Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

Description: แนวคิดทางการเมือง การบริหาร และการปกครองของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก เอกสาร ตำราทางพระพุทธศาสนา และจากผลงานของนักวิชาการสมัยใหม่ หลักธรรมสำหรับการปกครอง และเปรียบเทียบหลักการปกครองพระพุทธศาสนากับรัฐศาสตร์กระแสหลัก
The political concepts, administration and administration of Buddhism from Tripitaka, Buddhist texts and from the academic works of modern scholars, the Buddhist principles for administration and compare the principles of Buddhist principles with mainstream political science.

Keywords: พุทธศาสตร์

Search

Read the Text Version

51 กรอบทฤษฎีแล้ว แม้จะทําให้เห็นร่องรอยแนวคิด แต่ก็ทําให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเป็นระบบให้ เกิดขน้ึ ได้ เพราะว่าหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนามขี อบข่ายทก่ี วา้ งมาก และถ้าจะอธิบายโดยใชม้ โน ทัศน์ของชาวตะวันตกมากเกินไป ก็จะเป็นการทําให้เนื้อหาการเมืองการปกครองใน พระพุทธศาสนาแคบลงไปได้ (พระมหาธรรมรัต, 2542) ซ่ึงทัศนะแต่ละแนวทางล้วนแล้วแต่เกิด จากฐานความรู้ภูมิหลัง และทิฐิความเห็นหรือความเชื่อของนักวิชาการแต่ละท่านซึ่งจะอธิบาย ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.4.1 การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเปน็ แนวประชาธิปไตย การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวประชาธิปไตย เป็นแนวคิดท่ีเกิดขึ้นในยุค แรกๆทปี่ ระเทศไทยใหก้ ารสนับสนุนความคิดทางด้านการเมืองการปกครองแบบประชาธปิ ไตยท่ีมี การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอยา่ งมาก เริ่มจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและ มีอิทธิพลมาก จนนักสอนศาสนาทั้งฝ่ายฆราวาสและพระสงฆ์ยึดถือว่าเป็นคําอธิบายท่ีถูกต้อง (ปรีชา, 2540)และพยายามอธิบายในแนวทางน้ีเร่ือยมา จนกระท่ังมีพระนักพูดฝีปากเอกอย่างท่าน \"กิตฺตวิ ฑุ โฺ ฒ\" ก็ได้กล่าวไวว้ า่ “การฆา่ คอมมิวนสิ ต์ไมบ่ าป”เปน็ ต้น หากดูจากหลักธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว มีหลายส่ิงหลายประการที่ตรงกับ ลักษณะของประชาธิปไตย ซึ่งเน้นที่ตัวปัจเจกบุคคลเป็นหลัก เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ เร่ิมตน้ จากตวั บคุ คล (ปรชี า, 2540)เป็นหลักทม่ี ที งั้ อิสรภาพและเสรภี าพในการกระทาํ หรือไมก่ ระทํา อย่างไรก็ดี เพียงแต่อะไรก็ตามที่เป็นความช่ัวไม่ทํา อะไรก็ตามที่เป็นความดีให้รีบทํา ถือว่า พระพุทธศาสนาให้สิทธิเสรีภาพในการกระทําท่ีสามารถเลือกท่ีจะกระทําได้ตามกรอบแห่ง กฎหมายทใี่ หไ้ ว้ จงึ ถอื วา่ คําสอนทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ แนวประชาธปิ ไตย 2.4.2 การตีคาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ แนวสังคมนยิ ม การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวสังคมนิยม โดยเอาหลักแห่งเสรีภาพทาง พระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับให้ใครมาเคารพนับถือ แต่ให้เสรีภาพในด้าน ความคดิ เห็นและพิสจู น์ดว้ ยตวั เองใหเ้ ห็นว่าเปน็ แนวคิดท่ีดี ทถี่ กู ต้องเปน็ ธรรมแลว้ ค่อยนาํ ไปปฏิบัติ ได้ แนวความคิดแบบสังคมนิยมนี้แพร่เข้ามาในกลุ่มของนิสิตนักศึกษาและชนชั้นท่ีใช้กรรมาชีพ หรือผู้ใช้แรงงานท่ีมีความคิดต่อต้านรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการ โดยเร่ิมในยุคของจอมพล ป.พิบูล สงครามและจอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ จนมาจนถึงยคุ ของจอมพลถนอม กติ ติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

52 จนมาถึงวันท่ี 14 ตุลาคม 2516 ท่ีนิสิตนักศึกษาและชนช้ันท่ีใช้กรรมาชีพหรือผู้ใช้แรงงาน ออกมา ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ เกิดความขัดแย้งเป็นต้นมา เป็นยุคสมัยท่ีรัฐบาลปกครองประเทศเป็นแบบ รัฐทหาร จึงทําให้บรรยากาศภายในของไทยในตอนนั้นเบ่ือหน่ายต่อผู้ปกครอง และกลุ่มปัญญาชน ไดแ้ สวงหาทางออกอืน่ ๆ ซึ่งส่วนหนง่ึ นิสิตนกั ศึกษาใฝ่ฝนั ถึงแนวคดิ สังคมแบบยโู ทเปีย ทไ่ี ดอ้ ธิบาย ถึงดินแดนสุขาวดีในโลกมนุษยต์ ามทัศนะของโทมัสมอร์ ชาวอังกฤษ ที่พิมพ์ออกเผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 15จ3 เป็นต้นมา จนทําให้การเคล่ือนไหวของชนช้ันกรรมกรและปัญญาชน (บุญศักด์ิ แสงระวี, 2543)ได้บรรลุถึงระดับใหม่ของการสร้างอุดมการณ์ร่วมและหนีเข้าป่าเพื่อจับอาวุธเข้าต่อสู้กับ รฐั บาลกลาง 2.4.3 การตีคาํ สอนทางพระพุทธศาสนาเปน็ แนวธรรมิกสงั คมนิยม การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวธรรมิกสังคมนิยม แนวคิดนี้ท่านพุทธทาส ได้ วิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยและทุนนิยมในทางลบโดยแสดงทัศนะสนับสนุนสังคมนิยม แต่ไม่ ต้องการให้เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ได้แนวคิดเร่ืองธรรมะและธรรมชาติ ที่รวมกันเป็นวิถี แห่งสังคม โดยให้คํานามใหม่ว่า“ธัมมิกสังคมนิยม”ซึ่งสังคมนิยมแบบน้ีจะไม่มีทั้งชนชั้นนายทุน และชนชั้นกรรมาชีพ แต่จะมีระบบที่ประกอบด้วยธรรมท่ีถูกต้อง ซ่ึงเท่าที่ผ่านมาคนรวยใน ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาก็ไม่ได้เป็นชนชั้นนายทุนท่ีขูดรีดหรือน่ารังเกียจ แต่กลับกลายเป็นผู้ให้ แก่สังคมและชุมชน เช่น ในสมัยพุทธกาลก็มี ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี, นางวิสาขา (พระมหาธรรม รัต, 2542) เป็นต้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ สามารถที่จะวัดคุณค่าของความคิดทางการเมืองของพุทธ ทาสภิกขุได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนแรก ในฐานะหลักการหรือคุณค่าทางด้านจิตใจ หลักการใดก็ตาม ถ้าประกอบด้วยหลกั ธรรมแล้วเป็นระบบการเมืองทีถ่ ูกต้อง โดยเรียกว่าระบบธัมมิกสังคมนิยมและ ส่วนท่ีสอง คือด้านระบบเห็นว่าการปกครองท่ีใช้วิธีเผด็จการโดยมธี รรมกํากับเป็นการปกครองทด่ี ี ท่ีสุด (มยุรา อุรเคนทร์, 2545) เชน่ กนั ปรชี า ช้างขวญั ยืน ไดว้ พิ ากษเ์ อาไว้วา่ แนวคดิ ดังกลา่ วเป็นการอธิบายที่สนับสนุนกระแส การเมืองโดยดัดแปลงสังคมนิยมให้เป็นแบบพุทธ อิงหลักธรรมคําส่ังสอนในพระไตรปฎิ ก จนเห็น ได้ชัดว่าสังคมนิยมแบบของท่านพุทธทาส ไม่ใช่สังคมนิยมที่นักรัฐศาสตร์พูดกันโดยทั่วไปเพราะ ไม่ได้พูดถึงหลักการอันเป็นหัวใจของสังคมนิยม ซ่ึงทําให้คิดได้ว่าท่านไม่สนใจ หรือไม่ท่านก็อาจ ไม่เข้าใจหลักการดังกล่าว ท่านเข้าใจสังคมนิยมอย่างพื้นๆ คือเข้าใจอย่างที่คนทั่วไป ซ่ึงได้อยู่ใน กระแสการเมืองสมัยน้ันเข้าใจ มิใช่เข้าใจอย่างนักวิชาการทางปรัชญาการเมืองหรือปรัชญา เศรษฐกจิ เขา้ ใจกนั (ปรีชา, 2540)เปน็ ตน้

53 2.4.4 ทัศนะคําสอนทางพระพุทธศาสนาเปน็ แนวปรชั ญาการเมอื ง ทัศนะคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวปรัชญาการเมือง ทัศนะคําสอนทางพระพุทธ ศาสนาเป็นแนวปรัชญาการเมือง ชัยอนันต์ สมุทรวณิช ได้แสดงทัศนะเอาไว้คือการใช้ความรู้ ทางด้านรัฐศาสตร์และปรัชญาการเมือง มาวิเคราะห์ความคิดทางการเมืองที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ของพระพทุ ธศาสนา เชน่ ในอคั คัญญสูตรและราชนีติ ซึง่ ทําใหม้ องเห็นวา่ ผู้นีไ้ ด้รบั อิทธพิ ลแนวคิด แบบตะวันตกมาเป็นอย่างมาก เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดข้ึนในเรื่องของปรัชญาการเมืองคืออะไร สมภาร พรหมทา ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า ปรัชญาการเมืองและปรัชญาสังคม มีความแตกต่างกันคือ เม่ือ นักปรัชญาคนหน่ึงเสนอว่ารูปแบบหรือโครงสร้างต่อไปน้ีดีที่สุด สําหรับใช้เป็นแบบในการ จัดระบบการอยูร่ ่วมกนั โดยให้เหตุผลสนับสนุน เป็นปรัชญาการเมอื ง แต่ถ้านักปรัชญาคนดังกลา่ ว ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แต่เสนอลงไปในรายละเอียดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับปัจเจกชนหรือ ระหว่างปัจเจกบคุ คลกับสังคม มเี สรภี าพเท่าใดมสี ทิ ธิเท่าใด เปน็ ปรัชญาสังคม (สมภาร, 2539)นี้คือ ข้อแตกกันระหวา่ งปรัชญาการเมืองกบั ปรัชญาสงั คม เปน็ ต้น โทมัส ฟรีแมน ยอร์แนล (Thomas Freeman Yornall) ได้แบ่งนักวิชาการที่มีแนวคิดใน ประเด็นพระพุทธศาสนาออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักจารีตนิยม (Traditionists) และกลุ่มสมัยใหม่ (Modernists) กลุ่มนักจารีตนิยม (Traditionists) ที่มีบทบาทในสังคมปัจจุบันมีหลายท่าน เช่น พระติช นทั ฮนั ห์ (Thich Nhat Hamh), ส.ศวิ รักษ์ (Sulak Sivaraksa), คาโต๊ะ โชนิน (Kato Shonin) องค์ดาไล ลามะ (H.H.the Dalai Lama) เปน็ ต้น กล่มุ นมี้ คี วามเช่ือวา่ หลกั การและแนวคดิ ทางปรัชญาการเมือง และปรัชญาทางสังคมมีมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล และแนวคิดทางพระพุทธศาสนาท่ีเป็นแนวทาง ปรัชญาการเมืองและปรัชญาทางสังคม ล้วนแต่มีรากฐานสืบเน่ืองมาจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิม เป็นต้น กลุ่มนักวิชาการสมัยใหม่ (Modernists) เป็นนักวิชาการท่ีสนใจพระพุทธศาสนา ชาวตะวันตก เช่น ริชาร์ด กรอมบริช (Richard Grombrich), เคน โจนส์ (Ken Jones), คริสโตเฟอร์ ควีน (Christopher Queen), แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นต้น กลุ่มน้ีมีความเช่ือว่า หลักการและ แนวคิดต่างๆทางพระพุทธศาสนาอาจจะเคยมีในพระพุทธศาสนาต้ังแต่เดมิ แต่อยู่ในลักษณะท่ีแอบ แฝงอยู่ ยงั ไมป่ รากฏอยา่ งชัดเจน แต่เมื่อพระพทุ ธศาสนาไดม้ าปะทะกบั สภาพแวดล้อม (แนวคิดทาง วัฒนธรรม) ของตะวันตกท่ีมีแนวคิดท่ีหลากหลาย จึงเกิดแนวคิดทางพระพุทธศาสนาแบบปรัชญา

54 การเมืองและปรัชญาทางสังคมขึ้น อาจจะมีบางส่วนท่ีได้รับอิทธิพลด้านแนวคิดและหลักการจาก พระพุทธศาสนาเดิมกไ็ ด้ จะเห็นได้ว่านักวิชาการทง้ั สองกลุ่มมักจะมีมุมมองต่อประเด็นพระพทุ ธศาสนาท่ีแตกตา่ ง กัน และแตล่ ะกลุ่มกจ็ ะยึดมั่นกับแนวคิดของกลมุ่ ตนเองและมองกลุ่มอ่ืนในลักษณะท่ีวา่ เป็นกลุ่มที่ ยังยึดม่ันกับประวัติศาสตร์ศาสนาของตนเองมากเกินไป เป็นกลุ่มที่ไม่เข้าหลักการที่แท้จริงของ พระพุทธศาสนา หรืออีกกลุ่มก็เป็นกลุ่มนักวิชาการท่ีได้รับอิทธิพลแนวความคิดจากตะวันตกมาก เกินไป ไม่มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา เป็นต้น ทําให้การแสดงความคิดเห็นของทั้งสองกลุ่มยังไม่ เป็นไปในทิศทางเดยี วกัน 2.4.5 การตคี ําสอนทางพระพทุ ธศาสนาเป็นแนวธรรมาธิปไตย การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวธรรมาธปิ ไตย แนวคิดน้ีเป็นแนวคิดท่ีต้องการ เชิดชูยกย่องพระพุทธศาสนาให้สูงเหนือกว่าแนวคิดท้ังประชาธิปไตยและสังคมนิยมที่ต่างก็มี ข้อบกพร่องกันอยู่ โดยจัดแนวคิดแบบประชาธิปไตยเป็นแบบโลกาธิปไตย (ปรีชา, 2540)และจัด แนวคิดแบบสังคมนิยมเป็นแบบอัตตาธิปไตย ซ่ึงท้ังสองแนวคิดหลังนี้พระพุทธเจ้ามิไ ด้ทรง สรรเสริญ แต่ทรงยกย่องแนวคิดแบบธรรมาธิปไตย ที่มีธรรมเป็นใหญ่ คือหลังจากได้พิจารณา ไตร่ตรองข้อเท็จจริงและเหตุผลตามท่ีได้รับฟังมาแล้วอย่างกว้างขวาง พิจารณาอย่างดีท่ีสุดเต็มขีด แห่งสติปัญญา จะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เป็นไปโดยชอบธรรมและเพ่ือความดีงาม กระทําการตา่ งๆโดยยึดหลกั การ กฎ ระเบียบกติกา (มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช, 2546)ทั้งน้ีคํา สอนของพุทธศาสนาเป็นธรรมาธิปไตยและยกย่องธรรมาธิปไตย ส่วนประชาธิปไตยก็คง สงเคราะห์เข้าในโลกาธิปไตยหรอื ประชาธิปไตยท่อี ย่บู นพื้นฐานของธรรมาธปิ ไตย (คณู , 2545) แนวความคดิ แบบน้ี ปรีชา ชา้ งขวญั ยนื ไดว้ ิจารณไ์ วว้ า่ เป็นแนวคิดซงึ่ เกิดจากการพจิ ารณา เพียงคําว่า อธิปไตย โดยมิได้ดูบริบทต่างๆว่ามีความหมายอย่างเดียวกับคําว่าอธิปไตย ท่ีต่อท้ายคํา เรยี กระบอบการปกครองต่างๆหรือไม่ จึงเปน็ แนวทางที่เกิดจากความเขา้ ใจผิดตั้งแตต่ ้น และผเู้ สนอ แนวทางนี้ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นคนแรกก็มิได้มีตัวอย่างท่ีเป็นเรื่องการเมืองการปกครองที่ ปรากฏจริงในพระไตรปิฎกมาสนบั สนนุ เหมอื นขอ้ เสนอในแนวทางประชาธปิ ไตยกบั สังคมนิยมซ่ึง มีมาก่อนหน้าน้ัน (ปรชี า, 2540)

55 2.4.6 ทศั นะคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวนติ ริ ัฐ ทัศนะคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวนิติรัฐ เป็นแนวคิดที่เกิดข้ึนในปีพ.ศ.2524 ท่ี เหล่านักวิชาการ สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาติ, 2526)กระทรวงศึกษาธิการ ในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ให้มี โครงการศึกษาเพ่ือเสนอหลักวิชาการตามแนวพุทธศาสตร์ รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์จึงเป็น หน่ึงในโครงการดังกล่าว แนวความคิดที่เหล่านักวิชาการได้ระดมกันน้ันโดยมากมุ่งไปท่ีพระวินัย ปิฎก โดยมกี รอบของหลักนติ ิบัญญัตเิ ป็นตัวกาํ หนด หากมองในแงข่ องการลงโทษทางวนิ ยั หรือการ ปรับอาบัติ สังคมสงฆ์จะเข้ามาจัดการเพราะเป็นปัญหาท่ีกระทบถึงสังคมโดยส่วนรวม ในฐานะท่ี เป็นสมาชิกของสังคม ซึ่งประเด็นน้ีทําให้มองเห็นว่าพระวินัยหรือสิกขาบท เป็นธรรมนูญการ ปกครองที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อใช้กับคณะสงฆ์ แต่ก็สามารถเทียบเคียงได้กับหลัก กฎหมายทางอาณาจักรอย่างน้อยก็สะท้อนแนวคิดท่ีว่าพระพุทธเจ้าทรงยอมรับว่า กฎหมายมีความ จําเป็นในการปกครองไม่ว่าจะในส่วนของคณะสงฆ์หรือฝ่ายบ้านเมือง (พระมหาอภิวิชญ์, 2542)ก็ ตาม 2.4.7 การตคี ําสอนทางพระพุทธศาสนาเปน็ แนวมโนทัศนส์ มัยใหม่ การตีคําสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวมโนทัศน์สมัยใหม่ แนวความคิดนี้ ปรีชา ช้าง ขวัญยืน ได้ให้มุมมองใหม่หลังจากมองเห็นข้อจํากัดของการอธิบายในอดีตคือในทัศนะดังกล่าว ท่านไดม้ องขอ้ จํากัดของแนวทางเหลา่ น้นั ไว้ 6 ประการ (ปรีชา, 2540)คอื 1) ไม่มกี ารพิจารณาระดับความเจริญของการเมือง สงั คม เศรษฐกิจและวฒั นธรรม ในสมยั พุทธกาลว่าอยู่ในระดบั ใด เม่อื เทียบกับปัจจบุ นั เพราะการอธบิ ายไมไ่ ดแ้ ยกระดบั จนดูราวกับ ว่าคนสมัยพทุ ธกาลเขา้ ใจประชาธปิ ไตยและสงั คมแบบเดยี วกนั กับคนยคุ ปจั จบุ นั 2) ไม่มีการแยกลักษณะร่วมบางประการที่เกิดขึ้นในหลายระบอบการปกครอง เช่น การเลือกตั้ง, การประชุมแบบเสียงข้างมาก เมื่อเห็นว่าแนวคิดทางพระพุทธศาสนาสอดคล้อง กบั ประชาธปิ ไตยก็ยดึ ถอื เหตุผลดังกล่าวเปน็ หลกั 3) ระบอบการปกครองท้ังประชาธปิ ไตยและสังคมนิยมท่ีวิเคราะห์กันมาลว้ นเนน้ เรื่องบคุ คลมากกว่าระบบ

56 4) ไม่มีการสํารวจข้อมูลให้ทั่วถึงท้ังพระไตรปิฎกและชาดกว่าส่วนใดเป็นเร่ือง สมัยก่อนพุทธกาลหรือส่วนใดเป็นเรื่องในสมัยพุทธกาล และท่ีสําคัญไม่ได้พิจารณาคําสอนที่ เกยี่ วกบั การปกครองและเศรษฐกจิ วา่ สามารถระบชุ ดั เจนวา่ พระพุทธเจา้ เห็นดว้ ยกบั ระบบไหน 5) ไม่ได้พิจารณาคําสอนและเจตนาของพระพุทธเจ้าว่าระบบไหนดีกว่าอีกระบบ อย่างไร เพียงแต่เลือกมาเฉพาะที่สนับสนุนความคิดของผู้วิเคราะห์ โดยละเลยส่วนที่ขัดแย้งมา พิจารณา 6) แนวการวเิ คราะหท์ อ่ี าศยั แนวคดิ ตะวันตกมากเกินไปอาจเปน็ การลําเอียงและคับ แคบ ดงั นน้ั ปรชี า ช้างขวัญยืน จงึ เสนอแนวคิดการตคี วามพระพุทธศาสนาทางการเมืองใหม่ที่กว้าง ข้ึน ในสองลักษณะ คือ ลักษณะที่หน่ึง คือกว้างด้วยหลักฐานขอ้ มูล คือศึกษาหลักฐานทั้งบริบท คือสมัยพุทธกาล ในแง่ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อ่ืนๆจะทําให้ไม่ กลายเปน็ การนําความคิดของคนปจั จุบันไปใส่ใหแ้ กพ่ ระพุทธเจ้า ลกั ษณะทส่ี อง คือกวา้ งดว้ ยมโนทัศน์ คอื การใช้มโนทัศน์ทางตะวันตกมาพิจารณาคําสอน ในศาสนาบางครง้ั ก็แคบเกนิ กวา่ มโนทัศน์ทางศาสนา เพราะการเมอื งมุ่งสร้างระบอบบังคับมากกว่า ท่ีจะชักจูงใจของปัจเจกชน และเม่ือพิจารณาอย่างจริงจงั อาจทําใหเ้ ห็นถงึ แนวปรัชญาการเมอื งแบบ ใหมไ่ ด้ จะเห็นได้ว่าแนวคิดทางการเมืองการปกครองในพระไตรปิฎกนั้น เหล่านักวิชาการได้ พยายามประยุกต์ให้บูรณาการเข้ากับหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาโดยอาศัยความรู้พื้นฐานของ รัฐศาสตร์ท่ีได้รับอิทธิพลจากการศึกษาทางด้านตะวันตก และค้นคว้าสืบต่อกันมาบ้างแล้ว ซ่ึงจะ เป็นแนวทางให้นักวิชาการรุ่นต่อไปได้นําไปต่อยอดและขยายฐานสร้างองค์ความรู้ให้มีความ สมบรู ณย์ ง่ิ ๆขึน้ ไป 2.5 การเสริมสร้างการบริหารกจิ การบา้ นเมืองที่ดี ตามพระราชกฤษฎกี าวา่ ดว้ ยหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารบริหารกจิ การบา้ นเมอื งที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กําหนดขอบเขตความหมายของคําว่า“การบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี”ในภาพรวมซึ่งเป็น การช้ีให้เห็นวัตถปุ ระสงคข์ องการบรหิ ารราชการ ท่ีกําหนดในพระราชกฤษฎีกาและเปน็ แนวทางใน การปฏิบัติราชการของทุกส่วนราชการ ในการกระทําภารกิจใดภารกิจหนึ่งว่า ต้องมีความมุ่งหมาย ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายในสง่ิ เหลา่ นี้ คอื

