Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทสธรรมล้านนา

เทสธรรมล้านนา

Published by sutthirak147izaak, 2021-09-24 09:02:07

Description: เทสธรรมล้านนา

Keywords: เทสธรรม

Search

Read the Text Version

ขึ้นกล่าวบทภาษาบาลี ต้องออกเสยี งให้ถูกตอ้ ง ชดั เจน และองอาจ เพ่อื แสดง ความเคารพตอ่ พระพุทธพจน์ ๓) อารมั ภบท เป็นการเกริ่นน�ำ เพื่อใหร้ ทู้ ม่ี าของคัมภีร์ จุดประสงค์ของ ผู้แตง่ หรือวิงวอนใหต้ ้งั ใจฟงั ๔) เน้อื เร่ือง เป็นเรื่องราวท่ีต้องการน�ำเสนอ อาจเป็นชาดก ค�ำสอน อานิสงส์ หรือต�ำนาน ๕) การสรุปหรือกลา่ วถึงอานสิ งส์ ในช่วงสุดท้ายก่อนจะจบการเทศน์ หลงั จากนำ� เสนอเนื้อหาหลกั แลว้ บางเรอ่ื งทเี่ ป็นชาดกมจี �ำนวนหลายผูกอาจสรุป เหตุการณ์เล็กน้อยแล้วท้ิงประเด็นให้ผู้ฟังติดตามผูกต่อไป แต่ถ้าเป็นธรรมโทน เรื่องอ่ืนที่มีเนื้อหาจบภายในผูกเดียว ก็จะสรุปเหตุการณ์ หลักธรรมส�ำคัญ หรอื กลา่ วถึงอานิสงส์ของการถวายทานคมั ภรี ธ์ รรม ๖) จบบทเทศน์ คือการปิดท้ายบทเทศน์จะลงท้ายด้วยส�ำนวนว่า “...นฏิ ฺฐติ ํ ขียาสงฺวณณฺ นาวเิ ศษ จาห้องเหต.ุ ..(ช่ือคัมภีรธ์ รรม) ก็บังคม สมเรจ็ เสดจ็ .” แต่บางทอ้ งถ่ิน อาจอา่ นจนจบผกู ว่า ...เสร็จแล้วเทา่ นก้ี ่อนแล. ก็มี ส่วนบรรยากาศการเทศน์ มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์ เพราะผู้ฟังจะต้ังใจฟัง ไมพ่ ดู คยุ กนั อกี ทง้ั เนอื้ หาคมั ภรี ธ์ รรมจะมงุ่ สเู่ นอ้ื หาทต่ี อ้ งการนำ� เสนอ โดยไมเ่ ลน่ ถ้อยคำ� ส�ำนวนให้ตลกขบขันแตอ่ ย่างใด 101

ลกั ษณะโครงสรา้ งของบทเทศนใ์ นคมั ภรี ธ์ รรมลา้ นนา เรอื่ งมาลยั โผดโลก๘๐ ๒.๑๐ สถานทแี่ ละโอกาสในการเทศน์ การเทศน์ส่วนใหญน่ ิยมจัดในวัดโดยเฉพาะวหิ าร ซึ่งถอื เปน็ ท่ีสถติ ของ พระรัตนตรัย เป็นศูนยก์ ลางการประกอบพิธกี รรมและกจิ กรรมของชมุ ชน แต่ บางพธิ ีก็อาจนมิ นตพ์ ระสงฆ์ไปเทศนต์ ามบา้ นเรอื นหรอื สถานทต่ี า่ งๆ ในโอกาส พเิ ศษ เพือ่ ความเปน็ สริ มิ งคลและอุทศิ บุญกุศลใหแ้ ก่ผู้ล่วงลับ หากจดั ประเภท ของโอกาสในการเทศน์ ตามลกั ษณะของงานหรอื กิจกรรมเปน็ หลกั อาจแบง่ ได้ ๒ ประเภท กล่าวคอื ๘๐คมั ภีร์ธรรมลานกระดาษ เร่อื งมาลัยโผดโลก. ลำ� พนู : ร้านภิญโญ. มปพ. 102

๑. การเทศน์ในงานมงคล การเทศน์ในงานบุญประเพณที างพุทธศาสนา เชน่ เทศกาลเขา้ พรรษา เทศกาลปใี หมเ่ มอื ง (สงกรานต)์ เทศกาลยเ่ี พง็ (ลอยกระทง) ประเพณีตั้งธรรมหลวง ประเพณีฟังธรรมกลางพรรษา พิธีพุทธาภิเษก งานสรงน�้ำพระธาตุเจดีย์ เป็นต้น นิยมเทศน์ในวัด ส่วนการนิมนต์พระสงฆ์ ไปเทศนท์ บ่ี า้ นในงานบญุ ประเพณตี า่ งๆ เชน่ ธรรมไชยสงั คหะ ธรรมเคหาภเิ ษกมงคล ขึ้นบ้านใหม่ ธรรมพุทธสังคหะโลก ใช้เทศน์ในงานท�ำบุญข้ึนบ้านใหม่หรือ สังคหะบา้ น ธรรมโลกาวุฒิ เทศน์ในงานสบื ชาตา ธรรมยา่ ขวันเขา้ เทศนใ์ นพิธีนำ� ขา้ วขนึ้ ใสย่ ุ้งข้าว (หลองเข้า) เป็นตน้ ๒. การเทศน์ในงานอวมงคล การเทศน์ในงานศพ เพ่ือแจงอานสิ งส์ และอทุ ิศบญุ กุศลไปให้แกผ่ เู้ สยี ชีวิต เชน่ งานบ�ำเพญ็ กศุ ลศพ งานทำ� บุญอฐั ิ งาน ปอยเขา้ สงั ฆ์ (ทำ� บุญครบรอบการเสียชีวิต) เปน็ ตน้ คัมภีรธ์ รรมท่นี ยิ มเทศน์ ประกอบดว้ ย ธรรมมาลัยโผดโลก ธรรมนิพพานสตู ร ธรรมมหามลู นิพพานสตู ร ธรรมวสิ ทุ ธิยา ธรรมกรรมวบิ าก ธรรมมหาวบิ าก ธรรมกรรม ธรรมเปตพลี ธรรม พราหมณป์ ญั หา ธรรมธรรมสงั เวช ธรรมตำ� นานพระแกว้ ดอนเตา้ ธรรมอานสิ งส์ ญาติคณุ ธรรมอานสิ งสท์ านหาคนตาย ธรรมอานสิ งส์เผาศพ ธรรมกรรมวาจา ธรรมอุทิศให้แกพ่ อ่ แมผ่ ลู้ ่วงลับ เปน็ ตน้ คมั ภีร์ธรรมเหล่านช้ี าวลา้ นนาเรยี กวา่ “ธรรมทานหาผตี าย” หมายถงึ คมั ภรี ธ์ รรมทใี่ ชเ้ ทศนส์ ำ� หรบั อทุ ศิ บญุ กศุ ลไปหาผู้ เสียชีวติ พระภิกษสุ ามเณรท่บี วชใหมต่ อ้ งฝึกเทศน์คัมภรี ธ์ รรมเหล่านีใ้ หช้ ำ� นาญ กอ่ น เพราะต้องใชเ้ ทศน์อยู่เป็นประจำ� เน่ืองจากมคี นตายบ่อย เรยี กวา่ เป็นธรรม หมอ้ แกงทอง (หมอ้ แกงตอง) คือใช้หากนิ ได้อยู่ร�่ำไป นอกจากนี้ การเทศน์แบบจารีตล้านนาในปัจจุบัน ยังนยิ มเทศน์มหาชาติ เวสสันดรชาดกบางกัณฑ์ ในงานบ�ำเพ็ญกุศลศพตอนกลางคืน โดยเฉพาะคืน สดุ ทา้ ยกอ่ นทีจ่ ะประกอบพิธีฌาปนกิจศพ หรือพิธีสง่ สะการทานคาบในวันรุ่งขนึ้ แตกตา่ งจากอดตี ทนี่ ยิ มเทศนม์ หาชาตเิ วสสนั ดรชาดกในงานประเพณตี ง้ั ธรรมหลวง ศซึ่พงถซืองึ่ เเปป็น็นงงาานนอมวงมคงคลลเทเพ่าง่ินเั้กนดิ ขกนึ้ารเนม�ำอื่ มปหระามชาาณติเพวส.ศส.ัน๒ด๕ร๐ช๐าดเกปม็นาตเ้นทมศา๘น๑์กในัณงฑาท์นี่ นิยมเทศนใ์ นงานบ�ำเพ็ญกศุ ลศพได้แก่๘๒กณั ฑ์มัทรี กณั ฑช์ ูชก กณั ฑม์ หาราช และ ๘๑สัมภาษณ์ นายศรีเลา เกษพรหม. อา้ งแล้ว. ๑๘ กนั ยายน ๒๕๕๖. 103 ๘๒สัมภาษณ์พระครอู ดุลสีลกิตต.์ิ วดั ธาตุค�ำ ต�ำบลหายยา อ�ำเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม.่ ๒๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๔.

นครกณั ฑ์ ความนยิ มเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดกกณั ฑด์ ังกล่าวในงานบ�ำเพญ็ กศุ ลศพน้ัน มีสาเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. เวสสนั ดรชาดกกณั ฑด์ งั กลา่ ว มเี นอื้ หาสนกุ สนาน ตนื่ เตน้ และมเี สยี งเทศน์ ทไ่ี พเราะจบั ใจ เรียกวา่ เทศน์เสียงดี ช่วยสรา้ งบรรยากาศงานศพใหด้ ขี ้ึน ในอดีต บา้ นท่ีตัง้ ศพไว้ เรยี กว่า เรือนเยน็ (เฮอื นเย็น) มบี รรยากาศเศรา้ โศก เงียบเหงา คนสมัยนั้นมักน�ำนิทานขนาดส้ันหรือเจี้ยก้อมมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นเพ่ือนเจ้า ภาพและสรา้ งบรรยากาศไม่ใหเ้ งยี บเหงา แตส่ มัยปจั จบุ ันการเล่าเจ้ยี ก้อมสูญไป แตม่ ีสง่ิ อน่ื เขา้ มาท�ำหนา้ ทแ่ี ทน เชน่ การเทศน์มหาชาติ การเลน่ พนนั ในงานศพ เปน็ ต้น ๒. ผฟู้ งั บางกลุม่ โดยเฉพาะกลมุ่ ผสู้ งู อายุ มีความสนใจฟงั เทศนม์ หาชาติ เป็นพนื้ ฐานอยู่แลว้ ถา้ หากผเู้ สียชีวติ เป็นผู้สูงอายทุ ่ชี อบฟังเทศน์มหาชาติมาก่อน ญาติพี่นอ้ งกม็ ักจดั ให้มีการเทศน์กัณฑท์ ี่ผตู้ ายหรือผ้ฟู งั ทวั่ ไปนยิ มฟัง เพอ่ื อุทิศ บญุ กศุ ลไปให้ผู้ตาย อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ จะมีความนิยม แตบ่ รรยากาศการฟงั ธรรมมหาชาติ ระหวา่ งงานทจี่ ดั ในประเพณตี งั้ ธรรมหลวงในวดั และงานบำ� เพญ็ กศุ ลศพกม็ คี วาม แตกตา่ งกนั กลา่ วคอื บรรยากาศการเทศนใ์ นงานประเพณตี ง้ั ธรรมหลวงมคี วาม คกึ คกั และนา่ สนใจกวา่ เนอ่ื งจากเปน็ งานบญุ ประเพณศี กั ดส์ิ ทิ ธท์ิ จ่ี ดั ในชว่ งเทศกาล มกี ารประดับตกแต่งสถานที่เทศนอ์ ย่างยิง่ ใหญ่อลังการ มีการเทศนเ์ น้อื หาตาม ลำ� ดบั ครบ ๑๓ กัณฑ์ สว่ นงานบำ� เพญ็ กศุ ลศพเปน็ งานอวมงคล มีบรรยากาศ เศรา้ โศก เทศนเ์ พยี งกณั ฑใ์ ดกัณฑห์ นง่ึ ทนี่ ิยมเทา่ น้ัน ทำ� ให้เนอื้ หาไม่ครบถว้ น ขาดความต่อเนอ่ื ง ถ้าหากผู้ฟังไม่มพี ื้นฐานความรู้มากอ่ น ก็ไม่อาจเขา้ ใจเรอ่ื ง ราวได้ คงไดแ้ ตฟ่ งั เสยี งเทศนท์ เ่ี อ้อื นเสียงขึน้ ลงอยา่ งไพเราะเทา่ น้นั สว่ นบริเวณ งาน ก็ไม่มกี ารประดับตกแต่งเคร่อื งสักการบูชา ท่เี ก่ยี วข้องกบั การเทศนม์ หาชาติ ท�ำให้ไม่ได้บรรยากาศอยา่ งแท้จริง อีกทง้ั ผู้รดู้ ้านประเพณีทอ้ งถ่นิ บางทา่ น ก็มี ทศั นะไมเ่ หน็ ดว้ ย เน่ืองจากน�ำคัมภีรธ์ รรมมาเทศนผ์ ดิ ประเภทและผดิ โอกาส ตามจารีตล้านนาแล้วการเทศน์มหาชาติจะเทศน์ภายในวัดและเทศกาลต้ังธรรม หลวงเท่านน้ั 104

๒.๑๑ การตากธรรม กอ่ นเขา้ พรรษาในแตล่ ะป๘ี ๓ พระสงฆแ์ ละคณะศรทั ธาจะรว่ มใจกนั ทำ� ความ สะอาดคมั ภรี ธ์ รรมกอ่ น เนอื่ งคมั ภรี ธ์ รรมถกู เกบ็ ไวน้ านในหบี ธรรม (ตพู้ ระไตรปฎิ ก) มกั ถกู แมลงกัดแทะ ถ่ายมลู หรอื ไข่ออกมา อีกทง้ั สภาพภูมอิ ากาศที่ชืน้ ทำ� ให้ ใบลานถูกอดั ติดกนั แน่น และมีฝุ่นละออง ทำ� ใหส้ กปรก ขน้ึ รา หรอื ฉีกขาด พระภกิ ษสุ ามเณรในวดั จะพาคณะศรทั ธานำ� คมั ภรี ธ์ รรมออกจากหบี ธรรม ไปวางไว้บนเสื่อในที่โล่งแจ้ง เช่น ศาลาบาตร เป็นต้น แล้วท�ำความสะอาด หบี ธรรม และแกะผา้ ห่อคมั ภีรอ์ อกไปท�ำความสะอาด ส่วนคมั ภรี ์ใบลานกค็ อ่ ยๆ เปดิ ออกทีละใบ เพ่อื ให้สมั ผสั อากาศ ถ้าหากมฝี ุ่นหรือขนึ้ รา ก็ใช้ผ้าชบุ น�้ำบิด ให้หมาดแลว้ เช็ดเบาๆใหห้ มดทกุ หน้าลาน สว่ นพับสาก็แยกอกี ทห่ี น่งึ แล้วเปดิ ทีละแผน่ ใชผ้ ้าแห้งคอ่ ยๆ เชด็ เม่ือทำ� ความสะอาดเสรจ็ แล้ว กน็ �ำคัมภรี ใ์ บลาน และพบั สามาผง่ึ ลมอกี ทีหนงึ่ เรยี กวา่ จา๋ ยลม ถ้าหากคัมภรี ธ์ รรมชำ� รดุ กซ็ อ่ มแซม ด้วยการเยบ็ ด้วยดา้ ย หรอื อาจเปล่ยี นสายสยอง(เสน้ ด้ายทีฟ่ ัน่ เปน็ เชือกส�ำหรับ ร้อยใบลานให้เปน็ ผูก) และบัญชัก(ปา้ ยบอกชื่อคมั ภีร์) ใหม่ให้คงทน เม่อื ผ่ึงลม พอสมควรแล้ว กน็ �ำคมั ภีร์ใบลานและพับสาหอ่ ผา้ ใหเ้ ขา้ ท่เี หมือนเดมิ นำ� ไปวาง เรียงไว้บนโตะ๊ ในวิหาร ชาวลา้ นนาเชอ่ื ว่า การไดท้ ำ� ความสะอาดคมั ภีร์ธรรม มอี านสิ งสท์ ย่ี ง่ิ ใหญ่ จึงจดั ใหม้ พี ิธีถวายทานเพือ่ อทุ ิศไปใหแ้ ก่บรรพชน และผทู้ ี่มีสว่ นร่วมในการสร้าง คมั ภรี ธ์ รรมทลี่ ว่ งลบั ไปแลว้ เชน่ คนทจ่ี ารคมั ภรี ธ์ รรม เจา้ ภาพทถ่ี วายทานคมั ภรี ธ์ รรม เจ้าภาพถวายหีบธรรม เป็นต้น จึงนิมนต์พระสงฆ์มารับสังฆทานและเทศน์ ธรรมอทุ ศิ ไปถึงผู้มีอุปการคุณเหล่านน้ั เช่น ธรรมเปตพลี ธรรมมาลยั โผดโลก ธรรมมหามูลนพิ พาน ธรรมนพิ พานสูตร เปน็ ต้น เม่ือถวายทานเสรจ็ แล้ว กช็ ว่ ย กันขนห่อคัมภีร์ธรรมข้ึนไปเกบ็ ไวใ้ นหบี ธรรมเหมอื นเดมิ สว่ นคัมภรี ธ์ รรมที่จะใช้ เทศน์ในชว่ งเข้าพรรษา กเ็ กบ็ ไว้ในหีบธรรมหรือค้างธรรมบนธรรมาสน์ในวิหาร เพื่อใช้เทศน์ใหค้ ณะศรทั ธาฟังในช่วงเข้าพรรษาตอ่ ไป ๘๓สัมภาษณ์ นายศรีเลา เกษพรหม.๔๙ หมู่ ๒ บ้านศรสี องเมอื ง ต�ำบลไชยสถาน อำ� เภอสารภี จังหวดั เชยี งใหม.่ ๑ สงิ หาคม ๒๕๕๖. 105

การท�ำบุญถวายสงั ฆทานหลงั จากทำ� ความสะอาดคัมภรี ธ์ รรม ณ วดั น�้ำบ่อหลวง ตำ� บลยหุ วา่ อ�ำเภอสันป่าตอง จงั หวดั เชียงใหม่ (ขอบคุณภาพจาก นางสาวอมรรตั น์ เฟือ่ งวรธรรม สถาบนั วิจยั สังคม มหาวิทยาลยั เชียงใหม)่ คัมภรี ธ์ รรมที่ทำ� ความสะอาดแลว้ เตรยี มทำ� บุญ และจัดเก็บเขา้ หีบธรรม สงั ฆทานส�ำหรับถวายทาน 106

พธิ ที ำ� บุญถวายทานอทุ ศิ ให้แก่บรรพชนและผ้ทู ีม่ สี ว่ นรว่ ม ในการสร้างคมั ภรี ์ธรรม 107

การอญั เชิญคมั ภีร์ธรรมไปประดิษฐานในหบี ธรรม หรือตู้พระไตรปิฎกทีจ่ ัดทำ� ใหม่ 108

๒.๑๒ ลำ� ดบั ขั้นตอนการเทศน์ ในอดตี กอ่ นจะถงึ วนั พระ ในชว่ งคำ�่ ของวันขนึ้ หรือแรม ๗ ค่�ำ และ ๑๔ ค่�ำ ชาวล้านนานิยมตีกลองบูชา (กลองปูชา) เพ่ือเป็นอาณัติสัญญาณให้รู้ว่า วันพรุ่งน้ีเปน็ วนั พระ เรยี กอีกอย่างวา่ ตีป่าวอินทร์ ปา่ วพรหม (ตเี พ่อื บอกกล่าว ใหพ้ ระอนิ ทรพ์ ระพรหมรบั รวู้ า่ พรงุ่ นวี้ นั พระจะมกี ารทำ� บญุ ใหญ)่ เพราะสมยั กอ่ น ไม่มีปฏิทินบอกวันเดือนปี จึงอาศัยอาณัติสัญญาณจากเสียงกลองจากวัด ท�ำนองกลองปชู าทน่ี ยิ มตใี นชว่ งค�ำ่ ก่อนถึงวันพระ ประกอบดว้ ย ท�ำนองลอ่ งน่าน ท�ำนองเสอื ขบตุ๊ และท�ำนองสาวหลบั เทอะ ซ่งึ ชาวบ้านจะรับรู้วนั พระจากเสียง กลองปูชา แลว้ จะสำ� รวมในศลี พรอ้ มกับจดั เตรยี มอาหารไปท�ำบุญตกั บาตรและ ฟังเทศนใ์ นวนั รุ่งขนึ้ ส่วนอกี ท�ำนองหนึ่งเรียกว่า ฟาดแส้ หรือไล่ลูกตุบ ใชต้ ีเมื่อ พระสงฆ์เทศน์จบ เพ่ือเป็นสญั ญาณให้รู้ว่าการเทศน์ได้จบลงแล้ว การประกอบพธิ เี ทศน์ในแต่ละท้องถ่นิ ๘๔ อาจมีความเหมือนและแตกตา่ ง กนั อยบู่ า้ งตามความนยิ มในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ แตโ่ ดยทว่ั ไป มกั กำ� หนดเวลาและขน้ั ตอน ในการเทศน์ท่ีคล้ายกัน หากเป็นช่วงเข้าพรรษา นิยมเทศน์เฉพาะวันพระ (วนั ธรรมสั วนะ) หรอื วนั ศลี ถา้ เปน็ วนั พระ ๘ คำ่� เรยี กวา่ วนั ศลี นอ้ ย ถา้ เปน็ วนั พระ ๑๕ ค่ำ� เรียกว่า วนั ศีลใหญ่ ชาวล้านนาเรยี กวา่ วนั ฟังเทศน์ฟงั ธรรม แต่ละวัด จะกำ� หนดเวลาเทศนต์ ามความเหมาะสม บางวดั กำ� หนดเทศนใ์ นตอนสาย ตัง้ แต่ ๐๙.๓๐ - ๑๑.๓๐ น. บางวดั กำ� หนดเทศนใ์ นตอนบ่ายตัง้ แต่ ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. แล้วแต่จะตกลงกันระหวา่ งพระสงฆก์ บั ศรทั ธาประชาชน เพราะพระสงฆ์จะตอ้ ง ลงอโุ บสถฟังสวดปาฏิโมกขใ์ นวนั พระขา้ งขึ้น - แรม ๑๕ คำ่� ด้วย แตส่ ่วนมากนยิ ม เทศน์ในช่วงบา่ ย แต่เม่อื ออกพรรษาแล้ว นยิ มเทศน์เฉพาะวนั สำ� คญั บางโอกาส เท่านนั้ เชน่ เทศกาลปีใหมเ่ มือง เทศน์เรือ่ งอานิสงสป์ ีใหม่ เทศกาลยีเ่ พ็ง เทศน์ เร่ืองแม่กาเผือกและอานสิ งส์จดุ ผางผะทีส (ประทีป) ประเพณตี ้ังธรรมหลวง เทศน์มหาชาติเวสสนั ดรชาดก ประเพณถี วายผ้ากฐิน เทศนเ์ ร่อื งอานสิ งส์ผ้ากฐิน ประเพณีเดือน ๑๒ เพ็ง เทศน์ธรรมอทุ ศิ หรือธรรมทานหาผตี าย เชน่ เปตพลี มาลยั โผด มหามลู นิพพานสูตร เปน็ ต้น ล�ำดบั ขน้ั ตอนการไปวดั เพ่อื ฟังเทศน์ตามจารตี ที่โบราณาจารยก์ ลา่ วไว้๘๕ ชาวลา้ นนาจะอาบน�้ำชำ� ระรา่ งกายใหส้ ะอาด นุง่ เสอื้ ผ้าใหเ้ รียบรอ้ ย แลว้ ถอื พาน ๘๔สัมภาษณ์ นายศรเี ลา เกษพรหม. อ้างแล้ว. ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๑. ๘๕พระภกิ ษกุ ัมมฏั ฐาน สมบุญ กนทฺ สีโล อรัญวาสแมก่ างป่าขวี อ�ำเภอดอยสะเกด็ จงั หวัดเชยี งใหม่.หนงั สืออกั ษรล้านนา 109 เรือ่ ง แบบสมถกมั มัฏฐานภาวนาและวิปัสสนากัมมฏั ฐาน. เชยี งใหม่: โรงพมิ พอ์ ุปะติพงษ์. ๒๔๙๖. หน้า ๑.

ขา้ วตอกดอกไม้ ก่อนออกจากบา้ นให้ไหว้ทกั เทวดาทรี่ กั ษาบา้ น ๓ ครั้งวา่ อมิ สมฺ ึ เคหเทวตา วสนฺตา สขุ ิตา โหนฺตุ แล้วจึงเดินไปวัด พรอ้ มกับอธษิ ฐานในใจวา่ ทกุ ขฺ ปฺปมญุ จฺ นตฺ ุ สขุ ิตาโหนฺตุ เมือ่ ไปถึงประตวู ัดใหย้ นื ไหว้ทกั เทวดาที่รกั ษาวัด ๓ ครัง้ วา่ อิมสฺมึ อาราเม เทวตา วสนตฺ า สุขิตา โหนฺตุ และอมิ ํ วรสํ อธิษฐามิ ขมโทสํ แล้วจงึ ขน้ึ ไปบนวหิ าร ไหว้พระ ใส่พานขา้ วตอกดอกไม้ สำ� หรบั บูชาพระ รัตนตรัย เรียกว่า ขันแกว้ ทงั ๓ ใส่พานขา้ วตอกดอกไม้ส�ำหรับขอศลี เรยี กวา่ ขันขอศลี แลว้ ร่วมบชู ากัณฑ์เทศนด์ ้วยวตั ถุปจั จยั ตามแต่จะหาได้ เมื่อถงึ กำ� หนด เวลาทศี่ รทั ธาประชาชนหรอื ทเี่ รยี กในภาษาถนิ่ วา่ คณะสทั ธา หรอื พอ่ ออก แมอ่ อก พร้อมเพรียงกันในวิหารแล้ว มัคนายกหรืออาจารย์วัดจะอาราธนาพระสงฆ์ โดยน�ำพานข้าวตอกดอกไม้ไปนิมนต์พระสงฆ์บนกุฏิ พร้อมกับตีระฆังเพ่ือบอก อาณัติสัญญาณถึงความพร้อมในการฟังเทศน์ จากน้ันพระสงฆ์เดินลงจาก กุฏิขึน้ สู่วหิ ารซึง่ เปน็ สถานท่ีประกอบพิธีเทศน์ ถ้าอยบู่ นกฏุ ิกเ็ รียกวา่ ลงวหิ าร ถ้า อยูด่ ้านล่างเรยี กว่า ขึน้ วิหาร แลว้ น่ังบนอาสนะสงฆ์เรียกวา่ แทน่ สังฆ์ ซ่ึงจะอยู่ ในระดบั สงู กว่าทีน่ ัง่ ของผู้ฟงั เม่ือท้งั ๒ ฝ่าย คือพระสงฆ์และศรทั ธาประชาชน พรอ้ มกนั แล้ว กจ็ ะเรมิ่ ประกอบพธิ เี ทศนต์ ามล�ำดบั ขนั้ ตอนดงั นี้ ๑. ประเคนพานข้าวตอกดอกไม้ส�ำหรับบูชาพระรัตนตรัยที่ฐาน ชุกชี แล้วไหวพ้ ระสวดมนต์ เพ่ือน้อมร�ำลกึ ถึงคุณของพระรตั นตรัย ชาวล้านนา เรยี กพระรัตนตรัยว่า แก้วทังสาม หมายถึง สิง่ ท่มี ีค่าประเสรฐิ สุด ๓ ประการ ได้แก่ พระพุทธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ เรยี กพานขา้ วตอกดอกไม้สำ� หรบั บชู า พระรัตนตรัยว่า ขันแก้วทังสาม ส่วนอาณาบริเวณวัดเป็นสถานที่สถิตของ พระรตั นตรยั เรียกวา่ ขว่ งแก้วทังสาม ในขัน้ ตอนนม้ี มี คั นายกเปน็ ผนู้ �ำศรัทธา ประชาชนประกอบพิธี ๒. การอาราธนาศลี และรบั ศลี จากพระสงฆ์ เมอื่ ไหวพ้ ระจบแลว้ มคั นายก ถอื พานขา้ วตอกดอกไม้ธปู เทียน ทศ่ี รัทธาประชาชนนำ� มาใส่รวมกนั ในพาน เพ่อื ใชเ้ ปน็ เครือ่ งสกั การะพธิ สี มาทานศีล เรียกวา่ ขันขอศีล หรือ ขนั ศลี ไปประเคน พระสงฆผ์ ้เู ปน็ ประธาน แลว้ กลา่ วค�ำอาราธนาศีลและรบั ศลี จากประธานสงฆ์ อย่างพร้อมเพรยี งกนั เพ่อื ช�ำระกาย วาจา และจิตใจใหบ้ รสิ ทุ ธก์ิ ่อนฟงั เทศน์ ๓. เมื่อรับศีลจบแล้ว พระภิกษุหรือสามเณรผู้เทศน์ลุกจากอาสนะ แล้วคุกเขา่ กราบพระพทุ ธรปู ธรรมาสน์ และพระสงฆผ์ ู้เป็นประธานและมอี าวุโส 110

สูงกว่า เพอื่ แสดงความเคารพ ลกุ ข้ึนส่ธู รรมาสนท์ รงปราสาทดว้ ยความส�ำรวม ระวงั ๔. มคั นายกกลา่ วคำ� อาราธนาธรรม ด้วยส�ำนวนโวหารแบบลา้ นนา เรียก ว่า คำ� อาราธนาธรรม ถือเปน็ จารตี ในการนมิ นต์พระสงฆแ์ สดงธรรมโปรดศรทั ธา ประชาชน คำ� กลา่ วอาราธนาธรรมนี้ เปน็ โวหารเฉพาะทช่ี าวลา้ นนาสรา้ งสรรคข์ นึ้ มที งั้ สำ� นวนทเี่ ปน็ ภาษาบาลแี ละสำ� นวนภาษาลา้ นนา ดงั ตวั อยา่ งคำ� อาราธนาธรรม ท่ีปรากฏในเอกสารใบลานของวัดท่าทมุ่ ๘๖ ดงั น้ี ค�ำอาราธนาธรรมส�ำนวนภาษาบาลี กาโล ยนเฺ ต มหาวีร ธมฺมทานํ นครํ รมฺมํ เยน เสยยฺ ํ ปณฑฺ ิโต ตํ โน มคฺคํ อทุ สิ ฺสิตุ ธมฺมํ อนุกมฺปมิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ คำ� อาราธนาธรรมสำ� นวนภาษาลา้ นนา สำ� นวนท่ี ๑ อหํ อันวา่ ข้านอ้ ย คย็ อผะหนมกร บวรอภิวาทผะสวาดถวายบงั คม ขอลกู สกิ ข์พระโคดมตนฉลาด นั่งธัมมาสนเ์ มตตาธัมม์ จุ่งคอ่ ยแกไ้ ขยงั รัสสะธัมม์เทสนามา ธมมฺ ํ อนุกมฺปมิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ สำ� นวนที่ ๒ วนทฺ ามิ ค็น้อมไหว้กราบบังคม อหํ อันวา่ ข้า ผู้ขา้ น้อยคย็ อผะหนมมอื ใส่เกล้าเกศ สิบน้วิ เนตรปาทา ขอลูกสิกข์พระสวัสดา ตนจบแจ้งเจตน์ เมตตาธมั ม์เทสน ์ แจ้งหอระทัย ๘๖ได้รบั ความอนุเคราะหข์ ้อมลู จาก พระไชยวิทย์ ธมฺมรโต. วดั ท่าทมุ่ ตำ� บลสนั พระเนตร อ�ำเภอสันทราย จงั หวัดเชียงใหม.่ 111 ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑.

จุ่งคอ่ ยแกไ้ ขยงั รสั สะธมั มเทสนา ธมมฺ ํ อนุกมปฺ ิมํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ ส�ำนวนที่ ๓ ผู้ข้าวันทานบกราบไหว้ชุลี อนชุ านามิ ภกิ ขฺ เว ยกยน่ื ไหว้ผะหนมถวาย สานมือสบิ นวิ้ ถือดวงดอกบาน จุ่งโอกาสโผดเมตตา ขอลกู สิกข์พระมนุ นี ายตนสกั สวาด ขอพระข้าชักบวั ไขนองเนตร ปยิ ภา ค�ำอ่อนอ้อยระบำ� ไย หากเทสนเ์ ทสนามา ตามดังพระพทุ ธเจ้า ปชัง อาราธนงั กโรมะฯ ธัมมงั อนกุ มั ปมิ งั ส�ำนวนที่ ๔ สหมฺปติ มหาพรหมตนองอาจ หนา้ เจยี รจากฟ้าพมิ าน มอื ขา้ นอ้ ยขอยออัญชุลผี ะหนม นอ้ มไหว้กราบบงั คม ขอลกู สกิ ข์พระโคดม ตนจบแจ้งเจตน์ อันเขยี นขดี ไว้ใส่ลานคำ� คอ่ ยแกไ้ ขยงั รสั สะธมั มอ์ นั ลำ้� เลศิ ชโ้ี ลกาตามด่งั พระพุทธเจ้า หากเทสนามา ธมมฺ ํ อนกุ มปฺ มิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ ส�ำนวนท่ี ๕ ปทมุ ปุบผา ดวงมาลาพรำ่� พรอ้ ม ผะหนมนบน้อมแทบปาทา ฝูงศรทั ธาทังไหย่น้อย นง่ั เปน็ ถอ้ ยหมู่นารี ขอลูกสิกขพ์ ระมุนตี นฉลาด คอ่ ยแสง้ สวาดเมตตาธมั ม์ ค่อยแก้ไขตามระบำ� อนั แลบลว้ นสุขุมาน ด้วยดงั่ พระสวัสดาผายโผด สารถโรดธมั มเทสนามา ธมฺมํ อนกุ มฺปมิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ 112

สำ� นวนที่ ๖ ธมโฺ ม วรธาตุ พรรณาสวาดถวายผะหนม ขอลกู สกิ ข์พระโคดมตนฉลาด ขอโอกาสโผดเมตตา ฝูงสทั ทามาพรำ่� พรอ้ ม มานัง่ ลอ้ มอยถู่ า้ ฟงั ธมั ม์ ค่อยแก้ไขตามระบำ� อนั ชน่ื ชอ้ ยสว่างหอระทัย ขอพระข้าชกั บัวไข อัสสุไนพอนองเนตร ตามดั่งพระเจา้ หากเทสนเ์ ทสนามา ธมมฺ ํ อนุกมปฺ ิมํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ สำ� นวนที่ ๗ กาลธมมฺ เทสนา สมตตฺ า กเ็ ปน็ ปะริปณั ณาบ่เสด บดั นี้จิ่งขอพระข้าซ้�ำชักนเิ ทศ เทสนายังรสั สะธัมม์ แห่งพระสวาสดาตนผ่านเผา้ เปนป่นิ เกล้าชอ่ื ติโลกา มปติ ํ ทรงอนนั ตาทมิ ณั ณงั ตนวโิ รจนพ์ น้ จากโทษแห่งข้า ขอลกู สกิ ข์พระสัตถาตนองอาจ จุงปลงโอกาสโผดเมตตา หอ้ื ขุททกั กาย้าวเยือก พออะสุนสิ ันเสอื กแถว่ นอง ตามระบ�ำคลองพิจเพ่ง รัสสะธมั มเทสนามา ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ สำ� นวนท่ี ๘ ขอประณตบัวเทศ ถวายเกลา้ เกศนมสั การ ประดจุ คชสาร ปราบทองแท่นกระดานทอง ธัมมอ์ นั ใด แควนถะหรดั ถะหรอง อนั เปนคลองแหง่ นักปราชญ์ ผู้ขา้ นอ้ ยขอราธนามา ธมมฺ ํ อนุกมฺปมิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ สำ� นวนท่ี ๙ วันทามิ กไ็ หว ้ อหัง อันวา่ ข้า ขึ้นนงั่ ธัมมาสนด์ ูเพิง ยังพระขา้ ตนสกั สวาด 113

ดูสะเพงิ สถติ สะมิสสะโมเสมอเหมือน ผะเหมยี นดงั่ ราชะสีสงิ ห ์ ขนึ้ สูด่ อยค�ำ อย่าวา่ ข้านอ้ ยแคร้งจ�ำ กาละคห็ ากดูควร ผขู้ า้ ค็หากถะหมวน นิว้ น้อมกราบปาทา ขอพระขา้ คอ่ ยแก้ไขยงั รสั สะธมั มเทสนามา ธมมฺ ํ อนุกมปฺ มิ ํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ รูปแบบค�ำอาราธนาธรรมของล้านนานี้ มีลักษณะผสมผสานระหว่าง ภาษาบาลีกับภาษาท้องถิ่น แสดงถึงแนวคิดว่า ก่อนที่พระสงฆจ์ ะเทศนน์ ัน้ ต้อง ไดร้ บั การอาราธนาใหเ้ ทศนก์ ่อนเสมอ เพอ่ื แสดงความเคารพตอ่ พระธรรม อีกท้งั เปน็ การแสดงออกถึงความพรอ้ มของผูฟ้ ังในการฟงั เทศน์ดว้ ย ค�ำอาราธนาธรรมท่ียกตัวอย่างข้างต้นนี้ เป็นค�ำอาราธนาการเทศน์ แบบธรรมวัตร แต่ถ้าหากเป็นการเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก มัคนายกจะ มีคำ� อาราธนาธรรมเฉพาะกัณฑ์อีกแบบหน่ึง ซง่ึ มกี ารกล่าวถงึ เนือ้ หาโดยยอ่ ของ แต่ละกณั ฑ์ โดยกล่าวคำ� อาราธนาด้วยการเออื้ นเสยี งขึ้น-ลง เป็นทำ� นองเชน่ กนั ดงั ตัวอยา่ ง ค�ำอาราธนาธรรมกัณฑม์ ทั รี๘๗ อติ มิ ัทที กัณฑถ์ ว้ นเก้า จาเถิงนางหนอ่ เหนา้ มารำ�่ วงิ วอน ยามเมอื่ นางไพล่าดงดอน หาหัวมนั และลกู ไม้ แกว้ แกน่ ไท้แมไ่ ปท่ ันมา พระราชาจอมเจอื่ งเหงา้ ไดห้ ื้อลูกเตา้ เปนทาน ก่อนท่นี างนงคราญบ่อยู่หอ้ ง จะเดินเตสตอ้ งอรัญญา เมื่อนางมาก็รอ้ งรำ่� ไห้ เซาะหาลกู แก้วแกน่ ไท้สององค์ นางปอยบุ ตา่ วตวั ลงที่จิม่ ใกล้ พระบาทไทเ้ วสสันดร นับคาถาวรมีบ่ขาด ๙๐ บาทบาลี ขอนมิ นต์ลูกสิกข์พระมนุ ีตนผ่านแผว้ ข้นึ นงั่ ธรรมาสน์แล้วเทสนาธรรม ผู้ขา้ ขอใส่ระบ�ำกบั ทังกาพย์ สทั ทาทงั หลายยอมอื ก้มขาบดาฟัง ธมฺมํ อนกุ มปฺ ิมํ ปชํ อาราธนํ กโรม ฯ 114 ๘๗ญาณสัมปันโณ. ตำ� ราพิธกี รรมโบราณ. ล�ำพูน: รา้ นภิญโญ. มปพ. หนา้ ๑๘๐.

การกล่าวค�ำอาราธนาให้พระสงฆ์เทศน์เช่นน้ี เป็นคติท่ีได้รับมาจาก เหตุการณ์ในพุทธประวัติ กล่าวถึงเหตุการณ์หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระอนตุ รสัมมาสัมโพธิญาณแลว้ ทรงพิจารณาเหน็ ว่า ธรรมะท่ีตรัสรนู้ น้ั เปน็ ส่ิง ท่ยี ากส�ำหรบั มนษุ ย์ ซ่ึงยงั มีกิเลสตัณหาครอบง�ำจติ ใจ จกั เข้าใจได้โดยงา่ ย จึงตง้ั พระหฤทัยที่จะไมแ่ สดงพระธรรมเทศนาใหแ้ ก่ใคร ครน้ั ต่อมาทา้ วสหมั บดีพรหม ทราบถงึ เนอื้ ความนนั้ จงึ ประคองอญั ชลี แลว้ ทลู อาราธนาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ แสดงธรรม โปรดสัตว์โลก เนื่องจากเห็นว่า ผู้ท่ีมีความพร้อมในการตรัสรู้ตามก็ยังมีอยู่ เมื่อเป็นเชน่ น้ี จึงควรให้ความอนุเคราะห์แก่คนเหลา่ นน้ั เมือ่ พระพุทธเจา้ ทรง ใคร่ครวญแลว้ จึงรบั อาราธนาจากทา้ วสหัมบดีพรหม แสดงพระธรรมเทศนา โปรดสตั ว์โลก จนเกิดมีพระอรยิ บุคคลบรรลุธรรมตาม มีอบุ าสกอุบาสกิ าทเี่ ข้าถงึ พระรตั นตรยั เปน็ จำ� นวนมาก เหตกุ ารณน์ ้ี จงึ เปน็ คตริ องรบั ใหช้ าวลา้ นนา ถอื เปน็ แบบอยา่ งในการอาราธนาพระสงฆเ์ ทศนม์ าจนทุกวันน้ี ส�ำหรับการเทศน์ในวัฒนธรรมไทยภาคกลางนั้น ค�ำอาราธนาธรรมท่ี นิยมและเป็นที่ปรากฏโดยท่ัวไป ซึ่งชาวล้านนาในปัจจุบันก็นิยมน�ำมาใช้ คือ คำ� อาราธนาธรรมที่ประพันธ์เป็นพระคาถาภาษาบาลี ดังนี้ พรหฺมา จ โลกาธปิ ตี สหมปฺ ติ กตอฺ ญฺชลี อนธฺ ิวรํ อยาจถ สนฺตีธ สตฺตาปปฺ รชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมฺมํ อนกุ มปฺ มิ ํ ปชํ ฯ ๕. เมื่อพระสงฆ์ได้รับอาราธนาให้แสดงธรรมแล้ว ก็เร่ิมเทศน์ด้วยการ อ่านตามคัมภีร์ใบลาน ด้วยท�ำนองขับขานท่ีนิยมในท้องถิ่น ให้ไพเราะ และ ชดั ถอ้ ยชดั ค�ำ ถ้าหากเทศน์แบบธรรมดากจ็ ะเทศน์ทำ� นองธรรมวตั ร แตถ่ ้าหาก เทศนม์ หาชาตเิ วสสันดรชาดก ก็จะเทศน์ดว้ ยทำ� นองมหาชาติ ในขณะทพี่ ระสงฆ์ เทศน์อยู่นั้น ผ้ฟู ังซง่ึ มีดอกไมอ้ ยู่ในมอื เพ่อื บชู าพระธรรม จะน่ังพนมมอื แล้วต้ังจิต อธษิ ฐานวา่ “อิมํ ธมมฺ วรํ สุสุ อหํ วนฺทามิ สิรสา นมาม”ิ ๘๘๓ ครงั้ แลว้ นัง่ ตัง้ ใจฟัง ด้วยอาการเคารพจนจบการเทศน์ เพ่ือให้เกิดสมาธิและเข้าใจในสาระธรรม ตามปกตแิ ลว้ เมอ่ื พระสงฆเ์ รม่ิ เทศนด์ ว้ ยบทปณามคาถา “นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ ” ผู้ฟังจะน่ังพนมมือไว้ระหว่างอกไปจนจบการเทศน์ เพ่ือแสดง ถึงความเคารพในพระสัทธรรม บางคนอาจเลิกพนมมือหลังจากพระสงฆ์ ๘๘พระภกิ ษุกมั มัฏฐาน สมบุญ กนฺทสีโล. หนังสืออกั ษรล้านนาเรอื่ ง แบบสมถกัมมฏั ฐานภาวนาและวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน. 115 อ้างแล้ว. หน้า ๖๖.

กล่าวบทปณามคาถา แลว้ นงั่ ฟังด้วยอาการสงบ และจะพนมมืออกี ครั้งหนึ่ง เมือ่ เทศนถ์ งึ ตอนจบด้วยส�ำนวนว่า “...นฏิ ฐฺ ติ ํ ขยี าสวํ ณฺณนาวิเศษ จาหอ้ งเหต.ุ ....ค็ บงั คม สมเรจ็ เสดจ็ ” ในชว่ งนี้ ใหอ้ ธษิ ฐานวา่ “เทสนา ธมโฺ ม ชนิ าติ ภควตา ธมโฺ ม” ๓ ครงั้ ๖. เมื่อพระสงฆ์เทศน์จบ เดินลงจากธรรมาสน์แล้วกราบพระพุทธรูป ธรรมาสน์ และพระสงฆ์ผู้เป็นประธาน แล้วกลับไปนั่งบนอาสนะตามเดิม จากนนั้ เจา้ ภาพถวายกณั ฑเ์ ทศนห์ รอื เรยี กอกี อยา่ งวา่ “กณั ฑธ์ รรม” แลว้ รบั พรจาก พระผูเ้ ทศน์ ๗. พระสงฆ์น�ำประชาชนสวดกัมมัฏฐาน และนั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา ตามสมควรแก่เวลา ๘. มัคนายกน�ำประชาชนสวดมนต์กรวดน�้ำแผ่เมตตา กล่าวค�ำขอขมา พระรตั นตรัย (สมู าแก้วทงั ๓) คำ� ไหว้คุณส่งิ ศักด์ิสทิ ธิ์ (วนั ทาหลวงและวนั ทา น้อย) และกลา่ วค�ำอ�ำลาพระสงฆเ์ ปน็ เสร็จพิธี ลำ� ดบั ขน้ั ตอนในการเทศนข์ องลา้ นนาทกี่ ลา่ วมานี้ บางทอ้ งถนิ่ อาจเพมิ่ เตมิ หรือลดขั้นตอนบางส่วน ขึ้นอยู่กับความนิยมของแต่ละท้องถิ่น แต่โดยท่ัวไป แล้วมักถือตามล�ำดับขั้นตอนดังกล่าว การจัดล�ำดับขั้นตอนประกอบพิธีเทศน์ อยา่ งเปน็ แบบแผน ทำ� ใหก้ ารเทศนด์ ำ� เนนิ ไปดว้ ยความเรยี บร้อย ผู้ประกอบพธิ ี และผเู้ ขา้ รว่ มพิธี ต่างมีส่วนร่วมในพิธีตามบทบาทหนา้ ทข่ี องแตล่ ะคน นับเป็น ความสามัคคใี นการรว่ มมือกนั ประกอบพธิ ีกรรมโดยพร้อมเพรยี งกัน ๒.๑๓ การฝกึ เทศน์ธรรม พระภิกษุ - สามเณรล้านนาในอดีต๘๙ เมื่อได้บรรพชา - อุปสมบทแล้ว มหี น้าที่ศกึ ษาตามความจ�ำเป็น ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. การศกึ ษาดา้ นการเทศนธ์ รรม คอื ฝกึ ฝนการเทศน์ ดว้ ยการอา่ นตามที่ นกั ปราชญห์ รอื ครบู าอาจารยไ์ ดร้ จนาไว้ในคมั ภีร์ใบลาน ทั้งคมั ภรี ธ์ รรมทีใ่ ชเ้ ทศน์ ในงานมงคลและงานอวมงคล ให้ถกู ตอ้ ง และชัดเจน ตามท�ำนองนยิ มในท้องถน่ิ ท้งั ทำ� นองธรรมวัตร และทำ� นองมหาชาติ ๒. การศึกษาด้านมุขปาฐะ หรือการท่องจ�ำ คือ การศึกษาพุทธประวัติ หัวขอ้ ธรรม ขอ้ วตั รปฏิบตั ิ และบทสวดมนต์ต่างๆ ท่คี รูบาอาจารยไ์ ดส้ ั่งสอน 116 ๘๙พระครอู ดุลสลี กิตติ์. การศึกษาของสามเณรและพระภกิ ษุหลังการบวช. อ้างแลว้ . หน้า ๒๓๑.

สืบทอดกันมา เชน่ องคแ์ ห่งสิกขาบท บทสวดมนตท์ ้ัง ๗ ตำ� นาน และ ๑๒ ตำ� นาน เป็นตน้ ๓. การศกึ ษาภาคพิเศษ คอื การศกึ ษาความร้ตู า่ งๆ ที่พระภกิ ษ-ุ สามเณร สามารถเสาะแสวงหาเรยี นร้ไู ดต้ ามความสนใจหรอื ความถนัด เช่น การศึกษา ดา้ นภาษาลา้ นนา การจารอกั ขระลงในคมั ภีร์ใบลาน การศกึ ษาต�ำราโหราศาสตร์ การศึกษายาสมุนไพร การศกึ ษาเชงิ ช่าง การศึกษาด้านไสยศาสตรแ์ ละพธิ ีกรรม เปน็ ตน้ ด้านการเทศน์ธรรมน้ัน พระภิกษุ - สามเณรที่ท�ำหน้าท่ีเป็นผู้เทศน์ แตล่ ะรปู ต้องผา่ นกระบวนการฝึกฝนการอา่ นคัมภีร์ธรรมใหถ้ ูกต้อง คล่องแคล่ว และมีความไพเราะตามท�ำนองนิยมในท้องถิ่น เมื่อได้รับมอบหมายจากเจ้า อาวาสหรือ ทุหลวง ใหเ้ ปน็ ผูเ้ ทศน์แล้ว จะไดร้ ับแจกคัมภรี ์ธรรมท่ีจะใชเ้ ทศน์ ลว่ งหน้า เรียกว่า ตกธรรม คือการแจกคมั ภีร์ธรรมแตล่ ะเร่อื งแตล่ ะผกู ให้พระ ภิกษ-ุ สามเณรแตล่ ะรปู ทท่ี ำ� หน้าท่ีเป็นผ้เู ทศน์ นำ� ไปฝึกเทศน์ให้คลอ่ งก่อนขนึ้ เทศน์จรงิ ถา้ หากรูปใดเทศน์ตะกุกตะกกั หรอื ไมไ่ พเราะ กจ็ ะไม่ได้รับคัดเลอื กให้ เปน็ ผู้เทศน์ เนือ่ งจากเกรงวา่ จะถูกต�ำหนจิ ากพระสงฆ์ผ้ใู หญห่ รือผฟู้ งั ท่วั ไป ซึ่ง อาจทำ� ใหเ้ ส่ือมเสยี ถึงเจา้ อาวาสด้วย ดงั น้ันจึงมคี วามเคร่งครดั ในการฝกึ ฝนมาก เรยี กการฝึกเทศนธ์ รรมว่า เรียนเทศน์ เรยี นธรรม ฝกึ เทศน์ หรอื ฝึกธรรม โดยมี พระพ่ีเลี้ยงซึ่งเป็นพระภิกษุท่ีได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสท�ำหน้าท่ีควบคุม การฝึกเทศน์ธรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาจให้ผู้เทศน์น�ำคัมภีร์ธรรม มาอ่านใหฟ้ งั แบบตัวต่อตัว เรียกการฝึกซอ้ มการเทศนน์ ้ีวา่ การเลียบธรรม หาก พระภิกษสุ ามเณรรูปใดสามารถเทศนไ์ ด้ช�ำนาญ ถูกตอ้ ง และมคี วามไพเราะโดย เฉพาะการเทศน์มหาชาติเวสสนั ดร จะไดร้ ับการเรยี กขานว่า พระนักเทศนเ์ สยี งดี มักได้รบั นิมนต์ใหไ้ ปเทศนต์ ามหวั วดั ต่างๆ อยู่เป็นประจำ� แต่การทจ่ี ะเป็นพระ นักเทศน์เสยี งดีมีคณุ ภาพได้นั้น ต้องอาศยั การฝกึ ฝนมาเปน็ อย่างดี การเรมิ่ ต้นฝึกเทศน์ ท้ังแบบธรรมวัตรและแบบมหาชาตนิ นั้ เร่มิ จาก พระภกิ ษุสามเณรรปู นัน้ ๆ มคี วามสนใจอยากเปน็ พระนักเทศนก์ อ่ น จากน้ัน ก็พิจารณาวา่ เสียงของตนเหมาะทีจ่ ะเทศนแ์ บบใด บางทผี ู้ฟังซึ่งอาจเป็นเจา้ อาวาสหรือศรัทธาประชาชนที่เคยฟังการเทศน์แบบธรรมวัตรของพระภิกษุ- สามเณรรปู น้นั ๆ มากอ่ น เห็นว่ามีเสียงทไ่ี พเราะ เหมาะสำ� หรบั เปน็ พระนักเทศน์ 117

เสียงดี จึงแนะน�ำให้ไปฝึกหัดการเทศน์มหาชาติกับครูบาอาจารย์ท่ีมีความ ช�ำนาญ อาจเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสท่ีผา่ นการบรรพชาอปุ สมบทมาก่อน แต่ มคี วามช�ำนาญในการเทศน์ท้งั ท�ำนองธรรมวัตรและทำ� นองมหาชาติ ถอื เป็นครู ตน้ แบบของผู้ทีจ่ ะฝึกเทศน์ ทงั้ น้ผี ู้ทีจ่ ะเปน็ พระนกั เทศน์เสยี งดไี ดน้ ้นั ต้องผา่ น การเทศน์แบบธรรมวัตรมาก่อน ซึ่งเปน็ การฝึกเทศนข์ นั้ พน้ื ฐาน ประพัฒน์ ไชยชนะ๙๐ เคยผา่ นการอุปสมบท เปน็ พระนักเทศน์ทั้งแบบ ธรรมวัตรและมหาชาตมิ าก่อน ได้ท�ำหนา้ ท่เี ปน็ ครสู อนการเทศนแ์ บบล้านนาให้ แกพ่ ระภิกษุ-สามเณรในจังหวดั เชยี งใหม่และจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง ณ วดั ลอยเคราะห์ ต�ำบลชา้ งคลาน อ�ำเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่ กลา่ วว่า พระภกิ ษุ - สามเณรท่ี ฝึกเทศน์ ต้องมคี วามต้งั ใจและมีความขยนั อยา่ งแท้จริง เพราะการเทศน์ถอื เป็น ภารกิจส�ำคัญของพระภิกษุสามเณร หากสามารถเทศน์ได้ดี มีวินัย และมี ศีลาจารวัตรดี กเ็ ป็นท่ีเล่อื มใสของศรทั ธาประชาชน โดยมหี ลักการเทศน์ดังน้ี ๑. ก่อนฝกึ เทศนต์ อ้ งมจี ติ เป็นสมาธิ ฝึกหายใจเข้า-ออกยาวๆ กอ่ น แล้ว จงึ เรม่ิ ขน้ึ บทปณามคาถา (นโม ฯลฯ) และต้องพดู ช้าๆ เปล่งเสียงใหด้ งั พอสมควร ๒. ใหน้ ั่งตวั ตรง ไม่พงิ ฝาผนงั เสา หรอื นอนพดู ตอ้ งฝกึ ท่องตัง้ แตต่ ้นจน จบในแตล่ ะผูกและฝกึ ทอ่ งบอ่ ยๆ ๓. เม่ือเร่ิมฝึกเทศน์ต้องเริ่มต้ังเสียงเล็กๆ เสียงท่ีพูดธรรมดา และเปล่ง เสยี งใหด้ ังตลอดอย่างสมำ�่ เสมอ ๔. ถ้าสามารถฝึกจนมีเสียงดี มีเสียงในไพเราะแล้ว ก็สามารถเป็นนัก เทศน์มหาชาติเวสสนั ดรชาดกทดี่ ีได้ พระครูวสิ ิฏศลี าภรณ์๙๑ แนะน�ำหลกั ในการฝกึ เทศนแ์ บบจารตี ล้านนาว่า ๑. ผู้ฝึกเทศน์ควรยึดหลักการลงเสียง จังหวะลีลา และการอ่านอักขระ ใหถ้ ูกตอ้ งชดั เจน การลงเสยี งนั้นควรลงด้วยสระเสียงยาวคือ อา อี โอ ซ่ึงต้อง ลากเสยี งให้ยาว ขณะท่ลี งเสยี งนนั้ ควรปล่อยลมหายใจออกใหห้ มด แลว้ ก็หายใจ เข้าใหม่ให้ยาวหรอื เตม็ ปอด เพอื่ อ่านคำ� ต่อไป อกี ทั้งสายตาควรมองคำ� ท่ีจะอ่าน ตอ่ ไป โดยไมใ่ ห้สะดดุ จังหวะลีลาการเทศน์ ควรอ่านเป็นลำ� ดับๆ ไป โดยไมใ่ ห้ ตะกุกตะกกั รกั ษาจังหวะลีลาใหส้ ม่ำ� เสมอ ไมช่ า้ หรือเร็วจนเกนิ ไป อาจเคาะพื้น ๙๐อหำ�นเว่ภยออเมบือรมงปจรงั ะหชวาัดชเชนียตง�ำใบหลมช่. ้ามงปคพล.าหนน. ้าเอ๑ก-ส๒า.รคูม่ ือฝึกเทศน์ท�ำนองเมืองเหนือ. เชียงใหม:่ วัดลอยเคราะห์ ตำ� บลช้างคลาน 118 ๙๑เรือ่ งเดียวกนั .หน้า ๓-๔.

