นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี รัฐมนตรีระหว่างวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500 – 1 มกราคม พ.ศ. 2501 การเลือกตั้งสมัยที่ 8 (15 ธันวาคม 2500) จังหวัด กาญจนบุรี มี ส.ส. มีจำนวน 1 คน ผู้ที่รับเลือกตั้งคือ นายแผน สิริเวชชะพันธ์ สังกัดพรรคสหภูมิ การเลือกตั้งสมัยที่ 9 (10 กุมภาพันธ์ 2512) จังหวัด กาญจนบุรีมีจำนวน 2 คน ประกอบด้วย นางจินดา อังศุโชติ และนายบุญเทียม ประสมศักดิ์ ทั้งสองไม่สังกัดพรรคการเมือง และเป็น ส.ส. หน้าใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี ในขณะเดียวกัน นางจินดา อังศุโชติ นับเป็นนักการเมืองหญิงคนแรกของ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีพลเอก นายวรการ บัญชา ประธาน วุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2511 -2514) การเลือกตั้งสมัยที่ 10 (26 มกราคม 2518) จังหวัด กาญจนบุรีมีเขตเลือกตั้ง 1 เขต มีจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 3 คน ประกอบด้วย นายแผน สิริเวชชะพันธ์ สังกัดพรรคเกษตรสังคม ซึ่งได้รับเลือกเป็น ส.ส. สมัยที่ 2 หลังจากได้รับเลือกตั้งครั้งแรก ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 พลโทชาญ อังสุโชติ สังกัดพรรคธรรมสังคม และนายฉิม ชอบธรรม ถือเป็น ส.ส. คนแรกของจังหวัดกาญจนบุรี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร และเป็นประธานรัฐสภา มีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 86
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี 3.3 พัฒนาการการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2519-2526 การเลือกตั้งสมัยที่ 11 (4 เมษายน 2519) จังหวัด กาญจนบุรีมีจำนวน 1 เขตเลือกตั้ง มีจำนวน ส.ส. 3 คน ได้แก่ นายแผน สิริเวชชะพันธ์ ซึ่งได้ย้ายจากพรรคเกษตรสังคม มาสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 3 ในขณะ ส.ส. อีก 2 คน เป็นหน้าใหม่ คือ นายยงยุทธ ตันพิริยะกุล และนายประวิทย์ วอนเพียร ซึ่งทั้งสองสังกัด พรรคชาติไทย โดยเป็นครั้งแรกที่พรรคชาติไทยมี ส.ส.จังหวัด กาญจนบุรีเป็นครั้งแรก การเลือกตั้งสมัยที่ 12 (22 เมษายน 2522) จังหวัด กาญจนบุรี แบ่งเขตเลือกตั้ง เป็น 1 เขต จำนวน 3 คนเช่นเดิม ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง ประกอบด้วย พลโท ชาญ อังศุโชติ สังกัดพรรคชาติไทย ซึ่งได้เป็น ส.ส. สมัยที่สองหลังจากการเป็น ส.ส. สมัยแรกในปี พ.ศ.2518 แต่ไม่ได้เป็น ส.ส.ในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ.2519 คนต่อมาคือ นางสมทรง จันทาภากุล สังกัด พรรคสยามประชาธิปไตย และนายชวิน เป้าอารีย์ สังกัดพรรค กิจสังคม โดยนางสมทรง จันทาภากุล เป็น ส.ส. สมัยแรก และ เป็น ส.ส.หญิงคนที่ 2 ของจังหวัดที่ได้รับเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมัยที่ 13 (18 เมษายน 2526) การเลือกตั้ง ครั้งนี้จังหวัดกาญจนบุรีแบ่งออกเป็น 2 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 มีจำนวน ส.ส. 2 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ พลโท ชาญ อังศุโชติ และเขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต ศิริศิลวัตนุกุล และ 87
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี นางจินดา อังศุโชติ โดย ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีสังกัดพรรค ชาติไทย 3 คน โดยนายเรวัต ศิริศิลวัตนุกุล เป็นคนเดียวที่ สังกัดพรรคกิจสังคม ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก ในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2526 ถือเป็นปีที่สมาชิกสภาผู้แทน ราษฏร (ส.ส.) ซึ่งเลือกตั้งในปี พ.ศ.2522 ครบวาระและสิ้นสุด สมาชิกสภาพ เดิมทีรัฐบาลได้กำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2525 แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่มี ปัญหา ทำให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตร ี ในขณะนั้นต้องประกาศยุบสภาผแู้ ทนราษฎรในวันที่ 19 มนี าคม พ.ศ.2526 และได้ดำเนินการเลือกตั้ง ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2526 มีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง จังหวัดกาญจนบุรีมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 236,365 คน โดยพรรคกิจสังคมมีผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งจำนวน 92 คน จากผู้สมัครฯ 253 คน พรรคชาติไทยเป็นพรรคที่มีผู้ได้รับ เลือกตั้งมากเป็นอันดับสองจำนวน 73 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 184 คน ในขณะที่พรรคลำดับที่สามได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 56 คน ลำดับที่สี่ พรรค ประชากรไทย ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 36 คน ลำดับที่ห้า พรรคสยามประชาธิปไตย 18 คน อื่นๆ ประกอบ ด้วย พรรคชาติประชาธิปไตย 15 คน พรรคประชาไทย 4 คน พรรคก้าวหน้า 3 คน พรรคสังคมประชาธิปไตย 2 คน พรรค ประชาเสรี 1 คน และไม่สังกัดพรรค 24 คน รวมจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 324 คน (กรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย, 2526: 2, 244, 251) 88
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งปี พ.ศ.2526 พรรคชาติไทยมี ส.ส. จังหวัด กาญจนบุรี 3 คน จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 4 ที่นั่ง ได้แก่ เขตที่ 1 พลตำรวจโท จำรสั มงั คลารตั น์ พลโท ชาญ องั ศโุ ชติ ในขณะท่ี เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต ศิริศีลวัตนุกุล พรรคประชา- ธิปัตย์ และนางจินดา อังศุโชติ สังกัดพรรคชาติไทย (กรมการ ปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2526: 316-317) 3.4 พัฒนาการการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2529 - 2543 พัฒนาการทางการเมืองของจังหวัดกาญจนบุรีในช่วง เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่พรรคชาติไทยเข้าครอบครองพื้นที่ ทางการเมอื งในจงั หวดั กาญจนบรุ มี ากทสี่ ุด เร่ิมจากการเลอื กตง้ั ในปี พ.ศ.2529 พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ เป็น ส.ส. คนเดียวของพรรคจากจำนวน 4 ที่นั่ง โดยแต่ ส.ส. แต่ละคน ล้วนมากจากคนละสังกัดพรรค ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 พรรค ชาติไทยได้ 2 ที่นั่ง คือ พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ และ นายเรวัต สิรินุกุล และการเลือกตั้งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 พรรคชาติไทยได้ ส.ส. เพิ่มเป็น 3 ที่นั่ง ได้แก่ นาวาอากาศโท เดชา สขุ ารมณ์ (เปน็ ผสู้ มคั รแทนพลตำรวจโท จำรสั มงั คลารตั น)์ นายเรวัต สิรินุกุล (ย้ายมาจากพรรคกิจประชาคม) และ นายสันทัด จีนาภักดิ์ (เป็น ส.ส. สมัยแรก) ในปีเดียวกันนี้ได้มี การจัดเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในเดือนกันยายน ผลปรากฏว่าพรรค ชาติไทยได้ ส.ส. จำนวนเท่าเดิมโดยเป็นคนเดิมกับการเลือกตั้ง ในเดือนมีนาคม ทั้งนี้การเลือกตั้งในปี 2531 และ ปี 2535 นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ เป็น ส.ส.เพียงคนเดียวจาก 89
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี พรรคการเมืองอื่นที่มิใช่พรรคชาติไทย กล่าวคือสังกัดพรรค พลังธรรม จังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้นเป็น 5 ที่นั่ง นับจากการเลือกตั้งปี 2538 เป็นต้นมา โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคชาติไทยได้จำนวน 2 ที่นั่ง คือ นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ และนายเรวัต สิรินุกุล ขณะที่อีก 2 ที่นั่งได้แก่ พลตรี ศรชัย มนตรีวัต และนายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร จากพรรค นำไทย (ภายใต้การของนายอำนวย วีรวรรณ และอีก 1 ที่นั่ง เป็นของนายประชา โพธิ์พิพิธ จากพรรคประชาธิปัตย์ สำหรับ ในการเลือกตั้งปี 2544 ผลการเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง คนเดิมที่มีชื่อเสียง แต่มีการย้ายพรรคในการลงรับสมัคร เลือกตั้ง กล่าวคือ นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ และ นายสันทัด จีนาภักดิ์ เป็น ส.ส. สังกัดพรรคไทยรักไทย นายเรวัต สิรินุกุล นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร และ นายประชา โพธิ์พิพิธ เป็น ส.ส. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้แจกใบเหลืองให้ทำให้ ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ผลปรากฏว่าพลตรีศรชัย มนตรีวัต จากพรรคความหวังใหม่ชนะการเลือกตั้ง) สำหรับผลงานในการพัฒนาพื้นที่ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่า มีความโดดเด่นมากนัก หากแต่ด้วยศักยภาพทรัพยากรการ ท่องเที่ยวอันประกอบด้วยความสวยงามของป่าไม้ ภูเขา น้ำตก และเขื่อน รวมถึงประวัติศาสตร์สงครามโลกผ่านเส้นทางรถไฟ สายมรณะ ทำให้จังหวัดกาญจนบุรีมีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จัก ของคนทั่วไป มากกว่าบทบาทการพัฒนาพื้นที่โดยนักการเมือง 90
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี 3.5 พัฒนาการการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2544 - ปัจจุบัน การเมืองจังหวัดกาญจนบุรีได้มีพัฒนาการและ การเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเฉพาะภายหลังการขึ้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย โดยในการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2544 จังหวัดกาญจนบุรีมี ส.ส. ในสังกัดพรรคไทยรักไทย คือ นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ กับนายสันทัด จีนาภักด์ และเมื่อรวมกับพลตรี ศรชัย มนตรีวัต ซึ่งชนะการเลือกตั้งซ่อม ได้เป็น ส.ส. แทนนายประชา โพธิพิพิธ จากพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาภายหลังพรรคความหวังใหม่ได้รวมกับพรรคไทยรักไทย ทำให้มี ส.ส.จำนวนมากที่สุดในจังหวัด คือ 3 คน ผลจากความสำเร็จในการบริหารประเทศของพรรคไทย รักไทย ทำให้ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 จังหวัดกาญจนบุร ี ซึ่งมีเขตเลือกตั้ง 5 เขต มี ส.ส. จำนวน 5 คน พรรคไทยรักไทย ชนะการเลอื กตง้ั มากทส่ี ดุ จำนวน 4 ทน่ี ง่ั ประกอบดว้ ย เขตเลอื กตง้ั ที่ 1 พลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสันทัด จีนาภักดิ์ เขตเลือกตั้งที่ 4 นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิทธิ์ถาวร และ เขตเลือกตั้งที่ 5 พลโท มะ โพธิ์งาม ในขณะที่เขตเลือกตั้งที่ 2 นายปารเมศ โพธารากุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต่อมา ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้ ใบแดง มีการเลือกตั้งซ่อม ทำให้นายเรวัต ศิรินุกุล จากพรรค ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง เป็นผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าวพรรค ไทยรักไทยยึดพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีได้ทั้งหมด 91