57 1) เกิดประโยชน์สขุ ของประชาชน 2) เกดิ ผลสัมฤทธต์ิ ่อภารกจิ ของรฐั 3) มปี ระสทิ ธภิ าพและเกิดความคุ้มค่าในเชงิ ภารกิจของรฐั 4) ไมม่ ีข้นั ตอนการปฏบิ ัติงานเกนิ ความจําเป็น 5) มีการปรบั ปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทนั ต่อเหตุการณ์ 6) ประชาชนไดร้ ับการอาํ นวยความสะดวกและไดร้ บั การตอบสนองความต้องการ 7) มกี ารประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งสมา่ํ เสมอ ดังน้ัน องค์ประกอบที่ควรนํามาพิจารณาในการเสริมสร้างการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี ของภาคราชการ อยา่ งน้อย 11 ประการ (ระเบยี บสาํ นกั นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสรา้ งระบบบริหาร กจิ การบ้านเมืองและสังคมทด่ี ี พ.ศ.2542, 2542)ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วม (Participation) ทั้งที่เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ ดําเนินงานของภาคราชการ และการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าท่ีของรัฐในทุกระดับในการบริหารงาน ของภาคราชการเพื่อให้เกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ร่วมกันและพลังการทํางานที่สอด ประสาน (Synergy) เพ่ือบรรลุเปา้ หมายในการใหบ้ รกิ ารประชาชน 2) ความยั่งยืน (Sustainability) โดยมีการบริหารการพัฒนาเพ่ือความอยู่ดีมีสุขของ ประชาชน ท่ียืนอยู่บนหลักการรักษาสมดุลของความน่าอยู่ของชุมชนท้ังในเมืองและในชนบท ระบบนเิ วศ ส่งิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ 3) ประชาชนมีความรู้สึกว่าเป็นส่ิงท่ีชอบธรรม (Legitimacy) และให้การยอมรับ (Acceptance)การดําเนินการของภาครัฐต้องสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ประชาชน เห็นว่าเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสม มีความจําเป็นท่ีต้องดําเนินการ แม้ว่าจะต้องสูญเสียประโยชน์บ้าง แตเ่ หน็ ว่าคุม้ ค่ากับส่ิงที่ต้องเสียไปและเห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมท่ีต้องรบั ผิดชอบรว่ มกัน 4) มีความโปร่งใส (Transparency) ต้องทําให้การตัดสินในและการดําเนินงานของ ภาครัฐในทุกระดับ มีความโปร่งใส รู้ข้อมูลข่าวสารท่ีตรงกับข้อเท็จจริงของการตัดสินใจและการ ดําเนินการและสามารถตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนของการตัดสินใจและการดําเนินการในเรื่อง น้ันๆได้ตลอดจนมีระบบ กติกา ข้ันตอนและระยะเวลาดําเนินการท่ีเปิดเผย ชัดเจน และเป็นไป ตามที่กาํ หนดไว้ 5) ส่งเสริมความเป็นธรรม (Equity) และความเสมอภาค (Equality) จะต้องมีการ กระจายการพัฒนาอย่างท่ัวถึง ประชาชนได้รับบริการท่ีดีและมีคุณภาพจากหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น คนรวยคนจน ผู้ด้อยโอกาสหรืออยู่ในภูมิภาคใด ท้องถ่ินใด ต้องได้รับบริการท่ีเท่าเทียมกัน โดยไม่

58 มีการแยกปฏบิ ัติท่แี ตกต่าง ในกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการดําเนินการ หรือละเว้นการดําเนินการ หรือดําเนินการล่าช้ากว่าที่ความเป็นหรือมีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องมี ระบบรับเรื่องราวร้องทุกข์ท่ีชัดเจน ประชาชนรู้ว่าสามารถร้องเรียนได้ท่ีใด ที่ใครจะได้รับคําตอบ หรือได้รับแจ้งผลการดําเนินการในเวลาอันรวดเร็วเหมาะสมตามควรแก่กรณี ทั้งน้ีจะต้องแจ้งให้ ประชาชนผู้ร้องทุกข์ได้รับทราบกระบวนการ ข้ันตอน และระยะเวลาดําเนินการล่วงหน้า จนเป็นที่ พอใจได้วา่ ปญั หาของเขาไดร้ ับการตอบสนองอย่างเหมาะสมเป็นธรรม 6) มคี วามสามารถทีจ่ ะพัฒนาทรัพยากร และวธิ กี ารบริหารกจิ การบา้ นเมืองและสังคม ที่ดี หน่วยงานตา่ งๆและเจา้ หนา้ ที่ของรัฐในทกุ ระดับ ต้องได้รบั การพัฒนาความรแู้ ละทกั ษะ เพอ่ื ให้ สามารถปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์และกระบวนวิธีการทํางานให้สอดคล้องกับหลกั การและกลยุทธ์ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 ตลอดจนมีการกําหนดขัน้ ตอน กระบวนการ ระยะเวลาดําเนนิ การและมาตรฐานการใหบ้ ริการ ประชาชนท่ชี ดั เจน ท่จี ะเปน็ เคร่ืองมือให้ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ยึดถือปฏบิ ัติร่วมกัน รวมถึง เครื่องมือและเทคนิควิธีการทํางานใหม่ ๆ อาทิ คู่มือ แนวทาง และแนวคําถามเพ่ือตรวจสอบการ ดําเนินงาน (Checklists) ฯลฯ เพื่อเพ่ิมพูนสมรรถนะการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดีของ ภาครฐั และตัวเจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ด้วย 7) ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ต้องเปิดโอกาสเสริมสร้างขีดความสามารถและ ศักยภาพของสตรี ทั้งในเมืองและในชนบท ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสังคม ทั้ง ด้านเศรษฐกจิ สังคม การปกครองและการบริหาร ดงั เป็นท่ีตระหนกั ชัดแลว้ วา่ สตรีและกลุม่ แม่บ้าน ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมา โดยตลอด โดยเฉพาะอย่างย่ิงในระยะที่ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ สตรีและกลุ่ม แม่บ้านได้กลายมาเป็นกําลังสําคัญในการนําชุมชนและสังคมต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องส่งเสริมบทบาทของสตรีให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารองค์กรปกครอง ท้องถิ่นมากขึ้น ท้ังในฝ่ายบริหารและสภาของท้องถ่ิน ซึ่งรวมไปถึงบทบาทและโอกาสของ ขา้ ราชการสตรีในการดาํ รงตาํ แหน่งบรหิ ารในภาครัฐมากขึน้ 8) การอดทนอดกล้ัน (Tolerance) และการยอมรับ (Acceptance) ในทัศนะที่ หลากหลาย (Diverse Perspectives) ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะในที่ใดก็ตามล้วนมีความแตกต่างกัน ดํารงอยู่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความแตกต่างด้านความคิด วิธีการและความคาดหวัง ยิ่งไปกว่าน้ันอาจ เกิดความแตกต่างในเร่ืองของผลประโยชน์จากการพัฒนาและจากผลกระทบของการพัฒนา ใน ภาวะเช่นนี้หน่วยงานและเจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องมีความอดทนอดกลั้นในความแตกต่างและความ ขัดแย้งท่ีอาจเกิดข้ึน ต้องยอมรับในความแตกต่างดังกล่าว ท่ีไม่สามารถทําให้ทุกคนคิดอย่างเรา ทํา

59 อยา่ งเรา หรือยอมรบั ในสง่ิ ท่ีเราเห็นว่าถูกต้องได้รวมทั้งต้องแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ทจี่ ะติดตามมา ดว้ ยปัญญา ผ่อนสน้ั ผ่อนยาวและหาจดุ ร่วมทท่ี ุกฝ่ายยอมรบั ได้ เพอ่ื บรรลผุ ลลัพธ์ทีท่ กุ ฝ่ายพอใจ 9) ดําเนินการตามหลักนิติธรรม (Operating by Rule of Law) โดยต้องปฏิบัติ ปฏิบัติงานท่ีเป็นอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย กฎระเบียบและข้อบังคับ บังคับใช้และดําเนินการให้มี ปฏิบัติตามกฎหมายที่สําคัญก็คือ การพัฒนาปรับปรุงแก้ไข และเพิ่มเติมกฎหมาย ระเบียบและ ข้อบังคับ ให้มีความทันสมัยและสามารถธํารงรักษาความเป็นธรรมให้เกิดข้ึนโดยสอดคล้องกับ สภาพสังคม เศรษฐกิจและส่ิงแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเร่ืองใหม่ๆ ที่มี ความสําคัญ อาทิ การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชนและการตรวจสอบการดําเนินงาน ของภาครฐั ฯ 1จ) ความรับผิดชอบ (Accountability) หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความ รับผิดชอบต่อประชาชนผู้รับบริการในฐานะเป็นผู้ซ้ือบริการ ที่คาดหวังว่าจะได้รับบริการท่ีดี มี คุณภาพ สะดวกรวดเร็ว และมีราคาท่ีเหมาะสมเป็นธรรมและสาธารณชนท่ัวไปในฐานะเป็นผู้เสีย ภาษีมาเป็นเงินเดือนของเจ้าหน้าท่ี เป็นอาคารสํานักงานและค่าใช้จ่ายต่างๆในการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่เหล่าน้ัน ความรับผิดชอบด้ังเดิมที่เคยมีต่อผู้บังคับบัญชาตามสายงานอาจดํารงอยู่ต่อไป แต่ต้องมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม สาธารณชนและผู้รบั บริการเพิม่ ขึ้น ดังน้ัน ความพึงพอใจของผูร้ ับบริการสาธารณชนและสังคมท่ีมีต่อหน่วยงานและเจ้าหนา้ ที่ จึงกลายมาเป็นตัวช้ีวัดที่สําคัญประการหน่ึงในการประเมินความสําเร็จของหน่วยงานและตัว เจ้าหน้าทผ่ี ้ปู ฏบิ ตั ิงาน เพอ่ื เสรมิ สรา้ งพันธะความรบั ผิดชอบให้เกดิ ขน้ึ 11) การเป็นผู้กํากับดูแล (Regulator) แทนท่ีการเป็นผู้ควบคุม (Controller) ที่เป็นพันธ กิจดั้งเดิม งานในหลายๆด้านที่แต่เดิมภาครัฐในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นผู้ดําเนินการหรือ ควบคุมการดําเนินการจะต้องมีการโอนงาน ภารกิจ อํานาจหน้าท่ีและงบประมาณไปให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดําเนินการในฐานะท่ีองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นเป็นหน่วยบริหารทีอ่ ยู่ ใกล้ชิดกับประชาชนในท้องถนิ่ มากท่ีสดุ ยอ่ มรคู้ วามต้องการของประชาชนในท้องถ่ินได้ดีกว่าและ สามารถให้บริการตอบสนองได้ตรงตามความต้องการและรวดเร็วกว่าที่สําคัญผู้บริหารองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมาจากการเลือกต้ังของประชาชน ย่อมมีความผูกพันและความรับผิดชอบต่อ ประชาชนผู้เลือกต้ัง จึงมุ่งเน้นตอบสนองให้ประชาชนเหล่านั้นเกิดความพึงพอใจ โดยภาครัฐ ดังกล่าวตอ้ งเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้กาํ หนดมาตรฐานบริการ มาตรฐานงานช่างและวิศวกรรมและมี ภารกิจในการสนับสนุนด้านเทคนิควิชาการแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและกํากับดูแล ใหบ้ รกิ ารเหล่านั้นเป็นไปตามมาตรฐานที่กาํ หนด เช่นเดยี วกับทีง่ านจํานวนหนึ่งก็ตอ้ งแปรรูปไปให้ ภาคเอกชนเปน็ ผดู้ าํ เนนิ การ (Privatization)

60 2.6 สรปุ บทท่ี 2 การเมือง (Politics) และการปกครอง (Government) นั้นมีความหมายทางรัฐศาสตร์ แตกต่างกัน การเมือง หมายถึง เรื่องเก่ียวกับการแขง่ ขันหรอื เพื่อการแสวงหาอํานาจซ่ึงส่งผลกระทบ ต่อสังคมหรือคนส่วนใหญ่ของสังคม ส่วนการปกครอง มีความหมายเกี่ยวกับบริหารวางระเบียบ กฎเกณฑ์สําหรับสังคมเพ่ือให้สังคมมีความสงบสุขอย่างไรก็ตาม การเมืองและการปกครองก็มี ความเกี่ยวข้องเช่ือมโยงกัน เพราะการปกครองหรือการบริหารวางระเบียบกฎเกณฑ์เพ่อื ให้เกิดการ บําบดั ทุกขบ์ าํ รงุ สุขนั้น จําเป็นต้องอาศัยอํานาจคือการเมอื งจงึ จะดําเนินการได้สาํ เร็จ สถาบันทางการเมืองตามแนวคิดทางรัฐศาสตร์ หมายถึง สถาบันที่เก่ียวข้องกับการเมือง การปกครองหรือการบริหารบ้านเมืองให้ดําเนินไปอย่างมีระเบียบตามกฎเกณฑ์ของสังคม โดยมี ความสงบสุขและความเจริญก้าวหน้าของสังคมโดยส่วนรวมเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดสถาบันทาง การเมอื งที่จดั วา่ เปน็ หลักของการปกครอง ถ้าหากพิจารณาตามทางโลกประเดน็ เกยี่ วกับสถาบันทาง การเมืองในพระพุทธศาสนาพอที่จะเทียบเคียงได้บ้างแต่อยู่ในขอบเขตที่จํากัด เพระ พระพุทธศาสนาไม่ใช่การเมือง แต่พระพุทธศาสนามีไว้สําหรับการเมืองทุกระบบ ที่จะสามารถ นําไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปกครองเท่าน้ัน แต่ก็พอจะสามารถเปรียบเทียบกับสถาบัน ทางการเมอื งได้ 3 สถาบันด้วยกนั คือ สถาบนั นติ บิ ัญญตั ิ สถาบนั บรหิ าร สถาบนั ตุลาการ การเสริมสร้างการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดีตามพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยหลักเกณฑ์และ วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กําหนดขอบเขตความหมายของคําว่า“การบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี” ต้องมีความมุ่งหมายให้บรรลุเป้าหมายในสิ่งเหล่านี้คือ(1)เกิดประโยชน์สุข ของประชาชน (2) เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ (3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิง ภารกิจของรัฐ (4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจําเป็น (5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วน ราชการให้ทันต่อเหตุการณ์ (6) ประชาชนได้รับการอํานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนอง ความตอ้ งการ (7) มกี ารประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านอยา่ งสมํา่ เสมอ

61 คาํ ถามประจาํ บทที่ 2 1. การเมืองและการปกครองตามความหมายทางรัฐศาสตร์ มีความแตกต่างกนั หรอื ไม่อยา่ งไร จงอธบิ าย ? 2. คาํ นิยามหรือความหมายของคาํ ว่า \"การเมือง\" จาํ แนกไดเ้ ปน็ กี่กลมุ่ อะไรบา้ ง จงอธิบาย ? 3. การเมืองเป็นเรื่องของอํานาจ หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย ? 4. แนวคดิ พระพทุ ธศาสนาเกี่ยวกบั สถาบันทางการเมอื ง สามารถเปรียบเทยี บกบั สถาบันอื่นๆ ทางการเมืองอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ? 5. การปกครองในพระพทุ ธศาสนาตามความเหน็ ของนกั วชิ าการทไี่ ด้ตีความไว้อยา่ งไร จง อธบิ ายและยกตวั อย่างประกอบดว้ ย ? 6. การตคี าํ สอนทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ แนวธรรมาธปิ ไตย หมายความว่าอย่างไร ? 7. องคป์ ระกอบในการเสริมสร้างการบริหารกจิ การบา้ นเมอื งทดี่ ีของภาคราชการ มีกอ่ี ยา่ ง อะไรบ้าง จงอธิบาย ?

62 การอ้างองิ ชัยอนันต์ สมทุ รวณิช. (2535). รฐั . กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ชยั อนันต์ สมทุ วณิช. (2517.). ความคิดอิสระ : รวมบทความทางการเมืองระหว่างปี 2511-2516. สานกั พิฑเณศ, 61. ณรงค์ สินสวัสดิ์. (2539). การเมืองไทย:การวิเคราะห์เชงิ จิตวทิ ยา. กรุงเทพฯ: วชั รนิ ทร์การพมิ พ.์ คูณ โทขนั ธ์. (2545). พุทธศาสนากบั สังคมและวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์. ธรี ปญโฺ ญ, พระมหาอภิวชิ ญ.์ (2542). การศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของขงจื๊อกบั พทุ ธ ปรัชญาเถรวาท. (วิทยานพิ นธป์ ริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั ,) . กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . บญุ ศกั ดิ์ แสงระว.ี (2543). แปลและเรยี บเรยี ง. ลัทธิสงั คมนิยม อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต. . กรงุ เทพฯ: หจก.เอมี่ เทรดด้ิง. สมภาร พรหมทา. (2539). ปรัชญาสงั คมและการเมือง. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ มหาวิทยาลยั . มยุรา อุรเคนทร.์ (2545). พระพทุ ธศาสนากับการเมอื ง : กรณศี ึกษาการปฏิบัตติ นของนักการเมอื ง ในปัจจบุ ัน. (วทิ ยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. (2546). ปรัชญาการเมือง. กรุงเทพฯ: หจก.อรุณการพิมพ์. ระเบยี บสาํ นักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบรหิ ารกจิ การบ้านเมืองและสงั คมท่ีดี พ.ศ. 2542. (2542). ระเบียบสานกั นายกรฐั มนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบา้ นเมือง และสังคมทดี่ ี พ.ศ.2542,. กรุงเทพฯ: ราชกิจจานุเบกษา. สํานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต.ิ (2526). คานา”รฐั ศาสตร์ตามแนวพทุ ธ. กรุงเทพฯ: สาํ นกั พิมพก์ ราฟิคอาร์ต. พระมหาธรรมรัต อริยธมโฺ ม. (2542). การศึกษาเชิงวิเคราะห์ หลักรฐั ศาสตรท์ ี่มใี นพระไตรปฎิ ก. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. Eulau, H. (1963). The Behavioral Persuation in Politics. New York: Random Hose. Pennock, R. J. (1964). Political Science.. New York: McMillan.

63 บทที่ 3 ความสัมพันธ์ระหวา่ งศาสนจกั รกบั อาณาจักร (Relations of Sectarian and Secular Authorities) 3.1 แนวคดิ (Concept) ศาสนากับการเมืองมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด“การเปลี่ยนแปลงใดๆท่ีเกิดขึ้นในทาง การเมืองและสังคมย่อมมีผลกระทบต่อศาสนา และในทํานองเดียวกันการเปล่ียนแปลงในศาสนาก็ จะมีผลกระทบต่อการเมืองและสังคมเช่นเดียวกัน” (สมบูรณ์, 2527)ไม่มีศาสนาใดในโลกที่ไม่มี วัตถุประสงค์เพื่อสังคมและการเมือง ศาสนาจึงไม่อาจปลีกตัวเองออกจากสังคมได้ ดังที่ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส ภิกขุ) ได้กล่าวไว้ว่า “ธรรมะกับการเมืองเป็นส่ิงท่ีแยกกันไม่ได้ แยกกนั เม่ือไรการเมอื งกก็ ลายเป็นเร่อื งทําลายโลกขนึ้ มาทันที 3.2 เนอื้ หาท่สี ําคญั ประจาํ บทเรียน 3.2.1 ความนาํ 3.2.2 ความหมายของศาสนจักรและอาณาจักร 3.2.3 องค์ประกอบของศาสนจกั รและอาณาจักร 3.2.4 สถาบนั อาณาจกั รสมัยพุทธกาล 3.2.5 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งศาสนจกั รกับอาณาจักร 3.2.6 รปู แบบความสัมพนั ธ์ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจกั ร 3.2.7 บทบาทการสงเคราะห์ที่อาณาจกั รมีต่อศาสนจกั ร 3.2.8 สรปุ ความประจําบท 3.3 วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3.3.1 อธบิ ายและวเิ คราะห์ความหมายของศาสนจักรและอาณาจักรได้ 3.3.2 อธิบายและวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของศาสนจักรและอาณาจกั รได้ 3.3.3 อธิบายและวเิ คราะห์สถาบันอาณาจกั รสมยั พุทธกาลได้ 3.3.4 อธิบายและวเิ คราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างศาสนจักรกบั อาณาจกั รได้ 3.3.5 อธบิ ายและวเิ คราะห์รูปแบบความสมั พนั ธ์ระหว่างศาสนจักรกบั อาณาจักรได้ 3.3.6 อธบิ ายและวเิ คราะห์บทบาทการสงเคราะหท์ ่ีอาณาจกั รมตี อ่ ศาสนจกั รได้ 3.4 กจิ กรรมการเรยี นการสอนบรรยาย/อภปิ ราย 1.4.1 ตงั้ ประเด็นปญั หาและแสวงหาคาํ ตอบร่วมกนั 1.4.2 สรปุ เอกสารประกอบคาํ บรรยายแต่ละคาบ 1.4.3 นาํ เสนอผลการคน้ ควา้ ของกลุม่ ตามหัวข้อท่ผี ู้สอนกําหนด

64 3.5 ส่อื การเรยี นการสอน 1.5.1 เอกสารประกอบการสอน 1.5.2. คอมพิวเตอร์ (Power Point) 1.5.3 วดิ ีทศั น์และภาพยนต์ 1.5.4 ทัศนศึกษานอกสถานที่ 3.6 สารตั ถะวชิ ารัฐศาสตรก์ ารเมอื งการปกครองในบทท่ี 3 1. ความนํา 2. ความหมายของศาสนจักรและอาณาจักร 3. องค์ประกอบของศาสนจกั รและอาณาจกั ร 4. สถาบนั อาณาจักรสมยั พุทธกาล 5. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งศาสนจักรกับอาณาจกั ร 6. รูปแบบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศาสนจกั รกับอาณาจกั ร 7. บทบาทการสงเคราะหท์ ี่อาณาจกั รมตี ่อศาสนจักร 8. สรุปความประจาํ บทท่ี 3 3.7 แบบฝกึ หัดตอบคําถามประจาํ บทท่ี 3

65 3.1 ความนํา ศาสนากับการเมอื งมีความสมั พันธ์กันอย่างใกล้ชดิ “การเปล่ยี นแปลงใดๆทีเ่ กิดขึ้นในทาง การเมืองและสังคมย่อมมีผลกระทบต่อศาสนา และในทํานองเดียวกันการเปล่ียนแปลงในศาสนาก็ จะมีผลกระทบต่อการเมืองและสังคมเช่นเดียวกัน” (สมบูรณ์ สุขสําราญ, 2527)ไม่มีศาสนาใดใน โลกที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมและการเมือง ศาสนาจึงไม่อาจปลีกตัวเองออกจากสังคมได้ ดังท่ี พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส ภิกขุ) ได้กล่าวไว้ว่า “ธรรมะกับการเมืองเป็นส่ิงท่ีแยกกันไม่ได้ แยกกันเมอื่ ไรการเมอื งก็กลายเปน็ เร่อื งทาํ ลายโลกขึ้นมาทันที” (ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร, 2522) ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ทรงเข้าไปเก่ียวข้องกับการเมือง แต่พระองค์ทรงเข้าไป เกี่ยวขอ้ งในฐานะท่ีเป็นครู เขา้ ไปในฐานะช่วยขจัดทกุ ข์ พระองคท์ รงเป็นกลางทางการเมืองหรืออยู่ เหนือการเมือง เพราะฉะน้ันพระองค์จึงสามารถประกาศพระศาสนาไปได้ทุกประเทศ ทุกแว่น แคว้น ไม่เลือกว่าแคว้นน้ันๆ จะมีการปกครองในรูปแบบใด พระพุทธศาสนากม็ ีความเก่ียวข้องกบั การเมืองในแง่ของหลักคําสอน ในแง่ของการเสนอหลักการหรือรูปแบบการปกครองที่จะอํานวย ประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนในรัฐนั้นๆ โดยการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะให้เหมาะสมกับ รปู แบบการปกครองของรัฐ โดยไม่ทรงเข้าไปเก่ียวข้องกับการบริหารหรือการปกครองภายใน ของ รฐั แต่อย่างใด การท่ีพระพุทธเจ้าทรงเข้าไปเก่ียวข้องกับการเมืองการปกครอง ในฐานะผู้ช้ีแนวทาง พระองค์มิได้เข้าไปจัดการเงื่อนไขทางสังคม พระองค์อยู่ในฐานะผู้ชี้ทางเท่าน้ัน มิได้ทรงบังคับให้ กระทําตามแต่อยา่ งใด เพียงแต่พระองค์เสนอรูปแบบที่ทรงเห็นว่าจะทาํ ให้ประชาชนในรัฐสามารถ มีความสุขได้ ส่วนการบังคับให้ปฏิบัติตามนั้นมิใช่ภาระหน้าท่ีของพระองค์ ดังพระพุทธพจน์ท่ีว่า “ตุมฺเหหิ กิจฺจ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ความเพียรเป็นกิจท่ีท่านทั้งหลายจะต้องทําเอง ตถาคต ท้ังหลายเปน็ เพียงผู้ชที้ างเท่าน้ัน” ในบทน้ี จึงจะได้กล่าวถึงความหมายของศาสนจักรและอาณาจักร องค์ประกอบของ ศาสนจักรและอาณาจักร สถาบันอาณาจักรสมัยพุทธกาล ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรกับ อาณาจักร รูปแบบความสมั พันธ์ระหวา่ งศาสนจกั รกับอาณาจักร บทบาทการสงเคราะห์ที่อาณาจักร มีต่อศาสนจกั ร ตามรายละเอียดตอ่ ไปนี้

