นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 9. อำเภอสุคิริน เทศบาลตำบลสุคิริน 10. อำเภอสุไหงโก-ลล เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก 11. อำเภอสุไหงปาดี เทศบาลตำบลปะลุร ู 2.5.2 ข้อมูลประชากรจังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาสมีประชากรทั้งสิ้น จำนวน 1,424,728 คน มีครัวเรือน จำนวน 329,255 ครัวเรือน จังหวัด นราธิวาสมีอัตราส่วนประชากรนับถือศาสนาพุทธมากที่สุด จำนวน 424,401 คน คิดเป็นร้อยละ 88.72 จังหวัดนราธิวาส มีประชากรมีถิ่นที่อยู่อาศัยไม่ประจำมากที่สุด จำนวน 54,740 คน คิดเป็นร้อยละ 3.85 ประชากรจังหวัดนราธิวาส มีวัตถุประสงค์จากไปเพื่อการทำงานมากที่สุด จำนวน 37,693 คน รองลงมาคือจากไปเพื่อศึกษา จำนวน 22,873 คน และจาก ไปเพื่อเผยแพร่ศาสนา จำนวน 155 คน ด้านการศึกษา จังหวัด นราธิวาส ประชากรมีความรู้ต่ำกว่า ป.6 จำนวน 197,192 คน คิดเป็นร้อยละ 41.22 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้น ไป จำนวน 13,100 คน คิดเป็นร้อยละ 2.74 การประกอบอาชีพ ประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากที่สุด ภาษาพูด ใช้ ภาษามลายูท้องถิ่น (ยาวี) มากที่สุด จำนวน 204,922 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 62.21 รองลงมาใช้ภาษาไทยผสมมลายูท้องถิ่น จำนวน 66,938 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 20.36 และใช้ภาษา ไทยเพียง 57,395 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 17.43 ความต้องการ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลจังหวัดนราธิวาส ต้องการรับ ความช่วยเหลือมากที่สุด คือ จัดหาอาชีพ จำนวน 173,863 รายการ คิดเป็นร้อยละ 20.68 และรองลงมา คือ การศึกษา จำนวน 132,093 รายการ คิดเป็นร้อยละ 15.72 จังหวัด 32
ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส นราธิวาสประกอบด้วย 13 อำเภอ 77 ตำบล 588 หมู่บ้าน จำนวนประชากรและจำนวนครัวเรือน ระหว่างปี 2546 – 2551 จ า ก ข้ อ มู ล ส ถิ ติ ป ร ะ ช า ก ร ข อ ง จั ง ห วั ด นราธิวาส มีอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรจากการเกิด และย้ายเข้ามากถึง 46,012 คน ในขณะที่อัตราการตายและ ย้ายออกมีจำนวน 29,104 คน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็น ว่า จังหวัดนราธิวาสแม้จะมีการเพิ่มของจำนวนประชากรสูงแต่ หากดูข้อมูลประชากรที่ตายและย้ายออกมีจำนวนเกินครึ่งของ ประชากรที่เพิ่มขึ้นเสียอีก รูปที่ 3 แสดงจำนวนประชากรและจำนวนครวั เรอื นของ จังหวัดนราธวิ าสระหว่างปี 2546 – 2551 จากรูปพบว่าจำนวนประชากรในปี 2546 - 2551 มี จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น เนื่องจากทางจังหวัดนราธิวาส มีอัตรา การเกิดเพิ่มขึ้นและอัตราการตายลดลงจึงส่งผลให้จำนวน 33
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ประชากรเพิ่มขึ้นดังกล่าว จำนวนครัวเรือนระหว่างปี 2546 - 2551 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบจำนวนครัวเรือนปี 2551 กับ 2546 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.85 สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ประชากรในจังหวัดนราธิวาสมีพฤติกรรมแยกเป็นครอบครัว เดี่ยวมากขึ้น สถานภาพแรงงานของจังหวัดนราธิวาส มีกำลัง แรงงานชายคิดเป็นร้อยละ 56.23 และมีกำลังแรงงานหญิง คิดเป็นร้อยละ 43.77 34
ตารางที่ 1 แสดงขอ้ มลู สถติ เิ กย่ี วกบั ประชากรจงั หวดั นราธวิ าส อำเภอ - เทศบาล ชาย จำนวนราษฎร รวม ครัวเรือน 33,979 68,712 อำเภอเมืองนราธิวาส 24,522 หญิง 49,549 14,589 อำเภอตากใบ 17,656 34,733 35,798 8,657 อำเภอบาเจาะ 19,386 25,027 39,263 6,104 อำเภอยี่งอ 28,956 18,142 58,114 7,096 อำเภอรือเสาะ 34,687 19,877 70,315 9,891 อำเภอระแงะ 14,189 29,158 27,556 11,699 อำเภอศรีสาคร 19,360 35,628 38,598 5,320 อำเภอแว้ง 9,968 13,367 19,121 6,940 อำเภอสุคิริน 15,507 19,238 32,067 5,094 อำเภอสุไหงโก-ลก 9,153 7,410 16,560 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส 35
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส จำนวนราษฎร ครัวเรอื น 36 อำเภอ - เทศบาล ชาย หญงิ รวม 8,706 23,742 23,920 47,662 5,452 อำเภอสุไหงปาดี 15,961 15,334 31,295 6,641 อำเภอจะแนะ 17,983 17,841 35,824 2,171 อำเภอเจาะไอร้อง 4,431 4,395 8,826 1,134 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลปะลุรู 1,593 1,467 3,060 1,258 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลสุคิริน 2,412 2,459 4,871 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลแว้ง 1,909 1,965 3,874 714 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลบเู ก๊าะตา 1,986 1,878 3,864 912 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลศรีสาคร 3,843 3,809 7,652 2,573 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลรือเสาะ 3,634 3,707 7,341 1,179 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลมะรือโบตก 3,946 3,894 7,840 2,770 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลตันหยงมัส
อำเภอ - เทศบาล ชาย จำนวนราษฎร รวม ครัวเรอื น 1,437 2,842 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลยี่งอ 4,261 หญงิ 8,387 772 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลบาเจาะ 1,836 1,405 3,728 1,725 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลต้นไทร 8,165 4,126 16,745 ท้องถิ่นเทศบาลตำบลตากใบ 19,625 1,892 41,230 728 ท้องถิ่นเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก 21,255 8,580 43,232 3,996 ท้องถิ่นเทศบาลเมืองนราธิวาส 21,605 12,035 รวม 356,229 21,977 717,366 12,397 155,810 361,137 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส 37 ทม่ี า : ที่ทำการปกครองจังหวัดนราธิวาส ข้อมูลเดือนธันวาคม 2551
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส รูปที่ 4 แสดงแผนท่ีจังหวดั นราธวิ าส 38
บ3ทท ่ี แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ในการศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสครั้งนี้ เพื่อ ให้ได้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะบริบททางสังคมและความ หลากหลายทางวัฒนธรรมทางการเมืองของจังหวัดนราธิวาส ที่จะช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่าง นักการเมืองถิ่นกับเครือข่ายและประชาชน และกลวิธีการที่ นักการเมืองถิ่นใช้ในการหาเสียง หรือความเป็นเอกลักษณ์ของ ท้องถิ่น ผู้วิจัยจึงจะนำเสนอทฤษฎี แนวคิด และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ถิ่นจังหวัดนราธิวาสที่สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ดังนี้
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 3.1 แนวคิด ทฤษฎี 3.1.1. ทฤษฎีความทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า การเมืองที่ทันสมัยต้องมีลักษณะ เป็นรัฐชาติ (Nation State) และเปิดโอกาสให้สิทธิแก่ประชาชน เขา้ มามสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมสาธารณะ (Pye 1966: 8, Huntington, 1968: 34-9, Inkeles and Smith, 1974: 4-15) รัฐหรือประเทศ ที่ทันสมัยต้องมีการกระจายอำนาจการบริหารไปสู่ท้องถิ่น มีตัวแทนสามารถจัดการบริหารสาธารณะต่างๆ ในท้องถิ่นได้ (Black, 1966: 13-8) ดัชนีสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ชี้วัดความทันสมัยทาง การเมืองคือ ระบอบประชาธิปไตย (Democratic System) และ ประชาธิปไตยนั้นมีการถ่วงดุลอำนาจ มีการเลือกตั้งผู้แทนของ ปวงชนจากระบบการเมืองหลายพรรค (Hooyvelt, 1982: 114-6, Chilcote, 1983: 9-10) สำหรับประชาธิปไตยตามตัวหนังสือ หรือ ตามทฤษฎีนั้นได้มีการนำมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2475 อันมี “คณะราษฎร์” เป็นผู้นำในการปฏิวัติยึดอำนาจ การปกครองจากสถาบันกษัตริย์เปลี่ยนจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจ สูงสุดในการปกครองมาเป็นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีพระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งอาศัย อยู่ในสังคมชนบท วิถีชีวิตความเป็นอยู่ยังผูกติดกับระบบ อุปถัมภ์ค่านิยมยัง “ใฝ่สัมพันธ์” พึ่งพิงอยู่กับผู้มีอำนาจทั้งทาง 40
แนวคิดและทฤษฎี เศรษฐกิจ ผู้มีอำนาจทางการเมือง การปกครอง ผู้มีบารมี หรือ อิทธิพล (Local Mafia) ดังนั้นการเลือกตั้งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ การใช้สิทธิโดยเสรีจึงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่โดยพฤติกรรม ความจริง “ประชาธิปไตยแบบไทย” ยังมีการขายเสียงอยู่ (Pit, 1994: 114) ซึ่ง Kulick and Wilson เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบ วกวน” หรือ Zigzag Democracy (Kulick and Wilson, 1992) แม้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ก็มีรายงานการซื้อเสียง แจกเงินให้แก่หัวคะแนนใน รูปแบบต่างๆ (วุฒิสาร ตันไชย และคณะ, 2548 : 85-92) 3.1.2 แนวคิดเก่ียวกับ “มีเงินนับว่าน้องมีทองนับว่าพ่ี” สังคมไทยโดยเฉพาะสังคมชนบท มีค่านิยมเด่น ประการหนึ่งคือ “การนับเครือญาติ” เครื่องชี้แสดงที่บ่งบอก เรื่องนี้จะดูได้จาก คำพูดจา สนทนาในชีวิตประจำวัน ผู้พูด มักจะนิยมใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ลูก” หรือ “หลาน” หรือ “น้อง” หรือ “พี่” หรือ “ลุง / ป้า” “น้า / อา” “พ่อ / แม่” หรือ “ปู่ / ย่า /ตา /ยาย” ขณะเดียวกันกับผู้ที่สนทนาก็จะถูกเรียก ขานตาม “วัย / อายุ” เช่นกัน การนับเครือญาติ หรือวงศาคณาญาติในสังคม ไทยเกิดขึ้นได้ 3 ประการ คือ 1. ญาตโิ ดยสายโลหติ (Consanguineal Kin) เป็นการนับเครือญาติแนวดิ่ง หรือแนวตั้ง คือนับขึ้นไป พ่อ - แม่ ปู่ –ย่า ตา – ยาย หรือ ทวด และนับตรงลงมาคือ ลูก หลาน เหลน ซึ่งคนไทยมักเรียกรวมว่า “เจ็ดชั่วโคตร” นั่นเอง 41
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 2. ญาติโดยการสมรส (Affined Kins) เป็น ญาติในระดับแนวราบหรือแนวขนาน การแต่งงาน ย่อมก่อให้ เกิดการขยายเครือญาติ คือ เป็นญาติทั้งฝ่ายภรรยา หรือญาติ ฝ่ายสามี เป็นญาติที่ “เกี่ยวดอง” กัน 3. ญาติโดยสายสัมพันธ์ เคารพนับถือกันแบบ “วิสาสาปรม ญา-ติ” ความสนิทสนมคุ้นเคย เป็นญาติอันสนิท เช่น เพื่อนร่วมน้ำสาบาน เพื่อนผูกเสี่ยว เพื่อนเกลอ เพื่อ อุปถัมภ์ ความเป็นญาติชนิดนี้อาจสืบทอดลงไปถึงชั้นลูกหลาน ได้ ในสถานภาพ (Status) ญาติ จะมีบทบาท (Role) หรือหน้าที่ต่อกันอย่างไร ศาสตราจารย์สนิท สมัครการ ได้ให้ ทรรศนะว่า “คนไทยมีญาติเพื่อเอาผลประโยชน์จากญาติมาก กว่าที่จะมีญาติถึงขนาดมีภาระผูกพันจนขาดความเป็นไท ของตน” ดังเรามักจะพบเห็นคนไทย หรือครอบครัวที่ยากจน ก็จะถูกมองว่า “ไร้ญาติขาดมิตร” แต่ถ้าเมื่อไหร่ครอบครัว ร่ำรวย มั่งคั่ง ก็มักจะได้ยินคำกล่าวว่า “มีเงินนับว่าน้อง มีทอง นับว่าพี่” ซึ่งการอุปการะช่วยเหลือ เจือจุนกันระหว่างญาติก็ขึ้น อยู่กับระดับความใกล้ชิดสนิทสนมของความเป็นเครือญาติ (ดูรายละเอียดใน สนิท สมัครการ 2519 : 109) ในกิจกรรม ทางการเมือง ความเป็นเครือญาติก็เป็นตัวแปรสำคัญอันหนึ่ง ที่นำมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือก หรือไม่เลือกให้การ สนับสนุน เพราะอิทธิพลของการสั่งสอน อบรมถ่ายทอดทาง วัฒนธรรมจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ดังคำพังเพยไทยที่ว่า “อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้” 42
แนวคิดและทฤษฎี Somsak Srisontisuk ได้ศึกษา Village Civil Society : A Solution for Ban Khum Community Problems (Tambon Khum Muang, Mahachanachai District Yasothon Province) ได้พบว่าความสัมพันธ์ของชาวบ้านในชุมชนบ้านคุ้ม มีความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ แม้ว่า พวกเขาบางคนไม่ได้เป็น ญาติโดยสายโลหิต แต่ความรู้สึกผูกพันต่อกันก็เสมือนเครือ ญาติ มีการช่วยเหลือสนับสนุนกันเท่าที่สามารถจะช่วยได้ (Somsak Srisontisuk, 2003: 100) 3.1.3 แนวคิดเรื่องบารมีของนักการเมือง แนวคิดเรื่อง “บารมี” ที่ใช้ในการศึกษานี้ เป็น แนวคิดของนักรัฐศาสตร์ไทย ศาสตราจารย์ ดร.ลิขิต ธีรเวคิน (2541: 231-236) ที่ยืนยันว่า บารมีมีความสัมพันธ์กับผู้นำ ทางการเมืองและการเมืองไทยเป็นอย่างมาก เช่น จะมีคำกล่าว ทำนองว่า “ผมไม่มีบารมีพอ” หรือ คนนั้นควรได้รับตำแหน่งนั้น เพราะมีบารมีพอ ถ้าจะหาคำศัพท์คำเดียวมาอธิบาย บารมีน่า จะเปน็ การยอมรบั (acceptability) ของคนสว่ นใหญว่ า่ เปน็ ผนู้ ำได้ กล่าวคือ คนส่วนใหญ่ย่อมเป็นผู้ตามเพราะบุคคลนั้นๆ มี คุณสมบัติ ดังนี้ 1. เป็นคนที่มีชื่อเสียง กล่าวคือ เป็นที่รู้จักใน วงการนั้นๆ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Visibility 2. เป็นคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับงาน ที่จะไปรับตำแหน่ง หรือสามารถจะใช้คนอื่นทำงานนั้นแทนได้ ซึ่งก็จะมาจากกิตติศัพท์ในเรื่องนี้แบบข้อ 1 43
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 3. มีลักษณะเป็นผู้นำ มีความเชื่อมั่น สามารถ เป็นผู้นำคนอื่นได้ 4. มีศีลธรรม และคุณธรรม หรืออายุการทำงาน ประสบการณ์มากพอ 5. มีอาวุโส คือ มีอายุ หรืออายุการทำงาน ประสบการณ์มากพอ 6. มีบุคลิกลักษณะดี เสียงเพราะ รูปร่างสูงสง่า น่าเกรงขาม 7. เป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคม มาจากตระกูล ดี มีการศึกษาดี และ/หรือภริยามาจากตระกูลดี 8. มีฐานะทางเศรษฐกิจดี 9. ถ้าเป็นทหารต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ คนเกรงกลัว 10. มีเสน่ห์ คนเห็น คนชอบ คุณสมบัติทั้ง 10 ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกข้อ แต่ถ้ามีมากบารมีก็ยิ่งมาก 3.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับสังคมเครือข่ายหรือเครือข่าย สังคม (The Network Society/Social Network) มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า ชุมชน หรือสังคม เนื่องจากมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัย แลกเปลี่ยน สัมพันธ์กับสมาชิกในสังคม การติดต่อสัมพันธ์กันจะใกล้ชิด ห่างเหินขึ้นอยู่กับระยะห่างทางสังคม (Social Distance) ว่ามี 44
แนวคิดและทฤษฎี สายสัมพันธ์ที่เป็นเครือข่าย (Network) อยู่ในระดับเหนียวแน่น (Close – Knit) หรือกลุ่มระดับหลวม (Loose –Knit) การอธิบาย พฤติกรรมการติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคมโดยใช้แนวคิด “เครือข่าย” (Network) เป็นกรอบในการศึกษาวิจัยได้รับความ สนใจอย่างในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ.1977 (ดูรายละเอียด ใน Fararo (1992 : 259-60) Fararo (1992 : 260-71) ได้อธิบายขยายความ เพิ่มเติมต่อไปว่า แนวคิดเครือข่ายทางสังคมจัดอยู่ในสาขาหนึ่ง ของทฤษฎีโครงสร้างนิยม (Structuralism) ซึ่งแนวคิด “เครือข่าย สังคม” จะใช้อธิบายความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมว่า สายสัมพันธ์จะเหนียวแน่น (เข้มแข็ง) หรือหลวม (อ่อนแอ) ขึ้น อยู่กับโครงสร้างของสังคม ถ้าเป็นสังคมขนาดเล็ก โครงสร้าง ไม่ซับซ้อนสายสัมพันธ์ของเครือข่ายจะเหนียวแน่น ในทางตรง ข้ามถ้าเป็นสังคมขนาดใหญ่ โครงสร้างซับซ้อน เช่นสังคมโลก สายสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกก็จะโน้มเอียงไปในด้านหลวม ไม่มั่นคง ไม่เหนียวแน่น เช่น กรณีความสัมพันธ์ทางการค้าของ ประเทศต่างๆ Giddens and Turner (1987 : 400-1) ได้กล่าวถึง การใช้ “เครือข่าย” (Network) ว่า เป็นกรอบทางสังคมวิทยาที่ ได้เข้ามามีส่วนสำคัญมากในการอธิบายคุณลักษณะการรวม และการกระจายของบุคคล และกลุ่มคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ เป็นตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่วัด แยกแยะ แจกแจง ให้เห็นถึง ระดับความสัมพันธ์ ใกล้ – ไกล กับแกนกลางของกลุ่ม หรือ สถาบัน ซึ่งการตีความ ใกล้ – ไกล หรือ ห่างเหิน ของบุคคลใด 45
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นได้รับประโยชน์จากกลุ่มหรือสถาบันตาม ความประสงค์หรือไม่เพียงใด 3.2 งานวิจัยที่เก่ียวข้อง พรชัย เทพปัญญา และพงษ์ยุทธ สีฟ้า (2548) ได้ ศึกษาเรื่อง สำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัด สมุทรปราการ และจังหวัดปทุมธานี โดยพบความคล้ายกันของ นักการเมืองถิ่นของทั้ง 2 จังหวัด คือ 1. นักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่มีการศึกษา และสถานภาพ ทางเศรษฐกิจดี เป็นที่รู้จักของคนทั่วในจังหวัด 2. ในการหาเสียงจะใช้ชื่อเสียง และบารมีของตัวบุคคล มากกว่าพรรคการเมือง 3. กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจมีความสัมพันธ์น้อยกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้ง ตัวแปรที่สำคัญ คือ ระบบราชการ ศิริพงษ์ บุญถูก (2544 : บทที่ 5) ได้ศึกษาเครือข่ายทาง สังคมในกิจกรรมการทอดผ้าป่าของสังคมอีสาน พบว่า ผู้เข้า ร่วมกิจกรรมการทอดผ้าป่าส่วนใหญ่รู้จักกัน และมีความ สัมพันธ์กันมาก่อน คือ เป็นคนท้องถิ่น บ้านเดียวกัน ทำงาน หรือหน่วยงานเดียวกัน ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ (2535 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษา ผู้นำท้องถิ่นอีสานกับเครือข่ายความสัมพันธ์ โดยได้ศึกษา สมาชกิ เทศบาลเมอื งยโสธรในชดุ ปี 2535 พบวา่ กลมุ่ ทก่ี มุ อำนาจ 46
แนวคิดและทฤษฎี ทางการเมืองในระยะแรกของการเลือกตั้งเมืองยโสธร คือ กลุ่ม ไทยอีสาน ภายหลังการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 โอกาสก็เปิดให้บุคคลที่มีความรู้ ในระบบราชการเข้ามาเป็น ผู้นำ ตั้งแต่ พ.ศ.2518 เป็นต้นมา แกนนำกลุ่มผู้มีอำนาจ ทางการเมืองท้องถิ่นได้เปลี่ยนมาสู่กลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่มีธุรกิจ ก่อสร้าง และ บริการ – บันเทิง ผสมกับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนใน เมืองที่มีการเชื่อมประสานสัมพันธ์กับผู้นำคุ้มต่างๆ ที่มีเชื้อสาย ไทยอีสาน มีการรวมทุน ช่วยเหลืออุปถัมภ์ทางการเมืองซึ่งกัน และกัน มีการขยายฐานของเครือข่ายสัมพันธ์ไปยังกลุ่มต่างๆ องค์กรต่างๆ ทั้งทางด้านการค้า และสาธารณะกุศล ตลอดจน กลุ่มพลังทางสังคม เช่นกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มสตรี หอการค้า สโมสรไลอ้อนส์โรตารี ฯลฯ การประสานเครือข่าย เหนียวแน่นด้วยผลประโยชน์ทำให้ประสบผลสำเร็จในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเกือบทุกครั้ง เครือข่ายดังกล่าว ยังเชื่อมประสานสู่เครือข่าย ข้อมูล ข่าวสาร ทั้งในระดับการ เลือกตั้งส่วนท้องถิ่น ระดับชาติ ซึ่งในอนาคตการกระจุกตัวของ อำนาจการบริหารท้องถิ่นมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดปัญหาความ ขัดแย้งในด้านการครอบครอง และแบ่งปันทรัพยากรได้ ศรุดา สมพอง และพงษ์ยุทธ ศรีฟ้า (2549) ได้ศึกษา เรื่องสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัด ฉะเชิงเทรา พบว่า 1. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นบุคคลกลุ่มชนชั้นนำ ของจังหวัด มีสถานภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ดี เป็นที่รู้จัก ของคนในจังหวัดโดยมีปัจจัยที่สำคัญจากพื้นฐานทางด้าน 47
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส อาชพี การรบั ราชการ โดยเฉพาะการเปน็ สมาชกิ องคก์ รปกครอง ส่วนท้องถิ่น 2. ลักษณะทางการเมืองจะเป็นการสืบทอดอำนาจ ทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเครือญาติ และการได้รับการ สนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง 3. ในการสังกัดพรรคการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจะไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะลักษณะการลง คะแนนของประชาชนทั่วไปจะยึดหลักที่ตัวบุคคลเป็นหลัก 4. วิธีที่ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรโดยทั่วไป จะใช้การลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ การปราศรัยบนเวที การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ การใช้รถ ขยายเสียงวิ่งตามท้องถนน แต่ที่สำคัญจะใช้วิธีการผ่านทาง “หัวคะแนน” ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีบารมีในพื้นที่ เช่น สมาชิกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน สมิหรา จิตตลดากร และคณะ (2550 : บทคัดย่อ) ได้ ศึกษาวิจัยเรื่อง ระบอบประชาธิปไตยเปรียบเทียบไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยใช้เทคนิควิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลัก และใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปริมาณประกอบ ซึ่งได้ดำเนินการเก็บ ข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เจาะลึก (In – Depth Interview) ควบคู่กับการสังเกต การวิเคราะห์จากเอกสารสิ่งพิมพ์ และจาก บทสัมภาษณ์กลุ่มการเมือง ผู้นำชุมชน และประชาชนทั่วไป รวมทั้งใช้แบบสำรวจความคิดเห็นสำหรับการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง และจากการแนะนำต่อๆ กัน (Snowball Sampling) 48
แนวคิดและทฤษฎี ผลการศึกษา ในส่วนที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ในระดับกลุ่มและ ระดับปัจเจกชนของไทย พบว่า สังคมไทยเป็นสังคมราชการ ที่อุดมไปด้วยกฎหมายและข้อบังคับแต่ปราศจากการบังคับใช้ กฎหมายอย่างจริงจังและเข้มแข็ง ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาล ปฏิเสธบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ขาดการสร้าง ความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างคน และกลุ่มเป็นสัมพันธภาพหลวมๆ แม้สังคมไทยจะใจกว้าง แต่มี ระบบอุปถัมภ์แบบสายโยงใยภายใต้การมุ่งไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น สังคมไทยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรม สาธารณะน้อย ดังนั้นอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม จึงเป็นเพียงแนวคิด หรือจินตนาการ เพราะปราศจากการเป็น พฤติกรรมของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง นภดล สุคนธวิท (2539 : บทคัดย่อ) ทำการศึกษาวิจัย เรื่องพรรคการเมืองกับการเมืองถิ่น: ผลประโยชน์และฐาน อำนาจ พบว่า การที่พรรคการเมืองต่างๆ สามารถควบคุม ประชาชนในท้องถิ่นในลักษณะที่สามารถชักจูงหรือชักชวน ประชาชนได้นั้น จะอาศัยกลไกในระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทย ควบคู่ไปกับความไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องการเมืองของประชาชน ภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า จึงทำให้พรรค การเมืองสามารถใช้การเมืองท้องถิ่นเป็นฐานอำนาจสำคัญใน การก้าวเข้ามาสู่อำนาจทางการเมือง และแสวงหาผลประโยชน์ จากอำนาจทางการเมืองอย่างไม่จำกัด การจัดสรรผลประโยชน์ ต่างๆ ในท้องถิ่นเป็นการทำเพื่อรักษา และสร้างฐานอำนาจของ พรรคการเมืองอย่างหนึ่ง จากเหตุผลดังกล่าวนี้จึงเป็นปัจจัย 49
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สำคัญของที่มาแห่งฐานอำนาจของการเมืองทั้งในท้องถิ่นและ ระดับชาติที่จะต้องทุ่มเงินซื้อเสียง พร้อมจัดตั้งฐานอำนาจใน แต่ละท้องถิ่นโดยอาศัยระบบอุปถัมภ์เป็นตัวนำไปสู่ความสำเร็จ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ พิศิฐ เจริญวงค์ และปรีชา นุ่นสุข (2542) สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ได้อธิบายลักษณะสังคม ภาคใต้ที่มีอิทธิพลเชื่อมโยงกับบริบททางด้านการเมืองไว้ว่า สังคมภาคใต้มีลักษณะการอยู่รวมกันบนพื้นฐานของความ สัมพันธ์ 2 รูปแบบ คือ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และความ สัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนอันเกิดจากการพึ่งพาอาศัยกันทั้ง การผลิตและการใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชน ความสัมพันธ์เหล่านี ้ มีการผสมผสานและดำเนินไปด้วยระบบคุณค่า และความเชื่อ ที่มีพลังทางศีลธรรมที่รักษาจิตวิญญาณของผู้คนและชุมชนให้ คงอยู่ จนกลายเป็นลักษณะเด่นของสังคม คือการอยู่รวมกัน แบบแบ่งปัน รักพวกพ้อง เครือญาติ เป็นอยู่เรียบง่าย ผูกพันกับ ถิ่นกำเนิด เคร่งครัดในจริยธรรมและคำสอนของศาสนา ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและความสัมพันธ์เชิง แลกเปลี่ยนเป็นกลไกสำคัญต่อการจัดระเบียบทางสังคม ญาติ พี่น้องอยู่ร่วมกัน และสัมพันธ์กันตามลำดับอาวุโส ผู้ใหญ่ มีหน้าที่คุ้มครอง และช่วยเหลือเด็ก ในขณะเดียวกันเด็กก็ต้อง เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นคนว่านอนสอนง่ายและขยายออกไป เป็นระบบอุปถัมภ์ในสังคมภาคใต้ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และอุบลศรี อรรถพันธุ์ (2542) สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ได้อธิบายปรากฏการณ์ทาง 50
แนวคิดและทฤษฎี การเมืองที่ประชาชนภาคใต้ให้ความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์ แ ล ะ ใ ห ้ ค ว า ม เ ช ื ่ อ ม ั ่ น ศ ร ั ท ธ า ต ่ อ น ั ก ก า ร เ ม ื อ ง ข อ ง พ ร ร ค ประชาธิปัตย์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีต่อนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดในภาคใต้ จนเป็นที่มาของลักษณะการเมืองแบบท้องถิ่น นิยม โดยให้ข้อสังเกตไว้ว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองนับตั้งแต่ สมัยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 จนถึงสมัยการเลือกตั้งวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ปรากฏว่าในเขตพื้นที่ภาคใต้มีการชูนายชวน หลีกภัย เพื่อเสริมศรัทธาในการหาเสียงของผู้สมัครสังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ในทำนองว่า “ถ้าอยากได้ชาวใต้เป็นนายก ต้องเลือก พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเกิด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะส่งผลให้เกิดการนำท้องถิ่นนิยมหรือ ภาคนิยมเข้าสู่ระบบการเมือง ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้หยุด อยู่เฉพาะภาคใต้ แต่ได้ขยายไปสู่ภาคอื่นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ปิยะ กิจถาวร และคณะ (2550) ทำการศึกษาผลกระทบ จากสถานการณ์ความรุนแรงด้านความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน กรณีการอพยพย้ายถิ่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้และแนวทางแก้ไข เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีขอบเขตการศึกษาในพื้นที่ 27 ตำบลของ 9 อำเภอ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรที่ทำการศึกษา จำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวม 27 ตำบล รวม 160 คน และกรณีศึกษาในพื้นที่เทศบาลนครยะลา เทศบาลเมืองนราธิวาส และเทศบาลเมืองปัตตานี โดย 51
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ครอบคลุมทั้งตำบลที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ตำบลที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และตำบลที่มี ประชากรทั้งสองศาสนาอยู่ผสมผสานกัน พบว่า การย้ายเข้า ย้ายออก ตามทะเบียนราษฎร จำแนกเป็นรายอำเภอ ตั้งแต่ปี 2547 ถึงเดือนพฤษภาคม 2550 จำนวนการย้ายเข้า และการ ย้ายออกตามใบแจ้งย้ายในอำเภอที่ทำการศึกษามีจำนวน ไม่แตกต่างกันมากนัก และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็น ข้อมูลเบื้องต้นที่ยืนยันได้ว่า ไม่มีการอพยพ การย้ายออกของ ราษฎรในพื้นที่อำเภอที่ทำการศึกษาเป็นจำนวนมากที่ผิดปกติ แต่อย่างใด ตั้งแต่ปี 2547 – มิถุนายน 2550 มีชาวไทยพุทธ อพยพย้ายออกจากพื้นที่รวม 319 คนเท่านั้น จังหวัดนราธิวาส ใน 3 อำเภอ 9 ตำบลที่ทำการศึกษามีการอพยพย้ายออก ของไทยพุทธรวม 160 คน ส่วนใหญ่คือไทยพุทธที่บ้านตลาด ตันหยงมัส หมู่ที่ 7 ตำบลตันหยงมัส ย้ายออกรวม 85 คน ไปค้าขาย ไปประกอบการร้านอาหารที่อำเภอหาดใหญ่ และ ที่กรุงเทพฯ เพราะความไม่สงบในพื้นที่ การดำรงชีวิตในปัจจุบัน ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและครอบครัว เสี่ยงต่อการเสียชีวิต อย่างสูง สาเหตุย้ายออกเพราะปัญหาความไม่ปลอดภัย สาเหตุ ที่ไม่ย้ายออกเพราะอยู่มานาน ย้ายออกก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ทำอาชพี อะไร เพราะอาชพี หลกั คอื การเกษตร และมขี อ้ เสนอแนะ จากผู้ให้ข้อมูลว่า ข่าวการอพยพย้ายถิ่นของชาวบ้านจำนวน มากเป็นข่าวลือ ทำให้เกิดความระแวงกันไป 52
บ4ทท ี่ การเมืองและนักการเมืองถ่ิน จังหวัดนราธิวาส 4.1 ภูมิหลังการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ที่มาของชื่อจังหวัด ชื่อนราธิวาสเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ใน พ.ศ. 2458 ชื่อเดิม ของพื้นที่นี้คือ เมอนารา (ภาษามลายู: Menara,) ซึ่งมีความ หมายว่า “หอคอย” และได้กลายเป็น บางนรา ในภาษาไทย นราธิวาสเดิมชื่อ “มะนาลอ” เป็นหมู่บ้านขึ้นอยู่กับเมือง สายบรุ ี ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ปฐมราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีรับสั่งให้สมเด็จ พระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกทัพหลวงมาปักษ์ใต้ เพื่อ ปราบปรามข้าศึกที่ยกเข้ามารุกรานพระราชอาณาเขตทางใต้ เมื่อปราบปรามข้าศึกได้ราบคาบแล้วจึงได้เสด็จฯไปประทับ ณ เมืองสงขลา แล้วมีรับสั่งไปยังหัวเมืองมลายูทั้งหลาย ซึ่งเคย เป็นเมืองขึ้นกับกรุงศรีอยุธยามาแต่ก่อนให้มาอ่อนน้อม
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส เหมือนเดิม พระยาไทรบุรีและพระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อม แต่โดยดี แต่พระยาปัตตานีได้แข็งเมืองไม่ยอมมาอ่อนน้อม พระองค์จึงรับสั่งให้ยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานีเมื่อ พ.ศ.2332 เมื่อได้เมืองปัตตานีแล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยา สงขลา (บุญฮุย) อัญเชิญตราตั้งให้พระยาจะนะ (ขวัญซ้าย) เป็นพระยาปัตตานี และให้อยู่ในความกำกับดูแลของเมือง สงขลา เมอ่ื พระยาปตั ตานี (ขวญั ซา้ ย) ถงึ แกก่ รรม ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ให้นายพ่าย น้องชายพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นพระยา ปัตตานี และแต่งตั้งให้ นายยิ้มซ้าย บุตรพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นหลวงสวัสดิภักดี ผู้ช่วยราชการเมืองปัตตานี และย้ายที่ว่าการเมืองปัตตานีจากบ้านมะนา(อ่าวนาเกลือ) ไปตั้งที่บ้านยานู ในระหว่างนั้นพวกซาเหยดรัตนาวงศ์ และพวก โมเซฟ ได้คบคิดกันเข้าปล้นบ้านพระยาปัตตานี (พ่าย) และ บ้านหลวงสวัสดิภักดี (ยิ้มซ้าย) แต่ถูกตีถอยหนีไปหลบซ่อนตัว อยู่ที่ตำบลบ้านกะลาพอ เขตเมืองสายบุรี เนื่องจากเมือง ปัตตานีมีอาณาเขตกว้างขวาง มีโจรผู้ร้าย ปล้นบ้านเรือน ราษฎรชุกชุม พระยาปัตตานี (พ่าย) จึงได้แจ้งข้อราชการไปยัง เมืองสงขลา พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ได้ออกมาปราบปราม และจัดแบ่งเมืองปัตตานี ออกเป็นเจ็ดหัวเมือง เมื่อ พ.ศ. 2355 แล้วทูลเกล้า ฯ ถวายรายชื่อเมืองที่แยกออกไปดังนี้คือ เมือง ปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองยะลา เมืองรามัน เมืองระแงะ เมืองสายบุรีและเมืองยะหริ่ง ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยา อภัยสงครามกับพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) เป็นผู้เชิญตราตั้ง ออกไปพระราชทานแก่เจ้าเมืองทั้งเจ็ดหัวเมือง ดังนี้ 54
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส - ให้ตวนสุหลง เป็นพระยาปัตตานี - ให้ตวนหนิ เป็นพระยาหนองจิก - ให้ตวนยะลอ เป็นพระยายะลา - ให้ตวนหม่าโล่ เป็นพระยารามัน - ให้หนิเดะ เป็นพระยาระแงะ - ให้หนิดะ เป็นพระยาสายบุรี - ให้นายพ่าย เป็นพระยายะหริ่ง (ที่มา: ประวัติและศิลปวัฒนธรรมเมืองนราธิวาส รวบรวมโดยนายพาพล รอดชู ศนู ย์วัฒนธรรมจังหวัดนราธิวาส) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาปัตตานี (ตวนสุหลง) พระยาหนองจิก (ตวนกะจิ) พระยา ยะลา (ตวนบางกอก) และพระยาระแงะ (หนิเดะ) ได้สมคบกัน เป็นกบฏโดยได้รวบรวมกำลังพลออกตีบ้านพระยายะหริ่ง (พ่าย) แล้วเลยออกไปตีเมืองเทพาและเมืองจะนะ พระยา สงขลา (เถี้ยนเส้ง) ทราบเรื่องจึงได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพออกไปสมทบช่วยเมืองสงขลา ออกทำการปราบปรามตั้งแต่เมืองจะนะ เมืองเทพา ไปถึงเมือง ระแงะ แต่พระยาระแงะ(หนิเดะ) หนีรอดไปได้ในระหว่าง ที่ทำการรบกันอยู่นั้น หนิบอสู ชาวบ้านบางปู ซึ่งพระยายะหริ่ง แต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองยะหริ่ง ได้เป็นกำลังสำคัญ จึงได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะ และต่อมาได้ย้ายที่ว่า ราชการเมืองระแงะจากบ้านระแงะ ริมพรมแดนติดต่อกับเมือง กลันตัน มาตั้ง ณ ตำบลบ้านตันหยงมัส (อำเภอระแงะปัจจุบัน) เมื่อพระยาระแงะ (หนิบอสู) ถึงแก่กรรมก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ 55
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส พระยาคีรีรัตนพิศาล (ตวนโหมะ) บุตรพระยาระแงะ (หนิบอสู) วา่ ราชการเมอื งระแงะแทน มบี รรดาศกั ดเ์ิ ปน็ พระยาครี รี ตั นพศิ าล พ.ศ.2432 พระยาระแงะ (ตวนโหมะ) ถึงแก่กรรม พระยา สุนทรานุรักษ์ (ชม) ผู้ช่วยราชการผู้รักษาราชการเมืองสงขลา จัดให้ ตวนเหงาะ บุตรตวนสุหลง ผู้เป็นพี่ต่างมารดาของพระยา ระแงะ (ตวนโหมะ) เป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะ พ.ศ.2434 เมื่อถึงกำหนดที่บริเวณ 7 หัวเมือง ต้องนำ ต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าแผ่นดิน ณ กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเจ้าเมืองทั้ง 7 เมือง ได้ถวายความจงรักภักดีด้วยความพร้อมเพรียงกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรปูนบำเหน็จ ความดีความชอบให้ และได้ใช้สืบต่อกันมา จนกระทั่งยุบเลิกการปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง ใน พ.ศ.2444 (ร.ศ.120) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411-2453) ได้เปลี่ยนแปลง การปกครองโดยโปรดเกล้า ฯ ประกาศกฎข้อบังคับสำหรับ ปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ.120 ให้ยกเลิกการปกครอง แบบเก่าเสีย มาเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล และให้หัวเมือง ทั้งเจ็ดเมือง คงเป็นเมืองอยู่ตามเดิมอยู่ในความปกครองของ เทศาภิบาล และให้พระยาเมืองเป็นผู้รักษาราชการบ้านเมือง ต่างพระเนตรพระกรรณ มีกองบัญชาการเมืองโดยมีพระยา เมืองเป็นหัวหน้า ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการ เมือง รวมสี่ตำแหน่ง นอกนั้นให้มีกรมการชั้นรอง เสมียน 56
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส พนักงาน ตามสมควร โดยมีข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณเจ็ด หัวเมืองคนหนึ่ง สำหรับตรวจตราแนะนำราชการทั้งปวง ทั่วบริเวณทั้งเจ็ดหัวเมือง ต่างพระเนตรพระกรรณในราชการ ทุกๆ เมือง ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ ยังทำหน้าที่จัดการ ในบริเวณให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับ และปฏิบัติราชการตาม ท้องตรากรุงเทพฯ และคำสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล นครศรีธรรมราช พระยาเมืองที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ ด้วยดี ก็ได้รับพระราชทานผลประโยชน์ให้พอเลี้ยงชีพและรักษา บรรดาศักดิ์ตามสมควรแก่ตำแหน่ง และพระราชทานเงิน ผลประโยชน์ที่เก็บได้ซึ่งหักค่าใช้จ่ายแล้วนั้น ไว้เป็นเงินสำหรับ จัดการทำนบุ ำรุงบา้ นเมอื งเป็นปๆี พระยาเมอื งและศรตี ะวนั กรม การ ซึ่งเป็นคนในพื้นบ้านเมือง ถ้าได้รับราชการด้วยดีตลอด เวลารับราชการ เมื่อต้องออกจากหน้าที่โดยชรา หรือโดยทุพพล ภาพประการใดก็ดี จะได้รับพระราชทานเบี้ยเลี้ยงบำนาญต่อไป เรื่องการศาล จัดให้มีศาลเป็นสามชั้น คือ ศาลบริเวณ ศาลเมือง และศาลแขวง มีผู้พิพากษาสำหรับศาลเหล่านั้น พิจารณาคดีตามพระราชกำหนดกฎหมาย เว้นแต่คดีแพ่งที่ เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก ซึ่งอิสลามิกชน เป็นโจทก์และ จำเลย หรือเป็นจำเลย ให้ใช้กฎหมายอิสลามแทนบทบัญญัติ กฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความ มรดก ยังคงต้องใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับ การใช้ กฎหมายอิสลามในการพิจารณาอรรถคดีดังกล่าวตามข้อบังคับ สำหรับการปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง ร.ศ.120 เรียกตุลาการ ตำแหน่งนี้ว่า “โต๊ะกาลี” ต่อมาได้มีข้อกำหนดไว้ใน ศาลตรา กระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2460 เรียก 57
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ตำแหน่งนี้ว่า “ดาโต๊ะยุติธรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่ง “เสนายุติธรรม” ในมณฑลพายัพ ดาโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้รู้ และ เป็นที่นับถือของอิสลามิกชน เป็นผู้พิพากษาตามกฎหมาย อิสลาม พ.ศ.2449 (ร.ศ.125) วันที่ 27 กรกฎาคม ได้มีประกาศ พระบรมราชโองการให้จัดตั้งมณฑลปัตตานี มีสาระสำคัญว่า “แต่ก่อนจนมาถึงเวลานี้บริเวณเจ็ดหัวเมือง มีข้าหลวงใหญ่ ปกครอง ขึ้นอยู่กับข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ทรงพระราชดำริเห็นว่า ทุกวันนี้การค้าขายในบริเวณเจ็ดหัว เมืองเจริญขึ้นมาก และการไปถึงกรุงเทพฯ ก็สะดวกกว่าแต่ก่อน ประกอบกับบริเวณเจ็ดหัวเมืองมีท้องที่กว้างขวาง และมีจำนวน ผคู้ นมากขน้ึ สมควรแยกออกเปน็ มณฑลหนง่ึ ตา่ งหาก ใหส้ ะดวกแก่ ราชการที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนได้” จึงแยกบริเวณเจ็ดหัวเมือง ออกมาจากมณฑลนครศรีธรรมราช และให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง เรียกว่า มณฑลปัตตานี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศักดิ์ เสนีย์ (หนา บุนนาค) สำเร็จราชการมณฑลปัตตานี มีเมืองที่มา รวมอยู่ 4 เมือง คือ เมืองปัตตานี (รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และเมืองปัตตานี) เมืองยะลา (รวมเมือง รามัน และเมืองยะลา) เมืองสายบุรี และเมืองระแงะ สำหรับหัวเมืองประเทศราช 4 เมือง ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี(เคดาห์)และเปอร์ลิส อังกฤษเข้ายึดครอง พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) พ.ศ.2450 ได้ย้ายที่ว่าราชการเมืองระแงะ จากตำบล บ้านตันหยงมัส มาตั้งที่บ้านมะนาลอ (บางมะนาวในปัจจุบัน) 58
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส อำเภอบางนรา และยกฐานะอำเภอบางนราขน้ึ เปน็ เมอื งบางนรา มีอำเภอในเขตปกครองคือ อำเภอบางนรา อำเภอตันหยงมัส กิ่งอำเภอยะบะ อำเภอสุไหงปาดี กิ่งอำเภอโต๊ะโม๊ะ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453 - 2468) ได้เสด็จประพาสมณฑลปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. 2458 เมื่อเสด็จมาถึงเมืองบางนรา ทรงพระราชทานพระแสงราชศัตรา ประจำเมืองแก่เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2458 และทรงดำริเห็นว่า บางนรา นั้น เป็นชื่อตำบลบ้าน และควรที่ จะมีชื่อเมืองไว้เป็นหลักฐานสืบไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองบางนราเป็น “เมืองนราธิวาส” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2458 คำว่า “นราธิวาส” หมายถึง “ที่อยู่ของคนดี” พ.ศ.2474 สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2468- 2477) ได้โปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ให้ยุบ เลิกมณฑล 4 มณฑล จังหวัด 9 จังหวัด เพื่อประหยัดรายจ่าย ของแผ่นดิน มณฑลปัตตานีเป็นมณฑลหนึ่งที่อยู่ในประกาศ ยุบเลิก และให้รวมจังหวัดต่างๆของมณฑลปัตตานีเข้าไว้ใน ปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราช มีศาลารัฐมณฑลตั้งอยู่ที่ จังหวัดสงขลา จังหวัดที่ประกาศยุบเลิก มีสายบุรีจังหวัด หนึ่งด้วย โดยให้รวมท้องที่เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดปัตตานี เว้นอำเภอบาเจาะให้อยู่ในความปกครองของจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2481 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอ โต๊ะโมะ เป็นอำเภอแว้ง พ.ศ.2482 ยกฐานะกิ่งอำเภอยะบะ เป็นอำเภอรือเสาะ 59
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2491 ยกฐานะตำบลสุไหงโก - ลก ขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2496 พ.ศ.2517 ตั้งกิ่งอำเภอศรีสาคร และยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ. 2522 พ.ศ.2520 ตั้งอำเภอสุคิริน พ.ศ.2525 ตั้งกิ่งอำเภอจะแนะ และยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ.2532 พ.ศ.2536 ตั้งกิ่งอำเภอเจาะไอร้อง และยกฐานะเป็น อำเภอเมื่อ พ.ศ.2539 4.2 การเลือกต้ังและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาสต้ังแต่ พ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 หากย้อนกลับไปเมื่อ 79 ปีก่อน จะเห็นภาพการเมืองไทยพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ ประเทศไทยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการปฏิวัติของ “คณะราษฎร์” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรูปแบบ ของ “ตัวแทน” หรือกล่าวง่ายๆ คือ “ผู้แทนราษฎร” ปัจจุบัน 60
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส เรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ส.ส. จนติดปาก มามองย้อนอดีตของการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาสกันบ้างว่ามีประวัติความเป็นมา อย่างไร การนำเสนอข้อมูลการเลือกตั้งนักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส ผู้วิจัยจะขอนำเสนอข้อมูลเหตุการณ์ทางการเมือง ในแต่ละครั้ง ตามลำดับเหตุการณ์ ดังมีรายละเอียด คือ เช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร์” อนั ประกอบดว้ ย ทหารบก ทหารเรอื และพลเรอื น จำนวน 99 คน เข้ายึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณา- ญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข โดยทำการแต่งตั้งคณะผู้รักษาพระนครฝ่าย ทหาร 3 นาย เป็นผู้ใช้อำนาจแทน และนำรัฐธรรมนูญมาใช้เป็น หลักในการปกครองประเทศเป็นครั้งแรก “ธรรมนูญการปก ครองแผ่นดินสยาม ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (ฉบับที่ 1)” กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎร โดยให้คณะราษฎร์ ซึ่งมีคณะ ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทนจัดตั้งผู้แทน ราษฎรชั่วคราวขึ้น จำนวน 70 คน ส่งผลให้ประเทศไทย มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก สภาผู้แทนราษฎรชุดแรกของประเทศ เริ่มทำการประชุม ขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 เวลา 14.00 น. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยใช้ห้องโถงชั้นบนเป็นที่ประชุม จัดโต๊ะเก้าอี้เป็นรูปครึ่งวงกลม ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันเป็นการ ชั่วคราว 61
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกได้นำข้อบังคับการ ประชุมของสภาองคมนตรีมาใช้แทนชั่วคราว โดยหลวง ประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ได้ขอให้สมาชิกทุกคนในที่ ประชุมยืนกล่าวคำปฏิญาณตนโดยพร้อมเพรียงกัน ในการนี้ เจ้าพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ได้ อัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาเปิดประชุมในเวลา 14.00 น. ความว่า “วันนี้สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นการ สำคัญอันหนึ่งในประวัติศาสตร์การณ์ของประเทศอันเป็นที่รัก ของเรา ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะตั้งใจรักษาความ อิสรภาพของไทยไว้ชั่วฟ้าและดิน ข้าพเจ้าขออำนวยพรแก่ บรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้บริบูรณ์ด้วยกำลังกาย กำลัง ปัญญา เพื่อจะได้ช่วยกันทำการให้สำเร็จตามความประสงค์ ของเราและของท่าน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันทุกประการ เทอญ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่โดย ไม่ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยประชุม ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2475 - 9 ธันวาคม 2476 จากนั้นจึงสิ้น สุดสมาชิกภาพลง หลังจากที่มีการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 และมีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ตาม “รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 (ฉบับที่ 2)” สมัยการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้ ได้มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นจากกรณีกบฏบวรเดช โดยฝ่ายพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ต้องการล้มรัฐบาล 62
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส และนำประเทศกลับสู่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในที่สุดแล้ว รัฐบาลก็สามารถนำกำลังเข้าปราบปราบได้หมด สิ้นระหว่างวันที่ 11 – 24 ตุลาคม 2476 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 (ฉบับที่ 2) ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ได้กำหนด ให้สภามีเพียงสภาเดียวคือ สภาผู้แทนราษฎร มีจำนวน 156 คน ประกอบด้วย สมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 : สมาชิกประเภทนี้มาจากการ เลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 มีจำนวน 78 คน เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม แบบรวมเขตจังหวัด กล่าวคือ ให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน แล้วผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือก ผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง โดยถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คนต่อ ผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งแรกของประเทศไทย สมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้ ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 - 9 ธันวาคม 2480 หลังจากสิ้นสุดสมาชิก ภาพลงตามวาระ สมาชิกประเภทที่ 2 : สมาชิกประเภทนี้มีจำนวน 78 คน เท่ากันกับสมาชิกประเภทที่ 1 แต่มาจากการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2476 และได้รับการแต่งตั้งจำนวนสมาชิกเพิ่มอีก หลายครั้งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่บัญญัติ ไว้ว่า สมาชิกประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ต้องมีจำนวนเท่ากัน 63
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส โดยสมาชิกประเภทนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2476 - 10 พฤษภาคม 2489 เนื่องจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (ฉบับที่ 3) ซึ่งกำหนดให้มี พฤฒสภาขึ้นมาแทน โดยสมาชิกพฤฒสภาชุดแรกแต่งตั้งเมื่อ วันที่ 24 พฤษภาคม 2489 ทั้งนี้ เมื่อสมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้พ้นจากวาระแล้ว สมาชิกประเภทที่ 2 ยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป และคาบเกี่ยวกับ การดำรงตำแหน่งของสมาชิกประเภทที่ 1 อีกหลายชุด จนประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (ฉบับที่ 3) ระหว่างการดำรงตำแหน่งของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 จากนั้น สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบอัญเชิญ “พระองค์เจ้าอา นันทมหิดล” ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2477 ตาม พระนาม “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล” ผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัด นราธิวาสคือ ขุนชำนาญภาษา (ฤทธิ์ รัตนศรีศุข) (เอกสาร อดั สำเนา สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั นราธวิ าส : อบั ดลุ ลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) 64
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 2 (วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480) ทางการกำหนดเอาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2480 เป็นวัน เลือกตั้งทั่วไปทั่วประเทศโดยราษฎรเลือกโดยตรง และโดยวิธี แบ่งเขต ให้แต่ละเขตเลือกผู้แทนราษฎรได้เพียง 1 คน สมาชิกประเภทที่ 1 ของชุดนี้ ยังคงมาจากการเลือกตั้ง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 (ฉบับที่ 2) เหมือนสมาชิกประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือก ตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 แต่การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 เป็นการเลือกตั้งล่วงหน้า ก่อนที่ สมาชิกชุดเดิมจะสิ้นสุดวาระในวันที่ 9 ธันวาคม 2480 สมาชิกประเภทที่ 1 จึงดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2480 - 11 กันยายน 2481 โดยสิ้นสุดสมาชิกภาพลง ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร อันเนื่องมาจาก รัฐบาลพ่ายแพ้การลงมติในสภาฯ กรณีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเสนอญัตติขอแก้ไขข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทน ราษฎร เกี่ยวกับวิธีการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปี สมาชิกประเภทที่ 2 นั้น ยังคงเป็นชุดเดิมต่อเนื่องมาจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 แต่ได้มีการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นอีก 13 คน ในวันที่ 8 ธันวาคม 2480 เพื่อให้มีจำนวน 91 คน (จาก เดิมที่มี 78 คน) เท่ากับสมาชิกประเภทที่ 1 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ชุดที่ 3 นี้ สิ้นสุดวาระตามสมาชิกประเภทที่ 1 ที่สิ้นสุด ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร แต่อย่างไรก็ตาม 65
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส แม้สมาชิกประเภทที่ 1 จะสิ้นสุดสมาชิกภาพ แต่สมาชิก ประเภทที่ 2 ยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปเช่นเคย มี พ.อ.พระยา พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งครั้งนี้ผู้ได้ รับการเลือกตั้งที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส คือ นายอับดุลยาลาร์ นาเซร์ (อดุลย์ ณ สายบุรี) เป็นสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรสมยั แรก (เอกสารอดั สำเนา สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 ถือเป็นการยุบสภาครั้งแรกของประเทศไทย และ กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3 (วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรประเภท 1 กำหนดขึ้นหลังจากสภาเดิมถูกยุบไป โดยถือ เอาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 เป็นวันเลือกตั้ง สำหรับเหตุการณ์สำคัญๆ ทางบ้านเมืองระหว่างที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้อยู่ในตำแหน่งนั้นมีมากมาย เช่น การสถาปนาพระอิสริยยศ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2481 เหตุการณ์ “กบฏพระยาทรงสุรเดช” เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2481 (นับตาม พ.ศ.เดิม) นำโดยนายพันเอก พระยา ทรงสุรเดช พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทหาร-พลเรือน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 และ 2 ที่หมายจะโค่นล้ม 66
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส รัฐบาล นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่าย รัฐบาลจับกุมได้ และผลจากการก่อกบฏครั้งนี้ ส่งผลให้ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ต้องถูกเนรเทศให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร นอกจากนี้ รัฐบาลนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ยังได้ ประกาศรัฐนิยม 12 ฉบับ ระหว่างปี 2482 - 2485 และทำการ เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก 1 เมษายน เป็น 1 มกราคม ตามหลัก สากล จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และวิถีชีวิต ประจำวันอย่างมาก ประเทศไทยยังต้องพบกับภาวะสงคราม กรณีพิพาท อินโดจีน-ฝรั่งเศส และการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย รัฐบาลไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ซึ่งประกอบด้วย ญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี กระทั่งฝ่ายอักษะพ่ายแพ้สงครามแก่ฝ่าย สัมพันธมิตร ประเทศไทยจึงต้องตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การถือกำเนิดขึ้นของ “ขบวนการเสรีไทย” ที่คอยช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างลับๆ ได้ช่วยให้ประเทศ ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงครามในที่สุด ต่อมา เมื่อสงครามสงบลง ไทยได้ดินแดน 4 จังหวัด ในกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศส (ประกอบด้วย นครจำปาศักดิ์ - พระตะบอง - พิบูลสงคราม - ลานช้าง) รัฐบาลจึงจัดการ เลือกตั้งเพิ่มเติมอีก 4 ตำแหน่ง เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2488 ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพิ่มขึ้นเป็น 95 คน ดังนั้น เพื่อให้สมาชิกประเภทที่ 2 เท่ากับสมาชิกประเภทที่ 4 จึงมี 67
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 เพิ่มอีก 4 คน เป็น 95 คน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2488 ทำให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 4 มีจำนวนทั้งสิ้น 190 คน อายุสมาชิกภาพของสมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้นั้น ยาวนานกว่าที่เคยเป็นมา (2481-2488) ทั้งกฎหมายกำหนดให้ อยู่ในวาระเพียง 4 ปี แต่เนื่องจากสภาวะบ้านเมืองในยุคนั้น อยู่ในช่วงสงคราม ครั้นสมาชิกประเภทที่ 1 ครบวาระ ได้มีการ ต่ออายุออกไป 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี ตามพระราชบัญญัติ ขยายกำหนดเวลาอยู่ในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งออกตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2485 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ก็ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ ลง เนื่องมาจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบด้วยกับ ร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม ที่รัฐบาลเสนอเพื่อให้ ลงโทษผู้ก่อให้เกิดการปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้ สมาชิกประเภทที่ 1 สิ้นสุดอายุลง แต่สมาชิกประเภทที่ 2 ยังคง ดำรงอยู่ โดยปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 - 15 ตุลาคม 2488 ซึ่งเป็นวันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทน ราษฎร การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร คือ นายอับดุลยาลาร์ นาเซร์ (อดุลย์ ณ สายบุรี) เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 (เอกสารอัดสำเนา สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบ- รอฮีม) 68
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4 (วันท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2489) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อายุของสภาซึ่งขยายมาเป็น เวลาทั้งสิ้น 8 ปี ได้สิ้นสุดลง และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั่วประเทศใหม่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 เป็นการ เลือกตั้งโดยตรงจากราษฎรโดยวิธีแบ่งเขต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ประกอบด้วยสมาชิก ประเภทที่ 1 และสมาชิกประเภทที่ 2 จำนวนเท่ากัน โดย สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 96 มาจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อ วันที่ 6 มกราคม 2489 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งโดยวิธีแบ่งเขต แต่ละ เขตเลือกตั้งมีผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน และถือเกณฑ์จำนวน ประชากร 200,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ส่วนสมาชิกประเภทที่ 2 ยังเป็นสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ ต่อเนื่องมาจากชุดที่ 4 จำนวน 95 คน และได้แต่งตั้งเพิ่ม จำนวน 1 คน ในวันที่ 30 มกราคม 2489 เพื่อให้มีจำนวนเท่ากับ สมาชิกประเภทที่ 1 (96 คน) แต่สมาชิกประเภทที่ 2 ต้องสิ้นสุด สมาชิกภาพลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2589 เนื่องจากมีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งกำหนดให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน โดยสมาชิก ประเภทที่ 1 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อ และผลจากการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ทำให้มีการร่างพระราชบัญญัติการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ.2489 ขึ้นมาประกาศใช้ และ พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดเกณฑ์จำนวนประชากรต่อ ผู้แทนราษฎรหนึ่งคนลดลงจาก 200,000 คนเป็น 150,000 คน 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส รัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี จึงจัดการเลือกตั้งขึ้น ในวันที่ 5 สิงหาคม 2489 เป็นการเลือกตั้งโดยตรง วิธีแบ่งเขต เลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน ผลจาก การเลือกตั้งทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 82 คน เป็น 178 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2489 - 8 พฤศจิกายน 2490 ก็สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดย “คณะทหารของชาติ” ภายใต้การนำ ของพลโทผิน ชุณหะวัณ ระหว่างการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 ชุดนี้ ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเกิดขึ้น หลายประการ ไดแ้ ก่ การเรม่ิ จดั ตง้ั พรรคการเมอื งขน้ึ เปน็ ครง้ั แรก โดยอาศัยมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และการแต่งตั้ง “สมาชิกพฤฒสภา” เป็นครั้ง แรกของประเทศ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2489 จำนวน 80 คน นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้แก่ พสกนิกรทั้งประเทศ นั่นคือการ “เสด็จสวรรคต” ของ สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เวลา ประมาณ 9.00 น. และในคืนวันเดียวกันนั้นเอง ที่ประชุมรัฐสภา ได้มีมติเอกฉันท์ให้อัญเชิญ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล- อดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ต่อไป ตามเฉลิมพระนามที่ประกาศใน อีก 2 วันถัดมาว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ 70
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส คือ นายวงศ์ ไชยสุวรรณ์ (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญ- มามะอิบรอฮีม) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 5 (เป็นการเลือกเพิ่มเติม วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489) ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2489 ภายหลังการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ 10 พฤษภาคม 2489 ทางรัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น ตามบทเฉพาะกาลอีก 47 จังหวัด รวมจังหวัดนราธิวาสด้วย โดยให้ราษฎรเลือกโดยตรงและใช้วิธีแบ่งเขตสำหรับจังหวัด นราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งเพิ่มใน ครั้งนี้ 1 คน คือ ร้อยตำรวจโทสุริยน ไรวา เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยแรก (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเพราะเกิดการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 โดยการนำของพลโทผิน ชุณหะวัณ ซึ่งถือว่าเป็นการรัฐประหารครั้งแรกของประเทศไทยที่ทหารยึด อำนาจแล้วมีการยกเลิกการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นผลให้ สมาชิกรัฐสภาสิ้นสุดลง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 6 (วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491) การรัฐประหารนำโดยคณะทหารมี พลโทผิน ชุณหะวัณ (บดิ าของพลตรชี าตชิ าย ชณุ หะวณั ) และพวกไดน้ ำมาซง่ึ รฐั ธรรมนญู ฉบับใหม่ร่างโดย หลวงกาจสงคราม ออกประกาศใช้เป็น 71
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 กำหนดให้มีการเลือกตั้ง แบบใหม่โดยวิธีรวมเขต และให้ราษฎรเลือกโดยตรง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2491 - 29 พฤศจิกายน 2494 ก็หมดวาระลง เนื่องจาก “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” นำโดย พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ เขา้ ยดึ อำนาจการปกครองประเทศจากรฐั บาล จอมพล ป. พบิ ลู - สงคราม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 ระหว่างการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้ ได้มีเหตุการณ์กบฏเสนาธิการทหาร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2491 และกบฏวังหลวง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 นำโดย กลุ่มทหารเรือ อดีตรัฐมนตรี ฯลฯ ที่ยึดพระบรมมหาราชวังเป็น ฐานที่มั่นต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล แต่ในที่สุดกลับตกเป็นฝ่าย พ่ายแพ้ อีกทั้ง นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นาย จำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ์ อดีตรัฐมนตรีที่ รัฐบาลเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อการครั้งนี้ ต้องถูกสังหารด้วย อาวุธปืนขณะถกู ใส่กุญแจมือ ในคืนวันที่ 3 มีนาคม ปีเดียวกัน หลังจากเหตุความวุ่นวายผ่านพ้นไปไม่นาน พสกนิกร ชาวไทยก็ได้รับข่าวดีบ้าง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชพิธีหมั้นกับ “หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร” เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ณ พระตำหนักที่ประทับเมือง โลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการนี้ พระราชธรรมนิเทศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้โทรเลขกราบบังคมทูลถวาย พระพรไปในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย 72
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส วันที่ 28 เมษายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร พร้อมกับโปรดเกล้าฯ ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์ หญิงสิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์” หลังจากนั้น ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 สมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ที่ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ทรงพระราชพิธีบรม ราชาภิเษก เพื่อขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์โดยสมบูรณ์ มีการ ประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล- อดุลยเดช ว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุล- ยเดช มหิตลาธิเบศ รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ทง้ั น้ี ในระหวา่ งพระราชพธิ ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระบรมราชโองการตอบพระราชทานแด่ประชาชน ชาวไทย อันเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นอกจากนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรง โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น “สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี” ในวันเดียวกันนี้ด้วย การ เลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน คือนายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส: อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) โดยสมาชิกรัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจากการยึดอำนาจ การปกครองของคณะบริหารประเทศชั่วคราว เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 73
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 7 (วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) รัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย พ.ศ.2475 ถูกนำมาแก้ไข เพิ่มเติมและออกประกาศใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2492 ในปีนี้กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง แบบรวมเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่ง คน ส่วนสมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2494 จำนวน 123 คน รวมแล้วสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้มีจำนวน 246 คน ถือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 7 ระหว่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้น เช่น ในวันที่ 26 กันยายน 2498 ได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2498” ตามขอ้ เสนอของ จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม นายกรฐั มนตรี สง่ ผล ให้มีกลุ่มบุคคลสนใจจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างถูกกฎหมายขึ้น มากมาย อาทิเช่น พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาวนา พรรคอิสระ เป็นต้น นอกจากนี้ ในวันที่ 18 กันยายน 2499 ที่ประชุมสภา ผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช และต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิม พระอภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ในวันที่ 11 ธันวาคมปีเดียวกัน 74
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดลงตามวาระ เนื่องจากสมาชิกประเภทที่ 1 สิ้นสุดสมาชิกภาพ แต่สมาชิก ประเภทที่ 2 ยังดำรงอยู่ (เป็นสมาชิกประเภทที่ 2 ใน สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 8) จึงสรุปได้ว่า สมาชิกสภาฯ ชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 - 25 กุมภาพันธ์ 2500 จึงพ้นจากตำแหน่งตามวาระ การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัด นราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน คือ นายเอิบ อิสระ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส: อับดุลลอฮ เบ็ญมา มะอิบรอฮีม) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 8 (วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) การเลือกตั้งทั่วไปจัดให้มีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 เพื่อให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาสืบแทนชุดเดิมซึ่งครบ อายตุ ามวาระ เปน็ การเลอื กตง้ั โดยตรงแบบรวมเขต การเลอื กตง้ั ครั้งนี้มีการสมัครกันในนามของพรรคการเมืองเป็นครั้งแรก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ถือเป็นชุดที่ 8 ที่มีสมาชิก ประเภทท่ี 1 จำนวน 160 คน สมาชกิ ประเภทท่ี 2 จำนวน 123 คน รวมเป็น 283 คน อย่างไรก็ตาม สมาชิกชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ได้ เพียง 7 เดือนกว่า ก็สิ้นสุดสมาชิกภาพลงในวันที่ 16 กันยายน 2500 เนื่องมาจากความวุ่นวายที่มีเรื่อยมาหลังการเลือกตั้ง จนขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ กระทั่งเกิดการยึดอำนาจการ ปกครองประเทศโดยคณะทหาร ภายใต้การนำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 ด้วยเหตุผลที่ 75
