นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี สังคมนิยม (socialism) เป็นอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นจาก ความไม่พึงพอใจทั้งเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม โดยเชื่อว่าอำนาจ ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่รัฐบาลใช้เพื่อประโยชน์ของ ประชาชนทุกคน รัฐบาลไม่จำต้องใช้วิธีรุนแรงเข้าดำเนินการ จัดสวัสดิการทางสังคม สาธารณสุข การศึกษา แรงงาน ที่อยู่ อาศัย สังคมนิยมเองแบ่งได้เป็นสองแนวคิด คือ สังคมนิยม อุดมคติ มีแนวคิดว่าถ้าสังคมเพียบพร้อมมีความเท่าเทียมกัน และนำความสุขมาให้สมาชิกแล้ว การแข่งขันจะไม่เกิดขึ้น การแก่งแย่งกันถือครองปัจจัยการผลิตจะไม่เกิดขึ้นแนวความ คิดที่สองคือสังคมนิยมประชาธิปไตย เชื่อว่าการแข่งขันระหว่าง สมาชิกในการถือครองปัจจัยการผลิตจะหมดไปถ้ารัฐ เข้าควบคุมกิจการขนาดใหญ่เสียเอง นอกนั้นประชาชนยังคง ดำเนินกิจการของตนเองได้อย่างเสรี ส ำ ห ร ั บ แ น ว ค ิ ด ข อ ง น ั ก ว ิ ช า ก า ร บ า ง ก ล ุ ่ ม ใ น ส า ย มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อุดมการณ์ทางการเมืองน่าจะถึงจุด สมบูรณ์แล้ว โดยอ้างแนวคิดของ Hegel ที่ว่า เสรีชนได้อยู่ใน สังคมเสรีแล้ว (free people living in free societies) โดยอ้าง การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ผู้วิจัยเห็นว่า การล่มสลาย ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าประเทศต้นแบบจะล่มสลายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันยังคงมีการ เกิดใหม่ของอุดมการณ์ เช่น Islamism หรือ Neo-Fascism แนวคิดด้านเศรษฐกิจการเมือง (political economy) สำหรับทฤษฏีและแนวคิดเศรษฐกิจการเมืองนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ที่ได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการวิเคราะห์ในการวิจัยนี้ คือ แนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกของส่วนรวม (public 36
ข้อมูลทั่วไปจังหวัดกาญจนบุรี choice) ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้วางอยู่หลักการพื้นฐานว่าด้วย อำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนซึ่งเปรียบเสมือน ผู้บริโภค (customers) มีพฤติกรรมทางการเมืองด้วยการเลือกซื้อ สินค้าและบริการสาธารณะจากรัฐบาล (government) พรรค การเมือง (political parties) และนักการเมือง (Politician) ซึ่งมีหน้าที่และบทบาทสำหรับในการตัดสินใจเชิงนโยบาย (decision-making policy) และการนำนโยบายไปปฏิบัติ (policy implementation) การตัดสินใจทางเมืองของประชาชนและ การทำหน้าที่ของพรรคการเมือง และนักการเมืองเมื่อชนะ การเลือกตั้งล้วนอยู่ภายใต้หลักการว่าด้วยประชาธิปไตย (democracy) โดยต่างฝ่ายต่างเคารพกฎกติกาและฉันทานุมัติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ซง่ึ กลมุ่ นกั วชิ าการทน่ี ำเสนอตวั แบบการศกึ ษาการเมอื ง ในแนวทางนี้ อาทิ Berton (1978) Mckenzie and Tullock (1978) โดยรัฐมีบทบาทสำคัญ 3 ประการ ประกอบด้วย ประการแรก การจัดให้มีสินค้าและบริการสาธารณะ ประการที่สอง การแทรกแซงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องด้านเศรษฐกิจในระบบตลาด และ ประการที่สาม การกระจายรายได้ทางสังคม (คนรวยกับ คนจน) แนวคิดดังกล่าวนี้มีสมมติฐานที่ว่า การเมืองมีลักษณะ คล้ายกับการแลกเปลี่ยนซื้อขายในระบบตลาด และสมมติฐาน การตัดสินใจเลือกอย่างมีเหตุผลของประชาชน (rational choice) ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ ตามความต้องการของตน ล้วนมุ่งสู่ เป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด (maximization of utility) ในขณะที่ Alt และ Chrystal (อนุสรณ์ ลิ่มมณี, 2555, หน้า 95 - 114) อธิบายไว้ว่าในระบบการเมืองจะมีความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลและพรรคการเมือง โดยขึ้นอยู่กับการลงคะแนน 37
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี เสียงเลือกตั้งของประชาชน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ ทางเศรษฐกิจของรัฐสร้างสภาวะทางเศรษฐกิจที่ประชาชน ต้องการ/ คาดหวัง โดยสรุปประกอบด้วย (1) รัฐบาลมุ่งชนะการ เลือกตั้งผ่านการได้คะแนนเสียง (2) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จะแสดงพฤติกรรมการเลือกตั้งตามความต้องการทางเศรษฐกิจ และ (3) รัฐบาลจะปรับปรุง/แก้ไขสภาวะเศรษฐกิจเพื่อให้ ประโยชน์ในการเลือกตั้ง แนวคิดด้านเศรษฐกิจการเมืองได้รับการอธิบายถึง ความสำคัญของระบบตลาดการเมือง (political marketing) ที่มี อิทธิพลต่อการตัดสินใจทางเมืองของประชาชน โดยที่ พรรคการเมืองและนักการเมืองจำเป็นต้องนำเสนอเมนูนโยบาย (Policy menu) ที่เป็นไปตามความต้องการและปัญหาของ ประชาชนที่ต้องการได้รับการแก้ไข ซึ่งนักการเมืองและ พรรคการเมืองมิได้ได้มาจากความความคิดเห็นหรือความเชื่อ หรือกระแสสังคมแต่อย่างใด แต่เป็นผลมาจากการศึกษาวิจัย หรือการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะประเมินผลพร้อมทั้งนำกลับ ไปตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ดงั กลา่ วอกี ครง้ั นกั การเมอื ง และพรรคการเมืองใดสามารถที่จะดำเนินการในลักษณะ ดังกล่าวนี้ได้ ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือชนะ การเลือกตั้งได้มากกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ แนวทางดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ และขาดมิได้ในโลกโลกาภิวัตน์ซึ่งระบบข้อมูลมีความสำคัญต่อ ความสำเร็จทางการบริหารทั้งในหน่วยงาน/องค์กรภาครัฐและ องค์กรภาคเอกชน ทั้งนี้แนวคิดเศรษฐกิจการเมืองยอมรับการ ทำการตลาดการเมือง ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การสร้าง/ 38
ข้อมูลทั่วไปจังหวัดกาญจนบุรี ออกแคมเปญที่เรียกว่านโยบายหาเสียงเลือกตั้ง การสร้างภาพ ลักษณ์ (political image) ของพรรคการเมืองและนักการเมือง ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันในการตลาดการเมืองยัง มีการนำวิธีการวิเคราะห์กลุ่มประชาชนในฐานะลูกค้าซึ่งมีอยู่ หลากหลายกลุ่มและประเภทที่มีความสนใจ การตระหนักรับรู้ ความต้องการในนโยบายแตกต่างกันออกไป การตลาด การเมืองจึงจำเป็นต้องมีนโยบายที่หลากหลายรอบด้าน จนกระทั่งสามารถโน้มน้าวหรือมัดใจให้ประชาชนลงคะแนน เสียงเลือกตั้งให้กับตน นอกจากนี้แล้วหากพิจารณาในมิติการมีส่วนร่วม ทางการเมือง (political participation) แล้ว จะพบว่าแนวคิด การตัดสินใจเลือกของส่วนรวมดังกล่าวนี้ นับได้ว่าให้ความ สำคัญกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยยอมรับ ว่าการตัดสินใจเลือกหรือลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน ที่มีต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงผลงาน ในเชิงประจักษ์ (empirical) มิใช่นามธรรมในเชิงอุดมคติทาง การเมืองเหมือนเช่นอดีต การมีส่วนร่วมทางการเมืองในมิติ ของแนวคิดการตัดสินใจเลือกของส่วนรวมนี้ ทั้งนักการเมือง พรรคการเมืองและประชาชนไม่ว่าฝ่ายใดต้องยึดมั่นหรือเคารพ ในผลการเลือกตั้งหรือการตัดสินใจลงคะแนนสนับสนุน นักการเมืองและพรรคการเมือง โดยถือว่ากติกาทางการเมือง ที่มีอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่เป็นกฎเกณฑ์อันจะทำให้ระบบการเมือง และสังคมปกติสุขนำมาซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพทาง การเมือง ซึ่งจะเป็นผลโดยตรงต่อการพัฒนาและความเจริญ ก้าวหน้าของประเทศโดยรวม 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี แนวคิดวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) แนวคิดนี้ปัจจุบันมีนักวิชาการจำนวนมากได้อธิบายไว้ ซึ่ง Joyce (2006, pp 2 – 7) อธิบายว่า วัฒนธรรมทางการเมือง ในแต่ละสังคมนั้นมีความแตกต่างกันซึ่งเป็นผลมาจากความ เป็นมาของประวัติศาสตร์ ความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรมของ สังคมนั้น ๆ ทั้งนี้ในการเมืองระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย (a liberal democratic political system) เกี่ยวข้องกับสถาบัน ทางการเมือง เช่น รัฐบาล รัฐสภาและศาล องค์กรการเมือง เช่น พรรคการเมือง กลุ่มกดดัน และกระบวนการทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง การตัดสินใจของประชาชนซึ่งมีแนวคิด ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างความแตกต่างในวัฒนธรรมทางการเมือง อาทิ กรณีฝรั่งเศส จะมีระดับความอดทนอดกลั้น (tolerance) ที่สูงในความขัดแย้ง และการโต้แย้งหรือถกเถียงทางการเมือง ในขณะที่สวีเดน จะเป็นสังคมที่มีความประนีประนอม และ มีลักษณะสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง (political participation) ในขณะที่สหราชอาจักรจะมีลักษณะการ พฒั นาการของระบบจารีตประเพณนี ยิ มมากกว่าการเปลย่ี นแปลง แบบปฏิวัติ (a tradition of evolution rather than revolutionary change) สำหรับ Almond และ Verba (สุกิจ เจริญรัตนกุล, 2530, หน้า 85 -92) ได้อธิบายถึงลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง ในประเภทต่าง ๆ โดยเป็นผลจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา ของชุมชนและสังคมนั้น ๆ ประกอบด้วยตัวแปรด้านจิตวิทยา การเมือง 3 ประการ ได้แก่ (1) cognitive orientation หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่ปัจเจกบุคคลมีต่อระบบการเมือง ปัจจัย 40
ข้อมูลทั่วไปจังหวัดกาญจนบุรี นำเขา้ และปจั จยั นำออกในระบบการเมอื ง (2) affective orientation คือ ความรู้สึกในทางที่ดีของปัจเจกบุคคลที่มีต่อระบบการเมือง ผู้มีอำนาจ ปัจจัยนำเข้า ปัจจัยนำออกของระบบการเมือง และ (3) evaluative orientation คือ ความคิดเห็นจากการประเมิน คุณค่าของปัจเจกบุคคลที่มีต่อประสิทธิภาพของระบบการเมือง ทั้งนี้วัฒนธรรมทางการเมืองแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ประกอบ ด้วย วัฒนธรรมทางการเมืองแบบปิดตัวเอง (parochial political culture) วัฒนธรรมการเมืองแบบเปิดตัวเอง (subject political culture) และวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม (participation political culture) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบปิดตัวเอง คนในสังคมนั้น จะมีลักษณะเฉื่อยชาทางการเมือง ขาดความรู้ความเข้าใจ ระบบการเมือง ไม่รับรู้ถึงปัจจัยนำเข้า ปัจจัยออก ไม่มีความ สนใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ปรากฏในสังคมแบบ ดั้งเดิม ขาดการจำแนกหน้าที่ทางโครงสร้าง อาทิ สังคมเผ่า ซึ่งหัวหน้าเผ่ามีอำนาจทั้งในศาสนา การปกครองและเศรษฐกิจ ในขณะที่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเปิดตัวเองนั้น ปัจเจกบุคคลจะมีความรู้ความเข้าใจในระบบการเมืองที่ตนอยู่ ปัจจัยออกหรือนโยบาย กฎ ระเบียบของระบบการเมือง แต่จะ ไม่เข้าใจปัจจัยนำเข้าของระบบการเมือง ไม่สนใจเข้าร่วม กิจกรรมทางการเมืองโดยตรง มีการเคารพกฎหมาย ปรากฏใน รัฐสมัยใหม่ สำหรับวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม คนใน สังคมจะมีความรู้ความเข้าใจ ทราบความเกี่ยวข้องของปัจจัย นำเข้า ปัจจัยออกของระบบการเมือง ต้องการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมทางการเมือง ปรากฏในการมีจิตสำนึกทางการเมืองสูง 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี และรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถในการใช้บทบาทที่มีให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ ซึ่ง Almond และ Verba อธิบายว่าวัฒนธรรมทางการเมืองมีความสัมพันธ์กับบทบาท ทางการเมือง และบทบาทเป็นตัวกำหนดโครงสร้างระบบ การเมือง อย่างไรก็ตามในสภาพของความเป็นจริงประชาชน ย่อมมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ในระบบ วัฒนธรรมการเมืองระดับชาติหรือระดับบน มีลักษณะ 3 ประการ คือ (1) วัฒนธรรมการเมืองผสมแบบปิดและ เปิดตัวเอง2 (parochial subject political culture (2) วัฒนธรรม ทางการเมืองแบบเปิดตัวเองและมีส่วนร่วมทางการเมือง (subject participation political culture) (3) วัฒนธรรมทาง การเมืองแบบปิดตัวเองและมีส่วนร่วม (parochial participation political culture) สำหรับวัฒนธรรมการเมืองผสมแบบปิดและเปิดตัวเอง (parochial subject political culture) นั้นคนในสังคมจะมี พฤติกรรมไม่ยอมรับหัวหน้าเผ่าในฐานะผู้ปกครองหรือเจ้าของ ที่ดินในการควบคุมการผลิต แต่จะเปลี่ยนไปผูกพันและยอมรับ ระบบการเมืองแบบใหม่ภายใต้คณะผู้ปกครองหรือผู้ใช้อำนาจ แต่จะยังคงไม่สนใจเข้าไปมีกิจกรรมหรือมีส่วนร่วมทางการเมือง ในขณะที่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเปิดตัวเองและมีส่วนร่วม ทางการเมือง (subject participation political culture) นั้นคนใน สังคมจะสนใจระบบการเมืองที่ตนเองเป็นสมาชิก ตระหนักถึง 2 วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเปิดตนเอง หมายถึง วัฒนธรรม การเมืองแบบไพร่ฟ้า 42
ข้อมูลทั่วไปจังหวัดกาญจนบุรี ความสำคัญของตนเองในการเข้าไปมีบทบาทหรือทำหน้าที่ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ กระตือรือร้นและต้องการเข้าร่วม ทางการเมือง แต่จะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งไม่สนใจเข้าร่วม หรือ ไม่มีจิตสำนักทางการเมือง แม้ว่าจะมีความรู้ความเข้าใจใน ระบบการเมือง ปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบายรัฐ แต่จะไม่ ตระหนักและไม่เข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมือง สุดท้าย วัฒนธรรมทางการเมืองแบบปิดตัวเองและมีส่วนร่วม (parochial participation political culture) เป็นสังคมที่มีลักษณะสองส่วน กล่าวคือ คนกลุ่มหนึ่งผูกพันต่อเชื้อชาติของตน ต้องการเข้าไปมี ส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่ม แต่ มิได้มีความผกู พันกับระบบการเมืองหรือรัฐบาลกลาง Almond และ Verba สรุปว่า สังคมส่วนใหญ่มีวัฒนธรรม การเมืองแบบผสม ไม่มีระบบการเมืองใดสมบูรณ์ ทั้งนี้ในสังคม อุตสาหกรรมบางแห่งอาจมีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย บางแห่งเป็นระบบเผด็จการ กรณีของสังคมสหรัฐอเมริกา และ อังกฤษก็เช่นเดียวกันแม้ว่าจะมีระบบประชาธิปไตยที่มี เสถียรภาพและมั่นคงก็ตาม แต่ด้วยเหตุที่สังคมทั้งสองมี วัฒนธรรมการเมืองที่เรียกว่า civil culture ซึ่งมีลักษณะ 2 ประการคือ (1) ความเชื่อมั่นและเคารพในอำนาจของรัฐบาล (trust in government) และ (2) ความเชื่อมั่นและเคารพในสิทธิ เสรีภาพของปัจเจกบุคคล (trust in individual right) เป็นความ เชื่อมั่นในระบอบการปกครอง ความสามารถและความตั้งใจ จริงของผู้ปกครอง ในขณะเดียวกันยังเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพ ของตน รวมถึงบุคคลอื่นที่ควรเคารพที่มีอิทธิพลต่อการ บริหารงานของรัฐบาล 43
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี แนวคิดด้านจริยธรรม และอำนาจทางการเมือง (Ethics and Political Power) ประเด็นการใช้อำนาจและอิทธิพลทาง การเมืองจะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมเสมอ แม้แต่การใช้อำนาจ ที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย (frame of authority) ก็ยังอาจมี ปัญหาด้านจริยธรรมได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการใช้อำนาจ นอกกรอบหรือการใช้อิทธิพลทางการเมืองนั้นขาดจริยธรรมอยู่ แล้ว ทั้งนี้กรอบจริยธรรมมิได้มีมาตรฐานที่สามารถวัดหรือ ประเมินได้เช่นเดียวกับการประเมินการทำงานของฝ่ายบริหาร ในองค์กรทั่วไป ด้วยเกี่ยวข้องกับจิตสำนึก ค่านิยม รวมถึงจารีต ประเพณีของสังคมนั้น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ดีปัจจุบันได้มีการ กำหนดกรอบจริยธรรมการทำงานในองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เกิด แนวทางปฏบิ ตั ทิ ม่ี คี วามชดั เจน มงี านวจิ ยั หลายชน้ิ ในตา่ งประเทศ พยายามที่จะวางกรอบแนวคิดด้านจริยธรรม ในปัจจุบัน นักการเมืองจำเป็นต้องให้ความสำคัญแนวคิดด้านจริยธรรม (ethical criterions) เพราะมีผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือ การสนับสนุนของประชาชน ประกอบด้วย (1) เกณฑ์ผลกระทบสูงสุด (criterion of utilitarian outcomes) ความเป็นนักการเมืองต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นความเชื่อ ความคาดหวังและความ บันดาลใจของสังคม โดยเสียงสนับสนุนของประชาชนที่มีต่อ นักการเมืองนั้น หากนักการเมืองไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ แก่ประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้งแล้ว หากมีเหตุผลไม่เพียง พอหรือไม่สามารถอธิบายต่อประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งหรือ สังคมได้ ย่อมอาจถูกตัดสินทางการเมืองด้วยการไม่ลงคะแนน เสียงให้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในอนาคต 44
ข้อมูลท่ัวไปจังหวัดกาญจนบุรี (2) เกณฑ์สิทธิส่วนบุคคล (criterion of individual rights) ความเป็นนักการเมืองต้องยึดถือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน (basic human rights) และต้องให้ความสำคัญแก่ทุกส่วน (parties) ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยด้านอุดมการณ์ทาง การเมืองของสังคม (3) เกณฑ์ความเท่าเทียมกัน (criterion of contributive justice) ความเป็นนักการเมืองต้องให้ความสำคัญแก่การให้ ความเท่าเทียมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง นับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญ พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวคิดด้านจริยธรรมทางการเมืองในปัจจุบันนับเป็น กระแสโลกที่สำคัญและถูกใช้อธิบายถึงความชอบธรรมทาง การเมืองของนักการเมืองอย่างมาก แนวคิดเรื่องอำนาจทางการเมืองและความขัดแย้ง (political power and conflict) เป็นการวิเคราะห์อำนาจทาง การเมือง ซึ่งมีแนวทางการวิเคราะห์หลายแนวทาง อาทิ (1) การวิเคราะห์จากแหล่งที่มาแห่งอำนาจ การใช้และ การจำกัดอำนาจ เช่น การให้สิทธิอำนาจแก่ประชาชน การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจของประชาชน (2) การวิเคราะห์ กระบวนการ คือวิเคราะห์ถึงการตัดสินใจในการกำหนด นโยบาย (how decision actually get made) และ (3) การวเิ คราะห์ จากโครงสร้าง และบทบาทของสถาบันต่างๆจะได้พบอำนาจ อันแท้จริง (real power) ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุปสงค์ และปัจจัย เกื้อหนุน ในการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง (4) การวิเคราะห์ จากผู้นำทางการเมือง (political elites) ผู้นำทางการเมืองนั้น 45
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากจะเปน็ ผนู้ ำภายในกลมุ่ การเมอื งหรอื ชมุ ชนยงั หมายรวม ถึงผู้นำทางการเมืองที่อยู่นอกกลุ่มหรือนอกพื้นที่ด้วย รูปแบบของความขัดแย้งในการใช้อำนาจทางการเมือง พิจารณาเป็น 3 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบแรก เกิดจาก อิทธิพลภายใน (internalized influence) พิจารณาว่ากลุ่ม ข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง และผู้นำทางการเมือง ถิ่นที่เข้าร่วมตัดสินใจ ซึ่งเกิดจากผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่า จะเป็นผลประโยชน์ของประชาชน กลุ่มชน พรรคการเมือง หรือ เป็นผลจากแนวคิดทางสังคม เช่น สิทธิเสรีภาพ เป็นต้น รูปแบบที่สอง ความขัดแย้งซึ่งเกิดจากองค์กรภายในพื้นที่ หรือ นอกพื้นที่(intra-political organizational influence) เช่น ความ ขัดแย้งระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกันเอง หรือองค์กรท้องถิ่น กับองค์กรส่วนภูมิภาค และ รูปแบบที่สาม ความขัดแย้งมาจาก องค์กรนอกรัฐ (extra-governmental influence) เช่น องค์กร เอกชน (NGOs) สื่อสารมวลชน มติมหาชน และรวมทั้งผลการ เลือกตั้งด้วยแบบของการยุติความขัดแย้งขึ้นอยู่กับค่านิยม ปทัสฐานทางสังคม (norms)หรือจริยธรรม (ethics) ที่จะก่อความ ร่วมมือหรือความรุนแรงทางการเมืองได้ 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาการเมืองที่สำคัญมีดังนี ้ งานศึกษางานวิจัยของสุรพงศ์ โสธนะเสถียร (2533) เรื่อง “การโฆษณาหาเสียงกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง” พบว่า รูปแบบการหาเสียงนั้นมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาของการ 46
ข้อมูลท่ัวไปจังหวัดกาญจนบุรี หาเสียงไม่สามารถแยกออกจากกันได้ รูปแบบของการหาเสียง ประกอบด้วย การพรรณนาความ เน้นธรรมจรรยา โน้มน้าว พูด เร้าความรู้สึก และแม้แต่การใช้คำขวัญ นอกจากนี้ยังมีการ กล่าวหาผู้แข่งขันและแก้ข้อกล่าวหา สำหรับเนื้อหาในการ หาเสียงนั้น ประกอบด้วยข่าวสารการเมือง ระบบการเมือง ระบบการปกครอง ผู้นำและอำนาจหน้าที่ นโยบายในการ บริหารและปกครอง ความคาดหวังของบ้านเมืองในด้าน เศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ การจัดรูปแบบและเนื้อหาของการ หาเสียงต้องเลือกสรรแบบวิธีและเนื้อหาให้ตรงกับอารมณ์ ค่านิยมความรู้สึก วัฒนธรรมท้องถิ่น และมีความเห็นว่า การเลอื กรปู แบบและเนอ้ื หาในการหาเสยี งทถ่ี กู ตอ้ งในสถานการณ์ อยา่ งใดไมอ่ าจประกนั การชนะการเลอื กตง้ั ไดเ้ สมอไป เชน่ เดยี วกบั งานวิจัยของกรมการปกครอง (2522) เรื่อง “การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522” พบว่า การไปใช้สิทธิเลือกตั้งของ ประชาชนนั้นการประชาสัมพันธ์ของราชการและตัวผู้สมัครรับ เลือกตั้ง อิทธิพลและความเลื่อมใสศรัทธา หรือความเข้าใจใน นโยบายของพรรคการเมือง มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของ ประชาชน ในขณะที่งานศึกษาของ วรวุฒิ เสงี่ยมศักดิ์ (2540) เรื่อง การบริหารแผนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ภายใต ้ แนวความคิด 3 เขตยุทธศาสตร์ พบว่าการจัดรูปแบบ การจัดการหาเสียงโดยอาศัยความสัมพันธ์ระบบเครือญาติ มีความสำคัญต่อการหาเสียงเลือกตั้ง และได้เสนอตัวแบบ การหาเสียงของนักการเมืองในรูปแบบความสัมพันธ์เครือญาติ สำหรับงานวิจัย “พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งปี พ.ศ.2522” ของ สุจิต บุญบงการ และคณะ (2527) พบว่า 47
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การตัดสินใจไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะมีการจัดให้ม ี ส่วนร่วมทางการเมืองแบบถูกระดม โดยชี้ว่าปัจจัยทาง เศรษฐกิจสังคม มีผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้อยู่ในชนบทมีรายได้น้อยมีการศึกษาน้อยมีโอกาสถูกระดม หรือชักจูงได้ง่าย เช่นเดียวกับงานวิจัยอื่นของ องค์กรกลาง (2535) พบว่า ผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูก ชักจูงโดยชนชั้นนำของแต่ละพื้นที่และให้หมายรวมทั้งบุคลากร ของราชการด้วย เช่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน ครู หรือหมอ ในงานวิจัยเกี่ยวกับนักการเมืองถิ่นได้มีการศึกษาถึง พฤติกรรม รูปแบบการหาเสียง ทัศนคติทางการเมืองของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ งานศึกษาของ กฤษณา ไวสำรวจ (2555) เรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัด สมุทรสงคราม” พบว่า อัตลักษณ์ของนักการเมืองถิ่นจังหวัด สมุทรสงครามมี 5 ลักษณะ ประกอบด้วย (1) การเป็นถิ่น (พื้นที่) (2) อดีตขุนนาง สายราชนิกุล (3) กลุ่มอาชีพข้าราชการ ครู (4) นกั ธรุ กจิ ทอ้ งถน่ิ ผมู้ บี ารมใี นทอ้ งถน่ิ และ (5) นกั การเมอื ง หญิงพื้นเพชาวบ้านและการเป็นแกนนำเครือข่ายประชาชน โดยที่กลุ่มสนับสนุนนักการเมืองในจังหวัดล้วนดำเนินอยู่ภายใต้ ความสัมพันธ์แบบเครือญาติ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพรรค การเมือง กลุ่มเยาวชน กลุ่มเครือข่ายเอกชน NGOs การใช้ อัตลักษณ์ส่วนบุคคลโดยเฉพาะความเป็นผู้หญิง (femininity) ในขณะที่วัฒนธรรมการหาเสียงจัดตั้งอยู่บนพื้นฐานเครือญาติ เครือข่ายเพื่อนร่วมรุ่น และศาสนา มีการใช้การสื่อสารทาง การเมืองโดยการเมืองเชิงการตลาด อาศัยโครงสร้างการพัฒนา การเมืองผ่านสื่อโฆษณาโดยยึดหลักอนุรักษ์ถิ่นซึ่งมีความ 48
ข้อมูลท่ัวไปจังหวัดกาญจนบุรี สำคัญมากขึ้นในระยะหลัง ใ น ข ณ ะ ท ี ่ ง า น ศ ึ ก ษ า ข อ ง ร ุ จ น ์ - จาลักษณ์รายา คณานุรักษ์ (2551) เรื่อง “นักการเมืองถิ่น จังหวัดสุราษฏร์ธานี” พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดสุราษฏร์ ธานีโดยส่วนใหญ่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการก่อตั้งและ ลักษณะของพรรคมีความชัดเจนทางการเมือง มีบริวารและเป็น ตัวแทนแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มีเครือข่ายที่ เข้มแข็ง ความสัมพันธ์ทั้งรูปแบบเครือญาติหรือความใกล้ชิด คนที่จะเป็นนักการเมืองถิ่นต้องเป็นตัวแทนพรรคที่เรียกว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” มีการกระจายตัวในทุก พื้นที่ของจังหวัดฯ มีการจัดตั้งหัวคะแนน ตัวแทนทำงานในพื้นที่ มีกลวิธีการหาเสียงที่เหมือนกันกล่าวคือ การลงพื้นที่พบปะ ประชาชนทั้งในช่วงเวลาการเลือกตั้งและเวลาทั่วไปอย่างขยัน ขันแข็ง การร่วมกิจกรรม งานบุญประเพณีต่าง ๆ กิจกรรมทาง สังคม รวมถึงการปราศรัยใหญ่ของพรรคในการแถลงนโยบาย ในจังหวัด ประชาชนในพื้นที่จึงมีความผูกพันกับพรรคประชา- ธิปัตย์มาโดยตลอด และหากนักการเมืองถิ่นย้ายออกจากพรรค ประชาธิปัตย์ไปสังกัดพรรคการเมืองมักไม่ได้รับเลือกตั้ง และ หากย้ายมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้รับเลือกตั้งเช่นเดิม การเมืองถิ่นจังหวัดสุราษฏร์ธานีนั้นมีพัฒนาการเป็นลำดับ เดิมทีนั้นประชาชนมิได้ผูกพันกับพรรคฯ มากนัก แต่มีพื้นฐาน จากระบบเครือญาติและศักยภาพส่วนตัวของผู้สมัครมากกว่า อิทธิพลของพรรคการเมือง ตรงกันข้ามกับปัจจุบันประชาชน จะผูกพันกับพรรคมากกว่าตัวบุคคล เรียกว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” 49
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี สำหรับกรวิทย์ เกาะกลาง (2555) ศึกษาเรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดกระบี่” พบว่า ภูมิหลังของนักการเมือง ถิ่นล้วนมีอาชีพที่มั่นคง และส่วนใหญ่เคยรับราชการมาก่อน มีการวางแผนก่อนการลงรับสมัครเลือกตั้งโดยมีเครือข่ายหรือ ฐานเสียงจากอาชีพของตนซึ่งเป็นตัวแปรทำให้ประสบความ สำเร็จ การมีเพื่อนร่วมอาชีพ มีผู้บังคับชา-ผู้ใต้บังคับบัญชาและ เครือญาติมีส่วนสนับสนุนทำให้หาเสียงได้ง่ายขึ้น สำหรับ กลยุทธ์การหาเสียงเน้นการหาเสียง การพบปะชาวบ้านลงพื้นที่ ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอทำให้ชนะใจชาวบ้าน เกิดความ ผูกพันและความภาคภูมิใจที่นักการเมืองถิ่นไปพบ การเข้าใจ เข้าถึงชาวบ้านก่อนมีโอกาสที่จะได้รับคะแนนเสียงสูงมาก เป็นการแสดงถึงการมีอัธยาศัยดี ไม่ถือตัว การลงพื้นที่ด้วยการ กินอยู่กับชาวบ้านทำให้เกิดการยอมรับมากที่สุด การหาเสียงใน สถานศึกษาที่ตนเองสำเร็จการศึกษามา โดยเฉพาะสถานศึกษา ที่มีชื่อเสียง ทำให้มีเครือข่ายช่วยเหลือ ทำให้มีพี่น้อง ความ ภาคภูมิใจในตัวผู้สมัคร รวมถึงการมุ่งเน้นการเสียงในกลุ่มสตรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญ และเป็นกลุ่มที่พูดง่ายโอกาสได้คะแนนมีสูง ใช้วิธีการดูแล การและจัดและเข้าร่วมกิจกรรม โดยเฉพาะ การจัดดูงานหรือทัศนศึกษาในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ มีการจัดทีมงานนักการเมืองติดตาม การหาเสียง/การดูแล กลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนี้แล้วประชาชนชาวจังหวัดกระบี่ยังให้ ความสำคัญกับพรรคการเมืองที่มีความเป็นเอกภาพทาง การเมืองโดยในอดีตเลือกพรรคกิจสังคม และเมื่อขาดเอกภาพ ทางเมืองจึงตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์นับจากยุค นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นต้นมา 50
ข้อมูลท่ัวไปจังหวัดกาญจนบุรี เช่นเดียวกับงานศึกษาของไชยวุฒิ มนตรีรักษ์ (2551) เรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดเลย” พบว่า การเลือกตั้งระหว่างปี พ.ศ.2478 ถึง พ.ศ.2500 เครือข่ายสนับสนุนมีความสัมพันธ์แบบ เครือญาติ ใช้วิธีการเดินหาเสียงถึงหมู่บ้าน มีใบปลิว โปสเตอร์ ฉายภาพยนตร์ จัดเลี้ยงอาหาร แจกสิ่งของ เช่น น้ำปลา ปลาทูเค็ม ไม้ขีดไฟ น้ำตาล รองเท้า พร้อมการเสนอนโยบาย การพัฒนาพื้นที่ แต่ในปี พ.ศ.2512 เปลี่ยนมาเป็นการเข้าสู่ การเมืองของกลุ่มธุรกิจ โดยการสนับสนุนของกลุ่มธุรกิจค้าไม้ และสมาชิกสภาจังหวัด เริ่มมีการซื้อเสียง การใช้อิทธิพล หัวคะแนน การสร้างระบบอุปถัมภ์ ในปี พ.ศ.2529 เป็นยุคที่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มเข้าสู่การเมือง ต่อมาระหว่างปี พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2535 นักการเมืองถิ่นจังหวัดเลยมีสองสภาพ ได้แก่ กลุ่มที่มีอุดมการณ์ และกลุ่มธนกิจการเมือง และนับจาก การเลือกตั้งปี พ.ศ.2538 เป็นต้นมา กลุ่มอุดมการณ์ ประชาธิปไตยพ่ายแพ้การเลือกตั้งไม่ประสบชัยชนะอีกเลย โดย มีกลุ่มการเมือง 3 ตระกูลประกอบด้วย ตระกูลแสงเจริญรัตน์ ตระกูลเร่งสมบูรณ์สุข และตระกูลทิมสุวรรณ ทั้งหมดเป็นกลุ่ม รับเหมาก่อสร้างและการสัมปทานเหมือแร่ มีการจัดแบ่งพื้นที่ ทางการเมืองอย่างลงตัว นอกจากนี้แล้วยังมีการนำรูปแบบ การบริหารจัดการเชิงธุรกิจมาใช้ในการสร้างฐานะคะแนนเสียง ควบคู่การสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับข้าราชการประจำเพื่อ ควบคุมและใช้ประโยชน์จากกลไกราชการ รวมถึงการช่วยเหลือ ของหัวหน้ากลุ่มหรือมุ้งการเมืองในการสร้างความเข้มแข็ง ทางการเมืองและการกระจายผลประโยชน์ สำหรับกลุ่ม สนับสนุนที่มีความสำคัญในปัจจุบันได้แก่ กลุ่ม อสม. กลุ่มสตรี 51
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี เครือข่ายกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกสภาองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สำหรับงานศึกษาของ ชาญณวุฒิ ไชยรักษา (2549) เรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลก” พบว่า การเลือกตั้ง ในยุคแรกจะอยู่ในกลุ่มข้าราชการประจำที่เข้าสู่สนามการเมือง และมีการเปลี่ยนแปลงนับจากปี พ.ศ.2512 เป็นต้นมาโดยผู้ที่ เป็นนักการเมืองถิ่นจะเป็นผู้ที่เกิดและเติบโตในจังหวัด หรือ มีความผูกพันกับจังหวัดนับจากรุ่นบิดามารดาทำให้มีต้นทุน ทางสังคม อาทิ นายสุชน ชามพูนท เป็นตระกูลพ่อค้าชาวจีน ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ มีบิดาเป็น อดีตนายกเทศมนตรีเมืองพิษณุโลกและเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับนายโกศล ไกรฤกษ์ มีบิดาเป็นอดีต ส.ส. และเป็น ตระกูลการเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัด วิธีการหาเสียงใช้การ ลงพื้นที่พบปะประชาชน การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ที่ถึงมือ ประชาชน ความใกล้ชิดระหว่างนักการเมืองและการมีเครือข่าย ทางสังคมทำให้นักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลกประสบความ สำเร็จในการเลือกตั้ง และในงานศึกษาของศรุดา สมพอง (2550) เรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา” พบว่า นักการเมืองถิ่นล้วนเป็นกลุ่มบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและ สังคมที่ดี รวมถึงมีชื่อเสียงทั้งสิ้น มีพื้นฐานประวัติการรับ ราชการหรือนักการเมืองท้องถิ่นมาก่อน มีการสืบทอดการเมือง ในกลุ่มเครือญาติ ปัจจุบันประกอบด้วย 2 ตระกูล คือ ตระกูล ฉายแสง และตระกูลตันเจริญ ในการสังกัดพรรคการเมืองของ กลุ่มการเมืองมิได้มีความสำคัญต่อความสำเร็จทางเมืองหรือ ชัยชนะในการเลือกตั้งมากนัก ประชาชนจังหวัดฉะเชิงเทรา 52
ข้อมูลทั่วไปจังหวัดกาญจนบุรี จะให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่า วิธีการหาเสียงใช้การ พบปะประชาชนและการปราศรัย การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ การใช้รถหาเสียง โดยเฉพาะการจัดตั้งหัวคะแนนที่มีบารมี ได้แก่ กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น อาทิ สมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) สมาชิกสภาองค์การบริการส่วนตำบล (ส.อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน สำหรับงานศึกษา “การเมืองถิ่น จังหวัดสุพรรณบุรี” ของณัฐพงศ์ บุญเหลือ (2556) พบว่า การเมืองถิ่นจังหวัดสุพรรณบุรีประกอบด้วยตระกูลการเมือง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ศิลปอาชา โพธสุธน เที่ยงธรรม และ ประเสริฐสุวรรณ โดยการเมืองท้องถิ่นเป็นฐานคะแนนที่สำคัญ มีบทบาทในการดูแลและพัฒนาท้องถิ่นภายใต้นโยบาย และความคิดของนักการเมืองนักระดับชาติ สำหรับกลุ่ม ผลประโยชน์แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจ ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และนักการเมืองท้องถิ่น การต่อรอง ผลประโยชน์อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ผ่านการจัดหางบประมาณ สนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น การจัดสร้างสาธารณปู โภคพื้นฐาน ท ี ่ จ ำ เ ป ็ น ซ ึ ่ ง ส ่ ง ผ ล ต ่ อ ก า ร ป ร ะ ก อ บ อ า ช ี พ เ ก ษ ต ร ก ร ร ม ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลการเมืองมีผลต่อความสำเร็จของ นักการเมืองถิ่น เกิดการผูกขาดอยู่กับพรรคชาติไทย มีการแบ่ง พื้นที่รับผิดชอบฐานเสียงที่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความ สำเร็จในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองถิ่น (ส.ส.) กับประชาชนผ่านการพัฒนาจังหวัดในพื้นที่ต่าง ๆ การมี บารมีทางการเมืองส่งผลต่อนักกลุ่มทายาททางการเมืองรุ่นลูก ซึ่งการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องปกติใน ระบอบการเมืองแบบเลือกตั้ง ซึ่งสามารถใช้แนวคิดว่าด้วย 53
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี public choice อธิบายได้ว่า นักการเมืองเปรียบเสมือนผู้ผลิต สินค้าและบริการ ผ่านการผลิตและนำเสนอนโยบายพร้อมนับ ไปปฏิบัติ ในขณะที่ประชาชนเปรียบเสมือนผู้บริโภค (customers) ทำหน้าที่ในการเลือกซื้อสิ้นค้าและบริการตาม ความต้องการของตนเอง 54
บ3ทท ี่ ประวัติและพัฒนาการเมืองถ่ิน จังหวัดกาญจนบุรี 3.1 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด กาญจนบุรี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณา- ญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศและพลเรือน เรียกกลุ่มตนเอง ว่า “คณะราษฎร” ทำการยึดอำนาจพระบาทสมเด็จพระ- ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยการจับกุมบุคคลสำคัญเป็นตัวประกันและขอประราชทาน รัฐธรรมนูญเพื่อใช้ในการปกครองประเทศคือ พระราชบัญญัติ
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวพุทธศักราช 2475 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นการบังคับใช้ ชั่วคราวมีการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามพุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้บัญญัติให้ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสองประเภทที่มีจำนวน สมาชิกเท่ากันและมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปีคือสมาชิก ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมและสมาชิกประเภทที่ 2 มาจาการแต่งตั้ง การเลือกต้ังสมัยที่ 1 ของไทย การเลือกตั้งครั้งแรกของไทยภายหลังเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 ในยุครัฐบาลพันเอกพระยาพหล- พลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 24763 เป็นการเลือกตั้งทั่วไปเฉพาะสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ในรูปแบบทางอ้อม ในรูปแบบ “ให้ ประชาชนเลือกผู้แทนตำบลก่อน หลังจากนั้นให้ผู้แทนตำบล เป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีกครั้ง” ต่อมา ภายหลังในวันที่ 9 ธันวาคม 2476 ได้มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง สมาชิกประเภทที่ 2 จำนวน 78 คน รวมสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร (ส.ส.) ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 จำนวน 156 คน 3 เกิดขึ้นภายหลังการการเลือกตั้งโดยอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของ ประเทศ หลังจากรัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาว่าปราบกบฏบวรเดช เรียบร้อย แล้ว ในขณะนั้นใช้ “สยาม” เป็นชื่อประเทศ โดยแบ่งการปกครองออกเป็น 70 จังหวัด (เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลงในวันที่ 28 ตุลาคม 2476) 56
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ใช้เกณฑ์จำนวนประชากร 200,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 1 คนเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัดโดยแต่ละ จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง รูปแบบการเลือกตั้งเริ่มจากการเลือกตั้ง ผู้แทนตำบล และผู้แทนตำบล เป็นการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีกทีหนึ่ง การเลือกตั้ง ครั้งแรกดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ คิดเป็น ร้อยละ 41.45 สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรคนแรกของจังหวัดกาญจนบุรี คือ นายดาบยู่เกียง ทองลงยา (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 145) รัฐสภาชุดดังกล่าวนี้มีการแต่งตั้งประธาน รัฐสภาจำนวนมากถึง 4 คนประกอบด้วย (1) เจ้าพระยาธรรม ศักดิ์มนตรี (พ.ศ.2476) (2) พลเรือตรีพระยาศรยุทธเสนี (พ.ศ.2476-2477) (3) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (พ.ศ.2477-2479) (4) พระยามานวราชเสวี (พ.ศ.2479-2480) โดยมพี ระยามโนปกรณ์ นิติธาดาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย สภาชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2480 เป็นการสิ้นสุด ตามวาระ การเลือกตั้งสมัยที่ 2 (7 พฤศจิกายน 2480) หลงั การยบุ สภาไดม้ กี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) ใหม่ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ภายหลังการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2480 เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบแบ่งเขต เขตละ 1 คนอยู่ในวาระ 57
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี 4 ปี ใช้อัตราประชากร 200,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 รวม 91 คน ผู้ได้ รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ นายพิพัฒน์ (เต็ก) ภังคานนท์ ยา (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 145) มีพระยา มานวราชเสวี (พ.ศ.2480-2481) เป็นประธานรัฐสภาและ พระยาพหล พยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สภาชุด ดังกล่าวนี้สิ้นสุดลงจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 การเลือกต้ังสมัยท่ี 3 (12 พฤศจิกายน 2481) การเลือกตั้งครั้งที่ 3 มีขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 3 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 จำนวน 91 คนใช้รูปแบบการเลือกตั้งโดยตรงแบบ แบ่งเขตเขตละ 1 คนอยู่ในวาระ 4 ปีใช้เกณฑ์จำนวนราษฎร 200,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนในการเลือกตั้ง ครั้งนี้ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ของจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ นายพิพัฒน์ (เต็ก) ภังคานนท์) (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 145) สภาชุดนี้สิ้นสุด ลงในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2488 แต่ได้มีการขยายเวลาให้อยู่ใน ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมาชิกประเภทที่ 1) สองครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปีเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่สามารถทำการเลือกตั้งได้โดยมีพระยามานราชเสวี ดำรง ตำแหน่งประธานรัฐสภาระหว่างปี พ.ศ. 2481-2485 นายปลอด วิเชียร ณ สงขลา ระหว่างปี พ.ศ.2485-2486 พลเรือตรีกระแส- 58
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ประวาหะนาวินศรยุทธเสนี พ.ศ. 2486-2487 นายปลอดวิเชียร ณ สงขลาระหว่างปีพ.ศ.2487-2488 และพระยามานวราชเสวี ปี พ.ศ. 2488 และมีพลเอกหลวงพิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีสมัยแรก เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 6 มีนาคม พ.ศ.2485 สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ชุดนี้สิ้นสุดลง ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2488 โดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร การเลือกต้ังสมัยท่ี 4 (6 มกราคม 2489) การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 4 มีขึ้นในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 ใช้การเลือกตั้งโดยตรงแบบแบ่งเขตเขตละ 1 คนมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 จำนวน 96 คนใช้อัตราส่วน ราษฎร 200,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนอยู่ใน วาระ 4 ปี โดยนายจำลอง ธนโสภณ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี พลตรีวิลาศ โอสถานนท์ (พ.ศ.2489 - 2490) เป็นประธานรัฐสภา พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวินศรยุทธเสนี ประธานพฤฒสภาเป็น ประธานรัฐสภา ต่อมาภายหลังได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม4 จำนวน 82 คน ในวันที่ 5 สิงหาคม 2489 โดยนายทอง สุดออมสิน ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด กาญจนบุรีเพิ่มเติม สภาชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการทำรัฐประหาร ของพลโทผิน ชุณหะวัณ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 (ชงคชาญ สวุ รรณมณี และอรยิ ธ์ ชั แกว้ เกาะสะบา้ , 2548, หนา้ 145) 4 การเลือกตั้งดังกล่าวนี้เป็นผลจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 กำหนดให้ยกเลิก ส.ส. (ประเภทที่ 2) ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ 59
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยที่ 5 (29 มกราคม 2491) การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 ตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490” ประกาศใช้ระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ถึง 23 มีนาคม พ.ศ.2492 ได้กำหนด ให้มี 2 สภาคือ 1) สภาผู้แทนราษฎร 2) วุฒิสภาในส่วนของสภา ผู้แทนราษฎรสมาชิกจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงแบบรวมเขต จังหวัดจังหวัดละ 1 คนมีวาระ 4 ปีมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 99 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 29.50 จังหวัดกาญจนบุรี มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายสวัสดิ์ สาระศาลิน (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 145) สภาชุดนี้มี เจ้าพระยา ศรีธรรมาธิเบศ ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2490-2494) มีนายควง อภัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกครั้งเป็นสมัยที่ 3 เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2491 – 25 มิถุนายน พ.ศ.2492 และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สมัยที่ 4 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2492 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 สมัยที่ 5 เมื่อ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 (7 วัน) สมัยที่ 6 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2494 - 24 มีนาคม พ.ศ.2495 สภาชุดนี้สิ้นสุดลงโดยพลเอกผิณ ชุณหะวัณ ทำรัฐประหาร ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 60
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยที่ 6 (26 กุมภาพันธ์ 2495) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 6 มีขึ้น ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2495 สมาชิกประเภทที่ 1 มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 123 คน เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบ รวมเขตจังหวัดรวมเบอร์ ใช้อัตราส่วนราษฎร 200,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน มีวาระ 5 ปีผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี คือ นายฉาย วิโรจน์ศิริ5 สภาชุดนี้มีพลเอกพระประจน ปัจจนึก เป็นประธาน รฐั สภา และจอมพล ป. พบิ ลู สงครามดำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี เป็นสมัยที่ 7 (24 มีนาคม พ.ศ.2495 – 21 มีนาคม พ.ศ.2450) และสภาชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 โดยเป็นการสิ้นสุดลงตามวาระ 5 ปีในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 การเลือกต้ังสมัยท่ี 7 (26 กุมภาพันธ์ 2500) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 7 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 160 คน เป็นการเลือกตั้ง โดยตรงแบบรวมเขตจังหวัด มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประเภทเดียว (เขตจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง) ใช้อัตราส่วนประชากร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน และมีวาระ 5 ปีในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 57.50 และการลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีการสังกัดพรรคการเมืองจำนวนมาก 5 การเป็น ส.ส. ครั้งแรกของนายฉาย วิโรจน์ศิริ นี้มิได้สังกัดพรรค การเมืองแต่อย่างใด 61
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) โดยจงั หวดั กาญจนบรุ ี มจี ำนวน 1 คน คอื นายฉาย วโิ รจนศ์ ริ ิ สงั กดั พรรคเสรมี นงั คศลิ า6 นบั เปน็ นักการเมืองคนแรกของจังหวัดฯ ที่สังกัดพรรคการเมืองและ ขณะเดียวกันก็สามารถชนะการเลือกตั้งติดต่อกัน 2 สมัย อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในครั้งนี้ค่อนข้างมีปัญหาในด้าน ความโปร่งใส ด้วยเกิดช่วยเหลือผู้สมัครสังกัดพรรคเสรีมนัง- คศิลา ซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นหัวหน้าพรรคและ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 8 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2500 – 16 กันยายน พ.ศ. 2500 อย่างไรก็ตามภายหลัง นายพจน์ สารสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500 – 1 มกราคม พ.ศ.2501 สภาชุดนี้มี พลเอก ประจน ปัจจนึก เป็นประธานรัฐสภาและสิ้นสุดลงเมื่อ วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 โดยการทำรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะ สะบ้า, 2548, หน้า 145) 6 การจัดตั้งพรรคของทหารมักเกิดขึ้นภายหลังการยึดอำนาจ หรือมี อิทธิพลครอบงำการเมือง โดยในปี 2500 พรรคเสรีมนังคสิลา จัดตั้งโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เช่นเดียวกับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จัดตั้งพรรคสหภูมิ หลังจากนั้นในปี 2501 จอมพลสฤษดิ์ จึงได้ตั้งพรรคชาติสังคม ในขณะที่ปี 2512 จอมพลถนอม กิติขจร ตั้งพรรค สหประชาไทย ในปี 2521 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ มีพรรคเสรีธรรม สนับสนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปี 2535 พรรคสามัคคีธรรม ก็เป็นพรรคที่สนับสนุนพลเอกสุจินา คราประยูร ในขณะที่ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่เรียกว่า “สหพรรค” ให้การ สนับสนุน 62
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยท่ี 8 (15 ธันวาคม 2500) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 8 มีขึ้น ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 160 คนเป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบรวมเขตจังหวัด (เขตจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน และมีวาระการ ดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็น รอ้ ยละ 44.07 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) จงั หวดั กาญจนบรุ ี มีจำนวน 1 คน คือ นายแผน ศิริเวชชะพันธ์7 สังกัดพรรค ชาติสังคม สภาชุดนี้มีพลเอกสุทธิ์ สุทธิสารรณกร เป็นประธาน รัฐสภา ระหว่าง ปี พ.ศ. 2500 และในช่วงปี พ.ศ. 2502 - 2511 พลเอก พระประจน ปัจจนึก (พ.ศ. 2500 - 2501) นายทวี บุณยเกตุ (พ.ศ.2511) และมีพลโท ถนอม กิตติขจร ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อด้วยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 – 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506) และจอมพล ถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง (สมัยที่ 2) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506 - 7 มีนาคม พ.ศ. 2512 หลังจาก มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2511 (ฉบับที่ 8) (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะ- สะบ้า, 2548, หน้า 146) 7 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) สมัยแรก 63
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยที่ 9 (10 กุมภาพันธ์ 2512) การเลือกตั้งครั้งที่ 9 เป็นการเลือกตั้งทั่วไปตาม บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญโดยมีขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 219 คน เป็นการ เลือกตั้งโดยตรงแบบรวมเขตใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน มีวาระ 4 ปีมีผู้มาใช้สิทธิ์ เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 49.16 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จังหวัดกาญจนบุรีมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 2 คน ประกอบด้วย นางจินดา อังศุโชติ และนายบุญเทียม ประสมศักดิ์ ทั้งสองคนสังกัดพรรคสหประชาไทย8 โดยมีพลเอก นายวรการ บัญชา ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2511 - 2514) สภาชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 หลังจากจอมพล ถนอม กิตติขจร ได้ทำการปฏิวัติ และเข้าบริหารประเทศแต่ได้รับแรงต่อต้านจากนักศึกษา ประชาชนจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 วันมหาวิปโยค เป็นวันประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญครั้งหนึ่งของไทย รัฐบาลชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของจอมพล ถนอม กิตติขจร ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 (ชงคชาญ สวุ รรณมณี และอรยิ ธ์ ชั แกว้ เกาะสะบา้ , 2548, หนา้ 146) 8 การเลือกตั้งครั้งนี้ จังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้น 1 คน ทั้งนี้นางจินดา อังศุโชติ และนายบุญเทียม ประสมศักดิ์ เป็น ส.ส. สมัยแรก โดยนางจินดาฯ นับเป็น ส.ส. หญิง คนแรกของจังหวัดอีกด้วย 64
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยท่ี 10 (26 มกราคม 2518) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 10 วนั ท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ตามบทเฉพาะกาลของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2517 (ฉบับที่ 10) จำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 269 คน เป็นการเลือกตั้ง โดยตรงแบบผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนมีวาระ 4 ปี มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 47.17 สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 3 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายแผน สิริเวชชะพันธ์9 สังกัดพรรคเกษตรสังคม พลโทชาญ อังศุโชติ10 สังกัดพรรคธรรมสังคม และนายฉิม ชอบธรรม สังกัดพรรค 9 นายแผน สิริเวชชะพันธ์ ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็น ส.ส. ครั้งที่สอง หลังจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ตำแหน่งทาง การเมืองสำคัญ ประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยเป็นการดำรงตำแหน่งในรัฐบาล หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ทั้งหมด 10 พลโทชาญ อังศุโชติ เข้าสู่นามการเลือกตั้งครั้งแรกแทนนางจินดา อังศุโชติ ภรรยา ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ครั้งก่อน ทั้งนี้พลโทชาญ อังศุโชติ เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีความใกล้ชิดกับ จอมพล ถนอม กิติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นอย่างมาก เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ เอกอัคราชทูตไทยประจำประเทศออสเตรเลีย ผู้อำนวยการสำนัก งบประมาณ รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี 65
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ประชาธิปัตย์11 ภายหลังการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธาน รฐั สภา มหี มอ่ มราชวงศเ์ สนยี ์ ปราโมช หวั หนา้ พรรคประชาธปิ ตั ย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518- 14 มนี าคม พ.ศ. 2518) รฐั สภาชดุ นส้ี น้ิ สดุ ลงเมอ่ื วนั ท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2519 โดยการยุบสภา (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) การเลือกต้ังสมัยที่ 11 (4 เมษายน 2519) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 11 มีขึ้นในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 จำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 279 คนเป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม (เขตละ ไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 คน และมีวาระ 4 ปีในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มา ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 43.99 และสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน 3 คน 1 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายแผน สิริเวชชะพันธ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้เป็นผู้สมัคร ส.ส. ในสังกัดพรรค ประชาธิปัตย์เพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกตั้ง12 ในขณะผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. อีกสองคน คือ นายยงยุทธ ตันพิริยะกุล และนายประวิทย์ วอนเพียร ทั้งสองคนสังกัดพรรคชาติไทย13 11 เป็นการลงเลือกตั้งครั้งแรกและได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก 12 เป็นการเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีครั้งสุดท้าย ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ได้ย้ายพรรคทั้ง 3 ครั้ง 13 การเลือกตั้งครั้งนี้ นายยงยุทธ ตันพิริยะกุล และนายประวิทย์ วอนเพียร ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรก โดยทั้งสองสังกัดพรรคชาติไทย และเป็นครั้งแรกที่พรรคชาติไทยมี ส.ส.ในจังหวัดกาญจนบุรี 66
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) ผลการเลือกตั้งดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ พรรคชาติไทยในการเข้าครอบครองพื้นที่ทางการเมืองในจังหวัด กาญจนบุรีในช่วงเวลานั้น โดยนายแผน สิริเวชชะพันธ์ เป็น นักการเมืองเพียงคนเดียวที่ได้รับการเลือกเป็นครั้งที่ 3 แม้ว่าจะ การย้ายพรรคทุกครั้งก็ตาม สำหรับสภาชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการ ปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองของคณะการปฏิรูปการปกครอง แผ่นดินโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 การเลือกต้ังสมัยท่ี 12 (22 เมษายน 2522) เป็นการกลับมาเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อมีการนำรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2521 (ฉบับที่ 13) มาใช้ ทั้งนี้ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 12 ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 301 คน เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม (เขตละ ไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 คนและมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี มีผู้มาใช้ สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 43.90 การเลือกตั้ง ในครั้งนี้ไม่มีการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติได้มีการจัดองค์กรและหาเสียงในนามของ พรรคการเมือง ผลการเลือกตั้งจังหวัดกาญจนบุรี มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 เขต ประกอบด้วย พลโทชาญ อังศุโชติ 67
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ในนามพรรคชาติไทย นางสมทรง จันทาภากุล พรรคสยาม- ประชาธิปไตย และ นายชวิน เป้าอารีย์ สังกัดพรรคกิจสังคม14 (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) สำหรับสภาชุดนี้มีพลอากาศเอกหะริน หงสกุล ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา มีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 30 เมษายน พ.ศ. 2526 สภาชุดนี้สิ้นสุด ลงเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 โดยมีการยุบสภาเพื่อให้มี การเลือกตั้งใหม่ การเลือกต้ังสมัยที่ 13 (18 เมษายน 2526) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 13 จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 ในการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 324 คน เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนมีวาระ 4 ปีมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 50.76 การเลือกตั้งในครั้งนี้กฎหมายได้บังคับให้พรรคการเมือง 14 การเลือกตั้งครั้งนี้ พลโทชาญ อังศุโชติ ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งเป็น สมัยที่ 2 ในขณะที่นางสมทรง จันทาภากุล และนายชวิน เป้าอารีย์ ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก 68
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ต้องส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดแต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็น ตอ้ งสงั กดั พรรคการเมอื งกไ็ ด้ การเลอื กตง้ั ครง้ั นจ้ี งั หวดั กาญจนบรุ ี แบ่งออกเป็น 2 เขต มีจำนวน ส.ส. เขตละ 2 คน ประกอบด้วย ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ และพลโท ชาญ องั ศโุ ชติ สำหรบั เขตเลอื กตง้ั ท่ี 2 ไดแ้ ก่ นายเรวตั ศริ ศิ ลิ วตั นกุ ลุ และนางจนิ ดา องั ศโุ ชติ โดยนายเรวตั ศริ ศิ ลิ วตั นกุ ลุ เป็น ส.ส.สังกัดพรรคกิจสังคม โดยอีกสามท่านสังกัดพรรค ชาติไทย ในขณะเดียวกันพลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรก15 สภาชุดนี้มนี ายจารุบุตร เรืองสุวรรณ (พ.ศ. 2526 - 2527) นายอุกฤษ มงคลนาวิน (พ.ศ. 2527 - 2529) ประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภาและมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2526 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สภาชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการยุบสภาเมื่อ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 การเลือกต้ังสมัยท่ี 14 (27 กรกฎาคม 2529) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 14 มีขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ในการเลือกตั้งครั้งนี ้ มจี ำนวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทง้ั สน้ิ 347 คนเปน็ การเลอื กตง้ั โดยตรงแบบผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนและมีวาระใน 15 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสมัยที่ 3 ของพลโทชาญ อังศุโชติ และครั้งที่ 2 ของนางจินดา อังศุโชติ 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การดำรงตำแหน่ง 4 ปี ผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็น ร้อยละ 61.43 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทุกคนต้องสังกัดพรรคการเมืองและพรรคการเมืองต้อง ส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัด กาญจนบุรีแบ่งออกเป็น 2 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 มีจำนวน ส.ส. 2 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้แก่ พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ และนายคงศักดิ์ กลีบบัว และเขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต สิรินุกุล และนางสมทรง จันทภากุล โดย ส.ส. แต่ละคนสังกัดพรรคแตกต่างกัน กล่าวคือ พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ สังกัดพรรคชาติไทย นายคงศักดิ์ กลีบบัว สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ นายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคกิจประชาคม และนางสมทรง จันทาภากุล สังกัดพรรคราษฏร16 (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) สภาชุดนี้มีนายจารุบุตร เรืองสุวรรณ (พ.ศ. 2526 - 2527) นายอุกฤษ มงคลนาวิน (พ.ศ. 2527 - 2529) ประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภาพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2529 – 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 สำหรับสภาชุดนี้ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดยการยุบสภา 16 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ และ นายเรวัต ศิรินุกุล ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. 2 สมัยติดต่อกัน สำหรับนางสมทรง จนั ทาภากลุ ชนะการเลอื กตง้ั ไดก้ ลบั มาเปน็ ส.ส.อกี ครง้ั ในขณะทน่ี ายคงศกั ด์ิ กลีบบัว ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก 70
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกตั้งสมัยที่ 15 (24 กรกฎาคม 2531) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 15 ได้มีขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ในการเลือกตั้งครั้งนี ้ มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 357 คนเป็นการเลือกตั้ง โดยตรงแบบผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนมีวาระ 4 ปี ผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 63.56 ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนต้องสมัครในนามพรรคการเมือง และพรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดการเลือกตั้ง ครั้งนี้จังหวัดกาญจนบุรีแบ่งออกเป็น 2 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 มีจำนวน ส.ส. 2 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้แก่ พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ และ นายพินิจ จันสมบูรณ์ และเขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต สิรินุกุล และ นายชวิน เป้าอารีย์ โดย พลตำรวจโท จำรัส มังคลารัตน์ และ นายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคชาติไทย17 ในขณะที่นายพินิจ จันสมบูรณ์ สังกัดพรรคพลังธรรม และนายชวิน เป้าอารีย์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) 17 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ และ นายเรวัต ศิรินุกุล ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. 3 สมัยติดต่อกัน สำหรับนายชวิน เป้าอารีย์ ชนะการเลือกตั้งได้กลับมาเป็น ส.ส.อีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 หลังจากว่างเว้นไป 2 สมัย ในขณะที่นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก 71
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี สภาชุดนี้มีนายอุกฤษ มงคลนาวิน (พ.ศ. 2531 - 2532) เป็นประธานรัฐสภาและร้อยตำรวจตรีวรรณ ชันซื่อ ประธาน วุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2532 -2534) พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 และอีกครั้งในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 สภาชุดนี ้ ได้สิ้นสุดลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โดยการรัฐประหาร ยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ทั้งนี้การปกครอง โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้ การนำของพลเอกสนุ ทร คงสมพงษ์ สน้ิ สดุ ลงในวนั ท่ี 22 มนี าคม พ.ศ. 2535 เพราะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2534 (ฉบบั ท่ี 15) การเลือกต้ังสมัยท่ี 16 (22 มีนาคม 2535) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 360 คน โดยจำนวนไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวน ราษฎรที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม เขตละไม่เกิน 3 คนและมีวาระ 4 ปีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 59.28 ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทุกคนต้องสมัครในนามพรรคการเมืองและพรรค การเมืองต้องส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 120 คน ผลการเลือกตั้งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส ส. จังหวัด กาญจนบุรี ประกอบดว้ ย เขตเลอื กตั้งท่ี 1 ได้แก่ นาวาอากาศโท 72
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี เดชา สุขารมณ์18 และนายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต สิรินุกุล และนายสันทัด จีนาภักดิ์ โดย 3 คน เป็น ส.ส. สังกัดพรรคชาติไทย ยกเว้นนายพินิจ จันทร์- สมบูรณ์ เพียงคนเดียวที่สังกัดพรรคพลังธรรม (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 146) สภาชุดนี้มีนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 โดยการยุบสภาซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์ เดินขบวนประท้วงขับไล่พลเอก สุจินดา คราประยูร ที่ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นเหตุให้ประชาชน นักวิชาการนักศึกษาและนักการเมืองร่วมกันเดินขบวนขับไล่ พลเอก สุจินดา คราประยูร และได้มีการสลายการชุมนุมด้วย ความรุนแรงการยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมประท้วง จนกระทั่งเกิด เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเรียกว่า“พฤษภาทมิฬ” ต่อมา พลเอก สุจินดา คราประยูร ต้องลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งภายหลังได้มีการยุบสภาเพื่อให้มีการ เลือกตั้งใหม่ การเลือกตั้งสมัยท่ี 17 (13 กันยายน 2535) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 17 ในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 18 นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ และนายสันทัด จีนาภักดิ์ ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก ในขณะที่นายเรวัต สิรินุกุล เป็น ส.ส. 4 สมัย ติดต่อกัน และ นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ เป็น ส.ส. สมัยที่ 2 73
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ส.ส. 360 คน เป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎรเฉลี่ยทั้งประเทศต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 360 คนประมาณ 150,000 คนต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 คนและมีวาระ 4 ปีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 61.61 ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทุกคนต้องสังกัดพรรคการเมืองและพรรคการเมือง ต้องส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 120 คน สำหรับ ผลการเลือกตั้ง ส ส. จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นาวาอากาศโทเดชา สุขารมณ์และ นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเรวัต สิรินุกุล และนายสันทัด จีนาภักดิ์ โดย 3 คน เป็น ส.ส. สังกัด พรรคชาติไทย ยกเว้นนายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ เพียงคนเดียว ที่สังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของปี19 (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 147) สภาชุดนี้มีนายมารุต บุนนาค ประธานสภาผู้แทน ราษฎรเป็นประธานรัฐสภามีนายชวนหลีกภัย ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 – 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 และสภาชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 โดยการยุบสภา 19 นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ และนายสันทัด จีนาภักดิ์ ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่สอง ในขณะที่นายเรวัต สิรินุกุล เป็น ส.ส. 5 สมัย ติดต่อกัน และ นายพินิจ จันทร์สมบรู ณ์ เป็น ส.ส. สมัยที่ 3 ติดต่อกัน 74
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกคร้ังสมัยที่ 18 (2 กรกฎาคม 2538) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 18 วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 391 คนเป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบ ผสมเขตละไม่เกิน 3 คนใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน และมีวาระในการดำรง ตำแหน่ง 4 ปีในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 62.04 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้ที่มีอายุ ไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการจัด เลือกตั้งมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ผู้สมัคร ส.ส. ทุกคนต้อง สังกัดพรรคการเมืองและพรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกสมัคร รับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1/4 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด จังหวัด กาญจนบุรี มีจำนวน ส.ส. รวม 5 คน แบ่งออกเป็น 2 เขต ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 มีจำนวน ส.ส. 3 คนได้แก่ พลตรี ศรชัย มนตรีวัต และ นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร สังกัดพรรคนำไทย นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ สังกัดพรรคชาติไทย เขต เลือกตั้งที่ 2 มี ส.ส. จำนวน 2 คน ได้แก่ นายประชา โพธิพิพิธ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และนายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรค ชาติไทย20 (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 147) 20 พลตรีศรชัย มนตรีวัต นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร และนายประชา โพธิพิพิธ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีสมัยแรก ในขณะที่ นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 และนายเรวัต สิรินุกุล เป็น ส.ส. สมัยที่ 6 75
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังการเลือกตั้งพรรคชาติไทยประสบชัยชนะในการ เลือกตั้งได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาล โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้รับคะแนนเสียงเป็น อันดับหนึ่งของประเทศ จำนวน 218,376 คะแนน ในฐานะ หัวหน้าพรรคชาติไทยทำให้ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2538 - 2539) นายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงปีเศษระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 25 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2539 ตอ้ งตดั สนิ ใจ ยุบสภา เนื่องจากอภิปรายในสภาฯ และถูกกดดันอย่างหนักทั้ง จากปัญหาภายในพรรคชาติไทย และพรรคร่วมรัฐบาล การเลือกครั้งสมัยท่ี 19 (17 พฤศจิกายน 2539) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 19 วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 393 คนเป็นการเลือกตั้งโดยตรงแบบ ผสม (เขตละไม่เกิน 3 คน) ใช้อัตราส่วนราษฎร 150,000 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 มีวาระ 4 ปีมีผู้มาใช้สิทธิ ์ เลือกตั้งทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 62.42 ผู้สมัคร ส.ส. ทุกคน ต้องสังกัดพรรคการเมืองและพรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกลง สมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1/4 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด จังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน ส.ส. รวม 5 คน ใน 2 เขต คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ พลตรี ศรชัย มนตรีวัต สังกัดพรรค ความหวังใหม่ พลเอกวัฒนชัย วุฒิศิริ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ สังกัดพรรคชาติไทย เขต 76
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี เลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายประชา โพธิพิพิธ สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ และนายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคชาติไทย21 หลังการ เลือกตั้งพรรคความหวังใหม่ประสบกับชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด ทำให้พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรี (25 พฤศจิกายน พ.ศ.2539-9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540) และนายวันมูหะมัด นอร์มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2539 - 2543) อย่างไรก็ตาม พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่ง นายกได้เพียง 1 ปีเดียวก็ลาออกจากตำแหน่งหลังจากประสบ ปัญหาทางการเมืองภายหลังปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้ นายชวน หลีกภัยได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเป็น สมัยที่สอง สำหรับสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงในวันที่ 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2543 โดยการยบุ สภา (ชงคชาญ สวุ รรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 147) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 20 (วันท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2544) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 20 ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 มีจำนวน ส.ส. ทั้งสิ้น 500 คน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 21 พลเอกวัฒนชัย วุฒิศิริ ได้รับเลือกเป็น ส.ส. สมัยแรก พลตรีศรชัย มนตรีวัต นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร และนายประชา โพธิพิพิธ ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีสมัยที่ 2 ในขณะที่นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 4 และนายเรวัต สิรินุกุล เป็น ส.ส. สมัยที่ 7 ติดต่อกัน 77
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 400 คนและการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน ซึ่งเป็นมิติใหม่การเมืองไทยเพราะการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 (ฉบับที่ 16) รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูป การเมืองทำให้การเมืองไทยมีความทันสมัยและเป็น ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น จังหวัดกาญจนบุรีมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 5 คน แบ่งตามเขตเลือกตั้ง 5 เขต (ตามข้อกำหนดการแบ่งเขตเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว) ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 นาวาอากาศ โทเดชา สุขารมณ์ สังกัดพรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสันทัด จีนาภักดิ์ สังกัดพรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 3 นายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 4 นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 5 นายประชา โพธิพิธ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์22 (ชงคชาญ สุวรรณมณี และอริย์ธัช แก้วเกาะสะบ้า, 2548, หน้า 147) 22 การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคไทยรักไทยได้ ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี 2 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 3 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามต่อมา สำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้งได้ให้ใบเหลืองแก่นาย ประชา โพธิพิพิธ ในเขตเลือกตั้งที่ 5 ทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ พลตรีศรชัย มนตรีวัต จากพรรค ความหวังใหม่ ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีสมัยที่ 3 ในขณะเดียวกันนายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีสมัยที่ 3 นาวาอากาศโท เดชา สุขารมณ์ ด้รับเลือกตั้ง เป็นสมัยที่ 5 และนายเรวัต สิรินุกุล เป็น ส.ส. สมัยที่ 8 ติดต่อกัน โดย นายสันทัด จีนาภักดิ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก 78
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรค การเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ชนะการเลือกตั้งทำให้พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 - 5 มกราคม พ.ศ. 2548) และสภา ชุดนี้ได้สิ้นสุดลงเมื่อครบวาระ 4 ปีในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2548 สภาชุดนี้มีนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานรัฐสภา การเลือกตั้งสมัยท่ี 21 (6 กุมภาพันธ์ 2548) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 21 มีขึ้นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน ประกอบด้วย ส.ส. ระบบ แบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และระบบการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน สำหรับจังหวัดกาญจนบุรีมี ส.ส. จากการเลือกตั้ง 5 คนเช่นเดิม ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 พลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายสันทัด จีนาภักดิ์ เขตเลือกตั้งที่ 3 นายปารเมศ โพธารากุล สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 4 นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร และพลโทมะ โพธิงาม โดยเขตเลือกตั้งที่ 1, 2, 4 และ 5 เป็น ผู้สมัครสังกัดพรรคไทยรักไทย ในขณะที่เขตเลือกตั้งที่ 3 สังกัด พรรคประชาธปิ ตั ย์ อยา่ งไรกต็ ามภายหลงั สำนกั งานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้ใบแดงแก่นายปารเมศ โพธากุล ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และการเลือกตั้งแทนตำแหน่ง ที่ว่างปรากฏว่า นายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคไทยรักไทย 79
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. แทนตำแหน่งที่ว่างดังกล่าว23 (ชงคชาญ สวุ รรณมณี และอรยิ ธ์ ชั แกว้ เกาะสะบา้ , 2548, หนา้ 147) ภายหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล พรรคไทยรักไทย ประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 2 สภาชุดนี้มี นายโภคิน พลกุล เป็นประธานรัฐสภา ต่อมาเกิดวิกฤตทาง การเมืองโดยเกิดประท้วงและเรียกร้องให้พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องการกล่าวหา กรณีปัญหาจริยธรรมในการบริหารประเทศโดย “กลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองสกุล ผู้การจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร” นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ซึ่งจัดชุมนุมประท้วงพร้อม เดินขบวนขับไล่เรียกร้องให้พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ลาออก ต่อมาได้เกิดการยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 และได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 23 ผลการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคไทยรักไทยได้ ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี 4 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 1 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามต่อมา นายปารเมศ โพธารากุล ในเขตเลือกตั้งที่ 3 ได้รับใบแดง ทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้ง ใหม่ ผลปรากฏว่า นายเรวัต สิรินุกุล สังกัดพรรคไทย ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีสมัยที่ 9 ทำให้พรรคไทยรักไทยยึดครองพื้นที่ จังหวัดกาญจนบุรีได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกันนายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรีสมัยที่ 4 นายสันทัด จีนาภักดิ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 2 พลเอก สมชาย วิษณุวงษ์ และพลโท มะ โพธิ์งาม ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยแรก 80
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกต้ังสมัยท่ี 22 (2 เมษายน 2549) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งที่ 22 ในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 การเลือกตั้งครั้งนี้ มีจำนวน ส.ส. 500 คน ประกอบด้วย สมาชิก ส.ส. ในระบบ แบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และระบบการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน จังหวัดกาญจนบุรีมี ส.ส. ที่มา จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต จำนวน 5 คน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ สถานการณ์ทางเมืองในขณะนั้นก็ยังคงไม่ยุติปัญหาได้ เมื่อพรรคการเมืองที่เคยเป็นฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยและพรรคมหาชน ได้ทำการ คว่ำบาตรการเลือกตั้งด้วยการไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเลือกตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินให้การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นโมฆะ จึงทำให้ต้องมีการ เลือกตั้งใหม่โดยกำหนดให้มีขึ้นในในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 แต่ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนอกระบบอีกครั้งทำให้การ เลือกตั้งตามประกาศสิ้นสุดลง โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน (ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้น) ได้ทำการยึดอำนาจด้วยทำ รัฐประหารรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ต่อมาได้มีการดำเนินการแต่งตั้งสมัชชาสภา นติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ ดำเนนิ การรา่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทยพุทธศักราช 2550 โดยแล้วเสร็จและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ อีกครั้งคือวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ในเวลาต่อมา 81
นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี การเลือกต้ังสมัยที่ 23 (23 ธันวาคม 2550) การเลอื กตง้ั ครง้ั น้ี เปน็ การเลอื กตง้ั ส.ส. ตามรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ฉบับที่18 ภายหลัง เหตุการณ์รัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. โดยทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชนิ วตั ร ในวนั ท่ี 19 กนั ยายน 2549 และพลเอกสรุ ยทุ ธ์ จลุ นานนท ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้ง โดยในการเลือกตั้ง กำหนดให้มีจำนวนทั้งหมด 400 คน แบ่งออกเป็นสองประเภท กล่าวคือ ส.ส.จากระบบแบ่งเขต 400 คน หรือเขตละ 1 คน ทั่วประเทศ และจากระบบบัญชีกลุ่มจังหวัด จำนวน 75 คน ภายหลังการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ทั่วประเทศ มีจำนวน ส.ส.ในสังกัดพรรคเกินครึ่งหนึ่งในสภา ทำให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบเขตจังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ พลโท มะ โพธิ์งาม พลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ สังกัดพรรคพลังประชาชน (พรรค เพื่อไทย) นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายปารเมศ โพธารากุล สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ และนายสันทัด จีนาภักดิ์ สังกัดพรรค พลังประชาชน อยา่ งไรกต็ ามตอ่ มาศาลรฐั ธรรมนญู ไดต้ ดั สนิ คดยี บุ พรรค การเมืองเนื่องจากการถูกกล่าวหาทุจริตเลือกตั้งเป็นผลให้ต้อง จัดการเลือกตั้งซ่อม โดยเป็นการเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ฉบับที่ 18 พรรคที่ถูก 82
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี ตัดสินให้ต้องยุบพรรค ประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย และ พรรคชาติไทย โดยพรรคชาติไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ ยุบพรรคในวันที่ 1 ธันวาคม 2551 เป็นเหตุให้กรรมการบริหาร พรรคถกู ตัดสิทธิ์และต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้พรรคการเมืองที่ถูกยุบต้อง จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ อาทิ พรรคไทยรักไทย จัดตั้งใหม่ชื่อ “พรรคพลังประชาชน” พรรคชาติไทย จัดตั้งใหม่ในชื่อ “พรรค ชาติไทยพัฒนา” นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการเมืองได้ทำการแยกตัว ออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยเฉพาะ ส.ส.ในพรรค พลังประชาชนบางส่วนได้แยกตัวออกไปตั้งพรรคภูมิใจไทย สำหรับในจังหวัดกาญจนบุรี นายสันทัด จีนาภักดิ์ ได้แยกตัว ออกไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยของกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ การเลือกตั้งสมัยที่ 24 (พ.ศ.2554) การเลอื กตง้ั ส.ส. ครง้ั นจ้ี งั หวดั กาญจนบรุ แี บง่ เขตเลอื กตง้ั ออกเป็น 5 เขต มี ส.ส. จำนวน 5 คน ผลการเลือกตั้ง มีเพียง 2 พรรคการเมืองเท่านั้นที่ชนะการเลือกตั้ง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย ได้ 2 ที่นั่ง ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 พลเอก สมชาย วิษณุวงศ์ และ เขตเลือกตั้งที่ 3 นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ ในขณะทพ่ี รรคประชาธปิ ตั ย์ ได้ 3 ทน่ี ง่ั ประกอบดว้ ย เขตเลอื กตง้ั ที่ 2 นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร เขตเลือกตั้งที่ 3 นายประชา โพธิพิพิธ และเขตเลือกตั้งที่ 5 นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ทั้งนี้ ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีในสังกัดของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองสมัยแรก 2 คน ยกเว้นนายประชา โพธิพิพิธ ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. กาญจนบุรี สมัยที่ 2 หลังจากที่เคย 83
นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดกาญจนบุรี ในการเลือกตั้ง สมัยที่ 20 ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 3.2 พัฒนาการการเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างปี พ.ศ. 2475 – 2518 ยุคแรกของการเมืองจังหวัดกาญจนบุรี มิได้มีความ แตกต่างกับการเมืองหรือการเลือกตั้งในจังหวัดอื่นๆ ของ ประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นผู้ภายใต้เงื่อนไขที่มาของนักการเมือง ระดับชาติมักจำเป็นต้องมีภูมิหลังในอาชีพราชการหรือไม่ก็มี ฐานะทางเศรษฐกิจระดับชั้นนำของจังหวัดมาก่อน ด้วยเหตุผล ของการมีอำนาจที่ได้สั่งสมและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ข้าราชการหรือระบบราชการของจังหวัดคือ นักการเมืองระดับ ชาติในความเข้าใจของชาวบ้านจำเป็นต้องมีฐานะทางสังคม และทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป นั่นคือ ต้องมีชื่อเสียง มีทั้งอำนาจและทบบาทที่สามารถดำเนินการใด ๆ ในการให้ คุณให้โทษ และความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ภายใต้ระบบเจ้านาย มาก่อน ในขณะที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์เชิง อำนาจดังกล่าวเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่นักการเมืองจังหวัด กาญจนบุรีในยุคแรก ๆ จำเป็นต้องมีพื้นฐานจากชนชั้น ข้าราชการ หรือต้องเป็นผู้นำชาวบ้านที่มีบารมีและอิทธิพล ควบคู่ไปกันไป นักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีในยุคนั้น จึงประกอบไปด้วยนักการเมืองที่มีอาชีพรับราชการและเป็นผู้ที่ มีฐานะระดับคหบดีของจังหวัดมาก่อน สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของจังหวัด กาญจนบุรีนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 และ 84
ประวัติและพัฒนาการทางเมืองถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ประกอบด้วย ส.ส.คนแรก คือ อาทิ นายดาบยู่เกียง ทองลงยา (การเลือกตั้ง ครั้งที่ 1 พ.ศ.2476) คนที่สอง นายพิพัฒน์ (เต็ก) ภังคานนท์ เป็นต้น การเลือกตั้งสมัยที่ 2 (7 พฤศจิกายน 2480) และสมัยที่ 3 (พ.ศ.2481) ถือเป็นนักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีคนแรกที่ได้ รับเลือกตั้ง 2 สมัยติดต่อกัน และ ในการเลือกตั้งสมัยที่ 4 (6 มกราคม 2489) ส.ส. คนแรกที่ได้รับเลือกตั้งคือ นายจำลอง ธนโสภณ ต่อมาได้มีการเลือกตั้งเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม 2489 ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. คือ นายทอง สุดออมสิน ในการ เลือกตั้งสมัยที่ 5 (29 มกราคม 2491) นายสวัสดิ์ สาระสาลิน ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สำหรับในการเลือกตั้งครั้งที่ 6 มีขึ้นใน วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2495 นายฉาย วิโรจน์ศิริ ได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ส.ส.ทุกคนมิได้ สังกัดพรรคการเมืองแต่อย่างใด การสังกัดพรรคการเมืองของนักการเมืองจังหวัด กาญจนบรุ ี เรม่ิ ตน้ ครง้ั แรกในการเลอื กตง้ั ครง้ั ท่ี 7 (26 กมุ ภาพนั ธ์ 2500) จังหวัดกาญจนบุรีมีจำนวน ส.ส.เพียง 1 คน เช่นเดิม ได้แก่ นายฉาย วิโรจน์ศิริ พรรคเสรีมนังคศิลา ซึ่งนับเป็น นักการเมืองคนที่สองที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ติดต่อกัน 2 สมัย ต่อจากนายพิพัฒน์ (เต็ก) ภังคานนท์ การเลือกตั้ง ในครั้งนี้ค่อนข้างมีปัญหาในด้านความโปร่งใส ด้วยเกิด ช่วยเหลือผู้สมัครจากพรรคเสรีมนังคศิลา ซึ่งมีจอมพล ป. พิบูล สงครามเป็นหัวหน้าพรรคและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (21 มีนาคม พ.ศ. 2500 – 16 กันยายน พ.ศ.2500) อย่างไร ก็ตามภายหลังนายพจน์ สารสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายก- 85
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372