66 3.2 ความหมายของศาสนจักรและอาณาจกั ร 3.2.1 ความหมายของศาสนจักร ความหมายตามพจนานุกรม คําว่า ศาสนจักร หมายถึง อํานาจปกครองทางศาสนา (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546) ซ่ึงหมายถึง ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ในทุกๆด้านรวมต้ังแต่คําส่ัง สอน ตลอดจนถึงข้อบังคับ คําส่ังสอน จะเป็นไปในลักษณะที่นําเสนอส่ิงท่ีดีมีประโยชน์ท่ีควร ประพฤติปฏบิ ัติและส่ิงที่เปน็ โทษ อันควรงดเว้นตามความสามารถของแต่ละคนทจ่ี ะปฏิบัติได้ โดย ไม่มีการบังคับให้กระทําหรืองดเว้น ส่วนข้อบังคับ หมายถึงสิ่งท่ีต้องกระทําตามข้อบังคับ มิฉะน้ัน ปฏิบัติได้โดยไมม่ กี ารบงั คับให้กระทาํ หรอื งดเว้น หมายถงึ สิง่ ทต่ี ้องกระทําตามข้อบังคับ มฉิ ะนั้นจะ เกิดโทษตามบทบัญญตั ทิ ว่ี างเอาไว้ 3.2.2 ความหมายของอาณาจักร ความหมายตามพจนานุกรมคาํ ว่า อาณาจักร หมายถึง เขตแดนที่อยู่ในอาํ นาจปกครองของ รฐั บาลหนงึ่ ๆ อาณาจักร มีอํานาจในการปกครองทั้งทางด้านบริหาร ตุลาการและการทหาร มีขอบเขต ดินแดนในการปกครองชัดเจน แบง่ สัดส่วนการปกครองออกเป็นหน่วย โดยหน่วยการปกครองย่อย จะอยู่ภายในหน่วยการปกครองใหญ่ มีผู้ปกครองเป็นลําดับช้ัน มีอํานาจเป็นใหญ่ในเขตการ ปกครองของตนและต้องเคารพซ่งึ กันและกันตามฐานะ ผู้อาศัยอยู่ในบ้านเมืองในฐานะประชาชนมี สิทธิในการดํารงชีวิตตามอํานาจหน้าท่ีของประชาชน ตามท่ีกฎหมายของบ้านเมืองนั้นกําหนดไว้ และต้องปฏิบัติตามจารีตประเพณีวัฒนธรรม รวมท้ังศีลธรรมและจริยธรรมที่สังคมกําหนดและ คาดหวังใหค้ นในสงั คมนั้นปฏบิ ตั เิ พ่อื ความอยูร่ ่วมกนั อย่างสงบสุข อาณาจักร จึงหมายรวมถึง เขตการปกครอง รูปแบบการปกครอง อํานาจการปกครอง ผปู้ กครอง ผใู้ ตป้ กครอง รวมท้ังรปู แบบวิถีชวี ติ ความเชอื่ คติทเ่ี ป็นทัง้ นามธรรมและรปู ธรรมด้วย เม่ือพิจารณาแล้ว พอสรุปได้ว่า ความหมายของศาสนากับศาสนจักรมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ความหมายของศาสนาจะหมายถึง ลัทธิความเช่ือถือของมนุษย์ในทุกๆด้าน รวมต้ังแต่ คาํ สั่งสอน ตลอดจนถึงข้อบงั คบั คําส่ังสอนจะเป็นไปในลักษณะที่นําเสนอสิ่งท่ดี ีมปี ระโยชน์ที่ควร ประพฤติปฏิบัติและสิง่ ทเี่ ป็นโทษ อันควรงดเว้นตามความสามารถของแต่ละคนท่ีจะปฏบิ ัติได้ โดย ไม่มีการบังคับให้กระทําหรืองดเว้น ส่วนข้อบังคับ หมายถึง ส่ิงท่ีต้องกระทําตามข้อบังคบั มิฉะนนั้ จะเกิดโทษตามบทบัญญัติที่วางเอาไว้ ส่วนความหมายของศาสนจักร หมายถึงอํานาจการปกครอง ทางศาสนา กล่าวคืออํานาจในการตัดสินชี้ถูกหรือผิด เพื่อให้การปกครองเป็นไปโดยความสงบ เรียบรอ้ ย

67 3.3 องค์ประกอบของศาสนจักรและอาณาจักร 3.3.1 องคป์ ระกอบของศาสนจักร ศาสนจักร ซ่ึงหมายถึง การปกครองทางศาสนาท่ีมีองค์ประกอบ ได้แก่ ศาสดา ศาสน ธรรม ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนสถานและศาสนิกชน ซึ่งเกิดข้ึนมาเพ่ือเป็นท่ีพึ่งของประชาชนผู้ ใคร่ในความสงบทางจิตใจ ซงึ่ ทุกศาสนาต้องมีองคป์ ระกอบ ดังมีรายละเอยี ด ดังน้ี 1) ศาสดา ต้องมีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาและศาสดาต้องมีชีวิตอยู่จริงใน ประวัติศาสตร์ เช่น ศาสนายวิ มีโมเสสเป็นศาสดา พระพทุ ธศาสนามีพระพทุ ธเจา้ เปน็ ศาสดา ศาสนา คริสต์มีพระเยซเู ป็นศาสดา และศาสนาอสิ ลามมีนบีมุฮามดั เปน็ ศาสดา เปน็ ต้น 2) ศาสนธรรม ตอ้ งมศี าสนธรรม คือ คาํ สอนซง่ึ เป็นหลักของศาสนา ตอ้ งมคี มั ภรี ์ท่ี เป็นท่ีรวบรวมคําสอน เช่น ศาสนาพราหมณ์–ฮินดู ได้แก่ คัมภีร์พระเวท พระพุทธศาสนา ได้แก่ คัมภีร์พระไตรปิฎก ศาสนายิว ได้แก่ พระคัมภีร์เก่า ศาสนาคริสต์ ได้แก่ คัมภีร์ไบเบ้ิลและศาสนา อิสลาม ไดแ้ ก่ คัมภรี อ์ ลั กุรอาน เป็นต้น 3) ศาสนพิธี ต้องมีพิธีกรรมที่เก่ียวเนื่องมาจากคําสอนของศาสนา ซ่ึงพิธีกรรมน้ี ทําให้ศาสนาแยกออกจากลัทธิได้ พิธีกรรมทางศาสนาส่วนมากจะเป็นบัญญัติ แต่ที่เพ่ิมข้ึนมาใน ภายหลงั ก็มี ศาสนกิ กย็ งั ถือวา่ เป็นเรื่องสําคัญจะขาดเสียมิได้ พธิ กี รรมของศาสนาต่างๆ เช่น พธิ ีสวม สายยัชโญปวีตหรือสายธุรา (เรียกว่าพิธีอุปานยัน) ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พิธีอุปสมบทของ ศาสนาพุทธ พิธลี า้ งบาปของศาสนายิวและศาสนาคริสต์และพธิ ฮี ัจญข์ องศาสนาอสิ ลาม เป็นตน้ 4) ศาสนบุคคล ต้องมีคณะบุคคลสืบทอดคําสอนของศาสนา ซึ่งถือเป็นผู้ปฏิบัติ ตามหลักคําสอนของศาสนาโดยตรง เช่น พระ นักบวช นกั พรต ในศาสนาตา่ งๆ 5) ศาสนสถาน ต้องมีศาสนสถานเพื่อประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีต่างๆ ศาสน สถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แก่ เทวสถานหรอื เทวาลัย ของพระพทุ ธศาสนาได้แก่ วดั โบสถ์ วหิ าร ศาสนาคริสต์ ไดแ้ กโ่ บสถ์ วิหาร ศาสนาอสิ ลาม ได้แก่สเุ หร่าหรือมัสยดิ เป็นต้น 6) ศาสนิกชน ต้องมีศาสนิกชนผู้นับถือเล่ือมใสศรัทธาในศาสนานั้นๆซ่ึงศาสนิก ชน ดังกล่าวเหล่าน้ี มักเรียกตามชื่อของศาสนาที่ตนนับถือ เช่น ฮินดูชน พุทธศาสนิกชน คริสตศ์ าสนกิ ชน อิสลามิกชนหรอื มุสลิม เป็นต้น 7) การกวดขันเร่ืองความภักดี ต้องมีการกวดขันเรื่องความภักดี ซึ่งองค์ประกอบ ข้อนี้ทําให้ศาสนาแยกออกจากลัทธิ เพราะถ้าเป็นลัทธิบุคคลหนึ่งอาจจะนับถือหลายๆลัทธิในเวลา เดียวกันได้ แต่สาหรับศาสนาจะนับถือได้เพียงศาสนาเดียว จะไม่นับถือหลายศาสนาในเวลา

68 เดียวกัน การกวดขันเร่ืองความภักดีในศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กวดขันเร่ืองการ ดําเนินชีวิตตามหลักอาศรม 4 พระพุทธศาสนากวดขันเร่ืองไตรสรณาคมน์ ศาสนาคริสต์กวดขัน เรื่องการไปสวดมนต์ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ ศาสนาอิสลามกวดขันเรื่องหลักปฏิบัติหรือหน้าท่ีใน ศาสนา เป็นต้น องค์ประกอบทั้ง 7 ประการน้ี ในบางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนึ่งไป แต่ก็ยังถือว่าเป็น ศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ขาดองค์ประกอบข้อท่ีหน่ึง คือ ศาสดาไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงใน ประวัติศาสตร์ เพราะตามความเชื่อและความรู้สึกของฮินดูชนจะไม่ยอมรับมนุษยว์ ่าเป็นศาสดา แต่ ถือว่าศาสดาต้องเป็นพระเจ้า แม้คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาจะกล่าวถึงฤๅษี 10 ตนว่าเป็นผู้ก่อต้ัง (ผูก มนต)์ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดแู ละได้กล่าวช่ือฤๅษีทัง้ 10 ตนไว้ดว้ ย แตค่ นฮนิ ดูจะไมเ่ ช่ือเชน่ นนั้ ส่วน ศาสนาอิสลามขาดองค์ประกอบขอ้ ท่ี 4 คือ ศาสนบคุ คลเพราะผนู้ บั ถอื ศาสนาอิสลามไม่มีการถือเพศ เป็นบรรพชติ คงมแี ตเ่ พศฆราวาสเท่าน้นั การมีอยู่ขององค์ประกอบต่างๆของศาสนจักรเหล่าน้ี สามารถเป็นดัชนีชี้วัดความรุ่งเรือง หรือความร่วงโรยของศาสนจักรซึ่งอยู่ในอาณาจักรใดๆได้ หากศาสนารุ่งเรืองมาก ในอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง ย่อมปรากฏองค์ประกอบของศาสนจักรเป็นจํานวนมาก เช่น วัดวาอาราม บรรพชิต นักบวชหรือศาสนิกชนซ่ึงเป็นคนในอาณาจักรนั้นๆเอง แต่ถ้าหากศาสนาเส่ือมลงในอาณาจักรใด อาณาจักรหน่ึง ส่ิงท่ีสื่อถึงศาสนจักรย่อมทรุดโทรมเส่ือมสลาย ถูกทําลายและลดน้อยลง และสิ่ง สําคัญที่จะทําให้ศาสนจักรยังคงดํารงอยู่ในอาณาจักรได้หรือไม่นั้นก็คือ ศาสนิกชน หากแม้ผู้ที่ อาศัยอยู่ในอาณาจักรไม่ได้เป็นศาสนิกชน ศาสนาย่อมขาดผู้อุปถัมภ์คํ้าจุน นักบวชย่อมขาดผู้ อปุ ฏั ฐากยากไร้ ลําบากท่จี ะสบื อายขุ องศาสนาในอาณาจักรน้ันตอ่ ไปได้ 3.3.2 องค์ประกอบของอาณาจักร แนวความคิดเกี่ยวกับความหมายของอาณาจักรยังหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งน้ีเพราะมีผู้ให้คํา นิยามมากมายว่า อาณาจักรนั้นควรจะหมายความว่าอย่างไร ความยุ่งยากสับสนมาจากแนวคิดหรือ วธิ กี ารคดิ ของนกั คดิ ต่างๆแต่จากคํานิยามความหมายตา่ งๆ ทําให้สามารถแบง่ องค์ประกอบท่ีสําคัญ ของอาณาจักรออกได้เป็น 4 ประการ คือ ประชาชน ดินแดน รัฐบาลและอํานาจอธิปไตย มี รายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1) ประชาชน คอื ผู้ท่ีเป็นองค์ประกอบทส่ี าํ คัญทสี่ ดุ ของอาณาจกั รเพราะประชาชน เป็นผู้สร้างวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และแบบแผนการบริหารการปกครองของอาณาจักร ประชาชนเป็นปัจจัยสําคัญท่ีสามารถทําให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองหรือเส่ือมโทรมได้ ส่ิงที่ต้อง

69 พิจารณาเก่ียวกับประชาชน คือ จํานวน เชื้อชาติและวัฒนธรรม ประเภทและชนช้ัน ที่สําคัญ คือ คณุ ภาพของประชากร 2) อาณาเขตหรือดินแดน คือ การท่ีอาณาจักรจะจัดต้ังสังคมของตนข้ึนเป็นได้น้ัน นอกจากจะมปี ระชากรแล้ว ยงั จะตอ้ งสามารถครอบครองดนิ แดนถ่ินที่อย่เู ป็นของตนอยา่ งเป็นหลัก แหล่ง มีอาณาเขตท่ีแน่นอนและเป็นท่ียอมรับของอาณาจักรอ่ืนๆว่ามีอาณาจักรน้ันๆอยู่จริง ไม่โดย ทางพฤตนิ ยั ก็โดยทางนติ ินยั หรอื ท้งั สองอยา่ ง 3) รัฐบาล หมายถึง องค์กรหรือหน่วยงานซ่ึงทาหน้าที่ปกครองและบริหารกิจการ ภายในอาณาจักรเพ่ือจัดระเบียบและดาเนินการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนโดยสว่ นรวม เป็น องคก์ รสาํ คัญท่ีทําให้อาณาจักรดําเนินไปในทิศทางใด เป็นผกู้ ําหนดนโยบายและวางแนวทางให้กับ อาณาจักร รวมท้ังเป็นตัวแทนของอาณาจักรในการติดต่อกับอาณาจักรอื่นๆ รัฐบาล เป็นสถาบัน หลักทางการเมือง มีหน้าที่หลักในการสร้างและรักษากฎหมายเพื่อความยุติธรรมและความสงบสุข ของบ้านเมอื ง 4) อํานาจอธิปไตย หมายถึง อํานาจสูงสุดในการปกครองและการบริหารของ อาณาจักรท่ีชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะถาวร แสดงออกในรูปของการบังคับบัญชาผู้ท่ีอยู่อาศัย ภายในอาณาจักรน้ันๆ โดยใช้กฎหมายเป็นเคร่ืองมือ อํานาจอธิปไตยน้ันมีความสําคัญย่ิง เพราะจะ เช่ือมโยงไปถึงรัฐธรรมนูญของอาณาจักรน้ันๆด้วย เป็นเครื่องแสดงความเป็นอิสระหรือความเป็น เอกราช อาํ นาจอธิปไตยอาจต้ังอย่บู นรากฐานของอาํ นาจบังคบั หรือความยนิ ยอมของประชาชน 3.4 สถาบนั อาณาจักรสมยั พทุ ธกาล 3.4.1 ความเปน็ มาของอาณาจกั รสมยั พุทธกาล ชมพทู วปี หรืออินเดียปจั จุบันเป็นดนิ แดนที่กว้างใหญไ่ พศาลมาก ชนชาติเดิมทีส่ ุด ที่อาศยั อยู่ในอินเดียครั้งแรกนั้น เท่าท่ีนักประวัติศาสตร์ค้นหาหลักฐานมาได้ว่า ชนชาติเดิมที่อาศัยอยู่ใน อินเดียก่อนท่ีพวกอารยันจะเข้ามา คือ พวกนิกริโต โซนตาล มุนดาและโกลาเรียน ซ่ึงปัจจุบันน้ียงั มี อาศัยอยู่บ้างในแคว้นพิหาร เบงกอล และตอนกลางของอินเดียบางส่วน คร้ันต่อมาได้มีการขนาน นามชนอีกพวกหนึ่งที่มีความเจริญน้อยกว่าว่า ทัสยุ หรือ มิลักขะ และเรียกตัวเองว่า อารยันหรือ อริยกะ ประมาณ 1,500 ปี ก่อนพุทธกาลหรือประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ชนชาติอารยันได้เคล่ือนย้าย จากแหลง่ เดิมเขา้ มาส่อู นิ เดยี การเคลอ่ื นย้ายของอารยันไดแ้ บ่งออกเป็นสองสาย คือ สายหนึง่ ไปทาง ทิศตะวันตก เป็นชาติอารยันยุโรป อีกสายหน่ึงมาทางทศิ ตะวันออกเฉียงใต้ มาตั้งถ่ินฐานอยู่ทางทิศ ตะวันออกของทะเลสาบแคสเปยี น ซึ่งบดั น้เี รียกวา่ ตรุ กสี ถาน

70 เมื่อพวกอารยันเข้ามาสู่อินเดียก็ได้ขับไล่พวกดราวิเดียน หรือมิลักขะ ซ่ึงเป็นเจ้าของถ่ิน เดิมให้ถอยร่นลงไปทางทิศใต้ของอินเดียพวกอารยันก็ครอบครองอินเดียตอนเหนือและตอนกลาง ไว้หมด ในเบื้องต้นพวกอารยันอยู่รวมกันเป็นเผ่ามีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้นํา มีการดําเนินชีวิตแบบเล้ียง สัตว์เร่ร่อน การปกครองเป็นไปแบบพ่อปกครองลูก มีทรัพย์สินที่สําคัญท่ีสุด คือ ปศุสัตว์ การนับ ความมั่งค่ังของชาวอารยันในสมัยน้ันนับกันท่ีใครมีปศุสัตว์มากกว่ากัน เผ่าใดมีปศุสัตว์มากถือว่า เผ่านั้นมีฐานะเป็นปึกแผ่นม่ันคง ดังน้ันจึงมักเกิดมีการทําสงครามแย่งชิงปศุสัตว์เพ่ือแย่งชิงความ เปน็ ใหญ่เกิดข้ึนเนืองๆ สภาพทางสังคม เมอ่ื พวกอารยันข้ามมาสู่อินเดยี แลว้ ก็ได้มีการผสมเผา่ พันธุ์กันกับเจ้าของ ถ่ินเดิม ลัทธิความเช่ือต่างๆก็ได้ผสมกลมกลนื กนั เข้าจนต่อมาแยกไม่ออกว่าประเพณีลัทธิความเชือ่ ของชนชาติต่างๆเหล่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร ในยุคน้ีพวกอารยันยังไม่ได้แบ่งช้ันวรรณะ อยา่ งจริงจงั นัก โดยแบง่ คนออกเปน็ ชนช้นั ตามอาชพี คือ นกั บวช นกั รบและพ่อคา้ แตย่ ังไม่มีระบบ วรรณะ การประกอบอาชีพของคนพวกน้ียังไม่ได้กําหนดเป็นการสบื ตระกลู กฎเกณฑ์ ท่ีจะควบคุม การแต่งงานในระหว่างชนชั้นต่างๆยังไม่มขี ้อห้าม ดังน้ันการแบ่งคนออกเป็นช้นั ในระยะแรกๆ จึง เป็นการจัดกลุ่มชนทางสังคมและเศรษฐกจิ อยา่ งง่ายๆ คร้ันต่อมาพวกพราหมณ์ได้จัดระบบสังคมขึ้นมาใหม่ เพ่ือให้เหมาะสมกับฐานะหน้าที่ การงาน โดยแบง่ ชนออกเปน็ สพ่ี วกเรยี กวา่ วรรณะทั้ง 4 คือ 1) วรรณะกษัตรยิ ์ มีหน้าท่ีในการออกรบและการปกครอง 2) วรรณะพราหมณ์ มหี น้าทีใ่ นการศกึ ษาพระคมั ภีร์ ประกอบพธิ ีกรรม ทางศาสนา 3) วรรณะแพศย์ มีหนา้ ทีใ่ นทางค้าขาย 4) วรรณะศูทร มีหน้าทีใ่ นทางรับใชท้ ําการงานเปน็ กรรมกร การจัดระบบทางสังคมนี้เกิดจากปัญหาทางเชื้อชาติและการเมือง ระหว่างพวกอารยันกับ พวกดราวิเดียนและพวกป่าเถือ่ นที่อยู่ในอินเดียมาก่อนพวกอารยัน การปฏิบัติต่อกันระหว่างชนช้นั เหล่าน้ีทําให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะกันขึ้น ในช้ันแรกยังไม่รุนแรงและนับว่ามีประโยชน์ ในการ ปกครองมาก เพราะได้แบ่งวรรณะไว้ตามฐานะและภูมิชั้นของบุคคล แต่ต่อมาระบบน้ี ถูกแปรไป ในความหมายอื่น พวกพราหมณ์อ้างว่าการจัดแบ่งวรรณะเช่นนี้มิใช่ตัวเองเป็นผู้แบ่งแต่เป็นพระ ประสงคข์ องพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนกําหนดไว้ จงึ ไดถ้ อื กันอย่างเคร่งครัดมาก ผทู้ เ่ี กิดในวรรณะไหน ก็ต้องดํารงตนอยใู่ นวรรณะนน้ั ตลอดไปและการประกอบอาชีพก็ต้องให้เป็นไปตามหนา้ ทขี่ องตนๆ จะทํางานก้าวก่ายข้ามวรรณะกันไม่ได้ ลูกหลานท่ีเกิดมาก็ต้องดําเนินตามรอยบรรพบุรุษของตน ต่อไป การเปล่ียนหน้าท่ีน้ันนอกจากจะถือว่าเป็นการทรยศต่อตัวเองแล้ว ยังถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคํา

71 บัญชาของพระเจ้าด้วย เดิมทีเดียวพวกพราหมณ์ได้ยกวรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะที่สูงสุดและ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าวรรณะอ่ืนๆผู้ที่เกิดในวรรณะสูงถือตนว่าเป็นผู้ย่ิงใหญ่และบริสุทธ์ิกว่าพวกวรรณะ ตํ่า แล้วใช้วรรณะของตนโดยอ้างว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าบังคับผู้ที่เกิดในวรรณะตํ่า รองลงมา ถ้าฝ่าฝืนก็ถูกพระเจ้าลงโทษ เรียกกันว่า เทวฑัณฑ์บ้าง พรหมฑัณฑ์บ้าง พวกที่เกิดใน วรรณะตํ่าโดยเฉพาะพวกศูทรหรือจัณฑาล ต้องยอมรับปฏิบัติตามคําสั่งของพราหมณ์โดยไม่มี ข้อแม้แต่อย่างใด เพราะนอกจากกลัวอํานาจของพวกท่ีมีอํานาจเหนือตนแล้วยังกลัวพระเจ้าจะ ลงโทษอีกด้วย พวกศทู รจงึ เปน็ พวกท่ีได้รับชะตากรรมท่นี ่าสงสารทสี่ ุด สภาพการเมืองการปกครอง ในยุคพระเวทนั้นองค์กรทางการเมืองของอินเดียยังไม่มี ลกั ษณะเป็นรัฐ เพราะยังเปน็ การปกครองแบบเผ่า ไมม่ ีอาณาเขตหรือดินแดนท่ีแน่นอน แต่หลังจาก พวกอารยันได้ชัยชนะเหนือพวกดราวิเดียน ทําให้ความเป็นอยู่แบบเล้ียงสัตว์เร่ร่อน ได้ส้ินสุดลง มี การสร้างหมู่บ้านเป็นหลักแหล่ง มีการทํากสิกรรม ทําให้สังคมเล็กๆได้พัฒนาเป็นสังคมใหญ่ข้ึน มี การประกอบพิธีกรรมมากขึ้น ในลักษณะสังคมแบบชนเผ่าน้ัน ระบบเครือญาติเป็นหน่วยสําคัญ ของสังคม การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก เช่น กุละ หรือครอบครัว มีบิดาเป็นหัวหน้า ครอบครัว ซ่ึงเรียกว่า กุลปะ มีหน้าท่ีดูแลสมาชิกให้อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี คามหรือหมู่บ้าน มีคามิ นะหรอื คามณี เปน็ หวั หน้า ทําหน้าที่ทั้งฝา่ ยทหารและพลเรือน หลายๆหมูบ่ ้านรวมกันเรียกว่า วศิ ยะ หรอื วศิ มวี ศิ บดเี ปน็ หวั หนา้ หลายๆวศิ ยะรวมกนั เปน็ ชน มรี าชนั ย์หรือกษตั ริยเ์ ป็นหัวหนา้ ในสมยั นมี้ ีสถาบนั ทางการเมืองทค่ี อยจาํ กดั อาํ นาจของพระราชาไมใ่ ห้มมี ากจนเกินไป ซึง่ ได้แก่ สภาและสมิติ นอกจากพระราชาถูกทอนอํานาจด้วยสภาและสมิติแล้ว ยังถูกทอนอํานาจด้วย สิทธิพเิ ศษของพวกปุโรหิต ซง่ึ เปน็ หวั หนา้ ของพวกพราหมณ์ประจาํ ราชสานกั เพราะพวกพราหมณ์ นั้นเช่ือว่าเป็นผู้ที่สามารถสวดมนต์อ้อนวอนให้เทพเจ้าดลบันดาลให้พระราชาชนะในการรบได้ ตามความเช่ือถือของพวกอารยันที่นับถือเทพเจ้าโดยมีพราหมณ์เป็นผู้กระทําพิธีกรรมทางศาสนา ด้วยเหตุน้ีพราหมณ์จงึ เปน็ ส่วนสําคัญของสงั คม ต่อมาในยุคปลายพระเวทอํานาจของราชามากข้ึน เพราะได้มีการโยงเอาสถาบันกษัตริย์ กับเทพเจ้าเข้าด้วยกัน คือ ถือว่าเทพเจ้าได้มอบคุณสมบัติอันน่านับถือต่างๆ ให้แก่พระราชา แต่ ถึงแม้ว่าอํานาจของพระราชาจะมีมากในยุคน้ี แต่พระราชาก็มิได้ทรงเป็นเผด็จการเพราะถ้า พระราชาประพฤติตนนอกทางแหง่ ธรรมะ ประชาชนอาจจะมสี ิทธิขบั ไล่ตอ่ ต้านพระราชาได้ ลักษณะทางการปกครองมีการปกครองอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบราชาธิปไตย มี พระมหากษัตริย์มีอํานาจในการปกครอง มีตําแหน่งท่ีลดหล่ันกันลงมา คือ ปุโรหิต เสนาบดี เสนา แต่ส่วนย่อยมีสภาการปกครองจากจุดย่อย คือ คาม นิคม ชนบท ระดับชนบทยังมีหัวหน้าใหญ่ ทํานองเจ้าประเทศราชปกครองอีกด้วยและแบบสาธารณรัฐซึ่งมี 2 แบบด้วยกัน คือสาธารณรัฐ

72 เฉพาะตัวเป็นรัฐๆไป เป็นการปกครองแบบสภาของตระกูลนั้นๆโดยประธานสภาเป็นกษัตริย์ กับ เป็นแบบสมาพันธรัฐ คือ มีรัฐอิสระหลายๆรัฐมารวมกันมีการสับเปล่ียนกันเป็นพระราชาของ สาธารณรฐั โดยมกี ารกําหนดอายขุ องพระราชา 3.4.2 รัฐในสมัยพทุ ธกาล ในสมัยนี้อารยธรรมอินเดียได้เจริญรุ่งเรืองในสังคม วรรณะพราหมณ์ได้มีบทบาทและมี อํานาจในสังคมมากขึ้นระบบวรรณะจะเข้มงวดและรัดกุมมากขึ้น ชนช้ันต่ําได้รับการกดข่ีข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ สภาพเช่นนี้ทําให้วรรณะอื่นๆ เช่น วรรณะกษัตริย์รู้สึกไม่พอใจวรรณะพราหมณ์ และได้พยายามท่ีจะหาแนวทางปรับปรุงสภาพของสังคมอินเดีย ในด้านการเมืองแคว้นต่างๆ ได้ถือ กําเนิดเป็นรัฐข้ึน เพราะมีอาณาเขตที่แน่นอนและมีการปกครองที่เป็นระเบียบ มีระบบการจัดเก็บ ภาษีซ่ึงแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจแบบเมืองได้เจริญข้ึนแล้ว ภาษีต่างๆเหล่าน้ีทําให้รัฐม่ังคั่งและมี ความมนั่ คง รัฐในสมยั พทุ ธกาลนต้ี ามทปี่ รากฏหลกั ฐานในอุโปสถสูตร มดี ว้ ยกนั 16 รฐั คือ 1) รัฐกาสี เปน็ แคว้นสาํ คญั แคว้นหนึง่ ในมชั ฌิมประเทศ มนี ครหลวงชื่อว่า พาราณ สี ในสมัยพุทธกาลแควน้ กาสีเป็นมหาชนบททม่ี ีความสาํ คัญทางการเมืองมากและมักจะทําสงคราม กับรัฐโกศลอยู่เนืองๆและกาสีมักจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ตกมาในสมัยพุทธกาล อํานาจของแคว้นกาสี ออ่ นลง ดนิ แดนส่วนใหญต่ กไปอยใู่ นอํานาจการปกครองของกษัตรยิ ์แหง่ โกศล 2) รัฐโกศล มีเมืองหลวงช่ือว่า สาวัตถี เป็นเมืองท่ีร่ํารวยและงดงาม ในสมัย พุทธกาลแคว้นโกศลเป็นแคว้นที่รุ่งเรืองและมีอํานาจมาก แคว้นกาสีในสมัยน้ันก็ขึ้นอยู่กับแคว้น โกศล มีหลักฐานมากแห่งทั้งทางฝ่ายพทุ ธและฝ่ายอ่ืนๆแสดงว่าแคว้นสักกะหรือศากยะอันเป็นวงศ์ ของพระพุทธเจ้าก็ตกอย่ใู ต้อาํ นาจหรอื ความค้มุ ครองของแคว้นโกศล 3) รัฐอังคะ มีเมืองหลวง ช่ือจัมปา ในสมัยก่อนพุทธกาลเคยมีอํานาจแต่ต่อมาใน สมัยพุทธกาลก็ตกอยู่ภายใต้อํานาจของแคว้นมคธ ในมหาโควินทสูตรมีข้อความตอนหน่ึง ท่ี กล่าวถึงอังคชนบทวา่ เปน็ 1 ใน 7 สว่ นของชมพูทวปี ในด้านการปกครอง 4) รัฐมคธ มีเมืองหลวงช่ือ กรุงราชคฤห์ เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่ สําคัญย่ิงในสมัยพทุ ธกาล มคธเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในแถบอินเดียตอนบนและเป็นมหาอํานาจ 1 ใน 4 ของชมพูทวปี ซงึ่ ได้แก่ แควน้ วังสะ แคว้นโกศล แคว้นอวันตี แควน้ มคธ 5) รัฐวัชชี มีเมืองหลวงชื่อเวสาลี เป็นแคว้นท่ีปกครองแบบสาธารณรัฐ กล่าวว่า คณะผู้ปกครองแคว้นมีถึง 8 ราชวงศ์ด้วยกันและในจํานวนน้ีวงศ์ลิจฉวีแห่งเวศาลีและวงศ์วิเทหะ แห่งมิถิลาเปน็ วงศท์ ่มี ีอาํ นาจมากที่สดุ

73 6) รัฐมัลละ อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นวัชชี แคว้นนี้มีการปกครองแบบ สาธารณรัฐหรือระบบสามัคคีธรรม แยกเมอื งหลวงออกเป็นสองสว่ น คือ กสุ นิ าราและปาวา 7) รัฐเจตีหรือเจติยะ อยู่ทางทิศใต้ของแคว้นวังศะ มีเมืองหลวงชื่อ โสตถวดี ใน คมั ภีรอ์ ังคุตตรนกิ ายมีข้อความระบุวา่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ โปรดชาวเจตีหลายคร้ัง 8) รัฐวังสะ อยู่ทางทิศใต้ของแคว้นโกศล ทางทิศตะวันตกของแคว้นกาสี และทาง ทิศเหนือของแคว้นอวันตี มีนครหลวงชื่อโกสัมพี มีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ปกครอง รัฐน้ีรุ่งเรืองและ มี อาํ นาจมากรฐั หนึ่ง พระพุทธองค์เคยเสด็จไปยงั กรงุ โกสัมพหี ลายครั้ง 9) รัฐกุรุ มีเมืองหลวงชื่อ อินทปัตถ์ อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นปัญจาละ พระราชา ผู้ครองแคว้นน้ีในสมัยพุทธกาล คือ พระเจ้าโกรัพยะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เทศนาท่ีมขี อ้ ความลกึ ซึง้ เชน่ มหานทิ านสตู รและมหาสติปฏั ฐานสูตรแก่พทุ ธบริษทั ท่ีแคว้นกุรุ 10) รัฐปัญจาละ อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นกุรุ มีเมืองหลวงชื่อกมั ปิลละ เมือง น้ีไมเ่ ก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาในพุทธกาลมากนัก 11) รฐั มัจฉะ อยู่ทางทศิ ใต้ของแคว้นสรุ เสนะ มีเมอื งหลวงช่อื วิราฎนคร ในนทิ าน ชาดกมีข้อความระบุถึงว่า ชาวมหาชนบทมัจฉะได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการแข่งขันการเล่นสกา ระหวา่ งกษตั ริยแ์ หง่ แควน้ กรุ ุ กบั ปณุ ณกะเศรษฐีแห่งนครราชคฤห์ มีปรากฏในวิธูรบัณฑติ 12) รฐั สรุ เสนะ มเี มืองหลวงช่ือว่า มถุรา ในสมยั พุทธกาลกษัตริยข์ องแคว้นน้ี ทรง พระนามว่า มธุราชอวันตีบุตร กล่าวกันว่าพระพุทธศาสนาต้ังหลักในแคว้นสุระเสนะได้ด้วยความ ปรีชาสามารถของพระมหากัจจายนะ ท่ีได้สนทนาธรรมกับพระเจ้ามธุราชอวันตีบุตรถึงกับทรงมี พระราชศรัทธาเล่ือมใสแสดงพระองคเ์ ปน็ อุบาสก 13) รัฐอัสสกะ มีนครหลวงชื่อ โปตนะ มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า อรุณ คัมภีร์ พระพทุ ธศาสนากลา่ วถงึ แคว้นอัสกะวา่ เป็นที่ตงั้ อาศรมของพราหมณ์พาวรี ริมฝงั่ แมน่ ้าํ โคธาวรี 14) รฐั อวนั ตี มเี มอื งหลวงช่ือ อชุ เชนี ผปู้ กครองในสมัยพุทธกาล คือ พระเจา้ จัณฑ ปัชโชติ อวันตีเป็นแคว้นท่ีสําคัญ ใน 4 แคว้นที่ปกครองด้วยระบบราชาธิปไตย คือ มคธ โกศล และ วังสะ แคว้นอวนั ตรี ุ่งเรืองมากในสมัยพุทธกาล พระเจา้ จัณฑปชั โชตมิ ีความสัมพันธ์กันอยา่ งใกล้ชิด กบั พระเจ้าพมิ พิสารแห่งแคว้นมคธ 15) รัฐคันธาระ มีเมืองหลวง คือ ตักสิลา มีกษัตริย์คือพระเจ้าปุกกุสาติ พระองค์ ทรงมีสัมพันธ์ไมตรีอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าพิมพิสาร เมืองน้ีเป็นเมืองแห่งการศึกษาเป็นท่ีนิยมของ บุคคลชนั้ สูงในสมัยนั้น เชน่ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล พระเจา้ มหาลกิ ส็ าํ เร็จการศึกษาจากแคว้นน้ี

74 16) รัฐกมั โพชะ อย่เู หนอื สุดตั้งอยู่เหนือคนั ธาระ กมั โพชะเปน็ แหล่งกาํ เนดิ ของ ม้า พันธ์ุดี รูปร่างสวยงามแข็งแรง ในสมัยพุทธกาลไม่ปรากฏว่าพระพุทธศาสนาได้แผ่ไปถึงแคว้นกัม โพชะในคมั ภรี อ์ ินเดียโบราณแควน้ กมั โพชะมักจะไดร้ บั การกล่าวขานคู่กนั ไปกบั แควน้ คนั ธาระ นอกจากน้ีในคมั ภีร์ตา่ งๆยงั ปรากฏรายชอื่ ของแคว้นอน่ื ๆ อกี เชน่ แคว้นโสวีระ สกั กะ ภคั คะ พูลลิ โกลิยะ เป็นต้น ในยุคพุทธกาลน้ีมีการปกครองทั้งสองระบบ คือ ระบบราชาธิปไตยกับ ระบบสามัคคีธรรม จะเห็นได้ว่าระบบราชาธิปไตยในสมัยพุทธกาลนี้พระราชาจะมีอํานาจสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีสภาและสมิติเหมือนกับสังคมระดับเผ่าท่ีใช้กันก่อนสมัยพุทธกาล เพราะในยุคนี้เป็น รัฐท่ีมีอาณาเขตกว้างขวาง ไม่สามารถนําความคิดเห็นของเผ่ามาใช้กับกลุ่มคนที่ไม่ได้นับถือพระ เวทท่ีอยู่ในรัฐเดยี วกันได้ ความเป็นเผ่าถกู แทนท่ีดว้ ยระบบวรรณะ ระบบการเมอื งการปกครองแบบ เผา่ จงึ เสอื่ มสลายไป รัฐที่ปกครองด้วยระบบราชาธปิ ไตย เช่น รัฐมคธ ปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสาร รัฐโกศล ปกครองโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล รัฐวังสะปกครองโดยพระเจ้าอุเทนและรัฐอวันตีปกครองโดย พระเจ้าจัณฑปัชโชติ ระบบการปกครองแบบนี้เป็นคู่แข่งกันในการต่อสู้แย่งชิงอํานาจกับระบบ สามัคคีธรรม แต่รัฐที่ปกครองด้วยระบบราชาธปิ ไตยจะมีความเข้มแข็งมากกว่า และได้ปราบปราม รัฐที่ปกครองด้วยระบบสามัคคีธรรมไว้ในอํานาจเกือบหมด คงเหลือแต่รัฐวัชชีรัฐเดียว ที่ยังคง เข้มแข็งอยู่ แต่หลังจากพุทธปรินิพานไม่นานรัฐวัชชีก็ตกอยู่ใต้อํานาจของรัฐมคธซ่ึงปกครองโดย ระบบราชาธิปไตย ส่วนรัฐท่ีมีการปกครองแบบสามัคคีธรรม คือ เป็นการปกครองแบบไม่มีกษัตริย์เป็น ประมุขทรงอํานาจเด็ดขาด มีแต่ผู้ได้รับเลือกให้ทําหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐ แล้วบริหารงานโดย การปรึกษาหารือกับสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกแห่งเจ้าวงศ์ต่างๆซึ่งรวมกันเข้าเป็นคณะผู้ครอง แควน้ การปกครองแบบน้นี ับไดว้ ่าเป็นประชาธิปไตยระดับหน่ึง เพราะเวลามีเรอ่ื งราวต่างๆ ของรัฐ เกิดขึ้น พวกชนท่ีมีหน้าท่ีในการปกครองก็จะประชุมพิจารณากันในสถานที่ท่ีเรียกว่า“สัณฐาคาร”มี ลักษณะคล้ายๆกับสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบัน ท่ีสมาชิกสภาต้องประชุมพิจารณาเร่ืองราวต่างๆ รวมท้ังการออกกฎหมาย การตัดสินใจในกจิ กรรมเกย่ี วกบั อาณาจักรกันในสภา ในการใชส้ ณั ฐาคาร ก็เช่นเดียวกัน เป็นสถานท่ีสําหรับการประชุมพิจารณาเร่ืองราวต่างๆในการปกครองของรับ เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงขอพระราชธิดาของเจ้าศากยะเพ่ือมาเป็น พระมเหสี พวกศากยะก็ยก เรอ่ื งนีเ้ ข้าพจิ ารณากันในสณั ฐาคาร หรอื ในตอนท่ีพระพทุ ธเจ้าเสด็จดับขันธปรนิ ิพพาน พวกกษตั ริย์ มัลละก็เข้าไปประชุมกันในสัณฐาคารเพ่ือจะพิจารณาว่า จะจัดการกับพระพุทธสรีระอย่างไร และ ตอนที่พระอานนท์ไปแจ้งข่าวการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแก่เจ้ามัลละ ก็ได้ไป ชี้แจงท่ีสัณฐาคารในขณะท่ีเจ้ามัลละกําลังประชุมกันอยู่ ระบบสามัคคีธรรมน้ีมีหลักการคล้ายคลึง

75 กับระบบประชาธิปไตยอยู่หลายประการ อาจถือได้ว่าเป็นระบบประชาธิปไตยสมัยโบราณ หลักการของระบบน้ที ่ีสาํ คญั ท่สี ุด คอื ความสามคั คี ตราบใดทย่ี ังมีความสามคั คกี ันอยอู่ าณาจกั รก็จะ มีความเข้มแข็ง แต่เม่ือเกิดการแตกแยกความสามัคคี เกิดการแก่งแย่งชิงอํานาจกัน อาณาจักรก็ไม่ สามารถดํารงอยู่ได้ 3.4.3 การปกครองอาณาจักรในสมยั พุทธกาล การเมืองการปกครองของอินเดียโบราณ มีมูลเหตุมาจากบรรดารัฐหรือแคว้นอิสระซงึ่ ทาํ สงครามแย่งชิงอํานาจกันทําให้รัฐต่างๆลดจํานวนลง เพราะถูกผนวกเข้ากับแคว้นท่ีชนะสงคราม แคว้นทชี่ นะสงครามเหลา่ น้ีจึงมีอาณาเขตขยายออกไปและมีแคว้นที่แพ้สงคราม เป็นแควน้ ในความ ปกครอง การปกครองอาณาจักรในสมัยพทุ ธกาล สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1) รัฐแบบราชาธิปไตย คือรัฐที่ปกครองโดยพระราชา มี 4 อาณาจักร คือโกสัมพี (หรือวัตสะ) อวันตี โกศลและมคธ อาณาจักรเหล่าน้ีต่างก็ต้องการมีอํานาจเหนืออาณาจักรอ่ืนๆจึง เกดิ การแขง่ ขนั กนั ในการสรา้ งเสรมิ กาํ ลัง ดังนี้ (1) อาณาจักรวัตสะ เมืองหลวง คือ โกสัมพี ในสมัยพุทธกาลกษัตริย์ที่ ปกครองเมืองนี้คือ พระเจ้าอุเทนหรืออุทยนะ โอรสของพระเจ้าศตานีกะปรันตปะ แห่งราชวงค์ ภา รตะ หลังรัชสมัยของพระองค์ อาณาจักรถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรอวันตี ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าส่งพระสาวกมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงโกสัมพี แรกๆพระเจ้าอุเทนไม่ทรงพอ พระทัย แตเ่ มอ่ื ได้สนทนากับพระปิณโฑลภารทวาชะแลว้ ก็ทรงพอพระทัยในคําสอนน้ัน (2) อาณาจักรอวันตี เมืองหลวง คือ อุชเชนี พระเจ้าจัณฑปัชโชติเป็น กษัตรยิ ท์ รงมีอํานาจมาก ถงึ กับครงั้ หน่ึงพระเจ้าอชาตศัตรูเตรียมป้องกันพระนครของพระองค์อย่าง แข็งแรงเพ่ือเตรียมรบั ศกึ อาณาจักรอวนั ตเี ปน็ ศูนยก์ ลางสาํ คัญของพระพุทธศาสนาอีกแห่งหนง่ึ เปน็ บ้านเกดิ ของพระสาวกสําคัญๆ เชน่ พระมหากจั จายนะ พระโสณ อภยั กมุ าร เป็นตน้ (3) อาณาจักรโกศล เมืองหลวง คือ สาวัตถี ในสมัยพุทธกาลกษัตริย์ท่ี ปกครองเมืองนี้มีหลายองค์ แต่ที่มีช่ือเสียง คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงได้ชื่อว่าเป็นราชา เป็น หัวหน้าแห่งราชา ทั้ง 5 พระขนิษฐาของพระองค์ทรงอภิเษกกับพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้น มคธ ภายหลังพระเจ้าพิมพิสารถูกพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชโอรสจับขังทรมานจนสิ้นพระชนม์ พระโกศลเทวีทรงเสียพระทัยตรอมใจจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าปเสนทิโกศลพิโรธจึงยึดแคว้นกาสี จงึ ทาํ ให้เกิดศึกระหว่างแคว้นโกศลกบั แควน้ มคธ (4) อาณาจักรมคธ กษัตริย์ท่ีปกครองแคว้นน้ี คือ พระเจ้าพิมพิสาร เดิมมี เมืองหลวงอยู่ท่ีศิรวิ รัชชะ ภายหลังได้ขยายเมืองออกไปและได้เปลยี่ นช่ือว่าราชคฤห์ พระองค์ทรงมี

76 มเหสีหลายพระองค์ได้แก่ โกศลเทวี พระขนิษฐาของพระเจ้าปเสนทิโกศล เจลลนา พระธิดาของ เจ้าชายเจฏกะแห่งลิจฉวี เกษมาทัทระ เจ้าหญิงแห่งแคว้นปัญจาบ การมีพระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิง จากแควน้ ต่างๆ น้ี นอกจากแสดงวา่ ทรงมพี ระราชอํานาจแล้ว ยงั เป็นชอ่ งทางให้แควน้ มคธสามารถ ขยายอาํ นาจได้อกี ด้วย 2) สมาพันธรัฐ สาธารณรัฐหรือสามัคคีธรรม เป็นระบบการปกครองของรัฐเล็กๆ ทางตอนเหนือของอินเดีย เรียกตามลักษณะของรัฐซึ่งเกิดจากกการรวมตัวกันอย่างหลวมๆของรัฐ เล็กๆ คําว่าสาธารณรัฐ เป็นคําเรียกตามลักษณะการปกครอง ซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ปกครอง ส่วนคาํ ว่า สามัคคีธรรมนั้น เรียกตามความนยิ มของพุทธศาสนกิ ชนในเมืองไทย เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสถึงเหตุท่ที าํ ใหร้ ฐั เหลา่ น้ีเข้มแข็ง โดยตรสั อปรหิ านิยธรรม ซ่งึ เปน็ ธรรมทก่ี ่อให้เกดิ ความสามคั คี ในรัฐ ในบรรดารฐั เหล่านี้ รายละเอียดของการปกครองท่ีเราทราบมากทสี่ ุด คอื การปกครองของ เจ้าศากยะ เพราะพระพุทธเจ้ามาจากเผ่าน้ี ในรัฐนี้มีผู้ปกครองเรียกว่า ราชา ซึ่งบางสมัยมาจากคน ตระกูลสูง บางสมัยมาจากการเลือกของประชาชน กิจการของรัฐดําเนินไปโดยผ่านที่ประชุมซ่ึง ประชุมกันในรฐั สภาซ่งึ เรยี กว่า สณั ฐาคาร ผู้ทเ่ี ขา้ ประชมุ มีทงั้ คนหนมุ่ คนแก่ คนรวย คนจน เชือ่ กัน ว่าสัณฐาคารนี้ อาจเป็นท่ีมาของรูปแบบการทําสงั ฆกรรม ผู้ท่ีจัดท่ีนั่งในท่ีประชุมมีตําแหน่งเรยี กวา่ อาสนปญั ญาปกะ ประธานท่ปี ระชุมเรียกว่า วินยั ธร ไมม่ ีสิทธอิ อกเสยี ง หน้าทีเ่ รยี กคนเขา้ ประชมุ ให้ ครบองค์เป็นของคณปูรกะ มีการเสนอหัวข้อการประชุมซึ่งเรียกว่าญัตติ ซึ่งจะต้องมีการประกาศ เรียกว่า อนุสสวะนัง การอภิปรายจะดําเนินไปตามมติและตรงประเด็น ข้อสรุปหรือปฏิญญาจะ ประกาศต่อทปี่ ระชุม หากท่ปี ระชมุ เงียบถือว่ามีมติรบั รองเป็นเอกฉันท์ หากมผี ู้คดั คา้ น ให้ออกเสียง โดยเขียนลงในแผ่นไม้ที่เรียกว่า สลากา สีต่างๆซึ่งแทนความเห็นต่างๆผู้รวมคะแนนเสียงเรียกว่า สลากาคาหาปกะ ต้องเป็นผู้ปราศจากอคติต่างๆ เสียงข้างมาก (เยภุยยะสิกัง) จะเป็นฝ่ายชนะและมี เจา้ หน้าท่ีจดบนั ทกึ ไว้ เม่ือลงมตแิ ลว้ หา้ มยกข้นึ พูดใหมอ่ กี 3.5 ความสมั พนั ธ์ระหว่างศาสนจกั รกบั อาณาจกั ร เมื่อจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร จะเห็นได้ว่าท้ังศาสนจักร และอาณาจักรต่างก็เป็นอํานาจในการปกครอง โดยศาสนจักร คือ อํานาจการปกครองทางศาสนา และอาณาจักร คือ อํานาจการปกครองทางบ้านเมือง ด้านองค์ประกอบมีทั้งที่คล้ายกันและแตกต่าง กันกล่าวคือ ศาสดาเป็นที่เคารพสูงสุดของศาสนา พระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดี เป็นต้น เป็น ท่ีเคารพสูงสุดของบ้านเมือง ศาสนธรรม คือ หลักคําสอนให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติตาม กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ขอ้ บังคับที่ประชาชนต้องประพฤติปฏบิ ัติตาม ศาสนพิธี คอื พิธีกรรม พิธีการ

77 ตา่ งๆท่เี น่ืองด้วยศาสนา ทางบ้านเมอื งก็มพี ธิ ีกรรมและพธิ กี ารต่างๆประเพณีวฒั นธรรม วถิ ชี วี ิต เปน็ ต้น ท่ีเน่ืองด้วยบ้านเมือง ศาสนบุคคล คือ ผู้ปฏิบัติตามหลักคําสอนทางศาสนา เช่น นักบวช ทาง บ้านเมืองจะมีรฐั บุรุษ นายกรัฐมนตรี ผู้วา่ ราชการ เป็นตน้ คอื ผู้ปฏิบตั ิตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ กตกิ า ทางบ้านเมือง ศาสนสถาน คือ สถานท่ีประกอบศาสนกิจ สถานท่ีราชการ เป็นต้น เป็นท่ีประกอบ กิจการบ้านเมือง ศาสนิกชน คือ ผู้เล่ือมใสศรัทธาในศาสนา ประชากร คือ ผู้ท่ีอยู่อาศัยในบ้านเมือง นน้ั ในประเด็นศาสนิกชนของศาสนจักรกับประชาชนของอาณาจักรนี้ อาจเป็นกลุ่มบุคคล กลุ่มเดียวกันหรือไม่ก็ได้ เพราะประชาชนในอาณาจักรน้ันอาจมีฐานะเป็นศาสนิกชนของศาสนา ด้วย ในขณะท่ีศาสนิกชนของศาสนาอาจไม่จําเป็นต้องเป็นประชาชนของอาณาจักรนั้นก็ได้ ตัวอย่างเช่น ศาสนาบางศาสนาอาจมีอํานาจเหนืออาณาจักร มีผลต่อการปกครองทางอาณาจักรดว้ ย เช่น ศาสนาคริสต์ เมื่อศึกษาจากประวัติศาสตร์จะเห็นได้วา่ หลายๆคร้ังทอี่ ํานาจของพระสันตปาปา ซ่ึงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของศาสนาคริสต์ สามารถสั่งทางอาณาจักร คือ กษัตริย์ให้ออกไปทํา สงครามเพ่ือศาสนาได้ เช่น สงครามครูเสดหรือศาสนาอิสลามซ่ึงบทบัญญัติทางศาสนา คือ กฎหมายของประชาชนซึ่งจะเห็นได้ชัดจากอิสลามประเทศ ในขณะที่ศาสนิกชนของศาสนาหนึ่ง ศาสนาใดอาจไม่จําเป็นต้องเป็นประชาชนของดินแดนที่เป็นต้นกําเนิด ท่ีต้ังมั่น หรือศูนย์กลางของ ศาสนานัน้ ก็ได้ เชน่ พุทธศาสนิกชนซึ่งมอี ยูท่ ัว่ โลก โดยคนเหล่านั้นไมจ่ ําเปน็ ตอ้ งอยทู่ ี่อนิ เดียซ่ึงเป็น ต้นกําเนิดของศาสนาพุทธไม่จําเป็นต้องอยู่ที่ทวีปเอเชียหรือประเทศไทย ซ่ึงเป็นที่ต้ังม่ันและ ศนู ยก์ ลางของศาสนาพุทธ เป็นต้น ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรไม่เพียงการเปรียบเทียบด้านอํานาจและ องค์ประกอบเท่านั้น เมื่อมองจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนจักรกับอาณาจักรก็เป็นอีกจุดหนึ่งซ่ึงต้อง กล่าวถึง นั่นคือ จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนา คือ การพัฒนาด้านจิตใจไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ หรือนิพพาน โดยเน้นท่ีจิตใจเป็นสําคัญ ส่วนจุดมุ่งหมายของอาณาจักร คือ ความอยู่ดีกินดีของ ประชาชนในบ้านเมือง การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเน้นท่ีการพัฒนาด้านร่างกายและวัตถุ มี ปัจจัย 4 เป็นต้น เมื่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจต่างก็อยู่ในตัวมนุษย์ ดังน้ัน ศาสนจักรและอาณาจักร ย่อมมคี วามสมั พนั ธก์ นั ในสว่ นทีเ่ กี่ยวข้องกับมนุษย์ นน่ั เอง ศาสนามีความสําคัญทั้งสําหรับการดําเนินชีวิตส่วนตัวและการดําเนินชีวิตในสังคม กลา่ วคอื ในทางสว่ นตัวศาสนาช่วยให้บคุ คลมีจติ ใจสงบ มกี าํ ลังใจทจี่ ะต่อสู้กบั อุปสรรคในชวี ติ และ มีชีวิตอยู่ต่อไป ทําให้สามารถนําพาชีวิตไปสจู่ ุดหมายปลายทางได้ในทางสงั คม ศาสนาทําให้สังคม มีความม่ันคงและเป็นเอกภาพ กล่าวคือ คนมีความเชื่อในเรื่องเดียวกันหรือคนท่ีนับถือศาสนา เดียวกันย่อมทําให้เกิดความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน เกิดความสมัครสมานสามัคคีและ

78 ร่วมมือกัน ทําให้เกิดค่านิยมในทางเดียวกัน ทําให้คนในสังคมรู้สึกมีเอกลักษณ์ร่วมกัน ซ่ึงทําให้มี ลักษณะเดน่ ชดั แตกตา่ งไปจากสังคมอื่น ศาสนาได้ชว่ ยใหส้ งั คมดาํ รงอยู่อย่างม่ันคง ชวี ติ ของปัจเจก ชนในสงั คมจึงมีความสัมพันธ์กบั ศาสนาอย่างแยกไมอ่ อก คอื 1) ศาสนาทําใหม้ นษุ ยอ์ ยรู่ ว่ มกันอย่างสงบสขุ เพราะทกุ ศาสนาล้วนม่งุ หวังให้ ศา สนิกชนของตนเปน็ คนดแี ละเมื่อศาสนิกชนเป็นคนดแี ลว้ สังคมก็ยอ่ มจะปราศจาก ความเดือดรอ้ น 2) ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีงามและ หากบุคคลในสังคมประพฤติปฏิบัติตามหลักทางศีลธรรมที่ศาสนาน้ันๆวางไว้ย่อมทําให้สังคม มี ความสุข 3) ศาสนาเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต เพราะศาสนิกชนสามารถดําเนินวิถีชีวติ ตามแบบอย่างของพระศาสดาหรอื ปฏิบัติตามหลักคาํ สอนทางศาสนา 4) ศาสนาจะช่วยให้มนุษยท์ ราบว่า ส่ิงใดดชี ่ัวถูกผิดตามมาตรฐานของศาสนานั้นๆ และทราบถึงผลแห่งการกระทําน้ันๆ เช่น คําสอนเร่ืองหลักกรรมในพระพุทธศาสนา ว่าทําดีได้ดี หรือทาํ ชั่วไดช้ ว่ั เปน็ ต้น 5) ศาสนาเป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการและถ่ายทอดวิทยาการ เนื่องจากจะเป็น แหล่งความรู้ของศาสตร์แขนงต่างๆและถ่ายทอดศาสตร์เหล่าน้ันไปสู่มนุษย์ในสังคมความรู้ทาง การแพทย์ ศิลปกรรม สถาปตั ยกรรม การชา่ ง การดนตรแี ละหัตถกรรม เปน็ ต้น 6) ศาสนาเป็นเครื่องส่งเสริมความม่ันคงในการปกครองประเทศ เช่น พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ไ ท ย ท ร ง ยึ ด ม่ั น แ ล ะ ดํ า เ นิ น น โ ย บ า ย ใ น ก า ร ป ก ค ร อ ง ป ร ะ เ ท ศ ด้ ว ย ห ลั ก ทศพิธราชธรรม 10 ประการ 7) ศาสนาเป็นที่พ่ึงทางใจเม่ือปุถุชนเกิดความทุกข์ร้อนใจ กล่าวคือ เม่ือคนเราเกิด ความทุกข์กายและใจ ก็ย่อมจะหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดข้ึนและรูปแบบหนึ่งของการแก้ไข ปัญหา คือ การนําหลักธรรมทางศาสนาท่ีตนเคารพนับถือมาเป็นท่ีพ่ึงทางใจและนําหลักธรรมใช้ เป็นแนวทางในการแก้ไขปญั หา ฉะน้ัน เมื่อถามถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการนับถือพระศาสนา เราจะได้รับคําตอบ มากมายหลายประเด็น อันเป็นคําตอบจากแนวคิดของคนหลายๆกลุ่มที่กล่าวถึงประโยชน์ของ ศาสนา เช่น พระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสริ ิกิติ์ พระบรมราชินีนาถว่า“ศาสนาทุกศาสนา ม่งุ สอนใหค้ นประพฤติดี ตัง้ อยู่ในสุจรติ ธรรม ศาสนาเป็นท่ีพงึ่ ตลอดไปของมนษุ ยท์ ง้ั ในยามสุขและ ยามทุกข์ ช่วยเตอื นสตเิ ราไม่ให้ประมาท หลงระเรงิ ยนิ ดียามมีสขุ ช่วยไมใ่ ห้เราหมดสติเควง้ คว้างใน ยามมีทุกข์ เพราะศาสนาเป็นหลักทพี่ ึง่ ยดึ ถอื พักพงิ ทางใจของเราทกุ คน ถงึ แมต้ า่ งศาสนากันก็ยงั ชว่ ย ประคับประคองใหม้ นษุ ย์อยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ ”

79 กล่าวโดยสรปุ ความสัมพันธร์ ะหว่างศาสนจกั รกบั อาณาจักรตา่ งมีรูปแบบการปกครองที่มี เอกลักษณ์ มีกฎ ระเบียบ แบบแผนเป็นของตัวเอง ซ่ึงสถาบันเกิดข้ึนในสังคมมนุษย์ด้วยกัน มีการ พ่ึงพาอาศัยซ่งึ กันและกนั มีหนา้ ท่ีในการขดั เกลาทางสงั คมคนละหนา้ ที่ เปน็ ตน้ 3.6 รูปแบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งศาสนจักรกบั อาณาจกั ร 3.6.1 ความสัมพนั ธ์ลกั ษณะสนบั สนนุ สง่ เสริม ความสัมพันธ์ลักษณะสนับสนุนส่งเสริม ซ่ึงความสัมพันธ์รูปแบบน้ีเกิดข้ึนโดยการแบ่ง หน้าท่ีกันทํา โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การนําสันติสุขมาสู่สังคม เพื่อให้สมาชิกในสังคม ดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข เช่น อาณาจักรมีกษัตริย์เป็นผู้นํา มีหน้าที่ป้องกันคุ้มครอง ประเทศชาติไม่ให้มีการรุกราน ขัดแย้ง หรือแก้ปัญหามิให้เกิดข้ึนแก่ประชาชน ส่งเสริมให้ ประชาชนประกอบอาชีพตามความเหมาะสม ส่วนศาสนจักรทําหน้าท่ีในการอบรมส่ังสอน ประชาชนให้มีศีลธรรมจริยธรรม รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน แนะนําสั่งสอนให้ละช่ัวทําดี เพอื่ ให้ไดร้ ับประโยชน์ท่ีควรจะได้รับ ซึ่งเมื่อพิจารณาแลว้ จะเหน็ ได้วา่ ฝ่ายศาสนจักรสงเคราะหฝ์ ่าย บ้านเมืองด้วยการสอนหลักปฏิบัติเว้นจากโทษ ให้ได้รับประโยชน์ ตามที่สมควรจะได้รับและสอน ให้ไม่ประมาทนั่นเอง วิธีการช้ีให้เห็นโทษ ของการกระทําและความเชื่อในประเด็นต่างๆที่ ก่อให้เกิดทุกข์เกิดเป็นโทษท้ังแก่ผู้ปฏิบัติเองและแก่ผู้อื่นดว้ ยเพ่ือเป็นการลดหรือแก้ไขปัญหาให้แก่ ผู้ปกครองอาณาจักร ต่างฝา่ ยตา่ งสนบั สนุนซ่ึงกันและกัน 3.6.2 ความสัมพนั ธ์ลักษณะขดั แย้ง ความสัมพันธ์ลักษณะขัดแยง้ คือ ไม่ลงรอยกันหรือขัดแย้งเป็นปฏิปักษ์ซ่ึงกันและกนั ต่าง ฝ่ายต่างพยายามชิงกันเป็นแกนนําสังคมหรือทําลักษณะครอบงําซึ่งกันและกัน เช่น การทําลาย พระพุทธศาสนาของพระเจ้าปุษยมิตร กษัตริย์ราชวงศ์ศุงคะ คือเม่ือถึงรัชสมัยของกษัตริย์องค์ สุดท้ายของราชวงศ์โมรยิ ะ คือ ราชวงศข์ องพระเจ้าอโศกมหาราช มีอาํ มาตยค์ นหนึง่ ช่อื ปุษยมิตร ซ่งึ เป็นพราหมณ์ได้ทํารัฐประหารโค่นล้มราชวงศ์โมริยะลง แล้วต้ังราชวงศ์ใหม่ชื่อราชวงศ์ศุงคะแล้ว ข้ึนครองราชย์ จากนั้นก็เริ่มแผนทําลายพระพุทธศาสนาทันที โดยสั่งให้เผาวัดวาอารามและสังหาร พระภกิ ษุโดยไดต้ ั้งคา่ หัวไว้รปู ละ 100 ทนิ าร์ พรอ้ มกับรื้อฟน้ื พิธีการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชน่ อัศวเมธ คือฆ่าม้าบูชายัญขึ้นอีก เป็นต้น เมื่อเกิดการขัดแย้งกันข้ึนฝ่าย ศาสนจักรมักจะเสียเปรียบ ฝา่ ยอาณาจักรมากกว่าเพราะดอ้ ยในเรือ่ งกําลังการต่อสู้

80 หรืออีกนัยหน่ึงก็พิจารณาได้ว่า ศาสนจักรและอาณาจักรมีความสัมพันธ์กันในแง่ท่ีต่าง ฝ่ายต่างให้การสงเคราะห์กันและกัน ตามหลักการสงเคราะห์ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในหลักธรรม หลายสตู ร ในพระธรรมเทศนาหลายสตู ร แต่เมอื่ ประมวลมาแลว้ ทรงตรสั เรื่อง การสงเคราะห์ไว้ใน ทานวรรค ว่าการสงเคราะห์ 2 อย่าง คือ (1) การสงเคราะห์ด้วยอามิส (2) การสงเคราะห์ด้วยธรรม ในการสงเคราะห์ 2 อย่างนี้การสงเคราะห์ดว้ ยธรรมเป็นเลศิ การสงเคราะห์ด้วยธรรมเป็นเลิศ ดีงามกว่าการสงเคราะห์ด้วยส่ิงของ เพราะการ สงเคราะห์ด้วยธรรมสามารถทําให้คนธรรมดาสามัญก้าวสู่ความเป็นกัลยาณปุถุชน โดยท่ีสุด สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่การสงเคราะห์ด้วยอามิสไม่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ เป็นแต่ เพียงช่วยสนับสนุนให้บุคคลได้ส่ังสมคุณงามความดี แต่ทั้งนี้การสงเคราะห์ท้ัง 2 ส่วน ต่างมีส่วน เกื้อกูลกนั อย่างขาดไมไ่ ด้ 3.7 บทบาทการสงเคราะห์ท่ีอาณาจักรมีต่อศาสนจกั ร การท่ีทางฝ่ายบ้านเมืองเม่ือได้รับการแนะนําสั่งสอนให้ละชั่วทําดี ให้ได้รับประโยชน์ท่ี ควรจะได้รับมีหลักปฏิบัติในการเว้นจากโทษบําเพ็ญประโยชน์ต้ังตนอยู่ในความไม่ประมาทแล้ว ได้สงเคราะห์ฝ่ายศาสนจักรด้วยการอุปถัมภ์ คุ้มครอง ป้องกัน ส่งผลให้ทางฝ่ายศาสนจักรมีความ ม่ันคงสามารถเผยแผพ่ ระศาสนาได้สะดวก 3.7.1 สงเคราะห์ทางด้านการให้ความอุปถมั ภ์ ด้านการสงเคราะห์ทางให้ความอุปถัมภ์ที่อาณาจักรให้กับศาสนจักร ในทาง พระพุทธศาสนา พระสูตรท่ีแสดงถึงการสงเคราะห์ด้วยการอุปถัมภ์บํารุงด้านปัจจัย 4 เม่ือพิจารณา จากพระสตู รที่เก่ียวขอ้ งในประเด็นน้ีแลว้ พบว่า ไมเ่ พยี งถวายปัจจัยสี่แก่พระพทุ ธเจา้ เท่าน้ัน ยังถวาย ฝ่ายพระสาวกและพระสาวิกาดว้ ย คอื 1) การสงเคราะห์ดว้ ยเครือ่ งนุ่งห่ม 2) การสงเคราะหด์ ้วยอาหาร 3) การสงเคราะห์ด้วยท่อี ยู่ 4) การสงเคราะหด์ ว้ ยยารักษาโรค 3.7.2 สงเคราะห์ทางด้านการใหค้ วามคุ้มครอง การสงเคราะห์ทางด้านการให้ความคุ้มครอง เช่น ในสมัยครั้งพุทธกาลท่ีพระเจ้า ปเสนทิ โกศล ได้ถวายความอุปถัมภ์ภิกษุสงฆ์เป็นอย่างดีแล้วส่งผลให้ประชาชนหันมานับถือ

81 พระพุทธศาสนา ทําให้เกิดปัญหาแก่นักบวชศาสนาอ่ืน เพราะลาภสักการะลดน้อยลง พวกนักบวช เดียรถยี ์เหลา่ นัน้ จึงเทย่ี วใสค่ วามให้รา้ ยพระพทุ ธเจ้าและพระสาวกว่าส่ังสอนให้ทําบญุ แตใ่ นศาสนา ของตนเท่าน้ัน จึงจะมีผลมากและหลายคร้ังที่เกิดเร่ืองมัวหมองแก่พระสงฆ์ เม่ือพระองค์ทราบเรอื่ ง นี้จึงรับสั่งให้ประชาชนไปประชุมกันเพ่ือแก้คํากล่าวหาเหล่านั้น เพ่ือกําราบปรัปปวาท พิสูจน์ข้อ กล่าวหาโดยการให้ทุกฝ่าย มาประชุมพร้อมหน้าแล้วซักถามจนได้ความจริง และเม่ือพระองค์ทรง ทราบว่าท่านไม่ได้ประพฤติผิดจริง พระองค์ก็จะทรงอุปถัมภ์ภิกษุรูปน้ันด้วยปัจจัย 4 เพื่อให้ท่าน ดํารงอย่ไู ด้อย่างไมล่ าํ บาก จากกรณีดังกล่าวมาน้ีแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ให้ความสนใจพระศาสนา อยา่ งยิ่ง คอยสอดสอ่ งดแู ลให้ความไม่ดไี ม่งามเกดิ ข้ึน ยามใดท่เี กิดความเสียหายกับ พระพทุ ธศาสนา พระองค์ก็ออกมาเป็นผู้จัดการให้เหตุการณ์เหล่านั้นสงบลงด้วยดี เพราะว่าถ้าไม่มีผู้มีอํานาจใน แผ่นดินเข้ามาจัดการ เหตุการณ์ก็จะไม่สงบลงอย่างแน่นอนแลว้ ผลเสียระยะยาวคือความแตกแยกก็ จะเกดิ ขึ้นแก่ประชาชนผนู้ ับถือศาสนาหรือลัทธนิ ัน้ ๆได้ 3.7.3 สงเคราะหท์ างด้านการให้การปอ้ งกัน ในประเด็นการปกป้องพระพุทธศาสนา ยกตัวอย่าง ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่ีพระองค์ เอาใจใสด่ แู ลสอดส่องความประพฤติการปฏิบัติ การดาํ รงชวี ิตของเหลา่ ภกิ ษุ ภิกษณุ ี เมือ่ ทรงเห็นว่า สิง่ ใดว่าเปน็ การประพฤตทิ ไ่ี ม่เหมาะสม พระองคก์ ไ็ ม่น่งิ ดดู ายนําความไปกราบทลู พระพทุ ธเจ้า เพ่อื จะได้หาทางแก้ไขหรือป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดความเสียหาย ซึ่งก็ได้แก่การท่ี พระพุทธองค์ทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบท ห้ามประพฤติเช่นนัน้ อกี พระวนิ ยั กเ็ ข้มแขง็ มคี วามบรสิ ุทธิ์ ศลี าจารวัตรของพระ สาวกก็งดงามยังความเล่ือมใสให้เกิดข้ึน จากการประพฤติตามหลัก พระวินัยที่ครบถ้วนน้ัน ยังผลให้พรหมจรรย์คอื พระศาสนามคี วามม่นั คงตลอดกาล แม้วา่ พระพทุ ธองคจ์ ะเสดจ็ ดับขนั ธป รินพิ พานไปแล้วกต็ าม เนื่องจากวา่ พระธรรมวนิ ัยน่นั แหละจกั เปน็ พระศาสดาแทนพระองค์ วิธีการสงเคราะห์ซ่ึงกันและกันระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร ในกรณีศึกษา มีความ สัมพันธ์เก่ียวข้องกันอย่างลึกซึ้ง มากมายหลายอย่างหลายประการ แต่เมื่อจะกล่าวโดยสรุป ความสําคัญก็อาจสรุปได้ว่า ทางฝ่ายศาสนจักรสงเคราะห์พระเจ้าปเสนทิโกศล ตลอดจนชาวแคว้น โกศลทุกคนด้วยการช้ีโทษ แล้วบอกประโยชน์ให้ตลอดจนสอนให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท กล่าวคือ เม่ือส่ิงใดเป็นโทษ ก็ช้ีให้เห็นว่าเป็นโทษและแนะให้ละเว้นจากโทษนั้นเสีย ส่วนส่ิงใดท่ี เป็นประโยชน์ก็จะแนะให้เจริญให้มาก ทําให้มาก ตั้งแต่ประโยชน์เบื้องต้นไปจนถึงประโยชน์ขั้น สูงสดุ และต้องต้งั อยใู่ นความไมป่ ระมาทดว้ ย

