเมอื ง กบั ฝ่ายทางพระพทุ ธศาสนาต่างกันอย่างไร อธบิ าย 6. สถาบันตุลาการฝ่ายอาณาจักรกับสถาบันทางตุลาการฝ่ายศาสนจักรมีความเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร อธบิ าย 7. จงอธิบายเชงิ เปรียบเทยี บบทบาทหน้าทขี่ องสถาบนั นติ ิบัญญตั ิของฝ่ายอาณาจกั รและศาสนจกั ร 8. จงอธิบายเปรียบเทยี บบทบาทและหน้าทข่ี องสถาบนั บรหิ ารของอาณาจักรและศาสนจกั ร

150 การอา้ งองิ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร. (2520). ระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2522). วินยั มขุ เลม่ 3,. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . โกวทิ วงศ์สรุ วัฒน์. (2533). รัฐวทิ ยา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์พฆิ เนศ. สุพจน์ บุญวิเศษ. (2551). หลักรฐั ศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: เอ็ม.ที.เพรส. อานนท์ อาภาภิรมย์. (2528). รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น. กรงุ เทพฯ: สาํ นักพมิ พ์ โอเดยี นสโตร์,.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook