Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

Description: ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)
ผู้เขียน : ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์

Keywords: ญาณวิทยา

Search

Read the Text Version

ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (Theories and Problems of Epistemology) โดย พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ ภาควชิ าปรชั ญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 2559

ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (Theories and Problems of Epistemology) โดย พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ ภาควชิ าปรัชญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 2559

http://thinkertools.org/Pages/paper.html

ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา Theories and Problems of Epistemology พิสฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ // ผเู้ รยี บเรยี ง ISBN XXXXXXXXXX ผเู้ รยี บเรยี ง : พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ จัดรูปเล่ม ปรุตม์ บุญศรตี นั , ยศพล เจรญิ มณี ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของสานกั หอสมดุ แหง่ ชาติ ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา พมิ พค์ รง้ั ที่ 1 พฤษภาคม 2547 261 หนา้ . 100 เลม่ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 กรกฎาคม 2558. .252 หนา้ , จานวน 100 เล่ม พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3 มกราคม 2559. 294 หนา้ , จานวน 150 เลม่ I พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ // ผแู้ ตง่ II เรอื่ ง ISBN XXXXXXXXXXXXX ผจู้ ัดพมิ พ์ : ภาควิชาปรญั าและศาสนา, คณะมนษุ ยศาศตร์, มหาวิทยาลยั เชียงใหม่

ก คานา มนุษยเ์ ปน็ สัตวพ์ เิ ศษที่สามารถใหเ้ หตุผลคิดคน้ แสวงหาคาตอบทตี่ นสงสัยได้อย่างเป็น ระบบ นอกจากจะใช้สัญชาตญาณพื้นฐานเหมอื นสตั ว์โลกชนดิ อ่นื ในการดารงชีวติ ของตนแลว้ มนษุ ย์ยงั ใช้สตปิ ัญญา ซงึ่ เหนอื กว่าสัตว์ชนิดอ่ืนมาสรรคส์ รา้ งพัฒนาตนเอง สงั คม และวถิ กี าร ดารงชีวิตให้สะดวกสบายได้อีกดว้ ย นักปราชญ์หลายทา่ นกลา่ วว่า ในขณะนี้ มนษุ ย์เป็นสัตวโ์ ลกชนิด เดยี วที่พัฒนาตนเองถึงขีดระดับสงู สดุ ของสตั วโ์ ลก การท่ีมนุษยพ์ ัฒนามาได้ระดบั นี้ เพราะมนษุ ย์มี หลกั คดิ มอี ุดมการณ์ จึงสรรค์สร้างสรรพวิชา และเทคโนโลยใี ห้ปรากฏอยา่ งทท่ี ราบกัน หลักคดิ ที่สาคัญของมนุษย์ นบั แตบ่ รรพกาลมา คอื วิชาทีว่ ่าด้วยความร้แู ละความจริง มนษุ ย์ไมเ่ พียงแต่แสวงหาความรู้เชิงประจักษ์เท่านั้น ยังได้สบื ค้นหาความรทู้ ี่อยูล่ ่วงเลยขอบเขตของ โลกเชงิ ประจักษ์อีกด้วย พืน้ ฐานสาคัญของความรทู้ ่ีเปน็ ระบบของมนุษย์ กค็ ือ วิชาปรชั ญา ท่ี หมายถึง ศิลปะแหง่ การคิดอยา่ งมเี หตุผล แต่เหตุผลที่มนษุ ย์คาดการ บางอย่างอาจสอดคล้องกบั ความจรงิ บางอย่างอาจจะผดิ พลาดจากความจริงไปกไ็ ด้ เพอื่ การค้นควา้ หาคาตอบทสี่ ามารถยนื ยนั ความถกู ต้องหรือความผดิ พลาดของคาตอบดงั กล่าว มนุษยจ์ ึงไดเ้ พาะบม่ องค์ความรู้สาขาหน่งึ ที่ เรยี กวา่ ญาณวิทยา (Epistemology) หรือ ทฤษฎคี วามร้(ู Theory of Knowledge) ซ่ึงเป็นสาขา หลกั สาขาหน่ึง และสาคัญอย่างยง่ิ ของปรชั ญา ญาณวทิ ยา ม่งุ ศึกษาในประเด็นหลัก ๆ คอื ความรู้ (Knowledge) คอื อะไร คนเราจะรไู้ ด้อยา่ งไร(How do we know) อะไรคอื บ่อเกิดของความรู้ (Sources of Knowledge) และความรู้แท้จริง (True knowledge) นน้ั ตอ้ งสามารถแยกแยะ ความจรงิ (Truth) ออกมาจากความเท็จ (False) ได้ ความรู้ของวทิ ยาการและศาสตรส์ มัยใหม่ ก็ยงั อยใู่ นขอบเขตของญาณวิทยา หนงั สอื เลม่ น้ี ผูเ้ ขียนตั้งใจใหร้ ายละเอียดเก่ยี วกับทฤษฎแี ละปัญหาทางญาณวิทยา ครอบคลุมถงึ ทฤษฎที างญาณวทิ ยาต่างๆ หลายสานัก ในขณะเดียวกันก็เสนอปญั หาทางญาณวทิ ยา ที่เราควรตรวจสอบวา่ เม่อื ใครกล่าวว่า เขามีความรู้ เปน็ กล่าวถึงความรรู้ ะดบั ใด เช่น ความรูเ้ ป็น เพียงผิวเปลอื ก (สิง่ ทป่ี รากฏ - appearance) หรือ เป็นถึงระดับความเปน็ จริง (Reality) ท่ีลกึ กว่า ส่งิ ทปี่ รากฏทางประสาทสัมผัส หรอื เมื่อเกดิ ปญั หาว่าดว้ ยการตรวจสอบความจริงขั้นสดุ ทา้ ย เราจะ มีวิธีใด หรอื อาศัยทฤษฎีใดท่ีสูงกว่า ถูกต้องกว่า มาเปน็ เครื่องชว่ ยตัดสิน เป็นตน้

ข ประการหนึ่ง ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นชาวตะวันออก ก็ถือโอกาสนาเสนอกระบวนการ ญาณวิทยาทางพระพุทธศาสนามาเสรมิ เพอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ ชาวตะวันออกก็มีฐานคิดที่เป็นระบบไม่หย่อน ไปกว่า ชาวตะวันตกที่เขาภูมิใจว่า เป็นชนชาติที่ฉลาดกว่าชาวตะวันออก หนังสือนี้ แม้จะยังให้ รายละเอียดไมส่ มบูรณน์ กั แตก่ ็พอเป็นฐานใหผ้ ู้สนใจได้ใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลเพอ่ื การศึกษาสืบค้นตอ่ ไปได.้ พสิ ิฏฐ์ โคตรสุโพธ์ิ ภาควิชาปรชั ญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ 2559

ค สารบญั เรือ่ ง หนา้ คานา ก สารบญั ค บทท่ี 1 บทนา 1 1.1 ความรเู้ กย่ี วกบั ปรชั ญา 1 1.2 ขอบเขตของปัญหาทางปรชั ญา 5 1.3 คาถามท้ายบท 9 บทที่ 2 ทฤษฎที างญาณวทิ ยา 11 2.1 ความหมายของญาณวิทยา 11 2.2 ทฤษฎีทางญาณวิทยา 12 2.2.1 เหตุผลนิยม (Rationalism) 17 2.2.2 ประจกั ษนิยม (Empiricism) 19 2.2.3 เพทนาการนิยม (Sensationism) 21 2.2.4 อนมุ านนิยม (Apriorism) 27 2.2.5 สัญชาตญาณนิยม (Intuitionism) 35 2.3 คาถามทา้ ยบท 45 บทท่ี 3 แหลง่ เกดิ ความรู้ : ความรเู้ กดิ จากอะไร 47 3.1 กลมุ่ ความคิดหลกั 47 3.1.1 ความรู้มอี ยู่กอ่ นประสบการณ์ (A Priori Knowledge) 47 3.1.2 ความร้มู ีมาภายหลงั การมีประสบการณ์ (A Posteriori Knowledge) 48 3.1.3 ความรู้เกิดจากการประทานโดยสิ่งเหนอื ธรรมชาติ 48 โดยการเปดิ เผย (Revealed Knowledge) 3.2 ทฤษฎีหลกั แหลง่ เกดิ ความรู้ 48 3.2.1 กลมุ่ เหตุผลนยิ ม (Rationalism) 51 3.2.2 กลมุ่ ประจักษนยิ ม / ประสบการณ์นยิ ม (Empiricism) 62 3.2.3 กลุ่มเพทนาการนิยม (Sensationalism) 72 3.3.4 กลุม่ อนุมานนิยม /เหตุผลนยิ มเชงิ วิจารณ์ (A Priorism) 78

ง 3.3.5 กลุม่ สญั ชาตญาณนิยม (Intuitionism) 86 3.3 คาถามทา้ ยบท 93 บทท่ี 4 สง่ิ ที่ถกู รู้ : เรารอู้ ะไร 95 4.1 ความนา 95 4.2 ส่งิ ท่ีถกู รู้ (the Known Object) 95 98 4.2.1 กลุม่ จิตนยิ ม (Idealism) “ส่ิงทีเ่ รารมู้ อี ยู่ภายในตวั เราเอง” 120 4.2.2 กลมุ่ สัจนิยม (Realism) : สง่ิ ทถี่ กู รู้ มสี ภาพเป็นจริงตามที่ปรากฏ 129 4.2.3 กล่มุ สัมพัทธนยิ ม (Relativism) : ส่ิงภายนอกมคี วามสมั พนั ธ์กบั ผู้รู้ อยา่ งปัจจัยสมั พนั ธ์ 132 4.3 คาถามทา้ ยบท 133 บทที่ 5 วธิ สี รา้ งความรู้ : ทาอยา่ งไรความรจู้ งึ จะเกดิ 133 5.1 ความนา 133 5.2 กรรมวิธใี นการสรา้ งความรู้ 134 5.2.1 วิธยี ึดหลักลัทธิทม่ี อี ย่เู ดิม (Dogmatic Method) 135 5.2.2 วิธีตั้งข้อสงสัยเอาไวก้ ่อนแลว้ คอ่ ยแสวงหาความรู้ (Skeptical Method) 142 5.2.3 วธิ วี จิ ารณ์ (Critical Method) 143 5.2.4 วธิ วี ภิ าษ หรือ ปฏพิ ัฒนาการ (Dialectic Method) 147 5.3 คาถามท้ายบท 149 บทท่ี 6 ทฤษฎคี วามรขู้ องนกั ปรชั ญาตะวนั ตกรว่ มสมยั 149 6.1 นกั ปรชั ญารว่ มสมยั 149 6.1.1 เบอรท์ รันด์ รสั เซล (Bertrand Arthur Williams Russell) 164 6.1.2 อลั เฟรด จูลส์ แอร์ (Alfred Jules Ayer) 166 6.1.3 วิตเกนสไตน์ (Wittgenstein) 172 6.1.4 รดู อลฟ์ คาร์แนป Rudolf Carnap 173 6.2 คาถามทา้ ยบท 175 บทท่ี 7 ทฤษฎคี วามรขู้ องสานักพุทธปรชั ญา 176 7.1 ทฤษฎีความรู้ของพุทธปรัชญาตอนตน้ 177 7.1.1 ความหมายของความรู้ 179 7.1.2 ลักษณะของความรู้

จ 7.1.3 ระดบั ของความรู้ (ปัญญา) 179 7.1.4 ทอ่ี ยู่ของความรหู้ รอื ปัญญา 182 7.1.5 จดุ กาเนดิ ปญั ญา 183 7.1.6 แหลง่ เกดิ ปัญญา 184 7.1.7 วธิ สี ร้างความรู้ 185 7.1.8 สิง่ ทถี่ ูกรู้ 189 7.2 ทฤษฎีความรสู้ านักพุทธปรชั ญาตอนปลาย (The Latter Schools of Buddhism) 191 7.2.1 นกิ ายทางพระพุทธศาสนา 191 7.2.2 ความแตกต่างระหว่างนกิ าย 192 7.2.3 สานกั พุทธปรัชญา 195 196 7.2.3.1 นกิ ายเถรวาท หรอื สัพพตั ถิกะวาทิน 198 1. สานักไวภาษิก (Vaibhasika School) 204 2. สานกั เสาตรันติกะ (Santrantika School) 210 210 7.2.3.2 นกิ ายมหายาน 218 1. สานกั โยคาจาร (Yogacara) หรอื วิญญาณวาทะ 223 2. สานกั โยคาจาร (Yogacara) หรอื วญิ ญาณวาทะ 225 226 7.4 คาถามท้ายบท 244 บทท่ี 8 ทฤษฎคี วามรขู้ องศาสตรส์ มยั ใหม่ 252 253 8.1 ทฤษฎคี วามรู้ของวทิ ยาศาสตร์ 253 8.2 ทฤษฎีความรู้ของศกึ ษาศาสตร์ 253 8.3 คาถามทา้ ยบท 253 บทที่ 9 ความสมเหตสุ มผลของความรู้ 253 9.1 การตรวจสอบยืนยนั ความจรงิ (Justification of Truth) 254 272 1. ทฤษฎีสหนยั (Inherence Theory) 276 2. ทฤษฎสี มนยั (Correspondence Theory) 3. ทฤษฎปี ฏบิ ัตนิ ิยม (Pragmatism) 9.2 ตวั อยา่ งการตรวจสอบความรขู้ องวิทยาศาสตร์ 9.3 การปฏิวตั ิทางญาณวิทยา 9.4 การเข้าถึงความจริง (สานักอัสดงคตนิยม)

ฉ 9.5 คาถามท้ายบท 279 บรรณานกุ รม 281 ประวตั ผิ เู้ รยี บเรยี ง 287

บทที่ 1 บทนา (Introduction) 1.1 ความรเู้ ก่ียวกบั ปรชั ญา 1.1.1 ความหมายและขอบเขต หากตั้งคาถามงา่ ย ๆ ว่า ปรัชญา คือ อะไร คงเป็นการยากที่จะตอบจริง ๆ เพราะปรัชญามี ประวัติศาสตร์เป็นมาที่ยาวนานมาก ผ่านกาลเวลาและสิ่งต่าง ๆ มากมาย จึงไม่อาจจะให้คาตอบท่ี ชัดแจ้งครอบคลุมลงไปทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม คาตอบที่น่าจะพอจะใช้ได้ไปก่อนก็คือ คาว่า ปรัชญา ท่ีภาษาองั กฤษว่า Philosophy มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า Philos (love or strike) + Sophia (wisdom or knowledge) = Love of wisdom or strike for knowledge ตาม ศัพทแ์ ปลวา่ การรักความรู้ พยายามแสวงหาความรู้ 1 หรือ รกั ทีจ่ ะรู้ คาว่า \"ความรู้\" หรือ Knowledge มคี วามหมายมากมาย ตีความได้หลายอย่าง ไม่ได้หมาย เอาเฉพาะความร้ทู ไี่ ด้มาจากประสบการณ์แบบประจกั ษ์ (Empirical) หรอื ความรู้ที่ได้จากการคิดค้น ด้วยสติปัญญา (Intellectual) เท่านั้น แต่หมายความรวมถึงการหยั่งรู้หรือรู้แจ้ง (Intuition or Realization) การรู้จักประเมินค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิต (Value of life) หรืออย่างที่ John Dewey กล่าวว่า \"ปรัชญานั้น คือ การได้ความรู้ที่จะมีอิทธิพล (สามารถเปลี่ยนแปลง) ต่อความ ประพฤติของชีวิต\" 2 หรือ ปรัชญาคือศิลปแห่งการคิดหาเหตุผลว่า อะไรเป็นความจริง และอะไร น่าจะเป็นความจริงทสี่ ุด นักปราชญ์ชาวอินเดียเรียก Philosophy ว่า \"ทรรศนะ (Darshana or Vision) หรือ ทฤษฎี\" 3 แปลว่า ความเห็นหรือศิลปะแห่งการดารงชีวิต เพราะชาวอินเดียไม่ต้องการเพียงแต่ ความรู้เพื่อที่จะรู้ ดุจนักปรัชญาตะวันตก แต่ต้องการความรู้นั้นมาเป็นฐานหรือเป็นเครื่องมือ (Instruments) ในการแสวงหาความหลุดพน้ จากความทุกข์ (Liberation from sufferings) อีกขั้น หนึ่งด้วย 1 W.L. Reeses, Dictionary of Philosophy and Religion, (England : The Harvester Press, 1980). p. 431. 2 A. R. Mohapatra. Philosophy of Religion, (New Delhi : Sterling Publishers, 1985), p. 1. 3 N. D. Rajadhyaksha, The Six Systems of Indian Philosophy, (Bombay : Dept. of Philosophy, 1959), p. 8. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

2 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา คาว่า “ปรัชญา” เป็นศัพท์ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์ วรรณไวทยากร) อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติเพื่อแปลคา “Philosophy” จาก ภาษาอังกฤษ และราชบัณฑิตฯได้ให้ความหมายไว้ว่า \"ปรัชญา คือ วิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้และ ความจริง\" 4 ปร + ชญา = รู้รอบ รู้ประเสริฐ รู้ดี นั่นคือ ความรู้จะต้องตรงกันหรือลงรอยเป็นอัน เดียวกันกับสิ่งที่ถกู รู้ จึงพอสรปุ ความหมายได้ว่า ปรัชญา คือ การคิดลึก คิดกว้างหรือคิดรอบคอบที่จะเข้าถึงได้โดยอาศัยการวิเคราะห์ตาม หลกั เหตผุ ล หรือความรู้ท่ีเปน็ วุฒิปญั ญาอนั สามารถรจู้ รงิ เขา้ ใจจรงิ หยัง่ รู้ในสภาวะของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมทงั้ ความรทู้ ีข่ ยายตัวออกไปโดยอาศัยหลักการวภิ าษ (Dialectic) คือ การถกเถียง พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ นราธปิ พงศป์ ระพนั ธ์ (พระองคว์ รรณไวทยากร) (25 สงิ หาคม พ.ศ. 2434 - 5 กันยายน พ.ศ. 2519) https://www.google.co.th/search?q=กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ความรทู้ างปรัชญา จึงเป็นความรู้ทุกอย่าง และไม่จากัดอยู่ในสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ ปรัชญาจึงเป็นต้นกาเนิดของศาสตร์ต่างๆ เป็นศาสตร์สากล (Universal Science) แม้ว่าศาสตร์ ทั้งหลายจะแตกต่างจากปรัชญาตรงที่ให้ความจริงแท้แน่นอน และมีกฎเกณฑ์เฉพาะมารองรับ แต่ ศาสตร์เหล่านั้นก็ยังไม่พ้นจากกรอบของปรัชญาไปได้ เพราะปรัชญาได้ติดตามแทรกไปอยู่ดุจยาดา 4 ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525, หนา้ 511. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

3 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ในทุกศาสตร์ นน่ั คือแต่ละศาสตรย์ ่อมจะมีทฤษฎี จุดหมาย คุณค่าของตนเอง สิ่งเหล่านี้ก็คือปรัชญา นัน่ เอง เพราะฉะนัน้ ปรชั ญาจงึ มีทง้ั กอ่ นจะเปน็ ศาสตร์ และหลังจากการเป็นศาสตรแ์ ล้ว 1.1.2 เครื่องมอื ทางปรัชญา เครื่องมือทางปรัชญาท่ใี ชใ้ นการแสวงหาความจรงิ มีดังต่อไปน้ี 1. เหตุผล หรือการใหเ้ หตุผล (Reasoning) 2. การสังเกต และการทดลอง (Experiment) 3. ความสงสยั (Doubt) และความประหลาดใจ 4. ศรัทธา หรอื ความเชอ่ื (Faith) 5. อชั ฌัติกญาณ หรือ ปญั ญาหย่งั รู้ฉับพลัน (Intuition) การแสวงหาความร้อู ยา่ งเปน็ ระบบ 1.1.3 สาขาของปรชั ญา เนื้อหาสาระทางปรัชญา พอจะแบ่งออกเปน็ สาขาตามความสนใจย่อ ๆ ได้ดังนี้ 1) อภปิ รัชญา (Metaphysics) หรือภววิทยา (Cosmology) เป็นการศึกษาภาวะ ท่ีมีอยูเ่ หนือธรรมชาติ เหนอื กายภาพ (Beyond nature or physics) ค้นคว้าในเรื่องความเป็นหรือ ภาวะของสรรพสิ่ง (Being) สารัตถะที่แท้จริง (Essence) โลก (World) วิญญาณ (Soul) พระเจ้า (God) และความจรงิ อนั สงู สดุ (Ultimate Truth) 2) ญาณวิทยา (Epistemology) หรือ ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เป็นสาขาหนึ่งในสาขาหลักของปรัชญา ที่การศึกษาในเรื่องความรู้ (Knowledge) คือ อะไร คนเรา จะรู้ได้อย่างไร (How do we know) อะไรคือบ่อเกิดของความรู้ (Sources of Knowledge) และความรู้แท้จริง (True knowledge) นั้น ต้องสามารถแยกแยะความจริง (Truth) ออกมาจาก ความเท็จ(False)ได้ 3) คุณวิทยา (Axiology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคุณค่า (Value) เช่น คุณค่า แห่งความงาม (Beauty) เรียกวา่ สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) คุณค่าแห่งความดี (good) ศีลธรรม อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

4 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (Morality) ท่ีควบคมุ พฤติกรรม (Behaviour) ของมนุษย์ เรียกว่า จริยศาสตร์ (Ethics) คุณค่าแห่ง ความสมเหตสุ มผล เรียกว่า ตรรกศาสตร์ (Logic) 1.1.4 สานกั ทางปรัชญา มนุษยน์ ับแต่บรรพกาลมา โดยธรรมชาติ เป็นคนชอบคิด และใช้ความคิด ด้วยศักยภาพที่ มนุษย์คิดเป็น ใช้เหตุผลเป็นนี่เอง ทาให้มนุษย์พิเศษและยิ่งใหญ่กว่าสัตว์โลกชนิดอื่น นักปรัชญา อยา่ ง ไพทากอรสั ยังกลา่ วว่า มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง และอริสโตเติลตอกย้าอีกว่า มนุษย์เป็น สัตว์มเี หตผุ ล น่ีย่อมแสดงถึงความเป็นเลิศแห่งมันสมองมนุษย์ ซึ่งโดยกายภาพ เช่น ระบบประสาท สัมผัส หรือ ปรับตัวตามธรรมชาติ มนุษย์สู้สัตว์ชนิดอื่นมิได้ แต่มนุษย์มีสมอง มีปัญญา จึงเอาตัว รอดและครอบครองโลก ทั้งสิ่งที่เป็นธรรมชาติ และสัตว์โลกทุกชนิด และมนุษย์ผู้เป็นเจ้าความคิด โดดเด่นกว่ามนุษย์คนอื่น ๆ ร่วมสมัยตน มีสืบทอดกันมาทุกยุคสมัย มนุษย์เหล่านี้แหละที่เรา เรียก เขาว่า นักปรัชญา (Philosopher) มาดูประวัติความคิดของนักปรัชญานับแต่อดีตมาจวบปัจจุบัน การจะเล่ารายละเอียดทุกคนคงจะเกินกรอบวัตถุประสงค์ และหน้าที่หนังสือเล่มนี้ จึงขอสรุปเป็น สานกั ทางปรัชญา (The Schools of Philosophy) ตามลาดับ ดังตอ่ ไปนี้ 1) สานักธรรมชาตนิ ยิ ม (Naturalists) กล่มุ นกั ปรัชญากรีกโบราณ ก่อนโสคราตีส (Socrates) มีนักคิด คือ Thales Anaximander Anaximenes Pythagoras Heraclotus Parmenides และ Empedocles กลุ่มนี้ แสวงหาคาตอบ ว่า อะไร คอื ความจรงิ แท้ แ ล ะ ห ล ั ง การสิ้นชีวิตของโสคราตีส มีสานักปรัชญาเกิดใหม่ ๆ คือ The Cynics ของ Antisthenes และ Diogenes สานัก The Stoics ของ Zeno และสานัก The Epicureans ของ Epicurus 2) สานักอดุ มคตนิ ยิ ม (The Idealists) หรือ จติ นยิ ม จดุ ประกายโดย โสคราตสี มี นักปรัชญาคอื เพลโต ลัทธเิ พลโตใหม่ โดย Hypatia, จิตนิยม ของ Bekeley, Hegel 3) สานกั วตั ถนุ ยิ ม (The Materialists) เชน่ Aristotle, Karl Marx 4) สานักอัสสมาจารย์นิยม (The Scholastics) เช่น Augustine, Anselm, Aquinas 5) สานักเหตุผลนิยม (The Rationalist) เช่น (Parmenides) Descartes, Spinoza, Leibniz 6) สานกั ประสบการณ์นิยม หรือ ประจักษนิยม (The Empiricists) เช่น Locke, Hume, อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

5 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 7) สานักวจิ ารณ์นยิ ม (The Criticalists) เช่น Kant, Popper (บางทีกลุ่มนี้จัดอยู่ ในประจักษ์นิยมดว้ ย) 8) สานักปฏบิ ัตินิยม (The Pragmatists) เชน่ Pierce, James, Dewey 9) สานักปรากฏการณ์นิยม (The Phenomenologists) เช่น Husserl, Heidegger, Merleau Ponty 10 สานักอัตถิภาวนิยม (The Existentialists) เช่น Kierkegaard, Sartre, Camus 11) นักปรัชญาสตรี (Feminist Philosophers) เช่น Wollstonecraft, De Beauvoir, Irigaray 12) สานักหลงั สมัยใหม่ (the Post Modernists) เช่น (Heraclitus) Neitzsche, Wittgenstein, Thomas Kuhn, Michel Fougault, Jacques Derida นอกจากนี้ อาจมีลัทธิ เช่น ปฏิฐานนิยม (Postivism), ภาษาวิเคราะห์(Language Annalisis) แตไ่ ม่จดั ว่าเปน็ สานกั ทางปรชั ญา เพราะรวมในสานักใหญ่อยา่ งใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมา 1.2 ขอบเขตของปญั หาทางปรชั ญา ปรัชญา เป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้ระดบั ปัญญา มใิ ชค่ วามรทู้ ั่วไป และในการแสวงหา ความรู้ ก็จาเปน็ ต้องเกิดจากแรงกระหายอยากรู้ ที่เรียกว่า เกิดปัญหาในใจว่า สิ่งที่พบเห็น มัน คือ อะไร มันเป็นไปอย่างไร เรารู้อะไร เราควรจะทาอะไร เราอาจจะหวังสิ่งไร และมันมีอยู่เพื่ออะไร เพราะคาถามทางปรัชญา เป็นคาถามเพื่อความเข้าใจโลกทั้งมวล ซึ่งต้องการคาตอบที่เป็น สากล ดังนน้ั ปญั หาทางปรชั ญา จงึ มิใช่เป็นปญั หาพนื้ ๆ หรือ ปญั หาหญา้ ปากคอก อาจมีคนกล่าวหาว่า ปัญหาทางปรัชญาเป็นปัญหาโลกแตก เพราะแม้จะได้คาตอบมา อยา่ งไร ก็ยังไมม่ ใี ครยอบรบั คาตอบนนั่ ว่า เป็นตาตอบสุดท้ายและจบ คงต้องแสวงหากันร่าไป สร้าง ทฤษฎีใหม่มาโต้แย้ง และวางหลักคิดของตนเอาไว้ให้แย้งต่อไป ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเว้นที่จะ แสวงหาคาตอบทางปรชั ญา อย่างที่เรารจู้ กั ว่า อัพยากตปัญหา คือ ปัญหาที่ไม่ยอมตอบ เพราะตอบ ไปแล้วก็ยังไม่ใช่คาตอบที่ทาให้คนถามได้รับความพอใจ อาจจะมีข้อโต้แย้งตามมาอีกไม่มีที่สิ้นสุด หรอื เปน็ คาถามหรือคาตอบที่ไม่สรรค์สร้างประโยชน์ ที่ช่วยแก้ปัญหาที่กาลังต้องการแก้ไขอย่างทัน กาล เสียเวลาในการถกเถียง เสยี เวลาในการแสวงหาคาตอบ เข้าทานอง กว่าจะไดค้ าตอบ ผู้แสวงหา คาตอบสุดทา้ ยก็เสยี ชวี ติ ไปแลว้ ดงั ตัวอย่างคาถาม อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

6 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ปญั หาโลกแตก ไกก่ บั ไขอ่ ะไรเกิดกอ่ นกนั ? http://pantip.com/topic/33304114 1.2.1 สาเหตุของปญั หาทางปรชั ญา ปญั หาที่นักปรัชญาแต่ละคนตั้งคาถาม คงได้คาตอบสาเร็จ แก้ปัญหาของตนไปได้ แต่กลับ ก่อปัญหาแก่นักคิดท่านอื่นที่ไม่ยอมรับคาตอบนั้น หรือไม่ยอมรับกระบวนการแสวงหาคาตอบแบบ น้ัน นแี่ หละเป็นสาเหตุให้เกดิ ปญั หาทางปรัชญาขน้ึ มา เพราะนักคิดพยายามจะยึดเอาคาตอบที่เป็น จุดศูนย์รวมของสรรพสิ่งโดยยืนยันว่า คาตอบของตนเท่านั้น เป็นคาตอบที่ถูกต้องและเป็นคาตอบ สดุ ท้าย เช่น 1) ปัญหาด้านอภิปรัชญา ที่เกี่ยวกับความเป็นจริง (Reality) โดยที่กลุ่มหนึ่งสรุป ความเห็นว่า ความเป็นจริงนั้นเป็นจิตเท่านั้น (The Idealism) ในขณะที่อีกกลุ่มแย้งว่า ความเป็น จรงิ นน่ั ตอ้ งเป็นสสารเทา่ นั้น (The Materialism) อีกกลุ่มหนึ่ง กลับบอกว่า สุดแต่จะใช้กรอบอะไร วัดและมอง หากมองแบบวัตถหุ รือสสาร มันกเ็ ป็นสสาร หากจะมองแบบ พลังงานมันก็เป็นพลังงาน อนั ทจ่ี ริง ตวั แทข้ องความเป็นจริงน้นั เป็นอะไรแน่ ก็ยงั เป็นปัญหา 2) ปัญหาด้านญาณวิทยา ที่เกี่ยวกับความรู้ก็แตกฝ่ายเป็นกลุ่ม ๆ คือ กลุ่มหนึ่ง ยนื ยนั ว่า ความร้ขู องมนุษย์เป็นสิง่ ที่มีมาก่อนประสบการณ์ใด ๆ แต่อีกฝ่ายก็แย้งว่า ความรู้นั้น เป็น สง่ิ ท่ีเกิดเพราะการมีประสบการณ์เทา่ น้ัน เก่ยี วกบั ที่เป็นความรู้ ก็มีทัศนะที่แตกกันเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 อ้างว่า ความรู้เป็นสิ่งที่ตนค้นพบ คือค้นพบหลักความจริง เรียกว่า กลุ่มยึดติดคัมภีร์ (Dogmatism) กลุ่มที่ 2 แย้งว่า ตัวจริงของสิ่งเรารู้ บอกไม่ได้ว่า มันถูกค้นพบ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะ เขา้ ถึงความจรงิ น้ัน ความจรงิ แท้ ๆ เป็นสง่ิ ท่ีเข้าใจยาก รู้ไม่ได้ อยู่ในกลุ่มนักปราชญ์ที่เรียกตนเองว่า ผู้รู้ (Academic) กลุ่มสุดท้าย กล่าวว่า สิ่งถือว่าเป็นความรู้นั้น เป็นเพียงการพยายามหาคาตอบ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

7 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เน่อื งจากคาตอบท่ีได้มานน้ั ยังไมส่ มบูรณ์ เพราะเรารูเ้ พยี งบางด้าน บางแง่มุม จึงต้องแสวงหาข้อมูล และคาตอบไปเรอื่ ยๆ เรียกวา่ กลมุ่ วิมตั นิ ิยม (Scepticism) 3) ปัญหาเกี่ยวกับความมีอยู่ของวัตถุและโลก แย้งกันในประเด็นที่ว่า วัตถุและ โลก เปน็ อิสระ ต่างหากจากตัวผูร้ บั รู้ หรือไม่เป็นอิสระ กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า เป็นอิสระ อีกกลุ่มแย้งว่า ไมเ่ ป็นอิสระ ข้ึนอยกู่ ับตัวผรู้ บั รเู้ ท่านนั้ 4) ปัญหาเกี่ยวกับวิธีการรู้ความมีอยู่ของวัตถุและโลก กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า มนุษย์ ย่อมรับรไู้ ดโ้ ดยตรงทางระบบประสาท แตอ่ กี กลุ่มไม่เห็นด้วย แย้งว่า มนุษย์สามารถรับรู้ได้โดยอ้อม เท่านน้ั ไม่มที างจะรับรู้โลกไดโ้ ดยตรงเด็ดขาด 5) ปญั หาเกยี่ วกับคณุ คา่ ก็เชน่ เดียวกัน ความดี ความยุติธรรม ความงาม เหตุผล เป็นต้น หมายความว่า อย่างไร อะไรคือความดี เป็นต้น มนุษย์จะมีเกณฑ์มาตรวัดคุณค่าเหล่าน้ี อย่างไร นักปรัชญาให้คาตอบมาแล้ว บางกลุ่มตอบว่า คุณค่า ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความชอบของ แต่ละบุคคล เรียกว่า เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ เป็นกลุ่มอัตนัยนิยม (Subjectivism) กลุ่มหนึ่งตอบว่า มาตรวัดคณุ คา่ ตอ้ งตายตัว และเท่ียงตรง ไมข่ ้ึนกับบคุ คล หรือสถานการณ์ วัดท่ไี หนเมื่อไร ต้องได้ค่า ความแน่นอนเช่นกัน คาตอบตายตัว เป็นกลุ่มสัมบูรณนิยม หรือ ปรนัยนิยม(Absolutism or Objectivism) กลุม่ หนง่ึ ปฏิเสธทั้งสองความเหน็ ว่า ใชไ้ ม่ได้ เพราะคณุ คา่ นน้ั สัมพันธ์กับปัจจัยหลาย ประการ สิ่งแวดล้อม บุคคล สังคม เวลา สถานการณ์ เป็นต้นเป็นตัวแปร ก็วัดค่าตามตัวแปรท่ี ป้อนเขา้ มา คา่ วดั จงึ เป็นแบบสัมพัทธ์ จึงถูกตั้งชื่อว่า สัมพัทธนิยม (Relativism) ไม่ว่า จะตอบแบบ ใด ก็ยงั มใิ ชค่ าตอบสดุ ทา้ ยอีกเช่นกนั 1.2.2 ปญั หาของปรชั ญา ปัญหาโดยรวมของปรัชญานั้น เป็นการยากที่ระบุออกมาด้วยเรื่องเดียวหรือ ประเดน็ เดยี ว เพราะสาขาของปรัชญามีหลายสาขาดงั ทกี่ ลา่ วแล้ว แตเ่ พื่อใหเ้ ห็นภาพรวมว่า ปรัชญา ได้เผชิญปัญหาในเรื่องอะไรบ้าง จะขอนาทัศนะของ เอ เจ แอร์ (A.J.Ayer) ที่ได้เสนอไว้ 5 มาแสดง ดงั น้ี 1) ข้ออ้างทางอภิปรัชญา แอร์เสนอว่า ข้อความที่กล่าวถึงอภิปรัชญานั้น ไม่ สามารถตรวจสอบความจริงได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในเมื่อตรวจสอบไม่ได้ ก็ขอไม่อธิบาย หรือกลา่ วถงึ เพราะถอื ว่าไม่มีความหมาย คอื ไมม่ ีสิง่ จริงมารองรับ 5 A.J.Ayer, The Central Questions of Philosophy, (Delhi: Macmillan, 1979), pp.1-235. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

8 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2) การให้ความหมายและสามัญสานึก กล่าวถึง การตรวจสอบหลักการ กระบวนการตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ ความหมายและการใช้ ข้ออ้างเก่ยี วกับสามัญสานึก 3) การวิเคราะห์เชิงปรัชญา เกี่ยวกับการวิเคราะห์ตามรูปแบบ ไวยากรณ์ทาง ตรรกะ การวเิ คราะห์การใชภ้ าษาท่วั ไป การตรวจตราขอ้ เทจ็ จริง ทฤษฎีญาณวทิ ยา 4) ปัญหาดา้ นการรบั รทู้ างประสาทสัมผสั เกีย่ วกบั มนษุ ยร์ บั รสู้ ึกอะไร ขอ้ แยง้ จาก ภาพมายา ทฤษฎสี าเหตุของการรบั รสู้ กึ 5) โครงสรา้ งของโลกวตั ถุ เกยี่ วกบั ตัวโครงสรา้ งหลัก(ธาตุ) คุณสมบัติเฉพาะของ วตั ถุ รปู แบบของการรงั สรรค์ สง่ิ ท่ีเปน็ ปรากฏการณ์ สามญั สานึกกบั โลกทางฟสิ กิ ส์ 6) ใจกับกาย เกี่ยวกับ บุคคลและประสบการณ์ สารัตถะของมนัส อัตลักษณ์ของ บคุ คล ลทั ธกิ ายภาพ และ การรคู้ วามคิดของผู้อนื่ 7) ข้อเท็จจริงและการอธิบาย เกี่ยวกับ ปัญหาทางวิธีอุปนัย ความจาเป็นและกฎ ทฤษฎีกับการสงั เกต 8) ระเบียบและการเปลีย่ นแปลง เก่ยี วกับรปู แบบของธรรมชาติ ข้อเสนอเกี่ยวกับ ความนา่ จะเปน็ ไปได้ ปัญหาของขอ้ ยืนยัน สาเหตปุ ละผล 9) ตรรกะกับความมอี ยู่ เกี่ยวกับ กฎด้านเหตุผลทางตรรกะ การทาการวิเคราะห์ ความมอี ย่ขู องสิ่งท่เี ปน็ นามธรรม 10) ข้ออ้างทางเทววิทยา เกี่ยวกับ ความมีอยู่ของพระเป็นเจ้า ข้อเสนอเกี่ยวกับ ผู้ออกแบบ ข้อสมมุติฐานทางศาสนา ศาสนาและศีลธรรม ความเป็นอิสระของเจตจานง และ ความหมายของชีวิต ทั้ง 10 ประเดน็ หลกั เหลา่ น้ี ถอื วา่ เป็นปัญหาหลัก ๆ ที่นักคิดต่างช่วยกับขบคิดมา นาน แม้จะจาแนกออกหลายประเด็น ก็สามารถสรุปปัญหาเหล่านี้ลงในปรัชญาทั้ง 3 สาขาหลัก ผู้เขียนไม่ประสงค์จะขยายเนื้อหาอธิบายรายละเอียดในประเด็นเหล่านี้ เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า ปญั หาทางปรัชญานั้น กว้างไพศาล ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหา สุดแต่ความสงสัยและความสนใจ ของนกั คิดทา่ นใด ผ่านกาลเวลา ยาวนานหลายศตวรรษ หลอ่ หลอมเป็นเนื้อหาทางปรัชญาที่ช่วยฝน และลับสติปัญญาของมนุษย์ให้แหลมคม ได้มองปัญหาอย่างสากลและครอบคลุม เป็นมรดกทาง ความคดิ สืบทอดผ่านมอื ใหอ้ นุชนไดค้ ิดคน้ แสวงหาคาตอบต่อไป ดังนั้น ปัญหาทางปรัชญา คงต้องละไว้ให้นักคิดใหม่ ๆ ได้ขบปัญหากันต่อ เพราะ เป็นการท้าทายว่า คาตอบและวิธีการตอบของนักคิดท่านใดจะมีความสมเหตุสมผลและมีความ นา่ เชอื่ ถือมากกวา่ กัน ในบทต่อไป จะแยกเสนอเฉพาะประเดน็ ปัญหาและทฤษฎที างญาณวทิ ยา อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

9 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1.3 คาถามทา้ ยบท 1.3.1 จงอธิบายความหมายของคาวา่ ปรัชญา และความเป็นมาของคานี้ว่ามาจากรากเหง้า ทางภาษาใด มนี ัยความเหมือนหรอื ความต่างจากรากศพั ท์หรือไม่ อย่างไรบ้าง ? 1.3.2 จงอภิปรายถึงความหมายของคาวา่ ปรชั ญา ตามทนี่ ักศกึ ษามคี วามเข้าใจมาก่อนที่จะ ไดศ้ ึกษาความหมายตามหลกั วิชาการวา่ เป็นอยา่ งไรบ้าง ? 1.3.3 จงอธบิ ายถึงขอบเขตเน้ือหาทางปรัชญาวา่ เก่ยี วกับเร่ืองใดบ้าง ? 1.3.4 จงอธิบายถงึ สาระสาคญั ของแนวคดิ ทางปรัชญาตามแตล่ ะสานักมาพอให้เข้าใจ ? 1.3.5 จงอภิปรายปญั หาทยี่ งั เปน็ ขอ้ ถกเถียงทางปรัชญาจนกระทงั่ ปจั จบุ ันมาดู ? 1.3.6 จงอธิบายถงึ ปัญหาทางปรัชญาตามทศั นะของ เอ เจ แอร์ (A.J.Ayer) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

10 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

บทที่ 2 ทฤษฎที างญาณวทิ ยา (Epistemological Theories) 2.1 ความหมายของญาณวทิ ยา ญาณวทิ ยา แปลจาก คาวา่ Epistemology มีรากศัพท์มาจากภาษากรี กวา่ Episteme หมายถงึ ความรู้ ญาณวิทยาศกึ ษาเกยี่ วกบั คาถามทีว่ า่ เรารไู้ ด้ อยา่ งไร และสิง่ ทร่ี ู้ รูต้ รงตามขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ไม่ ความร้ทู แ่ี ทจ้ ริงของส่ิงนี้คืออะไร ทฤษฎที างญาณวิทยา คือ เร่ืองราวของทฤษฎคี วามร้ใู นปรัชญา ทฤษฎีความรู้ต้อง เผชิญกับการถูกท้าทายจากข้อสงสัยต่าง ๆ การตรวจสอบความรู้ ถือวา่ มีความจาเปน็ ความสงสัยที่เกดิ เรียกวา่ วมิ ัตินิยม (Skepticism) ข้อสงสัยท่ไี มส่ ดุ โต่งเกนิ ไปจะเปน็ ประโยชน์ ในการตรวจสอบความรู้ ถา้ ยงั ไมส่ ามารถมีขอ้ วินิจฉัยมารองรับว่าความรูน้ ้ัน ถกู ต้องหรอื ไม่ ให้รอไปก่อนจนกวา่ จะพบความจรงิ ทีช่ ดั เจน จึงสามารถทาให้เป็น ทฤษฎีได้ ในสมยั ปจั จุบนั การตรวจสอบความรเู้ ป็นเรื่องสาคญั ในทุกสาขาวชิ า เอ.เจ. แอร์ (A.J. Ayer) นกั ปรัชญาสมัยปัจจบุ นั มคี วามคิดเหน็ วา่ “ส่งิ ใดที่ไม่จรงิ ไมส่ ามารถทจ่ี ะพดู ว่า “รู้” ได้ เชน่ ถ้ามีคนพูดว่า เขารูเ้ รอื่ งราวเกีย่ วกบั “A” แต่ส่งิ ท่ีรู้เก่ียวกบั “A” มกี าร พิสูจน์ว่าไม่เปน็ ความจรงิ หมายความว่า เขาไม่มีความรูเ้ กี่ยวกับ A เลย สง่ิ ท่ีรู้ จะตอ้ ง ไม่สามารถพสิ จู น์ได้วา่ ไม่จริง ทฤษฎีจะเป็นทฤษฎกี ็ต่อเม่ือหาขอ้ ผิดของทฤษฎีไมไ่ ด้ ดังนัน้ ญาณวทิ ยา (epistemology) จงึ หมายถงึ ศาสตร์หรอื ทฤษฎี เกีย่ วกับความรู้แท้ หรอื ความรทู้ ีม่ ีระบบ ในทางปรัชญา ความรตู้ อ้ งเปน็ ความรใู้ นความ จริง ญาณวิทยาหรือทฤษฎแี หง่ ความรู้ (Theory of Knowledge) เปน็ สาขาหนึ่งของ ปรัชญาทอี่ ธิบายถึง ปญั หาเกี่ยวกับท่ีมาของความรู้ แหลง่ เกดิ ของความรู้ ธรรมชาติ ของความรู้ และเหตุแห่งความรทู้ ่แี ทจ้ รงิ ปญั หาญาณวิทยา จงึ ไมใ่ ช่เพียงว่า ความรคู้ ือ อะไร แตย่ ังเกี่ยวพนั กับความจรงิ ด้วย เชน่ อะไรคือสิ่งท่เี รารู้ มนุษยร์ ูค้ วามจรงิ ได้ หรือไม่ โดยวธิ ีใด ความจริงเป็นส่ิงสัมพัทธ์ (Relative) หรือเป็นส่งิ สัมบูรณ์ (Absolute) เป็นตน้ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

12 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2.2 ทฤษฎที างญาณวทิ ยา 2.2.1 การแสวงหาความรขู้ องมนษุ ย์ มนษุ ย์แสวงหาความรู้มาแต่โบราณ เพราะมนุษย์มสี มองท่ีพิเศษ คิด เป็น ประมวลประสบการณไ์ ด้ จงึ ขอนาแนวคดิ เร่ืองความรูข้ องนักปรชั ญา สมยั ตา่ งมา อธบิ ายใหเ้ หน็ กระบวนการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ดงั น้ี โปรทากอรัส (Protagoras) นกั ปรัชญากรกี โบราณ กลา่ วว่า มนษุ ยค์ ือ มาตรการสาหรบั ทุกสิง่ (Man is the measure of all things): ความรูแ้ ละความจริง เป็นอัตวสิ ัย โปรทากอรสั เห็นวา่ ส่งิ ท่เี รียกว่า “ความรู้” นั้นเป็นเพียงความเห็นหรอื ทศั นะของแต่ละคน (subjective opinion) ความรู้ข้นึ อยู่กับผรู้ ูแ้ ตล่ ะคน ส่ิงทีด่ ูเหมือน เป็นความจรงิ สาหรบั คนหนึง่ ๆ จะเปน็ จรงิ สาหรบั คน ๆ น้นั ไมม่ ีความจรงิ ปรนยั (objective truth) ท่ใี ช้และยอมรับไดส้ าหรับทกุ คน โปรทากอรสั (Protagoras) มชี วี ติ ในช่วง 490– 420 กอ่ นคริสตกาล http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Protagoras.jpg ดงั นน้ั ในทศั นะของโปรทากอรัส ความรู้ทเี่ ปน็ สากล แน่นอนตายตวั สาหรบั ทุกคนจงึ ไมม่ ีอยู่ แม้กระทงั่ “ความฝนั ก็อาจเป็นจริงไดส้ าหรบั ผู้ฝัน” กล่าวได้วา่ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

13 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ความจริงในทัศนะของโปรทากอรสั เปน็ สงิ่ สมั พัทธ์ คือ เปลีย่ นแปลงได้ ไมต่ ายตัว ไม่ จริงแทแ้ น่นอน แนวคดิ ของโปรทากอรสั ยังเสนออีกว่า มนษุ ยไ์ มม่ ีความจาเป็นที่จะต้อง ไปแสวงหาความรทู้ ี่เป็นสากลเพอื่ เป็นมาตรฐานเดียวกัน เขาไมเ่ ชอื่ วา่ มนุษยจ์ ะสามารถ มคี วามร้ใู นสง่ิ เป็นจริงสูงสดุ (Absolute Reality) ในฐานะนักคิดในลัทธิประสบการณ์นิยม (Empiricism) โปรทากอรัส เนน้ ประสบการณ์ทางประสาทสมั ผัส และเชอื่ วา่ ประสาทสัมผสั เปน็ สิ่งจริง (seeing is believing) การศึกษาไม่ใช่วิธกี ารเพื่อค้นหาวา่ สิง่ ใดจรงิ หรือเทจ็ ครอู าจารย์ก็ไมใ่ ชผ่ ู้ที่ จะบอกหรือแสดงความจริง เป็นเพยี งผูช้ ักชวนให้ผูเ้ รียน “ยอมรับ” คาพดู หรือความ เชือ่ ของครูอาจารย์เท่านน้ั สว่ นการตัดสินใจยอมรับเปน็ เรื่องของแต่ละบุคคล โสคราตีส เชือ่ วา่ ความร้เู ป็นส่ิงสมั บรู ณ์ คือ เป็นสากล เทย่ี งแทแ้ น่นอน เปน็ ความรู้ในความจริง และมคี วามรู้ชนิดเดยี วคือ ความรู้ชนดิ ทีท่ าให้ผู้ร้รู กั ความจริง เทดิ ทูนคุณธรรม สามารถคิดและทาไดอ้ ย่างถูกต้อง โสคราตสี (Socrates) มชี ีวิตในชว่ ง 470 –399 กอ่ นคริตกาล http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/b/be/Socrates.bmp.jpg อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

14 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา โสคราตสี เช่อื วา่ ผมู้ คี วามรู้จะไมเ่ ป็นคนเลวโดยเด็ดขาด ส่วนผู้ทีย่ งั ทาผดิ ก็เพราะเขาไม่มคี วามรู้ มีแตเ่ พยี งความเห็น จงึ อาจผิดพลาดไดเ้ ป็นธรรมดา ผู้มีความรู้ ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงได้ตรงกนั เพราะความรหู้ รอื ความจริงเปน็ สงิ่ ที่มีอยใู่ นตวั มนษุ ยอ์ ยู่แลว้ เรียกวา่ เป็นความรู้ก่อนประสบการณ์ (Apriori Knowledge) ดงั นน้ั ส่ิงที่ ถกู รคู้ ือ ตวั เรา มิใช่โลกภายนอก คนเราตอ้ งศึกษาตนเอง (Know Thyself) ให้เขา้ ใจ แลว้ จะพบความจริง วิธีการทีโ่ สคราตสี ใช้ในการศึกษาตนเองกค็ ือ การคิดตรึกตรองในขณะจิต สงบ และอีกวิธหี น่ึงคอื การถาม-ตอบ หรอื ท่ีเรียกว่า วธิ ีการของโสคราตสี (Socratic Method) ประกอบดว้ ย 1. สงสัยลังเล (skeptical) โสคราตีสจะเริ่มตน้ ด้วยการยกย่องคนอื่น พรอ้ มกับขอร้องใหช้ ว่ ยอธิบายเรื่องท่ียังไมก่ ระจา่ งให้ฟงั เชน่ ความรกั ความงาม คุณธรรม ความยตุ ธิ รรม ความรู้ เปน็ ต้น 2. สนทนา (conversation) โสคราตีสจะเป็นผตู้ งั้ คาถามให้คูส่ นทนาเปน็ ผู้ตอบ เขาเช่อื ว่าวิธีการนจ้ี ะทาใหค้ ู่สนทนาเปิดเผยความจริงท่ีมีอยู่ในตัวเองออกมา โดยมเี ขาเป็นเพียงผู้ชว่ ย ไมใ่ ช่ผนู้ าความรู้ไปให้ เพราะความรู้ไมใ่ ช่สง่ิ ใหม่ ขอเพียงนา ออกมาให้ถกู วิธี 3. หาคาจากดั ความ (conceptional หรือ definitional) โสคราตสี เชอื่ วา่ ความจริงมาตรฐานจะแฝงอยใู่ นคาจากัดความ หรือคานยิ ามท่ีสมบรู ณ์ เชน่ ความ ยุติธรรม หากเรายังไมร่ ู้ว่า ความยตุ ิธรรมคืออะไร เราก็ยังไม่เขา้ ใจและไม่รจู้ กั วา่ การ กระทาใดยุติธรรมหรอื ไม่ยตุ ิธรรม เปน็ ต้น ดงั นัน้ การสนทนาจงึ เป็นการเสนอคานยิ าม ศัพท์ และพยายามขัดเกลาคานิยามนั้นใหบ้ กพรอ่ งนอ้ ยท่สี ดุ 4. ทดสอบด้วยการลงมือปฏบิ ัติ โดยใชว้ ธิ ีการยกตัวอยา่ งที่มีสภาพ แวดลอ้ มตา่ งกันมาช่วยโตแ้ ยง้ เพอ่ื ขดั เกลาคานยิ าม คานิยามใดท่ียังโตแ้ ย้งได้ก็แสดงว่า ยังไมส่ มบูรณ์ จะต้องหาคาจากัดความที่ทกุ คนยอมรบั โดยไม่มีข้อแย้ง 5. สรปุ กฎเกณฑ์ไวเ้ ปน็ มาตรฐาน เพ่อื นาไปใชอ้ ้างอิงตอ่ ไป รวมถึงการ พสิ จู น์คานิยามดังกลา่ วด้วย อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

15 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เพลโต (Plato) มีชวี ิตในช่วง 428/427 – 348/347 ก่อนครสิ ตกาล http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Platon-2.jpg ในทัศนะของเพลโต ความรูไ้ ม่ใช่ส่ิงแปลกใหม่ หากเป็นสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว (Apriori) ดังนั้น ผู้มีความรู้ คือ ผู้ที่จิตของเขาได้สัมผัสกับ “แบบ” ซึ่งเป็นความจริง สูงสุด ส่วนการรบั รู้อื่น ๆ เป็นเพียงความเชอื่ หรอื ความเหน็ มใิ ช่ความรู้ เพลโตเสนอว่า จิตหรือวิญญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ซึ่งเป็นอมตะนั้น คุ้นเคยกับ “แบบ” ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อจิตมาคลุกคลีกับโลกแห่งวัตถุทาให้หลงลืมไป กระบวนการศึกษาเป็นหนทางที่จะทาให้จิตฟื้นความทรงจาได้ การเรียนจึงเป็นการ ทบทวนสิง่ ทีเ่ คยรู้มาแล้ว ครูเป็นเพียงผู้ “ถาม” เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดค้นหาคาตอบ ดว้ ยตวั เอง ครูไมไ่ ดป้ อ้ นหรอื ใหค้ วามรูใ้ หมแ่ ก่ผเู้ รียน เพลโตไม่เห็นด้วยกับนักปรัชญาโซฟิสต์ (อย่าง โปรทากอรัส) ที่เชื่อว่า ความรคู้ อื ประสาทสัมผัสและความเห็นส่วนบุคคล เพราะเพลโตเชื่อว่า ประสาทสัมผัส อาจลวงเราได้ และยังเป็นเพยี งเงาหรอื มายาภาพของแบบเท่าน้ัน อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

16 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เพลโตกลา่ วถึงความรู้ 4 ระดบั คอื 1. การคาดคะเน หรือ การเดา (conjecture) จัดเป็นความรู้ที่มีความ แน่นอนต่าสุด เช่น ความรู้ที่ได้มาจากประสาทสัมผัส จินตนาการ ความฝัน ภาพ สะทอ้ นและเงาของสิง่ ตา่ ง ๆ (เรือ่ งนกั โทษทีถ่ กู ขังในถ้า) เปน็ ตน้ 2. ความเชอื่ (belief) และความรทู้ ี่ไดจ้ ากการรบั รู้ (perception) ในวัตถุ สิ่งนนั้ ๆ (เปรียบเทียบได้กับการที่นักโทษได้รับการปล่อยพันธนาการ แล้วถูกบังคับให้ ยนื ขนึ้ ทนั ทีและหนั ไปจ้องมองแสงสวา่ งดูความจริงนอกถ้า) ความรู้ระดับ 1 และ 2 เป็นความรู้ที่อาศัยประสาทสัมผัส ซึ่งเพลโตเห็น ว่าเป็นเพียงความเหน็ หรือทัศนะ ไมใ่ ชค่ วามรแู้ ท้ 3. ความเข้าใจ หรือความคิดตามลาดับเหตุผล (discursive intellect) เปน็ ความรูท้ ่ีแม้จะยังไมช่ ดั เจน แจม่ แจง้ แตก่ เ็ ขา้ ใจแล้ววา่ เปน็ สง่ิ ทเ่ี คยเห็นในลักษณะท่ี เปน็ เงาหรอื มายาภาพ ความรู้ระดับนี้ได้แก่ ความรู้ทุกอย่างทางคณิตศาสตร์ ตลอดจน สตู รหรือทฤษฎบี ททใ่ี ชใ้ นวชิ าเรขาคณิต และพชี คณติ 4. การรู้แจ้งด้วยเหตุผล (rational insight) เป็นความรู้ที่มีความแน่นอน สูงสุด ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับ “แบบ” ซึ่งถือเป็นความดีและความจริงที่มนุษย์ควร แสวงหา เปน็ ความรู้แจ้งดว้ ยเหตผุ ลซึ่งจะนาไปสู่เป้าหมายสุดท้าย คือ ความดี (เปรียบ ได้กับนักโทษที่เข้าใจแล้วว่า “เงา” ไม่ใช่ของจริง เพลโตเห็นว่าคนที่มาถึงความรู้ขั้นน้ี จะบรรลุถงึ ความดี และไม่อยากรว่ มกิจกรรมทคี่ นทัว่ ไปเหน็ ว่าสาคัญ ความรู้ระดับ 3 และ 4 นี้เป็นความรู้แท้ หรือเป็นศาสตร์ ที่ต้องอาศัย ปญั ญาในการเข้าถงึ จากนั้น มนุษย์ เราก็แสวงหาความรู้ ต่อยอดกันเรื่อยมา จากการคิด อนมุ านด้วยเหตผุ ล กม็ าใช้ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ทดลองพิสูจน์ ว่า สิ่งที่เรา คิดว่า รู้นั้น ตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏหรือตามสภาพความจริงมาน้อยเพียงไร แน่นอนว่า จนกระทั้งปัจจุบัน การแสวงหาความรู้ของมนุษย์ยังไม่มีทางสิ้นสุดง่าย ๆ เพราะยงั มสี ิ่งที่เราไมร่ ู้คอื คน้ ไม่พบอกี มาก เช่น ความลับของจักรวาล ความลับของชีวิต และมีอีกหลายสิง่ ท่ียังไม่สามารถรูไ้ ด้ด้วยการใช้เครอื่ งมือเพยี งอย่างเดยี วแล้วสรุปว่า ไม่ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

17 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มี เช่น เรื่อง ชีวิตหลังการตาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา เป็นต้น เหล่านี้คงท้าทาย ศักยภาพของมนุษยใ์ ห้เข้าไปสบื ค้นแสวงหาคาตอบอีกต่อไป 2.2.2 ทฤษฎีทางญาณวทิ ยา นกั ปรัชญา เมื่อต้องเผชญิ กบั คาถามเกี่ยวกบั ความรู้ จึงไดพ้ ยายามอธิบาย ตามทัศนะของตนต่างยุคต่างสมัยหลายทฤษฎี หากจะจาแนกออกเป็นกลุ่มจะพบ ทฤษฎีว่าดว้ ยการเกดิ ของความรู้อยู่ 5 ทฤษฎีใหญ่ ๆ คอื 1. เหตุผลนิยม (Rationalism) นักคิดในลัทธิเหตุผลนิยม เชื่อว่า “ เหตุผลเป็นหนทางเดียวที่นาไปสู่ความรู้” และความรู้เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด เป็นความรู้ก่อนประสบการณ์ จึงไม่เชื่อว่าประสบการณ์จะให้ความรู้ที่ถูกต้องแน่นอน เพราะบ่อยครั้งที่ประสาทสัมผัสลวงเรา (seeing is deceiving) คาว่า “เหตุผล” หมายถึง เหตุผลที่เกิดจากสัญชาตญาณ มิใช่เหตุผลที่เกิดจาก การรับรู้ทางประสาท สัมผัส วินิจฉัย การอนุมาน หรือการจินตนาการ แต่เป็นเหตุผลที่เกิดจากจิตใจที่ใส สะอาด สวา่ ง สงบแนว่ แน่ เป็นเหตุผลที่ไม่มีข้อสงสัย เรอเน เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes, March 31, 1596-February 11, 1650) นกั ปรัชญาชาวฝร่ังเศส เปน็ นักปราชญ์ตะวันตกสมัยใหม่ ได้พยายามหาคาตอบ และไดอ้ ธบิ ายวา่ “ความรู้เกดิ จากเหตผุ ล” ตั้งใจจะพิสจู นส์ ัจจะทางปรัชญาด้วยการใช้ เหตุผล จงึ เริ่มต้นวิธีการหาความรดู้ ้วยการตงั้ ขอ้ สงสยั กับทุกสิ่ง เขาได้ข้อสรุปว่า ถ้าเขา “สงสัย” ได้ ก็เท่ากับว่า เขาต้อง “คิด” และเพราะ “เขาคิด เขาจึงดารงอยู่” อย่างท่ี เขากลา่ วเปน็ ภาษาละตินว่า “Cogito, ergo sum” หรือ “I think, therefore I am.” (ฉนั คิด ดังน้นั ฉันจงึ มีอยู่) การที่เดส์การ์ตส์ ตระหนักว่า ตัวเขาเป็น “สิ่งมีชีวิตที่คิดได้” ทาให้เขารู้ ด้วยวา่ เขาไมไ่ ด้เป็นเพียง “ฉัน” ที่กาลังคิด แต่ฉันที่กาลังคิดนี้จริงแท้กว่าโลกวัตถุที่เรา รับรู้ดว้ ยประสาทสัมผัส เดส์การ์ตส์ คิดต่อไปว่า มีอะไรอีกหรือไม่ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยความ แน่นอนที่หยั่งรู้ได้ในใจ (intuitive) แบบนี้ เขาได้ข้อสรุปว่า ในจิตของเขามีความคิดที่ ชดั เจน แจม่ แจง้ ซ่ึงมลี กั ษณะเปน็ ความจรงิ ท่จี าตอ้ งเปน็ (necessary truth) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

18 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เช่น “สิ่งหนึ่งไม่อาจจะอยู่สถานที่สองแห่งในเวลาเดียวกันได้” หรือ “เส้นตรงที่ขนาน กนั ไมม่ ีวันจะบรรจบกันได้” เปน็ ตน้ เดส์การต์ ส์ (Rene Descartes) นกั ปรัชญาชาวฝร่งั เศส http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Descartes.jpg เดสก์ ารต์ ส์ แบ่งความคิดมนุษยอ์ อกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ความคิดท่ไี ด้จากประสบการณภ์ ายนอก (Adventitious Ideas) 2. ความคดิ ทจี่ ิตสรา้ งขึน้ (Factitious Ideas) 3. ความคิดติดตัว (Innate Ideas) ซึ่งความคิดแบบนี้เขาคิดว่าเป็น ความคิด/ความรู้ที่ทุกคนมีเหมือนกันโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นความรู้ก่อนประสบการณ์ที่ ชดั เจน แจ่มแจง้ ความคิดที่ได้จากภายนอก คือ จากประสาทสัมผัส ความคิดนี้ไม่ชัดเจน แจ่มแจง้ ความคิดทส่ี รา้ งข้ึน คือความคดิ ทจี่ ติ สรา้ งขนึ้ โดยการผสมผสานสิ่งที่ได้มาจาก ภายนอกเข้าด้วยกัน ความคิดนี้ก็ไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นกัน ส่วนความคิดที่ติดตัวมาแต่ กาเนดิ เปน็ ความคิดทแ่ี จ่มแจง้ ในตวั เองชัดเจนในตวั เอง ไมต่ อ้ งพสิ ูจน์ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

19 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เดส์การ์ตส์ แยกชัดเจนระหว่าง จิต กับสสาร เขาเชื่อว่าสองสิ่งนี้เป็น อสิ ระจากกัน มนษุ ย์มีสสารคือร่างกายที่เป็นเหมือนเครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีจิต ที่ทางานอย่างเปน็ อิสระจากกาย มนษุ ยจ์ ึงมีความสามารถที่อยู่เหนือความต้องการทาง กาย และปฏบิ ตั ติ นอย่างมีเหตุผล นอกจากนี้เขาเชื่อเหมือนเพลโตที่ว่า จิตวิญญาณกับ สสารนน้ั แยกจากกนั อยา่ งชดั เจน 2. ประจักษนิยม (Empiricism) ลัทธินี้เชื่อว่า มนุษย์มีความรู้ในความ จริงได้ด้วยการอาศัยประสาทสัมผัสเท่านั้น ความรู้จึงเป็นสิ่งแปลกใหม่ และเป็น ความรู้หลังประสบการณ์ (A Posteriori) บางครั้งก็เรียกลัทธินี้ว่า ลัทธิประสบการณ์ นยิ ม “ประสบการณ์เปน็ ท่มี าของความรูท้ ีแ่ ท้จริง” ความร้แู บบน้ีเป็นความรู้ที่เกิดจาก การรับรูท้ างประสาทสัมผสั คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส การรับร้โู ดยวิธีนี้เรียกว่า ประสบการณ์ พวกประจักษนิยมจึงมีความคิดว่า ความรู้ของ เราได้มาจากประสบการณ์และประสบการณ์เท่านั้นที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพราะ สามารถพิสูจน์ยืนยันให้เห็นความจริงได้ กลุ่มประจักษนิยมไม่เชื่อว่าเราสามารถสร้าง ระบบความรจู้ ากเหตุผลโดยไมต่ ้องอาศยั ประสบการณ์ จอห์น ล็อค (John Locke, August 29, 1632-October 28, 1704) ชาวอังกฤษ เป็นนักประจักษนิยม ไม่เชื่อว่า มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับโลกมาแต่เกิด มนุษย์จะเริ่มมีความรู้ เมื่อ “เห็น” โลกแล้วเท่านั้น เขาเชื่อว่า การเห็นหรือ การมี ประสบการณม์ อี ยู่ 2 ลกั ษณะ คือ 1. ประสบการณ์ภายนอก (sensation) หรือประสาทสัมผัส เป็น ความรเู้ ชิงเดยี่ ว คือ ไมไ่ ดเ้ ป็นความรเู้ กย่ี วกบั สงิ่ นั้นทงั้ หมด 2. ประสบการณ์ภายใน (reflection) คือการที่สมองนาเอาประสาท สมั ผสั เบ้อื งต้นไปคดิ ใครค่ รวญ วิเคราะห์ จนกระทั่งสามารถจัดระบบเป็นหน่วยความรู้ ที่เรยี กว่า มโนทัศน์ (concept) หรือความคิดรวบยอดได้ จากนั้นจึงจะสร้างเป็นความรู้ ทีซ่ ับซ้อนได้ต่อไป อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

20 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จอหน์ ลอ็ ค (John Locke) นกั ปรชั ญาชาวองั กฤษ http://en.wikipedia.org/wiki/Image:JohnLocke.png จากความคิดจอห์น ล็อค จะเห็นได้ว่า ความรู้ใด ๆ ของมนุษย์จะเกิดขึ้น ไม่ได้ ถา้ ไม่เคยมีประสบการณท์ างประสาทสมั ผัสมาก่อน อนึ่ง การที่ ล็อค ปฏิเสธเรื่อง ความคิดติดตวั เพราะ 1. ถ้าความคิดติดตัวมีจริง ทุกคนก็ต้องมีความคิดติดตัวเท่ากัน แต่ความ เป็นจริงไม่ใชเ่ ช่นนน้ั คนมคี วามแตกต่างกัน เรยี นหนงั สือก็มีได้ มีตก ไม่เท่ากนั 2. ถ้าความคิดติดตัวมีจริง ทุกคนต้องความคิดติดตัวเหมือนกัน เช่น ความคิดเรื่องพระเจ้า ความจริงมีบางคนไม่นับถือพระเจ้า แม้แต่ในกลุ่มที่นับถือพระ เจา้ กย็ งั มคี วามเหน็ แตกต่างกนั 3. ถ้าคนมคี วามคิดเหมอื นกนั ตรงกัน เช่น โลกกลม ไฟร้อน ก็เป็นเพราะ เกิดจากประสบการณ์ ไมใ่ ช่ความคิดติดตัวท่มี ีมาก่อนประสบการณ์ 4. ความรู้เดิม หรือความรู้ที่เป็นหลักทั่วไป เช่น ทฤษฎี ที่นามาอ้างอิง ตามหลักการอ้างเหตุผล ก็ไมใ่ ชค่ วามรู้ท่ตี ิดตวั มาแตเ่ กดิ หากแต่เป็นความคิดที่เกิดจาก ประสบการณ์ จากข้อเทจ็ จริงตามประสาทสมั ผัส แลว้ นาไปสขู่ อ้ สรุป อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

21 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ลอ็ ค เสนอว่า เดิมจิตหรือสมองมนุษย์ว่างเปล่า บริสุทธิ์เหมือนกระดาษ แผ่นหนึ่ง เรียกว่า Tabula Rasa เมื่อคลอดออกมาก็ได้ข้อมูลจากโลกภายนอก การศึกษาจึงเป็นการ “ให้” และการ “เห็น” โลกภายนอก ซึ่งสิ่งที่เป็นแหล่งข้อมูล สาหรับนักคิดแนวนี้ ก็คือ สสารหรือวัตถุ เพราะเป็นสิ่งที่สามารถใช้ประสาทสัมผัส สารวจได้โดยตรง ล็อคเห็นว่า สสารหรือวัตถุ มีคุณสมบัติ 2 อย่าง คือ คุณสมบัติปฐมภูมิ (primary quality) ได้แก่ การกินที่ น้าหนัก การเคลื่อนที่ จานวน ซึ่งเขาเห็นว่า คุณสมบัติแบบนี้มนุษย์สามารถรับรู้ได้แน่นอน และคุณสมบัติทุติยภูมิ (secondary quality) เช่น สี เสียง กลิ่น รส ซึ่งแต่ละคนจะรับรู้ไม่ตรงกัน อาจต่างกันไปตาม รสนิยม คุณสมบตั แิ บบนีจ้ ึงไม่ได้ใหค้ วามรทู้ ่ีแน่นอน 3. เพทนาการนิยม (Sensationism) ได้พัฒนามาจากทฤษฎีประจักษ นิยมของ จอห์น ล็อค โดย เดวิด ฮิวม์ (David Hume, April 26, 1711-August 25, 1776) นักปรัชญาชาวสก็อตแลนด์ โดยระบุแหล่งที่มาของความรู้ว่า “ความรู้ทุก ชนดิ เกิดจากความประทับใจ หรือภาพประทับ หรือ ความตรึงตรา (Impression) กับ ความคิดหรือมโนภาพ(Ideas)” 1 ฮวิ ม์ยืนยันว่า ความรู้ทุกอย่างเกิดจากความตรึงตรา และความคิด ความคิดคือการถ่ายแบบที่เลือนลางของความตรึงตราหรือจินตนาภาพ ความตรึงตรา คือ สัญชานที่ตื่นตัว มีสองชนิดคือ ความตรึงตราที่เกิดจากเพทนาการ หรือการรับรภู้ ายนอก และความตรึงตราทเ่ี กดิ จากมโนภาพหรอื การรบั รู้ภายในจิต เพทนาการนิยมและวิมัตินิยม (Sensationalism & Skepticism) หรือ เรียกว่าสัมผัสนิยม ในทฤษฎีความรู้ หมายถึง ประสบการณ์นิยมขั้นพื้นฐาน ที่มี ทรรศนะว่า ความสัมพันธ์รวมทั้งสิ่งเฉพาะมีอยู่ในโลกภายนอก และประสบการณ์ โดยตรง (การรับรู้สึกในทันที) เป็นจุดกาเนิดและเป็นหลักฐานแห่งความรู้ทั้งปวง เพทนาการนิยมมที รรศนะหลัก 2 ดงั น้ี 1 พระทักษิณคณาธกิ ร, อา้ งแล้ว, หน้า 71. 2 Peter, A. Angeles, Dictionary of Philosophy, (New York: Barnes & Noble Books, 1981), p. 254. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

22 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. การรับรคู้ อื การรวมกนั ของการรับรทู้ างผสั สะ 2. ความรู้ท้งั ปวงมผี ัสสะเป็นฐานเกิด 3. ความรู้ทั้งปวงสามารถลดทอนลงไปเป็นการรับรู้ทางผัสสะ นั่นคือ ข้อความเชิงประจักษ์ทั้งหมด สามารถวิเคราะห์ลงไปสู่ข้อความที่มีความสัมพันธ์กัน ระหว่างการรบั รทู้ างผัสสะ และสง่ิ ท่ีถกู รับรู้ 4. ความรู้สามารถตรวจสอบความถูกต้อง (ยืนยัน) ได้ โดยการอนุมาน ถงึ ความร้สู ึกทางผสั สะ “ความประทับใจกับความคิด โดยอาศัยวัตถุภายนอก เก็บภาพประทับ เอาไว้ ด้วยความจากับจินตนาการ และจินตนาการจะจัดการกับระบบต่าง ๆ ของ ความ ประทบั ใจ และความคิดตามความเคยชินของนิสยั จงึ จะเกิดความรู้ข้นึ ” 3 เดวดิ ฮวิ ม์ (David Hume) นกั ปรชั ญาชาวสก็อตแลนด์ http://en.wikipedia.org/wiki/Image:David_Hume.jpg ฮิวม์มีความเห็นตรงกับล็อคในเรื่องแหล่งที่มาของความรู้ อันเกิดจาก ประสบการณ์ แต่เขาได้อธบิ ายข้ันตอนของประสบการณ์เกี่ยวกับโลกภายนอก โดยเริ่ม ตง้ั แต่การรบั รูท้ างผัสสะ ผ่านไปสูก่ ระบวนการคิด จนกระทั่งเกิดความรูใ้ นขั้นสุดทา้ ย 3 บุญมี แทน่ แกว้ , เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า 133. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

23 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จากข้อความขา้ งต้น มศี พั ท์เฉพาะท่ีเราจะตอ้ งทาความเข้าใจ ดังต่อไปน้ี 1) เพทนาการ (Sensation) หมายถึง การรับทางผัสสะรู้ทั่วไป ทั้งท่ี เจาะจงและไมเ่ จาะจง 2) ความประทับใจหรือภาพประทับ (Impression) คือสิ่งที่จิตรับไว้ด้วย ความชัดเจนและรุนแรงสดุ กาลงั บางทีเรยี กวา่ สัญชานะ (Perception) เป็นการรับรู้ท่ี เกดิ อยา่ งเจาะจงในเรื่องหนง่ึ เรอ่ื งใด ความประทับใจมี 2 อยา่ ง คอื 1. ความประทบั ใจที่ได้จากสัมผัสภายนอก ที่เรียกว่า เพทนาการ ใน ระดับภาพประทับ (Impression) 2. ความประทับใจที่ได้จากการไตร่ตรองภายใน ที่เรียกว่า มโนภาพ ในระดับความคดิ (Ideas) ความประทับใจหรือภาพตรึงตรามพี ลังรุนแรงและมีชีวิตชีวา มากกวา่ มโนภาพ 3) มโนภาพหรอื ความคดิ (Ideas) เกดิ จากความทรงจา อันเป็นความคิด ตามลาดับช้ันที่เข้าสู่จิต และจากจินตนาการ มโนภาพเป็นส่วนที่เก็บรวบรวมความคิด และความทรงจาของเรา ในระดับของมโนภาพ จะเป็นภาพลาง ๆ หรือภาพสาเนา (Copies) ของความประทับใจหรือความตรึงตรา ซึ่งเรียกชื่อตามภาษาวิชาจิตวิทยาว่า “จินตภาพ (Image)” 4 เป็นภาพเลือนลางของสิง่ ทีม่ าปรากฏแก่ดวงจิต ในขณะที่กาลัง คิดหรอื หาเหตผุ ล ลักษณะของความรู้ เดวิด ฮิวม์ มีความเห็นว่า ความรู้ คือ มโน ภาพในใจท่ีถา่ ยสาเนาจากภาพประทบั ใจ เพราะเราไม่เคยมีความคิดดั้งเดิมติดตัวในจิต ของเรามาแต่เกิด ความรู้ของมนุษย์จึงผ่านประสบการณ์ 2 ระดับ คือ ประสบการณ์ ระดบั ภาพประทบั ใจ และประสบการณ์ระดบั มโนภาพ แล้วสังเคราะห์เป็นความรู้ ด้วย เหตุนี้ ความรู้จึงมีมาภายหลังประสบการณ์ ฮิวม์ ยืนยันว่า “ประสบการณ์ คือ จดุ เริ่มต้น (Alpha) และจดุ สดุ ท้าย (Omega) ของความรู้” และเขากย็ ังมีความสงสัยใน สิ่งที่อยู่เหนือประสบการณ์ทางผัสสะว่าเป็นสิ่งที่วิธีการทางประจักษ์นิยมไม่สามารถ หยั่งถึง จึงเรียกว่า วิมัตินยิ ม (Skepticism) 4 เดอื น คาดี, ปรชั ญาตะวันตกสมยั ใหม่, หน้า 79. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

24 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ความแน่นอนของความรู้ ความรู้ที่แท้จริง ในขั้นสุดท้าย ต้องได้มา จากการสารวจรู้ การไตร่ตรองภายใน(ประสบการณ์จากภายใน) เกี่ยวกับเหตุการณ์ หนึง่ หรอื สองอย่างวา่ เหตกุ ารณท์ ้งั สองมีส่วนสัมพันธก์ ันหรือไม่ และเราเองก็มีเหตุผลที่ ควรจะสงสัยเกีย่ วกับข้อสรุปตา่ งๆ ซึง่ เกดิ มาจากการใชเ้ หตุผล หรือเกดิ จากพื้นฐานของ ประสบการณท์ างประสาทสัมผัสของเรา สิ่งที่เรารับรู้จะเป็นความจริงและแน่นอนตรง ตามความร้ขู องเราหรอื ไม่ ให้ยืนอย่บู นหลกั การ ดังนี้ 1. การสังเกต โดยอาศยั ประสบการณ์ 2. ความเชื่อ (ความคิด) การคาดคะเนเป็นนิสัยของจิต ทาให้เรา ตอ้ งเชอ่ื 3. ความสมั พนั ธ์ของเหตกุ ารณท์ เ่ี กีย่ วเน่อื งกนั ย่างไมเ่ ปล่ียนแปลง การค้นพบเกี่ยวกับภาพประทับและความคิดนี้ ชี้ให้เห็นว่า ความรู้ ทั้งหมดของเรา เกิดมาจากประสบการณ์(โลกแห่งผัสสะ) และเราไม่มีความคิดดั้งเดิม ภายในจิตเรามาก่อน ซึ่งหมายถงึ ความคดิ ท่ีไมข่ ้ึนอย่กู ับส่ิงทเี่ รารบั รู้ 5 ความแตกต่างระหว่างความประทับใจกับมโนภาพ ในกระบวกการเกิด ความรู้ จากท่ฮี ิวม์กล่าวไว้ มีสิ่งที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน 2 ประการ คือ ภาพประทับและ มโนภาพ การแปรสภาพจากการรู้สึกทางประสบการณ์ (ภาพประทับ) ไปเป็นความคิด ขั้นสุดท้าย (มโนภาพ) เป็นไปได้อย่างมีชั้นตอน ต่อไปนี้เป็นความแตกต่างของ กระบวนการทั้ง 2 ดงั นี้ 1. ระดับความเข้ม ความแตกต่างขึ้นอยู่กับระดับแห่งความแรง(เข้ม) และความมีชีวิตชีวาในขณะที่โลกภายนอกมากระทบจิต และสิ่งที่จิตรับไว้ด้วยความ รุนแรงสุดกาลังครั้งแรก เป็นภาพประทับที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ภาพประทับนี้เองที่ช่วยให้ เราเข้าใจความรู้สึกทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งเกิดขึ้นในขณะรับรู้ทางอินทรีย์สัมผัส เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นต้น หรือแม้ขณะที่เรารู้สึก รักเกลียด(ปฏิกิริยาทาง เคมขี องร่างกาย) ตลอดจนความร้สู ึกที่ปรากฎแก่จิตระยะแรก 5 จฑุ าทพิ ย์ อมุ ะวชิ นี, ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม,่ (กรงุ เทพฯ: อกั ษรวฒั นา ม.ป.พ.), หน้า 83. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

25 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มโนภาพหรือความคิดเกี่ยวกับโลกภายนอกที่รับรู้ เป็นสิ่งที่เลือนลางไม่ ชัดเจนเหมือนภาพประทับ เพราะได้เนื้อหาแห่งความคิดจากภาพประทับใจอีกทีหนึ่ง อารมณท์ ั้งหมดรวมทัง้ ความคดิ ก็คือภาพสาเนาแหง่ ภาพประทับใจนั้นเอง 2. เป็นสงิ่ ทแ่ี ยกจากกันอย่างอิสระ ภาพประทับและมโนภาพเป็นคนละ ประเภท ทาหน้าที่คนละอย่าง แต่ในการเกิดความรู้ ทั้ง 2 สิ่งต่างมาเชื่อมโยงประสาน รวมกันโดยอัตโนมตั ิ เพราะอาศยั กฎเหล่านีค้ อื 1) กฎแห่งความเกี่ยวเนื่องกัน (Law of Association) เช่น เมื่อพบ เหน็ ส่ิงหน่ึงกลับนกึ ถึงอกี สง่ิ หน่ึงท่เี กี่ยวข้องกัน เช่น เมื่อเห็นขวดหมึก เรานึกถึงปากกา หรือเมื่อเหน็ เจา้ หนา้ ท่ีตารวจ เรานกึ ถงึ การตามจบั ผ้รู ้าย ดังนั้น เห็นขวดหมึก เป็นส่วน ของภาพประทับ (Impression) นกึ ถึงปากกา เป็นสว่ นของมโนภาพ (Idea) 2) กฎแหง่ ความคล้าย (Law of Similarity) เมอื่ เราพบวตั ถุสงิ่ หน่ึง เรากลับคิดถึงส่งิ ทม่ี ีอย่จู ริงซึ่งถูกแทนแบบสัญลกั ษณ์ หมายใหร้ ู้วา่ คอื อะไร เชน่ - เห็นรูปภาพ กบ็ ่งบอกถงึ สงิ่ ที่รปู ภาพแทนต้นแบบ) - เหน็ ธงชาติ กบ็ อกได้ว่าเปน็ ประเทศไหน (สัญลักษณ์) ดงั น้ัน เหน็ ภาพคน เปน็ ส่วนของภาพประทบั การนกึ ถึงคน เป็นสว่ นของมโนภาพ 3) กฎแหง่ ความใกล้ชิดในกาละเทศะ (Law of Antecedence) เมื่อ เราพบเหตกุ ารณ์อยา่ งหนง่ึ เกดิ ข้นึ จะคาดเดาวา่ มีเหตุการณ์อะไรตามมาอยา่ งทนั ที เช่น เมือ่ เห็นฟ้าแลบ ก็ทาใหเ้ กิดความรู้สึกว่า จะมีฟา้ ร้องตามมา ดังนน้ั การเห็นฟ้าแลบ เปน็ ส่วนของภาพประทบั การคาดเดาวา่ จะมีฟ้าร้องตามมา เปน็ ส่วนของ มโนภาพ 4) กฎแห่งเหตุผล (Law of Causality) เมื่อเราพบสาเหตุอย่างหนึ่ง เราจะโยงถึงสิ่งที่เกิดตามมาเพราะสิ่งนั้นเป็นสาเหตุใหญ่ ดังคาจากัดความว่า “สาเหตุ คือ สิ่งที่มาก่อนโดยไม่เปล่ียนแปลง และผล คือ สิ่งทตี่ ามมาอยา่ งไม่เปล่ียนแปลง” เช่น เมอื่ เห็นไฟ นกึ ถึงการเผาไหม้ ดังนั้น การเห็นไฟ เป็นส่วนของภาพประทับ การนึกถงึ ไฟไหม้ เป็นส่วนของมโนภาพ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

26 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จากจุดนี้ เม่อื เรารบั รู้เหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด เรามักจะเชื่อมโยงไปสู่ อีกเหตุการณห์ นงึ่ โดยนาเหตกุ ารณ์ท้ังสองมาเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อันที่จริง เหตุการณ์ เหล่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ที่จาเป็นระหว่างกันและกันเลย แต่เพราะอาศัยกฎต่าง ๆ เหล่านี้ จึงทาให้ภาพประทับใจมารวมกันกับความคิด ความรู้ของเราจึงเกิดขึ้นมา ความสัมพันธ์ของกฎทาให้ความรู้เป็นไปได้ (Relation of Law makes knowledge possible.) สสารภายนอกมใิ ชส่ าเหตแุ ทข้ องความรู้ สสารภายนอกหรืออารมณ์ เป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทางประสาทสัมผัส แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นเหตุแห่งความรู้สึกทางประสาทสัมผัส เช่น ตัวอย่างที่ให้ไว้ ตา มองเห็นไฟ แตเ่ รากลับมคี วามร้สู กึ วา่ ไฟมีคณุ สมบัติเผาไหม้ ดว้ ยการสมั ผัสความร้อน ไม่ใช่แค่มองดูด้วยตา แต่ความรู้สึกว่า การเผาไหม้ เกิดมาจากไหน ก็เกิดจากการ สัมผสั ความร้อนดว้ ยกาย แต่ที่เรามองเห็นไฟแล้วรู้ว่าไฟมีลักษณะเผาไหม้ เพราะเราอาศัยกฎแห่ง สาเหตุและผลมาคาดการณ์ แต่ไม่มีความสัมพันธ์อันจาเป็นระหว่างสาเหตุและผลที่ เกิดขึ้น คือ ไฟ และ การเผาไหม้ เราทราบว่า มีการเผาไหม้ เพราะการสังเกตโดย ประสบการณ์ของเราเอง ทุกครั้งที่เห็นไฟ จะมีการเผาไหม้ตามมาเสมอ จึงตั้งเป็นกฎ ว่า เมอ่ื มไี ฟย่อมมกี ารเผาไหม้ ดังนั้น ความรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล เป็นเพียงนิสัยของ การคาดคะเนในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดตามมาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นความจาเป็นท่ี จาต้องเกิดเสมอไป อันที่จริง สสารคือกลุ่มความรู้สึกทางประสาทสัมผัส เป็นผลรวมของ ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น เมื่อเอ่ยถึง “มะปราง” เราคิดถึง “กลุ่มของความรู้สึกทาง ประสาทสัมผัส” ที่ประกอบดว้ ย - การครองพื้นท่ี (มะปรางอยทู่ ีไ่ หน) - ขนาด (มปี รมิ าตรเท่าใด) - รูปรา่ ง (มลี กั ษณะอยา่ งไร) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

27 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา - ความแข็ง (ลักษณะอย่างหนึ่งของการสัมผัส) - กลน่ิ (มกี ลิ่นเฉพาะไม่เหมอื นทเุ รียน) - รส (มรี สหวานหรือเปร้ียว) 4. อนุมานนิยม (Apriorism) อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant, April, 22, 1724- February,12, 1804) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เป็นนักเหตุผลนิยม เชิงวิจารณ์ โดยพยายามเอาพวกเหตุผลนิยมและประจักษนิยมรวมเข้าด้วยกัน คานท์ เห็นว่า ความรู้ของเราเกิดจากประสบการณ์และเหตุผล ประสบการณ์ เป็นสิ่งที่ได้มา จากภายนอก เหตุผลเป็นรูปแบบของความคิดหรือโครงสร้างของความคิด ในทัศนะ ของคานท์ จึงหมายความว่า ความรู้ของ เราเป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์โดยผ่าน โครงสร้างทางความคิดออกเป็นความรู้ อนุมานนิยม(A Priorism) หรือ เหตุผลนิยม เชิงวิจารณ์ เรียกสั้นๆว่า “วิจารณ์นิยม (Criticism)” นักปรัชญาทั่วไปเข้าใจ เป็น ทฤษฎีความรู้ที่เสนอโดย อิมมานุเอล คานท์ (Immanuel Kant 1724 -1804) นัก ปรัชญาชาวเยอรมัน มีหลักทฤษฎีที่ต้องการจะสืบสาว ตรวจสอบถึงธรรมชาติและ ขดี จากดั แห่งความเข้าใจของมนุษย์ 6 อนุมานนิยม เป็นทฤษฎีที่พยายามปรองดองกระแสแห่งความคิดที่ ขัดแย้งกัน 2 กระแส คือ ความคิดแบบเหตุผลนิยม และความคิดแบบประจักษนิยม โดยทคี่ านท์ ได้พยายามช้จี ุดเด่นและระบุจุดด้อยของปรัชญาทั้ง 2 กระแสว่า ความคิด ทั้งแบบเหตุผลนิยมและแบบประจักษนิยม แต่ละอย่างก็ยังขาดความสมบูรณ์ เพราะ แต่ละทฤษฎีต่างก็เสนอความคิดเป็นแบบการมองเพียงด้านเดียว ดุจคนที่มีดวงตาข้าง เดยี วและยังหนั หนา้ ไปมองแต่ดา้ นเดียวอีกด้วย ดังทีค่ านทต์ งั้ ข้อสงั เกตว่า 1. กลุ่มเหตุผลนิยม ที่เชื่อว่า ความรู้ทั้งหมด มีติดตัวมาแต่กาเนิด เป็น ความผดิ พลาดในการใหค้ วามคิดเป็นตัวสร้างความจริง ความคิดจะเป็นความว่างเปล่า ถา้ ไมม่ ีประสบการณภ์ ายนอกเปน็ อารมณ์ 6 W.L. Reese, Dictionary of Philosophy & Religion, p. 113. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

28 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2. ประจกั ษนิยม ที่เช่อื วา่ ความรู้ทกุ ประเภทต้องเกิดมาจาก ประสบการณ์ หรือ อาศยั ประสบการณ์เปน็ แดนเกิดเท่านัน้ กเ็ ป็นความผิดพลาด ในข้อ ทก่ี ารรับรทู้ างประสาทสัมผสั แตเ่ พยี งลาพังปราศจากการคิดวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ ก็ จะเปน็ เหมือนคนตาบอดที่มีดวงตา แต่ไร้ประสาทการเหน็ อมิ มานเู อล คานท์ (Immanuel Kant) นกั ปรชั ญาชาวเยอรมนั http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Kant_2.jpg ความรู้เกิดจากปัจจัยร่วม 2 ประการ จากความบกพร่องของทั้งสอง ทฤษฎที ีก่ ลา่ วมา คานท์จึงได้เสนอทางออกใหม่ว่า ความสมบูรณ์แห่งความรู้ของมนุษย์ จะตอ้ งเกิดมาจากหรืออาศยั เหตปุ จั จัยร่วมกันทั้ง 2 ประการ คอื 1. การอนุมาน จากหลักสากลทั่วไป หรือ เหตุผลซึ่งมีอยู่ในจิตมาแต่เกิด (Innate Reason) จะเรียกว่า เหตุผลนิยมก็ได้ เป็นความรู้ที่มีอยู่ก่อนการมี ประสบการณท์ างผัสสะ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

29 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2. การอุปมาน จากประสบการณ์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นการท่ี อินทรียสัมผัสเปิดรับรู้โลกภายนอก ได้รับประสบการณ์มาก่อน จึงเกิดความรู้ขั้นนี้ ท่ี เรยี กว่า ความรหู้ ลงั ประสบการณ์ นอกจากปัจจัย 2 ประการนี้แล้ว คานท์ ยังได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงการเกิด ความรู้ โดยอาศยั 2 สงิ่ ซึ่งเป็นตวั สมั พันธก์ ับความรจู้ รงิ คือ 1) เนื้อหาของความรู้ เรียกว่า วัตถุดิบ (Raw Materials) ซึ่งจะหล่อ หลอมเปน็ ความร้ทู ่ีเกดิ จากประสบการณ์ แต่ตัววตั ถุดบิ เองไมใ่ ห้ความรู้อะไรเลย 2) รูปแบบของความรู้ เป็นเหตุผลอันมีอยู่ในจิต นั่นคือ จิตใจเรามี คุณสมบัติหลายอย่างอันมีอยู่เดิม ได้แก่ ความคิด (Concept) การเข้าใจ (Understanding) การจัดประเภท (Categories) เวลา (Time) สถานที่ (Space) ซึ่ง จะทาหนา้ ที่เป็นตวั สังเคราะหต์ ามแบบและเง่ือนไขอย่างเปน็ ระบบ รปู แบบของความรู้ มลี ักษณะดังนี้ คือ มีมาก่อนประสบการณ์ เป็นอิสระ จากประสบการณ์ เปน็ สากล เป็นสิง่ จาเปน็ หรอื เงอื่ นไขที่จาเป็นของประสบการณ์ จากการทางานร่วมกันของปัจจัย 2 ประการ คือ วัตถุดิบ (ข้อมูล) ที่ถูก ป้อนเข้าสรู่ ะบบประสาทสมั ผสั และ เหตผุ ล (รปู แบบของความรทู้ ่ีมใี นจิต) ซึ่งได้รับการ ปอ้ นวตั ถดุ บิ จากประสบการณภ์ ายนอก สังเคราะหว์ ตั ถุดิบออกมาตามกลไกมนัส (แบบ ความเขา้ ใจ) จงึ ทาให้เกดิ ความรสู้ ง่ิ ต่าง ๆ ได้ เพราะจิตเป็นศูนย์ที่รวมประสบการณ์ทั้ง ปวง ทาหน้าที่สังเคราะห์ประสบการณ์ด้วยแบบของความรู้ในจิตเอง ดังนั้น ใน ทรรศนะของคานท์ จิตให้กฎแก่ธรรมชาติ (ประสบการณ์) มิใช่ธรรมชาติให้กฎแก่จิต นัน่ คือ ความเข้าใจได้สร้างธรรมชาตขิ ึน้ ลกั ษณะความรแู้ ละสง่ิ ที่ถูกรู้ 1. นักปรัชญาคนอื่น ๆ ก่อนหน้าคานท์ มีทรรศนะว่า ความรู้ที่เรามีอยู่ เกี่ยวกับโลกภายนอกจะเป็นความจริงได้ ก็ต่อเมื่อความรู้นั้นมีความสอดคล้องกับโลก ภายนอกเทา่ นนั้ นน่ั คอื ความรู้ตอ้ งตรงกนั กับโลกภายนอก 2. คานท์กลับมีทรรศนะที่แตกต่างออกไปจากทรรศนะเดิมๆ โดยกล่าว วา่ โลกทมี่ ีอยู่ภายนอกตวั เรา จะต้องมามีความสอดคลอ้ งกับความรู้ของเราที่มีอยู่ในจิต นั่นคือ การที่เราจะเรียนรู้อะไรใหม่ได้ก็เพราะจิตเรามีปฏิกิริยาต่อสิ่งต่าง ๆ เป็น อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

30 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เบื้องต้น กล่าวคือ ในจิตมีกระบวนการ หรือ คุณสมบัติดั้งเดิมในลักษณะที่มีอยู่ก่อน ประสบการณ์ เช่น มีความคิด(Concept) ความเข้าใจ (Understanding) การจัด ประเภท (Categories) เวลา (Time) สถานที่(Space) จิตสร้างความรู้โลกภายนอก โดยการนาประสบการณม์ าจดั ระบบ ผ่านเงื่อนไขของจิต ปรุงแต่งให้เหมาะแก่จิต แล้ว จงึ จะเกิดเป็นความรู้ออกมา จากจุดนี้ ทาให้มองเห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดของนักปรัชญาคน อนื่ ๆ กับแนวคิดของคานท์ โดยที่ทฤษฎีความรู้แบบเดิมกล่าวว่า “ความรู้ของเราต้อง สอดคล้องกับโลกภายนอก” แต่คานท์กลับบอกว่า “โลกภายนอกต้องสอดคล้องกับ ความรู้” โดยกระบวนการท่ีวตั ถุดิบจะถกู ป้อนเข้ามาสู่จิตและถูกปรับปรุงแปรสภาพให้ เหมาะแก่จิตที่จะสามารถรับรู้วัตถุดิบนั้น ด้วยการอธิบายทานองนี้ คานท์ได้แก้ปัญหา ความไม่สอดคลอ้ งตรงกันระหว่างตัวความรู้กบั สงิ่ ท่ีถกู รลู้ งได้ โลกภายนอกมี 2 ระดบั ในทฤษฎีความร้แู นวอนุมานนิยม คานท์ได้ แบ่งโลกออกเปน็ 2 ระดับชัน้ คือ 7 1. โลกทเี่ ปน็ จริง (Noumena) ซงึ่ เปน็ โลกทค่ี งอยู่ด้วยตัวของมนั เอง หรอื โลกที่เปน็ จรงิ อยา่ งท่มี ันเป็น (Thing-as-it-is-in-itself) เป็นโลกส่วนท่ีไม่อาจจะรับรู้ได้ (Unknowable World) โลกระดับน้ีเปน็ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของปรากฏการณ์ ยังไม่ผสม ด้วยแบบพื้นฐานขั้นปฐมของความคิด (Categories of Mind) ที่เรียกว่า เทศะ (Space) และกาละ (Time) อยู่ในสภาพเป็นสิ่งที่ไร้รูป ไม่มีตัวตนอยู่เหนือการรับรู้ ของจิต ทางประสาทสัมผัส ท่เี รียกวา่ เพทนาการ (Sensation) คานท์ เรียกความรู้สึกทางประสาทสัมผัสดังกล่าวนี้ว่า เป็นชนิดต่าง ๆ ของสหัชญาณ (Intuition) หรือ ความประทับใจ (Impression) ที่แยกกัน ดังที่ ฮิวม์ กลา่ วไว้ คอื “การรบั รสู้ ่งิ ทวั่ ๆ ไปอันเป็นสว่ นหนึง่ แหง่ ประสบการณ์ขึ้นมา และมันเป็น วตั ถุดิบทจ่ี ะหลอมมาเป็นความรู้” 8 7 จฑุ าทิพย์ อุมะวิชนี, ปรชั ญาตะวันตกสมยั ใหม่, หนา้ 8. 8 พระทกั ษิณคณาธิกร, ปรชั ญา, หนา้ 80. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

31 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2. โลกที่ปรากฏ (Phenomena) ที่มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้แก่ โลก ภายนอกทม่ี นุษย์สามารถรบั รู้ได้ เป็นวัตถดุ บิ ท่ผี สมกบั รูปแบบแห่งจิตจนเหมาะแก่จิตที่ จะรับรู้ หรือ เป็นโลกที่แสดงออกมาจากคุณสมบัติรอง (Secondary Quality) เช่น สี เสยี ง กล่นิ รส ดังที่ ลอ็ ค กล่าววา่ สสาร(วัตถ)ุ มีคณุ สมบตั ิ 2 ประการ คือ 1) คณุ สมบตั ิแรกหรือ ปฐมภูมิ (Primary Quality) เช่น ความแข็ง ความ กว้าง ความลึก ความยาว การครองสถานที่ คุณสมบัติชั้นนี้ ไม่สามารถรับรู้ทาง ประสาทสัมผัส 2) คุณสมบัติรองหรือทุติยภูมิ (Secondary Quality) เช่น สี เสียง กลิ่น รส คุณสมบตั ชิ ั้นนี้ สามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผสั คานท์มีความเห็นด้วยในประเด็นนี้ เพราะความรู้ของมนุษย์มีขอบเขต จากัด และการรับรู้ (Perception) ของมนุษย์จะรู้ได้ก็แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพื่อให้เห็นระดับชั้นของโลกอย่างชัดเจนโดยการเปรียบเทียบกับทฤษฎีประจักษนิยม คานท์ ไดต้ ระหนกั ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งส่ิงต่อไปน้ี คือ 1) สิ่งที่เป็นจริง (Reality) โลกที่เป็นอยู่ตามสภาวะดั้งเดิมธรรมชาติ อยู่ เหนือการรับรทู้ างสัมผสั เทยี บไดก้ ับคุณสมบัติปฐมภมู ิของสสาร (เปรยี บได้กับคลื่นของ วิทยุหรือโทรทศั น์) 2) สงิ่ ทป่ี รากฏ (Apparent) โลกทีป่ รากฏแก่ผสั สะ เทยี บได้กับคณุ สมบัติ ทตุ ยิ ภูมิของสสาร (เปรียบได้กับการแปลงคลื่นความถี่ออกมาเป็นเสียงวิทยุหรือภาพท่ี หนา้ จอโทรทศั น์) ความรู้ของมนุษย์ถูกจากัดให้รู้เพียงสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์เท่านั้น ส่วน สิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ หรือสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง เรารับรู้ไม่ได้ และไม่ อาจท่ีจะรไู้ ดด้ ว้ ย ขนั้ ตอนของความรู้ จากทฤษฎเี หตผุ ลนยิ มเราทราบว่า ความรู้ขั้นสุดท้าย เกดิ จากการที่จิตคิดเอาเองด้วยเหตุผลที่อยู่ภายในจิต และจากประจักษนิยมเราทราบ ว่า ความรู้เป็นสิ่งที่ประสบการณ์ป้อนข้อมูลมาให้จิตจากภายนอก โดยที่จิตไม่ได้คิด อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

32 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา อะไรเอาไวก้ ่อนเลย แตท่ ฤษฎีอนุมานนิยม คานท์ไดร้ วมจดุ สุดยอดที่เด่นที่สุดของแต่ละ ทฤษฎีเอามาไว้ด้วยกัน พร้อมกับได้แสดงขั้นตอนการเกิดความรู้เกี่ยวกับสิ่งภายนอก และจติ ของมนษุ ย์เป็นตวั จัดการหรอื เป็นตวั สังเคราะหค์ วามรู้โดยผ่านขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. ขัน้ ตอนท่ีหน่ึง วัตถุดิบ หรือ โลกภายนอกที่เป็นสสารถูกป้อนเข้ามาสู่ จิต โดยประสบการณ์ ด้วยเงือ่ นไขพื้นฐานขั้นปฐมของความรู้สึกของมันเอง (เทศะและ กาละ) กระตุ้นความรู้สึกรับรู้ทางประสาทสัมผัส เปิดการรับรู้ ซึ่งเรียกว่าแบบของการ กลั่นกรองสิ่งที่ปรากฏ (Apparent) จากสิ่งที่มีอยู่จริง (Reality) โดยธรรมชาติของมัน เอง 2. ขนั้ ตอนที่ สอง เงือ่ นไขของความเขา้ ใจ (Category of Understanding)9 หรอื โครงสรา้ งมนสั ปฏบิ ัติการสงั เคราะห์ เมอื่ วตั ถดุ ิบถูกป้อนเขา้ มาสแู่ บบของความเขา้ ใจ จติ จะจัดการวัตถุดิบใหเ้ ป็นระบบ และจดั ประเภทต่าง ๆ ออกมา เปน็ เง่ือนไขแบบต่าง ๆ ดงั น้ี 1) เงอ่ื นไขทางปรมิ าณ (Quantity) ประกอบดว้ ย - เอกภาพ (Unity) - พหภุ าพ (Plurality) - เกวลภาพ (Totality) 2) เง่ือนไขทางคุณภาพ (Quality) ประกอบด้วย - ความจริง (Reality) - การปราศจากคุณสมบัติ (Negation) - ขีดจากดั (Limitation) 3) เงอ่ื นไขทางความสมั พนั ธ์ (Relation) ประกอบดว้ ย - ความมีอยู่ด้วยตัวเองหรือสสาร (Inherence & Subsistence) - ความเปน็ สาเหตุและความเป็นผล (Causality) 9 Norman Kemp Smith, Immanuel Kant’s Critique of Pure Reason, (London: Macmillan, 1989), p.113. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

33 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา - ความเปน็ กลุ่มสมั พันธ์โดยบังเอญิ (Community) 4) เง่อื นไขทางรูปแบบ (Modality) ประกอบดว้ ย - ความเป็นไปได้ – ความเป็นไปไม่ได้ (Possibility - Impossibility) - ความมีอยู่ – ความไม่มอี ยู่ (Existence - Non-existence) - ความจาเป็น – ความเปลี่ยนแปลง (Necessity - Contingency) เงือ่ นไขของจติ น้ี ถอื ว่าเป็นแบบของความเข้าใจ ซึ่งมีอยู่ในจิตมา ต้งั แต่เกดิ แล้ว 3. ขั้นตอนที่สาม ความคิดท่ีมีเหตุผล (Pure Reason) คือ การจัดรวม เอาประสบ การณ์ที่รับรู้ทางประสาทสัมผัส และเงื่อนไขของความเข้าใจมา สังเคราะห์ เมื่อวัตถุดิบผ่านเงื่อนไขของความเข้าใจทุกขั้นตอนแล้ว จิตก็ทาหน้าที่ สงั เคราะหด์ ว้ ยเหตผุ ลอันบริสุทธิ์ คานท์กล่าวว่า ทฤษฎีความรู้แบบวิจารณ์ที่ยึดเอาแบบที่มีในจิตมาเป็น กรอบ เปน็ ตัวจดั ระบบความรู้ จึงเรียกวา่ ความรทู้ ่ียึดแบบ (A Priorism) และเพราะตัว แปรที่สาคัญของความรู้คือจิต จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “จิตนิยมเชิงวิจารณ์ (Critical Idealism)” 10 หลกั การวเิ คราะห์ความจรงิ กบั ความรู้ คานท์ให้หลักการวิเคราะห์วา่ การพิจารณาความหมายและความจริงทเี่ กยี่ วข้องกบั ข้อความ (ประโยค) ตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ เกิดความร้ใู ด ๆ น้ัน จาเปน็ ตอ้ งจัดประเภทและลักษณะของขอ้ ความใหช้ ัดเจน เชน่ ขอ้ ความแบบวเิ คราะห์ และข้อความแบบสังเคราะห์ เมอื่ จัดประเภทข้อความชดั เจนได้ แล้ว ต้องนาลักษณะของความรู้ เช่น ความรเู้ ดิมก่อนประสบการณ์ และความร้หู ลัง ประสบการณ์เขา้ มาประกอบกับข้อความน้ัน โดยแบ่งเปน็ 2 ขน้ั ตอน คือ 1. ข้ันตอนท่ีหนึง่ คานทแ์ บง่ ประเภทของประโยค ออกเปน็ 2 อยา่ ง คอื 10 W.L. Reese, Ibid. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

34 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1) ประโยคแบบวิเคราะห์ (Analytic Statement) ข้อความ ทานองนี้ มี(ความจริง) ส่วนขยายที่รวมอยู่ในภาคประธานของประโยค ไม่ได้ให้ความรู้ อะไรใหม่ไปจากตัวประธาน หรอื ความหมายของขอ้ ความกเ็ ป็นความจรงิ อยู่ในคานิยาม อยู่แล้ว แม้ไม่ต้องอาศัยประสบการณท์ างผัสสะกร็ ู้ได้ ตวั อยา่ งประโยคแบบวเิ คราะห์ (1) “สีเขียวเป็นสี” คาวา่ สี มีอยู่ในสีเขียวอยแู่ ลว้ (2) “การตอ่ ต้านอย่างสงบ หลกี เลีย่ งความรนุ แรง” 2) ประโยคแบบสงั เคราะห์ (Synthetic Statement) ข้อความแบบ นี้ สว่ นขยายเป็นสิ่งที่บอกอะไรใหม่เกี่ยวกับประธาน (เจ้าของ) ความจริงที่กล่าวถึงนั้น จะรู้ได้ก็ด้วยการสังเกตทางผัสสะ คือ ต้องมีประสบการณ์ ตัวอย่างประโยคแบบ สงั เคราะห์ เชน่ (1) “สีเขียวเป็นสีของบ้านหลังนั้น” บอกให้ทราบว่าบ้านนั้น มสี ีเขียวและจะรู้ไดก้ ็ต้องมองดูดว้ ยตา (2) “การตอ่ ต้านอย่างสงบมีผลดี” 11 การจะรู้ว่ามีผลดี หรือไม่ นัน้ ตอ้ งเกิดจากการสังเกตผลกระทบที่จะเกิดตามมา ถ้ามีผลดี ก็เป็นความจริง เพราะ ประสบการณ์จะพิสูจนค์ วามจรงิ 2. ขั้นตอนที่สอง ครั้นจัดแบ่งประเภทข้อความแล้วต้องนาลักษณะของ ความรู้ 2 ประเภท คือ ความรู้ที่มีอยู่เดิมก่อนประสบการณ์ (A Priori Knowledge) และความรทู้ ่มี หี ลงั จากการมีประสบการณ์ (A Posteriori Knowledge) มารวมเข้ากับ ประโยคทง้ั 2 ท่กี ล่าวมา ผลจากการผสมผสานทั้งประเภทข้อความและลักษณะของความรู้ ทาให้ สามารถจาแนกความร้คู วามจริงท่ีเปน็ ไปได้ออกเป็น 3 ลักษณะ คอื 1) ความจริงข้ันปฐมฐานวเิ คราะห์ (Analytic A Priori) ได้แก่ ความ จริงที่มีอยู่เดิมในภาคประธาน มิได้อาศัยประสบการณ์มาช่วยเป็นเครื่องพิสูจน์ก็เป็น ความจรงิ มิไดข้ ยายความมากไปกว่าประธานท่ีแสดงออก เช่น 11 จุฑาทพิ ย์ อุมะวิชนี, ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่, หน้า 97. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

35 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา - พ่อทุกคนเป็นผู้ชาย (ความรู้ในลักษณะแบบนี้ เป็นแบบเหตุผล นิยม) 2) ความจริงขั้นทุติยฐานสังเคราะห์ (Synthetic A Posteriori) ได้แก่ ความจริงที่ให้ความรู้ใหม่จากประธาน มีลักษณะที่อาศัยประสบการณ์มาเป็น เครื่องมอื พิสจู น์ เชน่ - “กรุงเทพมีอากาศไม่บริสุทธิ์” การจะรู้ว่าอากาศที่กรุงเทพฯไม่ บรสิ ทุ ธิ์ ต้องพิสจู น์กับอากาศในชนบทเปรียบเทยี บ 3) ความจริงขั้นปฐมฐานวิเคราะห์ (Synthetic A Priori) ได้แก่ ความจริงที่ขยายภาคประธานและให้ความรู้ใหม่ ทั้งเป็นความจริงสากล และไม่ต้อง อาศยั ประสบการณ์มาพิสูจน์ ก็เปน็ ความจรงิ ในตวั เองด้วย เชน่ - ความจรงิ ทางคณิตศาสตร์ เช่น 7 + 5 = 12 - ความจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น “การเปล่ยี นแปลงทกุ อย่างย่อม มสี าเหตุ” - กฎทางศีลธรรม เช่น “การทาตามหนา้ ท่ีเป็นส่งิ ทีด่ ี” ข้อสังเกต ความจริงทุติยฐานวิเคราะห์(Analytic a Posteriori) เป็นไป ไมไ่ ด้ เพราะมีความขดั แยง้ ในตัวเอง12 นน่ั คือ การวิเคราะห์ (Analytic) เกิดจากเหตุผล ภายในที่ไม่ได้อาศัยประสบการณ์ และไม่ขยายประธานของประโยค ส่วนทุติยฐาน (A Posteriori) ท่บี อกความจริงใหมต่ อ้ งอาศัยประสบการณม์ าเปน็ ฐานการพสิ จู น์ เมื่อรวม ส่วนทั้งสองเข้าด้วยกัน จึงเป็นไปไม่ได้ และประโยคในลักษณะนี้ ก็ไม่สามารถสร้างได้ ในความเป็นจริง (แมว้ ่าในรูปแบบอาจจะบอกว่านา่ จะเป็นไปได้) 5. สัญชาตญาณนิยม (Intuitionism) อองรี แบร์กซอง (Henri-Louis Bergson) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เกิด October 18, 1859 เสียชีวิต January 4, 1941 เป็นผสู้ ร้างทฤษฎีสญั ชาตญาณนิยม โดยถือวา่ สญั ชาตญาณเปน็ ทมี่ าของความรู้ท่ี แท้จริง สัญชาตญาณนิยมมีความเห็นว่า ความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์หรือทาง 12 เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า 10. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

36 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เหตผุ ล ไมใ่ ช่ความรู้ ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นความรู้ที่ถูกบิดเบือนไปจากความ เป็นจริงความร้ทู แี่ ท้จริงนั้นลกึ ซงึ้ เกินกว่าประสบการณ์และเหตผุ ลของเราจะรู้ได้ เราจะ รู้ความจริงไดโ้ ดยอาศัยจิตท่ไี ดร้ บั การฝึกฝนอย่างสม่าเสมอ ความเปน็ มาและความหมาย โยฮนั กอ็ ตตไ์ ลบ์ ฟิชท์ (Johann Gottlieb Fichte 1762-1814) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ที่ยึดถือ สัญชาตญาณนิยม หรือ อัชฌัต ติกญาณนิยม เกิดที่เมืองแซกซัน มีแนวคิดทางญาณวิทยาทั่วไป เหมือนคานท์ใน ประเด็นเกีย่ วกบั ขดี จากัดความรซู้ งึ่ มอี ยู่ 2 แบบ คือ ความรูท้ เี่ กิดจากเหตผุ ล หรอื วฒุ ิปญั ญา และ ความร้ทู เี่ กิดโดยอาศัยประสบการณ์ เชน่ ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ฟชิ ทไ์ ด้แบ่งความรอู้ อกเปน็ 2 ประเภท13 คือ 1. ความรู้แบบประจักษ์ (Empirical Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจาก ประสาทสัมผสั หรอื โดยประสบการณ์ 2. ความรู้ที่แท้จริง (Intuitive Knowledge) เป็นความรู้สูงสุด เรียกอีก อย่างหน่งึ วา่ สัญชาตญาณ หรอื อชั ฌตั ตกิ ญาณ เปน็ ความรทู้ ่อี ธบิ ายสิ่งทั้งปวงได้อย่าง ถูกตอ้ งตามความเปน็ จรงิ ฟิชท์ ต้องการแก้ปัญหาที่คานท์ทิ้งเอาไว้ว่า เหตุผลปฏิบัติ(Practical Reason) ให้ความรู้เป็นคาสั่งเด็ดขาด “หน้าที่จะต้องปฏิบัติ (duty to be done)” แลว้ ก็จบเพยี งแค่นี้ ไมใ่ ห้ความรู้อะไรอืน่ มากไปกว่าทีก่ ล่าวแล้ว ฟิชทค์ ิดว่า การที่คานท์ ทิ้งปัญหาไว้นั้น ยังไม่ใช่จุดจบของปรัชญา แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปรัชญาเท่านั้น หากไดฝ้ กึ คิดตอ่ ไปอีกกจ็ ะไดค้ วามรู้ตอ่ ไปเป็นปรชั ญาทัง้ ระบบ และเป็นระบบปรัชญาที่ เช่ือถือไดท้ งั้ ส้นิ เพราะออกมาจากเหตุผลปฏิบัติ หรือ อัชฌัตติกญาณ ระดับอุตตระ 14 หรอื ญาณวเิ ศษ ได้ความร้รู ะดบั ท่สี งู สุด 13ชยั วฒั น์ อัตพัฒน์, ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ 2, (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, 2539), หน้า 26. 14 กีรติ บญุ เจือ, แก่นปรชั ญาปจั จบุ ัน, (กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2522), หนา้ 18. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

37 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา โยฮนั ก็อตตไ์ ลบ์ ฟชิ ท์ (Johann Gottlieb Fichte) นกั ปรชั ญาชาวเยอรมนั https://en.wikipedia.org/wiki/Johann_Gottlieb_Fichte สญั ชาตญาณนิยม หรอื สหัชญาณนิยม เปน็ ลัทธิที่เชื่อว่า “ความเข้าใจที่ ไม่อาศัยการอนุมานซง่ึ เกดิ โดยฉับพลนั เกี่ยวกับบางส่งิ บางอยา่ ง เกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้ เหตุผล หรืออวัยวะทางประสาทสัมผัสอันเป็นแบบประสบการณ์เข้าช่วย เป็นความรู้ ภายในจติ เปน็ แหล่งเกิดความรู้อันสาคญั อกี แหล่งหนึ่ง”15 อองรี แบร์กซอง(Henry Bergson 1859-1941) นักปรัชญาชาว ฝรั่งเศส มีความคิดเห็นว่า ความรู้แท้ของมนุษย์ คือ ความรู้ที่ได้มาจากการที่จิตได้ ฝึกฝนจนมีสมรรถภาพพิเศษถึงที่สุดยอดแล้ว เป็นความรู้ที่เกิดจากญาณวิเศษบังเกิด จากญาณวิเศษที่เป็นคุณสมบัติของจิต จึงได้ให้นิยามว่า “สัญชาตญาณเป็นความรู้ท่ี สอดคล้องทางวฒุ ปิ ญั ญา โดยอาศัยสัญชาตญาณ (สหัชญาณ)นี้ บุคคลเพ่งจิตในอารมณ์ 15 Peter A. Angeles, Ibid., p.137. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

38 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เดียว เพื่อที่จะให้เข้าถึงอารมณ์นั้นแนบสนิท และผลแห่งการเกิดการตระหนักรู้ท่ี ตามมาภายหลัง เปน็ สงิ่ ท่ไี มส่ ามารถอธบิ ายเปน็ คาพูดได้” 16 อองรี แบร์กซอง (Henri-Louis Bergson) นกั ปรชั ญาชาวฝร่ังเศส http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/92/Bergson.jpg สัญชาตญาณ ศัพท์และความหมาย สัญชาตญาณ แยกศัพท์เป็น ส เท่ากับ พร้อม, เอง, + ชาต เท่ากับ เกิด, + ญาณ เท่ากับ รู้ หมายถึง ความรู้ที่เกิด สาเรจ็ ดว้ ยตวั เอง หรือ สหชั ญาณ แยกศพั ทเ์ ป็น สห เท่ากบั พร้อมด้วย, + ชญาณเท่ากับ การรู้ อัชฌัตติกญาณ แยกศัพท์เป็น อัชฌัตติกะ เท่ากับ ภายใน, + ญาณ เทา่ กบั การรู้ หมายถงึ สมรรถภาพรู้ภายในตัวเอง แปลจากภาษาอังกฤษว่า Intuition ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า In เท่ากับ ภายใน + Tueri เท่ากับ มอง หมายถึง การมองภายใน 17 16 H.M. Bhattacharyya, The Principle of Philosophy, p. 43. 17 กรี ติ บุญเจอื , แกน่ ปรชั ญาปจั จบุ นั , หน้า 15. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

39 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ลกั ษณะและระดับของสัญชาตญาณ สัญชาตญาณ หมายถงึ สามัญสานึก ทีร่ แู้ จ้งดว้ ยตวั เอง ทงั้ สามารถไตรต่ รองจดุ ประสงคข์ องตัวเอง และขยายออกไปได้อย่าง ไม่มขี อบเขตจากดั สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) เป็นสมรรถภาพในการรู้หรือเขา้ ใจโดยตรง โดย ไม่ได้อาศัยกระบวนการคิดใช้เหตุผล หรือประสบการณ์ใดๆ ไม่ใช้ทั้งวิธีการนิรนัยและ อปุ นัย เรียกอีกอย่างหนง่ึ วา่ “การตระหนักรไู้ ดเ้ อง” 18 สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ทาให้เรารู้พลังจิตได้ โดยตรง และให้ความรู้เรื่องความแท้จริงได้อย่างดี เป็นความรู้ที่คล้ายกับปฏิภาณไหว พริบ ความฉลาดปราดเปรื่อง ความมีอัจฉริยะ คล้ายกับการเกิดญาณสังหรณ์ เกิดมา เองโดยไม่มีใครแนะนาสง่ั สอน เป็นองค์ประกอบของความรจู้ รงิ ดังนั้น สัญชาตญาณ จึงเป็นคาที่แปลจากภาษาอังกฤษว่า “Intuition” ไม่ใช่จากคาว่า “Instinct” เพราะ Instinct เป็นปฏิกิริยาที่เกิดมาตามธรรมชาติของ มนุษย์และสัตว์ เป็นความรู้ที่ติดตัวมาแต่กาเนิดโดยไม่ต้องเรียนรู้ เช่น นกทารังเองได้ สัตว์เลี้ยงลูกได้ เด็กเกิดใหม่สามารถดูดนมได้ เป็นต้น เพื่อกันความสับสน เมื่อใช้ สญั ชาตญาณจึงมีคาวา่ “สหชั ญาณ” กากับด้วย ความรู้ที่เรียกว่า สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) มีลักษณะ 5 ประการ ดังตอ่ ไปนี้ 1. เป็นความรูส้ มบรู ณ์ รูส้ ่งิ ทั้งหลายอย่างหมดส้นิ 2. เป็นความรู้ที่เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งสามารถเข้าถึงความ แทจ้ รงิ ซง่ึ เคล่ือนไหวเปล่ยี นแปลงได้ 3. เปน็ ความรทู้ ั้งวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ 4. เป็นความรทู้ บี่ ริบรู ณ์และเปน็ อิสระในตัวเอง 5. เปน็ ความรู้ธรรมชาติภายในของความรจู้ รงิ นั้น สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) เป็นความรู้ที่แจ่มชัด เป็นการเพ่งภายในจิตใจ เป็นการใชส้ ตสิ ัมปชัญญะเพ่งพนิ ิจใครค่ รวญหาเหตผุ ลต่างๆ เป็นความรู้ที่เกิดผุดขึ้นเอง 18 จฑุ าทิพย์ อุมะวิชนี, ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่, หน้า 137. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

40 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ทางจติ ใจ รู้ทง้ั หมดทุกสว่ น ไม่ใชร่ เู้ ฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ทั้งไม่ใช่จินตนาการ ความรู้ แบบสัญชาตญาณเปลี่ยนแปลงเสมอ มิใช่การวิเคราะห์ สมบูรณ์ในตัวเอง มิใช่อาศัย ความสัมพนั ธข์ องประสบการณแ์ ละเหตผุ ล ให้ความรเู้ กี่ยวกบั ส่วนภายในของสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ความร้สู ่ิงต่างๆท่ีเป็นเพยี งสว่ นภายนอก ในพระพทุ ธศาสนาเรียกความรู้ทานองนี้ว่า “ปัญญาญาณ หรือ วิปัสสนา ปัญญา” ในระดับที่สูงที่สุด เป็น “อภิสัมโพธิญาณ” หมายถึง ปัญญาการตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า 19 ระดับของความรู้แบบ สัญชาตญาณ หรือ อัชฌัตติกญาณ 20 ความรู้ แบบสญั ชาตญาณ สามารถแบ่งออกตามความลุม่ ลึกได้ 4 ระดบั คอื 1. สัญชาตญาณ (Instinct) ความรู้เกิดโดยปฏิกิริยาอัตโนมัติ สัตว์มี เขม้ ข้นกว่ามนษุ ย์ มีเปา้ หมายเพ่อื การอยู่รอดของตัวเองโดยเฉพาะ 2. สามัญสานึก (Common Sense) ความร้ทู ี่เกิดขึ้นทั่วไปแก่มนุษย์ ทุก คนอาจมมี ากหรือน้อยตา่ งกนั มีเป้าหมายเพือ่ ความเป็นอย่ทู ี่ดขี น้ึ 3. เพทนาการ (Sentiment) หรือความคุ้นเคย (Familiarity, Acquaitance) เป็นสามัญสานึกในระดับวิชาการ มีเป้าหมายเพื่อการค้นพบความคิด ใหม่หรอื ทฤษฎใี หม่ 4. อุตตรญาณหรือญาณวิเศษ (Transcendetal Intuition) เป็นการ หยั่งรู้ระดับพิเศษ สูงสุดยอด ที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม มีน้อยคนที่จะฝึกและ เกิดญาณวเิ ศษระดบั น้ี สญั ชาตญาณ (สหัชญาณ) กับวุฒปิ ญั ญา แบร์กซอง ได้แบ่งความรู้ของมนุษย์ออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับวุฒิ ปัญญา (Intellect) และระดับสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) โดยที่วุฒิปัญญา (Intellect) คอื ความรู้ทเ่ี กิดจากการศึกษาเล่าเรียน หรือความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์และการคิด 19 ประพฒั น์ โพธ์ิกลางดอน, ปรชั ญาเบอ้ื งตน้ , หน้า 67. 20 กรี ติ บญุ เจือ, เพงิ่ อา้ ง. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559