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2550 การเมืองจังหวัดกาญจนบุรี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากพรรคไทยรักไทยถูก ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยซึ่งเปลี่ยน ชื่อมาเป็นพรรคพลังประชาชนชนะในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 2 ที่นั่ง คือ พลโท มะ โพธิ์งาม และพลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ และอีก 1 ที่นั่งเป็นของนายอัฏฐพล โพธิพิพิธ จากพรรค ประชาธิปัตย์ ในขณะที่เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายปารเมศ โพธารากุล จากพรรคประชาธิปัตย์ และนายสันทัด จีนาภักดิ์ จากพรรคภูมิใจไทย สำหรับการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2554 พรรคประชาธิปัตย์ ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งจำนวน ส.ส. 3 ที่นั่งนับว่ามาก ที่สุดในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 2 นายฉัตรพันธ์เดช กิจสุนทร เขตเลือกตั้งที่ 4 นายประชา โพธิพิพิธ และเขตเลือกตั้งที่ 5 นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้ 2 ที่นั่ง คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 พลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ และเขตเลือกตั้งที่ 3 นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ 3.6 บทสรุป การเมืองจังหวัดกาญจนบุรีในอดีตถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่ การเลือกตั้งครั้งแรกคือ 15 พฤศจิกายน 2476 ถึงปัจจุบันรวม 77 ปี โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ฉบับที่ 18 ซึ่งกำหนดให้มี จำนวนทั้งหมด 480 คน แบ่งออกเป็นสองประเภท กล่าวคือ ส.ส.จากระบบแบ่งเขตและจากระบบสัดส่วนรายชื่อกลุ่มจังหวัด ทั้งนี้ปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ภายหลังการทำรัฐประหาร 92
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี นำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันโอชา และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ชั่วคราว พ.ศ.2557 สำหรับผลการเลือกตั้ง ส.ส.ในระบบเขตของ จังหวัดกาญจนบุรีได้มีพัฒนาการในระดับหนึ่ง กล่าวคือ พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน รวมถึงนักการเมือง ได้เปลี่ยนแปลงจากการพิจารณาเลือกผู้สมัครเฉพาะราย มาเป็นการเลือกผู้สมัครที่สังกัดพรรคขนาดใหญ่ที่นโยบายและ การนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายใน การหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง ปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับ พรรคการเมืองที่มีชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ โดยพื้นฐานหรือมี ภูมิหลังในฐานะนักการเมืองท้องถิ่น และภูมิหลังในฐานะผู้มี อิทธิพลหรือบารมีในพื้นที่นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อ ความสำเร็จทางการเมืองของนักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้หากพิจารณาจากการผลการเลือกตั้ง 2 ครั้ง หลังสุด คือ ในปี 2550 และการเลือกตั้งปี 2554 นั้น การเมือง ถิ่นจังหวัดกาญจนบุรีเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ในปี 2550 อดีตนายทหารยังคงได้รับเลือกตั้งหากแต่มาจากปัจจัยด้านการ สังกัดพรรคการเมืองเป็นสำคัญ แต่ได้รับเลือกตั้งเพียง 2 ที่นั่ง จากจำนวน 5 ที่นั่ง ในขณะที่ปี 2554 อดีตนายทหารได้รับ เลือกตั้งเพียงที่นั่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่าใน 4 ที่นั่ง ล้วนมีมิใช่อดีตนายทหารหรือข้าราชการเหมือนเช่นอดีต หากแต่มีภมู ิหลังมาจากเป็นนักการเมืองท้องถิ่นทั้งสิ้น ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองถิ่นจังหวัด กาญจนบุรีกับการเมืองระดับชาตินั้น พบว่า นักการเมืองถิ่น 93
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรีได้เข้าไปมีบทบาททางการเมืองสำคัญ ๆ โดยเฉพาะตำแหน่งทางการบริหารในรัฐบาลชุดต่าง ๆ นับจาก อดีตถึงปัจจุบัน อาทิ นายแผน สิริเวชพันธ์ เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช สำหรับพลโทชาญ อังศุโชติ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ทบวงมหาวิทยาลัย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการใกล้ชิดกับจอมพล ถนอม กิติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นาวาอากาศโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และอดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และพลตรี ศรชัย มนตรีวัต อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 94
บ4ทท ่ี ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรมของ นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี 4.1 บทบาทและกิจกรรมทางการเมืองของ นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี นักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีมีรูปแบบการดำเนิน กิจกรรมทางการเมืองเช่นเดียวกันกับนักการเมืองในจังหวัด อื่น ๆ ที่มีพื้นฐานการทำงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที ่ เลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจำเป็นต้องมีแนวทางการทำงาน ที่ชัดเจนเพื่อสร้างการยอมรับให้กับประชาชนในพื้นที่ เพราะ หาไมแ่ ลว้ ยอ่ มไมอ่ าจประสบความสำเรจ็ หรอื ชนะการเลอื กตง้ั ได้ อย่างไรก็ตามด้วยจังหวัดกาญจนบุรีเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญ
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ด้านยุทธศาสตร์ทางการทหารและกองทัพ นายทหารที่ประสบ ความสำเร็จและเติบในราชการจนกระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งระดับ สูงของกองทัพส่วนหนึ่งเคยประจำการเป็นผู้นำหน่วยและต่อมา ภายหลังจึงเข้าสู่การเมืองในฐานะนักการเมืองจังหวัด กาญจนบุรี ซึ่งบทบาททางการทหารในอดีตจึงมีผลต่ออิทธิหรือ มีความสัมพันธ์ต่อวัฒนธรรมการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ ค่อนข้างมาก ดังปรากฏว่าเมื่อลงรับสมัครเลือกตั้งโอกาสที่จะ ประสบความสำเร็จในทางการเมืองย่อมมีมากกว่าผู้สมัครฯ รายอื่น ๆ นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เคยรับราชการมาก่อนเมื่อลง สมัครรับเลือกตั้งก็จะมีโอกาสมากเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการตัดสินใจทางการเมืองในการเลือก ส.ส. ของ ชาวจังหวัดกาญจนบุรีมิได้จำกัดเฉพาะอดีตข้าราชการทหาร หรือข้าราชการพลเรือนอื่น ๆ อีกต่อไป หากแต่มีการยอมรับ หรือสนับสนุนนักการเมืองท้องถิ่นในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ 96
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม สำหรับบุคคลสำคัญของการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี มีดังนี้ 4.1.1. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร (กำนันหยุ่น) ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2493 ที่บ้านท่าอ้อ ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัด กาญจนบุรี บิดาชื่อนายโจวชิงชวน แซ่โจว มารดาชื่อนางตังสี แซโ่ จว มพี น่ี อ้ งทง้ั หมด 6 คน เปน็ บตุ รคนท่ี 4 พน่ี อ้ งประกอบดว้ ย นายมงคล พิมพ์พิสิฐถาวร นายทรงชัย พิมพ์พิสิฐถาวร นายสุรแสน พิมพ์พิสิฐถาวร นางพรพิมล พาณิชสุขสวัสดิ์ นางสาวสุริณีย์ พิมพ์พิสิฐถาวร การศึกษาเริ่มต้นในระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียน วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียน วิสุทธรังสี แต่ต้องยุติการเรียนกลางคันด้วยการลาออก สาเหตุ เพราะไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวครอบครัวเพราะยากจน ดว้ ยความมงุ่ มน่ั ดา้ นการเรยี นไพบลู ย์ พมิ พพ์ สิ ฐิ ถาวร ไดเ้ ขา้ เรยี น ในโรงเรียนการศึกษานอกเวลาโดยสำเร็จการศึกษาทั้งในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่ศูนย์การศึกษานอก โรงเรยี น จงั หวดั กาญจนบรุ ี และเขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั ปรญิ ญาตรี ภายหลังการประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางเศรษฐกิจและ การเมือง ในหลักสูตรปริญญาตรีภาคพิเศษ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำหรับชีวิตครอบครัวสมรสกับ นางศศิมนต์ พิมพ์พิสิฐถาวร มีลูกชาย 1 คนและลูกสาว 1 คน คอื นายเครดติ พมิ พพ์ สิ ฐิ ถาวร สำเรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี Computer Science with Management มหาวิทยาลัย King’s 97
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี College London ประเทศองั กฤษ และนางสาวกฤตกิ า พมิ พพ์ สิ ฐิ - ถาวร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยมหิดล ชีวิตการทำงาน ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร เริ่มต้น ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมโดยทำไร่ยาสูบจนถึงปี พ.ศ. 2501 จึงตัดสินใจย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในตัวเมือง โดยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวและทำเต้าหู้ในตลาดอำเภอเมือง กาญจนบุรี ขณะเดียวกันก็เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียน วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) หลังจากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อ ในระดับชั้นมัธยม (ม.ศ.1) ณ โรงเรียนวิสุทธรังสี (โรงเรียน ประจำจังหวัด) แต่ต้องประสบกับอุปสรรคสำคัญเนื่องจาก ฐานะทางบ้านไม่ดี จึงต้องลาออกจากโรงเรียนไปทำงานเป็น คนงานโรงน้ำแข็ง ต่อมาขยับตำแหน่งเป็นคนขับรถ หลังจากนั้น ไปรับจ้างขนไม้รวกและซื้อของป่ามาขาย แต่ไม่ประสบ ผลสำเร็จ จึงไปทำงานเป็นลูกจ้างทำเหมืองแร่ย้ายในหลาย จังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัด ไพลิน ประเทศเขมร ด้วยเงินติดตัวไป 2,000 บาท โดยทำ เหมืองพลอยกับน้าชาย อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2518 เขมร มีปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรงพร้อมกับเกิดเปลี่ยนแปลง การปกครอง ไพบูลย์ฯ จึงตัดสินใจกลับประเทศไทยโดยการเปิด กิจการโรงน้ำแข็งไพบูลย์ ซึ่งกิจการเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเป็น ลำดับ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 ได้ขยับขยายเข้าสู่วงการธุรกิจ ค้าพลอย โดยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปค้าพลอยที่ซีลอน ประเทศ ศรีลังกา ทำการค้าอยู่เกือบ 10 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ราคา พลอยที่ซีลอนมีราคาแพงทำให้ต้องประสบปัญหามาก จึงกลับ 98
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม มาทำกิจการเหมืองดีบุกที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดราชบุรี อย่างไรก็ตามกิจการที่ลงทุนประสบภาวะ ขาดทุนเป็นหนี้หลายล้านบาท แต่ไพบูลย์ฯ ไม่ท้อถอย ได้เริ่ม ต้นใหม่ โดยระดมทุนด้วยการขายหุ้นให้กับเพื่อนๆ หุ้นละ 50,000 บาท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี พ.ศ.2529 ได้เปิด กิจการเหมืองแร่ เอส. เอ. พี. จำกัด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อำเภอ บ่อพลอยมีชื่อเสียงมากที่สุดในฐานะพื้นที่กิจการเหมืองแร่ของ จังหวัด และต่อมาบริเวณที่ตั้งเหมืองแร่ดังกล่าวได้ถูกนำมา พัฒนาพื้นที่ใหม่ภายหลังสินแร่หมดแล้วเป็นสนามกอล์ฟที่มีชื่อ ว่า “บลูแซฟไฟท์” ในปัจจุบัน สำหรับหลักการดำเนินชีวิต ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ได้อธิบายว่า ดำรงตนอย่างง่าย ๆ พยายามให้เป็นธรรมชาติ มากที่สุด ไม่เคร่งเครียดหรือวางหลักเกณฑ์มากนัก แต่สิ่ง สำคัญต้องมีความมุ่งมั่นและจริงจังกับการทำงาน “คนเรามันต่างกัน บางครั้งก็อยู่ที่วาสนาคนด้วย โดยตนเองเกิดมาค่อนข้างลำบาก คุณพ่อคุณแม่มาจาก เมืองจีน ต้องใช้ความสามารถส่วนตัว ง่าย ๆ คือทำให้ เป็นธรรมชาติมากที่สุด ธรรมชาติคือความจริงอย่าไป กำหนดกฎเกณฑอ์ ะไรมากเกนิ ไป เชน่ กนิ ขา้ วตอ้ ง 2 โมงเชา้ ตื่นต้อง 7 โมงเช้า ต้องแล้วแต่จังหวะเวลา ดังนั้นจะไม่ เครยี ดกบั เวลาและชวี ติ เทา่ ไร หลกั การธรรมดาคอื อยอู่ ยา่ ง สบาย ๆ และก็มีความจริงจังต่องาน” 99
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การเข้าสู่อาชีพนักการเมือง การเข้าสู่อาชีพนักการเมืองของนายไพบูลย์ หรือกำนัน หยุ่น มาจากพื้นฐานการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น โดยได้รับ เลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันตำบล บ่อพลอย ในขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านอำเภอบ่อพลอย และนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จังหวัดกาญจนบุรี และเมื่อย้ายที่อยู่ไปอีกตำบล ก็ได้รับ เลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 และกำนันตำบลช่องด่าน ในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการเมืองท้องถิ่นและการได้รับ ความไว้วางใจในการเป็นผู้นำฯ ในพื้นที่ ประกอบกับความ สำเร็จด้านธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมๆ กันโดยได้รับเลือกเป็น นายกสมาคมแร่อัญมณีไทยอำเภอบ่อพลอย ประธานชมรม ผู้ค้าอัญมณี จังหวัดกาญจนบุรี กรรมการสภาเหมืองแร่ไทย นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งประธานลูกเสือชาวบ้านอำเภอ บ่อพลอย นายกสโมสรไลออนส์ อำเภอบ่อพลอย ความสำเร็จ ในอาชีพทางธุรกิจและการเมืองท้องถิ่นดังกล่าวทำให้ชีวิต ทางการเมืองเติบโตขึ้นเป็นลำดับ กระนั้นเส้นทางการเมือง ระดับชาติของไพบูลย์ฯ ก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีผิดหวัง สมหวังควบคู่กันไป กล่าวคือ มีทั้งสอบตกไม่ได้เป็น ส.ส. และ ได้เป็น ส.ส. สลับกันไป โดยไพบูลย์ฯ บอกเล่าเรื่องราวของ เส้นทางชีวิตการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ “คนเป็นผู้แทนก็เหมือนฟ้าลิขิตเพราะคนอยากเป็น แทบตายก็เป็นไม่ได้ แต่ตนเองขับสองแถวขี่สามล้อได้มา เป็นผู้แทน ซึ่งหลายคนก็ตกใจพอสมควร หน้าที่การงาน 100
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ก็ประสบผลสำเร็จพอสมควร อาจจะไม่มากนักแต่ก็มี พอกินพอใช้ ในช่วงหลังนี้ที่พอจะทำอะไรได้ ชีวิตได้หันเห ไปเป็นนักการเมือง มาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นกำนัน เป็น นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน 3 เดือน และปรากฏว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่าผู้ใหญ่ ให้มีการประชุม และได้เริ่มเรียนรู้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาเป็นผู้แทน อยู่ 3 สมัย ได้อยู่หลายพรรค ครั้งแรกก็อยู่พรรคนำไทยสอบตก และก็มาได้ (ส.ส. เมื่อ) พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย และก็โมฆะอีก รุ่นหนึ่งของพรรคไทยรักไทยปี 4924” 24 ภายหลังเกิดเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเมืองหลังจากกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ดำเนินการชุมนุมประท้วง เป็นเวลานานหลายเดือน ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ และพรรค ชาติไทย เป็นแกนนำในการไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง (ส.ส.) ต่อมาศาลได้มี คำสั่งให้การเลือกตั้งครั้งดังกล่าวเป็นโมฆะ กรณีดังกล่าว ศาลปกครองได้มี คำพิพากษาลงโทษคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นเหตุให้ กกต. ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรตรี นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ และได้ลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา ต่อมาศาลอาญาได้พิพากษาในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157 กรณีร่วมกันประชุมและมีมติเห็นชอบ ร่างระเบียบ กกต. ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของประธานและคณะ กรรมการ พ.ศ.2547 คำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่จำเลยไม่เคยถูกต้อง โทษจำคุกมาก่อนประกอบกับจำเลยเคยทำงานเพื่อประเทศชาติ โทษจำคุก ให้รอลงอาญา 2 ปี 101
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ชีวิตทางการเมืองของไพบูลย์ฯ ค่อนข้างโลดโผน พอสมควรด้วยภูมิหลังทางการเมืองที่มีชื่อเสียงในฐานะ “กำนัน” ซึ่งมีบารมีและอิทธิพล ทำให้เป็นที่หวั่นเกรงหรือ เกรงใจของคนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามอิทธิพลดังกล่าวล้วนมา จากการสะสมน้ำใจผ่านกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลในกลุ่มผู้นำท้องถิ่น ชาวบ้าน รวมถึงนักธุรกิจทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัด เป็นลำดับ ดังคำอธิบายของผู้นำระดับท้องถิ่นในตำบล สระลงเรือ อำเภอบ่อพลอย ดังนี้ “กำนันหยุ่นเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ความ สนิทคุ้นเคยกับชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นจึงมีมาก การเข้าหาหรือการไปพบจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรแม้ว่าจะเป็น ผู้แทนฯ เป็น ส.ส. แล้วก็ตาม ทุกวันนี้พบปะกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่บ้านผม บ้านแก กินข้าว กินเหล้า ร่วมวงพูดคุยเรื่อง จิปาถะ การลงสมัคร ส.ส. จึงต้องช่วยกัน เพื่อนกันก็ต้อง ช่วยเหลือกัน” (ระเบียบ ประทุมสูตร, สัมภาษณ์, 2558) ภูมิหลังของการเป็นคนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่น มาก่อนทำให้มีข้อดีหลายประการโดยเฉพาะการเป็นคนของ คนในพื้นที่ ความเข้าใจและไว้วางใจต่อพฤติกรรมทางการเมือง จึงมีมาก โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ประชาชนมักกล่าวถึง การลงพื้นที่เฉพาะช่วงเวลาการเลือกตั้ง และห่างหายไปเมื่อ มิใช่ช่วงเวลาการหาเสียง โดยเฉพาะเมื่อสอบตกหรือพลาด การได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยพฤติกรรมทางการเมืองที่เป็นสิ่ง 102
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ที่ประชาชนจับตามองมากที่สุดในปัจจุบันคือ ความต่อเนื่อง ของการลงพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน การช่วยเหลือ ดูแลสารทุกข์ สขุ ดิบ แม้วา่ จะไมใ่ ช่ฤดกู าลหาเสียงเลอื กต้งั กต็ าม ดงั คำอธิบาย ดังนี้ “นิสัยและความเป็นกันเองของนักการเมือง เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้กำนันหยุ่นได้รับความไว้วางใจเป็น ตัวเลือกแรก ๆ ที่ต้องช่วยลงคะแนนเสียง รวมถึงหาเสียง ให้คือความเป็นคนกันเอง และการร่วมกิจกรรมในพื้นที่ เปน็ ประจำตอ่ เนอ่ื ง ไมข่ าดหายไปไหน ทง้ั งานบวช งานแตง่ งานการกศุ ลตา่ งๆ การพบปะในงานตา่ งๆ ทำใหป้ ระชาชน รวมถึงผู้นำท้องถิ่น ต้องลงคะแนนเสียงให้เสมอ” (ระเบียบ ปทุมสตู ร, สัมภาษณ์, 2558) ความคิดเห็นทางการเมืองและบทบาทของพรรคการเมือง ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร กล่าวถึงบทบาทพรรคการเมือง แต่ละพรรคมีนโยบายแตกต่างกันหลายประการ นักการเมือง และพรรคการเมืองจำเป็นต้องดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและ การทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันซึ่งประชาชนมีการเรียนรู ้ ถึงความสำคัญของการเมืองต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน มากขึ้น นักการเมืองและพรรคการเมืองจำเป็นต้องมีการ นำเสนอนโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติตามที่ได้หาเสียง ไว้อย่างจริงจัง ความสำเร็จของนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ประเมินได้จากคะแนนเสียงที่ประชาชนตัดสินใจในช่วงเวลา 103
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้ง ทั้งนี้ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวรได้อธิบายต่อประเด็น ดังกล่าวไว้ดังนี้ “คุณบรรหารท่านเก่งและทำความเจริญให้สุพรรณ หลายอย่าง นักการเมืองหลายคนก็กลายเป็นข้าวสาร กระสอบหนึ่ง และถ้ากระสอบฉีกจะกระจุยกระจาย แต่ถ้า ร่วมกันจะเป็นข้าวสารที่ไปให้คนที่ลำบากกิน ทุกพรรค มีกลุ่ม มีนโยบายแต่ละพรรคต่างกัน และจากการที่อยู่มา แต่ละพรรคถ้ามองถึงการเมืองมันดีทุกพรรค นโยบายดี ทุกอย่าง อยู่ที่การปฏิบัติ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ต้อง ยอมรบั วา่ ไดร้ กั ษานโยบายมายาวนาน แตพ่ รรคไทยรกั ไทย จะเร็วทันใจกับประชาชน เพราะประชาชนเหมือนคนป่วย อยู่แล้ว ไปหาหมอเร็วเท่าไรยิ่งหายเร็วเท่านั้น ตรงนี้ คือนโยบายของพรรคไทยรักไทยแตกต่างกันชัดเจน วันนี้ 30 บาทรักษาทุกโรคมาถึงเมื่อไหร่ได้รักษาเลย” ทัศนะดังกล่าวของไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร สะท้อนให้ เห็นถึงความสำคัญของนักการเมืองและพรรคการเมืองค่อนข้าง ชัด ด้วยพรรคการเมืองจะมีบทบาทหน้าที่และการกำหนด นโยบายที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม ในขณะที่ ส.ส. เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในฐานะนักการเมืองซึ่งเป็นตัวแทน ของประชาชน ในการสะท้อนความเดือดร้อนและเรียกร้องความ ต้องการให้รัฐบาลหรือนักการเมืองช่วยเหลือ 104
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวรหรือกำหยุ่น กล่าวถึงกลวิธีการ หาเสียงโดยเปรียบเทียบระบบการเลือกตั้งระหว่างเขตเดียว เบอร์เดียวกับระบบรวมเขต หรือเขตเดียวหลายเบอร์ว่า ระบบ การเลือกตั้งนั้นมีผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อนักการเมือง ในระดับมาก กล่าวคือในระบบการบริหารจัดการเลือกตั้งแบบ แบ่งเขตเดียวเบอร์เดียว มีข้อดีมากกว่าระบบรวมเขต (หนึ่งเขต เลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) จำนวนมากกกว่า 1 คน) หรือระบบหนึ่งเขตเลือกตั้งมีผู้แทนฯ (ส.ส.) หลายคน โดยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถที่จะเข้าถึงประชาชน การรู้ ข้อมูล/ทราบปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ความเดือดร้อนหรือ ความต้องการในการแก้ไขปัญหาของประชาชน นอกจากนี้ยังมี ผลต่อช่วงเวลาในการลงพื้นที่ที่สามารถพบปะกับชาวบ้าน ซึ่งหากเขตการเลือกตั้งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ย่อมมีจำนวนหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จำนวนมากตามไปด้วย เพราะการทำงาน การเมืองประกอบด้วยการลงพื้นที่กับบทบาทหน้าที่ในการเป็น ผู้แทนราษฏร หรือบทบาทหน้าที่อื่น ๆ มีความสำคัญไม่น้อย กว่ากัน หากเป็นเขตเล็ก เช่น เขตเดียวเบอร์เดียวย่อมทำให้ นักการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ดีกว่า ทั้ง การรับทราบปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เกิดนักการเมือง รุ่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ผู้ที่มีความคิดที่จะหาเสียงเพื่อลงรับ สมัครเลือกตั้งย่อมเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงประชาชนหรือพื้นที่ ได้ทั้งหมดในหนึ่งปี ดังคำอธิบายดังนี้ 105
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี “ถ้าเป็นเขตเล็กค่อนข้างมีความสุขเพราะรู้ว่าพื้นที่ ตรงไหนต้องการอะไร ไปหลอกลวงไม่ได้ ต้องทำในสิ่งที่ ทำได้ อย่างเช่น บอกว่าจะใช้ระบบสูบน้ำขึ้นมาทาง ห้วยกระเจา เลาขวัญ เพราะมันใช้เงินอยู่ไม่กี่ 100 ล้าน สามารถทำได้และก็เอามาแล้ว แต่บังเอิญปฏิวัติพอดีก็ งบมันเลยหลุดออกไป บางคนฝันจะเอาน้ำจากเขื่อนมา แต่ใช้งบหมื่นกว่าล้านซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าพูดแล้วทำ ไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดให้ชาวบ้านดีใจ วันนี้การลงเล่นการเมือง มาต้องใช้เงิน ไปงานทุกงานต้องใช้เงินบางที่เรียกว่า ซื้อเสียง เพราะทุกคนไปงานบุญงานแต่งต้องใส่ซองทุกคน ก็เหมือนกับซื้อเสียง คนไทยเป็นอย่างนี้” ในการรักษาฐานเสียง ไพบูลย์ พิมพิสิฐถาวร เห็นว่า นักการเมืองจำเป็นต้องลงพื้นที่โดยเฉพาะการร่วมกิจกรรมใน ด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและ วัฒนธรรมของคนในพื้นที่ อาทิ งานบวช งานแต่ง งานกฐิน แต่ มีปัญหาที่สำคัญคือ นักการเมืองจำเป็นต้องร่วมบริจาคด้วย ซึ่ง เรียกว่า “ทำบุญ” โดยอาจเปรียบได้กับการซื้อเสียง นอกจากนี้ ในการรักษาฐานเสียงที่ดีนั้น อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสัญญาหรือ การหาเสียงที่ได้ให้ไว้กับประชาชน โดยนักการเมืองจำเป็น หาเสียงในสิ่งที่สามารถทำได้หรือปฏิบัติได้ ไม่จำเป็นต้อง นำเสนอหรือให้สัญญาที่ไกลตัวและไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะ จะเป็นคำถามหรือสิ่งผูกมัดที่ประชาชนในพื้นที่นำมากล่าว ถึงว่าหาเสียงไว้แต่ทำไม่ได้หรือไม่ทำอย่างจริงจัง 106
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ความร่วมมือทางการเมืองระหว่างนักการเมืองในจังหวัด ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร หรือกำนันหยุ่น อธิบายถึง ประเด็นดังกล่าวนี้ว่า การทำงานการเมืองที่จะประสบความ สำเร็จนั้นต้องมีพรรคพวกหรือเพื่อนร่วมงานที่ดี โดยจำเป็นต้อง ทำงานร่วมกับนักการเมืองคนอื่นๆ แต่มีปัญหาว่า นักการเมือง คนอื่นๆ นั้นอยากทำงานหรือร่วมมือกันทำงานหรือไม่ เพราะ แต่ละคนมีความเห็นหรือมีพฤติกรรมทางการเมืองแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับนโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องการ นำเสนอและนำไปปฏิบัติตามความต้องการของประชาชน และ ยังเกี่ยวข้องกับชุมชนท้องถิ่นซึ่งมีพื้นฐานสำคัญคือ ทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัดหรือขาดแคลนอีกด้วย ดังคำอธิบาย ดังนี้ “พรรคที่ใหญ่ที่สุดคือพรรคพวก แต่ที่สำคัญคือ อยากร่วมมือกับคนอื่น แล้วคนอื่นอยากร่วมมือด้วยไหม บางคนอาจมีนโยบายที่ดีกว่าเพราะเป็นคนรากหญ้า ซึ่งประชาชนต้องการอะไร เช่น บ่อพลอย ห้วยกระเจา- เลาขวัญ ต้องการน้ำ แต่ถ้าเอาคอมพิวเตอร์ให้คนล่ะเรื่อง กันก็ลำบาก” นอกจากนี้แล้วไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ยังเห็นกว่า ส.ส.ภายในพรรคจำเป็นต้องมีการพูดคุยปรึกษาหารือกันถึง แนวทางการทำงานทม่ี ผี ลตอ่ การพฒั นาพน้ื ทแ่ี ละความอยดู่ กี นิ ดี ของประชาชน แต่มีปัญหาว่า พฤติกรรมทางการเมืองของ นักการเมืองมักมีความระมัดระวังเรื่องที่กระทบต่อฐานเสียง 107
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี หรือพื้นที่ของตนเอง มีความหวั่นไหวต่ออนาคตทางการเมืองใน พื้นที่ค่อนข้างมาก ผลงานต่าง ๆ ที่ปรากฏในพื้นที่ทั้งนักการ เมืองและประชาชนจะรู้หรือทราบเสมอ โดยเฉพาะหากเป็นเขต พื้นที่เลือกตั้งที่มีขนาดเล็ก “ความร่วมมือกันระหว่าง ส.ส. ในพรรคมีการ พูดคุยกัน แต่ก็เหมือนกับจงอางหวงไข่ มันเป็นการเมือง ธรรมดา คืออยากรักษาที่มั่นเอาไว้ อย่างการเมืองเขต ใหญ่สามารถตีกลุ่มได้แต่เขตเล็กตีกลุ่มไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็น ผแู้ ทนอยเู่ ขตใหญก่ ร็ ะบไุ ดว้ า่ ส.ส. คนนน้ั เอามหาวทิ ยาลยั มหิดลมาไว้เมืองกาญจน์ และถ้าเป็นผู้แทนอยู่เขตเล็ก ก็ระบุได้ว่า ส.ส. คนนั้นเอามหาวิทยาลัยรามคำแหงมาไว้ ทเ่ี มอื งกาญจน์ คอื ทำอะไรคนกร็ กู้ นั หมด แตไ่ มม่ นี กั การเมอื ง คนไหนกล้ายอมรับ แต่คุณไพบูลย์ฯ กล้ายอมรับว่าเป็น คนเอามหาวิทยาลัยรามคำแหงมาไว้ที่บ่อพลอยเพราะไป ขอจากเพื่อนมา ดังนั้นนักการเมืองที่ดีต้องเป็นเขตเล็ก จากการที่ทำงานมา 7 ปี จนแทบต้องใช้เงินตนเอง และก็ ออกเงินให้มหาวิทยาลัยจนตนเองไม่มีเงินก็เลิก” การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ส.ส. ของจังหวัดกาญจนบุรี ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐ- ถาวร ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่เป็นหลักโดยเน้น การพัฒนาด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนน ไฟฟ้า ประปา แหล่งน้ำสำหรับการทำเกษตรกรรม รวมถึงการศึกษา โดยเป็น ผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง 108
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม วิทยาเขตกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอบ่อพลอย ด้วยเห็นว่า การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นหลัง และจะเป็นแรงผลักดัน หรือปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะจะ ทำให้เกิดการเข้ามาของคนจากพื้นที่อื่น ๆ ทั้งภายในจังหวัด กาญจนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง สำหรับการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ไพบูลย์ พิมพ์ พิสิฐถาวร ก็เป็นเช่นเดียวนักการเมืองคนอื่น ๆ ที่มีหน้าที่หลัก สำคัญ 2 ด้าน คือ การเข้าร่วมประชุมในสภานิติบัญญัติ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา และการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. ในการ ดูแล ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และพัฒนาพื้นที่ให้ ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีเพิ่มขึ้น แนวคิดการทำงานดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผ่านประสบการณ์ความยากลำบาก ในชีวิตมาก่อน และประสบการณ์ในการทำงานการเมืองท้องถิ่น ทั้งจากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ประธาน/นายกองค์กรด้านเศรษฐกิจ ของอำเภอบ่อพลอย ปัจจัยท่ีมีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร อธิบายถึงประเด็นนี้ว่า พรรค การเมืองมีความสำคัญต่อความเข้มแข็งทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะพรรคการเมอื งเปน็ ทร่ี วมของนกั การเมอื งทม่ี ปี ระสบการณ์ ที่มีความสำคัญต่องานการเมือง ด้วยต้องทำหน้าที่หลาย ประการที่มีผลต่อการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมในท้องถน่ิ และประเทศโดยรวม การยุบพรรคการเมือง จึงเป็นการทำลายความเข้มแข็งของการเมือง ซึ่งเป็นการทำลาย 109
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี นักการเมืองที่มีประสบการณ์ ในขณะที่นักการเมืองรุ่นใหม ่ ที่เข้ามาทดแทนคนรุ่นก่อนยังคงขาดประสบการณ์ทาง การเมืองอันจำเป็นที่สำคัญ ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นผล จากการใช้เงินในทางการเมืองที่มากเกินไป โดยละเลยหรือมอง ข้ามความสำคัญเรื่องคุณธรรม ทั้งนี้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการยุติธรรมมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว “ศาล อัยการคือองค์กรที่สำคัญมาก เพราะเป็น หน่วยงานที่สามารถสั่งยุบพรรคการเมืองต่างๆ ได้ เมื่อคน รุ่นเก่าๆ โดนยุบเหลือแต่คนรุ่นใหม่ จะทำให้การเมือง ไม่เข้มแข็งพอ เพราะการเมืองจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อ บุคคลคนนั้นเข้มแข็งพอ การเมืองไทยในวันนี้เข้ายุคของ ความคิดที่มันแตกต่างกัน การเงินเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด ไม่ได้ยึดคุณธรรม ไม่ได้คิดถึงบ้านเมืองที่จะเดินไป ข้างหน้าว่าจะทำยังไงกัน” สำหรับอนาคตทางการเมือง ไพบูลย์ พิมพิสิฐถาวร เห็นว่า คนรุ่นใหม่มีความสำคัญมากเพราะเติบโตเข้ามาทดแทน คนรุ่นเก่าที่เริ่มโรยลาไปตามกาลเวลา ในขณะที่ตนเองก็พร้อมที่ จะถอยห่างออกจากเวทีการเมืองต่อไปในอนาคตเช่นกัน 4.1.2 นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ พินิจ จันทร์สมบูรณ์ เป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัด กาญจนบุรี เกิดวันที่ 9 พฤศจิกายน 2498 สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง 110
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม รุ่นที่ 2 และเข้าอบรมสถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 1 มีบิดา เป็นนายตำรวจชื่อ พันตำรวจโท ประยูร มารดาชื่อนางไม้ (เล็ก) มีภรรยาชื่อนางนิภา จันทร์สมบูรณ์ มีบุตรธิดารวม 3 คน พินิจ จันทร์สมบูรณ์สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย แต่เลือกที่ จะประกอบอาชีพค้าขาย และทำธุรกิจต่าง ๆ ต่อมาภายหลัง การเข้าสู่สนามการเมืองได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. นับตั้งแต่ปี 2531, 2535/1, 2535/2, 2538 และเป็น ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการเลื่อนลำดับแทนพลเอก ธรรมรัตน์ อิศรางกูล ณ อยุธยา หลังการเลือกตั้งปี 2544 ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 กำหนด ให้มี ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน และ ส.ส. แบบ แบง่ เขตเลอื กตง้ั จำนวน 400 คน รวม ส.ส. ทง้ั สน้ิ จำนวน 500 คน ในการรับรองผลการเลือกตั้งครั้งที่ 2 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 สำหรับพรรคไทยรักไทยได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด รวม 248 คน แบ่งออกเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 48 คน และ ส.ส. แบบ แบง่ เขตเลอื กตง้ั จำนวน 200 คน รองลงมาคอื พรรคประชาธปิ ตั ย์ ได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 31 คน แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 97 คน รวม ส.ส. จำนวน 128 คน (คณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2543, หน้า 20 – 21 และ 2544, หน้า 7 – 11; วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี, 2558) แนวคิดและหลักการดำเนินชีวิต ห ล ั ก ก า ร ด ำ เ น ิ น ช ี ว ิ ต แ ล ะ แ น ว ค ว า ม ค ิ ด ข อ ง พ ิ น ิ จ จันทร์สมบูรณ์ วางอยู่บนแนวทางที่เรียบง่าย สมถะ ยึดหลัก ศีลธรรม 5 ข้ออย่างมั่นคง โดยเฉพาะข้อ 3 เพราะข้อ 3 สำคัญ 111
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี มากโดยจำคำพูดหลักในปรัชญาของพระพุทธเจ้าว่า “มหาโจร ผู้ยิ่งใหญ่รักษาศีลข้อ 3 ก็ไปปล้นขโมย เจอสาวสวยเมียคหบดี คนรวย เศรษฐีแต่ไม่ทำอะไรแม้แต่น้อย ในที่สุดตอนหลัง มหาโจร โจรก็ได้เป็นหุ้นส่วนกับมหาเศรษฐีเพราะเมียบอกว่า โจรไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวแม้แต่ปลายก้อย มหาเศรษฐีก็เลย ประกาศให้มหาโจรมาพบ มหาโจรก็เลยได้เป็นหุ้นส่วนในการ ทำการค้าและการดูแลทรัพย์สิน” หลักประหยัด สมถะและเรียบง่ายดังกล่าว พินิจ จันทร์สมบูรณ์ นำมาใช้ปฏิบัติทั้งในชีวิตส่วนตัวและการดำเนิน กิจกรรมทางการเมืองนับตั้งแต่การเข้าสู่การเมืองครั้งแรกจนถึง ช่วงสุดท้ายของชีวิตการเมือง โดยแม้จะเป็น ส.ส. ก็ไม่เปลี่ยน พฤติกรรมการใช้ชีวิตแต่อย่างไร อาทิ การเดินทางเข้าร่วม ประชุมสภาผู้แทนราษฏร พินิจ จันทร์สมบูรณ์ก็ยังคงเดินทาง ด้วยรถโดยสารสาธารณะจากจังหวัดกาญจนบุรีเข้ากรุงเทพฯ รวมถึงการหาเสียงเลือกตั้ง การพบปะชาวบ้านก็เช่นเดียวกัน ยังคงเน้นการเข้าถึงประชาชน ไม่ซื้อเสียง หรือดำเนินกิจกรรม ทางการเมืองด้วยการใช้เงินเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงาน จนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปของประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ มักการกล่าวถึงอยู่เสมอ (เดลินิวส์, 2558) การเข้าสู่การเมือง บทบาททางการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ ในพรรคการเมือง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ก้าวสู่อาชีพทางการเมืองและ ประสบความสำเร็จได้เป็น ส.ส. สมัยแรกของจังหวัดกาญจนบุรี 112
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ในการสังกัดพรรคพลังธรรม ภายใต้การนำของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคพลังธรรมนับเป็นพรรค ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นกลางกรุงเทพฯ เป็นอย่างสูง ต่อมาภายหลังยุครุ่งเรื่องของพรรคพลังธรรมสิ้นสุดลง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ได้ย้ายพรรคเข้าร่วมการเมืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสังกัดพรรคไทยรักไทย และพรรค พรรคเพื่อไทยตามลำดับ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน ยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่สนามการเมืองในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังธรรมก่อนที่จะออกมาตั้งพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมา “เปน็ ส.ส. เขต กอ่ น ในตอนแรกของคณุ จำลอง และ ก็มาเป็น ส.ส.บัญชี รายชื่อของพรรคเพื่อไทย โดยเริ่มจาก พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เป็นสมาชิกพรรคตลอด ส่วนใหญ่จะลงเขตก็ได้ ปาตี้ลิสต์ ก็ได้แล้วแต่พรรคกำหนด เพราะว่าไม่ยึดติดและใช้หลักว่า ไม่ซื้อเสียง ไม่แก่งแย่งความเป็นใหญ่และที่สำคัญก็มี อุดมการณ์ที่ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ผิดศีลธรรม ใช้หลัก การเมืองกับหลักคุณธรรม แต่ก่อนทางการเมืองมักจะเป็น วิปรัฐบาลตลอด วิป คือผู้ประสานงาน ปัจจุบันเป็น วิปฝ่ายค้าน ที่โกนหัวก็โกนหัวในฐานะวิปฝ่ายค้าน และ เคยเป็นอดีตเลขานุการรัฐมนตรี อดีตเลขานุการรอง ประธานสภา และไปดูงานเรื่อง กกต. โดยเป็นคนต่อสู้ให้ มีการเลือกตั้งโดยใช้กฎหมาย กกต.” 113
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ให้ความสำคัญกับการสังกัด พรรคการเมืองโดยเน้นการมีอุดมการณ์ทางการเมือง และการ ปฏิบัติตนตามที่ตำแหน่งที่ได้รับ ถือว่าพรรคการเมืองมีความ สำคัญต่อการปกครองและการพัฒนาประชาธิปไตย การเป็น นักการเมืองต้องรู้จักเคารพและมีจุดยืนร่วมกับพรรคการเมือง ที่ตนเองเข้าร่วม โดยที่ปฏิเสธการเข้าร่วมกลุ่มการเมืองภายใน พรรค แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติมากกว่า หลักคุณธรรมกับการเมืองคือสิ่งที่พินิจ จันทร์สมบูรณ์ นำมาใช้ ปฏิบัติตลอดชีวิตของการเป็นนักการเมือง “การทเ่ี ปน็ วปิ กต็ อ้ งเขา้ ทกุ พรรคไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั กลมุ่ ใด ทั้งสิ้น และก็รังเกียจมากสำหรับ ส.ส. ที่ย้ายพรรคไป จึงพูดบ่อย ๆ ว่า “ลูกลืมพ่อแม่ ตะแกลืมป่า สุนัขลืม เจ้าของคบไม่ได้” นี่คือการพูดถึง ส.ส. ที่ย้ายพรรคมันไม่ ถูกต้อง ยามทุกข์ก็ต้องร่วมทุกข์ ยามสุขก็ร่วมสุข ส.ส. บางคนที่ย้ายพรรคเวลาที่พรรคกำลังเพลี่ยงพล้ำแล้ว ย้ายพรรคไปเปรียบเทียบกับสุนัข และเรื่องกลุ่มไม่มีเพราะ ทำงานเพื่ออุดมการณ์ยึดหลักชาติบ้านเมือง” แนวทางการทำงานการเมือง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ค่อนข้างมีความคิดเห็นต่อประเด็นการย้ายพรรคการเมืองเป็น อย่างยิ่ง กล่าวคือ ไม่เห็นด้วยหากนักการเมืองย้ายหรือเปลี่ยน สังกัดพรรคไปมา โดยเปรียบเสมือนการลืมบุญคุณผู้มีพระคุณ ในระดับเดียวกับการลืมพ่อแม่ การเป็นนักการเมืองที่ดีต้อง ยึดมั่นในพรรคของตน พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุข เพื่อเป้าหมายหรือ 114
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ได้กำหนดหรือตั้งไว้ เพราะ พรรคการเมืองจะมีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาสังคม โดยรวม กลยุทธ์ในการหาเสียงและการรักษาฐานเสียง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ถือเป็นนักการเมืองที่มีแบบฉบับ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองที่ตนเอง ยดึ มน่ั นบั ตง้ั แตเ่ ขา้ สสู่ นามเลอื กตง้ั ดว้ ยการลงสมคั ร ส.ส. ครง้ั แรก โดยเฉพาะแบบอย่างในยุคของการสังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งมี จุดขายจนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญในหมู่นักการเมืองของ พรรค คอื การไมใ่ ชเ้ งนิ ซอ้ื เสยี ง แตใ่ ชว้ ธิ กี ารหาเสยี งแบบธรรมดา ด้วยการพบชาวบ้านธรรมดา ใช้เครื่องเสียง ใช้รถกระจายเสียง มหี วั คะแนนแตไ่ มม่ ากนกั ไมใ่ ชห้ วั คะแนนโดยใชเ้ งนิ มหี วั คะแนน แบบอาสาสมัคร แนวคิดดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พินิจ จันทร์สมบูรณ์ชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี 3 สมัยติดต่อกัน ทั้งนี้พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ได้กล่าวอธิบาย พร้อมทั้งย้ำเตือนนักการเมืองคนอื่น ๆ ไว้ดังนี้ “ถ้าเล่นการเมืองแบบใช้หัวคะแนน “เจ๊ง จน ซวย” การเลือกตั้งในจังหวัดกาญจนบุรีก็ชนะกำนันตึ๊ด เศรษฐี เมอื งกาญจนใ์ นอดตี มาเปน็ อนั ดบั 1 ชนะอธบิ ดกี รมตำรวจ พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ และก็ชนะคนที่ใช้เงิน ซื้อเสียง อยากจะเตือน ส.ส.หลายคนที่คิดจะสมัครผู้แทน อย่าไปหลงกลว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้จะช่วยได้ ต้องมาจากตัว ส.ส. เอง และการหาเสียงพรรคคือตัวแปรที่สำคัญ” 115
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ในทัศนะของพินิจ จันทร์สมบูรณ์ การเป็นนักการเมือง ต้องดำรงตนเป็นนักการเมืองอาชีพ มีความตั้งใจจริงในการ อาสาเข้ามาทำงานการเมือง การซื้อเสียงจึงเป็นสิ่งที่ควร หลีกเลี่ยงเพราะอาจนำมาซึ่งการล้มละลายทางเศรษฐกิจและ ความล้มเหลวในชีวิต โดยยกตัวอย่างความสำเร็จทางการเมือง ของตนเองประกอบ เช่นเดียวกันการเป็นนักการเมืองไม่ควร ยึดติดกับตำแหน่งหรือความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้ง หากแต่ต้องคำนึงถึงส่วนรวมหรือพรรคการเมือง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ยังให้ความสำคัญต่อพรรคการเมือง ดังคำ อธิบายข้างต้น โดยถือว่าพรรคการเมืองเป็นตัวแปรหรือปัจจัย สำคัญที่จะทำให้นักการเมืองประสบความสำเร็จหรือได้รับ เลือกตั้ง ด้วยพรรคเป็นผู้นำเสนอนโยบายและมีผลงานที่ได้ทำ ไว้แล้วเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่รู้และทราบของประชาชนทั่วไป การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในความเป็นนักการเมือง พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ยึดมั่น ในหลักการประชาธิปไตย พร้อมที่จะต่อต้านการกระทำที่ เป็นการทำลายหรือล้มล้างระบอบประชาธิปไตย เรียกได้ว่าเป็น นักประชาธิปไตยที่สำคัญคนหนึ่งในการเมืองไทย ในอดีตเมื่อมี ปัญหาหรือกรณีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการที่ไม่เป็น ประชาธิปไตย การแทรกแซงของกองทัพหรือทหาร ทั้งโดยตรง ด้วยรัฐประหารหรือโดยอ้อม เคยเดินถือตะเกียงซึ่งเป็น สัญลักษณ์แห่งความสว่าง ความโปร่งใสในการทำงานเข้าสภา เพื่อให้เกิดความตระหนักทั้งนักการเมืองและทหารต่อหลักการ ประชาธิปไตย ดังนี้ 116
