301 เปรียบประเทศอ่ืน สร้างสมกําลังอาวุธสร้างสมความม่ังค่ัง คอยระวังไม่ให้ชาติอ่ืนมีอํานาจมากจน ทําให้ความปลอดภยั ของตนถูกคุกคาม ส่ิงต่างๆเหล่านี้อยู่เบ้ืองหลังสังคมของโลกมาแล้วนับพันๆปี และสภาวะน้ีก็ยังเป็นอยู่จนปัจจุบันนี้ ถ้าใครเข้าใจความจริงเหล่าน้ีแล้วก็จะไม่สงสัยเลยว่า ทําไม มนุษย์ถึงรบกันทําไม ชาติต่างๆ จึงใช้เงินไปในการสร้างอาวุธทั้งๆ ท่ีอาวุธกินเข้าไม่ได้ ทําไม่เหตุ การณ์ในการเมืองระหว่างประเทศจึงตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ประเทศใดท่ีไว้ในประเทศอ่ืนมากไป ไม่คํานึงถึงธรรมชาติของมนุษย์ในเร่ืองน้ี ก็จะได้รับผลเสียอย่างมหันต์ไม่ช้าก็เร็ว (ดร. ณรงค์ สิน สวัสดิ์, 2517) เมื่อมีความเข้าใจต่อสภาวะที่แทจ้ ริงของโลกตลอดจนระบบการอยู่ร่วมกนั แล้ว ก็จําต้องใช้ ข้อมูลมาวิเคราะห์มองจุดปัญหาสาเหตุพฤติกรรม แล้วจึงวินิจฉัยหาวิธีแก้ไขต่อไป นักการต่าง ประเทศท่ีเก่งกาจก็เหมือนดับแพทย์หรือช่างแก้รถยนต์เก่งๆน่ันเอง เพราะเมื่อสามารถวินิจฉัยจุด สําคัญของสาเหตุในปัญหาระหว่างประเทศได้ก็สามารถที่จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสท่ีจะ แก้ปญั หาได้สาํ เรจ็ มากทเี ดียว นโยบายของประเทศ นโยบาย คือ แผนการท่ีจะใช้ปฏิบัติให้บรรลุถึงเป้าหมายท่ีวางไว้ นโยบายของประเทศมี 2 ระดับ (สุนทร ณรงั ษี, 2526) 1. นโยบายภายในประเทศ คือ นโยบายท่ีผู้กระทําและผู้ท่ีได้รับผลกระทบอยู่ภายในขอบ เขตของประเทศ เช่น นโยบายการศึกษาแห่งชาตทิ ่ีมุ่งจะปรับปรงุ ทรพั ยากรกําลังคนของประเทศให้ มีคุณภาพ โดยการให้การศึกษาแก่ประชาชนอย่างท่ัวถึง เพ่ือที่ประชาชนจะได้นําเอาวิชาความรู้มา พัฒนาตนเอง และประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไปนโยบายภายในประเทศยังมีมากมาย อาทิ นโยบายปราบโจรผู้ร้ายที่ข่มแหงรังแกรบกวนสุจริตชน นโยบายส่งเสริมการเกษตร นโยบาย ส่งเสริมอุตสาหกรรม ฯลฯ นโยบายภายในประเทศน้ีมุ่งประโยชน์สุขของประชาชนและความ มั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นหลัก และส่ิงที่ควรระลึกอยู่เสมอคือ นโยบายในประเทศนี้จะมี อิทธิพลเหนือนโยบายต่างประเทศนั่นเอง เพราะว่าหากการวางและดําเนินนโยบายภายในประเทศ ไม่ดี ทําให้เกิดความป่ันป่วนขึ้นภายในประเทศแล้ว ต่อให้นโยบายต่างประเทศจะดีวิเศษเท่าไรก็ ตาม กไ็ ม่สามารถท่ีจะนําไปปฏิบัตไิ ด้ เน่อื งจากประเทศอืน่ ๆจะไม่ยอมเชอ่ื ถือ 2. นโยบายตา่ งประเทศ คือ นโยบายท่ีผ้กู ระทาํ ได้รับผลกระทาํ ทงั้ ที่อยู่ภายนอก และภายใน ขอบเขตประเทศ เช่น นโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างชาติท่ีจะมีผลต่อประชาชนและ รัฐบาลของประเทศท่ีมีโครงการร่วมมือทางเศรษฐกิจน้ี จากการลงอัตตาภาษีอากร และการใหค้ วาม สะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามแดน อันจะทําให้ราคาสินค้าถูกลง และมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน มากขึ้น ระหวา่ งประเทศท่ีมีนโยบายร่วมมอื ทางเศรษฐกิจระหว่างชาตนิ ้ี
302 นโยบายต่างประเทศที่ดี คือ นโยบายที่มีเหตุผล (Rational) หมายถึงการนํามาซ่ึงผล ประโยชน์ของประเทศนําไปสสู่ ันตภิ าพและความม่ันคงของประเทศ ในเรื่องท่ีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแม้คําสอนของพระพุทธศาสนาจะมีที่พูด ถึงโดยตรงไว้น้อยแต่ก็มีหลักคําสอนที่เก่ียวข้องโดยอ้อมอยู่เป็นจํานวนมาก ท่ีสามารถนํามา ประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ หลักคําสอนโดยอ้อมน้ันคือ หลักคําสอนที่ใช้กับ ปัจเจกบุคคล หลกั คาํ สอนเช่นนีส้ ามารถนํามาปรับใชก้ บั ประเทศในแง่ท่ีสมั พันธก์ ับประเทศอื่นๆได้ เพราะประเทศกค็ อื ปัจเจกบุคคลในแงก่ วา้ ง เง่ือนไขที่กําหนดลกั ษณะของนโยบายตา่ งประเทศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศยอ่ มดาํ เนนิ ไปตามนโยบายของแต่ละประเทศ ในหลกั ใหญๆ่ การวางนโยบายตา่ งประเทศยอ่ มอยู่ในเงอื่ นไขดงั ต่อไปน้ี 1. นํามาซึ่งผลประโยชน์แก่ประเทศตนไดม้ ากทสี่ ุด 2. อยู่ในขอบเขตความสามารถของประเทศตน 3. มุง่ ไปสสู่ ันตภิ าพและความม่นั คงของประเทศในทส่ี ดุ ผลประโยชน์ของประเทศเป็นส่ิงสําคัญท่ีสุดท่ีรัฐบาลของประเทศทุกประเทศมุ่งรักษาไว้ โดยทุกวิถีทาง และพยายามท่ีจะทําให้งอกเงยเพิ่มพูนขึ้นให้มากที่สุดเท่าท่ีสามารถจะทําได้ ใน บรรดาผลประโยชนข์ องประเทศทเ่ี ก่ยี วเน่ืองกบั ความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศท่ีนบั ว่าสําคัญไดแ้ ก่ 1. ความอยรู่ อดและความปลอดภัยของประเทศ 2. ความมงั่ คง่ั ทางเศรษฐกิจ 3. ความมอี ํานาจของประเทศ 4. ความมีเกียรตภิ ูมขิ องประเทศ นอกจากทง้ั 4 ข้อนี้ อาจมผี ลประโยชนป์ ลีกย่อยอ่นื ๆท่เี ป็นปจั จัยกาํ หนดวถิ ที างและลักษณะ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ผลประโยชน์ปลีกย่อยเหล่านั้นก็คงรวมอยู่ในหัวข้อใหญ่ ดงั กล่าวน้ี ผลประโยชนท์ ่ี 1 ความอยรู่ อดและความปลอดภยั ของประเทศ ในแง่ของความอยู่รอดและความปลอดภัยของประเทศ ซึง่ อาจกล่าวไดว้ ่าเป็นผลประโยชน์ ท่ีสําคัญที่สุดของทุกประเทศ อันเป็นตัวกําหนดวิถีทางและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศนน้ั พทุ ธศาสนาสอนใหย้ ดึ ความเปน็ มติ รหรือความมีไมตรีจิตต่อกันเป็นหลกั ระหวา่ งความ เป็นมิตรกับความเป็นศัตรูนั้น วิญญูชนย่อมพิจารณาเห็นได้ชัดว่า ความเป็นมิตรย่อมก่อให้เกิด ประโยชน์และนําประโยชน์มาให้โดยสว่ นเดียว ส่วนความเป็นศัตรูยอ่ มก่อให้เกิดโทษและนําความ เป็นภัยมาให้โดยตรงก็โดยอ้อม พูดอีกนัยหน่ึง ความเป็นศัตรูไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่ใคร
303 เมื่อหลักความจริงเป็นเช่นน้ี ผู้ปกครองประเทศท่ีฉลาดย่อมมุ่งแสวงหาความเป็นมิตรกับนานา ประเทศท่ีเก่ียวข้องหรือจําเป็นต้องเก่ียวข้องด้วย เหตุการณ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนบน ผืนแผ่นดินใหญ่เป็นอุทาหรณ์สนับสนุนหลักความจริงดังกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี หลังจากสงคราม โลกครั้งท่ีสองได้จบสิ้นไปแล้ว ประเทศไทยแม้จะไม่เป็นศัตรูโดยตรงกับจีนแผ่นดินใหญ่แต่ท้ัง สองประเทศก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในความเป็นมิตรต่อกัน ไม่ได้คบหากันฉันมิตรแบบประเทศที่อยู่ใกล้กนั ควรจะเป็นเมื่อเหตุการณ์คลีค่ ลายเปลยี่ นแปรไป ประเทศไทยไดพ้ ยายามคบหาเป็นมิตรกับจีนสรา้ ง เสริมไมตรีจิตและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก ท่ี เห็นได้ชัดก็เช่น ทําให้ประเทศไทยกับประเทศจีนอยู่ร่วมกันในภูมิภาคส่วนนี้ของโลกด้วยความ สบายใจงดเว้นการกล่าวร้ายป้ายสีกัน พ่ึงพาอาศัยกันได้ตามความจําเป็น ไปมาหาสู่และคบหากัน ฉันมิตรท้ังในระดับรัฐบาลและเอกชน แลกเปลี่ยนสินค้ากันซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของท้ังสอง ประเทศ ความเป็นมิตรก่อให้เกิดผลดีอย่างไร และก่อให้เกิดความสุขอย่างไรสามารถเห็นได้ชัดใน กรณคี วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศจีนกับประเทศไทย และในกรณคี วามสัมพันธ์ของประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เม่ือความต้องการเกิดข้ึน สหายเป็นผู้นําสุขมาให้” (ขุ.ธ. 25/33/59.) “รสท้ังหลายมีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง” (ขุ.ชา 27/685/160.) ประโยชน์ท่ีประเทศ ไทยได้รับจากความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศจีนกับไทยและกับบรรดาประเทศในสมาคม อาเซยี น ยอ่ มสนับสนุนพระพุทธพจน์ดงั กลา่ วน้ี ความไม่ปลอดภัยของประเทศอาจแยกกล่าวได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความไม่ปลอดภัยที่เกิด ขึ้นจากสาเหตุภายในประเทศเอง และความไม่ปลอดภัยท่ีมาจากนอกประเทศ ถ้าเทียบกับปัจเจก บุคคล ความไม่ปลอดภัยภายในก็ได้แกค่ วามเจ็บปว่ ยท่ีเกดิ ขึ้นภายในร่างกายด้วยสาเหตุต่างๆ ความ ไม่ปลอดภัยที่มาจากสาเหตุภายนอกได้แก่ภัยที่เกิดจากการกระทําของผู้อ่ืน ความไม่ปลอดภัยทั้ง 2 ลกั ษณะน้ี มสี าเหตตุ ่างกนั วิธีแก้หรอื ป้องกันก็ตา่ งกัน การแกน้ ัน้ มกั กระทาํ เม่ือเหตุการณเ์ กิดข้ึนแล้ว ส่วนการป้องกันกระทําตั้งแต่ยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ในสองวิธีนี้พุทธศาสนาสอนเน้นให้ใช้วิธี ป้องกันมากกว่า นั่นก็คือ ไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์หรือปัญหาเสียก่อนแล้วจึงคิดแก้ไขแต่ทําใหไ้ ม่ เกดิ ปญั หาอันจะใหไ้ มต่ ้องเสยี เวลาแกไ้ ขในภายหลัง ในแง่ท่ีเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การรักษาสัมพันธ์ไมตรีให้ดํารงอยู่ และ ดาํ เนินดว้ ยดี ยอ่ มเปน็ สิ่งทพี่ ึงประสงคข์ องทกุ ประเทศ เพราะความเปน็ มิตรยอ่ มกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์ ดงั กล่าวแลว้ การเสรมิ สร้างความเป็นมิตรจดั เปน็ มาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ข้ึน แต่การท่ีจะทําให้สัมพันธ์ไมตรีหรือความเป็นมิตรดําเนินไปได้ด้วยดีน้ัน จําเป็นต้องอาศัย คุณธรรมบางประการเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวผูกพันนํ้าใจของผู้ที่เป็นมิตรไว้ หลักคําสอนของพระ พุทธศาสนาท่ีนํามาใช้ได้เป็นอย่างดี ในเรื่องนี้ได้แก่ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน 6 ประการท่ีเรียก
304 ว่า สาราณียธรรม (อง.ฉกก. 22/282-283/322-323.) หลักคําสอนเร่ืองน้ีแม้พระพุทธเจ้าจะแสดงไว้ เป็นหลักปฏิบัติสําหรับภิกษุ แต่ก็เป็นหลักการท่ีผดุงความเป็นมิตรซึ่งอาจนํามาประยุกต์ใช้กับ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศได้ดังนี้ 1. มีการกระทําทางกายที่ประกอบด้วยความปรารถนาดี (เมตตา กายกรรม) ต่อมิตร ประเทศ เชน่ เม่อื มิตรประเทศประสบภัยธรรมชาติอยา่ งน้ําทว่ ม แผ่นดนิ ไหว เกิดโรคระบาด ฯลฯ ก็ พยายามส่งอาหาร ยารักษาโรคหรือเครื่องอุปโภคช่วยเหลือตามความสามารถ ซึ่งการกระทําเช่นน้ี ย่อมทําให้มิตรประเทศรู้สึกซาบซ้ึง และสํานึกในไมตรีจิตท่ีเราแสดงออกต่อเขา ทําให้เกิดไมตรี ตอบทม่ี ั่นคงแน่นแฟ้นยงิ่ ขึ้น 2. มีการกระทําทางวาจาที่ประกอบด้วยความปรารถนาดี (เมตตา วจีกรรม) เช่น การไม่ กล่าวตําหนิติเตียนหรือให้ร้ายแก่มิตรประเทศ ไม่แถลงหรือออกข่าวสารที่ทําให้มิตรประเทศได้รบั ความเสียหาย เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างกันก็ใช้วิธีเจรจาปรึกษากันเพื่อหาข้อยุติด้วยความจริงใจ และสุจริตใจ การกระทําเช่นนี้ย่อมเป็นการส่งเสริมสัมพันธ์ไมตรี และเป็นเคร่ืองให้ระลึกถึงกัน ในทางทด่ี ที างหนง่ึ 3. มกี ารกระทําทางใจท่ปี ระกอบดว้ ยความปรารถนาดี (เมตตา มโนกรรม) ตอ่ มิตรประเทศ ข้อน้ีหมายถึงการมีความตั้งใจดีหวังดตี ่อกันด้วยความจริงใจ ไม่แสดงออกในลักษณะหน้าไหวห้ ลัง หลอกทํานอง “ต้อหนา้ ก็วา่ ดี แตล่ ับหลังนนิ ทา” หากแสดงใหม้ ติ รประเทศเหน็ ความหวงั ดดี ว้ ยความ สุจริตใจของเราท้ังต่อหน้าและลับหลัง การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นการส่งเสริมสัมพันธไมตรีอันเป็น เคร่ืองทาํ ให้ระลึกถึงกนั ในทางท่ีดไี ด้ทางหนงึ่ 4. แบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยชอบธรรมแก่มิตรประเทศข้อน้ีดูเผินๆไม่ น่าจะเป็นไปได้ที่ประเทศหนึ่งจะแบ่งปันผลประโยชน์ของตนให้แก่ประเทศอ่ืน แต่ตามความเป็น จริงแล้วเป็นไปได้ และเป็นหลักที่ใช้ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศที่เป็นมิตรกันในโลกปัจจุบัน เช่น ประเทศท่ีรํ่ารวยกว่าช่วยเหลือประเทศที่ยากจนกว่าในรูปของอาหาร เครื่องอุปโภคแบบให้เปล่า การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจตลอดจนการช่วยเหลือทางวิชาการในรูปต่างๆประเทศไทยเองก็เคย ได้รับการช่วยเหลือทํานองน้ีหรือยังคงได้รับอยู่ในปัจจุบันจากประเทศสหรัฐอเมริกาและมิตร ประเทศอื่นๆ พระพทุ ธศาสนาถอื วา่ เป็นหลักปฏิบัติระหว่างมติ รทเ่ี ปน็ เคร่อื งใหร้ ะลึกถึงกันในทางท่ี ดอี ีกอยา่ งหนึง่ 5. มีหลักความประพฤติ (ศีล) ท่ีเสมอกันกับมิตรประเทศ ไม่ทําตนให้เป็นที่รังเกียจ ของ ประเทศอื่นๆ ข้อนี้แม้ในหลักสาราณียธรรมจะหมายถึงข้อปฏิบัติของพระภิกษุในการรักษาศีลให้ บรสิ ทุ ธเ์ิ สมอกันกับภกิ ษุอนื่ แต่ก็เปน็ หลกั ที่นาํ มาประยุกต์ใชก้ บั การปฏบิ ตั ิของประเทศได้ เพราะคํา ว่า “ศีล” โดยใจความหมายถึงหลักปฏิบัติเพ่ือควบคุมพฤติกรรมภายนอกท่ีแสดงออกมาให้ผู้อื่น
305 สังเกตเห็นได้ สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นศีลของประเทศซ่ึงใช้ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลกและ ยอมรับกันท่ัวในปัจจุบัน ก็คือ กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัติสหประชาชาติที่นานาประเทศ ยนิ ยอมพร้อมใจกนั ให้บัญญัตขิ ้ึน เพื่อใช้บงั คบและควบคุมความประพฤตขิ องประเทศต่างๆ ใหเ้ ป็น ไปถูกต้องตามทํานองคลองธรรมโดยมีจุดประสงค์ที่จะให้โลกมีสันติสุข ประเทศท่ีมีกําลังมากจะ ได้ไม่เอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนประเทศที่มีกําลังน้อยกว่า แต่ชุมชนโลกก็คล้ายๆกับชุมชนในแต่ ละประเทศ คือ ทุกยุคทุกสมัยก็มักจะมีบางประเทศที่ล่วงละเมิดหรือไม่พยายามรักษาศีลระหว่าง ประเทศ ฉกฉวยโอกาสท่ีอํานวยให้ข่มแหงรังแกหรือเอารัดเอาเปรียบทําให้ประเทศอื่นต้องได้รับ ความเดือดร้อนหรือเสียหาย จนบางคร้ังชุมชนโลกในองค์การสหประชาชาติต้องลงมติตําหนิและ ให้งดเว้นการกระทําที่ไม่ชอบธรรมนั้นเสีย แต่เนื่องจากองค์การสหประชาชาติผู้ดูแลให้ประเทศ ต่างๆ ปฏิบัติตามศีลระหว่างประเทศขาดอํานาจในการบังค้บให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม ผู้ถูก ตําหนิจึงมกั จะทําเฉยเปน็ ทองไม่รู้ร้อนหรือไม่กห็ ลบไปนํา้ ขุน่ ๆ แลว้ องค์การสหประชาชาติก็มักทํา อะไรไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศอัฟริกาได้ใช้นโยบายเหยีดผิวหรือประเทศเวียตนามส่งทหารเข้า ไปปฏิบตั กิ ารโดยมชิ อบในกมั พูชา แมอ้ งค์การสหประชาชาตจิ ะได้ลงมติให้งดเวน้ การกระทําอันผิด ศีลธรรมระหว่างประเทศเชน่ นน้ั เสยี หลายครั้งแลว้ กย็ งั ไม่มผี ลอะไรคบื หนา้ ไปเทา่ ทีค่ วร อยา่ งไรก็ตามประเทศสว่ นใหญใ่ นโลกได้พยายามปฏบิ ตั ิตามกฎหมายระหวา่ งประเทศและ กฎบัติสหประชาชาติ ตลอดจนปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ตนทําไว้กับประเทศอ่ืน การที่ประเทศไทย หรือประเทศใดประเทศหนึ่งพยายามปฏิบตั ิตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัติสหประชาชาติ จัดเป็นการรักษาศีลระหว่างประเทศอันทําให้มีความประพฤติเสมอกันกับประเทศอื่นๆ ทําให้ ประเทศอ่ืนไม่ตั้งข้อรังเกียจเกี่ยวกับความประพฤติ หลักสาราณียธรรมประการท่ีห้าเม่ือนํามา ประยกุ ตใ์ ชก้ บั ประเทศ ก็เป็นหลักทีช่ ว่ ยเสริมสรา้ งความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศไดเ้ ป็นอยา่ งดี 6. มีความเห็นร่วมกันกับมิตรประเทศอ่ืนๆ สาราณียธรรมข้อนี้ในวงแคบพระพทุ ธเจ้าทรง สอนให้ภิกษุมีความคิดเห็น (ทิฏฐิ) ร่วมกันกับภิกษุอ่ืนๆซึ่งเป็นหลักป้องกันไม่ให้ทะเลาะวิวาท เกิดขึ้น เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน ในวงกว้างหลักข้อนี้สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับประเทศได้ เช่นกนั ในเร่ืองเกยี่ วกับความคิดเหน็ แม้จะมีหลกั ความจรงิ อยวู่ ่า เป็นไปไมไ่ ดท้ ่จี ะใหค้ นทกุ คนไม่มี ความคิดเห็นแตกต่างกันเลย แต่ในหลักการใหญ่ๆ ท่ีเป็นไปเพ่ือความสงบสุขของสังคมบุคคลใน สังคมจําเป็นต้องพยายามปรับความคิดเห็นให้ตรงกันหรือมิฉะน้ันก็ต้องพยายามอดทนต่อความคิด เห็นทีด่ ขี องบคุ คลอ่นื แมค้ วามคิดเห็นนนั้ อาจจะไม่ตรงกบั ความคิดเหน็ ของตนไปทัง้ หมด หลักที่ใช้ สําหรับบริหารสังคมใหญ่ คือ ประเทศชาติย่อมมุ่งถึงผลประโยชน์ของชนส่วนใหญ่เป็นท่ีตั้งใน
306 ขณะที่สังคมส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์ ปัจเจกชนบางส่วนอาจต้องเสียประโยชน์ซ่ึงปัจเจกชนส่วน น้อยจําเป็นต้องยอม ทงั้ นีก้ เ็ พอ่ื ใหส้ ังคมส่วนใหญด่ ําเนนิ ไปไดอ้ ย่างปรกติสขุ ในระดบั ระหว่างประเทศหรือในระดับนานาชาติกท็ ํานองเดยี วกัน แมว้ ่าแตล่ ะประเทศจะมี ความคิดเห็นส่วนตัว แต่ในหลักการที่เป็นไปเพื่อสันติภาพของโลกหรือของภูมิภาคโดยส่วนรวม แต่ละประเทศก็จําต้องปรับความคิดเห็นของตนให้เข้ากันได้กับประเทศหน่ึงๆ ต้องอดทนต่อความ คิดเห็นของประเทศอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับความคิดเห็นของตน ทั้งน้ีเพ่ือหลีกเล่ียงไม่ให้เกิดการเผชิญ หน้าอันเป็นสาเหตุนําไปสู่การทะเลาะวิวาทจนเป็นสงครามในท่ีสุด ซึ่งย่อมเป็นท่ีตระหนักกันดีว่า สงครามไม่เคยก่อประโยชนท์ แ่ี ท้จรงิ ใหแ้ กใ่ ครๆ ด้วยเหตทุ ่เี ล็งเห็นถงึ ประโยชน์ของการมีความคิดเห็นรว่ มกัน ประเทศตา่ งๆในโลกปัจจุบัน ท่ีมีท่ีต้ังของประเทศอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน จึงได้พยายามรวมกลุ่มกันในทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่ม ประเทศตลาดร่วมในยุโรป กลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้น ประเทศต่างๆ ในกลุ่มดังกล่าวนี้พยายาม เก็บความคิดเห็นแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อยไว้ในลิ้นชัก ดึงเอาความคิดเห็นท่ีตรงกันมา ประสานกนั เพอื่ สร้างสรรคส์ ง่ิ ท่ีเปน็ ประโยชน์ใหเ้ กิดขึ้นแก่กลมุ่ ของตน ดังกลา่ วมาน้ี แสดงให้เหน็ ไดช้ ัดพอควรว่า หลักสาราณียธรรมขอ้ ท่ีหกของพระพุทธศาสนา เรื่องการมีความเห็นร่วมกันกับผู้อื่น เป็นหลักที่นํามาประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เป็นอยา่ งดี การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยใช้หลักสาราณียธรรมทั้ง 6 ประการของ พทุ ธศาสนาดังกลา่ วมาแลว้ จัดอยู่ในวธิ ีป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดปัญหา จะเรยี กว่าเปน็ วิธแี กป้ ัญหาลว่ งหน้า ก็ได้ เมื่อได้จัดการป้องกันไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ปัญหาอันเนื่องจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ ประเทศอื่นซ่ึงจะมีผลกระทบต่อความอยู่รอดและความปลอดภัยของประเทศก็ไม่เกิดขึ้น ผล ประโยชน์ที่ 1 คือ ความอยู่รอดและความปลอดภัยของประเทศก็ย่อมได้ชื่อว่าได้รับการคุ้มครอง รักษาไว้ด้วยดี หลักคําสอนอีกอยา่ งหนง่ึ ของพระพทุ ธศาสนาท่สี ามารถนํามาประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์ ระหวา่ งประเทศได้เป็นอย่างดี คือ หลักสงั คหวตั ถุ 4(อง.ฉกก. 22/322-323.) ไดแ้ ก่ 1. ทาน แปลว่า การให้ หมายถึงการสละส่งิ ของของตนให้แก่ผู้อื่น โดยเห็นว่าส่ิงของทีต่ น สละให้ไปน้ันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ เป็นการให้ด้วยความอนุเคราะห์ แสดงถึงความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีแก่ผู้ท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจเสมอตนหรือสูงกว่าตนอย่างหนึ่ง เป็นการให้เพ่ือ บูชาคุณแก่ผู้มีคุณธรรมหรือแก่ผู้ที่มีอุปการคุณแก่ตนอย่างหนึ่ง และเป็นการให้เพ่ือสงเคราะห์ผู้ทม่ี ี ฐานะทางเศรษฐกิจดอ้ ยกวา่ ตนอีกอย่างหนง่ึ
307 สิ่งที่พึงให้ความหมายของสังคหวัตถุข้อ 1 นี้โดยทั่วไปหมายถึงวัตถุส่ิงของ เช่น เครื่อง บริโภคอันได้แก่ข้าวปลาอาหาร และเครื่องอุปโภคอันไดแ้ ก่เคร่ืองนุ่งห่ม เครอื่ งใช้สอย ยานพาหนะ ท่ีอยู่อาศัยเป็นต้น แต่ในความหมายท่ีกว้างหมายถึงการให้ในลักษณะอ่ืนท่ีไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ด้วย เช่น การให้กําลังใจ การให้ความสนับสนุนในทางท่ีชอบ การให้คําแนะนําหรือคําสอนที่เป็น ประโยชน์ การให้ประเภทน้ีจัดอยู่ในประเภทธรรมทาน คือ การให้ ธรรมซ่ึงพระพุทธเจ้าตรัสว่า “การให้ธรรมยอ่ มชนะการให้ทงั้ ปวง” พระพุทธเจ้าตรัสว่า (คณะกรรมการตําราแห่งชาติ, 2526) “ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้” และ “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก” ในกรณีความ สัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ทานคือ การให้ย่อมแสดงถึง ความมีนํ้าใจความโอบอ้อมอารีเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ของผู้ให้ ซ่ึงย่อมทําให้ไมตรีตอบเกิดข้ึนในตัวผู้รับ และผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลักเร่ืองทานในสังคห วัตถุสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ในทํานองเดียวกัน การให้ตามความจําเป็นและเหมาะสมแก่ กาลเทศะย่อมทําให้สัมพันธ์ไมตรีท่ีมีต่อกันระหว่างประเทศกระชัดแน่นแฟ้นย่ิงขึ้น เช่น เม่ือ ประเทศท่ีเป็นมิตรประสบภัยธรรมชาติก็จดั ส่งอาหารหรือเวชภัณฑ์ไป ช่วยเหลือตามความสามารถ ในยามปกติกาจให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ เปน็ ต้น การให้ในลักษณะนี้ยอ่ มทําให้ความรูส้ ึกเป็น มิตรเพิ่มพูนข้ึนท้ังในส่วนรัฐบาลและประชาชนของประเทศที่เป็นผู้รับ ความรู้สึกเป็นมิตรย่อม ก่อให้เกดิ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ความ สมั พนั ธท์ ี่มีตอ่ กันท้งั ในปจั จบุ ันและอนาคต 2. ปยิ วาจา แปลวา่ มวี าจาเปน็ ที่รัก ได้แก่ การเจรจาไพเราะน่าฟัง วาจาท่ไี พเราะน่าฟังย่อม ชวนให้เกิดไมตรวี าจาท่ีไพเราะนั้นนอกจากจะเป็นถอ้ ยคาํ ท่ีนุม่ นวลชวนฟงั แล้ว จะต้องเป็นถอ้ ยคําท่ี ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วย การพูดเท็จแม้จะพูดด้วยถ้อยคําท่ไี พเราะ ก็ไม่เรียกว่าเป็นปิยวาจา เกี่ยวกับ ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศหลักปิยวาจากเ็ ปน็ หลักท่ีนํามาใชไ้ ด้เชน่ กนั เพราะการตดิ ตอ่ เกี่ยวข้อง ระหว่างประเทศย่อมอาศัยวิถีทางการฑูต หลักปิยวาจาเป็นหลักสําคัญอย่างหนึ่งของการติดต่อ ทางการทตู ท่ีจะขาดเสียมไิ ด้ 3. อัตถจริยา ได้แก่ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เช่นการช่วยเหลือผู้อื่นใน คราวจําเปน็ ตามความรคู้ วามสามารถ ไม่ดูดายในเมอ่ื ผูท้ ค่ี ุ้นเคยตอ้ งการความชว่ ยเหลือและตนอยู่ใน วิสัยที่จะช่วยได้ ในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือแก่มิตรประเทศ ตามหลักสังคหวัตถุข้อแรกย่อมได้ช่ือว่าได้ปฏิบัติตามหลักอัตถจริยาด้วย การให้ความสนับสนุน เกีย่ วกบั ความคิดเห็นที่เปน็ ประโยชนข์ องมิตรประเทศในท่ีประชุมนานาชาติ ก็จดั วา่ เปน็ การดําเนิน ตามสงั คหวัตถุขอ้ นเ้ี ชน่ กนั 4. สมานัตตตา ได้แก่ การวางตัวเสมอกับผู้อ่ืน โดยใจความได้แก่การไม่ถือตัวสูงกว่าผู้อืน่ จนเข้ากับเขาไม่ได้ ในกรณีของปัจเจกบุคคลสมานัตตตา ก็คือ การคบหาผู้อื่นในฐานะเท่าเทียมกัน
308 แต่ก็ไม่ได้หมายถึงการไมร่ ู้จักท่ีตํ่าท่ีสงู ในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การคบหากับมิตรใน ประเทศในฐานะที่เท่าเทียมกันเป็นหลักปฏิบัติท่ีใช้กันอยู่ท่ัวไปในโลกปจั จุบัน ตามหลักสังคหวตั ถุ 4 นี้ นอกจากการมีความสัมพันธ์กับมิตรประเทศในฐานะเท่าเทียมกันแล้วยังหมายถึงการวางตัว เสมอต้นเสมอปลายด้วยความสุจริตใจด้วย การปฏิบัติในลักษณะเช่นน้ีย่อมช่วยเก้ือกูลให้ ความสัมพนั ธท์ ี่มีต่อกันเปน็ ไปอยา่ งราบร่นื และด้วยดี ย่ิงเวลาผา่ นไปกย็ งิ่ ทาํ ใหค้ วามสัมพันธก์ ระชับ แน่นยิ่งขึ้น ซ่ึงคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นท่ีปรารถนาของทุกประเทศที่ติดต่อสัมพันธ์กันด้วยความ สุจริตใจ ดังกล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า หลักสังคหวัตถุ 4 ตามคําสอนของพระพุทธศาสนาเป็นหลักที่ สามารถนาํ มาประยุกต์ใช้กับความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศไดเ้ ปน็ อย่างดี การคบหากนั ระหว่างประเทศกบั ประเทศย่อมเป็นไปทาํ นองเดียวกับการคบมิตรของปัจเจก บุคคล ในการคบมิตรพระพุทธศาสนาสอนให้พิจารณาให้รอบคอบ ควรรู้จักว่าใครเป็นมิตรแท้ใคร เป็นมิตรเทียม ในการคบหาสมาคมก็คบให้สนิทสนมเฉพาะผู้ท่ีมีลักษณะเป็นมิตรแท้ และงดเว้น หรือไม่คบหาผู้ที่มีลักษณะเป็นมิตรเทียม สําหรับลักลัษณะของมิตรแท้และมิตรเทียม พระพุทธ ศาสนาไดแ้ สดงไว้ดงั น้ี มติ รแท้ 4 ประเภท ก. มติ รมอี ุปการะ ไดแ้ กม่ ิตรทม่ี ลี กั ษณะ 4 ประการ คอื (1) ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว (2) ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว (3) เม่ือมีภัยเป็นที่พึ่งพํานักได้ (4) เมื่อมีธุระช่วยออก ทรัพย์ใหเ้ กนิ กว่าที่ออกปาก ข. มติ รรว่ มสขุ ร่วมทุกข์ ไดแ้ กม่ ติ รท่มี ีลกั ษณะ 4 ประการ คอื (1) ขยายความลบั ของตนแก่ เพ่ือน (2) ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย (3) ไม่ทอดทิ้งในยามวิบัติ (4) แม้ชีวิตก็อาจสละ แทนได้ ค. มิตรแนะประโยชน์ ได้แก่มิตรที่ลักษณะ 4 ประการ คือ (1) ห้ามไม่ให้เพ่ือทําความช่ัว (2) แนะใหต้ งั้ อยูใ่ นความดี (3) ใหฟ้ ังสงิ่ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง (4) บอกทางสวรรค์ให้ ง. มิตรมีความรักใคร่ ได้แก่มิตรทีมีลักษณะ 4 ประการ คือ (1) ยามทุกข์ทุกข์ด้วย (2) ยาม สุขสุขดว้ ย (3) โตเ้ ถยี งคนท่พี ดู ติเตยี นเพ่อื น (4) รับรองคนท่พี ูดสรรเสรญิ เพ่อื น มติ รเทียม4 ประเภท ก. มิตรปอกลอก ได้มิตรทีม่ ลี กั ษณะ 4 ประการ คือ (1) คดิ เอาแตไ่ ด้ถ่ายเดยี ว (2) เสียให้น้อย คดิ เอาให้ไดม้ าก (3) เมอ่ื มภี ยั แกต่ ัวจงึ รบั ทาํ กจิ ของเพื่อน (4) คบเพื่อนเพราะเหน็ ประโยชน์ของตวั ข. มิตรดแี ตพ่ ดู ได้มติ รทีม่ ลี กั ษณะ 4 ประการ คือ (1) เกบ็ เอาสงิ่ ท่ลี ่วงเลยมาแล้วมาปราศัย (2) อ้างเอาสงิ่ ที่ยังไมม่ ีมาปราศยั (3) สงเคราะหเ์ พือ่ นดว้ ยสง่ิ หาประโยชน์มไิ ด้ (4) ออกปากพงึ่ มิได้
309 ค. มติ รหวั ประจบ ไดแ้ ก่มิตรท่ีมีลักษณะ 4 ประการคอื (1) จะทาํ ช่วั กค็ ล้อยตาม (2) จะทาํ ดี ก็คล้อยตาม (3) ต่อหน้าพดู สรรเสรญิ (4) ลับหลังพดู นนิ ทา ง. มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ได้แก่มิตรท่ีมีลักษณะ 4 ประการ คือ (1) ชักชวนด่ืมนํ้าเมา (2) ชกั ชวนเท่ียวกลางคนื (3) ชกั ชวนให้มวั เมาในการเลน่ (4) ชักชวนเล่นการพนนั มิตรแท้ท้ัง 4 ประเภทดังกล่าวนั้น เป็นมิตรท่ีควรคบหาให้สนิทสนม เพราะมิตรแท้เป็นผู้ ท่ีพึ่งพาอาศัยกันได้ ในยามมีความจําเป็นเกิดข้ึน การไม่มีมิตรสหายที่พ่ึงพาอาศยั กันได้ทําให้บุคคล อยู่ในโลกด้วยความยากลําบาก ส่วนมิตรเทียมทั้ง 4 ประเภทก็เป็นมิตรท่ีควรหลีกเล่ียงเหมือน หลีกเลย่ี งการใชห้ นทางท่มี ีภยั รอบดา้ น ถา้ จําเปน็ จะต้องติดต่อคบหาด้วยก็ควรคบหาแต่เพียงผิวเผิน ในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็สามารถนําหลักการคบมิตรดังกล่าวมาใช้พิจารณาได้ วา่ ประเทศใดมลี กั ษณะของมิตรแท้ และประเทศใดมลี กั ษณะของมติ รเทยี ม แลว้ ปฏิบัตใิ ห้เหมาะสม ตามแนวคําสอนเรื่องการคบมิตรของพระพุทธศาสนา ก็จะสามารถรักษาผลประโยชน์คือ ความอยู่ รอดปลอดภยั ของประเทศไวไ้ ด้ ผลประโยชน์ที่ 2 ความม่งั คง่ั ทางเศรษฐกิจ ความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจของประเทศจําเป็นต้องอาศัยนโยบายทั้งภายในประเทศและ นโยบายต่างประเทศประกอบกนั ในแงข่ องนโยบายในประเทศ พระพทุ ธศาสนาสอนให้สร้างความ มง่ั ค่งั ทางเศรษฐกิจด้วยหลกั 4 ประการท่เี รียกวา่ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ หรือประโยชนท์ พี่ งึ บรรลุ ถงึ ไดใ้ นปัจจบุ นั คอื 1. อฏุ ฐานสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความขยันหมนั่ เพียร ในการประกอบกิจในหน้าทข่ี องตน 2. อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยการรกั ษา ซ่งึ ได้แกก่ ารรู้จักรกั ษาทรัพยท์ ี่แสวงหามาได้จาก การปฏบิ ัติขอ้ 1 3. กลั ยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเปน็ คนดี ซ่ึงไดแ้ กก่ ารคบคนดีเป็นมติ ร 4. สมชีวิตา การเลี้ยงชีพตามควรแก่กําลังทรัพย์ท่ีแสวงหามาได้ ไม่ตระหนี่จนไม่ได้รับ ประโยชน์จากทรพั ยส์ ินท่ีมี และสุรุย่ สุร่าย จนมีรายได้ไมพ่ อจ่าย หลักธรรมทั้ง 4 เป็นหลักท่ีรัฐซึ่งมุ่งหวังความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจจะต้องถือเป็นนโยบาย ส่งเสริมให้มีขึ้นในประชาชนทุกอาชีพให้ได้ เพราะความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจของรัฐหรือประเทศ ยอ่ มเกดิ จากความม่งั คง่ั ทางเศรษฐกิจของประชาชน หากประชาชนในประเทศยากจนขัดสน รฐั กจ็ ะ มงั่ คง่ั ทางเศรษฐกิจไปไม่ได้ วิธสี ่งเสริมการปฏิบัติตามหลักข้อท่ี 1 กค็ ือรฐั ตอ้ งหาทางชกั จูงใหป้ ระชาชนขยันหมั่นเพียร ในการประกอบการงานหน้าท่ีของแต่ละบุคคล โดยรัฐหาทางช่วยเหลือด้วยการจัดหางานให้ ประชาชนได้ทําโดยท่ัวถึง ขจัดปัญหาการว่างงาน และขจัดการเอารัดเอาเปรียบในการใช้แรงงาน
310 ส่งเสริมอาชีพต่างๆ ให้มีความมั่งค่ังและก้าวหน้าตลอดจนช่วยประกันราคาพืชผลชนิกต่างๆ ให้ ชาวไร่ชาวนาขายผลติ ผลของตนได้ด้วยราคาที่เปน็ ธรรม วิธีส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักข้อท่ี 2 ก็คือ รัฐต้องชักจูงส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักออม ทรัพย์หาทางขจัดและควบคุมเก่ียวกับอบายมุขประเภทต่างๆ รวมทั้งดําเนินการขจัดปัญหาอาชญา กรรมประเภทล่วงเกนิ ทรัพยส์ ินของผู้อ่ืนให้หมดไป หรือให้มนี อ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ท่ีจะเป็นได้ วิธีส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักข้อท่ี 3 ก็คือ รัฐต้องพยายามส่งเสริมให้ประชาชนในชาติ ต้ังอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ยกย่องเชิดชูคนดีมีศีลธรรมให้ปรากฏเป็นตัวอย่าง ให้ความสนับสนุน องค์การทางศาสนาที่มีวัตถปุ ระสงค์จะยกระดับมาตรฐานทางศีลธรรมของประชาชนให้สงู ข้ึน การ สง่ เสรมิ ศลี ธรรมจะตอ้ งทําควบคูก่ ันไปกบั การยกระดบั มาตรฐานการครองชพี ของประชาชน เพราะ การหวังให้ประชาชนที่ท้องกําลังหิวอยู่ในหลักศลี ธรรมอันดีงามน้ันเป็นความหวังที่ยากจะประสบ ผลสาํ เร็จได้ มแี ต่ผทู้ ่ีเป็นบัณฑิตเท่านนั้ ทส่ี ามารถตัง้ ม่นั อยู่ในคณุ ธรรมไดท้ กุ ภาวการณข์ องชีวิต วิธสี ง่ เสริมการปฏบิ ัตติ ามหลกั ขอ้ ที่ 4 กค็ อื รัฐตอ้ งส่งเสริมชักจูงให้ประชาชนรู้จักประหยัด ไม่ครองชีพอย่างฟุ่มเฟือยจนเกินฐานะ พร้อมกับหาทางกําจัดและจํากัดสิง่ ทย่ี ั่วยุชักจูงให้ประชาชน เกิดความฟุ่มเฟือยให้หมดไปหรือให้เหลือน้อยที่สดุ ช้ีให้เห็นคุณประโยชน์ของการดําเนินชวี ิตตาม สายกลางของพระพุทธศาสนา นักปกครองหรือผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นผู้นําของประชาชน จะต้อง พยายามปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างในการดําเนินชีวิตท่ีไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป เพ่ือเป็น เครื่องจูงใจให้ประชาชนเอาเปน็ ตวั อยา่ งและปฏิบัตติ ามในทางทถี่ ูกทีค่ วร เมื่อรัฐได้ชักจูงส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามหลักประโยชน์ในปัจจุบันดังกล่าวมาแล้ว โดยท่ัวถึงกัน ความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจก็ย่อมเกิดมีขึ้นในหมู่ประชาชน เม่ือประชาชนอยู่ดีกินดีมี ฐานะทางเศรษฐกจิ ม่ันคงกย็ ่อมสง่ ผลเป็นความมัง่ คัง่ ทางเศรษฐกจิ ของรัฐโดยส่วนรวม ตามหลกั วิชาเศรษฐศาสตร์ เมอื่ ประชาชนท่วั ไปมคี วามมงั่ คงั่ ทางเศรษฐกจิ ผลิตผลทเ่ี กดิ จาก การประกอบอาชีพท้ังการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ย่อมมีมากจนเหลือกินเหลือใช้ เมือ่เกิด ภาวการณ์เช่นนี้ขึ้นก็เป็นหน้าที่ของรัฐหรือรัฐบาลโดยตรง ท่ีจะต้องเข้าโอบอุ้มช่วยเหลือโดยจัดหา ตลาดสําหรับระบายผลิตผลเหลือใช้ เพราะถ้าหากผู้ผลิตไม่ว่าจะเป็นทางเกษตรกรรมหรืออุตสาห กรรม ไม่สามารถขายผลติ ผลของตนได้ในราคาท่ีไม่ขาดทนุ ความมั่งค่ังทางเศรษฐกิจก็จะกลายเป็น เป็นความล่มจมทางเศรษฐกิจได้โดยง่าย ตรงน้ีเองท่ีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางด้าน เศรษฐกิจจําต้องเกิดข้ึน เพ่ือรักษาความมั่งค่ังทางเศรษฐกิจให้คงอยู่ต่อไปและให้เกิดความมั่งค่ัง เพ่มิ พูนขึ้นเรื่อยๆ การติดต่อกับต่างประเทศทางด้านเศรษฐกจิ นอกจากจะอาศยั หลกั สาราณยี ธรรม 6 ประการ และหลักอื่นๆดังกล่าวมาแล้ว หลักธรรมของพระพุทธศาสนาท่ีควรนํามาใช้ประกอบด้วยอีกอย่าง
