แม้รูปลักษณ์และภาษาของคัมภีร์ธรรมจะเปล่ียนแปลงไปตามกาลสมัย แต่เนื้อหาสาระท่ีปรากฏก็ยังถือเป็นพระพุทธพจน์ ชาวล้านนาก็ยังให้ความ เคารพ และนิยมน�ำไปเทศนใ์ นโอกาสต่างๆ อยเู่ สมอ ๓.๑.๒ นโยบายปฏริ ูปองคก์ รสงฆ์ในลา้ นนา นอกจากรัฐบาลสยามจะปฏิรูปการเมืองการปกครองแล้ว ยังได้ปฏิรูป องค์กรสงฆ์ล้านนาด้วย โดยมอบหมายให้องค์กรสงฆ์ส่วนกลางเข้ามาปฏิรูป คณะสงฆล์ า้ นนาทง้ั การบรหิ ารและการศกึ ษาอยา่ งเปน็ ระบบ โดยเฉพาะการปฏริ ปู ด้านการศกึ ษาสงฆ์ ในอดตี ๑๑ก๗ารศึกษาของพระสงฆ์ล้านนายังไม่มหี ลักสูตรการเรยี นการสอน ทเี่ ป็นมาตรฐาน เพยี งแตเ่ รยี นตามแนวทางทแ่ี ต่ละส�ำนกั ไดย้ ึดถอื ถ่ายทอดกันมา ตามกำ� ลงั ความรคู้ วามสามารถเทา่ นนั้ แตก่ อ็ ยใู่ นวงจำ� กดั เฉพาะผชู้ าย และมพี ระสงฆ์ เปน็ ผสู้ อนเพ่ือสบื ทอดอายพุ ระพุทธศาสนา ชาวลา้ นนานยิ มนำ� บุตรหลานเขา้ เปน็ ศิษยว์ ัด เม่ืออายปุ ระมาณ ๑๐ ขวบ เรยี กว่า ขะโยมวัด เพื่อศึกษาอกั ษรล้านนาเบือ้ งตน้ จากพระสงฆ์ท่ีบวชยังไม่เกนิ ๕ พรรษา เรยี กว่า ทุหนาน ภายหลงั เมือ่ บรรพชาเปน็ สามเณรแลว้ ไดร้ บั การ ศึกษาข้นั กลางจาก ทุบาลกา เชน่ การฝกึ หัดจารพระธรรมลงในใบลาน หดั ท่อง บทสวดมนต์ หดั เทศนแ์ บบธรรมวัตร เป็นต้น เม่อื อุปสมบทเป็นพระภิกษกุ ไ็ ดร้ บั การศกึ ษาข้นั สูงจาก ทหุ ลวง ได้แก่ การศึกษาพระไตรปิฎก การศกึ ษาภาษาบาลี การเทศนม์ หาชาตเิ วสสันดรชาดก เปน็ ตน้ หากสนใจศึกษาวิชาทางโลก สามารถ ศึกษาไดต้ ามอัธยาศยั อัธยาศัย เช่น วชิ าไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ สมุนไพร วชิ า ชา่ ง เป็นตน้ เม่ือศึกษาจบแลว้ สามารถนำ� ไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจ�ำวันได้ ถา้ ยัง ครองเพศบรรพชิตอยู่ การศึกษาด้านการเทศน์นับเป็นการศึกษาที่ส�ำคัญตาม ค่านยิ มท้องถนิ่ ดังส�ำนวนล้านนาวา่ ๑๑๘ “เรยี นโหรา ผา้ ขาด เรยี นมหาชาติ ผา้ ไหม เรียนวินัย ทอ้ งเปล่า” ๑๑๗สรัสวดี ออ๋ งสกลุ . วัฒนธรรมและการเมอื งล้านนา พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : ตน้ ออ้ . ๒๕๔๒. หน้า ๖๘-๖๙. 151 ๑๑๘พระครูอดลุ สีลกติ ต์ิ (ประพัฒน์ ฐานวุฑฺโฒ). ปจั จัยทมี่ ีอทิ ธพิ ลต่อความนิยมมหาชาติเวสสันดรชาดกในล้านนา. อา้ งแล้ว. ๒๕๕๑. หนา้ ๑๒๐.
พระภกิ ษุลา้ นนาท่มี ีความช�ำนาญด้านชา่ งไม้ 152
เรียนโหรา ผ้าขาด หมายถงึ การเรยี นโหราศาสตรเ์ พื่อดูฤกษ์งามยามดี การทำ� นายทายทกั ดวงชะตาราศี มกั ไดป้ จั จยั หรอื เงนิ คา่ กำ� นลนอ้ ย เพราะครบู าอาจารย์ ก�ำหนดไวเ้ ช่นน้ัน ท�ำให้ฐานะของผทู้ เ่ี รยี นจบโหราศาสตรไ์ มร่ �ำ่ รวย จนต้องนุ่งห่ม ผ้าจวี รท่ฉี ีกขาดและเศร้าหมอง เรียนมหาชาติ ผ้าไหม หมายถึง เรยี นเทศนม์ หาชาติแลว้ มีฐานะรำ�่ รวย มกั ไดร้ บั กจิ นิมนตใ์ ห้ไปเทศน์ตามสถานทต่ี า่ งๆ แตล่ ะงานเจา้ ภาพมักถวายผา้ จีวร เครื่องอปุ โภคบริโภคอย่างดี ถวายปัจจัยจ�ำนวนมาก และมชี อ่ื เสียงเป็นทร่ี จู้ ัก จึง นงุ่ หม่ ผา้ จีวรไหมและมีปัจจยั มาก เรยี นวนิ ัย ทอ้ งเปล่า หมายถึง เรยี นพระธรรมวนิ ัยแล้ว ทำ� ให้ต้องสำ� รวม ระมดั ระวงั ในสกิ ขาบท จะฉนั อะไรกล็ ำ� บาก เพราะเกรงวา่ จะละเมดิ พระธรรมวนิ ยั ท�ำใหต้ อ้ งอาบัติ จึงเปน็ อยู่อยา่ งอดๆ อยากๆ จิตรกรรมลายคำ� การสืบทอดวธิ จี ารคัมภีร์ใบลานและศึกษาพระธรรมวินัย หีบธรรมลา้ นนา วัดพระธาตุชา้ งคำ� วรวิหาร อำ� เภอเมือง จงั หวัดน่าน 153
ปี พ.ศ.๒๔๔๖๑๑๙พระเจา้ น้องยาเธอกรมหลวงวชิรญาณวโรรส (สมเดจ็ พระ มหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจา้ ) ทรงประกาศ ใช้ร่างพระราชบญั ญตั ลิ ักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มผี ลบังคบั ใช้ ท่วั ราชอาณาจักร เพอื่ ปฏริ ูปการปกครององค์กรสงฆ์ให้เป็นแบบเเผนเดยี วกนั ภายใตก้ ารส่งั การและการก�ำกบั ดแู ลของมหาเถรสมาคม ซงึ่ เป็นองคก์ รสงฆท์ มี่ ี อ�ำนาจสูงสดุ จากสว่ นกลาง การปฏริ ปู ในครง้ั นท้ี รงจดั ระบบการศึกษานกั ธรรมข้นึ เม่อื พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนวิชาการทางพระพุทธศาสนาท่ีสอบวัดผลแบบ อัตนยั เรียกวา่ “องคน์ ักธรรม” แบ่งเป็น ๒ ระดับไดแ้ ก่๑๒๐ ๑. ระดบั สามญั ศึกษาธรรมวิภาค พุทธประวตั ิ และเรียงความแกก้ ระทู้ ธรรม ๒. ระดับวสิ ามญั ศึกษาการแปลอรรถกถา ธรรมบท และวินัยบญั ญัติ พ.ศ.๒๔๕๖ ทรงปรับปรงุ หลักสูตรเปน็ “นักธรรม” ศึกษาวิชาพุทธ ประวตั ิ วชิ าธรรมวิภาค วชิ าวินัยบัญญตั ิ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม และเพิ่ม หลกั ธรรมหมวดคิหปิ ฏิบตั ิเข้าไปในวิชาธรรมวภิ าค โดยใชภ้ าษาไทยกลางเปน็ สือ่ การเรียนการสอน ขยายการศึกษาออกเป็น ๓ ระดบั ประกอบด้วย ๑. นักธรรมชั้นตรี ส�ำหรับพระภิกษุสามเณรท่ีบวชยังไม่ถึง ๕ พรรษา ไดศ้ ึกษาเปน็ เบอ้ื งตน้ เรยี กวา่ นวกภมู ิ ๒. นกั ธรรมชนั้ โท สำ� หรบั พระภกิ ษสุ ามเณรทบ่ี วชเกนิ ๕ พรรษาแต่ยัง ไมถ่ งึ ๑๐ พรรษา และมพี น้ื ฐานความรู้บา้ งแล้ว ให้ศึกษากว้างขวางข้ึน เรียกวา่ มชั ฌิมภูมิ ๓. นักธรรมช้ันเอก ส�ำหรับพระภิกษุสามเณรท่ีบวชเกิน ๑๐ พรรษา ขึน้ ไป มพี นื้ ฐานความรู้ดีแลว้ ให้รู้จักศกึ ษา วเิ คราะห์ วพิ ากย์ วิจารณ์ หลกั ธรรมได้ เมอ่ื จบการศกึ ษาแลว้ สามารถเปน็ ผนู้ ำ� ในสงั ฆกรรม เปน็ พระอปุ ชั ฌายใ์ หก้ ารบรรพชา อุปสมบท และอบรมสั่งสอนผู้อ่ืนได้ เรียกวา่ เถรภูมิ ๑๑๙สมหมาย เปรมจติ ต.์ พระพุทธศาสนาในเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี: อดีตและแนวโน้มในอนาคต เอกสารประกอบการสอน ไทยศกึ ษา ๖. ภาควิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. ๒๕๓๙. หน้า ๔๕๐. ๑๒๐กสนรมากมาหรลศวางสแนผานกกธรระรทมร.วปงวรฒัะวนตั ธินรรักมธ.รร๒ม๕. ๕ธร๐ร.มหศนกึ า้ษปารชะน้ั วตัตรนิ ี ฉกั บธรับรปมร.บั ปรงุ ใหม่ทป่ี ระกาศใชป้ ัจจบุ ัน. กรงุ เทพฯ: 154
วชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม เป็นการฝกึ แต่งบทความธรรมะจากกระทู้ หรอื หวั ข้อธรรมทตี่ ง้ั ไว้ โดยอธิบายขยายความให้แจม่ แจ้ง ชัดเจน และไดอ้ รรถรส ด้วยรูปแบบและสำ� นวนภาษาแบบเทศนาโวหาร รูปแบบของการเขียนเรียงความ แก้กระทธู้ รรม ประกอบด้วย ๑. กระทู้ต้งั คือ พทุ ธศาสนสภุ าษิตที่ต้งั ไวเ้ ป็นหัวขอ้ ธรรมท้งั ภาษาบาลี และค�ำแปลภาษาไทย เรียกอีกอย่างวา่ สภุ าษติ บทต้งั เพ่ือให้ผ้เู ขยี นคดิ วเิ คราะห์ และตคี วามกระทธู้ รรมใหเ้ ขา้ ใจ เรยี กวา่ ตกี ระทใู้ หแ้ ตก แลว้ นำ� ไปอธบิ ายขยายความ ในย่อหนา้ ตอ่ มา ๒. การเกร่นิ น�ำ คือกล่าวนำ� การอธบิ ายขยายกระทธู้ รรม ๓. การอธบิ ายความกระทตู้ งั้ คอื การอธบิ ายขยายความพทุ ธศาสนสภุ าษติ ทต่ี ั้งไวใ้ หแ้ จ่มแจ้ง ชัดเจน สมเหตสุ มผล ดว้ ยกลวิธกี ารน�ำเสนอต่างๆ เชน่ การ เปรียบเทยี บ การยกอุทาหรณ์ การแทรกสภุ าษติ ค�ำคม เปน็ ตน้ ๔. กระทเู้ ชอื่ ม คือ การอา้ งอิงพุทธศาสนสภุ าษติ ทมี่ ีความหมายและอยู่ใน หมวดเดียวกันมาอธิบายประกอบ เรยี กว่า กระทู้เช่อื ม หรอื กระทรู้ ับ บางทีเรียก วา่ สภุ าษติ เช่ือม หรอื สุภาษติ รับ เป็นการฝกึ ทักษะในการเชอื่ มโยงความคิดให้ เปน็ ระบบ นกั ธรรมชน้ั ตรกี ำ� หนดใหน้ ำ� กระทธู้ รรมอธบิ ายเชอ่ื ม ๑ บท นกั ธรรมโท ๒ บท และนกั ธรรมเอก ๓ บท ๕. การอธิบายกระทู้เช่ือม คือ อธิบายขยายความพุทธศาสนสุภาษิตท่ี น�ำมาเชื่อมให้แจ่มแจ้งชัดเจนและสอดคล้องกับกระทู้ตั้งซึ่งเป็นแนวคิดหลัก เป็นการฝึกให้ผู้เขียนมีทักษะในการอธิบายขยายความให้พิสดาร ไม่ออกนอก ประเดน็ ๖. การสรปุ ความ คือ สรุปเน้ือหาทอ่ี ธิบายมาให้ส้ัน กระทัดรดั และได้ ใจความสำ� คญั ชใี้ หเ้ หน็ คณุ ประโยชน์ โนม้ นา้ วใหเ้ กดิ ศรทั ธา และนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ เป็นการฝึกใหผ้ ้เู ขยี นสรปุ แนวคิดรวบยอด การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมมีรูปแบบเหมือนการเขียนเรียงความ หรอื เขยี นบทความท่ัวไป ซึ่งประกอบด้วย คำ� นำ� เน้อื เรอ่ื ง และสรุป เพียงแตก่ าร เขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมเนน้ เทศนาโวหาร ดงั แผนผงั เปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง ดงั นี้ 155
ตารางเปรยี บเทียบโครงสรา้ งการเขียนเรียงความ (บทความ) และการเขยี นเรียงความแกก้ ระทู้ธรรม เม่อื สามารถแตง่ เรยี งความแกก้ ระทู้ธรรมไดช้ ำ� นาญ ก็สามารถแตง่ บท เทศนส์ ำ� หรับใชเ้ ทศน์แบบอา่ นตามหนังสอื ทแี่ ตง่ ได้ โดยมโี ครงสร้างบทเทศน์ดังนี้ ๑) ขึ้นต้นดว้ ยการกล่าวบทปณามคาถา เรยี กวา่ ตัง้ นะโม ๕ ชั้น แล้ว ยกพระบาลนี ิกเขปบทเป็นหวั ข้อเทศน์ ตามดว้ ยการเกรนิ่ นำ� หรืออารมั ภกถาเขา้ สูก่ ารอธิบายเนือ้ หา เรียกวา่ อุเทศ ๒) อธิบายขยายความเนอื้ หาหัวขอ้ เทศน์ให้แจม่ แจง้ เรียกว่า นเิ ทศ ๓) ตอนทา้ ยบทเทศน์ สรุปใจความส�ำคญั เรียกว่า ปฏินเิ ทศ และจบบท เทศนด์ ว้ ยสำ� นวนวา่ ...เอวํ กม็ ดี ้วยประการะฉะนี้ ดังแผนผงั โครงสรา้ งบทเทศน์ 156 ดังนี้
แผนผงั แสดงโครงสรา้ งบทเทศนข์ องพระสงฆไ์ ทยภาคกลาง 157
เมื่อสามารถแต่งบทเทศน์และเทศน์แบบอ่านตามหนังสือที่แต่งได้ ชำ� นาญ จนเข้าใจรปู แบบการเทศน์และควบคมุ สมาธิได้ดแี ลว้ ก็พัฒนามาสกู่ าร เทศนแ์ บบปากเปลา่ เรยี กวา่ การเทศนแ์ บบปฏิภาณโวหาร เปน็ การเทศน์ท่ีคิด แต่งบทเทศน์ไวใ้ นใจ โดยพดู แบบฉบั พลัน พูดไปด้วย คดิ ไปดว้ ย การเทศนแ์ บบ ปฏิภาณโวหารเช่นน้ี ใช้หลักการเดียวกันกบั การพูดในที่ชุมนมุ ชนซงึ่ ประกอบ ด้วยค�ำน�ำ เน้อื เร่อื ง และบทสรปุ เหมือนกัน เพียงแต่เน้นส�ำนวนเทศนาโวหาร สามารถน�ำชาดก นทิ านอทุ าหรณ์ เร่อื งเลา่ ตามประสบการณ์ หรอื บทกวอี ื่นที่ สอดคล้องกับธรรมะมาใช้อธิบายประกอบได้ ท�ำให้พระสงฆ์ล้านนามีอิสระใน การขบคดิ ตคี วาม วเิ คราะห์ วิจารณ์ และอธบิ ายหลักธรรมตามประสบการณ์ ไดอ้ ย่างแตกฉานและพสิ ดาร ซ่ึงแตกตา่ งจากการเทศนแ์ บบจารีตท่มี ขี ้อจำ� กดั ให้ เทศนต์ ามท่ีนกั ปราชญแ์ ตง่ ไว้เท่าน้ัน พระสงฆ์ล้านนาท่จี บการศึกษานักธรรมเช่นนีแ้ ลว้ ยอ่ มสามารถจดจำ� รปู แบบ สำ� นวนโวหาร และกลวิธีการนำ� เสนอ แลว้ พัฒนาตนเปน็ พระนักเทศนไ์ ด้ เปน็ อย่างดี ดงั เชน่ กรณีของพระนพสี ีพศิ าลคณุ (พระมหาค�ำปงิ คนธฺ สาโร) ซึ่ง เป็นพระสงฆ์ล้านนารุ่นแรกที่อุปสมบทซ้�ำในธรรมยุติกนิกายแล้วได้รับการศึกษา ตามหลกั สูตรนกั ธรรมและภาษาบาลที ี่กรุงเทพฯ กลับมาเชยี งใหม่ สามารถเทศน์ แบบอ่านตามหนงั สอื ทีเ่ เต่งและแบบปฏภิ าณโวหารไดเ้ ป็นอยา่ งดี จนมชี อื่ เสียง และเปน็ ที่เลอื่ มใสของเจา้ นายฝ่ายเหนอื ในสมัยน้ัน เจ้าคุณพระนพีสีพศิ าลคุณ (พระมหาคำ� ปิง คนฺธสาโร) 158 (ภาพประกอบจาก หนังสืออนสุ รณพ์ ระราชเพลิงศพ พระอมราภริ กั ขิต (มงคล เปมสโี ล) หนา้ ๕๐)
เจ้าคุณพระนพีสพี ศิ าลคณุ ๑๒๑เดมิ ช่ือว่า ค�ำปงิ บษุ ดาค�ำ ชาวบ้านลวงเหนือ ตำ� บลลวงเหนือ อำ� เภอดอยสะเกด็ จังหวดั เชยี งใหม่ บรรพชาสามเณรแบบนิกาย พน้ื เมอื งทว่ี ดั ศรมี งุ เมอื งซง่ึ เปน็ วดั ประจำ� หมบู่ า้ น แลว้ มาจำ� พรรษาทวี่ ดั แสนเมอื งมาหลวง (วัดหัวข่วง) ใกล้กับคุ้มหลวงของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่(ปัจจุบันเป็นท่ีตั้ง โรงเรยี นยพุ ราชวทิ ยาลยั ) แตก่ ารอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ ไมป่ รากฏหลกั ฐานวา่ อุปสมบทท่ีวัดใด ใครเปน็ พระอุปัชฌาย์ และพระคูส่ วด แต่ทช่ี ัดเจนคือบรรพชา และอุปสมบทในนิกายพื้นเมืองท่ีเชียงใหม่ก่อน แล้วไปอุปสมบทซ้�ำเป็นธรรม ยตุ กิ นกิ ายทกี่ รงุ เทพฯ ดงั ปรากฏหลกั ฐานลายพระหตั ถข์ องกรมหมนื่ วชริ ญาณวโรส (สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชโิ รญาณวโรรส) ทม่ี ถี งึ พระพรหมเทพา จารย์ เจา้ คณะเมืองตาก วา่ ๑๒๒ “...ดว้ ยพระครสู งั ฆบรคิ ตุ (คำ� ปงิ ) เปรยี ญตรี ชาวเมอื งนครเชยี งใหม่ และไดอ้ ปุ สมบททน่ี นั่ (เชยี งใหม)่ กรมหมน่ื สวสั ดวิ ตั นวศิ ษิ ฏ์ เมอ่ื ครงั้ ยงั เปน็ พระองคเ์ จา้ สวสั ดโิ สภณ และยงั ทรงผนวชอยู่ (พ.ศ.๒๔๓๒) ไดไ้ ปเมอื งนคร เชยี งใหม่ เธอไดต้ ามกรมหมนื่ สวสั ดลิ งมาอปุ สมบทซำ�้ เปน็ ธรรมยตุ ิ อยวู่ ดั ราชาธวิ าส เมือ่ กรมหมนื่ สวัสดิจะสึก เอามาฝากฉันไว้ท่วี ดั มกฏุ กษตั รยิ ์ได้ เรยี นพระปริยตั ิธรรมเขา้ สอบความรู้ในมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้ช้ันเปรยี ญ ตรีไดล้ ากลับข้นึ ไปเมือง(เชียงใหม)่ ตัง้ การส่งั สอนอยู่ที่นัน่ มคี นศรัทธา เลือ่ มใสข้ึนโดยล�ำดบั ...” ภายหลงั ไดเ้ ขา้ ถวายตวั เปน็ ศษิ ยข์ องพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ วชริ ญาณวโรส แห่งวดั มกฏุ ษัตริย์ กรุงเทพฯ เพ่อื ศกึ ษาเลา่ เรยี นท้ังแผนกธรรมและแผนกบาลี เน่ืองจากสมัยนั้นรัฐบาลกรุงเทพฯ เร่ิมมีนโยบายปฏิรูปการศึกษาท่ัวประเทศ จึงคัดเลือกพระภิกษุสามเณรจากหัวเมืองต่างๆ เข้ารับการศึกษาตามแผนใหม่ ที่กรุงเทพฯ เพ่ือเตรียมสร้างบุคลากรรองรับแผนด�ำเนินงานปฏิรูปการศึกษา ตาม “พระบรมราชโองการจัดการศึกษาหัวเมือง พ.ศ. ๒๔๔๑”และ “พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะการปกครองคณะสงฆ์พ.ศ.๒๔๔๕”ซงึ่ ในยคุ นนั้ พระภกิ ษุ ๑๒๑ตพำ�รบะคลพรูโรสะภสณิงหก์วอีว�ำฒั เภนอ.์ เพมรือะงนจพงั สีหพีวดัิศเาชลียคงุณใหมบ่ ๒ท๘คว-๓าม๑ในพหฤนษังภสาอื คมสม๒โ๕ภ๕ช๒พ.ระเชวยี หิ งาใหรหมล่ :วโงรวงพดั เิมจพด์นียนัห์ ทลพวงันวธร์.ว๒หิ ๕า๕ร๒. หน้า ๑๒๑-๑๕๒. ๑๒๒พพ.รศะ.มห๒า๕ส๑ม๔ณ. ศการสุงเน์ ทพเลฯม่ : ๑ เก่ยี วกับการพระศาสนา (ฉบบั ท่ี ๙๐) ลงวันที่ ๑ พฤศจกิ ายน ร.ศ. ๑๑๙ พ.ศ. ๒๔๔๓. ปี 159 มูลนิมหามกฏุ ราชวิทยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์. พมิ พเ์ น่อื งในมหาสมณานสุ รณ์ครบ ๕๐ วนั ส้ินพระชนม์สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. หนา้ ๓๒๑.
สามเณรถอื เปน็ กลมุ่ เปา้ หมายสำ� คญั ในปฏริ ปู การศกึ ษา เนอื่ งจากเปน็ ผทู้ ม่ี บี ทบาท ทางสังคมท้ังด้านการศาสนาและการศึกษา ในแต่ละหัวเมืองจึงมีการคัดเลือก พระภกิ ษสุ ามเณรเขา้ รบั การศกึ ษาแผนใหมท่ ก่ี รงุ เทพฯ เพอ่ื นำ� เอาความรแู้ ละวธิ กี าร มาพฒั นาการศึกษาในทอ้ งถนิ่ ภายหลงั เมอื่ จบนกั ธรรมและสอบเปรยี ญธรรม ๓ ประโยคได้ จงึ มนี ามใหมว่ า่ พระมหาค�ำปิง คนธฺ สาโร ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้รบั แต่งต้ังเป็นพระครฐู านานุกรม ของกรมหมื่นวชิรญาณวโรรสท่ี “พระครสู ังฆบรคิ ตุ ” จากนัน้ ได้กลบั มาเชียงใหม่ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๓๙ ตามพระบัญชาของกรมหมนื่ วชิรญาณวโรรส เพื่อจัดการศกึ ษา พระปริยตั ิธรรมแผนใหม่ และการศึกษาภาษาไทยกลาง ขึ้นทีว่ ดั เจดียห์ ลวง ชื่อว่า โรงเรียนพระเจดยี ์หลวง พร้อมกับวางรากฐานเผยแพร่ธรรมยุตกิ นกิ ายในล้านนา เป็นคร้ังแรก โดยได้รับค�ำแนะน�ำจากกรมหม่ืนวชิรญาณวโรรสโดยตลอด แสดงให้เห็นไดว้ ่า พระครสู งั ฆบริคุตได้รบั ความไวว้ างใจเป็นอย่างมาก นอกจาก ได้รับแต่งต้ังเป็นพระครูฐานานุกรมแล้วยังได้เป็นพระอุปัชฌาย์ในฝ่ายธรรม ยตุ กิ นกิ ายภาคเหนอื ด้วย ดังความในลายพระหตั ถท์ ีม่ ถี งึ พระครสู งั ฆบริคตุ ว่า๑๒๓ “...ด้วยเธอได้ลงมาอุปสมบทเป็นธรรมยุตและศึกษาพระปริยัติ ธรรมในกรุงเทพฯ และได้สอบความรู้ได้ช้ันเปรียญตรี กลับขึ้นไปเมือง นครเชียงใหม่ ส่ังสอนประชาชนที่นั่น ให้ได้ศรัทธาเล่ือมใสจนมีผู้รับ อุปสมบทในส�ำนักของเธอ ฉันเห็นว่า เธอมีความรู้ความสามารถและมี พรรษาครบก�ำหนดสมควรเปน็ อุปชั ฌาย์ จึงอนญุ าตใหเ้ ปน็ อปุ ัชฌาย.์ ..” ในระหวา่ งทจ่ี ดั การศกึ ษาเเผนใหมน่ ไี้ ดพ้ ำ� นกั อยวู่ ดั เจดยี ห์ ลวง วดั หอธรรม และวัดเชียงมั่นโดยล�ำดับ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เลื่อนสมณศักด์ิเป็นพระครู ฐานานกุ รมของกรมหมน่ื วชิรญาณวโรรส ที่“พระครพู ศิ าลสรภัญ” และในพ.ศ. ๒๔๔๘ ไดร้ บั พระมหากรุณาธคิ ณุ จากพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๕ โปรดให้เลือ่ นสมณศักดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะท่ี “พระนพีสีพิศาลคณุ ” ซงึ่ เปน็ สมณศักด์ิสดุ ท้าย ๑๒๓พระมหาสมณศาส์น เล่ม ๑ เกีย่ วกับการพระศาสนา (ฉบับท่ี ๙๑) ลงวนั ท่ี ๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๔๓. อา้ งแล้ว. หน้า ๓๒๒. 160
นอกจากเจา้ คณุ พระนพสี พี ศิ าลคณุ จะแตกฉานในวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา จแัลบ้วใจยังขสณามะทาร่ีพถ�ำเทนศักนอ์แยบู่วัดบเเจทดศียน์หาโลววห๑งา๒๔รมดีอ้วุบยสาส�ำเกนชยี ่ืองภอาินษตาไ๊ะทคย่อกลเปาง็นอผยู้ม่างีชไ่ือพเเสรียาะง เป็นท่ีรู้จักโดยทั่วไป มีความสนใจในพระพุทธศาสนา เมื่อได้ฟังเทศน์จาก เจา้ คณุ พระนพสี พี ศิ าลคณุ แลว้ เกดิ ความศรทั ธาจงึ อาราธนามาจำ� พรรษาทวี่ ดั หอธรรม ภายหลังพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ท่ี ๘ และ เจ้าแม่ทพิ ยเนตร พระชายา ได้ฟังการเทศนแ์ ล้วเกิดความศรัทธา จงึ อาราธนา มาจ�ำพรรษาท่ีวดั เชียงมั่นและสร้างกฏุ ถิ วาย เพือ่ ความสะดวกในการฟังเทศน์ ในเวลานั้น เจ้าคุณพระนพีสีพิศาลคุณ มีบทบาทในการเทศน์ด้วย ส�ำเนียงภาษาไทยกลางตามแบบอย่างพระสงฆ์ไทยกลาง จนได้รับการอุปถัมภ์ จากเจ้านายฝ่ายเหนือและชนชั้นน�ำในเชียงใหม่ เมื่อเจ้านายจากส่วนกลาง มาปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ในเชยี งใหม่ มกั นมิ นตใ์ หไ้ ปเทศนอ์ ยเู่ สมอ เชน่ การแสดงพระธรรม เทศนาถวายสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟ้ามหาวชริ าวธุ สยามมกุฏราชกุมาร (รัชกาลท่ี ๖) เมอ่ื วันท่ี ๑ มกราคม ๒๔๔๘ ในวนั คล้ายวันพระราชสมภพ ณ จวน ท่ีประทับในนครเชยี งใหม่ ดังความปรากฏในหนงั สอื พระราชนพิ นธล์ ลิ ติ พายพั และพระราชบันทึกรายวนั สว่ นพระองค์ว่า๑๒๕ “...อนึ่งในบา่ ยวันน้ี พระนพีสีพศิ าลคุณ สุนทรพรต เจ้าคณะธรรมยุ ตกิ นกิ ายถวายธรรมเทศนามงคลคาถาที่ ๙ มเี นอื้ ความธรรมตะโปพรหมจรยิ ะ อรยิ ะสัจจานทัสนน์ พิ พานสัจฉิกิริยา สน่ี น้ี าเปน็ สง่ิ มงิ่ มงคลอดุ มสรรพ์...” การทเ่ี จา้ นายฝา่ ยเหนอื และชนช้นั น�ำในเชียงใหม่ มคี วามชน่ื ชอบต่อการ เทศนร์ ปู แบบใหม่ เพราะคล้อยตามความนยิ มของเจ้านายฝ่ายใต้ (กรุงเทพฯ) และเป็นวฒั นธรรมทแี่ ปลกใหม่ ภายหลงั เม่อื คณะสงฆ์สว่ นกลาง ได้รวบอำ� นาจ การบริหารจัดการคณะสงฆ์ล้านนาอยา่ งเบด็ เสร็จ ได้แต่งตงั้ พระสงฆล์ ้านนาให้ ด�ำรงสมณศักดิ์ และต�ำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาส (เจา้ อธิการ) เจ้าคณะตำ� บล (เจา้ อธกิ ารหมวด) เจา้ คณะอ�ำเภอ (เจ้าคณะแขวง) เจา้ คณะจงั หวดั (เจา้ คณะเมอื ง)เจา้ คณะภาค(เจา้ คณะมณฑล)ทำ� ใหพ้ ระสงฆล์ า้ นนา ๑๒๔พระวนิ ัยโกศล (จนั ทร์ กุสโล). คณะธรรมยุตกิ นิกายภาคเหนือ บทความในหนังสอื นานาสาระ อนสุ รณง์ านพระราชทาน เพลิงศพ 161 พระธรรมดลิ ก (ขนั ต์ิ ขนตฺ โิ ก) ณ เมรชุ วั่ คราววดั สวนดอก อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งใหม่ ๔ มกราคม ๒๕๓๕. เชียงใหม่: ส.ทรพั ยก์ ารพมิ พ์. ๒๕๓๕. หน้า ๔๘. ๑๒๕พระครูโสภณกววี ัฒน.์ พระนพีสีพิศาลคณุ บทความในหนงั สือ สมโภชพระวหิ ารหลวงวัดเจดียห์ ลวงวรวหิ าร ตำ� บลพระสิงห์ อ�ำเภอเมือง จงั หวดั เชยี งใหม่ ๒๘-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒. อา้ งแลว้ . หน้า ๑๔๕.
โดยเฉพาะพระสงฆ์ช้ันผู้ใหญ่ท่ีอยู่ในเขตเมือง เร่ิมเทศน์ตามแบบอย่างพระสงฆ์ ไทยภาคกลาง ทั้งการเทศน์ตามหนังสือท่ีแต่งไว้ และการเทศน์แบบปฏิภาณ โวหารด้วยสำ� เนยี งภาษาไทยกลาง ให้แก่ขา้ ราชการและชาวไทยจากกรงุ เทพฯ ที่ ทำ� งานอยใู่ นเมืองเชียงใหมฟ่ งั จนรปู แบบการเทศนจ์ ากไทยภาคกลางแพร่หลาย และเปน็ ทย่ี อมรบั มากขน้ึ สำ� นกั เรยี นใหญๆ่ โดยเฉพาะสำ� นกั เรยี นเจา้ คณะจงั หวดั และวดั ทีอ่ ยู่ในตัวเมือง ไดจ้ ัดให้มีการฝึกเทศนท์ ้ังแบบอา่ นตามหนังสือท่ีแต่งและ แบบปฏภิ าณโวหารดว้ ยสำ� เนยี งภาษาไทยกลางในขณะเดยี วกนั คมั ภรี ธ์ รรมใบลาน ท่พี ิมพด์ ้วยอักษรไทยกลาง ส�ำนวนไทยกลาง แต่งโดยพระสงฆไ์ ทยกลาง ก็เรม่ิ จำ� หนา่ ยตามรา้ นสงั ฆภณั ฑแ์ ละแพรห่ ลายตามวดั ตา่ งๆในลา้ นนาเชน่ วดั นำ�้ บอ่ หลวง ตำ� บลยหุ วา่ อำ� เภอสนั ปา่ ตอง จงั หวดั เชยี งใหม่ มคี มั ภรี ธ์ รรมใบลานของไทยภาคกลาง จ�ำนวนหลายเร่อื ง ดังตวั อย่างดังน้ี ๑๒๖ 162 ๑๒๖สำ� รวจเมอ่ื วันท่ี ๑ สงิ หาคม ๒๕๕๖.
คมั ภีร์ธรรมใบลานของไทยภาคกลาง พมิ พ์ด้วยอกั ษรไทยกลาง ส�ำนวนไทยกลาง วดั นำ�้ บ่อหลวง ตำ� บลยหุ วา่ อำ� เภอสนั ป่าตอง จงั หวดั เชยี งใหม่ นอกจากน้นั หลายวดั ในเมอื งเชยี งใหม่ยังได้จดั ทำ� คูม่ อื ระเบยี บปฏิบตั ิ ในการเทศน์แบบพระสงฆ์ไทยภาคกลางเผยแพร่ เพ่ือใช้ปฏิบัติเป็นแบบแผน เดียวกนั เช่น คู่มอื แนะแนวการเทศน์คู่ โดยพระครูอนุสรณศ์ ลี ขันธ์ อาศรม ทรงธรรม วัดหมื่นลา้ น, บันทึกเทศนา ของพระวิสทุ ธิญาณมุนี วัดมหาพฤฒาราม พระนคร พ.ศ. ๒๔๙๔ พมิ พเ์ ปน็ อนสุ รณท์ ำ� บญุ อายคุ รบ ๘๖ ปี พระครวู มิ ลวรเวทย์ (บญุ มี ชยวฑุ โฺ ฒ) วัดทา่ สะต๋อย อำ� เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่, ระเบียบปฏิบัติ การแสดงพระธรรมเทศนาในงานศพ ในหนังสือระเบียบปฏิบัติของพระสงฆ์ พิมพเ์ ป็นอนุสรณ์งานพระราชเพลิงศพ พระศรธี รรมรตั นมนุ ี (ประเสริฐ ธมมฺ รโต) ณ เมรชุ ั่วคราววดั พระสิงห์ อ�ำเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่ เป็นต้น เมอื่ ศกึ ษาแนวพระดำ� รใิ นการปฏริ ปู องคก์ รสงฆข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรสที่ส่งผลต่อพัฒนาการเทศน์ในล้านนา จะเห็นได้ว่า ได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในอดีต และแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๔ พระราชบดิ าซง่ึ เคยผนวชเปน็ พระภกิ ษวุ ชริ ญาณ ทรงมบี ทบาทสำ� คญั ในการปฏิรูปองค์กรสงฆ์ จนสามารถจัดต้ังคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายได้ส�ำเร็จ แล้วพัฒนาการเทศน์ของพระสงฆ์ไทยภาคกลางจากเดิมท่ีเทศน์แบบอ่านตาม คมั ภีรใ์ บลานมาสู่การเทศนแ์ บบปฏิภาณโวหารหรือเทศน์แบบปากเปลา่ จารีตการเทศน์ของคณะสงฆ์ไทยภาคกลาง เดิมใช้รูปแบบการน่ัง บนธรรมาสนแ์ ลว้ อา่ นตามคมั ภรี ใ์ บลานทน่ี กั ปราชญไ์ ดร้ จนาไว้ เรยี กวา่ สดู ธรรม ซงึ่ เป็นรูปแบบการเทศนท์ เี่ ป็นพิธีการและมีมาตัง้ แตส่ มยั สุโขทยั ดงั ความปรากฏใน ศลิ าจารึกพ่อขนุ รามคำ� แหง แห่งเมืองสุโขทัย หลกั ที่ ๑ ดา้ นที่ ๓ ว่า๑๒๗ ๑๒๗ส�ำนักหอสมดุ แห่งชาติ. ปหรนะ้ามว๓ล๑ข-อ้๓ม๒ูล. เกย่ี วกบั จารกึ พอ่ ขนุ รามค�ำแหง. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนกั หอสมุดแหง่ ชาติ กรมศิลปากร. ๒๕๔๗. 163
สนมุโห้ี ขวาทันเถเยั ดรนือข้ี น“นึ้ ป.ดน.ล.บั๑่งั ูก๑เ๓๒หไ๐เม๑นดต้ ๔อืือาขนลดโนศอา้ีไกนกด๑แห๒ส้ ๘ปินิบปดสสมี วูดีเ่ะขนั ธโ๑้ารร๓งรว๑จม๑นังึ่ ๓ใเพแ๔หดก่อช้อื อ่ข่านนุุบงเฟตราามส็นั ม๑กข๓คดเ๒ฝดำ�๑างู๒แอื นท๙หนห่วงบนิย้าจงเ�ำแจตศป้า้ังีลเดหม..วว.อื ”ัน่าง๑งศ๓ก๓รฝลสีูงาปชั งชู่คไนมรูต้าเลถาลยัร ภายหลังสภาพบ้านเมืองในยคุ กรุงสุโขทัย กรุงศรอี ยุธยา กรงุ ธนบรุ ี มี เหตกุ ารณท์ างการเมอื งการปกครองทสี่ ง่ ผลตอ่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของพระพทุ ธศาสนา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คัมภีร์ใบลานบางส่วนถูกท�ำลายและสูญไป ในระหว่างสงคราม ท�ำให้เกิดความล�ำบากในการสืบทอดพระธรรมค�ำสอน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลท่ี ๑ ทรงสนพระทัยต่อความ เจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา จึงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ หลงั จากเสวยพระกระยาหารค่ำ� เสร็จแลว้ มกั เสด็จไปสนทนาธรรม กบั พระสงฆผ์ ใู้ หญเ่ ปน็ ประจำ� เพอื่ กระตนุ้ ใหพ้ ระสงฆเ์ อาใจใสต่ อ่ การศกึ ษาพระไตรปฎิ ก ในส่วนของการเทศน์น้ัน หากพระสงฆ์รูปใดมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎกหรือ มนีำ�คหวนาาม้ ชสอื่ าวมา่ ามรหถ๑ใา๓น๕ดกงั าเชรน่เทสศมนเด์จจ็ะพไดระ้รพับฒุพารจะาบรรยม์ (รโตาชพูปรฺ ถหัมมฺ รภสํ ์แ)ี ลวะดั มรีะนฆางัมโเฆรสียติ กาขราานม เมอ่ื ครง้ั ทเ่ี ปน็ สามเณรมคี วามรอบรใู้ นพระไตรปฎิ กและเทศนไ์ ดด้ ี จงึ เปน็ ทโี่ ปรดปราน ทรงให้ความอปุ ถมั ภ์แก่สามเณรโตจนไดอ้ ุปสมบทเปน็ นาคหลวง ต้งั แตน่ ั้นมาก็มี นามเรยี กขานว่า มหาโต หรือ พระมหาโต ชาวไทยโดยทั่วไป ต่างกร็ ูจ้ ักเกยี รติคุณ และเคยเหน็ ภาพที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ นัง่ บนธรรมาสน์ถือคัมภีรธ์ รรมส�ำหรับ เทศน์ในโอกาสต่างๆ เป็นพระมหาเถระท่ีมีอายุยืนยาวและมีความใกล้ชิดกับ พระมหากษัตรยิ ์ ๕ รัชกาล หรอื ๕ แผ่นดิน นอกจากเทศนเ์ ก่งแล้ว ยังมี วิชาอาคมขลังเปน็ ท่เี ลอ่ื งลือในยคุ นน้ั อีกดว้ ย ๑๒๘มหาศักราชตรงกบั พุทธศกั ราช ๑๘๓๕. ๑๒๙หมายถึง แท่นสำ� หรบั ใหพ้ ระสงฆน์ ง่ั เทศนธ์ รรม. ๑๓๐วันส้นิ เดือน วันแรม ๑๔ คำ�่ หรอื ๑๕ ค่�ำ. ๑๓๑วนั ข้นึ ๘ ค่ำ� . ๑๓๒วนั เพญ็ ขนึ้ ๑๕ คำ่� . ๑๓๓วันแรม ๘ คำ�่ . ๑๓๔สวดธรรม หมายถึง การเทศนธ์ รรม. 164 ๑๓๕สริ วิ ฒั น์ คำ� วนั สา. สงฆไ์ ทยใน ๒๐๐ ปี เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: ศรอี นนั ต.์ ๒๕๒๔. หน้า ๖๒.
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺ หมฺ รสํ )ี วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร (ภาพประกอบจาก หนงั สือประชมุ ภาพประวตั ศิ าสตร์ แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั หน้า ๒๑๐) ตอ่ มารชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั รชั กาลท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) ทรงโปรดให้มีการซอ่ มแซมพระไตรปฎิ กบางสว่ นที่สบื ทอดจาก การสังคายนาในสมัยรชั กาลท่ี ๑ ทีส่ ูญหายไป ในรัชสมัยนก้ี ารเทศน์มหาชาต-ิ เวสสนั ดรชาดกเป็นท่นี ยิ มแพรห่ ลาย พระสงฆท์ ม่ี คี วามสามารถในการเทศน์ยงั มี นามเรียกขานว่า พระมหา อยู่เหมอื นเดมิ ภายหลังเมื่อมีการส่งเสริมการศกึ ษา ภาษาบาลี คำ� วา่ มหา ไดก้ ลายเปน็ นามเรยี กขานสมณศกั ดสิ์ ำ� หรบั พระสงฆท์ สี่ อบ บาลีได้ตั้งแต่ประโยค ๓ ขึ้นไป โดยไม่ใช้เรียกขานพระสงฆ์ที่มีความสามารถ ในการเทศนเ์ หมือนในอดีตอีก ต่อมาในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจ้าอยู่ รชั กาลท่ี ๓๑๓๖(พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) การเทศนข์ องพระสงฆ์ไทยไดพ้ ัฒนาขึ้น เมือ่ ทรงโปรดใหม้ ี การสร้างพระไตรปิฎกจำ� นวนมาก และให้แปลพระไตรปิฎกเปน็ ภาษาไทยเพอ่ื ให้ อา่ นเข้าใจง่าย ทรงวางฎีกาสำ� หรับพระสงฆ์ทีจ่ ะถวายพระธรรมเทศนาในแตล่ ะ โอกาสให้ศึกษาพระไตรปฎิ กอย่างแตกฉาน แล้วแปลหลักธรรมแต่ละขอ้ แตง่ เปน็ ส�ำนวนเทศน์ถวายเฉพาะเร่ืองไป ท�ำให้พระสงฆ์แต่ละรูปต่างก็ขวนขวายศึกษา คน้ ควา้ พระไตรปฎิ กอยา่ งจรงิ จงั แลว้ นำ� มาแตง่ เปน็ สำ� นวนเทศนด์ ว้ ยประสบการณ์ โดยเนน้ เนอื้ หาสาระธรรม แตย่ งั คงรปู แบบเดมิ คอื แตง่ เปน็ สำ� นวนเทศนจ์ ารลงใบลาน แล้วอ่านถวาย ดังน้ันส�ำนวนภาษาในบทเทศน์จึงมีความประณีตวิจิตรบรรจง เป็นค�ำราชาศพั ท์และเป็นภาษาสภุ าพ เพราะผา่ นการเรียบเรยี งและตรวจสอบ ๑๓๖เรือ่ งเดยี วกนั . หนา้ ๑๐๔. 165
ท้ังเนื้อหาและส�ำนวนโวหารมาเป็นอย่างดีก่อนท่ีจะเทศนาถวายพระเจ้าเเผ่นดิน ดงั เช่น สำ� นวนบทเทศน์ถวายหน้าพระที่นงั่ ว่า “..รบั พระราชทานถวายวสิ ัชนา พระธรรมเทศนา...” หมายถงึ ขอพระราชทานวโรกาสแสดงธรรมถวาย ภายหลัง ได้มีการน�ำบทเทศนไ์ ปเทศนใ์ ห้แก่ประชาชนท่ัวไปฟงั จึงเปลี่ยนค�ำราชาศัพท์เป็น สำ� นวนสภุ าพชนวา่ “...รบั ประทานแสดงพระธรรมเทศนา...๑”๓๗ซงึ่ หมายถงึ ขอโอกาส ทจี่ ะเทศน์ใหฟ้ งั การแตง่ บทเทศนาธรรมของพระสงฆไ์ ทย ถวายในรัชกาลที่ ๓ น้ี จงึ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ใหพ้ ระสงฆไ์ ทยแตง่ บทเทศนส์ ำ� หรบั เทศนแ์ บบอา่ นตามหนงั สอื ทแ่ี ต่งและใชเ้ ปน็ แบบอย่างสืบมาจนถงึ ปจั จุบัน นอกจากจะใชค้ ำ� ว่า พระมหา เรียกขานพระสงฆ์ทมี่ คี วามสามารถในการ เทศนแ์ ลว้ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั โปรดใหใ้ ชค้ ำ� วา่ พระธรรมกถกึ เเรอยีกกในขราชันกพารละนนมี้ กั ีเ๔ทศรนปู ๑เ์ ๓ป๘ปน็ รคะรกง้ั อแบรกดดว้ ยว้ ย พระสงฆท์ ไ่ี ดร้ บั ยกยอ่ งเปน็ พระธรรมกถกึ พระมหาเจมิ วดั พระเชตพุ น พระมหากถกึ วดั พระเชตุพน พระมหาจ่ี (สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์) วดั ประยุรวงศาวาส และ พระมหาโต(สมเดจ็ พระพฒุ าจารยโ์ ต พรฺ หมฺ รํสี) วดั ระฆงั โฆสิตาราม ต่อมา เริ่มมกี ารเทศนแ์ บบปฏภิ าณโวหารเป็นครงั้ แรก เรยี กวา่ การพูด ธรรมะแบบปากเปล่า หรอื แบบปาฐกถาธรรม เมอ่ื เจ้าฟา้ มงกุฎ (พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔) ทรงออกผนวชเป็นพระภกิ ษวุ ชิรญาณ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๖๗ ทรงรอบรพู้ ระไตรปฎิ กและภาษาบาลอี ยา่ งแตกฉาน ทรงตงั้ คณะสงฆ์ ธรรมยตุ กิ นกิ ายขนึ้ เพอ่ื วางระเบยี บปฏบิ ตั คิ ณะสงฆแ์ บบใหมต่ ามอยา่ งรามญั นกิ าย ในชว่ งทพี่ ระภกิ ษวุ ชริ ญาณผนวชน้ี ชาวตะวนั ตกไดเ้ เผอ่ ทิ ธพิ ลเขา้ มาในอาณาจกั รสยาม โดยน�ำวทิ ยาการสมยั ใหม่และครสิ ตศาสนาเขา้ มาเผยแผด่ ว้ ย พระภิกษวุ ชิรญาณ ทรงสนพระทัยในภาษาและวิทยาการสมัยใหม่จากชาติตะวันตก ทรงติดต่อกับ บรรดามชิ ชนั นารแี ละกลมุ่ พอ่ คา้ ทงั้ สว่ นตวั และจดหมาย โดยเฉพาะเมอ่ื ครงั้ ประทบั อยู่ วดั สมอราย (วัดราชาธวิ าส) ทรงศกึ ษาภาษาอังกฤษและวทิ ยาการสมยั ใหม่กับ สงั ฆราชปาลเลกวั ซ์ มชิ ชันนารีชาวฝรั่งเศส๑๓๙ประจำ� โบสถ์คอนเซ็ปชัญซึ่งตั้งอยู่ เหนอื วดั สมอราย ทำ� ใหพ้ ระองคม์ คี วามชำ� นาญในศาสตรต์ า่ งๆ กลา่ วกนั วา่ ทรงเปน็ ๑๓๗เร่อื งเดียวกัน. หน้า ๑๐๘-๑๑๐. ๑๓๘นริ าลัย. ค่มู ือพระนักเทศน์ วิธีการเทศนแ์ ละเทคนิคการพดู -การสอนธรรมะ นักปาฐกถาธรรม นักพดู นกั สอน นกั บรรยายธรรม. กรุงเทพฯ: ธรรมสภา. มปพ. หนา้ ๑๐๔ 166 ๑๓๙กรมศิลปากร. ประชมุ ภาพประวตั ิศาสตรแ์ ผน่ ดินพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว. กรงุ เทพมหานคร: กรมศิลปากร. ๒๕๔๘. หน้า ๑๖๕.
กษัตริย์เอเชียพระองค์แรกท่ีสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างแตกฉาน สามารถสนทนาแลกเปลีย่ นความรดู้ า้ นต่างๆ กบั ชาวตะวันตกไดเ้ ป็นอยา่ งดี การที่พระภิกษุวชิรญาณมีโอกาสสนทนาแลกเปล่ียนความรู้และศึกษา ทัศนะทางศาสนาเชงิ เปรยี บเทียบกับมชิ ชนั นารีอยา่ งสม่�ำเสมอ จงึ ทำ� ใหม้ องเห็น รูปแบบการเผยแผ่คริสตศาสนาที่เน้นการพูดปากเปล่าด้วยภาษาท่ีเข้าใจง่ายและ ไมม่ ีพธิ กี ารมากนัก แตกตา่ งกบั การเทศน์ของพระสงฆ์ไทยท่นี ิยมเทศนด์ ้วยการ อ่านตามคัมภีร์ใบลานหรืออ่านหนังสือด้วยท�ำนองขับขานแบบลมพัดชายเขา ภาษาส่วนใหญ่เน้นภาษาบาลีเปน็ หลกั ไมส่ ามารถสอดแทรกแนวคิดและเรือ่ ง ราวท่ีเป็นปจั จุบนั ในบทเทศนไ์ ด้ ท�ำใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกง่วง เข้าใจยาก และไมส่ นใจฟงั พระภิกษวุ ชริ ญาณ๑๔๐ จงึ พัฒนารูปแบบการเทศนข์ องพระสงฆไ์ ทยใหม่ โดยเน้น การพูดปากเปลา่ ด้วยภาษาทเ่ี ข้าใจง่าย ไม่เปน็ พิธกี าร เรยี กว่า การพดู ธรรมะ บกาารลปี๑๔า๑เฐมก่ือถพารธะรภริกมษหวุ รชอื ริ ญธรารณมทวรจิ งาปราณฐก์ ซถ่งึ าเปธร็นรกมาตราเทมศสถนา์ดน้วทยภี่ตา่างษๆาไมทกั ยนแำ� ทเรนือ่ ภงารษาวา ทีท่ รงประสบมาประกอบการปาฐกถา ทำ� ให้ผู้ฟังสนใจพากันมาฟงั พระภกิ ษเุ จา้ ฟ้าแสดงธรรมวิจารณ์อยา่ งเนอื งแน่น อาจกล่าวได้ว่า การเทศนร์ ูปแบบใหมท่ ีท่ รง พฒั นาขน้ึ นน้ั เปน็ รปู แบบการเผยแผเ่ ชงิ รกุ มงุ่ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจในพทุ ธศาสนา มากกว่าท่ีจะต้ังรับแล้วเทศน์ด้วยภาษาบาลี เพ่ือสร้างความขลังศักดิ์สิทธิ์และ สรา้ งศรทั ธาแตเ่ พียงอย่างเดียว การเทศน์รูปแบบใหม่นไ้ี ดร้ บั อิทธิพลมาจากรปู แบบการเผยแผ่คริสตศาสนาเชงิ รุกของมิชชันนารีที่ยืนพดู ดว้ ยปากเปลา่ แต่อาจ มนี ยั สำ� คญั คอื การแยง่ ชงิ ศาสนกิ ชนระหวา่ งพทุ ธศาสนากบั ครสิ ตศาสนาดว้ ยกไ็ ด้ วัดที่มชี ่อื เสียงในการเทศน์ดว้ ยปากเปล่าหรอื ส�ำนกั พดู ธรรมะ ในยุคนนั้ เปน็ วดั ทสี่ ังกดั ธรรมยุติกนิกายไดแ้ ก่ วดั นามบัญญัติ หรือ วัดมกฏุ กษตั รยิ ์ เป็น วัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้ึนอีกวัดหนึ่ง ได้ฝึกสอน พระสงฆธ์ รรมยุตกิ นิกายใหเ้ ทศน์แบบปากเปล่าจนมชี อ่ื เสยี ง ดังปรากฏหลกั ฐาน ทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสซงึ่ ผนวชในธรรมยตุ กิ นกิ าย ณ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม แล้วจ�ำพรรษา ณ วัดบวรนเิ วศวิหาร ภายหลังย้ายมา จำ� พรรษา ณ วัดมกุฏกษัตรยิ ์ ทรงเล่าว่าไดร้ ับการศกึ ษาด้านพระพทุ ธศาสนา ๑๔๐ทองพรรณ ราชภักด์.ิ วเิ คราะห์ธรรมยตุ ิ บทความใน สงฆไ์ ทยใน ๒๐๐ ปี เล่ม ๑. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าบรรณาคาร. 167 ๒๕๒๔. หนา้ ๓๐๙. ๑๔๑กรมศลิ ปากร. ประชมุ ภาพประวัตศิ าสตร์แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว. อ้างแล้ว. หนา้ ๙.
อย่างแตกฉาน โดยเฉพาะการเทศน์แบบเทศนาโวหารหรือแบบปฏิภาณโวหาร จากสำ� นกั เรยี นวดั มกฏุ กษตั รยิ ด์ ว้ ยเชน่ กนั ดงั ความทท่ี รงสรปุ ผลจากการทปี่ ระทบั อย่วู ัดมกฏุ กษตั รยิ ต์ อนหน่ึงว่า๑๔๒ “...๑. ได้ร้คู วามเป็นไปของคณะธรรมยตุ กิ ว้างขวางออกไป ๒. ไดร้ บั อปุ ถัมภข์ องเจ้าคุณอาจารย์เปน็ ทางตง้ั ตัวเปน็ หลักต่อไป ข้างหน้า ๓. ไดร้ ับความรมู้ คธภาษาดีข้ึน ๔. ได้ช่องเพ่อื จะเข้าสนิทกบั ส�ำนกั วดั โสมนัสวิหาร ๕. บนั เทาความตนื่ เตน้ ในธรรมลงได้ หรือพูดอกี โวหารหนึ่งว่า ทำ� คน ให้เข้าทางทีค่ วรจะเปน็ ได้ อน่งึ ท่ี วัดมกุฏกษัตริย์มีสำ� นักพูดธรรมะ พระจันโทปมคณุ เปน็ เจ้า ส�ำนักได้รนู้ สิ ยั ของพวกน้วี ่าเปน็ อย่างไร ถ้าเราจกั ไม่ไดไ้ ปอยู่วดั มกฏุ กษตั ริยแ์ ลว้ ไซร้ เราจกั บกพร่องมากทีเดยี ว หากจะข้นึ เป็นหวั หนา้ ของคณะ เปน็ วาสนาของ เราท่นี ้อมความเลอื่ มใสไปในเจ้าคณุ อาจารย์ แลว้ แลไปอยูท่ ี่วดั มกุฏกษัตรยิ .์ ..” พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั มพี ระบรมราชาธบิ ายเกย่ี วกบั การใชค้ ำ� ศพั ท์ สทั ธรรมเทศนา และ พระธรรมเทศนา วา่ ควรใช้ให้เหมาะสม กลา่ วคอื สทั ธรรมเทศนา ควรใชเ้ ฉพาะการเทศนาทว่ี า่ ดว้ ยเรอื่ งพระนพิ พานเทา่ นน้ั สว่ นการเทศนาท่วี า่ ด้วยเร่อื งอน่ื ๆ มีนทิ านเปน็ ต้น ใหใ้ ช้คำ� วา่ พระธรรมเทศนา แทน ดงั ความปรากฏในพระบรมราชาธบิ ายในเรอื่ งว่าดว้ ยศพั ท์สัทธรรมเทศนา และค�ำทลู เกลา้ ฯ ถวาย ดงั น้ี๑๔๓ ๑๔๒สมุ น อมรวิวัฒนแ์ ละคณะ. ปรีชาญาณสยาม: บทวิเคราะหด์ ้านการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๑.หนา้ ๑๗๔. ๑๔๓เร่อื งเดียวกนั . หนา้ ๒๕. 168
“...เร่อื ง วา่ ดว้ ยศพั ท์ สทั ธรรมเทศนา และคำ� ทลู เกลา้ ฯ ถวาย อนึง่ จะกราบทูลพระกรณุ าว่า พระสทั ธรรมเทศนา ขอพระราชทาน ทูลเกล้าทลู กระหมอ่ มถวายก็ดี คำ� เหล่านีน้ ้นั ใชไ้ ดแ้ ต่ในท่อี ันควรจะใชส้ ัทธรรม เทศนาเท่านน้ั ใช้ได้แกเ่ ทศนาวา่ ด้วยพระนพิ พานอยา่ งเดียว เทศนาทเ่ี ป็นนิทาน ต่างๆ จะว่าพระสัทธรรมเทศนาไมไ่ ด้ ใหก้ ราบทูลวา่ พระธรรมเทศนาเทา่ นน้ั อยา่ ให้ว่า พระสทั ธรรมเทศนา อนึ่งค�ำท่วี า่ ขอพระราชทานทลู เกล้าฯ ถวายนัน้ จะใช้กราบทูลถวาย พระราชกศุ ลไม่ได้ เพราะกศุ ลเปน็ ของไมม่ ีตัว ใหก้ ราบทลู ว่า ขอพระราชทาน ถวายพระราชกุศล ทวี่ า่ ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายน้นั ใชไ้ ดแ้ ตส่ ัตว์ เดียรจั ฉาน และของตา่ งๆ แต่มนุษยจ์ ะวา่ ทูลเกลา้ ฯ ถวายไม่ได้...” นอกจากพระภิกษุวชิรญาณจะปฏิรูปการเทศน์ใหม่แล้ว ยังได้ปฏิรูป องคก์ รสงฆด์ า้ นอนื่ ๆ เชน่ จดั ท�ำบทสวดมนต์แปล จดั ตัง้ โรงเรียนสอนภาษาบาลี ขนึ้ ทวี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร สรา้ งตำ� ราเรยี นทางพทุ ธศาสนา วางระเบยี บการศกึ ษาสงฆ์ ระเบียบการท�ำวัตรสวดมนตเ์ ช้า - เยน็ ระเบียบการฟงั เทศนใ์ นวนั ธัมมัสสวนะ ระเบยี บการท�ำอุโบสถกรรม ระเบียบการบรรพชาอปุ สมบท ระเบยี บการครอง ผา้ แบบพระมอญ ตลอดจนถงึ การทำ� วนิ ยั กรรมตา่ งๆ เปน็ ตน้ การปฏริ ปู องคก์ รสงฆ์ ดงั กลา่ วนไี้ ดเ้ ปน็ รากฐานในการปฏริ ปู องคก์ รสงฆไ์ ทยทงั้ ดา้ นการศกึ ษา การปฏบิ ตั ิ และการบริหารของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าในยคุ ตอ่ มา รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕๑๔๔ทรง ถือธรรมเนียมการสดับฟังพระธรรมเทศนาเหมือนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ รชั กาลที่ ๓ โดยให้พระสงฆ์ทจ่ี ะเทศนาถวายนน้ั ไปศกึ ษา พระไตรปิฎก แล้วแต่งเป็นสำ� นวนเทศนาถวายพรอ้ มกบั เขยี นคำ� เทศนาลงในสมุด เป็นเล่มถวายดว้ ย โดยเรมิ่ จากการเทศนาพระสตู รเปน็ อนั ดับแรก พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงสร้างพระไตรปิฎกท่ีจัดพิมพ์ด้วยอักษรไทยขึ้นเป็น ครงั้ แรก เรยี กวา่ “พระไตรปิฎกฉบับพมิ พ์” พระราชทานแจกจา่ ยไปตามวัดหลวง ตา่ งๆ และพระราชทานตอบแทน แก่พระสงฆ์ - คฤหัสถท์ สี่ นองพระราชกรณียกจิ ๑๔๔สริ ิวัฒน์ ค�ำวนั สา. สงฆ์ไทยใน ๒๐๐ ปี เลม่ ๑. อ้างแลว้ . หน้า ๒๓๐. 169
ในครง้ั นน้ั จากนนั้ เสดจ็ เยย่ี มพสกนกิ รตามหวั เมอื งตา่ งๆ ทรงพบวา่ พระสงฆท์ อ้ งถน่ิ นยิ มเทศนแ์ บบอา่ นตามคมั ภรี ใ์ บลาน เนอ้ื หาสว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั นทิ านทอ้ ง ถน่ิ หรอื ชาดกพน้ื บา้ น แตห่ ลกั ธรรมและศลี อนั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ไิ มน่ ยิ มเทศนท์ รงเกรงวา่ พระสทั ธรรมจะเลอื นหายไป จงึ โปรดใหพ้ ระเถรานเุ ถระทมี่ คี วามรอบรพู้ ระไตรปฎิ ก มาประชุมกัน โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเดจ็ - พระสงั ฆราชเจา้ เปน็ ประธาน แตง่ สำ� นวนเทศนาดว้ ยเนอ้ื หาธรรมะในหมวดตา่ งๆ จบเปน็ กัณฑ์ๆ ไป ด้วยรปู แบบเดยี วกนั กับบทเทศนท์ แี่ ตง่ ถวายแลว้ โปรดใหพ้ ิมพ์ กณั ฑ์ละ ๕๐๐ ชุด พระราชทานแจกจา่ ยตามวดั ตา่ งๆ ท่ัวพระราชอาณาจักร ท�ำให้พระสงฆ์ท้องถิ่นต้องฝึกเทศน์แบบอ่านตามหนังสือที่แต่งด้วยส�ำเนียง ภาษาไทยกลางตามแบบอย่างของพระสงฆ์ไทยกลาง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ (ภาพประกอบจาก หนงั สอื ประชุมภาพประวัติศาสตร์ แผน่ ดินพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั หนา้ ๒๑๒) 170
การทส่ี มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า ทรงมีความเชี่ยวชาญในการแต่งคัมภีร์และเทศนาด้วยปฏิภาณ โวหารท่ีไพเราะจับใจ อีกทัง้ ยงั มคี วามช�ำนาญในการรจนาและช�ำระหนังสอื ตำ� รา ทางพทุ ธศาสนา ท้ังประเภทคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎก พระธรรมเทศนา พระโอวาท และธรรมกถา ตำ� ราเรยี นนกั ธรรม - บาลนี น้ั ทำ� ใหพ้ ระองคม์ แี นวพระดำ� รมิ งุ่ มนั่ ทจ่ี ะ ปฏริ ปู องคก์ รสงฆ์ เหมอื นกบั แนวพระราชดำ� รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่ รชั กาลที่ ๔ ผเู้ ป็นพระราชบิดา โดยเรมิ่ ปฏริ ูปจากวัดบวรนเิ วศวิหารกอ่ น โดยวาง ระเบียบในการปกครองและการศึกษาพระพุทธศาสนาให้แก่พระภิกษุสามเณร อย่างเป็นระบบโดยเฉพาะการเทศน์น้ันทรงก�ำหนดให้พระภิกษุสามเณรได้ฝึก เทศนแ์ บบธรรมกถกึ หรือการเทศนด์ ้วยฝีปาก พร้อมกับจดั ใหเ้ ดก็ วัดไดฟ้ งั เทศน์ ในวนั ธัมมัสสวนะด้วย ดังความปรากฏในระเบยี บการปกครองวดั บวรนิเวศขอ้ ที่ ๑๕ และ ข้อท่ี ๑๗ วา่ ๑๔๕ “...๑๕. ได้คดิ บำ� รุงการเทศนาดว้ ยฝึกธรรมกถึกขึ้น ให้สามารถ เทศนาดว้ ยฝีปากก็ได้ แตง่ เรื่องขน้ึ เองกไ็ ด้... ...๑๗. ไดจ้ ัดตัง้ ธมั มัสสวนะของเดก็ วัด ในวนั ธมั มสั สวนะปกตเิ วลา ค�่ำ ให้สวด นมสั การพระรบั ศีล ๕ และฟังสงั่ สอน...” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ การฝึกแต่งบทเทศน์ของพระสงฆ์ไทยได้รับการเผยแผ่ไปยังพระสงฆ์ท่ัวประเทศ เน่ืองจากการปฏิรปู การศกึ ษาสงฆ์ที่ก�ำหนดใหม้ กี ารเรยี นการสอนนักธรรม โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ ทรงจดั ท�ำหลักสตู รการเรียนการสอนไว้ เน่ืองจากเห็นว่า การทพ่ี ระภกิ ษสุ ามเณร จะสามารถเทศน์ ท้งั แบบอ่านตามหนงั สือท่แี ต่งและแบบปฏภิ าณโวหารได้อยา่ ง ถกู ตอ้ งคลอ่ งแคลว่ นน้ั ยอ่ มตอ้ งมพี น้ื ฐานความรทู้ างพระพทุ ธศาสนามากพอสมควร จงึ จะขบคิดตีความ วิเคราะห์ วจิ ารณ์หลกั ธรรม (ธรรมวจิ ารณ์) และคิดแตง่ บทเทศน์ จนเป็นพระธรรมกถึกท่ีดีได้ ดังน้ันระบบการศึกษานกั ธรรม ทีท่ รงวาง แนวทางไวน้ น้ั นอกจากจะท่องจ�ำหัวข้อธรรมสำ� คัญแลว้ ยังมุง่ สอนใหผ้ ู้เรยี น วิเคราะห์วิจารณ์หลักธรรมด้วยประสบการณ์ของตน ดังปรากฏค�ำแนะน�ำ ๑๔๕เรือ่ งเดยี วกัน. หน้า ๒๒๒. 171
วธิ สี อนในค�ำนำ� หนงั สือนวโกวาทวา่ ๑๔๖ทรงสอนด้วยวิธอี ธิบายให้ผู้เรยี นเขา้ ใจทีละ หัวขอ้ พรอ้ มกบั ซักถามด้วยค�ำถามตา่ งๆ ใหผ้ ้เู รียนตอบคำ� ถามด้วยวจิ ารณญาณ ของตน จนแนใ่ จว่าเข้าใจดแี ลว้ จงึ เรมิ่ สอนหวั ข้อตอ่ ไป บางคร้งั ก็สอนใหผ้ เู้ รยี น รจู้ ักวพิ ากษว์ จิ ารณ์ ดว้ ยการตงั้ ปญั หาท่คี ล้ายกันกบั ในหนงั สอื แล้วใหผ้ ู้เรยี น พจิ ารณาวา่ ถูกหรือผิด หรือต้งั ปญั หาใหผ้ ้เู รยี นนำ� ความร้ทู เ่ี รียนไปแลว้ มาอธิบาย คำ� ถามนนั้ ๆ ให้ถูกต้อง โดยเฉาะวชิ าธรรมวภิ าคนน้ั ทรงกำ� หนดหัวข้อธรรมะให้ ผ้เู รยี นต้องไตร่ตรองและแตง่ ค�ำอธบิ ายขยายความดว้ ยตน ดังค�ำนำ� ในหนังสอื นวโกวาทคร้ังท่ี ๕/๒๔๔๒ ว่า๑๔๗ “...สว่ นธรรมวภิ าคนน้ั ไดแ้ จกกระท้พู ุทธภาษติ เชน่ “คนล่วงทุกข์ ได้ เพราะความเพยี ร, ไดช้ ่อื เสียงเพราะความสตั ย์” วันละข้อ. แจกใหอ้ ยา่ ง เดยี วกันหมด ใหไ้ ปแต่งแก้แลว้ นำ� มาอ่านในทป่ี ระชุมในกำ� หนด; ผู้แต่งต้อง ตรติ รองด้วยน�้ำใจใหเ้ หน็ เองก่อนว่า “ความเพยี รเปน็ เหตุ, ความลว่ งทุกขเ์ ปน็ ผล. ความสตั ยเ์ ป็นเหตุ, ชอื่ เสยี งเปน็ ผล;” จึงจะเรียงความแต่งมาอ่านได้ ในเวลาที่อา่ น ตา่ งคนต่าง มุง่ ฟังของกันและกนั . เมื่อใครอธบิ ายดกี ็จำ� ไว,้ และทสี่ ุดได้รบั วนิ ิจฉัยวา่ ถกู หรอื ผิด. ข้อนเี้ ปน็ เหตุให้ค้นคว้าข้อความในหนังสอื ธรรมมาอธิบาย ได้ความ ร้กู ว้างขวางและตริ ตรองเหน็ ความดี เห็นความชว่ั ดว้ ยนำ�้ ใจเอง...” แนวพระด�ำริดังกล่าว จะเห็นได้วา่ ระบบการศึกษาทท่ี รงก�ำหนดนั้น ใช้ วิธกี ารประเมนิ ผลด้วยข้อสอบแบบอัตนัย คอื ให้ผเู้ รียนเขยี นอธิบายขยายความ หลักธรรมตามประสบการณ์ของตน พระสงฆส์ ามเณรท่ผี า่ นกระบวนการศกึ ษา เช่นนี้ ยอ่ มสามารถฝกึ แต่งบทเทศนแ์ ล้วเทศนแ์ บบอา่ นตามหนงั สือทแี่ ตง่ และ เทศน์แบบปากเปล่าได้ จนเปน็ พระธรรมกถึกทด่ี มี ฝี ีปากไพเราะ ในขณะทกี่ ารศึกษานักธรรมในล้านนา ซ่ึงใช้ภาษาไทยกลางท้ังภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นสื่อในการสอนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว คณะสงฆ์ส่วนกลาง ก็รุกคืบปฏิรูปพระสงฆ์ล้านนาด้านอ่ืนๆ โดยไม่ส่งเสริมให้ศึกษาและปฏิบัติตาม จารตี เดมิ หลายประการ เชน่ การไมใ่ หส้ อนอกั ษรลา้ นนา การไมใ่ หเ้ ทศนแ์ บบจารตี และการไม่ให้ใช้ธรรมาสน์เทศน์แบบพ้ืนเมือง เป็นต้น ระเบียบดังกล่าวนี้ ๑๔๖สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. นวโกวาท พิมพ์คร้ังที่ ๗๘. กรงุ เทพมหานคร: มหามกุฏราช วทิ ยาลัย. ๒๕๓๘. หน้า ฉ – ซ. 172 ๑๔๗เร่ืองเดียวกัน. หนา้ ช-ซ.
แมไ้ มป่ รากฏคำ� สงั่ จากองคก์ รสงฆส์ ว่ นกลางอยา่ งเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร แตก่ เ็ ปน็ ระเบยี บ ท่ีถูกสั่งผ่านทางวาจาจากพระเถระผู้ใหญ่ที่มีสมณศักดิ์ และมีต�ำแหน่งทางการ ปกครองคณะสงฆ์ที่สงู กวา่ พระสงฆล์ ้านนาถือเป็นตวั แทนของอำ� นาจองคก์ รสงฆ์ ส่วนกลางท่ีสามารถให้คุณให้โทษแก่เจ้าคณะพระสังฆาธิการชาวล้านนาได้ จนจำ� ตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม การใชอ้ ำ� นาจสง่ั ผา่ นทางวาจาเชน่ นยี้ ง่ิ ทำ� ใหพ้ ระสงฆล์ า้ นนา ไมใ่ ส่ใจต่อการศึกษาอักษรลา้ นนา ไม่สนใจต่อการฝกึ เทศน์แบบจารีต และมีการ ใช้ธรรมาสน์โทหรือธรรมาสน์เตี้ยแบบภาคกลางแทนธรรมาสน์ทรงปราสาทล้าน นาอย่างแพรห่ ลาย ดังขอ้ ความปรากฏในสมุดบันทกึ ของพระครธู รรมรตั นโ์ พธิ (เขียน)๑๔๘อดีตเจ้าคณะอ�ำเภอเมอื ง และอดตี เจ้าอาวาสวดั สวนหอม อำ� เภอเมือง จังหวัดนา่ น ซึง่ เปน็ เจา้ คณะปกครองระดบั อำ� เภอ ทม่ี กั เขา้ รว่ มประชมุ รบั ทราบ นโยบายการบรหิ ารงานจากเจ้าคณะระดับสูงจากส่วนกลางอยู่เสมอ ความตอน หน่ึงในสมุดบันทึกระบุค�ำสั่งที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐนิยมฉบับท่ี ๙ พ.ศ. ๒๔๘๓ ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่า พระครูโสภิต วรปัญโญ๑๔๙วดั บา้ นแม่ใส ตำ� บลแม่ใส อำ� เภอเมือง จังหวัด พะเยา กล่าวว่า สมเดจ็ พระวนั รตั วดั เบญจมบพติ ร กรงุ เทพฯ มแี นวคดิ วา่ การ ใชธ้ รรมาสน์ทรงปราสาทสูงแบบลา้ นนา ศรัทธาญาตโิ ยมไม่สามารถมองเห็นพระ ๑๔๘สมุดบันทึกส่วนตัวของพระครธู รรมรัตนโ์ พธิ (เขียน) อดตี เจา้ อาวาสวดั สวนหอม และอดตี เจ้าคณะอ�ำเภอเมือง จงั หวดั นา่ น ถ่ายสำ� เนาตน้ ฉบับจาก ร.ศ.ธเนศว์ เจริญเมือง มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ ๒๕๕๐. ๑๔๙ทรงพันธ์ วรรณมาศ. ศปลิ รปากสรารทม-.ธกรรรมุงเาทสพนมใ์ นหเาขนตคจรงั ห:วดั สเช�ำนียักงรพามิ ยพแจ์ลฬุะพาละงเยการณบ์มทหคาววาิทมยรา่วลมยั น.�ำเ๒ส๕น๓อ๖ใน.หหนนังส้าือเ๙รือ่๕ง. 173 วัฒนธรรมพน้ื บ้าน:
ผู้เทศนไ์ ด้ จงึ ปรบั เปลี่ยนใหใ้ ชธ้ รรมาสนแ์ บบตำ่� (ธรรมาสนโ์ ทหรอื ธรรมาสน์เตย้ี ) แทน เพอื่ ให้ญาตโิ ยมมองเหน็ พระผูเ้ ทศน์จะได้สำ� รวม พระภกิ ษุล้านนากบั ธรรมาสนเ์ ตย้ี แบบภาคกลาง ธรรมาสนเ์ ตย้ี แบบภาคกลาง มีบทบาทส�ำหรบั ใชน้ ัง่ เทศน์มากขนึ้ ในขณะทธ่ี รรมาสน์ทรง ปราสาทยอดสงู ของล้านนา ลดความส�ำคัญลง และถูกละทิง้ ไวด้ ้านหลงั ทัง้ นีก้ ารใชธ้ รรมาสน์แบบภาคกลาง จะมบี รรยากาศศักดส์ิ ทิ ธิเ์ หมือน การใชธ้ รรมาสนแ์ บบเดิมของลา้ นนาหรอื ไม่ ขนึ้ อยกู่ บั บรบิ ทการเทศน์ เชน่ เวลา สถานที่ เน้ือหา ตลอดถงึ สถานการณ์ เพราะการใช้ธรรมาสน์ เป็นสว่ นหนึ่งท่ีส่ือ ถึงวฒั นธรรมการเทศน์ในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ๑๕๐ สมุดบันทึกของพระครูธรรมรัตนโ์ พธิ เปน็ หลกั ฐานส�ำคญั ท่ีชใ้ี ห้เหน็ วา่ องคก์ รสงฆส์ ่วนกลาง ไม่ไดม้ ุง่ แก้ไขความประพฤติ หรอื ขอ้ วัตรปฏิบตั ิของสงฆ์ ลา้ นนาแตเ่ พยี งอย่างเดียว หากแตย่ งั มคี วามพยายามท่ีจะแกไ้ ขหรอื กลืนกลาย จารีตท้องถ่ินซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมล้านนาให้เป็นแบบแผนเดียวกันกับ วฒั นธรรมกรงุ เทพฯ ด้วย 174 ๑๕๐สมั ภาษณ์ พระมหาสงา่ ธีรสวํ โร. มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม่ วดั สวนดอก ตำ� บลสเุ ทพ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม.่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑. ปัจจบุ นั ได้รับพระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ป็น พระครธู รี สุตพจน์.
การเทศน์แบบปฏิภาณโวหารบนธรรมาสน์โทหรือธรรมาสน์เต้ียแบบไทยภาคกลาง (ขอบคณุ ภาพจาก พระครธู ีรสุตพจน์) การล่มสลายของอาณาจักรล้านนาและการเข้ามาปฏิรูปการเมืองการ ปกครองแบบเบด็ เสรจ็ ของรฐั บาลสยาม ทำ� ใหว้ ฒั นธรรมดง้ั เดมิ และวฒั นธรรมใหม่ โดยเฉพาะวัฒนธรรมไทยสยามมาปะทะสังสรรค์กัน ท�ำให้ชาวล้านนาแยกแยะ สง่ิ ต่างๆ ทางวัฒนธรรม โดยเรียกขานตนเองว่า คนเมือง เรยี กพ้นื ท่ภี าคเหนือ ว่า เมืองเหนือ หรือทางเหนือ เพื่อแสดงอัตลักษณ์ท้องถิ่น แล้วเรียกคน ทม่ี าจากกรุงเทพฯ หรือภาคกลางว่า คนไทย และเรียกพืน้ ทีว่ ่า ทางใต้ ในขณะ ที่วตั ถุสิ่งของทางวัฒนธรรม เชน่ ส่ิงทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการเทศน์ เป็นตน้ กแ็ ยกแยะ เพื่อให้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่มีอยู่เดิมในล้านนากับส่ิงท่ีเข้ามาใหม่จาก ภาคกลาง ดงั ตวั อยา่ งดงั นี้ 175
/ / / ปนั พรเมือง ปันพรไทย กล่าวได้ว่า รูปแบบการเทศน์ของพระสงฆ์ไทยภาคกลางที่แพร่เข้าสู่ ลา้ นนา นอกจากจะมีบทบาทสำ� คญั ในการเผยแผ่พทุ ธธรรมใหท้ ันสมัยและเขา้ ใจ ง่ายแล้ว ยงั มบี ทบาทในการส่งเสริมการเรียนร้ภู าษาไทยกลางของชาวล้านนา ให้ มพี ัฒนาการที่ดขี ้นึ ท้ังการฟัง พูด อ่าน เขียน อกี ทั้งยังเป็นชอ่ งทางใหพ้ ระสงฆ์ ได้เทศน์ปลูกฝังทัศนคติ ค่านิยม หรือจิตส�ำนึกในความรักชาติ ศาสนา และ พระมหากษตั รยิ ์ เพอ่ื ความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ของคนในชาติ ตามความมงุ่ หมาย ของรฐั บาลสยามดว้ ย ๓.๒ ช่วงการเผยแผ่ธรรมของพุทธทาสภิกขุและปัญญานันทภิกขุท่ีจังหวัด เชียงใหม่ หลังจากคณะสงฆ์ไทยภาคกลางได้ปฏิรูปคณะสงฆ์ล้านนา จนรูปแบบ การเทศน์แบบปฏิภาณโวหารแพร่หลายในล้านนาแล้ว การเผยแผ่ธรรมแบบ ปาฐกถาก็ได้เผยแพร่เข้าสู่ล้านนา โดยพุทธทาสภิกขุหรือพระธรรมโกศาจารย์ (เง่ือม อินทฺ ปญโฺ ญ) จากสวนโมกขพลารามอำ� เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี และ ปญั ญานนั ทภกิ ขุ หรือพระพรหมมังคลาจารย์(ป่ัน ปญฺญานนโฺ ท) วดั ชลประทาน รังสฤษดิ์ อำ� เภอปากเกรด็ จงั หวัดนนทบรุ ี ซง่ึ ไดร้ ับนิมนต์จากเจา้ ชืน่ สิโรรส ผ้จู ดั ต้งั วดั อโุ มงคส์ วนพทุ ธธรรม ต�ำบลสเุ ทพ อำ� เภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ ใหม้ า เผยแผธ่ รรมในจงั หวดั เชียงใหม่ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็นครงั้ แรก โดยยืนพดู ธรรมะ แบบปฏิภาณโวหารหรอื ยืนพดู แบบปาก เปลา่ ไมถ่ ือคัมภีร์ ไมน่ ัง่ บนธรรมาสน์ 176
ชาวจังหวดั เชยี งใหมโ่ ดยเฉพาะปัญญาชนท่ีอยู่ ในตัวเมอื ง สนใจฟงั อยา่ งท่วมทน้ ในขณะทีพ่ ระสงฆเ์ ชยี งใหม่ ได้พัฒนารูปแบบการเทศนใ์ หท้ ันสมัยขึน้ โดยยดึ กระแสความนยิ มในการฟังปาฐกถาธรรม จนมีช่อื เสยี งหลายรูป เจา้ ช่ืน สิโรรส ผจู้ ัดตั้งวดั อโุ มงค์สวนพุทธธรรม (ภาพประกอบจาก หนงั สือ ชีวิต ข้อคดิ และงานของเจ้าชนื่ ) 177
การปาฐกถาธรรมท่ีเผยแพร่ในจังหวัดเชียงใหม่ เกิดจากการปฏิรูปวิธี เผยแผธ่ รรมใหท้ นั สมยั ของพทุ ธทาสภกิ ขุ ซงึ่ มพี นื้ ฐานมาจากการปฏริ ปู การศกึ ษา สงฆข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๑๕๑ ทจี่ ดั ระบบการศกึ ษาแบบนกั ธรรม มงุ่ ใหพ้ ระสงฆค์ ดิ ตคี วามและอธบิ ายหลกั ธรรม ตามประสบการณ์ โดยเนน้ แกน่ แทข้ องพทุ ธธรรม ขจัดความเชือ่ ทางไสยศาสตร์ คติแบบพราหมณ์ และคติท้องถิ่นที่ปลอมปนออกจากพุทธธรรม ก่อนท่ี พุทธทาสภิกขุจะอุปสมบทนั้นมีพ้ืนฐานความรู้ด้านพระพุทธศาสนาพอสมควร โดยได้ยินการวิพากย์วิจารณ์ธรรมะของผู้ใหญ่ที่สนทนากันมาก่อน จึงส่ังสม ความรู้และประสบการณ์ไว้ ภายหลังเม่ือได้อุปสมบทแล้ว สามารถขึ้นเทศน์ ได้อยา่ งทันสมยั ดงั คำ� กลา่ วของปัญญานันทภิกขตุ อนหนึ่งว่า๑๕๒ “...แต่ก่อนจะบวชท่าน(พุทธทาสภิกขุ)ก็สนใจธรรมะมาก่อนแล้ว เพราะที่บ้านของท่าน เป็นสถานท่ีประชุมส�ำหรับพวกนักธรรมะท้ังหลาย เพราะคุณแม่เป็นคนชอบธรรมะ คุณพ่อก็เป็นคนสนใจธรรมะ แล้วคุณอา ท่านบวชเป็นพระช่ือพระใบฎีกาเลี้ยงไปอยู่วัดปทุมคงคา กรุงเทพฯ ก็ส่ง หนงั สอื อะไรๆ มาให้อา่ น ทา่ นกไ็ ปนัง่ ฟังเขาสนทนาธรรมกันอยู่เสมอ มีเวลาวา่ งกช็ อบอา่ น หนงั สือดา้ นธรรมะ อ่านมาเร่ือยๆ ทา่ นกม็ ีความคิดทางธรรมะพอสมควร บางทีก็คยุ กับผู้ใหญใ่ นที่ประชมุ ธรรมสากจั ฉาเหลา่ น้ันได้ จนผู้ใหญ่แปลกใจ บอกเจ้าเงื่อมน้มี นั รู้มากเหมอื นกนั เขาก็พูดกนั ในรปู อยา่ งน้ัน ครนั้ ถึงเวลาบวช ท่านบวชเข้ามาก็เทศน์ได้ เรียนนกั ธรรมตรีก็เทศน์ ได้แล้วยงั ไม่ทนั สอบ เทศนใ์ ห้คนอ่ืนฟังไดท้ กุ คนื และก็เทศน์สำ� นวนสมยั ใหม่ ไม่เย่ินเย้อเหมือนกบั พระนกั เทศน์สมัยก่อน เปน็ ท่ีพอใจของคนฟัง...” ภายหลงั จบนกั ธรรมเอกและสอบเปรยี ญธรรม ๓ ประโยคได้ ก็ยังติดตาม อ่านบทความเกีย่ วกบั พระพทุ ธศาสนาในวารสารธรรมจักษุซง่ึ เป็นวารสารภายใต้ พระบัญชาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จ พระสงั ฆราชเจา้ และงานเขยี นของปญั ญาชนชน้ั นำ� ของสยามในสมยั นน้ั หลายทา่ น ๑๕๑พระประชา ปสนฺนธมฺโม และสันติสขุ โสภนสิร.ิ บรรณาธกิ าร. ภาพชีวิต ๘๐ ปี พุทธทาสภกิ ขุ. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนักพมิ พ์มลู นธิ โิ กมลคมี ทอง. ๒๕๒๙. 178 ๑๕๒พระราชนนั ทมุนี (หลวงพ่อปญั ญานนั ทะ). พทุ ธทาสกับเชยี งใหม่ พุทธทาสปรทิ ัศน์. กรุงเทพฯ: เจริญวทิ ย.์ ๒๕๓๒. หน้า ๑๒.
เช่น ครูเทพ (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) น.ม.ส. (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เกปรน็ มตห้นมส่ืน่วนนรวาิชธาิปคพวงาศม์ปรู้อร่ืนะ๑๕พ๓เชัน่นธ์ เสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป หลวงวจิ ิตรวาทการ ประวตั ศิ าสตร์ จติ วทิ ยา วรรณคดี ขา่ วสารบา้ นเมอื ง ตลอดจนถงึ วทิ ยาการสมยั ใหม่ การถ่ายรูป พิมพ์ดีด วิทยุ แผ่นเสียง เป็นต้น ได้ศึกษาจากต�ำราและเรียนรู้ ด้วยตนเอง อุปนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนและมีความรู้แตกฉานในพุทธศาสนาและสังคม ดงั กลา่ ว ทำ� ใหม้ องเหน็ ความเขา้ ใจในพระพทุ ธศาสนาทค่ี ลาดเคลอื่ นของชาวพทุ ธ ในยคุ ปจั จบุ นั ทม่ี งุ่ ประกอบพธิ กี รรม หลงใหลไสยศาสตรเ์ ปน็ สว่ นมาก จงึ มแี นวคดิ เรมิ่ งานเผยแผพ่ ทุ ธธรรมอยา่ งจรงิ จงั ดว้ ยการตคี วามพทุ ธธรรมแบบใหมต่ ามหลกั พุทธปรชั ญา เพือ่ แยกพทุ ธธรรมออกจากไสยศาสตร์ โดยใช้รปู แบบการเผยแผ่ ท่ที ันสมัย ทำ� ให้ทุกเพศทุกวยั เขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย ละท้งิ กรอบจารตี การเผยแผธ่ รรม แบบเดิมมาสกู่ ารเผยแผท่ ี่ทันสมัย เมื่อครั้งทีพ่ ุทธทาสภกิ ขอุ ุปสมบทใหม่ เคยมี ประสบการณเ์ ทศนแ์ บบจารตี มากอ่ น คอื นงั่ บนธรรมาสนแ์ ลว้ อา่ นตามคมั ภรี ใ์ บลาน ทำ� ให้มองเห็นข้อจ�ำกัดที่ไมส่ ามารถสอดแทรกแนวคิด เร่ืองราว และเหตุการณ์ ทีเ่ ป็นปจั จบุ นั ในบทเทศน์ได้ จงึ พัฒนามาส่กู ารเทศน์แบบปฏภิ าณโวหาร หรอื การเทศนแ์ บบปากเปลา่ เหมอื นพระสงฆไ์ ทยกลาง มงุ่ อธบิ ายขยายความพทุ ธธรรม ด้วยส�ำนวนภาษาท่ีเข้าใจง่าย สรรหานิทาน เรื่องเล่า ข้อคิดคติธรรมแปลกๆ ใหมๆ่ และฉายภาพสไลดป์ ระกอบการเทศน์ สว่ นภายในวดั ไดเ้ ขยี นเรอื่ งราว ที่ให้ข้อคิดคติธรรม และเร่ืองชวนหัวเราะติดไว้ตามฝาผนังและต้นไม้ อีกทั้งยัง เคขือียนปบระทโคยวชานมแ์ ธหรง่รทมาะนแ๑ล๕๔ะไจดัดจ้ ทัด�ำพวิมาพรส์ในารหเนผังยสแือพกรุม่ ภโชดายดเฉกพแลาะะปงากนิณเขณียกนธเรรรื่อมงแแจรกก ในงานพระราชทานเพลงิ ศพของพระครูโสภณเจตสกิ าราม วดั โพธาราม ตำ� บล พมุ เรยี ง อำ� เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๓ อีกทงั้ ยังจัดพิมพ์ วารสารพทุ ธสาสนาเผยแพรเ่ ป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๖๑๕๕ ๑๕๓พระประชา ปสนฺนธมฺโม และสนั ตสิ ุข โสภนสิริ. บรรณาธกิ าร. ภาพชีวิต ๘๐ ปี พทุ ธทาสภกิ ขุ. กรงุ เทพมหานคร: สำ� นักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง. ๒๕๒๙. หนา้ ๓๑ และ ๘๑. ๑๕๔เรอื่ งเดยี วกัน. หน้า ๔๔. ๑๕๕เร่ืองเดียวกัน. หนา้ ๖๐. 179
พทุ ธทาสภิกขุ เมื่อสมยั เป็นพระหนุ่ม ไดศ้ ึกษาอยทู่ ี่วัดปทุมคงคาราชวรวหิ าร กรงุ เทพฯ (ภาพประกอบจาก หนงั สืออนุทินภาพ ๖๐ ปี สวนโมกข์ หน้า ๓๕) ภายหลังได้พัฒนาการเผยแผ่ธรรมด้วยปาฐกถาธรรม เน่ืองจากเห็นว่า๑๕๖ ในขณะท่ีฆราวาสยนื ปาฐกถา ผ้ฟู ังมักตงั้ ใจฟงั ในขณะทพี่ ระสงฆ์นั่งเทศนแ์ บบ อา่ นตามคัมภรี ใ์ บลาน คนฟงั มักน่ังหลับ ไมส่ นใจฟัง ส่งิ นีจ้ ึงเป็นจดุ เปลย่ี นส�ำคญั ที่ท�ำให้ต้องยืนปาฐกถาแทนการน่ังเทศน์บนธรรมาสน์ โดยปี พ.ศ. ๒๔๘๓๑๕๗ พุทธทาสภิกขุได้ยืนปาฐกถาธรรมเป็นครั้งแรกเร่ือง วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ การเผยแผ่ธรรมลักษณะนี้ ไม่เคยปรากฏในประเพณีการเทศน์ของ คณะสงฆไ์ ทยปจั จบุ นั มาก่อน จึงสรา้ งความสนใจให้แก่วงการพระพุทธศาสนาใน เมอื งไทยเป็นอยา่ งมาก บางสว่ นเห็นดว้ ยเพราะทนั สมัย เข้าใจง่าย แต่บางสว่ น ไมเ่ ห็นด้วยและโจมตวี า่ การยนื ปาฐกถาธรรมเช่นนี้ ผดิ พทุ ธบัญญัติในเรือ่ งเสขยิ วตั ร วา่ ดว้ ยธรรมเทศนาปฏิสังยตุ ต์ ขอ้ ที่ ๑๔ ทหี่ ้ามไมใ่ ห้พระภกิ ษุยืนแสดงธรรม แกฆ่ ราวาสทไ่ี มเ่ ป็นไข้แล้วน่ังอยู่ แตเ่ น่อื งจากการปาฐกถาธรรมในครัง้ นี้ มีการ เตรยี มเนอื้ หา - สาระมาเปน็ อยา่ งดี จงึ ทำ� ใหป้ ระสพผลสำ� เรจ็ เปน็ ทน่ี า่ พอใจ เพราะผฟู้ งั ใหค้ วามสนใจและเขา้ ใจงา่ ย มผี นู้ ำ� เอาเนอื้ หาปาฐกถาธรรมไปตพี มิ พใ์ นหนงั สอื หลายครง้ั ๑๕๖สุลกั ษณ์ สิวลกั ษณ์ (ส.ศวิ ลักษณ)์ . รายการกรองสถานการณ์ สถานโี ทรทัศนแ์ หง่ ประเทศไทย [ออนไลน]์ . แหล่งท่ีมา : http://www.youtube.com/watch?v=s_cg50Y0qHg&feature=g-vrec. ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕. 180 ๑๕๗พระประชา ปสนนฺ ธมฺโม และสนั ติสขุ โสภนสิริ. บรรณาธกิ าร. ภาพชวี ติ ๘๐ ปี พุทธทาสภกิ ขุ. อ้างแลว้ . หนา้ ๙๓.
แม้กระทง่ั เจ้าพระยาธรรมศกั ดิ์มนตร๑ี ๕๘ไดอ้ ่านแลว้ ถึงกบั ปรารภวา่ เป็นหนังสอื ที่ไม่มีวันตาย ภายหลังได้รับนิมนต์ไปปาฐกถาธรรมที่กรุงเทพฯ อีกหลายคร้ัง แต่ละครง้ั นายกหุ ลาบ สายประดษิ ฐ์ นกั หนังสอื พมิ พ์ช้นั น�ำของประเทศ มักมา น่ังฟังและน�ำไปเขียนลงในหนังสือพมิ พอ์ ยู่เสมอ ท�ำให้ผลงานปรากฏแพรห่ ลาย ต่อสาธารณชน นอกจากรูปแบบการปาฐกถาธรรมจะสรา้ งความสนใจแล้ว เนอ้ื หาสาระ จากปาฐกถาธรรมท่ีเน้นการตีความแบบใหม่ให้เข้าใจง่าย ก็สร้างความสนใจให้ แกส่ ังคมด้วยเช่นกนั ดงั เชน่ การปาฐกถาธรรมเรื่อง ภเู ขาแหง่ วิถพี ุทธธรรม เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย๑๕๙ทกี่ ล่าวถงึ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในทัศนะของคนท่ยี ึดถอื นัน้ ถา้ ยดึ ถอื ไมด่ ี อาจจะเป็นภเู ขาหิมาลัย ที่กีดขวางไม่ให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ผลการปาฐกถาธรรมในครั้งนั้น ท�ำให้ พทุ ธทาสภกิ ขถุ กู กลา่ วหาวา่ รบั จา้ งคอมมวิ นสิ ตม์ าพดู ทำ� ลายพระรตั นตรยั จนตอ้ ง เขา้ กราบทูลขอ้ เทจ็ จริงต่อสมเด็จพระวันรัต ณ วดั เบญจมบพติ ร การเผยแผ่ธรรมที่น่าสนใจอีกรูปแบบหน่ึง คือการเทศน์มหาชาติ เวสสันดรชาดก ๑๓ กณั ฑ์ โดยเทศน์แบบปฏภิ าณโวหารผสมผสานกับการเทศน์ ด้วยท�ำนองขับขานทอ้ งถิ่นให้จบภายในระยะเวลาไมน่ าน พทุ ธทาสภกิ ขุเรียกรปู แบบการเทศน์น้ีวา่ รีววิ มหาชาติ หรอื มหาชาตริ วี วิ มพี ระสงฆ์ ๒ รปู เปน็ ผู้เทศน์ ร่วม พุทธทาสภกิ ขุทำ� หนา้ ท่ีเปน็ ผ้เู ล่าสรุปเรื่องมหาชาตเิ วสสนั ดรชาดกดว้ ยภาษา สมัยใหม่ พร้อมกับช้ีให้เห็นถึงสาระส�ำคัญในด้านศิลปะ วรรณคดี โบราณคดี ธรรมจริยา และสิง่ อ่นื ๆ ท่คี วรรู้ สามารถนำ� มาใชใ้ นชีวิตประจ�ำวันได้ ส่วนการ เทศนค์ าถาและแหลด่ ว้ ยทำ� นองขบั ขานทอ้ งถน่ิ นน้ั มพี ระปลดั บญุ ชวน เขมาภริ ตั น์ และพระสงฆอ์ กี รปู หนึง่ เป็นผูเ้ ทศน์แทรกเปน็ ระยะๆ ทำ� ใหก้ ารเทศนเ์ ป็นที่สนใจ ดังความปรากฏในจดหมายของพุทธทาสภิกขุที่เขียนถึงพระมหาเฉวียง มิตตสิริ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๔๙๐ ว่า๑๖๐ ๑๕๘เร่อื งเดียวกนั . หน้า ๙๓. ๑๕๙เร่อื งเดียวกนั . หน้า ๙๓. ๑๖๐เรื่องเดียวกนั . หน้า ๑๑๐. 181
“...เทศน์ปีนี้ คนมานอ้ ยกวา่ ปีก่อนนดิ หน่อย แต่ก็ไม่ตำ�่ กวา่ พนั คน มีเงินทีเ่ ขาติดกณั ฑเ์ ทศน์ส่ีพนั กว่าบาท พอทำ� กระเบือ้ งหม่นื แผน่ ส�ำหรบั ศาลาที่ก�ำลงั จัดท�ำอยู่ เรือ่ งที่เทศน์ปนี ้กี ็แปลกดี ตอนเช้าเทศน์ “รวี วิ มหาชาต”ิ หรอื “มหาชาติรวี วิ ” แล้วแต่จะเรยี ก คือผมเป็นคนเลา่ เรอื่ งใจความของเวสสนั ดรชาดกอย่างสำ� นวนสมัยใหม่ แตไ่ มม่ ากนกั ตาม เคา้ ความในพระไตรปฎิ กโดยเอาไปกางดอู ยดู่ ว้ ย ครนั้ ถงึ ตอนทม่ี คี าถาเพราะๆ ให้ท่านปลัดบุญชวนวา่ คาถาท�ำนอง เพราะดีมาก ถึงตอนทเ่ี ขาเอาไปผูก เปน็ แหลน่ อก กบ็ อกใหพ้ ระนกั เทศนบ์ างองคว์ า่ ใหฟ้ งั พอเปน็ ตวั อยา่ งเทา่ นน้ั แกก็เข้าใจเลือกและว่าสลับกันไปสามคนเรื่อยแต่ผมพูดมากกว่าเพื่อนจน จบชี้ใหเ้ ห็นแงศ่ ลิ ปะ วรรณคดี โบราณคดี ธรรมจรยิ า และอืน่ ๆ อกี หลาย อย่าง กระทัง่ ชี้ใหเ้ หน็ ความเก่งกว่าครูเดมิ ของคนไทยในทางกวที ่ีร้อยกรอง เวสสนั ดรชาดกเพราะดกี วา่ ชาวอินเดียเดิม แปลกดไี ด้ผลดอี ยู่ หลวงบรบิ าล๑๖๑พอใจมาก ปลัดบญุ ชวนว่าแหล่นอกของมหาพน ตามแบบของแกเอง น่าฟงั สำ� หรบั คนทกุ จำ� พวก น่ีแหละท่ผี มไม่ทราบว่า จะเรียกวา่ อะไร เลยเรยี กวา่ “มหาชาติรีววิ ” ตอนบ่าย เทศนป์ จุ ฉาวสิ ชั นา กระทู้ว่าการให้ทานตามแบบของพระเวสสันดรน้ันเป็นการบ้าบอชนิดหน่ึง หรอื หาไม่ แต่ไม่ทันจะไดเ้ รื่องดกี ต็ อ้ งรบี จบเพราะฝนตก เครอ่ื งขยายเสยี ง ท�ำความครึกคร้ืนให้มากคือได้ยินท่ัววัด พวกท่ีเลี้ยงคนอยู่ท่ีห้วยก็พลอย ได้ยินไม่ขาดการฟังและคนกระจายกันน่ังตามสบายเป็นภาพที่แปลกกว่าปี ก่อนบนก้อนหนิ ทุกก้อน...” ๑๖๑หลวงบรบิ าลบรุ ภี ัณฑ์ (ปว่ น อนิ ทวุ งศ)์ อดตี หวั หน้ากองโบราณคดี สมัยรฐั บาลของจอมพล ป.พบิ ูลสงคราม. 182
การเทศนร์ วี ิวมหาชาติแบบปฏภิ าณโวหารของพุทธทาสภกิ ขุ พ.ศ. ๒๔๙๐ ผู้ฟังจ�ำนวนมากสนใจฟงั มหาชาติรีวิว (ภาพประกอบจาก หนงั สอื อนทุ นิ ภาพ ๖๐ ปี สวนโมกข์ หน้า ๗๘) นอกจากน้ัน ยังไดเ้ ผยแผ่ธรรมด้วยเครอื่ งขยายเสยี งทางเรือเปน็ คร้ังแรก ในอ�ำเภอกาญจนดิษฐ์ จงั หวดั สรุ าษฏร์ธานี โดยกลา่ วธรรมะแบบปฏิภาณโวหาร สลบั กับการเปิดแถบบันทกึ เสยี งเทศนข์ องสมเดจ็ วัดเทพศริ ินทร์ และเสยี งเพลง ปลุกใจของหลวงวจิ ิตรวาทการเป็นระยะๆ รูปแบบการเผยแผ่ธรรมของพทุ ธทาสภิกขดุ งั กลา่ ว จะเหน็ ได้ว่า เป็นการ เผยแผเ่ ชิงรุกทปี่ รบั ประยุกต์กลวิธีการเผยแผใ่ หห้ ลากหลายและทนั สมัย เพอ่ื ให้ เขา้ ถึงกล่มุ ผู้ฟงั ทีม่ คี วามหลากหลายทง้ั อายุ เพศ การศกึ ษาและฐานะทางสังคม 183
ดงั นน้ั พทุ ธทาสภกิ ขจุ งึ เปน็ พระสงฆท์ มี่ บี ทบาทในการพฒั นารปู แบบการเผยแผธ่ รรม ท่ที ันสมยั ในยุคปจั จุบัน จนเปน็ แบบอย่าง เป็นผู้นำ� ทางความคิดในการเผยแผ่ แปลัญะญตาีคนวันาทมภพิกุทขธุ ธพรรระมรแาบชบญใาหณมก่ขวอ(ี บงพญุ รชะวสนงฆเข์แมลาะภฆริ รตั านว)์า๑๖สน๓อาีกยสหัญลาญยาท่าธนรร๑๖ม๒ศเชัก่นดิ์ นายปรีดี พนมยงค์ นายกหุ ลาย สายประดษิ ฐ์ พระพยอม กลั ยาโณ เปน็ ตน้ หสลิโงัรจราสก๑๖ท๔ชพี่ าทุ วธจทังาหสวภัดกิ เชขียไุ ดงใเ้ ผหยมแ่ ผธ่ใหรร้คมวราปู มแสบนบใจใหในมว่ จิธนกี เาปรน็เผทยร่ี แจู้ ผกั ธ่โดรรยมทขว่ั อไปง เจา้ ช่นื พุทธทาสภกิ ขุ เคยอ่านงานเขียนเร่ือง การปฏิบัตธิ รรม เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ จงึ อยากใหม้ กี ารเผยแผพ่ ทุ ธธรรมแบบใหมใ่ นจงั หวดั เชยี งใหม่ จงึ ใหน้ ายชาญ สโิ รรส ลูกชายคนโต และนายประกาศ ญาณวุฒิ ลกู เขยไปศกึ ษาดงู านเผยแผ่พทุ ธธรรม ท่สี วนโมกขพลาราม จังหวดั สรุ าษฏร์ธานี ครนั้ ตอ่ มา เจา้ ชน่ื สโิ รรส พร้อมดว้ ย เจ้าสุริฉายและคณะเดินทางไปดูงานของคณะธรรมทานที่สวนโมกขพลาราม อีก เม่ือกลับมาเชียงใหม่ จึงได้วางแผนเผยแผ่ธรรม โดยยึดเอารูปแบบของ สวนโมกขพลารามเปน็ แนวทาง พรอ้ มกบั บรู ณะปฏสิ งั ขรณว์ ดั อโุ มงค์ ใหเ้ ปน็ วดั ปา่ ธรรมชาติที่เงียบสงบ เปน็ ท่พี กั สงฆต์ ามแบบสวนโมกขพลาราม เรียกวา่ วัดอโุ มงค์ สวนพุทธธรรม และจดั ตง้ั พุทธนิคมเปน็ องคก์ รเผยแผ่พระพุทธศาสนา รว่ มกัน ระหวา่ งพระสงฆก์ บั ฆราวาส โดยใชร้ ูปแบบการเผยแผ่ธรรมด้วยการเทศน์ การ จดั พมิ พห์ นงั สอื ธรรมะ การออกวารสารชาวพทุ ธ แจกเปน็ ธรรมทาน เจา้ ชนื่ สโิ รรส บนั ทกึ เหตกุ ารณเ์ กย่ี วกับก�ำเนดิ พทุ ธนิคมในระยะเร่ิมแรกตอนหนึง่ วา่ ๑๖๕ “...คณะพทุ ธนคิ มเร่ิมตน้ ทีบ่ ้านแม่เล้ียงดอกจนั ทร์ กีรตปิ าล บา้ น หล่ิงหา้ ต�ำบลสุเทพ อำ� เภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่ สำ� นักงานพทุ ธนคิ ม ตง้ั อยูท่ บี่ า้ นคณุ บทู่ อง กติ ตบิ ุตร(บา้ นกลางเวียง) เปิดเป็นโรงพมิ พ์เล็กๆ พมิ พ์ หนงั สอื มตุ โตทัยของพระอาจารยม์ ัน่ ภูริทตั โต เปน็ เรื่องแรกออกเผยแแพรแ่ ก่ ประชาชนทั่วไป...” ๑๖๒พระประชา ปสนนฺ ธมฺโม และสนั ติสุข โสภนสิร.ิ บรรณาธกิ าร. ภาพชีวิต ๘๐ ปี พทุ ธทาสภิกขุ. อ้างแลว้ . หน้า ๖๑. ๑๖๓อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร. ๑๖๔พระมหาจรรยา สทุ ฺธิญาโณ. ชวี ิต ขอ้ คิด และงานของเจ้าช่ืน. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทรพ์ ริน้ ต้งิ กรุ๊พ. ๒๕๓๕.หน้า ๘๓. ๑๖๕เรอื่ งเดยี วกัน. หน้า ๘๖. 184
ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๔๙๑ เจา้ ชน่ื สิโรร๑ส๖๖ได้อาราธนาพุทธทาสภกิ ขขุ ้นึ มาเผยแผธ่ รรมทีจ่ งั หวดั เชยี งใหมเ่ ปน็ คร้งั แรก ๑๕ วัน ในคร้ังน้ัน พุทธทาสภิกขไุ ด้ เดนิ ทางไปปาฐกถาธรรมหลายอำ� เภอ เชน่ อำ� เภอจอมทอง อ�ำเภอสารภี อำ� เภอ สันปา่ ตอง อำ� เภอสนั ก�ำแพง เป็นต้น ปัญญานนั ทภิกขุ ไดก้ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณ์และ สภาพสงั คมเมืองเชียงใหม่ ในสมยั ทพี่ ทุ ธทาสภกิ ขุข้นึ มาเผยแผธ่ รรมครั้งแรกว่า๑๖๗ “...เกี่ยวกบั เชียงใหม่ เจา้ คณุ พุทธทาสมาเชยี งใหมเ่ พราะใคร อันนี้ สำ� คญั โยมชืน่ สโิ รรสนแี่ หละ เปน็ ตวั การใหญท่ ี่ให้เจ้าคุณมาเชยี งใหม.่ ..มา พกั เชียงใหมค่ ร้ังแรก ๑๕ วนั ตอ้ งไปเทศนท์ กุ วนั เลย ทา่ นเลา่ ให้ฟังว่า พระที่ เชียงใหมน่ ี่ เขาขอใหพ้ ดู เรอื่ งเดียว คือเรอ่ื ง ไสยศาสตร์ มันเปน็ เร่อื งเหลวไหล ไรส้ าระอยา่ งไร พวกพระทีเ่ ชยี งใหม่ ขอใหพ้ ดู อย่างน้ี โจมตีเรอ่ื งนี้ เพราะคน หลงใหลไสยศาสตร์ แต่พระเราที่นี่ไม่รูจ้ ะพดู อย่างไร เมื่อเจา้ คณุ มา กอ็ ยาก ใหไ้ ปพดู โจมตีหนอ่ ย แตท่ า่ นก็ไมโ่ จมตอี ะไร เพียงแตอ่ ธบิ ายส่งิ ถูกต้องใหเ้ ขา ฟัง...” จากนนั้ เจา้ ชนื่ สโิ รรส ได้นิมนต์มาจำ� พรรษาที่วดั อุโมงคส์ วนพทุ ธธรรม แต่พุทธทาสภิกขุไม่สามารถรับค�ำนิมนต์ได้ เน่ืองจากต้องดูแลงานเผยแผ่ท่ี สวนโมกขพลาราม จงึ ติดตอ่ ให้ปัญญานันทภกิ ขุ ซ่ึงขณะนั้นใชน้ ามเรียกขานวา่ ปทมุ ตุ ตรภกิ ขุ ขนึ้ มาเผยแผธ่ รรมแทน เจา้ ชน่ื สโิ รรส มคี วามยนิ ดเี ปน็ อยา่ งยงิ่ เพราะ เคยอ่านบทความเร่ือง ภิกษุกับการเร่ียไร ของปทุมุตตรภิกขุที่เขียนได้อย่าง ตรงไปตรงมา งา่ ยต่อการเข้าใจ และมคี วามทนั สมัย ในเวลาน้นั ปทมุ ุตตรภิกขุก�ำลงั เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยูท่ ่รี ฐั ปีนงั และ รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย พทุ ธทาสภกิ ขไุ ด้เขยี นจดหมายไปอาราธนาใหม้ าชว่ ย เผยแผ่ธรรมที่จังหวัดเชยี งใหม่ หลังจากทปี่ ทมุ ุตตรภิกขตุ อบรบั คำ� อาราธนาได้ ๑ เดอื น จึงเดนิ ทางมาจงั หวัดเชยี งใหม่เมอื่ วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๙๒ พ�ำนกั อยทู่ ่ี วดั อุโมงคส์ วนพุทธธรรม ดงั ความตอนหนึง่ ของปาฐกถาธรรมเรอ่ื ง พุทธทาสกบั เชียงใหม่๑๖๘ ว่า ๑๖๖พระราชนันทมนุ ี (ปัญญานนั ทภกิ ขุ). พทุ ธทาสกับเชียงใหม่ ปาฐกถาธรรมในหนังสือ พทุ ธทาสปรทิ ศั น์. หนา้ ๒๔ - ๒๗. ๑๖๗เรอื่ งเดียวกัน. หนา้ ๒๔ - ๒๕. ๑๖๘พระมหาจรรยา สทุ ธฺ ญิ าโณ. ชีวิต ข้อคดิ และงานของเจ้าช่ืน. อ้างแล้ว. หน้า ๒๖. 185
“...เวลานนั้ อาตมาอยู่ท่ีปีนงั อยมู่ าเลเซยี ๓ ปี ไปอยู่รัฐเประ ๒ ปี ไปอย่ปู ีนัง ทา่ น (พทุ ธทาสภกิ ขุ) กเ็ ขียนจดหมายไปบอกวา่ นอ้ งทา่ นกลบั มาเมืองไทยไดแ้ ลว้ จะใหไ้ ปอยทู่ ีเ่ ชยี งใหม่ ช่วยทำ� งานเผยแผธ่ รรมะท่นี ั่น อาตมาพอไดร้ บั จดหมาย กต็ อบยินดี แต่ขอรออีกสกั เดอื นจึงมา พอมาก็ แวะไชยา มาพกั อยู่เดอื นหนึ่ง พาพระชาวมาเลเซียมาองคห์ น่ึงชื่อคีลานนั ทะ มหาพรท่ีสกึ ไปแล้วกไ็ ปรับมากรุงเทพฯ พกั ทีค่ ณะ ๗ วัดมหาธาตุ ๗ วนั แลว้ ข้ึนรถดว่ นมาเชยี งใหม่ วนั ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นวันทีอ่ าตมามาถงึ เชียงใหม่...ตอนเยน็ ก็เขา้ ไปในวดั อโุ มงค์ ไปพกั ที่วัดอุโมงค์ ท่านเจา้ คุณพุทธ ทาสท่านมาไมไ่ ด้ กส็ ง่ อาตมาใหม้ าแทนทา่ น มาทำ� งานทเ่ี ชียงใหม่ กม็ าด้วย ความต้งั ใจ...” เมอ่ื ปทุมตุ ตรภกิ ขุข้นึ มาเผยแผ่ธรรมท่ีเชียงใหมแ่ ลว้ พทุ ธทาสภกิ ขุก็ได้ ขน้ึ มาเยย่ี มเยยี นพรอ้ มกบั รว่ มปาฐกถาอยหู่ ลายครง้ั โดยเฉพาะเทศกาลวนั วสิ าขบชู า ในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ทัง้ ๒ รูป ได้ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวดั เชยี งใหม่ จัดกจิ กรรม วนั วสิ าขบูชาขน้ึ ณ พระวหิ ารวดั สวนดอก โดยพทุ ธทาสภกิ ขไุ ดป้ าฐกถาธรรม ร่วมกับปทมุ ตุ ตรภิกขุ ในวันดงั กล่าวมีประชาชนและนักเรียนนกั ศกึ ษาเข้าร่วมฟัง ปาฐกถาธรรมจำ� นวนมาก 186
พทุ ธทาสภกิ ขแุ ละปทุมุตตรภกิ ขุ (ปัญญานนั ทภิกข)ุ กำ� ลังปาฐกถาธรรม ในวันวิสาขบชู า ณ วหิ ารหลวงวัดสวนดอก พ.ศ. ๒๔๙๓ มพี ระสงฆ์ ประชาชน และนักเรยี นจำ� นวนมากร่วมฟังปาฐกถา (ภาพประกอบจาก หนงั สืออนุทินภาพ ๖๐ ปี สวนโมกข์ หนา้ ๗๑) 187
หลังจากนั้น พุทธทาสภิกขุได้ข้ึนมาเยี่ยมเยียนและร่วมปาฐกถากับ ปญั ญานันทภกิ ขอุ กี หลายครัง้ ๆ ละ ๗ – ๑๐ วนั ตามสถานที่ต่างๆ เช่น อำ� เภอ จอมทอง อ�ำเภอสารภี อ�ำเภอสนั ปา่ ตอง อ�ำเภอสนั ก�ำแพง อำ� เภอเชยี งดาว อำ� เภอดอยสะเกด็ เปน็ ตน้ ครงั้ สดุ ทา้ ยพทุ ธทาสภกิ ขขุ น้ึ มาเยย่ี มเยยี นทด่ี อยบวกหา้ ซง่ึ ตง้ั อยใู่ กลก้ บั พระตำ� หนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์ แลว้ จดั กจิ กรรมเขา้ คา่ ยปฏบิ ตั ธิ รรม และปาฐกถาธรรมร่วมกนั พุทธทาสภิกขขุ ึน้ มาเยยี่ มการเผยแผธ่ รรมของปัญญานันทภิกขุ ณ วัดอโุ มงค์สวนพุทธธรรม จงั หวัดเชียงใหม่ (ภาพประกอบจาก หนังสอื ชวี ติ ขอ้ คดิ และงานของเจ้าช่นื ) 188
เมื่อปทุมุตตรภิกขุเผยแผ่ธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้ เปล่ียนนามใหม่ว่า ปัญญานันทภิกขุ๑๖๙จากนั้นก็เร่ิมสร้างพุทธสถานจังหวัด เชียงใหม่ เพ่ือเป็นสถานทปี่ าฐกถาธรรม ดงั คำ� บนั ทึกของเจ้าชน่ื สโิ รรส ตอนหนึ่ง วา่ “...เม่ือท่านปัญญานันทะมาถึงเชียงใหม่แล้วได้ปรึกษาหารือกัน หาสถานทแ่ี สดงปาฐกถา การแสดงปาฐกถาของทา่ นปัญญาเปน็ แบบตรงไป ตรงมา คงไม่สบอารมณ์ของท่านเจา้ อาวาสเปน็ แน่ ถา้ หากเราจะไปอาศยั วดั ต่างๆ เป็นท่แี สดงปาฐกถา ขา้ พเจา้ จึงเสนอความเหน็ ว่า จะหาที่ดินสกั เเปลง เพ่ือสร้างศาลาเป็นท่ีแสดงปาฐกถาชั่วคราวให้อยู่นอกวัดเพื่อให้ประชาชน มารบั ฟังกันงา่ ยขึ้น ไม่ตอ้ งมีพิธีรีตอง ท่านก็เห็นดว้ ยทนั ที ขา้ พเจา้ จึงได้ ไปเช่าทด่ี ินของคณุ บทู่ อง ใกล้สี่แยกกลางเวยี งติดกบั ถนน เปน็ เรือนแถวไม้ ดา้ นหลังมีทีด่ นิ พอทีจ่ ะปลูกเปน็ ศาลาชัว่ คราวได้ มงุ ดว้ ยใบตองตงึ ส่วนห้อง แถวไม้ ข้าพเจา้ กจ็ ัดใหเ้ ป็นห้องสมุดและโรงพมิ พเ์ ล็กๆ นค่ี ืออุปกรณ์ การ เผยแผธ่ รรมะของพทุ ธนคิ มยุคแรกๆ ท่านปญั ญานนั ทะกำ� หนดให้มีการเทศน์ อาทิตย์ละ ๒ ครง้ั คอื วนั อาทิตย์ เวลา ๙ โมงเช้า กลางคนื วันพระเวลา ๒ ทมุ่ พอท่านเร่ิมเทศน์ได้ ๔-๕ ครั้ง ประชาชนกเ็ ริม่ เล่อื มใส จากหลงั คามุงใบตอง ตึงท่ีสามารถจคุ นไดป้ ระมาณ ๗๐ คน กข็ ยายเพ่มิ ภายในเวลา ๒ เดอื น เปน็ ๕ ห้อง จคุ นได้ประมาณ ๑๕๐ คน ตอ่ มาไม่กเี่ ดอื นศาลาชั่วคราวกล็ น้ จ�ำนวน ผู้คนทีม่ าฟังเพิ่มขนึ้ เรือ่ ยๆ บางคืนนบั ได้กวา่ ๒,๐๐๐ คน ตอ่ มากิตติศัพท์ทา่ นปัญญานนั ทะ ก็ไดย้ ินไปถึงทา่ นผวู้ ่าราชการ จังหวัด อธบิ ดีศาลภาค ๕ คือคุณสญั ญา ธรรมศักดิ์ และพอ่ ค้าประชาชนคน จนี คนอินเดีย กพ็ ากนั มาฟงั ด้วยและมคี วามเหน็ ตรงกนั ว่า การเผยแผ่พทุ ธ ศาสนาแบบนี้ มปี ระโยชนเ์ ขา้ ใจง่าย ควรทำ� ใหเ้ ป็นหลกั ฐาน เพราะฉะนั้น ควรมีสถานทท่ี ี่ถาวร และควรเปน็ หน้าท่ขี องพทุ ธนคิ มโดยตรง ดว้ ยเหตนุ ้ี พุทธสถานเชยี งใหม่จงึ ปรากฏขน้ึ แต่พทุ ธสถานเปน็ ของประชาชน คอื เป็น ของพุทธสมาคม พุทธนิคม และยวุ พทุ ธิกสมาคม...” ๑๖๙พระมหาจรรยา สุทธฺ ญิ าโณ. ชีวติ ข้อคิด และงานของเจา้ ชน่ื . อา้ งอิงแลว้ . หนา้ ๙๕. 189
ปญั ญานนั ทภกิ ขุกำ� ลังยนื ปาฐกถา ปัญญานนั ทภิกขยุ นื ปาฐกถาบนแทน่ ทีโ่ รงมุงใบตองตงึ พ.ศ. ๒๔๙๓ กอ่ นท่จี ะสร้างพทุ ธสถานเชียงใหม่ 190
ผฟู้ ังนั่งจำ� นวนมากในโรงมุงใบตองตึง 191
การปาฐกถาธรรมของปัญญานันทภิกขุได้ยึดแนวทางของพุทธทาสภิกขุ เป็นหลกั คอื การตีความอธบิ ายความพุทธธรรมแบบใหม่ ทเ่ี น้นแก่นแทข้ อง พระพุทธศาสนา ปฏเิ สธสิ่งทเ่ี ปน็ เปลอื กนอกท่หี อ่ หมุ้ พทุ ธธรรมโดยสนิ้ เชงิ ในคร้ัง นน้ั การเผยแผธ่ รรมของคณะพทุ ธนิคมเชยี งใหม่ประสบผลสำ� เรจ็ โดยล�ำดบั ๑๗๐นบั ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๙๒-๒๕๐๒ ชอ่ื เสียงของปัญญานันทภกิ ขแุ ละพทุ ธนคิ มเชียงใหม่ เปน็ ที่ร้จู กั อย่างกว้างขวางในจังหวดั ภาคเหนอื และภาคอื่นๆ จนปญั ญานนั ทภกิ ขุ ได้รับนมิ นต์ไปปาฐกถาธรรมตามสถานท่ีตา่ งๆ อยูเ่ สมอ ทกุ คร้งั ท่ีปาฐกถาธรรม๑๗๑ มผี สู้ นใจฟงั จำ� นวนมาก หลายคนตอ้ งรบี เดนิ ทางไปถงึ กอ่ นเพอื่ จองทน่ี งั่ ไวล้ ว่ งหนา้ ชาวเชียงใหม่สนใจการปาฐกถาธรรม๑๗๒เพราะเป็นการเผยแผ่ธรรม รปู แบบใหม่ ทพี่ ระสงฆย์ นื พดู บนแทน่ สามารถมองเหน็ และเคลอื่ นไหวอริ ยิ าบถยกมอื ขยบั เทา้ ได้ เน้ือหาคำ� สอนมีความทันสมัย เป็นเรื่องใกล้ตัวผู้ฟงั มเี หตมุ ผี ล และ ใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสาร ผู้ฟังนง่ั บนเกา้ อ้ี ไมน่ ่งั พบั เพียบ สามารถมองเห็น ผปู้ าฐกถาไดช้ ดั เจน เขา้ ใจงา่ ย ไมเ่ นน้ พธิ กี าร การเผยแผธ่ รรมเชน่ นเี้ ปน็ สงิ่ แปลกใหม่ ไม่เคยปรากฏในจารีตการเทศน์ของล้านนามาก่อน แม้ชาวเชียงใหม่บางส่วน จะชนื่ ชอบ นยิ มฟงั และคลอ้ ยตาม แตบ่ างสว่ นกไ็ มช่ นื่ ชอบ เพราะปญั ญานนั ทภกิ ขุ มักเนน้ แก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนา ละทงิ้ ความเป็นทอ้ งถนิ่ ล้านนา มกั ปาฐกถา โสจืบมตตอ่ ีจกาันรตีมทา๑๗้อ๓งเชถ่น่ิน คติความเชอื่ ประเพณวี ฒั นธรรม ลทั ธิพธิ กี รรมที่ยึดถือปฏิบตั ิ การฝงั ลูกนมิ ิต การสรา้ งปราสาทนกหสั ดลี ิงคใ์ นงานบ�ำเพ็ญ กศุ ลศพพระสงฆ์ ประเพณตี กั บาตรพระอปุ คตุ วนั เพง็ พธุ คอื พธิ ใี สบ่ าตรพระอปุ คตุ หลังเที่ยงคืน ในคืนวันพุธท่ีตรงกับวันเพ็ญข้ึน ๑๕ ค�่ำ การเทศน์แบบจารีต (เทศนธ์ รรมเมอื ง) การทำ� ผา้ กน้ั เพดานบนอาสนะของพระสงฆ์ (แทน่ สงั ฆ)์ ในวหิ าร การถวายขา้ วพระพุทธรปู การสูตรกวม (การรกั ษาผู้ปว่ ยด้วยพิธกี รรมอย่างหนึ่ง) กกาารรสปบืชู ชาเาทตยีานสะ(เกดาาระจเดุคเรทายีะหน์ทเปล่ี น็งอตกัน้ ขดรงัะปคาาฐถกาถเพาเอ่ืรคอื่ วงชามวี ติเปขน็อสงขริ ามิ้ พงคเจล๑า้ ๗)๔ปกญัารญพารนมนันทำ�้ มภนกิ ขตุ์ ๑๗๐เรื่องเดียวกนั . หนา้ ๙๗. ๑๗๑สัมภาษณ์ นายบญั ญตั ิ อินทรธนู นายกพทุ ธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่. ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑. ๑๗๒สมั ภาษณ์ นายดุสิต ชวชาต.ิ บา้ นเลขท่ี ๙๖ ถนนทา้ ยวงั ตำ� บลช้างมอ่ ย อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม.่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๑๗๓สัมภาษณ์ พระครูอดลุ สีลกิต.ิ์ อ้างแลว้ . ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔. 192 ๑๗๔ปหจญั กญ. ากนาันรพทมิะภพิก์พขร.ุะนชควี รติ .ข๒อ๕ง๒ข๖า้ พ. หเจนา้ า้ ๖ป๔าฐ-๖ก๕ถา. พเิ ศษเนือ่ งในอายุครบ ๕ รอบ. ๗๒ ปี ปัญญานนั ทะภกิ ข.ุ กรุงเทพฯ :
กล่าวถงึ ประเพณเี พ็งพุธในเชยี งใหมว่ า่ “...อย่เู ชยี งใหมท่ �ำงานต่อสู้กบั ส่งิ ต่างๆ ซ่งึ เรียกว่าฝ่ายทไี่ ม่ใชพ่ ุทธ ศาสนานีม้ าก แก้หลายเรอ่ื งทเี่ หน็ งา่ ยๆ มีอยู่เร่อื งหนึง่ ท่ีแกไ้ ขได้ คือเรอ่ื งการ ใสบ่ าตรกลางคืนตอนตีหน่งึ วนั เดือนไหนเปน็ วนั เพญ็ พธุ แลว้ คนก็ใสบ่ าตร เพราะเขาถือวา่ พระอปุ คุตมาจากสะดอื ทะเลมาบณิ ฑบาต ถา้ ใครไดใ้ ส่บาตร พระอุปคุตจะเปน็ เศรษฐี แล้วทีเ่ ขาคอยใส่บาตรกนั ก็คือสแ่ี ยกอปุ คุตนั่นเอง เชงิ สะพานนวรัฐวดั อุปคุตนน่ั แหละ อนั นี้เปน็ เร่อื งตำ� นานของพมา่ เขา พระ พมา่ ฉันขา้ วตีหน่ึง...นอนหลบั แล้ว พระมาปลุก ปลุกแลว้ บอกว่าไป-ไป-ไป ไปกันเลย กน็ กึ ว่าเขาไปทำ� อะไร ไปถงึ บ้านนัน้ ใหญโ่ ตเป็นบ้านคหบดี พระ หลายสบิ กำ� ลังฉนั ข้าวกัน ดนู าฬิกามันบอกเวลาตีหน่ึงเท่านั้น...ธรรมเนียม นีต้ ดิ มาถึงเชียงใหม่ อาตมาไปถึงวันเพ็ญแรกนนั้ ตรงกับวนั พธุ พอดี เขาใส่ บาตรกันใหญ่...เลยนึกแปลกใจว่า ไม่ได้การใสบ่ าตรตอนกลางคืนนี้ มันไม่ ไหวนะ เลยเตรียมขอ้ ไว้ ใกล้จะมเี พญ็ พธุ อีกจะตอ้ งแกอ้ ันนีไ้ ดไ้ ล่ปฏิทินดู มนั ไปเพ็ญพธุ อีกเดอื นตอ่ ไป ก่อนจะถึงวันเพญ็ พธุ นน้ั แหละ เรม่ิ เทศน์ ปาฐกถา ทหี่ อประชุมพทุ ธสถาน เวลานั้นยงั ไม่ได้ชื่อพทุ ธสถาน เทศน์ใหฟ้ ังว่า มันไม่ ถกู ผิดวนิ ยั อาหารท่ีพระรับไปก็ฉนั ไม่ได้ เสียหาย ไม่ควรท�ำอย่างน้นั พดู กบั ชาวบ้านแล้วก็เขียนลงในหนังสือพิมพ์ด้วย เสร็จแล้วไปหาเจ้าคณะจังหวดั ให้พดู กับพระ บอกวา่ ใตเ้ ท้าอย่าทกุ ขร์ ้อนเร่อื งนี้ ผมบอกกับประชาชนแลว้ ประชาชนเขาเชอ่ื แลว้ ใต้เท้าสง่ั พระอย่าให้ออกในตอนวันเพญ็ พุธ ทา่ นก็ส่ัง ไปทุกวดั แลว้ เราก็ส่ังใหญ้ าติโยมคอยดวู า่ พระวัดไหนออกมาบ้าง โยมหลวง ศรีประกาศแกตนื่ ตอนดึก เที่ยวเอารถออกดู มีพระบา้ นนอกเดนิ เขา้ มาองค์ หนึง่ แกพบเขา้ กบ็ อกว่า เอ้า มาทำ� อะไร เขาเลกิ กันแลว้ แล้วพระองค์นน้ั ก็ กลับวดั ไป การใส่บาตรวันเพ็ญพุธทีเ่ ชยี งใหม่ ไมม่ แี ลว้ เพราะวา่ ไปเทศนแ์ ก้ อย่างน้ี แก้หายไป พยายามแก้อยู่หลายเร่อื ง...” 193
การปาฐกถาเช่นนท้ี �ำให้ชาวเชยี งใหม่ โดยเฉพาะผทู้ ่ีมีฐานะ มีสถานภาพ ทางสังคมดี และเปน็ ปัญญาชนในตวั เมอื ง มีความช่ืนชอบและคล้อยตาม แต่ ชาวเชยี งใหมอ่ ีกกลุ่มหน่งึ โดยเฉพาะท่อี ยนู่ อกเมอื งเชียงใหม่ ไม่เห็นดว้ ย ทำ� ใหม้ ี การวพิ ากยว์ จิ ารณ์ซึง่ กันและกนั ระหว่างกลุ่มท่ีเห็นดว้ ยและไมเ่ หน็ ดว้ ย โดยกล่มุ ท่เี ห็นดว้ ย ได้กล่าวโจมตกี ลมุ่ ท่ไี ม่เห็นดว้ ยว่า เปน็ คนงมงาย ไม่มีปัญญา และไม่ เปน็ ชาวพทุ ธทแี่ ทจ้ รงิ ในขณะทก่ี ลมุ่ ทไี่ มเ่ หน็ ดว้ ย ไดก้ ลา่ วโจมตกี ารยนื ปาฐกถาธรรม และการตคี วามพทุ ธธรรมแบบใหมข่ องปญั ญานนั ทภกิ ขวุ า่ ไมใ่ ชก่ ารเทศน์ เพราะผพู้ ดู ไม่นั่งบนธรรมาสน์ ไม่ตั้งนะโม ไม่ถอื คัมภรี ธ์ รรม เป็นแต่เพยี งการแสดงทศั นะ ของผู้พดู และเปน็ ผ้ทู ำ� ลายจารตี ประเพณที ่ดี ีงามของทอ้ งถนิ่ ความตอนหน่งึ ของปาฐกถาเรื่องชวี ิตของขา้ พเจ้า๑๗๕ปัญญานันทภิกขุได้กล่าวถงึ ความตั้งใจในการ ปาฐกถาทเี่ ชียงใหม่วา่ “...เวลาอาตมาเทศนป์ าฐกถาน้ที ำ� ไมจึงใช้ปาฐกถา ทำ� ไมไมเ่ ทศน์ แบบเก่า ขอบอกตรงๆวา่ เบื่อเต็มทีในการเทศน์แบบเก่า เทศน์คูถ่ ามกนั ไป ถามกันมา เลน่ ส�ำนวน อวดสำ� นวนกนั เสรจ็ แล้วโยมไม่ไดอ้ ะไรเลย...รู้สกึ ว่า ประโยชน์มันน้อย คนไม่กา้ วหน้าในการศกึ ษาธรรมะ เราควรจะเทศน์ในรปู แบบใหม่ เลยคิดว่า ปาฐกถาดกี ว่า ขึ้นไปเชียงใหม่ จึงไดเ้ ริ่มแสดงปาฐกถา ในรูปใหม่ พดู ให้ฟังงา่ ยๆ ตรงไปตรงมา อนั ใดผิด ก็ว่าผิด อันใดถกู ก็บอก วา่ ถกู อนั ใดควรแก้ไขก็แก้ ไมต่ อ้ งเกรงใจใคร แมป้ ระเพณีทเ่ี คยท�ำมาทเี่ หน็ ว่าไมเ่ หมาะไม่ควร ก็บอกใหเ้ ลิก ใหค้ ดิ เลกิ กัน อนั นไ้ี ปกระทบกับคนอน่ื คน ทเี่ ขาไดป้ ระโยชนจ์ ากสงิ่ น้ัน เปน็ การท�ำลายเขา เขากไ็ ม่พอใจ แตว่ า่ คนทมี่ ี ปญั ญานน้ั มมี ากกวา่ เราไมต่ ้องทกุ ข์ร้อนอะไร เทศนเ์ ร่ือยไป มีคนสนับสนนุ เหน็ ดเี หน็ งาม กบั ส่งิ เหล่านกี้ ็มาก...” ๑๗๕ปญั ญานันทะภิกขุ. ชีวติ ของขา้ พเจา้ ปาฐกถาพเิ ศษเน่อื งในอายุครบ ๕ รอบ. อา้ งแลว้ . หน้า ๖๖. 194
รศ.(พิเศษ) ถาวร เสาศรจี ันทร์๑๗๖เลา่ ถึงสถานการณ์ในการปาฐกถาของ ปัญญานันทภิกขุในสมัยน้ันวา่ “การทปี่ ญั ญานันทภกิ ขขุ ึ้นมาปาฐกถาทเี่ ชยี งใหม่น้นั เป็นเพราะ เจ้าชน่ื สโิ รรส ตอ้ งการใหม้ าเทศนแ์ บบใหม่ เพราะในขณะนน้ั พทุ ธศาสนา ในเชยี งใหม่ เต็มไปด้วยเวทมนตรค์ าถาไสยศาสตร์ ความเชอ่ื เรอ่ื งผีวญิ ญาณ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาท่ีแท้จรงิ ส่วนการเทศน์นน้ั ถา้ ไม่มคี มั ภรี ใ์ บลานก็ไม่ถอื เปน็ การเทศน์ ต้องถอื คมั ภรี ใ์ บลานเทศนด์ ว้ ยท�ำนองท้องถน่ิ เทา่ นัน้ จึงจะ เรียกว่า การเทศน์ ชาวบา้ นเขา้ ใจว่า พระธรรมคอื คัมภีรใ์ บลาน ชาวบา้ น บอกว่า ยนื เทศนไ์ ม่ใชก่ ารเทศน์ แตเ่ ปน็ การยืนพูด เพราะตอนแรกนนั้ พุทธ ทาสภกิ ขุขึน้ มาปาฐกถาก่อน ต่อมาปญั ญานันทภิกขไุ ดร้ ับช่วงปาฐกถาสบื มา ปัญญานันทภิกขุออกไปปาฐกถาตามวัดและชุมชนต่างๆ เน้อื หาที่เน้นคอื ความรู้ทางพุทธศาสนา สมัยนน้ั ท่านเป็นพระหนมุ่ ไฟแรง มีความคดิ กา้ วหน้า จงึ มกั โจมตีวฒั นธรรมท้องถิ่นตา่ งๆ คร้ังหน่ึง เจ้าอาวาสวัดแหง่ หนึ่งในเมอื ง เชยี งใหม่มรณภาพ เขานมิ นต์ปัญญานนั ทภกิ ขไุ ปปาฐกถา ทา่ นกล่าวว่า การ สรา้ งปราสาทศพตอ้ งเสียเงนิ ทองไปเทา่ ไหร่ เหมอื นเราเอาเงินไปเผาทิ้งไม่มี ประโยชน์ เจา้ คณะจังหวดั ในสมยั นัน้ เกดิ ความรู้สกึ ว่า ทา่ นปญั ญานนั ทภกิ ขุ มาถอนหงอกเราเสียแลว้ ทำ� ให้เกดิ ความร้สู กึ ทไี่ มด่ ี อีกอยา่ งหน่ึง ในสมยั นนั้ มีการเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ด้วย ไม่ใช่มีแตเ่ ทศน์ตามคมั ภรี อ์ ย่างเดียว ทา่ น ปญั ญานนั ทภิกขุก็กล่าววา่ การเทศน์ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเทศนต์ ามคมั ภรี ์เท่านน้ั ความรมู้ นั อยู่ทสี่ มองเรา ความรขู้ องเรา ความสามารถของพระ พระต้อง เรียนต้องศึกษา ไม่ใช่บวชมาแลว้ มแี ตท่ ่องสวด เทศน์คำ� เมือง ท่องค�ำใหศ้ ีล ให้พรเท่าน้ัน อย่างอื่นทำ� ไม่ได้ การปาฐกถาเชน่ น้ี เปน็ เหตุให้พระสงฆ์รู้สึกไม่ ชอบท่าน...” ๑๗๖สัมภาษณ์ รศ. (พเิ ศษ) ถาวร เสารศ์ รีจนั ทร.์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตเชยี งใหม.่ ๑๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๔. 195
พระสงฆ์เชียงใหม่บางรูปที่มีบทบาทในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น๑๗๗ เชน่ พระธรรมราชานวุ ัตร (ฟู อตฺตสิโว)๑๗๘ เปน็ ต้น กม็ ที ัศนะไมเ่ หน็ ด้วยกับการ ปาฐกถาของปัญญานันทภิกขุ เพราะมีลักษณะปฏิเสธวัฒนธรรมท้องถิ่นและ คกวราะมทชบน่ื กชรอะบทม่ังกั คหณาอะบุสางยฆไ์ปแฟตงั ่พปราฐะกมถหาาอหยนเู่ สู มถอาวโดโรย๑ม๗๙พี ซร่ึงะเวปนิ ็นยั ศโกิษศยล๑์ใ๘ก๐รลว่ ้ชมิดเดกนิ ลทับามงี ไปฟงั ด้วย ภายหลงั ทง้ั ๒ รูปน้ี ไดพ้ ฒั นาตนเปน็ พระนกั เทศน์ พระนักพัฒนาท่ี มีชอ่ื เสียงของจงั หวัดเชียงใหม่ พระพรหมมงั คลาจารย์ (ปญั ญานันทภิกข)ุ ๑๗๗สมั ภาษณ์ นายบัญญตั ิ อนิ ทรธนู. อา้ งแลว้ . ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑. ๑๗๘อดตี เจ้าคณะตรวจการคณะสงฆ์ภาค ๕ อดีตเจ้าอาวาสวดั พระสงิ ห์ มบี ทบาทในการเรยี บเรยี งมหาชาติเวสสันดรชาดก ฉบบั สรอ้ ยสงั กร จดั พิมพล์ งใบลานดว้ ยภาษาไทยกลาง และรวบรวมคำ� ศพั ทท์ อ้ งถิ่นล้านนาพรอ้ มค�ำแปล จัดพิมพ์เป็นต�ำรา หลกั ภาษาไทยพายัพ. ๑๗๙สมณศกั ดิ์สุดท้าย พระธรรมสิทธาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระสิงหว์ รมหาวิหาร อดตี เจา้ คณะจังหวดั เชยี งใหม่ ฝา่ ยมหานิกาย. ๑๘๐สมณศักด์สิ ุดท้าย พระพทุ ธพจนวราภรณ์ อดตี เจา้ อาวาสวดั เจดยี ์หลวงวรวิหาร อดตี เจ้าคณะจงั หวดั เชยี งใหม่ ฝ่ายธรรมยุต.ิ 196
ปญั ญานันทภกิ ขปุ าฐกถาธรรม ณ วดั พระธาตุดอยสะเกด็ พระอารามหลวง จงั หวัดเชยี งใหม่ (ขอบคุณภาพจาก วัดพระธาตดุ อยสะเกด็ พระอารามหลวง) นายบัญญัติ อินทรธนู เลา่ ถงึ การปาฐกถาธรรมของปญั ญานันทภกิ ขวุ า่ ๑๘๑ “...สมยั กอ่ น แท่นสำ� หรบั ใหพ้ ระสงฆ์น่ังเรยี งยาวในวิหาร ตอ้ งมี ผา้ ขาวมาขึงบนเพดาน เพอื่ ใหเ้ ทวดามาน่งั ฟังธรรมอยู่ดา้ นบน เมอ่ื ปญั ญา นันทภกิ ขขุ น้ึ มาปาฐกถาธรรม ท่านเทศนใ์ นแงข่ องการพัฒนา ตอนนั้นอายุ ประมาณ ๓๐-๔๐ กวา่ ถือวา่ เป็นช่วงท่ีมไี ฟแรงมาก ประเพณตี ่างๆ ท่ีท่าน นำ� ไปพดู ปาฐกถาจนมผี ลกระทบในคร้ังนัน้ ในวนั นม้ี ีการเปลยี่ นแปลงไปมาก เพราะเดก็ รุ่นหนงึ่ ที่เคยฟัง มันถกู ปลูกฝัง เช่น ผา้ เพดานบนแทน่ สงฆ์ตอน นไ้ี ม่มแี ลว้ บางบา้ นไมม่ ีศาลพระภมู ิแลว้ แต่ประเพณีข้นึ ท้าวทั้งสี่ กย็ งั มอี ยู่ ท่วั ไป ประเพณเี พง็ พธุ ก็หายไป สิง่ ท่ปี ญั ญานนั ทภกิ ขกุ ลวั คือพระเณรท่ีรับ บณิ ฑบาตในคืนวนั เพ็งพุธแลว้ น�ำไปฉัน ทั้งทีย่ งั ไม่ถงึ เวลา มนั ผิดวนิ ัย...” แม้กลุ่มปัญญาชนในตัวเมืองเชียงใหม่จะยกเลิกประเพณีใส่บาตร พระอปุ คตุ ในวนั เพ็งพุธ แต่ชาวเชียงใหมท่ อี่ ยอู่ ำ� เภอรอบนอก ก็ยงั ยึดถือปฏบิ ตั ิ อยเู่ หมือนเดมิ เมอ่ื พ.ศ.๒๕๓๙ - ๒๕๔๐ ผเู้ ขยี นเคยออกบิณฑบาตในคืนวนั เพง็ พุธ ประมาณ๐๒.๐๐-๐๕.๐๐น.จากถนนตลาดวโรรสไปถนนทา่ แพและถนนชา้ งมอ่ ย เดินวนเวยี นอยหู่ ลายรอบ มีคนใสบ่ าตร ๕ - ๖ คน เป็นชาวบา้ นท่อี ยนู่ อกตวั เมอื ง เดินทางมาไหวพ้ ระทวี่ ัดอุปคุต แล้วก็รอใสบ่ าตรท่ตี ลาดวโรรส ส่วนคนท่อี าศัย อยูใ่ นตวั เมืองเชยี งใหมไ่ มม่ ใี ครใสบ่ าตร ได้แตย่ นื ดูเฉยๆ พรอ้ มกบั สงสยั วา่ ท�ำไม พระออกบิณฑบาตตอนกลางคืน ในขณะเดียวกันระหว่างที่เดินบิณฑบาต ๑๘๑สมั ภาษณ์ นายบัญญตั ิ อนิ ทรธน.ู อา้ งแลว้ . ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑. 197
ไปมาน้ัน ก็พบตำ� รวจนั่งรถมอเตอรไ์ ซด์ออกตรวจ ๓ คร้งั คร้งั สุดทา้ ย ตำ� รวจ ก็อดสงสยั ไมไ่ ด้ จงึ จอดรถถามวา่ ท�ำไมออกบิณฑบาตตอนกลางคืน ปกตพิ ระจะ บณิ ฑบาตตอนเชา้ ตรู่ไมใ่ ช่หรือ ผูเ้ ขียนกต็ อบวา่ วันน้เี ปน็ วนั เพ็งพธุ คนลา้ นนาเขา เชอื่ วา่ พระอุปคตุ จะแปลงร่างเปน็ สามเณรนอ้ ยออกบณิ ฑบาต จงึ ออกบณิ ฑบาต มาโปรดญาตโิ ยม ต�ำรวจกเ็ ข้าใจแล้วขับรถจากไป ผเู้ ขยี นกเ็ ดินออกบาตรต่อไป จนรงุ่ สางประมาณ ๐๕.๔๕ น. กเ็ ร่ิมมคี นมาใส่บาตรตามปกติ จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า ชาวล้านนาในตัวเมือง เชียงใหม่ ได้ละทง้ิ คตคิ วามเช่อื ด้านการใสบ่ าตรพระอุปคุตในคืนวนั เพง็ พุธ ตาม การปาฐกถาของปญั ญานนั ทภกิ ขแุ ลว้ แตภ่ ายหลงั วดั อปุ คตุ ไดจ้ ดั กจิ กรรมใสบ่ าตร วนั เพง็ พธุ ขน้ึ กเ็ รม่ิ มคี นสนใจมาใสบ่ าตรหลงั เทย่ี งคนื มากขน้ึ ตอ่ มาพ.ศ.๒๕๔๙-๒๕๕๐ มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น�้ำโขง มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม่ ไดจ้ ดั กจิ กรรมใสบ่ าตรวนั เพง็ พธุ ขึน้ ณ วดั สวนดอกพระอารามหลวง มีคนสนใจมาใส่บาตรจ�ำนวนมาก พ.ศ. ๒๕๕๑ มูลนิธกิ ารศกึ ษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมภิ าคลมุ่ แม่น้ำ� โขง ร่วมกับ สอื่ มวลชนจงั หวดั เชยี งใหมแ่ ละชมรมศลิ ปนิ ลา้ นนา ไดจ้ ดั กจิ กรรมใสบ่ าตรพระอปุ คตุ ในวันเพ็งพุธข้ึนอีกโดยอัญเชิญพระอุปคุตแกะสลักด้วยหินอ่อนจากวัดธัมโมทยะ ซงึ่ เปน็ วดั ไทใหญ่ เมอื งเชยี งตงุ ประเทศสหภาพเมยี นมาร์ มาประดษิ ฐานใหป้ ระชาชน สกั การะทวี่ ดั สวนดอกพระอารามหลวง และประชาสมั พนั ธท์ างสอื่ มวลชนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ท�ำให้ประเพณีใส่บาตรพระอุปคุตหลังเที่ยงคืนเป็นท่ีสนใจมากขึ้น หลังจากน้ัน กระแสการใส่บาตรพระอปุ คตุ ในวนั เพ็งพธุ ก็แพร่หลาย วดั ในเมอื งและนอกเมือง เชียงใหม่หลายวัด กเ็ ริม่ ฟ้ืนฟแู ละจัดกจิ กรรมดังกลา่ วอย่างกวา้ งขวาง บางวดั ก็ จดั พธิ ี จดั กจิ กรรม และจดั ทำ� วตั ถมุ งคลเกย่ี วกบั พระอปุ คตุ ออกจำ� หนา่ ยจา่ ยแจก หลายรปู แบบ เชน่ พธิ สี วดมนตไ์ หวพ้ ระ พธิ เี ทศนแ์ บบปฏภิ าณโวหาร พธิ อี าบนำ้� มนต์ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ พธิ สี บื ชะตาสะเดาะเคราะห์ การจดั ทำ� รปู เหมอื น เหรยี ญ ผา้ ยนั ตอ์ ปุ คตุ การแสดงศลิ ปวัฒนธรรม เปน็ ตน้ 198
พระอุปคตุ แกะสลักหนิ อ่อน จากวดั ธัมโมทยะ เมอื งเชียงตุง ประเทศสหภาพเมียนมาร์ (ขอบคณุ ภาพจาก นายครี นิ ทร์ หินคง) พ.ศ. ๒๕๕๑ มลู นธิ ิการศกึ ษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมภิ าคลมุ่ แมน่ ้ำ� โขง มจร.วทิ ยาเขตเชียงใหม่ รว่ มกบั สื่อมวลชนจงั หวัดเชยี งใหม่ และชมรมศลิ ปินลา้ นนาได้รับมอบพระอปุ คตุ แกะสลกั หินอ่อนจากเจา้ อาวาส วดั ธัมโมทยะ เมอื งเชยี งตุง ประเทศสหภาพเมียนมาร์ เพื่ออัญเชญิ มาให้ประชาชนจังหวัดเชยี งใหมไ่ ด้สักการะและใสบ่ าตรในวันเพง็ พธุ (ขอบคณุ ภาพจาก นายบญุ ญฤทธ์ิ ตลุ าพันธ์พงศ)์ 199
ประเพณใี ส่บาตรพระอปุ คตุ ในคนื วนั เพ็งพุธ ณ วัดสวนดอกพระอารามหลวง ตำ� บลสุเทพ อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งใหม่ การสวดมนตไ์ หวพ้ ระ การเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ 200
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275