นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือโรงแรมอโนดาดที่นครสวรรค์ เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ และคุณนายชุนหงส์ผู้นี้เป็นผู้ที่คร่ำหวดอยู่ใน วงการค้ามานาน คุณนายชุนหงส์ได้ช่วยถ่ายทอดวิทยายุทธ การค้าพร้อมกับชี้ช่องทางธุรกิจให้กับสุริยนอย่างหมดเปลือก และจากวิทยายุทธบวกกับสายสนกลในที่คุณนายชุนหงส์ช่วย แนะนำให้ สุริยนก็เริ่มพลิกผันตัวเองเข้าจับธุรกิจส่งข้าวจาก ปากน้ำโพ ล่องลงมาขายที่กรุงเทพฯ พร้อมกับกว้านซื้อสินค้า จากกรุงเทพฯขึ้นไปขายทางภาคเหนือ เขาเริ่มสะสมเงินทอง เป็นกอบเป็นกำจากผลกำไรการค้าตั้งแต่นั้น ในฐานะนายตำรวจ สุริยนเป็นคนที่ลงมือกวาดล้างอาวุธ ปืนเถื่อนอย่างหนักเขาใช้กลวิธีแยบยลด้วยการประกาศให้ผู้มี ปืนเถื่อนนำปืนมาขายให้กับทางราชการแทนการยึดเปล่าอย่าง ที่ทำๆ กันและถือว่าไม่มีความผิด แต่วิธีของเขาไม่ค่อยเป็นที่ ถูกใจผู้ใหญ่นัก ผลสุดท้ายสุริยนก็ถูกกล่าวหาว่ารับซื้อของโจร และถูกย้ายให้ไปประจำอยู่สุดกู่ที่จังหวัดนราธิวาส ฐานเสียงและเครอื ขา่ ยทางการเมอื ง จากนครสวรรค์ เรื่องราวของสุริยนก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง ที่ดินแดนใต้สุดของประเทศไทย นายตำรวจหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมคาย เป็นที่รู้จักกันดีถึงความตรงไปตรงมาต่อหน้าที่ และมีมิตรสหายมาก เพราะความที่เป็นคนใจคอกว้างขวาง ใครมีเรื่องเดือดร้อนไปหาไม่มีคำว่าปฏิเสธ เพราะฉะนั้นที่ไหนๆ ก็คงจะเหมือนๆ กันสำหรับคนอย่างสุริยน เขาเป็นคนกว้างขวางของจังหวัดนราธิวาสในเวลา ไม่นานนัก ที่นี่สุริยนมองเห็นช่องทางการลงทุนใหม่ที่ยังไม่ม ี 132
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ใครทำ เขาเห็นว่าข้าวแช่น้ำมีอยู่มากมายแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เขาคิดว่าถ้าหากแปรสภาพให้เป็นข้าวนึ่งแล้วก็คงจะนำออกไป ขายกลุ่มประเทศในย่านตะวันออกกลางได้ไม่ยาก สุริยนรู้จักกับ จางหมิงเทียนซึ่งมีภรรยาเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เกิดที่พิษณุโลก (ภรรยาจางหมิงเทียนชื่อโง้ว เซียนลุ้น หรือเบญจางค์) ต่อมา ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนรักกัน จางหมิงเทียนเคยเป็นเจ้าของ ธนาคารโอเวอร์ซีทรัสต์ที่ฮ่องกงที่ล้มไปแล้วและมีกิจการค้า ร่วมกับนักธุรกิจคนจีนโพ้นทะเลในหลายประเทศรวมทั้งประเทศ ไทยด้วย (อย่างเช่นร่วมทุนกับตระกูลรัตนรักษ์ เป็นต้น สุริยน ในช่วงที่รับราชการอยู่นราธิวาสได้เริ่มธุรกิจอีกครั้งด้วยการ ส่งข้าวไปขายให้กับจางหมิงเทียนที่สิงคโปร์ แล้วจางหมิงเทียน ก็ส่งไปขายทั่วโลกต่อ ปรากฏว่าทำกำไรดีมาก ตอนหลัง ก็เลยส่งยางพาราและสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก นราธิวาสนั้นเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจารีตที่สำคัญอย่างหนึ่งของ คนมุสลิมเหล่านี้ก็คือ การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นคร เมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย สุริยนต้องการสนองความ ต้องการของคนมุสลิม เขาจึงตั้งบริษัทไทยพิลกริมส์ เอร์วิส ขึ้น สำหรับส่งคนไปเมกกะ สุริยนติดต่อเช่าเรือเดินทางทะเลจาก บริษัทโหงวฮกของหยั้ง กุ่ย ซึ่งสนิทสนมและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มาตลอด ธุรกิจนี้ของสุริยนไม่เน้นกำไรแต่ละปีเขาจะให้คนไป ฟรีเท่ากับจำนวนอายุและหากใครอยากไปแต่ขาดเงิน ไปขอเขา เขาไม่เคยขัด สำหรับสุริยนแล้ว เขาถือว่าเป็นบริการที่อยาก ตอบสนองคนท้องถิ่น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือความชื่นชอบที่คนมุสลิม มีต่อสุริยนอย่างมาก ทั้งๆ ที่สุริยนเป็น “พุทธ” และเพราะความ 133
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ชื่นชอบนี่เองที่ทำให้ต่อมาจังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหลายสมัยชื่อ สุริยน ไรวา สุริยนนั้นชอบการเมืองพอๆ กับธุรกิจบ้านเมือง ในสายตาของเขายามนั้นยังล้าหลัง เขาจึงต้องการมีสวนร่วม ในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองพ้นความล้าหลัง ในขณะ เดียวกันเขาค่อนข้างเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะพัฒนาไปได้ก็ต่อเมื่อได้ รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ใน พ.ศ. 2489 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สุริยนตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วลงสมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในนามพรรคเสรีมนังคศิลาที่จังหวัดนราธิวาส เขาได้รับชัยชนะแต่ก็เป็นชัยชนะที่ยั่งยืนอยู่เพียงวันที่ 9 พฤศจิกายนปีเดียวกัน รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของสภาฯ ถูกรัฐประหารโค่นอำนาจโดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม สุริยน ไม่กลับเข้ารับราชการ เขามุ่งหน้าสู่เส้นทางธุรกิจเต็มตัว ส่วนด้านการเมืองเขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนจังหวัดนราธิวาส อีกครั้งเมื่อล่วงเข้าปี 2500 แล้ว บรรยากาศการเมืองไทยหลังปี 2490 เป็นบรรยากาศ การเมืองที่เขม็งเกลียวลึกๆ รัฐบาลที่ก้าวขึ้นมาจากการทำ รัฐประหารของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดูเปลือกนอกเสมือน แข็งแกร่ง แต่ลึกๆ แล้วกลับเป็นความพยายามสร้างความ สมดุลระหว่างขั้วอำนาจที่แท้จริง 2 ขั้ว นั่นก็คือขั้วซอยราชครู กลุ่มจอมพลผิน พลตำรวจเอกเผ่า กับขั้วของพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ฮึ่มฮั่มกันเงียบๆ และต่างฝ่ายต่างสะสมกำลัง ฝ่าย หนึ่งคุมตำรวจอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก 134
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ซึ่งสำหรับสุริยน ไรวา เป็นที่เปิดเผยชัดแจ้งว่าเขาคือแหล่ง สนับสนุนทางด้านการเงินคนสำคัญของพรรคเสรีมนังคศิลาของ กลุ่มผินเผ่า ใครต้องการสิ่งใดมักจะได้หากเอ่ยปากกับสุริยน แม้แต่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะตัดเครื่องแบบยังต้องเบิกค่า ใช้จ่ายจากสุริยน ซึ่งสำหรับสุริยน ไรวา เป็นที่เปิดเผยชัดแจ้งว่า เขาคือแหล่งสนับสนุนทางด้านการเงินคนสำคัญของพรรค เสรีมนังคศิลาของกลุ่มผินเผ่า ใครต้องการสิ่งใดมักจะได้จาก การเอ่ยปากกับสุริยน แม้แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะตัด เครื่องแบบยังต้องเบิกค่าใช้จ่ายจากสุริยน ถ้าบอกว่าจอมพล ป.เป็นหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลา พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการพรรค สุริยนก็น่าจะ ต้องเรียกว่าเป็นเจ้ามือ สุริยน ไรวา ช่วงนั้นเล่นการเมืองพร้อมๆ กับทำการค้า และนี่ก็คงจะเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเขา ซึ่งต่างจากนักธุรกิจยุคนั้นหรืออาจจะหมายรวมถึงยุคนี ้ อีกหลายคนที่ยินดีให้การสนับสนุนทางการเงินกับ พรรคการเมืองแต่จะไม่ยอมเปิดตัวให้ใครทราบ ธนาคารเกษตร ของสุริยนนั้นเป็นธนาคารที่มีจำนวนสาขามาก ว่ากันว่าเขา พยายามตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แทบทุกจังหวัดเป็น ผู้จัดการแบงก์ เป็นวิธีเลี้ยงนักการเมืองอย่างหนึ่งซึ่งก็ส่งผลให้ สุริยนมีฐานะเป็นวิปใหญ่ของพรรค จอมพล ป. และพลตำรวจเอกเผ่า เองก็ให้ความสำคัญ สุริยนมากๆ มีครั้งหนึ่งที่เขาถูกเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง ที่เกี่ยวข้องกับการค้าให้ แต่สุริยนปฏิเสธ “เหตุผลก็คือถ้ารับ ก็จะเป็นรัฐมนตรีทางด้านการค้าที่มีกิจการค้ามากมาย จะเกิด 135
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ข้อครหาได้ครั้นจะให้เลิกทำการค้าก็ทำไม่ได้สุริยนเลยต้อง บ่ายเบี่ยงไปก่อน” คนที่ทราบเรื่องเล่าให้ฟัง ชีวิตของสุริยนนั้น ก็คงจะเหมือนๆ กับอีกหลายๆ ชีวิตที่หมุนเป็นกงล้อไปข้างหน้า เพียงแต่เขาหมุนได้เร็วกว่าแน่นอนทีเดียว หากมีสิ่งใดขวางกั้น กงล้อชีวิตของสุริยนจะต้อง “ชน” แรงเป็นพิเศษ พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารโค่น รัฐบาลจอมพล ป.และบดขยี้ขุมกำลังฝ่ายพลตำรวจเอกเผ่า ได้สำเร็จโดยอาศัยเงื่อนไขการเลือกตั้งที่สกปรกที่รัฐบาล จอมพล ป. เป็นผู้ก่อขึ้น พลตำรวจเอกเผ่าต้องเดินทางหนีภัยไป อยู่ต่างประเทศ เช่นเดียวกับพ่อค้าใหญ่หลายคนที่แสดงตัว ใกล้ชิดพลตำรวจเอกเผ่าอย่างเช่น ชิน โสภณพนิช เป็นต้น สุริยน ไรวา จริงๆ แล้วตอนนั้นเขายิ่งใหญ่กว่าชิน โสภณพนิช หลายเท่า เขาเป็นเจ้าของแบงก์ เป็นเจ้าของกิจการประกันภัย ประกันชีวิต เป็นเจ้าของกิจการส่งออกพืชเกษตร โรงงานแปรรูป สินค้าเกษตรและมีการลงทุนในภาคการเกษตรและภาคบริหาร อย่างกว้างขวาง การกวาดล้างพ่อค้าที่แสดงตัวสนับสนุนกลุ่มซอยราชครู ดำเนินไปอย่างเข้มข้น สุริยน ตกเป็นเป้าใหญ่อย่างไม่ต้องกังขา เป็นเรื่องที่เล่าๆ กันว่า วันหนึ่ง จอมพลสฤษดิ์ จะตั้งพรรค การเมืองก็ส่งคนเข้าหาสุริยนเพื่อขอความสนับสนุน ตอนนั้น จริงๆ แล้วสุริยนกำลังมีปัญหาสภาพคล่องทางด้านการเงิน แต่ก็จ่ายให้ไป 2 ล้านบาท เรื่องไม่น่าจะลุกลามออกไปมาก ถ้าไม่เป็น เพราะจอมพลสฤษดิ์ไปเปิดตู้เซฟในทำเนียบพบใบ “ไอโอยู” ของพรรคเสรีมนังคศิลาที่ยืมจากธนาคารเกษตรของ 136
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สุริยนเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาท และยังมีขุมกำลังซุ่มซ่อน อยู่ในฐานะผู้จัดการสาขาธนาคารเกษตรอยู่ทั่วประเทศ แว่วเข้าหูอีก เพียงไม่นานหลังจากจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร และก้าวขึ้นบริหารประเทศระหว่างที่ธนาคารเกษตรกำลัง ปวดหัวกับปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักนั้น ธนาคารออมสิน ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์สั่งการให้ถอนเงินที่ฝากไว้จำนวนราวๆ 200 ล้านบาทออกจากธนาคารเกษตรอย่างสายฟ้าแลบ เงิน 200 ล้านบาทเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วคงจะเทียบกับเดี๋ยวนี้ เป็น 2-3 พันล้านบาท ซึ่งถ้ามีลูกค้าถอนทันทีก็มีอันต้องล้มตึง อยู่แล้ว เมื่อผสมผสานกับการนำเงินจากธนาคารเกษตรไป ลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนช้า โดยเฉพาะในภาค การเกษตรของสุริยนและยังมีเงินอีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้ไปกับ การเมือง รูปแบบและกลวธิ ีการหาเสียง การหันเหชีวิตจากราชการมาจับธุรกิจเต็มตัวของสุริยน นั้น จริงๆ แล้วก็สอดคล้องกับเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคมในยุคนั้น มากๆ ประเทศไทยในช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่ง ยุติ เศรษฐกิจที่ซบเซาอันเนื่องมาจากภัยสงครามเริ่มค่อยๆ กระเตื้องขึ้น การค้าระหว่างประเทศที่ถูกตัดขาดไปช่วงหนึ่ง ก็เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งพร้อมๆ กับอำนาจต่อรองของประเทศ ด้อยพัฒนาเล็กๆ ซึ่งตลอดมาไม่มีปากเสียงก็เริ่มถูกเอาอก เอาใจจากชาติมหาอำนาจใหม่โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามากขึ้น และก็เป็นช่วงที่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ครองอำนาจ ยาวนานที่สุดอันได้แก่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น 137
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยม เน้นความเป็น “ไทย” หนัก แน่น ซึ่งสำหรับสุริยนในฐานะนักธุรกิจคนไทยแล้วก็ต้องนับว่า เขาเกิดได้ถูกจังหวะจริงๆ “ประเทศไทยยุคนั้นดำเนินนโยบายแอนตี้คนจีนที่ทำมา ค้าขายและพยายามสนับสนุนให้คนไทยเข้ามาค้าขายแทนที่ กิจการบางประเภทที่เอกชนคนไทยไม่มีความพร้อมเพราะต้อง ลงทุนสูง รัฐก็ดำเนินการเองในรูปของรัฐวิสาหกิจ ยุคนั้นก็เลย เป็นยุครัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งโรงกระสอบ โรงกระดาษ ค้าน้ำมัน ฯลฯ” อาจารย์เศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งเล่า “ก็เป็นนโยบายที่จอมพล ป. ดำเนินการอย่างแข็งแกร่ง เพียงแต่ ด้านหนึ่งของนโยบายก็คือพ่อค้าจีนจำนวนมากโดยเฉพาะ พ่อค้าจีนที่โตมากับสงครามโลกครั้งที่ 2 เส้นสายยังไม่แข็ง เหมือนกับตระกูลเจ้าสัวเก่าแก่อย่าง ล่ำซำ หรือหวั่งหลี ก็ต้อง พยายามวิ่งเข้าเกาะผู้มีอำนาจในการจ่ายค่าคุ้มครองให้เพราะ ฉะนั้นด้านหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจในยุคนั้นก็คือกดคนจีน ส่งเสริมคนไทย เพียงแต่อีกปีหนึ่งของรัฐบาลก็เซ็งลี้กับคนจีน อย่างเช่นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพลตำรวจเอกเผ่า กับชิน โสภณพนิช หรืออีกหลายๆ คนที่เป็นคนจีนโพ้นทะเล ก็เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นคู่กัน” อาจารย์ท่านเดียวกันกล่าวเสริม สุริยนน่าจะมี บางสิ่งที่เรียกกันว่าความ “เฮง” จากปัจจัยเกื้อหนุนทางด้าน นโยบายระดับชาติข้างต้น แน่นอนเป็นเพราะเขามีความ “เก่ง” ที่หาตัวจับยากด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย” สุริยน ไรวา ก้าวเข้าสู่ วงจรธุรกิจอย่างเต็มตัวจริงๆ ก็เมื่อตัดสินใจตั้งบริษัท เอส.อาร์ บราเดอร์ส ขึ้นโดยมีสำนักงานอยู่แถวๆ ถนนอนุวงศ์ เป็นกิจการ 138
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ส่งออกสินค้าหลายประเภทของไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะข้าว ว่ากันว่าเอส.อาร์.บราเดอร์ส ขณะนั้นเป็นบริษัท ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุด และแม้ว่าจะไม่ใช่ผลผลิตจากเอ็มบี เอที่โด่งดังในยุคนี้ สุริยน ก็ทราบดีว่าการขยายธุรกิจของเขานั้น จะเป็นไปได้ดีและราบรื่นก็ต่อเมื่อมีฐานทางการเงินสนับสนุน ซึ่งนั่นก็คือที่มาของการเข้ากว้านซื้อหุ้นธนาคาร กระทั่งสุริยน กลายสภาพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารพาณิชย์ที่ชื่อ “ธนาคาร เกษตร” ไปในที่สุด “เมื่อมีธนาคารเกษตรเป็นแหล่งเงินแหล่งทอง สุริยน ก็เริ่มบุกตะลุยแสดงความเป็นผู้ประกอบการที่เปี่ยมไปด้วย ความคิดสร้างสรรค์อย่างที่จะหาใครเทียบไม่ได้แล้วในยุคนั้น หรือบางทีอาจจะยุคนี้ด้วยซ้ำ” คนที่รู้จักกับสุริยนอย่างใกล้ชิด บอกกับ “ผู้จัดการ” เขาเป็นคนชอบเดินทางดูงานต่างประเทศ ดูแล้วก็เก็บมานั่งคิดว่าต่างประเทศทำโน่นมีนี่แล้วไฉนบ้านเรา ถึงไม่มีบ้าง อย่างเช่นผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังก็คงจะเป็น ตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่ง เดิมทีนั้นผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทย ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศมานานแล้ว แต่คุณภาพไม่ได้ ระดับที่พอจะส่งออกไปแข่งขันในตลาดโลกได้เนื่องจากมีสีคล้ำ มีกลิ่น ทั้งรสก็ไม่สนิทปาก ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมวิธีการแปร สภาพมันสำปะหลังสมัยนั้นยังใช้วิธีเอาเนื้อแป้งตีกับน้ำเพื่อแยก แป้งออกจากกากแล้วค่อยปล่อยให้แป้งตกตะกอน โรงงาน ที่บางพระของหม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ขณะนั้นจัดว่า เป็นโรงงานทำแป้งมันสำปะหลังที่ทันสมัยที่สุด สุริยนได้ติดต่อ ขอซื้อโรงงานแห่งนี้ และเขาได้ปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตโดย 139
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ปรับปรุงเครื่องบดหัวมัน สร้างเครื่องอบชนิดนอนหมุนได้แทน โป่งผ้า และต่อมาก็มีการปรับปรุงขนานใหญ่ด้วยการติดตั้ง เครื่องจักรจากเยอรมัน (สุริยนไปดูเครื่องจักรมาหลายประเทศ เกิดชอบใจสินค้าของเยอรมันมากที่สุด) ซึ่งเป็นเครื่องที่ส่วนหนึ่ง ทำการสลัดน้ำออกจากเนื้อแป้งโดยใช้พลังเหวี่ยง (Centrifugal Force) อีกส่วนเป็นเตาโลหะมิดชิดมีไอร้อนอุณหภูมิสูงในเวลา อันรวดเร็ว (Flash Chowder) พระนครราชจำนงพ่อบุญธรรมของ สุริยนได้เขียนเป็นบันทึกเล่าถึงผลงานในด้านนี้ของสุริยนว่า “การทำแป้งมันสำปะหลังของสุริยนได้ร่นระยะเวลาจาก 3 วัน 7 วัน เป็น 45-60 นาที หลังจากป้อนหัวมันจากไร่ที่ยังมีโคลนตม เข้าโรงงานเพื่อผลิตเป็นแป้ง เป็นแป้งมันบริสุทธิ์ขาวสะอาด แห้งผากจนเวลาเอานิ้วขยี้ดูจะรู้สึกทั้งลื่นทั้งฝืดนิดๆ ที่ปลาย นิ้ว” ผลผลิตจากโรงงานของสุริยนเป็นผลผลิตที่รู้จักกันในชื่อ แป้งมันยี่ห้อ เอส.อาร์.และกลายเป็นสินค้าคุณภาพที่ตีตลาด ภายในและส่งไปขายตีตลาดต่างประเทศได้อย่างไม่อายใคร คำว่า เอส.อาร์. เป็นชื่อทางการค้าและชื่อธุรกิจที่สุริยนใช้เสมอๆ สละ ลิขิตกุล เพื่อนเก่าเล่าให้ฟังว่า “สุริยนเห็นครั้งแรกเมื่อไป รับพระนรราชจำนองกลับจากต่างประเทศ เขาเห็นตัวอักษรย่อ เอส.อาร์.ที่กระเป๋าเดินทาง ซึ่งย่อมาจากชื่อ สิงห์ ไรวา ของ คุณพระท่าน สุริยนเห็นเข้าท่า แล้วเผอิญตรงกับชื่อย่อสุริยน ไรวา ของเขา ก็เลยใช้เป็นเครื่องหมายการค้ามาตลอด” ไม่แน่ นักถ้าหากเขายังมีอายุยืนยาวพร้อมๆ กับการแผ่กิ่งก้านสาขา ธุรกิจที่สามารถปรับเปลี่ยนการจัดรูปองค์การธุรกิจให้พัฒนา ตามแบบแผนสมัยใหม่เช่นทุกวันนี้เครือข่ายธุรกิจของเขาอาจ จะเป็นที่รู้จักกันดีภายใต้ชื่อ “เอส.อาร์.กรุ๊ป” ไปแล้วก็เป็นได้ 140
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สุริยนนั้น นอกจากแป้งมันที่ช่วยสะท้อนความคิดสรรค์สร้าง แล้ว นุ่นก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ช่วยตอกย้ำได้อย่างดี การค้านุ่น ยุคนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจมีพ่อค้าจีนเพียงไม่กี่รายที่ทำนุ่นเป็น มัดๆ ส่งขายต่างประเทศ “สุริยนคิดว่าการส่งนุ่นเป็นมัดใหญ่ๆ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าระวางสูง ไม่ค่อยคุ้ม เขาก็เลยซื้อ เครื่องไฮดรอลิคอัดนุ่นให้มันแน่น เนื้อที่ค่าระวางก็น้อยลง เขาทำเป็นคนแรกด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยมาก” มนูญ นาวานุเคราะห์ อดีตเลขาส่วนตัวของสุริยนซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วย ผู้จัดการธนาคารสหมลายังเล่าถึงความเป็นอินโนเวเตอร์ของ นายเก่าที่เขาเรียกว่า “นายห้าง” ให้ฟัง ยุคนั้นเป็นยุคที่ใครก็ หยุดสุริยนไม่อยู่ เขาเป็นผู้ส่งออกข้าว ปอ แป้ง และยังตั้งบริษัท รวมพืชไทยส่งออกเมล็ดปอ นุ่นและละหุ่งรายใหญ่ ขณะ เดียวกันก็มีบริษัทนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่นกระสอบ จากอินเดีย เป็นต้น “ดูรายการผลิตภัณฑ์ที่สุริยนจับ เปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันแล้วหลายคนอาจจะหัวเราะเพราะดู จิบจ้อยมากเมื่อเทียบกับข้าวโพดถั่วเขียวหรือมันเม็ดที่ส่งไป กลุ่มประชาคมยุโรป แต่ต้องอย่าลืมว่ายุคนั้นพวกคอมมูดิตี้ส์ หลักๆ ต่างจากยุคนี้มาก อย่างเช่นพืชไร่ก็เพิ่งไม่กี่สิบปีมานี้เอง ที่มูลค่าการส่งออกเริ่มสงู ขึ้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็น่าจะเปรียบได้ ว่ายุคนั้นสุริยนเป็นเจ้าพ่อวงการคอมมูดิตี้ส์คนหนึ่งอย่างไม่ต้อง สงสัย” คนในวงการค้าพืชไร่พูดกับ “ผู้จัดการ” กิจการส่งออก พืชเกษตรของสุริยนไม่ว่าจะเป็นในรูปวัตถุดิบหรือแปรสภาพ แล้วเป็นกิจการที่เขาวางแผนดำเนินการแบบครบวงจร เขาสร้าง โกดังสินค้าเป็นแวร์เฮ้าส์ที่ใช้เก็บแป้งมันเป็นกระสอบๆ และรับ ฝากสินค้าในนามบริษัทแวร์เฮ้าซิ่ง ตั้งบริษัทยูไนเต็ดไซโลแอนด์ 141
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เซอร์วิส เพื่อเก็บเมล็ดพืชเป็นไซโลขนาดใหญ่โตของยุคนั้น เขาจับแม้กระทั่งเหมืองแร่สุริยนได้สัมปทานเหมืองแร ่ ฟลูออไรด์ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ แร่ของเขาถูกส่งไป ขายรัสเซียและญี่ปุ่นซึ่งราคาดีมาก “เป็นเหมืองที่เข้าไปไกล มาก บางทีหน้าฝนต้องลุยโคลนเป็นสิบกิโลเมตร ลำบากมาก แต่คุณสุริยนไม่เคยบ่น” คนใกล้ชิดกับสุริยนฟื้นความหลัง เกี่ยวกับเหมืองแร่ของสุริยนที่ชื่อ “แสนทอง” ให้ฟัง จากเหนือที่ล่องลงใต้ ทางภาคใต้ สุริยนตั้งบริษัท ฟาร์อีสต์รับเบอร์กับบริษัทฟาร์อีสต์ไฟเบอร์ เป็นบริษัทที่ทั้ง ส่งออกยางพาราและให้เช่าทำยาง เขาสนใจแม้กระทั่งด้าน เรียลเอสเตท สุริยนเที่ยวกว้านซื้อที่ดินไว้หลายแห่ง บางแห่ง อย่างเช่นแถวจังหวัดจันทบุรี สุริยนตั้งบริษัทเจพีไรวาทำหน้าที่ พัฒนาที่ดินสร้างศูนย์การค้าใหญ่โตรวมทั้งโรงแรมแกรนด์ที่ จังหวัดจันทบุรีด้วย เขาเป็นเจ้าของบริษัทประกันชีวิตอย่างอินเตอร์ไลฟ์ (อ่านจากเรื่องอินเตอร์ไลฟ์ในฉบับนี้) เป็นเจ้าของบริษัทประกัน ภัยชื่อประกันภัยสากล สำหรับการขยายอาณาจักรธุรกิจแล้ว สุริยนไม่เคยหยุดนิ่งเขาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในที่แปลกถิ่น เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ เป็นคนที่นักธุรกิจต่างประเทศรู้จักชื่อ เสียง บ่อยครั้งที่เขาเดินทางไปสหรัฐฯจะต้องมีนักธุรกิจที่นั่น จัดเครื่องบินมารับส่งเดินทางแบบวีไอพีตลอด เป็นคนไม่ชอบ เสเพลและไม่ใช้จ่ายเงินทองสุรุยสุร่าย “แต่ก็ชอบอาหารที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด อาหารจานเป็นพันก็จะสั่งมากิน บางทีกินมื้อกลาง วันยังไม่เสร็จก็นัดแล้วว่ามื้อเย็นจะไปกินที่ไหนชอบมีเพื่อนร่วม 142
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส กินข้าว กินไปคุยกันไป ปกติเป็นคนอารมณ์ดีมาก และถ้าจะไป ดูงานต่างจังหวัดก็จะให้ทางบ้านจัดปิ่นโตไปด้วย” คนใกล้ชิด เล่ากับ “ผู้จัดการ” ถึงบุคลิกอีกบางด้านของสุริยน และว่ากันว่า เพราะความมีอารมณ์ละเมียดละไมทางด้านอาหาร และบริการ ผสมผสานกับการดีดลูกคิดรางแก้วคำนวณความเป็นไปได้ทาง ธุรกิจนี่เองที่ทำให้สุริยนสร้างโรงแรมชั้นหนึ่งอย่างโรงแรม แกรนด์ขึ้น โรงแรมแกรนด์นั้นตั้งอยู่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ สุริยนส่งภรรยาคนหนึ่งของเขาที่ชื่อจำนรรค์ (เป็นน้องสาว จำนงค์ที่เป็นภรรยาคนแรก) ไปเรียนวิชาการบริหารโรงแรม ที่สวิสเพื่อกลับมาดูแลกิจการนี้โดยเฉพาะและโรงแรมแกรนด ์ ยุคก่อนหน้านี้ 20 ปี ก็ถือเป็นโรงแรมที่ “แกรนด์” จริงๆ “เวลา คุณกินข้าวอยู่ชั้นล่างแล้วมองขึ้นไปชั้นสองที่เป็นสระว่ายน้ำ ก็จะเห็นภาพคนว่ายน้ำผ่านกระจกโดยที่คนว่ายไม่มีโอกาสเห็น คุณเป็นที่เพลินตามาก” ผู้ที่มีโอกาสใช้บริการโรงแรมแกรนด์ บอกกับ “ผู้จัดการ” ในช่วงสงครามเวียดนามโรงแรมแกรนด์ เป็นโรงแรมที่ทำสัญญากับหน่วยงานทหารอเมริกันเพื่อใช้เป็น ที่พักของจีไอทั้งหลาย และนั่นเป็นความคึกคักครั้งสุดท้าย ของโรงแรมแห่งนี้ก่อนที่จะกลายสภาพเป็นอาคารของธนาคาร กรุงไทยไปจนทุกวันนี้ สุริยนนั้นแทบจะต้องเรียกว่าทำมาทุกอย่างที่ขวางหน้า ยกเว้นเรื่องอบายมุขประเภทต่างๆ เช่น บุหรี่ หรือเหล้า ที่เขา ถือเป็นกฎเหล็กว่าจะไม่แตะต้องธุรกิจพวกนี้ ตัวเขานั้นไม่สูบ บุหรี่ แต่ดื่มบ้างนิดหน่อยเมื่อออกสังคม เขาตั้งบริษัท เอส.อาร์.มอเตอร์ เป็นเอเย่นต์ขายรถดับเพลิง รถแทร็คเตอร์ รถไถนาและรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าของญี่ปุ่น แม้แต่สิ่งที่รู้อยู่ 143
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เต็มอกว่าทำแล้วขาดทุน สุริยนก็พร้อมที่จะทำเพื่อเป็นการบุก เบิกให้ผู้อื่นสานต่อ อย่างเช่นฟาร์มโคเนื้อและโคนมเป็นต้น สุริยนไปพบเห็นมาจากเดนมาร์ก เขาก็เลยตัดสินใจสั่ง วัวนมราคาตัวละเป็นหมื่นบาทเข้ามาเลี้ยงที่ศรีราชาครั้งละเป็น ร้อยๆ ตัวซึ่งก็สามารถให้น้ำนมมันและข้นดีกว่าสมัยนี้เสียอีก แต่ก็ขายไม่ได้ ส่วนใหญ่ต้องแจกให้ดื่มฟรี เนื่องจากยุคนั้น ยังไม่มีการส่งเสริมให้คนไทยดื่มนมเหมือนทุกวันนี้ “นอกจากนี้ เขายังเป็นคนริเริ่มกิจการโคเนื้อก่อนใครเพื่อน ฟาร์มของเขาทัน สมัยมาก เขาเรียนรู้เทคนิคแบบญี่ปุ่นที่เลี้ยงโคเนื้อโกเบ และ ส่งคนไปฝึกที่ต่างประเทศเพื่อกลับมาบริหารฟาร์มของเขา” สละ ลิขิตกุล เล่ากับ “ผู้จัดการ” ในเดอื นพฤษภาคมปี 2502 ประสทิ ธิ ณ พทั ลงุ ผอู้ ำนวยการ ฝ่ายกฎหมายของแบงก์ชาติก็บอกว่า “ธนาคารเกษตรเป็นหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งได้ทดรองจ่ายเงินตามเช็คที่ธนาคาร อื่นนำเช็คของธนาคารเกษตรมาหักกลบลบหนี้ไปแล้วถึง 70 ลา้ นบาท นบั วา่ เปน็ เงนิ จำนวนมากแลว้ ” สนุ ทร หงสล์ ดารมภ์ รัฐมนตรีคลังในสมัยนั้น ได้เรียกสุริยน ไรวา เข้าพบพร้อมกับ เสนอให้เวลา 7 วันตามที่รัฐมนตรีคลังยืดเวลาให้ เขาขอ กระดาษหนึ่งแผ่นแล้วเซ็นโอนธนาคารเกษตรให้กับรัฐบาลทันที “คุณสุนทรตกใจมาก บอกว่าคุณสุริยนนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ ธนาคารทั้งธนาคาร กลับไปคิดก่อนดีกว่า คุณสุริยนก็ตอบว่า ไม่เป็นไรครับ ถ้ารัฐบาลต้องการ ผมก็จะให้ ไม่ขัดข้องเลย” มนูญ นาวานุเคราะห์ เล่ากับ “ผู้จัดการ” สุริยนเมื่อโอน ธนาคารเกษตรให้รัฐบาลไปแล้ว หนี้สินต่างๆ ที่เขามีอยู่กับ 144
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ธนาคารก็ถูกนำทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดมา Cover จนครบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านโรงงานแป้งที่ศรีราชาหรือคลังสินค้า เอส.อาร์. ที่คลองสานซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก และเมื่อแบงก์เกษตร หลุดมือ กิจการอื่นๆ ของสุริยนก็เริ่มซวดเซเป็นโดมิโน แต่อาจ จะเป็นเพราะว่า สุริยนเป็นคนราศีเมษซึ่ง “ไฟ” เป็นลักษณะ ประจำราศี “ราศีจำพวกไฟ มีความหมายถึงความเข้มแข็ง ความเปล่งปลั่งของจิตใจและมีพฤติกรรมมีลักษณะโน้มเอียงไป ในทางที่เชื่อมั่นในตนเอง มีอิสระและรักอิสระ ไม่ขึ้นกับสิ่งใด และไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใด กล้าหาญและมีความ ทะเยอทะยานก่อให้เกิดความมุ่งมาดปรารถนาไม่สิ้นสุด มีความทระนงที่พร้อมจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ” ซิเซโร โหรชื่อดังบอกถึงลักษณะของคนราศีเมษธาตุไฟ แม้จะ ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ สุริยนกลับไม่ย่อท้อ ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ยังมีอยู่ในหัวของเขาและพร้อมที่จะแปรเปลี่ยน เป็นการลงมือทำอยู่ทุกขณะ มันเป็นช่วงที่สุริยนเริ่มก่อตั้งบริษัท ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ โดยร่วมทุนกับมิสเตอร์โหแห่งบริษัทไทยวา ฝ่ายมิสเตอร์โหเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นโรงงานผลิตแป้งสาลีที่ ใหญ่โตแห่งหนึ่ง โรงงานแห่งนี้ต่อมาในช่วงสงครามเวียดนาม ผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างมิสเตอร์โหเกิดหวั่นไหวไม่แน่ใจใน สถานการณ์ทางการเมืองก็เลยขายหุ้นให้กับสว่าง เลาหทัย ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ กลายสภาพเป็นกิจการหนึ่งในเครือศรีกรุง วัฒนาไปในที่สุด อีกช่วงหนึ่งในยุคหลังนี้ สุริยนได้เข้าร่วมทุน กับเบอร์ล่ากรุ๊ป (Birla Group) ที่ใหญ่โตของอินเดีย ก่อตั้งบริษัท อินโด-ไทยซินเทติคส์ ที่บางปะอิน เป็นโรงงานปั่นด้ายประเภท ใยสังเคราะห์ นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่สุริยนร่วมทุนกับ 145
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ญี่ปุ่นวางแผนสร้างสนามกอล์ฟมาตรฐานขนาด 36 หลุม ซึ่งถ้า สำเร็จก็จะใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ในยุคนั้นสนามกอล์ฟจะ ใช้เนื้อที่ดินเป็นพันไร่ในเขตอำเภอศรีราชา แต่เผอิญเขาเสียชีวิต อย่างกะทันหันไปเสียก่อน ทุกอย่างก็เลยชะงักหมด สุริยน ไรวา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2516 ขณะเมื่ออายุเพียง 57 ปี เท่านั้น สุริยนเป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง เขาเคยแผ่กิ่งก้านสาขาครอบคลุมวงการธุรกิจประดุจหนวด ปลาหมึก แต่ทุกอย่างก็เป็นเสมือนปราสาททรายที่ในที่สุดก็พัง ทลายไม่เหลือร่องรอยให้คนรุ่นหลังๆ ได้รับทราบ เพราะจริงๆ แล้วสุริยนก็เหมือนกับเหรียญที่มี 2 หน้า มีด้านที่ประสบความ สำเร็จและก็มีอีกด้านที่เป็นข้อจำกัดก่อให้เกิดความล้มเหลว อย่างสุดจะหลีกเลี่ยง โดยภาพกว้างนั้นจุดอ่อนที่สำคัญของ สุริยนก็คงจะเป็นการที่เขาเอาแต่บุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่ หยุดยั้ง ในขณะที่ “มือ” ซึ่งจะมีหน้าที่สร้างความมั่นคงให้กับ กิจการแต่ละกิจการกลับทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์หรือถ้าจะบอก ว่าเขาขาด “มือ” หรือ “คน” ที่มีประสิทธิภาพก็คงจะไม่ผิด “คน” ของสุริยน นั้นโดยมากแล้วก็จะเป็นญาติๆ หรือลูกน้อง ที่ตามความคิดเขาไม่ทัน แถมในบางจุดยังมีการรั่วไหลเอา ทรัพย์สินของบริษัทไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวอีกด้วย (สุริยนเองก็ ทราบแต่เขามักพูดว่าใครอยากโกงก็โกงไป คงไม่ทำให้เขาถึงกับ จนได้หรอก) สุริยนนั้นนอกจากจะเป็นคนที่มีน้ำใจต่อผู้คนแล้วก็ มีข้ออีกอย่างตรงที่เขาไม่ค่อยอาฆาตแค้นใคร ในวันที่พลตำรวจ เอกเผ่า ศรียานนท์ จะเดินทางออกนอกประเทศสุริยนก็ไปส่ง ด้วยตัวเอง แม้จะมีหลายคนเตือนเขาว่าเป็นสิ่งไม่ควร แต่เขา 146
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส กลับแย้งว่า “ท่านไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเห็นหน้ากันอีก หรือเปล่า ถึงจะถูกเข้าใจไม่ดีก็ต้องไปส่ง” ซึ่งก็เป็นการพบกัน ครั้งสุดท้ายสำหรับคนทั้งสองจริงๆ สุริยน เคยโด่งดังขนาดที่สามารถดำรงตำแหน่งนายก- สมาคมพ่อค้าไทยและได้รับเลือกเป็นประธานหอการค้าถึง 2 สมัยติดๆ กัน ในวัยเพียง 57 สุริยนป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไต และมีอาการความดันสูงเขาเคยเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐฯ แล้วกลับมาพักฟื้นที่ศิริราช “ไตทั้งสองข้างทำงานเพียง 5% หมอบอกว่าต้องใช้ไตเทียมคือ เอาเลือดออกมาฟอกแล้วเอา กลับเข้าไปใหม่ อาทิตย์หนึ่งทำสองวัน วันหนึ่งต้องใช้เวลา 8 ชั่วโมง คุณสุริยนบ่นว่าเบื่อมากขอกลับไปอยู่บ้าน” จำนรรค์ อินทุสุต เล่าอาการของสุริยนให้ฟัง เมื่อเขาเสียชีวิต เชาว์ เชาว์ขวัญยืน ได้เขียนคำไว้อาลัยที่ดูเหมือนสามารถอธิบาย ความเป็นสุริยนได้อย่างกระจ่างชัด The Passing Away of Khun Suriyon Raiva Was a Great Loss to Business, Trade and Industrial Circles, and also a Great Loss to Thailand. Particularly it was Great Loss to all His Friends. แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครได้อ่านพบคำไว้อาลัยนี้ มากนัก ที่มา : Copyright, 2004. Manager Media Group Public Company. All Rights Reserved. 147
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 6. นายเอิบ อิสสระ ขอ้ มลู การดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ. 2495 และสมัยที่ 2 พ.ศ. 2500 สังกัดพรรคสหภมู ิ ขอ้ มลู ส่วนบุคคล นายเอิบ อิสสระ เป็นบุตรชายของนายจ้วน และนาง เคล้า อิสสระ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2461 ที่ตำบล สะเตงในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน จบการศึกษาขั้นต้นที่จังหวัดยะลา หลังจากบิดา มารดา เสียชีวิต เมื่อ พ.ศ.2472 นายเอิบ อิสสระ จึงย้ายมาอยู่กับญาติ ที่จังหวัดสงขลา และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา อยู่ 7 ปี จนจบมัธยม 8 หลังจากจบการศึกษาที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา นายเอิบ อิสสระได้เข้าทำงานที่อำเภอสายบุรี ในตำแหน่ง เสมียนศุลกากรอยู่ 3 ปี จึงได้แต่งงานกับนางสาวฉะอ้อน ไชยสุวรรณ บุตรีขุนไชยสุวรรณ และเริ่มต้นครอบครัวกับ นางสาวฉะอ้อน ที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส นายเอิบ อิสสระ มีบุตรธิดารวม 5 คน และต่อมานายเอิบ อิสสระ ได้สมรสครั้งที่ 2 กับนางสำรวย อิสสระ แต่ไม่มีทายาทด้วยกัน ฐานเสยี งและเครอื ข่ายทางการเมือง เมื่อนายเอิบ อิสสระ ลาออกจากการเป็นเสมียนศุลกากร แล้ว ได้มาประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัวอยู่ระยะหนึ่ง ในขณะ เดียวกันก็ได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลของอำเภอสุไหงโกลกด้วย 148
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส และได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลสุไหงโกลกถึง 2 สมัยติดต่อกัน หลังจากนั้น นายเอิบ อิสสระ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา จังหวัดนราธิวาส และต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส และได้รับเลือกเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรถึง 2 สมัยติดกัน ก่อนที่จะวางมือจากเรื่อง การเมอื ง นายเอบิ อสิ สระ ไดร้ บั พระราชทานเครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย หลังจากวางมือทางการเมือง นายเอิบ อิสสระ จึงได้เริ่ม ประกอบอาชีพค้าขายอย่างจริงจัง มีกิจการมากมาย อาทิเช่น โรงแรมทักษิณ 1 และ ทักษิณ 2 บริษัท โรงไฟฟ้าสุไหงโกลก โรงน้ำแข็งสุไหงโกลก และสุไหงปาดี โรงงานขนมปังสุไหงโกลก และบริษัทอิสสระไพบูลย์ เป็นต้น นายเอิบ อิสสระ ได้ดำเนิน อาชีพค้าขายด้วยความวิริยะ อุตสาหะ กิจการต่างๆ ประสบ ความสำเร็จด้วยดี ฐานะครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ชื่อ ว่าเป็นคหบดีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วภาคใต้ แม้จะมีเงิน ทองและชื่อสียง อย่างไร นายเอิบ อิสสระ ก็ไม่เคยลืมความ ลำบากยากแคน้ ในอดตี เมอ่ื มงี านบญุ งานกศุ ล นายเอบิ อสิ สระ ไม่เคยปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ และรวมไปถึงมูลนิธิต่างๆ เช่น มลู นิธิสายใจไทย มูลนิธิรามาธิบดี เป็นต้น ตั้งแต่ปลาย พ.ศ.2526 สุขภาพของนายเอิบ อิสสระ เริ่ม ไม่ค่อยจะดีแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ.2533 แพทย์ทำการตรวจพบว่า นายเอิบเป็นมะเร็งที่ขั้วปอด จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้อย่างใกล้ชิด 149
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส นายเอิบ อิสสระ จึงเข้ารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ตลอดระยะเวลานั้น นายเอิบ อิสสระ ได้ต่อสู้กับโรคร้ายอย่างเข้มแข็ง ไม่เคยแสดง ความท้อแท้ อ่อนแอให้คนรอบข้างได้เห็นเลย นายเอิบ อิสสระ สิ้นใจอย่างสงบเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2533 ขณะที่มีอายุ 72 ปี 8 เดือน ข้อมูลอื่นๆ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ เขียนคำไว้อาลัย ให้กับนายเอิบ อิสสระ ไว้ว่า เราสองคนเป็น เพื่อนที่ชอบพอและสนิทสนมกันมาก เพราะเราเรียนหนังสือ ด้วยกันมาที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต่อมาเมื่อเรียนจบแล้ว คุณเอิบ ก็กลับไปอยู่สุไหงโกลกและ ประกอบอาชีพที่นั้น ต่อมา คุณเอิบ ได้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับเลือกตั้งถึง 2 สมัย แสดงให้ เห็นว่าเป็นที่เชื่อถือและศรัทธาของชาวนราธิวาสเป็นอันมาก ในระหว่างเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คุณเอิบก็ได้ปฏิบัติ หน้าที่ด้วยความอุตสาหะ และอุทิศเวลาเพื่อประโยชน์ของ ส่วนรวมเสมอมาน่าชมเชยยิ่งนัก นายชาญ อสิ สระ ประธานกรรมการชาญอสิ สระทาวเวอร์ เขียนคำไว้อาลัยว่า คุณเอิบ เป็นผู้มีอัธยาศัย มีคุณธรรม จึงเป็นที่นับถือของชาวสุไหงโกลก คุณเอิบ มีความปรารถนา อย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญ จึงได้สมัครเป็น สมาชิกเทศบาลสุไหงโกลก และได้รับเลือกเป็นสมาชิก ต่อมา จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรีสุไหงโกลก ถึง 2 สมัย 150
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส และต่อมา คุณเอิบได้สมัครผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส ได้รับ การเลือกตั้ง 2 สมัย เช่นกัน คุณเอิบ เป็นผู้มีใจเป็นกุศล บริจาคทรัพย์ส่วนตัวช่วยสาธารณประโยชน์ และโดยเสด็จ พระราชกุศลมูลนิธิสายใจไทยอยู่เสมอ จนได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตริตราภรณ์มงกุฎไทย อันเป็นเกียรติ ประวัติต่อวงศ์ตระกูล พล.ต.ท.ณรงค์ อัลภาชน์ เขียนคำไว้อาลัยว่า พี่เอิบ มีนิสัยใจคอสุขุม เยือกเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยากและสังคมตลอดมา จึงเป็นที่ เคารพนับถือของบุคคลทั่วไป จากการสร้างสมคุณงามความดี ไว้ จึงได้เข้าเล่นการเมืองท้องถิ่น และได้รับเลือกตั้งเป็น นายกเทศมนตรีสุไหงโกลก ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ได้เสียสละ และนำความเจริญมาสู่ท้องถิ่นเป็นที่ประจักษ์ของประชาชน ในขณะนั้น พรรคพวกเพื่อนฝูงเห็นว่า พี่เอิบ มีความเหมาะสมที่จะ เล่นการเมืองระดับชาติ จึงช่วยกันสนับสนุนให้พี่เอิบ สมัครเป็น ผู้แทนราษฎรประจำจังหวัดนราธิวาส และด้วยแรงศรัทธาของ ประชาชนที่มีต่อพี่เอิบ จึงทำให้ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดนราธิวาส และได้คะแนนนิยม มาเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัด และได้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทน ราษฎรอย่างเต็มภาคภมู ิ ที่มา : หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ นายเอิบ อิสสระ ต.ม. ณ เมรุวัด โสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ 1 ธันวาคม 2533 151
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 7. นายโสภณ เอี่ยมอิทธิพล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ.2500 สังกัดพรรคธรรมาธิปัตย์ และสมัยที่ 2 พ.ศ. 2500 สังกัดพรรคสหภูมิ (ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลด้านอื่นๆ ได้) สรุปนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาสยุคที่ 1 ต้ังแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมาย สูงสุดในการปกครองประเทศ ประเทศไทยเข้าสู่การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีการ เลือกตั้งครั้งแรกในประเทศไทย จังหวัดนราธิวาสก็เป็นจังหวัด หนึ่งที่มีผู้สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร การเลือกตั้งยุคที่หนึ่งของจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 จังหวัดนราธิวาส สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแต่ละคนนั้นจะมีพื้นฐานทางการเมืองที่แตกต่าง กันออกไปตามช่วงเวลาและสถานภาพที่ตนเองดำรงอยู่ นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นราธวิ าสยคุ ทห่ี นง่ึ ตง้ั แต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 ส่วนใหญ่เป็นคนไทยพุทธ มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทเ่ี ปน็ ไทยมสุ ลมิ เพยี ง 1 คน เทา่ นน้ั คอื นายอบั ดลุ ยาลาล ์ นาเซร์ (นายอดุลย์ ณ สายบุรี) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคที่หนึ่งของจังหวัดนราธิวาส เป็นนักการเมืองท้องถิ่นได้ผันตนเองมาจากนักการเมืองท้องถิ่น 152
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส มาเป็นนักการเมืองระดับชาติ ทำงานเพื่อส่วนร่วม ประชาชน จึงเลือกตัวแทนของเขาด้วยการเลือกบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือ ทำประโยชน์ให้กับชุมชนหรือบ้านเมืองของตนเองเป็นหลัก โดยเลือกบุคคลเหล่านั้นด้วยความศรัทธา เป็นยุคที่ยังมี พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวนักการเมือง การเมือง และนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคที่หนึ่งจึงเป็นบุคคล หลากหลายอาชีพและมาจากต่างถิ่นมาเป็นตัวแทนของ ประชาชนในจังหวัดนราธิวาส การได้รับการสนับสนุนขึ้นอยู่กับภูมิหลังและกลุ่ม ผลประโยชน์ที่ตนเองดูแลอยู่ การเมืองจังหวัดนราธิวาสจะ แตกต่างกับการเมืองอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ หรือใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยกัน การเมืองยุคที่หนึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 ของจังหวัดนราธิวาสไม่มีกลุ่มอิทธิพล ไม่มีกลุ่มศาสนา ไม่มีอำนาจการเมืองจากภายนอกมาแย่งชิง ผลประโยชน์ ไม่มีนักการเมืองถิ่นคนใดผูกขาดทางการเมือง แบบเบ็ดเสร็จ กลวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่หนึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 เป็นการหาเสียงโดย การทำประโยชน์ให้กับประชาชน ดูแลและช่วยเหลือประชาชน ในด้านต่างๆ เช่น นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ เป็นตัวแทนตำบลที่ได้ รับการเลือกตั้งจากการสร้างเมืองสุไหงโกลก ร้อยตำรวจโท สุริยน ไรวา เป็นผู้ที่ช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ เป็นต้น 153
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสส่วนใหญ่มีวิธีการ หาเสียงและการปราศรัยเป็นแบบของตนเอง คือ การปราศรัย ด้วยภาษามลายูถิ่น ทำให้สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ประชาชน ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างดี และต่างคนต่างมีวิธีการดำเนิน กิจกรรมทางการเมืองแตกต่างกันออกไป คือต่างคนต่างทำเพื่อ สนองต่อเป้าหมายของตัวเอง การเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคที่หนึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 นั้นไม่มีการต่อสู้ทางการเมืองที่เข้มข้น เป็นการ เมืองที่เรียบง่าย และไม่มีพรรคการเมือง ผู้ที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจะเป็นประชาชนธรรมดาที่มีบทบาททางการเมือง ระดับท้องถิ่น มีคุณงามความดี ประชาชนจึงเรียกร้องให้สมัคร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่แทนพวกเขา และทุกคน ก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดต่อบ้านเมืองของตนเอง การเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ยัง ไม่มีการใช้เงินในการเลือกตั้ง ความรู้ ความเข้าใจของประชาชน ในการเลือกตั้งจะผ่านทางตัวแทน คือ ผู้นำทางศาสนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และไม่มีหัวคะแนนที่แน่นอน เป็นการบอกกล่าวกัน ว่าใครเป็นใคร ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั ศ น ค ติ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ยั ง เ ป็ น ทั ศ น ค ติ ท่ี ดี ต่ อ นักการเมืองถิ่น ชาวบ้านยอมรับในตัวและผลงานของ นกั การเมอื งถนิ่ แมว้ า่ จะไมค่ อ่ ยมอี ะไรเปลย่ี นแปลงมากนกั 154
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 4.3.2 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคท่ี 2 ตั้งแต่ พ.ศ.2501 ถึง พ.ศ.2526 8. นายถาวรณ์ ไชยสุวรรณ ขอ้ มูลการดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 4 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ.2512 สังกัดพรรคสหประชาไทย สมัยที่ 2 พ.ศ. 2518 สังกัดพรรคธรรมสังคม สมัยที่ 3 พ.ศ. 2522 สังกัด พรรคชาติประชาชน และสมัยที่ 4 พ.ศ. 2526 สังกัดพรรค สยามประชาธิปไตย ขอ้ มูลส่วนบุคคล นายถาวรณ์ ไชยสุวรรณ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2468 ปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) อายุ 86 ปี เกิดที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ตอนเด็กๆ ได้ไปเรียนหนังสือที่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย อยู่ประมาณ 6 ปี จนกระทั้งสงครามญี่ปุ่นจึงเดินทางกลับมาอยู่ ที่บ้านอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ตอนนั้นไม่ได้ทำงานอะไร หลังจากนั้นก็มาอยู่กับพี่ที่จังหวัดนราธิวาส ประมาณ 15 ปี อยู่กับพี่ชายที่จังหวัดนราธิวาสทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ต่อมา พี่เขย พี่สาว น้าชาย ย้ายมาอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก ก็ชวนกันมา ทำการค้าที่อำเภอสุไหงโกลก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน นายถาวรณ์ เล่าให้ฟังว่า พอมาอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก น้าชาย (นายวงศ์) ชวนลงเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น เริ่มจาก การเปน็ สมาชกิ สภาเทศบาล และไดร้ บั เลอื กเปน็ นายกเทศมนตรี สุไหงโกลก ต่อมาใน พ.ศ. 2512 ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น 155
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควบกับการเป็นนายกเทศมนตรี สุไหงโกลก นายถาวรณ์ นั่งครอง 2 ตำแหน่ง สมัยนั้นกฎหมาย กำหนดว่าต้องดำรงตำแหน่งเดียว นายถาวรณ์จึงเลือกที่จะเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อยู่ 4 สมัย คือ พ.ศ. 2512 พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2526 ต่อมาใน พ.ศ.2529 แพ้การเลือกตั้งก็ยุติบทบาททางการเมือง หันกลับมาทำการค้าขายส่วนตัวอย่างเดิม การเขา้ สกู่ ารเมอื ง นายถาวรณ์ เล่าให้ฟังว่า ตนเองที่ลงเล่นการเมืองระดับ ชาตินั้น เพราะไม่มีใครที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงก็ไม่มีใครเอาด้วย ตนเองจึงต้องลงสมัคร ขณะนั้น ตนเองอายุ 44 ปี ยังหนุ่มแน่น ครั้งแรกลงสมัครในนามพรรค สหประชาไทย ของจอมพลถนอม กิตติขจร ครั้งสุดท้าย อยู่พรรคสยามประชาธิปไตย อยู่กับนายสิทธิชัย บือราเฮง (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) และนายเสนีย์ มะดากะกุล ตัวนายถาวรณ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย ตอนที่ตนเองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นจังหวัดนราธิวาส มีผู้แทน 2 คน คือ นายถาวรณ์ ไชยสุวรรณ กับ นายเรวัต ราชมุกดา (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ผลงานในสมัยนั้นก็เป็นการสร้างถนน สร้างสะพาน งานสาธารณูปโภคต่างๆ ฐานเสยี งและกลวธิ กี ารหาเสียง การหาเสียงในสมัยก่อนยากมากเพราะคนในพื้นที ่ 156
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ส่วนใหญ่เป็นคนไทยมุสลิมไม่ค่อยให้การสนับสนุนคนไทยพุทธ มีการต่อต้าน ที่ตนเองได้เพราะการทำงานให้พี่น้องประชาชน ได้เพราะแรงศรัทธาจากชาวบ้าน สมัยนั้นก็มีการหาเสียงคลา้ ยๆ กบั เดย๋ี วน ้ี มโี ปสเตอร์ ปราศรยั พรรค ไมไ่ ดส้ ง่ ใครมาชว่ ย เพราะ เราเป็นพรรครัฐบาล สมัยนั้นก็ยังไม่มีกลุ่มการเมืองต่างๆ ใน พื้นที่ที่สนับสนุนช่วยเหลือ มีแต่กลุ่มญาติพี่น้องที่สนับสนุน มีเครือญาติเพื่อนฝงู เท่านั้นที่คอยให้การสนับสนุน ขอ้ มูลอืน่ ๆ นายถาวรณ์ กล่าวว่า การเมืองในอดีตกับการเมือง ปัจจุบัน ต่างกัน สมัยก่อนการเมืองเรียบร้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ มีการแข่งขันกันสูง มีคนสนับสนุน ใครเพื่อนฝูงมาก มีเงินก็ได้ เดี๋ยวนี้มีสาขาพรรค มีผู้ใหญ่มาช่วยหาเสียง เมื่อก่อนพรรคไม่มี ตัวคนเดียว นายถาวรณ์ มองการเมืองที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เปรียบเสมือนมรดกที่ตกจากรุ่นไปอีกรุ่นหนึ่ง และมองว่า คนได้รับการศึกษามากขึ้นเรียนหนังสือมากขึ้น อยากให้คนรุ่น ใหม่มีการศึกษา มีความรู้ ปกครองบ้านเมืองอยู่ในศีลในธรรม นายถาวรณ์ ไชยสุวรรณ ปัจจุบันอายุ 86 ปี ยังสุขภาพ แข็งแรง อาศัยอยู่กับภรรยา และลูกหลาน ที่บ้านเลขที่ 67 ถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 8 ตำบลสุไหงโกลก อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส 157
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 9. นายเรวัต ราชมุกดา ขอ้ มลู การดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2512 สังกัดพรรคสหประชาไทย ข้อมลู ส่วนบุคคล นายเรวัต ราชมุกดา เป็นคนที่มีเชื้อสายราชวงศ์ “ตนกู” หรือ “ต่วนกู” บ้านเดิมเป็นคนอำเภอยี่งอ จังหวัด นราธิวาส เรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วย้ายมาอยู่ ที่อำเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัด นราธิวาส ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้รับการเลือกตั้ง ใน พ.ศ.2512 สังกัดพรรคสหประชาไทย 10. นายสิดดิก สารีฟ ขอ้ มูลการดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ. 2518 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และสมัยที่ 2 พ.ศ.2519 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ข้อมลู สว่ นบุคคล นายอัตตา สารีฟ เล่าให้ฟังว่า นายสิดดิก สารีฟ บิดา เป็นคนดั้งเดิมในอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส บิดาของ นายสิดดิก เป็นชาวอินโดนีเซีย มารดาเป็นคนไทย นายสิดดิก เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2472 จบการศึกษาระดับประถม ศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนในอำเภอสุไหงปาดี ระดับมัธยมศึกษา 158
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ ไปเรียนต่อด้านวิชาชีพ ที่โรงเรียนสากลการบัญชี และไปเรียนทางศาสนา นายสิดดิก มีบุตร –ธิดา รวม 6 คน นายอัตตา กล่าวว่า บิดาของนายสิดดิกหรือปู่ของตนนั้น เป็นวิศวกรสร้างทางรถไฟสายสุไหงโก-ลก ถึงตันหยงมัส มาตั้ง ถิ่นฐานที่อำเภอสุไหงปาดีมีที่ดินมากมาย บิดาของนายสิดดิก เป็นคหบดีคนหนึ่งของอำเภอสุไหงปาดี ทำการค้าขายเรื่อง ข้าวสาร นายสิดดิก เป็นผู้ที่มีอิทธิพลคนหนึ่งในอำเภอสุไหงปาดี ในสมัยนั้นผู้มีอิทธิพลคือผู้ที่มีความรู้มาก และติดตาม นายสุริยน ไรวา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส โดยการจัดสรรข้าวสารให้ชาวบ้าน อำเภอสุไหงปาดีติดชายแดนมาเลเซีย นายสิดดิก เห็น พ่อค้ามีการลักลอบนำข้าวสารไปขายที่มาเลเซีย จึงทำการฟ้อง ร้องต่อเจ้าพนักงานให้จับกุมพ่อค้าที่ลักลอบเอาข้าวสารไปขาย ให้กับมาเลเซีย จึงถูกทางการเพ็งเล็งว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพล ในพื้นที่ เพื่อนที่เคยติดต่อกันก็หายหน้าไปหมด ฐานเสยี งและเครือขา่ ยทางการเมือง ใน พ.ศ.2511 นายสิดดิก ถูกจับกุมและจองจำ รวมแล้ว 4 ข้อหาที่หนักสุดคือ ข้อหากบฏ และแบ่งแยกดินแดน ถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส 1 เดือน ก็ถูกส่งตัวไปที่ เรือนจำกรุงเทพฯ การจับกุมของทางราชการครั้งนี้ ได้จับกุมผู้ที่ มีอิทธิพลทางด้านศาสนา ผู้ที่มีความรู้ในจังหวัด อำเภอ และใน 159
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส พื้นที่ไปประมาณ 40 คน สมัยนั้นเป็นสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร หรือประภาส จารุเสถียร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งหมด ถูกจับกุมและจองจำอยู่ประมาณ 6 ปีในเรือนจำที่กรุงเทพฯ หลังจากนั้นศาลยกฟ้องทั้งหมด หลังออกจากเรือนจำใน พ.ศ.2517 นายสิดดิก ก็สมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรค ประชาธิปัตย์ เริ่มจากในเรือนจำที่สอนให้รู้ว่าการเป็นผู้มี อิทธิพลไม่ได้ช่วยอะไรชาวบ้านได้มากเท่ากับการเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร สมัยก่อนไม่มีการสร้างเครือข่าย มีแต่เพื่อนที่ช่วยกัน หาเสียงให้ มีความสนิทสนม และความเคารพนับถือซึ่งกันและ กัน เรามีตรงนี้มากกว่า ในหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านบ้างที่ชาวบ้าน ให้ความเคารพน้อยกว่าผู้นำศาสนา เราก็เข้าหาผู้นำทางศาสนา ที่มีความรัก ความนับถือมากกว่า เช่น โต๊ะอิหม่าม แต่โดย ส่วนตัวของนายสิดดิกมีคนรู้จักมาก มีเพื่อนมาก การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ.2518 นายสิดดิก ก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นราธิวาส เป็นสมัยแรกอยู่ได้ประมาณ 5-6 เดือนก็ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ใน พ.ศ.2519 นายสิดดิกก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง พอจัดตั้งรัฐบาลนายสิดดิก ก็ได้รับ เลือกตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นอยู่ 6 เดือน ก็เกิดการปฏิรูปทางการเมือง ยุบสภา 160
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส กลวิธีการหาเสียง นายอัตตา เล่าว่า ตนเองช่วยบิดาหาเสียงมาตลอด ในสมัยนั้นการหาเสียงเป็นงานที่หนักมาก โดยเฉพาะสังคม ทางภาคใต้จะแตกต่างกับสังคมเมืองหรือกรุงเทพฯ ในเมือง ตั้งเวทีปราศรัย พูดเก่ง มีตัวเลข ชาวบ้านเข้าใจฟังก็เลือกได้ แต่ชาวบ้านของจังหวัดนราธิวาสสมัยก่อนการหาเสียงเราต้อง ใช้ทั้ง 2 ภาษา เก่งภาษาใดภาษาหนึ่งเราก็ออกหาเสียงไม่ได้ ต้องได้ทั้งไทยพุทธ ไทยมลาย ู การปราศรัยต้องใช้ภาษามลายู เป็นหลักโดยพื้นฐานของคนจังหวัดนราธิวาสมลายู 100 % ใช้ ภาษามลายูปราศรัย 80 % ชาวบ้านก็ชอบฟัง นายสิดดิก เป็น นักปราศรัยที่เก่งมาก เวลาไปปราศรัยที่ต่างๆ จะมีชาวบ้านมา ฟังมาก การหาเสียงสมัยก่อนไปทุกพื้นที่ ทุกตารางเมตร ก็ว่าได้ ทุกอำเภอเพราะเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต ไปหา เสียงครั้งละประมาณ 3-4 เดือนติดต่อกัน ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ไม่ต้องกลับบ้านเหตุการณ์ต่างๆ ก็แตกต่างกับปัจจุบันนี้มาก สมัยก่อนหาเสียงค่ำไหนนอนนั่น นอนได้ทั้งวัดและมัสยิด ลำบากในการเดินทาง แต่ใช้เงินไม่มากเหมือนสมัยนี้ นายอัตตา เปรียบเทียบการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2518 – พ.ศ.2519 กับ พ.ศ.2527 ที่นายสิดดิก ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง นายอัตตากล่าวว่าตนเองเป็นคนจัดสรรเรื่องเงินทั้งหมด เงิน 1 ล้านบาท ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นหมดไม่ต้องไปที่อื่น นั่งอยู่ใน บ้านก็หมดแล้ว มีหัวคะแนนมานั่งรอรับเงินอย่างเดียว สมัยที่ นายสิดดิก หาเสียงใน พ.ศ.2518-2519 เงินแทบจะไม่ได้ใช้เลย ถ้าจะใช้ก็ค่าน้ำมันกับค่าอาหารเท่านั้น การหาเสียงลำบากมาก มีรถจี๊บคันเดียวตระเวนไปทั่วจังหวัดนราธิวาส การหาเสียงตอน 161
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส นั้นก็สนุกมากด้วย ทีมงานหาเสียงก็ไม่มีการจัดระเบียบเหมือน สมัยนี้ นายอัตตากล่าวว่า เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ตนเองก็เป็นทีม งานหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ ทีมงานหาเสียง ดีมาก มีการจัดระเบียบ แต่ตอนที่ทำกับนายสิดดิกไม่มีระเบียบ อะไรเลย คนมุสลิมโดยพื้นฐานถ้าเราเป็นมุสลิมด้วยกัน การหาเสียงก็เป็นการง่าย เพราะในพื้นที่เป็นคนมุสลิมเกือบ 100% ในพื้นที่ไทยพุทธเราก็ไม่มีการหาเสียงในพื้นที่ หมู่บ้าน ไทยพุทธก็ให้หัวคะแนนในพื้นที่ 2 -3 คนลงไปช่วยหาเสียงให้ เท่านั้น ในการเลือกตั้งครั้งหลังสุด 3 กรกฎาคม พ.ศ.2544 นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้ ไม่ต้องไปไหน เดี๋ยวพรรค โน้นมา พรรคนี้มา แต่จริงๆ แล้วชาวบ้านไม่ต้องการ เพราะรู้ว่า ผิดหลักศาสนา ปัจจุบันสังคมกว้างขึ้น ความต้องการของ ชาวบ้านมากขึ้น เศรษฐกิจแย่ลง เงิน 100 บาทชาวบ้านก็รับ แต่ จะไปลงคะแนนเลือกนั้น นายอัตตากล่าวว่าตนเองไม่แน่ใจ ตอนนี้การเมืองจังหวัดนราธิวาสเปลี่ยนไป ผู้แทนทั้งหลายเป็น คนทำให้การเมืองเปลี่ยน บอกว่าถ้ามีการเลือกผู้แทนต้องเอา เงินนะ มอบอะไรต่างๆ ให้กับชาวบ้าน ชาวบ้านเปลี่ยนไปมอง ว่าการเลือกผู้แทนดี เพราะได้เงิน ขอ้ มูลอนื่ ๆ นายอัตตา กล่าวว่า เป็นภาพที่ประทับใจ คือ ภาพที่ ชาวบ้านโห่ร้องต้อนรับนายสิดดิก เวลาที่กลับบ้านที่อำเภอ สุไหงปาดี ลงที่สถานีรถไฟสุไหงปาดี เดินมาถึงบ้านก็เปิดเวท ี ที่บ้าน โดยการขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แล้วพูด ชาวบ้านมาฟังนาย สิดดิกพูด ดีใจที่ผู้แทนได้ทำอะไรให้กับชาวบ้าน 162
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หลังจากที่นายสิดดิก เสียชีวิต นายอัตตา กล่าวว่า ตนเองได้อ่านบันทึกที่นายสิดดิกเขียนว่า ตนเองเข้าไปเป็น ผู้แทนทำไม หลายเดือนที่เป็นผู้แทนตนเองไม่สามารถทำอะไร ได้เลย ถามตนเองว่าเข้าไปเป็นผู้แทนทำไม พูดถึงตนเองว่า พลาดไปที่เป็นผู้แทนและไม่ได้ทำอะไรให้ชาวบ้านได้รับ ประโยชน์จากตัวเราเลย จุดมุ่งหมายของนายสิดดิก คือต้องการ ช่วยชาวบ้านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดี กินดี เท่านั้น แต่ที่เรา เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา เราช่วยคนรวยที่มี โรงเรียนสอนศาสนาเอกชนในการขอรับใบอนุญาตทั้งนั้น นายสิดดิก ได้ให้คะแนนในการเป็นผู้แทนเท่ากับศนู ย์ นายอัตตา กล่าวว่า ถ้าคิดว่าการเมืองเป็นมรดก บุคคล นั้นก็ไม่ใช่นักการเมือง คนเป็นนักการเมืองต้องเป็นตัวของ ตัวเอง มีความสามารถโดยตัวเอง การเมืองตั้งแต่ พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2554 ไม่มีความแตกต่างกันมากเพราะ สภาพจิตใจของคนไทยไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก จังหวัด นราธิวาสเองก็ไม่แตกต่าง แตกต่างกันตรงที่นักการเมืองที่มาลง เลือกตั้งที่มาสร้างภาพของตนเองให้ดีขนาดไหน แต่ยังเป็น รูปแบบเดิมๆ อยู่ แต่ก็มีบ้างที่คนลงสมัครรับเลือกตั้งอายุ น้อยๆ 33 ปี 2-3 คน ใช้วิธีการหาเสียงแบบคนรุ่นใหม่ หลังจาก ติดป้าย แล้วก็มีการเดินถือป้ายแห่ป้ายทั่วตลาด แต่ยังไม่มีใน พื้นที่มากนัก คนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่ พ.ศ.2475 จนถึง สมัยของนายสิดดิก เป็นบุคลที่มีอิทธิพลทางสังคม มีตำแหน่ง ทางราชการ เป็นคนมาจากที่อื่นเดินถือกระเป๋าเข้ามาในพื้นที่ บ้างและเป็นคนในพื้นที่บ้าง เพราะสมัยนั้นคนในพื้นที่เป็นคนที่ มีการศึกษาน้อย ยังไม่เก่ง ยังไม่รู้เรื่องการเมืองมากนัก 163
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส นายอัตตา ฝากถึงผู้ปกครองของเยาวชนคนรุ่นใหม่ว่า ให้ตระหนักให้มากขึ้น โลกยุคปัจจุบันเป็นสังคมเทคโนโลยี มากแล้ว ทุกอย่างก้าวไปอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นเด็กและเยาวชน ต้องเป็นเหยือ่ ของสังคมเหลา่ นี้ที่ไม่ดี เราต้องพึงสงั วรณว์ า่ ถา้ เรา ไม่ดีเด็กและเยาวชนต้องไม่ดีไปด้วย สิ่งที่จะช่วยได้คือคุณธรรม ศาสนาอิสลามสอนทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย สอนทั้งหมด ให้ผู้ปกครอง พ่อ แม่ นำคำสั่งสอนในศาสนามาสอนลูกหลาน ให้เข้าใจ คนในพื้นที่เข้าใจศาสนาดีแต่ยังไม่ปฏิบัติ เหมือนเรา ไปวัดเพื่อฟังเทศน์ แต่จิตใจยังไม่ละ ถ้าเรามีหลักการ มีศาสนา สอนทุกอย่างที่เรียนรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้บุตร หลาน เด็ก และเยาวชนเป็นคนดีได้ และสังคมก็ไม่สามารถทำอะไรกับเด็ก และเยาวชนเหล่านั้นได้ เราสามารถเอาคำสอนของศาสดา มาสอนได้ทั้งหมด เช่น เราไม่เป็นผู้ที่ฉกฉวยโอกาส ไม่พูดจา โกหก ความไม่ทะเยอทะยาน ในหลักศาสนาอิสลามสอน ทั้งหมด เราเอามาปฏิบัติเป็นตัวอย่าง เด็กและเยาวชนก็จะเป็น คนดี มีคุณภาพ ในส่วนตัวของนายอัตตานั้น เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ ตนเองชอบ เพราะนายสิดดิกเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางด้าน ความคิดต่อตนเอง และชาวบ้าน ช่วยเหลือชาวบ้านตลอด นายอัตตาคิดว่าการเมือง หรือการเลือกตั้งถ้าต้องเสียเงินตลอด ถ้าไม่มีพรรคที่สนับสนุนจะเอาเงินที่ไหนมาหาเสียง ตนเองก็ไม่ ได้มีฐานะร่ำรวย ถ้าลงเล่นการเมืองสมัยนี้ลำบาก ตอนนี้ นายอัตตา ก็อยู่เบื้องหลังการเมือง ช่วยบอกให้ชาวบ้านรับรู้ถึง สถานการณ์บ้านเมืองและนโยบายของพรรคต่างๆ ที่ส่งผู้สมัคร ลงเลือกตั้ง บอกชาวบ้าน เพราะชาวบ้านไม่สนใจเรื่องพรรค 164
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เรื่องนโยบายพรรค นายอัตตา กล่าวว่านี้ก็เป็นการเมืองเหมือน กันแต่เราไม่ได้ลงไปเล่นเอง 11. นายวชิระ มโรหบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2519 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ไม่สามารถสืบค้นข้อมลู ด้านอื่นๆ ได้) 12. นายศิริ อับดุลสาและ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ. 2519 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ขอ้ มูลสว่ นบุคคล นายศิริ อับดุลสาและ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาล เมืองนราธิวาส อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นายศิริ เป็นคนดั้งเดิมที่ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี แล้วย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส นายศิริ เป็นข้าราชการคือเป็นศึกษานิเทศก์ เป็นครูสอนตาม โรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา และโรงเรียนสามัญ เป็นคนที่ชอบ ช่วยเหลือคนอื่น โดยการต่างๆ ชอบการเมืองและช่วยเหลือ ชาวบ้าน ตอนที่นายศิริ ลงเล่นการเมืองนั้น นายรังสฤษดิ์อยู่ชั้น ประถมปีที่ 5 เห็นนายศิริ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ สมัยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และ ตอนที่นายศิริ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นได้ส่งตนเองไป เรียนหนังสือกรุงเทพฯ เมื่อเกิดการปฏิวัติก็กลับลงมาอยู่ที่ จังหวัดนราธิวาส 165
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ด้วยบุคลิกของนายศิริ เป็นคนที่สู้คน มีความอดทนสูง กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง สง่างาม วางตัวเรียบร้อย และเป็นคน ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน จึงลงเล่นการเมืองสมัครเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเพราะเห็นว่าการเป็นนักการเมืองนั้นมีอำนาจ สามารถที่จะช่วยชาวบ้านได้มากกว่า การที่ช่วยเหลือชาวบ้าน อย่างจริงจังทำให้นายศิริ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในการหาเสียงนั้น นายศิริ ไม่ได้ใช้เงินในการ หาเสียงเลย ชาวบ้านช่วยออกให้หมด การเมืองปัจจุบันนี้ต่างกับการเมืองสมัยก่อนมาก คนที่ ลงเล่นการเมืองต้องมีเงินมาก และมีเงินเมื่อไหร่ก็เป็น นักการเมืองได้ การเมืองจังหวัดนราธิวาสเปลี่ยนไปมากเหมือน กับที่จังหวัดอื่นๆ ต้องใช้เงิน ถ้าไม่มีเงินก็เป็นนักการเมืองไม่ได้ หลังจากเลิกเล่นการเมืองระดับชาติ นายศิริก็ลงสมัคร เป็นนักการเมืองท้องถิ่นและได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองนราธิวาส (สัมภาษณ์ นายรังสฤษดิ์ อับดุลสาและ บุตรชาย) 13. นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ.2522 สังกัดพรรคกิจสังคม สมัยที่ 2 พ.ศ. 2531 สังกัดพรรครวมไทย ขอ้ มลู ส่วนบคุ คล นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ เป็นคนบ้านดูซงญอ อำเภอ จะแนะ จังหวัดนราธิวาส จบการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียน บ้านดุงซงญอ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส จบการศึกษา 166
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ระดับประถมปลายที่โรงเรียนจะแนะ จบการศึกษาชั้นเตรียม อุดมศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร และวิทยาศาสตร์ บัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ประสบการณ์ในการทำงาน นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ รับราชการเป็นพัฒนากร ประจำศูนย์พัฒนาชุมชนเขต 9 ยะลา อาจารย์วิทยาลัย สาธารณสุขภาคใต้ ยะลา อาจารย์พิเศษศูนย์อนามัยแม่และ เด็ก เขต 9 ยะลา นักสุขศึกษาโครงการกำจัดไข้มาเลเรีย แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี การเขา้ สู่การเมือง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เล่าว่า ตนเองรู้จัก และติดตามนาย ปริญญา เจตาภิวัฒน์ ตั้งแต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก ว่างๆ ตนเองก็ถามนายปริญญา ว่าทำไมมาลงเล่น การเมอื ง เนอ่ื งจากหนา้ ทก่ี ารงานกด็ ี เปน็ ถงึ อาจารยส์ าธารณสขุ มีฐานะปานกลาง นายปริญญา ตอบว่า การเมืองไม่ใช่ของใคร บางคน เป็นของประชาชนทุกคน ทุกคนมีสิทธิ ไม่ใช่เฉพาะของ นักการเมือง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะการเมืองนั้น เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน การเป็นผู้แทนไม่ใช่ เฉพาะคนในเมือง เราเป็นคนในชนบทก็มีสิทธิที่จะเป็นผู้แทนได้ นายปริญญาสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกสอบตก นายปริญญา เป็นคนที่มีอุดมการณ์สูง ไม่ใช้เงินในการหาเสียง พอลงสมัคร รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 สังกัดพรรค สยามประชาธิปไตย ก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน 167
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ราษฎร สมัยนั้นนายปริญญาใช้เงินหาเสียงทั้งจังหวัดประมาณ 50,000 บาท นายปริญญาลงสมัครครั้งแรกในนามพรรค กิจประชาคม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้ติดตามทำงานกับนายปริญญา ตลอด นายปริญญาเป็นคนที่ทำการบ้านเวลาที่จะไปประชุม สภา ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ กับชาวบ้านในพื้นที่ว่า มีความเดือดร้อนอะไรบ้าง และนายปริญญาไม่ใช่นักการเมือง ที่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เล่าว่า นายปริญญาเป็นคนรอบคอบ สุขุม นิสัยหนักแน่น ไม่เอนไปข้างใดข้างหนึ่ง คิดก่อนเสมอ จะดูว่าใครจะเข้ามาอย่างไร หาผลประโยชน์กับนายปริญญา หรือเปล่า คนที่เป็นนักการเมืองจะมีคนมาหา หลายๆ คนจะมา หาผลประโยชน์ นายปริญญาจะตรวจสอบก่อน นายปริญญา จะมีทีมงาน ทีมที่ปรึกษาโดยเฉพาะนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายปริญญาจะปรึกษาตลอด ฐานเสยี งและเครือขา่ ยทางการเมือง นายปริญญาเป็นคนที่มีญาติ พี่น้องมาก ทุกคนช่วยกัน ตอนนั้นอิทธิพลการเงินไม่มีเลย การไปหาเสียงก็แค่ฝากความ คิดถึงไป ทุกคนมีความจริงใจ มีกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มต่างๆ ก็ช่วย กันหาเสียง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ กล่าวว่า นายปริญญา เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่อภิปรายในสภาเก่ง เป็นคนตรงไปตรงมา บทบาทหน้าที่ตรงนั้นทำให้ชาวบ้านนึกไม่ออกว่าบทบาทหน้าที่ 168
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ของผู้แทนคืออะไร นายปริญญา เป็นนักการเมืองที่เป็น นักวิชาการ ไม่ใช่นักการเมืองโดยอาชีพ หรืออาชีพนักการเมือง ที่ลงสมัครตั้งแต่สมาชิกสภาจังหวัด แล้วมาสมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร นายปริญญาเป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ เข้ามา เป็นผู้แทนโดยอุดมการณ์ การที่จะฝากลูก ฝากหลานเรียนต่อ หรือทำงานไม่ได้เลย ทำให้ญาติ พี่น้องหรือหัวคะแนนคนอื่นๆ ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แรงจูงใจที่ทำให้นายปริญญาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น เพราะเพื่อนๆ อาทิเช่น นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา นายเสนีย์ มะดากะกุล เพื่อนร่วมรุ่น ตอนนั้นผู้ที่ลงสมัครเป็นอาจารย ์ ทั้งนั้น นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยครู สงขลา นายเสนีย์ มะดากะกุล เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย สงขลานครนิ ทร์ ปตั ตานี นายปรญิ ญา เจตาภวิ ฒั น์ เป็นอาจารย์ ที่วิทยาลัยสาธารณสุขยะลา เพื่อนเล่นการเมือง สมัยนั้นคนที่ เล่นการเมืองมีการศึกษาระดับปริญญา เรียนหนังสือ คนไม่มี การศึกษาหรือระดับบ้านๆ น้อยมาก การศึกษาระดับปริญญา โทแทบจะไม่มีเลย เลยเป็นโอกาสและจังหวะในตอนนั้น มีความคิดความอ่านกว้างขวางกว่าคนอื่น สมัยก่อนเวลาแจก แผ่นพับ หรือโปสเตอร์ ให้กับชาวบ้านจะเขียนประวัติการศึกษา ว่าจบปริญญาโท สมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ กลุ่มหรือหัวคะแนนที่ช่วยนั้นจะประชุมระดับหมู่บ้าน ก่อน แล้วไปหาเครือข่าย ใครมีญาติพี่น้องก็ไปบอกกัน ไปหา ญาติให้ช่วยหาเสียง จนได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย 169
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส วธิ ีการหาเสยี ง วิธีการหาเสียงของนายปริญญานั้น นายปริญญาเป็น นักพูด หาเสียงโดยวิธีการปราศรัยทั้งภาษาไทยและภาษายาวี ถ้าที่ไหนมีการปราศรัย หรือจังหวัดจัดเวที นายปริญญาจะไป ทุกเวที จะไม่พลาดในการปราศรัย จะไปทุกงาน แต่ที่สำคัญคือ การเดินเคาะประตู หรือบันไดบ้านทุกบ้าน การหาเสียงสมัยนี้ ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้จะหาฟังปราศรัยก็ยากในเขตการ เลือกตั้งเกือบจะไม่มีเลย ชาวบ้านไม่รู้เรื่องพรรค เรื่องนโยบาย มากนัก ไม่รู้ว่าเลือกตั้งไปแล้วผู้แทนไปทำอะไรในสภาและ มองว่าการเมืองสมัยนี้ถอยหลังมาก เพราะไม่มีการปราศรัย ไม่มีการศรัทธาในตัวบุคคล ศรัทธาในความสามารถ เดี๋ยวนี้มา เป็นใครก็ได้ให้มีเงินเป็นใช้ได้ 50 ล้านก็ได้เป็นผู้แทนแล้ว ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ กล่าวว่า นายปริญญาเป็นคนที่ไม่ ถือตัว นั่งกินข้าวกับชาวบ้านตลอด นั่งกินหมากกับคนแก่ ขอ้ มูลอน่ื ๆ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ กล่าวว่า การเมืองปัจจุบันนี้แตกต่าง กับตอนที่หาเสียงให้นายปริญญาโดยสิ้นเชิง เพราะปัจจุบันนี้ หาเสียงขนาดไหนถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้ สมัยแรกที่นายปริญญา ลงสมัครจะเสียเงินก็เฉพาะป้ายหาเสียงเท่านั้น หรือการไปงาน กินเหนียว กินงานต่างๆ เท่านั้น ที่จะแจกเงินไม่มีเลย ไม่ใช่ เฉพาะนายปริญญา คนอื่นๆ ก็ไม่มี คนที่ผูกขาดทางการเมือง อย่างนายสิกดิก สารีฟ ก็ไม่มีการแจกเงิน สมัยก่อนนั้นต้นทุน ต่ำในเรื่องของปัจจัยต่างๆ ไม่ต้องใช้มาก แต่ต้องใช้ต้นทุนของ ตนเองสูง ความสามารถส่วนตัว ได้เป็นผู้แทนแล้ว เรื่อง 170
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส อุดมการณ์ เรื่องบทบาทหน้าที่สามารถแสดงได้เต็มที แต่ตอนนี้ กลับกันต้นทุนของตนเองไม่ค่อยมี ไม่เป็นไร ให้มีกระสุนเยอะๆ (เงินมากๆ) ก็ได้เป็น มีหัวคะแนนที่แข็งๆ พอได้เป็นขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องสนใจชาวบ้านก็ได้ บางคนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปอยู่ในสภา 4 ปี 8 ปี ไม่เคยพูดสักคำ เพราะไม่ต้องสนใจ ชาวบ้าน ถึงเวลาลงมามีเงินก็ได้ แต่สมัยก่อนไม่ได้นะ นี้คือ ความแตกต่าง สมัยก่อนบทบาทผู้แทนจะดูในสภา ภาพสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยเก่ากับสมัยใหม่ต่างกัน คนละเรื่อง ชาวบ้านเปลี่ยนไปเพราะการใช้เงินหาเสียง เรื่องการศึกษาด้วย และเป็นที่ตัวนักการเมืองด้วย ด้วยบุคลิกนักการเมืองนักวิชาการ การปราศรัยเก่ง และ มีบุคลิกที่เหมือนกันสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มี 3 คน นายปริญญา เจตาภิวัฒน์ นายเสนีย์ มะดากะกุล นายวันมู- หะหมัดนอร์ มะทา 14. นายเสนีย์ มะดากะกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส 3 สมัย สมัยที่ 1 พ.ศ.2522 สังกัดพรรคกิจสังคม สมัยที่ 2 พ.ศ.2526 สังกัดพรรคกิจสังคม และสมัยที่ 3 พ.ศ. 2531 สังกัดพรรค กิจประชาคม (ไม่สามารถสืบค้นข้อมลู ด้านอื่นๆ ได้) 15. นายสิทธิชัย บือราเฮง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2526 สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตย 171
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ข้อมูลส่วนบคุ คล อาจารยท์ รงศรี บอื ราเฮง (ภรรยา) เลา่ ใหฟ้ งั วา่ นายสทิ ธชิ ยั บือราเฮง เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2485 ที่ตำบลเฉลิม อำเภอ ระแงะ จังหวัดนราธิวาส เรียนหนังสือชั้นประถมต้นที่โรงเรียน บ้านเฉลิม อำเภอระแงะ และจบชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียน อิสลามศึกษา มีอาชีพทำสวน และทำงานบริษัท เป็นผู้จัดการ บริษัทขายรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ของบริษัทพิธานพาณิช จำกัด อาจารย์เล่าว่าในสมัยนั้นมีคนเรียนหนังสือน้อยมาก นายสิทธิชัยฯ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็มีความรู้พอสมควร เลยลงเล่นการเมืองท้องถิ่น เป็นสมาชิกสภาจังหวัด 2 สมัย เป็นประธานสภาจังหวัดนราธิวาส 2 สมัย หลังจากนั้นก็ผัน ตนเองมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาส ใน พ.ศ.2526 เป็น ส.ส. อยู่ 1 สมัย ส่วนตัวของอาจารย์ทรงศรี เป็นคนตำบลจวบ อำเภอ เจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส บิดามารดาเสียชีวิตหมดแล้ว จบการศึกษาที่บ้านเกิด แล้วไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครูยะลา จบ ปกศ.ต้น ในสมัยนั้น จบแล้วก็ไปสอบบรรจุเป็นครู หลังจากนั้น ก็ได้ไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่สถาบันราชภัฏยะลาอีกครั้ง ปัจจุบันอาจารย์ทรงศรี อายุ 58 ปี (พ.ศ. 2554) อาจารย์ทรงศรี แต่งงานกับ นายสิทธิชัย บือราเฮง มีบุตร ธิดา 2 คน คนโตเป็นตำรวจอยู่ที่กรุงเทพฯ คนที่สองเรียน ระดับปริญญาโท อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตนเองจบครูมา ก่อนที่ จะสอบบรรจุเป็นครูนั้น ตนเองไปทำงานที่ที่ว่าการอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โดยทำงานเป็นประชาสัมพันธ์ของอำเภอ 172
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สมัยนั้นผู้ที่เป็น ส.จ.ต้องมาเข้าเวรมาดูแลที่อำเภอ อำเภอละ 1 คน ก็เจอกับนายสิทธิชัย ก็แต่งงานกัน ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด การที่ตนเองเป็นภรรยานักการเมืองนั้น ตนเองต้องเสียสละ พอสมควร บางครั้งที่เราทะเลาะกันอยู่ ชาวบ้านมาหาเรา ต้องเช็ดน้ำตาแล้วยิ้มออกไปรับหน้าชาวบ้าน เราต้องยิ้ม ทั้งน้ำตา คนที่เป็นภรรยานักการเมืองต้องยิ้มได้ทั้งน้ำตา เราไม่มีเวลาเป็นของตนเอง ทั้งกลางวัน กลางคืน ต้องต้อนรับ ชาวบ้านที่มาหาตลอด ถ้านายสิทธิชัยไม่อยู่ อาจารย์ก็ทำหน้าที่ แทนเมื่อชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือ พอเลิกจากโรงเรียนก็รีบ ไปตามที่นัดกับชาวบ้านไว้ ทำมาตลอดเวลาที่นายสิทธิชัย เป็น ส.ส. เราอยู่กับชาวบ้านแบบเครือญาติ พี่น้องกัน ไม่ม ี ผลประโยชน์อะไรกับชาวบ้าน เพื่อนๆ สามารถยืนยันได้ แม้แต่ บ้านก็ไม่สร้าง อยู่บ้านหลังเก่ามาตลอดจนถึงปัจจุบัน อาจารย์เล่าว่า ตอนที่นายสิทธิชัย เป็น ส.ส.นั้นมีเงินเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น นายสิทธิชัย ก็เป็น ส.ส.ได้ เงิน 1 แสนบาท หาเสียงทั้งจังหวัดนราธิวาส ไม่ใช่หาเสียงระดับเขตเหมือน สมัยนี้ นายสิทธิชัยได้เพราะแรงศรัทธาของชาวบ้าน อาจารย์ จะไปช่วยหาเสียงในวงการครูที่เรียนมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน บอกตรงๆ ว่าช่วยด้วยนะ เราไม่มีเงินนะ อาจารย์เล่าว่าตอนที่ นายสิทธิชัย เป็น ส.ส. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาดูผู้สูงอายุ 100 กว่าปี ที่บ้านอยู่ใกล้กัน เดินผ่านหน้าบ้าน ถามว่าบ้าน ส.ส.สิทธิชัย หลังไหน สมัยนั้นก็ยังเป็นอำเภอระแงะ ถามว่าบ้านนายสิทธิชัย อยู่ที่นี้ใช่ไหม คนติดตามบอกว่าใช่ บ้านที่ผ่านมาหลังนั้น พอมาที่บ้านรัฐมนตรีตกใจว่าทำไมบ้าน ส.ส.เป็นแบบนี้หรือ บ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง อยู่กันได้อย่างไร ตอนนั้นมีลกู เล็กๆ 2 คน 173
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส การเข้าสูก่ ารเมือง การเข้าสู่การเป็นนักการเมืองของนายสิทธิชัย ได้รับการ สนับสนุนจากท่านผู้ว่าราชการในสมัยนั้น และเพื่อนๆ บอกว่า นายสิทธิชัย ควรจะสมัครลงเล่นการเมืองระดับชาติบ้าง เพราะ เป็น ส.จ.มา 2 สมัย ก็ได้ที่ 1 มาตลอด และนายสิทธิชัย เป็นคน กว้างขวางในสังคม ชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ ตลอดเวลา อยู่ใกล้ ชิดกับวงการราชการ ตอนนั้นจังหวัดนราธิวาสมี ส.ส. 3 คน คือ นายถาวร ไชยสุวรรณ์ นายเสนีย์ มะดากะกุล และ นายสิทธิชัย บือราเฮง นายสิทธิชัย ลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค สยามประชาธิปไตย มีพันเอก พล เรืองประเสริฐวิทย์ เป็น หัวหน้าพรรค และได้ร่วมรัฐบาลกับ พลเอกเปรม ในสมัยนั้น อาจารย์ทรงศรี เล่าว่า นายสิทธิชัยสนใจการเมือง มาตลอดเวลาตั้งแต่แต่งงานกันมา นายสิทธิชัย ก็ทำงาน การเมืองมาตลอด นายสิทธิชัย เคยเป็นที่ปรึกษาของนายไสว พัฒโน เป็นกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส และเป็น กรรมการการศึกษาอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธ์ และบทบาทกลมุ่ ผลประโยชน ์ เครือข่ายความสัมพันธ์ในการสนับสนุนให้นายสิทธิชัย เป็น ส.ส. นั้น อาจารย์ทรงศรี เล่าว่ามีกลุ่มเครือข่ายญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง สนับสนุนมาตลอด และสมัยนั้นก็มีคุณลุง เป็นกำนัน และมีญาติเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน) คอยให้การสนับสนุน 174
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส บทบาทการเป็น ส.ส.สมัยนั้น นายสิทธิชัย ได้ขอ งบพิเศษสนับสนุนในด้านการก่อสร้างต่างๆ สนับสนุนด้าน การศึกษาตามที่โรงเรียนต่างๆ ต้องการ สมัยนั้นงบด้านการ ก่อสร้างทางการศึกษามีน้อยมาก ตอนที่นายสิทธิชัยเป็น ส.ส. อาจารย์ทรงศรีสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านโคกตา อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนบ้านบูเกะตาโมง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส บทบาทการทำงานเพื่อ สังคมนั้น อาจารย์ทรงศรี เล่าว่า ตนเองนั้นช่วยสามีมาตลอด เช่น กลางวันตนเองจะสอนหนังสือที่โรงเรียน พอตอนกลางคืน ตนเองจะไปช่วยสอนภาษาไทยให้กับคนที่พูดภาษาไทยไม่ได้ใน หมู่บ้าน สมัยนั้นผู้ที่มาเรียนมีอายุมากๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่ อายุ 20 ถึง 70 ปี ซึ่งไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน กลวธิ กี ารหาเสียง นายสิทธิชัย ใช้ความใกล้ชิดกับชาวบ้าน ช่วยเหลือ ชาวบ้านทุกๆ ด้าน แต่เราไม่มีเงิน เราเป็นคนจนจึงต้องใช้ความ ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ในช่วงเวลาที่นายสิทธิชัย เป็น ส.ส. ก็ไม่ เคยหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและครอบครัวเลย ตั้งแต่เป็น ส.จ. มาถึง ส.ส.ไม่มีสมบัติอะไรเลย บ้านก็ไม่ได้สร้างยังอาศัย อยู่หลังเก่าที่อยู่ นายสิทธิชัย เป็น ส.ส.อยู่ประมาณ 2 ปี ก็มีการ ยุบสภา อาจารย์ทรงศรี บอกว่า ตนเองมีความภาคภูมิใจในตัว นายสิทธิชัย เพราะเป็นคนที่ช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสังคม มาตลอด ช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เป็นนักการเมือง ที่แสวงหาผลประโยชน์ นี้คือความภาคภูมิใจที่สุด และไม่เคย 175
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เสียใจที่เป็นภรรยานักการเมือง เพราะเรามีใจพร้อมที่จะ สนับสนุนและช่วยเหลือสามี ถ้าหลังบ้านไม่พร้อมการเป็น นักการเมืองก็ลำบาก พอเลิกจากการเป็น ส.ส. นายสิทธิชัย มีสุขภาพที่ไม่ดีนัก ขอ้ มูลอนื่ ๆ อาจารย์ทรงศรี กล่าวว่า ตัวนายสิทธิชัย ทำประโยชน์ ช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่นก กา หลากหลายมาอาศัย ต้องทำลายต้นไม้ใหญ่ก่อนถึงจะทำลาย นก กา หลากหลายพวกนั้นได้ ถ้านายสิทธิชัยยังมีชีวิตอยู่ ผู้ก่อความไม่สงบคงจะทำงานในพื้นที่ยากขึ้นกว่านี้ นายสิทธิชัย ถูกลอบยิงที่บริเวณร้านน้ำชา หน้าบ้าน เวลาประมาณ 18.00 น โดยไม่รู้ว่าคนที่กระทำต่อนายสิทธิชัย เป็นใคร มาจากไหน และเป็นเรื่องอะไร เพราะนายสิทธิชัย ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ก่อนที่จะเสียชีวิตก็เป็นประธานกรรมการการศึกษาไปนั่งคุยกับ กรรมการการศึกษาที่ร้านน้ำชา ว่าจะดูแลรักษาความปลอดภัย ของโรงเรียนอย่างไร นั่งคุยจนค่ำเหลือกัน 2 คน มีคนร้าย ขี่รถจักรยานมาจอดที่หน้าร้านน้ำชา แล้วจ่อยิงนายสิทธิชัย นัดแรก นายสิทธิชัย ล้มลง แล้วคนร้ายยิงซ้ำอีก 3 นัด แล้ววิ่ง หนีขึ้นรถจักรยานที่จอดรอขับออกไป ตนเองมีความรู้สึกว่า ทำไมสามีต้องมาเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ด้วย ด้วยสถานการณ ์ หรือเปล่า เพราะเราไม่ทราบเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นใครทำ แล้วคนทำมาจากไหน พอรู้ๆ ก็เป็นสถานการณ์แล้ว แล้ว คนภายนอกก็มองว่า พูดว่าอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่สีแดง คนในพื้นที่รู้สึกหดหู่นะ เราไม่สามารถจะหนีไป 176
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ไหนได้ และไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน เราหนีไม่ได้อีกแล้ว เราก็ต้องสู้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธ กับ ไทยมุสลิม อาจารย์ทรงศรี กล่าว พวกเราไม่เคยนึกคิดมาก่อน ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นทุกวันนี้ คนในพื้นที่ไม่ใช่จะรู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ นายสิทธิชัย ถูกยิงเสียชีวิตยังไม่รู้ว่าใครยิง หรือเรียกว่า สถานการณ์หรือ การสร้างสถานการณ์ เราไม่รู้ นายสิทธิชัย ถูกลอบยิงสมัยนั้น พันตำรวจโททักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เชิญอาจารย์ทรงศรี ไปพบและให้เงินมา 2 แสนบาท เท่านั้น สิทธิต่างๆ ของบุตรก็ไม่ได้รับ พอ นายสิทธิชัยเสียชีวิต อาจารย์ทรงศรี ต้องรับภาระทางบ้าน ทั้งหมด ลูกเรียน 2 คน ลูกพิการ 1 คน มารดา และน้าที่มา ดูแลลูก ภาระทั้งหมดอาจารย์ทรงศรีต้องรับคนเดียว ซึ่งหนัก มาก อาจารย์ทรงศรี กล่าวว่า ตนเองเป็นข้าราชการครู สมัยนั้น ก็ไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เงินเยียวยาก็ไม่มีเหมือนสมัยนี้ หน่วยงานตรงก็ไม่มีอะไรพิเศษให้เหมือนกับปัจจุบัน ไม่ว่าจะ เป็นขั้นเงินเดือน เงินช่วยเหลือบุตร เงินเยียวยาต่างๆ จาก สายงาน อาจารย์ไม่เคยได้รับ ไม่มีใครมาถามเลยว่าเราเป็น อย่างไรทั้งๆ ที่เราเป็นข้าราชการในพื้นที่ จนกระทั่งมีหมู่บ้าน ของสมเด็จฯ มาสร้างที่บ้านรอตันบาตู จังหวัดนราธิวาส ถึงเริ่ม เข้ามาช่วยเหลือให้บ้านพัก อาจารย์กล่าวว่า คุณภาพชีวิตของ ตนเองแย่ลงมากหลังจากที่นายสิทธิชัย เสียชีวิต อาจารย์ทรงศรี ฝากให้คนรุ่นหลังให้ตั้งใจเรียน ไม่ว่าจะ เรียนทางศาสนาหรือสายสามัญหรือสายอาชีพ ให้เรียนจริงๆ เราจะได้ความรู้ ได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง จะได้อยู่ในสังคม 177
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องและมีความสุข อยากให้เยาวชน เรียนจะเรียนอะไรก็ได้ให้รู้จริง จะได้ไม่ถูกหลอกลวงไปในทาง ที่ผิด (สัมภาษณ์ อาจารย์ทรงศรี บือราเฮง ภรรยา) สรุปนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคท่ี 2 ต้ังแต่ พ.ศ.2501 ถึง พ.ศ.2526 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคที่สอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 ถึง พ.ศ. 2526 การเมืองถิ่นยุคนี้เป็นยุคที่มีประชาธิปไตย เบ่งบาน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสมีบทบาทที่เป็นตัวตนของ ตนเอง แต่มีความคิดที่จะทำงานเพื่อส่วนร่วมเพื่อประชาชน เป็นหลัก เนื่องจากนักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่เป็นปัญญาชน เป็น ข้าราชการ และเป็นนักวิชาการ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มองเห็นความ เดือดร้อนและความต้องการของประชาชน นักการเมืองยุคนี้ จึงทุ่มเทชีวิตและจิตใจเพื่อประชาชน นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ ไม่มีกลุ่ม ผลประโยชน์สนับสนุนมากนัก ส่วนใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุน จะเป็นบุคคลในเครือญาติ หรือเพื่อนฝูงในวงการที่ตนเองสังกัด อยู่ และนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ได้รับการยอมรับ จากประชาชนเพราะเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ไม่ได้ติดยึดอยู่กับ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง 178
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส กลวิธีการหาเสียงนั้น นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคนี้เป็นยุคที่เด่นในการปราศรัย เนื่องจากนักการเมืองถิ่น ทุกคนปราศรัยเป็นภาษามลายูถิ่น ทำให้เกิดความเข้าใจ และ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ เครือข่ายของนักการเมืองถิ่นยุคนี้เป็นกลุ่มญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ที่สนับสนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง การแข่งขันทาง การเมืองยังไม่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่เป็นคนมา จากต่างพื้นที่ มาอยู่ในจังหวัด หรือย้ายมาประกอบอาชีพใน จังหวัดนราธิวาส เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับ เป็นบุคคล ที่มีชื่อเสียง และบารมีและได้รับการสนับสนุน บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมของนักการเมืองถิ่นยุคนี ้ จะเป็นนักวิชาการ นักต่อสู้เพื่อชาวบ้าน เป็นยุคที่เริ่มมี พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ยังไม่มีพรรคการเมืองในยุคนี้ ครองพื้นที่แบบพรรคเดียว มีพรรคการเมืองหลากหลาย ชาวบ้านที่ทำการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขานั้น เลือกเพราะตัวบุคคลมากกว่าเลือกพรรค การเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ ประชาชนจังหวัด นราธิวาสมีความเข้าใจในการเมือง และการเลือกตั้งมาก ประชาชนจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับ จังหวัด ไม่มีการซื้อสิทธิและขายสิทธิ ยังไม่มีการผูกขาด ทางการเมือง 179
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 4.3.3 นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาสยุคท่ี 3 ต้ังแต่ พ.ศ. 2527 ถึง พ.ศ. 2554 16. นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2529, พ.ศ.2531, พ.ศ.2535/1, พ.ศ.2535/2, พ.ศ.2538, พ.ศ.2539, พ.ศ.2544 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พ.ศ.2548, พ.ศ.2550 ประสบการณ์ทางการเมอื ง นายอารีเพ็ญ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรครั้งแรกที่จังหวัดนราธิวาส ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2529 และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด นราธิวาสเรื่อยมา จนกระทั่งในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 จึงย้าย มาลงสมัครรับเลือกตั้งในแบบบัญชีรายชื่อ นายอารีเพ็ญ เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลาย ตำแหน่ง อาทิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (15 สิงหาคม 2540 - 8 พฤศจิกายน 2540) เป็นรองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2547 เป็นเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2538 และเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2547 ใน พ.ศ. 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคมาตุภมู ิ ข้อมูลสว่ นบคุ คล นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 (ปัจจุบัน พ.ศ.2554 อายุ 60 ปี) เกิดที่ตำบลปะลุรู อำเภอ 180
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส มัธยมศึกษาต้อนต้นจากโรงเรียน เอกชนที่สุไหงปาดี มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนผดุงศิษย์ พิทยา ระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ และปริญญาโทสาขา บริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำเร็จการ ศึกษาประกาศนียบัตรชั้นสูง สาขาบริหารงานภาครัฐและ กฎหมายมหาชน สถาบันพระปกเกล้า นายอารีเพ็ญ กล่าวว่า ตนเองเป็นคนในอำเภอสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดีเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนราธิวาสที่มีผู้ได้รับ เลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด ในอดีตนั้นบิดา ของนายอารีเพ็ญเป็นหัวคะแนนให้กับนายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ ซึ่งเป็นคนพื้นเพจากอำเภอหนองจอก กรุงเทพมหานคร มาเป็น ผู้บัญชาการที่จังหวัดนราธิวาสแล้วมาแต่งงานกับคนอำเภอ สุไหงปาดี ซึ่งคนที่นายสมรรถ แต่งงานด้วยนั้นรู้จักกับบิดา และน้าชายของนายอารีเพ็ญ ในรุ่นนั้นบิดาของนายอารีเพ็ญ เรียกได้ว่าเป็นปัญญาชนเรียนหนังสือจบ ป.4 หนังสือไทย ภาษาไทยคล่อง ทั้งไทยท้องถิ่น ไทยกลาง สมัยนั้นอำเภอหนึ่งๆ จะมีหลายสิบหมู่บ้านห่างไกลออกไป การคมนาคมไม่สะดวก นายอารีเพ็ญจำได้ว่า ตอนเด็กๆ เห็นคนในหมู่บ้านออกมา ซื้อของที่อำเภอสุไหงปาดี ต้องนอนค้างที่อำเภอสุไหงปาดี การเป็นหัวคะแนนสมัยนั้นมีความสำคัญกับชาวบ้านมาก เรยี นระดบั มธั ยมทอ่ี ำเภอสไุ หงปาดี นา้ ชาย ชอ่ื นายสดิ ดกิ สารีฟ ถูกจับกุมใน พ.ศ. 2508 ในข้อหาเป็นภัยสังคมในสมัย จอมพลถนอม กิตติขจร ตอนหลังถูกฟ้องในข้อหากบฏ และ ความมั่นคง มีการจับกุมพร้อมกับครูเปาะสู คนดังๆ ในสมัยนั้น 181
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376