311 หน่ึง คือ หลักฆราวาสธรรม 4 โดยเฉพาะอย่างย่ิงหลักข้อท่ี 1 คือ สัจจะ ที่หมายถึง ความจริงใจและ ความซ่ือตรงเพราะการเจรจาติดต่อทางธุรกิจหรือการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ หากขาดความ จริงใจและความซื่อตรงยอ่ มทําให้ไม่สามารถรักษาผลประโยชน์หรือการค้าไว้ได้ยั่งยืน การส่งผลติ ผลเหลือใช้ไปขายต่างประเทศย่อมต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่นๆท่ีมีผลิตผลอย่างเดียว กัน ความจริงใจตรงไปตรงมา และซ่ือสัตย์ต่อลูกค้าเป็นคุณธรรมสําคัญท่ีจะทําสามารถรักษาตลาด ไว้ได้ยั่งยืน โดยไม่คํานึงถึงความเสียหายของประเทศในระยะยาว ด้วยการปลอมสินค้าหรือส่ง สินค้าท่ีด้อยคุณภาพกว่าท่ีได้ตกลงกันไว้ไปให้ลูกค้าในต่างประเทศ จนทําให้ประเทศไทยต้องเสีย ตลาดไปหลายครั้งหลายหน เป็นอุทาหรณ์อันดีที่แสดงให้เห็นถึงโทษของการขาดความซ่ือสัตย์ ในทางตรงกันข้าม การท่ีประเทศไทยยังสามารถรักษาตลาดสินค้าของคนในต่างประเทศไว้ได้เป็น ส่วนมากก็เพราะอาศัยคุณธรรม คือความซ่ือสัตย์ตรงไปตรงมาเป็นเป็นปัจจัยสําคัญ การติดต่อ ค้าขายกับต่างประเทศย่อมเป็นทางให้เกิดความม่ังค่ังทางเศรษฐกิ จซ่ึงนับเป็นผลประโยชน์ของ ประเทศท่ีสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ผลประโยชน์ท่ี 3 ความมีอํานาจของประเทศ และผลประโยชน์ท่ี 4 ความมีเกียรติภูมิของ ประเทศ ผลประโยชนป์ ระการที่ 3 กับผลประโยชน์ประการท่ี 4 เป็นส่ิงที่เกยี่ วเน่ืองกัน การมีอํานาจ ของประเทศยอ่ มหมายรวมทั้งอาํ นาจอธปิ ไตยของประเทศและอาํ นาจทางทหารและทางเศรษฐกิจที่ มเี หนอื ประเทศอ่ืนๆ สาํ หรับประเทศอภิมหาอํานาจย่อมมุ่งแสวงหาอํานาจ 2 ประการหลงั ด้วย และ ถือว่าเป็นส่ิงจําเป็นที่จะต้องธํารงรักษาอํานาจทางทหารและอํานาจเศรษฐกิจเหนือประเทศอ่ืนๆ ไว้ ให้ได้ แต่สําหรับประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทย ถือว่าอํานาจอธิปไตยของประเทศเป็นสิ่งสําคัญ อันดับแรก ส่วนอํานาจทางทหารและอํานาจทางเศรษฐกิจเพียงให้มีเสมอกับประเทศอื่นๆที่อยู่ใน ระดับเดียวกันกน็ บั วา่ พอใจแล้ว ความมีเกียรติภูมิของประเทศเป็นผลท่ีเกิดสืบเน่ืองมาจากผลประโยชน์ประการท่ี 3 คือ ความมีอาํ นาจของประเทศ เมอื่ ผลประโยชน์ประการที่ 3 มแี ล้ว ผลประโยชนป์ ระการท่ี 4 กย็ ่อมเกิด มีข้ึนและทั้ง 2 อย่าง คือ ความมีอํานาจของประเทศและความมีเกยี รติภูมิของประเทศก็เป็นผลท่สี ืบ เนอ่ื งมาจากความอยู่รอดปลอดภยั ของประเทศและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศอกี ต่อหน่ึง เพราะฉะน้นั คณุ ธรรมใดของพระพุทธศาสนาทใี่ ช้ปฏิบตั แิ ล้วทาํ ให้บรรลถุ ึงผลประโยชนป์ ระการที่ 1 และที่ 2 คณุ ธรรมนน้ั ย่อมทําใหบ้ รรลถุ ึงผลประโยชน์ประการท่ี 3 และที่ 4 ดว้ ย เครอื่ งมอื ในความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ เคร่ืองมือท่ีทุกประเทศใช้เป็นหลักในการดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้แก่ เคร่ืองมือทางการฑูต ส่วนเครื่องมืออ่ืนๆ เช่นเคร่ืองมือทางเศรษฐกิจ เครื่องมือทางวัฒนธรรม เป็น
312 ต้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครื่องเสริมเครื่องมือทางการสงฆ์อีก 3 ครั้ง รวมเป็น4 ครั้ง คือช่วยให้การ ดําเนินการทางการฑูตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสบผลสําเร็จตามเป้าหมาย ความสําเร็จ ทางการฑตู จงึ เปน็ สิง่ สาํ คัญทส่ี ุดของความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ ในคําสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธองคไ์ ด้ทรงแสดงของนักการฑูตไว้ 8 ประการ (อง.อฏฐ. 23/106/199.) คือ 1. เป็นผู้รับฟัง ผู้เป็นนักการฑูตจําเป็นต้องเป็นผู้รู้จักฟังคนอ่ืน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้อง ฟังเป็น หรือต้องรู้จักฟัง ไม่ใช่คิดแต่จะพูดให้คนอ่ืนฟังอยา่ งเดียว นักการฑูตจําเป็นต้องทราบความ รู้สึกนึกคิดและเข้าใจความประสงค์หรือความมุ่งหมายของผู้อ่ืนอยา่ งถูกต้องและรวดเร็ว วิธีท่ีจะให้ เข้าถึงจุดมุ่งหมายนี้ได้ง่ายที่สุดก็คือ การฟังผู้อื่นพูด การฟังเป็นและรู้จักฟังย่อมสามารถทําให้ทราบ และเข้าใจได้ว่า ในเร่อื งที่กําลังสนทนากันอยู่น้นั ผู้อื่นมีความรู้สึกอย่างไร การไดท้ ราบเช่นน้ีย่อมทํา ให้เราสามารถกําหนดท่าทีของเราได้ว่า เราควรพูดหรือปฏิบัติให้เหมาะสมแก่สถานการณ์น้ันๆ อย่างไร จงึ จะสามารถถอื เอาประโยชน์ไดม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทีจ่ ะเปน็ ได้ 2. ให้ผู้อื่นรับฟัง นักการฑูตนอกจากจะต้องฟงั เป็นและรู้จักฟังผู้อ่ืนพูดแล้ว ยังต้องเป็นผู้มี ความสามารถท่ีจะทําให้ผู้อื่นรับฟังการพูดของตนด้วย เพราะการท่ีจะให้ผู้อื่นเข้าใจเราได้ถูกต้อง ตามที่เราประสงค์จะให้เขาเข้าใจนั้น จําเป็นต้องอาศัยการพูดเป็นเครื่องมือท่ีสําคัญที่สุด สุภาษิต โบราณไทยจึงว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา” นักการฑูตที่ชํานาญย่อม สามารถใช้คําพูดคลี่คลายสถานการณ์ที่เลวร้ายให้กลายเป็นดีได้ สามารถพูดให้เกิดสันติภาพได้ หรือจะพดู ใหเ้ กดิ สงครามลา้ งผลาญกันกไ็ ด้ ความสามารถทําให้ผอู้ ื่นรบั ฟังการพดู ของตน จึงจัดเป็น คุณสมบตั อิ ย่างหน่งึ ของผู้เป็นฑตู 3. คงแก่เรียน นักการฑูตจําเป็นต้องมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของโลกเป็นอย่างดี และ ต้องมีความรอบรู้เก่ียวกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดีด้วย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือนักการฑูต จําเป็นต้องมีความรู้รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับประเทศท่ีตนไปประจําอยู่ในฐานะ ผู้แทนประเทศของตน การที่จะมีความรู้ดังกล่าวน้ีได้นักการฑูตจําต้องเป็นผู้สนใจใฝ่หาความรู้อยู่ เสมอ และตอ้ งทาํ ใหค้ วามรู้ของตนทันสมยั อยู่เสอม จึงต้องเรียนมาก อ่านมาก และฟังมาก กล่าวอีก อย่างหนงึ่ ความเป็นผูร้ อบรูย้ ่อมนาํ ไปสู่ความสําเรจ็ ทางด้านการฑูต 4. ความจาํ ดี นอกจากตอ้ งเรยี นมาก อ่านมากและฟงั มากแลว้ นกั การฑูตจําเปน็ ต้องมีความ ทรงจําดีด้วย สิ่งท่ีเรียน อ่าน และฟังมาแล้ว หากไม่สามารถจดจําอะไรไว้ได้เลย ก็ไม่มีประโยชน์ อะไร ย่ิงเป็นนักการฑูตการสามารถจดจําเรื่องราวเหตุการณ์ ตลอดจนรายละเอียดต่างๆได้มาก เพียงไรก็จะยิ่งเป็นประโยชนต์ ่อหนา้ ที่การงานและความรบั ผิดชอบของตนมากเพียงน้นั สําหรับคน ธรรมดาสามัญการหลงลืมบางส่ิงบางอย่างในบางคร้ังอาจจะไม่เสียหายอะไรมากนัก แต่สําหรับผู้ เป็นฑูตหรือนักการฑูตการหลงลืมบางอย่างหรือการนัดหมายบางคร้ัง อาจก่อให้เกิดความเสียหาย
313 อยา่ งรา้ ยแรงและประเทศของตนได้อย่างเกินความคาดหมาย การทรงจาํ ไวด้ ี หรอื การมีความจําดีจึง เป็นสง่ิ ท่ีมีอุปการะคณุ ตอ่ หน้าที่ทางการฑตู เป็นอย่างมาก 5. รู้เอง คําว่า รู้เอง สําหรับผู้เป็นฑูตในท่ีนี้หมายถึงความสามารถที่จะหย่ังรู้และเข้าใจ ภาวการณแ์ ละสถานการณ์ได้ตามสภาพความเป็นจริง และตามสภาพของเหตุปัจจยั ท่ีจะพึงเป็น เช่น เมื่อมีสถานการณ์อย่างหนึ่งเกิดข้ึนก็สามารถท่ีจะพิจารณาสาวไปหาเหตุได้ว่าสถานการณ์เช่นน้ัน เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร อย่างน้ีเรียกว่ารู้อดีต และเมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นข้ึนแล้วจะนําไปสู่ผล อย่างไรบ้าง สามารถท่ีจะคาดการถึงผลที่จะเกิดตามมาในอนาคตได้อย่างถกู ต้องหรืออย่างใกลเ้ คียง กับความเป็นจริง อย่างนี้เรียกว่า รู้อนาคต นอกจากน้ีการรู้เองยังหมายถึง ความสามารถท่ีจะเข้าใจ ผู้อ่ืนได้อย่างถูกต้อง รู้และเข้าใจความหมายหรือความมุ่งหมายแห่งคําพูดของผู้อื่น ว่าท่ีเขาพูด เชน่ นั้นหมายความวา่ อย่างไรหรือเขามีความมงุ่ หมายอยา่ งไร 6. ให้ผู้อื่นรู้ ความสามารถท่ีนับว่าจําเป็นอีกอย่างหนึ่งของผู้เป็นฑูตก็คือ สามารถทําให้ ผู้อื่นรู้และเข้าใจความมุ่งหมายของตนได้อย่างถูกต้อง ความสามารถข้อน้ีคู่กับข้อท่ี 2 เรื่องให้ผู้อ่ืน รับฟังซ่ึงต้องไปด้วยกันน่ันคือ เม่ือสามารถทําให้ผู้อื่นรับฟังการพูดของตนแล้วก็จําเป็นต้องให้เขา สามารถรูแ้ ละเขา้ ใจในสิ่งท่ตี นพูด รวมท้ังสามารถทราบความมุ่งหมายของตนดว้ ย เขา้ ทํานองว่า เรา ต้องการให้ผู้อ่ืนรู้และเข้าใจเราอย่างไรผู้อื่นก็สามารถรู้และเข้าใจเราอย่างน้ัน ส่ิงใดเราต้องการให้ เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาก็เข้าใจเราแจ่มแจ้ง ส่ิงใดท่ีเราต้องการให้เขาเข้าใจอย่างคลุมเครือเขาก็เข้าใจ อยา่ งนั้น ความสามารถเช่นนเ้ี ป็นส่ิงจําเปน็ อยา่ งหนง่ึ สาํ หรับผู้เปน็ ฑตู 7. เป็นผู้ฉลาดตอ่ ส่ิงท่ีดีมีประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ นักการฑูตจําเป็นต้องมีความเฉลียว ฉลาดหรือต้องสามารถทราบและแยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็น ประโยชน์ เพราะความประพฤติหรือการกระทําของตนย่อมมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของ ประเทศของตนเสมอ เน่ืองจากฑูตดํารงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนแห่งรัฐบาของประเทศของตน สิ่งใด ดแี ละมปี ระโยชนต์ ่อประเทศของตนผูเ้ ปน็ ฑูตต้องรีบฉวยโอกาสแตส่ งิ่ ใดทไ่ี ม่เป็นผลดีของประเทศ ของตนก็ต้องหลีกเลี่ยง ผู้เป็นฑูตจําเป็นต้องคํานวณถึงผลได้ผลเสียก่อนท่ีจะกระทําหรือพูดสิ่งใด ออกไป 8. การไม่ก่อทะเลาะวิวาท คือ เป็นฑูตย่อมมีฐานะเป็นผู้แทนของรัฐบาลท่ีส่งไปติดต่อกับ ต่างประเทศหรือไปอยู่ประจําในต่างประเทศ ฑูตมีหน้าท่ีสําคัญ 2 ประการ คือ (1) เพ่ือเจริญ สัมพันธไมตรีกับประเทศที่ไปเก่ียวข้องหรือไปอยู่ประจําและ (2) เพ่ือดูแลรักษาผลประโยชน์ของ ประเทศตน เม่อื หนา้ ทมี่ ีอย่อู ย่างน้ี และเพือ่ ทําหน้าทใ่ี ห้สมบูรณ์ท่สี ดุ ผเู้ ปน็ ฑูตจงึ ตอ้ งเป็นผู้เยือกเย็น สขุ ุม เก็บกดอารมณไ์ ด้ ไมล่ ุแกอ่ าํ นาจของโทสะ อนั จะนําไปสู่การทะเลาะวิวาท พดู อีกนยั หนึ่งก็คือ ผ้เู ป็นฑูตจะต้องไม่ก่อการทะเลาะวิวาทเพราะการก่อการทะเลาะวิวาทจะทําให้ผู้เปน็ ฑูตไม่สามารถ
314 ทําหน้าท่ีท่ีสําคัญทั้ง 2 อย่างดังกล่าวของตนได้ ฑูตก่อการทะเลาะวิวาทขึ้นเมื่อไร ประสิทธิภาพใน การเป็นฑูตจะหมดลงทันทีเมื่อน้ัน การไม่ก่อทะเลาะวิวาทจึงจัดเป็นคุณสมบัติของผู้เป็นฑูตอีก อย่างหนึง่ องค์แห่งฑูตทั้ง 8 ประการตามคําสอนของพระพทุ ธศาสนาดังกลา่ วมาแลว้ จะเห็นได้ว่าแม้ พระพุทธเจ้าจะได้สอนเร่ืองน้ีไว้ต้ังสองพนั กว่าปีแล้ว ก็ยังสามารถนํามาใช้ได้ดีกับสภาพการณ์ของ โลกปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า วงการฑูตในสมัยปัจจุบันได้ใช้หลักการทั้ง 8 ประการน้ีกันอยู่เป็น ประจําซ่ึงแสดงว่าหลักคําสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งไม่ล้าสมัย แม้กาลเวลาจะผ่านไปนาน เพยี งไรกต็ าม
315 10. สรปุ บทท่ี 10 เมื่อกล่าวโดยสรุป เครื่องมือที่ใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างอื่น เช่น เครื่องมือ ทางเศรษฐกิจ เคร่ืองมือทางวัฒนธรรม เป็นต้น ย่อมเป็นเครื่องมือท่ีเสริมเครื่องมือทางการฑูต หรือ เป็นเครื่องมือที่ต้องอาศัยเครื่องมือทางการฑูตเป็นแกนนํา ส่วนเคร่ืองมือทางทหารนั้น พระพุทธ ศาสนาสนับสนุนในขอบเขตท่ีใช้ทหารสําหรับป้องกันตนเอง แต่ไม่สนับสนุนการใช้กําลังทหาร เพ่อื รกุ รานหรอื ขม่ ขูผ่ ูอ้ ื่น กลา่ วอกี นยั หนงึ่ พระพุทธศาสนาไมส่ นับสนนุ การทําสงครามรุกรานผู้อื่น แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ขัดขวางการทําสงครามเพื่อป้องกันตนเองจากผู้รุกราน เร่ืองนี้จะเห็นได้ จากการท่พี ระพทุ ธองค์ไดท้ รงแสดงถงึ คณุ สมบัตขิ องผู้เปน็ ทหารไวด้ ว้ ย การแก้ปญั หาระหว่างประเทศ ในทางรัฐศาสตร์การแก้ปัญหาระหว่างประเทศมีวิธีต่างๆหลายอย่างรวมทั้งการใช้ทํา สงครามเพื่อแก้ปัญหา แต่เม่ือกล่าวโดยสรุป การแก้ปัญหาระหว่างประเทศมี 2 วิธีคือ 1. การแก้โดย สันติวิธี 2. การแก้ปัญหาโดยการทําสงคราม ใน 2 วิธีนี้ พระพุทธศาสนาสนับสนุนวิธีแรก และไม่ สนับสนุนวิธหี ลงั หรือวธิ ีทําสงคราม เพราะการแกป้ ัญหาโดยการทําสงครามประหตั ประหารกันขัด กบั คําสอนของพระพุทธศาสนา วิธแี กเ้ ช่นน้ี พระพทุ ธศาสนาเห็นว่าไม่ใชว่ ิธีแก้ที่ถูกต้อง เพราะการ ทําสงครามแม้จะแก้ปัญหาบางอย่างได้ แต่ก็ทําให้เกิดปัญหาท่ีไม่พึงปรารถนา อ่ืนๆตามมาอีก มากมาย พระพทุ ธศาสนาสนับสนุนการแก้ปัญหาระหว่างประเทศโดยสนั ตวิ ธิ ี โดยใชก้ ารเจรจาทาง การฑตู ที่มกี ารผอ่ นปรนเข้าหากัน เพราะวธิ ีนี้นอกจากจะแกป้ ญั หาไดจ้ ริงแลว้ ยังไมท่ ําใหเ้ กิดปัญหา อ่ืนตามมา หรือทําให้เกิดปัญหาอื่นน้อยท่ีสุด ทั้งยังไม่ทําให้เกิดการประหัตประหารซ่ึงเป็นเหตุให้ เสียชีวิตเลือดเน้อื ของมนษุ ย์ ด้วยกันดว้ ย องค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศมนุษย์ร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ท่ีจะรักษาสันติภาพ ระหว่างประเทศและเพ่อื ผลประโยชน์ร่วมกัน พระพุทธศาสนายอ่ มสนับสนุนองคก์ รเหล่านน้ั ตราบ เท่าทกี่ ารปฏบิ ัติงานขององคก์ รไม่เป็นไปเพื่อเอารัดเอาเปรยี บเบียดเบียนกันในหมูม่ นุษย์ แต่ย่อมไม่ สนับสนนุ องคก์ รทีต่ ้งั ข้ึนโดยชาติต่างๆ กลมุ่ ใดกลมุ่ หน่ึงดว้ ยวตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ เอารัดเอาเปรยี บหรือ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ของกลุ่มชาติอ่ืนๆ กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนาย่อมสนับ สนนุ องคก์ รระหวา่ งประเทศท่ีมจี ุดม่งุ หมายเพอื่ สันตภิ าพและภราดรภาพในหมมู่ นุษยท์ ั้งมวล
316 คําถามบทท่ี 10 1. จงสรุปความเปน็ มาและความหมายของวิชาความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ 2. จงอธบิ ายววิ ฒั นาการของการเมอื งวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 3. อะไรคอื จุกมุ่งหมายของการศึกษาวิชาความสันพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศจงชีแ้ จงรายละเอยี ด 4. อะไรคือความจําเป็นของรัฐในการสรา้ งความสนั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ 5. จงบอกแนวทางและวิธกี ารสรา้ งความสนั พนั ธร์ ะหว่างประเทศโดยสังเขป 6. จงสรปุ ประเด็นสําคญั ของอนุสัญญากรุงเวยี นนาที่ว่าดว้ ยความสมั พนั ธ์ทางการทตู (ค.ศ. 2961) มีความเกยี่ วขอ้ งกบั ประเทศไทยอย่างไรบ้าง จงช้ีแจง 7. จงแสดงมุมมองความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศตามแนวคิดพทุ ธศาสตร์ 8. อะไรคอื เงอื่ นไขในการกาํ หนดนโยบายตา่ งประเทศตามแนวพุทธศาสตร์ 9. จงยกตัวอย่างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศแนวพุทธศาสตรเ์ ชิงประยกุ ต์
317 การอา้ งอิง ไพโรจน์ ชัยนาม. (2555). การประชุมระหวา่ งประเทศการประชุมในทางการฑูต. ไพโรจน์ ชัยนาม, การประชุมระหว่างประเทศการประชมุ ในทางการฑูต, อ้างแล้ว, หนา้ 121-124. (หน้า 121- 124.). กรงุ เทพฯ: สํานักพิมพ์สามคั คสี าสน์. คณะกรรมการตําราแหง่ ชาต.ิ (2526). รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: สํานกั พิมพก์ ราฟคิ อาร์ต. จรูญ สภุ าพ. (2547). หลักรัฐศาสตรฉ์ บับพศิ ดาร แนวทฤษฎแี ละประยกุ ต.์ กรุงเทพฯ: สํานักพิมพโ์ อ เดียนสโตร.์ มณมี ัย รัตนมณี. (2548). ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ. กรุงเทพฯ: สาํ นักพมิ พโ์ อเดียนสโตร.์ มหาวิทยาลยั นเรศวร. (2545). มนษุ ย์กบั โลกปจั จบุ นั . พษิ ณุโลก: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั นเรศวร. รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยพุทธศกั ราช2540. (2540). รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540. กรุงเทพฯ: ราชกิจจานุเบกษา. ศโิ รจน์ ภาคสุวรรณ. (2542). ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สํานักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง. สกุ ิจ ชยั มุสิก. (2553). พระพทุ ธศาสนาในมติ ิประชาธิปไตย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราช วิทยาลยั . สุเทพ อัตถากร. (2530). กฎหมายระหวา่ งประเทศกบั การเมืองระหว่างประเทศ พฤติกรรมและ เอกสารเล่ม 1. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พโ์ อเดียนโสตร์. สุรพล ราชภัณฑารกั ษ์ และคณะ. (2549). การเมืองระหว่างประเทศในตะวันออกกลาง,. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร.์ อุทยั หิรัญโต. (2535). การเมืองระหวา่ งโลกกบั กฎหมายระหวา่ งประเทศ. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พโ์ อ เดยี นสโตร์.
318 บทท่ี 11 หลกั ธรรมสําหรับเสริมสร้างคณุ ธรรมทางการปกครอง (Dhamma for Enhancing Governance Ethics) 11.1 แนวคิด (Concept) นักวิชาการทางการปกครองหรือนักบริหารส วนใหญ มักจะมีข้อท่ีถกเถียงกันเสมอว า หลักการสําคัญในการปกครองและการบริหารนั้นควรเป็นเช่นไร แตในที่สุดนักการปกครองส่วน ใหญ่เสนอว่าหน้าท่ีที่แท้จริง น่าจะอยู่ที่ธรรมะ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว ก็ยังทรงมีพระ ปฐมบรมราโชวาทวา่ “เราจะครองแผนดินโดยธรรม เพอื่ ประโยชนสุขแกมหาชนชาวสยาม” 11.2 เนื้อหาทีส่ าํ คญั ประจาํ บทเรียน 11.2.1 ความนาํ 11.2.2 หลกั ธรรมทีใ่ ชใ้ นการวางกรอบบรหิ ารบ้านเมอื ง 11.2.3 หลกั ธรรมที่ใช้ในการเปน็ ผนู้ าํ 11.2.4 หลกั ธรรมท่ใี ช้ในการพฒั นาประเทศ 11.2.5 หลกั ธรรมทใ่ี ชใ้ นการสงเคราะห์คนในสงั คม 11.2.6 หลักธรรมท่ใี ชใ้ นการวนิ ิจฉัยส่ังการ 11.2.7 หลักธรรมทีใ่ ชใ้ นการวางแผนและการพฒั นาองคก์ ร 11.2.8 การใชห้ ลกั ธรรมเพือ่ แก้ปญั หาทางการเมอื ง 11.3 วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 11.3.1 อธบิ ายและวคิ ราะห์หลักธรรมที่ใชใ้ นการวางกรอบบริหารบ้านเมืองได้ 11.3.2 อธบิ ายและวคิ ราะห์หลักธรรมทใ่ี ชใ้ นการเป็นผู้นาํ และหลกั ธรรมทใ่ี ชใ้ นการ พัฒนาประเทศได้ 11.3.3 อธิบายและวคิ ราะห์หลักธรรมท่ีใช้ในการสงเคราะหค์ นในสังคมและ หลักธรรมท่ใี ชใ้ นการวนิ จิ ฉัยสั่งการได้ 11.3.4 อธบิ ายและวคิ ราะห์หลักธรรมทใี่ ชใ้ นการวางแผนและการพฒั นาองค์กรและ การใชห้ ลักธรรมเพอ่ื แก้ปญั หาทางการเมืองได้
319 11.4 กิจกรรมการเรยี นการสอน 11.4.1 บรรยาย/ อภิปราย 11.4.2 ตงั้ ประเดน็ คาํ ถามและแสวหาคาํ ตอบรว่ มกนั 11.4.3 สรุปเอกสารประกอบคําบรรยายแตล่ ะคาบ 11.4.4 นําเสนอการคน้ คว้าอสิ ระประจาํ กลุ่มตามท่ีผสู้ อนกาํ หนดให้ 11.5 สอื่ การเรยี นการสอน 10.5.1 เอกสารประกอบการสอนวิชาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ 10.5.2 นาํ เสนอด้วย Power Point 10.5.3 วีดทิ ัศน์ และภาพยนตร์ท่เี กีย่ วขอ้ งกับกจิ กรรมความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ 11.6 สารตั ถะสําคญั วชิ าความสมั พันธ์ระหว่างประเทศตามแนวพทุ ธศาสตร์ ในบทท่ี 8 1.ความนํา 2.หลกั ธรรมทีใ่ ช้ในการวางกรอบบรหิ ารบ้านเมือง 3.หลกั ธรรมทใ่ี ช้ในการเปน็ ผนู้ ํา 4.หลกั ธรรมทีใ่ ชใ้ นการพัฒนาประเทศ 5.หลกั ธรรมที่ใชใ้ นการสงเคราะหค์ นในสังคม 6.หลกั ธรรมท่ใี ชใ้ นการวนิ จิ ฉยั สงั่ การ 7.หลกั ธรรมทใ่ี ช้ในการวางแผนและการพฒั นาองคก์ ร 8.การใช้หลกั ธรรมเพ่อื แกป้ ัญหาทางการเมอื ง 9.สรุปความประจําบท 11.7 แบบฝึกหดั ตอบคําถามประจําบทท่ี 11
320 1. ความนํา นักวิชาการทางการปกครองหรือนักบริหารส วนใหญ มักจะมีข้อท่ีถกเถียงกันเสมอว า หลักการสําคัญในการปกครองและการบริหารน้ันควรเป็นเช่นไร แตในท่ีสุดนักการปกครองส่วน ใหญ่เสนอว่าหน้าท่ีท่ีแท้จริง น่าจะอยู่ท่ีธรรมะ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว ก็ยังทรงมีพระ ปฐมบรมราโชวาทวา่ “เราจะครองแผนดนิ โดยธรรม เพอ่ื ประโยชนสุขแกมหาชนชาวสยาม” หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาน้ันมีมากและมีเน้ือหาสาระขอบเขตที่กว้างมาก ว่ากัน ตามจริงแล้วมิใช่แต่เฉพาะเร่ืองของรัฐหรือการปกครองเท่าน้ัน แต่ยังครอบคลุมไปถึงกิจกรรม ส่วนตัว เรือ่ งของจติ ใจ ครอบครัวและสังคม การจะแยกแล้วระบุว่าอะไรเป็นพทุ ธธรรม สาํ หรับการ บริหารหรือปกครองน้ันเป็นไปได้ยาก เว้นเสียแต่เราจะสงเคราะห์หมวดธรรมเหล่าน้ันให้เข้ากับ หลักการดังกล่าวเท่านั้นเอง พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ทางด้านจิตใจเน้นข้อเท็จจริงและ ประสบการณ์เป็นศาสนามใิ ช่เปน็ ปรชั ญา การรจู้ กั เลอื กหลกั ธรรมทีเ่ หมาะสม มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติน้นั ก็ขึน้ อยกู่ ับเหตุการณ์ โอกาส เวลา สภาพแวดล้อมต่างๆและให้เหมาะสมกับบุคคลและสังคมด้วย เพื่อให้เข้าใจร่วมกันจงึ แบ่งหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่สง่ เสริมคุณธรรมทางการปกครองออก คือ หลักธรรมที่ใช้ใน การวางกรอบบริหารบา้ นเมือง หลกั ธรรมทใ่ี ช้ในการเป็นผนู้ ํา หลกั ธรรมที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ หลักธรรมท่ีใช้ในการสงเคราะห์คนในสังคม หลักธรรมท่ีใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ หลักธรรมที่ใช้ ในวางแผนและการพัฒนาองคก์ ร และการใชห้ ลักธรรมเพื่อแก้ปัญหาทางการเมอื ง ดังน้ัน การปกครองและการพัฒนาในยุคน้ีจึงต องเร่ิมที่การใช หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองชี้นําในการปกครองและการบริหารจึงจะก อใหเกิดประโยชนสูงสุดท้ัง ต่อบุคคลสังคมและประเทศชาติต่อไป 2. หลกั ธรรมท่ใี ช้ในการวางกรอบบริหารบา้ นเมอื ง หลักธรรมท่ีใช้ในการวางกรอบบริหารบ้านเมือง พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้วางกรอบแนวคิดคุณธรรมสําหรับนักปกครอง เพ่ือเป็นหลักแนวคิดและแรงจูงใจในการบริหาร จดั การในองค์กรให้มีประสทิ ธิภาพคุณธรรมทค่ี วรมสี ําหรบั นกั บรหิ ารจัดการ คือ หลักของอธิปไตย 3 และเพ่ิมหลักพละ 4 ประการ ซ่ึงพละหรือกําลังแห่งคุณธรรมช่วยทําให้นักบริหารปฏิบัติหน้าท่ี อย่างมีประสิทธิภาพและหลักของพรหมวิหารธรรม 4 ประการ เป็นคุณธรรมสําหรับผู้ใหญ่การ วางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือ ตลอดจนหลักธรรมที่ชื่อว่าสามารถเป็นเครื่องเหน่ียวน้ําใจ เป็น จรรยาบรรณด้านมนุษยสัมพันธ์หรือครองใจของผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี คือ สังคหวัตถุ 4 ประการ
321 สามารถสร้างเป็นกรอบแนวคิดคุณธรรมสําหรับนักบริหาร เพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งข้ึน ดังแผนภาพ (พระธรรมโกศาจารย์, 2549)ดังน้ี กรอบคณุ ธรรมสำหรบั นกั ปกครอง อตั ตำธิปไตย ธรรมำธิปไตย โลกำธปิ ไตย พละ 4 ปัญญำพละ วิรยิ พละ อนวัชชพละ สังคหพละ เรือ่ งควำมรู้ พรหมวิหำร สังคหวัตถุ สตุ มยปัญญา รูต้ น สสงั ขาริกะ ละอบายมุข เมตตา ทาน จนิ ตามยปญั ญา รคู้ น อสังขาริกะ มีศีล 5 กรณุ า ปิยวาจา ภาวนามยปัญญา รงู้ าน มทุ ติ า อัตถจรยิ า อเุ บกขา สมานตั ตตา แผนภาพท่ี 7.1 กรอบแนวคิดคุณธรรมสาํ หรบั นักปกครอง หลักธรรมหมวดน้ีเป็นหมวดธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารบ้านเมือง ที่สามารถทํา ให้ผู้บริหารจะมีแนวคิดอย่างไรเก่ยี วกับการบริหารบ้านเมือง จะมีรูปแบบการบริหารจัดการอย่างไร หรือหลักคิดอย่างไรและที่สําคัญควรจะบริหารจัดการไปในทิศทางไหน ประกอบไปด้วยหลัก อธิปไตย 3 หลกั สุจริต 3 และหลกั สปั ปรุ ิสธรรม 7 ประการ ดังนี้ คือ
322 2.1 หลักอธิปไตย 3 ประการ หลักอธิปไตย 3 ประการ เป็นหลักธรรมกว้างๆท่ีพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้เพ่ือให้เป็น กรอบในการพิจารณาถึงแนวความคิดที่เน้นทฐิ ิหรือความคิดเห็นของตวั บุคคลเป็นหลักว่าเม่ือบุคคล เข้ามาบริหารงานแล้วมีทัศนะเก่ียวกับอํานาจท่ีดํารงอยู่อย่างไรบ้าง โดยใช้คําว่า อธิปไตย ซึ่ง หมายความวา่ ความเป็นใหญ่ มีอยู่ 3 ระดับ (ท.ี ปา. (ไทย) 11/305/274,) ด้วยกนั คอื 1) อัตตาธิปไตย (Autocracy) การถือตนเป็นใหญ่ เป็นแนวคิดของบุคคลที่ใช้อํานาจ โดยยึดความคดิ ของตวั เองเปน็ ใหญ่ โดยไม่คํานึงถงึ เสยี งส่วนมาก มแี นวความคิดออกจะเผดจ็ การ 2) โลกาธิปไตย การถือโลกเป็นใหญ่ เป็นแนวความคิดของบุคคลที่ใช้อํานาจโดย ยึดถือความคิดของคนหมู่มากเป็นใหญ่ โดยใช้ท่ีประชุมในการออกเสียงประชามติ มีแนวความคิด เหมอื นประชาธิปไตย 3) ธรรมาธิปไตย การถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นแนวความคิดของบุคคลท่ีใช้อํานาจโดย ยึดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก กล่าวคือใช้ธรรมะนําการเมือง มี แนวคิดเปน็ แบบธรรมาธปิ ไตย สามารถสร้างเปน็ ตารางในการอธบิ ายพิจารณาถงึ แนวความคิดที่เนน้ ทิฐิหรือความคิดเห็น ของตัวบุคคลเป็นหลักว่าเมื่อบุคคลเข้ามาบริหารงานแล้วมีทัศนะเก่ียวกับอํานาจที่ดํารงอยู่อย่างไร บ้าง ดังน้ี ท่ี หลักอธิปไตย แนวความคดิ เทยี บหลกั รัฐศาสตร์ 1 อัตตาธิปไตย มตี นเปน็ ใหญ่ ระบอบเผด็จการหรือคอมมวิ นสิ ต์ 2 โลกาธิปไตย มปี ระชาชนเป็นใหญ่ ระบอบประชาธิปไตย 3 ธรรมาธิปไตย มีธรรมเปน็ ใหญ่ ระบอบสงั ฆาธิปไตย แผนภาพที่ 7.2 หลกั อธิปไตยแนวคิดทางการปกครอง 2.2 สุจรติ ธรรม 3 ประการ สุจริตธรรม 3 ประการ เป็นหมวดธรรมที่สําคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างย่ิง รฐั บาลได้พยายามเน้นในเรื่องของการโปร่งใสในการบริหารบ้านเมอื งเพื่อให้บ้านเมอื งสะอาดน้ันก็ หมายความวา่ บา้ นเมืองจะตอ้ งปราศจากการทุจริตคดโกง มีสินบน โดยการพยายามออกกฎหมายใน รูปแบบตา่ งๆออกมาใช้หลักธรรมขอ้ น้ีประกอบด้วย 3 อย่าง (ที.ปา. (ไทย) 11/305/260,) คือ
323 1) กายสุจริต เมื่อผู้นํามีการกระทําท่ีมีความสุจริตไม่โกงกิน บ้านเมืองก็มีความ เจริญกา้ วหน้า มกี ารพฒั นาตามศกั ยภาพ เงนิ งบประมาณก็ถูกใช้ให้เกิดความคุ้มค่ามีการพัฒนาอย่าง ทั่วถึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อผู้นําไม่ทุจริตคดโกง ลูกน้องก็ไม่กล้า ถ้าผู้นําทุจริตลูกน้องก็ทําตาม ซึ่ง ธรรมะข้อนมี้ คี วามสาํ คัญตอ่ บ้านเมืองเปน็ อย่างมาก 2) วาจาสุจริต แม้วาจาจะดูแล้วไม่น่าจะมีความสาํ คัญต่อการบริหารปกครอง แต่โดย ความเปน็ จรงิ แล้วมคี วามสาํ คญั เปน็ อยา่ งมากในเร่ืองของการใช้คาํ พูด เช่น การพดู โน้มน้าวจติ ใจคน การพูดประสานคน การเจรจาต่อรอง งานด้านการทตู เป็นตน้ 3) มโนสุจริต มีคนกล่าวว่าจิตคนอย่างไรก็พูดอย่างนั้น คนพูดอย่างไรก็ทําอย่างนั้น แม้บางครั้งการกระทํา-การพูด-การคิด อาจจะไม่ตรงกันเพราะความปิดบังของคน แต่โดยมากแล้ว ย่อมเป็นไปตามนัยดังกล่าว ดังน้ันในข้อน้ีเป็นการแสดงออกมาทางความคิดเห็น ที่ผู้นําสูงสุด จะต้องแสดงให้ผู้ใต้ปกครองได้เหน็ หรอื ที่เรยี กวา่ การแสดงวิสัยทศั น์ นัน้ เอง 2.3 สปั ปุรสิ ธรรม สัปปรุ ิสธรรมหมวดธรรมข้อนี้ เป็นการแสดงถงึ ความยืดหยุ่นของผบู้ ริหารการใช้เหตผุ ล การรูจ้ กั ประมาณตน การรอจังหวะเวลาและการรจู้ กั ภมู ิหลังของสังคมชุมชนมี 7 ประการ (อง.สตฺ ตก.(ไทย) 23/68/143.)คือ 1) ธัมมัญญุตา รู้จักเหตุ ผู้บริหารจะต้องเป็นคนท่ีรู้จักเหตุว่าปัญหาหรือความ สําเร็จท่ี เกิดข้ึนในขณะน้ีนั้นมีมาจากอะไรและเหตุท่ีเกิดขึ้นนั้นจะสามารถนําไปสู่ผลอะไรบ้างหมายความ ว่าเป็นผู้รู้จัก รู้ความจริง รู้หลักการ รู้กฎเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมได้ รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผลและรู้จัก หลักการท่ีจะทําให้เกิดผล รวมความว่า การบริหารจัดการในองค์กร ผู้บริหารจําเป็นต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง เพ่ือบรรลุเป้าหมายขององค์กรให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล รู้จักการ วิเคราะห์ความจริงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ อันว่า“ส่ิงทั้งหลายเกิดข้ึน ตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา“โดย พจิ ารณาหลักการและเกณฑ์แหง่ เหตผุ ลมาบริหารจดั การองคก์ ร 2) อตั ถัญญุตา รูจ้ กั ผล ในข้อน้ีผูบ้ ริหารจําเป็นท่ีจะตอ้ งรจู้ กั ผลของการกระทาํ ทกุ อย่าง ที่ได้กระทําลงไปว่าส่ิงท่ีได้กระทําลงไปนั้นย่อมมีผละอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะการทํางานเชิง นโยบาย ย่อมจะมีการวางแผนงานท่ีเล็งถึงผลของการกระทําในสิ่งเหล่าน้ีหรือความมุ่งหมาย คือรู้ ความหมายรู้ความมุ่งหมาย รปู้ ระโยชนท์ ป่ี ระสงค์ รู้จกั ผลท่ีเกดิ ข้ึน สืบเนื่องจากการกระทําตามหลัก หมายถึง การบริหารงานองค์กรให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และรู้ถึงประโยชน์ขององค์กรที่นําไปสู่ ความม่ันคงและไม่มีผลกระทบใดๆต่อองค์กรในท่ีน้ีก็หมายถึงการมีแผนงานท่ีดีการวางแผนที่ วเิ คราะห์ผลกระทบดา้ นต่างๆ
324 3) อัตตัญญุตา รู้จักตน ผู้บริหารต้องสามารถประเมินตนเองออกว่ามีความรู้ ความสามารถมากน้อยแค่ไหน พร้อมท่ีจะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง คือ รู้จักเราว่าเรานั้นโดยฐานะ ภาวะเพศ ความรู้ความสามารถและคุณธรรมเป็นอย่างไรและเท่าใดแล้วประพฤติให้เหมาะสม และ รู้จักที่จะปรับปรุงต่อไป ในที่น้ีหมายถึง รู้จักองค์กรที่เราบริหารเป็นอย่างดี ว่ามีจุดด้อยจุดแข็ง อย่างไร มีขีดความสามารถอย่างไรและรู้จักการปรับปรุงองค์กรให้ทันต่อเหตุการณ์ที่มีผลกระทบ รวมทั้งการบริหารความแตกต่างที่จะทําให้องค์กรเป็นเลิศ มีประสิทธิภาพและม่ันคง ถาวร 4) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ ผู้บริหารจะต้องรู้จักประมาณในทุกด้าน ไม่ปล่อยให้ทํา อะไรตามใจตัวเองจนก่อให้เกิดผลเสียหายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม คือ ความพอดีในการจ่ายโภค ทรัพย์ ในที่นห้ี มายถึงการบรหิ ารการเงินหรือการขยายกจิ การ ต้องพิจารณาใหร้ จู้ ักประมาณในความ เพียงพอขององค์กร ขีดความสามารถขององค์กร ขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร รวมทัง้ การแข่งขันทรี่ อบคอบและรู้จกั ประมาณขีดความสามารถขององคก์ ร 5) กาลญั ญตุ า รจู้ ักเวลา บางคร้ัง บางเวลา บางโอกาส ผนู้ าํ ตอ้ งปล่อยให้งานช้าลง บาง เวลาต้องรีบทํางานให้ทันสถานการณ์ คือรีบในเวลาที่ควรรีบ เร่งในเวลาที่ควรเร่ง ให้จัดลําดับ ความสําคัญอะไรก่อนอะไรหลังแล้วลงมือทํางาน คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสมและระยะเวลาในการ ประกอบกิจในที่น้ี หมายถึง การบริหารจัดการจะต้องมีความเข้าใจถึงระยะเวลาที่เหมาะสม การ สร้างโอกาสขององค์กรจะต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ในเวลาน้ันๆว่าควรจะดําเนินการอย่างไร อะไรควรงด อะไรควรกระทํา เวลาใดควรขยายกจิ การหรือช่วงเวลาใดทจ่ี ะบริหารองค์กรให้ประสบ ผลสําเร็จตอ่ องคก์ รมากทีส่ ดุ 6) ปรสิ ัญญตุ า ร้จู กั ชมุ ชน ผบู้ รหิ ารก่อนทีจ่ ะเขา้ มาทาํ งานจาํ เป็นต้องมองดภู ูมหิ ลังของ ชุมชนท่ีตัวเองบริหารงานอยู่ว่าวัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างไรระเบียบวิธีปฏิบัติมีอะไรบ้าง คือ รู้ กริยาท่ีจะประพฤติต่อชุมชนน้ัน ว่าควรจะดําเนินการอย่างไร การบริหารจัดการ จําเป็นต้อง ปฏิสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆทั้งท่ีเป็นพันธมิตร และคู่แข่ง การสร้างสรรค์หรือการประสานงานกับ ชุมชน หรือกลุ่มบุคคลที่มีผลต่อองค์กร ก็คือเข้าถึงเข้าใจและพัฒนา เป็นการบริหารจัดการที่สร้าง ความสัมพนั ธ์ด้วยเมตตา ความเออ้ื เฟ้ือเผ่ือแผ่ต่อชุมชนหรือสาธารณะชน จะเปน็ ภาพลักษณ์ที่ดีของ องค์กร 7) ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้จักบุคคล การใช้คนเป็นสิ่งสําคัญ ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้คน ให้ถกู กับงาน คอื รู้จักความแตกต่างของบุคคลว่าโดยอัธยาศยั ความสามารถและคณุ ธรรม ตลอดถึงรู้ ในความสามารถของบุคคลและใช้มอบงานท่ีเหมาะสมให้การบริหารจัดการในการรู้บุคคล เปรียบเสมือนการพัฒนาและบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องมีการพัฒนาและบริหารบุคคลใน
