Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Description: เล่มที่40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด โดย อรอนงค์ ซ้ายโพธิก์ ลาง และ ศรณั ย์ จิระพงษ์สวุ รรณ ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data อรอนงค์ ซ้ายโพธิ์กลาง. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ - - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2558. 334 หน้า. 1. นักการเมือง - - ร้อยเอ็ด. 2. ร้อยเอ็ด - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 324.2092 ISBN : 978-974-449-795-6 รหสั สง่ิ พิมพข์ องสถาบันพระปกเกล้า สวพ.58-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสอื 978-974-449-795-6 ราคา พิมพค์ ร้ังที่ 1 มกราคม 2558 จำนวนพิมพ์ 500 เล่ม ลิขสิทธ์ ิ สถาบันพระปกเกล้า ทป่ี รึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผูแ้ ต่ง อรอนงค์ ซ้ายโพธิ์กลาง และ ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ ผูพ้ ิมพผ์ ู้โฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พมิ พโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพท์ ่ี บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถ่ิน จังหวัดร้อยเอ็ด อรอนงค์ ซ้ายโพธ์ิกลาง ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการศึกษาวิจัย เพื่อทำความเข้าใจและสำรวจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ การเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด อันเป็นการนำเสนอถึงกระบวนการ ทำงานของนักการเมืองซึ่งเป็นผู้อาสาเข้ามาทำงานรับใช้ ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งและประเทศ ซึ่งการศึกษาพฤติกรรม ของนักการเมืองและการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ถือเป็น ส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะผู้สนับสนุนทุนการวิจัย และขอขอบพระคุณกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน และขอขอบพระคุณนักการเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด และผู้ให้ข้อมูล ทุกท่านอันนำมาสู่ความสำเร็จในการจัดทำการวิจัยชิ้นนี้ ผวู้ ิจยั

บทคัดย่อ โครงการสำรวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมืองถ่ิน: จังหวัดร้อยเอ็ด มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดร้อยเอ็ด ศึกษารูปแบบการหาเสียงของนักการเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ด และศึกษาเครือข่ายความสัมพันธ์ของ นักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ที่สนับสนุนนักการเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยการวิเคราะห์เอกสารข้อมูลจังหวัด ข้อมูลพื้นฐานการเลือกตั้ง และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการ สัมภาษณ์บุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informant) ที่ได้คัดเลือก อย่างเจาะจง ในประเด็นข้อมูลนักการเมือง พฤติกรรมทาง การเมือง ความสัมพันธ์และเครือข่ายนักการเมือง และกลุ่ม ผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมือง โดยทำการศึกษาใน พ.ศ.2554 ผลการศึกษาพบว่า การเมืองถิ่นของจังหวัดร้อยเอ็ด แบ่งเป็นยุคสมัยได้ 4 ยุค ได้แก่ ยุคเริ่มต้น (พ.ศ.2476-2512) ยุคโรคร้อยเอ็ด (พ.ศ.2518-2529) ยุคผลัดใบ (พ.ศ.2529-2544) และยคุ ประชานยิ ม (พ.ศ.2544-สงิ หาคม 2554) สว่ นนกั การเมอื งถน่ิ

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในจังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มแรก นักสื่อสารมวลชนที่ใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง กลุ่มท่ีสอง ครู อาจารย์ ข้าราชการ และนักกฎหมาย รวมทั้งเป็นนักเคลื่อนไหว มวลชนด้วย และกลุ่มที่สาม นักการเมืองท้องถิ่นและนักธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสภาจังหวัดและ/หรือประกอบธุรกิจ รับเหมาร่วมด้วย ในด้านกลุ่มเครือข่ายความสัมพันธ์ทาง การเมืองของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ดมีตระกูลที่ใหญ ่ ที่ครองพื้นที่ทั้งการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติเพื่อ เป็นการเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน รวมทั้งตระกูลที่เป็นเจ้าของ ธุรกิจในจังหวัดร้อยเอ็ดด้วย ส่วนรูปแบบการหาเสียงนั้น นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดส่วนมากเน้นการปราศรัย หาเสียง โดยปราศรัยระดับย่อยลงพื้นที่หมู่บ้านเข้าถึงชาวบ้าน โดยตรง ตลอดจนการเป็นนักเคลื่อนไหวที่มีมวลชนร่วมด้วย VI

Abstract This project involves processing data of local politicians in Roi-Et province. The objectives are to (i) information about politicians who was elected as Member of Parliament, (ii) conclude patterns of political campaigning and (iii) relationship network of politicians and interest groups supporting the politicians. The data from documents, provincial elections of the relevant research, were obtained and interviews of selected key informants, in 2011. The results showed that local politics of Roi-Et province could be divided into four periods namely the early (1933- 1969 ), Roi-Et disease (1975-1986), the deciduous (1986-2001) and the populist (2001 - present (August 2011). The local politicians were divided into three main groups. The first group contains politicians who are radio broadcasters and the second group is the group of government officers and lawyers. Local

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด politicians and business men were grouped in the third group. Most of these business men are members of the provincial organization and/or have construction business. The politicians from the same family worked to assist each other. They also showed cooperations with families who owned business. The campaign pattern mostly observed was speech giving which aimed at people in local areas. Another pattern found was by leading mass movement. VIII

สารบัญ หนา้ คำนำ IV บทคดั ย่อ V Abstract VII บทที่ 1 บทนำ: การศกึ ษา “การเมอื งถน่ิ ” และ “นกั การเมอื งถน่ิ ” 1 จังหวดั ร้อยเอด็ 1. ที่มาและความสำคัญของการศึกษา 1 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3 3. ขอบเขตของการศึกษา 4 4. วิธีการศึกษา 4 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6 บทท่ี 2 ข้อมูลท่ัวไป และงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 7 1. ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดร้อยเอ็ด 7 2. แนวคิดทางการเมือง และการเลือกตั้ง 30 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 36

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด หน้า 51 บทท่ี 3 การเมอื งถน่ิ จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด 51 1. ข้อมูลการเลือกตั้งของจังหวัดร้อยเอ็ด 103 2. ยุคสมัยของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด 119 บทท่ี 4 นักการเมืองถ่ินจงั หวัดร้อยเอด็ 119 1. ข้อมูลทั่วไปของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 133 2. ประวัติของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 224 3. สรุปข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 225 บทที่ 5 เครอื ขา่ ย กลมุ่ ผลประโยชน์ และการหาเสียง 225 1. เครือข่ายความสัมพันธ์ทางการเมือง 238 2. กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง 248 3. รูปแบบการหาเสียง 269 บทท่ี 6 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 269 1. สรุปผลการศึกษา 271 2. อภิปรายผล 276 3. ข้อเสนอแนะ 278 บรรณานุกรม 287 ภาคผนวก 287 ก. ข้อมูลเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด ข. แผนที่จังหวัดร้อยเอ็ด 289 ค. ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 290 ง. แบบสัมภาษณ์นักการเมืองถิ่น 308 ประวตั ิผ้วู ิจัย 317

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด สารบัญแผนภาพ หนา้ 5.1 เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง 226 พื้นที่อำเภอเมือง 5.2 เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง 229 พื้นที่อำเภอธวัชบุรี 5.3 เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง 232 พื้นที่อำเภอหนองพอก อำเภอโพนทอง อำเภอเสลภมู ิ 5.4 เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง 236 พื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ 5.5 ลักษณะเฉพาะของกลุ่มผลประโยชน์ 241 ในจังหวัดร้อยเอ็ด 5.6 ที่มาและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ 247 XI

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 2.1 จำนวนตำบล หมู่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 24 ตามรายอำเภอ 2.2 จำนวนประชากรจังหวัดร้อยเอ็ดแยกตามเพศ 26 และสถานะของบุคคล 2.3 จำนวนประชากรแยกตามเพศ รายอำเภอ 28 3.1 การเลือกตั้งทั่วไปและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 91 ที่ได้รับเลือกตั้งของจังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างปี 2476 ถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2554) 4.1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 121 ตั้งแต่ พ.ศ.2476 ถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2554) XII

บ1ทท ี่ บทนำ การศึกษา “การเมืองถ่ิน” และ “นักการเมืองถ่ิน” จังหวัดร้อยเอ็ด เกร่ินนำ 1. ที่มาและความสำคัญของการศึกษา โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจเพื่อ ประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่สำนักวิจัย และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดสรรทุนสนับสนุนให้ นักวิชาการในพื้นที่ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทำการวิจัย โดยมีฐานคิดว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้สร้างระบบ การเมืองในรูปแบบที่ให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนเข้าไปทำ หน้าที่กำหนดนโยบายสาธารณะทั้งในระดับชาติ เพื่อทำหน้าที่

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ได้ดำเนินการมาหลายรูปแบบ และพัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามคงมิอาจปฏิเสธได้ว่า การศึกษาการเมือง การปกครองไทยที่ผ่านมายังคงมุ่งเน้นไปที่การเมืองระดับชาติ เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดหายไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” ที่เป็นการศึกษาเรื่องราวของ การเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของท้องถิ่นที่เป็นจังหวัด ต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนานไป กับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวที การเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นไปด้วยการ ชิงไหวชิงพริบของนักการเมืองในสภาและพรรคการเมืองต่างๆ การเมืองอีกด้านหนึ่งในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัครพรรคพวก และผู้สนับสนุนทั้งหลาย ก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐาน เสียงในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และทันทีที่ภารกิจในส่วนกลางสิ้นสุด ลง การลงพื้นที่พบประชาชนตามสถานที่ต่างๆ และการร่วมงาน บุญงานประเพณี เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะในการ เลือกตั้งจะต้องปฏิบัติให้ได้อย่างทั่วถึงมิให้ขาดตกบกพร่อง เมืองร้อยเอ็ดหรือสาเกตนครเป็นเมืองที่มีใน ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ถือเป็นดินแดนแห่งความ อ ุ ด ม ส ม บู ร ณ ์ ท า ง ว ั ฒ น ธ ร ร ม ป ร ะ เ พ ณ ี แ ล ะ ก า ร ป ก ค ร อ ง มายาวนาน เมื่อร้อยเอ็ดได้เป็นถูกตั้งเป็นจังหวัดในช่วงหลัง การเปลี่ยนการปกครอง จังหวัดร้อยเอ็ดจึงเป็นหนึ่งในจังหวัด เริ่มต้นที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเป็น ครั้งแรกในปี 2476 และเมื่อกล่าวถึงร้อยเอ็ดกับการเลือกตั้งนั้น

บทนำ เรื่องที่เป็นที่กล่าวขวัญในทางการเมืองคือ “โรคร้อยเอ็ด” ที่ถือ เป็นตัวอย่างของการทุจริตการเลือกตั้งเฉกเช่นที่เป็นอยู่ ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้สะท้อนให้เห็น ถึงหลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาอย่าง ต่อเนื่องเป็นเวลาอันยาวนาน ในแง่มุมที่อาจถูกมองข้ามไป ในการศึกษาการเมืองระดับชาติ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจทำการศึกษา เพื่อเติม เต็มองค์ความรู้ที่ขาดหายไป และสิ่งที่ได้ทำการศึกษาค้นพบ น่าจะสามารถช่วยให้เข้าใจการเมืองไทยได้ชัดเจนมากขึ้น 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา การศกึ ษานกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ นม้ี วี ตั ถปุ ระสงค์ ดังต่อไปนี้ 2.1 เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองที่ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด ร้อยเอ็ด 2.2 เพื่อศึกษารูปแบบการหาเสียงของนักการเมืองใน จังหวัดร้อยเอ็ด 2.3 เพอ่ื ศกึ ษาเครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดร้อยเอ็ด 2.4 เพื่อศึกษาบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ ไม่เป็นทางการอื่นๆ ในการสนับสนุนนักการเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 3. ขอบเขตของการศึกษา การศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดนี้เน้นศึกษา ตามขอบเขตต่อไปนี้ 3.1 ขอบเขตด้านเน้ือหา เป็นการรวบรวมข้อมูลที ่ เกี่ยวกับสถิติและข้อมูลพื้นฐานการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นกั การเมอื งถน่ิ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของนกั การเมอื ง ถิ่น ความสัมพันธ์และเครือข่ายของนักการเมืองถิ่น และกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ด 3.2 ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ทำการศึกษาเฉพาะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด โดยศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ดที่ได้รับ เลือกตั้งในช่วงเวลาตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2476 จนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด เมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 3.3 ขอบเขตดา้ นระยะเวลา การศึกษาครงั้ น้ดี ำเนนิ การ ศึกษาในช่วงตุลาคม 2553 ถึง สิงหาคม 2554 4. วิธีการศึกษา การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ซึ่งวิธีการดำเนินการศึกษาดังต่อไปนี้

บทนำ 4.1 การวิเคราะห์เอกสารในส่วนที่เป็นข้อมูลทั่วไปของ จังหวัดร้อยเอ็ด ข้อมูลพื้นฐานการเลือกตั้งของ จังหวัดร้อยเอ็ด แนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.2 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง และการสัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้าง จากบุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญ(key informant) ซึ่งคัดเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญ อย่างเจาะจงทั้งผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ ขา้ ราชการในพน้ื ท่ี และประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่นใน จังหวัดร้อยเอ็ด ในประเด็นข้อมูลนักการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง ความสัมพันธ์และเครือข่าย นักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุน นักการเมือง 4.3 จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) โดยใช้รูปแบบการวิเคราะห์เชิงพรรณนา จากข้อมูลที่เก็บรวบรวม (descriptive analytical method) และการสังเคราะห์ควบคู่กันไป

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาครั้งนี้ คือ มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับสถิติและข้อมูลพื้นฐานการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนักการเมืองถิ่น บทบาทและเครือข่ายของนักการเมือง รวมถึงพฤติกรรม ทางการเมืองของนักการเมืองในจังหวัด เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ สามารถเชื่อมโยงภาพการเมืองระดับชาติ และใช้อ้างอิงในงาน วิชาการต่อไป

บ2ทท ี่ ข้อมูลท่ัวไป และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้จะกล่าวถึงข้อมูลทั่วไปของจังหวัดร้อยเอ็ดใน ด้านประวัติความเป็นมา ลักษณะทางกายภาพ และเศรษฐกิจ สังคม การปกครอง ประชากร และกลา่ วถงึ แนวคิดทางการเมือง การเลือกตั้ง รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดร้อยเอ็ด 1.1 ประวัติความเป็นมาของจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ดมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานนับตั้งแต่ สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการ สั่งสมความร่ำรวยทางวัฒนธรรมประเพณีและการปกครอง ดังนี้ (จังหวัดร้อยเอ็ด, 2553, http://www.roiet.go.th)

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 1. สมัยกอ่ นกรุงศรีอยธุ ยา ตามตำนานเล่ากันมาว่าบริเวณที่ตั้งจังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน เดิมเป็นเมืองใหญ่ชื่อว่า เมืองสาเกตนคร (อาณา จักรกุลุนทะนคร) เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาล มีเมืองขึ้นถึงสิบเอ็ดเมือง (ในสมัยโบราณนิยมเขียนสิบเอ็ด เป็น 101 คือ สิบกับหนึ่ง) มีทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดประตู มีเจ้าผู้ครองนครเรียกว่าพระเจ้ากุลุนทะ มีเชื้อสายสืบสันติวงศ์ ตดิ ตอ่ กนั มาเปน็ เวลาหลายรอ้ ยปี เมอื งสาเกตนครหรอื อาณาจกั ร กุลุนทะนครนอกจากจะมีประตูและเส้นทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ด ทางแล้วยังมีรหัสควบคุมความปลอดภัยความมั่นคงของ บ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เช่น มีวัดตามรายทางเข้าเมืองและ มีปี่ซาววา (ซาว เป็นภาษาอีสานหมายความว่า 20) สามารถ ส่งสัญญาณเข้าสู่ตัวเมืองบอกข่าวสารแจ้งเหตุร้ายดีที่จะมาถึง เมืองสาเกตนครให้ทราบล่วงหนา้ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เมอื งสาเกตนคร หรืออาณาจักรกุลุนทะนครจึงเป็นอาณาจักรที่จัดระบบการ ปกครองและการบริหารงานราชการแตกต่างไปจากอาณาจักร อื่น และในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช อาณาจักรกุลุนทะนครก็ถึงคราวเสื่อม เมืองขึ้นต่างๆ ทั้งสิบเอ็ด หัวเมืองจึงกระด้างกระเดื่อง ทำตัวกบฏกับเมืองสาเกตนคร ต่างยกทัพมารบราฆ่าฟันกัน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็จับพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราชสำเร็จโทษ ราษฎรที่เหลือรอดตายก็อพยพทิ้งถิ่นฐานไปทำมาหากินและ ตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดินแดนประเทศ ไทยปัจจุบัน เดิมเป็นดินแดนที่เรียกว่าอาณาจักรสุวรรณภูมิ แบ่งแยกอำนาจการปกครองเป็น 3 อาณาเขต คือ 1. อาณาเขต

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ทวารวดี อยู่ตอนกลาง มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี 2. อาณาเขตยาง หรือโยนก อยู่เหนือ มีเมืองเงินยางเป็น ราชธานี 3. อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียง เหนือรวมทั้งฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี 2. สมัยกรุงศรอี ยุธยา ราว พ.ศ. 2246 ตรงกับจุลศักราช 1075 ปีมะเส็ง เบญจศก พระเจา้ สรอ้ ยศรสี มทุ รพทุ ธางกรู ผคู้ รองนครจำปาศกั ด์ิ ซึ่งสืบสายมาจากชาวไทยกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้ให้จารย์แก้ว คุมไพร่พลสามพันคนเศษ มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านเมืองทุ่ง (ท้องที่อำเภอสุวรรณภูมิ) เรียกว่า เมืองทุ่งหรือเมืองทง ขึ้นตรง ต่อนครจำปาศักดิ์ จารย์แก้วปกครองเมืองทุ่งอยู่ได้นานสิบหกปี ก็ถึงแก่กรรม จารย์แก้วมีบุตรสองคนคือท้าวมืดกับท้าวทน พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรจึงทรงแต่งตั้งท้าวมืดเป็น เจ้าเมืองทุ่ง และท้าวทนเป็นอุปราช เมื่อท้าวมืดถึงแก่กรรม ท้าวทนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทนพี่ชาย ท้าวมืดมีบุตร สองคนคือ ท้าวเชียงและท้าวสูน ทั้งสองคนไม่พอใจที่ไม่ได้เป็น เจ้าเมืองสืบแทนบิดา จึงได้คบคิดกับกรมการเมืองที่เป็นสมัคร พรรคพวกของตน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพึ่งพระบรม โพธิสมภาร สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรอื เจา้ ฟา้ เอกทศั น์ กรมขนุ อนรุ กั ษม์ นตร)ี แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาและ ได้นำทองคำแท่งจำนวนมากไปถวายในคราวเข้าเฝ้า พร้อมกับ ทูลขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วยรบกับท้าวทน สมเด็จ พระบรมราชาที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหมกับพระยา กรมท่าเป็นแม่ทัพเดินทางมาพร้อมกับท้าวเชียงและท้าวสูน เมื่อ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เดินทางใกล้ถึงเมืองทุ่ง ท้าวทนทราบข่าว จึงพาครอบครัวและ ไพร่พลอพยพไปอยู่ ณ บ้านกุดจอก เมื่อพระยาพรหมและ พระยากรมท่าเข้าเมืองแล้ว ได้ติดตามไปนำตัวท้าวทนมา ว่ากล่าวตักเตือนให้คืนดีกันกับท้าวเชียงและท้าวสูนผู้เป็นหลาน ท้าวเชียงกับท้าวสูนก็ได้ครองเมืองทุ่งและเมืองทุ่งจึงขาดจาก การปกครองของนครจำปาศักดิ์ มาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ บัดนั้น 3. สมัยกรุงธนบรุ ี ใน พ.ศ. 2319 รัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ท้าวเชียง และท้าวสูนเห็นว่าเมืองทุ่งมีชัยภูมิไม่เหมาะ เพราะตั้งอยู่ริมฝั่ง แม่น้ำเซ (ลำน้ำเสียว) ถูกน้ำเซาะตลิ่งพังทุกปี จึงได้ย้ายไปตั้ง เมืองใหม่ที่ ดงท้าวสารและเรียกชื่อใหม่ว่า “เมืองสุวรรณภูมิ” ท้าวเชียงได้สร้างวัดขึ้นสองวัด คือวัดกลางและวัดใต้ สร้างวิหาร กว้างห้าวา ยาวแปดวา สูงหกวา สร้างพระพุทธรูปด้วยอิฐและ ปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างสี่ศอกคืบ สูงแปดศอกคืบ เหมือน กันทั้งสองวัด พ.ศ. 2318 ท้าวทนซึ่งอพยพครอบครัวและไพร่พล ไปอยู่ที่บ้านกุดจอก ได้ปรึกษาหารือกับพระยาพรหมและ พระยากรมท่าขออนุญาตทั้งบ้านกุ่มร้างซึ่งเป็นเมืองร้างขึ้นเป็น เมือง พระยาพรหมและพระยากรมท่าเห็นว่าท้าวทนมีสมัคร พรรคพวกมาก จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง จึงมีใบบอกไปยัง กรุงธนบุรี ขอพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองขึ้นที่ บ้านกุ่มร้างและให้ชื่อว่า “เมืองร้อยเอ็ด” ตามนามเดิมและให้ ท้าวทนเป็นพระขัติยะวงษาเจ้าเมืองคนแรก การสร้างเมือง 10

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร้อยเอ็ดขึ้นก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตเมืองสุวรรณภูมิกับ เมืองร้อยเอ็ด ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “ตั้งแต่ปากลำน้ำพาชี ตกลำน้ำมูล ขึ้นมาตามลำน้ำพาชีถึงปากห้วยดางเดียขึ้นไปทุ่ง ลาดไถ ไปบ้านข้อเหล็ก บ้านแก่งทรายหิน ตั้งแต่ถ้ำเต่าเหว ฮวดดวงสวนอ้อย บึงกุย ศาลาอีเก้ง ภูเมง หนองม่วงคลุ้ม กุ่มปัก ศาลาหักมูลแดง ประจบปากลำน้ำพาชีตกลำน้ำมูลนี้ เป็นเขตเมืองสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ลำน้ำยางตกลำน้ำพาชีขึ้นไป ภูดอกซ้อน หินทอด ยอดยาง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย สนาม หมาดหญ้า ผ้าขาวพันนา ฝายพระยานาค ภูเมง มาประจบ หนองแก้ว ศาลาอีเก้ง มาบึงกุยนี้ เป็นอาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด” อาณาเขตเมอื งสวุ รรณภมู ิ ทศิ เหนอื จดลำนำ้ ชี ทงุ่ ลาดไถ บงึ กยุ (อำเภอโกสมุ พสิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม) ทศิ ใต้ จดลำนำ้ มลู ทิศตะวันออก จดลำน้ำมูล ลำน้ำชี ทิศตะวันตก จดอำเภอ ภูเวียง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด ทิศเหนือ จดอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี ทิศใต้ จดทุ่ง ลาดไถ ไปอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ทิศตะวันออก จดลำน้ำยัง ภูพาน ทิศตะวันตก จดอำเภอภูเวียง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น จังหวัดร้อยเอ็ดยุคปัจจุบันจึงตั้งเป็นเมืองขึ้นมาในสมัย กรุงธนบุรี อันสืบเนื่องมาจากเมืองสุวรรณภูมิ แต่ที่ตั้งเมือง ร้อยเอ็ดเป็นเมืองร้างซึ่งคาดว่าคงเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรือง ก่อนที่จะถูกทอดทิ้งให้เป็นเมืองร้างด้วยเหตุประการใดก็ตาม จากพงศาวดารแบ่งเขตเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดจะเห็น 11

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ว่าทั้งเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ซึ่งต่อมาภายหลังได้แบ่งแยกท้องที่ตั้งเมืองอื่นๆ ขึ้น 4. สมัยรตั นโกสินทร ์ เมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดซึ่งมีอาณาเขต กว้างขวาง ได้ถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมืองอื่นหลายเมือง คือ เมืองสุวรรณภูมิถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมืองชนบท เมืองพุทไธสง เมืองพยัคภูมิพิสัย เมืองร้อยเอ็ดได้ถูกแบ่งท้องที่ตั้งเมือง มหาสารคาม เมืองกาฬสินธุ์ จนกระทั่ง พ.ศ. 2451 ได้มีการ ปรับปรุงรูปการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด อำเภอเมืองร้อยเอ็ดเปลี่ยนเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ ลดฐานะเป็นอำเภอสุวรรณภูมิ อยู่ในเขตการปกครองของ จังหวัดร้อยเอ็ดแต่นั้นมา เมื่อครั้งเกิดกบฏฮ่อ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระยามหาอำมาตย์ธิบดีเป็นแม่ทัพเกณฑ์กำลังคนทางหัวเมือง ภาคอีสาน ยกไปปราบฮ่อที่เมืองเวียงจันทร์และเมืองหนองคาย ขณะนั้นเมืองร้อยเอ็ดมีพระขัติยะวงษา (สาร) เป็นเจ้าเมือง และราชบุตร (เสือ) ได้รวบรวมไพร่พลสมทบกับกองทัพพระยา มหาอำมาตย์ธิบดีไปปราบฮ่อด้วย ระหว่างทำศึกปราบฮ่อนั้น ราชบุตร (เสือ) ถูกยิงด้วยปืนที่มือขวาโลหิตไหล บ่าวไพร่ พาหนีมาได้ ส่วนพระขัติยะวงษา (สาร) กลับหนีศึกคืนมาเมือง ร้อยเอ็ด เมื่อเสร็จศึกปราบฮ่อแล้วพระยามหาอำมาตย์ธิบด ี จึงควบคุมตัวพระขัติยะวงษา (สาร) แต่ได้หนีไปอยู่เมือง นครราชสีมา เจ้าเมืองนครราชสีมาจับได้และส่งไปยังพระมหา อำมาตย์ธิบดีที่เมืองหนองคาย แล้วพระยามหาอำมาตย์ธิบดี 12

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง กลับมาจัดราชการที่เมืองร้อยเอ็ด โดยตั้งราชบุตร (เสือ) เป็น ผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งภายหลังได้ทรงกรุณา โปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทนพระขัติยะวงษา (สาร) ใน พ.ศ. 2457 ทางราชการได้ย้ายกองพลทหารราบที่ 10 จากจังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งกองพลทหารราบที่ 10 ที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงมีถนนสายหนึ่งชื่อถนนกองพล 10 ซึ่งเป็น ถนนสู่กองพลดังกล่าว ต่อมาได้ย้ายกรมทหารราบที่ 20 จังหวัด อุดรธานีมารวมในกองพลทหารราบที่ 10 ภายหลังได้ยุบกองพล ทหารราบที่ 10 เป็นกองพันทหารม้าที่ 5 และได้ยุบกองทัพ ทหารม้าที่ 5 ไปในที่สุด การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑล เทศาภิบาล สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบ การปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดิน ทรงนำวิทยาการ แผนใหม่จากประเทศตะวันตกมาใช้ ทรงตั้งกระทรวงขึ้น 12 กระทรวง มีการแบ่งอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบใน แต่ละกระทรวงให้ชัดเจนและมีเสนาบดีรับผิดชอบบริหารงาน ของแต่ละกระทรวง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่เกี่ยวกับการ ปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยในหัวเมือง หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงเริ่มการจัดตั้งมณฑลขึ้นใน พ.ศ. 2437 โดยรวม หลายๆ จังหวัดขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงหรือข้าหลวง เทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้การปกครองหัวเมืองนั้น อำนาจปกครอง 13

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด บังคับบัญชามีความแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของ ท้องถิ่น หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก การคมนาคมไปมาลำบาก หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับ บัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ ส่วนหัวเมืองอื่นๆ มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจกว้างขวาง แต่การจัดตั้งมณฑลนั้นข้าหลวงหรือข้าหลวงเทศาภิบาลขึ้นตรง ต่อส่วนกลาง พ.ศ. 2435 ได้จัดตั้งมณฑลขึ้นโดยรวบรวม หัวเมืองเข้าด้วยกันมี 6 มณฑล คือ มณฑลลาวเฉียง มณฑล ลาวพวน มณฑลลาวกาว มณฑลเขมร มณฑลนครราชสีมา และมณฑลภูเก็ต ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดขึ้นต่อมณฑลลาวกาว พ.ศ. 2437 ได้จัดระเบียบบริหารมณฑลแบบใหม่เป็นมณฑล เทศาภิบาลขึ้น 3 มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑล ปราจีนบุรี และมณฑลราชบุรี ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากมณฑล แบบเก่าและต่อมาได้ตั้งมณฑลต่างๆ ขึ้นอีกคือ มณฑล นครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า มณฑล นครศรีธรรมราช มณฑลชุมพร มณฑลไทรบุรี (ภายหลังยกให้ อังกฤษ เมื่อปี 2450) มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลพายัพ มณฑล อุดร มณฑลอีสาน มณฑลปัตตานี มณฑลจันทบุรี และมณฑล มหาราช ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดขึ้นต่อมณฑลอีสาน พ.ศ. 2455 ได้แยกมณฑลอีสานเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบล และ มณฑลร้อยเอ็ด มณฑลร้อยเอ็ดมี เมืองร้อยเอ็ด เมืองกาฬสินธุ์ เมืองมหาสารคาม พ.ศ. 2465 ได้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑล อุบล และมณฑลอุดร ขึ้นเป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน พ.ศ. 2465 ยุบปกครองภาคอีสาน ให้จังหวัดในมณฑลร้อยเอ็ดและ 14

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง มณฑลอุบล ไปขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา ระบอบมณฑล เทศาภิบาลนี้ได้ยกเลิกไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจบุ นั เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 จากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหา- กษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติ ระเบยี บบรหิ ารราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. 2476 จดั ระเบยี บบรหิ าร ส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ และได้ยกเลิกระบอบ มณฑลเทศาภิบาล ขณะนั้นจังหวัดร้อยเอ็ดมี 9 อำเภอ คือ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี อำเภอเสลภูมิ อำเภอ โพนทอง อำเภออาจสามารถ อำเภอพนมไพร อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอเกษตรวิสัย และอำเภอจตุรพักตรพิมาน ต่อมาได้แบ่ง พื้นที่เป็นอำเภอหนองพอก อำเภอปทุมรัตน์ อำเภอเมืองสรวง อำเภอโพธิ์ชัย กิ่งอำเภอโพนทราย และกิ่งอำเภอเมยวดี ต่อมา เมื่อได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยก็เป็นไป ตามพระราชบัญญัติฉบับนั้นและถือเป็นหลักหรือรากฐานของ การแบ่งส่วนราชการไทยสมัยต่อๆ มา พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ ได้ถูกปรับปรุงแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วน ภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอขน้ึ เปน็ จงั หวดั มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คล มผี วู้ า่ ราชการจงั หวดั เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ และให้มี 15

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด คณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น การตั้ง ยุบ และ เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ 1.2 ลักษณะทางกายภาพ และเศรษฐกิจสังคม จังหวัดร้อยเอ็ดมีลักษณะทางกายภาพในด้านอาณาเขต และภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ด้านเศรษฐกิจ เช่น รายได้ ของประชากร-ครัวเรือน ผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ด้าน สังคม เช่น การศึกษา สาธารณสุข แรงงาน และการศึกษา ซึ่งมี ข้อมลู ดังต่อไปนี้ (จังหวัดร้อยเอ็ด, 2553, http://www.roiet.go.th) 1. อาณาเขตและภูมิประเทศ จังหวัดร้อยเอ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออก- เฉียงเหนือ ทิศเหนือ ติดจังหวัดกาฬสินธุ์และมุกดาหาร ทิศใต้ ติดจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ ทิศตะวันออก ติดจังหวัดยโสธร ทิศตะวันตก ติดจังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ดอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 512 กิโลเมตร มีพื้นที่ 8,299.46 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 5,187,156 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 5.1 ของภาคลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง และมีภูเขาเตี้ยๆ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนทางด้านใต้เป็นที่ราบและแอ่งอยู่ในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ สงู กว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 130 - 160 เมตร 2. สภาพภูมิอากาศ มี 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนมีอากาศร้อนและแห้งแล้งระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน อุณหภูมิประมาณ 35 องศา 16

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เซลเซียส ฤดูฝนมีฝนตกไม่สม่ำเสมอระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงกันยายน ปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,200 มิลลิเมตรต่อปี และฤดหู นาวมีอากาศเย็นระหว่างเดือนตุลาคมถึงมกราคม 3. ด้านเศรษฐกิจ 3.1 รายไดข้ องประชากร โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดร้อยเอ็ด ขึ้นอยู่ กับภาคการค้าส่งและการค้าปลีก ภาคการเกษตรกรรม และ ภาคการศึกษา เป็นสำคัญ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ข้อมูลเมื่อปี 2551 จำนวน 49,564 ล้านบาท จัดเป็นลำดับ ที่ 6 ของภาค และลำดับที่ 38 ของประเทศ มีรายได้ประชากร ตามผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) ปี 2551 จำนวน 36,702 บาท/คน จัดเป็นลำดับที่ 9 ของภาค และลำดับที่ 66 ของประเทศ 3.2 ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จปฐ. (23,000 บาท/คน/ปี) จากการจัดเก็บข้อมูล จปฐ. ปี 2552 จังหวัดร้อยเอ็ด มีจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จปฐ. (23,000 บาท ต่อคนต่อปี) จำนวน 2,556 ครัวเรือน และมีรายได้เฉลี่ยต่อคน ต่อปี จำนวน 47,185.23 บาท/คน/ปี จัดเป็นลำดับที่ 2 ของภาค และลำดับที่ 38 ของประเทศ 3.3 ผลติ ผลทางการเกษตร 3.3.1 ข้าว ในปีการเพาะปลูก 2552/2553 มีพื้นที่ปลูก ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า รวมทั้งสิ้น 3,083,554 ไร่ (แยกเป็น ข้าวเจ้า 2,089,876 ไร่ ข้าวเหนียว 993,678 ไร่) โดยมีพื้นที่ปลูก 17

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ข้าวหอมมะลิ (ขาวดอกมะลิ 105 และ กข15) ที่สำคัญของ จังหวัดในเขตพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ โพนทราย และปทุมรัตต์ และมีพื้นที่ในการปลูกข้าวเหนียว (กข6) ที่สำคัญ ของจังหวัดจะปลูกในพื้นที่อำเภอโพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ และอำเภอจตุรพักตรพิมาน สำหรับข้าวหอมมะลิที่เป็นที่รู้จักและยอมรับกัน โดยทั่วไป เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ คือ “ข้าวหอมมะลิที่เป็นผลผลิตจากทุ่งกุลาร้องไห้” ซึ่งมีเอกลักษณ์ ที่สำคัญและแตกต่างไปจากข้าวหอมมะลิที่ผลิตจากแหล่งปลูก อื่นๆ ได้แก่ ความหอม ซึ่งมีผลมาจากลักษณะทางกายภาพของ ดินที่มีลักษณะเป็นดินทรายและมีความเค็มที่พอเหมาะกับ ข้าวพันธุ์นี้ ความเรียวงาม ซึ่งมีผลมาจากสภาพของภูมิศาสตร์ ของน้ำและแสงแดดที่เหมาะสม ทำให้ได้เมล็ดข้าวที่เรียวงาม พอเหมาะน่ารับประทาน และความอ่อนนุ่ม ซึ่งเป็นผล มาจากลักษณะพิเศษของข้าวหอมมะลิโดยทั่วไป ทำให้เป็นที่ นิยมของผู้บริโภค พื้นที่ในทุ่งกุลาร้องไห้มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,107,690 ไร่ อาณาเขตครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ และยโสธร โดยจังหวัดร้อยเอ็ด มีพื้นที่มากที่สุด 986,807 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.82 ของพื้นที่ ทุ่งกุลาฯ ทั้งหมด ใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิ 756,511 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 76.66 โดยแยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้ - จังหวัดร้อยเอ็ด (อำเภอเกษตรวิสัย / อำเภอ สุวรรณภูมิ / อำเภอปทุมรัตต์ / อำเภอ 18

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง โพนทราย / อำเภอหนองฮี) มีพื้นที่ 986,807 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.82 ของพื้นที่ทุ่งกุลาฯ - จังหวัดสุรินทร์ (อำเภอท่าตูม / อำเภอชุมพลบุรี) มีพื้นที่ 575,993 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 27.3 ของ พื้นที่ทุ่งกุลาฯ - จังหวัดศรีสะเกษ (อำเภอราษีไศล / กิ่งอำเภอ ศิลาลาด) มีพื้นที่ 287,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 13.6 ของพื้นที่ทุ่งกุลาฯ - จังหวัดมหาสารคาม (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย) มีพื้นที่ 193,890 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 9.2 ของพื้นที่ ทุ่งกุลาฯ - จังหวัดยโสธร (อำเภอมหาชนะชัย / อ.ค้อวัง) มีพื้นที่ 64,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 3.1 ของพื้นที่ ทุ่งกุลาฯ 3.3.2 พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ พื้นที่เพาะปลูกอ้อย 63,208 ไร่ ผลผลิต 625,449 ตัน (แหล่งปลูกที่สำคัญ คือ อำเภอ โพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ) / พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง 51,672 ไร่ ผลผลิต 189,687 ตัน (แหล่งปลูกที่สำคัญ คือ อำเภอโพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอ หนองพอก อำเภอเมยวดี) / พื้นที่เพาะปลูกยางพารา 35,154 ไร่ ผลผลิต 1,209 ตัน (แหล่งปลูกที่สำคัญ คือ อำเภอโพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอเสลภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอ อาจสามารถ) / พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดหวาน 1,642 ไร่ ผลผลิต 19

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2,077 ตัน / พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดฝักสด 1,117 ไร่ ผลผลิต 1,410 ตัน / พื้นที่เพาะปลูกถั่วลิสง 4,219 ไร่ ผลผลิต 1,074 ตัน / พื้นที่เพาะปลูกยาสูบพันธุ์เตอร์ลิส 43,425 ไร่ ผลผลิต 7,633 ตัน / พื้นที่เพาะปลูกแตงโมเนื้อ 4,924 ไร่ ผลผลิต 16,190 ตัน นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ เช่น งาดำ 2,752 ไร่ / ต้นกก 316 ไร่ 3.4 การท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล บึงพลาญชัย บึงเกลือ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ- สถานแห่งชาติร้อยเอ็ด สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด วนอุทยานผาน้ำย้อย สวนพฤษศาสตร์และวรรณคดีกู่กาสิงห์ บ่อพันขัน เป็นต้น 3.5 โรงงาน จำนวนทั้งสิ้น 427 โรง เงินทุน 6,551.061 ล้านบาท มีการจ้างงาน 8,333 คน จำแนกเป็น ขนาดเล็ก (เงินทุนน้อย กว่า 10 ล้านบาท) จำนวน 347 โรง ขนาดกลาง (เงินทุนตั้งแต่ 10 - 100 ล้านบาท) จำนวน 68 โรง และขนาดใหญ่ (เงินทุน 100 ล้านบาทขึ้นไป) จำนวน 12 โรง 3.6 โรงแรม จำนวน 65 แห่ง แยกเป็น ระดับ 3 ดาว 2 แห่ง (โรงแรมร้อยเอ็ดซิตี้ และโรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น) / ระดับ 2 ดาว 3 แห่ง (โรงแรมร่มอินทนิล โรงแรมสาเกตุนคร และโรงแรม ไหมไทย) 20

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง 3.7 ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถนิ่ (OTOP) จังหวัดร้อยเอ็ด มีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดสรร OTOP Product Champion ระดับ 4 - 5 ดาว จำนวน 34 ผลิตภัณฑ์ และ ผลิตภัณฑ์ที่ดีเด่นที่สุด คือ ผ้าไหม ข้าวหอมมะลิ ผ้าฝ้ายย้อมสี ธรรมชาติ เครื่องจักสาน เช่น มวยนึ่งข้าว กระติบข้าว 4. ด้านสังคม 4.1 การศกึ ษา สถานศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ด มี ระดับอนุบาล- มัธยมศึกษา จำนวนโรงเรียน 924 แห่ง (รัฐบาล 862 แห่ง / เอกชน 41 แห่ง / โรงเรียนท้องถิ่น 7 แห่ง / โรงเรียนพระปริยัติ ธรรม 14 แห่ง) จำนวนครู-อาจารย์ 12,550 คน จำนวนนักเรียน 227,309 คน จำนวนห้องเรียน 10,138 ห้อง ระดับวิทยาลัยและ มหาวิทยาลัย จำนวน 16 แหง่ (วิทยาลยั 14 แห่ง / มหาวทิ ยาลยั 2 แหง่ ) จำนวนครอู าจารย์ 808 คน จำนวนนกั ศกึ ษา 19,944 คน 4.2 การสาธารณสขุ สถานพยาบาลด้านสาธารณสุขของจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย โรงพยาบาล 20 แห่ง (รัฐบาล 18 แห่ง / เอกชน 2 แห่ง) สถานีอนามัย 230 แห่ง คลินิกทุกประเภท 211 แห่ง มีบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ 129 คน (รัฐบาล 119 คน / เอกชน 10 คน) ทันตแพทย์ 39 คน (รัฐบาล 37 คน / เอกชน 2 คน) พยาบาล 1,222 คน (รัฐบาล 1,169 คน / เอกชน 53 คน) ผู้ช่วยพยาบาล 11 คน (รัฐบาล 6 คน / เอกชน 4 คน) และมีจำนวนเตียง 1,349 เตียง (รัฐบาล 1,149 เตียง / เอกชน 200 เตียง) 21

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 4.3 แรงงาน จังหวัดร้อยเอ็ดมีกำลังแรงงาน 798,998 คน (มีงานทำ 795,189 คน / ไม่มีงานทำ 3,809 คน / รอฤดูกาล 7,191 คน) 4.4 ศาสนา ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีวัด/ สำนักสงฆ์ 1,394 แห่ง ที่พักสงฆ์ 548 แห่ง วัดร้าง 98 แห่ง และ พระสงฆ์ 6,620 รูป นอกจากนั้นก็นับถือศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกข์ ตามลำดับ 1.3 ด้านการปกครอง จังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งการปกครองออกเป็น 20 อำเภอ 192 ตำบล 2,444 หมู่บ้าน 122 ชุมชน ประกอบด้วย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอธวัชบุรี อำเภอจตุรพักตรพิมาน อำเภอพนมไพร อำเภอ โพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอเมืองสรวง อำเภอโพนทราย อำเภอ อาจสามารถ อำเภอเมยวดี อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอจังหาร อำเภอเชียงขวัญ อำเภอหนองฮี และอำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ดมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 รูปแบบ รวม 203 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาล 58 แห่ง คือ เทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตำบล 57 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 144 แห่ง 22

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง จังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเป็น 3 เขต มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 คน และมี จำนวนสมาชิกวุฒิสภา 1 คน ประชากรทั้งหมด 1,307,212 คน แยกเป็น ชาย 652,862 คน หญิง 654,350 คน จัดเป็นลำดับที่ 8 ของภาค และลำดับที่ 12 ของประเทศ 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 24 ตารางท่ี 2.1 จำนวนตำบล หมูบ่ า้ น และองคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ ตามรายอำเภอ อำเภอ/กิ่งอำเภอ พนื้ ที่ จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน (ตร.กม.) ตำบล หมู่บ้าน อบต. เทศบาล เทศบาล อบจ. อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ตำบล อำเภอเสลภมู ิ 495.79 14 201 14 เมอื ง 1 อำเภอธวัชบุรี 792.34 18 235 16 1 - - อำเภอโพนทอง 510.08 12 147 11 - 1 - อำเภอพนมไพร 719.15 14 196 14 - 2 - อำเภออาจสามารถ 485.96 13 160 13 - 1 - อำเภอสุวรรณภูมิ 454.44 10 138 10 - 1 - อำเภอเกษตรวิสัย 1,107.40 15 199 15 - 1 - อำเภอจตุรพักตรพิมาน 580.13 13 174 13 - 1 - อำเภอหนองพอก 521.99 12 150 12 - 2 - 599.47 9 120 9 - 1 - - 1

อำเภอ/กิง่ อำเภอ พืน้ ท่ี จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน (ตร.กม.) ตำบล หมู่บา้ น อบต. เทศบาล เทศบาล อบจ. ตำบล ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง อำเภอเมยวดี 180.59 4 43 4 เมือง - 25อำเภอโพธิ์ชัย 394.31 9 112 8 - - - อำเภอจังหาร 162.94 8 110 8 - 2 - อำเภอปทุมรัตต์ 356.9 8 100 8 - - - อำเภอเมืองสรวง 209.44 5 49 3 - 1 - อำเภอโพนทราย 215.85 5 57 4 - 1 - อำเภอศรีสมเด็จ 217.67 8 82 8 - 1 - อำเภอเชียงขวัญ 6 66 6 - - - อำเภอหนองฮี 130 4 54 4 - - - อำเภอทุ่งเขาหลวง 165.37 5 51 5 - - - 164.06 - - รวม 192 2,444 185 1 8,463.88 1 16 ที่มา: ที่ทำการปกครองจังหวัดร้อยเอ็ด (2553, http://repa.roietceo.net/)

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 1.4 ข้อมูลประชากร สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง จำนวนประชากร ไทยตามทะเบียนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 รวมทั้งหมด 1,309,708 คน เป็นเพศชาย 653,903 คน และเพศหญิง 655,805 คน (คนไทยดอทคอม, 2554, http:// www.khonthai.com) ตารางท่ี 2.2 จำนวนประชากรจังหวัดร้อยเอ็ดแยกตามเพศและสถานะ ของบุคคล ลักษณะข้อมูล ชาย หญงิ รวม แยกตามเพศ 653,903 655,805 1,309,708 แยกตามสถานะของบุคคล - ผู้ที่มีสัญชาติไทย และมีชื่ออยู่ใน 645,029 649,230 1,294,259 ทะเบียนบ้าน - ผู้ที่ไม่ได้สัญชาติไทย และมีชื่ออยู่ 245 124 369 ในทะเบียนบ้าน - ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง 3,583 2,531 6,114 (ทะเบียนซึ่งผู้อำนวยการทะเบียน กลางกำหนดให้จัดทำขึ้นสำหรับ ลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อใน ทะเบียนบ้าน) - ผู้ที่อยู่ระหว่างการย้าย (ผู้ที่ย้ายออก 5,046 3,920 8,966 แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้า) ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (2554, http://stat.dopa.go.th) 26

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ในส่วนข้อมูลของจังหวัดร้อยเอ็ดมีประชากร ณ มีนาคม 2551 รวมทั้งสิ้น 1,307,423 คน แยกเป็นชาย 652,921 คน หญิง 654,502 คน โดยมีอำเภอที่มีประชากรมากที่สุด ได้แก่ อำเภอ เมืองร้อยเอ็ด 120,058 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอเสลภูมิ มีจำนวน 107,045 คน และอำเภอสุวรรณภูมิ มีจำนวน 106,770 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอจังหาร โดยมีอัตราความหนาแน่น 295 คน/ตร.กม. รองลงมาได้แก่ อำเภอเมือง มีอัตราความหนาแน่น 240 คน/ ตร.กม. และกิ่งอำเภอเชียงขวัญ มีอัตราความหนาแน่น 215 คน/ตร.กม. โดยอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ใน ระดับ 158 คน/ตร.กม. (ที่ทำการปกครองจังหวัดร้อยเอ็ด, 2553, http://repa.roietceo.net/) 27

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 28 ตารางที่ 2.3 จำนวนประชากรแยกตามเพศ รายอำเภอ ลำดบั ที่ อำเภอ รวม ชาย หญิง จำนวนบา้ น รวมทง้ั จังหวดั 1,307,423 652,921 654,502 324,827 1 เมืองร้อยเอ็ด 120,058 59,423 60,635 35,009 121,087 60,240 60,847 27,465 2 เสลภูมิ 116,880 58,475 58,405 28,438 107,358 53,627 53,731 26,639 3 สุวรรณภมู ิ 99,069 49,431 49,638 24,961 81,263 40,259 41,004 19,167 4 โพนทอง 74,439 37,359 37,080 17,528 74,473 37,297 37,176 16,974 5 เกษตรวิสัย 67,776 33,893 33,883 17,122 64,780 32,740 32,235 15,897 6 จตุรพักตรพิมาน 57,175 29,249 29,210 14,277 7 พนมไพร 8 อาจสามารถ 9 ธวัชบุรี 10 หนองพอก 11 โพธิ์ชัย

ลำดับที ่ อำเภอ รวม ชาย หญงิ จำนวนบา้ น 12 ปทุมรัตต์ 53,014 26,349 26,665 12,513 13 จังหาร 47,375 23,529 23,846 12,050 14 ศรีสมเด็จ 37,112 19,349 17,763 9,117 15 เชียงขวัญ 27,761 13,869 13,892 6,664 16 โพนทราย 22,074 11,000 11,074 4,490 17 หนองฮี 25,418 12,923 12,495 5,627 18 ทุ่งเขาหลวง 23,923 12,026 11,897 5,319 19 เมืองสรวง 13,920 6,998 6,922 3,269 ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 20 เมยวดี 29 22,433 11,185 11,248 5,456 เทศบาลเมืองร้อยเอด็ 34,712 16,765 17,947 13,912 ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในที่ทำการปกครองจังหวัดร้อยเอ็ด (2553, http:// repa.roietceo.net/)

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2. แนวคิดทางการเมือง และการเลือกตั้ง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (2550) ได้เสนอแนวคิดว่าพลวัต ของการเมืองไทยขึ้นกับส่วนประกอบของสังคมและการเมือง 4 ส่วน คือ 1) สถาบันพระมหากษัตริย์ 2) ข้าราชการทหารและ พลเรือน 3) ชั้นชนกลางในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ และ 4) ประชาชนในชนบท ซึ่งความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ 4 ส่วนนี้ ทำให้เกิดพลวัตทางการเมืองและสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งก่อให้เกิดรัฐบาลและทำลายรัฐบาลในระบอบ ประชาธิปไตย สมบัติ จันทรวงศ์ (2536) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการ ซื้อเสียงว่า การซื้อเสียงในการเลือกตั้ง ส.ส. มีมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้เงินมากอย่างในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าการใช้เงิน ซื้อเสียงอย่างโจ่งแจ้งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2518 แต่การซื้อเสียงที่ อื้อฉาวมากที่สุดในประวัติการเมืองไทยคือ การเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดร้อยเอ็ดใน พ.ศ. 2522 ที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยกล่าวกันว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้ง (ซ่อม) จังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนั้นใช้เงิน ซื้อเสียงประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเรียกชื่อเหตุการณ์นี้ว่า โรคร้อยเอ็ด และต่อมาได้ขยายตัวไปทั่วประเทศไทย การที่ ผู้สมัครนิยมจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนี้สะท้อนว่าวิธีการนี้ เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ แต่ต้อง อาศัยองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย เช่น ชื่อเสียงผู้สมัคร การ บริหารจัดการหัวคะแนน การจัดองค์กรการหาเสียง เป็นต้น การซื้อเสียงปรากฏมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาค เหนือ ซึ่งจะเห็นได้จากนักธุรกิจการเมืองส่วนใหญ่จะประสบ 30

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ความสำเร็จทางการเมืองจากการซื้อเสียงในสองภาคนี้ นอกจากนั้นมีข้อสังเกตประการหนึ่งในกรณีที่นายทุนจาก ต่างถิ่นมุ่งไปลงสมัครรับเลือกตั้งในต่างจังหวัดจะใช้อำนาจเงิน เป็นเครื่องมือบุกเบิกที่สำคัญ ภายในพื้นที่ที่มีการครอบครอง ฐานทางเศรษฐกิจโดยนายทุนท้องถิ่นอยู่แล้ว ความผูกพัน ระหว่างฐานเศรษฐกิจของผู้สมัครกับฐานคะแนนเสียงของตน ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นเช่นกัน กล่าวคือ สภาพเศรษฐกิจภายใน จังหวัดจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดประเภทของผู้สมัครรับ เลือกตั้ง เช่น กลุ่มทุนฐานทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น จะเห็น ได้ว่า ในพื้นที่ที่มีป่าไม้มีภูเขานายทุนค้าไม้และนายทุน โรงโม่หิน มีแนวโน้มจะสมัคร ส.ส. มาก แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียง ซึ่งในประเทศไทย การรณรงค์หาเสียงอาจมีความแตกต่างไปจากพฤติกรรมการ หาเสียงเลือกตั้งจากประเทศอื่นๆ ดังจะเห็นได้ว่าคนไทยมีการ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งโดยคำนึงถึงค่านิยมทางสังคมไทย เช่น การหาเสียงที่สอดคล้องกับค่านิยมอันเกี่ยวกับระบบความ สัมพันธ์ของ “เจ้านาย-ลูกน้อง” (patron-client) ค่านิยมเกี่ยวกับ ความกตัญญู เป็นต้น ซึ่งการรณรงค์หาเสียงในประเทศไทย มีวิธีต่างๆ มากมาย สุดแต่ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งจะใช้วิธีการ หาเสียงในรูปแบบใด แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการหาเสียง ก็มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมทางการเมือง ของไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ได้เป็นอย่างดี และสามารถใช้วิธีการในการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ 31

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด จากความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์หรือเจ้านาย (patron) กับลูกน้อง (client) จะเห็นว่าหากมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน นั้น ผู้อุปถัมภ์มีส่วนได้เปรียบอยู่ในเนื้อแท้ของความสัมพันธ์ กล่าวคือ ผู้อุปถัมภ์จะเป็นคนส่วนน้อยไม่กี่คนที่มีทรัพยากร มากเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้ผู้อยู่ใต้ความอุปภัมภ์จนพอใจได้ ดังนั้น ผู้อุปถัมภ์จึงเป็นผู้เลือกว่าจะให้การอุปถัมภ์แก่ผู้ใด อีกทั้งยังเป็นผู้กำหนดว่า ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ควรจะทำอะไรเป็นการ ตอบแทนให้แก่ตน การที่ผู้อุปถัมภ์จะได้เปรียบมากน้อยเพียงใด นั้นย่อมขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายเป็นประการ สำคัญ (อคิน รพีพัฒน์, 2523, น.167) 2.1 แนวคิดวัฒนธรรมทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมือง (political culture) ประกอบด้วย ทัศนคติ ความเชื่อ อารมณ์ความรู้สึก และค่านิยมของสังคมที่ สมั พนั ธก์ บั ระบบการเมอื งและประเดน็ สำคญั ตา่ งๆ ทางการเมอื ง แม้ว่าการอธิบายโดยใช้กรอบวัฒนธรรมทางการเมืองจะไม่ได้ กำหนดกรอบการอธิบายที่ชัดเจน เป็นเหตุเป็นผล แต่อย่างไร ก็ตาม ความรู้พื้นฐานของวัฒนธรรมทางการเมืองจะทำให้เห็น รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นของภาพรวมของระบบการเมืองที่เกิดขึ้น ในด้านของความสัมพันธ์ของปัจเจกและกลุ่มที่มีต่อระบบ การเมือง เพราะการศึกษาระบบการเมืองโดยมองแต่เพียงแค่ สถาบนั ทางการเมอื ง และประเดน็ ตา่ งๆ ทางการเมอื ง ไมส่ ามารถ ทำให้เห็นรายละเอียดของระบบการเมืองได้อย่างชัดเจน ดังเช่น ที่เกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนา แม้ว่าจะมีความพยายาม ลอกเลียนแบบโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองจากประเทศ 32

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง พัฒนาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถมีพัฒนาการทางการเมืองได้เหมือน กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “วัฒนธรรม ทางการเมือง” (Roskin, G. e.t., 1997: 125) ปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนกำหนดวัฒนธรรมทางการเมือง ดังต่อไปนี้ 1. ความต่อเนื่องทางการเมือง (political continuity) เป็น เรื่องของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ที่เป็นตัวกำหนดระดับ ของความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อระบบการเมือง รวมทั้ง เสถียรภาพทางการเมือง 2. สภาพทางภูมิศาสตร์ (geography) ทั้งสภาพ ภูมิอากาศ ทรัพยากร ขนาดของประเทศ อาณาเขตที่ติดกับ ทะเล หรือห่างไกลจากชายฝั่ง ฯลฯ ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่าง ในการกำหนดรปู แบบของวัฒนธรรมทางการเมือง 3. ผลกระทบจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ส่งผลให้ เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมทางการเมืองที่มีลักษณะ เฉพาะแตกต่างกันไป 4. โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม (socio–economic structure) เป็นปัจจัยอีกตัวในการกำหนดวัฒนธรรมทาง การเมือง โดยจะพบได้ว่าสังคมเมือง และสังคมที่มีการพัฒนา อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสังคมที่มีความสลับซับซ้อน มีการ คมนาคมรวดเร็วมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานการศึกษา มีการ เพิ่มขึ้นของกลุ่มต่างๆ และมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจที่ กว้างมากกว่าในสังคมชนบทที่ไม่ได้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง 33

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด และพัฒนาการใหม่ๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมอนุรักษ์นิยม สงู 2.2 สัญลักษณ์และวัฒนธรรมทางการเมือง ทัศนคติ และค่านิยมทางการเมืองในสังคม ในบางครั้ง จะปรากฏออกมาในรูปของสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น ธงชาติ และเพลงชาติ ระบอบราชาธิปไตยอาจเป็นสัญลักษณ์ของความ ภาคภูมิใจของชาติในระบบการเมืองก็ได้ สัญลักษณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดองค์ประกอบของสถาบันทาง การเมือง และไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับระดับของความรู้ ทางการเมือง และความสามารถของประชาชน ระบบการเมืองได้ให้ความสำคัญต่อการใช้สัญลักษณ์ ผู้นำมักจะกำหนดสัญลักษณ์เชิงนามธรรม บางอย่างกลายเป็น สิ่งที่จับต้องได้ และทำให้ค่านิยมทางการเมืองเป็นรูปร่างขึ้นมา สัญลักษณ์ทางศาสนาอาจจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในระบบ การเมืองบางระบบก็ได้ ความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผล หรือ ตำนาน (myths) แสดงบทบาทที่สำคัญในวัฒนธรรมทางการ เมือง ซึ่งอาจจะมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างเอกลักษณ์ ของชาติ เพราะความเชื่อหรือตำนานที่เกี่ยวกับช่วงเวลา ประวัติศาสตร์ จะทำให้เกิดการปลุกกระแสความรู้สึกของความ ยิ่งใหญ่ของชาติ 2.3 การกล่อมเกลาทางการเมือง การกล่อมเกลาทางการเมืองเป็นการสร้างและพัฒนา ทัศนคติ และค่านิยมต่อระบบการเมือง การกล่อมเกลาทาง การเมืองไม่ได้เป็นกระบวนการที่จำกัดอยู่เฉพาะช่วงวัยเด็กที่จะ 34

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ถูกชักจูงได้ง่ายเท่านั้น แต่การกล่อมเกลายังเป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่องไปตลอดชั่วชีวิตของมนุษย์ (Roskin, G. e.t., 1997: 135) การกล่อมเกลาทางการเมืองพิจารณาได้ 2 ด้าน คือ 1. การกล่อมเกลาเป็นกระบวนการที่ปลูกฝังวัฒนธรรม ทางการเมือง 2. การกล่อมเกลาเป็นกระบวนการสร้างพฤติกรรมของ คน เป็นการอธิบายในแง่ของจิตวิทยาทางการเมือง ที่บุคคล แต่ละคน จะมีบุคลิกภาพทางการเมืองที่แตกต่างกันอันเกิดจาก กระบวนการรับรู้บางอย่างที่แตกต่างกัน ในกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมืองเดียวกัน จะมี การสร้างค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ บางอย่างให้คนในสังคม ร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกันครอบครัวแต่ละครอบครัวก็จะมี กระบวนการหล่อหลอมบุคลิกภาพของสมาชิกที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโอกาสในการรับรู้ และความสามารถของคนในการรับ และตีความกระบวนการหล่อหลอมเหล่านั้น 2.4 สถาบันท่ีเกี่ยวข้องกับการกล่อมเกลาทางการเมือง สถาบนั หลกั ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การกลอ่ มเกลาทางการเมอื ง มีดังนี้ 1) ครอบครัว 2) โรงเรียนและสถาบันการศึกษาอื่นๆ 3) กลุ่มที่เกิดขึ้นตามความสมัครใจ ที่ทำงาน หรือความสัมพันธ์ อย่างไม่เป็นทางการ 4) สื่อมวลชน และ 5) รัฐบาลและตัวแทน พรรคการเมือง (Roskin, G. e.t., 1997: 137) สถาบันเหล่านี้มีลักษณะที่ซ้อนทับกันอยู่ ไม่ได้แยกออก จากกันอย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นทั้งหมดก็ยังถูกกระทบจาก 35

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจัยอื่นๆ ในระดับที่แตกต่างกัน เช่น การเคลื่อนตัวของสังคม หรือภูมิศาสตร์ อิทธิพลจากสถาบันครอบครัว และระบบการศึกษา เป็น กระบวนการกล่อมเกลาเบื้องต้น ในช่วงวัยเด็ก ส่วนตัวแสดง อื่นๆ ในกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมืองถือได้ว่าเป็นการ กล่อมเกลาในช่วงหลัง และมีความเกี่ยวพันกับสถาบัน ครอบครัว และโรงเรียน การกล่อมเกลาทางการเมืองเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง และไม่หยุดนิ่ง ความมีเสถียรภาพของระบบการเมืองต้อง อาศัยตัวแสดงทางสังคมที่มีความสามารถในการยืดหยุ่น และ สัมพันธ์กัน เพื่อยอมรับการเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากความ รุนแรง 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพียงกมล มานะรัตน์ (2547, บทคัดย่อ) ทำการศึกษา การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง: ศึกษากรณีการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเทศบาลนครเชียงใหม่ พ.ศ.2547 พบว่า การจัดตั้งองค์กรหาเสียง วิธีการ-ยุทธวิธี และความ สัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้ง หัวคะแนน และประชาชน ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคลในรูปแบบความ สัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ โดยมีผลประโยชน์เป็นตัวเชื่อมทั้งสามฝ่าย เข้าด้วยกัน แต่อีกส่วนหนึ่งได้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านความ สัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครฯ หัวคะแนน และประชาชน โดยไม่ได้ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ทั้งสามฝ่ายมิได้มีความ สัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ ระหว่างกัน 36

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นพดล สุคนธวิท (2539, บทคัดย่อ) ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง พรรคการเมืองไทยกับการเมืองท้องถิ่น : ผลประโยชน์และ ฐานอำนาจ พบว่า การที่พรรคการเมืองต่างๆ สามารถควบคุม ประชาชนในท้องถิ่นในลักษณะที่สามารถชักจูงหรือชักนำ ประชาชนได้นั้นจะอาศัยกลไกในระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทย ควบคู่ไปกับความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่อง การเมืองของประชาชน ภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า จึงทำให้ พรรคการเมืองสามารถใช้การเมืองท้องถิ่นเป็นฐานอำนาจ สำคัญในการก้าวเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและแสวงหา ผลประโยชน์จากอำนาจทางการเมืองอย่างไม่จำกัด การจัดสรร ผลประโยชน์ต่างๆ ในท้องถิ่นเป็นการทำเพื่อรักษาและสร้าง ฐานอำนาจของพรรคการเมืองอย่างหนึ่ง จากเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญของที่มาแห่งฐานอำนาจของการเมืองทั้งใน ท้องถิ่นและระดับชาติที่จะต้องทุ่มเงินซื้อเสียง พร้อมจัดตั้งฐาน อำนาจในแต่ละท้องถิ่นโดยอาศัยระบบอุปถัมภ์เป็นตัวนำไปสู่ ความสำเร็จในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง สมบัติ จันทรวงศ์ (2536) ได้วิจัยเรื่อง การเลือกตั้งไทย กับพฤติกรรมเบี่ยงเบนในการหาเสียง : ปัญหาพื้นฐานและ แนวทางแก้ไข ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเบี่ยงเบนในการ หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนใหญ่มีอยู่บนรากฐานประเพณีวัฒนธรรม ของท้องถิ่น เช่น การจัดเลี้ยง การจัดงานแสดงมหรสพ การช่วย เหลือในด้านต่างๆ หรือแม้แต่การแจกเงินซื้อเสียงก็เป็นวิธีการที่ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างหัวคะแนนกับประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งคือ อาศัยโครงสร้างทางสังคมและอำนาจที่เน้นการ 37