ตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ ตะวนั ออ้ มขา้ วคอื .. ลักษณะทดี่ วงอำทิตย์ปรำกฏข้ึนจำกขอบฟ้ำทำงทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้โคจรออ้ มลงส่ขู อบ ฟ้ำทำงทิศตะวันตกเฉยี งใต้ในฤดหู นำว ซึ่งเปน็ ฤดเู ก็บเกยี่ วข้ำว 151
ตะวันออ้ มเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากปรากฏการตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ ปรำกฏกำรณ์นีม้ ีสำเหตุมำจำก วงโคจรรูปของแกน โลกแบบเอยี งๆ และตำแหน่งประเทศไทยทอี่ ยเู่ หนือแนวเส้น ศูนยส์ ตู ร แกนโลกเอียงขวำเล็กน้อยทำใหป้ ระเทศไทยได้รบั แสงแดดจำกดวงอำทติ ยใ์ นองศำมุมเฉยี งลงเล็กนอ้ ย ปริมำณ ควำมรอ้ นท่ีได้จงึ ไมส่ ม่ำเสมอตลอดท้งั ปี แต่กม็ ีระดบั ควำม ตำ่ งทยี่ ังไมร่ นุ แรงมำกจนเรำจะรสู้ กึ ตวั ได้แบบชัดๆ 152
ตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากปรากฏการตะวนั อ้อมเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ – ช่วงวนั ท่ี 21 มนี าคม กับวันที่ 21 กนั ยายน เปน็ วันท่ีกลำงวนั กับกลำงคนื กินเวลำ เท่ำกนั พระอำทิตยจ์ ะข้นึ ทิศตะวันออกและตกลงทศิ ตะวนั ตกพอดี – ช่วงวนั ที่ 21 มิถนุ ายน เป็นวนั ท่พี ระอำทิตยอ์ ้อมขึน้ เหนอื ที่สดุ กลำงวนั จะยำวนำน พระอำทติ ย์ขนึ้ ตงั้ แตเ่ ช้ำแต่ตกดนิ ชำ้ – ส่วนชว่ งวนั ท่ี 21 ธันวาคม เปน็ วนั ทีพ่ ระอำทติ ย์ออ้ มใตม้ ำกท่สี ุด ดวงอำทติ ย์ข้นึ ช้ำ ช่วง กลำงวันสัน้ และตกดนิ อยำ่ งรวดเร็ว ทำให้ช่วงกลำงคนื ยำวนำน 153
ตะวันออ้ มเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากปรากฏการตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ 154
ตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลือกเปดิ รับแสงดา้ นเหนือ กันแดดดา้ นใตแ้ ละตะวนั ตก” ผลลัพธท์ ต่ี ำมมำของทศิ พระอำทิตยอ์ อ้ มทำงใต้กค็ อื หอ้ งท่อี ยูท่ ำงทศิ เหนอื ของบำ้ นจะ ได้รับควำมร้อนน้อยกว่ำทำงทิศใต้ เป็นเวลำ 8-9 เดือน (มนี ำคม-กันยำยน) ผนังบำ้ นทำงทิศ ตะวันตกเยอ้ื งไปถึงทำงทิศใต้ก็จะได้รับแสงแดดตลอดช่วงบำ่ ยถึงเย็น สะสมควำมร้อนเอำไว้เป็น เวลำนำน อำกำศภำยในรอ้ นอบอ้ำว เมื่อตกกลำงคืน ผนงั กจ็ ะคอ่ ยๆ คำยควำมร้อนออกมำเพ่ิม อณุ หภูมคิ วำมร้อนในหอ้ งอีกคร้ัง ทำให้ต้องสิ้นเปลอื งพลงั งำนเคร่ืองปรบั อำกำศมำกกว่ำปกติ 155
ตะวันออ้ มเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลือกเปดิ รับแสงดา้ นเหนือ กนั แดดดา้ นใต้และตะวันตก” 156
ตะวนั อ้อมเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลือกเปดิ รบั แสงดา้ นเหนือ กันแดดดา้ นใต้และตะวนั ตก” ส่วนในชว่ งเดอื นท่เี หลืออีกประมำณ 3-4 เดือน (พฤษภำคม – กรกฎำคม) ดวงอำทติ ย์จะจะเคลื่อนที่อ้อมผ่ำนทิศเหนอื โดยมมี มุ แดดคอ่ นข้ำงสูง ส่งผลใหผ้ นงั บำ้ นได้รบั อทิ ธพิ ลควำมรอ้ นจำกแสงแดดค่อนข้ำงนอ้ ย เป็นทิศทเ่ี หมำะแกก่ ำรจดั วำงห้องรบั แขก สว่ น นัง่ เลน่ มมุ พกั ผ่อนชลิ ๆ ของบำ้ นเอำไว้ในตำแหน่งน้ี สำมำรถเปดิ หน้ำตำ่ งรับลมชมวิวได้ เกือบตลอดทง้ั วนั เลย 157
ตะวนั อ้อมเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ “เลอื กเปิดรับแสงดา้ นเหนือ กันแดดดา้ นใตแ้ ละตะวนั ตก” วธิ กี ำรวำงผงั แปลนบ้ำนเพ่ือหลีกเล่ยี งแสงแดดในประเทศไทย จึงทำไดโ้ ดยกำรวำงแนว ด้ำนแคบของตวั บำ้ นหันไปทำงทศิ ทำงรับแดดเสียแทน เพ่ือให้ผนงั ท่รี บั แดดมีนอ้ ยทส่ี ดุ ให้ผนงั สำมำรถดดู กลนื ควำมร้อนในปริมำณแค่เพยี งเล็กน้อยเมือ่ ดดู ซบั มำน้อย กจ็ ะใช้เวลำคำยออกแค่ เลก็ นอ้ ย ทำให้ภำยในบ้ำนไม่ร้อนเกนิ ไปแมใ้ นเวลำกลำงคืน 158
ตะวันออ้ มเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลือกเปดิ รับแสงดา้ นเหนือ กนั แดดดา้ นใต้และตะวันตก” 159
ตะวันอ้อมเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลอื กเปิดรบั แสงดา้ นเหนือ กันแดดดา้ นใต้และตะวันตก” ถ้ำประเทศอยตู่ รงบรเิ วณเสน้ ศูนย์สูตร อยำ่ งสิงคโปร์ (ละติจูด 1 องศำเหนอื ) ตะวันกจ็ ะอ้อมเหนอื 6 เดอื น และอ้อมใต้ 6 เดอื น ไมม่ เี หตกุ ารณก์ ลางวนั ส้ันกลางคนื ยาวกลางวนั ยาวกลางคืนสนั้ อะไรทง้ั สน้ิ 160
ตะวนั ออ้ มเหนอื -ตะวนั ออ้ มใต้ “เลอื กเปิดรับแสงดา้ นเหนือ กันแดดดา้ นใต้และตะวนั ตก” เมอ่ื ประเทศคอ่ นมำทำงเหนอื มำกขึ้น ควำมไม่เท่ำกันของกำรอ้อมเหนอื ออ้ มใต้ก็มำกข้นึ กรงุ เทพละตจิ ดู 14 องศำเหนอื ตะวันจะค่อนเหนอื อย่ใู นชว่ งปลำยเมษำยนถึงกลำงสงิ หำคม รำวสำม เดอื นคร่งึ ที่ยะลำกบั เชยี งใหม่ก็ไมเ่ หมือนกัน เชยี งใหม่จะมีจำนวนเดอื นท่ีออ้ มใตม้ ำกกว่ำยะลำ หำกประเทศทอ่ี ย่ทู ีเ่ สน้ Tropic of Cancer (ละติจูด 23.5 องศำเหนอื ) แลว้ ตะวันจะมีแต่ ออ้ มใตต้ ลอดปี โดยเดอื นมิถุนำ ตะวันผ่ำนกลำงหลังคำบำ้ น เดอื นธันวำตะวันออ้ มใต้มำก มมี มุ เงยเพียง 90-(23.5 x 2) = 43 องศำ 161
ตะวันอ้อมเหนอื -ตะวนั อ้อมใต้ “เลือกเปดิ รับแสงดา้ นเหนอื กนั แดดดา้ นใตแ้ ละตะวันตก” หำกประเทศอยู่เหนือขึ้นไปอีก ยกตัวอยำ่ งญป่ี ่นุ เมืองหลวงอยู่ที่ละตจิ ูด 35 องศำเหนือ เดอื นมถิ ุนำ ตะวนั ค่อนไปทำงใต้ มมี มุ เงย 90-35+23.5 = 78.5 องศำ เดือนธันวำ ตะวันคอ่ นใตเ้ อำมำก มมี ุมเงย 90-35-23.5 = 31.5 องศำ ท่ียกตัวอย่ำงมำเปน็ พืน้ ทีข่ องประเทศเหนอื เส้นศูนยส์ ตู ร หำกเป็นประเทศใตเ้ ส้นศูนยส์ ตู รก็ จะมผี ลกลับกัน 162
วันเหมายนั หรือ ทกั ษิณายนั 21 ธนั วาคม วนั เหมายนั ปรากฏการณ์ตะวันออ้ มขา้ ว 163
วนั เหมายนั หรือ ทักษณิ ายนั 21 ธันวาคม วนั เหมายนั หรอื ปรำกฏกำรณ์ตะวันอ้อมข้ำว คอื วนั ที่กลำงคืนจะยำวนำนกวำ่ กลำงวนั และเปน็ วันทเ่ี กษตรกรควรวำงแผนกำรเพำะปลูกลว่ งหน้ำอีกด้วย ทุกวนั ที่ 21-22 ธันวาคมของทกุ ปี จะเป็นวันท่ดี วงอำทติ ย์ข้นึ ทำงทิศตะวนั ออกเฉยี งใต้และ ตกทำงทิศตะวนั ตกเฉียงใต้มำกท่ีสุด โดยดวงอำทิตย์จะอยู่หำ่ งจำกขว้ั โลกเหนือ จงึ ทำให้ประเทศใน แถบขัว้ โลกเหนอื บำงสว่ นมองไม่เหน็ ดวงอำทิตย์ แตใ่ นทำงกลบั กนั ดวงอำทติ ย์จะเอียงเขำ้ หำขัว้ โลกใต้ ทำใหป้ ระเทศในแถบขัว้ โลกใต้ ได้แก่ ออสเตรเลีย นวิ ซแี ลนด์ และประเทศตำ่ ง ๆ ในทวปี อเมริกำใต้ ได้รบั แสงอำทิตย์มำก ส่งผลให้อำกำศร้อนกว่ำปกติ 164
วันเหมายนั หรอื ทกั ษิณายนั โดยปรำกฏกำรณด์ งั กลำ่ ว ทำให้มีช่วงกลำงคืนที่ยำวนำนกวำ่ ชว่ งกลำงวนั ซึ่งคนไทยเรยี ก ปรำกฏกำรณ์น้ีว่ำ \"ตะวันออ้ มข้าว\" สำหรบั ทำงซกี โลกเหนอื จะเรยี กวำ่ \"วันเหมายนั \" (Winter solstice) และคนไทยส่วนใหญ่กเ็ รยี กวันน้วี ำ่ วนั เหมำยันเช่นกัน เนอื่ งจำกประเทศไทยทจ่ี ัดอยูใ่ นซกี โลกเหนือ ในขณะทที่ ำงซีกโลกใตจ้ ะเรียกวันดงั กล่ำวน้ีวำ่ \"วนั ครษี มายัน\" (Summer solstice) ทัง้ นี้ วนั เหมำยัน อำ่ นวำ่ เห-มำ-ยัน มีอกี ช่อื หนงึ่ คอื วนั ทกั ษิณำยัน เปน็ กำรท่ีดวงอำทติ ย์โคจรไปถงึ จุด หยดุ (Solstice) คอื จดุ สุดทำงใต้ในวนั ที่ 22 ธนั วำคม 165
วันเหมายนั หรือ ทกั ษณิ ายนั ตะวันอ้อมขา้ ว มีควำมหมำยต่อคนไทยในเรอ่ื งกำรเกษตร เนือ่ งจำกมีควำมเชือ่ ว่ำ ชว่ งเวลำ กำรเกดิ ตะวนั ออ้ มขำ้ วเปน็ ช่วงทีพ่ ระแม่โพสพกำลังต้ังท้อง หรอื ช่วงเวลำท่ีข้ำวกำลงั ต้งั ท้องพอดี ดวง อำทิตย์จึงทำควำมเคำรพพระแมโ่ พสพดว้ ยกำรไมเ่ ดนิ ข้ำมศีรษะของพระแมโ่ พสพ แต่เปลี่ยนเปน็ ออ้ ม ไปทำงทิศใตแ้ ทน เป็นสญั ญำณให้เกษตรกรเตรยี มตัวเขำ้ สู่ฤดหู นำวและช่วงเวลำเกบ็ เก่ยี ว 166
วนั เหมายนั หรอื ทักษิณายนั นอกจำกนต้ี ะวันอ้อมข้ำวยังมีผลต่อกำรเกษตรทีต่ อ้ งใช้ธรรมชำติในกำรเพำะปลกู แทน เทคโนโลยอี ุตสำหกรรมอยำ่ งในปจั จุบัน เม่ือเกดิ ปรำกฎกำรณด์ ังกลำ่ ว เกษตรกรควรวำงแผนในกำร เพำะปลกู พืชผกั เพรำะพชื แตล่ ะชนิดต้องกำรแสงมำกนอ้ ยแตกตำ่ งกัน ซึ่งในชว่ งตะวันออ้ มขำ้ วแดดจะ แรงและอำกำศจะแหง้ กว่ำปกติ ทำให้พืชท่ตี ้องกำรควำมชน้ื อำจแห้งตำยจำกกำรขำดน้ำและเหี่ยวเฉำ ได้ แตห่ ำกวำงแผนกำรเพำะปลกู ได้ดีจะทำใหป้ ลูกได้ตลอดทัง้ ปี เกษตรกรที่แปลงผักอยู่ทำงทิศใตจ้ งึ จะได้เปรียบมำกกว่ำ 167
ปฏทิ ินสุรยิ คตแิ ละจันทรคติ 168
ปฏทิ นิ สุรยิ คตแิ ละจันทรคติ ปฏทิ นิ จนั ทรคติ (องั กฤษ : lunar calendar) เปน็ คำใชเ้ รียกรูปแบบกำรใชป้ ฏทิ นิ รปู แบบหน่ึง โดยใชด้ ิถี ของดวงจนั ทรเ์ พ่อื บอกข้ำงขึน้ ข้ำงแรมบอกเดือน ซึ่งใน ปัจจบุ ันระบบปฏทิ ินท่ใี ช้รูปแบบนีไ้ ดเ้ ปล่ียนมำใช้ในรปู แบบ ปฏิทนิ สรุ ิยจันทรคติแทนท่ี โดยสว่ นของจนั ทรคตใิ ชง้ ำน เฉพำะอำ้ งอิงวนั สำคัญทำงศำสนำ หรือเทศกำลฉลองตำม ประเพณดี ั้งเดิม เช่นในปฏทิ นิ จนี ปฏทิ ินฮบิ รู ปฏทิ ินฮินดู 169
ปฏิทินสุรยิ คตแิ ละจนั ทรคติ ปฏทิ ินจันทรคตใิ นหนงึ่ เดือนจะนบั ตำมกำรโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ ซง่ึ ประมำณ 29 วัน ครึ่ง ซ่งึ ในหน่ึงปจี ะแบง่ เป็น 12 เดือนซ่ึงมีทัง้ หมด 354 วนั โดยวันจะนอ้ ยกว่ำปฏทิ นิ สรุ ิยคติ 10 วนั เศษ ซึ่งเมอื่ ถึงปีทีจ่ ำนวนวันท่ีเกนิ มำครบประมำณ 29.5 วนั เศษ จะมีกำรเพ่ิมเดือนเขำ้ มำอีกหน่ึง เดือน ซึ่งทำให้ปนี ้ันมี 384 วนั ตวั อย่ำงเช่นในปฏิทินจันทรคติไทย จะเรยี กว่ำอธกิ มำส โดยจะเพิ่มเดอื น ๘ เข้ำมำอีกหนึ่ง เดือนซงึ่ เรยี กว่ำ เดือน ๘/๘ (หรือ ๘-๘ หรือ ๘๘ กเ็ ขียน) โดยในปนี ั้นจะมี 13 เดอื น ในปีที่ 3, 6, 9, 11, 14, 17 และ 19 170
ปฏทิ ินสุรยิ คตแิ ละจนั ทรคติ ในปีทางจันทรคติ จะมี 12 เดอื น ได้แก่ เดอื นอ้ำย เดือนย่ี เดอื นสำม เดอื นส่ี เดอื นห้ำ เดือนหก เดือนเจ็ด เดอื นแปด เดือนเกำ้ เดือนสิบ เดือนสิบเอด็ เดือนสิบสอง โดยเดือนคู่จะมี 30 วนั คือวันข้ึน 1 คำ่ ถงึ วันข้ึน 15 คำ่ และวันแรม 1 คำ่ ถงึ วนั แรม 15 ค่ำ สว่ นเดือนคม่ี ี 29 วนั คอื วัน ขึน้ 1 คำ่ ถงึ วันข้ึน 15 ค่ำ และวนั แรม 1 ค่ำ ถงึ วันแรม 14 ค่ำ นอกจำกน้ยี ังมีบำงปที ม่ี ีวนั แรม 15 ค่ำ เดือน 7 เรยี กวำ่ อธกิ วำร โดยจะมใี นปที ี่ 6, 12, 17, 22, 28, 33 และ 38 ท้งั น้ี เพอ่ื ใหเ้ ดือนแต่ละ เดือนมีคำ่ เฉล่ียของวันในเดือนเขำ้ ใกล้ 29.530588 วนั มำกทส่ี ุด 171
ปฏทิ ินสุรยิ คตแิ ละจนั ทรคติ ปฏทิ นิ จนั ทรคตไิ ทย (Thai lunar calendar) คือ ปฏิทนิ ทนี่ ับ ตำมคตกิ ำรโคจรของดวงจันทร์ โดย หมำยดจู ำกปรำกฏกำรณ์ขำ้ งขึน้ ขำ้ งแรม สำหรับปฏิทินจนั ทรคติ ของไทย จะมีด้วยกนั 2 แบบ ดงั น้ี 172
ปฏทิ นิ สุรยิ คตแิ ละจนั ทรคติ 1. ปฏทิ ินจันทรคติราชการ หรอื ปฏทิ ินหลวง เปน็ แบบที่ใช้กนั มำแตด่ งั้ เดิม อำศัยกำร กำหนดรปู แบบปที ำงจนั ทรคติ อยำ่ งไรก็ตำม หลกั กำรคำนวณหำรปู แบบปีจันทรคติ ยงั ไมม่ ี กำรสรปุ เป็นสตู รท่ีตำยตวั แนช่ ัด ใช้เป็นปฏิทนิ จันทรคตริ ำชกำรทว่ั ไป ตลอดจน พระสงฆไ์ ทย คณะมหำนิกำย 2. ปฏทิ นิ จนั ทรคติปักขคณนา เปน็ แบบที่ พระบำทสมเดจ็ พระจอมเกลำ้ เจ้ำอย่หู วั รชั กำลท่ี 4 แห่งรำชวงศ์จักรี ไดท้ รงประดษิ ฐ์ข้นึ มำใหม่ มีสตู รคำนวณที่แน่ชัด และ มคี วำมแม่นยำตำมธรรมชำติกวำ่ แบบรำชกำรอยมู่ ำก และใหท้ รงนำมำใช้ในพระสงฆ์ไทย คณะธรรมยุตนิ ิกำย 173
ปฏิทนิ สุรยิ คตแิ ละจันทรคติ ปฏทิ นิ สรุ ิยคติ (solar calendar) คอื ปฏทิ นิ ทส่ี อดคลอ้ งกับฤดกู ำลและ เดคลเิ นชนั ของดวงอำทติ ย์ ควำมยำวนำนของปโี ดยเฉลยี่ มคี ำ่ ใกลเ้ คยี งกับปีฤดกู ำล 174
ปฏทิ นิ สุรยิ คตแิ ละจนั ทรคติ ปฏิทนิ สุริยคติไทย คือปฏทิ นิ อย่ำงเป็นทำงกำรของประเทศไทยในปัจจบุ ัน เปน็ ระบบปฏทิ นิ สุริยคตอิ ้ำงวนั เดือนปีตรงตำมปฏิทินเกรกอเรยี นทม่ี ีจำนวนวนั 365 หรือ 366 วนั ในแตล่ ะปี โดย ปรบั เปล่ียนจำกปฏทิ ินจันทรคติไทยเดิมเม่ือ พ.ศ. 2431 (จุลศกั รำช 1240) ในสมยั รัชกำลท่ี 5 ชื่อ เดอื นในภำษำไทยทง้ั สบิ สองในปฏทิ ินต้งั ช่อื โดยกรมพระยำเทววงศ์วโรปกำร ในปฏทิ ินไทยจะมีกำรแสดงปปี ฏทิ ินสุริยคตไิ ทยเป็นหลกั แสดงในรปู แบบปพี ทุ ธศกั รำช และในหลำยปฏิทนิ มักจะมีกำรแสดงวนั พระ วันข้ำงขน้ึ ขำ้ งแรม ปจี ีน และครสิ ต์ศกั รำชคูก่ นั 175
เรอ่ื งท่ี 3 ปรากฏการณท์ ี่เกดิ ข้นึ ในระบบโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ 176
ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ข้ึนในระบบโลก ดวงจนั ทร์ และดวงอาทติ ย์ ระบบวงโคจรของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ (Sun - Earth - Moon connection) ทำใหเ้ กิดปรำกฏกำรณท์ ำงดำรำศำสตร์ ในรอบวัน รอบเดือน หรือรอบ ปี ส่วนใหญ่จะเปน็ ปรำกฏกำรณ์ทำงแสง ได้แก่ กลำงวันกลำงคนื , ฤดูกำล, ขำ้ งขึ้นข้ำงแรม, สุริยุปรำคำ, จันทรุปรำคำ ส่วนปรำกฏกำรณท์ ี่เกดิ ขึ้นจำกแรงโน้มถว่ ง ได้แก่ น้ำขึน้ นำ้ ลง 177
ขา้ งขึน้ ขา้ งแรม 178
ข้างขน้ึ ข้างแรม เปน็ ปรำกฏกำรณ์ที่คนบนโลกมองเหน็ ดวงจันทร์มี รปู ร่ำงเปลยี่ นแปลงไปในแตล่ ะคืน ซึ่งเกิดจำกกำรท่ีดวงจนั ทร์ โคจรรอบโลกและโลกโคจรรอบดวงอำทติ ย์ ดวงจันทร์จะหัน ด้ำนเดียวเข้ำหำดวงอำทิตย์ และสะท้อนแสงอำทิตย์ และ สะท้อนแสงอำทติ ย์มำยังโลก ทำให้คนบนโลกมองเหน็ แสง สะท้อนจำกดวงจนั ทร์ในแตล่ ะเวลำไม่เหมอื นกัน และเกดิ เป็น ปรำกฏกำรณ์ขำ้ งขึ้นและข้ำงแรม 179
ขา้ งขึน้ ขา้ งแรม 180
ขา้ งขึน้ ขา้ งแรม วันแรม 15 ค้่า (New Moon): เม่อื ดวงจันทรอ์ ย่รู ะหว่างโลกกับ ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์หนั ดา้ นเงามืดเขา้ หาโลก ตาแหนง่ ปรากฏของดวง จันทร์อยใู่ กลก้ บั ดวงอาทติ ย์ แสงสว่างของดวงอาทติ ย์ ทาให้เราไม่สามารถ มองเห็นดวงจันทรไ์ ด้เลย 181
ข้างขนึ้ ขา้ งแรม วันข้ึน 8 ค่้า (First Quarter): เมอ่ื ดวงจนั ทรเ์ คลอ่ื นมำอยู่ใน ตำแหนง่ มุมฉำกระหว่ำงโลกกับดวงอำทิตย์ ทำใหเ้ รำมองเหน็ ด้ำนสว่ำงและ ด้ำนมดื ของดวงจันทร์มีขนำดเทำ่ กัน 182
ขา้ งขึ้นข้างแรม วันขึ้น 15 ค้า่ หรอื วนั เพ็ญ (Full Moon): ดวงจนั ทร์โคจรมำอยู่ ดำ้ นตรงขำ้ มกบั ดวงอำทติ ย์ ดวงจนั ทรห์ นั ด้ำนท่ไี ด้รบั แสงอำทติ ยเ์ ข้ำหำโลก ทำใหเ้ รำมองเหน็ ดวงจนั ทร์เตม็ ดวง 183
ขา้ งขึน้ ข้างแรม วันแรม 8 คา่้ (Third Quarter): ดวงจนั ทร์โคจรมำอยใู่ น ตำแหนง่ มมุ ฉำกระหว่ำงโลกกับดวงอำทติ ย์ ทำให้เรำมองเหน็ ด้ำนสว่ำงและ ดำ้ นมดื ของดวงจันทรม์ ีขนำดเท่ำกัน 184
ข้างข้นึ ข้างแรม วิธีสงั เกตขา้ งขน้ึ ข้างแรม • วันขน้ึ 15 ค่้า (Full Moon): ดวงจันทรอ์ ยทู่ ำงด้ำนตรงขำ้ มกับดวงอำทิตย์ เรำจะมองเห็นดวงจนั ทรเ์ ตม็ ดวง ขึน้ ท่ีขอบฟ้ำดำ้ นทิศตะวันออกเวลำประมำณ 6 โมงเย็น •ข้างแรม (Waning Moon): เน่อื งจำกดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก 1 รอบใชเ้ วลำ 29.5 วัน ทำให้เรำมองเห็นดวง จันทรข์ ้ึนช้ำวนั ละ 50 นำที หรอื ประมำณ 12 องศำ เรำจึงมองเหน็ ดวงจันทรต์ อนเย็นกอ่ นดวงอำทิตย์ตก และ เห็นหัวกระตำ่ ย เสยี้ วของดวงจนั ทรบ์ ำงขน้ึ จนกระทงั่ มืดหมดทั้งดวงในวนั แรม 15 คำ่ •วนั แรม 15 ค่้า (New Moon): ดวงจันทรอ์ ย่รู ะหวำ่ งดวงอำทติ ยก์ บั โลก เรำจงึ มองเห็นแต่เงำมืดของดวงจันทร์ ดวงจันทร์จะข้ึนและตกพร้อมๆ กับดวงอำทิตย์ •ขา้ งข้ึน (Waxing Moon): เรำจะมองเหน็ ดวงจันทร์ตอนรงุ่ เช้ำก่อนดวงอำทิตยข์ น้ึ และไม่เห็นหวั กระตำ่ ย เส้ียว ของดวงจันทรจ์ ะหนำขึ้นจนกระท่ังสวำ่ งเตม็ ดวงในวนั ข้ึน 15 ค่ำ 185
น้าข้นึ น้าลง 186
น้าข้นึ น้าลง 187
น้าขึ้นน้าลง ในแต่ละวันจะสังเกตเห็นวำ่ ระดับนำ้ ทะเลมีปรำกฏ น้ำข้นึ –นำ้ ลง ซ่ึงมีสำเหตจุ ำกกำรที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกและรอบ ดวงอำทิตย์ และเนอ่ื งจำกดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมำกท่สี ุด แรงดึงดูดของดวงจนั ทร์จงึ มีอิทธพิ ลตอ่ โลก ทำใหเ้ กิด ปรำกฏกำรณ์ น้ำขน้ึ – นำ้ ลง เมอ่ื ดวงจนั ทร์โคจรมำอยูใ่ นแนว เดยี วกบั โลกและดวงอำทิตย์ ซ่ึงจะตรงกับวันขึน้ 14 – 15 คำ่ ของ ทกุ เดือน บริเวณ ข และ ง บนโลกจะโป่งออก ทำให้บริเวณน้ี นำ้ ทะเลขึ้น สว่ นบรเิ วณ ก และ ค บนโลก พื้นนำ้ จะลดระดบั ลง 188
น้าขน้ึ นา้ ลง ถ้ำดวงจนั ทร์โคจรไปอย่ใู นตำแหน่งตัง้ ฉำก กับดวงอำทิตย์ ซึ่งจะตรงกับวันขน้ึ 7-8 คำ่ และวนั แรม 7-8 ค่ำของทกุ เดือน จะทำใหบ้ รเิ วณ ก และ ค บนโลกพน้ื นำ้ โปง่ ออก ทำใหบ้ ริเวณทน่ี ำ้ ข้นึ ส่วน บรเิ วณ ข และ ง บนโลกเกิดนำ้ ลง ในแต่ละวนั เรำจะ เหน็ น้ำทะเลขึน้ และลง 2 เวลำ 189
นา้ ขน้ึ นา้ ลง แรงไทดัล เม่อื ดำวดวงหนงึ่ ได้รบั อทิ ธพิ ลจำกแรงโน้มถ่วงจำกดำวอกี ดวงหน่งึ ดำ้ นท่ีอยใู่ กล้จะได้ ถกู ดึงดดู มำกกวำ่ ดำ้ นที่อยู่ไกล ควำมแตกตำ่ งของแรงท้ังดำ้ นจะทำใหเ้ กดิ ควำมเครียดภำยใน ถำ้ เนื้อของดำวไมแ่ ขง็ แรงพอกอ็ ำจจะทำใหด้ ำวแตกได้ ถ้ำเน้อื ของดำวมคี วำมหยนุ่ ก็จะทำให้ ดำวยดื ออกเปน็ ทรงรี เรำเรียกแรงภำยในทแ่ี ตกต่ำงน้ีว่ำ \"แรงไทดัล\" (Tidal force) ยกตัวอย่ำงเชน่ แรงทท่ี ำให้ดวงจนั ทร์บรวิ ำรแตกเป็นวงแหวนของดำวเสำร์ แรงทท่ี ำใหด้ ำว พธุ เป็นทรงรี และแรงทที่ ำใหเ้ กิดน้ำขนึ้ นำ้ ลง ซ่ึงจะอธิบำยดังต่อไปนี้ 190
น้าขึน้ น้าลง ตำมกฏแปรผกผนั ยกกำลังสองของนิวตัน เม่ือวัตถอุ ยู่ไกลจำกกันแรงโน้มถว่ งระหว่ำงวตั ถุจะ ลดลง ดังน้ันเม่อื วำงลูกบลิ เลียดสำมลกู ในอวกำศ โดยเรียงลำดับระยะหำ่ งจำกดำวเครำะหด์ ังภำพ แรงโนม้ ถว่ งระหว่ำงดำวเครำะหก์ ับลูกบลิ เลยี ดหมำยเลข 3 มำกกว่ำ แรงโนม้ ถว่ งระหวำ่ งดำวเครำะห์ กับลูกบลิ เลยี ดหมำยเลข 2 และมำกกวำ่ แรงโนม้ ถว่ งระหว่ำงดำวเครำะหก์ บั ลูกบลิ เลียด หมำยเลข 1 ตำมลำดบั ภำพกำรเรียงลูกบลิ เลยี ดไวใ้ นอวกำศ 191
น้าข้นึ นา้ ลง เมอ่ื เวลำผ่ำนไป ดงั ภำพ ลูกบลิ เลียดหมำยเลข 3 จะเคล่อื นท่ีเข้ำหำดำวเครำะห์ เปน็ ระยะทำงมำกทสี่ ดุ ลูกบลิ เลียดหมำยเลข 2 จะเคลอ่ื นทเี่ ขำ้ หำดำวเครำะห์ เปน็ ระยะทำงนอ้ ยกวำ่ ลูกบลิ เลยี ดหมำยเลข 1 จะเคลื่อนที่เขำ้ หำดำวเครำะห์ เป็นระยะทำงนอ้ ยทส่ี ดุ ภำพลูกบิลเลียดหมำยเลข 3 ถูกดึงดดู มำกกวำ่ หมำยเลข 2 และ 1 ตำมลำดับ 192
น้าข้ึนนา้ ลง หำกเรำจ้องมองทล่ี ูกบลิ เลยี ดหมำยเลข 2 ดังภำพ จะมองเห็นวำ่ ระยะทำงระหวำ่ งลูก บิลเลียดหมำยเลข 1 และ 2” และ ระยะทำงระหว่ำงลูกบลิ เลยี ดหมำยเลข 2 และ 3” เพ่มิ มำก ข้นึ เรำเรยี กแรงที่กระทำให้ลูกบลิ เลียดทัง้ สำมลูกกระจำยหำ่ งจำกกันนีว้ ่ำ แรงไทดัล เมอ่ื เพง่ ท่ีหมำยเลข 2 จะดูเหมือนวำ่ หมำยเลข 1 และ 3 แยกออกไป 193
น้าข้ึนน้าลง เหตุใดนา้ จงึ ขึ้นสองดา้ น แรงโน้มถว่ งของดวงจนั ทร์กระทำ ณ ตำบลต่ำงๆ ของโลกแตกตำ่ งกัน โดยสำมำรถวำดลูกศร แสดงขนำดและทิศทำงของแรงดึงดดู ซง่ึ เกิดจำกอทิ ธิพลควำมโนม้ ถว่ งของดวงจันทร์ ได้ดงั ภำพ ภำพแรงโนม้ ถ่วงของดวงจนั ทร์ท่กี ระทำตอ่ โลก 194
น้าข้ึนน้าลง เหตใุ ดนา้ จึงขึน้ สองด้าน เม่อื พิจำรณำแรงไทดลั ณ จดุ ใดๆ ของโลก แรงไทดลั ภำยในโลกมขี นำดเทำ่ กบั ควำม แตกตำ่ งระหว่ำงแรงดึงดดู จำกดวงจันทรท์ ี่กระทำตอ่ จุดนั้นๆ กบั แรงดงึ ดูดจำกดวงจันทร์ทีก่ ระทำตอ่ ศนู ย์กลำงของโลก ซง่ึ สำมำรถเขียนลกู ศรแสดงขนำดและทิศทำงของแรงในภำพ ภำพแรงไทดัลบนพนื้ ผิวโลก 195
นา้ ขน้ึ น้าลง เหตใุ ดน้าจึงขนึ้ สองด้าน เนอ่ื งจำกเปลือกโลกเป็นของแขง็ จึงไมส่ ำมำรถยดื หย่นุ ตวั ไปตำมแรงไทดัลซ่งึ เกดิ จำก แรงโน้มถว่ งของดวงจันทร์ได้ แตท่ วำ่ พ้นื ผิวสว่ นใหญข่ องโลกปกคลุมด้วยน้ำในมหำสมทุ ร จงึ ปรับตัวเปน็ รูปทรงรี ตำมแรงไทดัลท่เี กดิ ข้ึนดังรูปท่ี 6 ทำใหเ้ กิดปรำกฏกำรณ์ \"น้ำข้ึนน้ำลง\" (Tides) โดยที่ระดับนำ้ ทะเลจะขน้ึ สงู สุดบนด้ำนทห่ี ันเขำ้ หำดวงจนั ทร์และดำ้ นตรงข้ำมดวง จันทร์ (ตำแหนง่ H และ H’) และระดับนำ้ ทะเลจะลงต่ำสุดบนด้ำนทตี่ ้ังฉำกกบั ดวง จันทร์ (ตำแหนง่ L และ L’) โลกหมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ ทำให้ ณ ตำแหนง่ หนงึ่ ๆ บนพ้ืนผิวโลก จึงเคล่ือนผ่ำนบรเิ วณทเ่ี กิดนำ้ ขึ้นและนำ้ ลงท้ังสองด้ำน ทำให้เกดิ น้ำขน้ึ น้ำลง วันละ 2 ครัง้ 196
นา้ ขึ้นน้าลง เหตใุ ดน้าจงึ ข้ึนสองดา้ น ภำพแรงไทดลั ทำให้เกดิ น้ำขนี้ นำ้ ลง 197
นา้ ขึน้ นา้ ลง เหตุใดน้าจงึ ขึ้นสองด้าน เนอื่ งจำกดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก ขณะท่โี ลกเองก็หมนุ รอบตวั เอง จงึ ทำให้เรำมองเห็น ดวงจนั ทรข์ นึ้ ชำ้ ไปวันละ 50 นำที หนึง่ วันมีน้ำขึ้น 2 ครั้ง ดังนน้ั น้ำขน้ึ ครั้งต่อไปจะตอ้ งบวกไปอีก 12 ชัว่ โมง 25 นำที เช่น นำ้ ข้ึนครั้งลำ่ สดุ นำ้ ขึ้นเวลำ 24.00 น. น้ำขนึ้ ครั้งต่อไปประมำณเวลำ 12.25 น. และในวันถัดไปนำจะขนึ้ ประมำณเวลำ 00.50 น. 198
น้าขนึ้ น้าลง น้าเกิดน้าตาย 199
น้าขน้ึ นา้ ลง ภำพภำวะนำ้ เกิด ในวันขนึ้ 15 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ ดวง 200 อำทิตย์ โลก และดวงจันทร์เรยี งตัวอยใู่ นแนว เดียวกนั แรงโน้มถว่ งของดวงอำทติ ยแ์ ละดวงจนั ทร์ เสรมิ กัน ทำใหแ้ รงไทดลั บนโลกเพม่ิ ขึน้ สง่ อทิ ธพิ ลให้ ระดบั นำ้ ขึ้นสูงสุดและระดับน้ำลงต่ำสุดแตกตำ่ งกนั มำกดังภำพ เรียกว่ำ \"น้ำเกดิ \" (Spring tides)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306