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “ที่หิ้วตะเกียงเจ้าพายุเข้าสภาผู้แทน เพราะสภา ปฏิวัติบ่อยมืดบอด เลยเอาตะเกียงไปประชดให้ทหารรู้ว่า สิ่งที่ทหารปฏิวัติยิ่งกว่ามืดบอดในประชาธิปไตย เพราะ ต้องการให้สภาสว่าง และจะมี ส.ส. บางคนเอาควายเข้า สภาด้วย” สำหรับการทำงานในพื้น พินิจ จันทร์สมบูรณ์ ก็เป็น เช่นเดียวกับนักการเมืองทั้งภายในจังหวัดกาญจนบุรีและ จังหวัดอื่น ๆ โดยการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้ความ สำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภายในจังหวัดเป็นลำดับต้น ๆ ตาม สภาพปัญหาและความต้องการของจังหวัด โดยในอดีต ทำหน้าที่ในการของบประมาณสนับสนุนเพื่อพัฒนาพื้นที่ทั้งใน ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด โดยเฉพาะด้าน สาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา การก่อสร้างสถานที่ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ยังขาดความสมบูรณ์ หรือความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ราชการ และการบริการประชาชน ขณะเดียวกันในฐานะ ส.ส. ซึ่งเป็น นักการเมืองที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน ทำให้ทราบปัญหาความ เดือดร้อนต่าง ๆ โดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านสิทธิทำกิน ในที่ดิน ซึ่งในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเกิดปัญหาดังกล่าวเป็น จำนวนมาก อันเนื่องมาจากการเป็นจังหวัดที่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ ในเขตการครอบครองหรือใช้ในกิจการทางการทหาร รวมถึงเป็น พื้นที่อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้การเข้าถือครอง ทำกินหรืออยู่อาศัยของประชาชนจำนวนมากที่อยู่ในสถานะ ผู้บุกรุกหรือทำกินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต่อประเด็นปัญหาว่า 117
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยการถือครองที่ดินและสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าว พินิจ จันทร์สมบูรณ์ มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะการหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยการลดความ ขัดแย้งระหว่างหน่วยงานทหาร กรมป่าไม้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับประชาชนที่ตั้ง บ้านเรือนอยู่อาศัยและทำกิน ดังคำอธิบายดังนี้ “ส.ส. ก็จะยุ่งช่วงชิงงบประมาณไปลงจังหวัด แต่ก่อนไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนน ไม่มีสะพาน ก็แย่งบ่อน้ำ ไฟฟ้า กิ่งอำเภอ ที่ว่าการอำเภอ หอประชุม เพราะแต่ ก่อนเมืองกาญจน์มีปัญหาเรื่องถนน ไฟฟ้า ที่ทหาร เพราะ ต้องการให้ประชาชนอยู่ในที่ทหารไม่ถูกกดขี่ ไม่ถูกฟ้อง ร้อง อยู่แบบมีสิทธิเสรีภาพและสิทธิการเช่าโดยถูกต้อง ตามกฎหมาย เรียกว่าสิทธิการเช่านอกเหนือการเช่าปกติ สามารถจำนองธนาคารได้ มีสิทธิเท่าโฉนดหรือ น.ส. 3 สิทธิการเช่านอกเหนือการเช่าคือสิทธิการเช่าพิเศษ นอกเหนือการเช่าปกติ การเช่าที่ราบสูงอยู่ได้ตลอดชาติ คือ 30 ปี และก็อยู่ได้ 30 ปี คือ 60 ปีเช่นเดียว และที่ ทหารมีถึง 1 ล้าน 5 แสนไร่ และส่วนใหญ่ก็จะปกป้องไว้ เป็นปลูกป่า ส่วนใหญ่ก็จะมีการบุกรุกของประชาชนแต่ ประชาชนก็ยินดีเช่า เพราะตอนนั้นมีการบุกเบิกเรื่อง ไร่อ้อย และต่อมาก็มีการขอให้มีไฟฟ้าตามหมู่บ้าน ให้มี สะพาน ถนน ให้มีบ่อน้ำ ท่อระบายน้ำต่างๆ ในการเป็น ส.ส. ในเขตพื้นที่ ก็ได้สร้างไฟฟ้าให้แทบทุกหมู่บ้าน” 118
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม นอกจากนแ้ี ลว้ พนิ จิ จนั ทรส์ มบรู ณ์ ถอื หลกั ของกฎหมาย ซึ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติ แม้จะเป็นงาน การเมืองที่ต้องร่วมต่อสู้กับประชาชนหรือชาวบ้านในการ เรียกร้องสิทธิต่าง ๆ โดยจะให้ความสำคัญในข้อเท็จจริงและ ความเป็นไปได้ในการเรียกร้องเหล่านั้น ไม่มุ่งหวังผลทาง การเมืองหรือคะแนนเสียงแต่อย่างใด “ประชาชนไม่เข้าใจว่าประชาชนสู้เพื่ออยากได้ โฉนด น.ส. 3 จึงได้อธิบายไปว่ามันไม่ได้ มีการขัดแย้งกัน อย่างแรงมาก ก็จะให้ออกเอกสารในที่ดินในพื้นที่ทหาร นั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีม็อบก็ไปสู้ ไปเผชิญหน้ากับม็อบ กำนันจัดม็อบมาชาวบ้านหลงเชื่อว่าต้องออกโฉนดได้ เพราะเป็นคณะกรรมการ จปฐ. คู่กับจำรัส มังคลารัตน์ เข้าใจดีว่าการยกเลิกพระราชกฤษฎีกา 2481 ทำไม่ได้ ถ้ายกเลิกก็เรียกว่าขายชาติขายแผ่นดิน” สำหรับทัศนะต่อปัญหาการเมืองในหลาย ๆ กรณีที่เกิด ขึ้นกับรัฐบาล ซึ่งมีปัญหาว่าไม่อาจแก้ไขปัญหาได้โดยมีความ ขัดแย้งในความคิดเห็นทั้งในระดับการเมือง พรรคการเมือง และกระแสสังคมในระดับสูงนั้น พินิจ จันทร์สมบูรณ์เห็นว่า จำเป็นต้องยึดหลักการในระบอบประชาธิปไตย โดยการคืน อำนาจด้วยการยุบสภาให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจจะเป็นการดี ที่สุด ด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะ มีการเสนอทางออกด้วยการให้ทำประชามติก็ตาม ด้วยเป็น เรื่องยากในทางปฏิบัติ ดังคำอธิบายดังนี้ 119
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี “การออกเสียงประชามติก็ต้องการกึ่งหนึ่งของผู้มี สิทธิออกเสียงลงคะแนนประชามติ มันเป็นไปไม่ได้มาที่ จะออกเสียงลงคะแนนประชามติ การลงคะแนนประชามติ นั้นคือต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิมาใช้สิทธิในการ ออกเสียงประชามติ ทางที่ดีคือยุบสภาคืนการเลือกตั้งให้ ประชาชน แลว้ ออกเสยี งเลอื กทกุ อยา่ ง โดยจะเลอื กแบบไหน แบ่งเขตอะไร กำหนดให้หมด แม้กระทั่งความคิดของ ประชาชนในการเลือกตั้ง การโหวตยุบสภา การโหวต เลือกผู้แทน นโยบายพรรค เพื่อการแก้ไขปัญหาชาติ บ้านเมือง” ปัจจัยท่ีมีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง ในประเดน็ ความเขม้ แขง็ ทางการเมอื ง พนิ จิ จนั ทรส์ มบรู ณ์ เห็นว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดเริ่มจากพื้นฐานของนักการเมือง ได้แก่ ครอบครัว ซึ่งต้องมีความพร้อมสมบูรณ์เป็นพื้นฐานทั้ง ด้านเศรษฐกิจหรือฐานะ จะมีผลต่อการทำงานการเมืองได้ อย่างเต็มที่ ไม่มีความวิตกกังวลใด ๆ ในขณะที่พรรคการเมือง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ต่อเนื่องจากความพร้อมด้านครอบครัว ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองทั้งในด้านทรัพยากร สถานที่ อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก บุคลากรหรือสมาชิกพรรค และ เงินทุนพรรคจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการสร้างหรือกำหนดนโยบาย ที่สำคัญ และสามารถแข่งขันทางการเมือง รวมถึงการสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ดังคำอธิบายดังนี้ 120
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “ครอบครัวต้องเข้มแข็ง ครอบครัวต้องมีเงิน ครอบครัวต้องมีภรรยาที่ดีมีลูกที่ดี ให้โอกาสไปทำงาน การเมืองแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องประตูหลังนี่คือเล่นการเมือง ได้แล้ว ปัจจัยที่เข้มแข็งทางการเมืองอีกอย่างก็คือพรรค ต้องเข้มแข็ง แล้วที่สำคัญทางพรรคต้องมีปัจจัยพอสมควร ปัจจัยในรูปแบบการป้อนนโยบายพรรค สถานที่ทำงาน และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงสร้างทิศทางในการต่อสู้ และ ความเชื่อมั่นของประชาชนทั่งประเทศ” ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองเป็นสำคัญและมีความ จำเป็นต่อการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ด้วยพรรคการเมือง จะเป็นผู้คัดกรองสมาชิกพรรคในการรับสมัครเลือกตั้ง การสร้าง อุดมการณ์ของพรรคให้สมาชิกพรรคยึดถือปฏิบัติ ในขณะ เดียวกันจะเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองได้แสดงความ สามารถในเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าไปทำงานการเมืองภายหลังได้ รับการยอมรับและมอบหมายบทบาทหน้าที่จากพรรคต่อไป 4.1.3 นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ เกิดวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2478 (อายุ 73 ปี) เป็นบุตรของนายพร สุขารมณ์ (ผู้พิพากษา ศาลฎีการุ่นก่อนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์) ปัจจุบันเป็น เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเดชา ประธานกรรมการบริษัท สุขารมณ์ จำกัด ประธานกรรมการบริษัทดีจีเอชพัฒนาธุรกิจ จำกดั ประธานกรรมการบรษิ ทั พรพลอย จำกดั ประธานกรรมการ บริษัทพรพลอยกรุ๊ปดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัทเดชาคอมเพล็กซ์ จำกัด 121
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี นายแพทย์เดชา สุขรมย์ สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ปี พ.ศ. 2550 เข้ารับการฝึกงานทางด้าน ศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช 2 ปี ผ่าน Course Fellow Ship ด้านศัลยกรรม (F.A.C.S., Primary) จากออสเตรเลีย ฝึกงาน ด้านศัลยกรรมไฟไหม้ น้ำร้อนลวกโดยเฉพาะจากเทกซัส สหรัฐอเมริกา ศึกษาและดูงานทางด้านศัลยกรรมจาก สหรัฐอเมริกา เวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศไทย เสนาธิการ ทหารเรือ หลักสูตรการเมืองการปกครองระดับสูง สถาบัน พระปกเกล้า (ปปร.รุ่น 2) ในขณะที่ประสบการณ์ทำงานสำคัญๆ อาทิ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลราชนาวี ผู้บังคับกองร้อยพยาบาลนาวิกโยธินสัตหีบ ชลบุรี ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลทหารเรือบางนา (ปี พ.ศ. 2514 สร้างโรงพยาบาล ทหารเรือบางนา ให้กองทัพเรือเพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลชาน กรุงเทพฯ โดยไม่ใช้งบประมาณทางราชการ) หัวหน้าแผนก ศัลยกรรมทั่วไปและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลสมเด็จ- พระปิ่นเกล้า รับพระราชทานยศครั้งสุดท้าย ปี พ.ศ. 2515 เป็น “นาวาโท” (กอ่ นจะลาออกจากราชการเพอ่ื เขา้ บรหิ ารโรงพยาบาล เดชา) สำหรับตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ ผู้อำนวยการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์พรรคกิจสังคม เลขาธิการพรรคก้าวหน้า ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร โฆษกพรรคชาติไทย รองเลขาธิการพรรคชาติไทย สมาชิก ผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี 5 สมัย และ 1 สมัยเป็น ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 254825 25 เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ลำดับที่ 40 122
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146 – 147 และ 230)) รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย (14 พฤศจิกายน 2540 – 5 ตุลาคม 2541) รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงสาธารณสขุ (5 ตลุ าคม 2541) ประธานคณะกรรมาธกิ าร ต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการ พรรคไทยรักไทย (พ.ศ. 2544 - 6 กรกฎาคม 2548) การเข้าสู่การเมือง นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด บิดารับราชการเป็นผู้พิพากษาต้องย้ายไปตามจังหวัดต่าง ๆ บางช่วงเวลาติดตามไปต่างจังหวัดทำให้มีโอกาสเข้าเรียน หนังสือในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ ลพบรุ ี ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี เพชรบุรี อุบลราชธานี เพราะฉะนั้นจะเข้าใจดีมากในเรื่องความ เป็นอยู่ของชุมชนต่างจังหวัด หลังจากจบชั้นมัธยมที่โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาและได้เข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยใน คณะแพทย์ศิริราช เมื่อจบได้ทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช 2 ปี ได้ลาออกจากโรงพยาบาลศิริราช ไปอยู่กองทัพเรือเพื่อช่วย พัฒนาด้านการแพทย์ทหาร ทำให้ได้รับการศึกษาและมี ประสบการณ์ด้านการทหาร แต่สุดท้ายลาออกจากทหารเรือ เนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมืองและได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วย การเป็นแพทย์ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่สำคัญ ประสบการณ์ การรักษาผู้ป่วยและการพบปะประชาชนจำนวนมากในหลาย พื้นที่ตั้งแต่เป็นเด็กมีผลต่ออุดมการณ์และแนวคิดด้าน สาธารณะสุขของนาวาอากาศโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ เป็นอย่างมาก ต่อมาจึงได้ตั้งโรงพยาบาลเพื่อรักษาผู้ป่วยตาม 123
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ความฝันของตนเอง ก่อนที่ภายหลังจะผันตัวเองเข้าสู่อาชีพ นักการเมืองในเวลาต่อมา ดังคำอธิบายดังนี้ “ปกติรักษาได้ 60 คนตอ่ วัน แต่ถ้าเปิดโรงพยาบาล จะช่วยคนอื่นได้มากกว่า และเปิดโรงพยาบาลเดชา จนสำเร็จซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่สร้างด้วยตัวเอง สร้างเพียง 5-6 เดือนเสร็จโดยการซื้อโรงแรมเก่าปรับปรุงแล้วเปิด ทันทีเมื่อเสร็จ มาดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเต็มตัว แล้วมี ความมุ่งมั่นที่จะมาเล่นการเมืองเพื่อช่วยเหลือสังคม ก็ขายที่ประมาณ 70-80 ล้านเพื่อมาเล่นการเมือง แต่ก็ ขายไม่ได้เพราะไม่ได้ราคาที่หวัง เพื่อนก็แนะนำให้ไปพบ เกจิอาจารย์คืออาจารย์ซ้วน เมื่อไปพบท่านก็ให้เอา ธูปแขก 1 ดอก โรตีชุดหนึ่งเอาไปวางที่ที่ดินแล้วจุดธูป บอกเจ้าที่ สุดท้ายก็ขายได้จึงได้นำเงินก้อนนี้ไปเล่น การเมือง และอาจารย์ซ้วนก็แนะนำให้ไปที่เมืองกาญจน์ ไปวัดๆ หนึ่ง จะมีกำนันผู้ใหญ่บ้านรออยู่ 12 คน ซึ่งจะ ช่วยเหลือแล้วเป็นแกนนำให้ตลอด” สำหรับการเข้าสู่สนามการเมืองนั้นมีนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำคนสำคัญของพรรคชาติไทยในขณะนั้นเป็น ผู้ชักชวนและสนับสนุน ทั้งนี้ นาวาอากาศโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ ยอมรับว่าตนเองนั้นใช้ทุนส่วนตัวเพื่อ “เล่นการเมือง” ด้วยการขายที่ดิน ซึ่งในช่วงแรกไม่ได้ราคาขายที่ต้องการถึงกับ ต้องพึ่งพาไสยศาสตร์และโหราศาสตร์นำทางเลยทีเดียวทั้งๆ ที่ ตนเองเป็นแพทย์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิทยาการ 124
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม สมัยใหม่ซึ่งมีระบบหรือกระบวนการคิดวิเคราะห์อันเป็นเหตุ เป็นผล มีที่มาที่ไปแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แนวคิดและหลักปฏิบัติในการเนินชีวิต แนวคิดของนาวาโทนายแพทย์เดชา สุขารมณ์ มีพื้นฐาน จากการเป็นนักศึกษาแพทย์ (ศิริราช) ถือหลักการมุ่งเน้น ช่วยเหลือเพื่อทำให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี ช่วยเหลือผู้ที ่ ตกทุกข์ได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการรักษาพยาบาล บทบาททางการเมือง นาวาอากาศโทนายแพทย์เดชา สุขารมณ์ ลงสมัคร รับเลือกตั้งครั้งแรกในจังหวัดกาญจนบุรี สังกัดพรรคชาติไทย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี 6 สมัย ผลงาน สำคัญคือ ริเริ่มโครงการถนนปลอดฝุ่น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วย ในการยกเลิกการสร้างถนนแดง และได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกเป็นรัฐมนตรีว่าการทบวง มหาวิทยาลัย ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นได้รับแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และกรรมาธิการในชุด ต่างๆ ในเวลาต่อมา สำหรับบทบาททางการเมืองที่สำคัญ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของนาวาอากาศโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ คือ การเข้ารับตำแหน่งในกรรมาธิการการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว นักการเมืองซึ่งมิได้เป็นรัฐมนตร ี ส่วนใหญ่ต้องการที่จะเป็นกรรมาธิการคมนาคมมากกว่า แต่สำหรับตนเองแล้วถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาส ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถผลักดันให้เกิดแนวทางสนับสนุน การท่องเที่ยวของประเทศอย่างจริงจัง ประสบการณ์ทาง 125
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเมืองที่มีอย่างยาวนานทำให้ได้พบความจริงทางการเมือง หลายประการจึงยุติบทบาททางการเมืองออกมาประกอบธุรกิจ ส่วนตัวในเวลาต่อมา ดังคำอธิบายดังนี้ “…มาดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการท่องเที่ยว ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยากเป็น ส.ส. ส่วนใหญ่ต้องการ เป็นกรรมาธิการคมนาคม จึงได้พยายามผลักดันการ ท่องเที่ยว ทำทุกระบบต้องสดชื่น สิ่งที่มีคุณค่าของไทย สยามเมืองยิ้ม ทำให้เกิดความสำคัญและเกิดประโยชน์ ทำให้รู้ในหลายๆ เรื่อง จึงมีความคิดว่าการเมืองปัจจุบัน ไม่ใช่การเมืองที่ควรทำกันจึงหยุดพักทางการเมือง และ ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว” กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง การเข้าสู่การเมืองของนาวาโทนายแพทย์เดชา สุขารมณ์ เริ่มต้นจากการทำกิจกรรมทางสังคมในการช่วยเหลือประชาชน เป็นเวลากว่า 3 ปี ก่อนการลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัด กาญจนบุรี แม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับจังหวัด กาญจนบุรีแต่อย่างใด หากแต่ทำในจังหวัดกาญจนบุรีเพราะ คำแนะนำของพระ ซึ่งตนเองเคารพนับถือ การลงพื้นที่ได้ใช้ พน้ื ฐานอาชพี แพทยแ์ ละการนำทมี รกั ษาพยาบาลจากโรงพยาบาล ของตนเองลงพื้นที่รักษาพยาบาลประชาชน และการใช้เงินทุน ส่วนตัวซื้อรถยนต์และเครื่องจักรกลสำหรับการพัฒนาเส้นทาง คมนาคม เป็นสิ่งที่ช่วยให้การหาเสียงและการทำกิจกรรม ทางการเมอื งเปน็ ทร่ี จู้ กั มกั คนุ้ และจดจำไดเ้ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ 126
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “ในการหาเสียงโดยการนำแพทย์จากโรงพยาบาล เดชาไปช่วยออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้าง เอาเงิน ส่วนหนึ่งไปซื้อรถบดถนน รถน้ำ รถเกรดไปช่วยชาวบ้าน ก็พยายามหาเสียงอยู่ประมาณ 3 ปีเศษๆ จนกระทั่ง ประชาชนรู้จัก มีความรู้สึกภูมิใจมากที่สิ่งที่เคยช่วยเหลือ ชาวบ้านกลับมาสนองลงครั้งแรกก็ได้เลย ตอนนั้นยังไม่ ทราบจะลงสังกัดที่ไหนเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนกรุงเทพ โดยกำเนิด แล้วก็จำต้องไปลงตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระท่าน บอกไว้ ลง 6 สมัยได้ติดต่อกัน เมื่อก่อนเป็นถนนแดง งบประมาณทำถนนลาดยาง ยงั ไมม่ ถี นนแดง 1 ปกี เ็ สยี แลว้ ฝนตกนิดเดียวก็ขาดแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เข้าใจชาวบ้าน นอก กว๋ ยเตย๋ี วถว้ ยหนง่ึ อาจจะมฝี นุ่ แดงอยใู่ นชามครง่ึ ชอ้ น เพราะลมโบกพัดไปพัดมาฝุ่นจะเข้าไปจับอยู่ทุกที่เต็มไป หมด จึงได้นำเงินที่มีอยู่ไปซื้อรถมาทำถนนให้ชาวบ้านไป ก่อนเพื่อบรรเทาทุกข์ ก่อนที่งบประมาณของทางราชการ จะลงไปถึง เพราะสมัยก่อนการของบใช้เวลา 6 ปี ถึง สิบๆ ปี เพราะความพยายามจึงทำให้สามารถเป็นผู้แทน ของคนจังหวัดกาญจน์มาได้ตลอด 6 สมัยเต็ม” กิจกรรมที่ใช้ในการหาเสียงโดยส่วนใหญ่ผ่านการใช้ วิชาชีพด้านการแพทย์ด้วยการรักษาพยาบาลประชาชนในพื้นที่ และเน้นการพัฒนาเส้นทางคมนาคมซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว มีปัญหานานัปการ นับเป็นกลยุทธ์การหาเสียงและการรักษา ฐานเสียงที่สำคญั ของนาวาอากาศโท นายแพทยเ์ ดชา สขุ ารมณ์ เพราะสามารถเข้าถึงความต้องการและตอบสนองต่อของ 127
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ชาวบ้านโดยตรง และเหมาะกับกับสถานการณ์ซึ่งในช่วงเวลา ดังกล่าวภาครัฐทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค (จังหวัด) หรือแม้แต่ หน่วยงานปกครองท้องที่ในขณะนั้นประสบปัญหาด้าน งบประมาณ กำลังคน เครื่องจักรกลสำคัญ ๆ รวมถึง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดำเนินงาน เช่นเดียวกับระบบ สาธารณะสุขด้านการรักษาพยาบาลซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและ มคี วามสำคญั อยา่ งยง่ิ ยงั อยใู่ นสถานการณข์ าดแคลนไมเ่ พยี งพอ กับความต้องการรับบริการ ในขณะเดียวกันกับระบบราชการ ยังใช้ระบบการบริหารราชการที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจ การตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลาง ผลการทำกิจกรรมสาธารณะและ การบริการประชาชนในลักษณะดังกล่าวทำให้ได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี ยาวนานถึง 6 สมัย และยังคงเป็น นักการเมืองที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคนหนึ่งของจังหวัดใน ปัจจุบัน ดังคำอธิบายดังนี้ “การเป็นแพทย์คือใบเบิกทางให้สามารถเข้าถึง ประชาชนทุกหย่อมหญ้าและเข้าใจดีถึงความเป็นอยู่ใน ชุมชนต่างจังหวัด โดยเฉพาะเมืองกาญจน์ที่มีความผูกพัน ก่อนตัดสินใจลงเล่นการเมืองจึงมีแนวคิดว่า ต้องทำให ้ น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี เพื่อให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทุกวันนี้แม้จะว่างเว้นจาก การเมืองและหันมาพัฒนากิจการโรงพยาบาลอย่างจริงจัง ก็ยังยึดหลักคุณธรรมตามพระราชดำรัสของในหลวง อยู่เสมอ” 128
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การทำงานในฐานะนักการเมือง นาวาโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ ประสบความสำเร็จ ทางการเมืองค่อนข้างมากเมื่อได้รับการสนับสนุนให้เข้ารับ ตำแหน่งรัฐมนตรี อาทิ รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งผลงานสำคัญคือการสนับสนุนและผลักดันกระจายโอกาส ทางการศึกษาในการผ่านร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย เอกชนและรัฐบาล อาทิ การผลักดันและสนับสนุนการออก พระราชบัญญัติ หรือกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต่อมาภายหลังเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง สาธารสุข ซึ่งการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น นาวาอากาศโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ ได้มีความระมัดระวังความผิดพลาด ทั้งจากคนใกล้ชิดทางการเมืองและการตัดสินใจทางการบริการ มุ่งมั่นในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังคำอธิบายดังนี้ “การทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีนี้ทำงานคนเดียว เพราะว่าการที่มีที่ปรึกษาหรือมีผู้ติดตามถ้าเป็นผู้ที่ดีมี ความรู้ก็ผ่อนแรงของตนเองได้ แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องรับผิดชอบ พยายามวางตัวบนเส้นลวด และก็ได้ทำงานชิ้นสำคัญไป พอควร” ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง นาวาโท นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ กล่าวถึงปัจจัยที่มี ผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ สังคมและนักการเมือง ซึ่งต้อง 2 ส่วน ต้องรับรู้และยอมรับ 129
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกัน ประกอบด้วย ข้อที่ 1 คิดพูดทำโดยความเมตตา ข้อที่ 2 ต่างคนต้องต่างช่วยเหลือประสานงานประสานผลประโยชน์ ปฏิบัติตนโดยความสุจริต ข้อที่ 3 ในความสุจริตนั้นจะต่างสุจริต ในกฎกติการะเบียบที่เท่าเทียมกันไม่เอาเปรียบกัน ข้อที่ 4 ต้องเที่ยงตรงในเหตุผล ข้อที่ 5 คุณธรรม ความเจริญรุ่งเรือง สิ่งเหล่านี้ของคนไทยจะทำให้ไทยเจริญรุ่งเรือง แต่ต้องมีรัฐบาล และผู้แทนที่ดีด้วยจึงจะทำให้เกิดความเข้มแข็งทางการเมือง นักการเมืองต้องมีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว แต่ประชาชน ต้องการนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรมและ มีประสบการณ์ซึ่งจะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและ ประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นาวาอากาศโท นายแพทยเ์ ดชา สขุ ารมณ์ ให้ความสำคัญกับนักการเมืองเป็นลำดับแรกซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ มีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมืองเพราะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ทางการเมืองของนักการเมืองโดยรวม 4.1.4 นายประชา โพพิพิธ (กำนันเซ๊ียะ) ประชา โพพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะ เป็นชาวจังหวัด กาญจนบุรีโดยกำเนิด เกิดวันที่ 24 มกราคม 2486 เป็นพี่ชาย คนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด จำนวน 6 คน มีบุตรธิดา จำนวน 7 คน สำเร็จการศึกษาการศึกษาระดับประถมศึกษา (ป.4) โรงเรียนวัดท่าเรือ พ.ศ.2498 ระดับมัธยมศึกษาโรงเรียน ท่ามะกา พ.ศ.2504 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ.2530 อบรมหลักสูตรนักปกครองท้องถิ่นระดับสูง (รุ่นที่ 8) วิทยาลัย 130
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การปกครอง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2537 ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ.2545 การเข้าสู่อาชีพนักการเมือง เสน้ ทางการเมอื งของนายประชา โพพพิ ธิ หรอื กำนนั เซย๊ี ะ เติบโตและพัฒนาจากการเป็นผู้นำชาวบ้าน เริ่มจากปี พ.ศ. 2520 ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ตำบลท่าเรือ อำเภอ ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากนั้นดำรงตำแหน่งกำนัน ตำบลในปี พ.ศ.2524 ต่อมาได้รับรางวัลแหนบทองคำจาก กระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ.2528 ภายหลังความสำเร็จ ในเส้นทางของนักปกครองท้องถิ่นจึงก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพ นักการเมืองท้องถิ่น โดยเริ่มจากการได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง เทศมนตรีตำบลท่าเรือพระแท่นในปี พ.ศ.2529 และอีก 6 ปี ต่อมาในปี พ.ศ.2534 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายก- เทศมนตรี หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2538 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ปกครอง ในปี 2539 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการทหาร พ.ศ.2542 ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และในปี พ.ศ.2544 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากเส้นทางทางการเมืองแล้วยังดำรงตำแหน่ง สำคัญในองค์กรภาคเอกชนและภาครัฐ ดังนี้ นายกสมาคมกลุ่ม ชาวไร่อ้อย เขต 7 ประธานสาขาสมาคมชาวไร่อ้อย เขต 7 ประธานโรงเจเข่งซิ่วตั้ว ประธานมูลนิธิอาจารย์โหพัฒน์ เทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่น นายกกิตติมศักดิ์สมาคมส่งเสริม 131
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี สวัสดิการสังคมท่าเรือ นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนท่ามะกา วิทยาคม ประธานคณะกรรมการโรงเรียนวัดท่าเรือ ที่ปรึกษา หอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี ที่ปรึกษาชมรมผู้สูงอายุ อำเภอ ทองผาภูมิ ประธานสาขาพรรคประชาธิปัตย์ เขต 5 จังหวัด กาญจนบุรี สำหรับด้านอาชีพ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ประกอบด้วย เขมประชาฟาร์ม เลี้ยงไก่ไข่ และปลานิลน้ำจืด ตั้งอยู่ใน อ.ท่ามะกา ในขณะที่เขมประชาฟาร์ม เลี้ยงแม่พันธุ์ และพ่อพันธุ์โคเนื้อ อยู่ใน อ.บ่อพลอย และธุรกิจรับเหมา ก่อสร้างบริษัท เขมราชการสร้าง จำกัด แนวคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะยึดหลักการใช้ชีวิต ง่ายๆ ภายใต้หลักธรรมชาติของมนุษย์ รู้ผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครและยินดีช่วยเหลือผู้อื่นตามความ สามารถและโอกาสที่สามารถทำได้ “การดำเนินชีวิตเหมือนบุคคลทั่วไป ไม่มีอะไรมาก เป็นไปตามหลักธรรมชาติของมนุษย์ คิดว่าคนเรารู้ทุกคน รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ยึดคติที่ว่าตื่นเช้ามา ต้องทำอะไร ไม่ผิดศีลธรรม อยู่ในศีลธรรมไม่สร้างความเดือดร้อนให้ คนอื่น มีปัญหาอะไรที่จะช่วยผู้อื่นได้ก็ช่วย” บทบาทพรรคการเมือง และความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ ภายในพรรค เส้นทางอาชีพของการเป็นนักการเมืองนับตั้งเริ่มต้น ประชา โพพิพิธได้รับแรงสนับสนุนและช่วยเหลือจากพรรค 132
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ประชาธิปัตย์มาโดยตลอด ในทัศนะของประชา โพพิพิธ จึง ซึมซับแนวคิดทางการเมืองในแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ของ พรรค ผู้นำพรรค สมาชิกพรรคที่มีชื่อเสียงและมีภูมิหลังที่ดี ในขณะเดียวกันยังเห็นว่ารูปแบบการทำงานของพรรคมีความ เป็นระบบหรือมีกระบวนการที่ดี มีความร่วมมือระหว่างสมาชิก ของพรรค ในฐานะนกั การเมอื งประชา โพพพิ ธิ พรรคประชาธปิ ตั ย์ จึงเป็นพรรคการเมืองเหมาะสมสำหรับตัวเขามากที่สุด “ถ้าจะมองพรรคประชาธิปัตย์ว่าสามารถขึ้นไป ดูแลประเทศชาติบ้านเมืองได้ พูดถึงว่าความสามารถของ หัวหน้าพรรคก็ดี นักการเมืองก็ดี มองว่ายังอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน พรรคประชาธิปัตย์มีอะไรก็ยังปรึกษากันอยู่ ให้ความร่วมมือกันมาดูแลกันมาตลอด คิดว่าเป็นพรรคๆ เดียวที่จะพาประเทศชาติบ้านเมืองไปได้ตลอด แต่พรรค อื่นส่วนมาก นโยบายดีเหมือนๆ กัน ก็แล้วแต่บุคลากรใน พรรคที่จะปฏิบัติอย่างไร ทำอย่างไรบ้าง จะอยู่พรรค ประชาธิปัตย์พรรคสุดท้ายเพราะใกล้หมดวาระแล้ว” ในมุมมองดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นสถาบันใน ฐานะที่เป็นพรรคการเมืองถือเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญต่อ การเมืองซึ่งจะทำให้มีความพร้อมในการเข้าไปบริหารประเทศ กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง พื้นฐานการเมืองการเป็นผู้นำท้องถิ่นนับตั้งแต่การเป็น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่นตำแหน่ง 133
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี นายกเทศมนตรี รวมถึงผู้นำในภาคเอกชนในฐานะผู้ประกอบ การในตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ อาทิ นายกสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อย เขต 7 ประธานโรงเจเข่งซิ่วตั้ว ประธานมูลนิธิอาจารย์โหพัฒน์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมส่งเสริมสวัสดิการสังคมท่าเรือ นายก- สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม ประธาน คณะกรรมการโรงเรียนวัดท่าเรือ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัด กาญจนบุรี ที่ปรึกษาชมรมผู้สูงอายุ รวมถึงการเป็นประธาน สาขาพรรคประชาธิปัตย์ เขต 5 จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้ประชา โพพิพิธ มีบทบาทในกิจกรรมทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมืองเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานมาโดยตลอด ความรู้สนิทสนมรู้จักมักคุ้นระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในระดับ ผู้นำและระดับชาวบ้านจึงมีมากตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน ด้วยบุคลิกที่เป็นคนเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ได้รับการสนับสนุน ทางการเมืองจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังคำ อธิบายดังนี้ “จริงแล้วมันเรื่องที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ต้น เป็น กำนันเป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นเทศมนตรี มีความผูกพันกับ ประชาชน ส่วนมากมันจะอยู่ใกล้ชิดกันมาก่อนการเป็น ส.ส. เคยอาศัยเคยไปมาหาสู่ยังไงต้องไปอย่างนั้น ไม่มี อะไรพิเศษขึ้นมา ถ้าเป็น ส.ส. แล้ว หากว่าพอช่วยได้ เราก็ช่วยไป การที่ชาวบ้านมีความทุกข์สามารถเข้าถึงได้ ไม่มีปัญหา พบได้ตลอด ไม่มีกฎเกณฑ์” 134
ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) การทำหน้าที่ในฐานะของ ส.ส. ประชา โพพิพิธ มิได้ แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่น ๆ ของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเห็นว่านักการเมืองเป็นบุคคลสาธารณะต้องช่วยเหลือ ชาวบ้าน ต้องดูแลในสิ่งที่สามารถทำได้ นอกจากนี้แล้วบทบาท หน้าที่ที่สำคัญคือการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ซึ่งถือ เป็นผู้แทนประชาชน ดังนั้นจึงทำหน้าที่อย่างเต็มที่เมื่อได้รับ โอกาส ดังคำอธิบายดังนี้ “มาเป็นส.ส.ก็เหมือนกับเราอุทิศตัวแล้ว เข้าไป เป็นบุคคลสาธารณะแล้วดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ตามธรรมดาของนักการเมือง ก็ต้องดูแลเค้าไป.... แต่สิ่งที่ เปน็ ประโยชนก์ บั ประชาชนหรอื สว่ นรวมผมกจ็ ะทำ ผมเปน็ ส.ส. 3 สมัย ตั้งแต่ปี 2538 และปีล่าสุด คือ ปี 2544” การได้รับโอกาสจากประชาชนด้วยการลงคะแนนเสียง สนับสนุนเป็น ส.ส. ถือเป็นสิ่งที่สร้างความภูมิใจของประชา โพพิพิธ และเป็นเรื่องยากที่คนส่วนใหญ่จะทำได้ งานการเมือง จึงเป็นงานอาสาที่เขาทุ่มเทด้วยความเต็มใจ ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง ในทัศนะของประชา โพพิพิธ เห็นว่าปัจจัยที่มีผล ต่อความเข้มแข็งทางการเมืองขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของ นักการเมือง โดยเฉพาะการเคารพมติหรือกติกาของ พรรคการเมือง รวมถึงนโยบายของพรรค ในขณะเดียวกัน 135
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372