Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

SO2015 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์

Description: แนวคิดทางการเมือง การบริหาร และการปกครองของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก เอกสาร ตำราทางพระพุทธศาสนา และจากผลงานของนักวิชาการสมัยใหม่ หลักธรรมสำหรับการปกครอง และเปรียบเทียบหลักการปกครองพระพุทธศาสนากับรัฐศาสตร์กระแสหลัก
The political concepts, administration and administration of Buddhism from Tripitaka, Buddhist texts and from the academic works of modern scholars, the Buddhist principles for administration and compare the principles of Buddhist principles with mainstream political science.

Keywords: พุทธศาสตร์

Search

Read the Text Version

251 จดุ มุ่งหมายทีจ่ ะเป็นรัฐบาลเพ่ืออาํ นวยการปกครองและบริหารประเทศ ตามแนวนโยบายของพรรค ของตน ในขณะที่กลุ่มผลประโยชน์ไม่ต้องการท่ีจะเป็นรัฐบาลหากแต่มีจุดมุ่งหมายท่ีจะสร้าง อิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ (Public Poliey) ของรัฐบาลเท่านั้น ฉะนั้น กลุ่มผลประโยชน์จึงใช้ พรรคการเมืองเป็นสื่อประสาน (Link) ท่ีจะสร้างอิทธิพลต่อรัฐบาลและด้วยเหตุน้ี บางทีเราเรียก กลุม่ ผลประโยชน์ทีส่ ร้างอทิ ธพิ ลตอ่ รฐั บาลว่า “กลมุ่ อทิ ธิพล” (Pressure Group) ในประเทศประชาธิปไตย กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Interest Group) มี ความสําคัญมาก เช่น สหภาพแรงงาน สหพันธ์นายจ้าง สมาคมกรรมกร สหกรณ์ เป็นต้น เพราะถ้า สามารถประสานประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์เหล่าน้ีได้แล้วประเทศชาติก็จะมีความเจริญ รุ่งเรือง กล่าวคือ กรรมกรมีระดับมาตรฐานการครองชีพดีก็อาจจะไม่ก่อการนัดหยุดงานประท้วง นายจ้าง เพราะถ้ากรรมกรขืนประท้วงโดยไม่มีเหตุผลสมควรก็อาจเป็นผลกําไรให้โรงงานล้มเลิก ไป ซ่ึงจะมีผลให้กรรมกรต้องว่างงาน ในขณะเดียวกันก็จะต้องสร้างให้กลุ่มผลประโยชน์ของ นายจ้างมีกําไรพอสมควร มิฉะนั้นแล้ว บรรดานายทุนก็จะพากันถอนทุนไปลงทุนในประเทศอ่ืน ซ่ึงจะเป็นผลเสียหายแก่ประเทศชาติได้ ฉะน้ัน การท่ีประเทศมีกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และควร ให้ความชว่ ยเหลืออยา่ งไร เป็นต้น รฐั บาลสามารถสนองความต้องการดงั กล่าวไดโ้ ดยผา่ นทางพรรค การเมือง เพราะพรรคการเมอื งเปน็ ทรี่ วมของกล่มุ ผลประโยชนอ์ ยู่แล้ว 12. ประเทศไทยกบั กล่มุ ผลประโยชน์ กล่มุ ผลประโยชนใ์ นประเทศไทยมกั ออกมาในรูปของกลุม่ หรือสมาคม โดยจาํ กดั ตัวเองไม่ ยุ่งเก่ียวหรือแสดงบทบาทการเมืองอาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น วัฒนธรรม แนวคิด ลักษณะ สงั คม และเศรษฐกจิ ไม่เอ้ือหรือส่งผลกล่อมเกลาให้คนไทยรกั ท่ีจะทาํ งานหรือพยายามรวมกลุ่มเพ่ือ เป้าหมายใดเป้าหมายหน่ึงและท่ีสําคัญก็คือ กฎหมายไทยที่มักมีข้อห้ามกลุ่มหรือสมาคมดําเนิน กจิ กรรมทเี่ ก่ยี วข้องกับการเมือง จึงเปน็ สาเหตทุ ที่ าํ ใหส้ ถาบันกลุ่มผลประโยชนข์ องไทยไม่มีโอกาส ในการพัฒนาสู่สถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งพอท่ีจะแสดงบทบาทในการมีอิทธิพลจนสามารถ โน้มนา้ วรฐั บาลให้กระทาํ หรือไม่กระทาํ ตามความต้องการของกลมุ่ ตนได้ หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ประเทศไทยอยู่ในยคุ ประชาธิปไตยโดยแบ่งบาน เป็นผลให้กลุ่มประโยชน์ที่มีจุดประสงค์เก่ียวกับการเมืองถือกําเนิดขึ้นมากมาย อย่างไรก็ดีพัฒนา การของกลุ่มผลประโยชน์ก็ไม่ได้ยาวนานต่อเนื่องแต่อย่างใด เมื่อเกิดรัฐประหารหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทุกอย่างก็กลับสบู่ รรยากาศแหง่ เผด็จการ ลักษณะของกลุ่มผลประโยชน์ไทยประการหน่ึง ก็คือ การยกย่องผู้มีอํานาจอันเป็นผลมา จากระบบอุปถัมภใ์ นสังคมไทย จงอาศัยบารมขี องบคุ คลสําคญั ในการโน้มนา้ วหรือสร้างอทิ ธิพลให้

252 มีผู้มีอํานาจทางการเมืองมีความเห็นสอดคล้องกับกลุ่มตน การยกย่องผู้มีอํานาจทําให้กลุ่มผล ประโยชน์มักใช้บุคคลที่มีช่ือเสียงเป็นท่ียอมรับหรือมีอิทธิพลเข้ามาเป็นผู้นํากลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการ เข้ามาดํารงตําแหน่งจริงหรือเพียงแต่ในนามก็ตาม เม่ือเป็นเช่นน้ีจึงส่งผลให้ประเทศไทยยงั คงเวียน ว่ายอยู่ในวัฏจักรของการรัฐประหารสลับกับประชาธิปไตยคร่ึงใบเสมอมา กลุ่มผลประโยชน์จึงมี ชะตากรรมที่ไม่แตกต่างไปจากพรรคการเมอื งเทา่ ใดนัก ลักษณะที่สองคือ กลุ่มผลประโยชน์ของไทยมักขาดเอกภาพ เนื่องมาจากความขัดแย้ง อันเกิดข้ึนภายในกลุ่ม จากความไมม่ ีเอกภาพทําให้กลมุ่ ผลประโยชน์ไมส่ ามารถมีศักยภาพเพียงพอ ในการแสดงอิทธิพลเพื่อจุดประสงค์ของกลุ่มได้ และประการสุดท้ายคือ กลุ่มผลประโยชน์ของ ไทยเป็นภาพลวงใจจํานวนสมาชกิ เพราะอํานาจเด็ดขาด การตัดสินใจ การดําเนินนโยบายตกอยู่ใน อํานาจของกลุ่มผู้นําในกลุ่มผลประโยชน์เพียงกลุ่มเดียว โดยท่ีสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มไม่ได้มี บทบาทใดๆทั้งสิ้น กลมุ่ ผลประโยชน์ในลักษณะน้ีจึงเป็นกลุ่มของคนจํานวนไม่ก่ีคนท่ีเป็นผู้นําของ กลุ่มที่อาศัยจํานวนสมาชิกเป็นฐานรองรับและเสริมสร้างอํานาจเพ่ือสร้างความชอบธรรมให้แกต่ น โดยการอา้ งว่า เปน็ การกระทาํ เพ่อื ผลประโยชน์ร่วมของสมาชิกทกุ คน กล่าวโดยสรปุ กลุม่ ผลประโยชนข์ องประเทศไทยมกั เป็นกลุ่มที่ถกู จัดสร้างขึ้นโดยกลุ่มคน กลุ่มเล็กๆ แล้วแสวงหาสมาชิกเพื่อรองรับความชอบธรรม และให้ดูเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มี สมาชิกมาก ทั้งที่ความจริงผู้เป็นสมาชิกไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ หรือสํานึกในความเป็นกลุ่มแต่ อย่างใด ทาํ ให้สมาชิกสว่ นใหญ่ไม่สามารถเข้าไปแสดงบทบาทในกลุม่ ตนได้ ผลประโยชนข์ องกลุม่ จึงไม่ใช่ผลประโยชน์ที่แท้จริงของสมาชิกส่วนใหญ่ จากลักษณะของกลุ่มผลประโยชน์ที่กล่าวมา แล้วนั้น หากจะใช้คํานิยามของกลุ่มผลประโยชน์ในแนวคิดของประชาธิปไตยตะวันตกแล้เวเราจึง ไมอ่ าจกลา่ วได้วา่ ประเทศไทยมีกลุ่มผลประโยชนท์ ่ีเปน็ สถาบันทเี่ ข้มแข็งเพียงพอ 13. กล่มุ ผลประโยชน์ตามแนวพุทธศาสตร์ ในทางพระพุทธศาสนาก็ได้กล่าวถึงการรวมกลุ่มไว้ด้วยลักษณะการรวมกลุ่มดังกล่าวน้ี อาจอาศยั ปัจจยั หลายอย่าง คือ 1. โดยถือชาติกาํ เนดิ เปน็ เกณฑ์ ก็แบ่งออกเป็น 5 กล่มุ คือ ก. กษัตริย์ ข. พราหมณ์ ค. แพศย์ ง. ศูทร จ. จณั ฑาล

253 2. โดยยึดอาชพี เปน็ เกณฑ์แบง่ เป็น4 กลุ่มคื อ ก. ขา้ ราชการ (อาํ มาตย์ ปโุ รหติ และทหาร) ข. พอ่ คา้ (เศรษฐี คหบดี) ค. ทาส (กรรมกร) ง. ปุกกสุ ะ (คนเทขยะ) 3. โดยถือแนวความคดิ เปน็ เกณฑ์ แบ่งออกเปน็ 3 กลุม่ คือ ก. ผ้นู าํ ทางทฏิ ฐิ 62 ข. เจา้ ลัทธิท้งั 6 ค. พระพุทธศาสนา 4. โดยถอื ประโยชนเ์ ฉพาะหน้าเปน็ เกณฑ์ การรวมกลุ่มในลักษณะนี้มีลกั ษณะคล้ายๆกับการประท้วงในปัจจัย ซึ่งเหตุการณ์ทํานองนี้ ได้มปี รากฏอยู่ในคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนาหลายแห่ง เชน่ การประท้วงพระเวสสนั ดรของชาวกรุง สิพีในกรณที ่ีพระเวสสนั ดรพระราชทานช้างปจั จัยนาเคนทรแ์ ก่ชาวเมืองกลงิ คราฐ เป็นต้น การรวมกลมุ่ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา โดยที่การปกครองสงฆ์ตามพุทธวิธีได้มอบให้สงฆ์มีอํานาจในการปกครองและในการ วินิจฉัยในปัญหาใดๆ ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องประกอบด้วยธรรม วินยั ด้วย ฉะน้นั การรวมกล่มุ ของสงฆ์ ซึง่ ยึดมนั่ ในพระธรรมวินัยเป็นหลกั เพ่ือสรา้ งความม่นั คงแก่ พระพุทธศาสนา จึงเป็นเร่ืองจําเป็น ตัวอย่างการทําสังคายนาทุกครั้งก็ใช้วิธีรวมกลุ่มสงฆ์ซ่ึงมีความ คดิ เหน็ ในการท่จี ะรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ในแนวทางเดียวกัน ใหก้ ลุ่มก้อนนั้นเอง พรรคการเมือง (Political Party) เป็นสัญลักษณ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นเอกลักษณ์(Identity) ของมนุษยชาติในการแสดงออกถึงสิทธิต่างชาติซึ่งได้แก่ ความต้อง การผลประโยชน์ ความปรารถนา ความจําเป็น ตลอดจนเจตจํานงอ่ืนของมนุษย์ในการรวมกันเป็น รัฐในระบอบประชาธิปไตย นั้นยอมถือว่า สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์เหล่านี้จะต้องได้รับการ รกั ษาไวอ้ ยา่ งสมบรู ณ์มากที่สุดของรัฐบาล (ปรีชา หงษไ์ กรเลิศ, 2524)

254 14. สรปุ บทที่ 8 การธํารงรักษาไว้เพื่อสิทธิตามธรรมชาติของพลเมืองของประเทศประชาธิป ไตยดังกล่าว พรรคการเมืงจึงเป็น “สถาบันธรรมชาติ” ของพลเมือง และเป็นส่ิงจําเป็นอันขาดเสียไม่ได้น่ันเอง เพราะการมีพรรคการเมืองจะช่วยให้พรรคการเมืองของประเทศได้มีโอกาสปกครองตนเองอย่าง แท้จริง สมดังคํากล่าวของอับราฮัม ลินคอล์นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้สมญานามจากคน อเมริกนั ในฐานะ “บิดาแห่งประชาธิปไตยอเมรกิ ัน” ท่วี า่ “ประชาธิปไตย คอื การปกครองประชาชน โดยประชาชน และเพือ่ ประชาชน” นน่ั เอง ในประเทศคอมมิวนิสต์ พรรคการเมืองมีข้อจํากัดเป็นอย่างมาก กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะ บัญญัตใิ ห้มี “พรรคคอมมิวนสิ ต์” เพยี งพรรคการเมอื งเดยี่ ว และหา้ มมิ ใิ ห้พรรคการเมอื งอน่ื ใดท่ีจะมี อํานาจเท่าเทียมพรรคคอมมวิ นิสต์ได้ ถึงกระนั้นก็ดี พรรคการเมืองในประเทศคอมมิวนิสต์ยังถือว่า เป็น “สถาบันของชนช้ันกรรมาชีพ” ซ่ึงได้แก่ ผู้ใช้แรงงานทั้งหลาย และประชาชนทั้งหมดของ ประเทศก็คือ ผู้ใช้แรงงานนั้นเอง ดังน้ัน ถึงแม้ว่าระบบการเมืองในประเทศคอมมิวนิสต์จะมีข้อ จํากัดของ “ชนชั้นกรรมาชีพ” (Proletariat) เพราะหลักความคิดของคอมมิวนิสต์นั้นเชื่อว่า มนุษย์ ชาติมีความสามารถในการปกครองไม่เท่ากัน ผู้ที่จะมีความเหมาะสมเป็นผู้ปกครอง (The Ruler) น้ันก็คือ ชนช้ันนํา (Elite) ภายในพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น บุคคลใดต้องการท่ีจะเป็นผู้ปกครองก็ จะต้องถูกจํากัดในการมีความคิดของคนให้อยู่ภายในกรอบของลัทธิคอมมิวนิสต์ซ่ึงหมายถึง การมี ลัทธิการปกครองแบบเผด็จการ (Dictatolism) ในกรณีเช่นนี้ พรรคการเมืองจะถูกจํากดั ให้ทําหน้าท่ี แต่เฉพาะระบอบการปกครองแบบเผด็จการและระบบเศรษฐกิจและสังคม แบบสังคมนิยมเท่านั้น แต่ถึงกระน้ันพรรคการเมืองก็ยงั คงเป็นสถาบนั “สถาบันตัวแทน”ของประชาชนอยู่นั่นเอง เพียงแต่ ถกู จาํ กดั ทาํ หนา้ ทเ่ี ทา่ น้ัน

255 คําถามประจาํ บทท่ี 8 1. จงช้ีแจงรายละเอยี ดการเกิดข้ึนของพรรคการเมือง 2. พรรคการเมืองมคี วามหมายวา่ อยา่ งไร? 3. พรรคการเมอื งมีประโยชน์อย่างไร? จงอธบิ าย 4. อะไรคือบทบาทและหนา้ ท่ีของพรรคการเมืองจงชแ้ี จง 5. จงวเิ คราะหพ์ ุทธศาสนามที ัศนะต่อแนวคิดเก่ยี วกับพรรคการเมืองอย่างไร? 6. จงช้ีแจงความเป็นมาและความหมายของคําวา่ กล่มุ ผลประโยชน์ 7. อุดมการณ์ทางการเมอื ง และอุดมการณ์ของกลมุ่ ผลประโยชนจ์ งวเิ คราะห์ 8. จงวเิ คราะหบ์ ทบาทและหนา้ ทขี่ องกลุ่มผลประโยน์ในระบบการเมอื งไทย 9. พระพุทธศาสนามีทัศนะต่อเรือ่ งนอ้ี ย่างไร จงอธิบาย

256 การอา้ งองิ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. (2533). รัฐวทิ ยา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์พฆิ เนศ. คณะกรรมการตาํ ราแห่งชาต.ิ (2526). รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: สํานกั พมิ พ์กราฟิคอาร์ต. ชยั อนนั ต์ สมุทรวณชิ . (2535). รฐั . กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ดร.จักษ์ พนั ธช์ เู พชร. (2551). การเมืองการปกครองไทย . กรุงเทพฯ: บรษิ ัท พบั ลิชชงิ่ จาํ กัด. บญุ วเิ ศษ สพุ จน์. (2551). หลักรฐั ศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: เอ็ม.ที.เพรส. ประยงค์ สุวรรณบุปผา. (2541). รฐั ปรัชญา : แนวคิดตะวันออก- ตะวันตก, . กรงุ เทพฯ: สาํ นักพมิ พ์ โอเดยี นสโตร์. ปรชี า หงษไ์ กรเลศิ . (2524). พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนา พานิช. พรหมทา, สมภาร. (2539). ปรชั ญาสังคมและการเมือง. กรุงเทพฯ: สํานกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณ มหาวิทยาลยั . ม.ร.ว. พฤทธิสาณ, ชมุ พล. (2551). อุดมการณท์ างการเมอื งร่วมสมยั . กรงุ เทพฯ: เอส.พี.ว.ี การพมิ พ.์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. (2546). ปรชั ญาการเมือง. กรุงเทพฯ: หจก.อรณุ การพิมพ์. สนธิ เตชานันท.์ (2543). พน้ื ฐานรัฐศาสตร์, พิมพ์ครงั้ ท่ี 2, . มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,. สมบัติ จนั ทรวงศ์. (2520). ทฤษฎกี ารเมืองตะวันตก, . กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สกุ จิ ชยั มสุ ิก. (2553). พระพุทธศาสนาในมติ ิประชาธปิ ไตย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราช วทิ ยาลยั . สขุ สาํ ราญ สมบรู ณ.์ (2527). พุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมอื งและสังคม. กรุงเทพฯ: สาํ นักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เสถียร โพธินันทะ. (2512). เมธตี ะวันออก, . กรุงเทพฯ: ธนบุรี : โพธส์ิ ามต้น.

257 บทที่ 9 รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพทุ ธศาสตร์ (Public Administration in Buddhistic Approach) 9.1 แนวคดิ (Concept) เป็นการศึกษาแนวคิดทฤษฎีการบริหารกิจการของรัฐ ตามหลักสากลและนําแนวคิดทฤษฎี ทางรัฐประศาสนศาสตร์เป็นแนวทางในการศึกษา ตีความคําสอนในพระพุทธศาสนาในประเด็นที่ เกยี่ วขอ้ ง และสอดคลอ้ งกับการบรหิ ารงานตามหลกั รัฐประศาสนศาสตร์สมยั ใหม่ 9.2 เนอ้ื หาสําคญั ประจําบทเรยี น 9.2.1 ความเป็นมาและความหมายของวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ 9.2.2 แนวคิด ทฤษฎีการบริหารรัฐกจิ 9.2.3 วิวฒั นาการวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ 9.2.4 แนวคิดรฐั ประศาสนศาสตร์ทป่ี รากฎในพุทธศาสนา 9.2.5 สาระสาํ คญั หลกั รัฐศาสตรก์ ับการบริหารในพทุ ธศาสนา 9.3 วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 9.3.1 อธบิ ายและวเิ คราะห์แนวคดิ การบรหิ ารรัฐกิจได้ 9.3.2 อธิบายและวเิ คราะห์ความเปน็ มาความหมายของวชิ านี้ได้ 9.3.3 อธิบายและวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์ทางตะวันตกกับ แนวคิดทางพุทธศาสนาได้ 9.3.4 อธิบายและวเิ คราะห์ประเดน็ สาํ คญั ของทั้ง 2 ศาสตร์ และวเิ คราะหส์ ่กู ารบริการรัฐกิจ ในปัจจบุ นั ได้ 9.4 กจิ กรรมการเรยี นการสอน 9.4.1 บรรยาย/อภปิ ราย 9.4.2 นําเสนอประเดน็ ปัญหาและแสวงหาคาํ ตอบร่วมกนั 9.4.3 สรุปเอกสารประกอบคาํ บรรยายแต่ละคาบ 9.4.4 นําเสนอผลการค้นคว้าอสิ ระปรจาํ กลุ่มท่ผี ู้สอนกําหนดให้

258 9.5 สอ่ื การเรยี นการสอน 9.5.1 เอกสารประกอบการสอน 9.5.2 คอมพวิ เตอร์ (Power Point) 9.5.3 วดี ที ศั น์และภาพยนต์ สารคดเี กยี่ วกับการบรหิ ารรัฐกิจ 9.5.4 ทัศนศึกษานอกสถานที่ 9.6 สารัตถะรฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพทุ ธศาสตร์ 9.6.1 ความเป็นมาของรัฐประศาสนศาสตร์ 9.6.2 ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ 9.6.3 วิวฒั นาการของการศึกษาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ 9.6.4 ความหมายรฐั ประศาสนศาสตร์ 9.6.5 ขอบขา่ ยรฐั ประศาสนศาสตร์ 9.6.6 การเมืองและนโยบายสาธารณะ 9.6.7 ทฤษฎีองคก์ าร 9.6.8 การดาํ เนินการบรหิ าร 9.6.9 รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพทุ ธศาสตร์ 9.6.10สรปุ บทท่ี 9 9.7 แบบฝกึ หดั ตอบคาํ ถามประจาํ บทท่ี 9

259 1. ความเป็นมาของรฐั ประศาสนศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ในระยะเร่ิมแรกมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด กับการปฏิรูประบบ ราชการกระบวนการรัฐบาลที่ดี และการทาํ ให้กลไกทางการบรกิ ารของรัฐบาลมลี ักษณะเปน็ วิชาชีพ ได้มีการสร้างหลกั การบริหารงานต่างๆ รวมทัง้ โครงการทางการศกึ ษา รฐั ประศาสนศาสตร์ ในมหา วิทยาลัยต่างๆ ซ่งึ ได้กระทําใหเ้ กดิ การพัฒนาลกั ษณะวิชาไปในทิศทางที่แตกตา่ งกนั ไปอย่างมากมาย ในทศวรรษท่ีผ่านมา จนกระท่ังในปัจจุบัน สถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์ได้ก่อให้เกิดความ สบั สนแกผ่ ู้เกยี่ วขอ้ งอย่างมาก โดยเฉพาะดา้ นวิชาการถึงขนาดที่นกั รัฐประศาสนศาสตรบ์ างท่านได้ กล่าวว่า “เป็นลักษณะวิชาท่ีไม่มีศูนย์ร่วม” (อุทัย เลาหะวิเชียร, 2522) (Unifying center) ทั้งน้ีเกิด จากการท่สี าขาวิชาอ่ืนๆหลายสาขาเข้ามามอี ิทธิพลตอ่ การพัฒนาลักษณะวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ดัง จะเป็นได้ว่า การบริหารงานท่ีดีจะต้องใช้ความรู้จากวิชาต่างๆ อาทิ เช่น รัฐศาสตร์ จิตวิทยา สังคม วิทยา มานุษยวิทยา วิทยาการจัดการ เป็นต้นมาประยุกต์รวมกันเพ่ือใช้ในการบริหารงาน การขาด เอกลักษณ์ดังกล่าวจึงเป็นปัญหาสําคัญท่ีนักรัฐประศาสนศาสตร์ มีความยากลําบากในการกําหนด ขอบข่ายการใหค้ ําจํากัดความเป็นอาทอิ ยา่ งไรกต็ าม ส่งิ ทีพ่ อจะยดึ เหนย่ี วเป็นหน่งึ และมีคุณลักษณะ เป็นวชิ าชีพในความหมายทกี่ วา้ ง 2. ทฤษฎรี ฐั ประศาสนศาสตร์ ทฤษฎีและหลักรัฐประศาสนศาสตร์น้ันเน้นถึง การบริหารราชการที่ต้องใช้คน (ข้าราชการ) เงินเช่นงบประมาณ แ ละวัสดุ (เครื่องอํานวยความสะดวก)ที่เรียกว่า หลัก 3 M’s ต่อมาเพ่ิม Managiment คือการจัดการเข้าไปด้วยเป็น 4 M’s S *ให้ได้สัดส่วนที่ดีท่ีสุดเพ่ือให้บรรลุผลสําเร็จ ตามเปา้ หมายท่วี างไว้ หลกั เกณฑ์หรอื ทฤษฎใี นการบริหารราชการ ส่วนใหญแ่ ลว้ นกั รัฐประศาสนศาสตร์หรือนัก บริหารจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในหลักการบริหาร เช่น การวางแผนงานการจัดหน่วย ราชการจัดการเกี่ยวกับผู้ร่วมงาน อํานวยการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพ ซ่ึงได้แก่ ห ลัก PAPOSDCORB ** โดยเฉพาะอย่างย่งิ ต้องมีการวนจิ ฉยั ส่ังการทถี่ ูกตอ้ งและดีท่สี ดุ ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาเพิ่งจะมาจัดหลักเกณฑ์หรือจัดเป็นทฤษฏีทางรัฐ ประศาสนศาสตร์ให้เข้าเปน็ ระบบเม่ือไม่นานปีมานี้ สว่ นในพระพุทธศาสนาหลกั รัฐศาสนศาสตร์มี ความสอดคลอ้ งกับหลักธรรมะของพระพทุ ธเจ้าได้ทรงบัญญัตไิ วซ้ งึ่ แสดงถึงธรรมะท่ีมีลกั ษณะเป็น หลักรัฐประศาสนศาสตร์มากว่า 2500 ปีแล้วแม้ในประเทศไทยเราเองกเ็ พิ่งจะมาศึกษากันอยา่ งเปน็ ระบบ ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกับสหรัฐอเมริกา (ในรัฐสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 5 ไดท้ รงจัดการศึกษาในลักษณะน้มี าแล้ว

260 ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ของต่างประเทศท่ียอมรับกันท่ัวไปในหมู่นักรัฐประศาสน ศาสตร์หรือนักบริหาร ได้แก่ ทฤษฎีของ FREDERICK W.TAYLOR (ชาวสหรัฐ) และ HENRE FAYOL (ชาวฝร่ังเศส) ท่ีกล่าวถึงทฤษฎีโดยสรุปได้ว่า การบริหารราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็น สิ่งที่ทําให้ประเทศเกิดการสูญเสียมากท่ีสุด การบริหารราชการทุกกรณีจะต้องศึกษาและทําความ เข้าใจได้ถ่องแท้ต้องรักษาระเบียบวินัยในการทํางานอย่างเคร่งครัด โดยอาศัยความยุติธรรมเป็น หลกั ในการพจิ ารณา โดยสาเหตุที่พุทธปรัชญาเป็นปรัชญาที่มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง (Fact) และส่วนที่เป็น ค่านิยม (Value) ซ่ึงสอดคล้องกับลักษณะของการบริหารราชการ ซึ่งหมายถึง การใช้ศาสตร์และ ศิลปะในการปฏิบตั ิงานของรัฐ ดังน้ันพุทธปรัชญาจึงอาจนําไปปรับใช้ได้ในการบริหารราชการ ซึ่ง บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงการนําเอาพุทธปรัชญาไปใช้ในการปฏิบัติราชการ โดยยกตัวอย่างบาง ประการ ในแง่ของกระบวนการวินิจฉัยสั่งการ อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบลักษณะผู้นําและ หลกั มนุษยสัมพันธ์ 3. วิวฒั นาการของการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ อาจแยกววิ ฒั นาการของการศึกษาได้เป็น 3 ระยะ คือ 1. ระยะเร่ิมต้นของการศึกษา (ค.ศ. 1887-1989) เป็นผลสืบเนื่องมาจากขบวนการปฏิรูป ราชการพลเรือนของสหรัฐและขบวนการก้าวหน้า รวมทั้งการพิมพ์เผยแพร่บทความเร่ือง “The Study of public Administration” ของวูดโรวว์ ิลสัน (Woodrow Wilson) ลกั ษณะเดน่ ของระยะนี้ คอื การเน้นที่โครงสร้างของระบบบริหารเป็นสําคัญโดยเฉพาะการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประสทิ ธิผล 2. ระยะกลาง (ค.ศ. 1930-1967) ได้เปล่ียนจุดสนใจมาเน้นที่พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม ของการบริหาร รวมท้ังวิพากษ์วิจารณ์โจมตีการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวทางเก่า การ เปลี่ยนแปลงระยะน้ี ทําให้ขอบเขตและแนวทางในการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ขยายตัวมากขึ้น สลบั ซับซ้อนมากขน้ึ และเจริญก้าวหน้าอย่างเห็นไดช้ ดั 3. ปัจจุบัน (ค.ศ. 1963 – ปัจจุบัน เป็นระยะท่ีเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมากมาย โดยเฉพาะการแยกรัฐประศาสนศาสตร์ออกจากการเป็นสาขาย่อยของรัฐศาสตร์ ทําให้เกิดการขาด เอกลักษณ์ ของลักษณะวิชา อย่างไรก็ดี ตามลักษณะเด่นของระยะนี้ ก็คือ การหันมาสนใจเร่ืองการ ปฏิบัติการในรูปของนโยบายและโครงการการกําหนดทฤษฎี สามารถนํามาปฏิบัติไว้ โดยเฉพาะ ความสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของสงั คม (มณีโรจน,์ 2525)

261 4. ความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์ เนื่องจากรฐั ประศาสนศาสตร์ เปน็ สาขาหนง่ึ ของการบริหาร (Administration) ซ่งึ มีคําจาํ กัด ความและความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์ ไว้เป็นจํานวนมาก ในที่น้ีจะขออธิบายคําและยกคํา จาํ กดั ความของนักรัฐประศาสนศาสตร์เพียงบางส่วน เพือ่ ให้พอมองเห็นภาพของความหมายของคํา ดงั กล่าวพอสงั เขป คาํ ว่า “รัฐประศาสนศาสตร์ “ นนั้ มคี าํ ในภาษาไทยท่ีต่างใช้ในความหมายเดียวกันอยู่หลาย คํา อาทิ เช่น การบริหารรัฐกิจ การบริหารราชการ การบริหารงานสาธารณะ ฯลฯ แต่ท่ีนิยมใช้กัน มากคําว่า “รัฐประศาสนศาสตร์” และ “การบริหารกิจ ซ่ึงมาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษเดียวกัน คือ “Public Administration” ซ่ึงมีความหมายเป็น 2 นัย ความหมายหนึ่ง หมายถึง กิจกรรมการบริหาร งานสาธารณะ อันครอบคลุมท้ังการบริหารราชการและรัฐวิสาหกิจ อีกความหมายหน่ึง หมายถึง สาขาวชิ าการบรหิ าร (มณโี รจน,์ 2525) การให้ความหมายของคําคําหน่ึงหรือหลายคําอาจเหมือนกันหรือแตกต่างกันได้ ข้ึนอยู่ กับนักวิชาการหรือผู้รู้แต่ละคน สําหรับในท่ีน้ีคําว่า “รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) หมายถึง การบริหารภาครัฐ การบริหารรัฐกิจ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการบริหารราชการ โดยแตล่ ะคํามีความหมายเหมอื นกนั หรือคล้ายคลึงกนั มาก (รศ. ดร. วริ ชั วริ ัชนิภาวรรณ, 2551) คําว่า รัฐประศาสนศาสตร์ยังหมายถึง วิชาความรู้ กิจกรรมการบริหารของรัฐ หน่วยงาน ของรัฐ และ/หรอื เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ ท้ังท่เี ปน็ ฝา่ ยนติ ิบญั ญัติ ฝ่ายบริหาร และฝา่ ยตลุ าการ ในทุกระดับ ท้งั ในราชการบริหารส่วนกลาง สว่ นภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น วชิ าความรู้ กิจกรรม หรือการบริหาร ดังกลา่ วนีเ้ ก่ยี วกับงานหรอื กิจการสาธารณะ หรือการใหบ้ ริการสาธารณะ (Public services) เนือ่ งจากคาํ วา่ รัฐประศาสนศาสตร์ น้ันส่วนหนึ่งหมายถึง การบริหารภาครัฐ ดังนั้น จงึ ควร ให้ความหมายของคําว่า “การบริหาร” รวมทั้งเสนอ “แนวทาง” หรือ “วิธีการ” ให้ความหมายคําว่า การบรหิ ารไวใ้ นท่ีนดี้ ้วย การบริหาร หมายถึง การดําเนินงาน หรือการจัดการใดๆ ของหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ (ถ้าเป็นหน่วยงานภาคเอกชน หมายถึง หน่วยงานและ /หรือบุคคล) ท่ีเกี่ยวข้องกับ คน ส่ิงของ และหน่วยงาน โดยครอบคลุมเร่ืองต่างๆเช่น 1) การบริหารนโยบาย (policy) 2) การ บริหารอํานาจหน้าที่ (Authority) 3) การบริหารจริยธรรม (Morality) 4) การบริหารท่ีเกี่ยวข้องกับ สังคม (Society) 5) การวางแผน (Planning) 6) การจัดองค์การ (Organizing) 7) การบริหารทรัพยากร มนษุ ย์ (Staffing) 8) การอาํ นวยการ (Directing) 9) การประสานงาน (Coordinating) 10) การรายงาน (Reporting) และ 11 การงบประมาณ (Budgeting) โดยเป็นการนํา “กระบวนการบริหาร” ที่เรียกว่า PAMS-POSDCoRB แตล่ ะตัวมาเป็นแนวทางในการให้ความหมาย นอกจากนอ้ี าจใหค้ วามหมายได้

262 อีกว่า การบริหาร หมายถึง การดําเนินงาน หรือการจัดการใดๆ ของหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับคน สิ่งของ และหน่วยงาน โดยครอบคลุมเร่ืองต่างๆ เช่น 1) การ บริหารคน (Man) 2) การบริหารเงิน (Money) 3) การบริหารวัสดุอุปกรณ์ (Material) 4) การบริหาร งานท่ัวไป (Management) และ5) การบริหารจริยธรรม (Morality) ซึ่งเป็นการนํา “ปัจจัยท่ีมีส่วน สําคัญตอ่ การบริหาร”ที่เรียกว่า 5M แต่ละตัวมาเป็นแนวทางในการให้ความหมาย การให้ความหมายท้ัง 2 ตัวอย่างน้ี เป็นการนําหลักวิชาการคือ “กระบวนการบริหาร” และ “ปัจจัยท่ีมีส่วนสําคัญต่อการบริหาร” มาใช้เป็นแนวทางในการให้ความหมาย ซ่ึงน่าจะมีส่วนทําให้ การให้ความหมายคําว่า การบริหาร ครอบคลุมเน้ือหาสาระสําคัญ ชัดเจน และเข้าใจได้ง่ายข้ึน ไม่ เพียงเท่าน้ัน ยังอาจนําหลักวิชาการอ่ืนมาใช้เป็นแนวทางในการให้ความหมายได้อีก เป็นต้นว่า 3M (ซ่ึงประกอบด้วย Man Money Management) และ 5 ป (ซ่ึงประกอบด้วยประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ปรหยัด ประสานงาน และประชาสมั พนั ธ์) คําวา่ “รฐั ประศาสนศาสตรด์ ว้ ยเหตผล 2 ประการ คือ 1. คําว่า “รัฐประศาสนศาสตร์”มีใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงจัดต้ังโรงเรียนสอนรัฐ ประศาสนศาสตรข์ ้ึนมาเม่อื ปี พ.ศ. 2442 โดยมีจดุ ประสงค์ทจ่ี ะฝึกหัดข้าราชการในการบริหารงาน 2. ด้านรากศัพท์คําวา่ “รัฐ”ในภาษาบาลีมีความหมายได้ 2 ความหมายคือ “แว่นแคว้นหรือ ประเทศอย่างหน่ึง กับ “ประชาชนอีกอย่างหนึ่ง” ส่วนคําว่า”ประศาสน” แปลว่า ปกครองและกิน ความถึงการบริหารด้วย ดังน้ันคําว่า “รัฐประศาสนศาสตร์” น่าจะกินความและส่ือความมายได้ กวา้ งขวางและครอบคลุมดีกวา่ เพื่อให้มองเห็นภาพของความหมายของคําดังกล่าว จึงขอยกคําจํากัดความของนักรัฐ ประศาสนศาสตรบ์ างท่าน คือ ลีโอนาร์ด ดี.ไวท์ (Leonard D. White) กล่าวว่า “รัฐประศาสนศาสตร์ประกอบด้วยการ ปฏิบัติการท้ังปวง ซึ่งกระทําโดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะให้นโยบายแห่งรัฐบรรลุความสําเร็จหรือนํามา บงั คับใชไ้ ด้ผล” เฮอร์เบิรต์ เอ. ไซมอน (Herbert A. Simon) ใหค้ วามหมายว่า หมายถึง กิจกรรมทง้ั ปวงของ ฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการปกครองสว่ นกลาง การปกครองมลรัฐหรือการปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ที่ สาํ คัญไม่รวมเอางานของฝ่ายนิติบัญญัตแิ ละตลุ าการเขา้ ไว้ด้วย ฟลิ ิกข์ เอ. นิโกร (Fellx A. Nigro) กลา่ ววา่ หมายถงึ 1. พลังของกลมุ่ ท่ีรว่ มมอื รว่ มใจกันในหนว่ ยงานของทางราชการ 2. เป็นการดําเนินงานที่ครอบคลุมการใช้อํานาจอธิปไตยท้ัง 3 สาขา คือ อํานาจบริหาร อํานาจนิติบัญญัติ และอํานาจตลุ าการ ตลอดจนความเกีย่ วขอ้ งสมั พนั ธ์กนั ระหวา่ งอาํ นาจทง้ั สามนนั้

263 3. มีบทบาทสําคัญในการกําหนดนโยบายของรัฐ และดังน้ันจึงเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวน การทางการเมือง 4. มคี วามแตกตา่ งในทางทสี่ ําคัญหลายประการจากการบรหิ ารงานธุรกจิ ของเอกชน ศาสตราจารยด์ ร. ชุบ กาญจนประกร ให้คาํ จํากัดความวา่ คอื 1. การจัดส่วนราชการ (Oranization) รวมทั้งการจัดระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ (Admi nistration) เพ่อื ใหก้ ารใช้คน เงิน และวัสดุ บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรฐั บาล 2. การใช้ศาสตร์และศิลปะในการบริหารงานของรัฐ ผุสสดี สัตมานะ ให้ความหมายว่า “รัฐประศาสนศาสตร์ย่อมหมายถึง กระบวนการในการบริหารงานราชการท้ังหมดท่ีผู้บังคับบัญชา จะพึงปฏิบัติในการบริหารงานใดๆ ท้ังในส่วนท่ีกําหนดไว้ให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาตาม กฎหมาย เช่น กฎ ระเบียบข้อบังคับที่เก่ียวข้องท่ีกําหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และหน้าท่ีในการ บริหารงานในฐานะผู้บังคับบัญชาที่มิได้กําหนดลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเช่น การวางแผนการ มอบอํานาจหน้าที่ การวินิจฉัยส่ังการ การจัดองค์การ การจัดบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าท่ีการงานตลอด จนกระทั่งหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา การบํารุงขวัญและการก่อให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ทดี่ ใี น การปฏิบตั ิงานเปน็ ตน้ ” จากความหมายต่างๆ ของนักรัฐประศาสนศาสตร์ท่ีได้อ้างถึงข้างต้นน้ีสรุปได้ว่า รัฐ ประศาสนศาสตร์หมายถึง ศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดิน ที่มุ่งการใช้ศาสตร์และศิลปะในการ จัดส่วนราชการ รวมท้ังการจัดระเบียบ วิธีการปฏิบัติราชการ โดยเฉพาะคนที่ทํางานอยู่ในส่วน ราชการต่างๆ และวิธีการจัดระเบียบ วิธีปฏิบัติราชการ เพื่อหาทางใช้เทคนิคที่ถูกต้องโดยมีจุดมุ่ง หมายเพื่ออํานวยการในการบริหารหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐ ไปถึงประชาชนอย่างมีประสิทธิ ภาพทส่ี ุด 5. ขอบข่ายของรฐั ประศาสนศาสตร์ เน่ืองจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาท่ีมีขอบข่ายไม่แน่ชัดนักวิชาการแต่ละคนจะมอง ขอบข่ายของรัฐประศาสนศาสตร์มีลกั ษณะที่แตกต่างกัน เรื่องท่ีน่าสังเกตก็คอื นักวิชาการส่วนใหญ่ มักจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงขอบข่ายของรัฐประศาสนศาสตร์ในทรรศนะของผู้เขียน ขอบข่ายเป็น เร่ืองท่ีมีผลมาจากกรอบเค้าโครงความคิด แม้ท้ังสองเรื่องจะไม่มีลักษณะที่เหมือนกันทุกประการ แต่ผู้เขียนก็เห็นว่ากรอบเค้าโครงความคิด “การแยกการบริหารออกจากการเมืองและ “หลักหรือ กฎเกณฑ์ทางการบริหาร” เป็นกรอบที่อ่อนกําลังลงจนแทบจะกล่าวได้ว่า มีความหมายน้อยในรัฐ ประศาสนศาสตร์ปัจจุบัน ที่กล่าวว่า “มีความหมายน้อย” แทนท่ีจะกล่าวว่า “หมดความหมาย” เพราะกฎเกณฑ์หหรือหลักเกณฑ์ทางการบริหารเหล่าน้ัน แม้จะไม่หลักหรือกฎที่มีหลักเกณฑ์เป็น วิทยาศาสตร์ในความหมายที่แท้จริง และนําไปใช้ไม่ได้เสมอไปในทุกกรณีท่ีไม่เปลี่ยนแปลง

264 ตลอดเวลา บ่อยคร้ังจะพบว่าสามารถนําเอากฎ POSDCORB ไปใช้บริหารงานในหน่วยงานท่ีมี สภาพง่ายๆ ดังนั้น ผู้เขียนจึงกล่าวว่า กรอบเค้าโครงความคิด 2 อันน้ียังไม่หมดความหมายเลย ที่เดยี ว เปรยี บเหมอื นกับผที ีอ่ าจกลับมาหลอกหลอนเม่อื ไหร่ก็ได้ สําหรับกรอบเค้าโครงความคิด อีก 3 อันท่ีได้บรรยายมาแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า เรื่อง “การ บริหารเป็นส่วนหน่ึงของการเมือง” และ “การบริหารเป็นส่วนหน่ึงของศาสตร์การบริหาร” มีส่วน ใกล้ เคียงกับเค้าโครงความคิดอ่ืนๆ ในรัฐประศาสนศาสตร์ จึงควรแยกออกต่างหากได้ส่วนเรื่อง ของศาสตร์การบรหิ ารซงึ่ ประกอบด้วยทฤษฎีองคก์ ารและเทคนิคการบริหาร เมอ่ื มาพิจารณาถงึ เร่ือง ขอบข่ายก็จะถูกแยกออกจากกัน โดยผู้เขียนเห็นว่าทฤษฎีองค์การซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรม ศาสตร์ก็น่าจะแยกออกมาเป็นอีกขอบข่ายหนึ่ง เพราะมีลักษณะทีแ่ ตกต่างกบั เค้าโครงความคิดอืน่ ๆ ของรัฐประศาสนศาสตร์ สําหรับเทคนิคการบริหารก็สามารถจะจัดเป็นขอบข่ายหนึ่ง เพราะเทคนิค การบริหารมีลักษณะพิเศษท่ีมีขึ้นเพ่ือใช้สําหรับการปรับปรุงหรือแก้ไขระบบบริหารให้มีประสทิ ธิ ภาพและเพ่ือการบรรลุเปา้ หมายตามทกี่ ําหนดซง่ึ ต้องอาศัยความรูจ้ ากคณิตศาตร์ สถติ ิ เศรษฐศาสตร์ และทางการจัดการ สําหรับ “กรอบเค้าโครงความคิดเบ็ดเสร็จ” เป็นกรอบครอบจักรวาล จึงไม่จํา เปน็ ท่ีจะจัดเปน็ อีกขอบข่ายหน่ึง เพราะสาระของขอบขา่ ยนี้จะไปปรากฎในขอบข่ายอื่นแล้ว ผู้เขียน เห็นว่า ทั้ง 3 ขอบข่ายดังกล่าวสามารถจะครอบคลมุ รัฐประศาสนศาสตร์ได้ทั้งหมด ข้อควรสังเกตก็ คือ การกําหนดขอบข่ายจะต้องครอบคลุมสาระของลักษณะวิชาได้ทั้งหมด และแต่ละขอบ ข่าย จะต้องมีกรอบที่มีลักษณะเป็นพิเศษ ดังน้ัน ผู้เขียนจึงสรุปได้ดังนี้ ว่า รัฐประศาสนศาสตร์มีขอบ ข่ายอยู่ 3 ขอบข่าย ซ่งึ ได้ แก่ 1. การเมอื งและนโยบายสาธารณะ 2. ทฤษฎีองค์การ 3. เทคนิคการบริหาร 6. การเมอื งและนโยบายสาธารณะ ขอบข่ายแรกน้ีเป็นขอบข่ายท่ีมีสาระสําคัญครอบคลุม 3 เรื่องด้วยกัน ซ่ึงได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการบริหาร “ นโยบายสาธารณะและค่านิยมซึ่งเป็นทฤษฎี ปทัสถานของรฐั ประศาสนศาสตร์น่นั เอง ในกรณีของ “ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการบริหาร” อธิบายได้ดังนี้ การบริหารรัฐ กิจเป็นกิจกรรมที่ไม่สามารถจะดําเนินไปได้ หากไม่นําเอาความสําคัญของการเมืองเข้ามาพิจารณา ประกอบ ในตอนต้นของหน่วย ได้ช้ีให้เห็นลักษณะโดยเฉพาะของการบริหารรัฐกิจว่าจะต้อง ปฏิสัมพันธ์กับระบบยอ่ ยของระบบการเมือง อยู่ภายใต้การควบคุมของประชาชน และนักบริหารมี

265 หน้าทีใ่ นการกาํ หนดนโยบาย เรอื่ งดงั กล่าวจะมีความสาํ คญั มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกับตาํ แหนง่ บริหาร ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายตุลาการกับฝ่ายบริหาร ความสัมพันธ์ระหว่างนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร องค์กรของพรรคการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผลประโยชนกับฝ่ายบริหาร ความสัมพันธ์ ของนักการเมืองกับข้าราชการประจํา การกําหนดนโยบายของนักบริหาร ความสัมพันธ์ระหว่าง นักสือพิมพ์กับระบบราชการ ประชาชนกับนโยบายในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ความสัมพันธ์ระว่างประชาธิปไตยกับระบบราชการ การปกครองท้องถิ่นกับประชาธิปไตย ฯลฯ ตวั อย่างดงั กล่าวเปน็ หัวข้อท่ีมีผู้ศกึ ษาน้อยมากในประเทศไทย หากแตเ่ ป็นเร่ืองท่ีมีความสําคัญอย่าง ย่ิงต่อการเข้าใจระบบราชการไทย เป็นขอบข่ายท่ีบริหารธุรกิจไม่ได้ครอบคลุมถึง เพราะมิใช่เป็น เร่อื งของการบริหารธุรกจิ โดยเฉพาะ เกีย่ วกับเรอ่ื ง “นโยบายสาธารณะ” ก็คือ การศึกษาถงึ กระบวนการนโยบายสาธารณะเร่ืองท่ี น่าสนใจแนวน้ีก็คือ การอุดช่องว่างระหว่างการกําหนดนโยบายกับการนํานโยบายไปสู่การปฏิวัติ ความสัมพันธ์ระหว่างการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติและการประเมินนโยบายหรือการวิเคราะห์ ข้อมูลป้อนกลับมีความสําคัญอย่างใดกับการกําหนดนโยบาย เร่ืองดังกล่าวเป็นศาสตร์ที่ใช้สําหรับ เป็นแนวทางในการตัดสินใจ ค่านิยมมีความสําคัญจําเป็นอย่างยิ่งสําหรับนักบริหาร ยิ่งนักบริหารมี ตําแหน่งสูงข้ึนเพียงใดก็ยิ่งต้องการค่านิยมใชเ้ ป็นแนวในการกําหนดนโยบาย และการตัดสินใจ ค่า นิยมท่ีผู้เขียนเห็นว่าสําคัญก็คือ ประสิทธิภาพและประหยัด ประโยชน์สาธารณะ คุณธรรมของนัก บรหิ าร จรยิ ธรรม ประชาธิปไตย ความเสมอภาคทางสงั คม ความรับผดิ ชอบ การสนองตอบตอ่ ความ ตอ้ งการของประชาชน ความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ และการรกั ษาความลับของทางราชการ เป็นอาทิ กล่าวโดยสรุป ขอบข่ายของการเมืองและนโยบายสาธารณะ เป็นขอบข่ายท่ีอาศัยวิชา รฐั ศาสตร์เป็นพื้นฐานในการศึกษา เปน็ ขอบข่ายทม่ี คี วามสาํ คัญเพราะครอบคลุมเร่ืองทงั้ หมดของคํา ว่า “รัฐ” การทีก่ ารบริหารรัฐกจิ มลี ักษณะที่แตกต่างกันกับการบรหิ ารในรปู อนื่ ๆ กเ็ พราะการบริหาร รัฐกิจต้องคํานึงถึงสาระของคําว่า “รัฐ” การมองปัญหา การตัดสินใจ การติดต่อสัมพันธ์กับระบบ ต่างๆ ของระบบราชการ จึงมีลักษณะที่แตกต่างกับการบริหารในรูปอ่ืนๆนักบริหารรัฐกิจต้อง ปฏิบตั ิงานภายใต้ความกดดันจากสงิ่ แวดล้อมภายนอกองค์การ ผู้เขียนจงึ ไม่เห็นดว้ ยกับคํากล่าวท่ีว่า ผู้ทป่ี ระสบความสําเร็จในการบริหารธรุ กจิ กจ็ ะเปน็ นกั บรหิ ารรัฐกจิ ท่ีประสบความสําเรจ็ ด้วย 7. ทฤษฎีองค์การ ทฤษฎอี งคก์ ารเป็นขอบขา่ ยท่ีอาศัยความรูจ้ ากพฤตกิ รรมศาสตร์ ซ่งึ หมายถึงการมีวชิ าสังคม วิทยา จิตวิทยาสังคม และมานุษยวิทยาเป็นวิชาพ้ืนฐาน แม้รัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์จะมีการ อธิบายพาดพิงถึงเร่ืองทฤษฎีองค์การอยู่บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ในทางปฏิบัติจึงมักจะถือว่าสังคม

266 วิทยา จิตวิทยาสังคม และมานุษยวิทยาเป็นวิชาพ้ืนฐานของทฤษฎีองค์การ ภายในกรอบของทฤษฎี องคก์ ารสามารถจะแยกออกไดเ้ ปน็ กลุม่ ทฤษฎีใหญ่ๆ 3 กลุ่มคอื 1. กลุ่มทฤษฎีท่ีอาศัยการใช้หลักเหตุผล ซ่ึงประกอบด้วยสํานักองค์การขนาดใหญ่ท่ีมี แบบแผน และสํานกั กระบวนการบริหารและการใชก้ ฎเกณฑ์ในการบรหิ าร รวมตลอดถึงสาํ นักการ วนิ ิจฉัยส่งั การ กลุ่มทฤษฎนี ี้อาศยั โครงสร้างและการมีเหตผุ ลเป็นหลักในการบรหิ ารองคก์ าร 2. กลุ่มทฤษฎีเกี่ยวกบั พฤตกิ รรม กลุ่มนีม้ ีอยู่สองสาํ นกั คือ สํานักมนุษยสมั พนั ธ์ และสํานกั มนุษย์นิยม ท้ังสองสํานักน้ีเน้นความสําคัญของตัวแปรเกี่ยวกับคน และให้ความสําคัญเก่ียวกับตัว แปรอื่นๆน้อย จนมีผู้กล่าวกันว่า เป็นทฤษฎีองค์การท่ีไม่มีโครงสร้าง ซ่ึงแตกต่างกับกลุ่มแรก (ยกเวน้ การวินจิ ฉยั ส่ังการ) เปน็ ทฤษฎีองคก์ ารที่ไมม่ คี น 3. กลุ่มทฤษฎีระบบเปิด ซึ่งประกอบด้วยสํานักระบบและสํานัก Contingency Theory สํานักน้ีให้ความสําคัญเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ขององค์การต่อส่ิงแวดล้อมและ ความสัมพันธข์ องระบบยอ่ ยต่างๆ เป็นอาทิ กล่าวโดยสรปุ ขอบข่ายทฤษฎีองค์การชว่ ยให้รฐั ประศาสนศาสตร์เป็นวชิ าทีม่ ชี ีวติ ชวี า ช่วย ให้นกั บริหารเข้าใจพฤติกรรมของคนซึง่ เปน็ สว่ นทีส่ ําคัญท่ีสดุ ของการบริหาร นอกเหนือจากการใช้ กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และโครงสร้างขององค์การ ขอบข่ายนี้มีการพัฒนาองค์ความรู้อย่างสูง และมีความใกล้เคยี งกับวิทยาศาสตร์มากท่ีสดุ ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ที่อาศัยการศึกษาแบบการ อธบิ ายส่วนใหญ่อาศัยความรู้จากขอบขา่ ยน้ี 8. เทคนคิ การบรหิ าร ขอบข่ายสุดท้าย ได้แก่ ขอบข่ายเกี่ยวกบั เทคนิคการบริหาร คําว่า “เทคนิคการบริหาร” ในท่ี น้ีผู้เขียนหมายถึงเทคนิคทุกชนิดท่ีใช้ในการบริหารรัฐกิจ ส่วนหนึ่งจะเป็นเทคนิคที่ได้จากศาสตร์ การจัดการ (Management Science) ศาสตร์การพัฒนา คือ เทคนิคที่อาศัยคณิตศาสตร์ สถิติ เศรษฐศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นเทคนิคที่ไม่มีเรื่องคนเข้ามาเก่ียวข้อง มีความเป็น วทิ ยาศาสตร์สูง เช่นการวจิ ัยปฏบิ ัติการ (Operations Research) การใช้คอมพวิ เตอร์ในการบริหารงาน การวิเคราะห์แบบเป็นระบบ (Systems Analysis) การวิเคราะห์ข่ายงาน (Network Analysis) การ ทํานายเพื่อการวางแผน (Forecasting for Planning) การวินิจฉัยส่ังการ (Decision-Making) ทฤษฎี เกี่ยวกับคิว (Queuing Theory) สถานการณ์จําลอง (Simulation) การวิเคราะห์ต้นทุน และกําไร (Cost-Benefit Analysis)ฯลฯ นอกจากนี้เทคนิคการบริหารยังมีส่วนท่ีมาจากขอบข่ายทางการเมือง และนโยบายสาธารณะ เช่น เทคนิคการเมืองภายในองค์การ (Organization Politics) การวิเคราะห์ นโยบาย (Policy Analysis) และเทคนิคการเมืองอื่นๆเช่น การต่อรอง การหาความสอดคล้อง เป็น

267 อาทิ ในกรณีของทฤษฎีองค์การก็มีเทคนิคไม่น้อย เช่น การพัฒนาองค์การ(Organization Development) การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objective) การสร้างงานให้ น่าสนใจ(Job Enrichment) การขยายความรับผิดชอบของงาน (Job Inlargement) และเทคนิคทาง พฤติกรรมอน่ื ๆ (Behavioral Techniques) ในกรณขี องการปฏริ ูประบบบริหารจะพิจารณาทง้ั ในด้าน โครงสร้าง พฤติกรรม และกระบวนการของการบริหาร การบริหาร งานบุคคล และการบริหารงาน คลัง สามวิชาเหล่าน้ีเรียกว่า “Core Beliefs” ซึ่งเป็นทั้งองค์ความรู้และเทคนิคการบริหารด้วย อาจ กล่าวได้ว่า เป็นเทคนิคท่ีสําคัญอย่างย่ิงเพราะครอบคลุมสาระสําคัญของการบริหารรัฐกิจ นอกจานี้ ยังมีเทคนิคการบริหารข้ันพื้นฐานเช่น สถิติ การบัญชี การบริหารงานทะเบียนและชีวประวั ติ (Record Management) ซ่งึ เป็นเทคนิคทีม่ ีความจําเป็นอย่างย่งิ สําหรบั นักบรหิ าร ตามทไี่ ดก้ ล่าวมาข้างต้นเป็นการชใี้ ห้เห็นถงึ เทคนคิ การบริหารแต่เพียงสังเขป ซึง่ จะเห็นได้ ว่าอาศัยความรู้จากหลายสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์ สถิติ พฤติกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การจัด การ และการบัญชี ซึ่งตรงกับสตีเฟน เค เบลี (Stephen K, Bailey) เรียกว่า “Instrumental theory) เป็นขอบข่ายที่จะช่วยให้การบริหารดําเนินกิจกรรมไปได้ หากนักบริหารอาศัยแต่ทฤษฎีเกี่ยวกบั คา่ นิยม (value theory) ทฤษฎกี ารพรรณนาและการอธิบาย (Descriptive And Expainative Theory) และ ทฤษฎี “Assumptive Theory” นักบริหารก็จะเข้าใจกิจกรรมบริหารงานอยา่ งดี มีค่านิยมสําหรับช่วย ในการตดั สินใจ แต่กค็ งจะบรหิ ารไม่ไดถ้ า้ ไม่มีเทคนคิ เหล่านมี้ าชว่ ยให้งานดาํ เนนิ ไป ขอ้ สงั เกตก็คือ สงั คมศาสตร์อ่ืนๆไม่มีเรื่องของ “Instrumental Theory” จึงเป็นลกั ษณะโดยเฉพาะของรัฐประศาสน ศาสตร์ การมีขอบข่ายทแี่ ตกต่างกันถงึ 3ขอบขา่ ยเป็นเหตใุ ห้รัฐประศาสนศาสตร์ ขาดแกนในการยึด เหน่ียว หรอื ทภ่ี าษาอังกฤษเรียกกนั ว่า “Unifying Center” การขาดแกนในการยึดเหน่ียวก่อให้เกิดผล 2 ประการ ประการแรก ก็คือ การพัฒนาวิชาเป็นไปด้วยความล่าช้า เพราะแทนท่ีความรู้หรือข้อมูล จะเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลาหากรัฐประศาสนศาสตร์มีแกนในการยึดเหน่ียว อย่างไรก็ดีเนื่องจากรัฐ ประศาสนศาสตร์ขาดแกนสําหรบั การยึดเหนีย่ ว องค์ความรู้จึงกระจัดกระจาย สุดแตผ่ ู้ท่ีศกึ ษาจะให้ ความสนใจในเร่ืองใด ก็จะศึกษาลึกลงไปในเรื่องนั้น บางครั้งกว่าจะพบได้ว่ามีการหลงทางจึงต้อง หวนกลับมาที่เดิมซ่ึงก็เป็นท่ีเดิมที่เวิ้งว้างหาความแน่ใจไม่ได้ ตัวอย่างเช่น รัฐศาสตร์เป็นวิชาท่ีมี แกนในการยึดเหน่ียว จงอาจให้คําจํากัดความของรัฐศาสตร์ให้ส้ันกระทัดรัดและชัดเจน ดังเช่น รัฐศาสตร์ ประการที่สอง ก็คือ การขาดเอกลักษณ์จะเห็นได้ว่ารัฐประศาสนศาสตร์มีถึง 3 ขอบข่าย หรือจะกล่าวอย่างหนึ่งก็คือ มีกรอบเค้าโครงความคิด 3 อัน ถ้าจะเปรียบเหมือนกับกล่องสามกล่อง ซ่ึงเป็นท่ีรวมความรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์ ความรู้ทางด้านการเมือง และนโยบายสาธารณะจะจัด อยใู่ นกล่องของการเมืองและนโยบายสาธารณะความรู้ของทฤษฎอี งค์การก็จะนํามาใสใ่ นกล่องของ

268 ทฤษฎีองคก์ าร และความรเู้ กยี่ วกับเทคนคิ การบริหารก็จะนํามาใส่ในกล่องเทคนิคการบริหาร แตล่ ะ กล่องตา่ งเพมิ่ องค์ความรโู้ ดยขาดการปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างแต่ละกลอ่ ง และซ้าํ ร้ายยง่ิ กวา่ น้ัน แม้ในแต่ ละกล่อง การเพ่ิมอ งค์ความรู้ก็ไม่มีลักษณะของการนําองค์ความรู้มาเพ่ิมเติม เป็นเหตุให้องค์ความรู้ ของรัฐประศาสนศาสตรพ์ ัฒนาไปช้าเพราะหมุนเวียนอย่กู ับท่ี นอกจากนี้ กรอบเค้าโครงความคิดทั้ง สามยังแขง่ กนั และบางครัง้ ก็ขัดกนั ยงิ่ ทําให้การขาดเอกลักษณม์ ีมากยิง่ ขนึ้ การไม่มีแกนสําหรับ การยึดเหน่ียวขอ งรัฐประศาสนศาสตร์บางคร้ังก็ดูน่าเป็นห่วง อย่างย่ิง เพราะผู้ท่ีศึกษาวิชาน้ีมักอด คิดไม่ได้วา่ เป็นการเสียเวลาที่ได้เลือกศึกษาวชิ าน้ี ดังเช่นที่ไฮนซ์ ยเู ลา (Heinz Eulau)นกั รฐั ศาสตร์ที่ มีช่ือเสยี งเคยกล่าววา่ รัฐประศาสนศาสตรเ์ ป็นดินแดนที่หาประโยชน์ไม่ได้ ซ่งึ ผูเ้ ขยี นไมเ่ ห็นด้วยกับ ความคิดเห็นของยูเลาเป็นอย่างยิ่ง ท้ังนี้เพราะรัฐศาสนศาสตร์ยังอยู่ในขั้นของการรวบรวมองค์ ความรู้ จึงมีการแสวงหาสัจธรรมไปในทิศทางต่างๆ กรอบเค้าโครงความคิดอันหนึ่งอาจถูกอีก อันหนึ่งมาล้มลา้ งหรือแกง่ แยง่ ช่วงชงิ กันเพือ่ อธิบายรัฐประศาสนศาสตร์นักวชิ าการบางทา่ นจึงเหน็ ว่ารัฐประศาสนศาสตร์ยังอยู่ในข้ันก่อนการมีกรอบเค้าโครงความคิด (Prepadigm) โกเลมบิวสกี (Golembiewski) จึงได้เสนอแนะให้พัฒนาวิชาโดยการสนใจกรอบเค้าโครงความคิดเล็กๆ หลายๆ อัน (Miniparadigms) ซ่ึงเขาหวังว่าวันหน่ึงรัฐประศาสนศาสตร์เป็นลักษณะวิชาท่ีขาดเอกลักษณ์ ผู้เขียนก็เห็นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตกใจหรือน่าเป็นห่วงเหมือนกับที่สังคมปัจจุบันพบว่าพวกเกย์ เป็นเพศที่สาม ทั้งน้ีเพราะกิจกรรมทางการบริหารหรือหน้าที่ของนักบริหารต้องการความรู้อย่าง กว้างขวาง เกินกว่าจะมีกรอบเค้าโครงความคิดอันเดียวที่จะครอบคลุมสาระได้หมด ในปัจจุบันนี้ ขอบข่ายท้ังสามก็ได้ผลิตความรู้และเทคนิคให้นักบริหารนําไปใช้ในการบริหารงานได้ จึงกล่าวได้ ว่ารัฐประศาสนศาสตร์อาจจะไม่ต้องการมีเอกลักษณ์เพราะถ้ามีเอกลักษณ์แล้วก็อาจจะนําความรู้ เหล่าน้ันมาบริหารงานไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ไซมอนเคยกล่าวว่า การวินิจฉัยส่ังการคือหัวใจของการ บริหาร ซ่ึงหมายความว่าการวินิจฉัยส่ังการคือกรอบเค้าโครงความคิดอันเดียวของวิชาการบริหาร ผู้เขียนเช่ือว่าในปัจจุบันคงไม่มีผู้ใดยอมรับว่า การวินิจฉัยส่ังการคือหน้าท่ีประการเดียวของนัก บรหิ าร หรือเป็นกรอบเค้าโครงความคิดอันเดยี วของรัฐประศาสนศาสตร์ จากวิวัฒนาการของ รัฐประศาสนศาสตร์ดงั ทกี่ ลา่ วมาข้างต้น จะเห็นได้วา่ บทบาทและขอบ ข่ายของรฐั ประศาสนศาสตร์ ได้เพิ่มมากขึ้น เพ่ือตอบสนองความต้องการของสังคมท่ีเพิ่มขึ้นตลอดเวลานอกจากนั้น การขาด เอกลักษณ์ของลักษณะวิชา อันเนื่อง มาจากการแยกตัวเองออกจากการเป็นสาขาหน่ึงของวิชา รัฐศาสตร์รวมท้ังการแย่งกันจัดเป็นหลกั สตู ร การศึกษาเพ่อื ตอบสนองต่อความต้องการของผ้สู นใจ ซ่ึงมหาวิทยาลัต่างๆได้จัดหลักสูตรไว้อย่างแตกต่างกัน ทําให้ขอบข่ายของรัฐประศาสนศาสตร์ ยัง คลุมเครือไม่แนน่ อน

269 อยา่ งไรก็ตาม ขอบเขตของรัฐประศาสนศาสตร์ จะตอ้ งครอบคลมุ ถึงโครงการและกิจกรรม ตา่ งๆของรัฐบาล ซึง่ ข้นึ อยู่กบั หนา้ ทข่ี องรฐั แตล่ ะรฐั ท่มี รี ะบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแตกต่าง กันไป สําหรับขอบเขตของรัฐประศาสนศาสตร์ที่จะใช้ในการศึกษาของเอกสารน้ีจะใช้หลัก และ กระบวนการการบรกิ าร อาทิ เชน่ การวางแผน การจัดองค์การ ภาวะผูน้ าํ มนุษยสมั พนั ธ์ การบรหิ าร งานบุคคล การอํานวยการ เป็นต้น เป็นหลักการในการพิจารณาศึกษา อย่างไรก็ตามหลัก และกระ บวนการในการบริหารงานนั้น เป็นวงจรท่ีมีความสัมพันธ์กันมาก การกล่าวถึงหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ย่อมเก่ียวพันกันกับหัวข้ออื่นๆตามไปด้วย ดังนั้น หลักและกระบวนการบริหารที่จะกล่าวถึงใน โอกาสนีจ้ งึ พยายามครอบคลุมหัวขอ้ อ่นื ๆที่มไิ ดร้ ะบโุ ดยตรง ณ ทน่ี ีไ้ ปดว้ ย 9. รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ 1) การวางแผน ในทางรัฐศาสตร์นั้น การวางแผนถือเป็นกระบวนการ(Process) ท่ีสําคัญประการหน่ึงใน กระบวนการบริหาร (Administrative Process) นกั วชิ าการและนกั รัฐประศาสนศาสตร์หลายท่านได้ ให้ความหมายและคําจํากัดความของคําว่า “การวางแผน” ไว้ค่อนข้างจะสับสนและเข้าใจยาก อย่างไรก็ตามในเอกสารฉบับน้ี จะนําเอาความหมายและคําจํากัดความที่ศาสตราจารย์บิลล่ีแอล.โก เอทซ์ (Billy L. Goetz) ซึ่งเห็นว่าส้ันกะทัดรัดมาศึกษา คือ “Planning is fundamentally choosing a planning problem arises when an altemative of action is discovered” หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงเพื่อให้ เข้าใจง่ายๆว่า “การวางแผน” คือการกําหนดวัตถุประสงค์และรายละเอียดเพ่ือปฏิบัติการให้เป็นไป ตามวัตถุประสงค์น้ัน โดยมีการแบ่งหน้าที่หลัก (Division of function) มีการแบ่งงาน (Division of work) มีการควบคุมและประเมินผล (Control and evaluation) เอาไวด้ ้วย สําหรับความมุ่งหมายของการวางแผนนั้น ตามทด่ี ิก คารล์ สนั (Dick Carison) ได้เสนอไว้มี 5 ประการไดแ้ ก่ 1. เพื่ออธบิ ายวัตถุประสงค์ทต่ี ้องการใหเ้ ข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง(Clarify) 2. เพื่อกาํ หนด (Determine) และแปลความหมายของหนว่ ยงานต่างๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งจะต้องทํา 3. เพื่อให้มีนโยบายอันแจ้งชัดไม่กํากวม เพราะนโยบายเป็นเครื่องช้ีแนวทางและช่วย ประสานงานให้แก่บรรดาเจา้ หนา้ ทีท่ ้งั หลาย 4. เพื่อเตรียมพิจารณา (Anticipate) ปัญหาที่อาจเกิดข้ึน จะได้พิจารณาแก้ไขปัญหาเสีย กอ่ นท่ีจะเรือ้ รงั ตอ่ ไป 5. เพอื่ ก่อตั้ง (Establish) และรักษาไว้ซึง่ การควบคุมของฝ่ายบรหิ ารใหน้ ้อยทสี่ ุด

270 การวางแผนอาจจําแนกได้หลายประเภทสุดแล้วแต่จะยึดปัจจัยอะไรเป็นเกณฑ์สําหรับใน เอกสารฉบับน้ี จะใชช้ ่วงเวลาเป็นหลักการในการแบ่งโดยอาจแบง่ เป็น 2 ประเภท คอื แผนระยะสั้น (Short Range Planning) และแผนระยะยาว (Long Range Planning) 1. แผนระยะสั้น (Short Range Planning) เป็นแผนท่ีวางไว้เฉพาะหน้าหรือเฉพาะอย่าง (เช่นโครงการกําหนดงบประมาณ) เพ่ือคาดหวัง (Expectation) ผลที่จะเกิดข้ึนในอนาคตอันสั้น ซึ่งอาจมีระยะเพียง1 หรือ 2 ปี เป็นอย่างมาก และแผนระยะสั้นอาจสอดคล้องกับแผนระยะยาวท่ีจะ มีการปฏบิ ัติการอยา่ งต่อเนื่องตอ่ ไปในอนาคต 2. แผนระยะยาว (Long Range Planning) หมายถึง กระบวนการที่คาดว่าจะเกิดผลในอนาคตด้วยการตัดสินใจและเส่ียง (Risk –Taking) อย่าง มีระบบซ่ึงประกอบด้วยหลักวิชาการ และประสบการณ์ของผู้วางแผน (Planners) เป็นสําคัญการ วางแผนระยะยาวเป็นแผนงานท่ีจะต้องปฏิบตั ิอย่างต่อเน่ือง เช่น แผนการแกป้ ญั หาความยากจนของ รัฐบาลท่ีจะยกระดับรายได้ (Income) ของประชาชนในประเทศด้อยพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา (Semi- Develop Counteies) ทั้งหลายมรี ะยะไม่นอ้ ยกวา่ 5 ปี เปน็ อาทิ ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงวางแผนท่ีจะ ประกาศพระพุทธศาสนาแก่มหาชนในสังคมอินเดียก่อนเป็นอันดับแรก จาการวางแผนระยะส้ัน (Short Range Planning) เช่น การเสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ (ผู้ออกปฏิบัติตามเสด็จพระพุทธเจ้า พวกแรก 5 รปู ) มโี กณฑัญญะพราหมณ์ เปน็ หัวหน้าให้ตรัสรูต้ ามได้ และหลงั จากนั้นก็ไดท้ รงโปรด บุคคลอื่นๆ จนไดพ้ ระภิกษุอุปสมบทดว้ ย “การรับเข้าหมู่ด้วยการทรงเปล่งพระวาจาว่า “จงเปน็ ภกิ ษุ มาเถดิ ”ท่ีเรยี กวา่ เอหิภกิ ขอุ ปุ สมั ปทา จาํ นวน 60 รปู พระองค์จงึ ทรงวางแผนระยะยาว (Long Range Planning)โดยส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาโปรดประชาชนในอินเดียตามภูมภิ าคต่างๆทั่วไปโดย ตรสั วา่ “พวกเธอจงเทีย่ วไปเพื่อประโยชนแ์ ละความสุขของคนหม่มู าก” จ า ก ก า ร ท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงส่งพระอริยสาวก 60 รปู ใหจ้ าริกส่ังสอนประชาชนในภูมิภาคตา่ งๆทั่วอินเดียน้ัน ก็ โดยท่ีพระองค์ตระหนักดีว่า สังคมอินเดียในสมัยนั้นเป็นสงั คมพิการ (Social Disorganization) เป็น สังคมที่เหลวแหลก ฟอนแฟะไปด้วยอบายมุข (ทางแห่งความเสื่อมเสีย) คนทั้งหลายขาดหลัก มนษุ ยธรรม (Human Virtues) มกี ารแบง่ ชัน้ วรรณะเปน็ คนมคี นจนแบง่ แยกเป็นชนช้ันสงู ชน้ั ต่าํ คน มีเกียรติ คนไรเ้ กียรติ ดูถูกดหู ม่นิ เหยยี ดหยามกนั เปน็ ตน้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปรับสังคมอินเดียก่อน โดยตรัสรู้ว่า “มนุษย์ไม่ได้เป็นคนดีเพราะชาติ เพราะสกุล เพราะสถาบัน เพราะการศึกษามนุษย์จะเป็นคดี หรือคนช่ัวน้ันเพราะการกระทํา” ท้ังนี้ เพื่อทรงแก้ปัญหาการแบ่งชั้นวรรณะหรือระบบทาสท่ียึดถือกันอย่างเหนียวแน่นและยังเป็นสาเหตุ ทําใหเ้ กดิ การแบ่งแยกชนชนั้ ในสังคมอนิ เดยี เปน็ อันดับแรก

271 เมื่อสังคมอินเดียเป็นดังกล่าว พระองค์จึงทรบบัญญัติเรื่องเบญจศีล (ศีล5) และเบญจธรรม (ธรรม 5) ท่ีเรียกว่าหลักมนุษยธรรมข้ึน เพ่ือแก้ปัญหาสังคมท่ีเน่าหนอน ฟอนแฟะท่ีเป็นปัญหาพื้น ฐานของประชาชนก่อน อนั ดบั ต่อมา จึงทรงขยายใหส้ งู ขน้ึ จากศลี (ความสาํ รวมทางกาย วาจา) ไปสู่ สมาธิ (ความสงบใจ) และจากสมาธิไปสูป่ ญั ญา (ความรแู้ จง้ เห็นจริงในสัจธรรม) ศีล 5 (เบญจศีล) และธรรม (เบญจธรรม) จัดเป็นหลักมนุษยธรรม (คุณธรรมข้ันพ้ืนฐานของ มนุษย์) ท่ีสังคมมนุษย์จะต้องยอมรับเอามาแก้ปัญหา เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยสันติไม่เบียด เบียนล้างผลาญกัน ซึง่ จดั เปน็ แผนภูมไิ ด้ดังนี้ รฐั ประศาสนศาสตร์หลักมนุษยธรรม เบญจศีล(ศีล 5) เบญจธรรม (ธรรม 5) เวน้ จากการฆา่ สัตว์และมนษุ ย์ มีเมตตากรุณาตอ่ สตั วแ์ ละมนุษย์ เว้นจากการลกั ทรัพย์ ประกอบสัมมาอาชีพมใี จ เอือ้ เฟ้อื เผื่อแผ่ เวน้ จากการประพฤตผิ ิดในกาม ยนิ ดีเฉพาะคู่ครองของตน เวน้ จากการพูดปด พดู จรงิ เวน้ จากการดมื่ สุราเมรัย มสี ตสิ ํารวมในการดืม่ น้ําเมา แผนภมู ทิ ี่ 7.1 แสดงเบญจศีล เบญจธรรม ท่ีจัดเป็นหลกั มนุษยธรรมทางพระพทุ ธศาสนา จากหลักมนุษยธรรม (Human Virtues of Human Natures) ดังกล่าวเท่ากับพระพุทธเจ้าได้ ทรงวางหลักเกณฑ์ (Principles) เบ้ืองต้นให้มนุษย์ในสังคม จะพึงปฏิบัติต่อกันแบบมีความเห็นอก เห็นใจ (Sympathy) เอาใจเขามาใส่ใจเรา ช่วยเหลือเก้ือกูลกันเป็นต้นเหตุแห่งการเบียดเบียน ล้าง ผลาญ จองเวร จองกรรม เพราะพระพทุ ธองคท์ รงทราบดีว่า ต้นเหตุแห่งสังคมพิการน้ัน เป็นเพราะ มนษุ ยใ์ นสังคมขาดหลักมนุษยธรรมอันเปน็ พืน้ ฐานของการอยู่ร่วมกันในสงั คมเดยี วกัน แผนระยะยาวขั้นต่อไป ของพระพุทธเจ้า ก็คือ เม่ือพระพุทธศาสนาขยายตัวแพร่หลายไป ในสังคมอินเดียมากขึ้นก็ทรงขยายการรับบุคคลเข้ามาในสังฆอาณาจักร หรือสังฆมณฑลให้รัดกุม และง่ายข้ึน กล่าวคือ ได้ทรงประทานวิธีรับเข้าหมู่แบบท่ี 2 ที่เรียกว่า ติสรณคมนูปสัมปทาคือ เพียงแต่ผู้ประสงค์จะอุปสมบทเปล่งวาจารับเอาพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็น สรณะที่พง่ึ ก็เป็นอันสําเร็จพธิ ีในการรับเข้ามาอยู่ร่วมกันในหม่สู งฆ์

272 ต่อมาภายหลัง เม่ือกิจการพระพุทธศาสนาขยายตัวมากข้ึน มีผู้นิยมมาอุปสมบทมากขึ้น ปัญหาการปกครองหรือการบริหาร (Govetnmental or Administrative Problems) ก็เกิดขึ้น พระ พุทธเจ้าจึงทรงประกาศเลิกวิธีอุปสมบทแบบที่ 2 (ติสรณคมนูปสัมปทา) เสีย ได้ทรงอนุญาตวิธี อุปสมบทแบบใหม่เป็นแบบที่ 3 กล่าวคือ สงฆ์เท่าน้ันท่ีมีอํานาจรับบุคคลเข้าหมู่ได้ เรียกวิธี อปุ สมบทแบบน้วี ่า ญัตตจิ ตุตถกรรมอุปสมั ปทา สรุปแล้วการอุปสมบทหรอื การรับเข้าหมูส่ งฆ์มี 3 วิธี จดั เป็นแผนภมู ิไดด้ ังน้ี วิธีอปุ สมบท เอหิภกิ ขุอุปสมั ปทา ติสรณคมนปู สมั ปทา ญัตติจตุตถกรรมอปุ สมั ปทา (เธอจงเปน็ ภิกษมุ าเถดิ ฯ) (รบั เอาพระพุทธ พระธรรม (สวดบอกกลา่ วแกส่ งฆ์ 1 และพระสงฆ์ท่เี รยี กว่า ครงั้ สวดขอรบั ความเห็น พระรัตนตรัยเป็นส่ิงที่พงึ่ ชอบจาก สงฆอ์ ีก 3 คร้ัง รวม ท่รี ะลึก) เปน็ 4 ครั้ง แผนภูมิท่ี 7.2 แสดงวิธีอปุ สมบทในทางพระพทุ ธศาสนา ฉะน้ัน จึงจะเห็นได้ว่า การวางแผนของพระพุทธเจ้าน้ันมีเป็นขั้นตอน มีทั้งแผนระยะสั้น และระยะยาว แมแ้ ต่แผนการหลังจากพระองคป์ รินิพพานแล้วว่า พุทธบรษทั ท้ัง 4 จะจัดการกับพระ พุทธสรีระร่างกายของพระองค์อย่างไรเช่น ให้จัดเช่นเดียวกับพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรด์ิ พระองค์ก็ได้ทรงตรัสบอกแผนการไว้ให้แก่ พระอานนท์ผู้ทูลถามอย่างละเอียดรอบคอบสมกับที่ผู้ ยกย่องสรรเสริญพระองค์ทรงมีอนาคตตังสญาณ คือ มีการหย่ังรู้เหตุการณ์หรือประมาณสถาน การณ์ในอนาคตไดอ้ ยา่ งดีเลศิ การวางแผนงานแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 พระพุทธเจ้าสมัยยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงพบว่าทุกขท์ ้งั หลายทีเ่ กดิ ข้นึ แบบประจาํ (สภาวทกุ ข์) บ้าง และเปน็ แบบทุกข/์ ทกุ ขเ์ บ็ดเตล็ดเป็น แบบทุกข์ท่ีเกิดขึ้นแบบอุบัติเหตุ (รายละเอียดทุกข์ทั้ง 2 ประเภทกล่าวถึงข้างหน้า) บ้างน้ันเป็น ปัญหาของมนุษยชาติท่ีพอมีทางแก้ไขได้ แม้การค้นหาวิธีการ แก้ปัญหาเหล่านนี้นั้นจะต้องใช้เวลา ใช้ความวิริยะอุตสาหะต้องใช้ทั้งชีวิตและเลือดเนื้อเข้าเป็นเดิมพันในการแสวงหาก็ตามแต่ก็ไม่

273 เหลอื วิสัยท่จี ะค้นพบไดใ้ นทีส่ ุดเจ้าชายสิทธัตถะท่ีทรงค้นพบอริยสัจ 4 ประการ และตรสั ร้อู รยิ สจั 4 ประการนัน้ จนไดร้ ับพระสมญั ญานามว่า “สัมมาสมั พุทธะ” คือ ตรัสรดู้ ้วยพระองคเ์ อง ในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงอริยสัจ 4 (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ, 2523)เรียงจากทุกข์ที่ เปน็ ตวั ปัญหาไปจนถงึ มรรคซึ่งเปน็ แนวทางปฏิบตั ิเพื่อแกป้ ัญหาไวด้ งั นี้ 1. ทุกข์ ความไมส่ บาย/ความทนไดย้ าก (ปญั หา) 2. สมุทัย เหตใุ ห้เกิดทุกข์ (เหตใุ ห้เกดิ ปัญหา) 3. นโิ รธ ความดับทกุ ข์ (ความแก้ปญั หา) 4. มรรคหนทางปฏิบัตใิ ห้ถงึ ความดบั ทุกข์ (วิธหี รอื ทางปญั หาดับทกุ ข)์ พระบาลียกเอาทุกข์หรือตัวปัญหาซึ่งเป็นผลข้ึนมาแสดงเป็นอันดับแรก ก็เพื่อให้เห็นว่า ทุกข์นั้นจะเกิดขึ้นลอยๆไม่ได้ จะต้องมีสมุทัยท่ีเป็นเหตุปัจจัยทําให้เกิด สมุทัยจึงเป็นเหตุทุกข์เป็น ผลฉะนน้ั ทุกขก์ บั สมุทัยจงึ เปน็ ธรรมคู่กัน เม่ือมีความทุกข์และจับเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงได้ชี้ให้เห็นทางต่อไปว่า ความดับทุกข์หรือดังปัญหาด้วยนิโรธน้ันมีอยู่ นิโรธเป็นผลของมรรค (หนทางปฏิบัติให้เข้าถึง ความดบั ทุกข์) ฉะนั้นนิโรธกับมรรคจึงเป็นธรรมคู่กนั โดยหลกั การนี้ เมอื่ กล่าวโดยสรุป อริยสจั 4 ก็คอื เร่อื งของเหตุและผล หรอื เร่ืองของปัญหา กบั วิธีการดับปญั หานัน่ เอง ขอแสดงแผนภมู ใิ ห้เห็นดังนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจ 4 แล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงกิจท่ีควรทําในอริยสัจ 4 ต่อไป นีค้ อื 1. ปรญิ ญา การกําหนดรทู้ กุ ข์ 2. ปหานะ การละสมทุ ัย 3. สัจฉิกรณะ การทาํ นโิ รธใหแ้ จ้ง 4. ภาวนา การทํามรรคให้เกิด การทรงแสดงอริยสัจ 4 และกิจท่ีควรทําในอริยสัจ 4 นั้นก็เท่ากับทรงช้ีขุมทรัพย์ให้แล้วยัง ไดท้ รงสอนวิธีขดุ เอาทรัพย์ขึ้นมาใช้ประโยชน์อีกด้วย เพียงแตร่ ูอ้ ริยสัจ 4 ความเปน็ จริงเทา่ นัน้ ยังไม่ พอ ต้องรู้กิจที่ควรกระทําด้วย จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งทฤษฎีและหลักปฏิบัติเอาไว้ อยา่ งครบถ้วน ต่อไปนี้แนวคิดความเห็นเก่ียวกับอริยสัจ 4 ข้อเสนอไว้เป็นแนวทางพิจารณา แนวคิดน้ีโดย เนอ้ื หาสาระก็เป็นอันเดยี วกบั แผนภูมิท่ี 1 เป็นแต่เอามรรคมาเรยี งกันไว้เป็นอันดบั แรกต่อด้วยนิโรธ ตามดว้ ยสมุทยั และทุกข์ ซ่ึงทกุ ขน์ เ้ี ปน็ ตวั ปัญหา เป็นเปา้ หมายท่ตี ้องดบั ต้องแก้

274 แนวคิดน้ีแสดงวิธีแก้ปัญหาว่า จะต้องปฏิบัติตามมรรค 8 เป็นอันดับแรก เพื่อก้าวข้ึนไปถึง ความดบั ทกุ ข์ ซ่งึ เปน็ เป้าหมายท่ปี ระสงคใ์ นพระพทุ ธศาสนา เมื่อได้ตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทรงนําเอาหลักอริยสัจ 4 มาทรงเป็นวิธีการแก้ปัญหา (ทุกข์) อริยสัจ 4 ประการนนั้ คอื 1. ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏิปทา (มรรค 8 ประการ) ขอ้ ปฏบิ ตั ิ/หนทางปฏิบตั ิให้ถึงความดับเหตุ ท่ีทาํ ใหเ้ กดิ ทกุ ข์ 2. ทกุ ขนโิ รธความดับเหตุแห่งทกุ ขเ์ ป็นผล 3. ทุกขสมทุ ยั เหตุแห่งทกุ ข์ คอื ตณั หา (ความทะยานอยาก) เปน็ เหตุ 4. ทกุ ข์ (ความไมส่ บาย/ความทนได้ยาก) เป็นผล สรุปในช้ันแรกว่า เรื่องของอริยสัจ 4 เป็นเร่ืองของปัญหากับเรื่องของวิธีการแก้ปญั หาหรือ อาจกล่าวได้อีกนยั หน่ึงวา่ อริยสัจ 4 นนั้ เปน็ เรอ่ื งของ “เหตแุ ละผล” ก็น่าจะกลา่ วอย่างไมต่ ้องกลัวผิด ในบทความนี้ จะขอแปลคาํ อรยิ สัจ วา่ “ของจรงิ อยา่ งประเสริฐ” ซึ่งยงั มคี าํ แปลอย่างอน่ื อกี เชน่ ของ จริงท่ีทาํ คนให้เปน็ พระอริยเจ้า ของจรงิ ของพระอริยเจ้า ของจริงไปจากข้าศึก

275 10. สรุปบทท่ี 9 รัฐประศาสนศาสตร์หมายถึง ศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดิน ที่มุ่งการใช้ศาสตร์และ ศิลปะในการจดั สว่ นราชการ รวมทงั้ การจดั ระเบียบ วธิ กี ารปฏบิ ัติราชการ โดยเฉพาะคนที่ทํางานอยู่ ในส่วนราชการต่างๆ และวิธีการจัดระเบียบ วิธีปฏิบัติราชการ เพื่อหาทางใช้เทคนิคท่ีถูกต้องโดยมี จุดมุ่ง หมายเพ่ือํานวยการในการบริหารหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐ ไปถึงประชาชนอย่างมีประ สิทธิ ภาพที่สุด รัฐประศาสนศาสตร์มีขอบ ข่ายอยู่ 3 ขอบข่าย ซึ่งได้ แก่ 1. การเมืองและนโยบาย สาธารณะ 2. ทฤษฎอี งค์การ 3. เทคนิคการบริหาร การบริหาร การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ จิตสังคม ฯลฯ น้ันล้วนมีปัญหาท่ีจะต้อง แก้ไขทั้งส้นิ ปญั หาเหลา่ น้ันจะตอ้ งมตี ้นเหตุ การแก้ปัญหาจตอ้ งแก้ทีต่ น้ เหตุ วิธีการแก้ปัญหา (ทุกข์) ทางด้านบริหารนั้น ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาว่า ปัญหา / ทุกข์ เป็น ผลของอะไร แล้วสาวไปหาเหตวุ า่ อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา /เกิดทุกข์ (สมทุ ยั ) เมื่อทราบสาเหตุ ต้นเหตุของปัญหาแล้ว ก็แก้ลดขจัดทําลาย ดับ (นิโรธ) ต้นเหตุแห่งปัญหาต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นๆ เสีย โดยใชว้ ิธีทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา ข้อปฏบิ ัติ / หนทางและหรอื วธิ แี ก้ปัญหาทว่ี า่ มรรคมีก่อี งค์ 8

276 คําถามประจําบทท่ี 9 1. จงนิยามคาํ วา่ “รฐั ประศาสนศาสตร์” 2. จงอธบิ ายความเป็นมาของวิชารฐั ประศาสนศาสตร์ 3. อะไรๆ คอื สาระสําคญั ของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ 4. จงชแ้ี จงการบรหิ ารราชการตามทฤษฎีรฐั ประศาสนศาสตร์ 5. จงยกตวั อยา่ งเจา้ ของทฤษฎกี ารบริหารรฐั กิจประกอบ 1 ทฤษฎี 6. จงอธบิ ายของข่ายของวิชารฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวคดิ ตะวันตก และแนวคดิ ในพระไตรปฎิ ก 7. จงยกตวั อย่างคําสอนในพระสตู รทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับหลกั รัฐประศาสนศาสตร์ 8. จงเปรียบเทียบความสอดคล้องระหว่างรัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวคิดตะวันตกกับแนวคิดใน พุทธศาสนา 9. ประโยชน์และคณุ คา่ ของการบริหารราชการตามหลกั รัฐประศาสนศาสตร์จงวเิ คราะห์

277 การอ้างองิ คณะกรรมการตาํ ราแห่งชาติ. (2526). รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: สาํ นักพมิ พก์ ราฟิคอาร์ต. ชา้ งขวัญยนื ปรชี า. (2529). ระบบปรัชญาการเมืองในมานวธรรมศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ดร.จกั ษ์ พนั ธ์ชูเพชร. (2551). การเมืองการปกครองไทย . กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท พบั ลชิ ช่ิง จาํ กัด. ปฐม มณโี รจน.์ (2525). ขอบข่ายสถานภาพและการทศั นาการในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. ปรชี า หงษไ์ กรเลิศ. (2524). พรรคการเมืองและปญั หาพรรคการเมืองไทย. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นา พานชิ . พระไตรปิฎกฉบบั สยามรฐั . (2523). มหามกุฏราชวิทยาลยั , พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั เลม่ ท่ี 14. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย. มหามกฎุ ราชวิทยาลัย. (2523). พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรัฐเลม่ ท่ี 4 (ธัมมจกั กัปปวตั นสูตร), เล่มที่ 14. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวิทยาลัย,. รศ. ดร. วริ ชั วริ ัชนิภาวรรณ. (2551). หลกั รัฐประศาสนศาสตร์ : แนวคิดและกระบวนการ. กรุงเทพฯ: เอ็ปซเปอร์เน็ท จาํ กดั . สมเกียรติ วนั ทะนะ. (2551). อุดมการณท์ างการเมืองร่วมสมยั . กรุงเทพฯ: เอส.พ.ี วี. การพมิ พ์. สมบัติ จันทรวงศ.์ (2520). ทฤษฎีการเมอื งตะวันตก, . กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ . สกุ ิจ ชยั มสุ ิก. (2553). พระพทุ ธศาสนาในมิติประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราช วิทยาลัย. สขุ สาํ ราญ สมบรู ณ.์ (2527). พทุ ธศาสนากับการเปล่ียนแปลงทางการเมืองและสงั คม. กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เสถยี ร โพธินนั ทะ. (2512). เมธีตะวันออก, . กรุงเทพฯ: ธนบุรี : โพธ์สิ ามตน้ . อรยิ ธมฺโม พระมหาธรรมรัต. (2542). การศึกษาเชิงวิเคราะห์ หลักรัฐศาสตร์ท่มี ใี นพระไตรปิฎก. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . .

278 บทที่ 10 ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศตามแนวพุทธศาสตร์ (Intenational Relations in Buddhistic Approach) 10.1 แนวคิด (Concept) เป็นการศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามหลักสากลแล้วนําไปเปรียบเทียบ กับหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาว่ามีพระสูตรใดที่มีความสอดคล้องพร้อมทั้ง ปริวรรตภาษาสู่ วชิ าการความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ 10.2 เน้ือหาท่สี าํ คัญประจาํ บทเรยี น 10.2.1 ความเปน็ มาและความหมายของความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศ 10.2.2 ววิ ัฒนาการความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ 10.2.3 นโยบายเพื่อเสริมสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ 10.2.4 แนวคิดความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศตามแนวพุทธศาสตร์ 10.2.5 บทบาทของทตู ระหว่างความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ 10.3 วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 10.3.1 อธิบายและวิเคราะห์ทฤษฎคี วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศได้ 10.3.2 อธบิ ายและวิคราะห์หลกั คําสอนทางพุทธศาสนาในพระสตู รในพระไตรปฎิ ก 10.3.3 อธิบายและวิคราะห์สามารถนําหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาท่ีมีความ สอดคลอ้ งกับความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศได้ 10.4 กิจกรรมการเรยี นการสอน 10.4.1 บรรยาย/ อภปิ ราย 10.4.2 ตั้งประเด็นคาํ ถามและแสวหาคาํ ตอบรว่ มกนั 10.4.3 สรปุ เอกสารประกอบคาํ บรรยายแต่ละคาบ 10.4.4 นาํ เสนอการค้นควา้ อิสระประจาํ กลุ่มตามที่ผ้สู อนกําหนดให้ 10.5 สือ่ การเรยี นการสอน 10.5.1 เอกสารประกอบการสอนวิชาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ 10.5.2 นําเสนอด้วย Power Point 10.5.3 วีดิทศั น์ และภาพยนตร์ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั กิจกรรมความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ

279 10.6 สารตั ถะสาํ คญั วิชาความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศตามแนวพทุ ธศาสตร์ ในบทท่ี 8 1.ความเป็นมาและความหมายของความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ 2.วิวัฒนาการความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ 3.นโยบายเพื่อเสรมิ สรา้ งความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ 4.แนวคดิ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศตามแนวพุทธศาสตร์ 5.บทบาทของทตู ระหวา่ งความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศ 10.7 แบบฝึกหดั ตอบคําถามประจําบทท่ี 10

280 1. ความหมายของความสมั พันธ์ ศาสตราจารย์ คาร์ล ดับเบิ้ลยู ดอยซ์ (Karl W. Deutsch) แห่งมหาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คํา จํากัดความของคําว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ได้อย่างกว้างๆว่า “ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศประกอบด้วยพฤติกรรมและการกระทําท้ังหลายของรัฐท่ีมีต่อกันโดยปราศจากการควบคุม อย่างเพียงพอ” (ศิโรจน์ ภาคสุวรรณ, 2542) จากคําจํากัดความดังกล่าว การศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศได้แก่ การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทําของรัฐที่มีต่อกันโดยปราศจาก เครือ่ งมอื ควบคุมการกระทําของรัฐได้อย่างเด็ดขาด ถา้ จะเปรยี บกับเกมกฬี า ซง่ึ ประกอบดว้ ยผู้เล่นท่ี เป็นรัฐเอกราช จํานวนประมาณร้อยเศษ แต่ละรัฐต่างก็มีความแตกต่างกันออกไปในด้านกําลังคน ขนาด อํานาจ และอิทธพล ทรัพยากร วัตถุประสงค์ อุดมการณ์ ตลอดจนนโยบายในการดําเนิน กิจการและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละรัฐอาจเปล่ียนหรือละเมิดกฎเกณฑ์ของเกมได้ทุก เวลา โดยไม่จําเป็นต้องบอกกล่าวรัฐอื่นๆ ให้ทราบล่วงหน้า รัฐบางรัฐอาจรวมตัวเข้ากันเป็นกลุ่มๆ ในลักษณะและขนาดท่ีแตกต่างกัน กล่มุ ต่างๆ เหล่านน้ีอาจมวี ัตถปุ ระสงค์ร่วมกันหรอื ขัดแย้งกันใน ปัจจุบันมีอยู่ 3กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มประเทศฝ่ายตะวันตก กลุ่มประเทศฝ่ายตะวันออก และกลุ่ม ประเทศที่ฝ่ายโลกที่สาม แต่ละกลุ่มต่างก็มีลักษณะทางการเมืองและส่วนได้ส่วนเสียไม่เหมือนกัน ซึ่งลักษณะทางการเมืองและการป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของแต่ละกลุ่มสามารถเห็นได้ชัดในที่ ประชมุ ขององค์การระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในท่ีประชุมขององคก์ ารสหประชาชาติ เชน่ ที่ประชุมของ Special Political Committ\\ee ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ ที่ประชุมของคณะกรรมการ มนตรคี วามมั่นคง เปน็ ต้น นอกจากนรี้ ฐั มหาอํานาจในแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิง่ กลุ่มตะวันตก และกล่มุ ตะวันออก ต่างพยายามใชว้ ธิ กี ารตา่ งๆเพื่อหาทางชักจงู บีบบงั คบั รัฐทเ่ี ล็กกว่ามาเป็นบริวารของตน ซ่งึ บางครั้ง กอ่ ให้เกดิ กรณพี ิพาท และความตึงเครียดระหว่างประเทศ กล่าวไดว้ า่ รฐั ตา่ งๆ ท่มี ีบาทมากบา้ งน้อย บ้างในเวทีความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ ต่างลว้ นแต่เปน็ สมาชิกขององค์การสหประชาชาตอิ ันเป็น องค์การสากลแห่งเดียวในโลก ที่มีกฎเกณฑ์และข้อบังคับควบคุมพฤติกรรมของรัฐ ซึ่งเรียกว่า กฎ บัตรสหประชาชาติ (U.N. Charter) องค์การสากลน้ี เป็นสถานท่ีที่สมาชิกชอบใช้เป็นที่ประชุมเพ่ือ แลกเปล่ียนความคิดเห็นถกเถียงหรือทําความตกลงกันในปัญหาท่ีเกิดข้ึนในความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า องค์การสหประชาชาติพยายามอย่างย่ิงที่จะให้สมาชิกทั้งหมด ยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ท่ีได้วางไว้เพื่อควบคุมการกระทําของรัฐในทางท่ีผิดๆ แต่ก็ยัง ประสบความล้มเหลวอยู่เนืองๆ ท้ังน้ีเน่ืองจากประเทศมหาอํานาจไม่ได้ให้ความร่วมมือในเร่ือง ดงั กลา่ ว อาจกล่าวได้ว่า ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศเป็นเร่ืองทส่ี ลบั ซับซ้อนและยุ่งยากจนมนุษย์ ไม่อาจเข้าใจได้หมด ดังน้ันการศึกษาในเร่ืองน้ีจึงจําเป็นจะต้องอาศัยการสังเกต การวิเคราะห์ และ

281 การใช้ทฤษฎปี ระกอบกันไปเพราะมิฉะนั้นแล้วกไ็ ม่อาจทีจ่ ะอธิบายหรือทํานายเหตุการณท์ ี่เกิดหรือ ทกี่ าํ ลังจะเกดิ ขึน้ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไดอ้ ยา่ งถูกต้อง อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ ได้กล่าวถึงธรรมชาติขอ งมนุษย์ตั้งแต่แรก เริ่มมีความสัมพันธ์กันต้ังแต่ครอบครัว ระหว่างครอบครัว แล้วรวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า มีการคบค้า สมาคม มกี ารจดั ระเบยี บการปกครอง เศรษฐกจิ วัฒนธรรม และแบบแผนแนวทางท่มี นษุ ย์พึงยึดถือ ปฏบิ ัตริ ะหว่างกัน มีกฎเกณฑก์ ตกิ าในสงั คม และมีการสมั พนั ธก์ ับผู้อื่น ความสมั พันธข์ องมนษุ ยม์ ีลกั ษณะดงั น้ี 1. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือส่วนบุคคล เช่นการแต่งงานระหว่างชนเผ่า ทําให้เกิด ความสมั พนั ธ์ระหว่างกลุ่มตา่ งๆ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หรือระหว่างประเทศ หมายถึง การสร้างมิตรไมตรีต่อกันใน ดา้ นต่างๆ ทาํ ให้เกดิ ความผกู พนั ระหว่างกัน นักวิชาการท่ีสนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะพิจารณากิจกรรมในประเด็นท่ีสําคัญ ดังนี้ 1. การประพฤติปฏิบัติต่อกันในลักษณะต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้า เทคโนโลยี บคุ ลากร ฯลฯ 2. การพิจารณากิจกรรมระหว่างประเทศ โดยมุ่งสนใจกิจการปัจจุบันที่มีประโยชน์ในการ แก้ไขปญั หาตา่ งๆมากกวา่ สนใจเร่ืองราวในอดตี 3. เป็นเรอื่ งที่เกย่ี วข้องกับความรว่ มมอื และความขัดแยง้ ระหวา่ งประเทศ ดังน้ัน นักวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะเลือกสนใจเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิด ข้ึน ข้ามขอบเขตพรมแดนรัฐ หมายถึงเหตุการณ์ท่ีส่งผลกระทบต่อความร่วมมือและความขัดแย้ง เปน็ หลกั ความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างกว้างๆ ตามท่ีศาสตราจารย์ Kart W. Deutsch แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปรียบเสมือนเวทีอันประกอบ ไปด้วยพฤติกรรม และการกระทาํ ของรัฐท่มี ีตอ่ กนั โดยปราศจากการควบคมุ อย่างเพยี งพอ” ปัจจุบันการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือ การท่ีรัฐหน่ึงมีเป้าประสงค์กับอีกรัฐ หน่ึง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตน อาจเป็นเร่ืองผลประโยชน์ร่วมกัน โดยส่งคนของตนให้ไป ประจาํ ในอกี รฐั หน่ึง และรฐั นน้ั ก็จะสง่ คนของเขามาประจําในรฐั ที่มกี ารติดต่อสัมพนั ธร์ ะหว่างกัน การสง่ บุคคลระหว่างกัน ถือวา่ เปน็ การแลกเปล่ียนบุคคลระหวา่ งกนั การมคี วามสมั พนั ธใ์ น ลักษณะดังกล่าวที่เรียกว่า ความสัมพันธ์ทางการฑูต โดยบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ดูแลประโยชน์ของ ชาติตนในรัฐท่ตี นไปประจําอยู่

282 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นมาจากความจําเป็นที่จะต้องพึ่งพา อาศัยซงึ่ กันและกัน ทุกรัฐดน้ิ รนเพ่ือความอยู่รอดของตัวเอง ความผกู พนั ของรัฐจะผูกพันกับอํานาจ ผลประโยชน์ สงคราม และสันติภาพ ซึ่งปรากฏเป็นปกติในสังคมของรัฐ จึงมีคํากล่าวเก่ียวกับเรื่อง น้วี ่าในเวทีการเมอื งระหว่างประเทศไม่มมี ติ รแท้และศตั รทู ่ีถาวร การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน้ัน ถือว่าเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งสําหรับทุกประเทศ ดังน้ันแต่ละประเทศจึงได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อกําหนดแนวทางการดําเนินนโยบาย ระหว่างประเทศของตนเพ่ือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สําหรับประเทศไทยน้ันได้กําหนดแนว นโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐในหมวด 5 มาตรา 74 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กําหนดไว้ว่า รัฐต้องส่งเสริมสัมพันธไม่ตรีกับนานาประเทศ และพึงถือหลักในการปฏิบัติต่อ กนั อยา่ งเสมอภาค (รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยพุทธศกั ราช2540, 2540) จะเหน็ ไดจ้ ากการที่ รัฐได้กําหนดเพ่ือให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเสมอภาค ปราศจากความลําเอียง เป็นวิธีการในการ ดําเนินนโยบาย เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างกัน เพราะหากมีการปฏิบัติไม่เสมอภาคกัน จะทําให้ ประเทศอีกกลุ่มหนึ่งท่ีไม่ได้รับความเสมอภาค เกิดความไม่พอใจ และอาจจะนําไปสู่ความขัดแย้ง ข้นึ ได้ นอกจากน้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยังได้กําหนดในมาตรา 76 ไว้ว่า รัฐต้อง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกําหนดนโยบาย การตัดสินใจทาง การเมือง การวางแผน พฒั นาทางเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื ง รวมทั้งการตรวจสอบการใช้อํานาจ รัฐทกุ ระดับดังนัน้ นโยบายของรัฐไม่ว่าจะเป็นนโยบายภายใน นโยบายต่างประเทศในกลุ่มประเทศ ที่มกี ารปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะใหป้ ระชาชนเข้ามามีสว่ นรว่ มในนโยบายดังกลา่ ว 2. จุดมุง่ หมายของการศึกษาวิชาความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ จุดมุ่งหมายในการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามที่ศาสตราจารย์ยอร์ เอฟ เคนแนน (George F. Kennan) ไดก้ ลา่ วไว้ มีอยู่ 2 ประการ (ศโิ รจน์ ภาคสวุ รรณ, 2542) คือ ประการแรก เพื่อให้นักศึกษาซ่ึงไม่ได้ทํางาน หรือมีส่วนร่วมในงานเก่ียวกับด้านต่าง ประเทศ ได้รับความรู้ท่ัวไปในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรียนรู้ถึงวิธีการวิเคราะห์ปัญหา และรู้จักใช้ความคิดให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ การเรียนรู้ดังกล่าวจะทําให้นักศึกษาเป็นผู้มี ความสามารถในการแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับปญั หาระหว่างประเทศได้อย่างมีเหตผุ ล ประการทีส่ อง เพ่ือเปน็ การตระเตรียมบุคคลซึ่งจะไปประกอบอาชพี ทางด้านความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศซึ่งอาจจะเป็นงานรัฐบาล หรืองานขององค์การระหว่างประเทศ การศึกษาเพื่อจุด มุ่งหมายดังกล่าวน้ี มักกระทํากันในขั้นบัณฑิต โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตผู้เชี่ยวชาญ (Specialists)

283 ทางด้านความสัมพันธ์ระว่างประเทศออกมา ผู้เช่ียวชาญดังกล่าวจะต้องศึกษาและมีความรู้ในวิชา แขนงอื่นๆทางด้านสังคมศาสตร์ เชน่ สังคมวทิ ยา จิตวทิ ยา มานุษยวิทยา เปน็ ต้น เพราะถ้าปราศจาก ความรู้ในวิชาดังกล่าวแล้ว การเข้าใจในปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นไปโดยไม่ ลกึ ซ้งึ เทา่ ทีค่ วร การศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีความสําคัญอย่างย่ิง เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วทําให้รัฐต่างๆรวมท้ังประชาชนในรัฐน้ัน ต้องปรับ ตัวให้ทันกับสถานการณ์ เพ่ือความอยู่รอด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันจําเป็นอย่างย่ิง เน่ืองจากว่าถ้ารัฐใดขาดข้อมูลข่าวสารท่ีดี รัฐน้ันจะไม่สามารถดําเนิน นโยบายของตนเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายได้ รฐั ใดทสี่ ามารถปรบั ตัวให้ทันต่อสถานการณ์ได้ รัฐน้ันจะ กลายเป็นรัฐท่ีมีบทบาทในทางการเมืองระหว่างประเทศสูง ซึ่งส่งผลทําให้รัฐนั้นได้เปรียบในเชิง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ การศึกษาวิชาความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ ประการท่ีหนึ่ง มุ่งเพ่ือให้นักศึกษาที่ไม่ได้ทํางานหรือมีส่วนร่วมในงานเกี่ยวกับด้านต่างๆ ประเทศท่ีได้รับความรู้ทั่วๆไป เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับ การดํารงชีวิตในสังคมโลก นอกจากน้ัน ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เรียนรู้การใช้ความคิดที่ถูกต้องตาม หลักเหตุและผล สามารถเข้าใจปัญหาต่างๆได้ โดยเฉพาะปัญหาแวดล้อมตลอดจนให้รู้จักวิธีการ วิเคราะห์ ประการท่ีสอง เป็นการเตรียมบุคคลเพ่ือประกอบอาชีพในด้านที่เก่ียวกับความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศทั้งในภาครัฐ และเอกชน เช่น งานในกระทรวงการต่างประเทศ องค์กรระหว่าง ประเทศ การสอน การวจิ ัย (เพือ่ ผลิตผู้เชย่ี วชาญ) ในวิชาหลกั คือ 1. การเมืองระหว่างประเทศ 2. กฎหมายระหว่างประเทศ 3. ประวตั ิศาสตร์ทางการฑตู 4. องค์การระหว่างประเทศ 5. เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ 6. การศกึ ษาภมู ภิ าค 3. ความสาํ คญั ของการศึกษา ในโลกปัจจบุ ันความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศมคี วามสาํ คัญอยา่ งยิง่ ต่อสนั ตภิ าพ และการอยู่ รอดของโลก (ศิโรจน์ ภาคสุวรรณ, 2542)การร่วมมือกันระหว่างประเทศไม่ว่าในด้านใดๆ ก็ดีล้วน

284 แตเ่ กดิ จากความสมั พันธ์ และความเขา้ ใจอันดีระหว่างรัฐท่มี ีต่อกนั นบั ตง้ั แตท่ ่ีรฐั ทงั้ หลายมอี ุปกรณ์ และเคร่ืองมือหลายอย่างท่ีใช้ประกอบกับการกระทาํ ของตน อาทิเช่น อุดมการณ์ (Ideologies) ซ่ึงมี ท้ังแง่ดีและแง่ร้าย และอาวุธ นานาชนิด เป็นต้น รัฐจึงเป็นสิ่งท่ีมีอันตรายต่อสันติภาพและความ มั่นคงระหว่างประเทศ รฐั อาจใช้เคร่อื งมอื และอุปกรณ์ทีม่ ีอยู่โจมตรี ัฐฝ่ายตรงขา้ มทีเ่ ป็นคปู่ รปักษ์ได้ ในกรณีท่ีไม่สามารถตกลงหรือประนีประนอมยอมความในปัญหาขัดแย้งระหว่างกัน ถ้าหากอารย ธรรมและชวี ิตของมวลมนุษย์ในโลกนีจ้ ะตอ้ งสูญสลายไปในสามปีข้างหน้ากค็ งไม่ใช่เพราะเกิดจาก ความอดอยาก และความหิวโหย หรือโรคระบาดดันร้ายแรงแต่อย่างใด แต่น่าจะเกิดจากความ แตกร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เราสามารถจัดการแก้ไขปัญหาในเรื่องการอดอยาก หรือโรค ระบาดอันร้ายแรงได้ แต่เราไม่อาจควบคุมอํานาจและการกระทําของรัฐในการใช้อาวุธ ตลอดจน พฤติกรรมต่างๆ ของรัฐได้โดยเด็ดขาด จะควบคุมได้ก็แต่ในระดับปานกลางโดยอาศัยกฎหมาย ระหว่างประเทศ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือควบคุม กล่าวได้ว่า สันติภาพและความม่ันคงของโลกขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐแต่ละรัฐนํามาใช้เพ่ือ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ ที่มีต่อกันโดยหาทางหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการใดๆ ซ่ึงจะ นํามาสู่การทําลายล้างผลาญซ่ึงกันและกันในท่ีสุด ดังนั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงมีความสําคัญในการสอนให้รู้จัก และเข้าใจถึงศิลปะและวิธีที่รัฐนํามาใช้ในเวทีความสัมพันธ์ ระหวา่ งประเทศ ตลอดจนเหตุ การณ์และปจั จยั ต่างๆ ซ่งึ มาสูก่ ารทําลายล้างและสงครามระหวา่ งรัฐ เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสําคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมวล มนุษย์ในโลก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ใน ปัจจุบัน การศึกษาได้กระทํากันอย่างกว้างขวางมากในสหรัฐอเมริกาและในประเทศต่างๆ ในภาค พ้ืนยุโรป ซึ่งมักศึกษาควบคู่กันไปกับการศึกษาถึงศิลปะที่รัฐบาลของรัฐใช้ในการชักจูงโน้มน้าว หรอื บบี บงั คับรฐั หนึ่งหรือหลายรฐั กระทําการหรืองดเว้นการกระทาํ อยา่ งใดอย่างหน่ึงซ่งึ มักปรากฏ อยู่เป็นประจําในเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างไรก็ดี การศึกษาในเร่ืองดังกล่าวบางครั้งก็เป็น เรื่องยากที่จะเข้าใจ หรือให้คําตอบในปัญหาท่ีเกิดข้นในเวทีความสัมพันธ์และการเมืองระหว่าง ประเทศไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ท้ังนเ้ี น่อื งจากพฤติกรรมและการกระทําตา่ งๆ ของรฐั เป็นเร่ืองลึกซึ้ง มีการ เปลีย่ นแปลงเคล่ือนไหวอยู่เสมอจนบางครั้งไม่อาจตดิ ตามไดท้ นั ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะของความร่วมมือ มีความจําเป็นอย่างย่ิง ไม่ว่าใน ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือการทหาร จะเป็นการสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งจะนําไปสู่ การกําหนดนโยบายต่างประเทศ และการปฏิบัติที่มีลักษณะสอดคล้องกับสภาวะการณ์ ในการอยู่ ร่วมกันของรัฐทั้งหลายในประชาคมโลก บางคร้ังมีปัญหาซ่ึงนําไปสู่ของความขัดแย้งระหว่าง ประเทศทําให้เกิดความไม่มีมิตรของรัฐ ตลอดจนการใช้ชีวิตของประชาชนด้วย ฉะนั้นทางออกที่ดี

285 คือ รัฐบาลของรัฐนั้นๆ จะต้องใช้ความสามรถของตนในการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึน เพื่อให้รัฐมี เสถียรภาพและความมั่นคงในขณะเดียวกัน หาทางหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการท่ีรุนแรง ความจําเป็น ของรัฐ คือ การสร้างสันติภาพเพ่ือความอยู่รอด รัฐต่างๆ มักจะแสดงพฤติกรรมของตนออกมา ตาม อุดมการณซ์ ึ่งจะเปน็ อนั ตรายต่อความสงบเรยี บร้อย และสันติภาพของโลก บางรฐั ใชอ้ ดุ มการณ์ของ ตนทําการโจมตีฝ่ายตรงข้าม เช่นกลุ่มอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมูนิสต์ โจมตีกลุ่มอุดมการณ์เสรี ประชาธปิ ไตย ซึง่ อาจสรา้ งปัญหานาํ ไปสคู่ วามขัดแย้งระหวา่ งกนั ฉะนั้น สนั ตภิ าพ และความม่ันคง ของโลกมีความสัมพันธ์กันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การอยู่รอดของมนุษยชาติในโลกนี้ จึงข้ึนอยู่กับศิลปะท่ีแต่ละรัฐนํามาใช้เพ่ือก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างรัฐ การศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปัจจุบันน้ีน้ัน มักจะศึกษาด้านกฎหมายระหว่างประเทศควบคู่กับ การศกึ ษาการเมืองระหวา่ งประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง การท่ีรัฐหน่ึงมีนโยบายต่างประเทศ ในการท่ีจะ สร้างสัมพันธ์กับอีกรัฐหน่ึง จึงเป็นแนวทางปฏิบัติของรัฐ ซึ่งกําหนดคุณค่าหรือประโยชน์อันพึง ไดร้ ับ จากการปฏบิ ัติในอนั ท่มี ีความสมั พนั ธก์ บั รฐั อื่นสาํ หรับรฐั ที่เป็นประชาธปิ ไตยน้ันมอี ํานาจใน การกําหนดนโยบายต่างประเทศของตนตามความต้องการของประเทศ คุณประโยชน์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพ่ือดําเนินงานให้บังเกิดความมั่นคงแห่งรัฐ และความสมบูรณ์พูนสุขของ ประชาชนรฐั ต่างๆจะม่งุ ถึงผลในการเสริมสร้าง ก. ความม่นั คง (Security) ข. ความเจริญร่งุ เรอื ง (Prosperity) ค. อาํ นาจ (Power) (อุทัย หริ ญั โต, 2535) การยึดถอื ประโยชน์ของประเทศน้ันมจี ุดหมาย ดงั นี้ ความปลอดภัยหรือความม่ันคงของชาติ รัฐจะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่น เพื่อความ ม่ันคงและปลอดภัยแห่งตน เช่น การที่ประเทศไทยคบค้าสมาคมกับสหรัฐอเมริกา เพราะคิดว่า สหรฐั อเมรกิ าจะให้ความช่วยเหลอื และพิทกั ษค์ วามปลอดภยั ให้ได้ ความก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นประโยชน์ของประเทศที่สําคัญอีกประการหนึ่ง ซึง่ จาํ เป็นตอ้ งกาํ หนดนโยบายเพื่อเสริมสร้างความเจริญก้าวหนา้ ทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญร่ ฐั จะผูกไม่ ตรีกันเพื่อการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าซ่ึงกันและกัน และดําเนินการทุกวิถีทางในการหาตลาดเพ่ือ ระบายสินคา้ การขยายอาํ นาจของชาติ เปน็ ปัจจัยทจ่ี ะพทิ ักษร์ ักษาความปลอดภัยของรฐั และยังเปน็ ปัจจัย ท่ีให้ได้มาทั้งความปลอดภัยและผลประโยชน์ ในทางปฏิบัติมักจะเสริมสร้างกําลังคนทั้งทางทหาร และเศรษฐกิจ

286 การสร้างเกียรติภูมิของชาติ รัฐจะดําเนินการทุกอย่างเพ่ือเสริมสร้างเกียรติภูมิของตนให้ เปน็ ที่ยอมรบั นบั ถอื ของรฐั อนื่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ หมายถึง ศิลปะที่รัฐบาลของประเทศหน่ึงหรอื หลายประเทศ ใช้ในการโน้มน้าวหรือชักจูง หรือบังคับให้รัฐบาลของอีกประเทศหนึ่ง หรือหลายประเทศปฏิบัติ ตาม หรืองดเว้นการปฏิบตั ิการอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ตามทต่ี นต้องการ 4. ขอบเขตของความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ การศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะเน้ือหาของวิชานี้ ครอบคลุมถึงวิชาหลักท้ังหกในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือ วิชาการเมืองระหว่างประเทศ (International Politics) วิชากฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) วิชาประวัติศาสตร์ทางการ ฑูต (Diplomatic History) วิชาองค์การระหว่างประเทศ (International Organization) วิชาเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ (International Economics) และวิชาว่าด้วยการศึกษาเฉพาะส่วนภูมิภาค (Area of Regional Studies) เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรืออกี นัยหนึง่ การกระทาํ (Actions) และปฏกิ ิริยา โต้ตอบ (Reactions) ระหว่างรัฐมีเน้ือหาที่ค่อนข้างซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง การ ที่จะอาศัยวชิ าหลกั ท้งั หกดังกลา่ วแต่เพยี งลาํ พังมาทาํ ความเข้าใจในเรือ่ งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐน้ัน ไมเ่ ปน็ การเพยี งพอ จาํ เปน็ จะต้องอาศยั การศึกษาในวชิ าอืน่ ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ อาทเิ ช่น ประวตั ิ ศาสตร์ ภมู ิศาสตรท์ างการเมือง สังคมวทิ ยา จิตวทิ ยา รวมทัง้ ยทุ ธศาสตรแ์ ละทฤษฎีทางการเมือง มา ชว่ ยทาํ ความเขา้ ใจในเรอ่ื งทเ่ี ก่ียวกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ ถา้ ปราศจากเสยี ซง่ึ ความรูใ้ นวิชา ทางด้านสังคมศาสตร์ดังกล่าวมาแล้ว ย่อมเป็นการยากท่ีจะเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับปัจจัยและสิ่งแวด ล้อมต่างๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นําของรัฐ พฤติกรรมทางการเมืองระหว่างรัฐตลอดจน ปัจจยั ทนี่ ําไปสู่ความเข้มแข็งและความออ่ นแอของรัฐได้อย่างแจ่มแจ้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (มหาวิทยาลัย นเรศวร, 2545)ในด้านต่างๆ ดงั นี้ 1. ความสมั พันธ์ทางการเมือง 2. ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ 3. ความสมั พนั ธท์ างกฎหมายระหวา่ งประเทศ 4. ความสมั พันธ์ทางวชิ าการและเทคโนโลยี 5. ความสมั พันธ์ทางสงั คม

287 ขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่าชุมชนทางการเมือง นับวันจะทวีความซับซ้อนมากขึ้น ครอบคลุมกิจกรรมทุกประเภท ความจําเป็นท่ีรัฐต่างๆต้องติดต่อกับรัฐอ่ืนๆ เพ่ิมมากขึ้นเรื่อยๆไม่มี รัฐใดจะดาํ รงอยู่ได้โดยไม่ติดต่อกับรัฐอ่ืนการไมส่ ามารถพึ่งพาอาศยั ตัวเองได้น่ีเอง ทท่ี าํ ให้รฐั ต่างๆ ต้องแสวงหาทางเลือกเพ่ือความอยรู่ อด การขาดแคลนวัตถุดิบ ความยากจน การขาดดุลการค้า การถดถอยทางเศรษฐกิจและความ รนุ แรงในทางการเมืองระหวา่ งประเทศ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไมอ่ าจแก้ไขได้โดยรฐั หนึ่งรัฐใดตามลําพัง รฐั ตา่ งๆจึงถูกผลักดันใหม้ ีการติดต่ออย่างใกล้ชดิ โดยไม่มที างหลกี เล่ียง ด้วยสภาวะของสังคมโลกท่ีประเทศต่างๆ เผชิญกับปัญหา จึงเกิดความจําเป็นในการที่ จะต้องหาทางลดปัญหาเหล่านั้นด้วยการจัดระเบียบของสังคมโลก เช่น การจัดระเบียบทางด้าน เศรษฐกิจและการค้าเป็นต้น บรรดารัฐทั้งหลายมักได้รับอิทธิพลในด้านต่างๆ จนก่อให้เกิดการ เปลีย่ นแปลงและทําให้การละทิ้งวถิ ีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน และยอมรบั วิถีชีวติ ใหม่ๆ ทศิ ทางของการเปล่ียนแปลงนั้น มีลักษณะไปสู่จุดหมายของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อุปสรรค ของเวทีระหว่างประเทศน้ัน เน่ืองจากเร่ืองของความไม่เท่าเทียมกันในด้านเศรษฐกิจ ประชากร แสนยานภุ าพทางทหาร ขนาดของดินแดนและอดุ มการณ์ 5. ลักษณะความสัมพนั ธ์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศมี 2 ลักษณะคอื แบบเป็นทางการและไม่เปน็ ทางการ แบบทางการ หมายถึง พฤติกรรมของรัฐที่แสดงให้เห็นอย่างเปิดเผยถึงเจตจํานงค์ของตน ต่อสาธารณะ เช่น การเปิดความสัมพันธ์ทางการฑูต หรือปิดความสัมพันธ์ทางการฑูต การจัดทํา สนธิสัญญาต่างๆ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศ รวมท้ังการนํากรณีพิพาท ขนึ้ ส่กู ารพิจารณาของศาลยุตธิ รรมระหว่างประเทศ และการประกาศสงคราม การแสดงออกของรัฐ ใดรัฐหนึ่งในลักษณะเช่นน้ี เป็นการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอําพราง เรียกว่า ความ สัมพันธ์แบบเปน็ ทางการ แบบไม่เป็นทางการ เป็นการแสดงออกของรัฐๆหนึ่ง ท่ีไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน เป็นการ กระทําในลักษณะปิดบังอําพราง เพื่อแสวงหาความได้เปรียบ หลีกเล่ียงกฎหมายระหว่างประเทศ การทําข้อตกลงและสนธิสัญญาลับ การสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังของกรณีพิพาท การดําเนินการ แบบอย่เู บ้อื งหลังกรณพี พิ าท เช่น กรณขี องประเทศไลบีเรีย สนับสนนุ กลมุ่ ขบฏ (RUE) ในประเทศ เซียราลิโอน ทําให้คณะมนตรีความม่ันคงขององค์การสหประชาชาติประกาศควํ่าบาตรทาง เศรษฐกจิ กบั ประเทศไลบีเรียเป็นเวลานาน 12 เดือน ตัง้ แต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป (ห้าม ทาํ การคา้ เพชรกบั ไลบเี รีย)

288 6. วิวัฒนาการของการศึกษาความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนีค้ อื (ศิโรจน์ ภาคสุวรรณ, 2542) 1. ระยะแรก การศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศในระยะแรก ได้แกร่ ะยะเวลากอ่ นสงครามโลกครั้ง ท่ีหน่ึงอุบัติขึ้น ในระยะเวลาดังกล่าวการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่แล้วกระทํา โดยนักประวัติศาสตร์ทางการฑูต (Diplomatic Historian) ซ่ึงทําการศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกันอย่างจริงจัง จึงมีผลทําให้การศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศมีความถูกต้องแน่นอนตรงกับความจริงท่ีได้เกิดขึ้นโดยคลาดเคลื่อนจากความเป็น จริงน้อยที่สุด การศึกษาในระยะเร่ิมแรกนี้ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงวเคราะห์แบบพรรณา (Descrip tive Analysis) ในเหตุการณ์ท่ีได้เกิดขึ้นโดยปราศจากการอ้างอิงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ ซ่ึงได้ เคยเกิดข้ึนแล้วในทํานองเดียวกันเช่น หนังสือเขียนโดย พอล เรนซ์ (Paul Reinsch) เกี่ยวกับ World Politics และ Public International Unions เนื่องจากนักประวัติศาสตร์ทางการฑูตสมัยนั้น ชอบหลีกเล่ียงการศึกษาเหตุการณ์ปัจจุบัน ซงึ่ ทําให้เห็นสภาพท่ัวไปของความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศไม่ได้เตม็ ท่ี รวมท้งั ไม่ชอบต้งั กฎเกณฑ์ และทฤษฎีซึ่งทําได้โดยการย่อหรือสรุป (deduced) ข้อความพรรณนาหรือวิจัยเหตุการณ์อันใดอัน หน่ึงโดยเฉพาะ จึงยังผลให้การสร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงได้เริ่มหันมาสนใจคน้ คว้าเทคนิคและวิธีการศึกษาใหม่ๆ ซ่ึงจะช่วยทําให้เข้าใจถึงพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นระหว่างประเทศได้ อย่างสมบูรณ์ ความสนใจในเร่ืองดังกล่าวได้เพิม่ ทวีข้ึนหลังจากสงครามโลกครั้งท่ีหนึ่งสงบลงเปน็ ต้นมา 2. ระยะทีส่ อง การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศในระยะทีส่ องนี้เรมิ่ นบั ตั้งแต่หลังสงครามโลกคร้ัง ที่หนึ่งสงบเร่ือยมาจนกระทั่งสงครามโลกคร้ังท่ีสองอุบัติขึ้น การศึกษาในช่วงระยะน้ีควบคู่กันไป กับการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศโดยมุ่งศึกษาถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ระหว่าง ประเทศที่เกิดข้ึนใหม่ๆ โดยมองข้ามปัญหาทางการเมืองซึ่งนําไปสู่สงครามหรือสันติภาพ หนังสือ ส่วนมากที่เขียนข้ึนในช่วงระยะนี้ ส่วนใหญ่มีลักษณะท่ีกล่าวมา และมักมีปรากฏอยู่ในหัวข้อเร่ือง ดังตอ่ ไปนีค้ ือ

289 1) การเมืองระหวา่ งประเทศ (International Relations) 2) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ (International Relations) 3) การเมืองโลก (World Politics) 4) การเมืองแห่งอํานาจ (Power Politics) 5) องค์การระหวา่ งประเทศ (International Organization) 6) รัฐบาลระหวา่ งประเทศ (International Government) 7) จติ วิทยาระหวา่ งประเทศ (International Psyhology) ในขณะเดียวกัน สมาคมท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศได้ถูกจัดตั้ง ขึ้นหลายแห่งด้วยกัน อาทิ เช่น The Royal Institute of Affairs ในกรุงลอนดอน The Council of Foreign Relations and the Foreign Policy Association ในกรุงนิวยอร์ค และ The Graduate Institute of International Studies Conference under the Institute of Intellectual Cooperation ในกรุงปารีส สมาคมเหล่าน้ีได้ทําการพิมพ์หนังสือและบทความทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมท้ัง จัดให้มีการประชุมของบรรดาศาสตราจารย์และนักวิชาการทั้งหลายท่ีสนใจในวิชาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศอยเู่ ป็นประจาํ นอกจากนี้ สมาคมเก่าๆทางด้านรัฐศาสตร์และสงั คมศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง ได้ ให้ความสนใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น กว่าแต่ก่อน นอกเหนือไปจาก สมาคมดังกล่าวแล้ว ยังมีสถาบันพิเศษหลายแห่งที่ได้ให้ความสนใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศอย่างมาก เช่น Norman Wait Harris Memorial Foundation แห่งมหาลัยชิคาโก Conference on Science, Philosophy and Religion. Institute of International Studies แหง่ มหาลยั เยล และ Committee on International and Regional Studies แหง่ มหาลัยฮาวาร์ด ในช่วงระยะเวลาที่สอง น้ี มหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เพิ่มการสอนวิชาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ มากข้ึน โดยให้ความสนใจในเรื่ององค์การระหว่างประเทศ ภูมิศาสตร์ทางการเมือง และความ สําคัญและอิทธิพลของการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งแตกต่างกับการศึกษาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ไม่ได้ศึกษาในเร่ืองน้ี เพราะศึกษาแต่ในเรื่องประวัติศาสตร์ทางการฑูต กฎหมายระหว่างประเทศ และเศรษฐกจิ ระหว่างประเทศเสียเปน็ สว่ นใหญ่ 3. ระยะท่สี าม การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะที่สามนี้ยังคงอยู่ในช่วงระยะเวลาเหมือน กับระยะท่ีสอง คือ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งท่ี 2 การศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาน้ี มีความก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้น มีการศึกษาถึงสถาบันระหว่าง ประเทศ เช่น ทตู และกงสลุ โดยศกึ ษาควบคู่ไปกับการศึกษากฎหมายระหว่างประเทศและการจดั ต้ัง

290 องค์การระหว่างประเทศ เช่น การจัดตั้งสันนิบาตชาติ ข้อท่ีน่าสังเกตก็คือ แนวความคิดในเรื่องดุล แห่งอํานาจ (Balance of Power) ซึ่งเคยได้รับความสนใจอย่างมาก่อนสงครามโลกครั้งท่ี 1 ได้รับ ความสนใจน้อยลงไป แนวความคดิ ที่ได้รับความสนใจในระยะที่สามน้ี ไดแ้ ก่ ความคดิ ในเรื่องท่ีว่า โลกควรมีสถาบันและองค์การที่ทําหน้าท่ีในการขจัด และแก้ปัญหาต่างๆ ท่ีโลกประสบอยู่ และ สถาบันองค์การเหล่าน้ีจะต้องมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการรักษาไว้ซ่ึงสันติภาพและความมั่นคง ระหว่างประเทศ ด้วยอิทธิพลของแนวความคิดดังกล่าว นักวิชาการทางด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศจงได้พยายามค้นคว้าหาแบบต่างๆ ของสถาบันและองค์การท่ีมีประสิทธภิ าพในการทํางาน เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยของโลก ซ่ึงยังผลให้นักวิชาการดังกล่าวกลายเป็นนักปฏิรูป (Reformer) ผู้เพียบพร้อมไปด้วยอารมณ์และความเพ้อฝันในการท่ีจะสร้างสถาบันและองคก์ ารตาม แบบที่ตนได้คิดคํานึงวาดไว้ว่าเป็นแบบที่ดี และเหมาะสมสมควรท่ีจะนํามาใช้ โดยหาได้คํานึงถึง ข้อเท็จจริงต่างๆของพฤติกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะทําให้แบบท่ีตนได้คิดวาดไว้หมด ประสิทธภิ าพไป กล่าวไดว้ า่ การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหวา่ งระยะเวลาทส่ี องและท่ีสามนั้น มีแนวโน้มเอียง 3 ประการ ตามที่เนเน็ท ดับเบิ้ลยู ทอมสัน ได้กล่าวไว้คือ (Kenneth W. Thompson, 1952) ประการแรก มแี นวโนม้ เอยี งในดา้ นมองความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศในแง่อดุ มคติ ประการที่สอง มีแนวโน้มเอยี งในการมุ่งคน้ ควา้ สนใจในกฎหมายระหว่างประเทศ ประการท่ีสาม มีแนวโน้มในการนําประสบการณ์ท่ีได้มาจากอดีตมาช่วยในการพิจารณา ตดั สินใจในเร่ืองการพัฒนาสถาบนั และเร่ืองต่างๆ ในระดบั ระหว่างประเทศโดยยดึ ถือหลักศลี ธรรม เป็นทต่ี ้ัง แนวโน้มเอียงดังกล่าวท้ังสาม มีอิทธิพลมากจนนักวิชาการเช่ือว่าวิถีทางท่ีจะทําให้โลกมี สันติภาพและความสงบเรียบร้อยได้ก็โดยอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลหรือองค์การ ระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือควบคุม นกั วชิ าการทีไ่ ด้กลา่ วถงึ แนวโนม้ ของการศกึ ษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาที่2 และท่ี 3 ได้แก่ ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ (Hans J. Morgenthau) ซ่ึง ได้กล่าวว่า การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (รวมท้ังทฤษฎี) ระหว่างสงครามโลกครั้งท่ี 1 และ ครั้งที่ 2 น้ัน ส่วนใหญ่แล้วเน้นหนักในเร่ืองการศึกษาถึงการพัฒนาสถาบันท่ีใช้กฎหมาย ระหว่างประเทศมากกว่าเรื่องลักษณะและชนิดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ีปรากฏ นอก จากนี้แล้ว ผลประโยชน์ของชาติ (National Interest) และความมั่นคงของชาติ (National Security) ยังไม่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการแต่ประการใด การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน ช่วงระยะเวลาน้ี ถ้าเป็นเร่ืองเก่ียวกับกฎหมายและองค์การระหว่างประเทศแล้ว มักเน้นในขอบเขต

291 ในลกั ษณะวงแคบ โดยมองข้ามพลงั (Forces) และปรากฏการณ์ตา่ งๆ (Phenomena) ซึ่งมอี ิทธพิ ลต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซ่ึงมีผลทําให้การพัฒนาทฤษฎีทางด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศไม่ดีเท่าท่ีควร จากผลเสียในเรื่องดังกล่าว ทําให้บรรดานักวิชาการ นักวิจัยค้นคว้าและ นักศึกษา หันมาสนใจค้นคว้าในเรื่องความเคลอื่ นไหวของความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศในแง่ของ การเมือง รวมทั้งพลังและปัจจัยต่างๆที่เก่ียวข้องซ่ึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศในระยะที่สี่ 4. ระยะท่ีสี่ การศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาทีส่ นี่ ้ี ได้มกี ารพัฒนาก้าวหน้ากว่า เดมิ การศึกษาความเคลอื่ นไหวของความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศในแงก่ ารเมืองในช่วงระยะเวลานี้ ทําให้นักวิชาการทราบถึงพลังและอิทธิพลต่าง ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมระหว่างประเทศ รวมท้ัง ทราบถงึ เทคนคิ และกระบวนการของพฤติกรรมของรฐั นอกจากนี้ นักวชิ าการในช่วงระยะเวลานีไ้ ด้ เพ่ิมความสนใจศึกษาค้นคว้าในเรื่องการแข่งข้ันกันในด้านอาวุธ เรื่องสงครามเย็น เรื่องศิลปะของ สงคราม (Art of War) เร่ืองการเมืองแห่งอํานาจ (Power Politics) และเร่ืองภูมิการเมือง (Geo politics) การศึกษาในเรื่องกฎหมายและองค์การระหว่างประเทศซึ่งแต่ก่นอเน้นในเร่ืองแบบและ โครงสร้างมาในช่วงระยะนี้ได้เปล่ียนไปเป็นการเน้นหนักในแง่ของการเมืองเป็นส่วนใหญ่ มีการ ศึกษาถึงการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซ่ึงอํานาจ และการขัดกันในเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ภายใน องค์การระหว่างประเทศโดยเฉพาะภายในองค์การสหประชาชาติซึ่งถือว่าเป็นเคร่ืองมือทางการ เมืองระหว่างประเทศอย่างหน่ึง รวมท้ังการศึกษาในเร่ืองความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกฎหมาย ระหว่างประเทศ และการเมืองภายในองค์การระหว่างประเทศ และสิ่งแวดล้อมทางการเมือง ซ่ึงมี อิทธิพลต่อกฎหมายระหว่างประเทศ หนังสือซึ่งเขียนคลุมถึงการศึกษาในลักษณะดังกล่าวได้แก่ หนังสือซ่ึงเขียนโดย มอร์ตัน เอ คาแปลน (Morton A. Kaplan) และนิโคลาส เดอ บี แคทเซ็นแบค (Nicholas de B. Katzenbach) หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับกฏหมาย ระหว่างประเทศ การพฒั นาการศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างประเทศในด้านอ่นื ๆ กค็ ือการใชห้ ลักเกณฑ์ และ วิธีการที่นิยมใช้ในสาขาต่างๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยนักวิชาการเลือกเอาวิธีการที่ เหมาะสมมาปรบั ปรงุ เพื่อนําไปใช้ในการศกึ ษาและค้นควา้ เรื่องต่างๆทางดา้ นความสัมพันธร์ ะหว่าง ประเทศซึง่ มีลักษณะยงุ่ ยากและซบั ซอ้ นให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน การศกึ ษาในลักษณะดงั กลา่ วผสมผสาน กันแนวโน้มเอียงในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแง่ของการเมือง ได้พัฒนาการ ศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศให้มีความเปน็ ระเบยี บและมกี ฎเกณฑโ์ ดยเฉพาะอย่างย่ิง มีสว่ น ทําให้การสร้างระบบทฤษฎี (Theory System) ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัดกุมดียิ่งขึ้น

292 หนังสือท่ีถือว่าเป็นงานบุกเบิกในการสร้างระบบทฤษฎีได้แก่หนังสือซึ่งเขียนโดย ควินซ์ไรท์ (Quincy Wright) สําหรับหนังสือเล่มอ่ืนๆ ที่สร้างระบบทฤษฎีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไดแ้ ก่ 1. Theoretical Aspects of International Relation จัดพิพพ์โดย Willam T.R. Fox จากการ ประชุมสัมมนาซ่ึงได้รับการอุปถัมภ์จากสมาคมท่ีมีช่ือว่า Institute of War and Peace Studies แห่ง Columbia University ในกรงุ นิวยอรค์ 2. The International System : Theoretical Essaya ซึ่งจัดข้ึนโดย The Center of Interna tional Studies แหง่ มหาวทิ ยาลยั ปรนิ ส์ ตนั และ 3. บทความที่มีช่ือเร่ือง “The Place of Theory in the Conduct and Study of International Relations” เขียนโดย Inis L. Claude Jr. ในวารสารช่ือ The Journal of Conflict Revolution ประจํา เดอื นกันยายน ค.ศ. 21960 นอกจากหนงั สือดังกล่าวแล้ว ยังมหี นงั สอื มากมายท่มี ีแนวโนม้ ไปในทางสรา้ งทฤษฎีความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงแม้ว่าหนังสือต่างๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้น เป็นหลักฐานเพียงพอที่จะพูดได้ วา่ การศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ โดยใชท้ ฤษฎนี นั้ สมบรู ณ์พอที่จะทําใหเ้ ราเข้าใจในความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างดีก็ตาม ก็ยังไม่มีใครเลยในบรรดานักวิชาการทั้งรุ่นเก่า และรุ่น ใหมก่ ลา้ พูดเชน่ น้ัน 7. ความจําเปน็ ของรัฐในการสรา้ งความสมั พันธ์ เน่ืองจากรฐั ท้ังหลายมสี ถานะคล้ายมนษุ ยท์ ีอ่ าศยั อยู่ในสังคมโดยทั่วไป ในแงค่ วามจําเป็นท่ี จะต้องอยรู่ ่วมกัน ดงั ทีอ่ ริสโตเตลิ กล่าวว่า มนษุ ยเ์ ปน็ สตั ว์สังคม และเป็นสตั วก์ ารเมืองดว้ ย ด้วยเหตุ นเ้ี องมนุษยจ์ งึ มคี วามผูกพันกับสงั คมและการเมือง รัฐในโลกน้ีไม่มีรัฐใดที่มีความพร้อมทุกอย่าง จึงทําให้บางรัฐจําเป็นต้องอาศัยความช่วย เหลือจากรัฐอ่ืน จนเป็นการทาํ ใหร้ ัฐท่ีมีความจําเป็นหรือต้องการปจั จยั บางอยา่ งต้องดาํ เนินการสร้าง สัมพันธ์ไมตรีกับอีกประเทศหนึ่ง รัฐหน่ึงๆ ไม่สามารถดํารงตัวเองให้อยู่รอดได้ หากปราศจาก ความช่วยเหลือจากรฐั อน่ื ดังนั้น การดําเนินการของรัฐในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ดําเนินการเพ่ือใหไ้ ด้ ในส่ิงที่ตนต้องการหรือตนขาดแคลน ซึ่งเป็นปัจจัยสําหรับรัฐของตนเอง บรรดารัฐที่มีความอุดม สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร เชื้อเพลิง และความรู้ทางเทคโนโลยีสูง ทําให้รัฐต่างๆ ท่ีขาดปัจจัยดังกล่าว พยายามสร้างสัมพันธ์ไม่ตรีกับกลุ่มประเทศท่ีมีปัจจัยพร้อม เป็นสภาพของความจําเป็นและบีบ บังคับ

293 สรุปได้ว่า การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เกิดจากความจําเป็นท่ีไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้ โดยที่รัฐเหล่านั้น จะดําเนินเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันซ่ึงได้มกี ารใช้ความพยายามในการท่ีจะ แก้ไขข้อขัดแย้งต่างๆ โดยสันติวิธี ถ้าขจัดความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้ เหตุการณ์อาจจะนําไปสู่การ ทําสงครามและความรุนแรง ดังนั้นเม่ือมีการเปล่ียนแปลงของรัฐไม่ว่าด้านใดก็ตาม ย่อมส่งผล กระทบใหก้ ับรัฐเหล่านน้ั ทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปัจจุบัน แต่ละชาติจะวางแผนและดําเนินการต่างๆ แข่งขัน กันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นั่นคือ การแสวงหาอํานาจและอิทธิพล จึงกลายเป็นการเมืองแห่งอํานาจ (power politics) ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอํานาจหรือขยายอํานาจ ทุกประเทศจะต้องมีวิถีทางต่างๆใน การท่จี ะให้บรรลุวตั ถุประสงคข์ องตน วิถีทางมหี ลายอยา่ ง เชน่ การแทรกแซง การทาํ ให้ประเทศอื่น อ่อนแอลง ฯลฯ 8. วธิ ีการในการสร้างความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ วิธีการต่างๆ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ีแต่ละชาติได้ใช้เพ่ือรักษาประโยชน์ (อาํ นาจ) ของตนทีส่ าํ คัญ คือ (จรูญ สุภาพ, 2547) 1. ยุทธศาสตร์ทางการฑูต หมายถงึ การใช้ความสามารถทางการฑูตในการแกป้ ัญหากรณีที่ เกิดความขัดแย้งขึ้น โดยใช้วิธีการเจรจาต่อรองต้ังแต่ระดับท่นี ่ิมนวล จนถึงระดับท่ีรุนแรง เช่น อาจ จะใช้วธิ ีการให้ประเทศนั้นๆ อยโู่ ดดเด่ียว ขาดท่พี ่ึง หรอื ในบางครัง้ อาจจะใช้ยทุ ธศาสตร์ทางการฑูต เพื่อไม่ให้ตนเองเข้าไปยุ่งหรือพัวพันกับความขัดแย้งนั้นๆ โดยประกาศวางตนเองเป็นกลาง ทั้งน้ี เพื่อปอั งกนั ตนเองมใิ ห้ถูกรกุ รานจากประเทศอ่ืน แต่การใช้ยุทธศาสตร์ทางการทูตจะใช้ได้เฉพาะเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่าน้ัน เช่น ช่วงที่ มหาอํานาจสหภาพโซเวียตดําเนินการเพื่อแผ่ขยายอํานาจ อิตาลีและเยรมนีท่ีใช้ความรุนแรงเพื่อ ขยายอํานาจ จึงจําเปน็ ตอ้ งใช้ยุทธศาสตรท์ างการฑูตดว้ ยการเจรจาต่อรองเพื่อลอความตึงเครยี ด 2. ยทุ ธวิธที างการฑตู ยทุ ธวธิ มี ีหลายประการ เช่น การแทรกแซง โดยปกติแล้วการแทรกแซงกิจการภายใจของประเทศอืน่ น้นั จะกระทาํ ไม่ได้ เพราะผิดหลักสากล แต่ในทางปฏิบัติมีหลายประเทศท่ีดําเนินการแทรกแซง โดยจะอ้างว่าเพ่ือเป็น การป้องกันคนของตนท่ีอยู่ในประเทศน้ันๆ หรือเป็นการยับย้ังการรุกรานของประเทศอื่นหรือเพ่ือ รกั ษากลุ่มประเทศทีม่ ีความสัมพันธก์ บั ตน การแทรกแซงทเ่ี ปน็ ปัญหาในอดตี เชน่ ปัญหาคอร์ฟูอาร์ เมเลยี -วลิ ลา เป็นตน้ การบังคับให้มีการยอมตาม หมายถึง การใช้อํานาจหรืออิทธิพลที่มีอยู่เพ่ือให้อีกฝ่ายหน่ึง ปฏิบัติตามเง่อื นไขของตน เชน่ สงครามยิวอาหรบั ครง้ั ท่ี 2 โซเวียตต้องการสร้างอิทธิพลของตนใน

294 ตะวันออกกลาง ซึ่งไดเ้ ตือนองั กฤษ-ฝรงั่ เศส ใหห้ ยุดการโจมตอี ยี ปิ ต์ มฉิ ะน้ันโซเวยี ตจะใช้นิวเคลียร์ ถล่มลอนดอนและปารีส (สุรพล ราชภัณฑารักษ์ และคณะ, 2549) ทําให้อังกฤษฝร่ังเศสและยิวยุติ การโจมตี หรืออีกรณีหนึ่งที่อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟเคเนดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ โซเวียตถอนฐานจรวดออกจากคิวบา ถ้าโซเวียตไม่ยอม สหรัฐอเมริกาจะประกาศทําสงครามกับโซ เวียต ในท่ีสุดโซเวียตยอมปฏิบัติตามเป็นวิกฤติการณ์คิวบาในปีค.ศ. 1962 (มณีมัย รัตนมณี, 2548) เปน็ การเผชิญหนา้ เป็นครั้งแรกระหว่างสหรัฐ อเมริกากับสหภาพโซเวียต สงครามเพื่อป้องกัน เป็นนโยบายอีกประเภทหน่ึงท่ีมักจะมีการอ้าง ทําเพ่ือเป็นการป้องกนั ตนเอง ประเทศหนึ่งอาจจะทําสงครามกับประเทศอ่ืน หรือรุกรานประเทศอื่นแล้วอ้างว่า เพื่อ ป้องกันตนเอง เช่น กรณีท่ีประเทศเยอรมันนีบุกโซเวียตใน ปี ค.ศ. 1941 โดยท่ีฝ่ายเยอรมันมีอ้างว่า จําเป็นต้องโจมตี เพราะโซเวียตได้ทาํ การขยายอํานาจและแทรกแซงซง่ึ เป็นอันตรายต่อเยอรมนีเพื่อ เปน็ การยับยั้งการขยายอาํ นาจของโซเวยี ต เปน็ การโจมตีเฉพาะประเทศทเ่ี ปน็ ศัตรกู บั ตน การปฏิบัติการใต้ดิน การใช้การจารกรรม การก่อวินาศกรรม สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการทางการ ฑตู แบบปจั จุบัน เช่น การจารกรรมของอกี ฝา่ ยหน่ึง เพ่อื ใหไ้ ด้ประโยชนก์ ับตนเอง ไมว่ า่ จะเป็นทาง การทหาร การเมือง หรือทางเศรษฐกิจ การจารกรรม การก่อวินาศกรรม เป็นสิ่งผิดกฎหมายแต่ก็มัก จะมีการดําเนินการอยบู่ ่อยๆ โดยเฉพาะการหาทางบ่อนทําลายด้วยการแทรกแซงเขา้ ไปในกระบวน การทางการเมอื ง โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อทําให้กลไกของประเทศนั้นเป็นอมั พาต หรือทาํ ใหป้ ระเทศ นน้ั เกิดปัญหาเนอ่ื งจากประชาชนเส่ือมศรัทธาต่อรัฐบาล การสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ซ้อนรัฐบาลเดิม เป็นวิธีการอีกประการหนึ่งที่มักจะ กระทํา คือ จะดําเนินการแบบจํากัดเขตในพื้นที่ของอีกประเทศหน่ึงท่ีเป็นศัตรู ด้วยการต้ังรัฐบาล ใหม่ซ้อนรัฐบาลเดิมโดยอาศัยคนในประเทศนั้นๆ อ้างเหตุผลจากความเดือดร้อนของประชาชน จะ กระทาํ ทกุ วิถที างเพอื่ กอ่ ให้เกิดการปฏิวตั ลิ ้มลา้ งรัฐบาลเดมิ เป็นการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั กลุ่มใหม่ ถ้ากลุ่มดังกล่าวปฏิวัติสํารวจความสัมพันธ์กับคนกับกลุ่มใหม่จะเป็นความสัมพันธ์ท่ีราบร่ืนกว่า รัฐบาลเดมิ การดําเนินการในเวทีการเมืองระหว่างประเทศน้ัน แต่ละประเทศมีวิธีการเป็นของตนเอง ซึ่งข้ึนอยู่กับความมุ่งหมายของประเทศน้ันๆ ที่ต้องการได้ประโยชน์อะไรจากอีกรัฐหนึ่ง จึงเร่ิม สรา้ งสมั พันธไ์ มตรกี บั รฐั บาลนั้น หรอื กลุ่มบคุ คลในรัฐน้นั เพ่ือใหไ้ ดป้ ระโยชนใ์ นสง่ิ ทต่ี นตอ้ งการ

295 อนุสญั ญากรงุ เวยี นนาว่าดว้ ยความสัมพันธท์ างการฑตู (ค.ศ. 1961) การประชุมอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการฑูต มีขึ้นระหว่างวันท่ี 2 มีนาคมถึง 14 มีนาคม 1961 (ไพโรจน์ ชัยนาม, 2555) ท่ีกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลียได้มี ประเทศต่างๆเข้าร่วมประชุม 81 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย และยังได้เชิญทบวงการชํานัญ พิเศษ เขา้ ร่วมประชมุ ดว้ ยในฐานะผู้สังเกตการณ์ นอกจากน้ันยงั ได้เชญิ องคก์ รอ่ืนๆ อกี เชน่ สมชั ชา สหประชาชาติ สนั นบิ าตอาหรับ คณะกรรมการท่ีปรึกษากฎหมายอัฟริกา-เอเซยี ทปี่ ระชมุ เลือกนาย Arthur S. Lall หวั หน้าผแู้ ทนอินเดยี เป็นประธาน อนสุ ัญญามี 53 มาตรา ความมุ่งหมายท่สี าํ คัญเปน็ พื้นฐาน 3 ประการ 1. พนื้ ฐานทางสงั คม 2. พน้ื ฐานฐานะตัวแทนทางการฑตู 3. พ้นื ฐานทางกฎหมาย อนุสัญญาสร้างความเสมอภาคในอธิปไตยของรัฐต่างๆ กําหนดฐานะโดยให้เอกสิทธ์ิแก่ คณะผู้แทนทางการฑูต พ้ืนฐานในทางการเมืองคือ การเป็นไปตามกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ การ ธํารงไว้ซ่ึงสันติภาพและความปลอดภัยระหว่างประเทศ พัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตร โดยไม่คํานึง ถึงขอ้ แตกต่างของระบบการปกครอง หมายถึง การอยู่รว่ มกนั อย่างสนั ติ อนุสญั ญากรงุ เวยี นนาว่าด้วยความสมั พันธ์ทางการฑตู ข้อ 2 กําหนดการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างรัฐและของคณะผู้แทนถาวร ทางการฑตู มขี ึน้ ไดด้ ้วยความยินยอมของกนั และกนั (สเุ ทพ อัตถากร, 2530) ข้อ 42 ตัวแทนทางการฑูตจะต้องไม่ปฏิบัติกิจกรรมใดทางวิชาชีพหรือพาณิชย์ เพื่อ ประโยชนส์ ่วนตัว ซ่ึงเป็นการกําหนดให้มีการปฏิบัติตามอนุสัญญาในข้อ 2 จะไม่มีการบังคับ และข้อห้ามได้ ถูกกําหนดขึ้นตามอนุสัญญาในข้อ42 เป็นการห้ามผู้แทนทางการฑูตแสวงประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่า จะดําเนนิ การในลักษณะใดกต็ าม ถา้ การดําเนนิ การนั้นเปน็ การหาประโยชนใ์ สต่ วั เปน็ ส่งิ ต้องห้าม

296 9. ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศตามแนวพทุ ธศาสตร์ แนวการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ “ประเทศไม่มีศัตรูถาวร ประเทศไม่มีมิตรภาพ ประเทศมีเพียงแต่ผลประโยชน์ถาวร เท่าน้นั ” ประโยคสามประโยคนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศเฉกเชน่ หวั ใจของพุทธศาสนา ละเว้นความชั่ว ทําความดี และทาํ ใจใหบ้ ริสทุ ธ์ิ ฉะน้นั เป็นธรรมดาอยู่เองท่ีคนเราจะกระทําอะไรแทบทุกอย่างลงไปก็เพ่ือหวังผลประโยชน์ตอบ แทน ซึ่งผลประโยชน์น้ีมิได้หมายถึง วัตถุ เช่น แก้วแหวน เงินทอง แต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเป็น ผลประโยชนท์ างนามธรรมด้วยกไ็ ด้ อาทิ การทาํ บุญตักบาตร ผทู้ ก่ี ระทาํ ก็ไดร้ บั ประโยชน์ตอบแทน คือเมื่อทําไปแล้วก็มีจิตใจผ่องใสอิ่มเอิบ หรือการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ช่วยก็ย่อมมี ผลประโยชน์ คอื ความสบายใจในการทไี่ ดก้ ระทําหน้าทที่ างด้านมนษุ ยธรรม ของตนโดยไมเ่ สียทีท่ี เกิดมาแล้วชีวิตหน่ึง ส่วนนักศึกษาท่ีขยันหมั่นเพียรในการเรียน ก็ปรารถนาผลประโยชน์ที่จะสอบ ไลไ่ ด้เปน็ ตน้ สําหรับประเทศก็เช่นกัน ถ้าเราพิจารณาดูก็จะเห็นว่าประเทศก็เปรียบเสมือนมนุษย์ในแง่ ท่ีว่าจะอยู่ตัวคนเดียวในโลกไม่ได้ คนเราจําเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลิตผลของตนกับ บุคคลอ่ืน เพื่อนํามาซึ่งวัตถุหรือบริการซ่ึงตนไม่มี ไม่สามารถผลิตได้หรือได้แต่ไม่คุ้ม เป็นต้นว่า กรรมกรทํางานก่อสร้าง ไม่ได้ปลูกข้าวเอง เพราะไม่มีที่ดิน ไม่มีเวลา ดังน้ันกรรมกรจึงต้องซ้ือข้าว มากิน หรือตํารวจทําหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ก็ย่อมไม่มีเวลาไปทอผ้ามาใช้เอง ครูมี หน้าท่ีสอนหนังสอื ย่อมไมม่ ีเวลาไปปลกู ข้างไว้กนิ เองเช่นกนั หรือถ้านิสิตอยู่บา้ นคนเดียว การที่จะ ซื้อข้าวสาร ซ้ือผัก ซ้ือปลามาหุงหากินเองย่อมไม่คุ้ม เพราะต้องเสียค่าถ่านเสียเวลาในการหุงหาอีก ซอ้ื เขากนิ ก็ยงั ถกู กวา่ และไมเ่ สยี เวลาด้วย น่ีเป็นกรณที ่ีเราถอื ว่าทําแล้วจะคมุ้ หรอื ไม่ ประเทศก็เช่นเดียวกัน ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากจนเหลือบริโภค แต่ประเทศคูเวตผลิต ข้าวไม่พอบริโภคเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าว แต่ประเทศ คูเวตสามารถผลิตน้ํามันดิบได้อย่างเหลือเฟือ เพราะมีแหล่งนํ้ามันหลายแห่ง แต่ประเทศไทยผลิต นํ้ามันดิบได้น้อยมาก ไม่พอใช้ในประเทศ ดังน้ัน จึงเกิดการซื้อขายแลกเปล่ียนกันข้ึน โดยประเทศ ไทยซ้ือนํ้ามันดิบจากคูเวต ส่วนคูเวตก็ซื้อข้าวจากประเทศไทย หากประเทศคูเวตจะพยายามปลูก ขา้ วในทะเลทรวยไดแ้ ต่จะต้องลงทุนมากและดูออกจะไม่คมุ้ เหมอื นกับการที่นิสติ อยู่คนเดียวแต่หุง หาอาหารกนิ เองทง้ั 3 มอื้ นน่ั เอง ในบางครง้ั ถา้ เราตอ้ งการจอบ เสยี มหรอื มดี ที่ใช้ในครัว แต่เราไมม่ ีความสามารถท่จี ะไปหา เหล็กมาตีเป็นจอบเสียม หรอื มดี ได้ เราก็จาํ เป็นต้องซื้อเขามาอกี ทที ั้งๆที่เรามีเศษเหลก็ อยู่ในบา้ น ซึ่ง

297 ก็เช่นเดียวกับประเทศ ซาร์อี (คองโก) มีแร่ยูเรเนียมมาก แต่ประเทศซาร์อี ก็มิได้รับประโยชน์จาก ยูเรเนียมเท่าไร เพราะไม่มีความสามารถทางเทคโนโลยีท่ีจะนําไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งต่างกับ ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตที่มีแร่ยูเรเนียมมากเช่นกัน หากแต่ประเทศท้ังสองน้ีได้ นําแรย่ ูเรเนยี มมาใช้ทางด้านพลังงานปรมาณอู ยา่ งมากมาย ปัญหาของการแลกเปลี่ยนค้าขายกันน้ันมีอยู่ประการหน่ึงท่ีผู้ศึกษาน่าจะเอามาอภิปรายคือ ทองคํา และเพชรพลอย ซงึ่ นาํ มาใชป้ ระโยชน์ด้านปัจจัยสี่ คอื อาหาร เครื่องนุง่ หม่ ท่อี ยู่อาศัยและยา รักษาโรคได้น้อยมาก แต่กลับมีราคาแพงกว่าปัจจยั สี่ปริมาณเท่าๆกันเสียอีก ทั้งน้ีเนื่องจากอุปาทาน ของคนท่ียึดม่ันในค่านิยมของทองคําและเพชรพลอยเหล่าน้ีว่าเป็นของมีราคาสูง หรืออย่างเครื่อง เล่นจานเสียงสเตอริโอที่มีราคาแพงมากท้ังๆท่ีไม่มีก็ไม่เห็นจะตาย แต่คุณค่าราคานั้น เป็นการ อุปาทานของคนมากกวา่ ปัจจุบันนี้ปัญหาเรื่องน้ํามันขึ้นราคานั้นเราคงจะทราบกันดีทุกคน เน่ืองจากน้ํามันเป็น สิ่งจําเป็นในชีวิตประจําวัน เม่ือก่อนน้ีมีราคาถูกแต่กลุ่มประเทศผู้ผลิตนํ้ามันได้ทําการข้ึนราคาใน ระยะเวลาไมก่ ่ปี ีมาน้หี ลายครั้งอันทาํ ให้นํา้ มันที่เคยมีราคาถูกในสมัยกอ่ นมีราคาแพงขึ้นต้ังหลายเท่า สําหรับเร่ืองน้ีก็น่าจะต้องพิเคราะห์ตรึกตรองดูให้ดีเพราะข้าวซึ่งเคยเป็นสินค้าออกสําคั ญท่ีสุดของ ไทย ก็จัดได้ว่าเป็นส่ิงที่จําเป็นต่อชีวิตประจําวันเช่นกัน แต่ทําไมจึงมีราคาถูกเมื่อเทียบกับรถยนต์ เครื่องเล่นจานเสียงสเตอริโอ ลองคิดดูแล้วกันว่า จะต้องเอาข้าวก่ีกระสอบเพ่ือแลกกับเคร่ืองเล่น จานเสยี งสเตอรโิ อหนง่ึ เครอื่ ง เนื่องจากประเทศจําเป็นต้องมีการซื้อขายแลกเปล่ียนผลิตผลซ่ึงกันและกัน ก็เป็นธรรมดา อยเู่ องที่ประเทศบางประเทศกย็ ่อมได้เปรียบ ประเทศบางประเทศก็มสี ่ิงจําเป็นที่อกี ประเทศหนึ่งไม่ มี เช่น ประเทศซาอุดิอารเบียมีน้ํามันประเทศญ่ีปุ่นไม่มีน้ํามัน เป็นต้น ทําให้เกิดเล่ห์เหลี่ยในการ ติดต่อค้าขาย โดยแต่ละประเทศต้องพยายามหาผลประโยชน์ เข้าสู่ประเทศของตนให้มากท่ีสุด อัน เป็นธรรดาเช่นเดียวกับการค้าของเอกชนทั่วไป ในท่ีสุดจะเกิดประเทศท่ีรํ่ารวย ประเทศที่ยากจน ประเทศเจา้ หน้ี ประเทศลูกหนี้ขน้ึ บอ่ ยครัง้ เนอื่ งจากผลประโยชน์ของประเทศทขี่ ดั กัน หรือประเทศ ที่กลังทางทหารเข้มแข็งได้ ประพฤติตัวเป็นนักเลงโต พยายามแสวงหาผลประโยชน์เข้าสู่ประเทศ โดยการใช้กําลัง ซ่ึงสงครามก็มักเป็นผลติดตามมา ดังน้ัน สงครามจึงเป็นส่วนหนึ่งของความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ เร่ืองการให้ความช่วยเหลือของประเทศมหาอํานาจต่อประเทศต่างๆในโลกน้ีเป็นเร่ืองของ ผลประโยชน์เช่นกันคือ ต่างฝ่ายก็ต้องการได้พวกหรือลูกน้องเพ่ือเอาไว้ช่วยเหลือหรือให้การ สนับสนุนประเทศของตนต่อไป เหมือนอย่างนักเลงกต็ ้องหาพรรคพวกไว้ ถ้าเกิดการตีกันขึน้ จะได้ มีพรรคพวกคอยชว่ ยเป็นต้น

298 สรุปเร่ืองปัญหาระหว่างประเทศในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ีเกิดขึ้นท้ังในอดีตและ ปัจจุบัน ตลอดจนปัญหาระหว่างประเทศท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตน้ัน แทบทั้งหมดเกิดมาจาก ผลประโยชนท์ ่ีขัดกันของประเทศต่างๆน่นั เอง เคร่ืองมือที่จะให้เข้าใจในเรื่องความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศอยา่ งน้อยควรมี 2 ประการคอื 1. ข้อมูล เนื่องจากวิชาปัญหาระหว่างประเทศน้ัน มีวิวัฒนาการเป็นเวลานานนับพันปี ซึ่ง ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ท้ังทางด้านความคิดและเทคโนโลยีดังตัวอย่างเร่ืองอาณาเขต ในท้องทะเลนั้น ตามหลักสากลเคยถือว่าอาณาเขตของประเทศจะนับรวมท้องทะเลห่างจากฝั่ง ออกไป 3 ไมล์น้ัน ในสมัยก่อนถือว่าปืนใหญ่จากเรือรบไม่สามารถยิงเข้าไปถึง เน่ืองจากความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สามารถผลิตอาวุธมีประสิทธิภาพในการทําลายเกินกว่าระยะทาง 3 ไมล์ ได้อย่างแม่นยํา เช่นขีปนาวุธข้ามทวีปต่างๆทําให้ระยะทาง 3ไมล์ไม่มีความหมาย ยิ่งกว่าน้ัน อุตสาหกรรมประมงก็ได้พัฒนาก้าวหน้า ทําให้เรือใหญ่สามารถกว้านจับปปลาได้เป็นเวลานานๆ และได้มีการค้นหาทรัพยากรได้ท้องทะเล โดยเฉพาะอย่างย่ิงแหล่งน้ํามันใต้ท้องทะเลจึงทําให้ ปัญหาระหว่างประเทศแบบใหมเ่ กดิ ขึ้น แม้ขณะนี้ก็ยังไม่มกี ารตกลงอย่างแน่นอนว่า อาณาเขตท้อง ทะเลแต่ละประเทศควรจะห่างจากฝ่ังเท่าไร บางประเทศได้ประกาศว่า อาณาเขตในท้องทะเลของ ตนอยู่ห่างจากฝั่งถึง 200 ไมล์ก็มี ทุกวันน้ีเรือประมงของประเทศไทยมักจะถูกจับในน่านน้ําของ ประเทศเพ่ือนบา้ นเสมอ ซง่ึ ก็เปน็ ปญั หาระหวา่ งประเทศทยี่ งั แกไ้ มต่ กอยเู่ หมือนกนั ดังนั้น ผู้ท่ีศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงจําเป็นต้องเป็นผู้ท่ีติดตามความ เคลื่อนไหวให้ทันเหตุการณ์ของโลกอยู่เสมอ เน่ืองจากปัญหาระหว่างประเทศมีวิวัฒนาการเปลี่ยน แปลงอยู่ตลอดเวลา การที่จะศกึ ษาอยู่ในเฉพาะตาํ รานั้น ไมเ่ ปน็ การเพียงพออยา่ งแนน่ อน นอกจากนี้วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน้ันยังต้องข้ึนอยู่กับพลังและปัจจัยต่างๆ อัน ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ เพราะวา่ การท่บี ุคคลใดจะมปี ัญหากับใครหรือติดต่อกับผู้ใดน้ัน บคุ คลนน้ั จําเป็นต้องศึกษาภูมิ หลังของผู้น้ันหรือประเทศน้ันเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร มีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ชอบอะไร เกลียด อะไร ต้องการอะไร ถ้าไม่รู้ภูมิหลังเสียแล้ว การติดต่อหรือการที่จะแก้ปัญหาก็อาจเป็นไปได้ยาก อาจเกิดการขัดอกขัดใจกันโดยใช่เหตุ ลองนึกเอาใจเขามารใส่ใจเราก็ได้เช่น คนไทยเรามีความ เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษตั ริย์เป็นอย่างสูง ถ้าหากมีชาวต่างประเทศที่มาติดต่อการงานหรือ มาเย่ียมเยียนได้มาพูดจาทํานองดูถกู ดูหม่ินติเตียนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห้วแล้ว เราคนไทยก็คง เปน็ เดอื ดเป็นแค้นขึ้นมาไดง้ า่ ยๆ และอาจจะไม่ตอ้ งพูดจาธรุ ะปะปงั อะไรกนั เลยกไ็ ด้ สําหรับข้อมูลที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร และข่าวสารสัปดาห์ จําเป็นจะต้อง ระมดั ระวงั ให้มากพอสมควรทเี ดียวในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยความเห็นของผู้

299 วิเคราะห์ข่าวไปปะปนกับเน้ือข่าว เพราะว่าผู้วิเคราะห์ข่าวทุกคนย่อมมีความลําเอียง อันเป็นสิ่ง ธรรมดาของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน เป็นต้นว่าประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาได้แถลงนโยบายต่าง ประเทศของสหรัฐอเมรกิ าออกมาเปน็ ทางการแล้ว ผูว้ เิ คราะหข์ า่ วก็จะแยกแยะใจความของนโยบาย พร้อมท้ังออกความเห็นว่านโยบายที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร ซึ่งจากเนื้อข่าวจริงๆแล้วก็จะมีเพียงแต่ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ประธานาธิบดี ได้แถลงออกมาเท่านั้น สํานักข่าวต่าง ประเทศท่ที ําหน้าท่ีขายเน้อื ขา่ วนก้ี ม็ ีสํานักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ขององั กฤษ สาํ นักขา่ ว เอ.พ.ี (The Associated Press) และยู.พี.ไอ. (The United Press International) ของสหรัฐอเมริกา สํานักข่าว เอ. เอฟ.พี.(Agence France Press) ของฝร่ังเศส สํานักข่าวทาสส์ (Tass) ของสหภาพโซเวียต สําหรับ นิตยสารต่างๆทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ มักจะมีข้อมูลในเชิงวิเคราะห์มากกว่าซ่ึงควรอ่านเป็น แนวทาง แต่ไม่ควรเชื่อคล้อยตามไปทั้งหมด เน่ืองจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์โดยท่ัวไปย่อมมี จดุ หมายท่จี ะขายหนังสือของตนใหไ้ ด้มากและบ่อยคร้ังจะไม่มคี วามรบั ผิดชอบ จะตอ่ เตมิ เสริมข่าว และวิเคราะห์ให้ตื่นเต้นหรือโจมตีผู้นําของประเทศหรือประเทศใดประเทศหน่ึงเปน็ สว่ นรวม เพียง เพื่อจะขายหนงั สอื ให้ไดม้ ากๆเท่าน้ัน เราจะตําหนิผู้ที่มอี าชพี ทําหนังสอื พมิ พ์นี้ไม่ได้เลย เพราะเปน็ อาชีพและผลประโยชน์ของเขา หากแตบ่ รรดานักหนังสือพิมพม์ ักจะแอบอ้างตนเองว่าเป็นปากเป็น เสียงของประชาชน หรอื วา่ ตนทําหนังสอื พิมพเ์ พ่ือความเป็นธรรม อะไรทํานองนี้ ดังนนั้ ผศู้ ึกษาวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จําตอ้ งระวงั ในเรอื่ งขอ้ มลู จากหนังสอื พิมพน์ ิตยสารให้มาก การศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้ศึกษาจําต้องฝึกฝนการวิเคราะห์วิจารณ์เหตุ การณ์ที่เกิดข้ึนในปัจจุบันท่ัวโลก ซ่ึงผู้ศึกษาควรจะอ่านหนังสือพิมพ์รายวันทุกวันวันละ 3-4 ฉบับ จะสงั เกตเห็นได้ว่าการรายงานข่าวซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันมักจะแตกตา่ งกัน และบอ่ ยครง้ั มักจะตรงกัน ขา้ มแบบขาวเปน็ ดาํ ทเี ดียว 2. ความเข้าใจท่ีมีต่อปัญหานั้นๆ หมายถึงมองจุดสําคัญของปัญหา สาเหตุพฤติกรรมและ วิธีแก้ไขสามารถทําให้เห็นปัญหานั้นๆ ได้สําเร็จ การที่จะเข้าใจปัญหาระหว่างประเทศน้ัน จําต้อง ทราบสถานการณ์ท่ีแท้จริงของโลกเสียก่อน เหมือนดังแพทย์จะต้องเข้าใจว่าร่างกายของมนุษย์ เสยี ก่อนว่ามีอะไรบา้ ง และจะต้องทราบถึงระบบการทํางานของร่างกายมนษุ ย์อย่างดี จงึ จะสามารถ มองจุดท่ีจะรักษาคนไข้ได้ โปรดระลึกไว้ด้วยอาการปวดท้องน้ันเป็นสมุฏฐานของโรคหลายชนิด ดังน้ันความสําคัญของแพทย์ คือ ต้องวินิจฉัยโรคให้ถูก แล้วจึงลงมือรักษาได้ หากแพทย์วินิจฉัย คนไข้ที่ปวดท้องว่าท้องเฟ้อมีแกส็ ในท้องมากจึงปวดท้อง แล้วแพทย์ก็ให้ยาไปรับประทาน แต่ตาม ความจรงิ คนไขเ้ ปน็ ไสต้ ่ิงอย่างนก้ี ็เป็นความผิดพลาดของแพทย์ หากการเปรียบเทียบกรณแี พทย์กับ คนไข้ยังไมก่ ระจ่างก็โปรดเปรียบเทียบถึงชา่ งแกร้ ถยนต์ ที่มีความจําเป็นจะต้องทราบถึงเคร่ืองยนต์ และส่วนประกอบของรถยนต์ ตลอดจนระบบการทํางานของรถยนต์เป็นอย่างดี เม่ือรถยนต์เสียก็

300 จะตอ้ งตรวจวินิจฉัยเช่นกันวา่ อะไรเสยี จะแก้อย่างไร อาทิ รถสตา๊ รท์ ไม่ตดิ นน้ั มมี าจากหลายสาเหตุ หากช่างแก้รถยนต์จับจุดถกู ก็จะแก้ได้ง่าย หากจับจุดผิดก็เสียแรงงาน เสียเวลา เสียเงินไป โดยเปล่า ประโยชน์ แถมยังแกป้ ญั หาไมไ่ ดอ้ ีกด้วย ความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศก็เช่นกัน ผู้ท่ีศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควรจะ เขา้ ใจสภาพทแ่ี ทจ้ ริงของโลก และการอยู่รว่ มกนั ของประเทศตา่ งๆ ในโลกเสยี กอ่ น กลา่ วคือ สภาพอันแท้จริงของโลก เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศไม่มีความหมาย ในเม่ือผล ประโยชน์ อันสําคญั ของประเทศตา่ งๆเข้าเกยี่ วข้องแล้ว สภาพอันแทจ้ รงิ าของโลกจึงยงั อยู่ในสภาพ อันป่าเถ่ือนอยู่ ถ้าเราสมมุติว่าโลกเรานี้เป็นเกาะๆ หนึ่ง ซ่ึงตดั ขาดจากโลกภายนอกโดยทะเล บนเกาะมีคน ประมาณ 130 คน บนเกาะน้ีไม่มีกฎหมาย ไม่มีตํารวจ มนุษย์ต่างคนต่างอยู่ บางคนหัวใหญ่ และมี ปืนใช้ มีความรู้สูง มีบ้านหลังใหญ่อยู่เปรียบคนนี้เหมือนประเทศมหาอํานาจ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย บางคนก็ตัวใหญ่แต่ไม่แข็งแรงนัก ความเป็นอยู่ไม่ค่อยดี ปืนก็ไม่มีใช้ เปรียบก็เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย เป็นต้น บางคนก็ตัวเล็กไม่แข็งแรง อาวุธก็ไม่มีใช้ แต่มีสมบัติมาก เปรียบเช่นประเทศ คูเวต อิหร่าน บางคนก็ตัวเลก็ ผอมแห้งแรงน้อย ทรัพย์สมบัติไมม่ ี อาวุธไม่มี เช่น ประเทศลาว พม่า เปน็ ตน้ บางคนกย็ งั เปน็ เด็กทารกอยเู่ ปรียบเหมือนประเทศเกิดใหมแ่ ถวอาฟริกา สภาพเช่นนี้คือ คนต่างจิตต่างใจ ต่างฐานะ ต่างอํานาจมารวมอยู่ด้วยกันโดยไม่มีกฎหมาย ไม่มีตํารวจ ก็เหมือนกับโลกเราเดี๋ยวน้ี คนต่างๆเหล่านี้มีเมื่อกฎหมายไม่มี แต่มีความหิว ความโลภ ความโกรธครอบงําอยู่ศีลธรรมถึงแม้จะมีก็พ่ายแพ้ต่อความโลภ ความโกรธ ความหิว เพราะฉะนั้น ความปกติสุขจะมีบนเกาะน้ีได้อย่างไร ต่างคนต่างก็แสวงหาผลประโยชน์ใสต่ ว และพยายามจะทาํ ส่ิงทีใ่ ห้ความปลอดภัยแก่ตนมากทส่ี ุด อาจจะมีการรวมกําลังกันบา้ งก็เป็นครั้งคราว เพือ่ ปราบปราม บางคนท่ีเป็นคนพาล คนตัวเล็กก็พยายามแสวงหาคนตัวใหญ่ไว้เป็นที่พึ่ง คนตัวใหญ่โดยเฉพาะ อย่างยง่ิ ท่มี ปี ืนด้วย กจ็ ะประพฤติตัวตามใจชอบต่างก็คอยระแวงกนั อยตู่ ลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็จะไม่เคยรู้สึกปลอดภัย ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ก็ต้องพยายามที่จะ ทําให้ตนปลอดภยั จากคนอ่นื ปลอดภยั จากความอดอยากและแสวงหาความสบายใหม้ ากทสี่ ุด เท่าที่ จะมากได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องพยายามเอาเปรียบคนอื่น พยายามสร้างอํานาจสะสมความมั่นคง คอยดแู ลไมใ่ หค้ นอ่นื มีอาํ นาจมากกว่าตน พยายามแสวงพวกใหม้ ากเท่าทีจ่ ะมากได้ ถา้ เพ่อื นคนหน่ึง ไรป้ ระโยชน์ก็อาจจะไปรวมหัวกบั คนที่เป็นศัตรูเลน่ งานเพื่อนเก่ากไ็ ด้ ถา้ ผลประโยชนส์ ่วนตัวบอก ใหท้ ําเช่นนัน้ ภาวการณ์ของคนประมาณ 130 คนอยู่บนเกาะซึ่งไม่มีตํารวจ ไม่มีกฎหมายหรือมีก็ไมม่ คี น บังคับใช้น่ีแหละก็เปรียบเหมือนสังคมของประเทศต่างๆ ในปัจจุบันนี้เองท่ียังคอยหาอํานาจเอา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook