Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore DLTV-วิทยาศาสตร์

DLTV-วิทยาศาสตร์

Published by NM.Lastofthelove, 2021-09-20 12:04:25

Description: DLTV-วิทยาศาสตร์

Keywords: DLTV

Search

Read the Text Version

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” บทสรุปผบู้ รหิ าร คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ดำเนินการจัดทำโครงการสนับสนุน DLTV เพื่อ แก้ไขปัญหาขาดแคลนครูให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก ภายใต้บทบาทมหาวิทยาลัยของชุมชนท้องถิ่นให้ เชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โครงการนี้จึงมีส่วน พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษา ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทางการศึกษา ลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับนักเรียนและ ประชาชนในจังหวัดนครสวรรค์และอุทัยธานี ซึ่ง สื่อ DLTV จะเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของ ผู้เรียน ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและวิธีการสอน โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรู้ แบบใหม่ในการพัฒนาเนื้อหาและทักษะแบบใหม่ เน้นการเรียนการสอนที่เสริมสร้างทักษะชีวิต สามารถ นำมาใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพไดจ้ ริง ตลอดจนสามารถกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนรักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชวี ติ เป็นผูท้ ีม่ คี วามรู้และทักษะในศตวรรษท่ี 21 การดำเนินงานโครงการฯ ได้รับความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ผู้บริหารและครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 50 โรงเรียน รวมทั้งศึกษานิเทศก์ สำนักงาน เขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาจังหวัดนครสวรรค์และอุทัยธานีในการขบั เคลื่อน โดยโรงเรียนท่ีเข้าร่วม เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเลก็ ที่นักเรียนมผี ลการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาติขั้นพืน้ ฐาน (O- Net) ปีการศึกษา 2564 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละของระดับประเทศ จากนั้นทางคณะทำงานวิเคราะห์ ความต้องการในการใช้สื่อสื่อวิดีทัศน์ของครูผู้สอนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและบริบทโรงเรียน ประถมศึกษาขนาดเล็ก นำมาแลกเปลี่ยนในการประชุมปฏบิ ัติการกับศึกษานิเทศ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ ปัญหาและสังเคราะห์เนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพัฒนาเป็นสื่อวิดีทัศน์ พร้อมจัดทำคู่มือการใช้งานในรูปแบบ e-Book เพื่อสนบั สนนุ การเรียนการสอนสำหรับออกอากาศทางสถานโี ทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ให้ โรงเรียนกลุ่มเป้าหมายใช้ในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่สื่อวิดีทัศน์ผ่านทาง เครือข่ายอินเทอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์บน NSRU Channel และแพลตฟอร์มของ Google Drive สำหรับโรงเรียนอืน่ ที่สนใจในเขตพนื้ ทีจ่ ังหวัดนครสวรรคแ์ ละอทุ ัยธานี จากการดำเนินงานดังกล่าวส่งผลให้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อวิดีทัศน์เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ร้อยละ 85 ในส่วนการประเมินผลจากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ปี การศึกษา 2564 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะอยู่ ในชว่ งปีการศกึ ษา พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมกี ารกำกบั ตดิ ตามผลในลำดับถดั ไป คณะกรรมการดำเนินงาน

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” คำนำ ปัจจุบนั ในการเปลีย่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยกี ารสื่อสารเกิดขน้ึ ค่อนข้างรวดเรว็ และส่งผลกระทบ ต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพของคนที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสงั คม และประเทศ เทคโนโลยีการสื่อสารจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา นอกจากน้ี การศึกษาไทยในยุค 4.0 เปน็ การเรยี นการสอนท่มี ุ่งเน้นให้ผเู้ รยี นสามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกหนทุก แห่งท่ัวโลกมาบรู ณาการเชงิ สรา้ งสรรค์เพ่ือพัฒนานวัตกรรรมต่าง ๆ ทตี่ อบสนองความต้องการของสังคม ได้ หรือนวตั กร เป็นการพัฒนาเดก็ และเยาวชนใหม้ ีความคดิ สร้างสรรค์ สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม มี ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง คิดวิเคราะห์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รู้จักแยกแยะข้อมูล มีทักษะอาชีพและทักษะใน ศตวรรษที่ 21 เพ่อื ใหส้ ามารถอยรู่ ่วมและทำงานภายใตส้ ังคมพหุวฒั นธรรมไดอ้ ย่างปกตสิ ขุ การขับเคลื่อนการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ช่วย แกป้ ัญหาการขาดแคลนครู ครูไม่ครบชน้ั และครไู มต่ รงสาขาของโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นท่ีห่างไกลจึงมี ความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาให้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับโลกยุค 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วย นวัตกรรมและข้อมูลข่าวสาร การผลิตสื่อวิดีทัศน์เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่าน ดาวเทียม จึงควรมุ่งเน้นให้ผู้เรียนชี้นำตนเองในการเรียน ผู้เรียนพร้อมเรียนรู้เมื่อต้องการนำความรู้ไป แก้ปญั หาในชวี ิตจริง รวมทั้งเกดิ แรงจูงใจ (Passion) ในการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวิต ตลอดจนสื่อ ควรสามารถนำไปใช้ในแพลตฟอร์ม การเรียนรู้ต่าง ๆ ตามบริบทของโรงเรียนได้ อันเป็นการยกระดับ คณุ ภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเลก็ อยา่ งแท้จริง ปัจจุบันการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ได้มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน เป็น New DLTV โดยมีการเปล่ียนแปลงท่สี ำคัญคอื ใช้สอื่ ท่เี อือ้ ตอ่ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning นักเรียนได้มีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติจริงทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และสามารถเชอื่ มโยงความร้แู บบองคร์ วมได้ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ในฐานะมหาวิทยาลัยของชุมชนท้องถิ่นได้ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวข้างต้น จึงสนใจผลิตสื่อวิดีทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งประกอบไปด้วย 4 สาระคือ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์ กายภาพ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียนตาม มาตรฐานการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม (DLTV) ในระดับสถานศึกษา ตัวชี้วัดที่ 1 พฤติกรรมสำคัญที่เกิดจากการเรียนการสอน ตัวชี้วัดที่ 2 ผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และตัวชี้วัดที่ 3 ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O- Net) อีกทั้งยังเป็นไปตามพันธกิจของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ. ที่มีภารกิจสำคัญด้านการผลิตครูและ ดา้ นการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรยี นในท้องถนิ่ อย่างยั่งยืน คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์ ข คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” สารบญั เรือ่ งท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ .......................................................................................................1 ตอนที่ 1 ครอบครัวส่ิงมีชีวิต ............................................................................................................. 3 ตอนที่ 2 สายใยชวี ติ ....................................................................................................................... 10 ตอนที่ 3 อาหารดี ชวี ีมีสขุ .............................................................................................................. 17 ตอนท่ี 4 ระบบย่อยอาหาร ............................................................................................................. 24 ตอนท่ี 5 การจำแนกส่งิ มชี วี ติ ......................................................................................................... 29 ตอนท่ี 6 สว่ นประกอบของพืช........................................................................................................ 34 ตอนท่ี 7 พืชดอกและพืชไม่มีดอก................................................................................................... 37 ตอนที่ 8 สตั ว์มีกระดูกสนั หลังและสตั วไ์ ม่มีกระดกู สนั หลัง.............................................................. 41 ตอนท่ี 9 สตั ว์มีกระดูกสนั หลัง ........................................................................................................ 44 ตอนที่ 10 พันธุศาสตร์.................................................................................................................... 47 เร่ืองที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ.....................................................................................................51 ตอนที่ 1 สารและสมบตั ิของสาร .................................................................................................. 54 ตอนท่ี 2 การเปลีย่ นแปลงของสาร................................................................................................ 62 ตอนที่ 3 วสั ดแุ ละสมบัติของวัสดุ ................................................................................................. 68 ตอนที่ 4 การแยกสารอย่างงา่ ย.................................................................................................... 71 ตอนที่ 5 แรงลัพธแ์ ละแรงเสยี ดทาน ............................................................................................ 81 ตอนท่ี 6 แรงในชวี ิตประจำวันและโมเมนต์ของแรง ........................................................................ 85 ตอนท่ี 7 การเคล่อื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ................................................................................................... 89 ตอนท่ี 8 แสง ................................................................................................................................ 92 ตอนท่ี 9 พลังงานเสียง ................................................................................................................... 99 ตอนท่ี 10 พลงั งานไฟฟา้ ..............................................................................................................102 เรอื่ งที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ ...................................................................................... 112 ตอนที่ 1 ดวงจันทร์.......................................................................................................................115 ตอนท่ี 2 ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์...........................................................................120

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนที่ 3 ตำแหน่งและเส้นทางการขนึ้ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์ ....................................................129 ตอนท่ี 4 ปรากฏการณส์ ุริยปุ ราคาและจนั ทรปุ ราคา .....................................................................136 ตอนที่ 6 แหลง่ น้ำ วฏั จักรนำ้ และการอนรุ ักษ์..............................................................................142 ตอนที่ 7 หนิ และแร่....................................................................................................................146 ตอนที่ 8 ซากดกึ ดำบรรพ์..............................................................................................................150 ตอนที่ 9 ลมบก ลมทะเล และมรสุม .............................................................................................155 ตอนท่ี 10 ภยั ธรรมชาตแิ ละปัญหาสิ่งแวดล้อม..............................................................................160 เรอ่ื งที่ 4 เทคโนโลยี....................................................................................................................167 ตอนที่ 1 การใชเ้ หตผุ ลเพื่อแก้ไขปญั หาแบบเปน็ ข้ันเป็นตอนในชวี ิตประจำวัน ..............................169 ตอนที่ 2 การเขียนผังงานเพ่ือแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวนั ..........................................................172 ตอนท่ี 3 การใช้เหตผุ ลเพอื่ แก้ไขปญั หาแบบมีทางเลอื กในชีวติ ประจำวัน ......................................176 ตอนที่ 4 การเขียนผงั งานเพื่อแก้ไขปญั หาแบบมที างเลอื กในชวี ิตประจำวนั ..................................178 ตอนท่ี 5 การใชเ้ หตผุ ลเพือ่ แก้ไขปญั หาแบบมีการทำซ้ำในชวี ติ ประจำวัน......................................182 ตอนท่ี 6 การเขยี นผังงานเพื่อแก้ไขปัญหาแบบมีการทำซำ้ ในชีวติ ประจำวนั ................................183 ตอนท่ี 7 วธิ ีการค้นหาข้อมลู อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ..........................................................................187 ตอนที่ 8 เทคนิคการคน้ หาข้อมลู เฉพาะเจาะจง ............................................................................192 ตอนท่ี 9 อันตรายจากการใช้งานอินเทอรเ์ น็ต ...............................................................................194 ตอนที่ 10 แนวทางการป้องกันการใช้งานอนิ เทอร์เน็ต..................................................................199 เร่ืองที่ 5 ทบทวนความรู้.............................................................................................................205 ง คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” เรือ่ งที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ สายใยอาหาร และโซ่อาหาร คุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต การดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม 2. สามารถอธิบายอาหาร ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ และการทำงานของระบบย่อยอาหารของมนุษย์ การ ดูแลรักษาอวยั วะในระบบย่อยอาหาร 3. สามารถการจำแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิต ออกเปน็ กลุ่มพืช กลมุ่ สัตว์ และกลุม่ ทไ่ี ม่ใชพ่ ืชและสัตว์ 4. สามารถจำแนกพืชออกเป็นพชื ดอกและพชื ไม่มีดอก การทำหนา้ ทขี่ องส่วนต่าง ๆ ของพืชดอก 5. สามารถจำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูก สันหลังเป็นเกณฑ์ ลักษณะเฉพาะของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่ม สัตว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และกลุม่ สตั ว์เล้ยี งลกู ด้วยน้ำนม 6. สามารถอธบิ ายลักษณะทางพันธกุ รรมท่มี กี ารถา่ ยทอดจากพ่อแม่สูล่ ูก ของพชื สตั ว์ และมนษุ ย์ ตอน ชอ่ื สาระสำคัญ เวลา ท่ี (นาที) 1 ครอบครัวส่งิ มชี ีวติ ส่ิงมชี ีวติ ทง้ั พชื และสตั วม์ โี ครงสร้างและลกั ษณะท่ี เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซ่ึงเป็นผลมาจากการ ปรบั ตัวของส่ิงมชี ีวิต เพ่ือให้ดำรงชีวิตและอยูร่ อดได้ ในแหลง่ ทีอ่ ยู่อาศัยต่าง ๆ ได้ ความสัมพนั ธ์ระหว่าง สงิ่ มีชีวิตกับสงิ่ มชี ีวิต และความสัมพันธร์ ะหวา่ ง สง่ิ มชี ีวิตกบั สงิ่ ไม่มีชวี ิต เพื่อประโยชนต์ ่อการ ดำรงชีวติ 2 สายใยชวี ติ สายใยอาหาร และโซ่อาหาร ระบุบทบาทหน้าทีข่ อง 3 อาหารดี ชีวมี ีสุข สง่ิ มีชีวติ ทเ่ี ป็นผู้ผลติ และผูบ้ ริโภคในโซ่อาหาร ตระหนักในคุณค่าของสง่ิ แวดล้อมท่มี ีต่อการ ดำรงชีวิตของสิ่งมชี ีวติ โดยมีส่วนร่วมในการดแู ล รกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม สารอาหาร และประโยชนข์ องสารอาหารแต่ละ ประเภทจากอาหารทรี่ ับประทาน การเลอื ก รับประทานอาหารให้ไดส้ ารอาหารครบถว้ น ใน สดั สว่ นท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้งั ความ ปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ ความสำคัญของสารอาหาร คณะครุศาสตร์ 1 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอน ช่อื สาระสำคญั เวลา ท่ี (นาท)ี โดยเลือกรบั ประทานอาหารท่ีมีสารอาหารครบถ้วน 4 ระบบย่อยอาหาร ในสดั ส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัยรวมท้งั ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ 5 การจำแนกสิ่งมชี ีวิต ระบบยอ่ ยอาหาร การดดู ซมึ สารอาหาร และหนา้ ที่ ของอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร ความสำคญั ของ 6 ส่วนประกอบของพชื ระบบย่อยอาหาร แนวทางในการดแู ลรักษาอวยั วะ 7 พชื ดอกและพชื ไม่มีดอก ในระบบย่อยอาหารให้ทำงานเปน็ ปกติ 8 สตั วม์ ีกระดูกสนั หลังและสัตว์ไมม่ ี การจำแนกสง่ิ มีชวี ติ โดยใชค้ วามเหมอื น และความ แตกตา่ งของลกั ษณะของสง่ิ มีชีวติ ออกเปน็ กลุ่มพชื กระดูกสันหลงั กลมุ่ สตั ว์ และกล่มุ ท่ีไม่ใช่พืชและสัตว์ 9 สัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง สว่ นประกอบ และหนา้ ที่ของราก ลำตน้ ใบ และ ดอกของพชื ดอก 10 พนั ธุศาสตร์ การจำแนกพืชออกเปน็ พืชดอกและพืชไม่มีดอกโดย ใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์ การจำแนกสตั ว์ออกเปน็ สัตว์มกี ระดูกสนั หลงั และ สตั ว์ไม่มีกระดกู สนั หลัง โดยใช้การมีกระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑ์ ลกั ษณะเฉพาะทส่ี ังเกตได้ของสตั ว์มกี ระดูกสันหลงั ในกลุม่ ปลา กลุม่ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลมุ่ สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน กลมุ่ นก และกลุ่มสัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ย นม ตัวอย่างสง่ิ มีชีวิตในแต่ละกลมุ่ ลักษณะทางพันธุกรรมทมี่ ีการถา่ ยทอดจากพอ่ แมส่ ู่ ลกู ของพืช สัตว์ และมนษุ ย์ ลักษณะทคี่ ลา้ ยคลึง กนั ของตนเองกับพอ่ แม่ 2 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอนที่ 1 ครอบครัวส่งิ มีชีวติ หากเปรยี บสิ่งมีชีวติ บนโลกเสมือนครอบครัวที่อยู่อาศยั ร่วมกัน ต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ร่วม ถึงต้องมีบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต ระบบนิเวศของโลกจึงไม่ต่างจากครอบครัว ใหญ่ครอบครัวหนึ่ง สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์บนโลก มีโครงสร้างและลักษณะที่ถูกวิวัฒนาการ และปรับตัวให้ เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ่งมีชีวิต และส่ิ งไม่มีชีวิต เกิดเป็น วิวฒั นาการรว่ มกัน เพ่อื ใหด้ ำรงชีวิตอยรู่ อดได้ ความสัมพนั ธ์ของสิ่งตา่ ง ๆ ท่อี ยู่รอบตวั เรา มีท้ังส่ิงมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอื่น ๆ และสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ดิน น้ำ แสงสว่าง และอากาศ เป็นต้น ทั้งสอง กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ และนอกจากนี้มีสิ่งไมม่ ีชวี ิตที่มนษุ ยส์ ร้างขึน้ เพื่อการดำรงชีวิตไดแ้ ก่ บ้าน ตึก ถนน เสาไฟฟ้า รถยนต์ ฯลฯ และศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนยี มประเพณตี ่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างข้ึนเพือ่ การ อย่รู ่วมกัน ในสังคม สงิ่ ต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกวา่ สง่ิ แวดล้อม ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ มักพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิต หรือเป็น สังคมของสิ่งมีชีวิต (community) กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณแหล่งที่อยู่ (habitat) แตกต่างกัน ซึ่งเกิดจาก การกระจายพันธุ์ไปยังที่ต่าง ๆ และการปรับตัวร่วมกันของสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตกับแหล่งที่อยู่อาศัย ได้แก่ กลุ่มสิ่งมีชีวิตในสระน้ำจืด ในทะเล ในป่า บนต้นไม้ใหญ่ ใต้ขอนไม้ผุ บ้านเมืองของมนุษย์ หรือแม้แต่ร่างกาย ของสิ่งมีชีวิตก็ยังเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตบางชนิดด้วย กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่แต่ละ แห่งนั้นจะมคี วามสมั พนั ธซ์ ึง่ กันและกันทง้ั ในลกั ษณะที่พงึ พาอาศัยกันในรูปแบบตา่ ง ๆ และการแกง่ แยง่ แข่งขัน กนั เปน็ ความสมั พนั ธท์ างชวี ภาพกลุ่มสง่ิ มีชีวิตยังมีความสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล้อมของแหลง่ ทีอ่ ยู่ ซ่งึ เป็นสภาพ ทางกายภาพ ได้แก่ ดิน น้ำ แร่ธาตุ แสงสว่าง และ อื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ ทั้งหมดดังกล่าวประกอบกันเปน็ ระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต ในแหล่งที่อยู่แหล่งอาศัยแหล่งใดแหล่ง หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะความสัมพันธ์ 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต ที่แวดล้อมอยู่ และในขณะเดียวกันก็จะมีความสัมพันธ์อีกลักษณะหน่ึง คือ ความสัมพันธข์ องสิ่งมีชีวิตกบั สิง่ มีชีวิตด้วยกัน ซ่ึง ส่งผลต่อกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ความสัมพันธ์ทั้งสองลักษณะดังกล่าวน้ีจะเกิดขึน้ พรอ้ ม ๆ กันและมีอย่ใู น ระบบนิเวศทุกระบบแสดงว่าชีวิตทั้งหลายไม่อาจอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว โดยปราศจากการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั องค์ประกอบอ่ืน ๆ คณะครุศาสตร์ 3 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตกับแหล่งที่อยู่อาศัย เกิดจากการปรับตัวและวิวัฒนาการร่วมกันของ สิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งมีผลไปถึงโครงสร้าง ส่วนประกอบ อวัยวะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตท่ี เปลี่ยนแปลงไปเพอื่ ให้มีชีวติ รอด และสบื เผ่าพันธุไ์ ดใ้ นแหล่งที่อยู่อาศยั นน้ั ๆ เช่น โครงสรา้ งของพชื ท่ีเหมาะสมต่อการดำรงชีวติ ในแหล่งท่ีอยู่ ต้นกระบองเพชรที่มักจะขึ้นอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง มีปริมาณฝนต่อปีน้อย มีการปรับลำต้นให้อวบน้ำ สามารถเก็บรักษาน้ำเพื่อการดำรงชีวิตได้ ทั้งยังลดแผ่นใบลง เพื่อลดการคายน้ำที่จะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ ออกจากลำตน้ พชื นำ้ มกี ารปรับตวั เพื่อทีส่ ามารถอาศยั อยลู่ อยอย่เู หนือน้ำไดเ้ ชน่ ผักตบชวามีโคนกา้ นใบที่พองออก จากการท่ีมโี ครงสรา้ งเป็นโพรงอากาศอยู่ภายใน หรอื ผกั กระเฉดที่ระหวา่ งข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวหมุ้ ลำต้น ช่วยพยงุ ให้กระเฉดลอยน้ำได้ เรียกว่า \"นมผกั กระเฉด\" 4 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ต้นโกงกางเป็นพชื ที่พบบรเิ วณชายฝัง่ ทะเลที่มลี ักษณะเปน็ ดินเลน และมนี ำ้ ขึ้นน้ำลงตลอดเวลา จงึ ปรบั ลกั ษณะรากใหช้ ่วยในการพยงุ ลำต้นได้ดยี ่ิงขนึ้ นอกจากน้ีบริเวณใบยังสามารถขบั เกลอื ออกไดอ้ ีกดว้ ย โครงสรา้ งของสตั ว์ทีเ่ หมาะสมตอ่ การดำรงชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ แมลงหลายชนิด หรืออย่างเช่นตั๊กแตน มีการปรับตัวใหก้ ลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเพื่อเป็นการพราง ตัวให้พ้นภัยจากศัตรู ขณะเดียวกันการพรางตัวก็สามารถช่วยในการล่าเหยื่อได้อีกด้วย เช่นตั๊กแตนใบไม้ ตัก๊ แตนกง่ิ ไม้ และต๊ักแตนต้นไม้ สัตว์มากมายที่มีการปรับตัวเพื่อให้สามารถอาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ได้ เช่นผิวหนังของ สัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะเป็นเกล็ดแข็ง นอกจากจะใช้ป้องกันตัวแล้ว ยังช่วยในการรักษาน้ำในร่างกายอีก ดว้ ย หรอื สตั ว์ทอ่ี ยู่ในพนื้ ทีส่ ภาพอากาศทีห่ นาวเยน็ การมขี นทยี่ าวจะช่วยใหร้ ่างกายอบอุน่ ได้ คณะครุศาสตร์ 5 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” อูฐเป็นตัวอย่างท่ีดีสำหรับการปรับตัวของสิง่ มีชีวิต เนื่องจากต้องอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่มีความยาก ต่อการดำรงชีวิต อูฐจึงมีการปรับตัวเช่น การมีหนอกใช้สะสมไขมันที่สามารถดึงมาใช้ได้ มีขนเกรียนเพื่อการ ระบายความร้อนได้ดี มีขนตาที่ยาวเพื่อป้องกันทรายเข้าตา มีขาที่ยาวและกลีบแบนเหมาะแก่การเดินใน ทะเลทราย จะสงั เกตได้ว่าสตั วท์ ุกตัวมีการปรับตวั และวิวัฒนาการให้เหมาะกับแหลง่ ท่ีอยู่อาศยั สามาถดำรงชีวิต และขยายเผ่าพนั ธุ์ของตนเองได้ หากแตส่ ภาพแวดล้อมเกิดการเปลีย่ นแปลง ทัง้ ทางดา้ นกายภาพ เชน่ ปริมาณ น้ำฝนลดลง มีอุณหภูมิสงู ขึน้ หรือการเกิดภูเขาไฟระเบดิ และด้านชีวภาพ เช่นการหายไปของสิ่งมชี วี ิตชนิดใด ชนิดหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่เหลือจึงต้องปรับตัวตามไปด้วย หากสิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวได้ดีก็จะสามารถดำรงชีวิต และขยายเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ ในทางกลับกันหากส่ิงมีชีวิตชนิดใดไม่สามารถปรับตัวได้ ก็จำเป็นต้องย้ายถิ่นที่อยู่ อาศยั หรืออาจสญู พนั ธไุ์ ปได้ ความสมั พันธ์ระหว่างส่ิงมีชวี ิตกบั สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศเดยี วกัน การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ในทางตรงอาจมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันหรือเป็นศัตรูกันก็ได้ ทางอ้อมอาจมีความสัมพันธ์แบบ เกี่ยวเนื่องกัน เช่น เสือกับหญ้า โดยเสือไม่กินหญ้า แต่กินสัตว์กินหญ้า เช่น กระต่าย กวาง วัว เป็นต้น ความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกบั สง่ิ มีชีวติ ในระบบนเิ วศเดียวกัน สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ลักษณะคอื 1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน เช่น การรวมฝูง การอาศัยอยู่หรืออาหารในพื้นที่ เดยี วกนั การรวมกลุ่มเพ่ือการผสมพนั ธุ์ ซงึ่ กอ่ ให้เกดิ ความสมั พันธท์ ี่มีทั้งผลดี และผลเสยี เชน่ ผลดี คือ สร้างความเข้มแข็ง และความปลอดภัยในกลุ่ม คอยระวังภัยจากศัตรู การผสมพันธุ์สืบเชื้อ สายให้เผา่ พนั ธ์ุคงอยู่ตอ่ ไป ผลเสยี คอื แกง่ แย่งอาหารและพนื้ ท่ีอยู่อาศยั แย่งชงิ การเป็นจา่ ฝงู 2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตตา่ งชนิดกนั เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ จึงมีการใช้เครื่องหมายต่อไปนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ อาศยั รวมกนั + หมายถึง การได้ประโยชนจ์ ากอีกฝา่ ยหนงึ่ - หมายถึง การเสียประโยชนใ์ หอ้ กี ฝา่ ยหน่ึง 0 หมายถงึ การไม่ไดป้ ระโยชน์ แตก่ ไ็ ม่เสียประโยชน์ 6 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 1. ความสัมพนั ธ์แบบพึ่งพา (Mutualism: + , +) หมายถึง การอยรู่ ว่ มกนั ของส่งิ มชี วี ิต 2 ชนดิ โดย ต่างกไ็ ด้รบั ประโยชน์ซ่ึงกนั และกนั หากแยกกันอยจู่ ะไมส่ ามารถดำรงชีวิตตอ่ ไปได้ เชน่ - ไลเคนส์ (Lichens): สาหรา่ ยอยู่รว่ มกับรา สาหร่ายได้รับความชื้นและแร่ธาตุจากรา ราได้รับอาหาร และออกซิเจนจากสาหรา่ ย - โพรโทซัวในลำไส้ปลวก - แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ - แบคทีเรยี ในปมรากพชื ตระกูลถวั่ - ราในรากพืชตระกูลสน 2. ความสัมพนั ธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกนั (Protocooperation: + , +) หมายถงึ การอยู่ร่วมกันของ ส่งิ มีชีวิต 2 ชนิด โดยกไ็ ดร้ บั ประโยชน์ซ่ึงกนั และกนั แม้แยกกันอย่กู ็สามารถดำรงชวี ิตไดต้ ามปกติ เช่น - แมลงกับดอกไม้ - ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล - มดดำกบั เพลี้ย - นกเอ้ียงกับควาย คณะครุศาสตร์ 7 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 3. ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยหรือความสัมพันธ์แบบเกื้อกูล (Commensalism: + , 0) หมายถึง การอยรู่ ่วมกันของส่ิงมีชีวติ 2 ชนดิ โดยฝ่ายหนงึ่ ไดป้ ระโยชน์ อกี ฝ่ายหน่งึ ไมไ่ ดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ เช่น - ปลาฉลามกับเหาฉลาม - พชื อิงอาศัย (epiphyte) บนตน้ ไมใ้ หญ่ เชน่ กล้วยไมท้ ี่อยู่บนตน้ มะมว่ ง - นก ต่อ แตน ผ้งึ ทำรังบนตน้ ไม้ 4. ความสัมพนั ธแ์ บบปรสติ (Parasitism: + , -) หมายถึง การอยรู่ ว่ มกันของสิง่ มชี วี ติ 2 ชนดิ โดย ฝา่ ยหนึ่งได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสติ (parasite) อีกฝ่ายหนึ่งเสยี ประโยชน์เรียกวา่ ผู้ถูกอาศยั (host) เช่น - เหบ็ เหา ไร หมดั บนร่างกายสัตว์ - พยาธิ ในร่างกายสัตว์ หรอื การอาศัยฝกั ไข่ของแม่นกกาเหวา่ ทจ่ี ะไม่สรา้ งรังเองแต่จะไปไข่ไว้ท่รี ังนกตวั อน่ื และให้แมน่ กตวั นน้ั เลย้ี งลกู แทน ลกั ษณะแบบนีเ้ รียกวา่ นกปรสติ (Brood parasite) 8 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 5. ความสัมพันธ์แบบล่าเหยื่อ (Predation: + , -) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ายหน่ึง จับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอาหาร เรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนฝ่ายที่ถูกจับเป็นอาหารหรือถูกล่า เรียกว่า เหยื่อ (prey) 6. ความสัมพันธแ์ บบแข่งขัน (Competition: - , -) หมายถึง การอยรู่ ่วมกนั ของส่ิงมีชีวิตที่มีการแย่ง ปจั จัยในการดำรงชพี เหมอื นกันจึงทำให้เสียประโยชน์ทงั้ สองฝ่าย เช่น เสอื , สิงโต, สุนัขปา่ แย่งชิงกันครอบครอง ท่ีอยู่อาศยั หรืออาหารพชื หลายชนดิ ที่เจริญอยูใ่ นบริเวณเดยี วกนั เปน็ ต้น 7. ความสัมพันธ์แบบเป็นกลางต่อกัน (Neutralism: 0 , 0) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่เป็น อิสระต่อกนั จงึ ไม่มีฝา่ ยหนงึ่ ฝ่ายใดไดห้ รือเสยี ประโยชน์ เช่น นกกับกระต่ายในทุ่งหญ้า คณะครุศาสตร์ 9 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนท่ี 2 สายใยชีวติ ในธรรมชาติ เรามักพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิต หรือเป็นสังคมของ กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณแหล่งทีอ่ ยู่แตกต่างกัน ได้แก่ กลุ่มสิ่งมีชีวติ ในสระน้ำจืด ในทะเล ในป่า บนต้นไม้ ใตข้ อนไม้ผุ รมิ กำแพงบา้ นหรือแมแ้ ต่ร่างกายของสง่ิ มชี ีวติ ก็ยังเป็นแหล่งทีอ่ ยู่ของส่ิงมชี วี ติ บางชนดิ ด้วย กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่แต่ละแห่งนั้นจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งใน ลักษณะที่พึ่งพาอาศัยกันในรูปแบบต่าง ๆ และการแก่งแย่งแข่งขันกัน เป็นความสัมพันธ์ทางชีวภาพกลุ่ม สิ่งมีชีวิตยังมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมของแหล่งที่อยู่ ซึ่งเป็นสภาพทางกายภาพ ได้แก่ ดิน น้ำ แร่ธาตุ แสงสวา่ ง และอนื่ ๆ ทีจ่ ำเปน็ ต่อการดำรงชีพของสิง่ มีชีวิต ความสัมพันธท์ ั้งหมดดังกลา่ วประกอบกันเป็นระบบ นิเวศ พืชและสัตว์จำเป็นต้องได้รับพลังงานเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต โดยพืชจะได้รับพลังงานจากแสงของ ดวง อาทิตย์ โดยใช้รงควัตถุสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นตัวดูดกลืนพลังงานแสงเพื่อนำมาใช้ ในการสร้างอาหาร เช่น กลูโคส แป้ง ไขมัน โปรตีน เป็นต้น บทบาทด้านพลังงานของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ จากพืชผผู้ ลติ สผู่ ้บู รโิ ภคพืช ผู้บรโิ ภคสัตว์ ผู้บริโภคทงั้ พืชและสตั ว์ และผูย้ ่อยสลายอินทรยี สารตามลำดบั ดงั นี้ ผู้ผลิต (producer) คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้ทั้งหมดในระบบนิเวศ ซึ่งส่วนใหญ่เกิด โดยวธิ ีสังเคราะหด์ ว้ ยแสง เนอ่ื งจากมคี ลอโรฟิลล์เป็นองคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ พชื สีเขยี ว สาหรา่ ย โพรทิสต์ รวมทั้ง แบคทเี รียบางชนิด สงิ่ มชี ีวิตเหล่านเี้ ปลย่ี นพลงั งานแสงใหเ้ ปน็ พลงั งานเคมี และเกบ็ ไวใ้ นโมเลกลุ ของสารอาหาร พวกแปง้ และนำ้ ตาล จากนนั้ จะถ่ายทอดพลงั งานนีใ้ หก้ ับกลุ่มของ ผบู้ รโิ ภคตอ่ ไป 10 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ผู้บริโภค (consumer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องอาศัยการบริโภคผู้ผลิตหรือ ผบู้ ริโภคดว้ ยกันเป็นอาหารเพื่อการดำรงชพี ผู้บรโิ ภคยังสามารถแบง่ ออกตามลกั ษณะและการกินได้ดังนี้ - ผู้บริโภคพืช (herbivore) ถือเป็นผู้บริโภคลำดับที่หน่ึง เช่น กระต่าย ม้า วัว กวาง ช้าง พะยูน เป็นตน้ - ผบู้ ริโภคสตั ว์ (carnivore) ถือเปน็ ผู้บริโภคลำดับท่สี อง เช่น เหยี่ยว เสอื งู เปน็ ตน้ - ผกู้ นิ ทั้งพชื และสัตว์ (omnivore) ถือเปน็ ผู้บริโภคลำดับท่สี าม เชน่ ไก่ นก แมว สนุ ัข คน เปน็ ตน้ คณะครุศาสตร์ 11 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” - ผ้บู รโิ ภคซากพชื ซากสัตว์ (scavenger) ถอื ว่าเป็นผ้บู รโิ ภคลำดับสุดทา้ ย เช่น แรง้ ไสเ้ ดือนดนิ กิ้งกือ ปลวก เป็นตน้ ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ (decomposer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ ดำรงชีพอยู่ได้โดยการ ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์จึงเป็นผู้ที่ทำให้สารอนินทรีย์หรือแร่ ธาตตุ า่ ง ๆ หมนุ เวียนกลับคืนสรู่ ะบบนเิ วศ และผู้ผลติ สามารถนำไปใช้ในการเจริญเตบิ โตอกี ด้วย สงิ่ มีชวี ิตจะสัมพันธก์ ับสงิ่ มชี วี ติ ในเรื่องของการกินต่อกันเป็นทอด ๆ จากผู้ผลติ ส่ผู บู้ รโิ ภค เชน่ ไกก่ นิ ข้าวเป็นอาหาร งูกนิ ไกเ่ ปน็ อาหาร และเหยี่ยวกินงเู ป็นอาหารอกี ทอดหน่ึง การกินต่อกนั เปน็ ทอด ๆ เชน่ น้ี เรียกว่า โซอ่ าหาร โซ่อาหาร (food chain) 12 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” โซ่อาหาร เป็นการเคลื่อนย้ายพลังงาน และธาตุอาหารในระบบนิเวศ ผ่านผู้ผลิต ผู้บริโภคในระดับ ต่างๆ โดยการกินกันเป็นทอดๆ ในลักษณะเป็นเส้นตรง กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกินสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเพียง ชนดิ เดยี วเทา่ นนั้ โซ่อาหารแบง่ ออกเป็น 3 แบบ คือ 1. โซ่อาหารแบบจับกิน (Grazing Food chain) เป็นโซ่อาหารที่เร่ิมต้นที่พืชผ่านไปยังสตั วก์ ินพืชและ สตั วก์ นิ สัตว์ตามลำดับ ตัวอย่างนพ้ี บไดท้ ั่วไปในชุมชนปา่ หรือชมุ ชนมหาสมุทร ตวั อยา่ ง เช่น พชื ผัก ——> แมลงกนิ พชื —–> กบ ——-> งู ——-> เหยีย่ ว 2. โซ่อาหารแบบกินเศษอินทรีย์ (Detritus food chain) เป็นโซ่อาหารที่เริ่มจากสารอนินทรีย์จาก ซากของสิ่งมีชีวิตถูกย่อยสลายด้วยผู้ย่อยสลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกจุลินทรีย์และจะถูกกินโดยสัตว์และต่อไป ยงั ผูล้ ่าอืน่ ๆ เศษไม้ใบหญา้ ------> กงุ้ ------> กบ ------> นก 3. ห่วงโซ่อาหารแบบปรสิต เป็นห่วงโซอ่ าหารทเ่ี ริ่มตน้ จากผู้ถกู อาศัยไปยังผูอ้ าศยั อนั ดบั หนึ่งแล้วไปยัง ผู้อาศัยลำดบั ต่อๆไป เช่น ไก่ ------> ไรไก่ ------> โปโตซัว ------> แบคทเี รยี ------> ไวรสั สายใยอาหาร (food web) ในกลมุ่ สิ่งมีชวี ิตหน่งึ ๆ ห่วงโซอ่ าหารไมไ่ ดด้ ำเนินไปอย่างอิสระ แต่ละห่วงโซ่อาหารอาจมคี วามสัมพันธ์ กับห่วงโซ่อื่นอีก โดยเป็นความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน เช่น สิ่งมีชีวิตหนึ่งในห่วงโซอ่ าหาร อาจเป็นอาหาร ของ สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งในห่วงโซ่อาหารอื่นก็ได้ เราเรียกลักษณะห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ที่มีความสมั พันธ์ เก่ยี วข้องกันอยา่ งสลับซับซ้อนวา่ สายใยอาหาร (food web) สายใยอาหารของกลุ่มสิ่งมีชีวิตใดที่มีความซับซ้อนมาก แสดงว่าผู้บริโภคลำดับที่ 2 และลำดับที่ 3 มี ทางเลือกในการกนิ อาหารได้หลายทางมีผลทำให้กลุ่มสงิ่ มีชีวิตนัน้ มคี วามม่ันคงในการดำรงชวี ติ มากตามไปดว้ ย การถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร การถา่ ยทอดพลังงานในโซ่อาหารอาจแสดงในในลกั ษณะของ สามเหลีย่ มพีรามิดของสง่ิ มีชีวติ (ecological pyramid) แบง่ ได้ 3 ประเภทตามหนว่ ยที่ใชว้ ดั ปริมาณของ ลำดับข้ันในการกิน คณะครุศาสตร์ 13 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 1. พีรามิดจำนวนของสิง่ มชี ีวิต (pyramid of number) แสดงจำนวนส่งิ มชี ีวิตเปน็ หนว่ ยตวั ตอ่ พ้ืนท่ี โดยท่วั ไปพีระมดิ จะมีฐานกว้าง ซึ่งหมายถึง มจี ำนวนผูผ้ ลิตมากทสี่ ุด และจำนวน ผ้บู ริโภคลำดบั ตา่ งๆ ลดลงมา แตก่ ารวดั ปรมิ าณพลงั งานโดยวธิ ีน้ี อาจมีความคลาดเคลอ่ื นได้เน่ืองจากสิ่งมีชวี ิตไม่วา่ จะเป็นเซลล์เดยี ว หรอื หลายเซลล์ ขนาดเลก็ หรือขนาดใหญ่ เชน่ ไส้เดือน จะนบั เปน็ หนึ่งเหมอื นกันหมด แต่ความเปน็ จริงนน้ั ในแง่ ปรมิ าณพลังงานที่ไดร้ ับหรอื อาหารทีผ่ บู้ ริโภคไดร้ บั จะมากกว่าหลายเท่า ดงั นน้ั จงึ มกี ารพัฒนารปู แบบในรูป ของพิรามดิ มวลของสง่ิ มีชีวิต 2. พีรามิดมวลของสิ่งมีชีวิต (pyramid of mass) โดยพิรามิดนี้แสดงปริมาณของสิ่งมีชีวิตในแต่ละ ลำดับขั้นของการกินโดยใช้มวลรวมของน้ำหนักแห้ง (dry weight) ของสิ่งมีชีวิตต่อพื้นที่แทนการนับจำนวนพี รามิดแบบนี้มีความแม่นยำมากกว่าแบบที่ 1 แต่ในความเป็นจริงจำนวนหรือมวล ของสิ่งมีชีวิต มีการ เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา เช่น ตามฤดูกาลหรือ ตามอัตราการเจริญเติบโต ปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นตัวแปร ที่ 14 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” สำคัญ อย่างไรก็ดีถึงแม้มวลท่ีมากขน้ึ เช่นตน้ ไม้ใหญ่ จะผลิตเปน็ สารอาหารของผู้บริโภคไดม้ ากแต่ก็ยังน้อยกว่า ที่ผู้บริโภคได้จาก สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น สาหร่ายหรือแพลงก์ตอน ทั้ง ๆ ที่มวล หรือปริมาณของสาหร่ายหรือ แพลงกต์ อนนอ้ ยกว่ามาก ดงั น้ัน จงึ มกี ารพัฒนาแนวความคิดในการแก้ปญั หานี้ โดยในการเสนอรปู ของพีรามิด พลังงาน (pyramid of energy) 3. พรี ามิดพลงั งาน (pyramid of energy) เปน็ ปิรามิดแสดงปริมาณพลังงานของแต่ละลำดับช้ันของ การกนิ ซง่ึ จะมคี า่ ลดลงตามลำดับขั้นของการโภค ในระบบนิเวศ ทั้งสสารและแร่ธาตุต่าง ๆ จะถูกหมุนเวียนกันไปภายใต้เวลาที่เหมาะสมและมีความ สมดุลซึ่งกัน และกัน วนเวียนกันเป็นวัฏจักรที่เรียกว่าวัฏจักรของสสาร (matter cycling) ซึ่งเปรียบเสมือน กลไกสำคัญ ที่เชื่อมโยงระหว่าง สสาร และพลังงานจากธรรมชาติสู่สิ่งมีชีวิตแล้วถ่ายทอดพลังงานในรูปแบบ ของการกินต่อกันเป็นทอดๆ ผลสุดท้ายวัฏจักรจะสลายใน ขั้นตอนท้ายสุดโดยผู้ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ คณะครุศาสตร์ 15 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” วัฏจักรของสสารที่มีความสำคัญต่อสมดุลของระบบนเิ วศ ได้แก่ วัฏจักรของน้ำ วัฏจักรของไนโตรเจน วัฏจักร ของคาร์บอนและ วฏั จกั รของฟอสฟอรัส 16 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนท่ี 3 อาหารดี ชีวีมสี ุข อาหาร (Food) หมายถึง สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปเพ่ือดำรงชวี ิต หล่อเลี้ยงชีวิตให้สามารถมชี ีวิตอยู่ ได้ มคี วามปลอดภยั และกอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อรา่ งกาย สารอาหาร (Nutrients) หมายถึง องค์ประกอบทางเคมีที่สิ่งมีชีวิตนำไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ เพอื่ การดำรงชีวิต การเจริญเตบิ โต และซอ่ มแซมความเส่ือมหรอื สว่ นท่สี ึกหรอของร่างกาย สารอาหารสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 6 ประเภท โดยสารอาหารแตล่ ะประเภทนั้นมปี ระโยชน์ทแี่ ตกต่างกนั 1. โปรตีน (Protein) ทำใช้ร่างกายเจริญเติบโต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วย ควบคมุ การทำงานของร่างกายให้ปกติ ส่งเสริมใชส้ ขุ ภาพแขง็ แรง 2. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เป็นแห่งพลังงานหลักของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มสี ุขภาพท่ีดี ช่วยควบคมุ การทำงานของร่างกายใหป้ กติ รวมถึงการใหค้ วามอบอนุ่ แกร่ า่ งกาย 3. ไขมัน (Lipids/Fat) เป็นสารอาหารที่ไม่ละลายในน้ำ แต่จะละลายได้ดีในน้ำมัน ช่วยให้ร่างกาย อบอุ่น ปกป้องอวัยวะภายใน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มีสุขภาพที่ดี ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้ ปกติ รา่ งกายสามารถเกบ็ สะสมไวใ้ ช้เมื่อมคี วามต้องการ 4. แร่ธาตุ (Minerals) เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มีสุขภาพที่ดี ชว่ ยควบคมุ การทำงานของร่างกายใหป้ กติ 5. วิตามิน (Vitamins) เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ที่บางครั้งร่างการต้องการไม่มากแต่หาก ขาดวิตามินจะทำใหเ้ กิดการผิดปกติเนื่องจากความบกพร่องของร่างกาย ช่วยใหร้ า่ งกายเจริญเติบโต มีสุขภาพ ทีด่ ี ช่วยควบคุมการทำงานของรา่ งกายให้ปกติ 6. น้ำ (Water) เป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ช่วยในการนำของเสียออกจาก ร่างกายและควบคุมอุณหภูมิ ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติ ทำให้สุขภาพที่ดี ร่างกายของคนเรา ต้องการน้ำปรมิ าณ 2 ลิตรต่อวัน และเราสามารถรับน้ำเขา้ สรู่ า่ งกายได้โดยการดม่ื และจากอาหาร นอกจากนี้เราสามารถแบ่งสารอาหารออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สารอาหารที่ให้พลังงาน และสารอาหารท่ี ไม่ให้พลงั งาน 1. สารอาหารท่ใี ห้พลงั งาน มี 3 ประเภท คือ 1.1 โปรตีน 1 กรัม ให้พลงั งาน 4 กโิ ลแคลอรี 1.2 คารโ์ บไฮเดรต 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 4 กิโลแคลอรี 1.3 ไขมัน 1 กรมั ใหพ้ ลังงาน 9 กิโลแคลอรี 2. สารอาหารท่ไี ม่ให้พลังงาน มี 3 ประเภท คือ 2.1 แร่ธาตุ 2.2 วิตามนิ 2.3 นำ้ อาหารท่ีเรารบั ประทานเข้าสรู่ ่างกายแลว้ ทำใหเ้ กิดประโยชน์ ชว่ ยใหร้ ่างกายเจรญิ เติบโต มีสุขภาพที่ดี ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายใหป้ กติ จำเปน็ ต้องได้รับอาหารครบทุกประเภท รวมถึงการซ่อมแซมส่วนที่ คณะครุศาสตร์ 17 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” สึกหรอของร่างกาย การทำให้ร่างกายมีพลังงานและอบอุ่น ซึ่งเราจะต้องรับประทานอาหารให้ถูกหลัก โภชนาการ ครบทงั้ 5 หมู่ ซึ่งได้แก่ อาหารหลกั 5 หมู่ หมู่ 1 โปรตีน ได้แก่ เน้อื สัตว์ตา่ ง ๆ ไข่ ถ่วั นม เป็นหมู่อาหารที่ให้สารอาหารประเภทโปรตีน ร่างกายต้องการอาหารประเภทนี้เพื่อเจริญเติบโต เสริมสร้างกลา้ มเนื้อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยโปรตนี 1 กรัม จะให้พลงั งาน 4 กิโลแคลลอรี โดยปกติร่างกายจะนำสารอาหารประเภทนี้มาใช้เป็นพลังงานหลังจากคาร์บไฮเดรตและไขมันตามลำดับ อาหารที่อยู่ในหมู่นี้ยกตัวอยา่ งเช่น เน้อื สัตวต์ า่ ง ๆ ไข่ ถั่ว นม เป็นต้น 18 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” หมู่ 2 คารโ์ บไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แปง้ น้ำตาล เผือก มัน เป็นหมู่อาหารที่ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ร่างกาย จะนำอาหารหมู่นี้มาใช้เป็นอันดับแรก โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลลอรี เราควรกิน คาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 50-60 โดยถ้ามีปรมิ าณมากในเลือดจะถูกเปลีย่ นเปน็ แหล่งพลงั งานสะสมในรูป ของไกลโคเจน ที่ถูกเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อถ้ามีปริมาณมากไปก็จะเปลี่ยนเป็นรูปไขมัน ทำให้เกิดเป็นโรค อว้ นได้ อาหารทอ่ี ยู่ในหมนู่ ย้ี กตวั อยา่ งเชน่ ขา้ ว แปง้ ขนมปงั น้ำตาล เผือก มนั เป็นตน้ หมู่ 3 วิตามนิ และเกลอื แร่ ได้แก่ พืชผกั ตา่ ง ๆ เป็นหมู่อาหารที่ให้สารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน โดย พืชผักต่าง ๆ นั้น มีวิตามินอยู่มาก ถึงแม้ร่างกายจะต้องการวิตามันในปริมาณไม่มากนัก แต่ร่างกายก็ขาด วติ ามินไม่ได้ และยังมีสว่ นช่วยในการเพิ่มระบบภมู ิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย นอกจากนีใ้ นผกั ต่าง ๆ ยังมีเกลือ แร่ที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มีสุขภาพที่ดี ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติ อาหารท่ีอยู่ในหมู่น้ี ไดแ้ ก่พชื ผกั ตา่ ง ๆ คณะครุศาสตร์ 19 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” หมู่ 4 วิตามนิ และเกลอื แร่ ไดแ้ ก่ ผลไมต้ ่าง ๆ เปน็ หมู่อาหารท่ีใหส้ ารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ ซงึ่ เปน็ สารอาหารทีไ่ ม่ให้พลงั งาน เชน่ เดยี วกบั อาหารหมู่ท่ี 3 อาหารที่อยู่ในหมู่นี้ได้แก่ผลไม้ต่าง ๆ วติ ามิน แบง่ เปน็ 2 กล่มุ คอื วติ ามนิ ท่ีละลายในไขมัน และวิตามนิ ที่ละลายในนำ้ 1. วติ ามนิ ท่ีละลายในไขมัน ได้แก่ A, D, E และ K 2. วิตามินทล่ี ะลายในนำ้ ได้แก่ B ตา่ ง ๆ และ C ตารางคุณสมบัติของวิตามิน ชนดิ ของ แหล่งอาหาร ประโยชน์ ความผิดปกติหากขาด วติ ามนิ บำรงุ สายตา วติ ามิน นม เนย ไข่ เคร่ืองในสัตว์ ผักที่มี ตาบอดกลางคนื มองเห็น ไมช่ ัดในท่ีมืด ในเด็กไม่ A สีเขียวและเหลือง เจริญเตบิ โต ผวิ หนงั แห้ง หยาบ B 1 เนอ้ื สตั ว์ ไข่ ข้าวกล้อง ธัญพืช บำรุงระบบประสาท ส่งเสริมการเจริญเติบโต โรคเหนบ็ ชา เบื่ออาหาร B 2 ตบั ไข่ นม เนย โยเกริ ์ต ช่วยระบบยอ่ ยอาหาร ออ่ นเพลีย สร้างเม็ดเลือดแดง B 6 เนอื้ สัตว์ ตับ ถ่ัว ผักใบเขียว เสรมิ สร้างฟนั และเหงือก ปากนกกระจอก ผวิ หนงั แหง้ แตก ล้นิ อักเสบ B 12 ตบั ไข่ ปลา เสริมสร้างฟันและกระดกู เบื่ออาหาร ผิวหลงั เป็น ผลไมร้ สเปรย้ี ว ฝรั่ง มะละกอ แผล ประสาทเสื่อม C กลว้ ย ผกั ตระกลู กระหล่ำ โลหติ จาง ประสาทเส่ือม มะเขือเทศ คะนา้ เลือดออกตามไรฟนั D นำ้ มันตับปลา นม เนย ไข่แดง ลกั ปดิ ลกั เปิด หลอด การสังเคราะห์จากผวิ หนัง เลอื ดฝอยเปราะ เป็น หวัดง่าย กระดูกอ่อน 20 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ชนดิ ของ แหลง่ อาหาร ประโยชน์ ความผดิ ปกติหากขาด วติ ามิน ทำให้เมด็ เลือดแดงแข็งแรง วิตามิน ส่งเสรมิ ระบบสืบพนั ธ์ุ ผกั สีเขยี ว นำ้ มันพชื เป็นหมนั โลหติ จาง อาจ ช่วยในการแขง็ ตวั ของเลือด ทำให้เกิดอาการแท้งใน E หญิงตงั้ ครรภ์ K ผกั สีเขียว นม ตับ เลอื ดแขง็ ตัวชา้ กวา่ ปกติ ตารางแสดงคุณสมบตั ิของแร่ธาตุ ชนิดของ แหลง่ อาหาร ประโยชน์ ความผิดปกติหากขาด แรธ่ าตุ นม ไขแ่ ดง ผกั สีเขยี วเข้ม เสริมสรา้ งฟันและกระดูก วิตามิน แคลเซยี ม เปลือกหรือกระดกู สัตว์ เชน่ กุง้ ระบบกล้ามเนื้อ (Ca) แหง้ ปลา กระดูกเปราะ นม เนย ตับ ถ่วั เห็ด มะเขือเทศ เสรมิ สรา้ งฟันและกระดูก ฟอสฟอรสั เครื่องในสตั ว์ ถั่ว ไข่ อ่อนเพลยี กระดกู (P) อาหารทะเล เกลอื สว่ นประกอบเฮโมโกบนิ ในเม็ด เปราะ เหลก็ เลือดแดง โลหติ จาง ออ่ นเพลยี (Fe) เกลือแกง ไข่ นม สว่ นประกอบของฮอรโ์ มนไทร อาหารทะเล ชา อกซนิ ในเด็กทำใหส้ ตปิ ญั ญา ไอโอดีน อาหารทะเล ถ่วั นม ผักสีเขียว เสื่อม รา่ งกายแคระ ใน (I) ควบคมุ ปรมิ าณนำ้ ในเซลล์ให้ ผ้ใู หญท่ ำใหเ้ ปน็ โรคคอ คงท่ี พอก โซเดยี ม กระดูกและฟนั แข็งแรง คล่ืนไส้ เบอื่ อาหาร (Na) ความดันเลือดต่ำ ฟลอู อรนี สว่ นประกอบของเลอื ดและ ฟนั ผุ (F) กระดูก ช่วยในการทำงานของ แมกนีเซยี ม ระบบประสาทและกล้ามเน้ือ ความผดิ ปกติของระบบ (Mg) ประสาท และกลา้ มเน้ือ หมู่ 5 ไขมัน ได้แก่ ไขมนั พืชและสัตว์ เป็นอาหารที่ให้สารอาหารประเภทไขมัน ร่างกายจะนำไขมันมาใช้เป็นลำดับที่สองต่อจาก คาร์โบไฮเดรต โดยไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ถือว่าเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดใน น้ำหนักท่ีเทา่ กนั ไขมนั จะช่วยดดู ซมึ วติ ามินบางชนิด เชน่ A, D, E และ K นอกจากน้ีไขมันยังทำหน้าท่ีเกี่ยวกับ การสรา้ งฮอรโ์ มนเพศ สร้างความอบอนุ่ ใหก้ ับรา่ งกาย และชว่ ยป้องกนั อวยั วะภายในจากการกระทบกระเทือน อาหารทอี่ ย่ใู นหมู่นไ้ี ด้แก่ ไขมันจากพืชและสตั ว์ คณะครุศาสตร์ 21 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” การรับประทานอาหารที่ดีควรรับประทานให้ครบทุกหมู่ในแต่ละมื้อในปริมาณที่เหมาะสม ให้ได้ พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มี สุขภาพที่ดี ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้ปกติ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่หลากหลายยังเปน็ การหลีกเลย่ี งการสะสมของสารพิษจากการปนเปื้อนของอาหาร เนอื่ งจากในอาหารชนิดเดียวกนั มโี อกาสที่จะมี สารพิษชนิดเดียวกันสูง และหากสารพิษถูกสะสมในปริมาณที่มากจะทำให้ร่างกายผิดปกติ แต่ถ้าเรา รับประทานอาหารที่หลากหลายร่างกายจะสามารถกำจัดสารพิษที่มาจากอาหารชนิดนั้น ๆ ที่เรารับประทาน เข้าไป ขอ้ ปฏบิ ัตกิ ารบรโิ ภคอาหารเพ่ือสุขภาพท่ดี ขี องคนไทย หรอื โภชนบัญญตั ิ 9 ประการ ของกระทรวงสาธารณสุข 1. กนิ อาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมูใ่ หห้ ลากหลาย และหมั่นดแู ลนำ้ หนักตวั 2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางม้อื 3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เปน็ ประจำ 4. กินปลา เนอ้ื สตั วไ์ ม่ติดมนั ไข่ ถ่ัวเมลด็ แห้งเป็นประจำ 5. ด่มื นมใหเ้ หมาะสมตามวยั 6. กินอาหารท่ีมีไขมนั แตพ่ อควร 7. หลกี เลีย่ งการกินอาหารรสหวานจดั และเค็มจัด 8. กนิ อาหารทีส่ ะอาด ปราศจากการปนเปอ้ื น 9. งดหรือลดเคร่อื งด่มื ที่มแี อลกอฮอล์ 22 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” คณะครุศาสตร์ 23 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 4 ระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหาร (Digestive system) คือ การทำใหอ้ าหารหรอื สารอาหารท่ีมีขนาดใหญ่ เปน็ สารอาหารท่มี ีโมเลกลุ ขนาดเลก็ ลง เพือ่ ใหร้ ่างกายสามารถดดู ซึมเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยระบบการย่อย อาหารจะมลี ำดบั การเดนิ ทองของอาหารดังน้ี ปาก (Mouth)  หลอดอาหาร (Esophagus)  กระเพาะอาหาร (Stomach)  ลำไสเ้ ลก็ (Small intestine)  ลำไสใ้ หญ่ (Large intestine) กระบวนการย่อยอาหารสามารถแบ่งได้ 2 วธิ ี คือ 1. การย่อยเชิงกล คือ การเปลยี่ นแปลงอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงเพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนทแ่ี ละการ เกิดปฏิกิริยาเคมีในการยอ่ ยต่อไป โดยการบดเค้ยี วของฟนั รวมทง้ั การบบี ตวั ของทางเดนิ อาหาร แต่การย่อย ลักษณะนร้ี ่างกายจะยังไมส่ ามารถดูดซึมสารอาหารไปใชไ้ ด้ 2. การย่อยเชงิ เคมี คอื การเปลยี่ นแปลงโมเลกุลของสารอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงโดยอาศัยเอนไซม์ หรอื น้ำย่อย ผลจากการย่อยทางเคมเี ม่ือถึงจดุ สุดทา้ ย จะได้สารโมเลกุลเลก็ ทีส่ ดุ ท่ีสามารถดูดซมึ เขา้ สู่เซลลไ์ ด้ อวัยวะในระบบย่อยอาหาร 1. ปาก เป็นอวัยะเริ่มต้นจากการเคี้ยวอาหารโดยการทำงานร่วมกันของ ฟัน ลิ้น และแก้ม ซึ่งถือเป็น การย่อยเชิงกล ทำให้อาหารกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับเอนไซม์ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันต่อม น้ำลายก็จะหลั่งน้ำลายออกมา โดยมีลิ้น และแก้มช่วยคลุกเคล้าให้อาหารเป็นก้อนลื่นสะดวกต่อการกลืน เอนไซม์ในน้ำลาย คือ อะไมเลส (Amylase) จะย่อยแป้ง ในขณะที่อยู่ในช่องปากให้กลายเป็นเดกซ์ทริน (Dextrin) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กกว่าแป้ง แต่ใหญ่กว่าน้ำตาล และถูกย่อยต่อไปจนเป็นน้ำตาล โมเลกลุ คู่ คือ มอลโตส (Maltose) ผลจากการเปลี่ยนแป้งใหเ้ ปน็ น้ำตาลนน้ั ทำให้ขณะทเ่ี ราเคี้ยวข้าวจะรู้สึกถึง รสหวาน กล่าวโดยสรปุ คือ การย่อยที่ปากจะประกอบไปด้วยการย่อยเชงิ กล และการย่อยเชิงเคมี แต่การย่อย เชิงเคมีจะเปน็ การย่อยอาหารประเภทแปง้ เท่าน้ัน 24 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 2. หลอดอาหาร เป็นอวัยวะทำหน้าทใี่ นการลำเลยี งอาหารจากปากสู่กระเพาะ โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทเี ทา่ น้ัน แม้ในหลอดอาหารจะไม่มเี อนไซม์ หรือนำ้ ย่อย แตจ่ ะมกี ระบวนการท่ีกล้ามเน้อื ภายในหลอด อาหารหดและคลายตวั เพ่ือดันอาหารสู่กระเพาะ กระบวนการน้ีเรียกวา่ เพอรสิ ตัลซิส (Peristalsis) 3. กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่มีลกั ษณะเป็นถุงรปู ตวั J ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 3 ชั้น อาหารที่ถูก ส่งมาจากหลอดอาหารจะถูกคลุกเคล้าอยู่ในกระเพาะดว้ ยการหดตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของ กระเพาะ โดยปกติอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารนาน 2 ถึง 5 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารนั้น ๆ ใน กระเพาะอาหาร โปรตีนจะถูกย่อย โดยน้ำย่อยเพปซิน (Pepsin) ซึ่งทำให้โปรตีนมีขนาดเล็กลง เอนไซม์นี้จะ ทำงานได้ดีในสภาวะเป็นกรด โดยกรดไฮโดรคลอริกจะกระตุ้นเพปซิโนเจน ให้เปลี่ยนเป็น เพปซิน นอกจากนี้ กรดไฮโดรคลอริกยงั ชว่ ยกำจดั แบคทเี รยี ทป่ี นเปอื้ นมาในอาหารได้อีกด้วย กระเพาะอาหารมีความสามารถในการดูดซึมอาหารบางชนิดได้ แต่ปริมาณน้อยมาก เช่น น้ำ แร่ธาตุ นำ้ ตาลโมเลกลุ เดยี่ ว นอกจากนีก้ ระเพาะอาหารดดู ซึมแอลกอฮอล์ได้ดี อาหารโปรตนี เชน่ เนือ้ วัว ยอ่ ยยากกว่า เนื้อปลา ในการปรุงอาหารเพื่อให้ย่อยง่าย อาจใช้การหมักหรือใส่สารบางอย่างลงไปในเนื้อสัตว์เหล่านั้น เช่น ยางมะละกอ หรือสับปะรด ซ่งึ มีเอมไซม์ท่ีสามารถย่อยโปรตนี ไดเ้ ชน่ กัน เนื่องจากกระเพาะอาหารจะสามารถทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด โดยน้ำย่อยมักจะออกมาเป็น เวลา หากในเวลานั้นไม่มีอาหารถูกส่งลงมาก็อาจทำให้กรดทำลายผนังของกระเพาะอาหารได้ ทำให้รู้สึกปวด ท้อง แสบทอ้ ง เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ คณะครุศาสตร์ 25 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 4. ลำไส้เล็ก เป็นอวัยวะทางเดินอาหารสว่ นท่ีมีความยาวประมาณ 6 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 เซนตเิ มตร บรเิ วณน้สี ามารถย่อยสารอาหารไดท้ ุกประเภท โดยผนังลำไส้เลก็ สามารถสร้างนำ้ ย่อยข้ึนมาได้ หลายชนดิ นอกจากนน้ั ท่ลี ำไส้เลก็ สว่ นต้น ยังไดร้ ับน้ำย่อยจากตบั อ่อน และน้ำดมี าจากตบั น้ำยอ่ ยจากตับอ่อน มีหลายชนิดทสี่ ามารถย่อยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีนและไขมนั ได้ การย่อยอาหารในลำไสเ้ ลก็ 1.ย่อยนำ้ ตาลโมเลกลุ คู่ ให้เป็นนำ้ ตาลโมเลกลุ เดย่ี ว ดงั น้ี - มอลโทส โดยเอนไซม์มอลเทส ไดก้ ลโู คส 2 โมเลกลุ - ซูโครส โดยเอนไซมซ์ เู ครส ไดก้ ลูโคส และฟรักโทส - แลกโทส โดยเอนไซมแ์ ลกเทส ไดก้ ลูโคส และกาแลกโทส 2. ย่อยสารอาหารโปรตนี ตอ่ จากกระเพาะอาหาร ได้แก่ เพปไทดโ์ ดยเอนไซมท์ ริปซินได้กรดอะมิโน ซึ่ง เปน็ โปรตนี โมเลกุลเดยี่ ว 3. ย่อยไขมัน โดยเอนไซม์ ลิเพส จะย่อยไขมันโมเลกุลเล็ก (Emulsified fat) ให้เป็นไขมันโมเลกุล เดีย่ ว ได้แก่ กรดไขมนั และกลเี ซอรอล หลังจากที่มกี ารย่อยแลว้ จะมีการดดู ซึมอาหารในลำไสเ้ ล็ก เป็นกระบวนการที่นำอาหารท่ีผ่านการย่อย จนได้เป็นสารโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส กรดอะมิโน กรดไขมัน กลีเซอรอล ผ่านผนังทางเดินอาหารเข้าสู่ กระแสเลือดเพื่อไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลำไส้เล็ก เป็นบริเวณที่ดูดซึมอาหารเกือบทั้งหมดเพราะเป็น บริเวณที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ และโครงสร้างภายในลำไส้เล็กก็เหมาะแก่การดูดซึม คือ ผนัง ลำไสเ้ ล็กจะยาวพบั ไปมา และมสี ว่ นยน่ื ของกลุ่มของเซลล์ทเ่ี รียงตัวเป็นแถวเดยี วมีลักษณะคล้ายน้วิ มือ เรียกว่า วิลลัส (Villus) เป็นจำนวนมาก ในแต่ละเซลล์ของวิลลัสยังมีส่วนยื่นของเยื่อหุ้มเซลล์ออกไปอีกมากมาย เรียกว่า ไมโครวิลลัส (Microvillus) ในคน มีวิลลัสประมาณ 20-40 อันต่อพื้นที่ 1 ตารางมิลลิเมตรหรือ ประมาณ 5 ล้านอัน ตลอดผนงั ลำไสท้ ้งั หมด 26 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 5. ลำไสใ้ หญ่ เป็นอวยั วะทม่ี เี ส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 2 เทา่ ของลำไลเ้ ล็ก มคี วามยาวประมาณ 1.5 เมตร การดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ผนังลำไส้เล็ก ส่วนอาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้ เช่น เซลลูโลส จะถูกส่งไปยังลำไสใ้ หญ่ ส่วนต้นของลำไส้ใหญม่ ีไส้เล็ก ๆ ปลายตัน เรียกว่า ไส้ติ่ง ไส้ติ่งของคนไม่ได้ ทำหนา้ ทอี่ ะไรแตก่ ็อาจเกดิ การอักเสบถึงกับต้องผา่ ตัดไส้ต่งิ ออกไป ซึง่ อาจเกิดจากการอาหารผา่ นชอ่ งเปิดลงไป หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไส้ติ่งเกิดการอุดตัน อาหารที่เหลือจากการย่อยและดูดซึมแล้วจะผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียอยู่จำนวนมาก ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากกากอาหารนี้ นอกจากนั้นแบคเทีเรียบางชนิดยัง สงั เคราะห์ วิตามินบางชนิด เช่น วติ ามนิ เค วติ ามนิ บี 12 เซลล์ท่ีบุผนังลำไสใ้ หญ่ สามารถดดู น้ำ แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคสจากกากอาหารเข้ากระแสเลอื ด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำ จึงทำให้กากอาหารข้นขึ้น จนเป็นก้อนกาก อาหาร อวยั วะอื่น ๆ ท่เี ก่ยี วข้องกับระบบยอ่ ยอาหาร 1. ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่สะสมสารอาหารในรูปของไกลโคเจน และทำหน้าที่สร้างน้ำดี (Bile) ซึ่งมี ฤทธเ์ิ ปน็ เบสอ่อน ๆ แทท้ ่ีจริงแล้วนำ้ ดีไมใ่ ชน่ ้ำย่อยจงึ ไม่มหี นา้ ท่ีในการย่อย แตค่ ุณสมบัติของน้ำดีจะช่วยทำให้ ไขมนั แตกตวั ออกเป็นเม็ดเลก็ ๆ เพ่อื ให้เอมไซมท์ ี่ย่อยไขมนั ทำงานได้เร็วขนึ้ 2. ตับอ่อน (Pancreas) เป็นอวัยวะที่ผลิตเอนไซม์ย่อยสารอาหารทุกประเภท เมื่อผลิตแล้วจะส่ง เอนไซม์ไปยังลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังสามารถผลิตโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต เพื่อปรับสภาพความเป็นกรด เบสในลำไสใ้ ห้เอนไซม์สามารถทำงานได้ดอี ีกด้วย 3. ถุงนำ้ ดี (Gall bladder) เป็นอวยั วะทรงถงุ ขนาดเล็ก ทำหนา้ ท่เี กบ็ นำ้ ดที ่ีผลติ มาจากตับ คณะครุศาสตร์ 27 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” อาหารทร่ี ับประทานนั้นไม่สามารถย่อยได้ทุกส่วน จึงมีส่วนท่ีเรียกว่า กากอาหารเหลืออยู่ กากอาหาร จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางไส้ตรง (Rectum) และออกทางทวารหนัก (Anus) ในรูปของอุจจาระ โดย ปกตริ ่างกายจะขับถ่ายอุจจาระทุกวัน แตห่ ากมีอาการผดิ ปกติอาหารอยู่ในลำไส้นานเกนิ ไป จะทำให้ลำไส้ใหญ่ ดูดนำ้ ออกจากกากอาหาร มีผลทำให้กากอาหารแขง็ เกินไปรา่ งกายจะขับออกไดล้ ำบาก ซ่ึงเราเรยี กอาการน้ีว่า ทอ้ งผกู ซึง่ เราสามารถแกไ้ ขอาการนี้โดยการรับประทานอาหารท่ีมีกากใย เชน่ ผัก และผลไม้ รวมถงึ การด่ืมน้ำ มาก ๆ จะทำใหร้ ่างกายขบั ถา่ ยเปน็ ปกติ 28 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 5 การจำแนกส่งิ มชี วี ติ การจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต คือการจัดสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ ด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ ทำให้สามารถเข้าใจ และศึกษากลุ่มของสิ่งมีชีวิตได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากใช้เกณฑ์ที่มีความละเอียดมากขึ้น ไม่ใช่เพียงเป็นการ แบง่ กลมุ่ ของสิ่งมีชีวิตเท่านนั้ แต่จะต้องสามารถบง่ บอกถึงลำดับและตำแหน่งทางวิวัฒนาการได้ด้วย การศึกษา ชนิด ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ในเชิงวิวัฒนาการระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เรียกว่า อนกุ รมวธิ าน (taxonomy) การจำแนกสง่ิ มีชวี ิตมีหลายระบบ ดังนี้ 1. การจัดจำแนกอย่างง่าย (Artificial system) จัดจำแนกสิ่งมีชีวิตโดยพิจารณาลักษณะภายนอกท่ี สามารถสังเกตได้ ลักษณะวิสัยของพืช ลักษณะที่อยู่อาศัย หรือการใช้ประโยชน์โดยมนุษย์ กลุ่มที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกันจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มที่มีลักษณะต่างกันแยกเป็นคนละกลุ่ม ระบบนี้นิยมใชใ้ นระยะ ค.ศ. ที่ 17 – 18 เช่น การจดั จำแนกพชื โดยลกั ษณะวิสยั จะเห็นได้ว่าการจำแนกลักษณะนี้ ใช้เกณฑ์ที่สามารถสังเกตได้ง่ายเพียงไม่กี่ลักษณะ โดยใช้ลักษณะ วิสยั ในการพิจารณา แตก่ ็จะพบวา่ มพี ืชหลายชนดิ ทมี่ ีความกำ้ กึง่ ไม่สามารถจดั จำแนกได้ชดั เจน คณะครุศาสตร์ 29 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” การจดั จำแนกพืชโดยการใช้ประโยชน์ 2. การจัดจำแนกโดยใชล้ กั ษณะทางธรรมชาติ (Natural system) จำแนกโดยอาศัยลกั ษณะธรรมชาติ ทั้งลักษณะภายนอก ลักษณะภายใน พฤติกรรมและนิเวศวิทยา ร่วมกันหลายลักษณะในการจัดจำแนก ทำให้ ส่ิงมชี วี ติ ในการต่างมีลักษณะท่สี งั เกตไดม้ คี วามคลา้ ยคลึงกนั ระบบน้ีใชร้ ะหว่างกลาง ค.ศ. ท่ี 18 – 19 เช่น การจัดจำแนกสัตวม์ ีกระดกู สนั หลงั กลมุ่ ปลา เปน็ สัตว์ท่อี าศยั อย่ใู นแหล่งน้ำ ส่วนใหญเ่ ปน็ สัตวเ์ ลอื ดเยน็ มปี ลาบางชนดิ เท่านัน้ ทม่ี ลี ักษณะ เป็นสัตว์เลือดอุ่น หายใจด้วยเหงือก บางชนิดมีเกล็ดปกคลุมลำตัวตัว และบางชนิดไม่มีเกล็ดแต่ปกคลุมด้วย เมือกลื่น ๆ หรือแผ่นกระดูก มีหัวใจสองห้อง และมีขากรรไกร สัตว์ในกลุ่มปลายังจำแนกเป็นกลุ่มได้ได้อีก 2 กล่มุ คือ กลุม่ ปลากระดูกแข็ง และปลากระดกู ออ่ น กลุ่มสตั ว์สะเทนิ น้ำสะเทนิ บก อาศยั อยไู่ ด้ทัง้ ในน้ำและบนบก มลี ักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือก ทำให้ผิวหนังชุม่ ชื้นเปยี กล่ืนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเกล็ด ไม่มีขน หายใจด้วยเหงือก, ปอด, ผิวหนัง หรือผิวในปาก ในคอ เช่น กบ อง่ึ อา่ ง เขียดงู ซาลาแมนเดอร์ เปน็ ต้น กลมุ่ สัตว์เลอ้ื ยคลาน เป็นสตั ว์เลอื ดเยน็ มอี ุณหภมู ิร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามอณุ หภมู ิของส่ิงแวดล้อม บางชนิดจึงมีพฤติกรรมการอาบแดดเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ผิวหนังหนาและแห้ง มักมีเกล็ดแข็งปกคลุม รา่ งกาย หายใจดว้ ยปอด เชน่ งู ก้ิงก่า เตา่ จระเข้ เปน็ ต้น กลุ่มสัตว์ปีก หรือกลุ่มนก ถือเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีความหลากหลายมากที่สุดในกลุ่มสตั ว์มีกระดูกสันหลงั โดยมลี กั ษณะเฉพาะคือ เป็นสัตวเ์ ลอื ดอุ่น ออกลูกเปน็ ไข่ รยางคค์ หู่ นา้ เปลี่ยนแปลงไปเปน็ ปีก มีขนแบบขนนก และมีกระดูกทก่ี ลวงเบาเหมาะกบั การบนิ กลุ่มสัตว์เลีย้ งลกู ด้วยน้ำนม เป็นสัตว์เลือดอุ่นเชน่ เดียวกับสัตว์ปกี มีต่อมน้ำนมที่พบในเพศเมีย (หรือ พบไดใ้ นเพศผเู้ ปน็ บางคร้ัง ทำหนา้ ท่ผี ลิตน้ำนมสำหรบั เลย้ี งลกู อ่อน มีขนแบบขนสตั ว์หรอื เสน้ ผม และมีกระดูก 30 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” หูชั้นกลางสามชิ้น ลักษณะเด่นดังกล่าวถูกใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการจำแนกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมออกจาก สตั วเ์ ล้อื ยคลานและสัตว์ปกี ซ่งึ สตั วท์ ั้งสามกลุม่ นัน้ เบนออกจากกันเมอื่ ราว 201–227 ล้านปีกอ่ น จากตัวอย่างจะพบว่ากลุ่มของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีความคล้ายคลึงกันทั้งลักษณะภายนอก โครงสร้าง ภายในร่างกาย และแหล่งที่อยู่อาศัย รวมถึงพฤติกรรมการดำรงชีวิต ซึ่งทุกลักษณะจะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ใน การจดั จำแนก 3. การจัดจำแนกตามลำดับวิวัฒนาการ (Phylogenetic system) พิจารณาถึงความสัมพันธ์ทาง วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และการมีบรรพบุรุษร่วมกัน โดยได้นำความรู้แผนใหม่ทางชีววิทยาและเทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์อ่ืน ๆ รวมถงึ การศกึ ษาลักษณะทางพนั ธกุ รรม ผ่านดีเอน็ เอ (DNA) เขา้ มาประกอบดว้ ย ซ่ึงทำให้รู้ ถึงความสัมพนั ธ์กันทางดา้ นวิวฒั นาการของสิง่ มีชวี ิต ซง่ึ จะทำใหไ้ ดแ้ ผนภาพการจัดกลุ่มของสิ่งมีชีวิตโดยแสดง ความสัมพนั ธ์ และความใกล้ชดิ กนั ของแต่ละกลุ่ม 4. การจัดจำแนกสมัยใหม่ (Modern system) ระบบนี้เป็นการผสมระหว่าง การจัดจำแนกโดยใช้ ลกั ษณะทางธรรมชาติ กับ การจัดจำแนกตามลำดับววิ ัฒนาการ เข้าดว้ ยกนั โดยรวมลักษณะภายนอก ลักษณะ ภายใน เอมบริโอ ลักษณะทางชีวเคมี ลักษณะทางพันธุกรรม รวมทั้งสภาวะแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต มาเป็น เกณฑพ์ ิจารณา จึงทำใหเ้ ป็นวิธีทีไ่ ด้รับการยอมรบั มากทส่ี ุดในปจั จุบนั คณะครุศาสตร์ 31 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” หลกั เกณฑ์ในการจำแนกสง่ิ มีชวี ิต 1. ลักษณะโครงสร้าง ทั้งภายนอกนอก และภายในของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ โครงสร้างที่มีต้นกำเนิด เดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน เช่น แขนคน ขาสุนัข ปีกนก ครีบวาฬ ครีบปลาต่าง ๆ จะเห็นว่าครีบวาฬคล้าย แขนคนมากกว่าครีบปลา นอกจากนี้โครงสร้างต่างกนั แตท่ ำหนา้ ที่อย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ปีกนก กบั ปีกผีเส้อื เป็นต้น 2. การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกตัวอ่อนมีการเจริญคล้ายกันเพียงใด เช่น การ เจริญของตัวอ่อนของสัตว์มีกระดูกสันหลังจะมีการสร้างแกนกลางลำตัว และในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจะไม่ พบโครงสรา้ งดังกลา่ ว 3. ความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ สิ่งมีชีวิตที่มาจาก บรรพบุรุษเดียวกัน ย่อมมี ความสัมพันธ์กัน หรืออาจเปรียบเทยี บจากซากดึกดำบรรพ์ โดยดจู ากโครงสรา้ งท่พี บ 4. การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การสืบพันธุ์ การดำรงชีพ และพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งลักษระท่ี สามารถสังเกตไดด้ ้วยตา และลกั ษณะทถี่ า่ ยทอดมาด้วยสารพันธกุ รรม หรอื ดีเอ็นเอ (DNA) 5. ส่วนประกอบทางชีวเคมีของเซลล์หรือสารที่เซลล์สร้างขึ้น และกระบวนการทางสรีรวิทยาท่ี คล้ายคลึงหรอื แตกตา่ งกัน การจำแนกกลุ่มสิง่ มชี ีวิตอยา่ งงา่ ย การจัดจำแนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตอย่างง่ายเป็นการใช้เกณฑ์ที่สามาร ถใช้ลักษณะความเหมือนหรือความ แตกต่างของสิ่งมีชีวิตเป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลมุ่ ทีไ่ มใ่ ชท่ ั้งพืชและสตั ว์ ซง่ึ ใชเ้ กณฑ์ การสรา้ งอาหาร และการเคลอ่ื นท่ไี ด้ด้วยตัวเอง เกณฑ์ สรา้ งอาหารเองได้ เคลอื่ นท่ไี ด้ด้วยตัวเอง กลุม่ สิ่งมีชีวิต กล่มุ พชื     กลุ่มสัตว์ /  /  กลุ่มทไี่ มใ่ ช่ท้ังพืชและสตั ว์ ด้วยความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต จะพบว่าการใช้เกณฑ์อย่างง่าย และมีจำนวนข้อพิจารณาน้อย ทำให้ไม่สามารถจำแนกสิ่งมีชวี ิตได้อย่างชดั เจน จากตารางจะพบว่า พืชเปน็ ส่ิงมชี วี ติ ทส่ี ามารถสร้างอาหารเอง ไดโ้ ดยการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่ไมส่ ามารถเคลื่อนที่ไดด้ ้วยตนเอง เช่น ตน้ ไมช้ นิดต่าง ๆ ขณะที่สัตว์เป็นกลุ่ม ส่งิ มชี ีวิตท่ไี มส่ ามารถสร้างอาหารเองได้ ตอ้ งกนิ อาหารจึงจะได้รับพลังงาน แตใ่ นกลมุ่ ของสงิ่ มีชวี ิตท่ีไม่ใช่ท้ังพืช และสัตว์ มีความหลากหลายอยู่มาก เช่น หากใช้เกณฑ์การสร้างอาหารเองได้จะพบว่า สาหร่ายบางชนิดสร้าง 32 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” อาหารเองได้ด้วยการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่เคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองไม่ได้ ขณะที่ยูกลีน่าก็สามารถสร้างอาหาร เองได้ และสามารถเคลื่อนท่ีด้วยตัวเองได้ด้วย และหากพิจารณาดว้ ยเกณฑ์การเคล่ือนท่ีไดด้ ้วยตัวเองจะพบว่า พารามเี ซยี มสามารถเคล่ือนที่ได้ด้วยตวั เอง แตไ่ ม่สามารถสรา้ งอาหารเองได้ ขณะทสี่ ิง่ มชี ีวติ ในกลุ่มเห็ด รา ไม่ สามารถเคลอ่ื นทไ่ี ดด้ ้วยตัวเอง และไม่สามารถสรา้ งอาหารเองไดด้ ว้ ย ประโยชน์ของการจำแนกสง่ิ มีชวี ติ ความหลากหลากของสิ่งมีชีวิตบนโลกมีมากมายล้วนวิวัฒนาการมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงมี ความหลากหลายทั้งลักษณะโครงสร้างภายนอก โครงสร้างภายใน ความแตกต่างกันวิธีการหาอาหาร วิธีการ สบื พันธ์ุ สภาพแวดล้อมการเจริญเตบิ โต การศึกษาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ในฐานะที่เราอยู่ ในระบบนิเวศเดียวกัน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หากขาดสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งอาจส่งผลถึงสิ่งมีชีวิต ชนิดอ่นื เป็นทอด ๆ เพราะฉะนนั้ การจัดหมวดหมูข่ องสิง่ มชี วี ติ จงึ มีความสำคัญและมปี ระโยชน์ คือ 1. ทำใหส้ ะดวกในการศกึ ษาสิง่ มีชีวิตชนิดตา่ ง ๆ 2. ทำให้รถู้ ึงลักษณะโครงสรา้ งท้ังภายใน และภายนอกของสิ่งมีชวี ติ ทค่ี ลา้ ยคลงึ หรือตา่ งกนั 3. ทำใหร้ ถู้ งึ ความสัมพันธ์ วิวัฒนาการและการอยรู่ ่วมกันของสิง่ มีชวี ติ 4. ทำให้เราสามารถรักษาสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ให้คงอยู่ในระบบนิเวศ และเป็นการรักษาสมดุลของ ธรรมชาติ 5. ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิง่ มชี ีวติ ชนิดตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง และยง่ั ยนื คณะครุศาสตร์ 33 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอนท่ี 6 สว่ นประกอบของพชื สว่ นประกอบของพชื ท่ีสำคัญตอ่ การดำรงชีวติ ได้แก่ ราก ลำตน้ ใบ ดอก ผลและเมล็ด ท้ังหมดรวม เรียกว่าโครงสร้างของพืช ส่วนประกอบภายนอกทส่ี ำคัญของพชื ได้แก่ ราก ลำตน้ ใบ ดอก ผลและเมล็ด ซ่ึง แตล่ ะสว่ นของพชื นนั้ มหี น้าที่แตกตา่ งกันแต่ทำงานประสานกนั เป็นระบบ ทำใหพ้ ืชดำรงชีวิตอยู่ได้ สว่ นประกอบของพืชท่สี ำคัญมีดงั น้ี 1. ราก เปน็ สว่ นประกอบของพืช ซง่ึ ส่วนมากอยูใ่ นดินมลี กัษณะแตกต่างกันออกไปตามชนดิ ของพชื และตามประเภทของราก รากพชื แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ รากแก้ว รากฝอย ราก มหี นา้ ทยี่ ึดลำต้น ดดู นำ้ ดูดสารอาหาร สง่ ไปยังลำต้นปลายสุดของราก จะมีหมวกราก พชื ใบเล้ียง คจู่ ะมรี ากแก้ว จงึ ทำให้หาอาหารและน้ำ ได้มากทำ ใหพ้ ชื สูงใหญ่ และมีอายยุ นื เชน่ มะมว่ ง มะขาม กระท้อน ขนุน ฯลฯ ส่วนพืช ใบเลี้ยงเดี่ยวไม่มีรากแก้ว แต่จะมีรากฝอย พืชใบเลี้ยงเดี่ยวจึงหาอาหารและดูดน้ำได้น้อย พืชใบเลยี้ งเด่ยี วจะมี ตน้ เลก็ และอายไุ มย่ นื เช่น ขา้ วอ้อย ขา้ วโพด และหญา้ ต่าง ๆ 2. ลำต้น เป็นส่วนประกอบของพืช สูงต่อจากรากขึ้นมาลำต้นประกอบด้วย เปลือก ท่อลำเลียงน้ำ และทอ่ ลำเลียงอาหาร หากเป็นพืชใบเลี้ยงคจู่ ะมีส่วนทแี่ ข็งแกรง่ เรยี กวา่ แกน่ ลำต้น ทำหน้า ทล่ี ำ เลียงนำ้ แรธ่ าตุ และอาหาร ชกู ่งิ กา้ นของพชื เพอ่ื ให้ได้รบั แสงแดดอย่างทัว่ ถึง พืช บางชนดิ จะมลี ำตน้ สูงใหญบ่ างชนิดมีลำต้นเล็ก กิง่ เป็นส่วนประกอบของพชื ที่งอกออกมาจากลำต้น มีลักษณะ คลา้ ยกบั ลำต้นทกุ ประการ มหี นา้ ทช่ี ูกา้ นใบของพืชให้ ได้รับอากาศและแสงแดดใหไ้ ด้มากท่ีสดุ 34 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 3. ใบ เป็นส่วนประกอบของพชื ที่งอกออกจากกิ่ง ใบเป็นสว่ นประกอบที่มจี ำนวน มากที่สุดในพืชท่มี ี ใบ ใบประกอบด้วยส่วนที่เป็นสีเขียวเรียกวา่ คลอโรฟิลล์ ใบ มีหน้าที่ปรุงอาหาร โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง นอกจากนใี้ บยงั ทำหน้าที่หายใจในเวลากลางคนื โดยการดดู กา๊ ซออกซเิ จนแลว้ คายก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ 4. ดอก เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืชมีดอกที่มีลกัษณะและสีที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของ พืช ประกอบไปด้วยกลีบเล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี ดอก มีหนา้ ทส่ี ืบพันธโ์ุ ดยการถ่ายละออง เรณจู ากเกสรเพศผู้ไปยังเกสร เพศเมีย ทำให้เกิดการสมั ผสั กันระหว่างเซลลส์ ืบพันธุ์ เพศผูก้ บั เซลล์สืบพันธุ์ของ เพศเมีย คณะครุศาสตร์ 35 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 5. ผล เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืช ผลเจริญมาจากรังไข่ ภายหลังจากที่ได้รับ การปฏิสนธิแล้ว ส่วนประกอบของผลประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ เปลือก เนื้อ และเมล็ด ด้านในของผลจะมีเมล็ดเจริญมาจาก ออวุล ซง่ึ พืชใชข้ ยายพันธุ์ 36 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนท่ี 7 พืชดอกและพชื ไมม่ ดี อก พืชดอก พืชดอก หมายถึง พืชท่เี มือ่ เจริญเติบโตเต็มทีแ่ ล้วจะมีดอกให้เห็น พืชดอกจัดเป็นพืชช้ันสูงท่ีมีอวัยวะ ต่าง ๆ ครบสมบูรณ์ คือ ราก ลำตน้ ใบ ตา ดอกและ เมล็ด มไี ว้เพ่ือสำหรบั ขยายพนั ธ์ุ พืชดอกมอี ยู่ท่วั ไปหลายชนดิ มีท้ังทีอ่ ย่บู นบกและอยู่ในนำ้ ไดแ้ ก่ - พืชดอกที่อยู่บนบก ได้แก่ มะม่วง ชบา กุหลาบ มะเขือ มะขาม มะพร้าว ฟักทอง มะละกอ มะลิ มะกอก - พชื ดอกที่อยู่ในนำ้ ไดแ้ ก่ บัว สนั ตะวา ผกั ตบชวา ผกั กระเฉด จอก แหนเปด็ พชื ดอกแบง่ ได้ 2 ประเภท 1. พืชยืนต้น คือพืชที่มีอายุยืน ส่วนต่าง ๆ ของลำต้นสามารถเจริญเติบโตได้ตลอดอายุ ออกดอกออก ผลได้หลายคร้ัง เช่น ยางพาราและไม้ผลต่าง ๆ พวกมะมว่ งมะพรา้ ว มะขามกระท้อน เปน็ ต้น 2. พืชล้มลุก คือพืชที่มีการเจริญเติบโตเพียงแค่ออกดอกออกผลในระยะเวลาอันสั้น แล้วก็ตาย พืช ลม้ ลกุ ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์มาก ได้แก่ พืชจำพวกผกั ต่างๆ ผักกาดผักชีต้นหอม กะหล่ำปลี บวบ ฟกั ทอง ฯลฯ คณะครุศาสตร์ 37 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” พชื ไร้ดอก พชื ไร้ดอก หมายถึงพชื ท่ตี ลอดการดำรงชีวิตไม่สามารถออกดอกเพื่อใชใ้ นการสบื พนั ธ์ุ พืชไร้ดอกคือพืชชนิดหนึ่งที่ไม่มีดอก ไม่สามารถสืบพันธุ์โดยใช้เมล็ด แต่พืชไร้ดอกจะใช้การผสมพันธ์ุ โดยแบ่งเซลล์ การแตกหน่อ และการใช้ สปอร์ เช่น เห็ด รา สาหรา่ ย ตะไคร่ เปน็ ต้น พืชไร้ดอกจะเป็นพืชชั้นต่ำ เป็นพืชที่มีส่วนประกอบไม่ครบถ้วนเหมือนกับพืชดอก ลักษณะของพืชไร้ ดอกพืชไร้ดอกบางชนิดมีสีเขียว ได้แก่ เฟิร์น มอส ตะไคร่น้ำ สาหร่ายบางชนิดไม่มีสีเขียว ได้แก่ เห็ด รา ยสี ต์ แบคทเี รยี และพชื ไร้ดอกแต่ละชนดิ จะมลี ักษณะ แตกตา่ งกันด้วย ประเภทของพืชไรด้ อก พืชไรด้ อกแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทคอื 1. พืชไรด้ อกท่มี คี ลอโรฟิลล์ 2. พืชไรด้ อกที่ไมม่ ีคลอโรฟลิ ล์ พืชไร้ดอกที่มีคลอโรฟิลล์ (สารสีเขียว) เป็นพืชที่สามารถสร้างอาหารได้เองเช่นเฟิร์นมอส ตะไคร่น้ำ สาหร่าย พืชไร้ดอกที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ เป็นพืชที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องอาศัยอาหารจากสิ่งอื่น เช่น กลว้ ยไมอ้ าศัยรา กระโถงฤๅษี เปน็ ต้น 38 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” การสบื พันธขุ์ องพชื มีดอก พืชมีดอกและพืชไร้ดอก มวี ิธแี พรพ่ นั ธแ์ุ ตกต่างกัน พืชมดี อกจะอาศัยดอกในการสืบพันธุ์ เรียกว่า การ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และยังสามารถสืบพันธุ์โดยวิธีอื่นที่ไม่ต้องใช้ดอก เรียกว่า การ สืบพันธุ์แบบไม่อาศัย เพศ ส่วนพืชไร้ดอก จะสบื พันธุ์แบบไม่อาศยั เพศ การสบื พันธุข์ องพชื ไร้ดอก พชื ไร้ดอกหรอื พชื ช้นั ต่ำ เป็นพืชทม่ี สี ่วนประกอบไม่ครบถ้วนเหมอื นกบั พืชดอก ที่สำคัญ คือ พชื ไรด้ อก ทกุ ชนดิ จะไม่มดี อก จงึ ไมส่ ามารถสบื พันธ์โุ ดยใช้เมล็ดได้ พชื ไรด้ อกมกี ารสบื พันธ์ุ โดยไมต่ ้องอาศัยเพศ ดังนี้ 1) การแบ่งเซลล์ เป็นการสืบพันธุ์ของพืชเซลล์เดียว การสืบพันธุ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์มีการ เจริญเติบโตเต็มที่ นิวเคลียสที่สองข้างโป่ง ผนังเซลล์ก็จะคอดตามนิวเคลียส ในที่สุดผนังเซลล์จะ คอดเข้ามา พบกนั ทำให้แบ่งเซลลเ์ ดิมเปน็ 2 เซลล์ แตล่ ะเซลล์กจ็ ะมนี วิ เคลียสท่ถี ูกแบง่ ออกเช่นกัน ถ้าเซลล์มีความสมบูรณ์เจริญเติบโตเตม็ ที่ ขั้นตอนที่ใช้ในการแบ่งเซลล์จะเหลือเวลาไม่ มากนัก เซลล์ ใหม่ทไ่ี ด้จากการแบ่งทัง้ 2 เซลลน์ ีอ้ าจจะเทา่ กนั หรอื ไมเ่ ท่ากนั ก็ได้ เมื่อทั้ง 2 เซลล์ นี้เจรญิ เติบโต กจ็ ะสามารถ แบง่ เซลลไ์ ดใ้ นลักษณะเดยี วกันอีก เป็นการเพ่มิ จำนวนใหม้ มี ากข้ึน พชื ไรด้ อกทสี่ บื พนั ธุ์โดยการแบง่ เซลล์ ได้แก่ สาหรา่ ย ตะไครน่ ้ำ และแบคทีเรีย 2) การแตกหน่อ คือ การแตกหน่อของพืชไร้ดอก คือ การงอกเซลล์ใหม่ออกมาจาก ลำต้นเดิมใน ลักษณะท่ีพอง หรอื ปูดออกมาข้างๆ เม่อื เซลล์ใหม่ทง่ี อกออกมาเจริญเตบิ โตเต็มที่ กจ็ ะ หลุดออกไป ยีสต์ ใช้วธิ ีการสืบพันธ์โุ ดยการแตกหนอ่ เซลลท์ ี่งอกออกมาใหม่เรยี กวา่ “หน่อ” เมอื่ หน่อหลดุ ออกไป ก็สามารถเจริญเติบโตได้เหมอื นเซลล์เดิมที่หลุดออกมา การแตกหน่อของยีสต์ ไม่เหมือนกับการแตกหน่อของ พชื ดอกมขี นั้ ตอนทซ่ี ับซอ้ น กวา่ และหน่อท่งี อกใหมข่ องพชื ดอกจะต้องออกมาจากสว่ นท่เี ปน็ ตาของลำต้น 3) การใช้สปอร์ สปอร์เป็นละอองเลก็ ๆ คล้ายฝนุ่ ท่พี ชื ไรด้ อกหลายชนิดสร้างขนึ้ เพือ่ ใชใ้ นการสบื พนั ธ์ุ สปอร์ของพืชไร้ดอกแต่ละชนิดมีจำนวนมาก เมื่อสปอร์เจริญเติบโตเต็มที่ จะ ร่วงหรือปลิวงอกเป็นพืชใหม่ได้ สปอร์ไม่ใช่เมล็ด เพราะสปอร์ไม่ได้เกิดจากการผสมเกสรและลักษณะภายในของ สปอร์กับเมล็ดก็แตกต่าง ภายในเมล็ดของพืช มีต้นอ่อนและอาหารที่เลี้ยงต้นอ่อน ส่วนสปอร์เป็น เซลล์ที่สามารถไปงอกได้ทันทีเม่ือ ไดร้ บั อาหาร ความช้ืน และอุณหภมู ทิ ่พี อเหมาะ รา เห็ด เฟิรน์ มอส และสาหรา่ ยทะเล คณะครุศาสตร์ 39 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” เฟริ น์ สืบพันธ์โุ ดยการใชส้ ปอร์ พชื ท่เี ราสงั เกตสปอร์ ได้ชดั ได้แก่ เฟริ น์ ใต้ใบเฟิร์นแต่ละใบจะมีเม็ดสี น้ำตาลปูดออกมาเรยี งกนั อยหู่ ลายเมด็ เมด็ สนี ำ้ ตาลนี้เป็นที่เก็บสปอร์ เรยี กวา่ “อบั สปอร์” เม่อื อับสปอร์แก่จะ แตกดอก สปอร์ท่มี ีอยเู่ ปน็ จะปลิวไปตกตามท่ตี า่ ง ๆ พร้อมท่จี ะงอกใหม่ได้ 40 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนท่ี 8 สตั ว์มกี ระดูกสันหลงั และสัตวไ์ ม่มกี ระดกู สันหลงั สัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลก และมีมากมายหลายชนิด มีลักษณะที่แตกต่างกัน อริสโตเติล นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก ได้จำแนกสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ สัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสัน หลงั การจำแนกสตั ว์ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและมีโครงกระดูกภายในลำตัว เช่น สัตว์จำพวก ปลา งู ไก่ กระตา่ ย สุนัข แมว ฯลฯ สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง คือ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกภายในลำตัว ได้แก่ สัตว์จำพวก แมลง และสตั วน์ ำ้ ทุกชนิด (ยกเว้น ปลา) เช่น ก้งุ หอย ปู ปะการงั ปลาหมกึ ฯลฯ ประเภทและลกั ษณะของสัตว์ สตั วท์ ่มี กี ระดกู สันหลงั แบ่งออกเปน็ จำพวกย่อย ๆ ได้ 5 ชนดิ ดงั นี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (mammal) เป็นสัตว์เลือดอุ่น เป็นสัตว์ที่มีการวิวัฒนาการสูงสุด ลักษณะ ภายนอกคือ ผิวหนงั เรียบ มขี นเปน็ เสน้ แบบเสน้ ผมปกคลุมทงั้ ลำตัว มแี ขนและขาไมเ่ กิน 2 คู่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมส่วนใหญส่ ืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ มีการปฏิสนธภิ ายในออกลกู เป็นตวั ตัวเมียมตี อ่ มสร้าง นำ้ นมสำหรับเล้ยี งลกู อ่อน เชน่ คน สนุ ัข แมว โลมา วาฬ พะยูน คา้ งคาว ฯลฯ สัตว์ปกี (bird) เป็นสัตว์เลอื ดอุ่นท่ีมีขนปกคลมุ และมปี ีก ลักษณะของขนเป็นขนแบบก้านหรือขนแบบ แผง ไขม่ เี ปลอื กแข็ง ส่วนใหญส่ รา้ งรงั สำหรับปอ้ งกันอนั ตราย เชน่ นก ไก่ เปน็ ห่าน ฯลฯ คณะครุศาสตร์ 41 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” สัตว์เลื้อยคลาน (reptile) ผิวหนังมีเกล็ดแข็งหรือมีกระดองห่อหุ้ม และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนบก สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานเปน็ สตั วเ์ ลือดเย็น วางไข่บนบกมเี ปลือกห้มุ เชน่ งู จระเข้ เต่า ก้ิงกา่ ตะพาบนำ้ ฯลฯ สัตว์คร่ึงบกครึ่งน้ำ (amphibian) เป็นสัตว์ที่มบี างช่วงอาศยั อยู่ในนำ้ และบางชว่ งอาศัยอยู่บนบก การ ใช้ชีวิตตอนโตจะอยู่บนบกมากว่าแต่ก็ยังอยู่ในบริเวณที่ใกล้น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นสัตว์เลือดเย็นไม่มีเกล็ด หรือกระดอง ส่วนใหญ่วางไข่ในน้ำ ไข่มีวุ้นหุ้ม ช่วงแรกของชีวิตอาศัยในน้ำ หายใจทางเหงือก ช่วงหลังอยู่บน บกหายใจทางปอด ผวิ หนังเปน็ เมือก ล่นื ไมม่ ีเกลด็ เช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก ซาลาแมนเดอร์ ฯลฯ สัตว์จำพวกปลา (fish) พวกนี้จะอาศัยอยู่ในน้ำ และส่วนมากมีเกล็ดปกคลุม หายใจทางเหงือกตลอด ชีวิต มีเส้นข้างลำตัว รับเสียงจากการสั่นสะเทือน (ม้าน้ำเป็นสัตว์จำพวกปลา) และมีครีบช่วยในการว่ายน้ำ เป็นสัตวเ์ ลอื ดเย็น 42 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” สัตวท์ ี่ไมม่ ีกระดกู สนั หลงั แบง่ ออกได้ 6 ชนดิ ดงั นี้ อาร์โทรพอด (Arthropods) เป็นสัตว์จำพวกที่มีลำตัวเป็นปล้องๆ มีขาเป็นข้อๆ และมีเปลือกแข็งหุ้ม ลำตวั แยกตามจำนวนขาไดด้ งั น้ี มอลลัส (Mollusks) พวกทม่ี ีลำตัวอ่อนนุ่ม เชน่ หอยตา่ งๆ ปลาหมกึ ฯลฯ เอไคโนเดิร์ม (Echinoderms) เป็นสัตว์จำพวกที่มีลำตัวเป็นหนามแหลม ผิวขรุขระ เช่น ปลิงทะเล ดาวทะเล หอยเมน่ เช่น เม่นทะเล ปลาดาว หนอน (worms) ลักษณะลำตัวเปน็ ปล้องต่อๆ กัน เชน่ ไสเ้ ดอื น หนอนตา่ ง ๆ ปลงิ ฯลฯ ไนดาเรีย (Cnidaria) เป็นสัตว์ลำตัวมีโพรง ไม่มีสมอง บางชนิดปล่อยสารพิษออกมาได้ เช่น ปะการัง แมงกะพรุน ดอกไมท้ ะเล พอริเฟอรา (porifera) เช่น สัตว์จำพวกฟองน้ำ (Sponge) การกำเนดิ ของสตั ว์ สัตว์มีลักษณะการเกิดที่เราสามารถแยกได้ 2 ลักษณะด้วยกัน คือสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว คือสัตว์ที่มี ลกั ษณะดังนี้ สัตวท์ ี่เลี้ยงดูตัวอ่อนใหเ้ จริญเตบิ โตอยู่ในท้องแม่ จนกวา่ จะแข็งแรงจงึ จะคลอดออกมาจากแม่ สัตว์ที่ให้กำเนิดลูกทีละตัว เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า สัตว์ที่ให้กำเนิดลูกทีละหลายๆ ตัว เช่น หมู แมว หนู สุนัข ฯลฯ ลูกที่คลอดออกมาใหม่ จะมีลักษณะเหมือนพ่อ แม่ แต่มีขนาดเล็ก พ่อ แม่จะดูแลลูกจนกว่าจะแข็งแรง แต่สัตว์บางชนิดพบว่า ลูกอ่อนของสัตว์บางชนิด เมื่อคลอดแล้วยังต้องอาศัยอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่ต่ออีก ระยะหน่งึ เช่น จิงโจ้ หมีโคล่า ฯลฯ สตั ว์ทอ่ี อกลูกเปน็ ไข่ เช่น ไก่ เปด็ นก เตา่ จระเข้ งู ฯลฯ สัตว์จำพวกนี้จะ ออกลูกเป็นไข่ ครั้งละหลายๆ ฟอง ไข่มีเปลือกหุ้มเพื่อป้องกันตัวอ่อนที่อยู่ภายใน สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่มี ลักษณะท่แี ตกต่างกัน ดงั นี้ สตั วบ์ างชนิดแม่จะเฝ้าดแู ลปกป้องไข่จนกว่าจะฟักเปน็ ตัว เชน่ แมงมมุ ปลา ฯลฯ สัตว์บางชนิดจะกก ใหค้ วามอบอนุ่ กบั ไข่ และหลังจากทลี่ ูกฟักออกมาเปน็ ตวั แล้ว แมก่ ย็ งั ดูแลตอ่ จนกว่าลกู จะแขง็ แรง เชน่ ไก่ เป็ด นก ฯลฯสตั ว์บางชนิดเมอื่ วางไขแ่ ลว้ จะปล่อยไข่น้นั ท้งิ ไป เช่น เตา่ กบ และแมลง คณะครุศาสตร์ 43 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนท่ี 9 สตั ว์มกี ระดูกสันหลงั สัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ชั้นสูงมีเนื้อเยื่อของร่างกายเจริญเป็นอวัยวะที่มีการทำงานซับซ้อน มี กระดูกสันหลังทำหน้าที่เป็นแกนกลางของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายคงรูปที่แน่นอนอยู่ได้ส่วนมากมีขนาดใหญ่ อาศัยอย่ทู งั้ ในนำ้ และบนบก สัตวม์ ีกระดกู สนั หลังทม่ี วี ิวฒั นาการสงู กว่าสตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลงั นกั วทิ ยาศาสตร์ไดแ้ บ่งสตั วม์ ีกระดกู สนั หลังตามลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ออกเปน็ 5 กลุม่ ไดแ้ ก่ 1. กลมุ่ ปลา 2. กลมุ่ ครึ่งนำ้ ครึง่ บก 3. กลมุ่ สตั ว์เลอ้ื ยคลาน 4. กลมุ่ สัตวป์ ีก 5. กลุ่มสัตวเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยน้ำนม กลุ่มปลา ปลา เปน็ สตั ว์เลือดเยน็ สามารถปรบั อุณหภมู ิของร่างกายตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม อาศัยอยู่ในน้ำ จืดและน้ำเค็ม มีกระดูกสันหลังต่อกันเป็นข้อ ๆ ภายในร่างกายลักษณะสำคัญ คือ มีครีบช่วยในการว่ายน้ำ หายใจด้วยเหงือก มีถุงลมอยู่ในตัว ช่วยลดและเพิ่มปริมาณอากาศ และยังช่วยในการลอยตัวของปลา มี ขากรรไกรบนและลา่ ง สามารถอา้ ปากเพื่อฮุบนำ้ ที่มีอาหารปนอยู่ บางชนดิ มีเกล็ด บางชนิดไม่มีเกล็ด บางชนิด มีฟันแหลมคม สามารถจับเหยื่อได้เป็นอย่างดี รูปร่างของปลาแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน บางชนิดมีลำตัว ยาว เชน่ ปลาไหลบางชนิดลำตวั ทรงกระบอง เชน่ ปลาชอ่ น บางชนดิ มลี ำตัวแบน เช่น ปลากระเบน ส่วนปลา ปักเป้ามีลำตัวค่อนข้างกลม และมีหนามแหลมยื่นออกตามิวหนังเพื่อป้องกันตัว ม้าน้ำมีรูปร่างแปลกกว่าปลา อื่น ๆ มีหางม้วนงอสำหรับจับยึดกิ่งไม้หรือปะการังใต้น้ำได้ด้วย กระดูกของปลา เราเรียกว่า ก้าง บางชนิดมี เมือกท่ที ำให้ลื่นสามารถเคลอ่ื นทีไ่ ดส้ ะดวก คร่งึ น้ำคร่งึ บก สัตว์พวกนี้ เป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนกับปลา อาหารที่กินจะเป็นตัวหนอน และแมลง โดยใช้ลิ้นตวัด เข้าปาก ตอนเปน็ ตวั อ่อนจะอาศัยอยูใ่ นน้ำ เมื่อโตเต็มวยั จะขึน้ มาอาศยั อยู่บนบก แต่สามารถยังอยู่ในน้ำได้เป็น เวลานาน ไดแ้ ก่ กบ อ่งึ อา่ ง คางคก เขียด ปาด จงโครง่ ซึ่งมลี กั ษณะคลา้ ยกบั คางคก ลกั ษณะสำคัญ มผี ิวหนงั เรยี บไมม่ ีเกล็ด และเปียกชน้ื อยู่ตลอดเวลา เพราะมีตอ่ มสร้างนำ้ เมือกคอยขับ นำ้ เมือกออกมาถ้าผิวหนงั แห้งบางพวกอาจต่อมพิษอยตู่ ามผวิ หนังท่ีขรุขระสัตว์พวกน้ีตอนเป็นตัวอ่อนจะมีหาง และมรี ูปร่างคลา้ ยปลา อาศัยอยู่ในน้ำ หายใจดว้ ยเหงือก เรยี กวา่ \" ลกู ออ๊ ด ตอ่ มาจะมกี ารเปล่ียนแปลงรูปร่าง โดยเหงือกค่อย ๆ หายไป และปอดใช้หายใจแทนเหงือก ขาเร่ิมงอก หางหดสัน้ ลงจนมีรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัย แต่มีขนาดเล็ก ขึ้นมาอาศัยบนบก และเจริญเติบโต นอกจากหายใจด้วยปอดแล้ว ยังสามารถแลกเปลี่ยนก๊าซ ผา่ นทางผวิ หนังทบี่ างและชุ่มชืน้ ได้อีกทางหน่ึงด้วย ทำให้สามารถอยใู่ นน้ำได้เป็นเวลานาน ในฤดูหนาวและฤดู ร้อน สตั ว์พวกนี้จะหลบความแหง้ แลง้ และขาดแคลน อาหารไปอยูท่ ช่ี ุ่มช้ืน โดยขุดรูหรอื ฝงั ตวั อยใู่ ตด้ ิน เรียกว่า 44 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook