Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 56นักการเมืองถิ่นกาญจนบุรี

56นักการเมืองถิ่นกาญจนบุรี

Description: เล่มที่56นักการเมืองถิ่นกาญจนบุรี

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักการเมืองต่อประชาชนต้องมีความ ซื่อสัตย์ต่อประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้การมุ่งเน้นประชาชน จะทำให้นักการเมืองมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานหรือ กิจกรรมทางการเมืองที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก “ความเข้มแข็งของการเมือง ในการที่จะปฏิบัติ ของตัวเองไปตามกฎของพรรคยึดกฎของพรรคไว้ อะไร ก็แล้วแต่ให้อยู่ในขอบเขตของพรรคที่กำหนด ผมคิดว่า ความมั่นคงทางการเมือง มันก็ยังเดินไปได้ ยึดนโยบาย พรรคอะไรต่อมิอะไร ยึดไว้แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ต่อประชาชนให้มีความซื่อสัตย์กับเค้า แค่นี้ก็ไม่มีปัญหา” ในการเคารพกฎกติกาของพรรคการเมืองดังกล่าว จะทำให้ระบบการเมืองซึ่งมีพรรคการเมืองเป็นองค์กร ขับเคลื่อนที่สำคัญในกิจกรรมทางการเมือง และกำหนด แนวทางการทำงานของสมาชิกพรรคที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ ในการทำงานการเมืองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมทำให้ การเมืองมีความเข้มแข็งไปโดยปริยาย ความร่วมมือทางการเมืองระหว่างนักการเมืองในจังหวัด ในความเห็นของประชา โพพิพิธ ต่อประเด็นความ ร่วมมือของนักการเมืองในจังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงการ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายในจังหวัดและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. ค่อนข้างเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อาจทำได้โดยง่าย แม้ว่าตนเองจะยินดีให้ความร่วมมือก็ตาม ด้วยที่ ส.ส. มักมีพื้นฐานแนวคิดทางการเมืองและภูมิหลังที ่ 136

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม แตกต่างกัน ทั้งแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ การดูแลประชาชน และ การพัฒนาจังหวัดโดยรวม ในขณะเดียวกันปัจจัยด้านการสังกัด พรรคการเมืองที่แตกต่างกัน ทำให้มีการแข่งขันทางการเมืองสูง ตามไปด้วย ดังคำอธิบายดังนี้ “ส.ส. ของจังหวัดกาญจน์ ส่วนมากต่างคนต่างทำ ผมเองมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือ แต่ว่าเราคิดที่จะ ทำอย่างนี้ได้แต่มันทำไม่ได้ แนวคิดไม่ค่อยตรงกันต่างคน ต่างทำ” ในทางตรงกันข้ามหากเป็นสมาชิกพรรคเดียวกัน โอกาส และเงื่อนไขในการร่วมทำกิจกรรมทางการเมือง รวมถึง การวางแผนพัฒนาท้องถิ่นหรือพื้นที่ภายในจังหวัดย่อมมีความ เปน็ ไปไดม้ ากกวา่ ปญั หาในการพฒั นาทอ้ งถน่ิ ดา้ นสาธารณปู โภค พื้นฐาน อาทิ เส้นทางคมนาคม ระบบชลประทาน การขุดลอก คูคลอง แหล่งน้ำ จึงไม่เป็นระบบหรือไม่ประสานงาน ทำให้ต้อง สน้ิ เปลอื งงบประมาณมากขน้ึ เนอ่ื งจากการวางแผนแบบบรู ณาการ “ในเขตที่ผมอยู่จริงแล้วที่จะพัฒนามีเยอะ การเกษตรตอนนี้มีแหล่งน้ำ 2-3 อำเภอ ห้วยกระเจา (และ บ่อพลอย) ยังไม่มีแหล่งน้ำ ผมก็ได้คุยกับอัฎฐพลอยู่ ให้ทำยังไงก็ได้เอาน้ำในเขื่อนมาโดยไม่ต้องไปเสีย พลังงานไฟฟ้า ลงทุนครั้งเดียว ทำประตูให้มันระบายน้ำ ออกมา คิดว่าจังหวัดกาญจนบุรีถ้าได้น้ำมาอยู่ที่อำเภอ ห้วยกระเจาพื้นที่ที่สูง คุยกับท่านอลงกรณ์ ทำไงก็ได้ให้ไป 137

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ดึงเครื่องนี้มา แล้วเมืองกาญจน์เราจะหมดสภาวะแห้ง แล้ง การท่องเที่ยวอะไรพวกนี้จะเจริญในตัวของมันเอง แต่ว่าเรื่องแหล่งน้ำถ้าเรามาช่วยใน 2 อำเภอนี้ได้ ผมคิด ว่าเมืองกาญจน์จะปรับสภาวะเกษตรให้มันเข้าที่ ทีจะ ทำใหภ้ เู ขาไมแ่ หง้ แลง้ การไปทำรสี อรท์ ทำสถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว ไม่มีอะไรมาก ถนนหนทางทุกอย่างดีหมดแล้ว” 4.1.5 นายสันทัด จีนาภักด์ิ สันทัด จีนาภักดิ์ เกิดวันที่ 2 มิถุนายน 2488 เป็นชาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวิสุทธรังสี โรงเรียนประจำ จังหวัดกาญจนบุรี ประสบการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ สมาชิก สภาจังหวัด 3 สมัย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. 4 สมัย ได้แก่ 2535/1, 2535/2, 2544, 2548 และ 2550 การเข้าสู่การเมือง สันทัด จีนภักดิ์ เริ่มต้นชีวิตทางการเมืองจากการเป็น นักการเมืองท้องถิ่น โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด 3 สมัย ชื่อเสียงในฐานะเป็นนักการเมืองท้องถิ่นเป็นที่รู้จักของ คนในพื้นที่และชาวจังหวัดกาญจนบุรีจึงได้รับการชักชวนให้เข้า สู่สนามการเมืองระดับชาติ และได้เป็น ส.ส. ครั้งแรกในการ สมัครรับเลือกตั้งกัดพรรคชาติไทย และเป็น ส.ส. ครั้งที่สอง ในสังกัดพรรคเดียวกัน ครั้งที่สามสอบตกภายหลังการย้ายมา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์โดยการชักชวนของประชา โพพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะ ต่อมาย้ายพรรคมาสังกัดพรรคไทยรักไทยจึงได้ 138

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม กลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2544 และหลังจากนั้น ได้เป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ทั้งการ สังกัดพรรคพลังประชาชนหลังการยุบพรรคไทยรักไทยในช่วง ของนายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและ ต่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามต่อมา สันทัด จีนาภักดิ์ ได้ตัดสินใจร่วมกับกลุ่มนักการเมืองเดียวกันแยกตัว ออกมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองตั้งขึ้นใหม่ ภายใตก้ ารนำของกลมุ่ นายเนวนิ ชดิ ชอบ หลงั จากทส่ี ถานการณ์ บ้านเมืองประสบวิกฤตอย่างรุนแรง จากรณีการถอดถอน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกจาก ตำแหน่งเนื่องจากกรณีการเป็นพิธีกรทำรายการอาหารใน รายการโทรทัศน์ และการยุบพรรคพลังประชาชน “ผมเองคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านมาตลอดผมเป็นคน กนั เองงา่ ยๆ ชาวบา้ นกส็ นทิ สนมกนั ปี 2535 พรรคชาตไิ ทย มาชวนให้ลงสมัครในนามพรรคก็ได้รับเลือกตั้งครั้งแรก พอครั้งที่ 2 พ.ศ 2535 เหมือนเดิม เป็นได้ปีเดียวก็ได้มา อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ครั้งหนึ่ง อยู่พรรคชาติไทยสอบตก ก็เลยมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่กับกำนันเซี๊ยะก็ตกมา 4 ปี วกิ ฤตทางการเมอื งในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว สนั ทดั จนี าภกั ด์ิ และกลุ่มเพื่อนนักการเมืองได้ตัดสินใจร่วมกันแยกตัวออกจาก พรรคพลังประชาชนหลังจากพรรคฯ ถูกยุบและตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ได้รับการสนับสนุนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค 139

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การถูกยุบพรรคทำให้พรรคขาดแกนนำคนสำคัญๆ ประกอบกับ ปัญหาการชุมชนประท้วงที่ยืดเยื้อและต่อเนื่องของกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กลุ่มเสื้อเหลือง) จึงย้าย ข้างไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ด้วยคิดว่าจะทำให้การเมือง เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้กลุ่มของสันทัด จีนาภักดิ์ได้มีเงื่อนไข สัญญาการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสำคัญ อาทิ นโยบาย กองทุนหมู่บ้าน (และชุมชนเมือง) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบาย SML นโยบายกองทุนสวัสดิการอาสมัครสาธารณสุข หมู่บ้าน (อสม.) รวมถึงนโยบายการขึ้นเงินเดือนหรือ ค่าตอบแทนของกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ในขณะเดียวกัน ยังสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการทำข้อตกลงด้านการ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้โดยตรงจำเป็นต้องขอมติรัฐสภาก่อน ทำให้เป็นปัญหาสำคัญ ของรัฐบาลและประเทศในขณะนั้น “ปี พ.ศ.2544 ไทยรักไทยสมัยแรก ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มาตลอด และเลือกใหม่ก็ได้ ปี 2548 อยู่ไทยรักไทย ก็ได้ มาอยู่พรรคพลังประชาชนและก็มายุบพรรค กลุ่ม พวกผมดูแล้วการเมืองน่าจะไปไม่รอด ตอนนั้นสนับสนุน ท่านสมัคร ท่านสมชาย และในกลุ่มเรามีการคุยกันว่า สนับสนุนพรรคเดิมบ้านเมืองก็น่าจะไปไม่รอดเพราะโดน พวกเสื้อเหลือง และทำให้คิดว่ามีทางออกทางเดียวให้ ประเทศชาติเดินไปได้คือ ต้องไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และพอดีบังเอิญตอนนั้นพรรคพลังประชาชน ยังไม่มี หัวหน้าพรรค เอาประชา (พลตำรวจเอกประชา พรมนอก) ขึ้นมา มันไม่มีแกนหลักที่แน่นอน ก็เลยหันมาอยู่กับ 140

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ประชาธิปัตย์ และคิดว่ายังไงประเทศน่าจะเดินไปได้ สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเข้ามาได้ตกลงกันก่อนว่าเข้ามาแล้ว จะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญ กลุ่มพวกเราตกลงตามนั้น หลายอย่างคือนโยบายที่ดีก็ยังคงไว้ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน SML และประชาธิปัตย์เขาก็รับ พวกสวัสดิการ องค์กรแม่บ้าน อสม. อะไรพวกนี้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็จะขึ้นเงินเดือน ตกลงกันแล้วก็เอากันเลย ตอนหลังเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ (ทำให้สถานการณ์การเมือง) เป็นอย่างนี้ เราต้องการแก้รัฐธรรมนูญ การค้าระหว่าง ประเทศ เวลาจะไปตกลงกับใคร ต้องไปขอสภาก่อนไป ตกลงกับต่างชาติ พรรคภูมิใจไทยใหม่ ๆ คนมันก็ว่าเรา ขายตัว ที่ไปเพราะเราคิดว่าไม่ไปก็ไม่มีทางรอด คือสภา ยังโดนล้อมจะไหวไหมล่ะ” แม้จะเป็น ส.ส. ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่แตกต่างจาก นักการเมืองท้องถิ่นโดยสิ้นเชิง แต่สันทัด จีนาภักดิ์ ยังคง ดำเนินชีวิตปกติ ทั้งอาชีพเกษตรกรรม (ทำนา) ในขณะเดียวกัน ก็แบ่งเวลาทำงานการเมืองด้วยการลงพื้นที่พบชาวไร่ชาวนา การลงพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้รู้จักพื้นที่และที่สำคัญสร้างความเป็น กันและความคุ้นเคยกับชาวบ้าน ภาพลักษณ์ที่ชาวบ้านจดจำ ว่าเป็นคนของชาวบ้านที่เข้าถึงง่าย จับต้องได้ โดยเฉพาะภาพ การร่วมกิจกรรมประเพณีและงานบุญต่าง ๆ แต่กระนั้น การลงพื้นที่ทำกิจกรรมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการได้ทั้งหมด ปัจจุบันสันทัด จีนภักดิ์ มีลกู ชาย 2 คนที่เป็นช่วยสนับสนุนและ ผ่อนแรงในการลงพื้นที่ทำกิจกรรมดังกล่าว 141

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี “ปัจจุบันผมก็ยังทำนาอยู่ ผมก็ทำเป็นทุกอย่าง (การลงพื้นที่) พวกชาวไร่ชาวนาไปหมด รู้ทุกพื้นที่และ ปัจจุบันที่ผมทำนาก็นาที่มันแล้งน้ำเข้าไม่ได้ นี่กำลังทำ อยู่กำลังปรับปรุง ยกลอยสูบน้ำเข้ามา จัดรปู โดยใช้ทุนเรา เอง การดำเนินชีวิตก็ปกติทุกอย่าง เราเป็นเกษตรกรเราก็ เป็นเกษตรกร และพอมีเวลาว่าง งานส่วนรวมผมก็เยอะ เราก็แบ่งเวลา พอช่วงบ่ายส่วนใหญ่ก็จะไปงานสวดศพ งานเลี้ยงแถวบ้านบางทีก็ 20 กว่างาน ไม่เว้น ความจริง ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันเป็นประเพณีบ้านเรา เราต้องไปทุกงาน พอมืดก็ไป ช่วงนี้ดีขึ้นเพราะลูกชายช่วยออกงานทั้ง สองคนลูกชาย ถ้าผู้หญิงก็มีครอบครัวแล้วก็เปิดร้าน หลายสิบปีมาแล้วครับ อาศัยที่ว่าปัจจุบันนี้ เราใช้ให้ออก ชุมชนพบปะประชาชนก็พอได้คะแนนเยอะ ก็เก่ง” บทบาทพรรคการเมือง ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ ภายใน พรรค การทำงานการเมืองของสันทัด จีนาภักดิ์ อยู่ภายใต้ พรรคการเมืองที่ตนสังกัดมิได้มีการจัดการตั้งเป็นกลุ่มการเมือง เพื่อต่อรองอำนาจภายในพรรคแต่ประการใด โดยดำเนินการ ภายใต้นโยบายพรรคซึ่งในช่วงสำคัญที่ตนเองได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดีล้วนมุ่งพัฒนาและส่งเสริม คุณภาพชีวิตของประชาชน ที่สำคัญได้แก่ นโยบายหรือ โครงการถนนปลอดฝุ่น การส่งเสริมกีฬาประจำหมู่บ้าน/ตำบล ซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญ ในขณะที่นโยบายที่สันทัด จีนาภักดิ์ อยากทำและคิดว่ามีประโยชน์แต่ยังไม่ได้ทำหรือทำไม่สำเร็จ 142

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม เพราะเกิดปัญหาทางการเมืองก่อน คือ นโยบายหนึ่งโรงสี หนึ่งตำบล นโยบายเหล่านั้นในทัศนะของสันทัด จีนาภักดิ์ ยังทำได้ไม่มากนัก แต่บางนโยบายได้มีการดำเนินการจำนวน มากแล้ว ปัญหาของนโยบายมาจากงบประมาณสนับสนุนและ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในต่างจังหวัดชาวบ้านยังคง ต้องการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน จำเป็นต้องมีโครงการอาทิ หนึ่งตำบลหนึ่ง ชลประทาน เพราะเกี่ยวข้องกับอาชีพและปัจจัยการดำเนินชีวิต ของชาวบ้านโดยตรง ในขณะที่การย้ายพรรคการเมืองไม่ใช่ ประเด็นปัญหาของชาวบ้านแต่อย่างใด ชาวบ้านไม่ถาม เพราะ เป็นผู้แทนชาวบ้านมาตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้รู้ว่าปัญหาของ ชาวที่แท้จริง “บทบาทของพรรคการเมือง คือเป็นกลุ่มเดียวกัน ทั้งหมดอยู่แล้ว และที่แยกออกมาก็เป็นกลุ่มเดียวกัน บอกว่าไปก็ไปกัน ก็เลยไม่มีการแบ่งกลุ่ม ก่อนที่จะเข้ามา มันก็คือกลุ่มเดียวไม่มีการแยกกันในกลุ่มก็บทบาทในกลุ่ม พรรคนี้ก็ว่า ผมคิดว่าก็นโยบายก็ดี ส่วนใหญ่พรรค การเมืองทุกพรรคก็จะมีนโยบายหลักๆ ก็เรื่องถนนปลอด ฝุ่นอย่างนี้ และก็การส่งเสริมการเล่นกีฬาคือมีบ้านหนึ่ง มีลานกีฬาออกมาทุกหมู่บ้าน และก็คือนโยบายที่ยังไม่ได้ ทำ หนึ่งโรงสีหนึ่งตำบลอย่างนี้ แต่ยังทำไปน้อย ที่ทำมาก คือถนนปลอดฝุ่นทำไปได้เยอะ ลานกีฬาทำไปได้เยอะแต่ ก็ยังไม่ถึงครึ่ง ถ้ามีเงินคงจะทำต่อ ทีนี้ถนนปลอดฝุ่นก็ทำ ไปได้เยอะเหมือนกัน ถนนไร้ฝุ่น ชาวบ้านในชนบท 143

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ต้องการ แหล่งน้ำก็หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งชลประทาน นโยบายดีแต่ยังทำไม่ได้ เวลาออกพื้นที่ ชาวบ้านขอมาก ที่สุดก็คือถนนกับแหล่งน้ำ แหล่งน้ำการเกษตร” กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง การหาเสียงของสันทัด จีนาภักดิ์ใช้ความเป็นคนในพื้นที่ ผ่านสายสัมพันธ์ที่ทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ ของท้องถิ่นเป็น แนวสำคัญในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง วิธีการหาเสียง และรปู แบบการหาเสยี งวางอยบู่ นพน้ื ฐานของวถิ ชี วี ติ ทง้ั วฒั นธรรม การผลิตในอาชีพเกษตรกรรม การเป็นชาวนา “เป็นผู้แทนมานานและก็เป็นตัวแทนชาวบ้าน ตั้งแต่ อายุ 23 ส่วนใหญ่ก็ทำให้เองปัจจุบันชาวบ้านแทบ ไม่ต้องมาขอ รู้ว่าชาวบ้านต้องการอะไรเพราะเราผูกพัน กับชาวบ้านและก็สนิทกับเรา เพราะเป็นเกษตรมาก่อน ผูกพันกันมาก ผมไม่มีหัวคะแนน คะแนนน้อยมาก ถึงเวลาหาเสียง ทุกกลุ่ม ใครสนิทกับเราไปช่วยกัน ชาวบ้านที่ใกล้ชิดก็ออกไปช่วยกันเอง ไม่ต้องใช้อะไรมาก ถึงเวลาก็บอกพรรคพวกว่าเลือกเรา” ในการหาเสียงสันทัด จีนาภักดิ์ใช้รูปแบบการแบ่งพื้นที่ ในลักษณะของการวางยุทธศาสตร์เขตเขาเขตเรา กล่าวคือ มีการวิเคราะห์พื้นที่ว่าพื้นที่ใดหรือจุดไหนเป็นพื้นที่ที่ประชาชน/ ชาวบ้านสนับสนุนตนเองเป็นอย่างดี เรียกว่า เขตพื้นที่คะแนน เสียงของตน ในขณะที่พื้นที่ที่ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน 144

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม นักการเมืองคู่แข่งขัน การแบ่งพื้นที่ในลักษณะดังกล่าวทำให้ สามารถวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนและนำไปใช้กำหนดรูปแบบ และวิธีการหาเสียง นอกจากนี้ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง พื้นที่เลือกตั้งอีกด้วย โดยหากการเลือกตั้งแบ่งเป็นเขตเดียว เบอร์เดียวจะใช้รถโฆษณาหาเสียงเป็นแนวทางหลัก ซึ่ง ชาวบ้านจะรู้/ทราบได้ง่ายว่าผู้สมัครแต่ละคนสังกัดพรรคอะไร และเบอร์สมัครหมายเลขใด โดยความสนิทสนมกับชาวบ้านใน การเมืองท้องถิ่นทำให้สามารถเข้าถึงชาวบ้านได้ง่าย อย่างไร ก็ตามเข้าสู่การเมืองระดับชาติทำให้มีความห่างเหินกับชาวบ้าน มากขึ้นเป็นลำดับ แต่ด้วยเป็นตระกูลผู้นำในฐานะตระกูล “กำนัน” ผูกขาดในพื้นที่มายาวนานนับจากรุ่นปู่ พ่อ พี่และ หลาน ทำให้สันทัด จีนาภักดิ์ เป็นที่รู้จักมักคุ้นและมีสาย สัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำท้องถิ่น ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น พ่อค้า แม่ค้า ข้าราชการ รวมถึงประชาชนทั่วไป “ส่วนใหญ่ก็จะเข้าถึงบ้าน พื้นที่ที่ไม่ใช่ของเรา สมัยก่อนผมหาเสียงคนเดียวคือในเขต พอมาแยกมา แบ่งเขต ถ้าแบ่งเขตไม่ได้ทำอะไรเลยก็คือใช้รถโฆษณา อย่างเดียว พอชาวบ้านเขารู้กันว่าเบอร์อะไรอยู่พรรคไหน เขาก็ลง (คะแนนให้) แต่ตอนหลังผมห่างมาสิบปี ก็ไปเดิน ตามพื้นที่ของชาวบ้าน กลยุทธ์ก็ไม่มี หัวคะแนนไม่มี คะแนนใหญ่ไม่มี ส่วนใหญ่กำนันผู้ใหญ่บ้าน พ่อผมเป็น กำนัน พ่อของพ่อก็เป็นกำนันเก่านี่ไม่ใช่ตระกูลการเมือง คือตระกูลผู้นำ คือพ่อของพ่อผมเป็นกำนัน และรัชกาลที่ 5 ตั้งให้เป็นท่านขุน ตำบลบ้านใหม่นี้ ปู่เป็นกำนันและ 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ก็มาพ่อกำนัน แล้วมาพี่เป็นกำนัน ปัจจุบันหลานเป็น กำนัน คือตั้งแต่มีตำบลบ้านใหม่ยังไม่มีคนอื่นได้เป็น กำนัน คือตระกูลผมได้เป็นหมด พื้นฐานของบรรพบุรุษ ช่วยเยอะ” สันทัด จีนาภักดิ์ อธิบายถึงความสำคัญในการเป็น ตระกูล “กำนัน” โดยชี้ให้เห็นภาพลักษณ์กำนันในอดีตที่มี ความแตกต่างจาก “กำนันในยุคปัจจุบัน” กล่าวคือ กำนัน ในอดีตจะบุคลิกภาพที่เป็นเสมือนผู้ใหญ่ใจดีที่มีความโอบอ้อม พร้อมช่วยเหลือชาวบ้านผู้มีความยากลำบากในทุกกรณี ชื่อเสียงและความดีงามและบารมีที่ตระกูลสั่งสมมายาวนานนับ เป็นพื้นฐานการความสำเร็จในอาชีพนักการเมืองในเวลาต่อมา “คนที่เป็นกำนันสมัยก่อน มันไม่ใช่แบบปัจจุบัน กำนันสมัยก่อนคนจะเชื่อถือก็จะเป็นคนที่โอบอ้อมอารี ส่วนใหญ่ช่วยเหลือทุกอย่างและเราก็คงจะติดนิสัยบรรพ บุรุษมาด้วยคือชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ชาวบ้านมีอะไร เดือดร้อนมาเราช่วยได้เราก็ช่วยทันทีไม่ต้องพูดกันมาก ทำให้การหาเสียงเราแทบไม่ได้หา เราใช้ระบบโฆษณาไป เรื่อย ๆ ประกาศให้รู้ว่าเบอร์อะไร สมัยที่ลงไทยรักไทย สมัยแรก ลงกันเจ็ดคนผมได้ 48,000 พรรคได้ 48,000 เท่า กันเลย คะแนนไล่เลี่ยกันผิดกันไม่กี่แต้ม มา (พรรค) พลัง ประชาชนก็สูสี และส่วนใหญ่คนก็มันเลือกอยู่แล้ว สมัย อยู่ไทยรักไทยแบ่งเขตครั้งแรก คนอื่นรวมกันได้ 20,000 กว่าคะแนน ต่อมาแบ่งเขตไม่มีสสู ี เราชนะเยอะ ส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำอะไร” 146

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม เมื่อเข้าสู่อาชีพนักการเมืองสันทัด จีนาภักดิ์ ยังคงเลือก ใช้กลยุทธ์การการหาเสียงเลือกตั้งเช่นเดิม โดยเน้นความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ผู้นำชุมชนท้องถิ่น และ ชาวบ้าน มีทั้งการปฏิเสธบอกกล่าวตรงไปตรงมาว่าทำได้หรือ ทำไม่ได้ในที่สิ่งที่ชาวบ้านร้องขอให้ช่วยเหลือ ความจริงใจ ในการทำงานการเมืองในพื้นที่ทำให้สันทัด จีนาภักดิ์ ที่มีต่อ ชาวบ้านดังกล่าวทำให้เขาได้รับการสนับสนุนผ่านคะแนนเสียง ในช่วงเวลาการเลือกตั้งตลอดมา “ฐานเสียงเราก็กันเองอยู่แล้ว ผมคิดว่าชาวบ้าน ไ ม ่ ม ี อ ะ ไ ร ห ร อ ก น อ ก จ า ก เ ร า ม ี ค ว า ม จ ร ิ ง ใ จ ใ ห ้ เ ข า เรารับปากอะไรใครเราก็ทำให้ได้ สิ่งที่ทำไม่ได้เราก็ไม่รับ สิ่งที่ทำได้เราก็รับ ระหว่างที่เราอยู่ปัจจุบันใครมาขอโน่น ขอให้ทำอะไร เราดูว่าถ้าทำได้เราก็บอกว่าได้และก็เราให้ ความจริงใจกับชาวบ้านคือพูดไปแล้วเราต้องพยายาม ทำให้สำเร็จ ชาวบ้านก็เลยเชื่อถือ เรื่องที่ชาวบ้าน เดือดร้อนมาเราไม่โกหกชาวบ้านบางทีมันเดือดร้อนเรื่อง เกี่ยวกับข้าราชการ อย่างนี้เราก็บอกว่าไม่ได้ยากแต่ถ้าได้ เรากบ็ อกวา่ ไดช้ าวบา้ นเขากเ็ ชอ่ื ถอื คนในครอบครวั ชว่ ยกนั คอื เปน็ กลมุ่ พวกพอ่ คา้ อะไรไมม่ ชี ว่ ยเลย ไมไ่ ดช้ ว่ ยหาเสยี ง ช่วยเงินก็ไม่มี แต่ส่วนใหญ่ผมก็พวกกันเองทั้งนั้น” การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการทำงานการเมอื ง สนั ทดั จนี าภกั ด์ิ เหน็ วา่ นกั การเมอื ง ส่วนใหญ่ล้วนมีความต้องการที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะ 147

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนมีความ ต้องการมากที่สุด ในขณะเดียวกันยังเป็นพื้นฐานของความ เจริญในด้านที่ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในพื้นที่ รวมถึง โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งน้ำซึ่งมีความสำคัญต่อ การประกอบอาชีพของประชาชน แต่ด้วยงบประมาณของ ประเทศที่มีจำกัดทำให้นักการเมืองไม่สามารถได้รับการจัดสรร งบประมาณตามที่ได้เสนอขอโครงการไว้ แม้ว่าจะเติบโตจากผู้นำท้องถิ่นและการเป็นนักการเมือง ท้องถิ่น แต่สันทัด จีนาภักดิ์ มีแนวคิดการทำงานการเมืองที่ให้ ความสำคัญกับการพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรีในภาพกว้าง เพราะต้องการสนับสนุนศักยภาพด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งและ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัดที่มีอยู่ให้ สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ อาทิ การพัฒนาโครงข่ายการผัน น้ำจากพื้นที่แหล่งน้ำจากสังขละบุรี ทองผาภูมิ ไทรโยคสู่พื้นที่ ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำในอำเภอบ่อพลอยและ ห้วยกระเจา และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อลดปัญหา การจราจรที่เพิ่มมากขึ้นและการพัฒนาเชื่อมต่อเส้นทางอำเภอ ทองผาภูมิไปยังอำเภอแม่สอดจังหวัดตากเพื่อส่งเสริมการ ท่องท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น “ผู้แทน ส่วนใหญ่ก็อยากให้ความสะดวกสบาย แต่งบประมาณ มันไม่ได้อย่างที่คิด ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมันใช้เงินเยอะ ถ้าได้น้ำจากข้างบนลงมาข้างล่าง ประโยชน์มหาศาลและอีกอย่างเมืองกาญจน์อยากให้ เจริญมันต้องตัดถนนจากทองผาภูมิ ไปแม่สอดเพราะทาง 148

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม แม่สอด สมัยนั้นผมมีแนวคิดว่าจะตัดร่วมกับท่านวิมุด ผู้ว่าวิมุดนะ ตอนนั้นถ้าทำเมืองกาญจน์เจริญแล้ว ปกติ แค่ 60 กิโลเมตรเองจากทองผาภูมิมาเมืองกาญจน์ ติดพวก NGO ถ้าไม่ติดก็ทำไปแล้ว ทุกวันนี้ยังอยากได้ ถนนจากทองผาภูมิ ผมเคยทำโครงการไว้ ตอนนี้ก็เป็น แนวคิดของเหมือนเป็นโครงการของผม สี่เลนยังไม่พอวิ่ง เมืองกาญจน์แหล่งท่องเที่ยวมันเยอะ เพราะปกติจะเข้า กรุงเทพวิ่งไปทางโน้นหลายชั่วโมงกว่าจะถึงแต่ถ้าวิ่งมา ทางนี้ก็ จากแม่สอดมาเมืองกาญจน์ก็แค่ 60 กิโลเมตร ก็ถึง ผมอุตส่าห์ลงทุนไปจังหวัดตาก ท่านวิมุด บัวจันทร์ เป็นรองผู้ว่าอยู่ อีกอย่างเมืองกาญจน์มีน้ำ ได้น้ำท่อจาก ทองผาภูมิ สังขละมันไหลอยู่แล้วเพราะมันต่ำสูงกว่ากัน เป็นร้อยเมตร และบ่อพลอย ห้วยกระเจา เลาขวัญ นั้นไป คนละเรื่องเลยถ้ามีน้ำ รัฐบาลต้องมีเงิน พรรคเราเป็น ใหญ่น่าจะได้ ตอนนั้นอยู่กับทักษิณ ก็รับปาก คือพวกเรา คนเมืองกาญจน์ ก็อยากพลิกแผ่นดินเหมือนกันให้มัน เจริญ” ความร่วมมือทางการเมืองระหว่างนักการเมืองในจังหวัด ในทัศนะของสันทัด จีนาภักดิ์ ความร่วมมือและการ ทำงานการเมืองของ ส.ส. อยู่บนพื้นฐานการจัดการและการขอ งบประมาณสนับสนุนเพื่อพัฒนาพื้นที่เลือกตั้ง ด้วยเหตุผล ที่ว่าการทำงานกับประชาชนหรือชาวบ้านต้องเป็นรูปธรรม ที่ชัดเจน ดังนั้นการพัฒนาพื้นที่โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภค พื้นฐานถือเป็นการสร้างผลงานที่ชัดเจนและตรงตามความ 149

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ต้องการของประชาชนในพื้นที่มากที่สุด และความร่วมมือของ นักการเมืองในพื้นที่จึงอยู่ในลักษณะของการต่อรองและ การตกลงร่วมกันเพื่อขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณ แม้ว่ากฎหมายจะห้ามการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐ แต่การพัฒนาพื้นที่ยังมีความสำคัญและจำเป็นที่นักการเมือง ต้องให้ความสำคัญและสนใจต่อปัญหาในพื้นที่ สำหรับสันทัด จีนาภักดิ์ ได้เปลี่ยนไปใช้แนวทางการประสานงานหรือเป็น ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังผู้นำท้องถิ่นในการของบประมาณ สนับสนุนการพัฒนาตามความต้องการของประชาชน ในขณะที่ ความร่วมมือการทำงานระหว่างนักการเมืองในจังหวัด กาญจนบุรี สันทัด จีนาภักดิ์ เห็นว่าโดยรวมแล้วนักการเมือง ถิ่นจังหวัดกาญจนบุรีล้วนมีความสนิทสนมคุ้นเคยหรือรู้จัก มักคุ้นกันเป็นอย่างดี ผ่านการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เดียวกัน และการเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน การทำงาน พัฒนาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรีจึงมีความร่วมมือและ ช่วยเหลือสนับสนุนกันเป็นอย่างดี “ส่วนใหญ่ก็เรื่องงบประมาณ ปัจจุบันนักการเมือง โดนตัดสิทธิด้านนี้ แต่เราก็ใช้วิธีประสาน นำพวก อบต. หรืออะไรที่จะขอถนน แนะนำให้เขาไปพูดกับผู้บริหาร (หน่วยงานราชการ) ปัจจุบันนี้ยังรับปากชาวบ้านว่าจะทำ ถนนให้อะไรให้ แต่เราก็มีหน้าที่ประสาน ได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ ถ้าได้มาชาวบ้านก็ดีใจ เป็นผู้แทนมานาน ไม่เคยมีเรื่อง ขัดแย้งอะไรกับใคร ต่างพรรคก็พวกเดียวกันหมด การทำงานในพื้นที่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ร่วมมือกัน เรื่อง 150

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การพัฒนา ทำยังไงจะให้มันได้มาในจังหวัดก็ร่วมมือกัน โดยเฉพาะผม พลเอกสมชายก็เพื่อนเรียนมาด้วยกัน ทั้งกำนันเซี๊ยะ สมัยอยู่พรรคเดียวกันก็หาเสียงด้วยกัน สนิท รู้จักหมด เวลาหาเสียงจะเห็นว่าไม่มีใครจะมาโจมตี ถึงเวลาหาเสียงก็หากันไป เลิกหาเสียงแล้วก็เหมือนเดิม ปัจจุบันมีอะไรก็ยังพึ่งพากัน สนิทสนมกัน ใครมีเรื่อง เดือดร้อนก็โทรมาเราก็ช่วยก็พึงพาอาศัยกันอยู่ตลอด” ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง สันทัด จีนาภักดิ์ อธิบายต่อประเด็นดังกล่าวว่า ปัญหา ความเข้มแข็งทางการเมืองเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ ซึ่ง รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ได้ปฏิเสธความเป็นจริงทางการ เมืองของ ส.ส. โดยการห้าม ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้าราชการ ประจำในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการของบประมาณหรือ โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของ ประชาชน ข้อเทจ็ จริง ส.ส.จะทำหนา้ ทีเ่ ปน็ เสมอื นผปู้ ระสานงาน และติดตามการทำงานของหน่วยงานหรือข้าราชการที่มีหน้าที่ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านทั้งพรรค การเมืองและหน่วยงานของรัฐในฐานะตัวแทนของประชาชน ข้อห้ามดังกล่าวทำให้ ส.ส. ไม่สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือหรือ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างที่ควรจะเป็น ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับ ประชาชน 151

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี “ ก า ร เ ม ื อ ง เ ข ้ ม แ ข ็ ง ต ้ อ ง แ ก ้ ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ค ื อ รัฐธรรมนูญที่เขียนมานี้ ส.ส. ปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ ลอง คิดดูสิว่า ส.ส.ก้าวก่ายหน้าที่ราชการ เรื่องจริงๆ มันต้อง ก้าวก่ายไม่ก้าวก่ายไม่ได้ ชาวบ้านเดือดร้อนเราก็ต้องพึ่ง ข้าราชการไปช่วยดูแล แต่ถ้าเราทำหนังสือไปนี่โดนเลยนะ มันเป็นสิ่งที่เราปฏิบัติไม่ได้ ต้องใช้โทรศัพท์คุยกัน ทำหนังสือไม่ได้ คือการทำหนังสือก็มีผลประโยชน์เยอะ สมมุติว่าชาวบ้านหมู่บ้านนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาร้องเรียนมา เราก็ได้แต่พูดโทรศัพท์มันก็ไม่มีหลักฐาน ตามขั้นตอน สมมุติว่าในหมู่บ้านเดือดร้อน อำเภอโน้น ไม่ให้ความเป็นธรรมอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง เขาร้องเรียน ปกติเราก็จะต้องทำหนังสือไปที่อำเภอ ให้ช่วยดูแล พอไม่มีหนังสือ เราก็ไม่สามารถที่จะร้องเรียนนายอำเภอ ต่อว่าไม่ทำตามอย่างที่ชาวบ้านต้องการ สมมุติว่าเรื่องนี้ ได้รับร้องเรียนตั้งแต่วันที่สิบเดือนที่แล้วแล้วทำไมไม่ทำให้ เรา ถ้าทำหนังสือได้ถ้าก้าวก่ายได้ หมายถึงเราแจ้งอำเภอ ไปแล้วเดือนว่าไม่ดูแล เราก็ร้องไปที่ผู้ว่าตามหนังสือได้ ผู้ว่าไม่ทำ เราก็ร้องไปกระทรวงได้ พอเราทำหนังสือไป มันจะเป็นการยืนยันว่าเขารับทราบแล้วแต่ไม่ปฏิบัติ สมมุติว่าน้ำท่วม เอาปัจจุบัน มันก็ยังมีเรื่องภัยแล้ง ภัยแล้งแถวบ้าน ชนบทแล้งมากๆ ไม่รู้จะทำยังไง.... ถ้าไม่ แก้รัฐธรรมนูญยาก ถ้าจะให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง พรรคไหนทำให้ได้ชาวบ้านก็นิยม การเมืองปัจจุบันบริการ ชาวบ้านได้ไม่เต็มที่” 152

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ต่อคำอธิบายดังกล่าว สันทัด จีนาภักดิ์ เห็นว่า ความ สำคัญของนักการเมืองและพรรคการเมืองอยู่ที่การทำหน้าที่ ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นักการเมืองย่อมรู้และทราบถึงปัญหารวมถึงความต้องการของ ประชาชนได้ตรงจุดมากกว่าข้าราชการหรือหน่วยงานของรัฐ การห้าม ส.ส. ยุ่งเกี่ยวกับข้าราชการหรือหน่วยงานของรัฐใน การแก้ไขปัญหาหรือการจัดทำโครงการต่าง ๆ จึงเป็นจุดอ่อน หรือการสร้างความอ่อนแอให้กับการเมืองในที่สุด การสร้าง ความเข้มแข็งทางการเมืองจึงไม่ควรปิดกั้นการทำหน้าที่ของ ส.ส. หรือนักการเมืองในการช่วยเหลือปัญหาความเดือดร้อน ของประชาชน 4.1.6 นายอัฎฐพล โพธิพิพิธ อัฎฐพล โพธิพิพิธ เดิมชื่อสุเมธ เป็นชาวจังหวัด กาญจนบุรีโดยกำเนิด เกิดวันที่ 14 กรกฎาคม 2509 การศึกษา ปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโท สาขา MBA (Marketing) Northrop University ประเทศ สหรัฐอเมริกา การเข้าสู่การเมือง การเมืองท้องถิ่นคือก้าวแรกของการเข้าสู่สนามการเมือง ระดับชาติในเวลาต่อมา เริ่มจากปี การได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่นในปี 2538 ได้รับเลือก เป็นเทศมนตรีในเวลาต่อมา หลังจากนั้นอัฏฐพล โพธิพิพิธ จึงตัดสินใจลงสู่สนามการเมืองระดับชาติด้วยการลงสมัครรับ เลือกตั้ง ส.ส. ในปี 2544 โดยได้วางแผนหาเสียงด้วยการลง 153

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่พบประชาชนล่วงหน้าเป็นเวลากว่า 3 ปี การลงสมัคร ส.ส. ครั้งแรกแม้ว่าจะมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดีพร้อมๆ กับความ มั่นใจที่จะชนะเลือกตั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามกับประสบความล้มเหลวในผลการเลือกตั้ง และได้สร้างความผิดหวังต่ออัฏฐพล โพธิพิพิธ เป็นอย่างมาก “ผมลงครั้งแรกในปี 44 ครั้งแรกที่ลงก็เหนื่อย เอาการเหมือนกัน ครั้งแรกหาเสียงใช้เวลาเกือบ 3 ปีครับ ที่จะลงพื้นที่มีโอกาสพบปะประชาชน ที่หาเสียงอยู่ ก็ตั้งใจ ที่แรกเราก็มั่นใจว่าเราทำได้แต่พอถึงวันเลือกตั้ง จริง ๆ อะไร ๆ มันก็พลิกไปหมด มีความรู้สึกว่า ตอนนั้น หลังจากเลือกตั้งเสร็จก็เลยมีความรู้สึกว่าการเมืองมันไม่มี ความยุติธรรมที่เค้าว่าการเมืองมันสกปรก ผมคิดว่ามัน สกปรก ผมว่ามันก็จริงขอให้แค่ว่าได้ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.” ความล้มเหลวในผลการเลือกตั้ง ส.ส. ดังกล่าว อัฏฐพล โพธิพิพิธ ได้นำมาคิดทบทวนและวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น โดย พยายามทำความเข้าใจและหาแนวทางในการต่อสู้ในการลง สมัครรับเลือกตั้งครั้งต่อไป การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และการหาเสียงเลือกตั้งถูกกำหนดกรอบภายใต้กติกาหรือ กฎหมายเลือกตั้งมากที่สุด ปฏิบัติการนำแนวทางการเข้าสู่ การเมืองที่มิใช้กติกาการเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับการ ทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ ถือเป็นการสร้างความเป็น คนของประชาชน 154

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “ส่วนตัวผมไม่ได้คิดจะไปลอกเลียนแบบ วิธีที่จะ ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ก็พยายามหาวิธีการที่อยู่ในกรอบ ของกฎหมายให้มากที่สุดให้ชาวบ้านเค้าเข้าใจ มีความคิด ว่าถ้าเราทำแบบนั้นได้ และเราได้เป็นผู้แทน ถ้าทำแบบนี้ ไดจ้ รงิ ประชาชนกค็ งไดผ้ แู้ ทนทเ่ี ปน็ ของเคา้ ไมใ่ ชว่ า่ เลอื กตง้ั แล้วก็สู้กันด้วยวิธีการต่างๆ ถึงได้มาเป็นผู้แทน ผมว่าการ ที่ได้มาเป็นผู้แทนด้วยวิธีนี้ เค้าไม่เห็นความสำคัญของ ประชาชน อันนี้คือความคิดในช่วงนั้นนะครับ” หลังจากล้มเหลวในการสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก อัฏฐพล โพธิพิพิธ ได้ตัดสินใจที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ด้วยความคิดว่าครั้งแรกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จึงตัดสินใจทำงานหนัก ขึ้นทั้งการทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ทุกประเภทเพื่อ สร้างการยอมรับและสายสัมพันธ์ที่ดี เพื่อให้ชาวบ้านรู้จักมักคุ้น และสนับสนุนด้วยการลงคะแนนเสียงให้ในการเลือกตั้งครั้ง ต่อไป อัฎฐพล โพธิพิพิธ ตระหนักดีกว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะชนะการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่ทำให้มีพลังใน การขับเคลื่อนงานการเมืองในฐานะ ส.ส. นั้น วางอยู่ในแนวคิด ที่ว่าจะเป็นโอกาสให้สามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้ มากกว่าการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และถือว่าการได้รับแรง สนับสนุนให้สมัคร ส.ส. นั้นถือเป็นโอกาสที่มิใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อมีโอกาสจึงต้องมีความพยามและทำงานให้หนักมากขึ้น สำหรับปัญหาการหาเสียงเลือกตั้งในพื้นที่นั้น แม้ว่าจะมี ภูมิหลังหรือเบื้องหลังที่ดีด้วยเป็นทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและ เป็นคนพื้นที่ซึ่งทำให้เป็นที่รู้จักประชาชนทั่วไป รวมถึงการเป็น 155

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี คนตระกูล “โพธิพิพิธ” ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของคน กลุ่มต่าง ๆ ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่นทั้งในจังหวัด และนอกจังหวัด แต่เมื่อลงสู่สนามการเมืองระดับชาติด้วยการ สมัคร ส.ส. ยังคงประสบปัญหาหลายประการที่ทำให้การ ทำงานเพื่อให้ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนไม่เป็น ไปตามความมุ่งหวังแต่อย่างใด “คือเหมือนว่าเรารู้ เราหาเสียงในพื้นที่เรารู้ว่า ประชาชนเค้าดัน (สนับสนุน) ในความคิดที่บอบช้ำมัน ก็น้อยลงไป และก็มีคนดันในส่วนตัวผมนะ ครั้งที่สองรู้ว่า ลำบากมาก มีความรู้ว่าเหมือนถูกมือมัดเท้า รู้สึกเหมือน โดนตัดแข้งตัดขา... เราก็ไม่ได้ท้อนะ ก็เดินจนขนาดเลือก ครั้งแรกมาบอกไม่เป็นไรไม่ได้ ก็ให้ผมกลับไปเป็นนายก- เทศมนตรี ผมก็ว่าผมไม่เอา คือความตั้งใจของเรา ก็อยากมาทำงานตรงนี้ ภาพมันก็กว้างกว่า และการ ทำงานน่าจะมีโอกาสได้ช่วยพี่น้องประชาชนในจังหวัด มากกว่า มาทางนี้แล้ว และอีกอย่างมองสภาวะเวลานั้น เป็นคนที่มีโอกาสมาทำอย่างนี้ ถ้าเราไม่สู้แล้วใครจะสู้” แม้ว่าการวางตัวจะใช้พื้นฐานในความเป็นคนพื้นที่ หรือ คนเมืองกาญจน์ การเป็นคนตระกูลโพพิพิธ ซึ่งได้วางรากฐาน ทางการเมืองไว้ให้เป็นอย่างดี การเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย และมีการศึกษาที่ดีรวมถึงความมั่งมั่นตั้งใจที่ดีเป็นจุดขาย สำคัญที่อาจแตกต่างจากผู้สมัครฯ คนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่อายุ มากแล้ว หากแต่การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 2 ในปี 156

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม 2548 ก็ไม่ได้ราบรื่นแต่ประการใด เพราะต้องสอบตกหรือ ล้มเหลวอีกครั้ง อย่างไรก็ตามอัฎฐพล โพธิพิพิธ ยังคงมีความ มุ่งมั่นในสนามการเมืองระดับชาติต่อไป โดยลงสมัครรับ เลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2550 และประสบความสำเร็จ ตามที่มุ่งหวัง “คิดว่าเราเป็นคนเมืองกาญจน์ แล้วเราจะมาทำ อย่างนี้ ถ้าผมจะไปเป็นนายกเมื่อไหร่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง สิ่งที่คิดว่าเราเป็นคนเมืองกาญจน์ ก็อยากทำอะไรเพื่อคน เมืองกาญจน์ คิดว่าถ้าเราไม่สู้ก็ถามว่ารุ่นหลังๆ ใครจะสู้ ก็เหมือนเราขอเป็นตัวอย่างให้เค้า ซึ่งผู้แทนมีแต่คนอายุ มากๆ แล้วไม่มีคนแบบนี้ แต่ผมอาจมองดูโชคดีกว่า คนอื่น กำนันเซี๊ยะ (ประชา โพพิพิธ) เป็นคนปทู างให้ แต่ ก็ไม่ใช่มาผลักดันเราตลอดเวลา คือต้องช่วยตัวเราเอง ด้วย.... และก็ได้เป็นครั้งแรกในปี 2550 ระดับผู้แทน (ส.ส.)” ความมุ่งมั่นตั้งใจและการทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อ สร้างการยอมรับของประชาชนในพื้นที่เป็นหลักการและแนวคิด ที่สำคัญของอัฏฐพล โพธิพิพิธ ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้ แนวคิดสำคัญที่ทำให้อัฏฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่าทำให้ตนเองชนะ การเลือกตั้งได้นั้น มาจากความตั้งใจอย่างแท้จริง รวมถึงการให้ ความเคารพในการตัดสินใจสนับสนุนของประชาชนในพื้นที่ 157

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี “ผมก็มีความภูมิใจอยู่อย่างหนึ่งก็ ผมเลือกตั้ง มั่นใจทุกครั้ง ผมคิดว่าคะแนนผมไม่แพ้ใคร หาเสียง อย่างเดียว ซื้อเสียงผมไม่กลัว กลัวแต่การโกงคะแนน ทำคะแนนเราเสีย.... การซื้อเสียงผมมองว่าเป็นเรื่อง ธรรมดา แต่ในส่วนตัวผมเอาเงินไปซื้อชาวบ้านผมไม่เห็น ด้วย ผมก็มีความรู้สึกว่าไปดูถูกเค้า แต่คนที่ช่วยเรา ทำงานเงินมันต้องใช้เงิน เช่นขับรถออกจากบ้านไป หาเสียงให้เราเงินมันต้องใช้ อย่างนี้ถ้าไม่มี ใครจะมาช่วย เรา แต่ถ้าซื้อเสียงนี้ไม่เอา” แนวคิดและหลักในการดำเนินชีวิต อัฏฐพล โพธิพิพิธ ให้ความสำคัญทั้งครอบครัวและ งานการเมือง โดยแบ่งแยกเวลาอย่างเหมาะสม อธิบายให้เกิด ความเข้าใจภายในครอบครัว ด้วยการปฏิบัติให้เป็นตามชีวิต การทำงานปกติ และพยายามให้เวลากับครอบครัวมากที่สุด เมื่อมีโอกาส เช่นเดียวกับการทำความเข้าใจกับประชาชน ผู้สนับสนุนถึงหน้าที่ในฐานะผู้แทนฯ (ส.ส.) ที่ต้องปฏิบัติว่า มีหน้าที่สำคัญอะไรบ้าง “พยายามให้ความสำคัญทั้ง 2 อย่าง ในเรื่อง ครอบครัวและในเรื่องการเมือง เรื่องของครอบครัวคือ อยากทำให้ครอบครัวเรามีความสุข พยายามหาเวลา เพื่อที่จะอยู่กับเค้า ไม่ให้เค้ามีความคิดว่าเป็นผู้แทนแล้ว ไม่มีเวลา ก็พยายามทำให้มากที่สุด อย่างไปลงพื้นที่ก็ดี ไปงานไปอะไรต่าง ๆ อย่างน้อยถ้าไม่มีเวลาเราก็ไม่โอ้เอ้ 158

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม กลับบ้านเจอลูกและภรรยาก่อนเขาจะนอน หรือว่ามีเวลา ก็พยายามไม่ให้เค้ามีความรู้สึกตรงนี้ ไม่ให้เกิดความ แตกต่าง ให้เค้าเห็นทั้งสองสถานะ ทำให้เค้าเข้าใจว่า เราต้องทำงาน พยายามทำงานเต็มที่ต้องอธิบายให้ ประชาชนเข้าใจว่าเราทำงาน ทำอย่างไร งานที่คุณเลือก ผมเป็นเค้าทำอะไรกันบ้าง ผมก็พยายามชี้แจงให้เค้าฟัง เพื่อความสบายใจและเข้าใจ” บทบาทพรรคการเมืองและความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ ภายใน พรรค อัฏฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่าบทบาทของพรรคการเมือง มีความสำคัญเพราะเป็นผู้รวบรวมปัญหาความเดือดร้อนของ ประชาชนในแต่ละพื้นที่ รวมถึงปัญหาบ้านเมืองมาปรับปรุง แก้ไข มีคณะทำงานวิเคราะห์และพิจารณาปัญหา ทั้งนี้พรรค ประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคที่เก่าแก่มีประวัติความเป็นมา มีประสบการณ์ เป็นที่รู้จักของประชาชน มีระบบและ กระบวนการทำงานที่ดีกว่าพรรคการเมืองอื่น เป็นพรรค ที่ทำงานเพื่อประชาชาชนอย่างแท้จริง “อย่างผมไม่ต้องไปดูอะไรมากเพราะว่าชื่อประชา ธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ ชื่อพรรคส่วนใหญ่ประชาชนเค้ารู้ อยู่แล้ว บทบาทก็พยายามมองให้ทุกด้าน ประชาชนเค้า มองพรรคยังไงแล้วพรรคเป็นยังไง เราก็มองว่าพรรค ก็พยายามนำเอาเรื่องปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง เอามา มีทีมวิเคราะห์ เรื่องอย่างนี้เป็นยังไงมายังไง คือเรื่องของ 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี บ้านเมือง แล้วเรื่องของพี่น้องประชาชนแต่ละเขตก็เพื่อที่ จะนำมาดู มาสะท้อนหาแนวทางที่จะไปแก้ปัญหา คือพูด ง่ายๆ ว่าพรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์จะมีหลักการ มีเหตุผล และอย่างบทบาทพรรคจะทำเพื่อภาพรวมมาก กว่าพรรคอื่น ผมมองแล้วไม่เจาะจงว่าทำเพื่อกลุ่มนี ้ เพื่อมุ่งหวังหรือแลกเปลี่ยนด้วยคะแนนผมว่ามันไม่ใช่ บทบาทของพรรคคือทำเพื่อบ้านเมือง” ในขณะเดียวกันอัฏฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่าพรรคประชา- ธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่มีกลุ่มหรือก๊วนการเมืองเช่นเดียวกัน พรรคการเมืองอื่น การมีกลุ่มมาจากพื้นฐานความสัมพันธ์ ส่วนตัวมากว่า กลุ่มต่าง ๆ ในพรรคไม่มีอำนาจหรือตั้งขึ้นมา เพื่อต่อรองผลประโยชน์ แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคการเมืองที่มีลักษณะความเป็น สถาบันทางการเมืองที่เป็นระบบมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน “ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ คือในพรรคประชา- ธิปัตย์ไม่มีกลุ่ม ไม่มีก๊วนแต่อาจยึดหลักความสัมพันธ์ ส่วนตัวแต่ก็ไม่สามารถที่จะเอนมาตั้งเป็นกลุ่มเพื่อที่จะมา ต่อรอง ไม่มีจริง ๆ ไม่เหมือนกับพรรคอื่น” กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง อัฏฐพล โพธิพิพิธ อธิบายถึงการหาเสียงและการรักษา ฐานเสียงในพื้นที่ว่า ตนเองไม่มีความไม่ได้มีรูปแบบหรือวิธีการ 160

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ที่ชัดเจน แต่ใช้แนวทางการพิจารณาว่าควรทำอย่างไร ไม่ยึด กลยุทธ์ใด ๆ ทั้งการเคาะประตูบ้าน การใช้หัวคะแนน การใช้ เงินหาเสียงเลือกตั้ง แต่หาเสียงปกติเน้นความเป็นธรรมชาติ โดยใช้ความเป็นคนพื้นที่หรือคนจังหวัดกาญจนบุรีด้วยการ ทำให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด ซึ่งทำให้การใช้เงิน ซื้อเสียงไม่ได้ผล การใช้วิธีหาเสียงแบบเคาะประตูบ้านเป็นสิ่งที่ ทำได้ยากในพื้นที่ (จังหวัดกาญจนบุรี) เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มี พื้นที่กว้าง ในการหาเสียงอัฏฐพล โพธิพิพิธ ยอมรับว่าไม่สามารถ ทิ้งระบบหัวคะแนนได้ จำเป็นต้องใช้ ไม่ใช้ระบบหัวคะแนน ทั่วไป แต่เน้นความใกล้ชิดสามารถเข้าถึงและสัมผัสหัวคะแนน ได้ นอกจากนี้แล้วยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นแต่ละอำเภอด้วยเหตุที่มี ความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น อำเภอห้วยกระเจา (อยู่ติด อำเภอบ่อยและเลาขวัญ) ใช้ระบบหัวคะแนน แตกต่างจาก อำเภอสังขละบุรี (มีพื้นที่กว้างและห่างไกลจากอำเภอเมืองและ อำเภออื่น ๆ ) ใช้ความเป็นลูกหลานคนจังหวัดกาญจนบุรี และ ขอโอกาสการทำงานในฐานะ ส.ส. ของจังหวัด พร้อมทั้งอธิบาย ว่าตำแหน่ง ส.ส. มิได้มีได้มีความแย่งใหญ่อะไร เป็นลูกชาว บ้านธรรมดาเหมือนกัน นอกจากนี้ใช้ความเป็นคนใกล้เอง เข้าถึงง่ายไม่มีความยุ่งยากสามารถเข้าพบหรือปรึกษาหารือ ขอความช่วยเหลือช่วงวันไหนได้บ้าง โดยที่การเข้าถึงของ ประชาชนถือเป็นการรักษาฐานเสียงที่ดีที่สุด “ผมไม่ชัดเจนนะ ผมก็จะดูว่าควรทำยังไง ไม่ยึด เป็นกลยุทธ์ว่าต้องเคาะประตูบ้านไม่ยึดกลยุทธ์ว่าต้องใช้ 161

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี หัวคะแนนไม่ยึดกลยุทธ์ว่าต้องใช้เงิน เราก็จะเดินไปด้วย กลยุทธ์ ธรรมชาติส่วนตัวผมอาศัยว่ากลยุทธ์ผมเป็นคน เมืองกาญจน์ ลูกหลานคนเมืองกาญจน์และให้เค้ารู้สึก ธรรมชาติที่สุด เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ผมเห็นว่าตรง นี้พยายามทำให้มากที่สุดเพื่อจะดูว่าตรงนี้คืออะไร เมื่อ เค้าเข้าใจเราแล้ว ผมคิดว่าเงินซื้อไม่ได้ แต่ไม่ใช่จะทิ้ง หัวคะแนน เราไม่ได้ทิ้งแต่เราพยายามเข้าไปสัมผัส แต่ ไม่ใช่ว่าต้องเคาะประตูบ้าน เมืองกาญจน์เคาะไม่ไหว หรอกมันกว้างและจะเคาะยังไง อย่างห้วยกระเจาก็ทั้ง บ้านรู้ว่ากลยุทธ์หลักเลยคือต้องมีหัวคะแนน เพราะอยู่ ห้วยกระเจา เลาขวัญ สังขละ ต่างกัน คือกลยุทธ์ส่วนตัว ผมอาศัยว่าเป็นคนเมืองกาญจน์ ลูกหลานของเค้า แล้วก็ ขอโอกาสและพยายามเป็นกันเอง คือตำแหน่ง ส.ส. ที่คุณ เลือกผมไม่ใช่ว่าตำแหน่งต้องยิ่งใหญ่อะไร ผมก็เป็น ลูกหลานคนธรรมดาเหมือนกัน ผมก็ยังไม่รู้จะพูดยังไง กลยุทธ์ส่วนตัว ผมเป็นกันเอง เข้าถึงง่ายไม่ถือตัว มีประชาชนมาปรึกษาตลอด ก็จะเป็นที่รู้กันว่า ศุกร์ เสาร์ อยู่นี่ ถ้ามีอะไรก็มาหาได้ ส่วนการรักษาฐานเสียง ก็เป็นการเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด” อัฎฐพล โพพิพิธ ได้อธิบายถึงพฤติกรรมการตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนจังหวัดกาญจนบุรีว่า โดยภาพรวมแล้วมีลักษณะผสมผสานระหว่างตัวบุคคลกับ พรรคการเมือง แต่ยังคงเน้นตัวบุคคลเป็นหลักแม้ว่าในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงโดยให้ความ 162

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม สำคัญกับ “พรรคการเมือง” ที่นักการเมืองสังกัดมากขึ้น และ การเมอื งจงั หวดั กาญจนบรุ มี กี ารเปลย่ี นแปลงมากขน้ึ นกั การเมอื ง หรือผู้นำท้องถิ่นไม่สามารถควบคุมหรือชี้นำการตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้มากเหมือนในอดีต ในขณะเดียวกัน แม้ว่าระบบการเลือกตั้งที่ใช้จะเป็นระบบรวมเขตหรือเขตเดียวมี ผู้สมัครหลายคน ในการหาเสียงบางครั้งจำเป็นที่จะต้องออกไป หาเสียงในพื้นที่เพียงลำพังเพราะมีผลต่อการตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงอย่างยิ่ง “ชาวบ้านเมืองกาญจน์จะดูตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ปัจจุบันก็เริ่มแตกออกไป เช่นว่าบางคนเค้าไม่สนใจ (ตัวบุคคล-นักการเมือง) เค้าก็เลือกพรรค เริ่มผสมผสาน แต่ชี้ให้ดูว่าเป็นส่วนน้อย เมืองกาญจน์ ยังมีตัวบุคล แต่ละคนต่างกัน ผู้สมัครเมืองกาญจน์ มีตัวเลือกหลักต่ำๆ 6 คน ธงจะชูมาเลยว่าใคร โอกาสที่จะได้คือ หนึ่งในสี่ หรือสาม หรือไม่ก็ ห้า อย่างคราวที่แล้วธงเค้าตั้งมา พลเอกสมชาย กำนันหยุ่น สุดท้ายก็ผม แต่ก็พลิก เพราะ ปจั จบุ นั ควบคมุ ยากเคา้ (ประชาชน) กม็ คี วามคดิ ผมหาเสยี ง ผมก็จะเข้าใจ อย่างผมถ้าในเมือง ไปหาเสียงคนเดียว เค้าก็จะว่าทำไมไม่มาทั้งทีม ก็รู้บางคนใจก็ไม่อยากเลือก แล้ว มันมีผลมาก ตรงนี้” อัฎฐพล โพธิพิพิธ อธิบายเพิ่มเติมถึงลักษณะการเมือง จังหวัดกาญจนบุรีว่า มีการแบ่งพื้นที่ในเขตอิทธิพลหรือเขตฐาน เสียงของนักการเมืองไว้อย่างชัดเจน แต่มิใช่เป็นอิทธิพลที่มี 163

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะของการข่มขู่บังคับ เพียงเป็นอิทธิพลด้านคะแนนหรือ ความนิยมชื่นชอบที่มีต่อนักการเมืองหรือผู้แทนฯ ที่ประชาชน ในพื้นที่ลงคะแนนเสียงสนับสนุน มีผลงานเป็นที่ยอมรับ รวมถึง การรู้จักมักคุ้นจากกิจกรรมทางเมืองและสังคมในพื้นที่เลือกตั้ง มาอย่างยาวนาน สำหรับคะแนนเสียงสนับสนุนนั้น อัฏฐพล โพธิพิพิธยอมรับว่าชื่อเสียงบิดา (กำนันเซียะ) มีผลต่อคะแนน เสียงสนับสนุนของตน แต่ตัวเขาเองมีความระมัดระวังและ มุ่งมั่นในการทำงานการเมืองเพื่อสร้างการยอมรับของประชาชน ด้วยความสำเร็จในการเลือกตั้งในระยะยาวแล้วหากผลงาน ไม่เป็นที่ประจักษ์ชื่อเสียงของบิดาก็ไม่อาจช่วยรักษาคะแนน เสียงดังกล่าวได้ “เมืองกาญจน์คราวที่แล้ว กำนันหยุ่นอยู่ทาง บ่อพลอย ห้วยกระเจา เลาขวัญ คะแนนเสียงตรงนั้นตูม ธงตรงนั้นต้องมีกำนันหยุ่นแต่ธงในเมือง ทองผาภูมิ ไทรโยค สังขละไม่มี แต่ดีอยู่อย่าง คนของผมมีทั่วไปหมด และพื้นที่ในเมืองของผม พื้นที่ในเมืองคะแนนผมมาที่ 1 เพราะผมลงอยู่ที่นั่น คะแนนสงสารเยอะ คุณจะซื้อคุณจะ อะไรก็ตามผมไม่สน ผมบอกว่าผมไม่กลัวคือไม่กลัว ผมลงมาผมรู้ คุณซื้อเสียงผมไม่ว่า ไม่ใช่ว่าผมแน่ เพราะ โชคดีพ่อเป็นกำนันเซี๊ยะ เราก็ทำตัวเราให้คนเค้ายอมรับ แค่นี้เอง แค่ผมเป็นลูกใคร ก็ยอมรับ มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนว่าผมลูกนักเลงลูกเจ้าพ่ออะไรอย่างนี้ เค้าก็เห็นว่า เราไม่ใช่อย่างนั้นเค้าได้สัมผัส เราก็ไปของเราผมก็มีความ ตั้งใจว่าเราอย่าไปคิดอย่างนั้น” 164

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม นอกจากนี้การทำงานการเมืองในพื้นที่ของอัฎฐพล โพธิพิพิธ ได้วางหลักความจริงใจและความตั้งใจต่อประชาชน การรับปากหรือสัญญาในข้อเรียกร้องของชาวบ้านนั้นแม้ว่า จะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในการลงพื้นที่ และยากต่อการ ปฏิเสธ แต่สิ่งที่อัฏฐพล โพธิพิพิธทำนั้นจะให้ความสำคัญต่อ การอธิบายหรือทำความเข้าใจว่ากระบวนการต่าง ๆ ที่จะนำมา สู่การแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือนั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ เป็นการสร้างความเข้าใจและสร้างความสบายใจทั้งต่อตัวเขา เองและชาวบ้าน โดยที่การรับปากต่อข้อเรียกร้องที่นักการเมือง โดยทั่วไปมักกระทำนั้น จะมีผลเสียในอนาคต เป็นเหตุผล ที่ทำให้นักการเมืองถูกด่า ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความ ไว้วางใจ และเป็นการทำลายคะแนนเสียงในที่สุด “ผมไม่ตบปากรับคำ ไม่สัญญา สิ่งหนึ่งที่อยู่ใน หัวผมตลอด คือถ้าพูดออกไปเหมือนหลอกเค้า ก็เราเอง เราก็ยังไม่รู้เลยว่าได้ไม่ได้ ขอให้เราช่วยคิดดีกว่าได้เพราะ อะไรไม่ได้เพราะอะไร คุณก็สบายใจผมก็สบายใจ ไม่ใช่ ว่าไปถึงรับมาทุกเรื่องไม่มีทาง ผมว่าคนอำเภอเมือง เค้าเข้าใจว่าการเป็นผู้แทน พูดน้อยๆ ก็มีน้ำหนัก 50% เค้าต้องเชื่อเรา นึกถึงวันหนึ่งที่เราทำไม่ได้สิครับ เค้าถึง ไม่เชื่อและถูกด่า เราก็โกหกหลอกลวงเค้าตลอดอ้างโน่น อ้างนี่ ผมไม่อยากเห็น ต้องหาผู้แทนที่โปร่งใสตั้งใจ แก้ปัญหาพัฒนาให้บ้านเราดีขึ้นแล้วก็เอามาโยงเกี่ยวกับ การเลอื กตง้ั แคน่ เ้ี องผมตอ้ งการเหน็ เมอื งกาญจนอ์ ยา่ งน”้ี 165

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี บทบาทของกลุ่มการเมืองในเร่ืองผลประโยชน์ สำหรับเรื่องบทบาทกลุ่มผลประโยชน์ อัฎฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่าในการเป็นนักการเมืองของจังหวัดกาญจนบุรี นั้นตัวเขาเองไม่มีในเรื่องผลประโยชน์อื่นใด และจังหวัด กาญจนบุรีก็ไม่มีกลุ่มประโยชน์ทางการเมือง ในขณะเดียวกัน ส.ส. หรือนักการเมืองมีเป้าหมายการทำงานการเมืองด้วยการ ช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น และการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชน สิ่งที่นักการเมืองได้รับคือความ ภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำให้กับท้องถิ่น และประชาชนมากกว่า การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร อัฏฐพล โพธิพิพิธ มีทัศนะต่อปัญหาการทำงานทาง การเมืองในฐานะ ส.ส. เช่นเดียวกับนักการเมืองถิ่นจังหวัด กาญจนบุรีอีกหลายคน ด้วยประสบปัญหาว่าด้วยการห้าม เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐในการ ดำเนินโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ถือเป็นการจำกัดบทบาทหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถทำงานการเมืองในพื้นที่ได้เหมือนเช่น นักการเมืองในอดีต โดยกฎหมายกำหนดให้ทำหน้าที่เฉพาะ นิติบัญญัติเท่านั้น ในขณะที่ประชาชนในจังหวัดและในพื้นที ่ ยังคงมีความเข้าใจหรือทัศนคติต่อ ส.ส. ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาท ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในท้องถิ่น การอธิบายให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจจึงเป็นสิ่งที่ อัฏฐพล โพธิพิพิธ นำมาปฏิบัติเป็นประจำเพื่อสร้างความเข้าใจ ต่อประชาชน 166

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “การทำงาน เราต้องแยกแยะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน การเป็นผู้แทนมันไม่มีกฎหมายห้าม ไปยุ่งได้ทุกเรื่อง เดี๋ยวนี้เราไปแทรกแซงหน่วยราชการไม่ได้ ให้แต่ไม่เกิน 3,000 ก็มีปัญหา ให้ก็ลำบากไม่ใช่ว่า ส.ส.ทำงานการเมือง ไม่ได้ มันก็มีช่องทางอย่างเช่นว่า พี่น้องประชาชนติดขัด เราก็ช่วยประสานหน่วยงานราชการไปดู ถ้าหน่วยงาน ราชการไม่ยื่นมือลงไปช่วย เราก็สามารถเอาเรื่องทาง สภาได้ สภาก็จะถ่ายทอดเรื่องของเราไปยังรัฐบาล แล้วก็ จะไปจัดการ นี่คือการทำงาน เพราะเราไม่ได้ไปแทรกแซง เราเอาเรื่องมาพูดมาทำกระทู้อะไรอย่างนี้ แล้วทาง รัฐมนตรีเค้าจะแจ้งไป แต่มีบ้างเรื่องที่มันด่วนก็อีกเรื่อง หนึ่ง แล้วจะบอกเค้าว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันเค้าแยกแยะ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และการเป็น ส.ส. อยู่ใน ฝ่ายไหนผมก็จะบอกให้เค้าฟัง ฝ่ายนิติบัญญัติเค้าทำ อะไรก็จะบอกเค้าแต่ว่าในเรื่องของพี่น้องประชาชนบาง เรื่องที่ไปอยู่ในฝ่ายของบริหาร เราไปแทรกแซงเค้าไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่รับเรื่องเลยเราก็รับปัญหานี้เอามาสู่ นิติบัญญัติ นิติบัญญัติต้องตรวจสอบคือในระบอบ รัฐธรรมนูญ 3 อำนาจ มันคานกันอยู่ ช่องทางของเราเป็น ยังไง เราก็จะชี้แจงส่วนตัวในการทำงาน เป็นผู้แทนเรา ก็จะพยายามเก็บรายละเอียด” ในการทำงานการเมืองในพื้นที่ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้กับคำถามหรือข้อเรียกร้องให้ช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหา ต่างๆ ในพื้นที่ อัฏฐพล โพธิพิพิธได้ใช้แนวทางการอธิบาย 167

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. เพื่อให้ชาวบ้านมีความเข้าใจถึงข้อจำกัดที่ทำได้และทำไม่ได้ แต่อัฎฐพล โพธิพิพิธ จะพยายามเก็บรายละเอียดหรือประเด็น ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมื่อมีโอกาสที่สามารถจะทำได้ ในอนาคต “แต่ว่าอย่างหนึ่งคือเราไม่รับปากว่าจะได้หรือไม่ได้ อธิบายอ้างด้วยกฎหมายอะไรก็ดีคือบอกพวกผมได้ทุก เรื่องแล้วก็จะเก็บปัญหาแล้วก็จะสรุปว่า ปัญหาหลักๆ ของจังหวัดกาญจนบุรีคืออะไร ซึ่งภาครัฐสามารถจะช่วย แก้ปัญหาในตรงนี้ได้ผมให้พี่น้องคนเมืองกาญจน์ระบุ ปัญหาใหญ่ เล็ก เก็บไว้” สิ่งที่เป็นข้อปฏิบัติหลักในการทำงานการเมืองของ อัฏฐพล โพธิพิพิธ คือการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่าง สม่ำเสมอแม้ว่าจะไม่สามารถลงพื้นที่ได้ครบถ้วนก็ตาม การจัดสรรเวลาจึงเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญและ จำเป็นที่อัฏฐพล โพธิพิพิธไม่เคยละเลยหรือมองข้ามความ สำคัญไป กิจกรรมที่เป็นงานการเมืองจึงถูกกำหนด อาทิ ทุกวัน ศุกร์-เสาร์ จะพยายามลงให้ครบทุกพื้นที่แม้ว่าพื้นที่เลือกตั้งจะมี ขนาดใหญ่ก็ตาม ความเข้าใจในลักษณะพฤติกรรมทั้งการเมือง และสังคมของประชาชนจึงทำให้เขาเลือกพยายามที่จะลงพื้นที่ ให้ได้มากที่สุด สอดคล้องกับลักษณะพฤติกรรมของประชาชน ที่มีความต้องการพบปะ ส.ส. หรือนักการเมืองที่ตนเองเป็นผู้ลง 168

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม คะแนนเสียงให้ แม้ว่าจะมีความเหน็ดเหนื่อยมากน้อยเพียงใด กต็ าม แตก่ ารไดพ้ บปะประชาชนทำใหม้ คี วามภมู ใิ จและมกี ำลงั ใจ ในการลงพื้นที่มากกว่า “หลังจากได้รับตำแหน่งก็จะพยายามทำให้ สม่ำเสมอ ถามว่าบ่อยไหมก็แล้วแต่โอกาสเพราะว่ามันจะ หลายอย่าง คืองานนั้นก็ส่วนหนึ่งปัญหาในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง มีงานบางทีก็ไม่สามารถที่จะไปได้ครบ วันศุกร์เสาร์หลักๆ ผมเป็น ส.ส.เขตเมืองกาญจน์ 9 อำเภอ แล้วมันจะวิ่ง ไปทั่ว บางทีผมก็จะไปเที่ยงก็ไปแล้ว 11 โมงก็ไป จะไม่ได้ เน้นว่าต้องอยู่งานจนขึ้นเวที ผมก็บอกว่าต้องไปทางนี ้ และก็ขอโทษว่าเราต้องไปทางโน้น ตอนเย็น 6 โมงทุ่มหนึ่ง เราจะอยู่ตรงไหน เรื่องท้อมีความรู้สึกได้ เราทำใจได้มาก กว่า มาถามว่าเหนื่อยไหม มันก็แล้วแต่จังหวะเวลาก็มี ความรู้สึกเหนื่อย แต่ว่าเหนื่อยตรงนั้น เราได้เห็นเค้าก็ยิ่งมี กำลังใจมีความภมู ิใจมีกำลังใจที่จะทำงานต่อ” การทำงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และการเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรีโดยกำเนิด ทำให้อัฏฐพล โพธิพิพิธ มีความเข้าใจถึงปัญหาความเดือดร้อนและความ ต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี อาทิ การทราบว่า ปัญหาของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันออกไป เช่น ปัญหา การขาดแคลนแหล่งน้ำสำหรับการบริโภคและการประกอบ อาชีพในอำเภอเลาขวัญ อำเภอหนองปรือ อำเภอบ่อพลอย และอำเภอห้วยกระเจา ปัญหาการทับซ้อนสิทธิ์และความ 169

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ขัดแย้งในที่ดินทำกินระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานของรัฐใน อำเภอไทยโยค อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละ และอำเภอ ศรีสวัสดิ์ ในขณะที่การใช้งบประมาณจำนวนมากสำหรับการ แก้ไขปัญหาจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหลักความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ได้รับ “ปัญหา 4 อำเภอ เลาขวัญ หนองปรือ บ่อพลอย ห้วยกระเจาในเรื่องของน้ำ และในส่วนของไทรโยค ทองผาภูมิ สังขละ ศรีสวัสดิ์ อันนี้มีปัญหาเรื่องน้ำก็ดีเรื่อง อุทยานก็ดี เรื่องชนกลุ่มน้อยก็มีเยอะ ถนนก็ไม่แพ้ห้วย กระเจาลำบากกว่าด้วย อยู่ในป่าในเขามากกว่า ที่ดิน มีปัญหาอยู่ในเขตป่าไม้เค้าก็มีการแยกแยะกันออกไป ไฟฟ้ายังไม่มีเลย เราจะเห็นพื้นที่ ห้วยกระเจาก็ประโคม อยู่อย่างนี้น้ำ ที่ดิน ห้วยกระเจา ยังดีกว่าเลาขวัญ บางส่วนยังมีน้ำให้ใช้ ส่วนเลาขวัญผมก็ไป ที่ดินมันเก็บ น้ำไม่ได้ แหล่งเก็บน้ำเราก็ต้องดู เมื่อก่อนกำนัน (กำนัน เซี๊ยะ) อยู่ เราเคยเสนอ วางท่อจากเขื่อน งบเป็นหมื่นล้าน ถามว่าห้วยกระเจา เลาขวัญ หนองปรือ บ่อพลอย เฉลี่ย รวมสมมุติว่า 50,000 คน 200,000 ลงทุนหมื่นสองพันล้าน เอาน้ำมาให้คน 200,000 คน เราพยายามพูดอะไรที่มัน เป็นไปได้” ปัจจัยท่ีมีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง อัฏฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่าปัจจัยที่ทำให้การเมืองมีความ เข้มแข็งปัจจัยสำคัญ ประกอบด้วย ประการแรก ตัวนักการเมือง 170

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม กล่าวคือ การมีเพื่อนฝูงที่สามารถช่วยสนับสนับสนุนหรือ ช่วยเหลือในการทำงานการเมืองได้ ประการที่สอง หัวคะแนน ในระดับผู้นำท้องถิ่น กำนันและผู้ใหญ่บ้าน โดยกลุ่มคนเหล่านี้ มีพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนในแต่ละพื้นที่เป็นอย่าง ดี โดยเฉพาะความไว้วางใจและความเชื่อถือของประชาชน นอกจากนี้ปัจจัยด้านพรรคการเมืองยังคงมีความสำคัญ ต่อนักการเมือง เพราะโดยทั่วไปประชาชนจะรู้จักและสนับสนุน พรรคการเมอื งเปน็ คะแนนเสยี งพน้ื ฐานะทส่ี ำคญั ของนกั การเมอื ง “ผมมีความรู้สึกว่าถ้าพูดตามหลักกว้างๆ สำหรับ เมืองกาญจน์ปัจจัยที่ทำให้ (การเมือง) เข้มแข็ง คือ หัวคะแนนของผู้นำท้องถิ่น ปัจจัยที่ 2 ตัวเรา คือการที่มี พรรคพวกเพื่อนฝูง อย่างผมอยู่ประชาธิปัตย์พื้นๆ คนลง ประชาธิปัตย์ 20,000 กว่าคะแนน ส่วนตัวผมคะแนนเค้า ไม่ได้เลือกพรรคเค้าเลือกเรา” อัฏฐพล โพธิพิพิธ อธิบายว่าการจัดตั้งกลุ่มหัวคะแนน มีความสำคัญต่อการหาเสียงเลือกตั้ง และในการเลือกตั้ง ดังกล่าวไม่มีใครได้คะแนนเต็มร้อย การแบ่งฝ่ายเพื่อแข่งขัน ทางการเมืองเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น โดยขึ้นอยู่ปัจจัยทาง การเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มหัวคะแนนทางการเมืองนั้น มีความสัมพันธ์ที่ดีและผูกผันต่อนักเมืองมานาน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มีการประสานการทำงานในการพัฒนาท้องถิ่นมานาน กลุ่มหัวคะแนนในทางการเมืองจึงมีความไว้วางใจและเชื่อใจ ซึ่งกันและกัน 171

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี “สมมุติเค้าช่วยเรา ถามว่าคะแนนแต่ละตำบลแต่ ล่ะอำเภอ หมู่บ้าน ไม่มีเต็ม 100 และยิ่งสมัยนี้การเมือง มันเลือกกันอยู่บ่อยๆ ในหมู่บ้านในตำบล เค้าก็มีคะแนน เพราะมันมี 2 ฝ่าย อย่างผมในเมืองกาญจน์ ปัจจุบัน เราอยู่อย่างนี้ในแง่ที่มองว่าหลักๆ คือถ้าคุณไปทางโน่น อีกฝ่ายก็ไปทางนี้” ความร่วมมือทางการเมืองระหว่างนักการเมืองในจังหวัด อัฏฐพล โพธิพิพิธ เห็นว่า การทำงานการเมืองของ ส.ส. การสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันทำให้การพูดคุยปรึกษาหารือ กันอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเป็น ส.ส. จากจังหวัดเดียวกัน ทั้งนี้ เพราะนักการเมืองย่อมมีความปรารถนาหรือมีความต้องการ ที่จะพัฒนาจังหวัดของตน สำหรับนักการเมืองถิ่นจังหวัด กาญจนบุรีนั้นมีการทำงานในลักษณะดังกล่าว อาทิ การดำเนิน การในโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของจังหวัด ได้แก่ การพัฒนา ถนน และระบบชลทาน ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวมีทั้งการ สนับสนุนการของบประมาณหรือโครงการ รวมถึงการแลก เปลี่ยนโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของ ประชาชนในแต่ละพื้นที่ การพูดคุยปรึกษาหารือ และการลง พื้นที่ร่วมกันระหว่างนักการเมืองในจังหวัดทำให้มีการทราบถึง ปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน และ สามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตาม โอกาสและจังหวะเวลาที่เหมาะสม 172

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม “ส.ส.ในพรรคเดียวกันคุยกันประจำเรื่องงาน พัฒนา แต่ก็จะคุยกันบางอย่างสมมุติว่าเราผลักดันเรื่อง ของถนนหรือชลประทาน เช่น พี่บอย (ส.ส.ปารเมศ โพธารากุล) ของพี่ชลประทานเยอะของผมไม่มีลอง เปลี่ยนที่ดู ส่วนถนนดูแล้วว่าต้องเอางบมาลงที่ ชลประทานก่อนแล้ว อย่างนี้พี่สมมุติได้มาสัก 3-5 ล้าน พี่เอาชลประทานไป เอาถนนมาให้ผม ก็ต้องมีการคุยกัน ต่างพรรคไม่ได้คุยนะ ไม่รู้จะคุยยังไง แต่โดยส่วนตัวก็เคย ไปดูพื้นที่กับพลเอกสมชาย วิษณุวงศ์ ไปด้วยกันก็คุย ปัญหาของชาวบ้านเราก็ยกมาไว้ ส.ส. ตรงไหนช่วยได ้ ก็ช่วยกัน ถ้าจะคุยเรื่องการทำงานไม่เต็มร้อย ส่วนตัวผม ผมเปิดขอให้ชาวบ้านเข้าใจ ผมไม่ได้คิดว่าต่างพรรคอะไร สิ่งไหนที่เป็นปัญหาแก้ไขให้ประชาชน ทำได้ผมยินดีที่จะ ทำเกินร้อย ให้คนได้ประโยชน์ ส่วนเลือกไม่เลือกไม่คิด ผมต้องการให้เค้าเรียนรู้ประชาชนเรียนรู้ ว่าผู้แทนทำอะไร คุณอยากได้ผู้แทนแบบไหน ผมพยายามเป็นตัวอย่าง ให้เค้า” ในทัศนะของอัฏฐพล โพธิพิพิธ ความร่วมมือเพื่อพัฒนา ท้องถิ่นและการช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน มีความสำคัญต่อตนเองมากกว่าการเน้นความเป็นการเมือง ด้วยการแบ่งแยกเรื่องการแข่งขันคือการเมืองฝ่ายตรงข้าม ไม่ยึดติดกับผลคะแนนเสียงในอนาคต มีหลักที่ว่า ผลงานและ ความดีที่ได้ทำไว้จะทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในที่สุด 173

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี 4.1.7 พลโทมะ โพธ์ิงาม พลโทมะ โพธิ์งาม เกิดในวันที่ 5 มีนาคม 2492 เขต อำเภอเมือง เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรีโดยกำเนิด สำเร็จ การศึกษาโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 โรงเรียนเสนาธิการ ทหารบก ชุดที่ 62 ปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต โรงเรียน นายร้อยพระจุลจอมเกล้า ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แนวคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต แนวคิดในการดำเนินชีวิตและการเป็นนักการเมืองของ พลโทมะ โพธิ์งาม มาจากพื้นฐานครอบครัวดั้งเดิมซึ่งเป็น ชาวนาและชีวิตการเป็นข้าราชการทหาร กล่าวคือ วางอยู่บน แนวทางความพอดีและรู้จักประมาณตน ประหยัด และซื่อสัตย์ ต่ออาชีพของตน การเข้าสู่การอาชีพการเมือง พลโทมะ โพธิ์งามเข้าสู่การเมืองภายหลังการเกษียณ อายุราชการ ทั้งนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 ร่วมกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ความ เป็นเพื่อนดังกล่าวพร้อมกับความเป็นอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จึงทำให้พลโทมะ โพธิ์งามสามารถก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ในฐานะตัวแทนของพรรคไทยรักไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต พื้นฐานการรับราชการทหารจึงเป็นภาพลักษณ์ที่สำคัญ ของการลงสู่สนามการเมืองในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัด อันเป็นที่ต้องหน่วยทางการทหารที่สำคัญของประเทศ อย่างไร ก็ตามการเลือกเข้าสู่สนามการเมือง ถือเป็นความสมัครใจของ 174

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ตน โดยพยามยามแยกครอบครัวกับงานการเมืองออกจากกัน ทั้งนี้พลโทมะ โพธิ์งามตระหนักดีกว่า งานการเมืองเป็นงาน ที่ต้องมีต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ในรูปแบบต่าง ๆ ในระดับสูง การระมัดระวังและความรอบ ครอบในค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ โดย ภาพลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏทั้งบ้านพักและสิ่งรอบกายจะ ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นบุคคลที่ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีก็ตาม และ แม้จะเป็นเติบโตเป็นนายทหาร พลโทมะ โพธิ์งาม ยังคง ตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างไร ไม่ลืมตนว่าเติบโตมาจากลูกชาวนา ไม่มีสมบัติครอบครัวใดๆ ดังคำอธิบายดังนี้ “ผมไม่ต้องการให้ครอบครัวมายุ่งกับเรื่องการเมือง เขาต้องทำมาหากินคือเราเป็นนักการเมืองเราไม่มีรายได้ คือใช้เงินเดือน ส.ส อย่างเดียวหักแล้วเหลือเดือนละ แปดหมื่น หักภาษีร้อยละหนึ่ง จากแสนหนึ่งก็เหลือ เดอื นละแปดหมน่ื แลว้ ตอ้ งจา่ ยคา่ ซองอกี แตไ่ มเ่ วอรเ์ กนิ ไป สองพันสามพัน นอกจากลูกน้องสนิทๆ ถามว่าทำไมเลือก ใส่น้อย ไม่กลัวเรื่องสอบตก ที่บ้านใครมาก็คงจะคิดว่า รวยมีเงินเก็บสี่สิบห้าสิบล้าน เพราะบ้านผมใหญ่โต รับ ราชการมาไม่เคยคอร์รัปชั่น เป็นลูกชาวนา ไม่มีสมบัติ ผมเป็นทหารครอบครัวราชการเลี้ยงลูกสามสี่คนก็ชักหน้า ไม่ถึงหลังแล้ว แต่เรารู้จักประหยัด ข้าราชการนี่ไม่รวย หรอก เรามีแค่ไหนใช้แค่นั้น บางคนใช้เงินอนาคตซื้อ รถบ้าง ผ่อนส่งบ้างใช้บัตรเอทีเอ็ม นี่แหล่ะผมถึงไม่ใส่ 175

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี เยอะ ผมบอกไม่มีเงินถ้าอยากได้เยอะนะเอาไหมจะไป โกงมาให้ ผมเป็นนักการเมืองที่ไม่โกง ผมถึงกล้าพูดได้กับ ทุกคน” บทบาทพรรคการเมือง ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่าง ๆ ภายใน พรรค พลโทมะ โพธิ์งาม อธิบายว่าด้านบทบาทของพรรค การเมืองมีความสำคัญและมีผลทั้งต่อการเลือกตั้งและ นักการเมืองโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองยุคปัจจุบัน ซึ่งได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก พรรคการเมืองที่สามารถคิดและนำเสนอนโยบายที่สอดคล้อง หรือตรงกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระดับต่างๆ ย่อมได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั้งนี้การเมืองสมัยใหม่ ประชาชนมีการเรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นเป็นลำดับ ในประเด็นที่ ว่า “การเมืองกินได้” ไม่ใช่การเมืองที่มีลักษณะเป็นเรื่องไกลตัว หรือนามธรรมอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลจาก การพัฒนาของสื่อสมัยใหม่ที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ อย่างรวดเร็ว สามารถตรวจสอบ ติดตามผลการนำนโยบายของ พรรคการเมืองและนักการเมืองที่ได้หาเสียงไว้ว่าได้ปฏิบัติ สัญญาหรือสิ่งที่พูดไว้หรือไม่ ทัศนะดังกล่าวของพลโทมะ โพธิ์งาม มาจากการยอมรับ ในความสำเร็จด้านนโยบายการหาเสียงและผลของการนำ นโยบายไปปฏิบัติของพรรคไทยรักไทยซึ่งประสบความสำเร็จ ด้วยการชนะการเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 2544 ความสำเร็จดังกล่าวได้กลายเป็นต้นแบบการทำงาน 176

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การเมืองของพรรคการเมืองและนักการเมืองจนกระทั่งถึง ปัจจุบัน แม้ว่าจะถูกโจมตีและคัดค้านรวมถึงต่อต้านทั้งจาก พรรคการเมืองคู่แข่ง กลุ่มข้าราชการ กลุ่มทุนธุรกิจ รวมถึงฝ่าย ตรงกันข้ามจนนำมาสู่เหตุการณ์ทางการเมืองด้วยการชุมชน ประท้วงต่อต้านต่อเนื่องนานนับปีจนกระทั่งนำมาสู่เหตุการณ์ รัฐประหารในปี 2549 โดยกองทัพก็ตาม “นโยบายกระจายไปสู่สื่อ ท่านทักษิณบอกว่าให้ ทุกบ้านมีไฟฟ้าใช้ ใช้นโยบายต่างๆ ภายในสามปีหรือ ห้าปี คนไม่มีไฟฟ้าใช้เขาก็จะมีทีวี มีทีวีแล้วใส่แผ่น โฆษณาทีวี คือคนคิดรุ่นใหม่ ที่ท่านทักษิณ เขาถามว่า ทำไมคนถึงนิยมเขาแล้วก็นโยบายนั้น ทำได้เป็นจริง ถึงมือประชาชนพูดง่ายๆ ว่า การเมืองที่กินได้ แล้วที่มา ของนโยบาย ท่านทักษิณไม่ได้คิดคนเดียว จ้าง ดร. มา ร้อยกว่าคนร้อยยี่สิบคนหรือร้อยห้าสิบคนมาคิดโครงการ ตั้งคำถามว่าเมื่อปี 2544 ปี 2542 บ้านเมืองเราตอนนั้น มีอะไรบ้างที่ควรทำ เอามา 5 เรื่อง ก่อนตั้งพรรค เขาก็ แบ่งกลุ่มแล้ว (1) เรื่องของยาเสพติดเยอะมาก เหมือน ปัจจุบันนี้ คือความเดือดร้อนที่แท้จริง (2) คนป่วยเข้า โรงพยาบาลไม่ได้เพราะว่าไม่มีเงิน ไปให้ค่ารักษา (3) คน ไทยส่านใหญ่ไม่มีเงินที่จะไปทำมาหากิน คือถ้ามีทุน อยากจะกู้อยากจะใช้เงินอยากจะใช้เงินสองหมื่น หาบ ขนมขายต้องไปกู้ร้อยละสิบ ค่าดอกเบี้ยแทนที่จะได้กำไร คือไม่มีทุน พรรคการเมืองของเราก็ต้องนำนโยบายออก มาสู่ประชาชน ช่วยเหลือประชาชน” 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ในคำอธิบายดังกล่าวแสดงถึงความชื่นชอบหรือเห็นด้วย กับนโยบายของพรรคไทยรักไทยในยุครัฐบาลพันตำรวจโท ทกั ษณิ ชนิ วตั ร ของพลโทมะ โพธง์ิ าม รวมถงึ พรรคพลงั ประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ซึ่งหากพิจารณาจากพื้นฐาน ในฐานะข้าราชการย่อมอธิบายได้ถึงทัศนะคติที่สอดคล้องกับ ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งนโยบายการเข้าถึง แหล่งทุนของประชาชนระดับล่าง การเข้าถึงสิทธิการรักษา พยาบาลขั้นพื้นฐาน และปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดอย่าง รุนแรง บทบาทของพรรคไทยรักไทยในฐานะพรรคการเมือง จึงเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวคิดของข้าราชการซึ่งมัก เป็นนักอนุรักษ์นิยม ซึ่งต่อต้านหรือรับไม่ได้กับฝ่ายการเมืองที่มี บทบาทในการกำหนดนโยบายและบริหารประเทศในรูปแบบ ที่เกิดขึ้นใหม่ในขณะนั้น กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง แม้จะเป็นอดีตนายทหารและเป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี โดยกำเนิด การเป็นข้าราชการยาวนานจนกระทั่งเกษียณอายุ ราชการ พลโทมะ โพธิ์งาม ก็ไม่อาจปฏิเสธถึงอิทธิพลของ แนวคิดแบบราชการโดยเฉพาะแนวคิดและทัศนคติ/ค่านิยม แบบนักการทหารซึ่งผ่านการศึกษาบ่มเพาะจากโรงเรียน เตรียมทหาร แต่ในการเข้าสู่สนามการเมืองถือเป็นบทบาทใหม่ ที่พลโทมะ โพธิ์งาม ตระหนักและคิดอยู่เสมอว่าแตกต่างออกไป อย่างสิ้นเชิงกับอาชีพเดิม ในขณะเดียวกันยังเขายังมีความ เข้าใจระบบการเมืองภายใต้สังคมไทยเป็นอย่างดี ทั้งระบบหรือ วิธีการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีทั้งระบบจัดตั้งหัวคะแนน หัวหน้า 178

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม กลุ่ม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อผลการเลือกตั้ง ดังคำ อธิบายดังนี้ “คนเราจะแข่งขันต้องชนะความคิด การหาเสียง ก็ต้องเดินไปสวัสดีชาวบ้าน แต่ผมไม่ค่อยมาถ้าไม่มีงาน เดี๋ยวเขาจะว่าเลิกแล้วไม่เคยมาเลย แล้วเราก็จะได้อาสา สมัคร กลยุทธ์การหาเสียงของนักการเมืองนั้น คำว่า นักการเมืองสมัยเก่าเขาใช้ระบบหัวคะแนน มีหัวหน้ากลุ่ม ก็จะมีเงินเป็นร้อยๆ ล้าน เขาได้มายังไงผมไม่รู้เขาอาจจะ รวยมาเองก็ไม่รู้ เขาก็จะแบ่งการดูแลว่านี่สิบห้าคนนะ ผมก็จะได้รายเดือนเดือนละห้าหมื่น ต้องเสียภาษีปีหนึ่ง ประมาณแสนถ้าไม่ได้ส่งจะเอาให้ดู นี่ก็ผ่อนแล้วนะ ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต้องติดหนี้ภาษีอีก และต้อง จ่ายเงินค่าก้าวหน้าอีก ผมต้องมีหัวคะแนนบ้านละคน ผมถึงเป็น ส.ส. ได้ ต้องจ่ายเดือนละห้าพันเขาถึงจะมา ทำงานใหผ้ ม ตอ้ งใชเ้ ขาเปน็ ปๆี คอื รายจา่ ยของหวั คะแนน” ในการเข้าสู่การเมืองของพลโทมะ โพธิ์งาม ด้วยการ เป็นผู้ลงสมัคร ส.ส. ในฐานะตัวแทนของพรรคไทยรักไทย ถือเป็นจังหวะที่สำคัญด้วยมีพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็น หัวหน้าพรรคซึ่งเป็นผู้ที่บทบาทสำคัญในการตัดสินใจในการ บริหารพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีทุนสนับสนุนการดำเนิน กิจกรรมทางการเมือง การรวบรวมหรือระดมนักวิชาการเพื่อ วิเคราะห์นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับความ ต้องการของประชาชนในขณะนั้น 179

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งพลโทมะ โพธิ์งามได้กำหนด แนวทางการทำงานด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ด้วยการ วิเคราะห์คู่แข่งขัน พื้นที่และการเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน วิธีการ หาเสียงจึงมีแบบแผนของตนค่อนข้างชัด อาทิ ในการลง เลือกตั้งในระบบรวมเขตหรือเขตใหญ่ เริ่มจากการการวิเคราะห์ โอกาสที่ผู้สมัครแต่ละคนจะได้รับเลือกตั้ง ใครมีโอกาสมากที่สุด น้อยที่สุดและตนอยู่ลำดับไหน หลังจากนั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าจะ ต้องอยู่ในระดับที่เท่าใด การวิเคราะห์พื้นที่ทำให้ทราบถึง จดุ แขง็ หรอื จดุ ออ่ นในแตจ่ ดุ สามารถนำมาใชก้ ำหนดยทุ ธศาสตร์ การหาเสียงที่ตรงจุด ทั้งการรักษา กำกับ ควบคุมพื้นที่ที่ตนเอง มีคะแนนนิยมไม่เสียให้กับคู่แข็ง ในขณะเดียวกันก็สามารถ ที่ช่วงชิงคะแนนเสียงในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้สามารถ โอกาสที่จะล้มเหลวในผลการเลือกตั้งมีน้อยลง ดังคำอธิบาย ของพลโทมะ โพธิ์งาม ดังนี้ “ท่านทักษิณรู้จักการฟัง รู้จักการแก้ปัญหาคน รากหญ้าเขาถึงได้ใจคน รู้ว่าต้องแก้ปัญหายาเสพติด ความยากจนตั้งกองทุนหมู่บ้าน การหาเสียงปกติผมไม่ เปิดเผย เราเอาสามส่วนมารวมเป็นส่วนเดียว ปีที่แล้วลง สมัครเขตใหญ่ เราอยู่เขต 5 อีกส่วนเขาก็ไม่รู้จักเราเลย คือห้วยกระเจา เลาขวัญ บ่อพลอยนี่ไม่รู้จักเราเลย ใครจะ เลือกเรา แต่ก่อนเขต 1 พลเอกสมชาย (วิษณุวงศ์)26 อยู่ พรรคเดียวกับเรา กับกำนันหยุ่น เต็งหนึ่งเลยนะ เขาน่าจะ 26 อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย 180

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ชนะแต่ย้ายพรรคก่อน คนสมัครทั้งหมดเก้าพรรค ยี่สิบเจ็ดคนใครจะได้ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้าก่อน น่าจะมีใครบ้าง ผมหาเสียงโดยใช้ยุทธศาสตร์ คือผมต้อง คิดว่าต้องชนะเต็งหนึ่งให้ได้ หลังจากที่ได้ยุทธศาสตร์แล้ว ก็มาหาวิธีการว่าจะทำอย่างไร ส่วนการรักษาฐานเสียงนั้น พรรคเรามีนโยบายที่ดีอยู่แล้ว เข้าถึงประชาชน ประชาชน พึงพอใจ ส่วนตัวก็ลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชน ไปพบ ตามงานต่างๆ บ้าง” ในการรักษาฐานเสียงหรือคะแนนเสียงนั้นในทัศนะของ พลโทมะ โพธิ์งาม เห็นว่าสำหรับพรรคของตนซึ่งมีความ เข้มแข็งหรือจุดเด่นด้านนโยบายถือเป็นความได้เปรียบในการ เลือกตั้ง เพราะการมีนโยบายของพรรคที่ดี ประชาชนสามารถ เข้าถึงหรือได้รับนโยบายดังกล่าว และสามารถนำไปปฏิบัติ จนเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างชัดเจน นโยบายที่ดีและ สามารถปฏิบัติได้จริงจึงเป็นการรักษาคะแนนเสียงที่ดีที่สุดของ พรรคการเมืองและนักการเมืองในปัจจุบัน บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ในจังหวัดกาญจนบุรี พลโทมะ โพธิ์งาม ยอมรับว่าการเข้าสู่การเมืองถือเป็น เรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับตนเอง กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในจังหวัดจึงมีอิทธิพลน้อยมากหรือไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ การทำงานการเมืองใด ๆ แม้ว่าจะมีกลุ่มทุน กลุ่มธุรกิจ กลุ่ม นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น หรือองค์กรภาคเอกชนใน จังหวัดหรือพื้นที่เลือกตั้งก็ตาม โดยการทำงานการเมืองของ 181

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี พลโทมะ โพธิ์งาม ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง ที่สังกัดเป็นหลัก ดังคำอธิบายสั้นๆ ดังนี้ “ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีกลุ่มผลประโยชน์ในจังหวัด ไม่เห็นมีใครมาสนับสนุนผม นอกเหนือจากพรรค” การทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รัฐธรรมนูญและกฎหมายมีผลกระทบต่อบทบาทหน้าที่ ของนักการเมืองในการพัฒนาพื้นและการช่วยเหลือประชาชน ทั้งความสำคัญของผู้ประชาชนต่อประชาชนถูกลดบทบาทโดย รัฐธรรมนูญ กรณีดังกล่าวมีความสำคัญที่จำเป็นต้องมีการ แก้ไข เป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ซึ่งมิได้มา จากประชาชน โดยรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมุ่งเน้นให้ ส.ส. ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงาน หน่วยงานราชการ พลโทมะ โพธิ์งาม ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนญู และควรยกเลิกกลับไปใช้รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2540 ผลจาก ปัญหาทางการเมืองทำให้พลโทมะ โพธิ์งาม ไม่สามารถทำงาน การเมอื ง รวมถงึ มบี ทบาททางการเมอื งในฐานะ ส.ส. ไมม่ ากนกั “การทำหน้าที่ ส.ส. การพัฒนาในจังหวัดกาญจน์ ผมเป็น ส.ส. ก็ต้องรองบ แต่กฎหมายควบคุมห้าม ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยว มีหน้าที่นิติบัญญัติก็ทำเยอะไม่ได้ไม่มีงบ ผมอยากยกเลิกรัฐธรรมนูญ ใช้ของปี 2540 ได้มาจาก ประชาชน ผู้แทนไม่มีความสำคัญมาก นโยบายพรรค ก็มาที่กระทรวงมีคำตอบ นั่นคือผู้แทนทำแล้ว การดูว่า 182

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม ประเทศไทยมีเศรษฐกิจดี ดูที่การใช้จ่าย ท่านทักษิณเป็น นายกคนแรกที่ตั้งงบประมาณสมดุลทุกวันนี้ขาดดุลตลอด ประเทศไทยเป็นเหมือนครอบครัวหนึ่ง ไทยเป็นหนี้ใครจะ ใช้หนี้ ผมเสียใจมากที่เป็นผู้แทนช้าเป็นได้แค่ปีกว่าๆ ก็ยุบ สภา ตอนจะยุบสภาเมษายน ปี 2549 ที่เป็นโมฆะ ปี 2550 ผมกไ็ ดเ้ ลอื กมา ส.ส. อกี แตก่ ม็ โี อกาสทำอะไรไดไ้ มม่ ากนกั ” ปัจจัยท่ีมีผลต่อความเข้มแข็งทางการเมือง พลโทมะ โพธิ์งาม ได้ให้ความเห็นว่า ความเข้มแข็ง ทางการเมืองขึ้นอยู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และนโยบายของพรรคการเมืองที่สามารถแก้ไขปัญหาและสร้าง ประโยชน์ให้กับประชาชน หากพรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง “ในความคิดของผมนั้น ปัจจัยที่มีผลต่อความ เข้มแข็งทางการเมืองนั้นก็คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง พรรคเรามีนโยบายที่ดี เข้าถึงประชาชน ประชาชนได้รับ ประโยชน์มากที่สุด ก็ทำให้พรรคเรามีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพทางการเมือง แค่นี้ก็พอแล้ว” ความร่วมมือทางการเมืองระหว่างนักการเมืองในจังหวัด พลโทมะ โพธิ์งาม อธิบายว่า ความร่วมมือระหว่าง นักการเมืองภายในจังหวัดขึ้นอยู่พรรคที่สังกัด กล่าวคือ หากเป็นนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งในพรรคเดียวกันย่อมทำให้ เกิดการพูดคุยปรึกษาหารือ โดยเฉพาะการหาแนวทาง 183

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การพัฒนาหรือช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนำไปสู่การเสนอแนวทาง การพัฒนาจังหวัดในภาพรวมและมีผลทำให้ประสบความ สำเร็จได้ในที่สุด นั่นคือ ความเข้มแข็งของการเมืองภายใน จังหวัดจะเกิดขึ้นได้หากประชาชนเลือกนักการเมืองจากพรรค เดียวกัน พลโทมะ โพธิ์งาม อธิบายถึงประสบการณ์ของตน และนักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีในช่วงการสังกัดพรรค เดียวกันไว้ดังนี้ “พรรคเดียวกันก่อนสมัยตอนที่เราเป็น ส.ส. ไทยรักไทย เรามีอยู่ห้าคนปี 2548 เขต 1 พลเอกสมชาย เขต 2 สันทัด เขต 3 ไพบูลย์ (กำนันหยุ่น) เขต 4 เรวัติ เขต 5 พลโทมะ 5 คนอยู่ของเราหมดเราก็คุยกัน เมือง กาญจน์พื้นที่ไหนเดือดร้อนบ้าง เราประชุม 1 เรื่องน้ำ 2 เรื่องที่ดิน มี 2 เรื่องที่ประสบปัญหา น้ำจากเขื่อน ศรีนครินทร์เอาไปให้คน กทม. ใช้ ทำไมไม่ให้คนบ่อพลอย ใช้ ไม่ให้ห้วยกระเจา เลาขวัญ หนองปรือ แห้งแล้งที่สุด เมืองกาญจน์ แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนนะ มีสวรรค์คือเขต ท่าม่วง ท่ามะปรางค์ พนมทวน มีน้ำทุกซอกทุกซอยที่ดิน มีเอกสารสิทธิ์ และอยู่ใกล้เขื่อน มีน้ำ เขื่อนก็เหมือนกับ เอาน้ำไปเก็บ เอาน้ำไปตามท่อ ก็ถือว่ามีการพูดคุยกันใน แนวทางที่จะพัฒนาเมืองกาญจน์ ภายในพรรคเดียวกัน ให้มากที่สุด ส่วนต่างพรรคการเมืองนั้นไม่ต้องไปพดู ถึง” ต่อประเด็นดังกล่าวของพลโทมะ โพธิ์งาม เห็นว่า ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองมีความสัมพันธ์หรือขึ้นอยู่กับ 184

ภูมิหลัง แนวคิด อุดมการณ์ การหาเสียงและพฤติกรรม การตัดสินใจเลือกนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ซึ่งผลต่ออำนาจการต่อรองในการจัดทำโครงการและการขอ งบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ภายในจังหวัด และในขณะเดียวกันภายใต้โครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นย่อมมี การเชื่อมโยงหรือมีลักษณะของการจัดการทำแผนการพัฒนาที่ เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีผลต่อความสำเร็จในการพัฒนา ที่สอดคล้องกับพื้นที่และความต้องการของประชาชน 4.1.8 พลเอกวัฒนา สรรพานิช พลเอกวัฒนา สรรพานิช เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุร ี โดยกำเนดิ สำเรจ็ การศกึ ษาจากหลายสถาบนั และหลายหลกั สตู ร มีลูก 2 คนทั้งคู่รับราชการทหาร การศึกษาประกอบด้วย ปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต รร.จปร. (หลักสูตร 5 ปี) พ.ศ.2504 หลักสูตร รร.จู่โจม ศูนย์ทหารราบกองทัพบก ประกาศนียบัตรครูพิเศษมัธยม (พ.ม.) กระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตรผู้ชำนาญการทหารราบสหรัฐอเมริกา หลักสูตร รร. การโดดร่ม กองทัพบก หลักสูตรเสนาธิการ (ชุดที่ 49) รร. เสนาธกิ ารทหารบก ปรญิ ญาบตั รวทิ ยาลยั ปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร รุ่นที่ 33 (ประธานรุ่นคนแรก พ.ศ.2533) นิติศาสตรบัณฑิต รัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกาศนียบัตรชั้นสูง การบริหารงานภาครัฐ และประกาศนียบัตรชั้นสูงกฎหมาย มหาชน สถาบันพระปกเกล้า ในขณะทต่ี ำแหนง่ ทางการทหาร ไดแ้ ก่ ผบู้ งั คบั กองพนั ท่ี 2 กรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ พ.ศ.2516-พ.ศ.2521 185