325 องคก์ รใหม้ ีความรู้ความสามารถ และภกั ดตี ่อองคก์ ร มีความสามคั คี สรา้ งความเป็นธรรมและเสมอ ภาคให้แก่ บุคลากรในองค์กร รวมถึงการทํางานเป็นหมู่คณะการติดต่อส่ือสารกับบุคคลต่างๆด้วย ความเปน็ มติ รไมตรี รวมทั้งมคี วามจริงใจตอ่ กัน จากสาระของสัปปุริสธรรมข้างต้น จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาอธิบายความสัมพันธ์ของ การบริหารจัดการเก่ียวข้องกับคนและสิ่งแวดล้อม โดยคํานึงถึงคุณธรรมและจริยธรรมท่ีมีคุณค่า พบได้ในสงั คมมนุษย์หรือปัจจัยแห่งสงั คมในกระบวนการอาศัยซ่งึ กันและกัน การพิจารณาดว้ ยเหตุ ดว้ ยผล รูจ้ ักโลก รูจ้ กั ธรรมชาติ เพราะมนษุ ยเ์ ทา่ น้ันท่จี ะเป็นผทู้ ี่บรหิ ารจัดการองคก์ ารทีด่ ไี ด้ 3. หลกั พทุ ธธรรมท่ใี ชใ้ นการเป็นผ้นู าํ หลักธรรมข้อน้ีมีจุดเน้นท่ีตัวผู้นําหรือตัวผู้บริหารท่ีจะต้องมีและเป็นเพื่อใช้ในการ ปกครองหรือที่เรียกว่าราชาปราชญ์ (Philosopher-King) โดยเริ่มจากการที่ผู้นําจะต้องมีปกติหรือ มาตรฐานของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมท่ีเรียกว่าเบญจศีล เบญจธรรมอันเป็น เสมอื นบอ่ เกดิ แห่งสันตภิ าพของมนุษยโ์ ลก คาํ ว่า สนั ติภาพ หมายรวมถึง ความสงบภายใน (อัชฌตั ต สันติ) คือ ความสงบใจเป็นสภาวะจิตใจท่ีเป็นอิสระ ความสงบภายในก่อให้เกิดความสงบภายนอก ซึ่งเก่ียวข้องกับความสัมพันธ์ของบุคคลที่ได้ชื่อว่ามีความสงบภายนอกจะสามารถอยู่ร่วมอย่าง กลมกลืนรว่ มกนั กับเพื่อนร่วมโลกอนื่ ๆได้ (สมจรยิ า) ความสงบภายนอกนั้น จึงรวมถึงความสงบใน ชมุ ชนในชาตแิ ละในโลกเข้าดว้ ยกัน (พระเทพโสภณ, 2543) นอกจากนั้นแล้วยงั ตอ้ งมเี พ่อื นร่วมงาน ทีด่ ีและเครือ่ งมอื ในการบรหิ ารจัดการบ้านเมืองมากมาย หลกั ธรรมเหลา่ น้ีประกอบดว้ ย ศลี 5, ธรรม 5, กลั ยาณมติ ร 7, ราชธรรม 10 และจักรวรรดวิ ตั ร 12 ดงั มีรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ 3.1 ศีล 5 หลักธรรมข้อนี้คือศีล 5 ประการ ต้องการให้ผู้นํามีมาตรฐานแห่งความเป็นคนหรือมนษุ ย์ สมบูรณ์แบบ เพราะผู้ที่จะเป็นผู้บริหารประเทศต้องมีความพร้อมทางด้านจิตใจเป็นเบ้ืองต้นก่อน ศีลทง้ั 5 ข้อ (ที.ปา. (ไทย) 11/315/302-303, อภิ.ว.ิ (ไทย) 35/703/447.)ประกอบไปดว้ ย 1) การไมฆ่ า่ สตั ว์ เพือ่ ให้ผู้นํามีจิตใจที่อ่อนโยน มองเห็นความสําคัญของชีวิตผู้อื่นกับ ของตนเองเสมอกัน หลักธรรมข้อน้ียังส่อื ถึงการเคารพในสิทธิของผ้อู ่ืนดว้ ย 2) ไม่ลักทรัพย์ เม่ือผู้นําไม่คดโกง การพัฒนาประเทศก็ย่อมเจริญก้าวหน้าและที่ สําคญั การประพฤติดงั กล่าวยงั เป็นตัวอย่างให้กบั ผูค้ นทงั้ หลายดว้ ย 3) ไม่ประพฤติผิดในกาม ธรรมข้อน้ีเป็นการป้องกันปัญหาทางด้านสังคมในหลายๆ ด้านทีจ่ ะตามมา ผู้นําจงึ ควรประพฤติเปน็ แบบอยา่ งทดี่ ี
326 4) ไม่พูดเท็จ ซึ่งรวมถงึ การไม่พูดคาํ ไม่จริง-คําหยาบ-คาํ ส่อเสยี ด-คําเพอ้ เจ้อ ซ่ึงจะทํา ให้ผ้นู ํา เป็นคนมสี ัจจะในคําพดู 5) ไม่เสพของมึนเมา ท่ีจะเป็นต้นเหตุให้หลงลืมสติได้ ผู้นําทําอย่างไร จะเป็นเหตุผล ที่ผตู้ ามก็ทาํ อย่างน้ัน เชน่ ผนู้ าํ ยุคมาลานําไทยก็จะมีการนิยมส่งเสริมให้คนไทยสวมหมวกตามอย่าง ตะวนั ตก เปน็ ต้น 3.2 ธรรม 5 ประการ หลักธรรมข้อนี้ มีความประสงค์ให้ผู้นําเป็นสัตบุรุษ ที่ไม่เพียงแต่มีอํานาจในหน้าท่ีการ งานเท่านัน้ แต่ยังมอี าํ นาจบารมใี นตวั เองดว้ ยคุณธรรมจริยธรรม ท่ีผตู้ ามเหน็ แลว้ เกิดความภาคภมู ิใจ อุ่นใจและนบั ถืออยา่ งสจุ ริตใจได้ ซง่ึ ประกอบไปด้วย 1) มีเมตตา คือความกรุณาต่อผู้อ่ืน ไม่คิดเบียดเบียนหรือพยาบาท มีความเก้ือกูลหรือ มุทิตาต่อเพอื่ นร่วมโลกหรือผู้อยใู่ ตก้ ารปกครอง 2) มีสัมมาอาชีวะ คือมีอาชีพสุจริต ข้อนี้เป็นการให้ผู้นําได้ยึดหลักการทํางานที่ โปรง่ ใส ไมท่ จุ ริตหรอื คดโกงเอาเปรียบผอู้ ่ืนและหน่วยงานของตน 3) มีกามสังวร คือการสํารวมระวังในกาม หมายถึง ผู้นําต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ เปน็ ไปตามความอยาก ไม่มีปญั หาทางด้านครอบครวั 4) มีสัจจะ ซื่อตรงต่อผู้อื่น ข้อน้ีก็สําคัญท่ีเม่ือมีการทํางานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผ้บู รหิ ารจะตอ้ งมคี วามซอ่ื สัตย์สจุ ริตใจต่อกัน มคี วามไว้วางใจซง่ึ กันและกนั 5) มีสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ธรรมข้อนี้ หมายถึงไม่ลุ่มหลงมวั เมาในอบายมุขตา่ งๆ ทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกต่ ัวเอง สถาบนั และครอบครวั 3.3 กลั ยาณมิตรธรรม กัลยาณมิตรธรรม 7 ประการ หลักธรรมข้อนี้แสดงถึงบุคลิกภาพของผู้นําที่สามารถ ประทับใจผ้ใู ต้ปกครองได้เปน็ อย่างดี ประกอบไปดว้ ย 7 ประการ (อง.ฺ สตฺตก. 23/34/33.)คือ 1) ปิโย คอื เปน็ ผนู้ าํ ท่ปี ระชาชนรกั ใคร่ 2) ครุ คอื เป็นผนู้ าํ ที่ประชาชนเคารพรกั 3) ภาวนโี ย คอื เป็นผนู้ ําทป่ี ระชาชนดูแลว้ นา่ เจริญใจ 4) วัตตา คอื เป็นผนู้ ําที่รู้จกั พูดใหไ้ ด้ผล 5) วจนักขโม คือเป็นผูน้ าํ ท่ีมคี วามอดทนต่อถอ้ ยคาํ 6) คมั ภรี ญั จ กถัง กัตตา คือเปน็ ผ้นู าํ ท่ีสามารถแถลงเร่ืองลํา้ ลึกได้ 7) โน จัฏฐาเน นโิ ยชเย คือเป็นผนู้ ําที่ไมช่ กั ชวนผูต้ ามไปในทางท่ผี ิด
327 3.4 ราชธรรม ราชธรรม คือ จริยวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจําพระองค์ หรือ เป็นคณุ ธรรมประจาํ ตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ใหม้ ีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้ เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความช่ืนชมยินดี ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ได้จําเพาะเจาะจงสําหรับพระเจ้า แผ่นดินหรือผู้ปกครองแผ่นดินเท่าน้ัน บุคคลธรรมดาท่ีเป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้ หลกั ธรรมเหล่านี้ 10 ประการ (ขุ.ชา. 28/240/86.)คือ 1) ทาน หมายถึง การแบ่งปัน การเสียสละ ด้วยการให้การสละทรัพย์สินบํารุงเลี้ยง หรือช่วยเหลือประชาราษฎร์และบําเพ็ญสาธารณประโยชน์แม้กระ ท่ังการสละกําลังกายกําลัง ความคดิ การแนะนาํ ในส่งิ ท่ีเป็นประโยชน์แก่ประชาชนกจ็ ัดอยูใ่ นขอ้ นี้ เช่นกนั 2) ศลี การรกั ษาศีลคอื ความประพฤติท่ดี ีงาม ทัง้ กาย วาจาและใจ ให้ปราศจากโทษ ท้งั ในการปกครอง อนั ได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณแี ละในทางศาสนา 3) ปริจจาคะ การบริจาค คือ การเสียสละความสุขส่วนตน เพ่ือความสุขส่วนรวม ตลอดจนชวี ติ ของตนเพ่ือประโยชน์สขุ ของประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมอื ง 4) อาชชวะ ซ่ือตรงไม่มีมารยา คือ ความซื่อตรงในฐานะท่ีเป็นผู้ปกครอง ดํารงอยู่ใน สตั ย์สุจรติ ปฏบิ ัตหิ น้าที่ของตนด้วยสุจริต มีความจริงใจต่อหนา้ ทต่ี อ่ ประชาชน ไม่หลอกประชาชน 5) มัททวะ มีความออ่ นโยน คือ การมีอธั ยาศยั ออ่ นโยน เคารพในเหตุผลท่ีควร มีสมั มา คารวะตอ่ ผู้อาวโุ สและออ่ นโยนตอ่ บคุ คลที่ เสมอกนั และตา่ํ กวา่ 6) ตปะ ความมีตบะเครื่องเผากิเลสหรือความเพียร มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน และความเพียรพยายามเพ่ือกําจัดสง่ิ ทีไม่ดีงามความช่ัว รู้จักยับยั้งข่ม ใจไม่ใหห้ ลงใหลหมกมุ่นในความช่ัว 7) อักโกธะ ความไม่โกรธ หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อ่ืนแม้ จะลงโทษผู้ทําผิดก็ทําตามเหตุผล โดยความไม่โกรธลุอํานาจหงุดหงิดฉุนเฉียวแต่ต้ังอยู่ในความมี เมตตาต่อคนทกุ ระดับช้ัน 8) อวิหิงสา การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อ่ืนหรือความ ไมเ่ บียดเบียนหรอื ไมใ่ ช้อํานาจรังแกประชาชนให้ไดร้ ับความเดือดร้อน 9) ขันติ มีความอดทน การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจให้ เรียบร้อยหรือมีความอดทน ต่อหน้าท่ีการงาน ไม่ท้อถอยต่อปัญหาและความเหน่ือยยาก อดทนต่อ สง่ิ ยวั่ ยุ ถ้อยคําท่ีเสยี ดสถี ากถาง
328 10) อวิโรธนะ ประพฤติไม่ให้ขาดจากทํานองคลองธรรม ความหนักแน่น ถือความ ถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคําพูด อารมณ์หรือลาภสักการะใดๆหรือการ ปฏิบัติหน้าท่ีไม่ให้ผิดจากทางท่ีถูกท่ีควรไม่ให้ผิดจากทํานองคลองธรรมได้ยึดธรรมหรือความ ถูกต้องเป็นใหญ่ปราศจากอคติไม่ให้ความเอนเอียงหว่ันไหวเพราะถ้อยคําท่ีดีหรือร้ายลาภสักการะ และส่ิงอ่นื ๆมคี วามเทีย่ งตรงยุติธรรม 3.5 จักรวรรดิวัตร จักรวรรดิวัตรอันเป็นพระราชจริยานุวัตร สําหรบั พระมหาจกั รพรรดิและพระราชาเอกใน โลก ทัง้ นีโ้ ดยพระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองประชาชนทรงถอื และอาศัยธรรมขอ้ นี้เป็นธงชยั การดําเนิน กศุ โลบายและวิเทโศบาย มี 12 ประการ (ท.ี ปา. 11/35/65.)คือ 1) การอนุเคราะห์คนในราชสํานักและคนภายนอกให้มีความสุข โดยไม่ปล่อยปละ ละเลย 2) การผกู มติ รไมตรีกับประเทศอ่นื และเพ่ือนบา้ น 3) การอนเุ คราะห์พระราชวงศานวุ งศ์ 4) การเก้อื กูลพราหมณ์ คหบดี 5) การอนุเคราะหป์ ระชาชนในชนบท 6) การอนเุ คราะหส์ มณพราหมณ์ผทู้ รงศลี 7) การรักษาฝูงเน้ือ นก และสัตว์ทงั้ หลายไม่ใหส้ ูญพนั ธ์ุ 8) การหา้ มปรามคนทั้งหลายมใิ ห้ประพฤติผิดศลี ธรรมและชักนาํ ใหส้ จุ ริต 9) การเลยี้ งดคู นยากจน เพอ่ื มิใหป้ ระพฤติทุจริตต่อสังคม 10) การเข้าใกล้สมณพราหมณ์ เพ่ือศกึ ษาเรอื่ งบาป บุญ คุณ โทษ 11) การหา้ มปรามมิใหล้ ไุ ปตามอาํ นาจของความกําหนดั ยินดีในทางทีผ่ ิดธรรม 12) การหา้ มจิตมใิ ห้ปรารถนาในลาภทีพ่ ระมหากษตั รยิ ม์ คิ วรได้ 4. หลกั ธรรมที่ใชใ้ นการพัฒนาประเทศ หลักธรรมข้อนี้เป็นหลักธรรมที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายและ วตั ถปุ ระสงคต์ ามนโยบายท่ีได้วางเอาไว้โดยการกําหนดเป้าหมายของสังคมว่าจะเน้นอะไร เชน่ กนิ ดี อยู่ดี มีสุข เป็นต้น ซ่ึงสามารถทําและพัฒนาได้ด้วยการใช้ความเพียรในการสร้างประเทศ การ แสวงหาปัญญาหรือคบบัณฑิต รวมไปถึงการแสดงถึงเหตุปัจจัยในการสร้างประเทศชาติให้ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยชัยภูมิหรือต้นทุนที่ดีท่ีมีอยู่แล้วและสุดท้ายสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น
329 ภายในสังคม ชุมชน ประเทศชาติอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4, อิทธิบาท 4, วฑุ ฒธิ รรม 4, จกั ร 4 และพละ 5 ดงั มรี ายละเอียดต่อไปน้ี 4.1 ทิฎฐธัมมิกัตถ ทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นหลักธรรมที่สามารถให้ผลได้ในปัจจุบันทันที คือ สามารถ กําหนดเป้าหมายและวางเป็นแนวทางของนโยบายที่ดีได้ว่าจะเน้นให้กับสังคมเป็นหลักธรรมอัน อาํ นวยประโยชน์สุขขน้ั ตน้ ประกอบไปดว้ ยประโยชน์ 4 ประการ (อง.ฺ อฏฐก. 23 /144/289.) 1) อุฏฐานสัมปทา คือการถึงพรอ้ มดว้ ยความหม่นั หมายถึง การขยนั หมั่นเพยี รในการ ประกอบสัมมาอาชีพท่ีสุจริต มีความชํานาญ รู้จักใช้ปัญญาสอดส่องตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถ จัดดําเนนิ การใหไ้ ด้ผลดี 2) อารักขสัมปทา คือการถึงพร้อมด้วยการรักษา หมายถึง การรู้จักคุ้มครองเก็บรักษา โภคทรัพยห์ รอื เกบ็ ออมทรัพย์สินท่ีหามาได้และผลงานอันตนได้ทาํ ไว้ด้วยความขยนั หม่นั เพียร โดย ชอบธรรม ด้วยกําลงั งานของตน ไมใ่ ห้เปน็ อนั ตรายหรอื เส่ือมเสีย 3) กัลยาณมิตตตา คือคบคนดีเป็นมิตร หรือว่าความมีเพื่อนท่ีเป็นคนดี หมายถึงการ รู้จักกําหนดบุคคลในถ่ินที่อาศัย เลือกเสวนาสําเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณมีศรัทธา ศีล จาคะ และมปี ญั ญา 4) สมชีวิตา คือมีความเป็นอยู่เหมาะสม หมายถึง การรู้จักการใช้จ่ายให้มีความพอดี กบั รายรับ มิให้ฝืดเคอื งหรอื ฟูมฟาย ให้รายไดเ้ หนือรายจ่าย มปี ระหยดั เกบ็ ไว้ 4.2 อิทธบิ าท อิทธิบาท ถือว่าเป็นหลักธรรมเป็นเคร่ืองท่ีจะช่วยให้เกิดการปฏิบัติดําเนินไปได้สําเร็จ ลุล่วงด้วยดี โดยผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมายปลายทาง หมายถึง ฐานหรือหนทาง สู่ความสําเร็จหรือคุณเคร่ืองให้ถึงความสําเร็จ คุณเครื่องสําเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสําเร็จ คุณธรรมที่นําไปสู่ความสาํ เร็จแห่งผลทีม่ งุ่ หมายมี 4 ประการ (ที.ปา.11/231/233, อภิ.วิ.35/505/292.) คือ 1) ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทําใฝ่ใจรักจะทําสิ่งนั้นอยู่เสมอและ ปรารถนาจะทําใหไ้ ด้ผลดียงิ่ ๆขน้ึ ไป 2) วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหม่ันประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธรุ ะไมท่ อ้ ถอย 3) จิตตะ (ความคิด) คอื ตั้งจติ รับรใู้ นสิง่ ท่ที าํ และทําสิ่งนัน้ ด้วยความคิดเอาจิตฝกั ใฝ่ไม่ ปลอ่ ยใจให้ฟ้งุ ซา่ นเลอ่ื นลอยไป
330 4) วิมังสา (ความไตร่ตรองหรือทดลอง) คือ หม่ันใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในส่ิงท่ีทําน้ัน มีการวางแผน วัดผลคิดค้นวิธีแก้ไข ปรบั ปรุง เปน็ ตน้ เป็นหวั ขอ้ ธรรมที่นา่ ศึกษา เหตุเพราะประเทศท่ีมีความเจริญก้าวหน้าไดใ้ ช้หมวดธรรมข้อ นี้พัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามามากมายแล้ว โดยเฉพาะประเทศที่เรียกว่า ประเทศ อุตสาหกรรม ซึ่งมาจากคําว่า อุตสาหะ แปลว่า เพียรพยายามและคําว่า \"กรรม\" แปลว่า การกระทํา เม่ือรวมกันแล้วจะได้คําวา่ ประเทศอุตสาหกรรม ซ่ึงแปลว่า ประเทศที่ใช้ความเพยี รพยายามในการ สร้างกรรมให้เกิดข้ึน หรือประเทศท่ีใช้อิทธิบาท 4 ในการสร้างประเทศให้สูงน่ันเอง (ถิรธมฺโม., 2537) 4.3 วฑุ ฒธิ รรม วุฑฒิธรรม คือ หลักธรรมที่สร้างความเจริญก้าวหน้าในชีวิตหรือว่าธรรมเป็นเคร่ืองเจริญ ข้อปฏบิ ตั ทิ ่สี ง่ เสริมสนบั สนุนใหเ้ กดิ ความเจรญิ ความงอกงาม มี 4 ประการ (องฺ.จตกุ กฺ . 21/248/332.) คือ 1) สปั ปุรสิ ังเสวะ คือ การคบสัตบรุ ุษ คือคนดีมีคณุ ธรรมเปน็ ปราชญร์ าชบณั ฑติ 2) สทั ธัมมสั สวนะ คือ การฟงั พระสทั ธรรมหรือการได้รบั ฟังโดยความเคารพ 3) โยนโิ สมนสกิ าร คือ การตรกึ ตรองให้รสู้ ิง่ ดชี ว่ั โดยอุบายที่แยบคาย 4) ธัมมานุธัมมปฏิบัติ คือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือให้สอดคล้องพอดีตาม ขอบเขตความหมายและวตั ถุประสงคท์ ีส่ มั พนั ธ์กบั ธรรมขอ้ อน่ื ๆ 4.4 จักร จักร คือหลักธรรมท่ีสามารถสร้างองค์กรหรือประเทศชาติให้ก้าวหน้าลุล่วงไปด้วยดี ที่ เปน็ ปัจจัยหนุนสง่ ใหป้ ระสบผลสําเร็จมี 4 ประการ (องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) 21/248/368.)คือ (1) ปฏิรปู เทสวาส คือ การอยู่ในประเทศอนั สมควร (2) สัปปรุ สิ ูปัสสยะ คอื การเสวนากบั คนดี (3) อัตตสมั มาปณิธิ คือการต้ังตนไว้ชอบ (4) ปพุ เพกตปญุ ญตา คอื ความมบี ุญอนั ไดก้ ระทําไวก้ ่อน
331 4.5 พละ พละ เปน็ หลักธรรมทส่ี รา้ งใหส้ งั คม ชมุ ชน มีความเขม้ แข็งจนถงึ ระดับรากหญา้ ทเี่ รยี กว่า พละ เพราะเป็นพลัง ทําให้เกิดความมั่นคง ประกอบไปด้วย 5 ประการ (องฺ.ปญจก.22/13/11; อภิ.วิ. 35/844/462)คือ 1) ศรัทธา คือหลักความเชื่อ ความเช่ือมั่นท่ีจะสามารถพัฒนาก้าวหน้าหรือเช่ือว่า จะตอ้ งประสบผลสําเรจ็ อย่างแน่นอน 2) ศีล คือหลกั ความเป็นปกติ หรอื ความเป็นธรรมชาติท่ีเป็นระเบยี บของสังคม ชุมชน ทเี่ ม่อื ปฏิบตั แิ ล้วยอ่ มจะสามารถทําให้สงั คมสงบรม่ เยน็ หนกั แน่นได้ 3) วิริยะ คือหลักความหม่ันหรือเพียรพยายาม มุ่งมั่นที่จะทํางานให้สําเร็จตามความ ประสงค์ 4) สมาธิ คือหลักธรรมข้อน้ีเป็นการรวบรวม พิจารณาประเด็นปัญหาต่างๆจนทําให้ ตกตะกอนและนาํ มาใช้งานไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี 5) ปัญญา คือเป็นการสรา้ งพลังอย่างหน่งึ เม่อื ใครมสี ติปัญญามากกว่าย่อมมีอาํ นาจใน สงั คม ชมุ ชน โดยเฉพาะผู้นํา 5.หลกั ธรรมที่ใชใ้ นการสงเคราะห์คนในสงั คม หลักธรรมข้อนี้ใช้เพื่อพัฒนาสังคม หรือช่วยสงเคราะห์คนในชุมชน องค์กร ประเทศชาติ หากไม่มีการเก้ือกูลแก่กันและกันประเทศชาติย่อมวุ่นวายไม่มีท่ีสิ้นสุด เพราะคนมีความลําบากใน การแสวงหาปัจจัยพ้ืนฐานของชีวิตประกอบไปด้วย สังคหวัตถุ 4 หลักราชสังคหวัตถุ 4 ประการ และอริยทรัพย์ 7 ประการ ดงั มรี ายละเอียดตอ่ ไปน้ี 5.1 หลักสังคหวตั ถุ หลักสังคหวัตถุ คือ หลักแห่งการสงเคราะห์เก้ือกูลกันในสังคม ชุมชน ท่ีมีคนต่างระดับ กันไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะ ความเป็นอยู่ รูปแบบการดําเนินชีวิต ในสังคมหน่ึงย่อมจะต้องมีความ บกพร่องและมีส่วนเกินทางด้านทรัพย์สินและเครื่องดําเนินชีวิตอยู่ไม่มากก็น้อยมี 4 ประการ (องฺ. จตุกฺก (ไทย) 21/32/51.)ดงั นี้ 1) ทาน คือการแบ่งปัน ธรรมะข้อนี้เป็นพื้นฐานของมนุษย์ท่ีจะมีการเอ้ืออาทรต่อกัน คือ การหยิบย่ืนให้แก่กันและกัน ซ่ึงการหยิบย่ืนให้กันและกันนั้นอยู่ที่ใจที่จะเสียสละออกไป มากกวา่ การถูกบังคับ
332 2) ปิยวาจา คือการพูดด้วยคําอันเป็นท่ีรัก ธรรมะข้อนี้มุ่งไปท่ีการส่ือสารกันในระดับ ต่างๆ เพ่ือมีความเข้าใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพราะการอยู่ร่วมกันในสังคม หากไม่มีปิยวาจาท่ีมี องค์ประกอบเหลา่ นี้ คอื ไมพ่ ดู เทจ็ ไม่พูดส่อเสยี ด ไม่พูดคําหยาบ ไม่พูดเพอ้ เจอ้ ตอ่ กนั สงั คมนนั้ ก็จะ ไม่มคี วามหวาดระแวงต่อกนั เปน็ ตน้ 3) อัตถจริยา คือการประพฤติตนใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ธรรมะข้อนีม้ งุ่ ไปที่การดาํ รงตนให้ มปี ระโยชน์ตอ่ ผู้อืน่ หรือสังคม ดังสภุ าษติ ไทยว่า อยบู่ า้ นทา่ นอยา่ นิง่ ดดู าย ป้นั วัวปั้นควายใหล้ กู ท่าน เล่น อยา่ งนเี้ ป็นตน้ เป็นนา้ํ ใจเลก็ ๆน้อยๆท่ีผู้อยู่รว่ มกันจะพึงกระทาํ ต่อกัน 4) สมานัตตตา คือการทําตนให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ธรรมะข้อนี้มุ่งไปที่การ ประพฤติตนเองที่วางตัวตนให้เสมอต้นเสมอปลายหรือการเป็นผู้ประสานงานที่ดีต่อสังคม ชุมชน องคก์ รที่ตวั เองสังกัดอยู่ไม่เปน็ คนยยุ งทําให้คนในสังคมแตกแยกกนั 5.2 หลักราชสังคหวัตถุ หลักราชสังคหวัตถุ คือหลักธรรมข้อน้ีมุ่งถึงผู้บริหารบ้านเมือง เม่ือได้อํานาจมาแล้วต้อง บริหารจัดการให้ดี ไม่อยากเป็นเพราะอยากได้ตําแหน่ง แต่อยากเป็นเพราะต้องการทํางาน โดย ทํางานเพื่อองค์กรน้ันๆและท่ีสําคัญต้องมีการบํารุงขวัญกําลังใจลูกน้องหรือผู้ อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือจะเรยี กว่าเป็นธรรมเคร่อื งยดึ เหนี่ยวจติ ใจ มี 4 ประการ (อง.ฺ จตุกฺก.21/39/54;)ดังนี้ 1) สัสสเมธะ คือรู้จักบํารุงธัญญาหาร ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปทกี่ ารให้ต้นทุนสาํ หรับการทํา มาอาชีพของราษฎร ในอนิ เดยี โบราณมีอาชพี หลกั คอื การเกษตรแบบพอมพี อกิน ผูน้ ําจงึ ตอ้ งมีการ แจกจ่ายตน้ ทนุ สาํ หรับเล้ียงชวี ิตของผ้ใู ตป้ กครอง 2) ปุริสเมธะ คือรู้จักบํารุงราชการบริพาร ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปที่การบํารุงขวัญและ กําลังใจข้าราชบริพารที่รับใช้เป็นแขนเป็นขาให้ ดังนี้ผู้บริหารจําเป็นจะต้องมีการเพิ่มเงินเดือน มี การให้รางวัล มีโบนัสประจําปีให้กบั ผู้ใต้บังคับบญั ชาตามสมควรแกฐ่ านะ สถานที่และเวลาโอกาส เปน็ ต้น 3) สัมมาปาสะ คือรู้จักส่งเสริมวิชาชีพ ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปท่ีการส่งเสริมราษฎรให้มี อาชีพเสริม หรือมีความหลากหลาย โดยผู้นําได้ไปดูได้ไปศึกษาในหลายพื้นท่ีและมองเห็นโอกาส ความก้าวหน้าของวิชาชีพนั้น จึงได้นํามาส่งเสริม เช่น ทฤษฎีใหม่ หรือการเป็นอยู่อย่างพอเพียง ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว โครงการศนู ย์ส่งเสริมศลิ ปาชีพบางไทร ของสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ เป็นต้น
333 4) วาชไปยะ คือรู้จักช้ีแจงแนะนํา ธรรมะข้อน้ีมุ่งไปที่การส่ือสารแบบสองทางท่ี ชาวบา้ นธรรมดากส็ ามารถเขา้ พบปะพูดคุยและสามารถแกป้ ัญหาใหก้ ับชาวบ้านไดด้ ้วยนอกจากนั้น ยงั รูจ้ กั ปลอบโยนเมือ่ ผอู้ ยใู่ ตป้ กครองประสบกบั ปญั หาเดือดรอ้ นในเรอื่ งตา่ งๆได้ 7.5.3 อริยทรพั ย์ อริยทรัพย์ คือทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์คือคุณธรรมประจําใจอย่างประเสริฐ อยู่ภายใน จิตใจ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆทําใจให้ไม่ อา้ งว้างยากจน และเป็นทนุ สรา้ งทรัพย์ภายนอกไดด้ ว้ ย มี 7 ประการ ( องฺ.สตตฺ ก.23/6/5.)คือ 1) ศรัทธา คือ ความเชื่อทม่ี ีเหตุผล มน่ั ใจในหลักทีถ่ อื และในการดีทที่ ํา 2) ศลี คอื การรกั ษากายวาจาให้เรยี บร้อย ประพฤติถกู ตอ้ งดงี าม 3) หริ ิ คือความละอายใจตอ่ การทําความชัว่ 4) โอตตปั ปะ คือความเกรงกลัวตอ่ ความชว่ั 5) พาหสุ จั จะ คอื ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก 6) จาคะ คือความเสียสละ เอ้อื เฟอื้ เผือ่ แผ่ 7) ปัญญา คอื ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดชี ่วั ถกู ผิด คณุ โทษ ประโยชน์มิใช่ ประโยชน์ รคู้ ดิ รู้พิจารณาและรูท้ ี่จะจดั ทํา 6. หลกั ธรรมที่ใช้ในการวินิจฉยั สัง่ การ หมวดธรรมข้อน้ีต้องการท่ีจะให้ผู้บริหารได้มีวิจารณญาณในการวินิจฉัยในเรื่องราว ต่างๆ แล้วนํามาสั่งการ เพ่ือก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารปกครองบ้านเมือง คือ หลัก อคติ 4, หลกั พรหมวิหาร 4, หลกั โลกธรรม 8 และหลกั อรยิ สัจจ์ 4 ดงั มีรายละเอยี ดต่อไปน้ี 6.1 หลกั อคติ หลักอคติธรรม เป็นหลักธรรมเพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้หลักธรรมท่ีไม่เอนเอียงไปทางด้าน ใดด้านหน่ึง เพราะเช่ือง่ายหูเบาหรือฟังคํายุยงของลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาหลักธรรมเหล่าน้ี นอกจากจะใช้กับการตดั สินคดีความแล้วยังใชก้ ับองค์ตา่ งๆไดด้ ี มี 4 ประการ (อง.ฺ จตกกฺ . (ไทย) 21/17/29.) ดังนี้ 1) ฉันทาคติ คือ ลาํ เอยี งเพราะชอบ 2) โทสาคติ คอื ลาํ เอียงเพราะชัง 3) ภยาคติ คือ ลําเอยี งเพราะขลาดกลัว 4) โมหาคติ คอื ลาํ เอยี งเพราะเขลา
334 6.2 หลักพรหมวิหาร หลกั พรหมวหิ าร หลักธรรมนต้ี อ้ งการใหม้ นษุ ยอ์ ยู่กนั อย่างสันติสขุ มคี วามรกั ความผูกพัน กัน มีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน มีสันติภาพ, ภราดรภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริง เป็นธรรมที่ ต้องต้ังไว้เป็นหลักใจกํากับความประพฤติและปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ท้ังหลายโดยชอบ มี 4 ประการ (ที.ม. 10/184 /225; ที.ปา.11/228/232; )ดงั น้ี 1) เมตตา คอื ความเมตตาสงสาร ความรกั ใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มจี ิต อันแผ่ไมตรีและคดิ ทําประโยชน์แกม่ นุษยส์ ตั ว์ท่ัวหนา้ 2) กรุณา คือความกรุณาเอ้ืออาทร สงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลด เปลอื้ งบาํ บัดความทกุ ข์ยากเดอื ดร้อนของปวงสตั ว์ 3) มุทิตา คอื ความพลอยยินดี ในเมอื่ ผอู้ น่ื อยมู่ สี ขุ มจี ติ ผอ่ งใสบันเทงิ กอปรด้วยอาการ แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ท้ังหลายผู้ดํารงในปกติสุข พลอยยินดีเม่ือเขาได้ดีมีสุข เจริญงอก งามยิง่ ขนึ้ ไป 4) อุเบกขา คือความวางเฉยในโอกาสท่ีควรปล่อยวาง การวางใจเป็นกลาง อันจะให้ ดํารงอยู่ในธรรมตามท่ีพิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราช่ัง ไม่เอนเอียง ด้วยความรักความชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทําแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตอุ ันตนประกอบ พรอ้ มทจ่ี ะวนิ ิจฉยั และปฏบิ ตั ิไปตามธรรม รวมท้งั รจู้ ักวางเฉยสงบใจ มองดู ในเม่ือไม่มีกิจท่ีควรทํา เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือ เขาควรไดร้ ับผลอันสมกบั ความรับผดิ ชอบของตน 6.3 โลกธรรม โลกธรรม ธรรมข้อน้ีเป็นธรรมที่อยู่คู่กับโลก เม่ือนักบริหารยังหมกมุ่นและคาดหวังใน เรื่องโลกธรรมนี้มากเกินไปย่อมทําให้เป็นผู้นําท่ีขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแม้แต่จะตัดสินใจลงมือทํา เพราะกลวั ในเรอ่ื งของการไดแ้ ละเสียเหลา่ น้ี มี 8 ประการ ดงั นี้ (1) ได้ลาภ (2) เส่อื มลาภ (3) ได้ยศ (4) เสอ่ื มยศ (5) สรรเสริญ (6) นินทา (7) สุข (8) ทกุ ข์ โลกธรรมเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นท้ังแก่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ และแก่อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ต่างกันแต่ว่า คนพวกแรกย่อมไม่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง ลุ่มหลงยินดียินร้าย ปล่อยให้โลก ธรรมเข้าครอบงําจิต ส่วนอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ย่อมพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่าส่ิงเหล่านี้เมื่อ เกิดขน้ึ แล้ว ลว้ นไม่เท่ยี ง เป็นทุกข์ มีสตดิ าํ รงอยู่ เป็นผปู้ ราศจากทกุ ข์
335 6.4 อรยิ สจั จ์ อริยสัจจ์ธรรมข้อนี้ ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้เพื่อการศึกษาหาสาเหตุของปัญหาอุปสรรคใน งานนั้นๆและยังสามารถกําหนดเป้าหมายโดยทําเป็นยุทธศาสตร์ (Strategy)และแนวทางในการ ดาํ เนินหนทางไปสู่เปา้ หมายนัน้ ๆดว้ ยมี 4 ประการ (วินย. 4/14/18 ; ส.ํ ม.19/1665/528;) ดงั นี้ 1) ทุกข์ คือ ความทุกข์หรือปัญหาสภาพท่ีทนได้ยาก เป็นภาวะท่ีทนอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไปการ สญู ส้ิน) การประสบกับสง่ิ อนั ไม่เป็นทร่ี กั การพลดั พรากจากสง่ิ อันเป็นทร่ี กั การปรารถนาส่งิ ใดแล้ว ไมส่ มหวงั ในส่ิงนน้ั กล่าวโดยย่อ ทุกข์กค็ อื อปุ าทานขนั ธ์หรือ 5 2) สมุทัย คือ ต้นเหตุแห่งทุกข์,สมมุติฐานสาเหตุที่ทําให้เกิดทุกข์ มี 3 ประการ คือ (1) กามตัณหา คือ ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์ (2) ภวตัณหา คือ ความ ทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นน่ี ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ(3) วิภวตัณหา คือความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความ อยากท่ีประกอบด้วยวิภวทฏิ ฐหิ รอื อจุ เฉททิฏฐิ 3) นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป้าหมายความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทําให้เกิดทุกข์ กล่าวคอื ดับตัณหาท้งั 3 ไดอ้ ย่างส้ินเชงิ 4) มรรค คือ หนทางดับทุกข์ มรรควิธีการเข้าสู่เป้าหมาย แนวปฏิบัติที่นําไปสู่หรือ นําไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่ 8 ประการ คือ (1) สัมมาทิฏฐิ คือความ เห็นชอบ (2) สัมมาสังกปั ปะ คอื ความดาํ ริชอบ (3) สัมมาวาจาคอื เจรจาชอบ (4) สัมมากัมมนั ตะ คือ ทําการงานชอบ (5) สมั มาอาชีวะ คอื เลยี้ งชพี ชอบ (6) สัมมาวายามะคือ พยายามชอบ (7) สมั มาสติ คือ ระลึกชอบ และ (8) สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจชอบ ซ่ึงรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า\" มัชฌิมาปฏปิ ทา\"หรอื ทางสายกลาง 7. หลักธรรมท่ใี ช้ในวางแผนและการพฒั นาองคก์ ร หมวดธรรมข้อนี้ เป็นหมวดธรรมท่ีใช้ในการบริหารจัดการองค์กรให้มีความม่ันคง เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นความผูกพันระหว่างคนกับคนได้เป็นอย่างดีจนสามารถ กอ่ ให้เกิดความสามคั คขี ึน้ ในหมคู่ ณะอกี ดว้ ย
336 7.1 ฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรม ธรรมข้อน้ีเพื่อให้คนในองค์กรได้มีความสบายใจท่ีมีความจริงใจต่อกัน ความอดทน มกี ารข่มจิตข่มใจและการเสยี สละให้ปนั ส่งิ ของแกก่ ันและกัน มี 4 ประการ (ส.ํ ส. 15/845/316; ข.ุ ส.ุ 25/311/361.)ดังน้ี 1) สัจจะ คอื ความจริงใจตอ่ กนั ซื่อสตั ยจ์ รงิ ใจพดู จริงทําจรงิ 2) ทมะ คือความข่มใจ การฝึกฝน การขม่ ใจ ฝกึ นิสยั ปรบั ตัว รูจ้ กั ควบคมุ จติ ใจ ฝึกหัด ดัดนสิ ยั แกไ้ ขขอ้ บกพร่อง ปรบั ปรงุ ตนใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ด้วยสติปัญญา 3) ขันติ คือความอดทน ต้ังหน้าทําหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไมห่ วั่นไหว มัน่ ในจดุ หมาย ไม่ท้อถอย 4) จาคะ คือการเสยี สละ สละกิเลส สละความสุขสบายและผลประโยชน์สว่ นตัวได้ ใจ กว้าง พรอ้ มท่ีจะรับฟงั ความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผูอ้ ่นื 7.2 ทศิ ทิศธรรมข้อน้ีได้สอนให้คนได้ระลึกถึงกันว่าแต่ละคนได้มีสถานภาพหรือหน้าที่ อะไรบา้ ง มี 6 ประการ (ที.ปา. (ไทย) 11/266-272/212-216.)คือ 1) ปรุ ัตถิมทิส ทิศเบ้ืองหนา้ คือมารดาบิดา 2) ทักขิณทิส ทิศเบื้องขวา คอื ครอู าจารย์ 3) ปัจฉมิ ทสิ ทิศเบ้อื งหลงั คอื บตุ รภรรยา 4) อตุ ตรทิส ทศิ เบอ้ื งซา้ ย คือมติ รสหาย 5) เหฏฐิมทิส ทิศเบ้ืองตาํ่ คือบ่าวคนรับใช้ 6) อปุ รมิ ทิส ทศิ เบื้องบน คือสมณชีพราหมณ์ ทศิ ท้งั 6 น้ี เปน็ ธรรมทีร่ ะลกึ หนา้ ท่ี เพราะคนๆหนึ่งย่อมมสี ถานภาพหลายอยา่ ง แตต่ อ้ งรู้จัก บทบาทหน้าที่ของตัวเองให้ดี เช่น นาย ก เป็นครูอยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งหน่ึงก็ต้องมี ความสัมพันธ์กบั คนอ่นื ๆอีก เชน่ นาย ก มีพอ่ มแี ม่ มีครอู าจารย์ มบี ตุ รภรรยา มีมิตรสหาย มลี ูกน้อง และนับถือศาสนา เป็นต้น ซ่ึงแต่ละสถานภาพย่อมมีความเคารพสิทธิซ่ึงกันและกัน ไม่ละเมิดสิทธิ ของผ้อู ่นื 7.3 หลกั อปริหานิยธรรม หลักอปริหานิยธรรม ธรรมข้อนีเ้ น้นความสามัคคี หากทําไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั ย่อมทาํ ให้องค์กร น้ันๆเข้มแข็ง มั่นคงและเจริญก้าวหน้า ไม่มีปัญหาทางการบริหารจัดการใดๆเป็นธรรมที่
337 พระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่เจ้าวัชชีผู้ปกครองรัฐโดยระบบสามัคคีธรรม มี 7 ประการ (ที.ม. 10/68; องฺ.สตฺตก. 23/20/18.) คือ 1) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์เป็นการประชุมพบปะปรึกษาหารือกิจการงานต่างๆ แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซงึ่ กนั และกันและหาแนวทางแกไ้ ขปญั หารว่ มกนั โดยสม่ําเสมอ 2) พรอ้ มเพรียงกันประชมุ เลิกประชมุ และทํากจิ กรรมรว่ มกนั เป็นการประชมุ และการ ทาํ กิจกรรมทง้ั หลายท่ีพงึ กระทาํ รว่ มกนั หรอื พรอ้ มเพรยี งกันลกุ ข้ึนปอ้ งกนั บา้ นเมือง 3) ไม่บัญญัติ หรือล้มเลิกข้อบัญญัติต่างๆเป็นการไม่เพิกถอน ไม่เพิ่มเติม ไม่ละเมิด หรือวางข้อกําหนดกฎเกณฑ์ต่างๆอันมิได้ตกลงบัญญัติไว้และไม่เหยียบย่ําล้มล้างส่ิงท่ีตกลงวาง บัญญตั ไิ ว้แลว้ ถอื ปฏิบตั ิม่นั อยู่ในบทบัญญตั ิใหญ่ท่ีวางไว้เป็นธรรมนูญ 4) ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ ยาวนาน ดังน้ันเราต้องให้เกียรติ ให้ความเคารพนับถือและรับฟังความคิดเห็นของท่านในฐานะท่ี เปน็ ผรู้ ูแ้ ละมปี ระสบการณ์มามาก 5) ไม่ข่มเหงสตรี เป็นการให้เกียรติและคุ้มครองสตรี มิให้มีการกดข่ีข่มเหงรังแก 6) เคารพบูชาสักการะเจดีย์ คือการให้ความเคารพศาสนสถาน ปูชนียสถาน อนุสาวรีย์ประจําชาติอันเป็นเคร่ืองเตือนความจําปลุกเร้าให้เราทําความดีและเป็นที่รวมใจของหมู่ ชน ไม่ละเลย พิธีเคารพบูชาอนั พึงทําต่ออนสุ รณ์สถานที่สําคญั เหล่านั้นตามประเพณที ่ดี ีงาม 7) ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้ทรงศีล เป็นการจัดการให้ความอารักขา บํารุง คุ้มครอง อันชอบธรรม แก่บรรพชิต ผู้ทรงศีลทรงธรรมบริสุทธ์ิ ซ่ึงเป็นหลักใจและเป็น ตัวอยา่ งทางศลี ธรรมของประชาชน เตม็ ใจตอ้ นรับและหวงั ให้ท่านอยโู่ ดยผาสุก หมวดธรรมหมวดน้ีเป็นหมวดที่ใช้ในฐานะที่กว้างข้ึน เร่ิมจากการที่เราจะวางแผนการ บริหารจัดการอย่างไร รวมไปจนถึงได้กําหนดกฎเกณฑ์ออกมาและในท่ีสดุ ได้กําหนดนโยบายตาม แนวพระพุทธศาสนาได้ 8. การใชห้ ลักธรรมเพือ่ แกป้ ญั หาทางการเมือง การแก้ปัญหาทว่ั ไปจะเรมิ่ จากการศึกษาปัญหาทก่ี ําลงั ปรากฏเร่ืองใดเรื่องหน่ึงในขณะนั้น แล้วเจาะลึกหาความจริงเกยี่ วกับเร่ืองนั้น เชน่ ระบบการเมืองไทยปจั จุบนั มปี ญั หาอะไรบ้าง เมอื่ พบ ปัญหาตรงไหน ก็นําเสนอวิถีทางในการแก้ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะตอบคําถามอย่างตรงประเด็น แต่ สุดท้ายวิธีแก้ปัญหาคงหนีไม่พ้นการแก้รัฐธรรมนูญ ซ่ึงยังไม่ใช่การแก้ปัญหาท่ียั่งยืน ดังน้ันการ แกป้ ญั หาท่ียงั่ ยืน ควรมแี นวคดิ ทตี่ ั้งอยบู่ นฐานของพระพุทธศาสนา เม่อื มองถงึ กฎ อทิ ปั ปจั จยตา คือ สรรพสิ่งล้วนดํารงอยู่โดยการอิงอาศัยกัน ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถดํารงอยู่อยู่ได้อย่างโดดเด่ียวเป็น
338 อิสระ วกิ ฤติการเมืองไทยก็เช่นเดียวกนั การแก้ไขปัญหาควรศกึ ษาโลกในมุมกว้างก่อน แลว้ จงึ มอง ย้อนมาเพื่อวิเคราะห์ปัญหาท่ีกําลังเกิดข้ึน การเข้าใจกระแสโลกจะชว่ ยให้เราตระหนักรู้ว่าจะปฏริ ปู ระบบการเมืองไปในทศิ ทางใด การปฏิรูปการเมืองวิถีพุทธ จะเป็นแนวทางการแก้ไขที่สอดคล้องกับปัญหาไม่เพียงแต่ ปัญหาในกรอบของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างระบบการเมืองท่ีมีประสิทธิภาพและ ยัง่ ยืน สามารถเผชิญวกิ ฤตขิ องระบบสงั คมโลกท่ีซับซอ้ นไดด้ ้วย 8.1 พุทธวธิ วี ินจิ ฉยั ปญั หาตามแนวอรยิ สัจ การวินิจฉัยถึงปัญหาน้ีสามารถทําได้หลายวิธี แต่ในที่น้ีขอนําวิธีการทางพระพุทธศาสนา ตามหลกั อรยิ สัจ 4 ประการ ( ส.ํ ม.19/1665/528; อภิ.วิ.35/145/127.)ท่ีใช้เปน็ ประเด็นของการวินิจฉัย และแกไ้ ขปญั หาต่างๆ โดยมีขน้ั ตอนการดาํ เนนิ การต่อไปนี้ 1) ทุกข์ : หรือปัญหา เป็นขั้นตอนการกําหนดตัวปัญหาว่าเป็นปัญหาเร่ืองใด เน่ืองจากปัญหาจริยธรรมทางการเมืองการปกครองน้ันเกิดความกว้างซ่ึงจะไม่ขอกล่าวไว้ตรงนี้ หลังจากน้ันต้องศึกษาถึงลักษณะของปัญหาขอบเขตของปัญหาเพื่อหาความเช่ือมโยงหรือเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับปัญหานี้และผลกระทบของปัญหาว่ามีผลกระทบต่อใครหรือสิ่งใด ในด้านไหน อย่างไรเพือ่ ใหเ้ หน็ ถึงความสําคญั ของปัญหาที่ตอ้ งรบี แก้ไขโดยดว่ น 2) สมุทัย :สาเหตุของปัญหา การวินิจฉัยถึงสาเหตุของปัญหาทางจริยธรรมทาง การเมืองน้นั เราสามารถวนิ จิ ฉยั ได้ใน 2 ประเดน็ หลัก คอื (1) มลู เหตภุ ายนอก หมายถงึ แรงจงู ใจหรอื สิ่งที่เร้าภายนอกท่กี ระตุ้นให้ผู้ ทเ่ี กย่ี วข้องกับการเมืองการปกครองตกอยู่ภายใต้อาํ นาจของแรงขับหรือกิเลสแล้วแสดงพฤตกิ รรมท่ี สรา้ งปัญหาขน้ึ มามีหลายปัจจัยขน้ึ อย่กู บั ปัญหานนั้ เกี่ยวกับนโยบายกบั จรยิ ธรรมข้อใด ตวั อยา่ ง เชน่ สนิ บน ส่วยเปน็ แรงจูงใจใหเ้ จา้ หนา้ ทีข่ องรัฐปฏบิ ตั หิ น้าท่โี ดยมิชอบ เป็นตน้ (2) มูลเหตุภายใน หมายถงึ แรงขบั หรอื กเิ ลสท่ผี ลักดันให้เกิดพฤติกรรมที่ สร้างปัญหาข้ึนมา ตัวอย่างเช่น ความโลภทําให้ข้าราชการหรือนักการเมืองบางคนคอร์รัปชั่นหรือ รับสว่ ย เปน็ ต้น 3) นิโรธ : ภาวะท่ีไร้ปัญหาเป็นข้ันตอนของการตั้งเป้าหมายเพ่ือหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้บรรลุเป้าหมายน้ัน กล่าวโดยสรุป ก็คือปัญหาหมดไปหรือปัญหาได้รับการแก้ไขซ่ึงถือว่า เปน็ เรื่องสาํ คญั ทีเ่ ราจะต้องทําใหส้ ําเร็จเพือ่ ความสุขของคนท้ังชาติ
339 4) มรรค : วิธีการแก้ไขปัญหา เป็นข้ันตอนของการกําหนดวิธีการแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับสาเหตุภายนอกและภายในซึ่งวธิ กี ารแก้ไขก็มีหลายวิธกี ารตามลกั ษณะของปัญหาและ มูลเหตุของปัญหาการแก้ไขปัญหาการเมืองเชิงจริยธรรมตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและ แนวคดิ ของนกั วิชาการท่มี ีผลตอ่ การบรหิ าร สามารถประมวลได้ ตามลําดับตอ่ ไปนี้ คุณสมบัติของผู้นํา หลักการเก่ียวกับคุณสมบัติของผู้นําเป็นแนวทางหน่ึงที่สามารถนํามา แกไ้ ขปัญหาจริยธรรม ที่เกย่ี วกบั การเมืองการปกครองได้เนื่องจากเป็นหลักท่ีทําให้เกิดพัฒนาการท่ี ดีแก่ผู้ปกครองหรือผู้บริหารบ้านเมืองระดับต่างๆซ่ึงเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักการเมืองท่ี จะประสบ ความสําเร็จในการบริหารประเทศจําเป็นต้องมีคุณสมบัติที่ดีนั่นหมายถึง ความเป็นผู้มีศักยภาพใน ตัวเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ความรู้และความสามารถพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าท่ีของตนอย่าง ชาญฉลาดและประสบความสําเร็จในส่วนนี้ขอนําเสนอแนวคิดของ เมคเคยี เวลลี กลา่ วว่า ผู้นาํ ควรจะเป็นทั้งสิงหโ์ ตและสนุ ขั จ้ิงจอกในเวลาเดียวกนั คือ จะตอ้ งเปน็ คนก ล้าที่จะใช้อํานาจเด็ดขาดและจะต้องมเี ล่ห์เหลย่ี มแพรวพราว บางคนก็ว่าผู้นําจะต้องมีโชคคอ่ นข้างดี ด้วย คือ โชคชะตาเข้าข้าง ใครจะปองร้ายก็จะแคล้วคลาดทําอะไรก็ให้มีเหตุบังเอิญ ทําให้ประ ความสําเร็จอยู่เสมอ เมคเคียเวลลี ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลยั โคลมั เบียประเทศสหรัฐอเมรกิ า ได้พยายามรวบรวมคุณสมบัตทิ ีส่ ําคญั ๆทเี่ ขาคดิ วา่ ผนู้ าํ ควรจะมี ดงั นี้ (1) มพี ลังกาย และพลงั ประสาทท่เี ข้มแขง็ (2) รูจ้ ักจดุ มงุ่ หมายและแนวทางทจ่ี ะนําประเทศ (3) มีความกระตือรือร้น (4) มีความเปน็ มติ รและความรกั (5) นา่ เช่ือถอื (6) กล้าตัดสินใจ (7) มสี ติปัญญาความรอบคอบ (8) เป็นครูทด่ี ี (9) สร้างศรัทธาและความเชอื่ มนั่ ใหแ้ กผ่ ้ใู ตบ้ งั คบั บญั ชาและประชาชน (10)มีทกั ษะในเรอื่ งใดเร่อื งหน่งึ เปน็ พิเศษ จากภาวะความเป็นผู้นําดังกล่าว สะทอ้ นถงึ ภาพลกั ษณข์ องผู้นาํ ท่ีจะเป็นผู้บริหารประเทศ ในทุกระดับนับว่าเป็นเรื่องสําคัญ เพราะเป็นเร่ืองราวความอยู่รอดและเสถียรภาพของประเทศ โดยรวมด้วย จากกระแสพระราชดาํ รัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว ทีว่ ่า“บา้ นเมอื งน้ันมีทั้งคน ดีและคนไม่ดีไม่มีใครจะทําให้คนทุกคนดีได้ทั้งหมด การทําให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
340 จึงไม่ใชท่ าํ ให้ทาํ ใหท้ ุกคนเป็นคนดีหากแต่อยทู่ ่ีการส่งเสริมคนดี ใหค้ นดีไดป้ กครองบ้านเมอื ง และ ควบคุมคนทไ่ี มด่ ีไม่ให้อาํ นาจไมใ่ หท้ าํ ความเดอื ดร้อนวุ่นวายได้” จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติของผู้บริหารประเทศท่ีสาํ คัญคือบุคคลน้ันต้องเป็นบคุ คลดีซึง่ คนดี ในที่นสี้ ามารถศึกษาไดจ้ ากคณุ สมบตั ิของผนู้ ําที่ปรากฏในคมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนา ตวั อย่าง เชน่ ใน วิธรุ ชาดก (อรรถกถา, วิธุรชาดก. ดูรายละเอียดใน http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=9525&Z=9617. สบื ค้นข้อมูล 20 มกราคม 2559.) ไดก้ ล่าวถงึ คุณสมบตั ิของขา้ ราชการตามอุดมคติของพระพทุ ธศาสนาได้หลายประการ เชน่ (1) เล้ียงมารดาบิดา (2) อ่อนนอ้ มตอ่ ผูใ้ หญ่ในสกลุ และผูอ้ ืน่ ไม่เย่อหย่ิงถือตวั กระด้าง (3) พูดจา ออ่ นหวาน (4) พูดจาประทบั ใจคนฟัง (5) ขยัน รับผิดชอบต่อหน้าท่ี (6) ไม่ประมาท (7) มีปญั ญาเฉลียวฉลาดพิจารณาไตร่ตรองลงมอื กระทํา (8) ทํางานอย่างมปี ระสทิ ธิภพและรับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี (9) ประพฤติออ่ นนอ้ มถ่อมตนไมเ่ ยอ่ หย่งิ ถือตัว (10) มีความยาํ เกรงเช่อื ฟังผใู้ หญ่ (11) มคี วามเคารพ (12) อยู่รว่ มและทํางานรว่ มกับคนอ่นื ได้อยา่ งมีความสขุ (13) ไม่โลภ เพราะความโลภนาํ ไปสูก่ ารทาํ ทุจริตตา่ งๆ (14) ปฏบิ ัติตามคําสั่งท่ีชอบธรรมของผบู้ ังคับบญั ชา (15) ประพฤติปฏิบัติตนถูกต้อง ตรงไปตรงมา ชอบธรรม สมํ่าเสมอไม่ขาดตก บกพรอ่ งทง้ั ตอ่ หน้าและลับหลงั ผูบ้ ังคบั บัญชา นอกจากคุณสมบัติของผู้ปกครองที่ปรากฏในพระไตรปิฎกดังกล่าว แล้วเรายังสามารถ ศึกษาถึงหลักการเก่ียวข้องกับเรื่องน้ีได้จากอรรถกถา มหานิบาตชาดกในวิธุรชาดก ที่กล่าวถึง คุณสมบัติที่ดีของข้าราชการไว้หลายประการแต่ในท่ีนี้ จะนํามากล่าวเฉพาะข้อที่เห็นว่านํามา ปลกู ฝังให้แกผ่ ้นู ําในทุกระดับ จากคุณสมบัติของผู้ปกครองท่ีกล่าวมาจะเห็นถึงแนวทางแก้ไขปัญหาที่สําคัญประการ หน่งึ คอื ถ้าเราสามารถสร้างคนท่จี ะไปเป็นผู้บริหารประเทศและผู้ท่เี กย่ี วขอ้ งท้ังหมดในภาพรวมคือ
341 นักการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกระดับได้ตามคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดก็จะ เปน็ หลักการนั ตีไดว้ ่าปัญหาท่ีเกดิ จากผ้นู าํ ทางการเมืองการปกครองจะหมดไป ดังท่ีนําเสนอหลักการเบ้ืองต้นไปแล้ว ว่าแนวทางแก้ไขปัญหาตามแนวคิดทาง พระพุทธศาสนาเน้นไปท่ีการแก้ไขตัวบุคคล ไม่ใช่ไปแก้ไขท่ีตัวระบบเนื่องจากระบอบการเมือง การปกครองเกิดมาจากแนวคิดของคนและปัญหาการเมืองการปกครอง ส่วนใหญ่ก็เกิดมาจากความ บกพร่องดา้ นจิตวิญญาณของนักปกครองหรือผู้บริหาร ดงั น้ัน กระบวนการการแกไ้ ขปัญหาน้ี จงึ อยูท่ ี่การนาํ หลกั จรยิ ธรรมในพระพุทธศาสนามา พัฒนามนุษย์ทั้งภายในและภายนอกดังท่ีพระมหากษัตริย์หรือผู้นําท่ีบริหารประเทศได้ยึดถือเป็น แนวทางปฏบิ ัตติ วั อย่าง เช่น พ่อขนุ รามคาํ แหง่ มหาราช ท่ที รงใช้หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาเป็น แม่แบบในการปกครองบา้ นเมือง อีกตัวอย่างหน่ึงคือพระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเดจ็ พระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ว่า“จะต้ังใจยอยกอุปถัมภกพระศาสนา ปกป้องขอบขัณฑสีมารักษา ประชาชนและมนตรี”หรือพระบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั รัชกาลปจั จบุ ัน ที่ตรัส ไว้ในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เม่ือวันที่ 5 พฤษภาคม2549ว่า“เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”ในส่วนนี้ขอนําตัวอย่างหลักธรรมสําหรับนํามา พัฒนาผู้ปกครองเคยได้กล่าวมาแล้วในบทที่ผ่านมา เพื่อให้เข้าใจมากข้ึนและเพ่ือแก้ไขปัญหาการ บริหารและการปกครองในระยะยาว 8.2 ธรรมาธปิ ไตยในฐานะเปน็ เครื่องมอื พัฒนาประชาธิปไตย การใช้ธรรมาธิปไตยในฐานะเป็นเคร่ืองมือพัฒนาประชาธิปไตยและแก้ปัญหาการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญ ผู้เขียนจะกล่าวถึงหลักการสําคัญของธรรมาธิปไตยเพ่ือเป็นแนวทา งใน การศกึ ษาเพิม่ เตมิ เนอ่ื งจากเป็นประเดน็ ท่ีเก่ียวขอ้ งกนั อยู่ ดงั นี้ 1) หลักการสําคัญของธรรมาธิปไตย“ธรรมาธิปไตย”น้ีกล่าวได้ว่าเป็นภูมิปัญญา ของตะวันออก เน่ืองจากเป็นหลักธรรมคําสอนท่ีสําคัญประการหน่ึงในพระพุทธศาสนา และ ธรรมาธปิ ไตยมหี ลักการทสี่ ําคัญอย่างย่ิงก็คือ การถอื ธรรมเปน็ ใหญ่ ใหค้ วามสําคัญกับธรรมและให้ ความเคารพธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไดอ้ ธิบายไวว้ ่า ในการถือธรรมเป็นใหญ่นั้น ธรรมท่ีจะต้องถือหรือเคารพยึดเป็นหลัก เป็นมาตรฐาน อาจ แบ่งคร่าวๆ ได้ 2 ระดับ คือขั้นต้น ได้แก่ หลักการ กฎเกณฑ์ กติกาต่างๆอันชอบธรรมที่ได้ตกลงกนั วางไว้ ขั้นสูงข้ึนไป ได้แก่ ความจริงความถูกต้องดีงามและประโยชน์สุขท่ีเหนือกว่าข้ันต้นน้ันข้ึน ไป จนสดุ ขดี แห่งปญั ญาของตนจะมองเห็นได้ (พระพรหมคณุ าภรณ์, 2550)
342 จากคําอธิบายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ดังกล่าว คําว่า “ธรรม”ใน ธรรมาธิปไตยจึงมี 2 ระดับ ไดแ้ ก่ ธรรมระดับต้นและธรรมระดบั สูง คือ (1) ธรรมระดับต้น หมายถึง หลักการ กฎเกณฑ์ กติกาต่างๆอันชอบธรรม ท่ีสังคมได้ตกลงร่วมกันไว้ หากจะเทียบเคียงกับแนวคิดประชาธิปไตยในทางรัฐศาสตร์ตะวันตก ได้แก่ การถือหลักธรรม หมายถึง การเคารพกฎหมาย กล่าวคือ บุคคลทุกคนเสมอภาคกันใน กฎหมาย บุคคลจะต้องรับโทษเพ่ือการกระทําผิดอันใด ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่า การกระทํา น้ันเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้และจะต้องได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีจากศาลยุ ติธรรมที่มี ความเป็นอิสระในการช้ีขาดตัดสินคดี ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทท่ีเกิดขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเองก็ดี หรือระหว่างเอกชนกบั รัฐกด็ ี (นายธานินทร์ กรยั วเิ ชียร, 2520) (2) ธรรมระดับสูง หมายถึง ความจริง ความถูกต้อง ความดีงามและ ประโยชน์สุขท่ีสูงกว่าธรรมระดับต้น คือ การเคารพคุณธรรม ความดีและความถูกต้อง ตลอดถึง สัจจะที่แท้จริง หากจะเทียบกับแนวคิดประชาธิปไตยก็คือ ต้องมีอุดมการณ์ทําเพื่อประโยชน์และ ความสุขส่วนรวมของประชาชน ดังน้ันธรรมระดับสูงจึงเป็นพ้ืนฐานที่สําคัญของธรรมะระดับต้น เนื่องจากธรรมระดับต้นจะต้องไม่ขัดแย้งกับธรรมระดับสูง ในขณะเดียวกันธรรมระดับต้นต้อง อํานวยและส่งเสริมทําให้ธรรมระดับสูงปรากฏผลออกมางอกงามไพบูลย์ในสังคมยิ่งๆขึ้นไป กล่าวคือ บุคคลใดปฏิบัติตามธรรมระดับต้น บุคคลน้ันย่อมได้รับผลเป็นความดีและประโยชน์สุข ตามธรรมระดบั สงู จากหลักการสําคัญของธรรมาธิปไตยดังกล่าว ธรรมาธิปไตยจึงเป็นท้ังหลักการสําหรับ การประพฤติปฏิบัตแิ ละความคิดที่ถกู ต้องดงี ามท่ีอยู่ภายในจิตใจของคนเรา อีกท้งั ยงั เปน็ เป้าหมายท่ี พึงประสงคใ์ นสังคมประชาธิปไตยในปัจจุบัน ดังท่ีพระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ช้ีแนวทาง สําหรบั คนไทยในฐานะที่เปน็ พุทธศาสนิกชนไว้วา่ คนท่ถี ือธรรมเป็นใหญ่นัน้ ควรมลี ักษณะอย่างไร บ้าง ดงั น้ี ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องมีความชัดเจนในหลักการของพระพุทธศาสนาถ้าเป็น พุทธศาสนิกชนจะต้องถือธรรมเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าก็ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่มีอะไรใหญ่กว่า ธรรม คนที่ถอื ธรรมเป็นใหญ่ คอื เปน็ ธรรมาธิปไตยน้นั มลี ักษณะสาํ คัญ คอื 1) เป็นคนมีหลักการไม่เล่ือนลอยไหลไปตามกระแส เอาความจริง ความถูกต้อง ความดงี าม ความเปน็ ไปตามเหตผุ ลและกฎกตกิ า เป็นเกณฑต์ ัดสนิ 2) ใช้ปัญญาและพัฒนาปญั ญาอยู่เสมอเพื่อใหร้ ู้เท่าทนั ข้อมูลความเป็นไปตามความ เป็นจริง และเพื่อให้รู้เข้าใจ เข้าถึงหลักการความจริงความถูกต้องดีงามและเหตุผลในเร่ืองนั้นๆ เพ่ือให้สามารถรกั ษาหลักการ ความจรงิ ความถกู ตอ้ งไวไ้ ด้
343 3) มีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ สุจริตใจ ในการใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินใจ ไม่เอน เอียงไปดว้ ยอคติ 4) รักธรรม รกั ความจริงความถูกต้องดีงาม ทาํ อะไรก็ม่งุ จะให้ถึงธรรมและเป็นไป ตามธรรม มุ่งใหไ้ ด้ความจริง มุ่งใหเ้ กดิ ความถกู ต้องดีงาม จนขา้ มพน้ ความยึดถือในตัวตนไปได้ ให้ ธรรมเป็นใหญ่เหนือแม้แต่เกียรติและศักดิ์ศรีของตนและเพราะรักธรรม มุ่งให้เกิดความเป็นธรรม น้ัน จึงเป็นคนท่ีพูดด้วยง่ายรับฟังข้อมูลและเหตุผล ไม่ด้ือรั้นในทิฐิใน 4 ข้อน้ีข้อสุดท้ายเป็นตัว ตัดสินความเป็นธรรมาธปิ ไตย แต่ในการปฏิบตั ิจะขาด 3 ข้อแรกก็ไม่ได้ต้องมีไวค้ รบทง้ั หมด (พระ ธรรมปฎิ ก, 2542) ดงั นน้ั ความสมั พนั ธ์เก่ยี วโยงกันระหวา่ งประชาธปิ ไตยตามแนวคิดรัฐศาสตรต์ ะวันตกกับ ธรรมาธิปไตยตามแนวคิดรัฐศาสตร์เชิงพุทธอันเป็นภูมิปญั ญาตะวันออกนี้ เพ่ือให้เกิดประโยชนแ์ ก่ สังคมส่วนรวมก็คือ การนําธรรมาธิปไตยมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์พัฒนาประชาธิปไตยให้ บรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริงคือ ความสงบสุขของสังคม ตามแนวคิดท่ีว่าถือเอาความสุขและ ประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเป็นใหญ่ โดยการใช้ธรรมะนําทางสร้างสรรค์ประชาธิปไตยใน สงั คมไทยให้ยั่งยืนม่ันคงอยา่ งแท้จรงิ 8.3 ธรรมาธปิ ไตยเป็นเครอื่ งมือในการแกป้ ัญหาการเมือง จ า ก ห ลั ก ก า ร สํ า คั ญ ข อ ง ธ ร ร ม า ธิ ป ไ ต ย คื อ ธ ร ร ม ขั้ น ต้ น กั บ ธ ร ร ม ข้ั น สู ง ดั ง ก ล่ า ว ธรรมาธปิ ไตยในฐานะที่เป็นเคร่ืองมือพัฒนาประชาธิปไตยในสงั คมไทยจึงมี 2 ประการดว้ ยเช่นกัน ได้แก่ นิติธรรมวิธีกับธัมมิกวิธี ซึ่งพัฒนาข้ึนจากหลักการสําคัญของธรรมาธิปไตยคือ ธรรมขั้นต้น กับธรรมข้ันสูงน้ันเอง โดยการใช้วิธีการทั้ง 2 ประการ คือ นิติธรรมวิธีกับธัมมิกวิธี เป็นเคร่ืองมือ ตรวจสอบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยทุกๆ ภาคส่วนท้ังประชาชน นักการเมืองและข้าราชการ เพ่ือให้ประชาธิปไตยในสังคมไทยพัฒนาเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อย่างแท้จริง โดยมีธรรมาธิปไตยเป็นคุณสมบัติสําคัญเน่ืองจากเป็นทั้งวิธีการและเป้าหมาย ดัง แผนภาพ ต่อไปน้ี
ธรรมขั้นต้น นติ ธิ รรมวิธี 344 ธรรมาธปิ ไตย ประชำธิปไตย ทป่ี ระกอบดว้ ย ธรรมำธปิ ไตย ธรรมข้นั สูง ธัมมกิ วิธี แผนภาพที่ 7.3 ธรรมาธปิ ไตยในฐานะที่เปน็ เคร่ืองมอื พัฒนาประชาธิปไตย 1) นิติธรรมวิธี คือวิธีการตรวจสอบตามกฎหมายหรือกฎกติกาท่ีชอบธรรมท่ี สังคมได้ตกลงร่วมกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน นักการเมืองหรือข้าราชการ ก็ต้องอยู่ภายใต้ กฎหมายอันเดียวกัน แม้ว่าทุกๆคนจะมีอํานาจในการตัดสินใจอย่างอิสระมีเสรีภาพ แต่ก็ต้องถูก จํากัดขอบเขตไว้ด้วยกฎหมายหรือกติกาต่างๆเพราะว่าเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ หมายความว่าทําอะไรก็ได้ แต่หมายถึง การท่ีบุคคลสามารถกระทําหรืองดเว้นการกระทําการส่ิง หนึ่งสิ่งใดก็ได้ที่ไม่ละเมิดผู้อ่ืน คือไม่ทําให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน ซ่ึงจะถูกกําหนดโดยกฎหมายท่ีได้รับ ความยนิ ยอมเหน็ ชอบจากประชาชนโดยตรงหรือโดยอ้อม (วสิ ทุ ธ์ิ โพธแิ ท่น, 2538) ดังน้ันทุกๆคนจะต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายและสามารถถูกตรวจสอบควบคุม พฤตกิ รรมตา่ งๆไดภ้ ายใต้กฎหมายทช่ี อบธรรมอันเดียวกนั ยกตัวอย่าง กฎหมายอนั สูงสดุ ในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็คือรัฐธรรมนูญที่กําหนดบทบาทของสถาบันและ องค์กรต่างๆ ไว้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย รวมถึงกําหนดกฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆท้ังในเรื่องสทิ ธิ เสรีภาพ หนา้ ท่ีและการตรวจสอบการใชอ้ ํานาจให้แกป่ ระชาชนไว้ เป็นตน้ 2) ธัมมิกวิธี คือวิธีการตรวจสอบท่ีประกอบด้วยธรรมะ ได้แก่ ความถูกต้องดีงาม และประโยชนส์ ุขของส่วนรวม การตดั สินใจทางการเมืองและการประพฤติปฏบิ ัตติ นของทกุ ๆ ภาค ส่วน ทั้งประชาชน นักการเมือง และข้าราชการ อีกท้ังกฎหมายหรือกติกาต่างๆท่ีสังคมกําหนดกัน ขึ้นมาในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องถูกตรวจสอบว่าเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงามและ ประโยชน์สุขของสังคมหรือไม่ด้วยธัมมิกวิธี หากตรวจสอบเรื่องใดด้วยธัมมิกวิธีในฐานะที่เป็น เคร่ืองมือตรวจสอบแล้วเรื่องน้ันกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือไม่เป็นธรรมหรือไม่เคารพธรรม
345 ก็จะต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องตามธรรมเพื่อความสงบสุขของสังคม เนื่องจากธัม มิกวิธีคือฐานรองรับนิติธรรมวิธี เช่นเดียวกับธรรมขั้นสูงเป็นฐานรองรับธรรมข้ันต้น เพื่อมิให้เกิด ความผิดพลาดคลาดเคลือ่ นออกไปจากธรรมและเพ่อื ให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยที่ประกอบไป ดว้ ยธรรมาธปิ ไตยทีเ่ ปน็ คุณสมบตั ิภายในอย่างแท้จริง สรุปความจากท่ีกล่าวมาว่า“ธรรมาธิปไตย”เป็นหลักธรรมคําสอนประการหนึ่งใน อธิปไตย 3 ประการของพระพุทธศาสนาซ่ึงได้รับการตีความจากนักคิดนักวิชาการต่างๆท่ีมีทัศนะ หลากหลายแตกต่างกนั ไป ทําใหม้ ีมมุ มองต่อการอธิบายธรรมาธิปไตยออกเป็น 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ 1) กลุ่มที่มีทัศนะวา่ ธรรมาธิปไตยเป็นระบอบการปกครอง 2) กล่มุ ทม่ี ที ัศนะว่าธรรมาธิปไตยเปน็ แนวคดิ 3) กลุ่มท่ีมีทศั นะวา่ ธรรมาธปิ ไตยเป็นทัง้ ระบอบการปกครองและแนวคิด ในการจะอธิบายหรือตีความหลักธรรมาธิปไตยน้ันขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล ว่าจะให้คําอธิบาย\"ธรรมาธิปไตย\" ครอบคลุมไปถึงเรื่องใดและธรรมาธิปไตยในฐานะเคร่ืองมือ พัฒนาประชาธปิ ไตยในสังคมไทย เราจะเห็นไดว้ ่า ธรรมาธปิ ไตยมหี ลกั การสาํ คัญอยตู่ รงที่ถอื ธรรม เป็นใหญ่ ซึ่งธรรมดังกล่าวมีทั้งธรรมข้ันต้นและธรรมขั้นสูง วิธีการท่ีสําคัญในฐานะเป็นเครื่องมือ พฒั นาประชาธิปไตยในสังคมไทย จากธรรมข้ันตน้ และธรรมขน้ั สูงนน่ั เอง ได้แก่ นติ ิธรรมวิธกี บั ธัม มิกวิธี ซ่ึงทุกภาคส่วนท้ังประชาชน นักการเมืองและข้าราชการจะต้องพร้อมใจกันยึดถือเป็น แนวทางปฏิบัติ เพ่ือให้สังคมไทยบรรลุเป้าหมายทางการเมืองการปกครองคือความเป็น ประชาธิปไตยท่ีประกอบดว้ ยธรรมาธิปไตยตลอดจนแกป้ ญั หาทางการเมอื งได้นน่ั เอง
346 9. สรุปความประจาํ บทท่ี 11 หลักพทุ ธธรรมในทางพระพุทธศาสนานัน้ มมี ากและมีเนือ้ หาสาระขอบเขตท่ีกว้างมาก วา่ กันตามจริงแล้วมิใช่แต่เฉพาะเรื่องของรัฐหรือการปกครองเท่าน้ัน แต่ยังครอบคลุมไปถึงกิจกรรม ส่วนตวั เรอ่ื งของจติ ใจ ครอบครวั และสงั คม การจะแยกแลว้ ระบวุ ่าอะไรเป็นพุทธธรรม สาํ หรับการ บริหารหรือปกครองน้ันไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะสงเคราะห์หมวดธรรมเหล่าน้ันให้เข้ากับหลักการ ดังกล่าวเท่านั้นเองพระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ทางด้านจิตใจ เน้นข้อเท็จจริงและประสบการณ์การ รู้จักเลือกหลักธรรมท่ีเหมาะสมมาเปน็ แนวทางในการปฏิบัติน้ัน ก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ โอกาส เวลา สภาพแวดลอ้ มต่างๆและใหเ้ หมาะสมกบั บคุ คลด้วย จากหลักการท้ังหมดท่ีกล่าวมาอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาจะไม่กล่าวว่าระบบการ ปกครองแบบใดดีท่ีสุด แต่จะชี้ให้เห็นว่าระบบการเมืองการปกครองใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นราชาธิป ไตย ประชาธปิ ไตยหรือสังคมนิยม หากผู้ปกครองในระบอบน้นั ๆมีคณุ ธรรมและใช้ธรรมะเปน็ หลัก ในการปกครองย่อมทําให้ระบบน้ันๆ พลอยชอบธรรมไปดว้ ย ตรงกนั ขา้ มหากผู้ปกครองในระบอบ นั้นๆขาดคุณธรรมหรือไม่ใช้ธรรมะเป็นหลักในการปกครองระบบปกครองน้ันจะขาดความชอบ ธรรมในทนั ที ดังนั้น หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา จึงเป็นหัวใจหลักของการปกครองทุกระบบ ตัวอย่าง เช่น หลักทศพิธราชธรรมในระบอบประชาธิปไตยและหลักอปริหานิยธรรมในระบอบที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพื่อให้เหมาะกับระบอบการปกครองในสมัยนั้นๆการเมืองการปกครอง จะดีหรือไม่ อยู่ท่ีผู้ปกครองว่ามีธรรมะหรือใช้ธรรมนําหน้าการเมืองหรือไม่ ถ้าผู้ปกครองทุกระดบั มีธรรมะ หรือใช้ธรรมะเป็นหลักในการบริหารบ้านเมืองก็เป็นหลักการันตีได้ว่าประเทศชาติจะมี ความม่ันคงเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาก้าวไกลเป็นอารยะประเทศอย่างแท้จริงเมื่อนั้นปัญหาเก่ียวกับ การเมืองการปกครองกจ็ ะหมดไปในท่ีสุด
347 คําถามประจําบทที่ 11 1. พระพรหมบัณฑิต (ประยรู ธมฺมจิตโฺ ต) ไดว้ างกรอบแนวคดิ คณุ ธรรมสําหรับนักปกครองไว้ อย่างไร มกี อ่ี ยา่ ง อะไรบา้ ง ? 2. หลักธรรมทใ่ี ชใ้ นการวางกรอบบรหิ ารบา้ นเมือง มอี ะไรบ้าง ? 3. ผปู้ กครองควรมีหลกั ธรรมท่ีใช้ในการจัดการอยา่ งไร จงอธิบาย ? 4. ถา้ นสิ ติ อยากประสบผลสาํ เรจ็ ในการศกึ ษา ควรนําหลักธรรมหมวดใดมาประพฤติปฏบิ ัติ มี หลักธรรมอะไรบา้ ง จงอธิบาย ? 5. หลักสงั คหวตั ถุ คอื หลกั ธรรมแหง่ การสงเคราะห์เก้ือกูลกนั ในสงั คม มกี ี่อยา่ งไร อะไรบา้ ง ? 6. หลกั ธรรมในหมวดใดบา้ ง ท่ีสามารถนํามาใช้ในการวนิ ิจฉัยสั่งการในองคก์ ร จงอธิบาย ? 7. หลกั อปริหานิยธรรม ธรรมขอ้ น้ีเนน้ ความสามคั คี มีก่อี ยา่ ง อะไรบา้ ง จงอธิบาย ? 8. อรยิ สัจจ์ 4 ประการ เปน็ หลกั ธรรมที่สามารถนาํ มาแกป้ ญั หาทางการเมืองไดอ้ ย่างไร จง อธิบาย ?
348 การอา้ งอิง นายธานนิ ทร์ กรยั วิเชียร. (2520). ระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร โรงพิมพค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว. พระเทพโสภณ. (2543). โลกทศั นข์ องชาวพทุ ธ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระธรรมโกศาจารย์. (2549). พทุ ธวธิ กี ารบรหิ าร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระพรหมคณุ าภรณ์. (2550). ธรรมาลัย ทา่ นผหู้ ญิงพนู ศขุ พนมยงค์, พิมพค์ ร้ังที่ 2, . นนทบรุ ี: สถาบันวทิ ยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย). พระมหาศรีบรรดร ถิรธมโฺ ม. (2537). มรรคาแหง่ ชีวิต. พะเยา: กอบคําการพิมพ์. วิสทุ ธ์ิ โพธแิ ทน่ . (2538). อะไรนะ..ประชาธิปไตย?, . กรุงเทพฯ: สาํ นกั พมิ พ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
349 บรรณานกุ รม 1.ภาษาไทย 1) พระไตรปฎิ ก มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั . (2525). พระไตรปฎิ กฉบับสยามรัฐ (ธัมมจักกปั ปวตั นสตู ร), เลม่ ท่ี 9, 11, 12, 14, 15, 17, 20-23, 25, 27-28.. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฎราชวิทยาลยั ,. 2) หนงั สอื ทั่วไป ธานนิ ทร์ กรยั วิเชียร. (2520). ระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว. ไพโรจน์ ชัยนาม. (2555). การประชุมระหวา่ งประเทศการประชุมในทางการฑตู . ไพโรจน์ ชัยนาม, การประชมุ ระหวา่ งประเทศการประชมุ ในทางการฑูต, อา้ งแล้ว, หนา้ 121-124. (หน้า 121- 124.). กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พส์ ามคั คสี าสน์. สภาวิจัยแหง่ ชาต.ิ (2545). ความรใู้ นทางนติ ิศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพฟ์ ิลสไตล.์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2522). วินัยมขุ เล่ม 3,. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . โกวิท วงศ์สุรวัฒน.์ (2533). รัฐวทิ ยา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์พิฆเนศ. โกวิท วงศ์สรุ วัฒน์, สนุ ทร ณรงั ษี. (2526). รฐั ศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ: สํานักพมิ พ์ก ราฟิคอาร์ต. คณะกรรมการตําราแหง่ ชาต.ิ (2526). รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: สํานกั พิมพ์กราฟิคอาร์ต. จรูญ สุภาพ. (2547). หลกั รัฐศาสตร์ฉบบั พศิ ดาร แนวทฤษฎีและประยกุ ต์. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พโ์ อ เดียนสโตร.์ ชวินทร์ สระคํา,. พระอดุ รคณาธิการ. (2534). ประวัตศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอินเดีย. กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั . ชัยอนนั ต์ สมทุ รวณชิ . (2535). รัฐ. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชยั อนันต์ สมุทวณชิ . (2517.). ความคดิ อิสระ : รวมบทความทางการเมืองระหว่างปี 2511-2516. พฑิ เณศ, 61. ชา้ งขวญั ยืน ปรีชา. (2529). ระบบปรชั ญาการเมืองในมานวธรรมศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
350 ช้างขวัญยนื ปรชี า. (2537). ความคดิ ทางการเมืองของพทุ ธทาส ภกิ ขฺ ุ : ธัมมิกสงั คมนยิ ม”,วารสาร พุทธศาสตรศ์ ึกษา 1,. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั สามัคคสี าส์น จํากัด. ชา้ งขวัญยืน ปรีชา. (2540). ทรรศนะทางการเมืองของพระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพฯ: บริษัท สามัคคี สาส์น จาํ กัด. ดนัย ไชยโยธา. (2527). ประวตั ิศาสตร์เอเซียใต้ยคุ โบราณ. กรุงเทพฯ: ประวตั ศิ าสตร์เอเซยี ใต้ยคุ โบราณ. พระราชธรรมนิเทศ . (2536). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราช วทิ ยาลัย. ณรงค์ สินสวัสดิ์. (2539). การเมืองไทย:การวิเคราะห์เชงิ จิตวทิ ยา. กรุงเทพฯ: วัชรนิ ทร์การพมิ พ์. ณรงค์ สินสวสั ดิ.์ (2517). การเมืองระหว่างประเทศ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ จักษ์ พนั ธช์ ูเพชร. (2551). การเมืองการปกครองไทย . กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท พับลิชช่งิ จํากดั . คูณโทขันธ์. (2545). พุทธศาสนากบั สังคมและวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นต้งิ เฮ้าส์. พระมหาอภวิ ิชญ์ ธรี ปัญฺโญ, (2542). การศึกษาเปรียบเทยี บปรชั ญาการเมืองของขงจอ๊ื กับพุทธ ปรัชญาเถรวาท. (วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาพุทธศาสตรมหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั ,) . กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. วารี นาสกุล, และ อคั รเดช มณีภาค. (2545). หลักกฎหมายมหาชน. กรงุ เทพฯ: สาํ นักพิมพฟ์ ลิ สไตล.์ สพุ จน์ บุญวเิ ศษ. (2551). หลักรฐั ศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: เอม็ .ที.เพรส. บุญศกั ด์ิ แสงระวี. (2543). แปลและเรยี บเรียง. ลทั ธสิ ังคมนยิ ม อดตี ปัจจบุ ัน อนาคต. . กรงุ เทพฯ: หจก.เอมี่ เทรดดิง้ . ปฐม มณีโรจน์. (2525). ขอบขา่ ยสถานภาพและการทศั นาการในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต) (2532). พระพุทธศาสนากับสังคมไทย. กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พ์ มูลนธิ โิ กมลคีมทอง. ประยงค์ สวุ รรณบุบผา. (2541). รฐั ปรชั ญา แนวคิดตะวนั ออก-ตะวันตก, . กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พ์ โอเดยี้ นสโตร.์ ปรชี า หงษ์ไกรเลศิ . (2524). พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นา พานชิ . สมภาร พรหมทา. (2539). ปรัชญาสังคมและการเมือง. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณ มหาวทิ ยาลยั . พระเทพโสภณ. (2543). โลกทัศน์ของชาวพุทธ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355