เปน็ จงั หวะประกอบการฝึกเทศน์ก็ได้ สว่ นการอ่านอกั ขระน้ัน ควรอ่านให้ถูกตอ้ ง และชดั เจนตามสำ� เนียงนิยมของท้องถน่ิ เน่ืองจากเป็นการเทศน์แบบพืน้ เมือง ถึง แมค้ มั ภรี ์ธรรมจะถกู ปริวรรตจากอักษรล้านนาเปน็ ภาษาไทยกลางแล้วก็ตาม ๒. การเทยี บเสยี ง พระนกั เทศนก์ เ็ หมอื นศลิ ปนิ นกั รอ้ งหรอื นกั ดนตรที วั่ ไป ก่อนที่จะรอ้ งเพลงหรือเล่นดนตรตี อ้ งมีการเทยี บเสยี งหรอื ตง้ั เสยี งก่อน เพ่อื ให้ ไดเ้ สยี งตามตอ้ งการ พระภกิ ษุ - สามเณรท่เี ปน็ นกั เทศนท์ ่ีดกี ็เชน่ เดยี วกนั ต้อง เทียบเสยี งของตนกอ่ น ว่ามีเสยี งนอกและเสยี งในหรอื ไม่ อยา่ งไร โดยสามารถ เลียนเสยี งธรรมชาติ เชน่ เสยี งแมวรอ้ ง เสยี งไก่ขนั เสียงนกเขาขัน เสยี งลกู สนุ ัข รอ้ ง เปน็ ตน้ ถา้ สามารถเลียนแบบเสียงธรรมชาติเหลา่ นไ้ี ด้ แสดงว่ามีเสยี งในอยู่ และมคี วามเหมาะสมทีจ่ ะเป็นนกั เทศนม์ หาชาตเิ วสสนั ดรชาดก ๓. วิธีการฝกึ กลั้นลมหายใจ เพือ่ ใชป้ ระกอบจังหวะลีลาการเทศน์ คือฝึก กลัน้ หายใจใหน้ านและบอ่ ยๆโดยจบั เวลาดู อาจใชว้ ธิ ฝี ึกกล้นั หายใจในน�้ำบอ่ ยๆ ก็จะสามารถกล้ันหายใจและเทศนไ์ ดน้ าน ๔. หากพระภกิ ษุ - สามเณรรปู ใด ไมส่ ามารถฝกึ เทศนม์ หาชาตไิ ด้ กส็ ามารถ ปรบั เปน็ การเทศนแ์ บบประยกุ ตไ์ ด้ โดยเทศนพ์ นื้ เมอื ง(เทศนแ์ บบจารตี ) ผสมผสาน กบั การบรรยายธรรม (เทศน์แบบปฏภิ าณโวหาร) โดยสอดแทรกมุขตลกทแ่ี ฝง ด้วยสาระธรรมและนิทานธรรม นอกจากน้นั เอกสารคมู่ อื ฝกึ เทศนท์ ำ� นองเมอื งเหนือ๙๒ ของหนว่ ยอบรม ประชาชนต�ำบลชา้ งคลาน วดั ลอยเคราะห์ ต�ำบลชา้ งคลาน อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ ยงั ใหห้ ลกั การฝึกเทศน์แบบเมอื งเหนือทีน่ ่าสนใจวา่ ๑. ผ้ฝู ึกเทศน์ต้องน่ังตวั ตรง หา้ มนง่ั พงิ หรือนอนท่อง (อ่าน) โดยเดด็ ขาด ๒. ใหต้ งั้ เสียงเทศนส์ งู กว่าเสยี งทพ่ี ูดน้ันเล็กน้อย ๓. ก่อนเรม่ิ ขน้ึ บทปณามคาถา(นะโม ฯ) ใหห้ ายใจเขา้ จนเตม็ ปอด ๔. เม่อื จับคัมภีร์ธรรม ให้ยกมอื ไหวเ้ พื่อแสดงความเคารพก่อน ๕. เม่ือจับคัมภีร์ธรรมข้ึนเทศน์ ให้ประคองไว้ในระดับอกหรือระหว่าง หัวใจของตน ๖. ขณะเทศน์ให้เล่ือนคัมภีร์ธรรมไปตามตัวหนังสือ คือเล่ือนไปทางซ้าย โดยใหส้ ายตาอยูท่ ีเ่ ดมิ ซ่ึงท�ำใหเ้ สียงเทศนค์ งท่ไี มเ่ ปลย่ี นแปลง ๗. ขณะเทศน์ให้เคาะเสียงตามจังหวะชา้ ๆ พร้อมกบั เปล่งเสียงเทศนช์ า้ ๆ ๙๒เรอื่ งเดียวกัน. หนา้ ๕. 119

๘. ขณะฝกึ เทศนใ์ หน้ ่ังพับเพียบตัวตรง ๙. เมอ่ื เทศน์จบลงใหว้ างคัมภีรธ์ รรมทางขวามอื พร้อมกับยกมอื แสดง ความเคารพ ๑๐. การฝกึ เทศนแ์ ต่ละครัง้ ให้ฝึกเทศน์จนจบในแตล่ ะผกู ๑๑. ใหฝ้ กึ เทศนบ์ อ่ ยๆ และควรบันทึกเสยี งส�ำหรบั นำ� มาฟังและ วเิ คราะห์ดว้ ย ๑๒. ผู้ฝกึ เทศน์ต้องมจี ติ ใจตง้ั มน่ั และมคี วามต้ังใจอย่างแท้จริง ขน้ั ตอนการฝกึ เทศน์๙๓ การฝึกเทศน์แบบจารตี ประกอบดว้ ยข้ันตอนส�ำคญั ดังนี้ ขนั้ ตอนที่ ๑ ฝกึ เทศนท์ ำ� นองธรรมวตั ร คอื ฝกึ เทศนโ์ ดยใชเ้ สยี งสงู ตำ่� เรยี บๆ อา่ นออกเสียงอักขระใหช้ ัดถ้อยชัดคำ� และเอ้อื นเอย่ เสียงจงั หวะเทศนใ์ ห้มคี วาม ไพเราะ ขน้ั ตอนท่ี ๒ ฝึกการแยกเสยี ง เมื่อฝึกเทศน์แบบธรรมวตั รไดแ้ ล้ว ข้ันต่อ มาฝกึ แยกเสียง เพอื่ ให้ไดเ้ สียงในคอื เสียงท่เี กดิ จากการเลยี นแบบเสียงธรรมชาติ ของสตั ว์ เชน่ เสยี งสุนขั เสยี งไก่ เสียงแมว เสยี งนกเขา เพ่อื ให้ได้เสียงใหญ่ เสียง กลาง เสียงเลก็ ส�ำหรับฝกึ เทศน์มหาชาติ ขั้นตอนที่ ๓ เม่ือสามารถฝึกแยกเสียงได้แล้ว ขั้นต่อมาฝึกเทศน์แบบ ผสมผสานระหวา่ งท�ำนองธรรมดากับการเออ้ื นเสียงขึน้ - ลง เม่อื ช�ำนาญแลว้ อาจเทศนเ์ ปน็ ทำ� นองแล้วสรุปหรือบรรยายธรรมรว่ มด้วยกไ็ ด้ การฝึกเทศน์ท�ำนองธรรมวตั ร๙๔ครูผู้สอนจะฝึกให้ผู้เรยี นเร่ิมตน้ เทศน์ดว้ ย บทปณามคาถา ๑ จบกอ่ น โดยอา่ นออกเสยี งแบบเรียบๆ พรอ้ มกบั เออ้ื นเสยี งขนึ้ ลงทีละนดิ และรักษาจงั หวะการเทศน์ ๑ วนิ าที ตอ่ ๑ พยางค์ ไมช่ ้าหรือเรว็ เกิน ไป อาจมีการเคาะไมใ้ หจ้ ังหวะ ๑ ครั้ง เทา่ กบั ๑ วินาที ต่อ ๑ พยางค์ ประกอบ ด้วยก็ได้ เพอ่ื รักษาจังหวะเทศนใ์ ห้สม�ำ่ เสมอ การฝกึ เทศนบ์ ทปณามคาถานอ้ี าจ จะใช้เวลาหลายวนั กว่าจะคล่อง เมอื่ สามารถเทศน์บทปณามคาถาได้แล้ว ก็ฝึก เทศนบ์ ทพระคาถาบาลจี ณุ ณยี บท (พระคาถาบาลีทีย่ กขน้ึ เป็นหัวเทศน)์ เรียกว่า หดั เดนิ คาถา โดยฝกึ เอื้อนเสยี งและลงวรรคตอนให้ถูกตอ้ ง ในขณะทฝ่ี กึ เทศนน์ น้ั ๙๓เร่ืองเดียวกัน. หน้า ๕-๖. 120 ๙๔สมั ภาษณ์ พระมหาสง่า ธรี สวํ โร (ได้รับสมณศกั ดเิ์ ป็น พระครธู รี สุตพจน์ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖). วัดผาลาด ตำ� บลสุเทพ อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดเชียงใหม่. ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๕๑.

ก็ฝกึ กล้ันลมหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อให้สามารถเทศนไ์ ด้อยา่ งต่อเน่อื งยาวนาน เม่อื เทศน์บทปณามคาถาและบทพระคาถาบาลีจณุ ณียบทคล่องแลว้ จากน้นั ก็ ฝกึ เทศน์ในสว่ นของเนอ้ื เร่ืองเป็นลำ� ดบั ต่อไป โดยฝกึ เทศน์ดว้ ยทำ� นองธรรมดา ผสมกบั การเอ้อื นเสยี งขน้ึ - ลง ในระหว่างฝึกเทศนค์ รผู ูส้ อนจะบอกกลวธิ ีในการ เทศน์ให้ไพเราะและชัดถอ้ ยชัดคำ� เชน่ ห้ามลงค�ำทป่ี ระสมดว้ ยสระเสยี งส้ัน อะ อิ อุ เพราะไม่สามารถลากเสียงยาวได้ เปน็ ตน้ การฝึกเทศน์แบบจารีตทำ� นอง ธรรมวตั รในช่วงน้ี เปน็ การสอนพน้ื ฐานการเทศน์ อาจใชเ้ วลานานพอสมควร สำ� หรับผู้ที่เร่ิมฝกึ เม่ือฝึกเทศน์แบบธรรมวัตรจนคล่องและมีประสบการณ์ในการเทศน์บ้าง แลว้ กเ็ ริ่มฝึกการเทศน์ทำ� นองมหาชาตเิ วสสันดรชาดก อันดบั แรกครผู สู้ อนจะให้ ผู้ฝึกเทศนท์ ดลองเทียบเสยี งกอ่ น เรียกว่า คัดเสียง เพ่ือใหร้ ู้ลกั ษณะของเสยี งวา่ เหมาะสำ� หรบั การเทศนม์ หาชาตกิ ณั ฑใ์ ด เสยี งเทศน์มหาชาติมี ๓ ระดับ คือ เสยี งเล็ก เสียงกลาง และเสยี งใหญ่ แต่ละระดับจะเหมาะกับการเทศนม์ หาชาติ ในแตล่ ะกณั ฑ์ ได้แก่ ๑. เสียงเล็ก เหมาะส�ำหรับเทศนก์ ณั ฑ์ทศพร กุมาร มทั รี และฉกษตั ริย์ ๒. เสยี งกลาง เหมาะสำ� หรบั เทศนก์ ัณฑท์ านกณั ฑ์ วนปเวศน์ จุลพน มหาพน และสกั บรรพ์ ๓. เสยี งใหญ่ เหมาะส�ำหรบั เทศน์กัณฑช์ ูชก มหาราช และนครกัณฑ์ การจดั ประเภทเสยี งแตล่ ะเสยี งใหส้ อดคลอ้ งกบั แตล่ ะกณั ฑน์ นั้ มลี กั ษณะ สมั พันธ์กบั เนอ้ื หาทตี่ อ้ งการสือ่ สารกับผู้ฟงั คือ กัณฑ์มทั รี กณั ฑก์ มุ าร และ ฉกษตั ริยน์ ้ี มีเน้ือหาท่แี สดงถึงบทบาทและอารมณ์ของตัวละครท่เี ปน็ ผ้หู ญิง เดก็ และมีความโศกเศร้าครำ�่ ครวญ จึงนิยมใชเ้ สยี งเลก็ ซง่ึ มลี ักษณะเยอื กเย็นในการ เออ้ื นเสยี งวงิ วอนอยา่ งไพเราะ สว่ นกัณฑ์ชูชก กัณฑ์มหาราช และนครกณั ฑ์น้นั มีเนอื้ หาทส่ี นุกสนานตลกขบขัน ตวั ละครมกั เป็นผูม้ อี �ำนาจ เช่น พระเจา้ สญชัย ชูชก เป็นต้น จงึ นยิ มใช้เสียงใหญ่ เพื่อให้สัมพันธก์ บั เน้อื หา เหตกุ ารณ์ และบคุ ลิก ของตัวละคร เมือ่ ครูฝกึ สอนคดั เสยี งจนร้วู า่ ผฝู้ ึกเทศนม์ ีเสียงเหมาะสำ� หรบั เทศนก์ ณั ฑ์ ใดแลว้ ก็เริ่มฝกึ สอน โดยฝกึ การเออ้ื นเสยี งทีใ่ ชใ้ นการใสก่ าพย์ ๔ จงั หวะ แต่ละ 121

จังหวะจะใช้สัญลักษณ์ก�ำกับ เนื้อหาแต่ละวรรค เพ่ือให้ผู้ฝึกเทศน์รู้ว่า แต่ละ วรรคจะเออ้ื นเสยี งแบบใด แตล่ ะครแู ตล่ ะสำ� นกั ตา่ งใชส้ ญั ลกั ษณก์ ำ� กบั แตกตา่ งกนั เช่น คู่มือฝึกเทศน์ท�ำนองเมืองเหนือวัดลอยเคราะห์ใช้สัญลักษณ์ก�ำกับเน้ือหา ดังน้ี ๙๕ ๑. การขึน้ หรือการเออื้ นเสยี งสงู ใช้สัญลักษณ์ ๙ บนคำ� ๒. การลง หรือการเอ้อื นเสียงลงตำ่� ใชส้ ัญลกั ษณ์ , หลังคำ� ๓. การเหินต่�ำ หรือการเอื้อนเสียงต�่ำ ใช้สัญลกั ษณ์ . ใต้คำ� ๔. การเหนิ สูง หรอื การเออ้ื นเสยี งสงู ใชส้ ัญลกั ษณ์ / บนคำ� ดา้ นขวา ตัวอย่างการใช้สัญลักษณ์ในคมู่ อื ฝึกเทศน์ของวดั ลอยเคราะห์ 122 ๙๕หนว่ ยอบรมประชาชนต�ำบลช้างคลานวัดลอยเคราะห.์ เอกสารคูม่ อื ฝึกเทศนท์ ำ� นองเมืองเหนอื . อ้างแล้ว. หน้า ๑-๒.

การฝึกหัดเทศน์มหาชาติ เนน้ การเอ้ือนเสยี งขึน้ - ลงมาก จงึ ใช้เวลา นานและใชค้ วามอดทนขยันหม่นั เพยี รมาก กวา่ ท่จี ะเทศน์ได้อยา่ งชำ� นาญ เมือ่ สามารถฝกึ เออื้ นเสยี งขนึ้ - ลงไดแ้ ลว้ กฝ็ กึ ใสก่ าพยแ์ ละเทศนเ์ นอื้ หาธรรมมหาชาติ ในแต่ละกณั ฑใ์ ห้ชดั ถอ้ ยชัดคำ� มีจังหวะการเทศนส์ มำ�่ เสมอ เรียกว่า เตียวธรรม ถ้าพระภกิ ษุ - สามเณรรปู ใด ฝกึ หัดจนจบและมคี วามชำ� นาญในการเทศน์ทั้ง แบบธรรมวัตรและมหาชาตแิ ล้ว ถอื วา่ สำ� เร็จการฝึกเทศนธ์ รรมแบบจารีตลา้ นนา เรียกวา่ จบธรรม หรอื จบเทศน์ ๒.๑๔ เคร่อื งสกั การะและเครือ่ งประกอบพิธีเทศน์ในล้านนา ชาวล้านนาได้คิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ศิลปกรรมส�ำหรับใช้เป็นเคร่ืองสกั การะและประกอบพธิ เี ทศน์ ดว้ ยใจศรทั ธาอนั บรสิ ทุ ธต์ิ อ่ การตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ดงั นี้ ๒.๑๔.๑. หีบธรรม เป็นตู้พระไตรปิฎกส�ำหรับเก็บรักษาคัมภีร์ใบลาน ให้เปน็ หมวดหมู่และป้องกันความชำ� รุดเสยี หายที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ การ ทำ� ลายจากสตั ว์ตา่ งๆ ชาวลา้ นนาเรียกว่า หีบธรรม หรอื หดี ธรรม มี ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. หีบธรรมท่ีท�ำจากแผ่นไม้รูปทรงสูงคล้ายกล่องส่ีเหลี่ยมมีฝาครอบ ดา้ นบน ๒. หีบธรรมแบบตใู้ ส่ของมีประตูใส่บานพับ ส�ำหรับปิดเปิด ๒ บาน รูป ทรงสีเ่ หลยี่ มมีเชิงหรอื ขา ๔ ขา หรอื อาจมีเสาตน้ เดยี ว บางทกี เ็ รยี ก ตธู้ รรม หีบธรรมแตล่ ะชนิด นยิ มประดับตกแต่งดว้ ยลวดลายตา่ งๆ อยา่ งวิจิตร และจารหรือเขียนชือ่ นามสกลุ ของผู้ถวาย พรอ้ มกับค�ำอธิษฐาน วัน เดอื น ปีที่ ถวาย เปน็ อักษรล้านนาก�ำกับไว้ 123

หีบธรรม (ตู้พระไตรปฎิ ก) ส�ำหรบั เก็บรกั ษาคัมภีรใ์ บลาน วดั ปงสนุกเหนอื อำ� เภอเมอื ง จังหวัดลำ� ปาง ตธู้ รรมวัดศรสี วสั ด์ิ ต�ำบลสันปูเลย ตธู้ รรมวดั บ้านหลุก ต�ำบลเมืองง่า อ�ำเภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชยี งใหม่ อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดล�ำพูน 124 (ขอบคุณภาพจาก นายดิเรก อินจนั ทร)์

๒.๑๔.๒ ธรรมาสน์ เปน็ ทน่ี ง่ั ส�ำหรบั ให้พระสงฆ์ข้ึนน่งั เทศน์ ท�ำดว้ ยไม้ รูปทรงปราสาทขนาดสมส่วนและมีความมัน่ คง เป็นทีน่ ั่งพิเศษสงวนไวเ้ ฉพาะ พระสงฆ์ผทู้ �ำหน้าท่ีเทศน์เทา่ น้นั บคุ คลอน่ื ไมอ่ าจขนึ้ ไปนงั่ ได้ แม้จะเปน็ พระสงฆ์ สามเณรกต็ าม บางแหง่ เรยี กตา่ งกนั ตามความนยิ มในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ๙๖เชน่ ธรรมาสน์ แกว้ อาสนะแกว้ กระดานฅ�ำ กระดานทอง มณเฑยี รฅ�ำ แทน่ เทศน์ แทน่ ธรรมาสน์ หรอื ปราสาทแกว้ เปน็ ตน้ ธรรมาสนใ์ นลา้ นนาแบง่ ตามรปู ทรงมี ๒ ลกั ษณะคอื ๑. ธรรมาสน์หลังคาแบบปราสาทยอดสูง มีลักษณะคล้ายกับย่อส่วน มาจากปราสาทหรอื วิมานของเทพยดาในจนิ ตนาการ ที่ได้รับอิทธพิ ลจากคตทิ าง พุทธศาสนา รปู ทรงจตุรมุข มีหลงั คาทรงปราสาทแบ่งเป็นชนั้ ๆ ประมาณ ๕ - ๙ ช้นั ทำ� ด้วยไม้ประดบั ช่อฟา้ ใบระกา แกะหรือแต้มด้วยลวดลายศิลปะลา้ นนา ผนังขา้ งท้งั ๔ ดา้ นประกอบด้วยเสา ๔ เสายดึ ระหว่างเพดานหลังคาปราสาท ดา้ นบนกบั พ้นื ทด่ี า้ นล่าง มีบนั ไดช่วั คราวท่สี ามารถถอดเขา้ ออกส�ำหรับพาดให้ พระสงฆข์ นึ้ - ลงได้ ส่วนด้านในของธรรมาสนม์ พี นื้ ทกี่ ว้างพอประมาณ ส�ำหรบั ปอู าสนะใหพ้ ระสงฆ์น่ังเทศน์ได้เพยี งรูปเดยี ว โดยผู้ฟังซง่ึ นัง่ ดา้ นล่างจะไดย้ นิ แต่ เสียงเทศน์ ไม่เหน็ ตวั พระผเู้ ทศน์ การเทศนธ์ รรมมหาชาติบนธรรมาสน์หลงั คาแบบปราสาทยอดสงู 125 (ขอบคณุ ภาพจาก พระจตุพล จิตตฺ สํวโร) ๙๖สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนอื เล่มท่ี ๖. อ้างแลว้ . หนา้ ๒๙๖๕.

ธรรมาสน์หลังคาแบบปราสาทยอดสงู ๒. ธรรมาสน์แบบกลีบดอกบัวบาน เรียกอีกอย่างว่า ธรรมาสน์แบบ เปิด หรือ ธรรมาสน์ไม่มีหลงั คา รูปทรงคลา้ ยกับธรรมาสนแ์ บบปราสาทยอดสูง แตไ่ มม่ ีหลงั คา ผนงั ด้านขา้ งมลี กั ษณะเป็นกลีบดอกบวั บานและมีบันไดด้านหลงั ส�ำหรบั ให้พระสงฆ์ขึ้น-ลงได้ ธรรมาสนแ์ บบกลบี ดอกบัวบาน วัดปงยางคก อำ� เภอเกาะคา จังหวัดลำ� ปาง 126

ธรรมาสน์วัดร้องแง ต�ำบลวรนคร ธรรมาสน์วัดแมค่ �ำสบเปิน ต�ำบลแมค่ �ำ อำ� เภอปัว จงั หวดั น่าน อำ� เภอแม่จัน จงั หวัดเชียงราย ชาวล้านนานิยมใช้ธรรมาสน์ลักษณะดังกล่าวในพิธีเทศน์๙๗ เพราะมี แนวคิดคตคิ วามเชอื่ วา่ การเทศน์เปน็ พธิ กี ารท่สี �ำคญั และศักดิ์สิทธ์ิ ธรรมาสน์ ล้านนาจึงประดิษฐานอยู่ในพระวิหารข้างพระประธานซ่ึงเป็นพระรูปแทน พระพุทธเจ้า ชาวลา้ นนาเรียกว่า พมิ พาสารปู พระเจ้า เม่อื พระผ้เู ทศน์ แม้จะ เป็นสามเณรหรือพระภิกษุหนุ่มข้ึนนั่งบนปราสาทเทศน์ก็ถือเป็นตัวแทนของ พระพทุ ธเจ้าในการแสดงธรรม เสียงทีเ่ ทศน์น้นั ถือเปน็ เสยี งการแสดงพระธรรม เทศนาของพระพุทธเจ้า (พระประธานในวิหาร) แม้ผูฟ้ งั จะเปน็ พระเถระผใู้ หญ่ กต็ อ้ งยกมอื ไหว้เพื่อแสดงความเคารพตอ่ พระธรรม ดว้ ยเหตนุ ีช้ าวล้านนา จงึ ให้ ความส�ำคัญจัดที่พิเศษส�ำหรับให้พระสงฆ์น่ังเทศน์อย่างเป็นสัดส่วนและวิจิตร สวยงาม พระพทุ ธศาสนาในลา้ นนาเปน็ เถรวาทลทั ธลิ งั กาวงศ์ จงึ ยดึ หลกั การเทศน์ ตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิ เพราะในสมยั พทุ ธกาลเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ แสดงพระธรรมเทศนา แต่ละคร้ังก็ทรงประทับนั่งบนธรรมาสน์(ตั่งหรืออาสนะส�ำหรับแสดงธรรม) แม้พระสาวกจะแสดงธรรมเทศนาให้พระองค์ฟังก็โปรดให้น่ังบนธรรมาสน์เช่น เดียวกัน เนื่องจากทรงยกย่องและให้ความส�ำคัญกับการเทศน์เป็นอย่างมาก ๙๗สัมภาษณ์ ดร.พรศิลป์ รัตนชูเดช. มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม.่ ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๕๒. 127

ทรงบัญญัติพระวินัยเก่ียวกับการแสดงธรรมเทศนาในลักษณะต่างๆโดยเฉพาะ สกิ ขาบทท่ี ๑๒-๑๔ ในธรรมเทศนาปฏสิ ังยุต๙๘(หมวดวา่ ด้วยการแสดงธรรม ๑๖ สกิ ขาบท) ว่า สิกขาบทท่ี ๑๒ ภิกษุพึงท�ำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน จักไม่ แสดงธรรมแกค่ นไมเ่ ป็นไข้ทนี่ ่ังอยูบ่ นอาสนะ(ผา้ หรือเคร่ืองปูนั่ง) สกิ ขาบทท่ี ๑๓ ภิกษุพึงท�ำความศึกษาวา่ เราน่ังอยู่บนอาสนะต่ำ� จักไม่ แสดงธรรมแก่คนไมเ่ ปน็ ไขท้ น่ี ง่ั บนอาสนะสูง สิกขาบทที่ ๑๔ ภิกษุพึงทำ� ความศึกษาวา่ เรายืนอยู่จกั ไมแ่ สดงธรรมแก่ คนไม่เปน็ ไข้ท่ีนั่งอยู่ พระวินยั บญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ท�ำใหช้ าวลา้ นนาไดย้ ึดเป็นหลักในการเทศน์ โดยปรับใชก้ ับวฒั นธรรมของทอ้ งถ่ิน ดว้ ยการจัดสร้างธรรมาสนส์ ำ� หรบั นง่ั เทศน์ ใหม้ ีระดบั สูงจากผ้ฟู งั ทีน่ ง่ั อยดู่ ้านลา่ งพอประมาณ ธรรมาสนบ์ างแห่งจดั ท�ำอยา่ ง เรยี บงา่ ย บางแห่งประดับลวดลายอยา่ งวิจติ รสวยงาม ชาวล้านนานยิ มสร้างธรรมาสน์ถวายวัดในโอกาสต่างๆ เน่ืองจากมคี ติ ความเชอ่ื ในอานิสงสก์ ารสรา้ งธรรมาสน์วา่ เป็นการส่งั สมบญุ บารมี ท�ำให้เปน็ ผทู้ ี่ มบี ุญญาธกิ ารทั้งในชาตินี้และชาติหน้า และอทุ ิศบุญกุศลไปใหแ้ กบ่ รรพชนผ้ลู ว่ ง ลับ ดังปรากฏในคมั ภีรอ์ านิสงส์สรา้ งธรรมาสน๙์ ๙วา่ สมัยหนง่ึ พระพุทธเจา้ ประทบั อยูใ่ นปา่ เวฬวุ ัน คร้งั นนั้ พระเจ้าพิมพสิ าร พร้อมด้วยเหล่าพสกนกิ ร สรา้ งมณฑปถวายแด่พระองค์ ขณะทอ่ี �ำมาตย์คนหนงึ่ ไดส้ รา้ งธรรมาสนด์ ้วยไม้จันทนแ์ ดงประดบั ประดาอยา่ งสวยงาม ถวายสำ� หรบั เปน็ ท่ปี ระทับน่งั ในเวลาแสดงพระธรรมเทศนา เมื่ออ�ำมาตยส์ ิ้นชีวิต ได้ไปเกิดใน สวรรคช์ น้ั ดสุ ติ ตอ่ มาได้เกิดเป็นโอรสของพระเจา้ อโศกมหาราช ถงึ พรอ้ มด้วย ช้างแกว้ มา้ แกว้ จกั รแก้ว เรือนแกว้ ลกู ชายแกว้ และแกว้ มณี ตอนทา้ ยคมั ภรี ์ ธรรมกล่าวว่า หากบคุ คลผใู้ ดสรา้ งธรรมาสนด์ ้วยตนเอง หรือจา้ งวานผ้อู น่ื สร้าง ใหก้ ็ดี ย่อมได้รบั ผลานสิ งส์ทีย่ ่งิ ใหญ่ และบรรลุพระนิพพาน เน่อื งจากธรรมาสนม์ ีรปู ทรงสมสว่ นและม่ันคง เม่ือพระสงฆ์ขึ้นน่งั เทศน์ แล้ว ท�ำให้มีพ้ืนท่ีท่ีเป็นสัดส่วนโดยเฉพาะ สามารถน่ังเทศน์ด้วยอิริยาบถท่ี สบาย มีสมาธิ และผ่อนคลายความวิตกกังวล ไมต่ ้องพะวา้ พะวงกบั อาการ ประหม่าทเ่ี กิดจากการส�ำรวมระวังมากเกินไป ไม่มีสิ่งรบกวนจากสถานการณ์ 128 ๙๘สุชพี ปญุ ญานภุ าพ. พระไตรปฎิ ก ฉบบั ส�ำหรับประชาชน พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑๖. อา้ งแลว้ . หนา้ ๑๘๓. ๙๙พระมหาสงิ หค์ �ำ รักปา่ . การศึกษาวิเคราะหค์ ัมภรี ์อานิสงส์ล้านนา. อ้างแลว้ . หนา้ ๑๘๙.

รอบข้าง อกี ท้ังโครงสร้างของธรรมาสน์ยงั กอ่ ให้เกดิ เสียงดงั ก้องกังวาน ท�ำให้ผู้ ฟังซึ่งนงั่ อย่กู บั พนื้ ดา้ นลา่ งไดย้ นิ เสยี งเทศนอ์ ยา่ งชดั เจนและมสี มาธิ โดยไม่ตอ้ ง แหงนหนา้ จอ้ งมองดอู ากปั กริ ยิ าของพระผ้เู ทศนซ์ ึ่งอาจท�ำใหเ้ สยี สมาธิได้ อีกท้งั ยังเป็นการลดมานะทิฏฐิของผ้ฟู ัง ให้เปิดใจนอ้ มรบั พระธรรมคำ� ส่ังสอนโดยไม่มี จิตอคตใิ ดๆ ๒.๑๔.๓ คา้ งธรรม เป็นแทน่ ไมส้ �ำหรบั วางคมั ภีร์ใบลานหรอื คมั ภีรธ์ รรม ใหเ้ ปน็ ระเบียบ ป้องกนั ไมใ่ หใ้ ครเดนิ เหยียบยำ�่ ขา้ มกราย แบง่ ตามลักษณะการใช้ งานมี ๒ ชนดิ ได้แก่ ๑. ค้างธรรมส�ำหรับใช้วางคัมภีร์ธรรมส�ำหรับใช้เทศน์ บางแห่งท�ำด้วย ไม้มีลักษณะเป็นแท่นต้ังอยู่บนพ้ืนเสาเดียวต้ังอยู่ข้างธรรมาสน์แบบปราสาท ยอดสงู ขนาดความสงู เท่ากับช่องธรรมาสนพ์ อทพ่ี ระสงฆ์องคเ์ ทศน์ซง่ึ นงั่ อยู่ใน ธรรมาสน์จะเอ้ือมมือจับคัมภีร์ธรรมได้สะดวก บางแห่งท�ำเป็นหิ้งติดกับตัว ธรรมาสน์ บางแหง่ ทำ� เป็นโครงไม้ขนาดเล็กพอประมาณ มี ๒ ดา้ น ดา้ นหนา้ มี ไมส้ ลักสำ� หรับวางคมั ภีรธ์ รรม ส่วนด้านหลังมีไมค้ �้ำยนั เพือ่ ใหค้ ้างธรรมม่ันคง ค้างธรรมบางอันประดับลวดลายอย่างวิจิตรสวยงาม บางอันท�ำอย่างเรียบง่าย สำ� หรับใช้วางคมั ภีรธ์ รรมบนธรรมาสน์ ภาพลายเสน้ ธรรมาสน์ลา้ นนา มีคา้ งธรรมท่ีทำ� ดว้ ยไม้ตงั้ บนพืน้ เสาเดยี ว 129 (ปรับปรงุ จาก มณี พยอมยงค์ และศริ ริ ัตน์ อาศนะ. เครื่องสักการะในล้านนาไทย. หนา้ ๕๙.)

คา้ งธรรมลา้ นนา ค้างธรรมเชยี งตุง วัดบุญยืน อ�ำเภอเวียงสา จงั หวดั น่าน วดั จอมทอง เมอื งเชียงตงุ (ขอบคุณภาพจาก คณุ แนง่ น้อย ปญั จพรรค์ และคณะ. เสนห่ ไ์ มแ้ กะสลักลา้ นนา) ๒. ค้างธรรมส�ำหรับวางใบลานส�ำหรับจาร เป็นโครงไม้ขนาดเล็กพอ ประมาณ มี ๒ ดา้ น คือดา้ นหน้ามีกลอ่ งไม้พร้อมฝาเปิดปดิ ขนาดพอเหมาะ ส�ำหรบั ใส่อปุ กรณจ์ ารใบลาน เช่น เหลก็ จาร มดี ผ้าเชด็ มือ ตลับใส่นำ้� หมึก เปน็ ตน้ ด้านบนของกลอ่ งใสอ่ ปุ กรณ์ มีหมุด(สลกั ไมห้ รือแกนไม)้ ส�ำหรับวางคัมภีร์ธรรม ตน้ ฉบับ เรยี กวา่ ฉบับย่า และใบลานท่ีก�ำลังจารคัดลอก ส่วนดา้ นหลังมีไมค้ ำ�้ ยัน เพื่อให้ค้างธรรมม่ันคง ค้างธรรมบางชุดอาจท�ำที่นั่งส่วนหน่ึงและท่ีวางคัมภีร์ ส่วนหน่งึ แต่เปน็ โครงไม้ตอ่ เนอื่ งกันเป็นชดุ เดยี วก็มี คา้ งธรรมสำ� หรบั วางคัมภรี ธ์ รรม คา้ งจารคมั ภรี ธ์ รรมที่เป็นโครงไมต้ อ่ เนอื่ งกนั เปน็ และใส่อปุ กรณ์จารใบลาน ชดุ เดียว วดั บา้ นปาง อำ� เภอล้ี จังหวัดล�ำพูน วดั ทา่ ทุม่ ต�ำบลสนั พระเนตร อ�ำเภอสนั ทราย จังหวดั เชยี งใหม่ 130

๒.๑๔.๔ หอธรรม เป็นเรือนสงู หรอื ปราสาททรงลา้ นนาทสี่ ร้างขน้ึ อยา่ ง มดิ ชดิ และปลอดภยั สำ� หรบั ใชเ้ ปน็ สถานทจี่ ดั เกบ็ รกั ษาคมั ภรี ใ์ บลานหรอื คมั ภรี ธ์ รรม ให้เป็นสัดส่วน ชาวล้านนาเรียกว่า หอธรรม ชาวไทยภาคกลางเรียกว่า หอ พระไตรปฎิ ก หรอื หอไตร วดั ในลา้ นนาบางแหง่ นยิ มสรา้ งหอธรรมอยกู่ ลางสระนำ้� แล้วท�ำบันไดพาดแบบช่ัวคราวสามารถยกเข้าออกได้ เมื่อต้องการขึ้นไปบน หอธรรมกพ็ าดบนั ไดแลว้ เดนิ ขา้ มไป เมอ่ื เสรจ็ ธรุ ะแลว้ กจ็ ะชกั บนั ไดออก หอธรรม ถือเป็นศิลปกรรมที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา ในการเก็บรักษาคัมภีร์ ธรรมใหป้ ลอดภยั จากสัตวจ์ ำ� พวก นก หนู ปลวก คา้ งคาว หรอื แมลงอ่นื ๆ ทอ่ี าจ ข้ึนไปท�ำลายคัมภรี ์ธรรมได้ หอธรรมวัดพระสงิ ห์ สำ� หรบั เกบ็ รกั ษาคัมภีร์ใบลาน ๒.๑๔.๕ กณั ฑเ์ ทศน์ เปน็ วัตถสุ ง่ิ ของสำ� หรับถวายแกพ่ ระสงฆอ์ งค์เทศน์ เพอื่ บูชาพระธรรม เรยี กวา่ กัณฑเ์ ทศน์ หรือ กณั ฑธ์ รรม ในล้านนานิยมทำ� เป็น ตะกรา้ สานด้วยไม้ไผ่ ห้มุ ดว้ ยใบตอง เรยี กว่า ก๋วย แล้วบรรจวุ ตั ถุส่ิงของเคร่อื ง อุปโภคบรโิ ภค เช่น พริก หอม เกลอื ผัก ผลไม้ ขา้ วสาร อาหารแหง้ สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยารักษาโรค สมดุ ดินสอ ปากกา สว่ นเงนิ หรือปจั จัยที่ถวายทานตาม 131

แต่จะหาได้ เรียกวา่ ยอดกณั ฑ์ หรอื ยอดทาน ถา้ เป็นธนบัตรจะเสียบไวก้ ับไมไ้ ผ่ เหลาปักไว้กลางตะกร้า ถ้าเป็นเหรียญจะใส่ถุงแล้วมัดห้อยกับไม้ไผ่ บางแห่ง กัณฑ์เทศน์อาจน�ำภาชนะหรือพานใส่ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนแล้วใส่เงินถวาย กไ็ ด้ บางแหง่ อาจนำ� ใบคาหรอื ฟางขา้ วมามดั รวมกนั ใหเ้ ปน็ ฟอ่ นขนาดพอประมาณ แลว้ ฉกี ดา้ นลา่ งทำ� เปน็ ขาตงั้ ๓ แฉก สว่ นดา้ นบนปกั เครอื่ งอปุ โภคบริโภคพรอ้ ม ปัจจัยถวาย กณั ฑ์เทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก กัณฑเ์ ทศน์อุทิศให้แกบ่ รรพชนผู้ลว่ งลบั กณั ฑเ์ ทศนธ์ รรมวตั ร กัณฑ์เทศน์ธรรมวัตร (ขอบคณุ ภาพจาก พระจตพุ ล จติ ฺตสํวโร) 132

๒.๑๕ ลกั ษณะส�ำคญั การเทศน์แบบจารตี ลา้ นนา สรุปลกั ษณะส�ำคญั ของรปู แบบการเทศนแ์ บบจารตี ดังน้ี ๑. ชาวล้านนาถือเป็นพิธีกรรมที่ส�ำคัญและศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา เนื่องจากน�ำพระพุทธพจน์มากล่าวแสดง หากบุคคลใดได้ฟังแล้วย่อมมีความ ศรทั ธาตอ่ การตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ เกดิ ทศั นคติ ความเชอื่ โลกทศั น์ และคา่ นยิ ม ตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เชน่ เชอื่ ในเรอ่ื งการเวยี นวา่ ยตายเกดิ กฎแหง่ กรรม มองเห็นความไม่เที่ยงในสรรพส่ิง รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในส่ิงที่ได้ รู้จักให้อภัย รักความสงบสันติ ไม่ชอบการเบียดเบียนข่มเหง รงั แกผอู้ นื่ ชอบท�ำบุญให้ทาน รักษาศลี มจี ติ ใจโอบอ้อมอารี มคี วามกตัญญรู คู้ ุณ เป็นตน้ หากได้ถวายเคร่ืองสกั การะและเครอ่ื งประกอบพธิ เี ทศน์ เชื่อวา่ เปน็ การ สง่ั สมบญุ บารมี และสามารถอุทิศบุญกศุ ลไปใหแ้ กบ่ รรพชนผูล้ ว่ งลับได้ ๒. การเทศนใ์ นวฒั นธรรมลา้ นนา ถอื เปน็ รปู แบบการเผยแผธ่ รรมทสี่ ำ� คญั ของพระภิกษุสามเณรในฐานะทเี่ ปน็ ศาสนทายาท เป็นตัวแทนของพระพทุ ธเจา้ ในการแสดงพระธรรมเทศนาโปรดสตั วโ์ ลก ๓. การเทศน์ของพระสงฆ์ล้านนา ใช้วิธีอ่านตามคัมภีร์ใบลาน ด้วย ท�ำนองขับขานตามความนยิ มในท้องถิน่ โดยเนือ้ หาที่ใชเ้ ทศน์นัน้ เป็นเรอ่ื งท่ีนกั ปราชญช์ าวล้านนาได้เรียบเรียงเอาไว้แล้ว พระผู้เทศน์ต้องฝึกอ่านให้ถูกต้อง ชดั เจน เออื้ นเสยี งขน้ึ ลง และลากเสยี งยาวใหไ้ พเราะตามทำ� นองนยิ มในทอ้ งถน่ิ จงึ จะสามารถเทศนไ์ ดอ้ ย่างมอี รรถรส ๔. กระบวนการเทศน์ มลี กั ษณะเปน็ พธิ กี าร ตามแบบแผนทนี่ ยิ มในทอ้ งถนิ่ เรียกว่า “พิธีเทศน์” ๕. การเทศนธ์ รรมแบบจารตี ลา้ นนา กอ่ ใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปวฒั นธรรม อันเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีแสดงถึงทัศนคติ ความเช่ือ โลกทัศน์ และค่านิยม ของชาวลา้ นนา เช่น วรรณกรรม ศลิ ปกรรม จิตรกรรม หัตถกรรม ประเพณี วัฒนธรรม เป็นต้น อันเกิดจากแรงบันดาลใจของผู้รจนาหรือผู้สร้างที่มีความรู้ ความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งแรงกลา้ แลว้ ถา่ ยทอดอารมณ์ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ออกมาอยา่ งเปน็ รปู ธรรม 133

เมอื่ ศกึ ษาภาพรวมของรปู แบบการเทศนแ์ บบจารตี ลา้ นนาแลว้ ทำ� ให้ มองเห็นความเหมาะสมกับความคลาดเคลื่อนจากหลักพุทธธรรมและความไม่ สอดคล้องกบั กาลสมัยบางประการดังนี้ ๒.๑๕.๑ ความเหมาะสมของการเทศน์แบบจารีตลา้ นนา ๑. การเทศน์ด้วยการอ่านตามคัมภีร์ใบลาน ช่วยให้เทศน์อยู่ในเนื้อหาที่ นกั ปราชญไ์ ดเ้ รยี บเรยี งเอาไวอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ งตง้ั แตต่ น้ จนจบ ทำ� ใหผ้ ฟู้ งั มคี วามรคู้ วาม เข้าใจในเนื้อหาที่ผู้รจนาต้องการน�ำเสนอ พระสงฆ์องค์เทศน์ไม่สามารถเทศน์ ออกนอกเร่ืองหรือนอกประเด็นได้ แม้คัมภีร์ธรรมบางเรื่องมีเนื้อหายาวจ�ำนวน หลายผูก แตก่ ส็ ามารถทยอยเทศนค์ รั้งละ ๑ - ๓ ผูกได้ โดยที่เนอื้ หาไมถ่ ูกตัดตอน ผูฟ้ งั สามารถตดิ ตามฟงั ได้ผกู ตอ่ ผกู จนจบ ๒. เน้ือหาของคัมภีร์ใบลานที่ถูกเรียบเรียงไว้ เป็นค�ำสอนทั่วไป ไม่ยก เร่ืองราวกระทบกระท่ังบุคคลใด ถ้อยค�ำส�ำนวนโวหารได้รับการเรียบเรียงมา อยา่ งประณตี พระสงฆ์สามารถนำ� มาเทศน์ใหแ้ กผ่ ู้ฟังไดท้ ุกเพศทกุ วยั ไม่ทำ� ให้ เกิดความรู้สกึ วา่ เนอ้ื หาและถอ้ ยคำ� สำ� นวนโวหารทีป่ รากฏในคมั ภรี ์ใบลานนนั้ ๆ เอนเอยี งหรอื กระทบกระทงั่ ต่อตนเองหรอื ฝา่ ยใดฝ่ายหนง่ึ แตอ่ ย่างใด ๒.๑๕.๒ ความคลาดเคล่อื นจากหลักพทุ ธธรรมและความไมส่ อดคลอ้ ง กับกาลสมัยของการเทศนแ์ บบจารตี ล้านนา ๑. เน้ือหาของคมั ภีรธ์ รรมบางเร่ือง คลาดเคล่อื นจากหลกั พุทธธรรมและ ไม่สอดคลอ้ งกบั ปญั หาในสังคมปัจจุบนั กลา่ วคือ คัมภีรธ์ รรมบางเรื่องกล่าวถงึ อานิสงส์ทีไ่ ด้รบั ขดั แยง้ กบั หลกั พุทธธรรม เช่น ตำ� นานพระแกว้ ดอนเตา้ เป็นคมั ภรี ์ทแี่ พร่หลายนยิ มใชเ้ ทศน์ในงานบำ� เพญ็ แกลศุ ว้ลสศาพมารระถบพุอน้ าจนาสิกงอสบ์ไาวยว้ ทา่ ้งั๑๐๐๔ผู้ใไดดท้ �ำคผัมดิ ภศรี ลี ์ธรร๕มวหสิ ุทากธไิยดา๑ถ้ ๐๑วกาลย่าควัมถภึงอรี า์ธนรรสิ มงเสร์ตอื่ องนนี้ หนึ่งว่า ๑๐๐คมั ภีรใ์ บลานเรอื่ ง ต�ำนานพระแก้วดอนเต้า ฉบับวดั ชัยสถาน (ปา่ เสรา้ น้อย) ต�ำบลสันปูเลย อำ� เภอดอยสะเกด็ จงั หวดั เชยี งใหม่. อา้ งแล้ว. ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑. ๑๐๑คมั ภีร์ธรรมเรือ่ งวิสทุ ธยิ า. เชยี งใหม่: ธาราทองการพิมพ.์ มปพ. หน้าพับที่ ๘. 134

“...แมน่ วา่ ฝงู หมู่เขา บ่ไดก้ ะทำ� บญุ ห้ือทานรักษาสีล คนั วา่ เขา จุตติ ายไพจากอันเปนฅน เขาค็จกั ได้ไพเปนเผต เปนเปตะวสิ ัยอสุรกาย อยูท่ ุกบา้ นหั้นแลฯ แล้วค็พากันสร้างธรรมวิสุทธยิ าดวงน้ี ห้อื ทานไพหา ฝูงหมอู่ ันตายไพนั้นเทิอะฯ คันยงั บไ่ ดท้ านธรรมดวงนไี้ พหาเขาฝูงอัน ตายไพน้ัน เขาคบ็ ไ่ ด้ไพเกดิ สักเทอ่ื แลฯ คนั วา่ ได้ทานธรรมวิสทุ ธยิ าดวง น้ีไพแล้วเขาฝูงน้ันจิง่ ไดพ้ น้ และไดเ้ สวยผละอานิสงส์ห้ือไดไ้ พเกดิ ชัน้ ฟา้ เส้ียงชฅุ นๆ ...” จากเนือ้ หาดงั กลา่ ว แสดงใหเ้ ห็นว่า๑๐๒อานิสงส์ในคัมภีร์ลา้ นนาเริม่ คลาด เคลือ่ นจากหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา คนในสังคมตา่ งก็มงุ่ เอาแตป่ ระโยชน์ ส่วนตนมากกวา่ การรักษาหลกั ความจริงทวี่ า่ ท�ำดไี ดด้ ี ทำ� ชัว่ ได้ชวั่ เมอื่ ทำ� สงิ่ ใด ผดิ พลาดไป หากถวายทานคัมภีร์ธรรมเร่อื งนแี้ ลว้ ก็สามารถลบลา้ งความผดิ น้นั ได้ โดยไม่ตอ้ งท�ำความดใี ดๆ ตามหลกั พุทธธรรม แม้จะมีบางทัศนะเห็นวา่ การ ท่คี มั ภีร์ธรรมกลา่ วเช่นนี้ เป็นกศุ โลบายอยา่ งหนงึ่ ท่จี ะทำ� ให้คัมภรี ์ธรรมในล้านนา หนุนเนอื่ งแพรห่ ลายมากขน้ึ แต่ทัศนะเช่นน้ีก็ยังไมใ่ ช่ขอ้ สรุปทีช่ ัดเจน เพราะวิธี ทีจ่ ะทำ� ให้คัมภีรธ์ รรมล้านนาหนุนเน่อื งมหี ลายวธิ ี โดยทไ่ี ม่ทำ� ให้หลักพุทธธรรม คลาดเคลื่อน และยดึ ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ต้ัง แทท้ ่จี ริงแลว้ พระสงฆ์ล้านนาในอดีต ให้ความเคารพตอ่ พระพทุ ธพจน์ มาก จงึ ไดท้ ุ่มเทศึกษาพระไตรปฎิ กอยา่ งแตกฉาน แล้วรจนาคัมภีรภ์ าษาบาลี ดว้ ยภมู ธิ รรมท่ถี ูกต้องตามพุทธประสงค์ จนเป็นนกั ปราชญท์ มี่ ีชื่อเสยี งหลายรูป ต่อมาพระสงฆ์ล้านนารุ่นหลังได้แต่งคัมภีร์ธรรม โดยมีการเพ่ิมเติมเสริมแต่ง เน้อื หา ผสมกับคตคิ วามเชื่อท้องถิ่นและความเช่ือแบบพราหมณ์ จงึ ทำ� ใหเ้ นอื้ หา คัมภรี ์ธรรมทแ่ี ต่งในภายหลงั มีคลาดเคลอื่ นจากหลักพุทธธรรม มีลกั ษณะแลก เปลย่ี นหรือประนีประนอมความคดิ บางอย่างกบั สภาพสงั คมทเ่ี ป็นอยู่ คัมภีร์ธรรมท่ีใช้เทศน์ส่วนใหญ่มีเน้ือหาไม่สอดคล้องกับปัญหาสังคม ปัจจุบันทเ่ี ปลี่ยนแปลงและซบั ซ้อนมากขึน้ บางเรอ่ื งนำ� มาเทศนซ์ ำ้� ในงานตา่ งๆ เชน่ คมั ภรี ม์ าลยั โผดโลก คมั ภรี ม์ ลู นพิ พานสตู ร คัมภีร์อานิสงส์ทานหาคนตาย เป็นต้น โดยไม่สามารถปรับเปล่ียนเนื้อหาให้สอดคลอ้ งกับปัญหาทางสังคมที่ ต้องการแก้ไข ๑๐๒อุดม รุ่งเรืองศรี. วรรณกรรมชาดกทีม่ ีลกั ษณะเปน็ ลา้ นนา. บทความในหนงั สอื วรรณกรรมพทุ ธศาสนาในล้านนา. อา้ งแล้ว. หนา้ ๕๑. 135

๒. แม้พระสงฆจ์ ะเทศน์อย่ใู นกรอบเน้ือหาไมอ่ อกนอกประเด็นไมก่ ระทบ กระท่ังต่อผู้อื่น แต่การเทศนแ์ บบอา่ นตามคมั ภรี ใ์ บลาน กไ็ ม่สอดคลอ้ งกบั พระผู้ เทศน์ซ่ึงเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะไม่เปิดโอกาสใหข้ บคิด ตีความ วเิ คราะห์ วิจารณ์ หรอื อธิบายความพุทธธรรม ตามความรู้ ความเขา้ ใจ และประสบการณ์ของตน ได้ ไมส่ ามารถนำ� เหตกุ ารณท์ เี่ ปน็ ปจั จบุ นั หรอื เรอ่ื งใกลต้ วั ผฟู้ งั มาประกอบการ เทศน์ให้ทนั สมัย สง่ ผลให้ผ้เู ทศน์และผู้ฟัง ไมม่ คี วามรูแ้ ตกฉานในพทุ ธธรรม อย่างแท้จริง เป็นเพียงพระนักเทศน์เสียงดีตามความนิยมในท้องถิ่น แม้แต่ กระบวนการฝกึ เทศนก์ ฝ็ กึ แตเ่ พียงการอ่านตามคมั ภีร์ธรรมใหถ้ ูกตอ้ ง ชัดเจน และไพเราะเท่านัน้ ไมไ่ ด้ฝึกใหเ้ ปน็ ผูร้ แู้ ละแตกฉานในพระธรรมวินยั อย่างแท้จรงิ ๓. คัมภีร์ใบลานได้ถูกเรียบเรียงมาหลายร้อยปี ไม่สอดคล้องกับผู้ฟัง ในสมัยปัจจบุ ัน เพราะไม่สามารถเขา้ ใจสำ� นวนภาษา และเนอ้ื หาของคัมภีรใ์ บ ลานได้ เนอื่ งจากบรบิ ททางสังคมแตกต่างกัน คัมภรี ์ใบลานแตล่ ะเรอื่ งแตล่ ะผูก มีเน้ือหาค�ำสอน ตลอดจนถึงส�ำนวนภาษาที่มีความเหมาะสมกับคนที่อยู่ในยุค สมยั เดยี วกนั หรอื ใกล้เคียงกันกบั นักปราชญท์ เ่ี รียบเรยี งคัมภรี ์ธรรมเรอื่ งน้นั ๆ แต่ เมื่อกาลเวลาผ่านมาหลายร้อยปี สภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลง คนสมัยใหมม่ ี ทศั นคติ โลกทศั น์ ค่านยิ ม ตลอดจนถงึ การใชส้ �ำนวนภาษาที่แตกตา่ งจากคนใน สมัยกอ่ น ดงั นน้ คมั ภรี ธ์ รรมลา้ นนาบางเรอ่ื งจงึ มเี นอื้ หาคลาดเคลอื่ นจากหลกั พทุ ธรรม อีกทั้งกลวิธีการน�ำเสนอของการเทศน์แบบจารตี ไม่เปน็ ทส่ี นใจของคนรนุ่ ใหม่ และเนอ้ื หาไมส่ อดคล้องกบั สภาพปญั หาทางสังคมปจั จุบนั ทีต่ ้องการแกไ้ ข แมว้ า่ การเทศนแ์ บบจารตี ลา้ นนา จะมขี อ้ จำ� กดั ในดา้ นกลวธิ กี ารนำ� เสนอและเนอ้ื หาทไ่ี ม่ สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมในปจั จบุ นั ทม่ี งุ่ ความรอู้ ยา่ งเปน็ วทิ ยาศาสตร์ มากกวา่ ความเช่ือที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล แต่เมื่อมีรูปแบบการ เทศน์แบบใหมจ่ ากพระสงฆไ์ ทยภาคกลางเขา้ มามบี ทบาท ทำ� ใหก้ ารเทศนใ์ นลา้ นนา มพี ฒั นาการขนึ้ โดยลำ� ดบั ชาวลา้ นนาสมยั ใหม่ จงึ เขา้ ใจหลกั พทุ ธธรรมไดง้ า่ ยขนึ้ 136

บทที่ ๓ พฒั นาการการเทศน์รูปแบบใหม่ในลา้ นนา อาณาจกั รลา้ นนาใชว้ ธิ เี ทศนแ์ บบจารตี มานานจนกระทงั่ อาณาจกั รลา้ นนา ได้ลม่ สลายแลว้ ผนวกดินแดนเข้าเปน็ ส่วนหน่ึงของอาณาจักรสยาม วฒั นธรรม การเทศน์ของลา้ นนาก็เร่ิมเข้าสพู่ ฒั นาการ นอกจากจะมกี ารเทศน์แบบจารตี แล้ว ยังมีการเทศน์แบบไทยภาคกลางเข้ามาดว้ ย บางครงั้ กเ็ รยี กวา่ การแสดงพระธรรม เทศนา ทงั้ การเทศนแ์ บบอา่ นตามหนงั สอื ทแ่ี ตง่ ดว้ ยสำ� เนยี งภาษาไทยกลางและเทศน์ แบบปฏภิ าณโวหาร (การเทศน์แบบปากเปลา่ , ธรรมบรรยาย) พร้อมกบั การ ปาฐกถาธรรม เหตุการณท์ ถ่ี อื เปน็ จุดเปล่ยี นสำ� คัญท่ที ำ� ให้การเทศนร์ ปู แบบใหม่ เผยเเพรเ่ ข้าสูล่ า้ นนามี ๒ ช่วง ไดแ้ ก่ ๓.๑ ชว่ งปฏิรปู การเมอื งการปกครองในล้านนาของรฐั บาลสยาม “อาณาจกั รลา้ นนา” เปน็ ดนิ แดนทมี่ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งอาณาจกั รหนงึ่ ใน ภมู ภิ าคลมุ่ แมน่ ำ้� โขง เนอื่ งจากเคยเปน็ ศูนย์กลางการเมืองการปกครอง และการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาในภูมิภาคน้ีมาหลายร้อยปี ดังต�ำนานพื้นเมืองเชียงใหม่๑๐๓ ซงึ่ เปน็ หลกั ฐานสำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ กลา่ วถงึ การสรา้ งบา้ นแปลงเมอื ง ของอาณาจักรล้านนา โดยมีพระญามงั รายเปน็ ปฐมกษัตริย์ (พ.ศ.๑๘๓๙-๑๘๖๐) ทรงสรา้ งและสถาปนานครเชยี งใหมเ่ ปน็ ศนู ยก์ ลางราชธานี และมกี ษตั รยิ ป์ กครอง มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง พรอ้ มกบั ขยายพระราชอำ� นาจ และอาณาเขตไปอยา่ งกวา้ งขวาง ครอบคลมุ เมอื งสบิ สองพนั นา รฐั ฉาน เมอื งเชยี งตงุ เมอื งหลวงพระบาง เป็นตน้ พระญาเอมากณุฏกิาจษักตั รรลิย้าห์ นรนอื าเจม้าีคขวนาามนเแจมริญ่กุม(๒่ัน๐คง๙ม๔าโ-ด๒ย๑ล�ำ๐ด๗ับ)๑๐ก๔จษวตั บรจยิ น์ลา้รนัชสนมาลัย�ำขดอับง ท่ี ๑๗ ซ่ึงเป็นกษัตรยิ อ์ งคส์ ดุ ท้ายแหง่ ราชวงศ์มงั ราย อาณาจักรล้านนากต็ กเป็น เมอื งขึ้นของพมา่ (พ.ศ. ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗) เป็นเวลา ๒๐๐ กวา่ ปี ในช่วงเวลา ดังกลา่ ว นครเชยี งใหมม่ ีผปู้ กครองในฐานะเมอื งขนึ้ ของพม่า รวม ๑๗ พระองค์ ศลิ ปวฒั นธรรมพมา่ เขา้ มาผสมกบั วฒั นธรรมลา้ นนาหลายอยา่ ง เช่น ความนิยม บวชลูกแก้ว (สามเณร) ความเช่ือเรอ่ื งพระอุปคุต การสร้างสงิ หโ์ ตทป่ี ระตเู ขา้ วดั การสรา้ งพระพทุ ธรูปและเจดยี แ์ บบพมา่ เปน็ ตน้ ๑๐๓คณะอนุกรรมการตรวจสอบและชำ� ระตำ� นานพื้นเมอื งเชยี งใหม่. ต�ำนานพน้ื เมอื งเชยี งใหม่ ฉบบั เชยี งใหม่ ๗๐๐ ป.ี เชยี งใหม:่ มงิ่ เมอื ง. ๒๕๓๘. 137๑๐๔สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. กรงุ เทพมหานคร: อรินทร์พรนิ้ ต้ิงแอนด์พับลิชซง่ิ จำ� กดั (มหาชน). ๒๕๓๙. หนา้ ๒๐๗.

ตอ่ มา พ.ศ. ๒๓๒๕ พระเจา้ กาวิละปกครองเมอื งเชียงใหม่ ได้รวบรวม ไพรพ่ ลขับไล่พมา่ ออกจากลา้ นนาไดส้ �ำเร็จ พร้อมกบั ขยายอาณาเขตไปจนถงึ เมอื งเชียงตุง เมอื งเชียงร่งุ สบิ สองพนั นา แลว้ กวาดต้อนผู้คนในดนิ แดนเหลา่ นั้น ทั้งไทลื้อ ไทเขิน ไทยอง และไทใหญ่ เข้ามาอาศยั อยใู่ นเมืองเชยี งใหม่และดินแดน รอบนอกจ�ำนวนมาก เรียกยคุ น้ีวา่ “เกบ็ ผักใสซ่ า้ เก็บข้าใส่เมอื ง” จนกระทง่ั พ.ศ. ๒๓๔๗ กส็ ามารถขบั ไล่พมา่ ออกไปจากเมืองเชียงแสน ซ่ึงเปน็ ฐานท่ีตั้งของกอง ทัพพม่าแหง่ สุดทา้ ย โดยได้รับความช่วยเหลอื จากกองทพั พระเจ้าตากสินแห่ง กรุงธนบรุ ี นับเปน็ เวลานานถงึ ๓๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๗-๒๓๔๗) ทีล่ ้านนาฟนื้ มา่ น หรือขับไล่พมา่ ได้ส�ำเร็จ แม้จะขับไล่พม่าได้ส�ำเร็จ แต่ในที่สุดอาณาจักรล้านนา ก็ตกเป็นเมือง ประเทศราช และถูกผนวกดินแดนเข้าเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรสยาม เมือง เชียงใหม่มีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในฐานะประเทศราชของอาณาจักรสยาม ปกครองสบื มารวมทั้งสิ้น ๙ พระองค์ นบั ตั้งแตพ่ ระเจา้ กาวิละ เจ้าผูค้ รองนคร เชียงใหม่องค์แรก จนถึงพลตรเี จา้ แก้วนวรฐั ซงึ่ เปน็ เจา้ ผูค้ รองนครเชยี งใหม่องค์ สดุ ทา้ ย หลังจากท่ีล้านนาผนวกดินแดนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามแล้ว ความ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมก็เกิดข้ึนโดยล�ำดับ จารีตท่ีเคยปฏิบัติ สืบทอดกันมาหลายช่ัวอายุคน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมล้านนาก็ เร่ิมเปล่ียนแปลง ชาวไทยภาคกลางโดยเฉพาะเจ้านายที่ท�ำหน้าที่ควบคุมดูแล การเมืองการปกครองพ่อคา้ และชาวตา่ งชาติกห็ ลั่งไหลเข้าสูล่ ้านนา สง่ ผลใหก้ าร เทศนข์ องลา้ นนามีพฒั นาการขึ้น ๓.๑.๑ นโยบายปฏิรปู การศกึ ษาในลา้ นนา หัวเมืองล้านนาหรือมณฑลพายัพได้รับการจัดตั้งจากรัฐบาลกรุงเทพฯ ใหเ้ ปน็ มณฑลเทศาภบิ าล (พ.ศ. ๒๔๔๒-๒๔๗๕) เพราะมกี ารยกเลกิ ฐานะหวั เมอื ง ประเทศราชลา้ นนามาเป็นดนิ แดนส่วนหนง่ึ ของอาณาจักรไทย 138

แต่เดิมระบบการศกึ ษาของล้านนา มีกระบวนการถา่ ยทอดความรตู้ าม จารตี ท้องถ่ิน จนมีเอกลกั ษณท์ างดา้ นอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ภูมิปัญญา และ ศิลปวฒั นธรรมท่ีโดดเดน่ ระบบการศกึ ษาลา้ นนาดังกลา่ ว มวี ดั เปน็ ศูนยก์ ลาง การศึกษา พระสงฆเ์ ปน็ ครูสอนโดยใชอ้ ักษรลา้ นนาเปน็ สอื่ ในการถา่ ยทอดความรู้ ทง้ั ทางโลกและทางธรรม เชน่ วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ระบบอักษรล้านนา การจารคมั ภรี ใ์ บลาน โหราศาสตร์ การดูแลสุขภาพแบบพนื้ บ้าน(หมอเมอื ง) เปน็ ตน้ ผทู้ ่ไี ด้รับการศึกษาในระบบนี้ ส่วนใหญเ่ ป็นผชู้ ายซึ่งผ่านการบวชเรียน ส่วนการศึกษาอีกระบบหนึ่งเป็นการศึกษาท่ีถ่ายทอดกันภายในครอบครัวหรือ ภายในชมุ ชนโดยเฉพาะกลุ่มผหู้ ญิง เพ่อื ใช้ในการด�ำรงชวี ิต คือการศกึ ษาแบบมุข ปาฐะหรือการบอกเล่า (Oral Tradition) ไมม่ ีการบันทึกเปน็ ลายลักษณ์อักษร เชน่ การเย็บปกั ถักร้อย การฟอ้ นรำ� การดนตรี วิชาช่างเงนิ วชิ าชา่ งฅำ� (ทองคำ� ) ช่างเครื่องเขนิ ชา่ งเครื่องปน้ั ดนิ เผา เปน็ ต้น การสอนทอผ้า การสอนปลูกข้าว 139

การสอนดนตรสี ะล้อ การสอนฟอ้ นร�ำ ภาพจติ รกรรมโดย อาจารย์พงษพ์ รรณ เรอื นนันชยั เม่อื หัวเมอื งลา้ นนาถูกจดั ต้งั เป็นมณฑลพายัพ รฐั บาลกรุงเทพฯ เร่ิม ปฏริ ูปการศกึ ษาใหม่ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๔๒๑๐๕ โดยก�ำหนดใหม้ กี ารเรยี นการสอนภาษา ไทยกลางเป็นอันดับแรก เพราะภาษาถือเป็นหัวใจส�ำคัญของการส่ือสาร และ สร้างความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคนในชาติ ในช่วงแรกรัฐบาลกรุงเทพฯ ยังคงผ่อนผันให้มีการเรียนการสอนอักษรล้านนาอยู่ แต่ให้เน้นการเรียนการ สอนภาษาไทยกลางพร้อมกับสร้างแรงจูงใจ ด้วยการก�ำหนดให้ผู้ท่ีสมัครเข้ารับ ราชการ ต้องสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยกลางได้อย่างถูกต้อง ท�ำให้ชาว ล้านนามคี วามสนใจเรยี นภาษาไทยกลางมากขน้ึ เจ้าผู้ครองนครแตล่ ะเมอื ง ตา่ ง ให้ความร่วมมอื ในการปฏิรูปการศกึ ษาเปน็ อยา่ งดี เพราะถือเปน็ การสร้างผลงาน ให้เป็นที่ประจักษ์แก่รัฐบาลกรุงเทพฯ ดังจะเห็นได้จากการบริจาคท่ีดินสร้าง โรงเรยี น เช่น เจ้าอินทวโรรส เจา้ ผูค้ รองนครเชยี งใหม่ บรจิ าคทีด่ นิ สร้างโรงเรยี น ยุพราชวทิ ยาลัย เจ้าบญุ วาทย์ เจ้าผู้ครองนครลำ� ปาง บริจาคทด่ี ินสร้างโรงเรียน บุญวาทย์ เจ้าจกั รคำ� ขจรศักดิ์ เจา้ ผู้ครองนครล�ำพนู บรจิ าคท่ีดินสร้างโรงเรียน จักรค�ำคณาทร และเจา้ สรุ ยิ พงษ์ผลติ เดช เจา้ ผ้คู รองนครน่าน บรจิ าคที่ดินสรา้ ง โรงเรียนสรุ ยิ านเุ คราะห์ เป็นต้น ด้วยเหตนุ ี้ มณฑลพายัพจงึ ประสพความส�ำเรจ็ ในการเรียนการสอนภาษาไทยกลางอย่างรวดเร็วโดยไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด ในขณะทอ่ี กั ษรลา้ นนาเรมิ่ ลดความสำ� คญั และเสอ่ื มความนยิ มลง ชาวลา้ นนาในยคุ ปฏิรูปการศึกษา ต่างไม่ให้ความส�ำคัญ ไม่สนใจเรียน เพราะมุ่งศึกษาภาษา 140 ๑๐๕เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๔๐๗-๔๑๔.

ไทยกลางเป็นส�ำคญั เนอื่ งจากสามารถส่ือสารกับบคุ ลากรของหน่วยงานราชการ ได้ และใชเ้ ปน็ บนั ไดไตเ่ ตา้ ไปส่คู วามก้าวหนา้ ในอาชพี ข้าราชการและธุรกิจต่างๆ ผลการปฏริ ปู การศกึ ษาดงั กลา่ วยงั ไดแ้ ยกชาวลา้ นนาออกจากวดั เนอ่ื งจาก รัฐบาลได้สร้างโรงเรียนส�ำหรับเป็นสถานที่ศึกษาและมีบุคลากรซึ่งเป็นฆราวาส เปน็ ครูสอนอย่างเปน็ เอกเทศ นอกจากนน้ั องค์กรคริสตศาสนาที่เข้ามาเผยแผ่ก็ มบี ทบาทสำ� คญั ในการปฏริ ปู การศกึ ษาในลา้ นนา โดยคณะมชิ ชนั นารหี รอื หมอสอน ศาสนานิกายโปรเเตสเเตนท์ได้สร้างโรงเรียนสอนศาสนาข้ึน โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ สำ� คญั เพ่ือใชเ้ ปน็ เครื่องมอื ในการสร้างครสิ ตจักร๑๐๖เพราะโรงเรยี นถอื เป็นสถานท่ี ส�ำคัญในการประกาศครสิ ตศาสนา และเป็นแหล่งสรา้ งผูน้ ำ� ชุมชนคริสเตยี น ผู้ นำ� ครสิ ตจักรในล้านนา โรงเรียนทส่ี รา้ งข้นึ เพอื่ ภารกจิ นี้ ประกอบด้วยโรงเรยี น วงั สิงหค์ ำ� (โรงเรียนปรินส์รอยแยลสว์ ทิ ยาลยั ในปัจจบุ นั ) โรงเรยี นดาราวิทยาลัย และโรงเรยี นมงฟอรต์ วิทยาลยั แบบใหมค่ขณ้ึนะในมลิช้าชนนั นนาารกีถ่อือนเปท็นี่รฐัอบงาคล์กกรรเอุงกเทชพนฯกลจุ่มะแปรฏกิรปู กทาีไ่ รดศ้เรกึ ม่ิ ษต๑า๐น้ ๗จโดดั ยกเาปรดิศสึกอษนา ภาษาองั กฤษควบคู่กบั การเรยี นการสอนอกั ษรล้านนา เน่ืองจากสมัยนัน้ ชาว ลา้ นนายังนยิ มใช้อักษรล้านนาอยู่ คณะมิชชันนารจี ึงมองเหน็ ความจ�ำเปน็ ในการ ใช้ภาษาถน่ิ เพอื่ สือ่ สารกบั ชาวลา้ นนา จงึ กำ� หนดให้มกี ารสอนอกั ษรลา้ นนาใน โรงเรยี นควบคู่กบั วชิ าการสมยั ใหม่ด้วย ในขณะเดียวกนั ยังได้นำ� วทิ ยาการสมยั ใหมจ่ ากตะวนั ตก มาใชใ้ นการเรียนการสอนและเผยแผ่คริสตศาสนาด้วย โดยตง้ั โรงพิมพ์อกั ษรล้านนาขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวดั เชยี งใหม่ มกี ารผลิตต�ำราเรยี น และเอกสารทางคริสตศาสนาด้วยอักษรล้านนาเผยแพร่เปน็ ครงั้ แรก นอกจากจะ แสดงถึงความพยายามในการเผยแพร่ครสิ ตศาสนาใหเ้ ขา้ ถึงชาวล้านนา อันเปน็ กลมุ่ เปา้ หมายสำ� คญั แลว้ ยังเหน็ พัฒนาการดา้ นการศกึ ษาท่มี อี งค์กรเอกชนเปน็ ผรู้ เิ รมิ่ แตห่ ลงั จากทรี่ ฐั บาลกรงุ เทพฯไดเ้ รมิ่ ปฏริ ปู การศกึ ษาใหมแ่ ลว้ คณะมชิ ชนั นารี ก็เปล่ียนมาสอนภาษาไทยกลางควบคู่กับภาษาอังกฤษแทน ส่วนอักษรล้านนา ได้ยกเลิกการสอนไปโดยปริยาย พร้อมกับประกาศขายโรงพิมพ์อักษรล้านนา เน่ืองจากชาวล้านนาสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยกลางได้อย่างคล่องแคล่ว แล้ว ๑๐๖วัชระ สนิ ธปุ ระมา. ภาษาที่ใช้ในการสอนและการสอนภาษาในโรงเรยี นของมิชชนั ทางภาคเหนือนับตง้ั แต่เริ่มตน้ จนถงึ ชว่ ง 141 สงครามโลกครง้ั ที่สอง. บทความใน ศาสนาคริสต์-มิชชนั นาร-ี สังคมไทย รวมบทความชดุ ที่ ๑ ฝา่ ยประวัติศาสตร์ สภาคริสตจกั ร ๑๐๗สแหรสั ง่ วปดรีะเอทอ๋ ศงไสทกยุล..เชปียรงะใวหตั มิศ่ า: สเจตรริญ์ลกา้ านรนพาิม. พอ์.า้ มงปแพล้ว. .หหนน้า้า๑๔๔-๑๑๑๗..

เป็นตน้ มคา๑ณ๐๘แะตม่สชิ าชมันานราถรจไี ัดดต้ปัง้ รโะรดงพิษมิฐพ์ตัว์อพกั มิษพรล์อ้ากั นษนราลไ้าดนส้ น�ำาเรมจ็ าเใมช่อื ต้ ้งั พแต.ศ่ พ. .๒ศ๔. ๒๓๓๕๗๙ที่ บริเวณวดั ร้างวงั สงิ หค์ ำ� ต�ำบลช้างม่อย อำ� เภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่ ภายหลัง เมอื่ ชาวลา้ นนานยิ มใชอ้ ักษรไทยกลางแล้ว คณะมิชชนั นารเี หน็ ว่า ไมม่ ีความ จำ� เป็นทตี่ อ้ งพิมพต์ �ำราดว้ ยอักษรลา้ นนาอกี ปพี .ศ. ๒๔๖๙ ไดข้ ายโรงพมิ พ์ให้ แก่นายเมอื งใจ ชัยนลิ พันธุ์ ชาวอ�ำเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่ นำ� ไปรับจ้างพมิ พ์ คัมภีร์ธรรมล้านนาและหนังสอื เร่ืองต่างๆ ดว้ ยอกั ษรล้านนา โดยเฉพาะคร่าวซอ ออกจ�ำหน่ายหลายฉบบั แต่ในทส่ี ุดกเ็ ลิกกจิ การไป เพราะมีผูส้ นใจอ่านอักษร ลา้ นนานอ้ ย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตรวจราชการท่บี ่อน�้ำมันของกรมโลหะกิจ อ�ำเภอฝาง จงั หวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๘๙ (ขอบคุณภาพจาก บญุ เสริม สาตราภยั ) ภายหลัง การศึกษาอักษรล้านนาได้รับผลกระทบอีกครั้ง เมื่อคณะ รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศใช้นโยบาย “รัฐนิยม” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ จ�ำนวน ๑๒ ฉบับ โดยเฉพาะรัฐนิยมฉบบั ท่ี ๙ ว่าดว้ ยเรอื่ งภาษาและ หนงั สือไทยกบั หนา้ ทพ่ี ลเมืองดี ดงั น้ี๑๐๙ ๑๐๘อุดม รุ่งเรอื งศรี. วรรณกรรมลา้ นนา ปรับปรงุ คร้ังท่ี ๑. ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. ๒๕๔๒. หนา้ ๑๒. 142 ๑๐๙ข้อมูลจาก httpwww.ratchakitcha.soc.go.thDATAPDF2483A151.PDF ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๖.

จากรายละเอยี ดของประกาศรฐั นยิ มฉบบั ท่ี ๙ ดงั กลา่ วน้ี จะเหน็ ไดว้ า่ รฐั บาลของจอมพล ป.พบิ ลู สงคราม พยายามสรา้ งชาตนิ ยิ มใหเ้ กดิ ขน้ึ ในทกุ ภมู ภิ าค ของประเทศ โดยประกาศโนม้ นา้ วใหป้ ระชาชนทวั่ ประเทศ สนใจศกึ ษาภาษาไทย กลางให้แตกฉานและใช้สือ่ สารเปน็ ภาษาหลักของประเทศ ในขณะที่ภาษาและ ศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ เชน่ อกั ษรลา้ นนา จารตี ประเพณี การแตง่ กาย เปน็ ตน้ ไมไ่ ด้ 143

รับการส่งเสริมให้มีการเรียนการสอน และให้มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการ เป็นอยู่เพ่ือความเจริญทัดเทียมกับต่างชาติ กล่าวเฉพาะพระสงฆ์สามเณรล้านนา ซึ่งมีบทบาทในการสืบทอดอายุ พระพุทธศาสนาและเป็นผู้น�ำทางจิตวิญญาณ โดยเทศน์ปลูกฝังอัตลักษณ์ท้อง ถิ่นใหแ้ กช่ าวล้านนา เมอื่ ไม่สามารถอ่านเขียนอักษรลา้ นนาได้ ยอ่ มส่งผลใหก้ าร เทศน์แบบจารีตล้านนาได้รับผลกระทบด้วย เริ่มจากรูปลักษณ์ของคัมภีร์ธรรม ลา้ นนา ซ่งึ แต่เดิมใช้คมั ภีรใ์ บลานจารด้วยอกั ษรลา้ นนา ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่การ (จฟัดู พอิมตพตฺ ์ใสบโิลวานเดป้วรยยี อญักธษรรรมไท๖ยกปลราะงโสย�ำคน๑)๑ว๐อนดลีต้าเนจนา้ คาณแทะนตรวจพกราะรธภรารคมร๕าชอาดนีตุวเัตจร้า อาวาสวดั พระสงิ ห์วรมหาวหิ าร อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ ซึ่งเป็นพระมหา เถระลา้ นนาที่มบี ทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไดต้ รวจช�ำระคัมภีร์ธรรม มหาชาติล้านนาหลายฉบับ พร้อมกับปรับปรุงแต่งเติมส�ำนวนโวหารให้ไพเราะ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เปน็ ตน้ มา แลว้ จดั พมิ พค์ มั ภรี ธ์ รรมมหาชาตเิ วสสนั ดรชาดก สำ� นวนลา้ นนาฉบบั ใหม่ ดว้ ยอกั ษรไทยกลางลงใบลานเปน็ ครง้ั แรกเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๗ เรยี กมหาชาตฉิ บบั นวี้ ่า “ฉบับสรอ้ ยสังกร” จดั พมิ พ์ที่โรงพมิ พ์ ส.ธรรมภกั ดี (นาย สม พ่วงภกั ดเี จ้าของโรงพมิ พ)์ ถนนขา้ วสาร กรงุ เทพฯ แล้วจัดพมิ พ์อกี หลายครัง้ โดยใหเ้ หตุผลที่จดั พมิ พใ์ บลานด้วยอกั ษรไทยกลางแทนอกั ษรล้านนาวา่ ๑๑๑ ๑) เพือ่ ใหส้ ะดวกตอ่ การพิมพ์ ๒) มีราคาถูกกว่าการพิมพ์ดว้ ยตัวหนังสอื ไทยเหนือ (อกั ษรล้านนา) ๓) สะดวกแกภ่ ิกษสุ ามเณรทจี่ ะนำ� ไปเทศน์ เพราะทกุ วันนี้ภิกษสุ ามเณร ชาวลา้ นนามคี วามรู้หนงั สือไทยดีกวา่ หนงั สือล้านนาซึง่ มีผู้รูล้ ดนอ้ ยลง ผทู้ ีม่ ีความ รูแ้ ตกฉานในอกั ษรลา้ นนาอยา่ งแทจ้ รงิ หาได้ยากย่งิ ๔) เป็นแนวทางให้รู้จักเขียนหนังสือไทยเป็นอักษรล้านนาด้วยวิธีเทียบ อกั ษร เพอ่ื ให้เกิดความรู้สึกว่า ขนึ้ ชือ่ ว่าคนไทยแล้วจะเปน็ เผา่ พันธุ์ใดก็มภี าษา คลา้ ยคลึงกันทัง้ นน้ั เวน้ แต่คนไทยท่ีสละเช้ือชาติของตนไปแล้ว ๑๑๐ไดร้ บั การโปรดเกลา้ ฯ เลื่อนสมณศกั ดสิ์ ดุ ท้าย เปน็ พระราชาคณะ รองสมเด็จชัน้ หิรัณยบัฏ ในราชทนิ นามวา่ พระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์ เมื่อ ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๕. มรณภาพ ๕ มีนาคม ๒๕๑๖. ๑๑๑พฉบระับอสุบรา้อลยคี สณุ ังกูปรม.าเจชาียรงยให์ (ฟม่:ู อสต�ำตฺนสักโิพวิม) พเรม์ยี รบดเรกียลงา้ .นจนรายี .์ ๒ส๕ุน๕ท๑รส. ิงหหน์ ้าป๕ร.ิวรรตเปน็ อกั ษรล้านนา. มหาชาติภาคพายพั 144

มหาชาตภิ าคพายพั สำ� นวนเอก “ฉบับสร้อยสังกร” จดั พิมพ์ลงใบลานดว้ ยอักษรไทยกลาง สำ� นวนลา้ นนา ช�ำระตรวจสอบโดย พระธรรมราชานุวตั ร (ฟู อตตฺ สิโว) พ.ศ. ๒๔๙๘ (ขอบคุณภาพจาก นางสาวอมรรตั น์ เฟอื่ งวรธรรม) หลังจากน้นั ชาวล้านนาหลายคนไดน้ �ำการจัดพมิ พ์คมั ภีร์ธรรมเช่นน้ไี ป เป็นแบบอย่างพิมพเ์ ผยแพร่ เช่น พระประศาสนส์ ุตาคม จงั หวัดล�ำพนู พระมหา อนิ สม ชวนปญฺโญ (ไชยชมภู) จังหวัดเชียงราย เป็นต้น ภายหลงั การจดั พมิ พ์เชน่ สนีน้ี ำ้� เตราิ่มลปมราะจสัดบพปมิ ญั พหแ์ าทเพนใรบาะลใาบนลราะนยหะาแยรากกมแผี ลู้สะนรใาจคพามิแพพ์งเชขน่้นึ ๑๑๒พจรึงะนพ�ำทุ กธริวะงดศา์วษิวแฒั ขน็ง์ นายสิงฆะ วรรณสัย นายสภุ ทั ร์ เขอื่ นแก้ว นายอนิ สม ไชยชมภู และนายบุญคดิ วชั รศาสตร์ เปน็ ตน้ โรงพิมพท์ ร่ี บั พมิ พไ์ ดแ้ ก่ รา้ นบญุ ผดงุ อำ� เภอเมือง จงั หวดั เชยี งราย รา้ นธาราทองการพมิ พ์ อำ� เภอเมอื ง ร้านแสงเทียนสังฆภณั ฑ์ อำ� เภอ สันทราย จงั หวดั เชยี งใหม่ รา้ นภิญโญ อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ล�ำพนู และร้านลำ� ปาง สงั ฆภณั ฑ์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดล�ำปาง เรียกคัมภีรธ์ รรมรูปลกั ษณ์ใหม่นวี้ ่า“ธรรม กระดาษ”“ลานกระดาษ”หรอื “ลานเทยี ม” นับต้งั แต่น้ันเป็นตน้ มา คัมภรี ธ์ รรม รปู แบบใหมใ่ นลา้ นนา จงึ มรี า้ นคา้ เปน็ ผจู้ ดั พมิ พด์ ว้ ยกระดาษแขง็ สนี ำ้� ตาลพบั เปน็ ทบๆ พิมพ์ด้วยอักษรไทยกลางส�ำนวนล้านนาจ�ำหน่ายแพร่หลาย หากใครต้องการ ถวายคมั ภรี ธ์ รรม สามารถหาซอ้ื ไดต้ ามรา้ นขายสงั ฆภณั ฑท์ ว่ั ภาคเหนอื ซง่ึ แตกตา่ ง จากอดตี ท่ตี ้องจารลงใบลานดว้ ยตนเองหรอื จ้างวานผู้อน่ื จารให้ เ ผยแพร่วแัฒตอ่นยธา่รงรไมรดก้าต็ นามภาผษู้ทาไ่ตี ว้อ้ เงชก่นารพอรนะุรคกั รษรู ตั์อนักปษญัรลญ้าานญนาาณกย็ (ังสมมีอยธมู่แมฺละธโีพรย)๑า๑อ๓ยดามีต เจ้าคณะอ�ำเภอดอยสะเก็ด เม่ือครั้งที่ด�ำรงสมณศักดิ์พระครูสังฆรักษ์กิจจารักษ์ ๑๑๒บุญคิด วัชรศาสตร.์ บทบาทของธรรมกระดาษ (ลานเทียม) ในลา้ นนา. คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณ 145 ๑๑๓รสาัมชภวาทิ ษยณาล์ ัยนาวยทิจรยีาเสขนุ ตทเชรยี สงิงใหห์.มส่.ำ� น๒กั๕พ๕ิม๒พ.ม์ รหดนกา้ล้า๕น๕นา. ๑๔ ถนนศริ มิ ังคลาจารย์ ซอยสายน�้ำผ้ึง ต�ำบลสุเทพ อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม.่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

ฝ่ายเผยแผ่อ�ำเภอดอยสะเก็ด ได้จัดท�ำหนังสือแบบเรียนอักขระพยัญชนะตัว เมอื งเหนอื (ลานนาไทย) เมือ่ พ.ศ.๒๔๙๕ ค�ำนำ� หนังสอื ตอนหน่ึงกลา่ วถงึ เหตผุ ล ทจี่ ดั หนงั สือวา่ ๑๑๔ “...ตวั หนงั สอื เมอื งนี้ บรรจเุ ขยี นพระธรรมคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ มี เปน็ หบี ๆ ตๆู้ พระธรรมคำ� สอนนน้ั กส็ อนใหค้ นตง้ั อยใู่ นศลี ธรรม ใหร้ จู้ กั บาปบญุ คณุ โทษ ประโยชนแ์ ละมใิ ชป่ ระโยชน์ ตลอดมาตงั้ แตโ่ บราณกาลแลว้ เชยี งใหมเ่ คย เปน็ ราชธานี พระธรรมวนิ ยั รงุ่ เรอื ง เตม็ ไปดว้ ยนกั ปราชญ์ อาจารย์ และเคยกระทำ� สงั คายนาธรรมทเ่ี ชยี งใหม่ หนงั สอื เมอื งเหนอื ใชบ้ รรจพุ ระธรรมครบ ๘ หมนื่ ๔ พนั พระธรรมขนั ธ์ และใชเ้ ปน็ หนงั สอื ราชการเมอื งสมยั เปน็ เอกราช... แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ข้าพเจา้ มาคดิ ว่าพระธรรมค�ำสัง่ สอนของพระพุทธเจ้า ที่บรรจอุ ยูใ่ นหนังสอื ใบลานเต็มเป็นตู้ๆ น้ัน เปน็ สมบตั ลิ ำ�้ คา่ กว่าสรรพสิ่งทง้ั ปวง ทป่ี ู่ยา่ ตายาย ครบู าอาจารย์ ได้สั่งสมเก็บรวบรวมไว้ ใหต้ กทอดมาถึงพวกเรา ใน ฐานะเป็นเผ่าพันธลุ์ ูกหลานเหลน สบื มาจากปยู่ าตายายเหล่าน้ัน จะพากันมา ท�ำลายทรัพย์สมบัตมิ รดกอันล้ำ� คา่ นนั้ ให้ฉิบหายไป โดยไมอ่ ่าน ไม่ดู ไม่เรยี น ไม่รู้ ท�ำลายให้ฉกี ขาด ประมาทไม่ดู ไมแ่ ล อ่านไมอ่ อก เขยี นไม่ได้ ดูเสมือนวา่ พระธรรมค�ำสงั่ สอน ตำ� รับตำ� ราเหล่าน้ี ไม่มปี ระโยชนอ์ ะไรเลย แม้แตต่ ัวหนงั สอื ซ่ึงเป็นทรพั ยส์ มบัติคบู่ า้ นคู่เมอื ง ก็จะอา่ นไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ ข้าพเจา้ เข้าใจว่า คงจะลมื ชาติความเกดิ ในถนิ่ ลานนาไทยไปเสียแลว้ ...” หลงั จากไดฟ้ น้ื ฟอู กั ษรลา้ นนาดว้ ยการเขยี นหนงั สอื เรยี นใหเ้ ปน็ แบบอยา่ ง แก่ผู้สนใจแล้ว ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๒ ได้พิมพ์คัมภีร์ธรรมกระดาษแข็งสีน�้ำตาล ด้วยอักษรล้านนาเผยแผ่ โดยเรียกคัมภีร์ธรรมฉบับที่จัดพิมพ์น้ีว่า พระธรรม เทศนาฉบับลา้ นนาไทย เพอ่ื แสดงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมการเทศน์ของ ล้านนาและไทยกลาง ทง้ั เนอ้ื หาและสำ� นวนภาษา เชน่ ธรรมเทวทูตทงั้ ๕ ธรรม มาลัยโผด ธรรมนพิ พานสูตร ธรรมมหามูลนิพพาน เปน็ ต้น การจัดพิมพใ์ นคร้ัง น้ันได้ใชแ้ ป้นพิมพอ์ กั ษรลา้ นนาของโรงพิมพเ์ จริญเมืองซ่งึ มีนายเมอื งใจ ไชยนลิ เป็นผพู้ ิมพ์และโฆษณา พระครูรัตนปัญญาญาณ กลา่ วถงึ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการ พมิ พว์ ่า๑๑๕ ๑๑๔พระครสู ังฆกิจจารกั ษ์ ธมมฺ ธีโร. หนังสอื แบบเรยี นอักขระพยญั ชนะตวั เมอื งเหนอื (ลานนาไทย). เชยี งใหม:่ ม.ป.ท, ๒๔๙๕. หนา้ ค�ำนำ� ก และ ข. 146 ๑๑๕พระครรู ตั นปัญญาณาณ (สม ธมฺมธีโร). คัมภีรธ์ รรมกระดาษเรอ่ื ง เทวทูตทงั้ ๕. เชียงใหม:่ โรงพมิ พ์เจริญเมือง. ๒๕๐๒. หน้าพับท่ี ๑๐.

๑. เพ่ือรักษาพระธรรมเทศนาฉบับล้านนาไทย อันเป็นภาษาที่เข้าใจ ง่าย ฟังไดด้ ี มเี หตผุ ล อบรมจติ ใจใหต้ งั้ ม่นั ในศลี ธรรมอันดีงาม ฝงั ในจิตใจของ ประชาชนมานานนับพนั ๆ ปี ไม่ใหส้ ญู หาย ๒. เพื่อรักษาตัวอกั ขระลา้ นนาไทย อันเป็นสมบตั อิ นั ล้นคา่ ไว้ ไม่ให้เสอ่ื ม สญู ๓. เพ่ือรกั ษาปรัชญา ความรู้ ความแตกฉาน การชำ� นาญในการแปล พระไตรปิฎก ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณีอันดี วฒั นธรรมอันสงู ส่งของ พระมหาเถรานุเถระ และนักปราชญล์ ้านนาไทยไว้ ไมใ่ ห้เสือ่ มสูญ ๔. เพอื่ เป็นการยกยอ่ งเชิดชูพระธรรมเทศนาฉบบั ลา้ นนาไทย ทกี่ �ำลงั จะลม่ จมสูญหาย ใหก้ ลบั กลายเจริญรุ่งเรอื งขึน้ และเพ่อื อบรมศีลธรรมแก่ ประชาชน ให้เป็นผูห้ นักแน่นในศีลธรรม พระครรู ตั นปญั ญาญาณ (สม ธมมฺ ธีโร) อดตี เจ้าคณะอำ� เภอสะเกด็ จงั หวดั เชยี งใหม่ (ขอบคณุ ภาพจาก นายจรยี ์ สุนทรสงิ ห์) 147

ตอ่ มา พ.ศ. ๒๕๐๗๑๑๖มหาทวี เขือ่ นแก้ว ไดพ้ ิมพ์คมั ภีร์ธรรมลา้ นนาดว้ ย ดว้ ยอักษรล้านนาลงใบลานใต้ (ภาคกลาง) เผยแพรอ่ ีกหลายเรอ่ื ง เชน่ ธรรมเรือ่ ง ชา้ ง ๓ งา ปลา ๓ เงย่ี ง เป็นตน้ โดยใช้แป้นพมิ พ์อกั ษรล้านนาจากโรงพมิ พ์ โสภติ ธรรมากร ถนนบ�ำรุงเมือง (ประตูผี) ส�ำราญราษฎร์ กรุงเทพมหานคร เน่อื งจากมีความทันสมัยและตัวหนังสือคมชัดกว่า จัดจ�ำหน่ายโดยร้านภัทธนา การค้า จังหวดั เชยี งใหม่ คมั ภีรธ์ รรมใบลานจัดพมิ พด์ ว้ ยอกั ษรลา้ นนา โดยมหาทวี เขอื่ นแก้ว พ.ศ. ๒๕๐๗ ๑๑๖มหาทวี เข่ือนแกว้ . คัมภรี ธ์ รรมใบลานเรือ่ ง ช้าง ๓ งา ปลา ๓ เงีย่ ง ผกู ท่ี ๑. เชยี งใหม:่ รา้ นพฒั นาการค้า. ๒๕๐๗. 148

แม้จะพยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูอักษรล้านนาให้กลับมามีบทบาทอีกคร้ัง หนง่ึ โดยผลติ ตำ� ราเรยี นอกั ษรลา้ นนาและคมั ภรี ธ์ รรมทจี่ ดั พมิ พด์ ว้ ยอกั ษรลา้ นนา ทั้งใบลาน และลานกระดาษ แตก่ ไ็ มเ่ ปน็ ท่นี ิยม พระสงฆ์สามเณรลา้ นนารนุ่ ใหม่ ไม่สามารถอ่านอักษรล้านนาไดแ้ ลว้ จนในท่สี ุดอกั ษรลา้ นนาก็ลดบทบาทในการ สอื่ สารในชวี ิตประจ�ำวันลงโดยปริยาย แต่ก็ยังคงบทบาทในความเป็นตัวอกั ษร ที่ถอื ว่าศักดิส์ ิทธ์ิ จงึ เปน็ ที่นยิ มศกึ ษาและใช้ในกล่มุ ผทู้ ส่ี นใจด้านพิธีกรรม และ ไสยศาสตร์ เพราะตอ้ งใช้อกั ษรล้านนาในการเขียนหรอื จารบทพระคาถา เช่อื ว่า จะท�ำให้เกิดความขลงั ศักดิส์ ทิ ธิ์ นอกจากนัน้ ยงั มกี ลุ่มผสู้ นใจดา้ นลา้ นนาคดที ่ี ศกึ ษาอกั ษรล้านนาจนแตกฉาน แม้ไม่ไดใ้ ช้เป็นภาษาทีใ่ ชส้ ่อื สารในชีวติ ประจ�ำ วัน แตก่ น็ ับว่าเปน็ คณุ ูปการในการสานตอ่ องค์ความรแู้ ละอักษรล้านนาไม่ใหส้ ญู ไปกบั กาลสมัย ปัจจุบนั คัมภีร์ธรรมท่ีใช้เทศน์ในล้านนา มลี ักษณะเป็นลานกระดาษหรือ ลานเทียมขนาดความกวา้ ง ๔๕ ซม. ความยาว ๔๗ ซม. แตบ่ างเรือ่ งก็เป็นธรรม ก้อม คือมีขนาดยอ่ สว่ นให้เล็กลง เพ่ือความสะดวกในการพกพา ขนาดความกว้าง ๒๗ ซม. ความยาว ๔๗ ซม. พมิ พ์ด้วยอกั ษรไทยกลางส�ำนวนล้านนาทั้งหมด แต่ บางเรอ่ื งก็จัดพิมพ์ทงั้ ๒ ภาษา โดยดา้ นหน้าพมิ พเ์ ปน็ ตวั อกั ษรไทยกลางสำ� นวน ลา้ นนา สว่ นด้านหลังพมิ พเ์ ป็นอักษรลา้ นนาควบคไู่ ปดว้ ย เช่น ธรรมมาลยั โผด จ�ำหนา่ ยโดยร้านธาราทองการพิมพ์ จังหวัดเชียงใหม่ ธรรมเคหาภิเษก มงคลขึ้น บา้ นใหม่ จำ� หนา่ ยโดยรา้ นภญิ โญ จงั หวดั ลำ� พนู เปน็ ตน้ เพอื่ อนรุ กั ษอ์ กั ษรลา้ นนา และให้พระผู้เทศน์หรือผู้สนใจได้ฝึกอ่านโดยเทียบอักษรล้านนาและอักษร ไทยกลางควบค่กู นั 149

คมั ภรี ์ธรรมรปู แบบใหม่ ท�ำจากกระดาษ จัดพมิ พ์เปน็ ภาษาไทยกลาง ดว้ ยส�ำนวนล้านนา จากส�ำนกั พิมพ์ตา่ งๆ จำ� หน่ายตามร้านขายสังฆภัณฑท์ ว่ั ภาคเหนอื ธรรมก้อม (คมั ภีร์ธรรมทีท่ �ำจากกระดาษแขง็ สีน้ำ� ตาลมีขนาดย่อส่วน) พรอ้ มผ้าหอ่ คัมภรี ์ 150


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook