Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

Description: เล่มที่39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 1. นายถาวร ไชยสุวรรณ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก สังกัดพรรคสหประชาไทย และ 2. นายเรวัตร ราชมุดา สังกัด พรรคสหประชาไทย (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 11 (วันท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2518) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 11 ถือกำเนิดขึ้นจาก กฎหมายเลอื กตง้ั ผแู้ ทนราษฎร ในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย พุทธศักราช 2517 ที่ถูกร่างขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชุดที่ 2 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2516 หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลามหาวิปโยคผ่านพ้นไปแล้ว ย้อนกลับไป หลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร เข้ายึด อำนาจรัฐบาลตัวเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ก็ได้สั่ง ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 แล้วนำธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 มาใช้แทน ผลพวงจากการนำธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจกั ร พทุ ธศกั ราช 2515 มาใช้ ทำใหต้ อ้ งยกเลกิ วฒุ สิ ภา และสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ จำนวน 299 คน ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทนเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2515 อีกทั้งยังแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 23 นาย โดยมีพลเอกประภาส จารุเสถียร เป็นประธาน และมีคนของรัฐบาลร่วมอยู่มากมาย จนถูกมองว่าการตั้ง คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวเป็นเพียงการประวิงเวลาและ 82

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ต้องการควบคุมให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาล มากขึ้น จนนำมาซึ่งการชุมนุมประท้วงเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) กระทั่งเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นการจลาจลเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ผลสรุปที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือการเดิน ทางออกนอกประเทศของ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจร พร้อมพวก ที่แลก ด้วยการเสียชีวิตและการสูญหายของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังไม่อาจ สรุปจำนวนได้อย่างแม่นยำแม้ในปัจจุบัน โดยในคืนวันเดียวกัน นั้นได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเมื่อศูนย์กลาง อำนาจของรัฐบาลพังครืนลง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชุดเดิมจึงถูกยุบและทำการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่จำนวน 18 คน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 216 โดยมี นายประกอบ หุตะสิงห์ เป็น ประธานกรรมการ นอกจากนี้ยังมีการตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ แห่งชาติชุดใหม่จำนวน 299 คน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2516 เนื่องจากสมาชิกชุดเดิมทยอยลาออกจนไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้นำมาสู่การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ได้มีการจัดการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นในวันที่ 26 มกราคม 2518 เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบผสมระหว่างแบ่งเขตกับรวมเขต ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 3 และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเกณฑ์ ราษฎร 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน รวมได้สมาชิกสภา 83

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ผู้แทนราษฎร จำนวน 269 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวัน ที่ 26 มกราคม 2518 - 12 มกราคม 2519 จึงสิ้นสุดสมาชิกภาพ ลงเนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 โดยมีสาเหตุมาจากพรรคการเมืองร่วม รัฐบาลขาดเอกภาพทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการบริหาร ราชการแผ่นดิน การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาส มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน คือ 1. นายสิดดิก สารีฟ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได ้ 33,113 คะแนน และ 2. นายถาวร ไชยสุวรรณ สังกัดพรรคธรรมสังคม เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 24,328 คะแนน (เอกสารอัดสำเนา สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะ- อิบรอฮีม) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 12 (วันท่ี 4 เมษายน พ.ศ. 2519) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวน 279 คน มาจาก การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 เป็นการเลือกตั้ง ทางตรง แบบผสม ระหว่างรวมเขตกับแบ่งเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2519 - 6 ตุลาคม 2519 ก็สิ้นสุดสมาชิกภาพลง รวมระยะเวลาดำรงตำแหน่งเพียง 6 เดือน เนื่องจากคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดนิ นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เข้ายึดอำนาจ การปกครองประเทศเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยมีสาเหตุ 84

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สำคัญจากการชุมนุมประท้วงขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางกลับประเทศในฐานะสามเณร ของกลุ่มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2519 เรื่อยมา จนเกิดการกระทบกระทั่งที่ รุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับระหว่าง ศนท. กับกลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน นวพล และชมรมวิทยุสมัครเล่น ฯลฯ กระทั่ง กลายเป็นภาพความขัดแย้งที่รุนแรงและชัดเจนในสังคมไทย ขณะนั้น เหตุการณ์ความวุ่นวายจากกรณีดังกล่าวมาถึงจุด แตกหักในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อกลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือ ชาวบ้าน นวพล ฯลฯ ที่มีอาวุธครบมือ รวมไปถึงประชาชนที่ได้ รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ได้เข้าร่วมปราบปรามนักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับ บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งนำ โดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ จึงใช้โอกาสนี้เข้ายึดอำนาจจาก รัฐบาลพร้อมทั้งแต่งตั้ง นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาส มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน คือ 1.นายวัชชิระ มะโรหบุตร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 28,104 คะแนน 2. นายสิดดิก สารีฟ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 27,183 คะแนน และ 3.นายศิริ อับดุลสา และสังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ ได้ 26,465 คะแนน (เอกสารอัดสำเนา สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบ- รอฮีม) 85

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 13 (วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2522) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มาจากการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 22 เมษายน 2522 จำนวน 301 คน เป็นการเลือกตั้ง ทางตรงแบบผสม ทั้งรวมเขตและแบ่งเขต เขตเลือกตั้งหนึ่ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2522 - 19 มีนาคม 2526 สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2526 อันมีสาเหตุมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมี ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ระหว่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรง ตำแหน่งได้เกิดเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย หรือกบฏยังเติร์ก ระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2524 นำโดย พล.อ.สัณฑ์ จิตรปฏิมา และพ.อ.มนูญ รูปขจร (ปัจจุบันคือ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร) ที่หมายยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลได้หนีไปตั้งหลักที่กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา พร้อมนำกำลังเข้าปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ โดยมี พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นแกนนำ เข้าปราบปราม การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 3 คน คือ 1.นายเสนีย์ มะดากะกุล สังกัดพรรค 86

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส กิจสังคม ได้ 40,012 คะแนน 2. นายถาวร ไชยสุวรรณ์ สังกัด พรรคชาติประชาชน ได้ 37,396 คะแนน เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสมัยที่ 3 และ 3. นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ สังกัดพรรค กิจสังคม ได้ 25,254 คะแนน (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั นราธวิ าส : อบั ดลุ ลอฮ เบญ็ มามะอบิ รอฮมี ) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 14 (วันที่ 18 เมษายนพ.ศ. 2526) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 14 นี้ มีจำนวน 324 คน มาจากการเลอื กตง้ั ทางตรง แบบผสม ระหวา่ งรวมเขตกบั แบง่ เขต เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คนต่อ ผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2526 - 1 พฤษภาคม 2529 จึงสิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากการยุบสภาผู้แทนราษรเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 โดยมีสาเหตุมาจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราช- กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดขนส่งทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2529 ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ ทั้งนี้ ระหว่างที่สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง ได้เกิดเหตุการณ์กบฏเพื่อ ล้มล้างรัฐบาลเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2528 นำโดย พล.อ.เสริม ณ นคร ซึ่งฉวยโอกาสขณะที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินทาง ไปต่างประเทศ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ฝ่ายรฐั บาลโดย พล.อ.เทยี นชยั ศิริสัมพันธ์ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนฝ่ายก่อการกบฏ ต้องหลบหนีไป พล.อ.เสริม ณ นคร และ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมีชื่อเป็นแกนนำผู้ก่อการ ได้แจ้งภายหลังว่าถูก พ.อ.มนูญ รูปขจร กับพวก บังคับให้ร่วมก่อการกบฏครั้งนี้ โดย 87

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส พ.อ.มนูญ นั้นเป็นหนึ่งในแกนนำผู้ก่อการกบฏเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 ด้วย นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ถูกนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย บริเวณดั้งจมูก ระหว่างเป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันกีฬา มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2528 การเลือกตั้งครั้งนี้ จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน คือ 1.นายถาวร ไชยสุวรรณ สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตย เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 ได้ 61,476 คะแนน 2. นายเสนีย์ มะดากะกุล สังกัดพรรคกิจสังคม เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 55,616 คะแนน และ 3. นายสิทธิชัย บือราเฮง สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตย ได้ 43,162 คะแนน ( เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมีการ ยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 โดยมีสาเหตุ มาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 พุทธศักราช 2529 ที่รัฐบาลประกาศใช้ซึ่งการไม่อนุมัติพระราช- กำหนดดังกล่าว รัฐบาลเห็นว่ามิได้มาจากเหตุแห่งเนื้อหา แต่น่าจะมาจากความแตกแยกของพรรคการเมืองรัฐบาล หากมี การบริหารราชการต่อไปอาจมีปัญหาอีกได้ เพราะพระราช- กำหนดถือเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลยังมีปัญหาในการ พิจารณาได้ จึงเป็นเหตุให้ต้องยุบสภา (สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร, 2548) 88

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 15 (วันท่ี 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ชุดที่ 15 มีจำนวน 347 คน มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 หลังจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 อันเนื่องมาจาก ปัญหาต่างๆ มากมาย โดยหลักๆ คือวิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน อีกทั้งยังมีกรณีที่สภาฯ ไม่อนุมัติ “พระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2529” ซึ่งสาระของพระราชกำหนดดังกล่าว กำหนดให้รถยนต์ดีเซล ที่ซื้อใหม่ต้องเสียภาษีมากกว่าเดิม 2 เท่า เพื่อที่รัฐบาลจะไม่ ต้องสั่งปรับราคาน้ำมัน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 15 เป็นการ เลือกตั้งทางตรง แบบแบ่งเขตและรวมเขต ถือเขตจังหวัดเป็น เขตเลือกตั้ง ในแต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไมเ่ กนิ 3 คน และไมน่ อ้ ยกวา่ 2 คน ถอื เกณฑร์ าษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 3 คน คือ 1. นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ได้ 70,665 คะแนน 2. นายพิบูลย์ พงษ์ธเนศ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 67,468 คะแนน และ 3. นายเสนีย์ มะดากะกุล สังกัดพรรค กิจประชาคม เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้ 50,541 คะแนน (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด 89

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส นราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ใน วันที่ 29 เมษายน 2531 โดยมีสาเหตุมาจากการที่สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาลส่วนหนึ่งคัดค้านร่าง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ตามที่รัฐบาลเสนอ แสดงให้เห็นถึง ความแตกแยกทางการเมืองของรัฐบาลอาจนำไปสู่ความ ขัดแย้งทางการเมืองได้ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2548) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 16 (วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 357 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ซึ่ง เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขตและแบ่งเขต ถือเกณฑ์ ราษฎร 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ถือเป็นชุดที่ 16 ของ สภาผู้แทนราษฎร โดยดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 - 23 กุมภาพันธ์ 2534 สิ้นสุดสมาชิกภาพลงเนื่องจากการ ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินของคณะรักษาความสงบ เรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 สาเหตุสำคัญของการยึดอำนาจครั้งนี้ เกิดจากความ ขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายกองทัพโดยเฉพาะกลุ่มนายทหาร จปร.5 ที่กระทบกระทั่งกับรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เรื่อยมา ถึงแม้ว่า พล.อ.ชาติชายจะทำการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหา รวมทั้งลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อ 90

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส จัดตั้งรัฐบาลใหม่แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อคณะทหารซึ่งนำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะ หัวหน้า รสช. พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ. ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรอง หัวหน้า รสช. และ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการ ทหารบก ในฐานะเลขานุการ รสช. เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล ประกาศล้มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 และสั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรลง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 3 คน คือ 1. นายเสนีย์ มะดากะกุล สังกัดพรรคกิจ- ประชาคม เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 2. นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัดพรรคประชาชน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 และ 3. นายปริญญา เจตภิวัฒน์ สังกัดพรรครวมไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อ พรรคเป็นพรรคเอกภาพ (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535) หลังจากที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจการปกครองประเทศสำเร็จ ก็ได้เสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุณ เป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งสมาชิกสภานิติ- บัญญัติแห่งชาติ จำนวน 292 คน เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ซึ่งมาเสร็จสิ้นประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่ง 91

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 โดยกำหนดให้รัฐสภามี 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร จนนำมาซึ่งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งใหม่ในวันที่ 22 มีนาคม 2535 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้กำหนดให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 360 คน เป็นการเลือกตั้ง ทางตรง แบบผสมระหว่างรวมเขตและแบ่งเขต ถือเขตจังหวัด เป็นเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งหนึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้เป็นสมาชิกชุดที่ 17 ของ สภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2535 - 30 มถิ นุ ายน 2535 จงึ สน้ิ สดุ สมาชกิ สภาพลง เนอ่ื งจากมพี ระราช- กฤษฎีกายุบสภาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2535 โดยมีสาเหต ุ มาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 ที่เรียกกันภายหลังว่า “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 โดยมีสาเหตุจากการชุมนุมประท้วงของประชาชนที่ไม่ พอใจการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามครรลองระบอบ ประชาธิปไตย จนการชุมนุมประท้วงขยายวงกว้างออกไป โดยเฉพาะระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม ที่มีการชุมนุมขับไล่ พล.อ.สุจินดา และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการ เลือกตั้ง โดยมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นแกนนำ ท่ามกลาง ประชาชนราว 5 แสนคน 92

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สถานการณ์การประท้วงยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อฝ่าย ผู้ชุมนุมบางส่วนได้เผาและยึดสถานที่ราชการ ทางรัฐบาลจึงนำ กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยวิธีการที่รุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บ สูญหาย และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความวุ่นวายทั้งหลายกลับ มาสงบได้ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทท่ี รงเรยี ก พล.อ.สจุ นิ ดา และพล.ต.จำลอง เขา้ เฝา้ ณ พระตำหนกั จิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 20 พฤษภาคม โดยโทรทัศน์รวมการ เฉพาะกิจและสถานีวิทยุกระจายเสียงทุกแห่งได้ถ่ายทอดการ ดังกล่าวเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. เป็นภาพที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้า เข้าหากันและช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศชาติ จนเหตุการณ์ เบาบางและสงบลง ซึ่งในอีก 4 วันต่อมา พล.อ. สุจินดา ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาสครั้งนี้เป็นการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง ออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวน 2 คน กำหนดให้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน 4 คน และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัด พรรคความหวังใหม่ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 นายเจะอามิง โต๊ะตาหยง สังกัดพรรคสามัคคีธรรม เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก 93

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 2 นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ สังกัด พรรคความหวังใหม่ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 นายนัจมุดดีน อูมา สังกัดพรรคความหวังใหม่ เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยแรก (นัจมุดดีน อูมา, 2554 : บทบาท ทางการเมืองของกลุ่มวะห์ดะฮ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 18 (วันท่ี 13 กันยายน พ.ศ. 2535) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 18 เกิดขึ้นภายหลัง เหตุการณ์พฤษภาทมิฬผ่านพ้นไปเพียง 4 เดือน หลังจาก นายอานันท์ ปันยารชุน ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป อีกครั้ง และถือเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ในรอบปี 2535 หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การเลือกตั้ง 2535/2” นั่นเอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2535 - 19 พฤษภาคม 2538 สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 โดยมี สาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล กรณี ส.ป.ก.4-01 จนก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการ บริหารราชการแผ่นดิน วันเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้ รัฐกำหนดขึ้น เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 ยังเป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบ แบ่งเขตและรวมเขต ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้ง หนึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่สภา 360 คน ภายใต้ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535 94

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาสครั้งนี้เป็นการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง ออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวน 2 คน กำหนดให้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน 4 คน และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 แพทย์หญิงพรพิชญ์ พัฒนกุลเลิศ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัดพรรคความหวังใหม่เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก นายรำรี มามะ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก (นัจมุดดีน อูมา, 2554 : บทบาททางการเมืองของกลุ่ม วะห์ดะฮ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมี พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 เนื่องจากรัฐบาลในคณะนั้นซึ่งประกอบด้วยพรรค การเมืองร่วมรัฐบาลหลายพรรค และพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ เสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อกรณี การออกเอกสารสิทธิ สป.ก 4-01 ซึ่งหลังจากการอภิปราย พรรคพลังธรรมซึ่งเป็น พรรคร่วมรัฐบาลได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วม รัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลมีเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน 95

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย จึงตัดสินใจให้มี การยุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้น ส่งผลให้วาระการดำรงตำแหน่ง ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง (สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร, 2548) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 19 (วันท่ี 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายชวน หลีกภัย โดยเฉพาะปัญหา ส.ป.ก.4-01 จนทำให้นายชวนต้องยุบ สภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 สิ้นสุดสมาชิกภาพ จากนั้นจึงมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ขึ้นมาในวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบแบ่งเขตกับ รวมเขต ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งหนึ่งมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่สภาจำนวน 391 คน นับเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 19 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2538 - 27 กันยายน 2539 จงึ สน้ิ สดุ สมาชกิ ภาพลง เนอ่ื งจาก นายบรรหาร ศลิ ปอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตัดสินใจการยุบสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 โดยมีสาเหตุมาจากพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ขาดเอกภาพ ก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคในการบริหารราชการ แผ่นดินและการพัฒนาประเทศ การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาสครั้งนี้เป็นการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง ออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 มีสมาชิกสภา 96

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน กำหนดให้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 4 คน และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นางพรพิชญ์ พัฒนกุลเลิศ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 55,786 คะแนน นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัดพรรคความหวังใหม่ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 ได้ 54,493 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 53,784 คะแนน นายรำรี มามะ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 49,462 คะแนน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมี พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 กันยายน 2539 ทั้งนี้เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองของพรรคร่วม รัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้ วางใจ เมื่อผ่านพ้นจากการลงมติ นายบรรหาร ศิลปอาชา ให้ เหตุผลว่าเมื่อรัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ประกอบขึ้นด้วยพรรค การเมืองหลายพรรค ความแตกแยกต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น อาจเป็นผลให้เกิดผลกระทบจากรัฐบาลได้ดังนั้นจึงยุบสภา ผู้แทนราษฎรเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองระหว่าง พรรคการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทน ราษฎร, 2548) 97

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 20 (วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 20 นี้ มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 จำนวน 393 คน โดยเป็นการ เลือกตั้งทางตรงแบบผสม จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใด มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด ออกเป็นเขตเลือกตั้ง ในแต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน โดยถือเกณฑ์ จำนวนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 - 9 พฤศจิกายน 2543 จึงสิ้นสุดสมาชิก ภาพลง เนื่องจากนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ประกาศ ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 อันเป็นเวลา ก่อนสิ้นสุดวาระเพียงไม่กี่วัน และเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง ในระบบใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2540 ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2540 ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มแรกของการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ตรงกับการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ต้องประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ตกต่ำอย่างรุนแรง กระทั่งรัฐบาลตัดสินใจประกาศลดค่าเงิน บาทเพื่อแก้ปัญหา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 แต่กลับยิ่งส่ง ผลกระทบต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศ และการดำรง 98

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ชีพของประชาชน จนในที่สุด พล.อ.ชวลิต ต้องลาออกจาก ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน พร้อมกับ วีรกรรมของ “กลุ่มงูเห่า” ในพรรคประชากรไทย ให้กล่าวขาน มาจนทุกวันนี้ การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาสครั้งนี้ เป็นการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตการ เลือกตั้งออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน เขตเลือกตั้งที่ 2 มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน กำหนดให้ จังหวัดนราธิวาส มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 4 คน และผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัดพรรค ความหวังใหม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 6 ได้ 67,548 คะแนน นายเจะอามิง โตะตาหยง สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ ได้ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 66,300 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้ 53,095 คะแนน นายรำรี มามะ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้ 50,321 คะแนน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมี พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลชุดนี้ใกล้ครบ 99

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส วาระ ประกอบกับระหว่างที่มีการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับ ใหม่นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปทางการเมืองส่งผลให้รัฐสภา มีองค์ประกอบและวิธีการได้มาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างยิ่ง รัฐบาลจึงตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีระยะเวลาใน การจัดการเลือกตั้งมากขึ้น ทั้งนี้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าถ้ามี การหมดวาระของการดำรงตำแหน่งต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ภายใน 45 วัน หากเป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะได้กำหนด ให้มีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน รัฐบาลจึงตัดสินใจยุบสภา (สำนักงานเลขาธิการราษฎร, 2548) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 21 (วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 21 นี้ มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 เป็นการเลือกตั้งในระบบใหม่ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยเป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบผสม แบ่ง การเลือกตั้งออกเป็น 2 ระบบ ได้แก่ ระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตละ 1 คน จำนวน 400 คน และระบบบัญชีรายชื่อ (Party List) จำนวน 100 คน รวมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสิ้น 500 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2544 - 5 มกราคม 2548 โดยเป็นการดำรงตำแหน่ง ควบคู่ไปกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับเสียงข้างมาก 100

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ในขณะนั้น (248 เสียง) ซึ่งถือเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาจากการเลือกตั้ง และสามารถดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีตาม วาระ ทั้งนี้ ระหว่างการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ขึ้นหลายเหตุการณ์ ได้แก่ การเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546, การปล้นปืนจากค่ายทหาร กองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 กระทั่งบานปลายกลายเป็นความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ และเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่ม 6 จังหวัด ภาคใต้ (จังหวัดพังงา ภูเก็ต สตูล ระนอง ตรัง กระบี่ และ จังหวัดชุมพร) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 นำมาซึ่งความ สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือ คุณพุ่ม เจนเซ่น พระโอรสในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน- ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส แบบแบ่งเขตครั้งนี้ จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตได้จำนวน 4 คน ตามรัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้มี การแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 4 เขต ในแต่ละเขตมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 1 คน โดยกฎหมายกำหนดให้แต่ละพรรคส่ง ผู้สมัครได้เพียงคนเดียว โดยผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องถูกส่ง ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยพรรคที่ผู้สมัครเป็นสมาชิก และผู้ที่ได้รับ เลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของ จังหวัดนราธิวาส คือ 101

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 1 นางพรพิชญ์ พัฒนกุลเลิศ พรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้ 34,135 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุทธิพันธ์ ศรีริกานนท์ สังกัดพรรค ความหวังใหม่ ได้ 29,585 คะแนน เขตเลอื กตง้ั ท่ี 3 นายนจั มดุ ดนี อมู า สงั กดั พรรคความหวงั ใหม่ (ไทยรักไทย) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 23,454 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 4 นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สังกัดพรรค ความหวังใหม่ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 7 ได้ 34,603 คะแนน เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำร้องเรียน กล่าวหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาส พรรคความหวังใหม่ หรือมีบุคคลหรือคณะบุคคล กระทำการให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดอันอาจคำนวณเป็น เงินได้แก่ชุมชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียง เลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มาตรา 44 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงได้ดำเนินการสืบสวนเพื่อ หาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหา มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง และมีหนังสือชี้แจง ข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานอันเป็นการปฏิบัติถูกต้องตาม 102

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 แล้ว ปรากฏหลักฐาน อันควรเชื่อได้ว่ามีบุคคลหรือคณะบุคคลกระทำการจูงใจให้ผู้มี สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาอันเป็นการ ฝ่าฝืนมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 ทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขต การเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดนราธิวาส มิได้เป็นไปโดยสุจริตและ เที่ยงธรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา145 (3) (4) และ (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมาตรา 10 (6) (7) และ (8) แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ในเขตการเลือกตั้งที่ 2 และ 4 ของ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2544 ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต การเลือกตั้งครั้งนี้ (ครั้งที่ 2) ของจังหวัดนราธิวาส มีผู้ที่ได้รับ เลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 2 และ 4 คือ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายอรรถพล  มามะ พรรคไทยรักไทย 25,413 คะแนน เขตเลอื กตง้ั ท่ี 4 นายอารเี พญ็ อตุ รสนิ ธ์ุ พรรคความหวงั ใหม่ 33,325 คะแนน 103

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากครบ วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และได้มี การกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ทั้งนี้เป็นไปตามที่กฎหมายไว้ หากสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงด้วยการครบวาระ ให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน นับจากวันที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง (สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนราธิวาส, 2544) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 22 (วันท่ี 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) สืบเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 21 ซึ่งมา จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ได้สิ้นสุด สมาชิกภาพตามวาระ (5 มกราคม 2548) จึงมีพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2548 โดยกำหนดใหว้ นั ท่ี 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2548 เปน็ วนั เลอื กตง้ั การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบผสม โดยแบ่งออกเป็น 2 ระบบเช่นเดียวกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 คือ ระบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน จำนวน 400 คน และระบบบัญชีรายชื่อพรรค (Party List) จำนวน 100 คน รวมทั้งสิ้น 500 คน เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ปรากฏว่า พรรค ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น (สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 377 คน) ได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรก ภายใตก้ ารนำของ พ.ต.ท.ทกั ษณิ ชนิ วตั ร ซง่ึ ไดเ้ ปน็ นายกรฐั มนตรี ครั้งที่ 2 ติดต่อกัน แต่อายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้อยู่ได้เพียง 104

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ปีเศษก็สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาประกาศ ยุบสภาฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2549 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้เป็นชุดที่ 22 ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ถึง 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 1. การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ การเลือกตั้งแบบบัญชี รายชื่อของจังหวัดนราธิวาส พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดคือ พรรคไทยรักไทย ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ของจังหวัดนราธิวาส คือ นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2549) 2. การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตครั้งนี้ จังหวัดนราธิวาส มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตได้จำนวน 4 คน ตาม รัฐธรรมนูญทำให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 4 เขต ในแต่ละเขตมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน โดยกฎหมาย กำหนดให้แต่ละพรรคส่งผู้สมัครได้เพียงคนเดียว โดยผู้ที่จะ สมัครรับเลือกตั้งต้องถูกส่งลงสมัครรับเลือกตั้งโดยพรรคที่ ผู้สมัครเป็นสมาชิก และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ของจังหวัดนราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายเจะอามิง โตะตาหยง สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 เขตเลือกตั้งที่ 3 นายกูเฮง ยาวฮะซัน สังกัดพรรค ชาติไทย 105

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 4 นายอดุลย์ สาฮีบาต ู สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เพราะรัฐบาล พบกับวิกฤติทางการเมือง เนื่องจากมีประชาชนออกมาชุมนุม เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยอ้อม และ มาด้วยคะแนนเสียงข้างมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งมา ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้กับ ประชาชนในการเลือกใครมาดำรงตำแหน่งและได้กำหนด ให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 (สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนราธิวาส) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 23 (วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 การเลือกตั้งเป็นโมฆะ) วิกฤตการณ์การเมืองไทยเริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2548 ภายหลังจากสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ถอดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกจากผัง รายการ นายสนธิจึงหันไปจัดรายการนอกสถานที่โดยมีผู้สนใจ เข้ารับฟังจำนวนมากขึ้นทุกขณะ จนกลายสภาพเป็นม็อบขับไล่ รัฐบาลจำนวนนับหมื่นคน สถานการณ์การเมืองยังเข้มข้นต่อเนื่องไปจนถึงต้น พ.ศ.2549 เมื่อตระกูลชินวัตรและตระกูลดามาพงศ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตัดสินใจ ขายหุ้นทั้งหมดของตนในบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 106

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ให้กับกองทนุ เทมาเสก็ ของรัฐบาลสิงคโปร์ เม่อื วันท่ี 23 มกราคม 2549 โดยไม่มีการเสียภาษี หลังจากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลก็อยู่ในภาวะตั้งรับมาโดย ตลอด เพราะไม่สามารถตอบคำถามของสังคมให้กระจ่างชัดได้ ประกอบกับกลุ่มขับไล่รัฐบาลก็จัดชุมนุมใหญ่เพื่อกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณลาออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 พ.ต.ท.ทักษิณก็ประกาศยุบสภาฯ และ กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2549 สร้างความ ตกใจให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งตัวอดีต สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ของพรรคไทยรักไทยเอง และอดีต สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พรรคฝ่ายค้าน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันมาตลอด ว่าจะไม่ยุบสภา ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่สามารถเตรียมตัว ได้ทัน อดีตพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน จึงได้ปฏิเสธที่จะส่งคนลง สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความ ชอบธรรม อีกทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็แสดงออก ให้เห็นในหลายวาระว่า ไม่มีความเป็นกลาง เอื้อประโยชน์ให้ กับพรรคไทยรักไทยอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคไทยรักไทยจึงจับมือกับพรรค การเมืองขนาดเล็กส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยไม่สนใจ การบอยคอตของอดีต 3 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน การเลือกตั้ง ครั้งนี้พรรคไทยรักไทยจึงไม่มีคู่แข่งจากพรรคการเมืองอื่น หาก แต่ต้องแข่งกับความศรัทราของประชาชน เพื่อให้ได้คะแนน 107

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เสียงสูงกว่าเกณฑ์ 20% ในเขตที่พรรคส่งคนลงสมัครเพียง คนเดียว นอกจากนี้ ในส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อก็มี ปัญหาเช่นกัน เมื่อนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้สมัครจากพรรค ไทยรักไทย ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทำให้หมด สมาชิกภาพ พรรคไทยรักไทยจึงเหลือผู้สมัคร สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเพียง 99 คน เท่านั้น ต่อมา เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 สิ้นสุดลง ปรากฏว่ามีถึง 40 เขตเลือกตั้ง ที่พรรคไทยรักไทยลงสมัครเพียง พรรคเดียว แต่ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ 20% ได้ กกต.จึงจัดการ เลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 เมษายน 2549 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีบางเขตที่ผู้สมัครพรรคเล็กย้ายเขตเลือกตั้งมาประกบกับพรรค ไทยรักไทย เพื่อที่ไม่ต้องใช้เกณฑ์ 20% ตัดสิน แต่ก็ยังมีบางเขต ที่พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครเพียงคนเดียว ภายหลังการเลือกตั้งวันที่ 23 เมษายน ก็ยังคงมีอีก 14 เขตการเลือกตั้ง ใน 9 จังหวัด ที่ยังไม่มีผู้ชนะ กกต.จึงต้อง ประกาศให้จัดการเลือกตั้งอีกเป็นรอบที่ 3 ในวันที่ 29 เมษายน 2549 แต่ยังไม่ทันถึงวันเลือกตั้ง ในวันที่ 28 เมษายน ศาลปกครองก็มีคำสั่งให้ระงับการเลือกตั้งในวันที่ 29 เมษายน ไว้ชั่วคราว เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 และ 23 เมษายน ที่ผ่านมา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้น ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมีมติด้วยคะแนน 8 ต่อ 6 เสียง เห็นว่าการเลือกตั้ง สมาชิก 108

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นต้นมา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และให้มีการเพิกถอนการเลือกตั้งตั้งแต ่ เริ่มต้นกระบวนการจัดการการเลือกตั้งจนถึงการประกาศผล การเลือกตั้งทั้งหมด (โมฆะ) ให้มีการเลือกตั้งใหม่ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 23 (วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ของคณะมนตรคี วามมน่ั คงแหง่ ชาติ เมอ่ื วนั ท่ี 19 กนั ยายน 2549 โดยได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และให้วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรี สิ้นสุดลง และมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อ ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นับตั้งแต่วันเปิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ สาระสำคัญของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด 6 รัฐสภา มาตรา 88 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภา มาตรา 93 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 480 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน จำนวน 80 คน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้วิธีออกเสียง ลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแบบละ 1 ใบ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน 109

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภา มาตรา 94 การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งใดมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ได้เท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีได้ในเขตเลือกตั้งนั้น การคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ใน แต่ละเขตเลือกตั้งและการกำหนดเขตเลือกตั้ง ให้ดำเนินการ ดังนี้ (1) ให้คำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน โดย คำนวณจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการ ทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 คน (2) จังหวัด ใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน ให้ จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน จังหวัดใดมี ราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน ให้จังหวัดนั้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทุกจำนวนราษฎรที่ ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน (3) เมื่อได้จำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดแล้ว ถ้าจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คำนวณได้ยังไม่ครบ 400 คน ให้ จังหวัดที่มีเศษเหลือจากการคำนวณมากที่สุด มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น 1 คน และให้เพิ่มจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษเหลือจาการ คำนวณในลำดับรองลงมาตามลำดับ จนได้จำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรครบ 400 คน (4) การกำหนดเขตการเลือกตั้งให้ ดำเนินการโดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ถ้าจังหวัดใด มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออก 110

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เป็นเขตเลือกตั้ง โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 3 คน ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 อาศัยอำนาจตาม ความในมาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง พุทธศักราช 2550 มาตรา 89 และ มาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิก วุฒิสภา พ.ศ. 2550 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบแบ่งเขต เลือกตั้งและแบบระบบบัญชีรายชื่อ โดยมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวนทั้งสิ้น 400 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เลือกตั้ง และมาจากแบบระบบบัญชีรายชื่อ 80 คน สำหรับการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ (วันที่ 23 ธันวาคม 2550) จังหวัดนราธิวาส สรุปผลการเลือกตั้งได้ดังนี้ 1. การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ การเลือกตั้งแบบบัญชี รายชื่อของจังหวัดนราธิวาส พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดคือ พรรคพลังประชาชน และผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของจังหวัดนราธิวาสคือ นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ พรรคพลังประชาชน (คณะกรรมการ การเลือกตั้งจังหวัดนราธิวาส, 2550) 2. การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตครั้งนี้ จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิก 111

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตได้จำนวน 5 คน ตามรัฐธรรมนญู ทำใหม้ กี ารแบง่ เขตเลอื กตง้ั ออกเปน็ 2 เขต และผทู้ ไ่ี ดร้ บั เลอื กตง้ั เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัด นราธิวาส คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายแวมาฮาดี แวดาโอ๊ะ สังกัดพรรค เพื่อแผ่นดิน ได้ 78,830 คะแนน นายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 ได้ 61,911 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 2 นายวัชระ ยาวอหะซัน สังกัดพรรค ชาติไทย ได้ 60,362 คะแนน นายกูเฮง ยะวอหะซัน สังกัด พรรคชาติไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ได้ 46,541 คะแนน นายนัจมุดดีน อูมา สังกัดพรรคพลังประชาชน (มาตุภูมิ) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้ 42,403 คะแนน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ (วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2550) จังหวัดนราธิวาสมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทง้ั หมด 129,870 คน บตั รเสยี 4,612 ใบ ผไู้ มป่ ระสงคจ์ ะลงคะแนน 3,467 (คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดนราธิวาส, 2550) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แทนตำแหน่งที่ว่างของจังหวัดนราธิวาส ด้วยศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้มีการยุบพรรคการเมือง จำนวน 3 พรรค คือ พรรคชาติไทย พรรคพลังประชาชน และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็น กรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิจึงต้องจัดให้มีการเลือก 112

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 จังหวัด นราธิวาสเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจาก นายกูเฮง ยาวอหะซัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส เขตการเลือกตั้งที่ 2 และเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทยที่ถูกเว้นวรรคทาง การเมือง 5 ปี ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (แทนตำแหน่ง ที่ว่าง) ปี 2552 ของจังหวัดนราธิวาส ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน นายกูเฮง ยาวอหะซัน ที่ถูก เว้นวรรคทางการเมือง คือ นายนิอาริส เจตาภิวัฒน์ ผู้สมัคร ของพรรคชาติไทยพัฒนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีนายกรัฐมนตรี 3 คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีพระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 24 (วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) หลังจากหลายปีที่ผ่านมา เกิดวิกฤติขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่สิ้นสุด ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ถือ เป็นความหวังที่จะนำให้สถานการณ์ของประเทศกลับมาสงบสุข อีกครั้ง ถึงแม้จะมีหลายฝ่ายออกมาชี้ว่า ถึงเลือกตั้งไปแล้ว การเมืองจะยังไม่จบก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีการเลือกตั้ง 113

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2554 พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทน ราษฎร โดยใหม้ ผี ลบงั คบั ใชต้ ง้ั แตว่ นั ท่ี 10 พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช 2554 และให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ “การเลือกตั้ง” อย่างเป็น ทางการ ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะต้องร้อนแรงและ ดุเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมีหลายปัจจัยเป็นเดิมพัน การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสจะมีการแข่งขัน การต่อสู้ การแย่งชิงพื้นที่ของพรรคการเมืองหลายพรรค อาทิเช่น พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคมาตุภูมิ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรค ภมู ิใจไทย การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2544 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้แบ่งเขตเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัด นราธิวาส ตามลำดับที่ 1 รปู แบบที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ประกอบด้วย อำเภอเมืองนราธิวาส และอำเภอตากใบ เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุไหงปาดี 114

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 3 ประกอบด้วย อำเภอระแงะ อำเภอ จะแนะ อำเภอเจาะไอร้อง และอำเภอสุคิริน เขตเลือกตั้งที่ 4 ประกอบด้วย อำเภอบาเจาะ อำเภอ ยี่งอ อำเภอรือเสาะ และอำเภอศรีสาคร สำหรับการเลือกตั้ง ครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายกูอาเซ็ม กูจินามิง พรรคประชา- ธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 เขตเลือกตั้งที่ 3 นายรำรี มามะ สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 เขตเลือกตั้งที่ 4 นายเจะอามิง โต๊ะตาหยง สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 4.3 นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ต้ังแต่ พ.ศ.2475 ถึง ปัจจุบัน (พ.ศ.2554) เป็นที่กล่าวกันว่า ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมือง แต่ละเมืองล้วนมีอดีต จังหวัดนราธิวาสก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่ นักการเมืองถิ่นเป็นบุคคลที่เราควรทำความรู้จัก ทำการศึกษา เรียนรู้ว่านักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสแต่ละคนมีประวัติ ความเป็นมาอย่างไร และมีผลงานอะไรบ้างกับท้องถิ่น หรือชุมชนที่ตัวแทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ การศึกษา นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เป็นการเรียนรู้ และการรับรู้ถึง 115

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส อดีตของนักการเมืองถิ่น (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) และทำให้ เรารับรู้ถึงความเป็นมาของบุคคลเหล่านั้น เพื่อบันทึกเป็น ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส มิให้สูญหายไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ผู้ศึกษาจึงขอนำเสนอเรื่องราวของนักการเมืองถิ่น จังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมานำเสนอ ณ ที่นี้ ในประเด็น 1. ประวัติ ภูมิหลัง และผลงานนักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส 2. บทบาทความสัมพันธ์ของนักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส 3. เครือข่าย ความสัมพันธ์ และกลุ่มผลประโยชน์ 4. กลวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส การศึกษาครั้งนี้จะเริ่มโดยเรียงตามลำดับก่อน-หลัง การเป็นนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ดังนี้ 4.3.1 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 1 ต้ังแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 1. ขุนชำนาญภาษา (ฤทธิ์ รัตนศรีศุข) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาสคนแรกของ จังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2476 (ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลด้านอื่นๆ ได้) 116

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 2. นายอับดุลยาลาล์ นาเซร์ (อดุลย์ ณ สายบุรี) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ.2480 และสมัยที่ 2 พ.ศ.2481 (ไม่สามารถสืบค้น ข้อมลู ด้านอื่นๆ ได้) 3. นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ข้อมูลการดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ. 2489 ก่อนที่นายวงศ์ ไชยสุวรรณ จะมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรนั้น นายวงศ์ เป็นครูโรงเรียนวัดตานีนรสโมสร จังหวัด ปัตตานี เป็นเสมียนชั้น 1 มหาดไทย อำเภอยะหริ่ง จังหวัด ปัตตานี เป็นกำนันตำบลปูโยะ อำเภอสุไหงปาดี จังหวัด นราธิวาส เป็นกำนันตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงปาดี จังหวัด นราธิวาส เป็นกำนันตำบลสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงปาดี จังหวัด นราธิวาส เป็นผู้แทนตำบลปูโยะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัด นราธิวาส เป็นสมาชิกสภาจังหวัดนราธิวาส 5 สมัย รวม 20 ปี เป็นประธานสภาจังหวัดนราธิวาส 23 สมัย เป็นสมาชิกสภา เทศบาลตำบลสุไหงโก-ลก 27 ปี เป็นนายกเทศมนตรีตำบล สุไหงโก-ลก 5 สมัย เป็นประธานสภาเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก 11 สมัย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 1 สมัย การเขา้ สกู่ ารเมอื ง นายวงศ ์ ไชยสวุ รรณ ไดเ้ ดนิ ทางมาอยทู่ อ่ี ำเภอสไุ หงโก-ลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 มาตั้งร้านค้าอยู่ในที่ดินของนายฉ่ำ หลังสถานี 117

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส รถไฟสุไหงโก-ลก ในบริเวณนั้นมีบ้านเรือนอยู่ประมาณ 6 หลังคาเรือน คือ บ้านของนายหวัง สมัครกิจ นายฮวด เจยี ตระกลู นายหลหี ลง นายฝ่าช่อง นายชั้ว อาม่ิง นายเจะ๊ หมัด สาเระ รวมบ้านของนายวงศ์ รวมเป็น 7 หลังคาเรือน ซึ่งมาเป็น ผู้มาตั้งภูมิลำเนาและเปิดทำการค้าขายอยู่ในครั้งแรก ส่วนนอกจากนี้ที่ดินตรงนั้นแล้วก็ยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าหาได้ มีบ้านเรือนผู้อื่นไม่ ต่อมา พ.ศ. 2472 นายจัน โฉมอุทัย ซึ่งเป็นกำนันตำบล ปูโยะ ถึงแก่กรรมลง คณะกรรมการอำเภอสุไหงปาดีได้ พยายามมาอ้อนวอนนายวงศ์ ให้ช่วยรับหน้าที่เป็นกำนันตำบล ปูโยะหลายต่อหลายครั้ง พร้อมทั้งราษฎรในตำบล ก็พากันมา อ้อนวอนขอให้นายวงศ์ รับหน้าที่เป็นกำนัน นายวงศ์ ทนเสียง การอ้อนวอนของราษฎรไม่ได้จึงยอมรับเป็นกำนันปกครอง ตำบลปูโยะในปลายปี เมื่อรับหน้าที่เป็นกำนันได้ประมาณ 6 เดือน นายวงศ์ มีความเห็นว่าการรับหน้าที่เช่นนี้เท่ากับการ รับภาระอาสาพลเมืองมาช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้เกิดความ สุขสำราญ ให้ราษฎรมีที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพ จะต้องบำรุงให้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ จึงจะได้ชื่อ ว่าได้ทำประโยชน์ให้กับราษฎรอันแท้จริง ฐานเสียงและเครอื ขา่ ยทางการเมือง วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 นายวงศ์ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาสสมัยแรก จึงได้ ลาออกจากการเป็นนายกเทศมนตรีตำบลสุไหงโก-ลกเพื่อไป ปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนราษฎร หลังจากนายวงศ์ ได้ลาออกจาก 118

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสุไหงโก-ลก แล้วนั้น นายเอิบ อิสสระ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลสุไหงโก-ลก แทน เมื่อนายวงศ์ ไชยสุวรรณ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร เขาได้เสนอให้รัฐบาลยกฐานะตำบล สุไหงโก-ลก ขึ้นเป็นอำเภอ เพราะตำบลสุไหงโก-ลก นั้นตั้งอยู่ ชายแดนติดกับต่างประเทศคือประเทศมาเลเซีย และมีเทศบาล ตั้งอยู่แล้ว รัฐบาลในสมัยนั้นจึงเห็นพ้องตามที่นายวงศ์ ไชยสุวรรณ เสนอจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอ และต่อมาก็จัดตั้งเป็น อำเภอ (ข้อมูลทั้งหมดปรากฏอยู่ในประวัติที่ตั้งอำเภอสุไหง โก-ลก) ใน พ.ศ. 2473 นายวงศ์ เห็นว่าที่ดินป่าใกล้สถานีรถไฟ สุไหงโก-ลก ทิศใต้ในตอนนี้ เป็นป่ารกร้างว่างเปล่าอยู่มาก ถ้าทำการแผ้วถางป่าปรับที่ดินให้ราบเตียนแล้วจะสร้างขึ้นเป็น ชนบท สร้างเป็นตลาดทำให้เกิดชุมชนขึ้นได้ คงจะมีผู้มาอยู่ เป็นแน่ แต่การที่จะทำการโค่นป่าซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาดเท่ากับ 2-3 คนโอบให้ราบเตียนได้ จะต้องลงทุนค่าแรงตั้งหลาย ร้อยบาท หากลงทุนโค่นป่าราบเตียนลงไปแล้วไม่มีคนมาอยู่ ก็ไม่เกิดความเจริญขึ้นก็จะต้องขาดทุนเปล่า จึงเกิดความลังเล ใจว่าควรจะทำดีหรือไม่ควรทำ นายวงศ์จึงได้นำแผนผัง โครงการที่จะทำการสร้างชนบทสุไหงโก-ลก ในตำบลปูโยะนี้ ไปหาพระศรีสุทัศน์ ข้าหลวงประจำจังหวัดนราธิวาสสมัยนั้น เรียนวัตถุประสงค์ที่คิดการสร้างชนบท และตลาดให้ข้าหลวง ทราบ ข้าหลวงได้ดูแผนผังและโครงการของนายวงศ์ แล้ว 119

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หัวเราะเยาะ ตอบกับนายวงศ์ ประณามว่า เป็นความคิดบ้าๆ ที่แกจะปราบที่ดินก่นป่าแก่สร้างเป็นเมืองขึ้น ผีอะไรจะมาอยู่ กับแก นายวงศ์ จึงนำแผนผังและโครงการมาปรึกษากับ เพื่อนฝูง และผู้มีชื่ออีกหลายท่าน คงได้รับความคิดเห็นอย่าง เดียวกัน ประณามว่า นายวงศ์ เป็นบ้าแทบทุกคนโดยที่คิด ทำการในสิ่งที่ยังไม่มีใครเขาเคยคิดกัน เช่นนี้ นายวงศ์ ความ ท้อใจโดยมาคำนึงถึงคำพูดคนส่วนมากพากันเหมาว่านายวงศ์ บ้า พากันล้อเลียน เยาะเย้ยนายวงศ์ ตนเกือบจะหมดความ มานะในการที่จะสร้างชนบทขึ้น แต่บังเอิญซึ่งผลสำเร็จ จะบังเกิดให้บรรลุไปตามจุดที่หมายของนายวงศ์ ก็มีนายกั่น สามนกฤษณ นายเจะ๊ หมดั สาเระ นายเจะ๊ อเุ ซง็ นายหวนั ยายอ นายอาแว บือซา เจ้าของที่ดินบริเวณป่านี้เห็นแผนผังและ โครงการของนายวงศ์ ทค่ี ดิ ขน้ึ วา่ เปน็ โครงการทด่ี เี ปน็ ประโยชนด์ ี ถ้าคิดสร้างบรรลุผลสำเร็จแล้วจะทำประโยชน์ให้กับประชาชน ตำบลนี้เป็นอันมาก พวกเขาเหล่านั้นจึงรวบรวมเงินก้อนหนึ่ง จำนวน 500 บาท (ในสมัยนั้นเงิน 500 บาทเป็นเงินมีค่า มากมาย คงจะประมาณ 5 ล้านบาทสมัยนี้) มามอบให้ นายวงศ์ พร้อมทั้งกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นายวงศ์ จัดการถางป่า และปราบดิน วางแผนผังตามโครงการที่นายวงศ์ คิดนั้นได้ ทุกประการ ในตอนนั้นนายวงศ์ รู้สึกภูมิใจมากขึ้นบ้างว่าความ คิดของตนไม่ได้เป็นบ้าแต่คนเดียวแล้ว มีคนพลอยร่วมเป็นบ้า ด้วยตั้ง 5 คน นายวงศ์ ได้จัดการถางป่าและทำการปราบดิน ราบเตียนแล้วลงมือตัดถนนในบริเวณเนื้อที่ดินที่ทำการ ปราบนั้น เป็นเนื้อที่ 1,225 ไร่ ได้ตัดถนนตามแผนผังรวม 31 สาย สายที่ 1 ให้ชื่อว่าถนนเจริญเขต สายที่ 2 ให้ชื่อว่าถนน 120

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เทศปฐม สายที่ 3 ให้ชื่อว่าถนนสฤษดิ์ สายที่ 4 ให้ชื่อว่าถนน ชื่นมรรคา สายที่ 5 ให้ชื่อว่าถนนวรคามินทร์ สายที่ 6 ให้ชื่อว่า ถนนไชยสุวรรณดำรง สายที่ 7 ให้ชื่อว่าถนนวงค์วิถี สายที่ 8 ให้ชื่อว่าถนนประชาสำราญ สายที่ 9 ให้ชื่อว่าถนนประชาลีลาศ สายที่ 10 ให้ชื่อว่าถนนชลธารเขต สายที่ 11 ให้ชื่อว่าถนน ประเวศน์ชลธี สายที่ 12 ให้ชื่อว่าถนนวิถีอุทก สายที่ 13 ให้ชื่อ ว่าถนนประชาวิวัฒน์ สายที่ 14 ให้ชื่อว่าถนนบุษยพันธ์ สายที่ 15 ให้ชื่อว่าถนนปฎิมา สายที่ 16 ให้ชื่อว่าถนนอารีฟมรรคา สายที่ 17 ให้ชื่อว่าถนนวามันอำนวย สายที่ 18 ให้ชื่อว่าถนน วงศ์วิวัฒน์ สายที่ 19 ให้ชื่อว่าถนนวงศ์ประดิษฐ์ สายที่ 20 ตัด ในที่ดินหลังสถานีรถไฟไปยังสะพานเหล็กข้ามคลองสุไหงโก-ลก ให้ชื่อว่าถนนรถไฟ สายที่ 21 ตัดจากรางรถไฟตำบลปาเสมัส สายที่ 22 สายหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก และหน้า สำนักงานเทศบาลในสมัยปัจจุบัน สายที่ 23 ตัดจากรางรถไฟ หน้าสถานีสุไหงโก-ลกไปยังวัดชลเฉลิมเขต ไปด้านหลังที่ว่าการ อำเภอไปตำบลปาเสมัส ตำบลปูโยะ สายที่ 24 ตัดจากราง รถไฟผ่านบ้านกาบารูไปต่อกับถนนในตำบลปาเสมัส สายที่ 25 ตัดต่อจากถนนชื่นมรรคาผ่านหน้าสถานีตำรวจสุไหงโก-ลกไป ยังฝั่งคลองสุไหงโก-ลก สายที่ 26 ตัดเข้าไปยังศาลเจ้าแม่ม้าโพ่ อีก 4 สาย เป็นถนนสายสั้นๆ อยู่ในบริเวณตลาดสุไหงโก-ลก และการสร้างถนนทั้งหมดนี้จ้างเหมาทำเป็นสายๆ ค่าจ้างเหมา ตั้งแต่สายละ 6 – 8 บาท ราคาสูงสุดถึงสายละ 12 บาท โดย ราคาเงินในสมัยนั้นค่าน้ำเงินสูงมากถ้าเทียบกับสมัยนี้ ในปีนั้น พ.ศ. 2493 ประชาชนพลเมืองต้องเสียเงินรัชชูปการให้กับ รัฐบาลปีละ 3 บาทนับเวลาเป็นปีๆ ราษฎรยังหาเงินจำนวน 121

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 3 บาทไปชำระค่ารัชชูปการให้กับรัฐบาลไม่ได้ ถึงต้องจับกุม เอาตัวราษฎรมาทำงานโยธาคนละ 1 เดือน ใช้แรงงานแทนเงิน แล้วรัฐบาลเสียเงินค่ารัชชุปการทั้งค่าปรับจาก 3 บาทเป็น 6 บาทให้ เมื่อสร้างถนนเป็นสายๆ และพร้อมทั้งปราบที่ดินราบ เตียนเรียบร้อยแล้ว นายวงศ์ ได้สร้างตลาดสด ในศูนย์กลาง ที่ดินนี้ โดยใช้ทุนเอง แล้วพยายามไปตามหมู่บ้านในตำบลนี้ มีหมู่บ้าน 12 หมู่บ้าน ประชุมราษฎรพยายามชี้แจงการทำมา หากิน แนะนำการค้าขาย ให้ราษฎรช่วยกันหาสินค้านำไปนั่ง ขายที่ตลาด แนะนำการปลูกพืชผลต่างๆ เมื่อทำการเพาะปลูก ได้ผลแล้วให้นำไปซื้อขายในตลาดนี้ นายวงศ์ พยายามชักชวน และทำการแนะนำอยู่เสมอๆ และพยายามทำการล่อน้ำใจ เช่น วันเสาร์ อาทิตย์ จัดให้มีตลาดนัด ส่วนเวลากลางคืนหามหรสพ พื้นเมืองมาแสดงประชันกันเป็นการรื่นเริงสัปดาห์ละครั้ง กระทำเช่นนี้อยู่ปีเศษก็มีราษฎรมาซื้อขายกันอยู่พอสมควร นายวงศ์ ได้แนะนำชักจูงเข้าของที่ดินบริเวณนี้(ที่มีรายนาม กล่าวมาข้างต้น)นั้นให้ปลูกเรือนห้องแถวขึ้นเจ้าของละ 2-3 ห้องก่อน และให้ตัดเนื้อที่ดินแบ่งขายให้กับผู้อื่นบ้างโดย ราคาย่อมเยาเพื่อเป็นการล่อให้คนมาอยู่กันเป็นหลักแหล่งกัน มากขึ้น และค่าที่ดินนั้นให้ผู้ซื้อผ่อนชำระเงินเป็นรายเดือน เจ้าของที่ดินก็เชื่อถือได้จัดการปลูกสร้างห้องแถว และขายที่ดิน ตามคำแนะนำของนายวงศ์ ราคาที่ดินสมัยนั้นขายกันห้องละ 20 – 30 บาทและผ่อนให้เงินค่าที่ดินเป็นรายเดือนๆ ละ 50 สตางค์บ้าง เดือนละ 1 บาท แต่มีข้อสัญญาเอาไว้ว่า ผู้ใดซื้อ แล้วในกำหนด 1 เดือนไม่ทำการปลูกห้องแถวขึ้น เจ้าของที่ดิน กลับเอาคืนเอาไปขายให้ผู้อื่นต่อไปใหม่ จึงมีผู้มาซื้อที่ดินและ 122

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ปลูกห้องแถวขึ้นมาเป็นลำดับ ใน พ.ศ.2476 นายวงศ์ ได้ชักชวนผู้ใหญ่บ้านและราษฎร ในตำบลปูโยะ ซึ่งเป็นตำบลที่นายวงศ์เป็นกำนัน ช่วยกันทำ ถนนขึ้นให้ติดต่อกันทุกๆ หมู่บ้าน ไปมาหาสู่กันสะดวกใช้รถ จักรยานยนต์ผ่านไปมาได้ และเป็นถนนถาวรปรากฏแก่ตำบล ปูโยะ ตำบลปาเสมัส ในปัจจุบันนี้ สภาพตำบลปูโยะเป็นตำบล ใหญ่มีหมู่บ้านถึง 12 หมู่บ้าน ราษฎรส่วนใหญ่เป็นคนไทย มาลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม นายวงศ์ จึงชักชวนราษฎรให้ ปลูกสร้างสุเหร่าขึ้นทุกหมู่บ้าน โดยนายวงศ์ เป็นออกเงินให้บ้าง เรี่ยไรบ้าง ทุกๆ วันศุกร์ นายวงศ์ จะออกตรวจสุเหร่า และเรียก ร้องให้คนไทยมาลายูมาทำการละหมาดที่สุเหร่าตามลัทธิทาง ศาสนา จนได้พัฒนาสุเหร่ามาเป็นมัสยิดที่สวยงามในปัจจุบัน ต่อมาใน พ.ศ. 2476 นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ได้ชักชวนให้ ผู้ใหญ่บ้าน และราษฎรในตำบลปูโยะ ช่วยกันออกไม้และ ปลูกสร้างที่พักหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก 1 หลัง ซึ่งกลายเป็นที่พักของนายร้อยตำรวจอยู่จนปัจจุบัน การปกครองดูแลราษฎรของนายวงศ์ นั้นให้โอกาสกับ ราษฎร หากมีธุระจะทำการติดต่อกับนายวงศ์ ได้ทุกเมื่อ ยินดี ช่วยเหลือไม่ว่าเวลาใด หากนอนหลับก็ร้องเรียกได้ นายวงศ์ ได้ แขวนฆ้องไว้หน้าบ้าน หากราษฎรมีกิจธุระต้องการพบ ก็ให้ ตีฆ้องใบนั้นขึ้น ไม่ว่าเวลาใด แต่ไม่ปรากฏว่ามีราษฎรคนใดไป ตีเลย ฆ้องใบนั้นแขวนอยู่เฉยๆ ใน พ.ศ.2475 ประเทศสยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาปกครองระบอบรัฐธรรมนูญทำให้นายวงศ์ รู้สึกพอใจการ 123

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ปกครองระบอบนี้ เหมาะสมเป็นที่พอใจของนายวงศ์เป็นอย่าง ยิ่ง เพราะเข้าหลักการที่นายวงศ์ ปกครองราษฎรอยู่ในขณะนั้น นายวงศ์ ช่วยทางการชี้แจงให้ราษฎรทุกหมู่บ้านเลื่อมใสการ ปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ ต่อมา พ.ศ.2476 รัฐบาล ประกาศรับสมัครเลือกตั้งผู้แทนตำบล นายวงศ์ เข้าแข่งขันเพื่อ เข้ารับเลือกเป็นผู้แทนตำบลปูโยะ การสมัครแข่งขันครั้งนั้น มีผู้สมัครรวมด้วยกัน 5 คน อาศัยคุณงามความดีของนายวงศ์ ซึ่งทำไว้กับราษฎรในระหว่างที่เป็นกำนัน นายตำบลดังกล่าว มาแล้ว ราษฎรจึงเลือกนายวงศ์ ไชยสุวรรณ เป็นผู้แทนตำบล ปโู ยะ ปจั จยั ทีท่ ำให้ได้รับการเลอื กตงั้ นายวงศ์ ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราษฎรและบ้านเมือง ตามหน้าที่ต่างๆ มากมาย อาทิเช่น 1. ขอร้องให้กรมรถไฟจัดเดินรถไฟเพิ่ม 1 ขบวนจาก สถานีรถไฟยะลาไปยังสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก 2. ขอร้องต่อกรมไปรษณีย์ โทรเลขให้มีบุรุษไปรษณีย์ ขึ้น 1 คน 3. ยื่นต่อกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้เจรจาขอที่ดิน กรมรถไฟปลูกสร้างโรงเรียนเพื่อเป็นสถานศึกษาแก่บุตรหลาน จนมาถึงปัจจุบัน 4. จัดสร้างถนนสายสุไหงโก-ลก ไปยังอำเภอตากใบ ไปยังอำเภอสุไหงปาดี ไปยังอำเภอแว้ง 124

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 5. ยื่นคำร้องต่อกระทรวงมหาดไทย ขออนุญาตตั้งบ่อน ชนโคกระบือขึ้นในตำบลปูโยะ กระทรวงมหาดไทยอนุญาตตาม ใบขอใน พ.ศ.2477 6. ใน พ.ศ.2477 นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ ยื่นต่อ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนานายกรัฐมนตรี (ในสมัยนั้น) เชิญเอา รัฐธรรมนูญฉบับจำลองมาทำการฉลองที่สุไหงโก-ลก ต่อมาใน พ.ศ.2483 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในปลายเดือนมีนาคม จอมพล ป. พิบูล- สงครามได้มาตรวจราชการถึงตำบลสุไหงโก-ลก นายวงศ์ ได้ร้องขอให้เปิดเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลก จอมพล ป. เห็นพ้อง ด้วย จึงสั่งให้ทำการเปิดเทศบาลสุไหงโก-ลกขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2483 นับเป็นประวัติศาสตร์ที่แปลกประหลาด การขอตั้งเทศบาลนี้เป็นการขอตั้งเทศบาลด้วยวาจา รัฐบาลได้ แต่งตั้งสมาชิกสภาเทศบาลผู้เริ่มเตรียมการ ซึ่งอายุสมาชิกภาพ มีกำหนดเพียง 2 ปี ผู้ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้มี นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ ขุนสรกิจกังวาน นายน่วม สุวพันธ์ นายเอิบ อิสสระ นายสุวรรณ มุสิกบุตร นายหวัง สมัครกิจ นายจรูญ จูฑะวิภาค นายคำ สุวรรณราช นายเจ๊ะหมัด บินวาฮับ รวม 9 คน นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี ขุนสรกิจกังวาน นายน่วม เป็นเทศมนตรี นายวงศ์ ได้เข้าบริหารราชการส่วนท้องถิ่นได้จัดการ ปลูกสร้างที่ทำการเทศบาลขึ้นซึ่งเป็นที่ทำการเทศบาลปรากฏ อยู่ในปัจจุบัน ต่อมา นายวงศ์ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีกระทรวง ศึกษาธิการขอให้ตั้งโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษาขึ้นในท้องที่อำเภอ 125

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สุไหงโก-ลก เป็นอำเภอแรกในจังหวัดนราธิวาสที่ตั้งโรงเรียน มัธยมขึ้นมา แต่ครั้งแรกตั้งขึ้นมาให้มีเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น ต่อมานายเอิบ อิสสระ ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาสได้เสนอขอจากรัฐบาลให้มีถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งอนุชนได้ศึกษากันอยู่ในปัจจุบันนี้ นายวงศ์ ได้มีหนังสือขอให้กรมไปรษณีย์โทรเลขเปิด ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขขึ้นในตำบลสุไหงโก-ลก ทางกรม ไปรษณยี เ์ ห็นพ้องตามท่เี สนอไป ไดข้ อใหน้ ายวงศ์ จดั หาสถานท่ี สำหรับตั้งที่ทำการให้เป็นการชั่วคราว นายวงศ์ ได้ไปทำการเช่า ห้องแถวของนายกลั่น สามกฤษณะ ให้ 1 ห้อง โดยนายวงศ์ ได้ออกเงินส่วนตัวให้ค่าแป๊ะเจี๊ยะกับเจ้าของห้องไป 700 บาท กรมไปรษณีย์จึงได้ทำการเปิดการไปรษณีย์โทรเลขขึ้นในท้องที่ อำเภอสุไหงโก-ลก เป็นครั้งแรก ครั้งต่อมากิจการสื่อสารการ ไปรษณีย์โทรเลขที่ตั้งขึ้นในท้องที่นี้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว กรมไปรษณีย์โทรเลขจึงได้จัดสร้างที่ทำการไปรษณีย์เป็นอาคาร ของตนเองขึ้นมาในที่ดินของกรมรถไฟ ซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบัน นี้ ต่อมานายวงศ์ ได้มีหนังสือไปยังกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ตั้งสุขศาลาชั้น 1 ขึ้นในตำบลสุไหงโก-ลก กระทรวง สาธารณสุขเห็นด้วยตามที่นายวงศ์ เสนอให้จัดตั้งสุขศาลา ชั้น 1 ขึ้น นายวงศ์ ได้ช่วยจัดการหาเงินทุนสร้างสุขศาลา โดยอนุญาตให้จัดงานขึ้น 7 วัน 7 คืน เก็บเงินรายได้ค่าผ่าน ประตูได้เงินประมาณ 40,000 บาท ได้จัดการปลูกสร้างสุขศาลา ชั้น 1 ขึ้นซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และต่อมา นายวงศ์ ได้มี 126

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หนังสือไปถึงกระทรวงมหาดไทยขอให้รัฐบาลจัดตั้งการประปา ขึ้นในตำบลสุไหงโก-ลก เพื่อให้ประชาชนได้บริโภค น้ำสะอาดบริสุทธิ์ รัฐบาลเห็นพ้องตามที่นายวงศ์ เสนอจึงให้ เงินงบประมาณมาสร้างเป็นเงิน 1 ล้านแปดแสนบาท ซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ นายวงศ์ ได้เสนอความคิดเห็น เสนอแนะให้ คุณเทียน อัชกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ให้ขอไปยังรัฐบาลตั้ง โรงพยาบาลขึ้นในตำบลสุไหงโก-ลก โดยให้เหตุผลว่าทั้งสอง อำเภอนี้ตั้งอยู่ชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย (กลันตัน) คืออำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอแว้ง ทั้งที่ 2 อำเภอนี้มีพลเมือง ประมาณ 50,000 คนเศษ เวลาเจ็บป่วยต้องพากันไปรักษา พยาบาลที่โรงพยาบาลเมืองกลันตันอยู่เสมอเป็นการเสียหาย แก่รัฐบาลของเราในด้านนโยบายทางการเมืองใน 4 จังหวัด ภาคใต้ คุณเทียน อัชกุล เห็นด้วยกับความคิดของนายวงศ์ จึงได้พยายามวิ่งเต้นติดต่อกับรัฐบาลขอตั้งโรงพยาบาลขึ้นใน ท้องที่อำเภอสุไหงโก-ลก ซึ่งประชาชนพลเมืองทั้ง 2 อำเภอ ได้อาศัยเป็นสถานที่รักษาพยาบาล บำบัดโรคภัยไข้เจ็บอยู่ใน ปัจจุบันนี้ ประชาชนพลเมืองทั้ง 2 อำเภอนี้รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ของคุณเทียน อัชกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในสมัยนั้นอยู่ เป็นอันมาก ตามที่ นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ได้ทำการเบิกป่า และจัด สร้างเป็นชนบทสุไหงโก-ลกขึ้นมาตามสภาพอันเป็นประจักษ์ พยานดังกล่าวมาข้างต้น ท่านทั้งหลายคงจะเห็นว่า นายวงศ์ ผู้บุกเบิกป่า ทำให้เป็นบ้านเมืองขึ้นมาได้นั้นจะต้องอาศัยกำลัง 127

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ทรัพย์ กำลังสมอง โดยใช้สติปัญญา กำลังความคิด ต้อง ตรากตรำอย่างหนักมาแล้วอย่างใดบ้าง สภาพทางด้านวัตถ ุ ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น ตามที่กล่าวอ้างมานั้นเป็นสิ่งให้ท่าน พิจารณาเองว่า นายวงศ์ มีภาระหนักเพียงใดที่พยายาม ปลุกปล้ำให้ชนบทสุไหงโก-ลก เป็นบ้านเมืองที่เจริญขึ้นมา ทัดเทียมกับชนบทที่เขามีความเจริญมาก่อนแล้วนั้น แต่โดย เจตนารมณ์ของนายวงศ์ ให้พลเมืองที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นนี ้ ให้บังเกิดความสุขทั้งทั่วหน้ากันจึงนับว่าเป็นโชคดีอยู่เสมอที่ นายวงศ์ฯ เสนอความคิด เสนอแนะ ขออะไรเข้าไป ซึ่งบังเกิด ประโยชน์กับประชาชนส่วนร่วมในท้องที่นี้ ทางรัฐบาลทุกคณะ เห็นพ้องด้วย และเป็นผลสำเร็จตามที่เสนอขอไปนั้นทุกครั้ง นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ จึงขอขอบพระคุณคณะรัฐบาลทุกสมัย แทนประชาชนพลเมืองในท้องถิ่นนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่มา : ประวัติความเป็นมาของเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก (นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ บันทึก และตีพิมพ์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2493) 4. นายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2491 (ไม่สามารถสืบค้นข้อมลู ด้านอื่นๆ ได้) 5. ร้อยตำรวจโทสุริยน ไรวา ขอ้ มูลการดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 เลือกเพิ่มเติมวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 และสมัยที่ 2 พ.ศ.2500 สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา 128

การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ขอ้ มลู สว่ นบุคคล สุริยน ไรวา เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2459 เขาเป็นทายาทโดย สายเลือดของเชื้อสายจีน เดิม สุริยน แซ่ชั้น ส่วนบุญรอดผู้แม่ เป็นคนไทยแท้ๆ สุริยนเกิดและโตที่มหาชัย (ปัจจุบันเป็น จังหวัดสมุทรสาคร) ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง เล็กๆ ตั้งอยู่ที่ปากลัด พระประแดง แม่ของสุริยนมีน้องชาย คนหนึ่งซึ่งได้ดิบได้ดีเป็นถึงพระนรราชจำนง (สิงห์ ไรวา) ตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐการ พระนรราชจำนงได้ขอสุริยน ไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ สุริยนก็เลยใช้นามสกุลไรวาตามน้าชาย ดูเหมือนเขาจะผูกพันและได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก “คุณพระน้าชาย” ผู้นี้ไม่น้อย สุริยนในวัยเด็กผ่านการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และสวนกุหลาบวิทยาลัยนัยหนึ่งเขาผ่านทั้งสถาบันลูกพ่อค้า และสถาบันลูกขุนนางในยุคนั้น เขาเป็นคนเรียนดี กีฬาเด่น ซึ่งต่อมาสำเร็จการศึกษาสูงสุดทางด้านกฎหมายเป็น ธรรมศาสตร์บัณฑิตปี 2482 เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันก็เช่น สุวรรณ รื่นยศ, คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ, พลตำรวจตรีพิบูลย์ ภาษวัธน์ และสุเกต อภิชาติบุตร ฯลฯ เป็นต้น ความตั้งใจจริงเมื่อเรียนจบแล้ว สุริยนต้องการทำการค้า แต่เผอิญยังมองไม่เห็นช่องทางและด้วยความต้องการหา ประสบการณ์ รู้จักผู้คนให้มากๆ บวกกับพื้นฐานความคิดที่ ชิงชังความชั่วร้ายทุกรูปแบบก็เลยตัดสินใจสมัครเข้ารับราชการ ตำรวจ สมัยที่สุริยนเป็นนายตำรวจอยู่แผนกคดีเบ็ดเตล็ด ประจำโรงพักกลาง (ปัจจุบันคือ สน.พลับพลาไชย) นั้น ผู้บังคับ 129

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส บัญชาของเขาก็คือ พิชัย กุลละวณิชย์ ที่ต่อมามียศเป็น พลตำรวจเอกตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจซึ่งตัวอธิบดีคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร “ในระหว่างที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านอธิบดี กรมตำรวจในขณะนั้นคือพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลเดชจรัส มีความประสงค์จะให้มีการพรางสถานีตำรวจนครบาลกลาง และสร้างที่กำบัง (บังเกอร์) ด้วยกระสอบทรายบนดาดฟ้าเพื่อ ตั้งปืนกลไว้ยิงเครื่องบินข้าศึก แต่กรมตำรวจไม่มีงบประมาณ คุณสุริยนได้รับอาสาเป็นผู้จัดการทาสีพรางสถานีตำรวจทั้ง 3 ชั้น ด้วยสีเทาแก่และตั้งรอกชักระสอบทรายขึ้นไปบนดาดฟ้า สำหรับทำที่กำบังได้สำเร็จสมควรประสงค์ของท่านอธิบดีโดยใช้ เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาสถานที่ ราชการโดยมิต้องใช้งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด และยังเป็นตัวอย่างที่ดีและถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้” พลตำรวจ เอกพิชัยพูดถึงสุริยนในฐานะที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและ ต่อมาเป็นเพื่อนรักกันซึ่งฉายแววความเป็นคนมีความคิดริเริ่ม ของสุริยนอย่างจับต้องได้ ระหว่างยังรับราชการตำรวจ วันหนึ่งสุริยนปวดท้อง อย่างรุนแรงต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงพยาบาลศิริราช ที่นี่ เขาได้พบรักครั้งแรกกับนักเรียนพยาบาลสาวสวยชาวปทุมธานี ชื่อจำนงค์ อินทุสุต ผู้เคยเข้าประกวดและคว้ารางวัลนางงาม จังหวัดอยุธยามาแล้ว หลังจากที่จำนงค์เรียนจบ ทั้งคู่ก็จงู มือกัน เข้าสู่ประตูวิวาห์ และช่วงใกล้ๆ กันนี้เองที่สุริยนเริ่มทดลอง ลงทุนทำธุรกิจด้วยการซื้อสามล้อจำนวนหนึ่งมาไว้ให้เช่า แต่ 130

การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ก่อนที่ธุรกิจจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเขาเผอิญได้รับคำสั่งย้ายไป ประจำที่จังหวัดนครสวรรค์เสียก่อน ตอนที่เตรียมตัวเดินทางขึ้นไปรับตำแหน่งที่นครสวรรค์ นั้น สุริยนต้องการเรือเพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง เขาเกิด ไปถูกใจเรือของคุณหญิงอินทราธิบดี (ภริยาพระยาอินทราธิบดี ซึ่งเป็นคนในตระกูลเศวตศิลามีศักดิ์เป็นอาของพลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา) ก็เลยติดต่อขอซื้อ การซื้อเรือนอกจากจะบรรลุ วัตถุประสงค์แล้วยังมีผลทำให้สุริยนเป็นที่ถูกอัธยาศัยของ ครอบครัวเศวตศิลามากๆ กระทั่งภายหลังย้ายกลับจาก นครสวรรค์ ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ทำให้ครอบครัวเศวตศิลา ชักชวนสุริยนให้มาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งของพวกเขาแถวๆ ถนน พระอาทิตย์ บ้านหลังนี้ต่อมาถูกระเบิดไฟไหม้ สุริยนถึงได้แยก ออกมาอยู่ที่อื่น แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ เมื่อตอนที่สุริยนทำแบงก์เกษตรสุริยนได้ดึงเอาคน ครอบครัวเศวตศิลามาทำงานด้วยโดยเฉพาะคนที่อยู่แบงก์ เกษตรจนต่อมากลายเป็นแบงก์กรุงไทยก็คือ พงศ์ เศวตศิลา ที่ปัจจุบันถูกยืมตัวไปบริษัทบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันท์ นครสวรรค์ในยุคที่สุริยนขึ้นไปรับราชการตำรวจนั้น เป็นเมืองที่รุ่งเรืองมากในฐานะชุมทางของการลำเลียงข้าวจาก ภาคต่างๆ เพื่อล่องเจ้าพระยามาป้อนโรงสีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ว่ากันว่าที่นี่สุริยนเป็นคนกว้างขวางในหมู่ข้าราชการและพ่อค้า และด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจผสมผสานกับความโรแมนติคต่อ เพศตรงข้าม เขาก็เลยพบรักอีกครั้งกับ “คุณนาย” ชุนหงส์ อโนดาต เศรษฐีนี ผู้มีกิจการค้าหลายอย่าง ซึ่งที่ขึ้นหน้าขึ้นตา 131