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส รัฐบาลไม่อาจเป็นที่ยอมรับของประชาชน และไม่สามารถ ควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศได้ การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรได้ 2 คน คือ 1. ร้อยตำรวจโทสุริยน ไรวา เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา และ 2. นายโสภณ เอี่ยมอิทธิพล สังกัดพรรคธรรมาธิปัตย์ (เอกสาร อดั สำเนา สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั นราธวิ าส : อบั ดลุ ลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 9 (วันท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 9 นี้ ประกอบด้วย สมาชิกประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 จำนวน 160 คน และสมาชิกประเภทที่ 2 จำนวน 121 คน (แต่กฎหมายกำหนดให้มี 123 คน จึงได้แต่งตั้งเพิ่มภายหลังอีก 2 คน) รวมเป็น 283 คน สำหรับสมาชิกประเภทที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2500 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งระหว่างที่รอการ เลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกประเภทที่ 2 ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการ เลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 กระทั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 รัฐบาล พล.อ.ถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) ได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้น เป็นการเลือกตั้งโดยตรง แบบรวมเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 76
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 150,000 คน ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน มี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน 160 คน อยู่ในตำแหน่ง 5 ปี (ตาม กฎหมายกำหนด) แต่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 (ฉบับที่ 6) ได้บัญญัติว่า “ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการ ศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดใน จังหวัดนั้น ก็ให้สมาชิกประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวน เท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีการเลือกตั้งในจังหวัด นั้น และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 เพิ่มขึ้น มีจำนวน เท่ากับจำนวนสมาชิกประเภทที่ 2 ที่จะออกจากตำแหน่ง” ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 2501 คณะรัฐมนตรีได้ ประกาศจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งได้รับการอบรมจนจบชั้น ประถมศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ จากนั้นใน วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2501 จึงมีการจับสลากสมาชิกประเภทที่ 2 (แต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2500) ออกจากตำแหน่งจำนวน 26 คน เพื่อให้มีการเลือกตั้งแทน กระทั่งวันที่ 30 มีนาคม 2501 ได้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 เพิ่มเติม แทนจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่จับสลากออกจาก ตำแหน่ง โดยการเลือกตั้งจัดขึ้นใน 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดพระนคร ธนบุรี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี รวมได้สมาชิกประเภทที่ 1 มาเพิ่ม 26 คน 77
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส สรุปแล้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 9 นี้ มีสมาชิก ประเภทที่ 1 จำนวน 186 คน และ สมาชิกประเภทที่ 2 จำนวน 97 คน รวมเป็น 283 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2500 - 20 ตุลาคม 2501 สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากการรัฐประหารของคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้ายึด อำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พล.อ.ถนอม กิตติขจร ทั้งนี้ หลังจากทำรัฐประหารสำเร็จ ได้มีการประกาศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2495, ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พุทธศักราช 2498 และให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ส่งผลให้ นับจากนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องว่างเว้นไปจากระบบ รัฐสภายาวนานกว่า 10 ปี เนื่องจากรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่ แทน การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดนราธิวาสมี สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 2 คน คือ 1. นายโสภณ เอี่ยมอิทธิพล เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 สังกัดพรรคสหภูมิ และ 2. นายเอิบ อิสระ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 เช่นกัน สังกัด พรรคสหภูมิ (เอกสารอัดสำเนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาส : อับดุลลอฮ เบ็ญมามะอิบรอฮีม) 78
การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 10 (วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) หลังจากคณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามประกาศ ของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ก็ได้นำ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ที่มี เพียง 20 มาตรา มาบังคับใช้ และได้ประกาศแต่งตั้งสมาชิก สภารา่ งรฐั ธรรมนญู จำนวน 240 คน เมอ่ื วนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2502 กระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 นับเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ที่สภาผู้แทนราษฎร ต้องยุติบทบาทในระบอบรัฐสภาเมืองไทย จนกระทั่งมีประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 (ฉบับที่ 8) ซึ่งในหมวด 6 มาตรา 71 บัญญัติไว้ว่า “รัฐสภาประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทน” และตามรฐั ธรรมนญู ฉบบั ดงั กลา่ ว ในสว่ นของสภาผแู้ ทน จะต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง จึงนำมาสู่การ ประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอีกครั้ง โดยกำหนด ให้มีขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 จำนวนสมาชิกสภาผู้แทน 219 คน เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ถือเป็นชุดที่ 10 อยู่ใน ตำแหน่งระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 - 17 พฤศจิกายน 2514 เนื่องจากคณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลถนอม 79
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส กิตติขจร ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลที่ตัวเองดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อนึ่ง ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดดังกล่าว ได้มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้น ดังนี้ วันที่ 9 มิถุนายน 2513 ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ประกาศเฉลิมพระนามพระอัฐิ สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร ตามที่จารึก ไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก และประกาศเฉลิมพระนามสมเด็จ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ ตามที่จารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันที่ 1 ธันวาคม 2513 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ประกาศใช้ระเบียบการโดยสารเครื่องบินของสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากที่เคยได้สิทธิโดยสารรถไฟ ชั้นที่ 1 ทั่วประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้สามารถโดยสารทาง เครื่องบินได้เช่นเดียวกับทางรถไฟ โดยให้เบิกเงินจากสำนักงาน เลขาธิการรัฐสภา วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2514 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 16 คน ถูกจับกุมที่ จังหวัดร้อยเอ็ด ในข้อหามั่วสุม สัมมนา และอภิปราย สภาผู้แทนราษฎรจึงได้อภิปรายตำหนิ การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ และลงมติไม่อนุญาตให้ จับกุมหรือเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 16 คน ไปสอบสวนในระหว่างสมัยประชุม 80
การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส วันที่ 9 มิถุนายน 2514 มีพระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องใน วโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 25 ปี มีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และมีการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติเหรียญรัชดาภิเษก ให้ชาวไทยประดับเหรียญ นี้โดยทั่วกัน และในวันที่ 7 กันยายน 2514 ได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารรัฐสภา ซึ่งก่อสร้างขึ้นใหม่บริเวณทิศเหนือของพระที่นั่ง อนันตสมาคม เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ มีจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ก็สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากคณะปฏิวัติ ภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจร ในฐานะผู้บัญชาการ ทหารสูงสุด ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาลที่ตัวเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (จอมพลถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2506 แทนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมปีเดียวกัน) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการยึดอำนาจ รัฐบาลตัวเองเพื่อขจัดศัตรูทางการเมือง และเพิ่มเสถียรภาพให้ กับกลุ่มการเมืองฝ่ายตน ซึ่งคณะปฏิวัติยังได้ออกประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ซึ่งเป็นการ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ยกเลิกวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรี ส่งผลให้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรชุดนี้สิน้ สุดสมาชกิ ภาพลง การเลอื กตั้ง ครั้งนี้ จังหวัดนราธิวาสมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน คือ 81
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376