Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ในสังคมได้ ในระบบเศรษฐกิจได้ พอประชาชนมีรายได้ มากขึ้น ก็มีค่าใช้จ่าย ก็กระตุ้นเศรษฐกิจ เงินจากระดับ รากหญ้า ออกไปในระบบมันจะหมุนหลายรอบกว่า แล้วเงินพวกนี้ไม่เก็บ ประชาชนก็มีความต้องการ ทำให้ เศรษฐกิจเจริญเติบโต เพราะเค้าไปซื้อของร้านค้า ในหมู่บ้าน ร้านค้าหมู่บ้านไปซื้อในอำเภอ อำเภอไปซื้อใน จังหวัด จังหวัดก็ต้องสั่งจากผู้ส่ง พ่อค้าขายส่งก็ต้องไป โรงงาน โรงงานก็ไปวัตถุดิบ นี่มันก็หมุน 7 รอบแล้ว... หากจะประเมินความสำเร็จของตนเอง จากการได้ทำอะไร ไว้เยอะกับบ้านเมือง จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่เป็นโครงการ ที่ทำทั้งระยะสั้น ระยะยาว วิธีการมอง มองระยะยาวมาก กว่าระยะสั้น เพราะการแก้ไขปัญหาระยะสั้นมันทำให้ดู เหมือนว่าแก้ไขปัญหามันยังกระทบเรื่องอื่นอีก เพราะเรา ทำการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มันเลยแก้ไขไม่จบสิ้น เสียที แก้ไขมา 30 ปี ก็ยังเหมือนเดิม” (สุวิทย์ คุณกิตต,ิ สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ภายใต้คำอธิบายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริง และชี้ให้เห็นว่าหาก นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่พัฒนาให้ทันกับกระแส การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวย่อมได้รับการท้าทาย จากประชาชนผ่านคะแนนเสียงเลือกตั้ง และเป็นเหตุผลที่ว่า ในพื้นที่เลือกตั้งของจังหวัดขอนแก่นนั้นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน 86

ข้อมูลท่ัวไป มีโอกาสที่จะสอบตกหรือไม่ได้รับการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้ ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงมาแล้ว มรดกทางวัฒนธรรมในการเมืองถ่ินจังหวัด ขอนแก่น ในทัศนะของสุวิทย์ คุณกิตติ ซึ่งมีประสบการณ์ ทางการเมืองมาอย่างยาวนานนั้น การเรียนรู้และเข้าใจในความ ต้องการรวมถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น สำหรับนักการเมือง พรรคการเมือง ตลอดจนรัฐบาลและระบบ ราชการ ความเข้าใจที่มีต่อชาวบ้านในความต้องการด้านต่าง ๆ นั้นเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิธีคิดของระบบราชการและแม้แต่ รัฐบาลเอง สิ่งดังกล่าวเป็นผลมาจากระบบและโครงสร้างทาง สังคมที่มีอยู่ในอดีตและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน อาทิ ทัศนคติ และความเชื่อของระบบราชการที่ไม่ไว้วางใจในความรู้ ความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริตของประชาชนในการ ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้าน งบประมาณจากรัฐ ในขณะเดียวกันยังเกี่ยวข้องกับปัญหาของ ระบบราชการในประเด็นการคอรัปชั่นซึ่งทำให้โครงการหรือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้รับการนำไปปฏิบัติประสบกับความล้มเหลว ทั้งนี้สุวิทย์ คุณกิตติ ได้อธิบายไว้ดังนี้ “เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก อายุน้อย 35 ปี นอกนั้น 60 - 65 ปี เป็นผู้ใหญ่ ยังให้ความไว้วางใจ เคารพนับถือกัน มาจนปัจจุบัน มันก็ไม่มีอะไรมาก คือ วิธีการแก้ไขปัญหา ของเรา เรามองข้ามมีแต่คิดว่าชาวบ้านไม่รู้ ไม่เข้าใจ จริง ๆ แล้ว ชาวบ้านรู้ ชาวบ้านเข้าใจ เพราะเราไม่เข้าใจ ชาวบ้าน ไม่ใช่ชาวบ้านไม่เข้าใจเรา เราเข้าไม่ถึงชาวบ้าน 87

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ส่วนใหญ่เราคิดว่าชาวบ้านไม่พร้อม ต้องให้ฝึกอบรมก่อน ต้องพัฒนาก่อน จริง ๆ แล้ว ไม่จำเป็น ศักยภาพมีอยู่แล้ว เพียงเราให้โอกาส ให้เงิน ให้งานชาวบ้านไปทำ ทำแล้ว ชาวบ้านก็รับผิดชอบเอง แต่ถ้าเราคิดว่าชาวบ้านไม่พร้อม ไปแนะนำชาวบ้าน ชาวบ้านทำไหม ชาวบ้านก็ทำ เอาเงิน ให้ชาวบ้าน ชาวบ้านก็เอา แต่ทำแล้วใครรับผิดชอบ รัฐบาลก็รับผิดชอบ อย่างกองทุนหมู่บ้านทำเสียหายมา ชาวบ้านต้องรับผิดชอบกันเอง ต้องตามหนี้เอาเงิน กลับมา แต่ถ้าโครงการอื่นแล้วคุณไปเลย มีกองทุนไหน ประสบความสำเร็จบ้างไหม สัจจะออมทรัพย์ เงินออม ยังไม่เท่ากองทุนเลย กองทุนเงินออมประมาณ หมื่นสาม หมื่นห้าพันล้าน คือวันนี้กองทุนหมู่บ้าน มันเป็นการแก้ไข ปัญหาของการทุจริตคอรัปชั่นด้วย เงินลงถึงชาวบ้าน 100 เปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง ตัดขั้นตอน ราชการลงไป การกินหัวคิวก็ไม่มี ในส่วนราชการ ในส่วน ชาวบ้านก็ได้เต็มร้อย เรื่องของ SML ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะผ่านระบบราชการอยู่” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) นอกจากนี้แล้วสุวิทย์ คุณกิตติ ยังได้อธิบายถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสังคมซึ่งเกิดจาก ความไม่ไว้วางใจชาวบ้านอย่างน่าสนใจดังนี้ “จริง ๆ แล้ว ที่บอกเศรษฐธรรม โมเรลอิคอนอมี่ อะไรต่อมิอะไรนี้ มันไม่มีอะไร ที่ผมทำทั้งหมดที่เป็น 88

ข้อมูลทั่วไป รูปธรรม และไม่มีใครทำอย่างนี้หรอก เพราะว่าจริง ๆ แล้ว เงิน 8 หมื่นล้าน 9 หมื่นล้าน งบบริหารเงินกองทุน หมู่บ้านปีหนึ่งไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณที่ลงไป โครงการของรัฐทั้งหมด งบบริหารต้องเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่งบโครงการหมู่บ้าน งบบริหารน้อยมาก และ ให้ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง งบประมาณที่รัฐตั้งให้ สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน ชุมชนเมือง ปีหนึ่ง 2-3 ร้อยล้าน บริหารเงินแสนล้าน บริหารเงินรัฐ 90 หมื่นล้าน = 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง น้อยมาก เดี๋ยวนี้ซัก 5-6 ร้อยล้าน เปรียบเทียบกับโครงการอื่นแล้วน้อยมาก” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) สำหรับแนวคิดทางการเมืองของสุวิทย์ คุณกิตติที่มี ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น เห็นว่า ปัจจัยสำคัญคือ การเกิดขึ้นของนักการเมืองรุ่นใหม่ซึ่งจะเข้ามาทดแทนนักการ เมืองรุ่นเก่า ทั้งนี้ด้วยวิธีคิดและค่านิยมทางการเมืองที่มีความ แตกต่างกัน โดยการสนับสนุนและสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ เข้าสู่การเมืองนั้นเป็นสิ่งที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต “ถ้าเราไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็คาด หวังอะไรได้ไม่มาก เพราะว่าการเมืองก็เหมือนเดิมมา ตลอด เพราะฉะนั้นวันนี้กิจสังคมก็นำเสนอคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนใหม่ทั้งหมด เราไม่มีอดีต สส. ในปัจจุบันลงเลือกตั้งในพรรคเลยขณะนี้ แล้วเราก็ไม่ได้ 89

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เรียกร้อง ไม่ได้ขอให้เค้าอยู่ เพราะว่าวิธีการแนวคิดเรามัน ไปแนวคิดใหม่ อยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้ก้าว เดินไปข้างหน้า แล้วให้คนรุ่นใหม่ คนที่ยังไม่มีโอกาส คนในแตล่ ะกลมุ่ ของสงั คม ไดม้ โี อกาสเขา้ รว่ มกระบวนการ และการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และพัฒนาประเทศ ไทย แล้วก็เปลี่ยนการเมืองแบบเก่าเป็นการเมืองแบบ ใหม่” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) สำหรับสุวิทย์ คุณกิตติแล้วความสำเร็จทางการเมือง เป็นผลสืบเนื่องจากการสนับสนุนของประชาชนในพื้นที่ทั้งใน ระดับท้องถิ่นและข้าราชการ ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับการยอมรับ ก่อนเข้าสู่การเมืองเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามการดำเนินการที่ต่อ เนื่องในขณะเป็นนักการเมืองนั้นมีผลต่อการรักษาฐานคะแนน เสียงหรือกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งจากพ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการส่วน ภูมิภาค ผู้บริหารองค์กรและสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชาวบ้าน และประชาชนทั่วไป 2.4.2 สุชาย ศรีสุพล เป็นชาวอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนภูเวียง จังหวัด ขอนแก่น หลังจากนั้นย้ายไปเรียนโรงเรียนอัสสัมชัน ศรีราชา หลังจากนั้นจึงเข้าเรียนต่อโรงเรียนเซ็นคาเบียน ในระดับ ม.ศ. 4 - 5 และเข้าศึกษาต่อคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น 1 ปี ในยุคสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง พ.ศ. 90

ข้อมูลทั่วไป 2519 แต่ด้วยไม่ชอบเรียนในสาขาดังกล่าวจึงสอบเข้าเรียน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำเร็จการศึกษา ในปี 2525 หลังจากสำเร็จการศึกษากลับมาช่วยกิจการ ครอบครัวซึ่งประกอบกิจการค้าไม้ โรงเลื่อย รับผิดชอบทำไม้ ในพื้นที่ป่า เป็นเวลา 6 ปี ก่อนที่จะประกอบกิจการส่วนตัว ในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างในเวลาต่อมา ราว 10 ปี การเข้าสู่การเมือง สำหรับครอบครัวแล้ว นับตั้งแต่ บรรพบุรุษไม่สนับสนุนให้คนในครอบครัวหรือตระกูลเป็น นักการเมือง ด้วยครอบครัวต้องการประกอบธุรกิจมากกว่า แต่ ด้วยอาชีพที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมือง ข้าราชการ กลุ่ม ผู้นำท้องถิ่น รวมถึงประชาชนในพื้นที่ ประกอบกับการมีพื้นฐาน การศึกษาด้านกฎหมาย และในขณะเดียวกันกับการได้รับการ ชักชวนจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ ให้ลงสู่สนามการเมือง ทำให้ นายสุชาย ศรีสุพล เริ่มมีความสนใจการเมืองมากขึ้น แต่ที่มีผล ต่อการตัดสินใจเข้าสู่การเมืองในการลงสนามเลือกตั้งค่อนข้าง มากคือ คำอธิบายจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ ถึงการเปลี่ยนแปลง ระบบการเมืองที่เกิดขึ้นจากผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2540 ในการมคี ณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ที่ทำหน้าในการจัดการเลือกตั้งและ ตรวจสอบผลการเลือกตั้ง นอกจากนี้การเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทยซึ่งมีแนว นโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและทำงานการเมืองที่มีความ โดดเด่นมากกว่าการเมืองในอดีตที่ผ่านมานั้น ทำให้นายสุชาย ศรีสุพล ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง แม้ว่าจะมีคำทักท้วง ให้คิดอย่างรอบคอบจากครอบครัวก็ตาม 91

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น “ครอบครัวผมตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นบรรพบุรุษจะไม่ให้ ลูกหลานทำงานการเมือง โดยพื้นฐานจริง ๆ แล้วจะวาง รากฐานไว้เลยว่าไม่ให้ทำงานการเมือง เพราะว่าพ่อ ไม่ชอบ เขาชอบทำธุรกิจเงียบ ๆ มากกว่า การเมือง ในสายตาเขา เขามองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ สนใจแม้ว่า เรียนจบนิติศาสตร์ก็จริง แต่ว่าปี 44 มีการ เลือกตั้งใหม่ เกิดพรรคใหม่ขึ้นมา พรรคไทยรักไทย บังเอิญตอนนั้นพวกผมรู้จักท่านสุวิทย์ คุณกิตติ คือทาง ครอบครวั ทำธรุ กจิ มนั ผกู ผนั มนั คลา้ ย ๆ กนั ทา่ นกม็ าชวน มาชวนผมก็ปฏิเสธตลอด จนวันหนึ่งสุดท้าย แกก็บอก วา่ การเมอื งมนั เปลย่ี นไป รฐั ธรรมนญู ใหมป่ ี 40 คอื พดู จรงิ ๆ ผมมองการเมืองเป็นเรื่องสกปรก แล้วก็เราควรทำมา หากินดีกว่าอย่างนี้ แต่ทีนี้ผมก็มอง ผมก็ได้รับการศึกษา เรียนนิติศาสตร์ก็ดูอยู่บ้าง แล้วเห็นว่าก็มันมี กกต. ตามปี 40 มีคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบเลือกตั้ง ที่จริง ผมมองการใช้เงินมันใช้เยอะ แต่พอมันมี กกต. มีระบบ การตรวจสอบเลือกตั้งอย่างงี้ แล้วก็มีพรรคไทยรักไทย ผมก็มองดูนโยบาย เออมันน่าจะลองดู ก็เลยเข้ามาลองดู เข้าสู่การเมืองครั้งแรก....” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์ วันที่ 24 ธันวาคม 2558) การเข้าสู่การเมืองของสุชาย ศรีสุพล จึงมีปัจจัย พื้นฐาน 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะระบบการเลือกตั้งซึ่งเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 และการชักชวนของนายสุวิทย์ คุณกิตติ ซึ่งเป็นนักการเมือง 92

ข้อมูลท่ัวไป ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของจังหวัด และประเทศ ในขณะเดียวกันกับพื้นฐานครอบครัวที่อาจกล่าว ได้ว่ามีความกว้างขวางและเป็นที่รู้จักของประชาชนในพื้นที่ซึ่ง เกิดขึ้นและมีอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างการทำกิจการค้า ไม้กับการช่วยเหลือชาวบ้าน “พื้นฐานครอบครัว พ่อผมทำโรงเลื่อยจึงกว้าง ขวาง มีเพื่อนเยอะเป็นครูเป็นตำรวจ คือสมัยก่อนทำ โรงเลื่อยไม้ก็ไม่มีราคา ทีนี้ไม่ว่าชาวบ้านที่ไหนตายก็มา เอาโรงศพไป เอาไม้ไปทำโรงศพ เพราะฉะนั้นคนภูเวียง และแถว ๆ นี้ก็จะรู้จักตระกูลผมดี พอเข้าสู่การเมือง ตัวผมก็เป็นคนที่อยู่กับชาวบ้านอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างที่จะไป ได้ ก็สนุก นี่คือชีวิตก่อนเข้าสู่การเมือง” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) สำหรับสุชาย ศรีสุพล แล้วการเลือกตั้งครั้งแรก วางอยู่บนความเชื่อที่ว่าไม่ต้องใช้เงินในการหาเสียง พร้อม ๆ กับความมั่นใจในองค์กรที่ดูแลการเลือกตั้งซึ่งจะมีส่วนช่วย ให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งจะทำให้การ ทำงานการเมืองเป็นไปโดยง่ายกว่าการเลือกตั้งในอดีต ในการลงรับสมัครเลือกตั้ง สุชาย ศรีสุพล อธิบายว่า ตนเองนั้นโชคดีหลายประการ ทั้งนี้เป็นผลจากการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ซึ่งมีการ เปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งจากระบบรวมเขต กล่าวคือ หนึ่งเขตมี ส.ส. หลายคน เป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้ 93

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น พื้นที่เลือกตั้งมีการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่เขตเลือกตั้งขนาดใหญ่ มีจำนวนหลายอำเภอ เหลือเพียงอำเภอเดียว หรือ 2-3 อำเภอ รวมกันหากมีจำนวนอัตราประชากรตามข้อกำหนดเพียงพอ “แต่ก่อนผมอาจโชคดีหน่อย คือเขตของผมนี่ แต่ก่อนเป็นเขตรวมใหญ่ มีอำเภอภูผาม่าน ชุมแพ สีชุมพู ภูเวียง หนองระกำ 5-6 อำเภอ เขตใหญ่แล้ว ส.ส. 2 คน ส.ส.ก็จะอยู่ที่อำเภอชุมแพตลอด แต่ทีนี้พอเป็นเขตย่อย เหมือนการแบ่งแยกประเทศ แล้วทีนี้ ส.ส. ก็อยู่ที่ชุมแพ กับภูผาม่าน อีกคนก็มาลงในเขตที่แยกออกมาใหม่ที่ผม ลง คือมันความรู้สึกของคน พอแยกออกมาก็อยากเป็น เอกเทศ คำว่า ส.ส.คนบ้านเรานี่ การไปมาหาสู่มันง่าย คือแต่ก่อนคนบ้านผม (ภูเวียง) มีเรื่องเดือดร้อนต้องข้าม ไปชุมแพ ไปหา ส.ส. มันยากมาก ทำไมต้องไปหา ส.ส. บางครั้งมันเดือดร้อนจริง ๆ เป็นเรื่องส่วนตัวมันไม่ได้ หรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวมที่เดือดร้อนเหมือนกัน เขาก็ จะไปพร้อมกัน ก็จะเอาเรื่องนั้นเข้าสู่ในที่ประชุมพรรค แล้ว ส.ส. แต่ละคนก็จะได้รับเรื่อง (เรียกร้องจาก ประชาชน) คล้าย ๆ กัน แล้วสมัยนั้นที่ประชุมพรรค ท่าน ทักษิณ ไม่ได้ชมนะครับ ท่านรับปั๊บ ท่านเอารัฐมนตรีเอา ปลัดกระทรวงมานั่งด้วยเลย จะแก้ยังไง นั้นคือการทำงาน ที่ผมได้สัมผัส ในการแยกออกมามันทำให้ผมทำงานค่อน ข้างง่าย แล้วอดีต ส.ส. ที่เขามาลงกับผมนี่ยังยึดติด เหมือนเดิม คือการใช้เงิน” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์ วันที่ 24 ธันวาคม 2558) 94

ข้อมูลท่ัวไป ระบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลอย่าง ยิ่งต่อสถานะการเป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งสุชาย ศรีสุพล อธิบายว่า ประชาชนส่วนใหญ่มักมีความรู้สึกอยากได้ ส.ส. ซึ่งเป็นผู้แทนของคนในพื้นที่หรือท้องถิ่นจริง ๆ ด้วยความ รู้สึกมีความใกล้ชิดกับ ส.ส. ในพื้นที่มากกว่า ส.ส.ซึ่งอยู่ใน พื้นอำเภออื่น ๆ และมีผลทำให้เขาได้รับการเลือกตั้ง ในขณะ เดียวกันทำให้การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของ ชาวบ้านเข้าสู่ระบบหรือกระบวนการทางการเมืองได้อย่าง รวดเร็ว ซึ่งเขตการเลือกตั้งขนาดเล็กมีข้อดีมากกว่าระบบ รวมเขต เพราะสามารถดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง ในขณะ เดียวกันประชาชนสามารถที่จะเข้ามาหาเพื่อเรียกร้องหรือนำ เสนอปัญหาความเดือดร้อน เพื่อให้ ส.ส.รับรู้ปัญหาอย่าง ละเอียดถี่ถ้วน และสนองตอบต่อประชาชนได้อย่างรวดเร็วและ ทันท่วงที การหาเสียงการเลือกต้ัง ในฐานะนักการเมือง หน้าใหม่ สุชาย ศรีสุพล จึงมิได้มีประสบการณ์ในการหาเสียง เลือกตั้งเหมือนกับนักการเมืองคนอื่น ๆ เทคนิคหรือกลยุทธ ์ การหาเสียงจึงเป็นไปอย่างพื้น ๆ เท่าที่ทำได้ โดยเป็นไปใน ลักษณะของการเดินเข้าหาชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ตนเอง กระนั้นสิ่งที่ช่วยให้สุชาย ศรีสุพล เข้าถึงประชาชนได้ เป็นอย่างมากคือความจริงใจที่มีต่อประชาชนในท้องถิ่น และ นั่นคือแรงผลักดันที่ช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินกิจกรรม ทางการเมอื งในลกั ษณะหรอื รปู แบบตา่ ง ๆ ซง่ึ เนน้ การปฏสิ มั พนั ธ์ อย่างใกล้ชิดกับชาวบ้านมากกว่ารูปแบบหรือวิธีการอื่น ๆ สุชาย ศรีสุพล ดำเนินการหาเสียงด้วยการทำตัวมิให้มีความแตกต่าง 95

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น หรือแปลกแยกจากชาวบ้าน กล่าวคือ ทำตัวปกติเหมือนเดิม มิให้มีรูปภาพลักษณ์ความเป็นนักการเมืองที่ชาวบ้านเข้าไม่ถึง ในลักษณะการกลายเป็นคนอื่นนอกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า จะได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างมากในการหาเสียง เลือกตั้ง หากแต่สำหรับชาวบ้านแล้ว ทัศนคติหรือมุมมองที่มีต่อ นักการเมืองนั้นค่อนข้างแปลกแยกออกจากชาวบ้าน สุชาย ศรีสุพลจึงถูกทดสอบชั้นเชิงทางการเมืองจากชาวบ้าน ซึ่งสุชาย ศรีสุพล อธิบายว่า เป็นความฉลาดของชาวบ้านที่มีต่อ นักการเมือง นั่นคือ ชาวบ้านมีความเข้าใจในนักการเมือง พรรคการเมือง และรัฐบาล ในการดำเนินการนโยบายและ การบริหารประเทศที่มีผลกระทบต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก “ผมก็ลงไปโดยเชื่อว่า หนึ่งการเลือกตั้งไม่ต้องใช้ เงิน แล้วมั่นใจ กกต. มาก ปัจจัยที่สอง คือ ชาวบ้านนั้น ผมเคยไปรับเหมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วคนที่เป็นช่าง ทำงานเป็นกรรมกรเป็นอะไร ล้วนเป็นคนพื้นเพทางบ้าน ผมเกือบหมด สองสามร้อยคนเป็นคนบ้านผมเกือบหมด ในตำบลก็มาอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ ผมก็กินนอนอยู่กับ กรรมกรแล้วก็ช่าง ก็ตั้งแค้มป์สังกะสีอยู่ด้วยกันก็เลยรู้จัก อุปนิสัยกัน แล้วผมถือหลักเป็นหุ้นส่วน แล้วก็ค่าแรง ค่าจ้างผมให้สูงกว่าทุกคน ให้ตรงเวลา อยู่กันเหมือน พี่น้อง คืองานมันเดินเร็ว พอเลิกเขาก็กลับสู่บ้านเขา พอผมเลิกก็เลยพูดปากต่อปากว่าผมเป็นคนยังไง แล้ว การหาเสียงผม ผมไปทุกหมู่บ้าน แล้วผมไม่ได้ขึ้นปราศรัย ใช้คนเดินหาทุกหมู่บ้าน นั่นคือเบื้องต้น คือผมไม่รู้ว่าจะ 96

ข้อมูลท่ัวไป ปราศรัยอย่างไร ทำอย่างไร ทำได้คือเดินหาเขา (ชาวบ้าน) แล้วก็ไปพูดกับเขา บางครั้งยังโดนทดสอบเลย ครั้งแรก ผมก็ขึ้นปราศรัยบ้าง เขาก็มาถามผมต่อหน้าเลยว่า ถ้าได้ เป็น ส.ส. นี่จะทำให้ข้าวที่บ้านกิโลละสิบได้ไหม ผมบอก เลยผมทำไม่ได้ เพราะผมยืนยันไม่ได้ เพราะเป็นแค่ฝ่าย นิติบัญญัติ ผมยังไม่รู้เลยว่ามันจะบริหารอย่างไร ผมรับปากไม่ได้ แต่เขาก็ชอบ เขาบอกว่าคุณเป็นเดียว ที่พูดความจริง ขณะนี้ผมว่าชาวบ้านเขาต้องการความ จริงใจมากกว่า อันไหนที่ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่รับปาก อันนั้นคือเบื้องต้น พอไป ๆ หาเสียงไม่นานก็รู้สึกว่า เออรู้สึกสนุก” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) คำอธิบายดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึง การปรับตัวของสุชาย ศรีสุพลในฐานะนักการเมืองที่เป็นตัวแทน ของประชาชน และชี้ให้เห็นถึงคำอธิบายในการให้เหตุผลของ สุชาย ศรีสุพล ที่มีต่อชาวบ้าน เมื่อถูกตั้งคำถาม รวมถึงข้อ เรียกร้องให้นักการเมืองอย่างตัวเขาเองนั้นช่วยแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนให้ สำหรับสุชาย ศรีสุพลแล้ว เหตุผลที่อธิบาย ต่อชาวบ้านต่อข้อเรียกร้องต่าง ๆ นั้น สุชาย ศรีสุพล ได้รับ อิทธิพลในฐานะนักกฎหมายซึ่งตัวเขาเองสำเร็จการศึกษาด้าน นิติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เหตุผลในคำอธิบาย ชี้แจงชาวบ้านให้เข้าใจบทบาทอำนาจหน้าที่ของนักการเมือง ว่าเป็นอย่างไรนั้น มีความสำคัญต่อการรักษาฐานเสียงและ กลุ่มผู้สนับสนุนทั้งจากผู้นำชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป 97

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น พรรคการเมืองกับการเลือกตั้ง ในทัศนะของ สุชาย ศรีสุพล พรรคการเมืองมีความสำคัญต่อนักการเมืองและ ผลการเลือกตั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะพรรคเป็นผู้กำหนดนโยบาย เพื่อนำเสนอต่อประชาชนให้สนับสนุนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ หากชนะการเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะความสำเร็จ ทางการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตั้งของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ แสดงให้เห็นความสำคัญของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน แม้ว่า ตนเองจะเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งยัง ขาดประสบการณ์ในการหาเสียงก็ตาม “ผมว่าปัจจัยพรรคสำคัญที่สุด แล้วพรรค ไทยรักไทย ผมว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นปัจจัยพรรค ทั้งนั้น คือว่านโยบายพรรคไทยรักไทยตอนนั้น ตัวผมเองที่ ไม่เคยสนใจการเมืองเลย แล้วไม่เคยสนใจนโยบายของ พรรคไหนมาก่อน เพราะว่าเวลาเขามาหาเสียง ผมก็ไปลง คะแนน คือเขาหาเสียงแบบง่าย ๆ น้ำใสไฟสว่างแค่นั้น แต่การที่ของไทยรักไทยมันออกมาชัดเจนเลยว่ามีอะไร เวลาเราไปพูดเราก็บอกว่าได้ไม่ได้ก็ต้องลอง ชาวบ้าน ก็เกิดอาการอยากลองเหมือนกัน ผมจึงถือว่านโยบาย 80 เปอร์เซ็นต์” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) ทั้งนี้สุชาย ศรีสุพล อธิบายเพิ่มเติมว่า โดยความ เป็นจริงแล้วนักการเมืองอย่างตนเองนั้นมิได้มีส่วนในการ ร่างนโยบายแต่ประการใด หากแต่พรรคได้กำหนดนโยบาย 98

ข้อมูลทั่วไป สำหรับการหาเสียงไว้ก่อนแล้ว ในขณะที่ตนเองมีหน้าที่เพียงนำ นโยบายของพรรคฯ มาเสนอและอธิบายต่อประชาชนว่าจะทำ อะไรบ้างเมื่อชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนักการเมืองทำหน้าที่ในการ เชื่อมต่อเพื่อสื่อสารให้ประชาชนในฐานะผู้ใช้สิทธิออกเสียง เลือกตั้ง มีความเข้าใจในสิ่งที่พรรคการเมืองและนักการเมือง จะทำในอนาคต ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากผลของ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 นั้นส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบการเมืองที่เน้น ความเข้มแข็งของพรรคการเมือง และเป็นรัฐธรรมนูญที่นำมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและระบบการบริหารราชการ แผ่นดินหลายประการซึ่งเป็นผลดีต่อประชาชนทั้งประเทศ “นโยบายของพรรคเขามีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อ เราเป็น ส.ส. เราก็มาบอกว่าเราจะทำตามนโยบายอะไร บ้าง แล้วก็เข้าสู่กระบวนการทางนโยบาย เช่น กองทุน หมู่บ้าน เราก็มาบอกชาวบ้านว่าจะทำอย่างไร เงินก้อนนี้ ควรจะทำยังไง ก็ให้ปรึกษาให้เขาคิดกัน มันเป็นลักษณะ ว่านโยบายของพรรคเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทำอย่างไร จะให้เชื่อมต่อชาวบ้าน ผมถือว่าต้องร่วมมือทั้งภาครัฐ และประชาชน แล้วมันดีอย่างที่ผมชอบ คือตาม รัฐธรรมนูญ 40” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) นอกจากนี้สุชาย ศรีสุพล ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงบทบาท ของพรรคการเมืองและนโยบายว่า ต่อให้นักการเมืองเข้มแข็ง 99

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เท่าใดก็ตาม หากนโยบายนั้นไม่สามารถอธิบายประชาชน (ชาวบ้าน) ได้ก็ไม่อาจประสบชัยชนะทางการเมืองได้ ซึ่งสุชาย ศรีสุพลได้ สรุปเป็นวลีสั้น ๆ ที่น่าสนใจไว้ว่า “คนเราไม่มีแข็ง... คนที่แข็งคือประชาชน” คำอธิบายของสุชาย ศรีสุพลดังกล่าว สะท้อนถึง ความสำคัญของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรค ไทยรักไทยซึ่งเป็นการเมืองที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ซึ่งเป็น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ ทั้งพรรคการเมืองและ นักการเมือง แม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้วนักการเมืองรุ่นเก่า ๆ ยังอาจไม่เลิกพฤติกรรมที่เคยทำกันมาก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว ทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลง “ผมมาเป็นนักการเมืองจึงรู้ว่ารัฐธรรมนูญฯ ห้าม ส.ส. มายุ่งเกี่ยวกับงบประมาณ ซึ่งผมก็ถือว่ามันเป็นสิ่งดี เพราะสมัยก่อนเป็น ส.ส. จะมีเงินในกระเป๋าแล้ว 20 ล้าน ก่อนปี 40 พอ 20 ล้านสมัยก่อนผมก็เห็นเขาทำศาลาริม ถนน มันจะเป็นหลังคาสังกะสีแล้วก็เขียนว่าโดย ส.ส. คนนั้นคนนี้ เขียนชื่อใส่ไว้ ผมก็ถามว่า คือสมัยก่อนมันมี 20 ล้านจะซื้อกระโถน ซื้อถ้วยเข้าวัดก็ได้ สมัยก่อน เขาบอกว่า 20,000 ผมบอกเป็นผู้รับเหมา 3,000 ยังได้เลย ตอนผมเป็น ส.ส. พวกนี้ไม่มี มันก็สบายใจ ก็ดูว่าชาวบ้าน เขาต้องการอะไร แต่ก็ดีที่ทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลง ไปมาก...” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) 100

ข้อมูลทั่วไป การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในความเห็นของสุชาย ศรีสุพลนั้นหลังการเลือกตั้ง ปี 2544 มีความเปลี่ยนแปลงหลาย ประการ อาทิ ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจความสำคัญของ พรรคการเมือง รวมถึงนักการเมือง การหาเสียงในนโยบายของ พรรคการเมือง และการนำนโยบายที่ได้หาเสียงไปปฏิบัติ ทั้งนี้ การซื้อเสียงเริ่มมีผลน้อยมากหรืออาจไม่มีความสัมพันธ์กับ ผลการเลือกตั้ง เพราะชาวบ้านมีความเข้าใจผลลัพธ์ที่จะได้ จากนโยบายของพรรคการเมืองที่มีต่อพวกเขามากกว่าเงินที ่ นักการเมืองใช้จ่ายสำหรับการหาเสียงเลือกตั้ง “หนึ่ง ประชาชนรู้จักพรรคการเมืองไม่ใช่รู้จัก แต่มีปาก พูดพล่อย ๆ พูดไปเหมือนแต่เพ้อเจ้อ แต่เดียวนี้ ชาวบ้านเขาเปลี่ยนไปมาก เขาไม่เชื่อ ขนาดนโยบาย เดียวกัน พรรคหนึ่งทำอย่างหนึ่ง แต่พอมาทำนี่ นโยบาย มันมีรายละเอียดปลีกย่อย ชาวบ้านเขาไม่โง่เขารู้เลย ....(สอง) ทำให้ชาวบ้านเขามองที่นโยบาย คือผลประโยชน์ ที่เขามีส่วนได้ เขาจะไม่มองหรอกว่าซื้อขายเสียง เพราะ เขารู้ว่าสองร้อยนี่มันเทียบกันไม่ได้ มันแตกต่างจากที่เขา เอาออกมาจากรัฐ ไอ้คนที่หลงงมงายบอกมันซื้อเสียง มันมีบ้าง แต่ว่า มันเป็นองค์ประกอบที่น้อยมาก มันเป็น ไปได้ยาก เงินน่ะ ถ้าใครใช้เงินยิ่งไปกันใหญ่ เพียงแต่ว่า หากเราทำแล้วทำไม่ได้ ชาวบ้านก็อาจคิดว่า อย่างน้อย ก็เอาเงินไว้ก่อน ใครมาก็เหมือนเดิม แต่ผมว่ามันเปลี่ยน ไปเยอะ” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) 101

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สำหรับความเห็นต่อรัฐธรรมนูญฉบับที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต หากมุ่งเน้นความสำคัญของข้าราชการเป็นใหญ่ ห้ามการหาเสียง ห้ามกำหนดนโยบาย และมีอำนาจควบคุม นักการเมืองและพรรคการเมืองย่อมมีผลกระทบต่อการหวน กลับไปสู่การเมืองแบบเก่าโดยที่เป็นการลดความสำคัญของ นักการเมืองและพรรคการเมือง เป็นผลให้การหาเสียงไม่มี ประโยชน์แต่อย่างใด ในขณะเดียวกันสังคมมักกล่าวหา นักการเมืองคอรัปชั่น ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ส.ส. มิได้ เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงทางการบริหารนโยบายหรือการนำ นโยบายไปปฏิบัติ “ไม่มีความหมาย เลือกใครก็เหมือนกันหมด เอา พรรคไหนก็ได้ คือรัฐธรรมนูญฉบับกำลังร่าง (ฉบับ 2559) พวกเราก็ติดตามบ้าง ไม่ใช่มีอคติอะไร ใคร ๆ ก็มองออก มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเผด็จการแล้วมีวิสัยทัศน์ที่ดี มันทันโลก ประชาชนเขาก็เห็นว่ายิ่งดี แต่ในเมื่อถ้าหากไม่ เกิดการแข่งขัน เช้าชามเย็นชามเหมือนเดิม มันหนีไม่พ้น (การเมืองแบบเก่า) แต่ถ้าหากเป็นการแข่งขัน สมมติพรรค เพื่อไทย คือมันอาจจะเป็นนโยบาย แม้คนปฏิบัติอาจมี ปัญหา แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด...เลือกตั้งสมัยหน้าประชาชน ก็ไม่เอา.... เขาพูดกันได้อย่างไรว่า ส.ส. โกง ก็เราไม่ได้ บริหารชาติบ้านเมือง เหมารวม ทำไม่ต้องเป็นฝ่าย การเมือง ทำไมไม่บอกข้าราชการโกง คอรัปชั่น อันนั้น นั่นของจริง ทำไมไม่พูด” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) 102

ข้อมูลท่ัวไป สุชาย ศรีสุพล อธิบายเปรียบเทียบผลการเลือกตั้ง ของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 2544 กับ การเลือกตั้งปี 2548 ว่าผลการเลือกตั้งซึ่งพรรคไทยรักไทยชนะด้วยจำนวน ส.ส.ที่มากนั้นเป็นผลมาจากความสำเร็จของการปฏิบัติตาม นโยบายของพรรค ซึ่งชี้ให้เห็นความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อ พรรคการเมืองในระบบการเมือง “ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไปเดินตลาด ไม่ว่าจะเป็น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง คือนโยบายที่ออกมาแล้ว ตอนนี้นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มอี ออกมา เงินมัน กส็ ะพดั เทยี บงา่ ย ๆ พวกทห่ี มอนวดแผนโบราณ เทยี บกบั ปัจจุบัน (รายได้) มันไประเนระนาดแล้ว เพราะฉะนั้นปี 44 ปี 48 ชาวบ้านเห็นมาพอสมควรแล้ว พอไปกำกับราชการ แต่ก่อนไปอำเภอไปวันเสาร์ไม่มี แต่พอทักษิณบอกว่าเป็น ข้าราชการทำงานต้องเต็มวัน วันเสาร์ก็ต้องมี ชาวบ้าน เห็น...มาอำเภอไม่ใช่มาหาเจ้าหานาย มันอบอุ่น เขาก็ยิ่ง ชอบ แบบนี้มันใช่ เลือกตั้งปี 48 มันก็เลยง่ายกว่าปี 44” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) สำหรับกลุ่มข้าราชการมีหลายระดับมีความแตกต่าง กันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ นโยบายการบริหาร ราชการที่มาจากฝ่ายการเมืองนั้นมีผลต่อการปฏิบัติงานของ ข้าราชการ ซึ่งมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบซึ่งเป็นเรื่องปกติของ องค์กร สุชาย ศรีสุพล เห็นว่าข้าราชการโดยทั่วไปรับได้กับ การเปลี่ยนแปลงโดยฝ่ายการเมือง เพียงแต่ไม่ควรเข้าไป แทรกแซงหรือไปก้าวก่ายการทำงานในหน้าที่ของเขาเท่านั้น 103

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น “ผมมั่นใจว่าเขารับได้ เพียงแต่ว่าฝ่ายการเมือง อย่าไปก้าวก่ายเกี่ยวกับหน้าที่ประจำของพวกเขา ผมเป็น ส.ส. มาสิบกว่าปี ผมว่าปีบางปีผมไม่ได้ขึ้นไปเลย ไม่ได้ ไปยุ่งเกี่ยวกับข้าราชการประจำ เฮ้ยต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ได้ เพราะเขาทำราชการมาก่อนผม เราต้องให้ เกียรติเขา ในบางอย่างสมมติว่าเขาเดือดร้อน เขาแจ้งเรา ในสิ่งที่เขาไม่ได้รับการจัดสรรงบ เราก็บอกเขาว่าคุณ ก็เขียนโครงการตามขั้นตอนให้ อบต. ให้อะไรอย่างงี้ บางครั้ง กศน. งบแสนสองแสนต้องมาหาผมที่บ้าน ทั้ง ๆ ที่เงินไหลไปหาเขานั้นแหล่ะ แต่เขามาหาผมที่บ้าน ส.ส.อยากให้ผมทำอะไร ผมก็ว่า ท่าน ผอ. ผมจะไปรู้ได้ยัง ไงว่าจะทำอะไร ท่านจะทำอะไรก็ทำไป เพียงแต่ท่านจะให้ เกียรติผม ท่านทำเสร็จแล้วก็เชิญผมไปดูแค่นั้นเอง แค่นี้ ก็ให้เกียรติกันแล้ว” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) ส.ส.ในฐานะผู้ประสานงานระหว่างประชาชนกับ พรรคการเมือง และรัฐบาล ความสำคัญของ ส.ส. ในฐานะ นักการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ นั้น สุชาย ศรีสุพล เห็นว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกออกจาก กันได้ ด้วย ส.ส. เป็นตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ในพื้นที่ต่าง ๆ ประชาชนจึงมีความรู้สึกผูกพันและไว้วางใจ ในตัว ส.ส. ของตน เมื่อมีความเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆ จึงมัก เข้าหาเพื่อขอความช่วยเหลือ และ ส.ส. ก็มีความรู้เช่นเดียวกัน ในความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับตัว ส.ส. และในสถานะ 104

ข้อมูลทั่วไป ดังกล่าว ส.ส. จึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ประสานงาน เพื่อนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งปัญหาความเดือดร้อนและ ข้อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในระบบพรรคการเมือง ที่สุชาย ศรีสุพล เป็นสมาชิกพรรคอยู่นั้น มีกระบวนการ ดำเนินการเพื่อถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างประชาชนกับ พรรคการเมือง นักการเมือง รัฐสภาและรัฐบาล เมื่อไม่มีระบบ การเมืองปกติอันเนื่องมาจากการรัฐประหารยึดอำนาจของ กองทัพในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาความเดือดร้อนของ ประชาชนจึงไม่ได้รับการกล่าวถึงในกระบวนการทางรัฐสภา ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ทันต่อ สถานการณ์ได้ “พอประชุมพรรคปั๊บ ก็เห็น เดือดร้อนทั่วประเทศ มันเหมือนกันหมด ท่านก็เรียกอธิบดี ปลัดกระทรวง รฐั มนตรมี านง่ั คยุ แลว้ แกกส็ ง่ั การวา่ ทำยงั ไง ทเ่ี ราสามารถ ทำได้ ผมก็เลยลงมือปฏิบัติเลย ถามว่าหากไม่มี ส.ส. เชื่อมโยงกับชาวบ้าน ความเดือดร้อนแบบตอนนี้ชาวบ้าน เดือดร้อนอะไร ไม่รู้เลย อย่างการประชุมสภา (สนช.) ผมก็ดู ไม่เห็นมีใครหยิบยกความเดือดร้อนของประชาชน ออกมาพูดเลย มันเป็นอย่างนั้น สมัยก่อนอย่างน้อย ปรึกษาหารือก่อนประชุม อย่างน้อยผมก็พูด อาจพูด คนหนึ่ง แต่ละช่วงมันจะเป็นปัญหาเหมือนกันหมด เช่น ปีนี้ภัยแล้งมันหนักหน่วง คนตกงาน ผมถามว่ามีความ รู้สึกบ้างไหม อย่างตอนนี้อ้อยตันละ 6,000 ไม่เห็นใครพูด บ้างเลย...ตอนปี 44 ส.ส. จะเข้าไปหาชาวบ้าน แต่ว่ามันมี 105

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เงินอยู่ก้อนหนึ่ง 20 ล้าน ส.ส.สมัยก่อนจะเข้าไปที่วัด ไปซื้อเต้นท์ ซื้อถ้วยโถโอชาม แค่นั้น ชาวบ้านก็บอกว่า ดีแล้ว แต่ว่าตอนนี้ อย่าว่าแต่ใครเข้าไปหาชาวบ้านเลย มันไม่มีใครเข้าไปหา” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) มรดกทางวัฒนธรรมว่าด้วยระบบราชการ สุชาย ศรีสุพล อธิบายถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลง ภายหลังการยุติบทบาทพรรคการเมืองและนักการเมือง ในขณะเดียวกันกับรัฐบาลยุคปัจจุบันได้ให้อำนาจการบริหาร ราชการแก่หน่วยงานราชการเป็นสำคัญ การรวมศูนย์อำนาจ การบริหารราชการทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และอำเภอจึงเข้า มาแทนที่การกระจายอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชน การบริหารราชการจึงมีแนวทางที่สวนทางหรือไม่เป็นไปตาม ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ “สมมุติเงินล้านตำบลละ 5 ล้าน เวลานี้เราก็ยัง มีสายสัมพันธ์กันอยู่ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต ก็มาเล่า ความอึดอัดให้เราฟัง คณะกรรมการหมู่บ้านเขามีการ ประชุม สมมุติเงิน 5 ล้านหนึ่งตำบล ตามคำสั่งเขา ก็ประชุมกัน เหมือนกับเงินกองทุนหมู่บ้าน เงิน SML สมัยก่อนที่พวกเราทำ คุณตกลงกันอย่างไรก็ประชุม อยากได้อะไร ได้เงินมาก็ทำตามนั้น แต่ทีนี้ (ยุครัฐบาล ทหาร) เขาประชุมกันเสร็จ ก็ให้ อบต. เสนอโครงการ ไปที่ 106

ข้อมูลท่ัวไป อำเภอ ตำบลมีหลายหมู่บ้าน พอเสนอมาที่อำเภอ อำเภอ ก็บอกว่าต้องไปประชุมที่จังหวัด บทสุดท้ายจังหวัดมีคำ สั่งมา เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่เขาต้องการกลับไม่ได้ทำ แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันรวมศูนย์อยู่ดี..สิ่งที่ดีคือข้าราชการ ได้ตำแหน่งงานเพิ่ม” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) ทั้งนี้สุชาย ศรีสุพล อธิบายเปรียบเทียบการบริหาร ในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยยกตัวอย่างยุคพรรค ไทยรักไทยว่า การบริหารงานโดยพรรคการเมืองในช่วงที่เป็น รัฐบาลนั้นให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของประชาชนในการ ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจตาม ความต้องการและศักยภาพของหมู่บ้านหรือชุมชน ซึ่งสุชายฯ เห็นว่านโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลปัจจุบันนั้น เป็นการสร้างอำนาจให้กับระบบราชการซึ่งเป็นวงจรย้อนกลับ ไปในอดีตซึ่งระบบราชการมีอำนาจครอบงำสังคมไทยอย่าง มากมาย และได้กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนา ในระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยเฉพาะด้าน โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 2.4.3) นายสมศักดิ์ คุณเงิน เป็นชาวตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัด ขอนแก่น การศึกษานิติศาสตรบัณฑิต รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตจาก Magadh University 107

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Candidate) สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต ชีวิตการทำงานผ่านประสบการณ์มากมาย อาทิ อดีตหัวหน้ากองกฎหมาย การประปานครหลวง สมาชิกสภา จังหวัดขอนแก่น อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น 6 สมัย (2531-2549) ทำงานใกล้ชิดกับอาทิตย์ อุไรรัตน์ ขณะ ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ตนเองเป็นเลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสขุ ผชู้ ว่ ยเลขานกุ ารรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นคนหนึ่งที่ถูกตัดสิทธิเลือกตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกรรมการพรรคไทยรักไทย (บ้านเลขที่ 111) ชีวิตทางการเมืองเริ่มต้นในเหตุการณ์เดือนตุลาฯ และเคยต้องโทษอยู่ในเรือนจำโรงเรียนพลตำรวจบางเขน (กรณี 6 ตุลา 2519) ปัจจุบันเป็นเจ้าของและหัวหน้าสำนัก กฎหมายนิติรัฐ ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และเป็น สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดขอนแก่น การเป็นลูกหลาน ชาวบ้านที่สัมผัสกับชีวิตเกษตรกรรมทำให้ปัจจุบันเลือกที่จะยึด อาชีพทำนา โดยการทำนาดำที่บ้านท่าศาลา ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ลักษณะเป็นนาน้ำฟ้า ขุดสระน้ำประจำไร่นา บ่อปลา ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาเป็น อาชีพเสริม ปลูก “ปาล์มน้ำมัน” เนื้อที่ 20 ไร่ เพื่อนำร่องที ่ บ้านฟ้าเหลื่อม ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัด ขอนแก่น นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาชุมนุมสหกรณ์ภาคอีสาน จำกัด ทำโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์/อินทรีย์เคมี เป็นอาจารย์พิเศษ 108

ข้อมูลท่ัวไป สอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2550-ปัจจุบัน “ผมเป็นชาวหนองเรือ ตำบลหนองเรือ อำเภอ หนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งก็เป็นอำเภอหนึ่งของ จังหวัดขอนแก่น ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 45 กิโลเมตร ผมเกิดมาในครอบครัวของชาวนา มีพื้นฐาน มาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ๆ คุณพ่อและคุณแม่ ประกอบอาชีพทำไร่ทำนาตามครอบครัวพื้นฐานของ ชาวชนบท ผมมีพี่น้อง 8 คน เป็นผู้ชาย 6 คน ผู้หญิง 2 คน ผมเป็นบุตรคนที่ 5 ของครอบครัว และเป็นลูก คนแรกที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีของครอบครัว นอกนั้นก็ได้รับการศึกษาไม่สูงมากนัก ครอบครัวทำไร่ ทำนาเลยทำให้ผมต้องมีความรู้สึกใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก เรียน ระดับประถมจากบ้านเกิด และระดับมัธยมต้นและมัธยม ปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด เอ็นทรานส์ติดที่มหาลัย ธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาลัยธรรมศาสตร์จนจบ ปรญิ ญาตรี หลงั จากนน้ั กไ็ ปประกอบอาชพี เปน็ ทนายความ และเป็นนักกฎหมาย เป็นนิติกรประจำอยู่ที่การประปา นครหลวง ทำงานอยู่ 10 ปี ตำแหน่งสุดท้ายได้เป็นระดับ หัวหน้าส่วนคดีกองกฎหมาย การประปานครหลวง” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) สมศักดิ์ คุณเงิน เริ่มเบื่อหน่ายชีวิตในเมืองหลวง หลังจากทำงานในเมืองหลวงกว่า 10 ปี จึงตัดสินใจลาออกจาก 109

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น งานประจำที่นับได้ว่ามั่นคงที่สุดอาชีพหนึ่ง โดยกลับบ้านเกิด พร้อมกับจัดตั้งสำนักงานทนายความของตัวเองขึ้น ในปี 2528 การเข้าสู่การเมือง หลังกลับบ้านเกิดจัดตั้ง สำนักงานทนายความของตนเองในขณะเดียวกันได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งในการเมืองท้องถิ่น ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา จังหวัด เขตอำเภอหนองเรือ ในปี 2528 – 2539 ในช่วงเวลา ดังกล่าวได้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฏร ในปี 2529 ในนาม พรรคก้าวหน้าแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกเป็น ครั้งที่ 2 ในนามของพรรคกิจประชาคม แต่ก็ผิดหวังอีกเช่นเคย กระนั้นความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองระดับชาติเพื่อพัฒนา พื้นที่และช่วยเหลือประชาชน ทำให้สมศักดิ์ คุณเงินไม่ย่อท้อ ในที่สุดได้รับเลือกตั้งสมความตั้งใจได้เป็น ส.ส. ในปี 2531 “ตอนนั้น มี บุญชู โรจนเสถียร เป็นหัวหน้าพรรค (พรรคกิจประชาคม) มีเลขาธิการพรรคชื่ออาทิตย์ อุไรรัตน์ หลังจากนั้นผมก็อยู่ในวงจรทางการเมืองตั้งแต่ 2531 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 2549 ก็มีได้บ้าง ตกบ้าง สลับกัน แต่ว่าก็ไม่เคยยุติการใช้ชีวิตทางการเมือง รวมแล้ว ได้รับ เลือกตั้ง 6 ครั้ง 6 สมัย และก็มีช่วงที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ทำหน้าที่ทางราชการทางการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษา รัฐมนตรีบ้าง ก็อยู่ในวงนี้มาตลอด จนกระทั่งพรรค สุดท้ายล่าสุด ก็อยู่ในสังกัดพรรคไทยรักไทย ก่อนที่จะมา อยู่พรรคไทยรักไทย เคยสังกัดอยู่ที่พรรคเสรีธรรม จาก เสรีธรรมก็มาอยู่ที่พรรคไทยรักไทย” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) 110

ข้อมูลทั่วไป อุดมการณ์และแนวคิดทางการเมือง ชีวิต ทางการเมืองของสมศักดิ์ คุณเงิน อาจไม่แตกต่างจาก นักการเมืองทั่วไปนักกล่าวคือมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว ควบคู่กันไป หากแต่มีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยที่วางอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาคและโอกาส ของประชาชนในความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและ การเมือง โดยเฉพาะการเคารพกฎหมายอันเป็นกติกาหลัก ที่กำกับหรือควบคุมสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะมี ความรู้สึกที่คลางแคลงใจ ดังกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ยุบพรรคไทยรักไทย หลังการรัฐประหารในปี 2549 “พรรคไทยรักไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ กรรมการบริหารใน 111 คน ผมก็มีชะตากรรมร่วมกัน กับพี่น้องทางการเมืองของไทยรักไทย ตั้งแต่ลำดับที่ 1 ถึง ลำดบั ท่ี 111 ผมอยใู่ นกลมุ่ นน้ั เพราะฉะนน้ั โดยคำพพิ ากษา ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งด้วยความเคารพ หรือสุดแท้แต่จะ มองในหลายมมุ ซง่ึ ผมเองกย็ ากทจ่ี ะทำใจยอมรบั คำตดั สนิ ของฏีกาดังกล่าวได้ แต่เมื่อศาลได้ตัดสินไปแล้วทุกคนก็ดู เหมือนว่ากลายเป็นราษฎรชั้น 2 ที่ไม่มีสิทธิแม้กระทั่งลง สมัครรับเลือกตั้ง และไม่มีโอกาสแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นใน คำตัดสินของศาล” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง งานพัฒนาพื้นที่ในเขตเลือกตั้งถือเป็นแนวทางการทำงาน 111

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น การเมืองที่สำคัญของสมศักดิ์ คุณเงิน โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาที่เป็นรูปแบบ ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ รวมถึง มีความสะดวกสบายมากขึ้น ตัวอย่างผลงานสำคัญที่ถือเป็น สิ่งที่สมศักดิ์ คุณเงิน พูดถึงเสมอคือผลงานดำเนินโครงการ ในการพัฒนาถนนระหว่างอำเภอ ซึ่งเป็นที่จดจำของชาวบ้าน อันนำมาสู่การสนับสนุนทางการเมืองที่สำคัญ และทำให ้ สมศักดิ์ คุณเงิน ชนะการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่องโดยเป็น ส.ส. ทั้งสิ้น 6 สมัย ผลงานดังกล่าวทำให้สมศักดิ์ คุณเงินยังคงชนะ การเลือกปี 2544 ภายใต้สังกัดพรรคเสรีธรรม4 แม้ว่าในช่วง เวลานั้นพรรคไทยรักไทยจะก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จ ทางการเมืองมากที่สุดทั้ง ๆ ที่เป็นพรรคการเมืองจัดตั้งขึ้นมา ใหม่ก็ตาม ปัจจุบันสมศักดิ์ คุณเงิน ยังมีบทบาททางการเมือง ภาคประชาชน โดยยังเป็นประธานสภาเกษตรแห่งประเทศไทย 2.4.4) สมชาญ ศรีสองชัย เป็นชาวจังหวัดขอนแก่นโดยกำเนิด เริ่มต้น การทำงานครั้งแรกด้านการโรงแรม ในตำแหน่งพนักงาน ต้อนรับ (reception) สั่งสมประสบการณ์ตลอดจนพัฒนาทั้ง ความรู้ และความสามารถจนกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นฝ่าย บริหารของโรงแรมโอเรียลเต็ล ระหว่าง ปี พ.ศ. 2503-พ.ศ. 2514 ต่อมาย้ายไปทำงานที่โรงแรมนารายณ์ อย่างไรก็ตาม ก่อนทำงานด้านนี้เคยเป็นมัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวชาว 4 ภายหลังการเลือกตั้งพรรคเสรีธรรมภายใต้การนำของประจวบ ไชยสาสน์ พินิจ จารุสมบัติ สุเมธ พรหมพันห่าว และอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้มี มติพรรครวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย 112

ข้อมูลท่ัวไป ต่างชาติท่องเที่ยวมาก่อน ชีวิตการทำงานของสมชาญ ศรีสองชัย เป็นอาชีพที่ต้องมีใจรักการให้บริการและต้องพบปะ กับผู้คน การที่เลือกทำงานเหล่านี้เป็นเพราะมีมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบผูกมิตรและดูแลช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งกับคนที่ใกล้ชิดกันอย่าง เพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องและคนที่ไม่ได้รู้จักหรือคุ้นเคยกัน สำหรับครอบครัวนั้น สมชาญ ศรีสองชัย มิได้เป็น ครอบครัวการเมืองแต่อย่างใด หากแต่ด้วยความสนใจส่วนตน และการเป็นคนที่มีบุคลิกและมนุษยสัมพันธ์ที่ชอบทำกิจกรรม สังคมจึงทำให้มีโอกาสในการเข้าสู่ถนนการเมือง “คุณพ่อไม่มีความสำคัญทางการเมือง คนบ้าน นอก พ่อผมรักษาการผู้ใหญ่บ้านเท่านั้นเองเข้าวัดเข้าวา เวลาผู้ใหญ่บ้านว่างเว้นไม่ได้เป็นโดยตรง จะไปกรุงเทพ ก็ต้องเดินไป 16 กิโล ขึ้นรถที่มันจะข้ามแม่น้ำพาไปนอน บ้านไผ่ เมื่อก่อนมีบ้านไผ่ ท่านอยู่ในช่วงที่ประชาธิปไตย กำลังเบ่งบาน” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) การเข้าสู่การเมืองและอุดมการณ์ทางการเมือง สมชาญ ศรีสองชัย ตัดสินใจ เข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยการ ลงสมัคร ส.ส. จากการที่ได้รู้จักกับดำรง ลัทธิพิพัฒน์ ขณะ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเห็นว่า สมชาญ ศรีสองชัย ชอบช่วยเหลือสังคม โดยช่วงที่เป็นมัคคุเทศก์อยู่นั้น ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศ ไทย ร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนในจังหวัด 113

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ขอนแก่น เช่น การช่วยด้านการศึกษา หรือการสร้างห้องสมุด โรงเรียน และหากคนรู้จักมีปัญหาหรือความเดือดร้อนในเรื่องใด ก็จะให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ กระทั่งปี พ.ศ. 2518 สมชาญ ศรีสองชัย ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งแรกแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และในปีถัดมา พ.ศ. 2519 สมชาญ ศรีสองชัย จึงได้ลงสมัครผู้แทนฯ อีกครั้ง และได้รับ เลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชนจังหวัดขอนแก่น ในสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ แต่ระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งเป็นช่วงสั้นๆ เพียง 6 เดือนเท่านั้นด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในเหตุการณ์ ความรุนแรงทางการเมือง สมชาญฯ ได้สะท้อนหลักการ ดำเนินชีวิตบนถนนการเมืองตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ที่ยึดมั่นดังนี้ “ผมถือความซื่อสัตย์ และตั้งใจจริง เป็นหลักการ ของผม จริง ๆ แล้วผมเป็นคนบ้านนอกอยู่ที่เมือง มัญจาคีรี ห่างจากนี้ประมาณ 60 โล ไปเรียนมัธยมหนึ่ง ก็ยังไม่จบหรอก ก็ออกมาบวช มาเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพ มี ม.3 ม.6 ม.8 ไม่ได้ไปเรียนมหาลัยอะไร หรือปริญญา อะไรโดยเฉพาะ แต่ตอนหลังมานี่อาชีพหลัก คือทำงาน โรงแรม และเป็นมัคคุเทศก์ ที่ใช้ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2503 จนถึง 2518 ก็มาสมัครผู้แทน การที่ผมมาสมัคร ผู้แทนไม่ใช่ว่าผมเป็นนักพูดอะไร แต่ในช่วงระ 2502, 2503 จนถึง 2518 ผมหาเงินได้พิเศษ ที่จริงงานโรงแรม ก็เงินเดือนไม่มาก สามพันสมัยนั้น แต่เวลาว่างผมจะนำ เที่ยว วันหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินเป็นหมื่น เห็นไหม 114

ข้อมูลท่ัวไป นักเรียนเรามันลำบาก หามุมหนังสือ ปลกู ต้นไม้ ไม้ยืนต้น อะไรก็แล้วแต่ ทำมาตลอดในการหาทุนให้เพื่อการศึกษา อยู่มาถึงปี 2517 – 2518” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์ วันที่ 27 มีนาคม 2555) สมชาญ ศรีสองชัยยังคงยึดมั่นในแนวทางการเมือง เพื่อช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวขอนแก่นดีขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 สมชาญก็ตัดสินใจสมัครอีกครั้งแต่ครั้งนี้สมชาญ ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ทั้งด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง หลายประการ กระนั้นแม้ว่าจะมิได้เป็น ส.ส. แต่สมชาญ ยังคงยึดมั่นแนวทางการเมืองของตน และยังคงดำเนินงานการ เมืองในพื้นที่ภายใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่งได้รับ การสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งประธานสาขาพรรคจังหวัดในปี 2542 “แต่ด้วยการแข่งขันที่มีเงินเข้ามาเป็นปัจจัยที่ เกี่ยวข้อง สมชาญจึงไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ซึ่งสมชาญ ก็ไม่ได้พักผ่อนเฉยๆ แต่ยังคงช่วยพรรคในงานท้องถิ่น ต่างๆ โดยได้ร่วมก่อตั้งสาขาพรรค ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ขอนแก่นและในปี พ.ศ. 2540 สมชาญก็ได้รับความไว้ วางใจ ให้รับตำแหน่งประธานสาขาพรรค ตลอดจนได้เข้า มาเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2542” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) 115

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ตลอดระยะเวลาที่ สมชาญฯ ได้เดินเข้ามาบนถนน การเมืองนั้น สมชาญ ปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในการลงพื้นที่ ด้วยการพบปะประชาชนสอบถามทุกข์สุข ช่วยเหลือสังคมอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงเวลาที่สมชาญ ได้ไปทำ ธุรกิจนำเที่ยว ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้ามามีส่วนร่วมในการ พัฒนาท้องถิ่น และชักชวนประชาชนร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ต่อสังคม อาทิ การร่วมรณรงค์ปลูกต้นไม้ในป่ารกร้าง นอกจากนี้ยังทำกิจกรรมให้กับพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด ด้วยการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์พรรคในด้านต่างๆ เพื่อให้ ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และด้วยที่ตั้งของสาขาพรรค ประชาธิปัตย์จังหวัดขอนแก่นนั้นอยู่ใกล้กับบ้านพัก จึงสามารถ มาพดู คยุ กบั ประชาชนถงึ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ และสามารถปฏบิ ตั งิ าน ได้สะดวกอีกด้วย ในการทำงานการเมืองสมชาญ ผู้อยู่ เบื้องหลังการทำงานการเมืองคือ ภรรยาซึ่งได้ร่วมสนับสนุนใน บทบาททางการเมืองของ สมชาญ อย่างเต็มที่ทั้งแรงกายและ กำลังใจ โดยครอบครัวมีขนาดเล็ก ไม่มีทายาทจึงทำให้ทั้งคู่ อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคมได้อย่างเต็มกำลัง และสมชาญ และภรรยา ยังเป็นแกนนำในการจัดงานสังคมในนามพรรค ประชาธิปัตย์ที่จังหวัดขอนแก่นอย่างต่อเนื่อง โดยสมชาญ มีความศรัทธาพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในด้านนโยบาย และ บุคลากรของพรรคมาก โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคซึ่ง สมชาญ ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติของตน “ผมศรัทธาแนวนโยบายพรรค และบุคลากร อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค ผมยึดถือหัวหน้าพรรค 116

ข้อมูลทั่วไป เป็นหลัก ได้ร่วมอุดมการณ์กับท่านก็ถือว่าเป็นเกียรติ อย่างยิ่งแล้ว... ที่ผมมาอยู่ประชาธิปัตย์ใกล้ชิดนี่ก็เพราะ ว่าท่านอาจารย์ดำรง รัตพิพัฒน์ อดีตเลขาธิการพรรค ประชาธปิ ตั ยส์ มยั นน้ั เพราะบา้ นผมบา้ นพอ่ ตาเขาอยใู่ กล้ ๆ กัน ก็ชวนมาลงสมัครผู้แทน ก็เลยลงแต่ก็แพ้ไป พอหลัง จากนั้น 11 เดือน คึกฤทธิ์ ปราโมช ยุบสภา ผมก็ลง สมัครก็ได้ ในหกเดือนก็เกิดปฏิวัติ ในปี พ.ศ. 2519 โดย สงัด ชลออยู่ หลังจากนั้นก็ไปทำธุรกิจโรงแรม หลัง ๆ เป็น ประชาสัมพันธ์ในปี 2522 ก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะ ปี 2522 เริ่มมีการซื้อเสียงจึงจำเป็นต้องลง และพอเว้นมา ในปี 2528 ลงสมัคร 4 ครั้ง 2518 2519 2522 2529 ปีที่ได้ ก็คือ ปี 2519 สมัยนั้นหมอกระแส ชนะวงศ์ ได้ที่ 1 ผมได้ที่ 2 ในเขตสองคน นอกนั้นผมช่วยงานพรรคแล้วแต่ ตั้งสาขาที่โน่นที่นี่ช่วยเขา ไม่ได้ไปรับตำแหน่งประจำ” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง การ หาเสียงเลือกตั้งนับจากการเข้าสู่การเมืองของสมชาญ นั้นมิได้ มีเอกลักษณ์หรือลักษณะพิเศษแต่อย่างใด แต่การหาเสียงเป็น ไปในลักษณะของการพูดคุยกับชาวบ้านเพื่ออธิบายถึงนโยบาย ของพรรคที่ตนเองสังกัดว่ามีอะไรบ้างที่สำคัญ แต่ในการลง สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งแรกซึ่งประสบกับความล้มเหลวหรือ มิได้รับการเลือกตั้งนั้น เพราะยังขาดประสบการณ์ทางการเมือง ประกอบด้วยชื่อเสียงและคะแนนนิยมที่มีต่อนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ ซึ่งถือเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาก 117

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ที่สุดในจังหวัดขอนแก่น ในขณะเดียวกันกับมีกลยุทธ์และ วิธีการหาเสียงที่หลากหลายกว่าสมชาญ อย่างมาก แต่ด้วยการทำกิจกรรมและวิธีการหาเสียงที่ให้ความ สำคัญกับชาวบ้านด้วยการเข้าถึงพื้นที่กับชาวบ้านอย่าง ต่อเนื่องทำให้สมชาญ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในปี 2519 ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ “ชินกับการพูดใน Public Speaking ก็ไม่ได้ฝึกอะไร มาก สมัยนั้นมีวีระตั้งใจแต่ไม่ได้คิดอะไร แต่มีความสนใจ ทางการเมือง เริ่มเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2511 ออกเสียงครั้งแรก 2512 สมัยก่อนเขาไม่เป็น ทางการขนาดนี้ พรรคการเมืองตั้งก่อนพรรคประชาธิปัตย์ สองสามพรรคเพราะชื่นชอบนโยบายของพรรคเป็นหลัก นโยบายการปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดขึ้นจากพรรค ประชาธิปัตย์ สนใจอ่านหนังสือโดยทั่วไป อาจารย์ดำรง ให้ผมเป็นหัวคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ ส่งคนมา สำรวจ แล้วให้ผมลงสมัคร ด้วยเงิน สามสี่หมื่นบาท ก็ไม่ได้ เพราะยังไม่เก่งอะไร สถานที่ผม สี่ห้าอำเภอ สมัยนั้นเขตผมมีสมาชิกไม่ถึงเจ็ดคน คนก็งงว่านายคนนั้น มาจากไหน หมอกระแสช่วง 2516โด่งดังที่สุด ใช้อะไรมาสู้ กับหมอกระแส ก็ใช้วิธีพูดบนเวทีเรื่อยไป ก็ไม่คิดว่าจะ เอาชนะเค้าได้ หมอกระแสเป็นคนจีนอาจจะเอาเหล้า ขาวไปบริจาคไปฝากให้เขาบ้าง ผมพยายามมาบ้านเดือน ละครั้งสองครั้ง ช่วยเหลือโรงเรียนตอนนั้นช่วงที่เลือกตั้ง มีเครือข่ายผู้สนับสนุนคือชาวบ้าน ไม่มีหัวคะแนน 118

ข้อมูลทั่วไป ชาวบ้านล้วน ๆ มีนักศึกษา แต่ที่มีพร้อมก็คือพวก หมอกระแส พรรคมาช่วยหาเสียงสองสามวันเท่านั้น ไม่มี การเขียนโครง เขียนคำพูดให้ ปี 22 ที่ผมลงตั้งใจจะเลิก เพราะได้เงินมาผมก็ช่วยการกุศล แต่ปีนั้นให้เงินเป็นแสน เข้าไปในสภาได้แปรญัตติอยู่สามสี่ครั้ง พูดในสภาอยู่ สามสี่ครั้ง สมัยนั้นเป็นรัฐบาล คนที่จะพูดคือพูดแทน รัฐบาล” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) สำหรับสมชาญแล้ว ความสำเร็จทางการเมือง มาจากการทำงานเพื่อสังคมภายใต้ความจริงใจที่มีต่อ ประชาชนในพื้นที่มากกว่าปัจจัยด้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดความไว้ วางใจรวมถึงความเชื่อใจในการที่จะตัดสินใจลงคะแนนเสียง ของประชาชน “ไม่มีกลยุทธอะไร ไม่มีการเขียนบทอะไร ปัจจัยที่ ทำให้ชนะการเลือกตั้ง ผมว่าคือผลงาน การช่วยเหลือ สังคมชนบท และอาจมีความนิยมส่วนตัว ตั้งแต่ปี 2529 หลังจากหมอศิวัฒน์ เสียชีวิต พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับ เลือกตั้งอีกเลย” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) 2.4.5) นายจตุพร เจริญเชื้อ เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2511 เป็นชาวขอนแก่น โดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย 119

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น สุโขทัยธรรมาธิราช ครุศาสตรอุตสาหกรรมบัณฑิต สาขา วิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และ ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขารฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง ชีวิตทางการเมืองเริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.จ.) เขตอำเภอกระนวน จังหวัด ขอนแก่น ตำแหน่งสำคัญคือ รองนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ก่อนที่จะเข้าสู่การเมืองระดับชาติในฐานะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ระหว่างปี 2544 – 2548 และเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 3 ปี 2548 – 2549 พรรคพลังประชาชน ปี 2550-2554 และพรรค เพื่อไทย ปี 2554 - 2556 จตุพร เจริญเชื้อ เข้าสู่การเมืองท้องถิ่นโดยมีบิดา เป็น ส.จ. มาก่อนจึงเป็นผู้ปูพื้นฐานการการทำงานการเมือง ที่สำคัญ ซึ่งบิดาเป็น ส.จ. มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในสังคมท้องถิ่น เรียกว่าเป็นตระกูล การเมืองท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและบารมี โดยชีวิตการเมือง ท้องถิ่นก็เป็นเช่นเดียวกับการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดอื่น ๆ ของ ประเทศ กล่าวคือ วางอยู่บนฐานความสัมพันธ์ในวิถีชีวิตประจำ วัน ทั้งการช่วยเหลือ สนับสนุน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา “ผมมีพ่อเป็น ส.จ. มาก่อน ชื่อวิจิตร เจริญเชื้อ ...เป็น ส.จ. ชาวนา เป็นมานานมาก 20 กว่าปี ก่อนผม 4-5 สมัยได้ จึงคุ้นเคยกับประชาชน กับ วิถีทางการเมืองว่าเป็นยังไง” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) 120

ข้อมูลทั่วไป การเข้าสู่การเมืองระดับชาติ หรือ ส.ส. นั้น เกิด ขึ้นจากการจัดตั้งพรรคไทยรักไทย ในปี 2542 เพื่อลงสมัครรับ เลือกตั้งในปี 2544 โดยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหลือและ จังหวัดขอนแก่นนั้นมีพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งพรรคไทยรักไทยใช้แนวทางการหาบุคคลที่มี พื้นฐานทางการเมืองที่มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจตุพร เจริญเชื้อ เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการชักชวนให้ลงสมัครรับ เลือกตั้ง ต่อมาด้วยกระแสของพรรคไทยรักไทยในช่วงเวลา ดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ทำให้อดีตนักการเมือง รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงของจังหวัด แจ้งความจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก ทำให้ ในเวลาต่อมา จตุพร เจริญเชื้อ ต้องเปลี่ยนไปลงสมัคร ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อแทน และก็ได้เป็น ส.ส. ครั้งแรกหลังการ เลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 “ตอนนั้นผมหาเสียงเลือกตั้ง หาเสียงอยู่ 2 ปี ตั้งแต่ปี 2542 เลือกตั้งปี 2544 คนหน้าใหม่ ๆ ก็ลงพื้นที่ หาเสียง และหาสมาชิกพรรคด้วย พอใกล้จะเลือกตั้งก็มี ส.ส. พรรคต่าง ๆ เห็นว่ากระแสพรรคไทยรักไทยดังมาก ก็เลยเข้ามาอยู่ ในแต่ละเขตก็มีปัญหาเรื่องพรรคไทย มีผู้สมัครไว้แล้ว ก็แก้ไขปัญหาโดยให้อดีต ส.ส. เดิม ลงสมัครเขต แล้วให้เราลง (ส.ส.) บัญชีรายชื่อแทน” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) 121

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในการบริหารงานพรรคของพรรคการเมืองอย่าง ไทยรักไทยในฐานะพรรคจัดตั้งใหม่ภายหลังรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักไทยพุทธศักราช 2540 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง ระบบการจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งกำหนดให้เขตเลือกตั้งมี ขนาดเล็ก เรียกว่า “เขตเดียวเบอร์เดียว” ทั้งนี้แนวคิดเกี่ยวกับ การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นมีฐานความคิด ที่ว่า หากเป็นเขตเลือกตั้งขนาดเล็ก ย่อมสนับสนุนและ เปิดโอกาสให้นักการเมืองหน้าใหม่ หรือรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ ความสามารถ และไม่มีเงินทุนสนับสนุนมากนักสามารถที่จะ ลงพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง ทำให้การเมืองไทยได้ ส.ส. เป็นผู้แทน ของประชาชนอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการสร้างโอกาสให้กับ พรรคการเมืองใหม่ ๆ สามารถกำหนดแนวทางการบริหารพรรค ทั้งการนำเสนอนโยบาย การคัดเลือกผู้สมัครในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ อย่างเหมาะสม พรรคไทยรักไทยซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ได้ใช้แนวทาง ดังกล่าวในการบริหารพรรคและประสบความสำเร็จในการ เลือกตั้งครั้งดังกล่าว และก็เช่นเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้ จตุพร เจริญเชื้อ ได้ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ “ท่านทักษิณมอบหมายให้พลเอกธรรมรักษ์ (อิศรางกูร ณ อยุธยา) มองหาบุคคลที่จะมาลงสมัครใน นามพรรค โดยมีหลักสำคัญคือคนที่มีโอกาสที่จะชนะใน เขตเลือกตั้งนั้น ๆ ตอนนั้นรัฐธรรมนูญ ปี 40 เป็นเขตเล็ก (เขตเลือกตั้ง) คนเดียวเบอร์เดียว เขตหนึ่งก็ประมาณ 2 อำเภอ 3 อำเภอ พลเอกธรรมรักษ์ฯ ก็ไปดูที่อำเภอโน่น จังหวัดนี้ เพราะฉะนั้นคนที่มีโอกาสที่จะชนะก็คือ ส.จ. 122

ข้อมูลทั่วไป ถ้า ส.จ. นี่เขาก็จะเป็นคนที่คุมพื้นที่ใหญ่ ๆ ของอำเภอ อย่างผมนี่เป็น ส.จ. อำเภอกระนวน อำเภอซำสูงด้วยตอน นั้น แล้วก็อำเภอน้ำพองบางส่วน พอดูแนวโน้มแล้วตัวผม ก็พอจะชนะได้ในสายตาของเขา คือเขาก็จะมองใน ลักษณะนี้ ในการคัดเลือกผู้สมัครเพราะเป็นพรรคตั้งใหม่” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) การหาเสียงเลือกต้ังและการรักษาฐานเสียง จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คือ จตุพร เจริญเชื้อ มีบิดาเป็นผู้วาง รากฐานทางการเมืองในระดับท้องถิ่นที่สำคัญ โดยเฉพาะ รูปแบบการทำงานการเมืองที่ค่อนข้างแตกต่างจากนักการเมือง ท้องถิ่นคนอื่น ๆ กล่าวคือ ใช้บ้านจัดตั้งเป็นมูลนิธิเจริญเชื้อ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งทำมาก่อนการลงสมัคร ส.ส. มูลนิธิ ดังกล่าวได้สร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้านผ่านการช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งถือเป็นระบบอุปถัมภ์ในสังคมท้องถิ่น การช่วยเหลือ ชาวบ้านดังกล่าว อาทิ การบริจาคโรงศพเมื่อได้รับการร้องขอ หรือการนำพาไปยังสถานรักษาพยาบาล ซึ่งในหมู่บ้าน ตำบล ในพื้นที่ ยังคงขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก ในขณะที่ฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านโดยทั่วไปยังคง ประสบปัญหาค่อนข้างมาก แม้ว่าชาวบ้านจำนวนมากจะมี ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าอดีตเป็นอย่างมากแล้วก็ตาม “ในช่วงปกติ ที่บ้านผมจะมีมูลนิธิ ช่วยเหลือ ในการบริจาคโลงศพ ชาวบ้านก็จะมาขอเป็นประจำ คนจน คนตาย ตายแล้วไม่มีโลงศพก็มารับบริจาค เราก็ 123

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ทำบุญบริจาคโลงศพไปให้ ที่นี่ในเวลาปกติ ที่ไม่มีการ ประชุม ชาวบ้านจะรู้ว่าวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมจะอยู่ พื้นที่ มาปรึกษาเรื่องโน่นเรื่องนี้ มาเชิญไปงานบวช งานกุศล เวลามีกิจกรรมก็จะมาเชิญเรา อยากให้ไปร่วม เพราะว่าชาวบ้านเวลาเขาจัดงานก็อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ไปร่วมงาน เราไปเขาก็จะดีใจที่ไปร่วม งานเล็กงานน้อยมี โอกาสเราก็ไป ถือว่ามีปฏิสัมพันธ์กับเขาตลอดเวลา ไม่ได้ ทอดทิ้งเขา” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งนั้น จตุพร เจริญเชื้อ ยึดแนวทางการทำงานของพรรค ทั้งนโยบายพรรค และการ ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ด้วยพรรคมีระบบการทำงาน รวมถึงความพร้อมด้านเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยมี การวางแผนการหาเสียงทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ รวมถึงจังหวัด ทำให้การหาเสียงเป็นไปตามเป้าหมาย โดย รูปแบบการหาเสียง ประกอบด้วย การรณรงค์นโยบายพรรค การจัดทำแผ่นผับ และโปสเตอร์ การเดินเคาะประตูบ้าน รวมถึงการปราศรัยหาเสียงทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด “ช่วงหาเสียง จะรณรงค์ตามแคมเปญของพรรค พรรคก็จะมีโปสเตอร์ มีแผ่นผับ เพื่อให้รู้จักให้เข้าใจ นโยบายพรรค ก็จะมีปราศรัยระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ระดับอำเภอ เพื่ออธิบายนโยบายต่าง ๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจ 124

ข้อมูลทั่วไป ก็รณรงค์ทุกบ้าน ไปเคาะประตูตามบ้าน เดินไม่ไหวก็ใช้ รถ ขึ้นหลังรถแห่ไปบ้านโน่นบ้านนี้ อะไรอย่างนี้ การปราศรัยก็ตอนเย็น วันหนึ่งได้ 5 หมู่บ้าน ตั้งแต่ช่วง 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) สำหรับรูปแบบการเสียงนั้น จตุพร เจริญเชื้อ อธิบาย ว่ามีความสำคัญแตกต่างกัน และมีความยากง่ายแตกต่างกัน อีกด้วย โดยในพื้นที่ชนบทนั้นทำได้ยาก ไม่เหมือนเขตเมือง เพราะหมู่บ้านอยู่ไกลกัน ไม่สามารถเดินได้ครบหรือไม่ทั่วถึง การปราศรัยจึงได้ผลหรือทำได้ง่ายกว่า “บ้านนอกไม่เหมือนเขตเมือง การเคาะประตูทำได้ ลำบาก วันหนึ่งได้ไม่กี่หลังหรอก เหนื่อย เสียเวลาเยอะ แต่ถ้าใช้วิธีปราศรัย อย่างน้อยก็ได้พูดปากต่อปากกันไป ถึงเวลาเราก็ใช้รถประชาสัมพันธ์ว่าเวลานั้นเวลานี้ ส.ส. จะมาปราศรัย พอถึงเวลาชาวบ้านก็เดินออกมาจากบ้าน มาศาลากลางบ้าน มาบ้างไม่มาบ้าง แต่ก็ถึงเพราะเราต่อ ลำโพงไป เขาก็ได้ยินเสียง” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์ วันที่ 5 ธันวาคม 2558) สำหรับเครือข่ายสนับสนุนนั้น จตุพร เจริญเชื้อ ไม่ได้ สร้างหรือดำเนินการเหมือนนักการเมืองอื่น ๆ หลายคนที่ใช้ วิธีการดังกล่าว หากแต่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจาก ประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามกลุ่มเครือข่ายสนับสนุน 125

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ที่สำคัญ คือกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน หรือ อสม. โดยฐานคะแนนเสียงสนับสนุนกลุ่ม อสม. ถือเป็นกำลังหลัก กลุ่มหนึ่งเพราะกลุ่มนี้มีเครือข่ายจำนวนมากในทุกหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองนั้น จตุพร เจริญเชื้อเน้นนโยบายของพรรคมากกว่า โดยที่ตนเองนั้น ไม่มีนโยบายส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะนโยบายส่วนตนนั้น ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ หรือทำไม่ได้ “นโยบายส่วนตัวนั้นมันทำไม่ได้ มันต้องใช้ นโยบายพรรค มันเหมือนจะไปลอกเขา (ประชาชน) ซึ่ง นโยบายพรรคสำคัญมาก ...ชาวบ้านเดี๋ยวนี้เขาฉลาดที่จะ เลือกแล้วน่ะ ส่วนใหญ่เขาจะเลือกพรรค ตัวบุคคลเขาไม่ ได้สนใจเท่าไหร่” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) การให้ความสำคัญกับนโยบายของพรรคการเมือง ดังกล่าว เป็นผลมาจากพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน จังหวัดขอนแก่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเน้นตัวบุคคลไปสู่ ความสำคัญของพรรคการเมืองที่มีต่อประชาชน สำหรับบทบาทในพรรคการเมืองนั้น จตุพร เจริญ เชื้อ ยอมรับว่าตนเองนั้นไม่ได้มีความโดดเด่นแต่อย่างใด แต่ เป็นไปในลักษณะนักการเมืองทั่วไปขึ้นอยู่กับการมอบหมาย ภารกิจของพรรคที่มีต่อตนเอง ซึ่งเป็นผลจากธรรมเนียมปฏิบัติ ของพรรคการเมืองที่สังกัด 126

ข้อมูลท่ัวไป ปัจจัยความสำเร็จทางการเมือง ในทัศนะของ จตุพร เจริญเชื้อ เห็นว่าจากการที่ประชาชนชาวจังหวัด ขอนแก่นเลือกพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่ให้ ความสำคัญกับพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล นอกจากนี ้ ยังเกี่ยวข้องกับตัวผู้นำพรรค เป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อการ เลือกตั้งเป็นอย่างยิ่ง กรณีพรรคไทยรักไทยถือเป็นตัวอย่าง ที่อธิบายได้ดีในเรื่องดังกล่าว “...ปัจจัยแรกคือเรื่องของพรรค คือชาวบ้านเขา อยากให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลเขาก็เลือก ซึ่งตรงนี้สำคัญ ส่วนตัวเราเองเมื่อได้รับเลือกตั้ง เราก็ช่วยเหลือเขา เราเองเป็นตัวประกอบนิดเดียว ในการเลือกตั้งพรรค 70 เปอร์เซ็นต์ เรา 30 เปอร์เซ็นต์… พรรคไทยรักไทย คือ ชาวบ้านเขาเชื่อถือในตัวท่านทักษิณ เพราะฉะนั้นใครมา นำพรรคเขาก็จะเลือก เพราะเขาคิดว่ายังไงเสียท่านนายก ทักษิณก็ต้องช่วยชาวบ้าน เป็นคนช่วยคิดนโยบาย เป็นอะไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพราะเขาเห็นบทบาทตอนเป็นนายก มาแก้ไขปัญหาจนประเทศก้าวหน้าได้ เขาก็เชื่อว่าใคร ก็ตามที่มานำพรรคนี้ก็ต้องยึดแนวนโยบายเดิม” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) มรดกทางวัฒนธรรมกับการเมืองไทย ในทัศนะ ต่อประเด็นดังกล่าวนี้ จตุพร เจริญเชื้อ เห็นว่า ในอดีตภูมิหลัง 127

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ก่อนเข้าสู่การเมืองของผู้สมัคร ส.ส. อาจมีผลค่อนข้างมากต่อ ชัยชนะในการเลือกตั้ง หากแต่นับจากการเกิดขึ้นของพรรค ไทยรักไทยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก “เมื่อก่อนอาจเป็นอย่างนั้น คือ คิดว่าเลือกไป ก็เหมือน ๆ กัน ทุกพรรคไม่รู้มีนโยบายอะไร ไม่มีอะไร ชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เหมือน ๆ เดิม ชาวบ้านก็สัมผัสไม่ได้ แต่พอมีไทยรักไทย เข้ามา เขานำเสนอรูปแบบที่แตกต่างออกไป มีนโยบาย ชัดเจน เป็นข้อ ๆ แล้วพอเป็นรัฐบาลก็ทำได้หมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการเมืองจึงเปลี่ยนแปลงมากในช่วง ไทยรักไทย ตอนนี้ชาวบ้านจะดูนโยบายของพรรค ว่าทำได้ไหม เช่น ไทยรักไทยเสนอว่ากองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท บางพรรคโผล่มาจะให้ 5 ล้านบาท ชาวบ้าน เขาก็ดูว่าเป็นไปได้ไหม แล้วก็ความสามารถของพรรคว่า ทำได้ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อวัฒนธรรมเดิม ๆ พวก ข้าราชการมาลง (เลือกตั้ง) มันจึงเปลี่ยนไป คนมีเงิน มีทองมาลงใช่ว่าจะได้ มันเปลี่ยนไป ต้องดูในพรรค สำหรับชาวบ้านว่าดีที่สุดสำหรับเขา” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) จตุพร เจริญเชื้อ อธิบายว่า ชาวบ้านนั้นเปลี่ยนแปลง ไปแบบ 360 องศา โดยสิ่งที่พรรคนำเสนอและประชาชนเห็นว่า ทำได้ และทำได้จริง ประชาชนจึงมีพฤติกรรมทางการเมือง ที่เปลี่ยนแปลง กรณีของขอนแก่นนั้นเห็นชัดที่สุดในด้านการนำ 128

ข้อมูลท่ัวไป นโยบายพรรคการเมืองเป็นตัวนำ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ กรณี ของสุวิทย์ คุณกิตติ นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นที่ประสบ ความสำเร็จทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง ดำรงตำแหน่งสำคัญ ทางการเมืองตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการหลาย กระทรวง และเคยมีบทบาทสำคัญในพรรคไทยรักไทย เมื่อออก ไปตั้งพรรคเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่เมื่อถึงการเลือกตั้ง ตนเอง (จตุพร เจริญเชื้อ) ชนะสุวิทย์ คุณกิตติ เพราะฉะนั้น การเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นจึงเปลี่ยนแปลงมาก “แม้ว่าตอนนั้นพรรคไทยรักไทยถูกยุบไปแล้ว ตอนนน้ั เรากม็ าตง้ั พรรคพลงั ประชาชน ทา่ นสมคั ร สนุ ทรเวช มานำพรรค แล้วเราถูกตัดสิทธิ์ตั้งร้อยกว่าคน สุดท้าย ชาวบ้านเขาก็เชื่อเรา ไทยรักไทยสามารถช่วยเขาได้ เขาก็ เลือก สุวิทย์ฯ ก็สอบตกในครั้งนั้น ดังนั้นผู้นำพรรค นโยบายพรรคสำคัญ” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) การเข้าสู่การเมืองระดับชาติในสนามการเลือกตั้ง ของ จตุพร เจริญเชื้อ นั้นเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ซึ่งได้ออกแบบโครงสร้าง ทางการเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของ ประเทศ ทั้งการสนับสนุนและสร้างโอกาสให้พรรคการเมือง มีความเข้มแข็งทางการเมืองมากกว่าในอดีต อันเป็นอุปสรรค ในการพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันยังได้สนับสนุนและสร้าง โอกาสให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งจตุพร เจริญเชื้อเป็นหนึ่งใน นักการเมืองที่กำเนิดจากกรณีดังกล่าว 129

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 2.4.6) นางมุกดา พงษ์สมบัติ เกิดวันที่ 11 สิงหาคม 2495 สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. โรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ จังหวัดขอนแก่น เป็น ชาวขอนแก่นโดยกำเนิด ในครอบครัวแม่ค้าในตลาด ซึ่งไม่เคย มีใครอยู่ในเวทีการเมืองทั้งในระดับชาติและท้องถิ่นมาก่อน การเข้าสู่การเมือง มีความสนใจทางการเมือง เป็นการส่วนตน มุกดาได้เข้าสู่การเมืองในฐานสมาชิกสภา จังหวัด (ส.จ.) หนึ่งสมัย ในเขตอำเภอน้ำพอง ก่อนที่จะได้รับ การชักชวนจากสุวิทย์ คุณกิตติ ให้เข้าสู่สนามการเมืองระดับ ชาติในสังกัดพรรคกิจสังคม อย่างไรก็ตามพื้นฐานการเมืองใน ระดับท้องถิ่นมาจากการที่มีสามีเป็นกำนัน ซึ่งถือเป็นฐาน การเมืองระดับท้องถิ่นที่สำคัญอันหนึ่งที่มีผลต่อการเป็น ส.จ. ในเวลาต่อมาความสำเร็จทางการเมืองท้องถิ่นถือเป็นกุญแจ เริม่ ตน้ ในการเมอื งระดบั ชาติทสี่ ำคัญ ทง้ั นป้ี ัจจยั ดา้ นบคุ ลิกภาพ ที่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองและกล้าแสดงออกอย่าง เปิดเผย โดยเฉพาะฐานการเมืองในกลุ่มสตรีของอำเภอน้ำพอง ในฐานะ “ประธานสตรีอำเภอน้ำพอง” ซึ่งฐานการเมืองสตร ี นับว่ามีความสำคัญต่อบทบาทการเป็นผู้นำในพื้นที่เป็นอย่าง มาก เพราะเกี่ยวโยงไปถึงกลุ่มอาสาสมัครชุมชนอื่น ๆ ด้วย สำหรับความสำเร็จในฐานะนักการเมือง มุกดา พงษ์สมบัติ อธิบายว่า เป็นความสามารถของตนเองมากกว่า ปัจจัยของพรรคการเมือง ทั้งนี้การเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในนาม พรรคกิจสังคมในปี 2539 นั้นเป็นบทพิสูจน์ที่สามารถยืนยัน ในประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามมุกดา 130

ข้อมูลทั่วไป พงษ์สมบัติ ก็ไม่ปฏิเสธถึงนโยบายของพรรคการเมืองและ บทบาทของพรรคการเมืองที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน ในการสนับสนุนตนเอง ทั้งนี้ความจริงใจในการทำงานให้กับ ประชาชนเสมือนพี่น้อง สามารถแก้ไขปัญหาได้ ถือเป็นปัจจัย สำคัญในความสำเร็จทางการเมือง อย่างไรก็ตาม นับจากการเป็น ส.ส. สมัยที่สอง เป็นต้นมา ปัจจัยทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่องกับนโยบายพรรค และความสำเร็จในการนำนโยบายของพรรคไปปฏิบัตินั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนให้การสนับสนุนในทาง การเมืองอย่างยิ่ง ซึ่งในปี 2550 มุกดา พงษ์สมบัติ ได้ย้ายจาก พรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบ และไม่เข้าสังกัดพรรคพลังประชาชน ในโดยย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดินกับสุวิทย์ คุณกิตติ ทำให้ มุกดา พงษ์สมบัติ ต้องพ่ายแพ้ทางการเมืองเป็นครั้งแรก แม้ว่า จะมีฐานการเมืองสนับสนุนอย่างมากมายในพื้นที่ก็ตาม “เหตุผลที่ไม่มาสังกัดพรรคพลังประชาชน เพราะ ได้รับการชักชวนจากคุณสุวิทย์ คุณกิตติ มันเป็นเหตุผล ส่วนตัวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่ชนะการเลือกตั้ง ได้ เพราะนโยบายของพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรค ไทยรักไทยเดิมโดดเด่นกว่าพรรคเพื่อแผ่นดินมาก แต่ก็แพ้ เพียงไม่กี่พันคะแนน” (มุกดา พงษ์สมบัติ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) คำอธิบายดังกล่าวของมุกดา พงษ์สมบัติ เป็นการ ยอมรับว่านโยบายของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 131

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น พรรคไทยรักไทยเดิมนั้นประชาชนในพื้นที่ยอมรับและสนับสนุน มากกว่าการให้ความสำคัญกับตัวบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให ้ เห็นว่า พฤติกรรมการเมืองของประชาชนจังหวัดขอนแก่น ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นั่นคือนักการเมืองในฐานะปัจเจกบุคคล มีความสำคัญน้อยกว่าพรรคการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับ คำอธิบายของมุกดา พงษ์สมบัติ ดังนี้ “ระยะหลังมีชาวบ้านมากระซิบบอกว่า เขาอยาก ให้มาอยู่พรรคพลังประชาชน (ในขณะนั้น) เพราะเขาเลือก พรรคนี้ให้มาทำงานมากกว่าที่จะเลือกตัวบุคคล... จริงแล้วเขา (ประชาชน) ก็เสียดาย ว่าทำไมไปอยู่พรรค เพื่อแผ่นดิน” (มุกดา พงษ์สมบัติ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง มุกดา พงษ์สมบัติ ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงประชาชนในทุก พื้นที่ มีทั้งการปราศรัยและการเคาะประตูบ้าน โดยใช้วิธีการ ที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริบทของเวลาและสถานที่ รวมถึงกลุ่มประชาชน เช่น พูดกับผู้หญิง ต้องแสดงให้เห็นถึง ภาวะผู้นำ สร้างความเชื่อมั่นว่าผู้หญิงก็ทำได้ สร้างความเข้าใจ ในบทบาทของผู้หญิง ในขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในกลุ่มฐานเสียง ผู้ชาย ก็อธิบายถึงบทบาทผู้หญิงที่มีบทบาทส่งเสริมเป็นมือไม้ ให้กับผู้ชายในทุกกิจกรรม กับเยาวชนก็บอกว่าห่วงใยลูกหลาน สามารถให้คำปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ เช่น การศึกษา การใช้ชีวิต ในกลุ่มผู้อาวุโส จะอธิบายว่าพวกเขา เป็นผู้สร้างเสาหลักของ 132

ข้อมูลท่ัวไป สังคมมาก่อน ตนในฐานะนักการเมืองก็จะหาวิธีมาดูแล กลยุทธ์การหาเสียงมุกดา พงษ์สมบัติ จึงเน้นการเข้าถึง ประชาชนในระดับหมู่บ้าน ชุมชนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ นับเป็น นักจิตวิทยาการเมืองโดยธรรมชาติที่เข้าใจพฤติกรรมของ ประชาชนอย่างท่องแท้ มุกดา พงษ์สมบัติ เป็น ส.ส. 4 สมัย ประกอบด้วย ปี 2539 พรรคกิจสังคม หลังจากนั้นย้ายมาลงสมัครพรรค ไทยรักไทย ในปี 2544 และ 2548 แต่ในปี 2550 ย้ายไปสังกัด พรรคกิจสังคม5 ซึ่งต้องสอบตกพ่ายแพ้ทางการเมือง หลังจาก นั้นจึงย้ายมาลงสมัครในสังกัดพรรคเพื่อไทยในปี 2544 ได้กลับ มาเป็น ส.ส. จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง ในฐานะนักการเมืองหญิงของประเทศ มุกดา พงษ์สมบัติ มีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับในยุคของ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเป็นกรรมการยกร่าง กฎหมายกองทุนการพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งก่อนหน้านั้นอยู่ ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย 5 เป็นผลมาจากภายหลังวิกฤตการณ์การเมืองทำให้พรรคไทยรักไทย ถูกยุบ สุวิทย์ คุณกิตติได้ลาออกจากพรรคไทยรักไทยไปตั้งพรรค เพื่อแผ่นดิน ทำให้มุกดา พงษ์สมบัติ ตัดสินใจลาออกติดตามไปด้วย 133

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 2.4.7) นายอดิศร เพียงเกษ อดิศร เพียงเกษ เกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2495 ในครอบครัวนักการเมืองจังหวัดขอนแก่น โดยเป็นลูกชาย หัวแก้วหัวแหวนของทองปักษ์ เพียงเกษ6 อดีต ส.ส.ขอนแก่น ปี 2518 สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองศาสตราจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์- ราชวิทยาลัย อดิศร เพียงเกษ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก ในสังกัดพรรคมวลชน โดยมีร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง เป็น หัวหน้าพรรค หลังจากนั้นได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สังกัดพรรค พลังธรรม7 ในปี 2535 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นพรรคที่มีกระแส 6 ในนามสังกัดพรรคแนวร่วมสังคมนิยม ซึ่งมีนายแคล้ว นรปติ นักการเมืองอาวุโสของจังหวัดขอนแก่นและการเมืองไทยคนสำคัญดำรง ตำแหน่งหัวหน้าพรรคในขณะนั้น และถือเป็นพรรคการเมืองที่ประสบความ สำเร็จในยุคนั้นโดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นได้จำนวน ส.ส. 5 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 8 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งที่ 10 วันที่ 26 มีนาคม 2518 ทั้งนี้ทองปักษ์ เพียงเกษ ถือเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สำคัญคนหนึ่ง ของจังหวัดและประเทศ 7 การเลือกตั้งของจังหวัดขอนแก่นในวันที่ 13 กันยายน 2535 พรรค พลังธรรมได้ ส.ส. จำนวน 5 ที่นั่งจากจำนวนทั้งสิ้น 11 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่า พรรคการเมืองทุกพรรค โดยเขต 1 ชนะยกเขต ได้แก่ อดิศร เพียงเกษ ภูมิ สาระผล และพงษ์ศักดิ์ อินทรพานิชย์ 134

ข้อมูลทั่วไป สนับสนุนจากชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จำนวนมาก ต่อมาได้ เป็น ส.ส. ในปี 2538 สังกัดพรรคนำไทย โดยการนำของ นายอำนวย วีรวรรณ และพรรคความหวังใหม่ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ปี 2539 และนับจากนั้นได้ย้ายมาสังกัดพรรค ไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน โดยเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต 4 สมัย และ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ในปี 2544 2548 2550 และ 2554 รวม 8 สมัย ขณะเดียวกันยังมี บทบาททางการเมืองด้วยการดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ อาทิ เลขาธิการพรรคนำไท กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การเข้าสู่การเมือง อดิศร เพียงเกษ มีพื้นฐาน ทางการเมืองในฐานะครอบครัวการเมือง หรืออยู่ในตระกูล การเมืองแม้ว่าบิดาจะเป็น ส.ส. เพียงสมัยเดียวก็ตาม อาจ กล่าวได้ว่า อดิศร เพียงเกษ ได้รับอิทธิพลอุดมการณ์ทาง การเมืองส่วนหนึ่งมาจากพรรคแนวสังคมนิยมซึ่งเน้นความ เสมอภาคของประชาชน อดิศร เพียงเกษเข้าร่วมชุมนุมขับไล่ จอมพลถนอม กิติขจร ขณะบวชเป็นพระและขอกลับเข้า ประเทศ ซึ่งต่อมาเป็นชนวนในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นอกจากนี้ยังเป็นแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมีชื่อจัดตั้ง “สหายศรชัย” หรือ “สหายสอง” นับเป็นคน เดือนตุลาฯ ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในยุคปัจจุบัน 135