Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น อดิศร เพียงเกษและครอบครัว ได้หนีภัยการเมือง ไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลังจากพรรค แนวร่วมสังคมนิยมถูกคำสั่งให้ยุบพรรคตามคำสั่งคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดิน ที่มีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า ปฏิวัติ ในปี 2519 ต่อมาภายหลัง อดิศร เพียงเกษ ได้กลับเข้าสู่ สนามการเลือกตั้งครั้งแรกในนามอิสระไม่สังกัดพรรคการเมือง ในปี 25268 “การเขา้ สกู่ ารเมอื งหากนบั ในความหมายการเลอื ก ผู้แทนก็เริ่มปี 2526 ถ้าไม่อิงความหมายเลือกผู้แทนฯ การเข้าสู่การเมืองก็เป็นตระกูลการเมืองอยู่แล้ว คุ้นเคย การบ้านการเมืองมาตั้งแต่คุณพ่อ (คุณพ่อทองปักษ์) พ่อเป็นผู้แทนราษฏร พ่อเป็นสมาชิกสภาจังหวัดและ รองประธานสภาจังหวัดมาก่อน ผมเข้าสู่การเมืองโดยการ เลอื กตง้ั สมคั ร ส.ส. โดยไมผ่ า่ นทอ้ งถน่ิ ไมเ่ คยผา่ นเทศบาล ไม่เคยเป็น ส.จ. มาก่อน เริ่มต้นจากการสมัครผู้แทน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) กระนั้นประวัติทางการเมืองที่ถูกบันทึก ส่วนหนึ่ง กลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือชีวิตการเมืองเริ่มต้นจากการ 8 ข้อมูลการเข้าสู่การเมืองในสนามเลือกตั้งดังกล่าวนี้เป็นการยืนยัน โดยอดิศร เพียงเกษ (สัมภาษณ์, 2556) ซึ่งปรากฏในสื่อออนไลน์ว่า การเลือกตั้งครั้งแรกสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2526 ซึ่งอดิศร เพียงเกษ อธิบายว่าเป็นความเสียหายในทางประวัติการเมืองของตนอย่างร้ายแรง ที่ไประบุว่าตนเองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 136

ข้อมูลท่ัวไป ลงสมัคร ส.ส. ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอดิศร เพียงเกษ อธิบายว่าเป็นความเสียหายมากในชีวิตทางการเมืองของตน โดยการสมัคร ส.ส. ในช่วงเวลานั้นกฎหมายมิได้กำหนดให้ต้อง สงั กดั พรรคการเมอื ง ซง่ึ ไดร้ วมตวั 3 คน ประกอบดว้ ยนายสมคดิ นายผล แสนสระดี และอดิศร เพียงเกษในนามทีมเดียวกัน “...(ประวัติที่ปรากฏในออนไลน์) สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ ผมนี่ไม่เคยคิดจะเข้า เป็นการลงประวัติที่ เสียหายมากสำหรับผม ผมไม่เคยเข้าประชาธิปัตย์และ ไม่เคยคิดในชีวิตนี้ด้วย คุณพ่อสั่งเสียไว้ว่าไม่ให้ยุ่งพรรค ประชาธิปัตย์ ก็แปลกใจว่าประวัติในกูเกิ้ลเขียนไปได้ไง หรือนั่งเทียนเขียน หรืออยากให้ไปอยู่ ผมไม่เคยเหยียด กายไปพรรคนี้...ในปี 26 ผมลงสมัครร่วมกับ นายสมคิด และนายผล แสนสระดี ในนามทีมเดียวกัน เขาให้สมัคร อิสระได้ในช่วงนั้นน่ะ ...ในนามประชาธิปัตย์ผมไม่เคยฮะ ผมถือว่าผมเสียหายเลยครับ สำหรับประวัติทางการเมือง ของผม” (อดศิ ร เพยี งเกษ, สมั ภาษณว์ นั ท่ี 12 ธนั วาคม 2558) อดิศร เพียงเกษ อธิบายเพิ่มเติมถึงพรรคการเมืองว่า เป็นเรื่องของคนชอบ สำหรับตนเองแล้วไม่ชอบ (พรรคประชา- ธิปัตย์) อดิศร เพียงเกษ นั้นสนใจการเมืองมานานโดยในอดีต มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น ซึ่งยอมรับว่าในบาง สถานการณ์กิจกรรมทางการเมืองหรือการเข้าร่วมการเมือง ใต้ดินนั้นสำคัญกว่าการเมืองในระบบ 137

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น “ความสนใจการเมืองมีทั้งบนดินใต้ดิน สำหรับ บางเวลาการเมืองบนดินถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย คุณพ่อก็เคยสมัครผู้แทนฯ ตั้งแต่ปี 2500 มาประสบความ สำเร็จในปี 2518 พรรคแนวร่วมสังคมนิยม ของนายแคล้ว นรปติ” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) สำหรับในเหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2519 นั้น อดิศร เพียงเกษ กล่าวว่าตนเองกำลังเรียนปริญญาโทสาขา นิติศาสตร์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากสำเร็จการ ศึกษาสาขานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างไร ก็ตามด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดการทำร้าย นกั ศกึ ษาในชว่ งเวลาดงั กลา่ วทำใหอ้ ดศิ ร เพยี งเกษและครอบครวั ตัดสินใจเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย “ปี 19 ผมเรียนอยู่นิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย หลังจากจบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ในปี 2517 เหตุการณ์ปี 19 มีผลต่อแนวคิดทางการเมืองของผม มาก แตไ่ มไ่ ดอ้ ยใู่ นเหตกุ ารณน์ ะ่ ผมเปน็ ทนายความแลว้ ... หลังจากนั้นจึงมีผลกับผมหลังจากมีการโหดเหี้ยมกับ นิสิตนักศึกษา พวกผมหมายถึงตระกูลเพียงเกษ ทุกคน เข้าป่าหมด คุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ 9 คน เข้าไปหมด เลย หลังเหตุการณ์ 19 ราว ๆ 19 20 เชื่อม ๆ กันนี่แหละ ครอบครัวได้เข้าสู่ป่าเขาลำเนาไพร เข้าร่วมกับพรรค คอมมิวนิสต์ ก็ธรรมดา เป็นความภูมิใจของพวกเราทุกคน 138

ข้อมูลทั่วไป ที่มีโอกาสได้เข้าร่วมต่อสู้ ด้วยการจัดกำลัง จับอาวุธต่อสู้ เพราะทางรัฐบาลช่วงนั้นเขามีปฏิกิริยารุนแรงต่อ ประชาชนมาก ก็มีกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์ มีอาวุธ รองรับอยู่แล้ว ก็พร้อมจะต่อกรต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกัน ประเทศไทยถึงตอนนี้ก็เคยผ่านสงครามการเมืองมาน่ะ ครับ” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การเข้าป่าเพื่อต่อสู้ทางการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว มีผลต่ออุดมการณ์และแนวคิด รวมถึงแนวทางการต่อสู้ทาง การเมืองในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ใน ยุทธศาสตร์ทางการเมืองในช่วงเวลาของความขัดแย้งใน อุดมการณ์การเมืองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ด้วยกันเอง ในบรรดา ความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์ดังกล่าว อดิศร เพียงเกษ ยังคงยึดหลักการต่อสู้ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่มุ่งไปสู่เป้าหมายที่จะ ประสบความสำเร็จและเห็นผลในทางปฏิบัติมากกว่านามธรรม จึงเลือกแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และลาว ในขณะที่อีกกลุ่มยึดแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งนี้ อดิศร เพียงเกษ อธิบายเหตุผลในการตัดสินใจครั้งดังกล่าวไว้ ดังนี้ “คือเราเข้าป่าไป พอทางฝ่ายคอมมิวนิสต์เขา แตกแยกกัน ระหว่างเวียดนาม โซเวียตกับจีน มีความ คิดเห็นแตกแยกกัน ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์มีความ คิดเห็นแตกต่าง แตกแยกกันไปด้วย พรรคคอมมิวนิสต์ 139

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น แห่งประเทศไทยนี่ เดินตามก้นพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตัดหัวไทยใส่หมวกจีน โดยตัดความสัมพันธ์ทางลาว เวียดนาม กัมพูชา เขาก็ตัดความสัมพันธ์กับพรรค คอมมิวนิสต์ไทย พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงแตกแยกออก เป็นสองฝ่าย พวกผมอีกฝ่าย แยกออกมาอยู่กับฝ่ายลาว กับฝ่ายเวียดนามแล้ว แยกกันไปทางโน่น หลังจากนั้น มีการตั้งพรรคขบวนการประชาชนปฏิวัติไทยขึ้นมา พรรค คอมมิวนิสต์ไทยก็เดินตามจีน แต่เราไม่ยอมเดินตาม เพราะเราคิดว่าการปฏิวัติต้องมีหลังพิง ต้องมีลาว ต้องมี เวียดนาม พิง คุณได้รับบาดเจ็บคุณจะไปรักษาที่ไหนละ อย่างนี้เป็นต้น จึงเกิดการแตกแยกกัน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในการตัดสินใจในอุดมการณ์ทางการเมืองในช่วง เวลาดังกล่าวนั้น รัฐบาลไทยโดยกองทัพได้ปรับนโยบายครั้ง สำคัญที่มีผลต่อเส้นทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษและ ครอบครัว รวมถึงกลุ่มเพื่อนร่วมอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เป็น อย่างมาก ซึ่งนโยบาย 66/2523 ถือเป็นนโยบายสำคัญอันมีผล ต่อการสร้างความร่วมมือของกลุ่มประชาชนที่มีต่อความเห็น ต่างในอุดมการณ์ทางการเมืองกับรัฐบาล และนับเป็นนโยบาย ปรองดองที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลในทางการเมืองมากที่สุด นับถึงปัจจุบัน “ต่อมาก็มีนโยบาย 66/2523 ในปี 2523 ในขณะนั้น ทหารประชาธิปไตยของประเทศขณะนั้นบอกว่าความไม่ 140

ข้อมูลทั่วไป เป็นธรรมของมนุษย์ เกิดสงครามเพราะความไม่เป็นธรรม สร้างความเป็นธรรมก็จะทำให้สังคมทุกฝ่ายเข้ามา คือแนวทางมันไปกันได้ นั่นก็คือ จัดให้มีการเลือกตั้ง พวกเข้าป่าทุกฝ่ายก็ไม่มีความผิด ก็เริ่มต้นนับกันใหม่ มัน เป็นนโยบายปรองดองที่มีประสิทธิภาพมาก หลังจากอยู่ ใต้ดินก็มาสมัครผู้แทนฯ ก็ไม่มีอะไรมาก บางคนก็ประสบ ความสำเร็จ บางคนก็ไม่ได้” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์ วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ความสำเร็จและความล้มเหลวทางการเมือง ในการเข้าสู่การเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง อดิศร เพียงเกษ อธิบายว่ามิได้เป็นไปโดยง่าย ด้วยเงื่อนไขทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับอำนาจในการตัดสิน ใจของประชาชนในสนามเลือกตั้ง “ไม่ได้ประสบความสำเร็จง่าย ๆ ผมสมัครปี 26 ปี 29 ลงสมัคร 3 ครั้งไม่ได้ แล้วก็ปีเลือกตั้งซ่อม ของ แคล้ว นรปติ ที่ไม่ยื่นบัญชีค่าใช้จ่าย ผมสมัครผู้แทนฯ 4 ครั้งจึงประสบความสำเร็จ ครั้งแรกคะแนนได้สูสีกับ คนได้ที่หนึ่ง คนได้ที่หนึ่งคือร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ได้หกหมื่นเก้าคะแนน ผมได้ 3,774 คะแนน สูสีกันมาก สามพันกับหกหมื่นเก้า ไม่ใช่ว่าจู่จู่ได้ การเลอื กตง้ั มนั ยาก จากนน้ั เปน็ สามหมน่ื สอง สามหมน่ื สาม ก็ยังไม่ได้ สามหมื่นเจ็ด ถึงได้ มันยาก ยากมาก เพราะ เราเดินทางแนวประชาชน เดินทางสู้กับพวกที่ซื้อสิทธิ์ 141

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ขายเสียง ก็ต่อสู้ ครั้งที่ 4 จึงประสบความสำเร็จ ในนาม พรรคมวลชน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในทัศนะของอดิศร เพียงเกษ เห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อ ความล้มเหลวทางการเมืองของตนนั้น เป็นผลมาจากความ ล้มเหลวที่ไม่สามารถไปชี้แจงประชาชนได้ “ปัจจัยที่ว่าเราไม่สามารถไปชี้แจงให้แก่ประชาชน ตามหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ได้ครบ หน่วยไหนที่เราไป เรา ได้ที่หนึ่ง มหี กร้อยกว่าหมู่บ้านอย่างงี้ เราไปได้แค่ร้อยกว่า หมู่บ้านจะชนะเขาได้อย่างไร ตอนหลังที่ได้ ที่ผมได้ ก็คงจะเป็นเพราะว่าลงเลือกตั้งซ่อม ผู้สมัครสามคน ที่หนึ่งสามหมื่นห้า ที่สองหมื่นสี่ ที่สาม ผมสามหมื่นสาม แพ้กันในหลักไม่ถึงพัน พอครั้งที่สี่เราเลยได้ ทำให้ชื่อเสียง เรา ทำให้ประชาชนเขาเห็น เขาอยากจะออกคะแนนเสียง ให้” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) แม้ว่าจะมีภูมิหลังทางการเมืองอันเกิดจากบิดา (นายทองปักษ์ เพียงเกษ) ซึ่งเป็นนักการเมืองในระดับท้องถิ่น ในฐานะสมาชิกสภาจังหวัด และอดีตรองประธานสภาจังหวัด ผนวกกับต่อมายังได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดขอนแก่น ในอดีตอีกด้วย แต่เส้นทางทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษ ก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนเช่นนักการเมืองรุ่นลูก ในตระกูลการเมืองอื่น ๆ ด้วยสถานการณ์รวมถึงพื้นที่ทาง 142

ข้อมูลทั่วไป การเมืองแตกต่างกัน อันมีผลต่อพฤติกรรม ค่านิยม และความ เชื่อทางการเมืองของชาวจังหวัดขอนแก่นอาจแตกต่างไปจาก จังหวัดอื่นด้วย “คุณพ่อเป็น ส.ส. (ทองปักษ์) หนึ่งสมัย ปี 2518 คุณพ่อก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าลูกกับพ่อไม่สามารถโอน โฉนดให้กันได้ ไม่ใช่โอนแบบ น.ส. 3 ก. ลูก ส.ส. ส่วนมาก จะได้เป็น แต่ว่า ผมกว่าจะได้เป็น 4 ครั้ง แล้วมันอยู่คนละ เขตกัน ผมอยู่เขตอำเภอเมือง คุณพ่อเขตมัญจาฯ (คีรี) ปัจจัยในการเป็นผู้แทนฯ ยากมาก สมัยก่อนมันเลือกคน เลือกพรรค เลือกเงิน เราอยู่ที่เลือกคน ก็ยาก” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การเข้าสู่การเมืองของอดิศร เพียงเกษ ได้เป็น ผลสำเร็จด้วยการได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งซ่อม ปี 2535 จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญในชีวิตการเมืองนับจาก นั้นเป็นต้นมา อดิศร เพียงเกษยอมรับในผลการเลือกตั้งซึ่งเป็นการ ตัดสินใจของประชาชน ซึ่งในการเลือกตั้งในอดีตใช้ระบบการ รวมเขต และนั่นก็เป็นข้อดีประการหนึ่งในช่วงเวลานั้นที่การ สมัครผู้แทนฯ ในเขตเดียวกันจำนวน 3 คน ทำให้ตนเองมี โอกาสและประสบความสำเร็จและได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในที่สุด 143

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น “สมัยที่ผมเป็นผู้แทนครั้งแรก มันเขตละ 3 คน เลือกใครก็ได้ ไม่ใช่ one man one vote คะแนนคนหนึ่ง เขาสามารถเลือกได้ 3 เบอร์ เขาก็เลือกพรรค เลือกคน เลือกเงิน แบบเราก็ห้อยกับเขาไปด้วย เป็นการต่อสู้ที่ไม่ รุนแรงน่ะ เขตใหญ่นี่ ประชาชนก็มีที่ มีจุดหมายปลาย ทางที่จะเลือกรับ เลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) สำหรับความความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งนั้น เป็นผล จากความละเอียดอ่อนทางการเมืองซึ่งยากต่อการทำความ เข้าใจในบางครั้ง เพราะขึ้นอยู่กับกระแสการตอบรับหรือการ ปฏิเสธของประชาชนเป็นสำคัญ รวมถึงภาพลักษณ์ของพรรค ที่ปรากฏผ่านสื่อ ดังปรากฏในช่วงเวลาของการไม่ได้รับ การเลือกตั้ง 2535/1 ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการร่วมงานการเมืองกับ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าพรรคมวลชนในขณะนั้น “35/1 นี่สอบตก ผมก็ไม่ย้ายพรรค เป็นเลขาธิการ พรรคมวลชน รอ้ ยตำรวจเอกเฉลิมก็เปน็ หวั หน้า ปรากฏวา่ ทั้งหัวหน้า เลขา ตกหมด สถานการณ์ช่วงนั้นร้อยตำเอก เฉลิมกลับจากลี้ภัยเดนมาร์ก ก็มาชนแก้วกับบิ๊กจ๊อดไง เรื่องประชาชนเรื่องการเมืองประชาชนเริ่มไม่ไว้ใจว่า คุณเอายังไงกันแน่” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 144

ข้อมูลทั่วไป กลยุทธ์การหาเสียงและการรักษาฐานเสียง ในฐานะนักการเมือง อดิศร เพียงเกษ นับเป็นนักการเมือง คนหนึ่งที่ย้ายพรรคการเมืองบ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้เป็นเหตุผลและ ปัญหาภายในของพรรคการเมืองทั้งสิ้น แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วยกับการย้ายพรรคแต่อย่างใด อดิศร เพียงเกษ ย้ายออกจากพรรคมวลชน ไปสังกัด พรรคพลังธรรมในเวลาต่อมา ซึ่งถือเป็นความตั้งใจเดิมของตน ก่อนหน้านั้น หากแต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากพรรคพลังธรรม มีผู้สมัครในสังกัดในพื้นที่เลือกตั้งเดียวกับตน แต่เมื่อมีโอกาส จึงตัดสินใจโดยไม่ลังเล อดิศร เพียงเกษ ใช้หลักการทาง วิชาการในการประเมินโอกาสในการเลือกตั้งทั้งจากกระแส ความนิยมที่มีต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองของประชาชน ในพื้นที่ และจากผลการประเมินที่ปรากฏจากความคิดเห็นของ ประชาชน “การอยู่พลังธรรม ตั้งแต่ผมอยู่พรรคมวลชน ผมก็ แสดงความจำนงจะลงสมัครในนามพรรคพลังธรรม อยู่แล้ว แต่มีคนสมัครก่อน พอเราตกจากพรรคมวลชน เราก็ทำแบบสำรวจ เป็นวิทยาศาสตร์ ถามชาวบ้าน ว่า สาเหตุเป็นเพราะประการใด เราจะปรับปรุงตัวอย่างไร ผลโพลล์ออกมาเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ให้ไปอยู่ พลังธรรม ไม่ย้ายพรรคก็จำเป็นต้องไปละทีนี้ คนที่จะ เลือก (ประชาชน) เขาให้ไปอยู่พลังธรรม พอไปอยู่ พลังธรรมเราก็ยกทีม (ชนะ) ทั้งสามคน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น การเมืองของอดิศร เพียงเกษ จึงเกิดขึ้นและ เปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทสถานการณ์ความต้องการของ ประชาชนมากกว่าการตัดสินใจบนพื้นฐานของกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมือง ดังปรากฏในช่วงเวลาการตัดสินใจย้ายไป สังกัดพรรคพลังธรรม ทั้งนี้พรรคพลังธรรมในขณะนั้นมีแนวคิด และอุดมการณ์ทางการเมืองที่สอดคล้องกับความคิดและ ความต้องการอดิศร เพียงเกษ มากที่สุด “ก็ต้องดูคนเลือกครับ เราไปสมัครให้ใครเลือกล่ะ ถ้าเราไม่ไปเราก็เลิกเล่นการเมืองไป อยู่พรรคพลังธรรมใน ช่วงที่มีอุดมการณ์ต่อสู้ทางการเมืองในขณะนั้น เป็นพรรค ที่ก้าวหน้ามาก ตอนนั้นใครไปอยู่พลังธรรมถือว่าได้รับการ รับประกันจากความก้าวหน้าในขณะนั้นอย่างแน่นอน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) จุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษ เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากภายในพรรคพลังธรรมเกิดความแตกแยก ในแนวคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงโดยเฉพาะการเกิดขึ้นของ กลุ่ม 23 ในขณะเดียวกันกับนายอำนวย วีรวรรณได้จัดตั้งพรรค นำไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ และตัดสินใจจะลงสมัคร เลือกตั้งในเขตเดียวกับอดิศร เพียงเกษ ซึ่งทำให้เกิดแนวโน้ม การต่อสู้ทางการเมือง ในปัญหาการลงเลือกตั้งในพื้นที่ดังกล่าว นายกวี สุภัทธีระ ผู้เปรียบเสมือนพี่ชายของอดิศร เพียงเกษ ได้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพูดคุยในปัญหาดังกล่าว และ เป็นที่มาของการย้ายมาอยู่พรรคนำไทยในเวลาต่อมา 146

ข้อมูลทั่วไป “ก็มีเหตุผลว่าในการเลือกตั้งคุณอำนวย วีรวรรณ อยู่ ๆ จะมาลงเขตผม ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยน่ะ อยู่ ๆ แก่ก็มา ให้เหตุผลว่า แกมาเขียนแผนพัฒนาฉบับที่บ้านจอมพล สฤษดิ์ฯ นั่น แกก็จะมาลงที่นี่ ลงที่นี่มันก็ต้องสู้กัน ตอนหลงั ผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ ทา่ นกวี สภุ ทั ธรี ะ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ขณะนั้น ก็ถือว่าเป็นพี่ชาย นัดมาคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะท่านอำนวยเองก็หวังจะเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบกบั ทางพรรคพลงั ธรรมกเ็ กดิ การแตกแยก ความคดิ มีกลุ่ม 23 แตกแยกรุนแรง ในพลังธรรมก็แตกกันเละมาก ผใู้ หญก่ บ็ อกวา่ ใหล้ องพรรคทา่ นอำนวย วรี วรรณ ดซู ิ จะเปน็ ยังไง ผมก็เป็นเลขาธิการพรรค และโฆษกพรรคนำไทย” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การตัดสินใจย้ายพรรคมาอยู่นำไทยนั้นยังคงประสบ ความสำเร็จในการเลือกตั้งอีกครั้งโดยได้รับเลือกตั้งยกทีม 3 คน “อำนวย ได้แสนสอง ท่านผู้ว่ากวี ได้เจ็ดหมื่นเจ็ด ผมได้ห้าหมื่น ห้า ทิ้งคู่ต่อสู้ขาดเลย” อย่างไรก็ตามชีวิตทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อนายอำนวย วีรวรรณ หัวหน้าพรรคนำไทย ได้ตัดสินใจหลังการเลือกตั้งเพียงอาทิตย์ เดียวว่าจะเลิกเล่นการเมือง “อีกอาทิตย์หนึ่ง ดร.อำนวย บอกท่านไม่เล่น การเมืองแล้ว หัวหน้าพรรค อยู่ ๆ ยกธงขาวบอกผมไม่เอา แลว้ แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ก็เอาพวกผมมาฝากพลเอก 147

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ชวลิต ก็มีอยู่แค่นั้น ที่ย้ายพรรคเพราะอะไรก็ที่เล่าให้ฟังนี่ แหละ...” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การย้ายมาอยู่กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กลับกลาย เป็นเรื่องดีทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษ เมื่อกระแสความ นิยมที่มีต่อพลเอกชวลิต ยงใจยุทธโดยเฉพาะนโยบายที่สำคัญ “อสี านเขยี ว” ในขณะนน้ั มอี ยสู่ งู มากในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซึ่งได้จัดตั้งพรรคความหวังใหม่เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งและได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา “เมื่อมาอยู่กับพลเอกชวลิต ตอนนั้นกระแสตอบรับ แรงมากในภาคอสี าน กย็ กทมี อกี ในนามพรรคความหวงั ใหม่ มีผม มีภูมิ สาระผล มีกวี สุภัทธีระ ก็ยกทีมอีก” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การอยู่ในพรรคความหวังใหม่อดิศร เพียงเกษ มีบทบาทสำคัญและมีความโดดเด่นในพรรคและร่วมกับ จาตุรนต์ ฉายแสง ในการอภิปรายพลตรีสนั่น ขจรประสาสน์ อุดมการณ์ทางการเมืองและพรรคการเมือง ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย อดิศร เพียงเกษ อธิบายว่าสำหรับตนเองแล้ว ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ทาง การเมืองไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีตแต่อย่างไร ในอดีตนั้นอดิศร ได้ตัดสินใจเข้าป่าเพื่อต่อสู้ทางการเมืองกับรัฐบาลด้วยเหตุผล ที่รับไม่ได้กับการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับขบวนการนักศึกษา 148

ข้อมูลทั่วไป และประชาชนในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย ในการทำการเมืองนั้น การย้ายพรรคการเมืองเป็นสิ่ง ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับอดิศร เพียงเกษ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่ามาจาก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งยากต่อการปฏิเสธถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้วยอุดมการณ์และแนวคิดทางการเมืองที่มีอยู่เป็นพื้นฐาน ทำให้ครั้งหนึ่งอดิศร เพียงเกษ ได้ตัดสินใจร่วมกับจาตุรนต์ ฉายแสง เพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองในชื่อ “พรรคประชาสังคม” แต่ด้วยบริบทและสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเขาเองได้ประเมิน แล้วว่า ไม่อาจประสบความสำเร็จทางการเมืองได้อย่างแน่นอน จึงตัดสินใจร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองกับทักษิณ ชินวัตร ในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย โดยร่วมคิดนโยบายพรรคนับตั้ง แต่เริ่มก่อตั้งพรรค “ความนิยมในพรรคความหวังในช่วงนั้นมีอยู่แต่ใน การที่พลเอกชวลิต ได้แสดงเจตจำนงลาออก ทำให้ ขบวนการต่อสู้เกิดปัญหาพอสมควร ตอนแรกคิดจะมาตั้ง พรรคเองกับจาตุรนต์ พรรคประชาสังคม จาตุรนต์ เป็น หัวหน้า ผมเป็นเลขา (เลขาธิการ) แต่ดูกระแสสังคม ความคิดเห็นตอนนั้นมันคงไปลำบาก อาจเป็นพรรค ประชาสองคนก็ได้ ก็มาคุยกับ ดร.ทักษิณ นั่งคุยกัน มาอยู่ไทยรักไทยก็ยกทีมอีก เพราะฉะนั้นการที่จะวินิจฉัย ว่าอยู่พรรคการเมืองเดียวหรือไม่ก็เพราะเหตุทั้งนั้น ไม่มี ใครอยากจะย้ายพรรคหรอก ไอ้คนวิจารณ์ คนสัมภาษณ์ ก็ไม่เคยลงผู้แทนฯ ก็เขียนกันไป...” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 149

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น กระนั้นในช่วงการร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองกับ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงแรกอดิศร เพียงเกษ มิได้มีความมั่นใจ มากนัก เพราะเคยมีประสบการณ์การทำพรรคการเมืองร่วมกับ อำนวย วีรวรรณ ซึ่งแม้ว่าจะมีจำนวน ส.ส. ที่ได้รับการเลือก จำนวนหนึ่ง แต่กลับตัดสินใจเลือกทำงานการเมืองภายหลังการ เลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ แต่ความคิดของอดิศร เพียงเกษที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตรกลับผิดพลาดโดยสิ้นเชิง เมื่อทักษิณ ชินวัตร ทำงานการเมืองอย่างจริงจังจนในที่สุดนำพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งในปี 2544 และขึ้นดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรีได้ในที่สุด นอกจากนี้ที่สำคัญ ยังนำหลักการบริหาร ทางการเมืองสมัยใหม่มาใช้ด้วยการนำนโยบายที่ได้หาเสียงแก่ ประชาชนมาปฏิบัติอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จและ ถอื เปน็ การพลกิ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไทยนบั จากนน้ั เปน็ ตน้ มา “ผมอยู่พรรคไทยรักไทย ผมร่วมร่างนโยบายด้วย ในการคุยกันตั้งแต่ต้น ผมเป็นไทยรักไทยรุ่นแรก ตอนแรก ผมก็ไม่เชื่อ ดร.ทักษิณ เอ จะมาเหมือน ดร.อำนวย หรือเปล่า ผมเคยมีประสบการณ์ ผมไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่า ความพร้อมของ ดร.ทักษิณ เขาเป็นตระกูลการเมือง มาก่อน เขาเป็นลูกผู้แทนเหมือนเรานี่ เขาเคยจนมาก่อน เขาเริ่มจากขายกาแฟ นายเลิศ ชินวัตรนี่ ก็มาร่างนโยบาย กัน โดยให้นโยบายเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง กับนโยบายนั้น ๆ เป็นหลัก ก็ประสบความสำเร็จ พอ ประชาชนให้โอกาสเขาก็ทำ พอทำเสร็จแล้วก็ติดเลย ก็น่า เสียดายพรรคการเมืองหลายพรรค ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิด 150

ข้อมูลท่ัวไป เรื่องนี้” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) แม้ว่าจะยอมรับในความสำเร็จของพรรคไทยรักไทย ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองของไทยที่ให้ความสำคัญกับ การนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างจริงจังและเกิดประโยชน์ต่อ ประชาชนโดยรวม แต่อดิศร เพียงเกษ ยังคงยึดมั่นและศรัทธา ในพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต ทั้งนี้ด้วยอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ วางอยู่บนหลักการว่าด้วยความเสมอภาค ความเป็นธรรมของ ประชาชน การเปลี่ยนแปลงในแนวทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ การต่อสู้เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายและอุดมการณ์ที่มีอยู่ “แต่ว่าสภาพความเป็นจริงของชีวิต ผมนี่นิยมชม ชอบพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่า ส่วนนโยบาย ยุทธวิธีใน การต่อสู้ เพื่อที่จะได้อำนาจรัฐในระบบรัฐสภา เราก็ต้อง คิดประมวลโดยเอาประชาชนเป็นหลัก ถ้าคิดนอกเหนือ จากนี้คือสอบตกน่ะครับ...พรรคคอมมิวนิสต์มันไม่มีแล้ว ทุกวันนี้....ผมยึดหลักความเสมอภาค ความเป็นธรรม จริง ๆ อยู่ในใจอยู่แล้ว พิสูจน์ได้จนถึงปัจจุบัน พวกที่เข้า ป่าเข้าดงด้วยกันแยกออกเป็นสองทาง ทางหนึ่งก็ไปสู่ทาง อำมาตย์ ทางศกั ดนิ าไป อกี ทางหนง่ึ กอ็ ยกู่ บั ประชาธปิ ไตย เหมือนเดิม หนทางพิสูจน์ม้า ชัดเจน ความเป็นธรรม... ตอนนี้ความเสมอภาคที่เราต่อสู้มาสี่สิบห้าสิบปี ยิ่งเลว ร้ายกว่าเดิม ไม่รู้ประเทศไทยจะเดินทางไปทางไหน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 151

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ยุทธศาสตร์การเมืองของอดิศร เพียงเกษ ดังกล่าวให้ ความสำคัญและยอมรับการตัดสินใจทางการเมืองของ ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ทั้งนี้ไม่ปฏิเสธความคิด ความเชื่อ ค่านิยมและพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในแต่ละพื้นที่ โดยไม่ปฏิเสธการตัดสินใจแม้แต่ประชาชนในภาคใต้ที่มีต่อ ความนิยมและการสนับสนุนต่อพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคือ กติกาในระบอบประชาธิปไตยเป็นสำคัญและปฏิเสธไม่ได้ “พวกนี้ (โพลล์) 90 เปอร์เซ็นต์เป็นพรรคพลังธรรม ช่วงนั้น เดี๋ยวนี้ไปทำโพลล์ขอนแก่นก็เป็นเพื่อไทย คุณจะ ไปลงประชาธิปัตย์หรือเปล่า เช่นเดียวกับทางภาคใต้ เขาก็ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย ถือเป็นเรื่องธรรมดา ใครชนะ ก็มาบริหาร แต่ทีนี้(ท่าทีที่มีต่อการปฏิรูปการเมืองไทย ในปัจจุบัน:ผู้สัมภาษณ์) เขาจะเอาชนะและแพ้ ถ้าเลือกตั้ง ชนะกไ็ มเ่ อามาคดิ ไมร่ เู้ อาทฤษฏไี หนมาคดิ การเลอื กพรรค ก็จะไม่มี รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะไม่ผ่าน...คิดจะให้ผู้สมัคร ผู้ใหญ่บ้านลำดับที่สองได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน คิดได้ยังไง คะแนนทั้งประเทศเขาเลือกพรรค คะแนนเขตเขาก็เลือก คน เป็นเรื่องหลักการธรรมดา ไม่งั้นก็ตัดบัญชีรายชื่อออก ให้มีเฉพาะ ส.ส. เขต คุณจะอาศัยคะแนนที่แพ้ ส.ส.เขต เลือกตั้งไปใส่บัญชีรายชื่อ บ้าหรือไง ไม่ได้ เขาจะให้เสนอ ชื่อนายก 3 คน...แล้ววีรชนเดือนพฤษภาไปไว้ไหน ไม่ได้ ลืมประวัติศาสตร์ไม่ได้ เขาต้องการให้ผู้แทนราษฏรไปเป็น นายก ผ่านร้อนผ่านหนาว คุณจะเอาคนนอกมาเป็นนายก ก็บอก คุณจะเอาทหาร...” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์ วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 152

ข้อมูลท่ัวไป อย่างไรก็ตาม อดิศร เพียงเกษเห็นว่าความล้มเหลว ของพรรคคอมมวิ นสิ ตไ์ ทยเปน็ ผลมาจากการละเลยและไมเ่ รยี นรู้ ประวัติศาสตร์ของประเทศ ในขณะเดียวกันกลับให้ความสำคัญ ประวัติศาสตร์การเมือง และผู้นำทางการเมืองในขบวนการ ปฏิบัติของประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศอื่น ๆ มากจนเกินไป “ในการต่อสู้มาทั้งหมด หากมีพรรคคอมมิวนิสต์ เราก็อยากอยู่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ว่าคอมมิวนิสต์ไทย มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ไปตัดหัวไทยใส่หมวกจีนซะ เข้าไปใน ปา่ ก็ไปศึกษาประวัติศาสตร์จีน วีรชนจีน โดยไม่ได้ศึกษา ประวัติศาสตร์ไทยเลย อันนี้เป็นข้อเสียหายของพรรค คอมมิวนิสต์ไทย ไม่รู้เรื่องเมืองไทย” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) นโยบายพรรคไทยรักไทยกับการเมืองไทย ในการจัด ทำนโยบายของพรรคไทยในอดีตนั้น อดิศร เพียงเกษ ได้อธิบาย ถงึ แนวทางการดำเนนิ การ ซง่ึ วางอยบู่ นพน้ื ฐานของผลประโยชน์ ที่มีต่อประชาชนหรือคนกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย และ ความสำคัญของการนำนโยบายหาเสียงไปปฏิบัติจนประสบ ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ความเชื่อถือต่อพรรคการเมือง ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นไปในด้านลบ กล่าวคือ ประชาชนไม่เชื่อถือ ในพรรคการเมืองเพราะมิได้นำนโยบายหรือสัญญาที่ให้ไว้ใน ช่วงเวลาการหาเสียงเลือกตั้งมาปฏิบัติภายหลังการจัดตั้ง รัฐบาลแล้ว ซึ่งถือเป็นการทำลายหรือปล่อยโอกาสที่มีอยู่ทิ้งไป การคิดนโยบายของพรรคไทยรักไทยนั้นมาจากฐานข้อมูลจาก 153

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ผู้มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ดังนั้นการกำหนด นโยบายและการบริหารนโยบายให้เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ จึงสามารถดำเนินการได้ในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันก็เป็น การตัดสินใจโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองที่สำคัญ “มันเปลี่ยนพรรคการเมืองไทยเยอะ หน้ามือเป็น หลังมือ จากความไม่เชื่อถือพรรคการเมืองกลายเป็น ความเชื่อถือเลย การจะมาโกหกพกลม จะสร้างโน่นสร้าง นี่กลายเป็นความเชื่อถือว่าคุณจะทำอะไรให้เขา เป็น ความเชื่อมั่นเชื่อถือ ผมยังสงสัยเลยเรื่องสามสิบบาท ผมถามทักษิณว่ามันจะมีเงินรักษาหรือท่านทักษิณตอบ แบบเล่น ๆ ว่า มันไม่เกิดพร้อมกันหรอกอดิศร ไม่ใช่ว่า ขอนแก่นป่วยวันจันทร์ สตูลป่วยวันอังคารที่ไหนเล่า แกว่าอย่างนั้น อธิบายง่าย ๆ แกไม่ได้คิดเอง คุณหมอ เป็นคนคิดให้ ก็เสนอท่านเท่านั้นแหละ ท่านก็ประมวล แล้วมันน่าจะเอางบประมาณมารักษาคนจน แทนที่จะไป ซื้ออาวุธ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องประชานิยม” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในแนวคิดเชิงนโยบายของพรรคไทยรักไทยมุ่งเน้น ประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนมากกว่าการเน้นความมั่นคงแห่งรัฐเพียง อย่างเดียว ขณะเดียวกันมิได้มองว่าเป็นปัญหาที่เรียกขาน นโยบายประชานิยมในเชิงลบแต่ประการใด ในทัศนะของอดิศร เพียงเกษ เห็นว่า ปัญหาของสังคมไทยคือการมองการเมือง 154

ข้อมูลท่ัวไป นักการเมือง และพรรคการเมืองในเชิงลบ และเป็นสิ่งเลวร้ายใน ทางการเมือง ในขณะเดียวกันกับมองสถาบันราชการเป็นสิ่งที่ดี กว่าการเมือง โดยที่ละเลยความสำคัญของการเลือกตั้งในฐานะ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตยสมัยใหม่ “ผมไปที่หลวงพระบาง มันมีร้านกาแฟ ตอนเช้า ๆ ร้านประชานิยม ชื่อประชานิยม คนเต็มเลย ประชาธิปไตย ก็อยู่กับประชานิยมนี่แหละ คนนิยมอะไรก็ต้องได้อันนั้น จะมาประชารัฐอะไร ไม่ใช่อะไรอะไร คุณทำไม่ได้ (ประชาชน) เขาก็เปลี่ยน ไปเอาคนอื่น ประชาธิปไตยไม่ได้ ยากอะไร แต่ทางนี้ (ประเทศไทย) มาทำเป็นเรื่องยาก นักการเมืองเป็นคนชั่ว พรรคการเมืองก็เลว สถาบันทหาร กลายเป็นสถาบันที่ดี...มันเป็นประชาธิปไตยแบบสยาม ประชาธิปไตยก่อน 2475 พวกเลือกตั้งมาไม่มีความหมาย เป็นคนเลว ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) สำหรับปัญหาการเมืองไทยนั้น เป็นผลมาจากความ ล้มเหลวและการละเลยในความเป็นจริงซึ่งประชาชนในปัจจุบัน มีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงการเข้าร่วมการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประเทศที่แตกต่างจากอดีต ดังนั้นทั้ง นักการเมือง พรรคการเมือง องค์กรอิสระ รวมถึงหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้องกับระบบการเลือกตั้ง หรือแม้องค์กรยุติธรรม จึงมีทัศนคติค่านิยม และความเชื่อต่อประชาชนที่ผิดพลาด 155

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในทัศนะของอดิศร เพียงเกษ เห็นว่าประชาชน ในปัจจุบันมีความรู้ความใจในทางการเมืองที่มีความแตกต่าง จากอดีตอย่างมาก ประชาชนเรียนรู้และเข้าใจดีว่าการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา อย่างไร “ประชาชนรู้ประชาธิปไตยมากกว่าสมัยก่อน 14 ตุลา 16 ซึ่งนักศึกษาบางส่วนรู้เรื่องประชาธิปไตย แต่ชาวบ้านไม่รู้ แต่เดียวนี้ชาวบ้านรู้ประชาธิปไตย แตพ่ รรคการเมอื งไมร่ ปู้ ระชาธปิ ไตย กลบั กนั พรรคการเมอื ง ตามไม่ทันความรู้ของชาวบ้าน ปรากฏในหลายต่อหลาย เหตุการณ์ เรื่องรัฐธรรมนูญไม่ต้องไปพูดถึงบอกเป็น ลูกชายพหล เขาไม่เชื่อแล้ว เขา (ประชาชน) เป็นเจ้าของ การเมือง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตย ทำให้เขามีอยู่มีกิน เขาสามารถที่จะโต้เถียง เขาได้ งบประมาณจากภาษีที่เขาเสียไป ชัดเจน ประชาชน ก้าวหน้ากว่าองค์กรการจัดตั้งทางการเมืองบางองค์กร อันนี้เรื่องสำคัญ ถ้าคุณยังย่ำอยู่กับที่ ลักษณะนี้เขาไม่เอา แน่ ไปไม่รอด” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) สำหรับจุดยืนทางการเมืองของอดิศร เพียงเกษ ประชาชนอยู่ในฐานะศูนย์กลางทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย เพราะเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในการตัดสินใจ เลือกตั้งและมอบความไว้วางใจในพรรคการเมืองและ 156

ข้อมูลท่ัวไป นักการเมืองในการทำหน้าที่แทนตนเอง ความเจริญก้าวหน้า ของประเทศจะมากน้อยเพียงใดจึงมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง การใช้อำนาจในการกำหนดอนาคตประเทศของตน “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง อยากให้ไปฟังเพลง ประชาธิปไตยประชาชนของผม วันชนะ เกิดดี เป็นคนร้อง ผมเป็นคนเขียน ผมอธิบายประชาธิปไตยเป็นเพลง สามนาทีจบ... ประชาชนคือศูนย์กลาง ผู้สร้างเส้นทาง สว่างไสว...”9 (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 9 เป็นเพลงซึ่ง อดิศร เพียงเกษ แต่งขึ้นในการต่อสู้ทางการเมือง ของกลุ่มแนวร่วมต่อต้านเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่ม นปช. โดยมี วันชนะ เกิดดี นักร้องเพลงลูกทุ่งเป็นผู้ขับร้อง จากเนื้อเพลงฉบับเต็ม “ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ประชาธิปไตยเริ่มต้น ประชาชนนั้นต้องเป็นใหญ่ นี่คือความหมายสูงค่าประชาธิปไตย อุดมการณ์ทุกคนจำได้ ประชาธิปไตยประชาชน ของมวลประชาชน โดยมวลประชา เพื่อมวลประชา ประชาธิปไตยก้าวหน้า มวลประชาเป็นคน เริ่มต้น หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง ร้อยเรียงเสียงประชาชน ประชาธิปไตยเข้มข้น เพื่อประชาธิปไตย มีประชาชนเปรียบเหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่าง ประชาชนคือ ศูนย์กลาง ผู้สร้างเส้นทางสว่างไสว สิทธิ์เสรี ภราดรและความเป็นไท มีอยู่ ในประชาธิปไตย ทุกคนมีได้ มีใช้ด้วยกัน ของทุกคนโดยทุกคน เพื่อคนทุก ชั้นชน ประชาธิปไตยตั้งต้นให้คนทุกคนไม่มีกีดกั้น หญิงหรือชาย รวยหรือ จน ก็คนเหมือนกัน ไม่มีใครใหญ่กว่านั้น เพราะเราเหมือนกันคือ ประชาชน” 157

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในชีวิตทางการเมือง อดิศร เพียงเกษ อธิบายว่า สำหรับตัวเขาเองแล้ว สิ่งที่ทำให้ตนเองมีวันนี้ได้เป็นผลมาจาก ประชาชนทั้งสิ้น ประชาชนมีสถานะเป็นนายของตน และ การเกี่ยวข้องทางการเมืองทั้งในปัจจุบันและอนาคตขึ้นอยู่กับ ประชาชน พร้อมที่จะผลักดันและให้โอกาสคนรุ่นใหม่ในการ เข้ามาสู่การเมือง ขณะเดียวกันจะยังคงทำหน้าที่เป็นผู้อยู่ เบื้องหลังในฐานะผู้มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือสนับสนุน และแนะนำการทำงานการเมืองแก่คนรุ่นต่อไป “คิดว่าที่ผ่านมา ทุกตำแหน่งที่ได้มาไม่ได้เป็น ความยิ่งใหญ่ของผม ผมคิดว่าทุกตำแหน่งที่ได้มาเป็น ความยิ่งใหญ่ของประชาชน ผมยังสำนึกว่าประชาชนคือ นายอยู่น่ะ พร้อมจะกลับไปอยู่อะไรก็ได้ อนาคตเป็นเรื่อง เฉย ๆ แต่คิดว่าเราก็อายุมากแล้ว ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ คนรุ่นใหม่ เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฏร เรามี ประสบการณ์เราก็อยู่เบื้องหลัง แนะนำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ประคับประคองประเทศนี้ ต่อไป คนแต่ละรุ่นจะได้ถ่ายเลือด ตรงนี้พรรคเพื่อไทย พร้อมอยู่แล้ว ไอ้เราจะเป็น ส.ส. อีก ก็อย่าไปแย่งเด็กเขา เลย อย่างงี้เป็นต้น อาจเป็นบัญชีรายชื่อบ้าง หรืออาจ ทำงานในองค์กรของกระทรวงตำแหน่งไหนตำแหน่งหนึ่ง ยิ่งเป็นนานความโลภยิ่งน้อยลง เพราะเห็นประชาธิปไตย แล้ว เราต้องเสียสละมากกว่านี้ ชีวิตที่ได้มามาก มันมาก กว่าตระกูลบ้านนอกของผมแล้ว ได้มาเยอะแล้ว ปู่ผม อ่านหนังสือไม่ออกน่ะ หลานเดินได้มาขนาดนี้ผมว่า 158

ข้อมูลทั่วไป พอแล้ว ผมจะทำยังให้ประชาชนแนะนำประชาชน สื่อสาร มวลชนที่ผมทำหน้าที่อยู่...ทุกครั้งผมจะให้ความรู้ พูดความจริงที่รู้มา ไม่โกหกชาวบ้าน ไม่เกรงใจศัตรูที่ ทำลายประชาธิปไตย ถือว่าประชาชนยังเป็นเจ้านายอยู่ ถึงจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริง คนอื่น(หมายถึงไม่ใช่ ประชาชน)ไม่ใช่ โกหก” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) บทสรุปการเมืองสำหรับอดิศร เพียงเกษ แล้ว ประชาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยประสบการณ์ในชีวิตของ ประชาชนเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้องและ มีความเข้าใจว่าการเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับตนอย่างไร เหตุการณ์ ในประวัติศาสตร์อันเกิดจากการสูญเสียของบุคคลใกล้ชิดมีผล ทำให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพและหวงแหน ประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันประชาธิปไตยมีผลต่อความ เจริญก้าวหน้าของประเทศ นอกจากนี้การเมืองสำหรับตนนั้น เป็นเรื่องของการทำงานการเมืองที่มีความจริงจังและตั้งใจ โดยคำนึงประชาชนเป็นหลัก ต้องทำงานอย่างมีเป้าหมาย “ประชาธิปไตยประชาชนสำคัญสุด อย่าคิดว่า ประชาชนไม่รู้เรื่องนะครับ เขาไปไกลกว่าที่คุณคิด (ตัวอย่างเหตุการณ์ปี 2553) เขาสูญเสียลูกสาวเขาอยู่ วัดปทุม (ปทุมวนาราม) แม่เขายังต่อสู้จนถึงปัจจุบันนี้ เขาไม่เคยรู้เรื่อง แต่ต้องรู้เรื่องเพราะเหตุการณ์ที่ฝ่ายศัตรู ทำให้เขาสูญเสียลูก ผมก็สูญเสียน้องคนหนึ่งในป่า 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น น้องแท้ ๆ ที่จังหวัดน่าน การพูดไม่ใช่พูดเล่น ๆ เอาชีวิต เข้าต่อสู้ ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ธรรมดา พอมีอยู่มีกิน ไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง อุดมการณ์คอมมิวนิสต์หรือ วิญญาณของน้องยังสิงสถิตในตัวผมอยู่ ทำอะไรจึงต้อง เกรงใจ คิดถึงประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว เราไม่ได้เล่น การเมือง เราทำการเมือง คือการทำให้ประเทศบรรลุ ประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยประเทศก็เจริญ เชื่อเถอะ” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) อดิศร เพียงเกษ อธิบายความสำคัญของการเมือง ในฐานะระบอบการปกครองที่สามารถช่วยเหลือ สนับสนุนและ ส่งเสริมให้เกิดคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน การเมืองเป็นเรื่องของคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง นักการเมือง ไม่สามารถทำงานการเมืองคนเดียวได้ หากแต่ต้องอาศัยระบบ พรรคการเมืองซึ่งเป็นที่รวมของนักการเมืองที่มีความรู้ความ สามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกันออกไป และย่อมมีผลต่ออุดมการณ์และแนวคิดทางการเมืองที่จะส่งผล ต่อการพัฒนาประเทศโดยรวมด้วย 2.4.8) นายเปรมศักด์ิ เพียยุระ นายแพทยเ์ ปรมศกั ด์ิ เพยี ยรุ ะ หรอื อดตี พระเปรมศกั ด์ิ เปมสกฺโก อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น เกิดที่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2508 ปัจจุบันสมรสกับ ดร.อรทัย เพียยุระ ดุษฎีบัณฑิตจากมหา- 160

ข้อมูลท่ัวไป วิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรคนที่สองของ คุณพ่อไพบูลย์ คุณแม่เฉลียว เพียยุระ มีพี่ชายหนึ่งคนและ มีน้องสาวหนึ่งคน เนื่องจากครอบครัวมีฐานะไม่ร่ำรวย คุณพ่อ และคุณแม่มีอาชีพเป็นเกษตรกรและค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เด็กชายเปรมศักดิ์ เป็นเด็กที่รู้ค่าของเงิน ประหยัด มัธยัสถ์ และขยันขันแข็ง ชาวบ้านแถวนั้นจะเห็นภาพของ เด็กชายตัวเล็ก ๆ ช่วยคุณแม่ขายของ ที่ตลาดในตอนเย็นหลัง เลิกเรียนและในวันหยุดเสมอ นายแพทย์เปรมศักดิ์ จบการศึกษาจากคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาโท ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปัจจุบันกำลังศึกษาในหลักสูตรพุทธศาสนามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยและดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปรมศักดิ์ เพียยุระ เริ่มงานการเมืองโดยเป็น ส.ส.ขอนแก่น ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ ดำรงตำแหน่งที่ ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และกระทรวง แรงงานและสวัสดิการสังคม (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เมื่อ พรรคความหวังใหม่รวมกับพรรคไทยรักไทย นายแพทย์เปรม ศักดิ์ได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย โดยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายแพทย์เปรมศักดิ์ มีบทบาทในวิกฤตการณ์ การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 คือ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในไทย เมษายน พ.ศ. 2549 นายแพทย์เปรมศักดิ์อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 93 ของพรรค 161

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียว นอกนั้น เป็นพรรคการเมืองเล็ก ซึ่งคาดการณ์ว่า จะไม่มีพรรคใดได้ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ถึง 5% ทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้ง 100 คน จะมาจากพรรคไทยรักไทยทั้งหมด อดตี ส.ส. อยา่ งหมอหรอื นายแพทยเ์ ปรมศกั ด์ิ เพยี ยรุ ะ ลูกหลานชาวนาที่นิยมชมชอบการทำงานการเมืองของ ส.ส. แคล้ว นรปติ และปลื้มสปิริตทางการเมืองของพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ หมอเปรมศักดิ์ เป็น ส.ส. คนหนึ่งที่มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อทางการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งแรกปรากฏว่าแพ ้ การเลือกตั้งในนามพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งการ พ่ายแพ้ในครั้งนี้มีเหตุผลสำคัญที่หมอเปรมศักดิ์ ได้อธิบายว่า “เพราะประเพณีทางการเมืองของเรามันยังมีเรื่องอามิสสินจ้าง เรื่องค่านิยมต่าง ๆ ซึ่งนักการเมืองสมัยก่อนได้นำมาปลูกฝัง” (เปรมศักดิ์ เพียยุระ, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) อย่างไรก็ดีนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สามารถกลับมา ชนะการเลือกตั้งครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2538 และได้เป็น ส.ส. 3 สมัยซ้อนในนามพรรคความหวังใหม่ และหลังจากพรรคความ หวังใหม่ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทย เปรมศักดิ์ ก็ได้ออกจาก พรรคไทยรักไทย โดยให้เหตุผลว่า “ผมไม่ศรัทธาผู้นำพรรค มาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุผลด้านอุดมการณ์ทางการเมือง” และใน ท้ายที่สุดได้เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับพรรคภูมิใจไทย และ ลงสมัคร ส.ส. สู้กับพรรคไทยรักไทย โดยปรากฏว่าพ่ายแพ ้ การเลือกตั้ง ซึ่งการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้นายเปรมศักดิ์ ให้เหตุผลและยอมรับว่า “เป็นเพราะกระแสประชานิยมของ 162

ข้อมูลท่ัวไป พรรคไทยรักไทย ที่ทำนโยบายประชานิยมมานานแล้ว... คุณทักษิณทำมาตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2548 เค้าทำมาเป็นสิบ ๆ ปี แล้ว ความเชื่อถือและความมั่นคงมีมากกว่า” (เปรมศักดิ์, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ในปัจจุบันนายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระได้หันกลับ มาลงสมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่น โดยได้รับเลือกตั้งเป็น นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น นับตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน 2.4.9) นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เกิด 27 มิถุนายน 2497 สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษา โรงเรียนขอนแก่นวิทยายนวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขา แหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานการเมือง อดีตที่ปรึกษา รมว.กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2539 ทป่ี รกึ ษา รมว.กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2535 ทป่ี รกึ ษา รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2538 รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ.2539 กรรมการที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พ.ศ.2544 เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มขุนค้อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอนแก่น เขตที่ 4 พรรคเพื่อไทย อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง วัฒนธรรม และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันเป็น ประธานสภาผู้แทนราษฎร 163

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ประวัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น 10 สมัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทน ราษฎร 2 สมัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม 2.4.10) ร้อยโทกระจ่าง ตุลารักษ์10 เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2456 ที่อำเภอบางคล้า จังหวัด ฉะเชงิ เทรา เปน็ หนง่ึ ในสมาชกิ คณะราษฎรผทู้ ำการเปลย่ี นแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรผู้ทำการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในวัยเพียง 19 ปี ขณะยัง เป็นนักเรียนช่างกล จากการชักชวนของนายสงวน ตุลารักษ ์ ผู้เป็นพี่ชาย โดยเข้ามาเป็นสมาชิกคณะราษฎรในสายพลเรือน ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลง การปกครอง ร.ท.กระจ่างรับหน้าที่ควบคุมตัวบุคคลสำคัญและ เจ้านายชั้นสูงในพระที่นั่งอนันตสมาคมร่วมกับเพื่อนอีก 2-3 คน โดยไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเปน็ บคุ คลระดบั เลก็ ๆ ไมไ่ ดร้ บั รถู้ งึ แผนการชน้ั สงู ภายหลงั เปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่สมาชิกคณะราษฎรหลายคนได้มี ตำแหน่งและบทบาททางการเมือง ร.ท.กระจ่างก็ได้กลับไปเป็น ลูกจ้างตามเดิม โดยไม่มีตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งเกิด สงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2484 ร.ท. กระจ่าง 10 เป็น ส.ส.จังหวัดขอนแก่น เขต 1 ในการเลือกตั้งครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2489 ชุดเดียวกับ ร.ต.อ. เสวต ชุมแวงวาปี เขต 2 นายทิม ภูริพัฒน์ เขต 3 และการเลือกตั้งเพิ่มเติม 5 ส.ค. 2489 ร.ท. จารุบุตร เรืองสุวรรณ เขต 1 ร.ต. ไฉยา เกตุเลขา เขต 2 164

ข้อมูลทั่วไป ได้ร่วมกับขบวนการเสรีไทย โดยปฏิบัติหน้าที่เล็ดรอดเข้าไปใน ประเทศจีนเพื่อให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญต่าง ๆ และปฏิบัติ งานอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย-ลาว หลังเสร็จสงครามแล้ว ได้รับยศเป็น ร้อยโท (ร.ท.) จากนั้น ร.ท.กระจ่าง ก็ได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับ ครอบครัวที่จังหวัดยะลา โดยได้เปิดกิจการโรงเลื่อยที่อำเภอ รามัน และได้สมรสกับนางพวงเพ็ชร (นามเดิม สวนเพ็ชร โกวิทยา) ซึ่งเป็นภรรยา มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 4 คน จากนั้น เมื่อหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าเสรีไทย สายสหรัฐอเมริกา เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่อจากนายควง อภัยวงศ์ ที่ถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อปี พ.ศ. 2511 ร.ท.กระจ่างได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค และได้ลงเลือกตั้ง เป็น ส.ส. ในจังหวัดยะลา แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง หลังจากนั้น ชีวิตก็ได้วนเวียนอยู่ในแวดวงการเมืองมาโดยตลอด เช่น เป็นนักการเมืองท้องถิ่น และปลูกฝังทัศนคติทางการเมือง การปกครองแก่บุตรหลานและคนใกล้ชิด เป็นต้น ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ ถึงแก่กรรมลงอย่างสงบในบ้านพักของตน ในเช้าวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ด้วยวัย 98 ปี 2.4.11) ร้อยโท จารุบุตร เรืองสุวรรณ เป็นผู้ก่อตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย เป็นอาจารย์และผู้บรรยายในสถาบันการศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชนต่าง ๆ มากมาย มีผลงานการแต่งตำรา และการเขียนบทความต่าง ๆ ในเรื่องการเมืองการปกครอง 165

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น และทหาร จำนวน 17 เรื่อง เกี่ยวกับเศรษฐกิจ จำนวน 39 เรื่อง และเกี่ยวกับสังคม-ศิลปวัฒนธรรม จำนวน 48 เรื่อง ผลงานเขียนบทความ แสดงความคิดเห็นประกอบ หลักวิชาการและจากประสบการณ์ของตนเองรวมทั้งให้ สัมภาษณ์ เผยแพร่ในสื่อมวลชนทางหนังสือพิมพ์รายวัน เช่น ไทยรัฐ พิมพ์ไทย เดลินิวส์ แนวหน้า บ้านเมือง บางกอกโพสต์ มาตุภูมิ สารเสรีไทยรายวัน ฯลฯ และเผยแพร่ในนิตยสาร รายสัปดาห์ รายปักษ์และรายเดือน เช่น สยามรัฐสัปดาห์ วิจารณ์ ข่าวหอการค้า ข่าวพาณิชย์ ชุมนุมวิทยาการ ฯลฯ ด้านธุรกิจ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการธนาคาร สหพาณิชย์ ประธานกรรมการบริษัทการช่างจำกัด กรรมการ ผู้จัดการบริษัทที่ดินและอาคารสงเคราะห์จำกัด กรรมการบริษัท เชียงใหม่วนการจำกัด และกรรมการผู้จัดการบริษัทเศรษฐกิจ ไทยจำกัด ด้านการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ขอนแก่นหลายสมัย และเป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นประธาน วุฒิสภา ประธานรัฐสภา และประธานตามบทบัญญัติของ กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ เช่น ประธานคณะตุลาการ รัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา นายกสโมสรรัฐสภา ประธานหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพ รัฐสภา ประธานหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพ สมาชิก รัฐสภาเอเซียและแปซิฟิก ประธานหน่วยประจำชาติไทย ในองค์การระหว่างรัฐสภาอาเซียน 166

ข้อมูลท่ัวไป นอกจากนี้ยังเป็นกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร เช่น กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ประจำปี พ.ศ.2489 กรรมาธิการสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมเครดิตในภาวะ คับขัน พ.ศ.2486, 2489 ฯลฯ และเป็นกรรมาธิการวุฒิสภา เช่น กรรมาธิการเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม กรรมาธิการร่วมกันฝ่าย วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาการเหมืองแร่ การศึกษาดูงานต่างประเทศ ในด้านการศึกษา ได้รับเชิญจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและได้รับมอบอำนาจจาก หอการค้าไทยและวิทยาลัยการพาณิชย์ ให้ไปติดต่อกับสถาบัน อุดมศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลก หลายแห่ง เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ อิหร่าน และอินเดีย เข้าดูงานที่สถาบันการค้นคว้าวิจัยทางแพทย์ โรงเรียนนายเรือ ที่อนาโปลิส ดูงานเกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ มนุษย์วิทยาและ วัฒนธรรมโบราณที่กรุงโรม เอเธน อิสตันบูลและเตหะราน ด้านเศรษฐกิจ ดูงานระบบการพัฒนาแหล่งน้ำ การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน พัฒนาการเกษตร โรงงาน ผลิตปุ๋ยเคมี โรงงานผลิตพลังไฟฟ้าและเขื่อนต่าง ๆ ของ องค์การ ที.วี.เอ. ในรัฐเทนเนสซี่ ด้านการค้าและเลี้ยงสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่ ไร่ข้าวโพด ที่ผลิตข้าวโพดมากที่สุด บริเวณซูซิตี้ การประมงและอุตสาหกรรมห้องเย็น โรงเลื่อย ขนาดใหญ่ โรงทำเยื่อกระดาษ โรงงานสร้างรถยนต์ที่เมือง ดีทรอยท์ โรงงานสร้างเครื่องบินใหญ่ที่สุดในโลก กิจการท่าเรือ 167

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น นครนิวยอร์ค รวมทั้งดูระบบการขนส่งทางบก ทางน้ำ ทาง อากาศ ด้านสังคม ดูกิจการของสหบาล คนงาน AFL, CIO ร่วมพิจารณาปัญหาการจัดหางานให้เด็กวัยรุ่นยากจน เพื่อมี เงินเรียนต่อ แลกเปลี่ยนทัศนะทางวิชากฎหมายแรงงานและ วิธีการจัดระบบเศรษฐกิจสังคมของนครใหญ่ที่มีประชากร หนาแน่นกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ดูงานการจัดอาคารสงเคราะห์ พัฒนาแหล่งเสื่อมโทรม ใกล้ นครบอสตัน กิจการศาลยุติธรรมและเรือนจำ ด้านการเมือง ดูงานการจัดระบบพรรคการเมือง ของหลายประเทศ การรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยร่วมงานกับนายรีแกน เป็นแขกของพรรคเดอโกลในปารีส แลกเปลี่ยนทัศนะการบริหารงานของพรรค 2.4.12) นายทิม ภูริพัฒน์ เป็น ส.ส. จังหวัดขอนแก่น 2 สมัย ในปี 2480 และ 2489 เป็นรองหัวหน้าพรรคเศรษฐกร เคยร่วมต่อสู้ทาง อุดมการณ์ร่วมกับนักการเมืองภาคอีสาน ในวันที่ 29 ตุลาคม 2491 ได้มีการจับกุมนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง นายทิม ภูริพัฒน์ นายสุณา เมืองโฆษ และนายฟอง สิทธิธรรม ในข้อหา “กบฏแบ่งแยกดินแดน” แต่ ก็ได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา 168

ข้อมูลท่ัวไป 2.4.13) นายแคล้ว นรปติ เกิดวันที่ 1 กันยายน 2460 ณ บ้านเล่า ตำบลบ้าน เล่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ สมรสกับ นางเย็น นรปติ มีบุตร 1 คน ชื่อ ไพชยนต์ นรปติ สำหรับด้านการศึกษา จบชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 ได้อพยพตามผู้ปกครองมาอยู่ที่อำเภอพล จังหวัด ขอนแก่น ได้รับ การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนตัวอย่าง มณฑลอุดร (อุดรพิทยานุกูล) ม.1 – 8 ต่อมาเข้าศึกษาวิชาครู ที่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร (1 ปี) เป็นครูโรงเรียนประจำ จังหวัดขอนแก่น ในระดับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ได้รับปริญญาบัตรจาก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ผู้ประสาทมหาวิทยาลัย ลาออกจาก ราชการสมัครเป็น สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดขอนแก่น 8 สมัย ผลงานและเกียรติคุณที่ได้รับ รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประธานการสอบสวนตาม พระราชบัญญัติมารยาททนายความ จังหวัดขอนแก่น ที่ปรึกษา สภาทนายความ ในด้านการเมือง เป็นแนวร่วมสังคมนิยม (พ.ศ. 2517) และจัดตั้งพรรคแนวร่วมสังคมนิยมจดทะเบียนพรรคการเมือง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่ง แนวร่วมสังคมนิยมได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 จำนวน 74 คน ได้รับการ เลือกตั้งจำนวน 10 คน ทั้งหมดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 169

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาในการเลือกตั้ง 4 เมษายน พ.ศ. 2519 มีจำนวน 1 คนลดลงจากเดิม 9 ที่นั่ง จากจำนวน ผู้สมัครทั้งหมดของพรรคจำนวน 37 คน ในช่วงที่พรรคแนวร่วม สังคมนิยมมีบทบาทในทางการเมืองนั้น มิได้มีบทบาทในฐานะ พรรคร่วมรัฐบาลแม้แต่เพียงครั้งเดียว โดยเป็นฝ่ายค้านทั้งใน รัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ระหว่างปี 2522- 2524 สมาชิกพรรคแนวร่วมสังคม- นิยมได้รวมตัวกับสมาชิกพรรคสังคมนิยม และจัดตั้งกลุ่ม ทางการเมืองที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มสังคมประชาธิปไตย เพราะ ช่วงระยะเวลาดังกล่าวยังไม่มีกฎหมายพรรคการเมือง จึงไม่มี การจดทะเบียนพรรค ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติพรรค การเมืองเกิดขึ้น จึงได้ยื่นเรื่องจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ขึ้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2525 โดยใช้ชื่อว่า “พรรคสังคม ประชาธิปไตย” สำหรับชื่อพรรคแนวร่วมสังคมนิยมนั้น เคยถูก นำมาใช้เรียกการรวมตัวกันในลักษณะของแนวร่วมในเดือน กันยายน ปี 2499 ซึ่งประกอบด้วยพรรคเศรษฐกร พรรคขบวน การไฮดป์ ารค์ พรรคสงั คมประชาธปิ ไตย พรรคเสรปี ระชาธปิ ไตย โดยมีนายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้ากลุ่ม ต่อมาการรวมกลุ่ม ดังกล่าวก็ต้องถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดการรัฐประหาร 20ตุลาคม พ.ศ. 2501 โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้สั่งให้ยกเลิกพรรค การเมือง แนวนโยบายและการดำเนินการ ประกอบด้วย ด้านการเมือง ทางพรรคมีนโยบายในการสนับสนุนการปกครอง 170

ข้อมูลทั่วไป ในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้เสรีภาพในการพูด เขียน โฆษณา นับถือลัทธิทางการเมือง ศาสนาและต้องการขจัดอิทธิพลของต่างชาติ ด้านการปกครอง 1) จัดระบบการบริหารการเมืองในแบบประชาธิปไตยแต่ในด้าน เศรษฐกิจจะเป็นไปในรูปแบบสังคมนิยม 2) สร้างการมีส่วน ทางการเมืองของประชาชนโดยจัดให้มีการเลือกตั้งในทุกระดับ 3) ไม่สนับสนุนการจัดกำลังทหารเพื่อเตรียมการทำสงคราม ด้านเศรษฐกิจ 1) สถาบันทางการเงินต่าง ๆ ต้อง ดำเนินการภายใต้การนำของรัฐ สนับสนุนให้เอกชนมีการ รวมตัวกันในรูปแบบสหกรณ์ 2) รัฐต้องจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้ประชาชนอย่างเหมาะสม 3) ส่งเสริมสหกรณ์การพาณิชย์ 4) สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศที่กระทำโดยรัฐหรือสหกรณ์ ด้านเกษตรกรรม รัฐต้องจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร มีที่ดินเป็นของตนเอง ปลดเปลื้องหนี้สินของเกษตรกรอย่าง เป็นธรรม ส่งเสริมการผลิตและแรงงานการผลิตทางการเกษตร ให้มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ด้านอุตสาหกรรมและหัตกรรม รัฐต้องเป็นผู้ดำเนินการอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน เร่งพัฒนา อุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการเกษตร ไม่รับการลงทุนของ ต่างประเทศที่มีลักษณะเอารัดเอาเปรียบ สร้างความเป็นธรรม ให้กับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ด้านแรงงาน 1) ประกันสวัสดิภาพ สวัสดิการโดย เท่าเทียมกัน 2) ส่งเสริมการตั้งสหภาพแรงงาน 3) กำหนด ค่าแรงค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงานทุกประเภท 4) ดูแลผู้ใช้แรงงาน เมื่อถึงวัยชราหรือทุพพลภาพ 5) คุ้มครองแรงงานสตรีและ 171

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เยาวชน ด้านการศึกษา 1) ส่งเสริมการศึกษาให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่า 2) ส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตย ภาษาทั้งของชนชาติส่วนน้อยและภาษาไทย ดา้ นสาธารณสขุ 1) ประชาชนสามารถเขา้ ถงึ บรกิ ารทางการแพทย์ อย่างทั่วถึง 2) จัดหาเวชภัณฑ์แบบให้เปล่าสำหรับผู้มีรายได้ น้อย 3) ผลิตแพทย์ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน 4) สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาแพทย์แผนโบราณ และด้าน ต่างประเทศ เป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่แทรกแซงทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจาก ต่างประเทศที่มีพันธะ 2.4.14) ร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เกดิ วนั ท่ี 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 ทก่ี รงุ เทพมหานคร มีชื่อเล่นว่า เพชร (ต่อมานำมาใช้ตั้งเป็นชื่อจริงของบุตรชาย คนโต) เป็นบุตรของนายสวัสดิ์ (บุตรชาย นายแป๊ะ โอสถา- นุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งห้างขายยาโอสถสภา (เต็กเฮงหยู) ต้นสกุล โอสถานเุ คราะห)์ และคณุ หญงิ ลอ้ ม โอสถานเุ คราะห์ จบการศกึ ษา มัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเทพศิรินทร์ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, วิทยาลัย วิลบราฮัม แอนด์ มอนสัน (WILBRAHAM & MONSON ACADEMY) มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และได้รับปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ร.ต.อ.สุรัตน์ ได้รับเกียรติยศสำคัญ ๆ ประกอบด้วย รางวัลเกียรติคุณนักการตลาดไทย พ.ศ. 2544 ปริญญา บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ 172

ข้อมูลทั่วไป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2538 และปริญญาปรัชญา ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง พ.ศ. 2539 นอกจากนี้ ร.ต.อ.สุรัตน์ ยังเป็นนักถ่ายภาพชั้น แนวหน้าของประเทศ เป็นผู้สะสมกล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์ การถ่ายภาพ ไว้กว่า 3,000 ชิ้น จนได้รับรางวัลศิลปินนักถ่าย ภาพไทย จากสมาพันธ์การถ่ายภาพไทย พ.ศ. 2545 รางวัล ผลงานภาพถ่าย เดอะอีเลฟเว่นไตรอังแนล (The XI Triennale) จัดโดย สถาบันลาลิทฆาลา (Lalit Kala Akademi) กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และรางวัลโฟโต้ซิตี้ซากามิฮาร่า สาขาเอเชีย จากงานเทศกาลภาพถ่ายแห่งเมืองซากามิฮาร่า ครั้งที่ 6 ที่ประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2549 อาชีพก่อนเข้าสู่การเมือง ร.ต.อ.สุรัตน์ รับสืบทอด กิจการ บริษัท โอสถสภา (เต็กเฮงหยู) จำกัด จากนายสวัสดิ์ บิดา โดยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด กลุ่มบริษัทในเครือโอสถสภา บริษัท โอสถสภา ไทโช จำกัด และกรรมการ บริษัท โอสถสภา ประกันภัย จำกัด, บริษัท ชิเซโด้ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อิเซตัน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทย ฮาคูโฮโด จำกัด และบริษัท ฮาคูโฮโด (กรุงเทพฯ) จำกัด สินค้าที่มีชื่อเสียงของเครือโอสถสภา เช่น ยาแก้ปวด ทัมใจ ยากฤษณากลั่นตรากิเลน ยาธาตุ ๔ ตรากิเลน ยาอม โบตัน ลูกอมโอเล่ ลูกอมโบตันมินท์บอล เครื่องดื่มเอ็ม-150 เครื่องดื่มลิโพวิตัน-ดี เครื่องดื่มฉลาม เครื่องดื่มเกลือแร่ 173

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เอ็ม-สปอร์ต เครื่องดื่ม.357 แม็กนั่ม เครื่องดื่ม ชาร์ค คูลไบต์ เครื่องดื่ม เอ็ม-แม็กซ์ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทเวลฟ์พลัส ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายเอ็กซิท และ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เบบี้มายด์ เป็นต้น ร.ต.อ.สุรัตน์ เข้าสู่วงการเมือง ด้วยการเป็นรอง หัวหน้าพรรคกิจสังคม ในยุค พล.ต. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อปี พ.ศ. 2518 และขึ้นดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในปีเดียวกัน ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2526 เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้ว ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในปี พ.ศ. 2528 แต่ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีออกใบอนุญาตนำไม้ซุงเข้า จากพม่า แล้วได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจน้อยที่สุดในบรรดา รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายในคราวเดียวกัน เนื่องจากพรรค ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลลงมติงดออกเสียง จากนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ ของกระทรวงการต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2530 ต่อมา เป็นรอง หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ในสมัยที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อตั้งพรรคขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2535 จากนั้น ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2539 เป็นตำแหน่งท้ายสุดทางการเมือง นอกจากนี้ นอกจากนี้ ร.ต.อ.สุรัตน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย ร.ต.อ.สุรัตน์ เป็นผู้ก่อตั้ง และอุปนายกสภา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย 174

ข้อมูลท่ัวไป ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ก่อตั้ง และประธานมูลนิธิโอสถสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานมูลนิธิมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ก่อตั้ง และ ประธานมูลนิธิสวัสดี และประธานมูลนิธิภาพถ่ายแห่งประเทศ ไทย กรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง กรรมการสภา ธุรกิจไทย-ฝรั่งเศส (ฝ่ายไทย) กรรมการมูลนิธิภาพถ่ายแห่ง ประเทศไทย ร.ต.อ.สุรัตน์ สมรสกับนางปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์ (นามสกุลเดิม เธียรประสิทธิ์ ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) มีบุตรชาย 2 คน คือ นายเพชร (นักร้อง และนักดนตรี เจ้าของ ผลงานเพลง “เพียงชายคนนี้..ไม่ใช่ผู้วิเศษ” ที่โด่งดังเมื่อปี พ.ศ. 2530) และนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งทั้งสองเข้ารับช่วง การบริหารบริษัทในเครือโอสถสภา และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ต่อจาก ร.ต.อ.สุรัตน์ ที่วางมือจากตำแหน่งบริหาร ต่อมา สมรสกับนางช่อพิภพ โอสถานุเคราะห์ นอกจากนี้ ร.ต.อ.สุรัตน์ ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ ช้างเผือก และตติยจุลจอมเกล้า ได้รับโดยการสืบตระกูลจาก บิดา ร.ต.อ.สุรัตน์ ถึงแก่อสัญกรรม ในปี พ.ศ. 2551 2.4.15) นายอำนวย วีรวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคนำไทย และพรรคมวลชน อดีต รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็น บิดาของนายถกลเกียรติ วีรวรรณ เจ้าของธุรกิจทางด้าน รายการโทรทัศน์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรี พาณิชยศาสตรบัณฑิต จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต 175

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต และปริญญาเอก ด้านการบริหาร ธุรกิจ ทั้ง 3 ปริญญาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา อำนวย วีรวรรณ รับราชการในกระทรวงการคลัง เคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อธิบดีกรมศุลกากร และ เป็นปลัดกระทรวงการคลัง ในปี พ.ศ. 2518 ด้วยอายุเพียง 43 ปี อำนวย วีรวรรณ เริ่มทำงานการเมืองโดยการเป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2523 และดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปีเดียวกัน และได้ รับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2535 จากนั้นจึงลง สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2538 และ ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง ในปี พ.ศ. 2539 ต่อมาจึงได้ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์การเงิน ในปี พ.ศ. 2540 ได้ ซึ่งต่อมาได้มีการแต่งตั้ง นายทนง พิทยะ เข้ามารับ หน้าที่แทน และได้มีการลดค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคม อำนวย วีรวรรณ เคยก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยใชช้ อ่ื วา่ “พรรคนำไทย” และไดย้ ตุ กิ ารดำเนนิ งาน ในปี พ.ศ. 2541 176

บ3ทท ่ี มรดกทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทยในการเมืองถ่ิน จังหวัดขอนแก่น มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่อง สำคัญในการอธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ระหว่าง นักการเมืองกับการเลือกตั้งในสังคมไทย ซึ่งในส่วนนี้จะได้ กล่าวถึงมรดกทางประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมไทยจนกระทั่งถึง ยุคการก่อเกิดนักการเมืองหลังการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 วัฒนธรรมไทยก่อนยุคปฏิวัติที่ได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรม การเมืองบางอย่างสู่นักการเมืองในยุคประชาธิปไตยไทย

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 3.1 มรดกทางประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมไทย แน่นอนประวัติศาสตร์มิได้เกิดได้โดยลำพัง แต่ต้อง อาศัยสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ หลากหลายไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลต่าง ๆ ที่หลากหลายซึ่งมีทั้งฝ่ายผู้ปกครองและ ผู้ถูกปกครอง ความทรงจำในอดีตในด้านต่าง ๆ ได้ถูกถักทอ เรียบเรียงโดยนักประวัติศาสตร์เพื่อยืนยัน “ความจริง” ที่อาจ ไม่จริงในประวัติศาสตร์ “หรือแม้กระทั่งความเท็จ” ที่อาจไม่เท็จ ในประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์จึงอาจจะทำหน้าที่อธิบาย ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ใน สังคมไทย อันที่จริงโดยมากประวัติศาสตร์เป็นประวัติศาสตร์ การเมือง เนื่องจากประวัติศาสตร์ถูกใช้เพื่อสร้างความหมาย ยืนยันอัตลักษณ์ และอุดมการณ์ หรือรักษาความสัมพันธ์เชิง อำนาจของผู้สร้างประวัติศาสตร์ เมื่อประวัติศาสตร์ถูกสร้างให้ เป็นความทรงจำ ความทรงจำเหล่านั้นก็จำเป็นจะต้องผูกโยง อดีตให้เข้ากับปัจจุบันและอนาคต เพื่อรักษาและต่อรองอำนาจ ที่มีอยู่เดิมของผู้สร้างประวัติศาสตร์นั้น ๆ ขึ้นมา ประวัติศาสตร์ไทยก็ไม่แตกต่างจากประวัติศาสตร์อื่น โดยทั่วไป จะเห็นได้ว่าประวัติศาสตร์ไทยก็เป็นประวัติศาสตร์ ทางการเมือง เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องการสร้างความหมายและ ยืนยันอัตลักษณ์ อุดมการณ์ รวมทั้งรักษาความสัมพันธ์เชิง อำนาจเอาไว้ แม้ว่ามีนักประวัติศาสตร์ไทยหลายท่านที่ม ี ชื่อเสียงจะกล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อบันทึกเหตุการณ์ในอดีต หรือที่เรียกว่า 178

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ประวัติศาสตร์รัฐชาติ แต่กระนั้นก็ดี ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก็เป็นอีกเรื่องราวที่บอกกล่าวความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่น ที่แตกต่างกันในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยซึ่งอาจจะมีความ แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์แห่งชาติก็เป็นได้ แต่ที่น่าสังเกต ก็คือทั้งนักประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์ที่จะสร้างความหมายทางอัตลักษณ์ อุดมการณ์ และรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้คนในสังคม นั้น ๆ เหมือนกัน มกดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติไทยในช่วง ก่อนปี พ.ศ. 2475 คือระบบการปกครองแบบรวมอำนาจ หรือ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของอำนาจ การปกครอง การรวมอำนาจไว้ที่บุคคลคนเดียวนี้ จึงเป็น วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย แม้ว่าจะมีบางช่วงบางตอนที่ขุนนาง มีอำนาจมาก และมีเครือข่ายอำนาจมากแต่ในที่สุดมักจะ พ่ายแพ้อำนาจของกษัตริย์ เนื่องจากสังคมถูกสร้างให้เชื่อและ ถูกครอบงำโดยกษัตริย์หรือผู้มีอำนาจเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น หรือการกลับมากระชับอำนาจโดยสถาบันกษัตริย์เช่นในสมัย รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์รัตนโกสินทร์ จะสังเกตเห็นได้ว่าวิวัฒนาการแบบรัฐรวมศูนย์อำนาจ ของไทยมักจะถูกใช้วนเวียนกันในบุคคลหรือสถาบันสามกลุ่ม ด้วยกันคือ สถาบันกษัตริย์ ข้าราชการ นักการเมือง แต่ในขณะ ที่อีกหนึ่งสถาบันคือประชาสังคม มักจะถูกบดบังอำนาจมาโดย ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 179

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ความหวังของสถาบัน ภาคประชาสังคม ดูจะมีแสงสว่างในการแบ่งสรรอำนาจอยู่บ้าง แต่ในช่วง 4 ทศวรรษแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ปรากฏว่าอำนาจของภาคประชาชนกลับไม่เข้มแข็งขึ้น แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามภาคส่วนราชการโดยเฉพาะทหาร และนักการเมืองกลับมีความเข้มแข็งมากอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ Riggs (1966) ได้กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยเป็นรัฐราชการ (Bureaucratic State) ระบบราชการคือกลไกที่สำคัญของอำนาจ รัฐที่จะดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ นับตั้งแต่มีการสถาปนา ระบบราชการขึ้นมาในสังคมไทย สิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็น จากกลไกอันนี้และกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมไทย ดังที่นักวิชาการไทย รัชนีกร เศรษโฐ กล่าวไว้ คือ ระบบราชการ ไทยใหญ่โตเกินไป มีการผูกขาดรวมอำนาจในการตัดสินใจ มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงจนกลายเป็นโรคร้าย ของระบบราชการไทย (รัชนีกร เศรษโฐ, 2536) ในขณะที่ ลิขิต ธีรเวคิน ได้กล่าวถึงสภาพระบบราชการไทยไว้ว่า มีสภาพของ ความล่าช้าในการปฏิบัติ มีการวางอำนาจและการใช้อำนาจใน ทางที่ผิด มีการปฏิบัตินอกกฎเกณฑ์ และมีการขัดขวางต่อการ เปลี่ยนแปลง (มติชน, 22 เมษายน 2529, หน้า 7) สำนึกชาตินิยมไทยในช่วงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการผูกขาดอำนาจของข้าราชการไทย โดยเฉพาะทหาร ส่วนในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ก็เป็นการสร้าง ระบบอุปถัมภ์เพื่อความชอบธรรม และการรักษาไว้ซึ่งความ สัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างข้าราชการในฐานะตัวแทนของรัฐ 180

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย กับประชาชน ในขณะที่ยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ประชาชนชาวไทยที่เป็น ชนชั้นกลางได้พยายามเปลี่ยนแปลงสถานะภาคประชาชน ให้เข้ามามีบทบาทในการรักษาสิทธิและโครงสร้างทางอำนาจ ของประชาชน และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ได้รับอิทธิพล มาจากโลกตะวันตก นั่นก็คือ การมีสิทธิมีเสียงทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน การเข้ามามีบทบาท และอำนาจในการเป็นตัวแทน หรือเลือกตัวแทนของตนเพื่อ สร้างหรือกำหนดสิทธิอันพึงมีพึงได้ของสถาบันภาคประชาชน อย่างไรก็ตามในอดีตข้าราชการกระทรวงต่าง ๆ วนเวียน เข้ามาเสนอตัวและมีบทบาททางการเมืองอยู่เสมอและที่สำคัญ คือการได้รับเลือกตั้งให้เป็นตัวแทนประชาชนในจังหวัด ขอนแก่นอย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งนี้เป็นเพราะมรดกตกทอด ในอดีตของไทย แม้ในปัจจุบันที่สังคมเชื่อมั่นในระบบราชการ เนื่องจากข้าราชการที่มีความน่าเชื่อถือ มีอำนาจ มีบารมี มีเพื่อนฝงู มาก ข้าราชการจึงผันตัวเองเข้าสู่ถนนทางการเมือง เฉกเช่นเดียวกันกับนักธุรกิจที่ต้องใช้ชีวิตผูกพันกับ ข้าราชการในกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ความผูกพัน และการยุ่งเกี่ยวกับระบบราชการซึ่งเป็นบันไดขั้นหนึ่งที่จะทำให้ ธุรกิจดำเนินไปได้โดยสะดวก จึงเป็นแรงจูงใจอันหนึ่งที่ผลักดัน ให้นักธุรกิจเข้าสู่การเมือง ซึ่งแต่เดิมนักธุรกิจมักมีคนสนิทเป็น คนในวงราชการหรือนักการเมืองทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวก ในการติดต่อราชการให้กับธุรกิจของตน แต่ปัจจุบันนักธุรกิจ 181

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เข้ามาสู่ระบบการเมืองและเป็นนักการเมืองเสียเอง เพราะ นักการเมืองที่มีตำแหน่งก็คือผู้บังคับบัญชาข้าราชการโดยตรง มิใช่ประชาชน11 ในนัยยะนี้นักการเมืองและข้าราชการจึงเป็น โครงสร้างส่วนบนทางอำนาจที่จะอำนวยความสะดวกในธุรกิจ ของนกั ธรุ กจิ การเมอื ง และเครอื ขา่ ยธรุ กจิ ของตน ในขณะเดยี วกนั จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจกับนักการเมือง เป็น ความสัมพันธ์ที่ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในทางการเมืองนักการเมืองอาจต้องอาศัยทุนและ การสนับสนุนจากนักธุรกิจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็น ตัวเงินและความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะช่วงการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน ในทางธุรกิจนักการเมืองมีส่วนช่วย ในการผลักดันธุรกิจให้แก่นักธุรกิจโดยเฉพาะการกำหนด นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ จุลภาคและมหภาค ธุรกิจดังกล่าว เช่น การสร้างถนน สถานที่ ราชการ สำนักงาน การกำหนดหรือยกเว้นอัตราภาษีให้กับ ธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้นนักธุรกิจที่มีความสนิทสนมกับนักการเมือง จึงมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้ 11 ในเชิงโครงสร้างของการบริหารในระบบราชการ ประชาชน ไม่สามารถควบคุมข้าราชการได้โดยตรงแต่ต้องอาศัยนักการเมืองที่เป็น ตัวแทนจากการเลือกตั้งของเขาเข้ามาควบคุมข้าราชการอีกทอดหนึ่ง อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำไมต้องมีการเลือกตั้งตัวแทนของประชาชน เพราะประชาชนมีอำนาจในการเลือกนักการเมืองและควบคุมนักการเมือง ได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงเวลาของการเลือกตั้ง ซึ่งหาก ประชาชนพบว่านักการเมืองที่เขาเลือกไม่รับผิดชอบต่อประชาชน นักการเมืองเหล่านั้นอาจไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้งในสมัยต่อไป 182

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย เห็นว่าระบบอุปถัมภ์ยังคงดำรงอยู่อย่างแนบแน่นในสังคมไทย จะสังเกตได้จากอดีตการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการที่มี นักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องและเป็นข่าวเรื่องทุจริตอยู่เสมอ วัฒนธรรมไทยที่อุ้มระบบอุปถัมภ์จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา ดังที่ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เรียกสิ่งนี้ว่า “มรดกทางประวัติศาสตร์- วัฒนธรรมไทย” (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2548) จตุพร เจริญเชื้อ เชื่อว่าการเข้าสู่การเมืองท้องถิ่นโดยที่มี บิดาเป็น ส.จ. มาก่อนเป็นมรดกที่สำคัญที่ปูพื้นฐานการ การทำงานการเมืองที่สำคัญของตน เนื่องจากบิดาเป็น ส.จ. มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี จึงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นใน สังคมท้องถิ่น เรียกว่าเป็นตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง และบารมี โดยชีวิตการเมืองท้องถิ่นก็เป็นเช่นเดียวกับการเมือง ท้องถิ่นในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศ กล่าวคือ วางอยู่บนฐาน ความสัมพันธ์ในวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งการช่วยเหลือ การสนับสนุน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นในแต่ละช่วงเวลา “ผมมีพ่อเป็น ส.จ. มาก่อน ชื่อวิจิตร เจริญเชื้อ ... เป็น ส.จ. ชาวนา เป็นมานานมาก 20 กว่าปี ก่อนผม 4-5 สมัยได้ จึงคุ้นเคยกับประชาชน กับวิถีทางการเมือง ว่าเป็นยังไง” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) แม้ว่าจะมีนักการเมืองบางท่านอาจจะปฏิเสธว่าการมี เชื้อสายวงศ์ตระกูลที่เป็นนักการเมืองไม่ได้ทำให้การเข้าสู่ 183

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น การเมืองท้องถิ่นหรือเป็นการปูพื้นฐานการการทำงานการเมือง ของตนเป็นไปได้โดยง่ายเพราะเป็นความเชื่อมั่นส่วนบุคคล มากกว่า ดังที่ อดิศร เพียงเกษ ได้ระบุไว้ว่า “คุณพ่อเป็น ส.ส. (ทองปักษ์ เพียงเกษ) หนึ่งสมัย ปี 2518 คุณพ่อก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าลูกกับพ่อไม่สามารถ โอนโฉนดให้กันได้ ไม่ใช่โอนแบบ น.ส. 3 ก. ลูก ส.ส. ส่วนมากจะได้เป็น แต่ว่า ผมกว่าจะได้เป็น 4 ครั้ง แล้ว มันอยู่คนละเขตกัน ผมอยู่เขตอำเภอเมือง คุณพ่อเขต มัญจาฯ (อ.มัญจาคีรี) ปัจจัยในการเป็นผู้แทนฯ ยากมาก สมัยก่อนมันเลือกคน เลือกพรรค เลือกเงิน เราอยู่ที่เลือก คนก็ยาก” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าการมีเชื้อสายวงศ์ ตระกูลที่เป็นนักการเมืองโดยเฉพาะตระกูลนักการเมืองที่มี บทบาทโดดเด่น ประสบความสำเร็จทางการเมืองและได้รับการ ยอมรับนับถือจากคนในพื้นที่นั้นเอื้อประโยชน์ให้การเข้าสู่ การเมืองท้องถิ่นหรือเป็นการปูพื้นฐานการการทำงานการเมือง ของตนเป็นไปได้โดยง่ายดังที่ อดิศร เพียงเกษ ที่ให้ความ เชื่อมั่น ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะลูกชายนักการเมืองเก่าเมื่อครั้ง ที่มีการตัดสินใจทำงานการเมืองร่วมกันในการก่อตั้งพรรคไทย รักไทย 184

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย “...ผมเป็นไทยรักไทยรุ่นแรก ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ ดร.ทักษิณ เอ จะมาเหมือน ดร.อำนวย หรือเปล่า ผมเคย มีประสบการณ์ ผมไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่าความพร้อมของ ดร.ทักษิณ เขาเป็นตระกูลการเมืองมาก่อน เขาเป็นลูก ผู้แทนเหมือนเรานี่ เขาเคยจนมาก่อน เขาเริ่มจากขาย กาแฟ นายเลิศ ชินวัตรนี่ ก็มาร่างนโยบายกัน โดยให้ นโยบายเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนั้น ๆ เป็นหลัก ก็ประสบความสำเร็จ...” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 3.2 ระบบอุปถัมภ์กับการเลือกต้ัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบอุปถัมภ์เป็นมรดกตกทอดในอดีต ของสังคมไทย กล่าวคือ ในอดีตระบบอุปถัมภ์ผูกติดอยู่กับ ระบบการถือครองที่ดินซึ่งอยู่ในมือของกลุ่มจำนวนน้อยที่มี อำนาจร่ำรวย รวมทั้งสามารถผูกขาดการศึกษาและเครื่องมือ ในการติดต่อกับโลกภายนอกหรือผูกขาดข้อมูลสื่อสารที่ดีกว่า คนธรรมดาสามัญซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ (กฤษณา ไวสำรวจ, 2554, หน้า 21) ความแตกต่างของคนสองกลุ่ม ทั้งด้านทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ บารมี และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จึงก่อเกิด ความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกันและกันที่สำคัญก็คือ คนไทยต่างก็ ยอมรับความแตกต่างที่ลดหลั่นกันเป็นขั้นๆ ดังกล่าวว่าเป็น ปรากฏการณ์ธรรมดาของสังคม หรือเป็นการจัดระเบียบสังคม ตามหลกั ของความสงู ตำ่ ของฐานะหรอื ตำแหนง่ (อมรา พงศาพชิ ญ์ และปรีชา คุรินทร์พันธุ์, 2543, และอคิน รพีพัฒน์, 2525) และ ระบบอุปถัมภ์ก็ได้วิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ 185