82 ส่วนวิธีการสงเคราะห์ท่ีทางฝ่ายอาณาจักรกระทําต่อศาสนจักรก็คือ การให้ความเคารพ ศรัทธาเล่ือมใส นอ้ มนําเอาหลักธรรมคาํ สอนไปปฏบิ ัติตามตลอดจนการให้ความอุปถัมภ์บํารุง ดูแล ใหค้ วามสะดวกท้งั ในเรื่องปัจจัย 4 ทจี่ าํ เปน็ และการคุ้มครองป้องกนั ภยั เท่าท่ที ําได้เช่นการ คอยช่วย สอดส่องดูแลความประพฤติของภิกษุภิกษุณีเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย อันจะเป็นผล เสยี หายต่อพระศาสนาเอง

83 3.8 สรปุ บทท่ี 3 ศาสนจักรกับศาสนจักรมีความหมายท่ีแตกต่างกัน คือ ศาสนจักร หมายถึง อํานาจ ปกครองทางศาสนาและเม่ือพิจารณาด้านองค์ประกอบก็จะเห็นว่าองค์ประกอบของศาสนา ได้แก่ ศาสดา ศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนสถาน ส่วนองค์ประกอบของศาสนจักร ได้แก่ ศา สนิกชน อาณาเขตหรือดินแดน คณะผูป้ กครอง อาํ นาจ ซงึ่ มีความแตกตา่ งกัน ตรงท่ีวา่ องคป์ ระกอบ ของศาสนาจะยังไมก่ ล่าวถงึ อํานาจการบริหารและการปกครองแต่องค์ประกอบของศาสนจักร กล่าว รวมไปถึงการใชอ้ าํ นาจในการบริหารและการปกครองด้วย อาณาจักร หมายถึง เขตแดนท่ีอยู่ในอํานาจปกครองของรัฐบาลหน่ึงๆซึ่งมีอํานาจ ในการ ปกครองทางบ้านเมืองท่ีมีส่วนประกอบ 4 ประการ คือ ประชาชน ดินแดน รัฐบาลและอํานาจ อธิปไตย โดยท่กี ารปกครองไม่ว่าจะเป็นระบบสมบรู ณาญาสิทธริ าชหรือประชาธปิ ไตย หรอื สามคั คี ธรรม ล้วนมีเป้าหมาย คือ ความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความอยู่ดีกินดีของประชาชน เป็น เป้าหมายสาํ คญั อาณาจกั รและศาสนจกั รลว้ นมีความสมั พันธ์เน่ืองถงึ กัน ทั้งในลกั ษณะสนบั สนนุ ส่งเสริม โดยมีวัตถุประสงค์ คือ การนําสันติสขุ มาสู่สงั คม เพ่ือให้สมาชกิ ในสังคมดํารงชีวิต อยู่ร่วมกันอย่าง มีความสงบสุข สอนประชาชนให้มีศีลธรรมจริยธรรม รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าท่ีของตน เพ่ือช่วยลด หรือแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ปกครองอาณาจักร ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในส่วน ความสัมพันธ์ลักษณะขัดแย้งกันเกิดขึ้น เพราะความต้องการแย่งชิงกันเป็นแกนนําสังคมหรือทํา ลักษณะครอบงําซึ่งกันและกัน เช่น การทําลายพระพุทธศาสนาของพระเจ้าปุษยมิตร ซ่ึง ความสมั พันธล์ กั ษณะนจี้ ะสร้างความเดอื ดรอ้ นใหแ้ ก่ผนู้ บั ถอื ศาสนามากกว่า ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านใดด้านหน่ึงก็จะส่งผลกระทบต่ออีกด้านหนึ่ง ในส่วนของ ผลสัมฤทธข์ิ อง การสงเคราะห์ระหวา่ งศาสนจกั รกับอาณาจักรน้นั ล้วนเกิดขึ้นเพ่ือประโยชน์สุขของ กนั และกัน

84 คําถามประจาํ บทท่ี 3 1. จงให้ความหมายของ“ศาสนจักรและอาณาจักร”ว่ามีความหมายเชน่ ไร ? 2. องคป์ ระกอบของศาสนจักรและอาณาจกั ร มกี ีอ่ ย่าง อะไรบา้ ง มคี วามแตกต่างกนั อย่างไร ? 3. สถาบันอาณาจกั รสมยั พุทธกาลมคี วามเปน็ มาอย่างไร จงอธิบาย ? 4. รัฐในสมยั พุทธกาล ที่ปรากฏหลกั ฐานในอุโปสถสูตร มีกี่รัฐ อะไรบ้าง ? 5. การปกครองแบบ“สามคั คธี รรม”หมายถงึ การปกครองอยา่ งไร มีแตกต่างจากการปกครอง แบบราชาธปิ ไตยอย่างไร จงอธิบาย ? 6. ศาสนจกั รกับอาณาจักรมคี วามสัมพนั ธ์กันในด้านใดบ้าง จงอธิบาย ? 7. บทบาทการสงเคราะหท์ ่ีอาณาจักรมีต่อศาสนจักร เปน็ อย่างไร จงอธบิ าย ?

85 การอา้ งองิ ไพโรจน์ อยมู่ ณเฑียร. (2522). วาทะท่านพุทธทาส. กรงุ เทพฯ: หจก. ภาพพิมพ.์ ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2546). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2542,. กรงุ เทพฯ: บริษทั นาม มบี ุคสพ์ บั ลิเคช่นั ส.์ สมบรู ณ์ สุขสําราญ. (2527). พทุ ธศาสนากบั การเปลี่ยนแปลงทางการเมอื งและสังคม. กรงุ เทพฯ: สํานกั พิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สุขสําราญ สมบูรณ.์ (2527). พทุ ธศาสนากบั การเปล่ยี นแปลงทางการเมอื งและสงั คม. กรงุ เทพฯ: สาํ นักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.

86 บทที่ 4 ทฤษฎกี ําเนดิ รฐั ตามแนวคดิ ทางพุทธศาสตร์ (Theory of Original State in Buddhistic Approach Concept) 4.1 แนวคดิ เปน็ การทบทวนการเกิดข้ึนของรฐั และกระบวนการธํารงไว้ซ่งึ ความม่ันคง รฐั เกิดขนึ้ มาได้ อยา่ งไร ใครเปน็ ให้กาํ เนิดรัฐ พร้อมท้งั กล่าวนาํ เสนอและสอดแทรกแนวคิดการเกดิ ขน้ึ ของรัฐ และ พร้อมท้ังองคาพยศแหง่ รัฐท้งั แนวคิดตะวนั ตกและตะวันออก 4.2 เนื้อหาทส่ี าํ คัญประจาํ บทเรยี น 4.2.1 ความหมายของรัฐ 4.2.2 องคป์ ระกอบของรฐั 4.2.3 ความเป็นมาของรฐั 4.2.4 ทฤษฎีกาํ เนดิ รฐั ตามแนวคิดตะวันตก 4.2.5 ทฤษฎกี ําเนิดรฐั ตามแนวคดิ ตะวนั ออก 4.2.6 การเกิดข้ึนของทฤษฎที ีเ่ กยี่ วขอ้ งกับรฐั เช่น กฎหมายเป็นตน้ 4.3 วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 4.3.1 อธิบายและวิเคราะห์ความเป็นมาของรัฐตามแนวคิดตะวันออกและตะวันตกอย่าง ชดั เจนได้ 4.3.2 อธิบายและวิเคราะห์ทฤษฎีกําเนิดรัฐ แล้วนํามาเคียบเทียงปริบทการเมืองการ ปกครองของไทยได้ 4.3.3 อธิบายและวเิ คราะห์เปรียบเทยี บทฤษฎีกําเนิดรฐั กับแนวคดิ กําเนิดรัฐตามในอัคคัญญ สูตรได้

87 4.4 กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.4.1 บรรยายประกอบเอกสาร 4.4.2 ให้นักศกึ ษาค้นคว้าเปรียบเทียบความเป็นมาของรฐั ระหว่างแนวคดิ ตะวันตกกับ แนวคิดในอัคคญั ญสตู ร 4.4.3 ให้นกั ศึกษาแสดงทัศนะและตอบคําถามที่ผู้สอนกาํ หนดข้นึ 4.4.4 ให้นักศึกษาทาํ แบบฝกึ หดั ในช้ันเรียน 4.4.5 ให้นกั ศกึ ษานาํ เสนอผลการคน้ ควา้ 4.5 วิธีการนําเสนอบทเรียน 4.5.1 บรรยายเน้ือหาโดยมีเอกสารประกอบ 4.5.2 ตง้ั ประเด็นคําถามและร่วมกันแสวงหาคาํ ตอบร่วมกนั 4.5.3 สอดแทรกความมีจิตสาธารณะในแตบ่ ทเรยี น 4.5.4 ฝึกหัดการตีความและถอดความทางภาษาจากพระสูตรสู่ศาสตร์ต่างๆ โดยภาษาร่วม สมัย 4.5.5 บูรณาการแนวคิด ทฤษฎที างตะวันตกท่ีเขา้ กันไดก้ ับแนวคดิ ทางตะวนั ออก 4.6 ส่อื การเรียนการสอน 4.6.1 เอกสารประกอบการสอนวชิ ากําเนดิ รัฐตามแนวพุทธศาสตร์ 4.6.2 คอมพิวเตอร์ Power Point 4.6.3 วีดทิ ศั น์และภาพบคุ คลสอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาวิชา 4.6.4 ให้สบื คน้ ข้อมูลท่เี ก่ยี วข้องกับวิชาทีส่ อนจาก Internet 4.6.5 กระดานเขยี น White board 4.7 สารัตถะวชิ ากําเนดิ รฐั ตามแนวพุทธศาสตร์ 4.7.1 ความหมายของคาํ วา่ “รัฐ” และองคป์ ระกอบของรัฐ 4.7.2 ทฤษฎีกาํ เนิดรัฐ 4.7.3 จุดประสงคแ์ ละหนา้ ทีแ่ ห่งรัฐ 4.7.4 ทฤษฎกี ําเนดิ รัฐตามแนวพุทธศาสตร์ 4.7.5 ทฤษฎีกําเนดิ รัฐตามแนวพุทธศาสตร์ 4.8 แบบฝกึ หัดตอบคาํ ถามบทที่ 4

88 1. ความหมายคําว่า “รัฐ” (The Meaning of State) รฐั เปน็ สถาบันทางสงั คมของมนุษย์ทีม่ ีมาช้านานแล้ว แม้แตใ่ นยุคสมยั ท่ีคาํ ว่า “รฐั ” ยังไม่มี ปรากฏ ตวั อยา่ งเชน่ ทรรศนะของอินเดียบางเผ่า ครอบครัวแตล่ ะครอบครวั นัน่ แหละคอื รัฐ สว่ นคน อเมริกันปัจจุบันน้ันนอกจากจะมีประเทศอเมริกา ซ่ึงเป็นรัฐใหญ่อันเป็นท่ีรวมของทุกๆคนแล้วยังมี “มลรฐั ” อันเป็นรัฐน้อยๆประกอบกันเข้าเป็นสหรัฐอเมรกิ าด้วย ในบางประเทศ (เชน่ ลาว) แมว้ ่าจะ มีรัฐตามกฎหมายเกิดขึ้นแล้วก็ตาม บุคคลบางพวกบางกลุ่มยังขาดความสํานึกในเรื่องความเป็น สมาชิกในรัฐ แต่จะมีความรู้สึกผูกพันกับเผ่าชนเล็กๆของตนเท่านั้น หมายความว่า แม้ว่าคําว่า รัฐ จะเป็นส่ิงท่ีคนไมน่ ้อยเข้าใจว่า “เป็นทรี่ วมของคนจาํ นวนมาก ภายใต้การปกครองเดียวกันก็ตาม แต่ ความเข้าใจดังกลา่ วยังขาดความแน่นอนอยู่มากในทางวชิ ารัฐศาสตร์เราอาจจะกล่าวไดว้ ่า รฐั จะต้อง มีองคป์ ระกอบอยา่ งน้อยที่สุดดงั นีค้ ือ 1) ประชากร คนเป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญท่ีสุดของรัฐ เพราะรัฐเกิดขึ้นก็เพื่อสนองความ ต้องการของมนุษย์ รัฐปัจจุบันมีคนตั้งแต่น้อยท่ีสุดไม่ถึงล้านคน (เช่น สํานักวาติกัน) ไปจนถึง 800 ล้านคน (จีน) จํานวนมากหรือน้อยนี้ย่อมก่อให้เกิดผลท่ีแตกต่างกันต่อรัฐเหล่านั้น เช่น รัฐที่มีคน น้อยก็อาจมีปัญหาในการป้องกันประเทศในการขยายตลาดและในการแข่งขัน ส่วนรัฐขนาดใหญ่ อาจมีอํานาจทางการทหาร เพราะมีคนมาก สามารถมีตลาดรับสินค้าขนาดใหญ่ได้ แต่อาจประสบ ปัญหาในการเลี้ยงดูให้ท่ีอยู่อาศัยแก่ประชาชนของตน (เช่น อินเดีย) นอกจากจํานวนประชากรมาก น้อย ซ่ึงมีผลต่อการปกครองและเศรษฐกิจในรัฐแล้ว คุณภาพ ของประชากรก็เป็นส่ิงสําคัญอย่าง ยิ่งยวดด้วย ประเทศท่ีสามารถเล้ียงดูประชากรให้มคี วามกินดีอยูด่ ี มีการศึกษาสูง ย่อมมีประชากรที่ มีคุณภาพสูง สามารถก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆรวมไปถึงความสามารถในการ ป้องกันประเทศได้ดี เช่น อิสราเอล เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชากรที่มีคุณภาพตํ่าเพราะรัฐไม่ สามารถเลี้ยงดูให้การศึกษาได้ดี ย่อมก่อให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆและนํามาซึ่งความอ่อนแอแก่ ประเทศ การมีประชากรที่ “พอดี” ไม่มากหรือน้อยเกินไปจึงเป็นสิ่งท่ีนักรัฐศาสตร์ปรารถนามาก ที่สุด แต่เท่าไหร่จึงจะ “พอดี” เป็นสิ่งท่ีข้ึนอยู่กับเหตุผลหลายประการ เช่น ขนาดความกว้างใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ของประเทศ ลักษณะของประชากรในทางวัฒนธรรมและอ่ืนๆ รวมไปจนถึง ความสามารถของรัฐบาลท่ีจะอํานวยความสุขความสมบูรณ์ในด้านต่างๆแก่ประชาชนของตนด้วย แนวโน้มในปัจจุบันคือ การพยายามให้มีอัตราการเกิดที่ต่ํา คือ มีประชากรแต่น้อย โดยวิธีการ “วางแผนครอบครัว” ทั้งน้ีเพราะการมีพลเมืองมากย่อมก่อให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงปัญหาส่งิ แวดล้อมเป็นพิษ อันเป็นผลจากการมีประชากรมากเกินไปนั่นเอง 2) ดินแดน รัฐจําเป็นจะต้องมีดินแดนท่ีแน่นอนเป็นหลักแหล่งให้แก่พลเมืองของตน ไม่ใช่ต้องพากันเร่ร่อนไปในที่ต่างๆเหมือนพวกตาร์ต้า หรือยิบซีในสมัยโบราณ ความใหญ่เล็กของ

89 ดินแดนย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่ประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า ในโลกน้มี ีรฐั ที่มีดินแดนน้อยขนาดไม่ก่ี ตารางกิโลเมตร เช่น โมนาโก หรือลักเซมเบอร์ก ไปจนรัฐท่ีมีดินแดนมหึมาถึง 1 ใน 3ของดินแดน ในโลกท้ังหมด เช่น สหภาพโซเวียต เป็นต้นความใหญ่หรือเล็กของรัฐก็นํามาซึ่งปัญหา และความ ได้เปรียบเสียเปรียบท่ีแตกต่างกันด้วย เช่น รัฐที่มีขนาดเล็ก อาจมีทรัพยากรน้อยหรือจํากัด ทําให้ พัฒนาลาํ บาก และมีอาํ นาจทางเมืองน้อย ผิดกับรฐั ขนาดใหญ่ซึ่งจะมีทรัพยากรมาก มีโอกาสพัฒนา ได้กว้างขวางและมีทางเป็นมหาอํานาจได้ อย่างไรก็ตามทั้งนี้ย่อมต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของ คนในรฐั ที่จะนําทรพั ยากรท่ีมีอยู่น้ันมาใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ รวมท้ังความสามารถของรัฐบาลน้ันๆท่ี จะรกั ษาความสงบ และกอ่ ใหเ้ กิดระบบการปกครองทมี่ ัน่ คงภายในอาณาเขตของตนดว้ ย 3) รัฐบาล เปน็ องค์ประกอบอันสําคัญอนั จะขาดเสยี มไิ ดข้ องรัฐ รัฐบาลไดแ้ กค่ ณะบุคคลท่ี มีอํานาจในการปกครองในรัฐ ไม่ว่าอํานาจที่ได้มานั้นจะมาจากการเลือก แต่งตั้งสืบสายโลหิต ยึด อํานาจ หรือด้วยวิธีใดๆ หากบุคคลกลุ่มน้ันสามารถก่อให้เกิดการปกครองที่มีประสิทธิภาพตาม สมควร สามารถบังคับใช้กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ท่ีตนต้ังขึ้นต่อประชากรในอาณาเขตน้ันๆแล้ว ถือ ว่าบุคคลกลมุ่ นั้นมีฐานะเป็นรัฐบาลแล้ว รัฐบาลหรือกลุ่มผู้ปกครองดังกลา่ วอาจยึดถอื รูปแบบในการปกครองอย่างใดก็ได้ เช่น อาจ เป็นแบบประชาธิปไตย แบบเผด็จการ หรือแบบคอมมิวนิสต์ก็ตาม โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลจะแบ่ง อํานาจหน้าที่ในการบริหารประเทศออกเป็น 3 อย่าง คือ ทางบริหาร ทางนิติบัญญัติ อันได้แก่ การ ออกกฎหมาย และทางตุลาการ ซ่ึงได้แก่การตัดสินอรรถดีต่างๆ เช่นเดียวกับการเข้ามามีอํานาจ รัฐบาลของรัฐใดรัฐหน่ึงอาจจะหลุดจากอํานาจได้โดยการเลอื กตั้ง โดยการถอดถอนหรอื การปฏิวัติ แตไ่ ม่ว่ารัฐบาลจะเปล่ียนแปลงสลายหายไปอย่างใด รัฐหรือประเทศก็จะยังมีอยู่เร่ือยไป ตราบเท่าท่ี ยงั มีกลุ่มบุคคลอกี กลมุ่ หนงึ่ กา้ วเข้ามาทําหนา้ ท่เี ป็นรัฐบาล 4) อํานาจอธิปไตย เป็นอํานาจท่ีสูงสุดในรัฐ ซ่ึงอาจจะแยกพจิ ารณาได้ว่าเป็นอํานาจสูงสดุ ในการจัดการเกี่ยวกับเร่ืองภายในประเทศ (Internal Affairs) เช่น การปกครอง การเก็บภาษีอากร การจับกุม การให้บริการ ฯลฯ ประการหน่ึง กับการจัดการในเร่ืองภายนอกประเทศ (External Affairs) เช่น การติดต่อสัมพันธก์ บั ต่างประเทศ การค้ากับนานาชาติฯลฯ อีกประการหนึ่ง อย่างไรก็ ตาม ถือกันว่าอํานาจอธิปไตยน้ีมีลักษณะเด่นอยู่อีกสองประการ นอกเหนือจากความสูงสุดแห่ง อํานาจนี้ นนั่ ก็คือ เป็นอํานาจทแ่ี บง่ แยกมิได้ (Indivisible) และเปน็ อํานาจท่ีมีอยู่ถาวร ตลอดไปตราบ เท่าที่ยงั มรี ฐั (Permanent) การแบ่งอํานาจในการปกครองเป็น 3 คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการนั้น มิได้เป็นการ แบง่ อาํ นาจอธิปไตย แตเ่ ป็นการแบง่ ใช้ ตามความสะดวกมากกว่า ซ่งึ ในบางประเทศอาจจะแบ่งเป็น 4 หรือ 5ก็ได้ เป็นการให้องค์การต่างๆใช้อํานาจคนละส่วน เพ่ือความง่ายในการปกครอง แต่ยังถือ

90 ว่าอํานาจอธิปไตยหรืออํานาจสูงสุดน้ันมีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนเดิม ในสมัยก่อนภายใต้ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือว่ากษัตริย์เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย หรือท่ีเรียกว่าเป็นองค์ อธิปัตย์ (Sovereign) และกษัตริย์อาจจะให้ตัวแทนต่างๆของพระองค์ใช้อํานาจนี้แทนพระองค์ใน เร่อื งตา่ งๆได้ โดยทถี่ ือวา่ อาํ นาจ เป็นของกษตั ริยใ์ นปจั จบุ นั รัฐส่วนมากถอื วา่ อาํ นาจเป็นของปวงชน และรัฐบาลใช้อํานาจนั้นแทนประชาชนเป็นการชั่วคราว เม่ือหมดวาระจะต้องคืนอํานาจให้แก่ ประชาชน ซึ่งประชาชนอาจจะมอบอาํ นาจนัน้ ให้คนกลุ่มใหมไ่ ปใชแ้ ทนในวาระต่อไป นอกจากหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบสําคัญๆของรัฐ 4 ประการดังกล่าวแล้ว ยังมีส่ิง สําคัญอันควรศึกษาท่ีเกี่ยวกับองค์ประกอบของรัฐอีกหลายอย่าง เช่น เราอาจจะศึกษาถึงลักษณะ นิสยั หรอื ท่เี รียกว่าค่านิยมของประชาชนในรฐั รวมทั้งวัฒนธรรมจารีตประเพณี ซึง่ เมื่อรวมกนั แลว้ ก็ จะเป็นลักษณะพิเศษหรือลักษณะเฉพาะ ของคนในรัฐนั้นๆ เราอาจจะศึกษาถึงความเป็นปึกแผ่น หรือการแตกแยกของรัฐ รวมไปถึงความสํานึกในเร่ืองความรักชาติและอุดมการณ์ของบุคคลและ รัฐบาลของแต่ละรัฐ เราอาจพยายามเข้าใจถึงกลไกในการบริหารด้านต่างๆ ของรัฐบาลและเอกชน ในรฐั และเราอาจจะศึกษาประวัติความเป็นมาของแตล่ ะรัฐเป็นต้น 2. ทฤษฎกี ําเนดิ รัฐ คําว่า “รัฐ” ใช้ในความหมายกว้าง คือ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นรัฐประชาชาติอย่างที่รู้จักกันทุก วันนี้ แต่หมายถึง การจัดองค์การทางการเมืองทั่วๆไป ดังน้ัน “กําเนิดของรัฐ” ได้แก่ การพยายาม มองว่าอะไรน่าจะเป็นเหตุให้เกิดมีการรวมตัวของคนในสังคมขึ้นมาเป็นองค์การทางการเมือง โดย กล่าวว่า นับต้ังแต่เร่ิมแรกหรือในสังคมแบบดั้งเดิม (Primitive Society) มนุษย์ได้รวมตัวขึ้นมาเป็น องค์การทางการเมอื งได้อยา่ งไร ทฤษฎีเก่ยี วกบั กาํ เนิดรฐั มี 8 ทฤษฎีไดแ้ ก่ 1) ทฤษฎีเทวสทิ ธ์ิ (Divine Right Theory) ทฤษฎีเทวสิทธ์ิ น่าจะเป็นทฤษฎีท่ีว่าด้วยกําเนิดรัฐท่ีเก่าแก่ที่สุด ทฤษฎีนี้มีพ้ืนฐานอยู่บน สมมติฐานว่าชนบางเหล่าเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าเลือกสรร ข้อสรุปท่ัวๆไปของทฤษฎีเทวสิทธ์ิอาจแบ่ง ได้เปน็ 3 ประการ (1) โดยแท้ท่ีจริงแล้วชนทุกเหล่าไม่ว่าห้วงเวลาใดก็เวลาหนึ่ง จะมองตนเองว่าเป็นเหล่าที่ ไดร้ ับเลือกใหอ้ ยเู่ หนอื หมูเ่ หล่าอ่นื ๆ ในสายตาของพระผ้เู ปน็ เจา้ (2) การได้รับเลือกสรรจากพระผู้เป็นเจ้านั้น นํามาซึ่งการยอมรับนับถือในตนเองอยู่ด้วย เสมอน่ันก็คือ ชนท่ีได้รับเลือกสรรมักจะเป็นผู้ค้นพบอภิสิทธิ์ของตนด้วยตนเองมากกว่าที่จะเป็น เพราะชนที่ด้อยกวา่ จะมาชใี้ หเ้ หน็

91 (3) การค้นพบสถานะที่สูงส่งน้ี โดยท่ัวไปจะนํามาซึ่งกิจกรรมท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อชนอ่ืนๆ โดยมากก็เป็นการใช้กําลัง เป็นต้นว่าการทําให้ผู้อื่นตกเป็นทาส ซึ่งเป็นส่ิงยากที่จะอ้างความชอบ ธรรม หากปราศจากขอ้ อา้ งความเหนอื กวา่ ของตนเอง (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2546) ตัวอย่างเช่น ซาอูล ได้รับการเจิมจากซามูเอล ซ่ึงเป็นผู้ทํานายของพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นผู้นาํ ชนท่ีได้รับเลือกสรรเพ่ือพิชิตชนชาติฟิลีสตีนส์หรือกรณีที่พวกครูเสดได้ทําการรุกรานอาณาจักรท่ี กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งชาวอาหรับพิชิตได้ในตะวันออกกลาง โดยอาศัยข้ออ้างท่ีว่า(ศาสนาคริสต์ท่ี พวกครูเสดนับถือน้ัน) “เป็นศาสนาท่ีเท่ียงแท้”ในทํานองเดียวกันชาวญี่ปุ่นท่ีมีความเช่ือว่าตนเป็น ชนท่ีรักของพระอาทิตย์เทพอามาเตราสุ และเชื่อมั่นว่าสมเด็จพระจักรพรรดิสืบสายโลหิตมาจาก อาทิตย์เทพโดยตรง ชาวญ่ีปุ่นจึงพร้อมที่จะตายเพ่ือสมเด็จพระจักรพรรดิ โดยเชื่อว่าความหลุดพ้น ได้รอคอยพวกตนอยู่ หากยอมเสียสละชีวิตเพ่ือการดังกล่าวหรือข้ออ้างของประธานาธิบดีเรแกน ท่ีว่า สหภาพโซเวียตเป็น “อาณาจักรแห่งความช่ัวร้าย” ซ่ึงคุกคามต่อความคงอยู่ของสหรัฐอเมริกา นน้ั ฟงั ดูคล้ายกบั ว่าทฤษฎเี ทวสิทธ์ไิ ด้ถอื กาํ เนดิ ขึ้นมาอกี ครัง้ หนึง่ จอรซ์ เฮเกล ซ่ึงเป็นผ้มู ีส่วนสาํ คัญในการสร้างทฤษฎีกําลงั อํานาจของรัฐ ได้พัฒนาทฤษฎีๆ หนึ่งซึ่งกําหนดให้รัฐเป็นศูนย์กลางในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ประวัติศาสตร์ตามความคิดเห็น ของเฮเกล เป็นแต่เพยี งการแสดงถงึ การเตรยี มการล่วงหน้าในแผนการของพระผู้เปน็ เจา้ ซ่งึ มรี ัฐเป็น พาหนะท่ีจะดําเนินการตามแผนการของพระผู้เป็นเจ้า รัฐจึงเป็นเคร่ืองมือที่พระผู้เป็นเจ้าแสดงออก ถึงซ่ึงเจตจํานงของพระองค์ นับเป็นเร่ืองท่ียากที่จะจินตนาการถึงความเช่ือที่สามารถทําให้รัฐมี สถานะที่สูงส่ง นักเทววิทยาของคริสต์ศาสนาในยุคแรก ๆ ได้ใช้แนวความคิดการกําเนิดรัฐตามทฤษฎีเทว สิทธ์ิน้ีเพ่ือผลประโยชน์ของตนเอง ผู้นําทางศาสนาในยุคแรกๆไมว่ ่าจะเป็นเซ็นต์ แอมโบรส เซ็นต์ ออกุสติน หรือสันตประปาเกรเกอร่ี ต่างอ้างว่า อํานาจของฝ่ายวิญญาณและอํานาจในทางโลกนั้น แมต้ า่ งจะเป็นอํานาจที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง แตก่ เ็ ป็นอํานาจท่ีแบ่งแยกออกจากกัน นกั คิดแต่ ละคนตา่ งกฝ็ ังใจในเรอื่ งของความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งรัฐกบั ศาสนจกั ร แต่ท้ังสองทา่ นก็ไมไ่ ดอ้ ธบิ ายถงึ ประเด็นน้ีมากนัก สําหรับสันตปะปาเกรเกอร่ีน้ัน มีความเชื่อม่ันว่า ศาสนจักร ควรยอมให้ทางฝ่าย อาณาจักร หรือรัฐเป็นผู้ดําเนินการเกี่ยวกับกิจกรรมในทางโลกท้ังปวง สันตประปาเจลาสิอุสที่ 1 เป็นคนแรกท่ีได้ตีความทฤษฎีดาบสองเล่ม ตามที่นําไปประยุกต์ใช้ในระหว่างยุคกลาง คือ แบ่ง ออกเป็น อํานาจในทางฝ่ายวญิ ญาณ และอํานาจในทางโลก ซ่ึงต่างก็มีความสําคัญต่อชวี ิตมนุษย์ แต่ อํานาจทั้งสองก็ไม่สามารถอยู่ภายใต้บุคคลเดียวกัน หน้าท่ีหลักของแต่ละอํานาจก็คือการช่วยเหลือ ให้ประชาชนหลุดพ้นจากบาป รัฐจะช่วยในด้านปูทางให้ไปสู่สรวงสวรรค์ โดยการสร้างสันติภาพ และความเป็นระเบียบ รวมท้ังสร้างบรรยากาศที่จะทําให้ประชาชนสามารถรับใช้พระผู้เป็นเจ้าไดด้ ี

92 ที่สุด ส่วนศาสนจักรนั้น รับผิดชอบ ในด้านการพัฒนาหลักธรรมคําสั่งสอนของวิญญาณที่เที่ยงแท้ และให้คําแนะนาํ แก่ประชาชน เพ่ือใหบ้ รรลถุ งึ จดุ หมายปลายทางบนสรวงสวรรค์ โดยทั่วไป ตลอดห้วงเวลาสมัยกลางถือกันว่า ในระหว่างดาบทั้งสองเล่มน้ี ดาบของทาง ฝ่ายศาสนจักรย่ิงใหญ่กว่า และเจ้าผู้ปกครองต่าง ๆ ก็มักจะยอมรับข้อกําหนดน้ี อย่างไรก็ตาม ด้วย การเปล่ยี นแปลงอย่างช้าๆอนั เป็นผลมาจากความกา้ วหนา้ ในทางความรขู้ องยคุ ฟ้ืนฟูศิลปะวิทยาการ ไดก้ อ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในศาสนาและการเมือง พระมหากษัตริย์แห่งชาติได้เร่มิ อ้างความชอบ ธรรมแห่งอํานาจท่ีพระองค์มีต่อกิจกรรมในทางโลก ในขณะเดียวกันกับที่การปฏิรูปใน คริสตศาสนาทําให้ท้าทายอํานาจอันเด็ดขาดทางฝ่ายวิญญาณขององค์สันตปะปา ทฤษฎีนี้ถือว่า รัฐ เกิดขึ้นมาจากสภาวะอันศักดิ์สิทธ์ิคือ เทพเจ้าหรือผู้อยู่เหนือมนุษย์ ทฤษฎีน้ีมีสาระอยู่ 3 ประการ ได้แก่ (1) รฐั ไดร้ ับการสถาปนาข้ึนโดยเทวโองการหรือเทวประสงค์ (2) ผคู้ รองรัฐหรือผ้เู ป็นประมขุ ของรัฐได้รับการแต่งตัง้ โดยผมู้ สี ภาวะเหนือมนษุ ย์ โดยพระ เป็นเจา้ หรอื เทพเจา้ ผู้ทรงฤทธ์ิ (3) ความรับผิดชอบหรือภารกิจที่ผู้นําหรือประมุขกระทําน้ันขึ้นอยู่กับอํานาจศักด์ิสิทธิ์ เทา่ นน้ั 2) ทฤษฎีการแบ่งงาน (Division of Labor Theory) ทฤษฎีน้ีถือว่า รัฐเกิดข้ึนเนื่องจากความจําเป็นอันมีขึ้น เพราะงานของมนุษย์ได้แตกแขนง และสลัลซับซ้อนยิ่งขึ้น งานของมนุษย์มีมากขึ้น คือ มีไม่เฉพาะแต่ในเกษตรกรรม แต่ได้ขยาย ออกไปเป็นพาณิชย กรรม อุตสาหกรรม และการรวมตัวทางเศรษฐกจิ ในรูปต่างๆกนั รัฐจําเป็นต้อง มีอาํ นาจในการควบคุมดูแลการแบ่งงาน คอื ดแู ลว่าใครควรจะประกอบอาชีพอะไรและแต่ละอาชีพ จะต้องอยู่ในเกณฑ์อย่างไร ทฤษฎีน้ีถือว่า หากไม่มีรัฐเข้าควบคุมการแบ่งงานแล้ว สังคมย่อมยุ่ง เหยงิ สบั สนเพราะขาดการแบ่งหนา้ ท่แี ละขาดความรับผดิ ชอบทางเศรษฐกิจ 3) ทฤษฎีสัญชาตญาณหรอื ทฤษฎีธรรมชาติ (Instinct or Natural Theory) อริสโตเตลิ ซ่ึงเป็นบดิ าของวิชารฐั ศาสตร์ เป็นบุคคลแรกทีเ่ สนอทฤษฎธี รรมชาตเิ พอ่ื อธิบาย ก่อกําเนิดของรัฐ อริสโตเติล เช่ือว่ามนุษย์นั้นดีโดยพื้นฐานและมีความพยายามอย่างไม่หยุดยงั้ ท่ีจะ เข้าถึงความดีงามสุดยอด อันเป็นส่ิงซ่ึงไม่มีวันจะบรรลุถึงปัญหาความดีงามสุดยอดจึงยังคงเป็นภูมิ ธรรมสงู สดุ ท่มี นุษย์มุง่ แสวงหา อริสโตเตลิ เห็นว่ามนุษย์เป็นสัตวส์ ังคมโดยธรรมชาติ กล่าวคอื เป็น ธรรมชาติที่มนุษย์จะรวมตัวเข้าด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และกันอันยังผลให้เกิดเป็นชุมชน ขนึ้ มา รปู แบบท่ีเปน็ ทางการของชุมชนมนุษยก์ ็คือ รฐั แบบนครรัฐ การกอ่ กําเนิดของนครรัฐจึงเป็น ผลที่เนื่องมาจากความโน้มเอียงตามธรรมชาติของมนุษย์ อริสโตเติลเชื่อม่ันว่านครรัฐเป็น

93 ส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติของสังคมและยังเห็นด้วยว่า มนุษย์จะเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่ออยู่ภายในนคร รัฐ ปัจเจกบุคคลท่ีอยู่ภายนอกนครรัฐนั้น ถ้าไม่เป็นเทพเจ้าก็จะต้องเป็นสัตว์ป่า นครรัฐเป็น สง่ิ แวดล้อมเพียงอย่างเดียวทจ่ี ะทําใหผ้ ูใ้ ดผู้หน่ึงมีความเป็นมนษุ ย์ทีแ่ ท้จรงิ นครรฐั น้นั เป็นสถาบันที่ สาํ คญั ยิ่ง ในปรชั ญาอริสโตเติล นครรฐั ไม่ได้เป็นแตเ่ พยี งการแสดงให้เห็นถงึ ซ่ึงความโนม้ เอยี งตาม ธรรมชาติของมนุษย์ท่ีมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่ยังเป็นพาหนะที่ทําให้ปัจเจกบุคคลสามารถ บรรลุถึงซึ่งความดีงามสุดยอดด้วย (Leon P. Baradat, 1998) อริสโตเติลยังเห็นว่า มนุษย์เราเม่ือมี ความสมบูรณจ์ ะเป็นสัตว์ทป่ี ระเสริฐที่สุด แตถ่ า้ หากแยกมนษุ ย์ออกจากกฎหมายและความยุติธรรม (ซงึ่ จะหาไดก้ แ็ ต่ในนครรัฐ) แลว้ จะเป็นสัตวท์ ่ีเลวทรามที่สุด (อานนท์ อาภิรม, 2545) สําหรับอริสโตเติล นครรัฐไม่เป็นแค่เพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่ยังมีลักษณะท่ี สําคัญอีกมากมาย แม้นครรัฐจะถือกําเนิดข้ึนมาจากปฏิสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคล แต่ในทางปฏิบัติ นครรัฐมีความสําคัญมากกว่าปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดๆ นครรัฐได้กลายเป็นส่ิงที่ดํารงอยู่ ประกอบด้วยชีวติ สิทธติ า่ งๆ และพันธะ นอกเหนอื ไปจากข้อผกู พนั ต่างๆกบั ประชาชนท่ีนครรัฐรับ ใช้ ทฤษฎีท่ีถือว่ารัฐเป็นอินทรีย์น้ี ในเวลาต่อมาได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่มีความคิดเห็นที่ แตกต่างกัน เช่น โทมัส อะไควนัส รุสโซ และมุสโสลินี นักเสรีนิยมในปัจจุบันก็ยังได้กล่าวอ้างถึง สังคมอินทรยี ์อยู่บอ่ ยๆ การตีความสงั คมท่ีมลี ักษณะเปน็ อนิ ทรีย์ทสี่ ุดข้ัว นา่ จะไดแ้ ก่ การตีความของ มุสโสลินีท่ีอ้างว่า ส่ิงทั้งมวล (รัฐ) น้ัน มีความสําคัญยิ่งไปกว่าผลรวมของส่วนประกอบของมัน (ปัจเจกบคุ คลท่อี ยู่ภายในรัฐ) ทฤษฎีนี้ถือว่า เม่ือเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีสัญชาตญาณที่ผลักดันให้มนุษย์รวมตัวกันให้เป็นรัฐ หรือให้เป็นองค์การทางการเมืองขึ้นมา ดังท่ีอริสโตเติล (Aristotle) กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีมี สัญชาตญาณให้อยู่ในเมืองหรือรัฐ หากไม่อยู่ในรัฐแล้ว ถือว่าจะต้องเป็นเทพเจ้าหรือสัตว์โลกอ่ืนๆ (Gods of beasts) ข้อความของอริสโตเติลนี้ มีผู้ตีความคลาดเคล่ือนอยู่บ่อยๆ คือมักจะตีความว่ามนุษย์ เป็นสัตว์การเมือง คือสนใจแต่เรื่องทางการเมืองแต่ในทรรศนะของอริสโตเติลแล้ว มนุษย์โดย ธรรมชาติจะอยู่ตามลําพังมิได้หรือแม้จะอยู่ในกลุ่มสังคมเพียงระดับครอบครัวก็ไม่พอเพียง เพราะว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณที่จะต้องอยู่ในองค์การท่ีใหญ่กว่าครอบครัวหรือแม้กระทั่งใหญ่กว่าหมู่บ้าน จึง ต้องด้ินรนรวบรวมหม่บู ้านเพื่อก่อตัง้ เป็น องคก์ ารการเมืองท่ใี หญข่ ้ึน คอื เป็นระดบั นครรัฐ ทฤษฎีสัญชาตญาณนีบ้ างครงั้ เรียกวา่ ทฤษฎธี รรมชาติ คือ สังคมอันประกอบด้วยบุคคลต่าง อาชีพ ต่างบทบาท ต่างเพศ ตา่ งผวิ พรรณ ตา่ งวยั ฯลฯ ยอ่ มวิวฒั นาการคือมีการเปลีย่ นแปลงอยู่อย่าง สมํา่ เสมอ แม้บางครงั้ จะเป็นไปอยา่ งเชอ่ื งช้าก็ตาม ผลในทางตรรกศาสตร์ก็คอื แนวโน้มท่ีวา่ อะไรท่ี ไดเ้ กิดมาย่อมดอี ยู่แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแปลงมากนัก

94 4) ทฤษฎสี ัญญาประชาคม (Social Contract Theory) เน่ืองจากพระมหากษัตริย์ทรงอ้างทฤษฎีเทวสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ หรือทฤษฎี สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพ่ือมิให้อํานาจทางการเมืองของพระองค์มีขอบเขตจํากดั ผู้ท่ีต่อต้านอํานาจ เด็ดขาดของพระมหากษัตริย์จึงมีความปรารถนาท่ีจะได้ข้ออ้างเพ่ือต่อสู้กับทฤษฎีนี้ข้ออ้างหนึ่ง ได้แก่ ทฤษฎีสัญญาสังคม ซ่ึงพัฒนาข้ึนมาในระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี 17 และ 18 อันมีพ้ืนฐานอยู่ บนแนวคิดอาํ นาจอธิปไตยปวงชน ทีถ่ ือว่าแหล่งทมี่ าของอํานาจรัฐ คือ ประชาชน การทําสัญญาเกิดขึ้นจากประชาชนท้ังปวง ซึ่งมีอํานาจมาตกลงกันเพื่อสถาปนารัฐข้ึนและ ให้อํานาจรัฐแก่รัฐบาลในระดับหนึ่ง นักทฤษฎีสัญญาสังคมต่างมีความเห็นท่ีแตกต่างกันในเรื่อง รูปแบบของรัฐที่จะสถาปนาข้ึนจากการทําสัญญา รวมทั้งข้อจํากัดในอํานาจของรัฐบาลซึ่ง ประชาชนในฐานะองคอ์ ธปิ ัตย์เปน็ ผู้กําหนด ในอังกฤษ แนวความคิดสัญญาสังคมได้ถูกเบี่ยงเบนไปชั่วคราวจากที่เคยเป็นตามปกติ คือ จากที่สนับสนุนสิทธิของประชาชนไปสนับสนุนอํานาจสิทธิ์ขาด ท้ังนี้ก็โดยความปราดเปร่ืองและ ความฉลาดหลักแหลมในทางปรัชญาของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ดังนั้น ฮอบส์จึงกล่าวถึง ทฤษฎีสัญญาประชาคมว่า เป็นทฤษฎีท่ีมนุษย์ทําข้อตกลงสัญญาต่อกันว่า ต่อไปนี้จะเลิกอยู่แบบตัว ใครตัวมัน แต่จะมาอยู่รวมกันภายใต้การปกครองขององค์อธปิ ัตย์ (อานนท์ อาภิรม, 2545) อย่างไร ก็ตามเม่ือมาถึงจอห์น ล็อค แนวความคิดนี้ก็หวนกลับไปสู่สถานะด้ังเดิม คือทําหน้าท่ีปกป้อง สาธารณชนจากการคมุ คามของฝ่ายบรหิ าร แนวความคดิ น้จี ึงเปน็ หลกั การทต่ี รงกันข้ามกับหลักการ เผด็จการ ล็อคยังได้เสนอให้นําข้อผูกมัดทางศีลธรรมกลับมาใช้ในบทบัญญัติทางกฎหมายด้วย สําหรับแนวความคิดเรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนน้ัน ล็อคมีความเห็นว่า ประชาชนเป็นผู้ท่ีไว้วางใจโดยให้อํานาจแก่รัฐบาลเพ่ือทําหน้าที่ผู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของ ประชาชน ตามความเห็นของล็อครัฐบาลมีอํานาจที่จํากัด จะสามารถใช้อํานาจได้อย่างชอบธรรมก็ ต่อเม่ือเป็นการกระทําที่เพ่ิมพูนผลประโยชน์ต่างๆของประชาชน และเคารพในสิทธิตามธรรมชาติ ของมนุษย์ล็อคยังสงวนไว้ซ่ึงสิทธิของประชาชนในการปฏิวัติเม่ือรัฐบาลโง่เง่า หรือเลวทรามเสีย เหลือเกิน โดยวางแผนและดําเนินการในสิ่งท่ีเป็นอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้ใต้ ปกครอง ซึ่งล็อคแสดงให้เห็นถึงสิทธิน้ีในลักษณะของการอุทธรณ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าผ่านการ พจิ ารณาความด้วยการลุกขน้ึ ต่อสู้ เมอื่ โทมัส เจฟเฟอรส์ นั (Thomas Jefferson) รา่ งคาํ ประกาศอสิ รภาพของอเมรกิ าเจฟเฟอร์ สันได้องิ ทฤษฎขี องล็อคเป็นอย่างมาก ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากถ้อยคําในอารัมภบทของคําประกาศฉบับนั้น ซง่ึ เขาไดก้ ลา่ วถึงประเด็นอย่างเช่น สทิ ธทิ ีไ่ ม่อาจพรากไปจากชาวอาณานิคมอเมรกิ ันอันได้แก่ ชวี ิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เจฟเฟอร์สันได้พูดถึงรัฐบาลว่าเป็นสถาบนั ที่สถาปนาขึ้นมาเพ่อื

95 พิทกั ษ์สิทธิเหล่านี้ และในทา้ ยทีส่ ุดเขาได้กลา่ วว่า ในเม่อื พระเจ้าแผน่ ดิน (ในกรณีของพระเจา้ ยอร์ช ที่ 3 แห่งประเทศองั กฤษ ซึง่ เป็นเจ้าของอาณานิคมในอเมรกิ า) ไดล้ ะเมิดสิทธิเหล่านเ้ี ปน็ ระยะเวลาท่ี ยาวนานพอสมควร ประชาชนก็มีสิทธิปฏิวัติเพ่ือเลิกสัญญา และจัดต้ังการปกครองรูปแบบใหม่ ข้นึ มาแทน (สนธิ เตชานนั ท์, 2543) ทฤษฎีน้ีถือว่า ในภาวะธรรมชาติ (State of Nature) คือเม่ือยังไม่มีสภาพเป็นสังคมการเมอื ง (Political Society) คนย่อมมีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) อันได้แก่สิทธิที่มีมาแต่กําเนิด โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการปกครองตนเอง และเมอื่ มีอย่ใู นตัวคนตง้ั แต่แรกเช่นน้ีย่อมสามารถมอบให้ บคุ คลอ่ืนได้ การมอบหมายยกสทิ ธ์ทิ ีม่ ตี ิดตัวมา (สทิ ธติ ามธรรมชาติ) ให้ผู้อนื่ น้ี อาจทาํ ได้ในรปู ของ การให้ทําหน้าที่หน่ึงหรือหลายๆหน้าท่ี การมอบหมายมีลักษณะแห่งการให้เป็น “ตัวแทน” (Representation) ในข้อสมมติฐานว่า มีการมอบหมายสิทธิน้ีให้ถือว่าเป็นการกระทําพร้อมๆกัน หลายคน เรยี กว่า มีการทาํ “สัญญาประชาคม” ซึ่งหมายถงึ การทาํ สัญญาโดยที่มกี ารมอบอํานาจหรือ มอบสทิ ธใิ ห้บุคคลใดบุคคลหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ผนู้ าํ หรอื ผ้ปู กครองของชมุ ชนนั้น 5) ทฤษฎอี ภิปรชั ญา (Metaphysical Theory) ทฤษฎีน้ีถือว่า รัฐมีสภาพพิเศษแตกต่างจากสังคมของคนโดยท่ัวไป คือ รัฐเป็นสภาพ นามธรรม (Abstract) ซ่ึงจับต้องหรือสัมผัสไม่ได้ แต่เป็นสภาวะท่ีมีอยู่อย่างแท้จริง รัฐมีตัวตนเป็น เอกเทศจากสังคมมนุษย์ธรรมดา คือ มีสภาพเฉพาะของตัวเอง เข้าขั้นอภิปรัชญา (Metaphysics) อัน หมายถงึ มสี ภาวะเหนือโลกส่งเหนอื สภาวะธรรมดา และจะยืนยงคงกระพันอยู่ตลอดกาล 6) ทฤษฎที างกฎหมาย (Legal or Juristic Theory) ทฤษฎีนี้ถอื ว่า รฐั มขี ึ้นมาโดยความจาํ เปน็ ทางกฎหมาย คือ เมอ่ื มีคนอยรู่ วมกันในสงั คมเป็น จาํ นวนมาก ย่อมจาํ เป็นต้องมีบทบัญญัติต่างๆขึ้นมาเพื่อกําหนดมาตรฐานแห่งพฤตกิ รรม นอกจากนี้ ยังจะต้องมีองค์การท่ีจะต้องดูแลให้มีการประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามบทบัญญัติเหล่านั้น องค์การ นั้นคือ รัฐ ทฤษฎีน้ีมีทรรศนะคลา้ ยกับทฤษฎีสญั ญาประชาคมคือ เชื่อว่ารัฐถือกําเนิดข้ึนมา เพราะมี ความจําเป็นที่จะต้องมีกําหนดกฎเกณฑ์ต่างๆในสังคม แต่ให้ความสําคัญเน้นหนักไปเร่ืองเชิง กฎหมายสําหรับส่วนรวม ทฤษฎีสัญญาประชาคมเน้นหนักไปเร่ืองของผู้มีสิทธิหรือผู้มีอํานาจใน การออกกฎหมาย ทฤษฎที างกฎหมายมกั มไิ ดก้ ลา่ วถงึ สภาพธรรมชาติหรอื มองยอ้ นไปในอดตี ที่ผ่าน มายาวนาน ส่วนทฤษฎีสัญญาประชาคมเป็นการตั้งข้อสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตสมัย ดั้งเดิมหลายหมื่นหลายแสนปีมาแล้วของมนุษยชาติ ซ่ึงย่อมไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นอย่างไรอย่าง แทจ้ ริง

96 7) ทฤษฎีเชิงชีววิทยาว่าด้วยรัฐเป็นอินทรีย์และทฤษฎีวิวัฒนาการ (Organismic and Evolutionary Theory) ทฤษฎีน้ีถือว่า รัฐประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนเปรียบเสมือนอวัยวะต่างๆที่ ประกอบข้ึนเปน็ อนิ ทรียแ์ ละรัฐย่อมมีวงจรของการวิวัฒนาการคล้ายๆของสงิ่ มีชีวิต กาํ เนิดรฐั เกดิ ขึ้น โดยธรรมชาติและการเจริญเติบโตก็เป็นไปแบบสิ่งมีชีวิตค่อยเป็นค่อยไป อุปสรรคขัดขวางการ เจริญเติบโตอาจมีอยู่บ้าง แต่ในที่สุดย่อมมีการเปลยี่ นแปลงไปในลกั ษณะเดียวกันกบั ร่างกายมนษุ ย์ ที่อาจเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุบ้างบางคร้ังบางคราว การเปรียบรัฐว่าเหมือนอินทรีย์หรือ สง่ิ มชี วี ติ มกั เป็นไปเพ่อื แสดงให้เหน็ ว่า มีความสมั พันธอ์ ย่างใกลช้ ดิ ระหวา่ งหน่วยตา่ งๆของรัฐ หาก มกี ารเปลย่ี นแปลงในหนว่ ยหนึ่งหรือในองคก์ ารหนึ่งย่อมกระทบกระเทือนหนว่ ยหรือสว่ นอื่นๆด้วย 8) ทฤษฎแี สนยานุภาพ (The Force Theory) ทฤษฎีน้ีเชื่อว่าการปกครอง มีจุดเร่ิมต้นมาจากการยึดครองและการบังคับ ผู้ที่แข็งแรงกว่า สามารถข่มแหงผู้ที่อ่อนแอกว่า และได้สร้างกฎเกณฑ์เสมือนหน่ึงว่าชอบด้วยกฎหมายเพื่อจํากัด สิทธขิ องผู้อืน่ ทฤษฎกี ําลังอํานาจน้นั ประกอบด้วยแนวความคดิ 2 แนวด้วยกนั สาํ หรับแนวความคิด ดั้งเดิม เป็นแนวความคิดท่ีมีมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ทฤษฎีนี้เห็นว่า รัฐสถาปนาขึ้นมาจากการพิชิต หรือการใช้กําลังโดยผู้ที่แข็งแรงกว่าใช้กําลังบับบังคับผู้ที่อ่อนแอกว่า ดังจะเห็นได้จากคําพูดเทรซี มาคัส ในบทสนทนาเรื่อง Republic ของเพลโต ท่ีถูกขอให้สรุปความเข้าใจท่ีตัวเขามีต่อคําว่า “ยุติธรรม” และคําว่า “ถูกต้อง” อันเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าต้องมาก่อนความหมายของคําว่า “ชัย ชนะ” เทรซมี าคสั ไดใ้ หค้ ําตอบว่า “ข้าพเจ้ากล่าวว่าส่ิงน้ัน “ยุติธรรม หรือ “ถูกต้อง” ไม่ได้มีความหมายอ่ืนใด นอกเหนอื ไปจากเปน็ ผลประโยชนข์ องผูท้ ่แี ข็งแรงกวา่ ” ในตอนตอ่ มา เทรซมาคสั กถ็ กู บีบให้ตอ้ งกลา่ วเพ่ิมเติมว่า “ผู้ที่แขง็ แรงกวา่ นีไ้ ม่ได้หมายถึง เฉพาะผทู้ ร่ี ่างกายแข็งแรงกว่าเทา่ น้ัน แตห่ มายถึง ผู้ที่มคี วามสามารถทสี่ ุด และมคี วามเชี่ยวชาญมาก ท่สี ดุ ดว้ ย” (สมบัติ จันทรวงศ์, 2520) ถ้อยคําดังกล่าวแสดงใหเ้ หน็ วา่ เทรซมี าคัส ได้ให้การยอมรบั ในผู้ปกครองทที่ ราบถงึ วิธีการ ทีจ่ ะไดม้ าซงึ่ อํานาจ และรจู้ ักวธิ จี ะรักษาอาํ นาจนั้นไว้ เพราะฉะน้ัน ความคิดของเทรซมี าคสั จึงเป็น ความคิดที่มีมาก่อนความคิดของมาเคียเวลลีซึ่งเป็นนักคิดในสมัยคริสต์ศตวรรษท่ี 16 และโทมัส ฮอบส์ซ่ึงเป็นนักคิดในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ท่ียืนยันว่าอํานาจท่ีทรงประสิทธิภาพและโดยตัว ของมันเองเป็นสิ่งชอบธรรม ใครก็ตามท่ีในข้อเท็จจริงมีอํานาจในการปกครอง ก็สามารถที่จะอ้าง ดว้ ยความชอบธรรมวา่ ตนมอี ํานาจในหนา้ ทีต่ ามกฎหมายในการปกครอง

97 แนวความคิดของสํานักท่ีสองมีพื้นฐานอยู่ท่ีทฤษฎีกําลังอํานาจ ได้พัฒนาข้ึนมาในประเทศ เยอรมัน ในศตวรรษที่ 19 จึงเปน็ อุปสรรคสําคัญทีท่ าํ ใหอ้ ติ าลแี ละเยอรมนไี มส่ ามารถรวมตัวกันเป็น รัฐชาติ อย่างไรกด็ ี นับตัง้ แตส่ งครามนโปเลยี นเปน็ ต้นมาความรูส้ ึกในทางชาตินิยมไดแ้ พร่หลายข้ึน ในประเทศเยอรมนี จอร์จ เฮเกล และเพรดริช นิทส์เช เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีรัฐถือกําเนิดขึ้นมาด้วยกําลังอํานาจ ทฤษฎีของคนท้ังสองก่อให้เกิดพื้นฐานของส่ิงท่ีเรียกว่า ลัทธิรัฐนิยม เขาท้ังสองได้อ้างว่ารัฐน้ัน สร้างโดยกําลังอํานาจ ซึ่งอํานาจน้ันก็ไม่ใช่ส่ิงที่ช่ัวร้ายอะไร แต่มีลักษณะ ท่ีเชิดชูรัฐกําลังอํานาจ มิใช่สิ่งที่ต้องหลีกหนี ตรงกันข้าม มันเป็นส่ิงที่มีค่าในสังคม อํานาจน้ันมีเหตุผลในตัวของมันเอง ดังที่นิทส์เชได้กล่าวว่า “อํานาจก่อให้เกิดธรรม” รัฐซึ่งสร้างความเป็นสถาบันให้แก่อํานาจของผู้ที่ แข็งแรงให้เหนือกว่าผู้ท่ีอ่อนแอเป็นเพียงผู้จัดกิจกรรมต่างๆตามที่ควรจะเป็นตามความเห็นของ นัก ทฤษฎีกําลงั อํานาจ ผู้ทแี่ ข็งแรงควรจะตอ้ งปกครองผทู้ อ่ี ่อนแอ บรรดาศิษย์ของเฮเกล และนิทส์เช ต่างอ้างว่า รัฐเป็นองค์กรมนุษย์ที่ทรงพลานุภาพมาก ทีส่ ุด การดงั กลา่ วทาํ ให้รัฐอยู่เหนือข้อกาํ หนดในทางศลี ธรรมหรือจริยธรรมสามัญใดๆ และย่งิ ใหญ่ กว่าปัจเจกบุคคลใดๆ รัฐจะไม่ถูกจํากัดโดยบางสิ่งบางอย่างท่ีไม่มีความสําคัญเฉกเช่นสิทธิของ ปัจเจกบุคคล ซึ่งจะพูดถึงทฤษฎีนี้ในรายละเอียด เมื่อถึงหัวข้อ ลัทธิฟาสซิสต์ และลัทธิชาติสังคม นิยม ขอ้ สังเกตคือ ทฤษฎน้ี น่าจะเป็นกรณตี ัวอยา่ งของลัทธชิ าตินิยมที่สดุ ขั้ว เพราะกําหนดให้รัฐอยู่ เหนือประชาชนให้รัฐบาลมีสถานะท่ีไม่มีใครสามารถท่ีจะทัดเทียมหรือดีไปกว่าได้ เพราะฉะน้ัน รัฐบาลโดยตัวของมันเองจึงมีอํานาจแยกออกจากอํานาจของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองรัฐ เปน็ สงิ่ ท่ีสมบรู ณใ์ นตัวเอง มลี กั ษณะท่ีเป็นอินทรียใ์ นตวั ของมนั เอง มอี าํ นาจท้งั ปวงและเบ็ดเสร็จ ทฤษฎีน้ีเก่ียวข้องกับสมมติฐานท่ีว่า เมื่อหลายหมื่นหรือหลายแสนปีมาแล้ว มนุษย์เป็นอัน มากท่ีเร่รอนพเนจร โดยมีความดุดันก้าวร้าว มีการรุกรานระหว่างเผ่าเพ่ือแบ่งผลประโยชน์ต่างๆ ระยะน้ีการสงครามหรือการรบพุ่งระหว่างกลุ่มหรือเผ่าต่างๆ เป็นของธรรมดา เม่ือเผ่าหน่ึงได้ กลายเปน็ ผู้พิชติ แล้ว พวกพเนจรเหล่านกี้ ็ตง้ั ต้นเป็นอภิสทิ ธ์ิชน คอื เป็นผูม้ สี ทิ ธพิ เิ ศษต่างๆ จนต้ังตน เป็นนายหรือปกครองดินแดนที่ตนได้ชัยชนะ ในระหว่างที่คงสภาพเป็นเผ่าอาจเรียกร้องเพียง บรรณาการ (คอื ของกํานัล) จากผทู้ อ่ี ยู่ใต้ปกครอง แต่เม่อื กลายเปน็ บ้านหรือกลายเป็นสังคมการเมือง มากย่ิงขึ้นแล้ว ย่อมสามารถเก็บภาษีอากรและค่าบริการอื่นอีกด้วย ทฤษฎีพลานุภาพหรือทฤษฎี เกี่ยวกับการใช้กําลังบังคับน้ีมักเชื่อว่าจําเป็นต้องมีผู้นําหรือมุขบุรุษผู้ทรงพละกําลังในการสู้รบเพอ่ื ปกป้องและเพื่อผดุงความสงบสุขต่างๆ ท้ังน้ีโดยที่ตําแหน่งของผู้นําน้ันอาจมีการเปลี่ยนแปลงตาม กาลสมัย เช่น เมื่อมีการรวมตัวเป็นเผ่าก็เป็นหัวหน้าเผ่า เมื่อมีการรวมตัวกลายเป็นอาณาจักร ผู้นําก็ กลายเป็นกษตั รยิ ์ หรอื เจา้ ผคู้ รองนคร

98 3. จดุ ประสงคแ์ ละหน้าทแ่ี ห่งรัฐ มแี นวคิดต่างๆกนั 1) ทศั นะของอารสิ โตเติล อาริสโตเติล ปรมาจารย์หรือปฐมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ถือว่าหากมนุษย์มีชีวิตอยู่แบบโดด เดี่ยวอยู่กันเป็นครอบครัว หรือแม้กระท่ังอยู่กันเป็นชุมชนระดับหมู่บ้านก็ยังหามีชีวิตท่ีสมบูรณ์ไม่ นักปราชญ์กรีกผู้นี้เห็นว่าการมีรัฐช่วยให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ ซ่ึงหมายถึง การมีคุณภาพชีวิตอันได้แก่ สภาวะชีวิตท่ีดีถูกต้องตามครรลองแห่งเหตุผล อาริสโตเติลกล่าวไว้ในหนังสือการเมืองของเขาว่า “จุดประสงคข์ องรัฐไม่ใชเ่ พยี งเพ่อื มีชวี ติ อยู่ แต่จะตอ้ งเป็นไปเพื่อชีวติ ซ่งึ มีคุณภาพดี สําหรับอาริสโตเติล การมีรัฐข้ึนมาไม่ใช่ 1) เพียงเพื่อช่วยแก้ปัญหาเร่ืองปัจจัย ๔ และให้ ความสะดวกสบายหรือให้สวัสดิภาพต่างๆเท่าน้ัน เช่นการเก็บขยะมูลฝอย การสร้างถนน การส่ง ไปรษณียภัณฑ์ ฯลฯแต่จะต้อง 2) มุ่งม่ันให้เกดิ ความดีงามหรือคุณธรรมขน้ึ ในรัฐด้วย 2) ทศั นะของจอห์น ล็อค จอห์น ล็อค นักปรัชญาอังกฤษผู้เกิดต่างสมัยกับอาริสโตเติล มีแนวคิดท่ีแตกต่างออกไป มาก อารสิ โตเติล เน้นเร่อื งคุณภาพชีวิต ซ่ึงให้ความสําคัญกบั เร่ืองทางวตั ถไุ ม่มากนักคอื เอนเอียงไป ในทางจติ นยิ ม สําหรบั จอหน์ ล็อค มีชีวติ อยูใ่ นชว่ งใกลก้ ารปฏวิ ัติอุตสาหกรรมซ่งึ เป็นระยะเวลาท่ีมี การทํามาค้าขายมาก จอห์น ล็อค ผู้ซ่ึงถือว่าเป็นต้นตําหรับสําคัญของลัทธิประชาธิปไตย ผู้ทรงได้ ให้ความสําคัญกับหน้าที่ของรัฐในการพิทักษ์ทรัพย์สิน (Property) ล็อค กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายที่ ย่ิงใหญ่และสําคัญที่สุดทางการรวมตัวขึ้นเป็นรัฐ และอยู่ภายใต้รัฐบาลได้แก่การรักษาไว้ซ่ึง ทรัพย์สิน” แนวคิดของล็อคสอดคล้องกับสมมติฐานของเขาที่ว่าเมื่อมีมนุษย์ในโลกระยะต้นนั้นยัง ไมม่ ีรฐั มนษุ ยอ์ ยใู่ นภาวะธรรมชาติ ซ่งึ แมจ้ ะมเี สรีภาพแต่ขาดความมั่นคง เพราะไม่มีองค์อธิปัตย์ท่ี จะคอยดแู ลและตดั สินใจในเรื่องกรรมสทิ ธ์ิในทรัพย์สินต่างๆอันเป็นสงิ่ ท่ลี ็อคเชื่อว่าเป็นชนวนแห่ง การพพิ าท นานาประการ 3) จดุ มงุ่ หมายและหนา้ ท่ีแห่งรฐั ทศั นะของม็องเตสกิเออ จุดมุ่งหมายหรือเป้าประสงค์แห่งการสถาปนาให้มีรัฐขึ้นมาน้ัน มีความเห็นแตกต่างกัน ออกไป สําหรับของนักปราชญ์และนักนิติศาสตร์ชาวฝร่ังเศสระดับปรมาจารย์ คือ ชาร์ลส์ หลุยส์ มองเตสกิเออ (Charles Louis Montesquieu, 1989-1755) ได้กล่าวไว้ในหนังสือสําคัญยิ่งชื่อจิต วิญญาณของบรรดากฎหมาย (The Spitit of Laws, 1748) ว่า รัฐมีหน้าที่ต่อราษฎรดังนี้ (Robert Sewart (comp.), 1984) 1) การคุ้มครองชีวิต 2) การให้มีอาหารท่ีเหมาะสม 3) การมีเสื้อผ้า และ 4) การครองชีวติ ทีเ่ ป็นปกติสุข

99 (1) จุดมงุ่ หมายและหน้าท่ีแหง่ รัฐ ทัศนะของแจคอบเส็นและลิปแมน ทัศนะของนักรัฐศาสตร์ร่วมสมัย 2คน ดังกล่าวมีดังนี้คือ 1) ให้สังคมมีความสงบสขุ 2) ส่ง เสรมิ ความผาสุขส่วนบคุ คล 3) สง่ เสรมิ ความผาสุขสว่ นรวม 4) สง่ เสริมคณุ ธรรม ก. จุดมุ่งหมายที่ หนึ่ง : จดั การใหส้ งั คม มีความสงบสุข เพอ่ื บรรลุเป้าหมายดังกลา่ วเป็นหนา้ ทข่ี องรฐั ท่ีจะต้องดูแลค้มุ ครองป้องกนั ราษฎร 1) ไมใ่ ห้ ถูกเบียดเบียนยํ่ายีจากภายนอก 2) ใหม้ ีความสงบภายใน และ 3) ให้ได้รับความยุติธรรม ข. จุดมุง่ หมายทีส่ อง : ส่งเสรมิ ความผาสขุ ส่วนบคุ คล รัฐที่ดีจะต้องมีนโยบายดําเนินการให้ประชาชนมีความผาสุขในการดําเนินชีวิตคือ ให้สุข กาย (สุขภาพร่างกายดี) และสบายใจ (สุขภาพจิตดี) อน่ึง ความผาสุขส่วนบุคคลย่อมหมายรวมถึง การใหม้ เี สรีภาพและสิทธขิ นั้ มลู ฐานในฐานะเป็นพลเมือง ค. จุดม่งุ หมายทสี่ าม : สง่ เสริมความผาสุขสว่ นรวม วัตถุประสงค์นี้สอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนาที่ว่า “ปชาสุขํ มหุตฺตมํ” คือ “ความสุข ของราษฎรเป็นของเลิศโดยแท้” วิธีการที่จะก่อให้เกิดความผาสุกส่วนรวมน้ันควรจะเริ่มที่คณะ ผู้บริหารประเทศอันถือว่าเป็นตัวแทนของมหาชน โดยจะต้องมีความจริงใจและมีความสามารถใน การปฏบิ ตั หิ น้าท่ี เม่อื ได้ผนู้ าํ ท่ดี ีและเหมาะสมแลว้ การวางนโยบาย และการปฏบิ ตั ติ ามนโยบายต่างๆเพื่อให้ เกดิ ความผาสุกในส่วนรวมย่อมมขี นึ้ เอง และยอ่ มขน้ึ อยูก่ บั ปรชั ญาทางดา้ นสังคม (2) หน้าที่ของรฐั หน้าทข่ี องรัฐน้ันมที า่ นผู้รูไ้ ดก้ ล่าวไว้ว่ามี 3 ประการ คือ (ประยงค์ สวุ รรณบุบผา, 2541) (1) หนา้ ท่ที างสงั คม (Socisl Function) (2) หนา้ ท่ีทางเศรษฐกจิ (Economic Function) (3) หนา้ ที่ทางการบรหิ าร การปกครอง และการเมอื ง (Political Function) ดงั น้นั ในหวั ขอ้ นีจ้ ึงไดย้ กตวั อยา่ งของนกั ปรชั ญาการเมืองทแ่ี สดงทัศนคติในเรอ่ื งนไ้ี ว้ เช่น ขงจอ้ื กล่าวว่า องค์กรของรัฐส่วนขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่มักจะประกอบไปด้วยบุคคลท่ีจะทํา หน้าที่ในด้านต่างๆ ตามแนวนโยบาย ซึ่งอาจได้มาโดยการคัดเลือก แต่งต้ัง หรือด้วยวิธีการอ่ืนใด ก็ ตามที่ถือกันว่าเป็นวิธีที่ชอบธรรมตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นผู้ทําหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ บางส่วนของสมาชิกในสงั คมและประเทศชาตติ ามความเหมาะสมในรูปขององคร์ ัฐ

100 ในส่วนน้ีขงจื้อ ได้กล่าวถึงหน้าท่ีของรัฐไว้ในคัมภีร์ลุ่นยู้ (The Analects) ว่ารัฐมีหน้าท่ีใน การบรหิ ารประเทศ 3 ประการ คอื 1. สร้างความม่นั คงทางเศรษฐกิจ 2. สร้างความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สนิ 3. สรา้ งความเช่อื มั่น หรอื ความไวว้ างใจใหเ้ กดิ แกป่ ระชาชน ขงจื้อเห็นว่า การกินดีอยู่ดีของประชาชนเป็นสิ่งที่มีความสําคัญของรัฐ ท่ีจะกระทําอย่าง ต่อเน่อื ง เพราะเปน็ เพียงหนทางเดยี วทรี่ ัฐจะพึงได้ชัยชนะ จากประชาชนดังคาํ กล่าวที่วา่ “ส่ิงใดท่ีประชาชนพอใจ เราจงพอใจ ส่ิงใดท่ีประชาชนเกลียดชังผู้ที่ได้ เกลียดชัง ผู้ใดทําได้อย่างน้ี จึงช่ือว่าเป็นบิดามารดาของประชาชน ผู้ท่ีได้ประชาชน ไว้ ก็เท่ากับได้รัฐไว้ ผู้ละทิ้งประชาชน ก็เท่ากับเสียรัฐไป” (เสถียร โพธินันทะ, 2512) ขงจ้ือเคยกล่าวถึงหน้าท่ีของรัฐกับคณะเดินทาง ในขณะที่เดินทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ ซวั เขาได้ยนิ เสยี งราํ่ ใหป้ ริเทวนาของหญิงคนหน่ึงข้างราวไพรไกล ขงจอ้ื หยดุ รถมา้ นิ่งฟงั อยู่ครู่หน่ึง แล้วพูดขึน้ วา่ “เสียงร้องใหฟ้ งั โหยหวนโศกาดูรนัก หญงิ ผ้นู ั้นคงเป็นมหนั ตทุกขแ์ สนสาหสั เป็นแท้เทยี ว” จ้ือกงไปถามสาเหตุจากเจ้าทุกข์ หญิงน้ันตอบว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานน้ี ตอ่ มาสามีของฉันก็ถูกเสอื กนิ อกี บดั นล้ี ูกของฉันยังมาตายเพราะเสือ” จอื้ กงถามว่า “ก็ทาํ ไมไม่ย้ายบ้านหนไี ปเสยี เลา่ ” นางตอบว่า “ท่นี ีไ่ มม่ รี ฐั บาลท่กี ดขี่ทารุณนะซี” เม่ือจ้ือกงนําความกลับมาเล่าให้ขงจื้อฟัง ขงจื้อแสดงความสลดสังเวชใจหันมากล่าวกับ คณะศิษย์ว่า “นักศึกษาทั้งหลายจงจําไว้เถิด อันรัฐบาลท่ีกดข่ีทารุณน้ันร้ายย่ิงกว่าเสือเสียอีก ” (เสถียร โพธนิ นั ทะ, 2512) ประเด็นดังกล่าวขงจื้อไม่เห็นด้วยกับการใช้อํานาจของผู้แทนประชาชน (รัฐบาล) ในทาง กดข่ขี ่มแหงรังแกผู้บรสิ ุทธิ์ทางการเมือง โดยไม่มขี อ้ ต่อรองใดๆ เพราะถอื ว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อ มนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของผู้มีอํานาจ ซ่ึงไม่สามารถจัดการให้ ประชาชนมีความกนิ ดีอยู่ดีได้อยา่ งท่ัวถึง และยังใชส้ ิทธิไปลว่ งเกินสทิ ธิผูอ้ น่ื โดยลมื คํานึงว่า “ความหมายสําคัญการมีสิทธิคือการได้รับการไม่ล่วงละเมิดในส่ิงท่ีเรามีสิทธิและการ ได้รับการคุ้มครองจากรัฐโดยกฎหมาย ถ้าเป็นไปได้ว่า ทุกคนเคารพสิทธิของกันและกัน ไม่มีการ ล่วงละเมิดสิทธิของกันและกันจะเป็นการเพียงพอสําหรับสังคมมนุษย์หรือไม่” (พระมหาอุทัย ญาณธโร, 2538)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook