Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เช่น ตำแหน่งประธานวุฒิสภาและประธานรัฐสภา ประธาน ตุลาการรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งโดยตำแหน่งของ ร.ท. จารุบุตร มีบทบาทในการทำหน้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน ดังกล่าวนี้ เป็นข้อมูลบางส่วนของ ส.ส. จังหวัดขอนแก่นที่มีบทบาทและ ดำรงความยุติธรรมให้กับประชาชนและทำหน้าที่เพื่อประชาชน ส่วนใหญ่ในยุคข้าราชการ 5.5 ยุคธุรกิจการเมือง พ.ศ. 2529-2544 คงไม่เป็นการเกินเลยที่กล่าวว่ายุคธุรกิจการเมืองคือ ยุคที่นักธุรกิจเข้ามาร่วมกิจกรรม หรือดำเนินกิจกรรมทาง การเมืองเสียเอง โดยการสมัครแข่งขันเป็นผู้แทนของประชาชน ในตำแหน่ง ส.ส. หรืออีกนัยหนึ่งคือการที่นักการเมืองที่เข้าไป ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจโดยตรง หรือโดยอ้อม ผ่านเครือข่ายวงศ์วานญาติเครือที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ แน่นอนว่า นักธุรกิจกับนักการเมืองมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกใน ยุคธุรกิจการเมือง 2529-2544 อาจกล่าวได้ว่า อดีต ส.ส. สุวิทย์ คุณกิตติ คือบุคคล หนึ่งที่มีฐานทางครอบครัวมาจากนักธุรกิจ เนื่องจากคุณพ่อ เป็นเจ้าของโรงสีและโรงเลื่อย และมีธุรกิจปั๊มน้ำมัน สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ มีคุณพ่อเป็นเจ้าของโรงสี จากข้อมูลนักสื่อสาร มวลชนท้องถิ่น เจริญลักษณ์ เพชรประดับ ได้เล่าให้ฟังว่า “ตระกูลของ สุวิทย์ คุณกิตติ เป็นพวกคหบดี คุณพ่อเป็น เจ้าของโรงไม้ ย้ายมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี” (เจริญลักษณ์ เพชรประดบั , สมั ภาษณว์ นั ท่ี 27 มนี าคม 2554) และเจรญิ ลกั ษณ์ ยังกรุณาเล่าถึงประวัติ ส.ส. ขอนแก่นคนอื่น ๆ ด้วย “สมศักดิ์ 236

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น เกียรติสุรนนท์ เองก็เป็นลูกเถ้าแก่โรงสี... สุชาย ศรีสุรพลก็เป็น นักธุรกิจค้าไม้ และมีธุรกิจเกี่ยวกับโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลเวชประสิทธิ ซึ่งอยู่ในเครือวงศ์ตระกูลของ สุชาย ส่วน ร.ต.อ. สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ก็มีธุรกิจของพ่อคือบริษัท ในเครือโอสถสภา ส่วน ส.ส.นวัธ เตาะเจริญสุข ก็ทำธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง” ส่วนจักริน พัฒน์ดำรงจิตร ก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับ โรงแรม โรงแรมเจริญธานี ปริ้นเซส ส่วนคุณพ่อของ เจริญ พฒั นด์ ำรงจติ ร ซง่ึ มฉี ายา อนิ ทรอี สี าน หรอื เสย่ี เลง้ (เจรญิ ลกั ษณ,์ สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555, และอุสมาน ระดิ่งหิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) จริง ๆ แล้วการที่ ส.ส. มีธุรกิจ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคนที่พร้อมจะมาเป็นตัวแทน ประชาชนสมควรมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจอยู่พอสมควร กล่าวง่าย ๆ คือ เศรษฐกิจของตัวเองต้องเข้มแข็งก่อน ก่อนที่ จะขันอาสามาช่วยพัฒนาประชาชน ดังคำกล่าวของอดีต นายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งของไทย ที่ลั่นวาจาว่าจะเข้ามา ช่วยเหลือประชาชนเพราะตนเองพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ เพราะหัวใจการพัฒนาคนคือการพัฒนาตนเองเสียก่อน โดยปกติแล้วการที่นักการเมืองที่มีฐานมาจากธุรกิจ มักถูกมองว่าต้องการเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทาง ธุรกิจของตน อย่างไรก็ดีนักการเมืองเหล่านี้ก็ทำหน้าที่ตัวแทน ประชาชนได้เป็นอย่างดี ส.ส.หลาย ๆ คนมีผลงานที่เป็นรูปธรรม จนได้รับความไว้วางใจบริหารงานในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาล เช่น นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีต รมต. หลายกระทรวง เช่น รมต. กระทรวงยุติธรรม ในปี 2535 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นักการเมือง ขณะนั้นส่ายหน้า เพราะปัญหาวิกฤตการณ์ตุลาการที่เกิดขึ้นใน 237

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สมัยรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน... และท่านก็สามารถแก้ไข ปัญหาวิกฤติอันนี้ได้โดยระยะเวลาอันสั้น (อีคอนนิวส์, 24 เมษายน 2538, หน้า 461-468) นอกจากนี้ ผลงานอีกอันหนึ่ง ที่สำคัญคือการพัฒนาการศึกษา ทำแผนพัฒนาการศึกษา 15 ปี แผนแรกของไทย...ซึ่งปัจจุบันยังทันสมัยอยู่เลย (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ส่วนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็เป็น ส.ส. ขอนแก่น คนหนึ่งที่มีบทบาททางการเมืองในจังหวัดขอนแก่นอย่างสูง จะสังเกตเห็นว่าสมศักดิ์เป็นนักการเมืองที่ครองตำแหน่งการ เป็น ส.ส. มากที่สุดในจังหวัดขอนแก่น คือ 10 สมัย ย่อมเป็น หลักประกันว่าสมศักดิ์ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ทำ หน้าที่มากมายขนาดไหน สมศักดิ์เคยได้รับฉายา “ขุนค้อน” ครั้งสมัยที่ดำรงตำแหน่งรองประธานรัฐสภาในปี 2540 เมื่อ สมศกั ด์ิได้นำคอ้ นไปใชท้ ำหนา้ ทีใ่ นสภาคลา้ ย ๆ กับสภาบันศาล นอกเหนือจากนี้เคยได้ดำรงตำแหน่ง รมต. ในหลายกระทรวง เช่นกัน เช่น รมต. กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และในปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นตำแหน่ง อันทรงเกียรติและสูงสุดในรัฐสภา ซึ่งภารกิจของสมศักดิ์ได้ สะท้อนให้เห็นภาพการทำงานเป็นตัวแทนประชาชนอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าผลงานของสมศักดิ์จะออกมาในลักษณะ ของการทำหน้าที่ในตำแหน่งที่ที่บริหาร 5.6 ยุคประชานิยม พ.ศ.2544-ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคประชานิยม เป็นยุคที่แข่งขันกัน เชิงนโยบายที่จะครองใจประชาชนหรือเป็นยุคที่พรรคการเมือง 238

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น ต้องคิดนโยบายออกมาตอบสนองความต้องการของคนส่วน ใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง อันเป็นการสร้างกระแสความศรัทธาและความเชื่อมั่นให้แก่ พรรคการเมืองโดยตรง ส่วนพรรคการเมืองจะทำหน้าที่เป็น ผู้กำหนดผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคลงแข่งขันในเขต พื้นที่เลือกตั้งต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันผู้ที่มีบทบาท ในพรรคคือผู้บริหารพรรค และนายทุนพรรค ทั้งทางการเงินและ ทางความคิด จะเห็นได้ว่าบทบาทของพรรคจะมีมากกว่าตัว นักการเมือง เพราะนักการเมืองเป็นแค่เพียงองค์ประกอบ อันหนึ่งของพรรค และปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าหัวหน้า พรรคการเมืองมีบทบาทมากที่สุดในยุคประชานิยมคืออดีต นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกแนวคิด นโยบายประชานิยม ซึ่งเน้นไปที่การเสนอนโยบายเพื่อ ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนจน ชนชั้นล่าง คนรากหญ้าที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการสังคม เฉกเช่นข้าราชการ การนำเสนอเช่นนี้เป็นการฉีกแนวการ นำเสนอนโยบายแบบดั้งเดิมของพรรคการเมือง ซึ่งมักจะมอง ไม่เห็นเป็นรูปธรรม ด้วยเหตุนี้เองพรรคการเมืองอย่างพรรค ไทยรักไทยจึงสามารถครองใจประชาชนส่วนใหญ่ได้ด้วยระยะ เวลาเพียงไม่กี่ปี โดยจะเห็นได้จากกระแสการตอบรับของ ประชาชนที่มีต่อพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรค ไทยรักไทยนับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคคือการนำเสนอการปฏิรูป ระบบราชการไทย เนื่องจากเห็นว่าระบบราชการไทยมีความ ล่าช้า และเป็นจุดอ่อนของชาติ การนำเสนอของพรรค 239

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ไทยรักไทยจึงเป็นการนำเสนอให้คิดแบบนอกกรอบของระบบ ราชการ และลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเพื่อประสิทธิภาพและ ความฉับไว (วัลยา, 2546, หน้า 232) นอกจากนี้คือการเสนอให้สร้างคนที่มีความสามารถที่คิด สร้างสรรค์และมีอิสระในการทำงานสูง ทำงานเป็นทีมและ บริหารแบบผสมผสาน ประนีประนอมแต่กล้าตัดสินใจ โดยยึด ประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก รวมทั้งการนำเสนอ แนวคิดใช้หลักการบริหารในการแก้ไขปัญหาประเทศมากกว่า ยึดติดกฎหมายในการแก้ปัญหา (วัลยา, 2546, หน้า 232) ด้วยเหตุนี้เองพรรคไทยรักไทยสามารถสถาปนาการ นำพาประเทศและประชาชนให้โดดเด่นทั้งด้านแนวคิด และ แนวนโยบายในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะแนวนโยบาย ในการแก้ปัญหาของประชาชน รวมทั้งการใช้แนวคิดเรื่อง การตลาดมาใช้ในการบริหารการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญ ประชาชนให้ความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองไทยรักไทย ต่อมา เปลี่ยนเป็นพรรรคพลังประชาชาชนซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคเพื่อไทย ดังนั้น นักการเมืองที่สังกัดพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบันไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้นอกจากการนำเสนอ นโยบายที่ต้องสร้างสรรค์ และต้องตอบสนองความต้องการของ ประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้ และที่สำคัญที่สุดต้องเห็นผลเป็น รูปธรรม จะสังเกตเห็นว่าแทบทุกนโยบายของพรรคเพื่อไทย ถูกผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมจึงเป็นหลักประกันว่า การเป็น นักการเมืองภายใต้พรรคเพื่อไทย ก็คือการยืนหยัดเพื่อ ประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั่นเอง ดังคำ 240

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน อธิบายของมุกดา พงษ์สมบัติ อดีต ส.ส. จังหวัดขอนแก่น ในครั้งที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2550 ที่กล่าวว่า “เหตุผลที่ไม่มาสังกัดพรรคพลังประชาชน เพราะ ได้รับการชักชวนจากคุณสุวิทย์ คุณกิตติ มันเป็นเหตุผล ส่วนตัวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่ชนะการเลือกตั้ง ได้ เพราะนโยบายของพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรค ไทยรักไทยเดิมโดดเด่นกว่าพรรคเพื่อแผ่นดินมาก แต่ก็แพ้ เพียงไม่กี่พันคะแนน” (มุกดา พงษ์สมบัติ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) คำอธิบายดังกล่าวเป็นการยอมรับว่านโยบายของ พรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคไทยรักไทยเดิมนั้น ประชาชนในพื้นที่ยอมรับและสนับสนุนมากกว่าการให้ความ สำคัญกับตัวบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการเมือง ของประชาชนจังหวัดขอนแก่นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นั่นคือ นักการเมืองในฐานะปัจเจกบุคคล มีความสำคัญน้อยกว่า พรรคการเมอื ง ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั คำอธบิ ายของมกุ ดา พงษส์ มบตั ิ ดังนี้ “ระยะหลังมีชาวบ้านมากระซิบบอกว่า เขาอยาก ให้มาอยู่พรรคพลังประชาชน (ในขณะนั้น) เพราะเขาเลือก พรรคนี้ให้มาทำงานมากกว่าที่จะเลือกตัวบุคคล ... จริงแล้วเขา (ประชาชน) ก็เสียดาย ว่าทำไมไปอยู่พรรค เพื่อแผ่นดิน” (มุกดา พงษ์สมบัติ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) 241

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น อดีต ส.ส.จตุพร เจริญเชื้อ เป็นอีกคนหนึ่งที่ชี้ให้เห็น ว่าการที่เขาสามารถเอาชนะ สุวิทย์ คุณกิตติ อดีต ส.ส. และ รัฐมนตรีหลายกระทรวงได้ ในการเลือกตั้งปี 2550 เพราะ การเมืองจังหวัดขอนแก่นเปลี่ยนแปลงไปมาก “แม้ว่าตอนนั้นพรรคไทยรักไทยถูกยุบไปแล้ว ตอนนั้นเราก็มาตั้งพรรคพลังประชาชน ท่านสมัคร สุนทรเวชมานำพรรค แล้วเราถูกตัดสิทธิ์ตั้งร้อยกว่าคน สุดท้ายชาวบ้านเขาก็เชื่อเรา ไทยรักไทยสามารถช่วย เขาได้ เขาก็เลือก สุวิทย์ฯ ก็สอบตกในครั้งนั้น ดังนั้น ผู้นำพรรค นโยบายพรรคสำคัญ” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) จตุพรยังได้ย้อนอดีตให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงใน ระบบพรรคการเมืองไทยจากเดิมที่ประชาชนยึดติดตัวบุคคล หรือความมีชื่อเสียงของผู้สมัครมาเป็นการเลือกนโยบาย พรรคการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของตนเป็นหลัก โดยเฉพาะการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองที่คิดต่าง อย่างพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 “เมื่อก่อนอาจเป็นอย่างนั้น คือ คิดว่าเลือกไป ก็เหมือน ๆ กัน ทุกพรรคไม่รู้มีนโยบายอะไร ไม่มีอะไร ชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เหมือน ๆ เดิม ชาวบ้านก็สัมผัสไม่ได้ แต่พอมีไทยรักไทย เข้ามา เขานำเสนอรูปแบบที่แตกต่างออกไป มีนโยบาย 242

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น ชัดเจน เป็นข้อ ๆ แล้วพอเป็นรัฐบาลก็ทำได้หมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการเมืองจึงเปลี่ยนแปลงมากในช่วง ไทยรักไทย ตอนนี้ชาวบ้านจะดูนโยบายของพรรค ว่าทำได้ไหม เช่น พรรคไทยรักไทยเสนอว่ากองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท บางพรรคโผล่มาจะให้ 5 ล้านบาท ชาวบ้าน เขาก็ดูว่าเป็นไปได้ไหม แล้วก็ความสามารถของพรรคว่า ทำได้ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อวัฒนธรรมเดิม ๆ พวก ข้าราชการมาลง (เลือกตั้ง) มันจึงเปลี่ยนไป คนมีเงิน มีทองมาลงใช่ว่าจะได้ มันเปลี่ยนไป ต้องดูในพรรค สำหรับชาวบ้านว่าดีที่สุดสำหรับเขา” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) ซึ่งสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ สุชาย ศรีสุรพล อดีต ส.ส. คนหนึ่งของพรรคไทยรักไทยที่กล่าวว่า “...นโยบายพรรคไทยรักไทยตอนนั้น ตัวผมเอง ที่ไม่เคยสนใจการเมืองเลย แล้วไม่เคยสนใจนโยบายของ พรรคไหนมาก่อน เพราะว่าเวลาเขามาหาเสียง ผมก็ไป ลงคะแนน คือเขาหาเสียงแบบง่าย ๆ น้ำใสไฟสว่างแค่นั้น แต่การที่ของไทยรักไทยมันออกมาชัดเจนเลยว่ามีอะไร เวลาเราไปพูดเราก็บอกว่าได้ไม่ได้ก็ต้องลอง ชาวบ้าน ก็เกิดอาการอยากลองเหมือนกัน ผมจึงถือว่านโยบาย 80 เปอร์เซ็นต์” 243

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น “หนึ่ง ประชาชนรู้จักพรรคการเมืองไม่ใช่รู้จักแต่มี ปาก พูดพล่อย ๆ พูดไปเหมือนแต่เพ้อเจ้อ แต่เดี๋ยวนี้ ชาวบ้านเขาเปลี่ยนไปมาก เขาไม่เชื่อ ขนาดนโยบาย เดียวกัน พรรคหนึ่งทำอย่างหนึ่ง แต่พอมาทำนี่ นโยบาย มันมีรายละเอียดปลีกย่อย ชาวบ้านเขาไม่โง่เขารู้เลย .... (สอง) ทำให้ชาวบ้านเขามองที่นโยบาย คือผลประโยชน์ที่ เขามีส่วนได้ เขาจะไม่มองหรอกว่าซื้อขายเสียง เพราะเขา รู้ว่าสองร้อยนี่มันเทียบกันไม่ได้ มันแตกต่างจากที่เขาเอา ออกมาจากรัฐ ไอ้คนที่หลงงมงายบอกมันซื้อเสียง มันมี บ้าง แต่ว่า มันเป็นองค์ประกอบที่น้อยมาก...” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) ในกรณีของ อดีต ส.ส. สุวิทย์ คุณกิตติ ผู้มากด้วย ประสบการณ์ทางการเมืองอย่างโชกโชนในจังหวัดขอนแก่น ช่วงหนึ่งทางการเมืองของสุวิทย์ที่ตัดสินใจแยกทางไปเป็น หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินหลังพรรคไทยรักไทยถูกตัดสินให้ ยุบพรรคและตั้งพรรคใหม่คือพรรคพลังประชาชน โดยที่สุวิทย์ คุณกิตติ พยายามนำเสนอแนวนโยบายประชานิยมไม่แตกต่าง จากพรรคพลังประชาชน แต่ก็ไม่สามารถชนะการเลือกตั้ง ในครั้งนั้นได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทัศนคติและความเชื่อถือของ ประชาชนที่มีต่อความสำเร็จในนโยบายประชานิยมของพรรค พลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิม รวมถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้สุวิทย์กล่าวว่า 244

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น “นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายสำคัญ ที่ทำให้เกิดกระแสของพรรคไทยรักไทย ในเรื่องของ SML ของพี่น้องประชาชน ในเรื่องของ 30 บาท รักษาทุกโรค การพักชำระหนี้ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง โครงการกองทุน เป็นโครงการเดียวของรัฐบาลซึ่งในโลกนี้ที่กระจายไป อย่างทั่วถึงทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ไม่มีโครงการไหนของ รัฐบาลในโลกนี้ที่กระจายไปถึงทุกหมู่บ้านทุกชุมชนได้เท่า เทียมกัน ในแนวโน้มของอำนาจ แนวโน้มของตัวเงิน ได้ 1 ล้าน เท่ากันหมดทุกหมู่บ้าน อำนาจในการบริหาร เท่ากันหมด แล้วเป็นการกระจายอำนาจไปถึงพี่น้อง ประชาชน...” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) “ผมคิดว่าผลงานเป็นสิ่งสำคัญ คือว่าวันนี้ ทำไม ประชาชนถึงชอบ นายกทักษิณ เพราะนโยบายเป็น นโยบายที่สามารถจับต้องได้โดยตรง และถึงประชาชน อย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ก็เกิดขึ้นในสมัยนายกทักษิณ อันนี้ก็เป็นหลักการที่สำคัญ ความนิยมที่มันเกิดขึ้น รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไทย ได้รับประโยชน์อย่าง ทั่วถึง อย่างเท่าเทียมกัน ได้รับประโยชน์ทางตรง ไม่ใช่ ทางอ้อมการแก้ไขปัญหาวันนี้ คือการแก้ไขปัญหาความ แตกแยก ในสังคมไทยวันนี้ คือ การลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายไม่กระจุก การกระจายทั้งงาน ทั้งเงิน ทั้งโอกาสให้ประชาชน แรงงานเค้าก็มี คนในชนบท 245

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 60 เปอร์เซ็นต์ ในเมือง 40เปอร์เซ็นต์ ทำไงคนในชนบท 60 เปอร์เซ็นต์นี้จะได้เข้มแข็ง ยั่งยืนได้เพราะเป็นฐานราก ทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้รับความเข้มแข็ง ได้รับเงิน มีรายได้เพียงพอ คิดถึงอนาคตที่จะส่งลูกหลานไปเรียน หนังสือได้ เจ็บไข้ได้ป่วยมีเงินค่ารถไปโรงพยาบาล รักษา ฟรีก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วก็มองถึงอนาคตตนเองยาม แก่เฒ่า ไม่ใช่ได้เดือนละ 500 เดือนละ 1,000 จะอยู่ได้ เค้าอยู่ไม่ได้ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพมันสูงขึ้น เพราะฉะนั้น มุมนี้เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิด ความสามารถในระบบ ในระบบในสังคมได้ ในระบบเศรษฐกิจได้ พอประชาชน มีรายได้มากขึ้น ก็มีค่าใช้จ่าย ก็กระตุ้นเศรษฐกิจ เงินจาก ระดับรากหญ้า ออกไปในระบบมันจะหมุนหลายรอบกว่า แล้วเงินพวกนี้ไม่เก็บ ประชาชนก็มีความต้องการ ทำให้ เศรษฐกิจเจริญเติบโต เพราะเค้าไปซื้อของร้านค้า ในหมู่บ้าน ร้านค้าหมู่บ้านไปซื้อในอำเภอ อำเภอไปซื้อ ในจังหวัด จังหวัดก็ต้องสั่งจากผู้ส่ง พ่อค้าขายส่งก็ต้องไป โรงงาน โรงงานก็ไปวัตถุดิบ นี่มันก็หมุน 7 รอบแล้ว ... หากจะประเมินความสำเร็จของตนเอง จากการได้ทำอะไร ไว้เยอะกับบ้านเมือง จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่เป็นโครงการ ที่ทำทั้งระยะสั้น ระยะยาว วิธีการมอง มองระยะยาวมาก กว่าระยะสั้น เพราะการแก้ไขปัญหาระยะสั้นมันทำให้ดู เหมือนว่าแก้ไขปัญหามันยังกระทบเรื่องอื่นอีก เพราะเรา ทำการแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้า มันเลยแกไ้ ขไม่จบส้นิ เสียที แก้ไขมา 30 ปี ก็ยังเหมือนเดิม” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) 246

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น อดิศร เพียงเกษ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคและผู้มี ส่วนร่วมในการร่างนโยบายพรรคการเมืองไทยรักไทยตั้งแต่ เริ่มต้นได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการกำหนด นโยบายพรรคเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ว่า “ผมอยู่พรรคไทยรักไทย ผมร่วมร่างนโยบายด้วย ในการคุยกันตั้งแต่ต้น ผมเป็นไทยรักไทยรุ่นแรก ตอนแรก ผมก็ไม่เชื่อ ดร.ทักษิณ เอ จะมาเหมือน ดร.อำนวย หรือเปล่า ผมเคยมีประสบการณ์ ผมไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่า ความพร้อมของ ดร.ทักษิณ เขาเป็นตระกูลการเมืองมา ก่อน เขาเป็นลูกผู้แทนเหมือนเรานี่ เขาเคยจนมาก่อน เขาเริ่มจากขายกาแฟ นายเลิศ ชินวัตรนี่ ก็มาร่างนโยบาย กัน โดยให้นโยบายเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับ นโยบายนน้ั ๆ เปน็ หลกั กป็ ระสบความสำเรจ็ พอประชาชน ให้โอกาสเขาก็ทำ พอทำเสร็จแล้วก็ติดเลย ก็น่าเสียดาย พรรคการเมืองหลายพรรค ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดเรื่องนี้” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) นอกเหนือจากที่กล่าวมาทั้งหมดยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วย ส่งเสริมและสร้างกระแสสนับสนุนพรรคการเมือง เช่นกลุ่มคน เสื้อแดงโดยเฉพาะหลังการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2549 (แต่ ไม่ได้เป็นจุดสนใจของผู้ศึกษาในวิจัยนี้) ช่วยให้การดำรงอยู่ของ พรรคการเมืองเพื่อไทย คือ นโยบายเพื่อประชาชน เพื่อคน ส่วนใหญ่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อไทย = เพื่อประชาชน เพื่อไทย = เพื่อคนส่วนใหญ่ เพื่อไทย = เพื่อประโยชน์ของ คนไทยส่วนใหญ่นั่นเอง 247

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 5.7 ความเหล่ือมล้ำทางสังคมกับนักการเมือง ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีสาเหตุและปัจจัย ต่าง ๆ หลายประการ แต่หนึ่งในปัจจัยดังกล่าวคือ ปัจจัยทาง โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่ปล่อยให้ ปัจเจกบุคคลถือครองปัจจัยการผลิตทุน และแรงงานโดยเสรี สอง การปล่อยให้มีการแข่งขันโดยเสรี สาม การปล่อยให้เป็น ไปตามกลไกตลาด สี่ การที่รัฐไม่เข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเงื่อนไขต่าง ๆ ในระบบทุนนิยมเสรี เช่นนี้เองที่ก่อให้เกิด ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม กล่าวคือ กรณีคนจน ไม่สามารถถือครองปัจจัยการผลิต และทุนได้ ยกเว้นแรงงาน คนจนก็ไม่สามารถไปแข่งขันทางเศรษฐกิจได้นอกจากการใช้ แรงงานตนเพื่อหาปัจจัยเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ในขณะ เดียวกันกลไกตลาดก็เป็นตัวกำหนดว่า ผลผลิต ทุน แรงงาน ควรจะมีหรือไม่มีอย่างไร ควรจะมีที่ราคาเท่าไหร่ อันจะส่งผลให้ นายทุนหรือคนรวยจะยิ่งรวยขึ้นและคนจนผู้ใช้แรงงานก็จะยิ่ง จนลง ดังนั้นเงื่อนไขทางโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมเสรีจึงเป็นปัญหาที่รัฐต้องให้การดูแลเอาใจใส่ จนเกิด เป็นแนวคิดทฤษฎี เคนส์ (John Maynard Keynes) ที่มุ่งให้รัฐเข้า มาแทรกแซงและควบคุมกลไกราคา รวมถึงกติกาต่าง ๆ ในการ แข่งขันทางธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดของคนส่วนใหญ่ที่ยากจน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศไทยเองก็ใช้วิธีการ จัดการระบบเศรษฐกิจในแบบของ เคนส์ นั่นก็คือ การแทรกแซง โดยภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อพยุงความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ในอดีตที่ผ่านมามีนักการเมืองไทยมากหน้าหลายตาต่างเข้ามา 248

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น ขันอาสาช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทย ส่วนใหญ่ ด้วยการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ในการยกระดับความ กินดีอยู่ดีของประชาชน ในกรณีของนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ปรากฏว่า มีนักการเมืองที่สนใจและปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอย่างจริงจัง เช่น นายแคล้ว นรปติ ที่มองเห็นความทุกข์ยากของคนจน โดยเฉพาะในภาคอีสาน การถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้า คนกลาง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การขาดการเอาใจใส่จาก หน่วยงานของรัฐ แคล้วบอกว่า คนอีสานส่วนใหญ่มีสภาพทาง สังคมและเศรษฐกิจด้วยกว่าคนไทยในภาคอื่น ๆ ของประเทศ รวมทั้งภาคอีสานได้รับการพัฒนาน้อยกว่าภาคอื่น ๆ ใน ประเทศ โดยที่ปรากฏว่าชาวอีสานส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาทำไร่ อาศัยการเพาะปลูก อาศัยน้ำ แต่พื้นที่อีสานแห้งแล้ง ขาดการ ชลประทาน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้น ในสังคม (สำรวน ศิริบุรี, 2537. หน้า 24-26) ด้วยเหตุนี้เองเมื่อนายแคล้วเข้ามามีบทบาททาง การเมือง นายแคล้วได้พยายามเสนอปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ให้ รัฐบาลทราบโดยวิธีการตั้งกระทู้หรืออภิปรายในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังคำกล่าวของนายแคล้วที่ว่า “กล่าวคือว่าใน ขณะนี้เขาไม่มีข้าวกิน แม้แต่เด็กที่ไปโรงเรียนนั้นก็ยังไม่ได้กิน ข้าว เมื่อ 2-3 วันนั้น กระผมไปบ้านวังม่วง ตำบลวังม่วง อำเภอ บ้านไผ่ ก็ได้รับคำร้องทุกข์ว่าครูประชาบาลไม่กล้าที่จะใช้เด็กไป ถางหญ้าบริเวณโรงเรียน เพราะเด็กยังไม่ได้กินข้าว ร้อนถึง ครูต้องเสียสละเงินไปช่วยซื้อข้าวตามชาวบ้าน ขอให้กิน 249

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น มันเป็นอย่างนี้เป็นต้น ภาวะที่ราษฎรได้รับความเดือดร้อน อยู่เดี๋ยวนี้มากมายเสียจริง ๆ ในเรื่องข้าวนี้นะครับ...เพราะเรา ตามความเป็นจริงที่ปรากฏนั้นก็เป็นแต่เพียงว่า กระทรวง มหาดไทยหรือทางรัฐบาลนี้ อนุมัติเงินไปแล้วก็ไปซื้อข้าวสาร ตามโรงสีแล้วก็จัดส่งไปจำหน่ายยังตำบลต่าง ๆ เท่านั้น มันก็ได้ ข้าวสารมันก็มีอยู่ที่จังหวัดนั้นแล้ว แต่มีอยู่ตามโรงสี คือคนมี (คนร่ำรวยก็มีมากจริง ๆ คนที่ไม่มีก็ไม่มีจนกระทั่งอดตาย มันเป็นอย่างนี้...” (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 7 สิงหาคม 2518) จึงเห็นได้ว่าแคล้ว นรปติเป็น ส.ส. จังหวัดขอนแก่น คนหนึ่งที่เอาใจใส่เรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม จนกระทั่ง เคยเสนอความคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาและ ช่วยเหลือสังคมดังที่กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอ มากมายในการช่วยเหลือประชาชน อาทิเช่น การสนับสนุนการ จัดตั้งสหกรณ์สำหรับประชาชนเพื่อระดมทุนและเป็นฐานปัจจัย การผลิตภาคเอกชน ภาคประชาชนเป็นต้น ในขณะที่สุวิทย์ คุณกิตติได้ชี้ให้เห็นว่าหลักเศรษฐธรรม Moral Economy อันที่จริงมันสะท้อนได้จากพฤติกรรมของ นักการเมืองเองว่าจะทำอะไรที่เป็นรูปธรรมเพื่อประชาชนและ มันสะท้อนให้เห็นจากความพึงพอใจของประชาชนส่วนใหญ่ สุวิทย์ กล่าวว่า “จริง ๆ แล้ว ที่บอกหลักเศรษฐธรรม โมเรลอิคอนอ มี่ อะไรต่อมิอะไรนี้ มันไม่มีอะไร ที่ผมทำทั้งหมดที่เป็น 250

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน รปู ธรรม และไม่มีใครทำอย่างนี้หรอก เพราะว่าจริง ๆ แล้ว เงิน 8 หมื่นล้าน 9 หมื่นล้าน งบบริหารเงินกองทุนหมู่บ้าน ปีหนึ่งไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณที่ลงไป โครงการของรัฐทั้งหมด งบบริหารต้องเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่งบโครงการหมู่บ้าน งบบริหารน้อยมาก และ ให้ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง งบประมาณที่รัฐตั้งให้ สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน ชุมชนเมือง ปีหนึ่ง 2-3 ร้อยล้าน บริหารเงินแสนล้าน บริหารเงินรัฐ 90 หมื่นล้าน = 0.3 เปอรเ์ ซน็ ต์ เทา่ นน้ั เอง นอ้ ยมาก เดย๋ี วนซ้ี กั 5-6 รอ้ ยลา้ น เปรียบเทียบกับโครงการอื่นแล้วน้อยมาก” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ความพึงพอใจของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญอันนี้ สะท้อนให้เห็นชัดเจนในการเลือกตั้ง เพราะหากไม่ยึดโยงกับ ประชาชนเสียแล้วความพ่ายแพ้ทางการเมืองย่อมเกิดขึ้นได้ เสมอ สุวิทย์ คุณกิตติยอมรับว่า “ตอนหลังจากขึ้นบัญชีรายชื่อก็ห่างจากประชาชน เพราะไม่ได้ลงสัมผัสในพื้นที่ก็เลยเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิด ปัญหาในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถึงแม้จะเป็นปัญหาก็แพ้ ไม่ได้มากเท่าไหร่ 3,500 คะแนนเท่านั้นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถือว่าน้อยมาก ซึ่งตอนนั้นก็สู้กระแสด้วย และห่างจาก ชาวบ้านหลายปี แต่ก็ยังให้ สจ. ในพื้นที่ดูแลชาวบ้าน ตลอดมา แต่ว่าในการดำเนินการทางการเมือง ก็ไม่ได้ทำ เหมือนเดิมที่เคยทำ คือ การใกล้ชิดกับประชาชนนั่นแหล่ะ 251

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น คือปัญหาก็เลยเป็นปัญหา กระแสพรรคพลังประชาชน ก็มีส่วนเหมือนกัน เลยทำให้ไม่ได้เป็น ส.ส.” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ส่วนอดีต ส.ส. สมศักดิ์ คุณเงิน ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ให้ ความสนใจความทุกข์ยากของประชาชน ดังตัวอย่างการ ผลักดันโครงการซื้อรถแบ็คโฮขุดบ่อ สระน้ำ เพื่อการเกษตรใน พื้นที่อำเภอหนองเรือเป็นต้น (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) และในส่วนของปรากฏการณ์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้ คือ ขบวนการเสื้อแดงที่ได้สร้างวาทกรรมความเป็นไพร่ในฐานะ ตัวแทนกลุ่มคนยากจน ที่ต้องต่อสู้เพื่อความกินดีอยู่ดีของ กลุ่มคนยากจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ โดยพยายาม เสริมต่อ หรือต่อยอดทางความคิดทางนโยบายเพื่อคนจนหรือ คนชั้นล่าง จากพรรคการเมือง “ไทยรักไทย” หรือ “เพื่อไทย” ในปัจจุบัน ที่ทำให้แนวนโยบายประชานิยมเห็นผลเป็นรูปธรรม อาทเิ ชน่ นโยบาย 30 บาทรกั ษาทกุ โรค หนง่ึ ตำบลหนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ หรอื การกำหนดเงนิ เดอื นขน้ั ตำ่ ของผจู้ บปรญิ ญาตรี 15,000 บาท การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อันเป็นนโยบายล่าสุดของพรรค เพื่อไทย เป็นต้น ในกรณีดังกล่าวจะสังเกตว่า ส.ส. จังหวัด ขอนแก่นหลายท่านออกมาขานรับนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนำมาใช้ในจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดแรก ๆ ของประเทศ เลยทีเดียว 252

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น จากตัวอย่างขา้ งต้นเปน็ ข้อบ่งชีอ้ ย่างหน่งึ วา่ นกั การเมอื ง ถิ่นจังหวัดขอนแก่นต่างก็เป็นผู้ที่สนใจในปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทางสังคม แม้ว่าในกรณีของนโยบายพรรคเพื่อไทยมิใช่เป็น ข้อเสนอของตัว ส.ส. จังหวัดขอนแก่นโดยตรง แต่การขานรับ นโยบายเพื่อนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมคือสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอก ให้เห็นว่าสนใจและต้องการแก้ปัญหาความกินดีอยู่ดีของ ประชาชน เหล่านี้อาจสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองต่างรีบกัน หยิบฉวยโอกาสในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของ ตนและแสดงออกบนพื้นฐานการทำงานเพื่อประโยชน์ของ ประชาชน และท้ายที่สุดประชาชนก็จะตอบแทนนักการเมือง เหลา่ นด้ี ว้ ยการเทคะแนนเลอื กตง้ั ให้ หรอื แมแ้ ตเ่ ปน็ กระบอกเสยี ง ให้พวกเขา ปรากฏการณ์เหล่านี้สอดคล้องกับหลักเศรษฐธรรม ในการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะในประเด็น “หลักเสียงส่วนใหญ่” “ความต้องการของคนจำนวนมากสุด” ที่เป็นเครื่องชี้วัดในระบบการเลือกตั้ง ดังที่สุชาย ศรีสุพล ได้เน้น ย้ำให้ให้เห็นถึงบทบาทของพรรคการเมืองและนโยบายว่า ต่อให้ นักการเมืองเข้มแข็งเท่าใดก็ตาม หากนโยบายนั้นไม่สนอง ความตอ้ งการของประชาชน (ชาวบา้ น) ไดก้ ไ็ มอ่ าจประสบชยั ชนะ ทางการเมืองได้ ซึ่งสุชาย ได้สรุปเป็นวลีสั้น ๆ แต่สอดคล้องกับ ยุคสมัยว่า “คนเราไม่มีแข็ง...คนที่แข็งคือประชาชน” ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการ เลือกตัวแทนหรือนักการเมืองเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญของ หลักเศรษฐธรรมที่ประชาชนคิดคำนวณเลือกสรรผู้แทนหรือ นักการเมืองตามความต้องการของตนดังจะกล่าวถึงใน รายละเอียดต่อไป 253

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 5.8 พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองในการเมืองถิ่น จังหวัดขอนแก่น เมื่อกล่าวว่าหลักเศรษฐธรรมก็คือความรับผิดชอบของ มนุษย์ในสังคมไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด หลักดังกล่าวนี้ถือได้ว่า เป็นพัฒนาการทางการเมืองของประชาชนในสังคมไทยในการ ตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญโดยเฉพาะใน “สนามเลือกตั้ง” ในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยทางการเมืองของ “นักการเมือง” ที่ต้องตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่สนองตอบต่อความ ต้องการทั้งในด้านนโยบายและการนำนโยบายไปปฏิบัติที่เป็น รูปธรรมสามารถจับต้องได้ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะได้ รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภา ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่แสดง ให้เห็นถึงการเรียนรู้ทางการเมืองอันนำมาสู่การปรับเปลี่ยน ทั้งทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อและที่สำคัญที่สุด “พฤติกรรม ทางการเมือง” ของประชาชนและนักการเมืองถิ่นจังหวัด ขอนแก่น ในประเด็นดังกล่าวนี้อาจพิจารณาจากสถิติคะแนน ผลการเลือกตั้งซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมทางการเมืองได้ดี ที่สุดในระดับหนึ่ง ในด้านรายละเอียดจะพบว่าในการเลือกตั้งปี 2548 นั้น ความนิยมของพรรคไทยรักไทยอยู่ในระดับสูงมาก อันถือเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยที่สำคัญ โดยเป็นผล จากความสำเร็จในการกำหนดนโยบายและการนำนโยบาย หาเสียงมาปฏิบัติ กระแสความนิยมต่อพรรคไทยรักไทย ดังกล่าว ทำให้นักการเมืองจังหวัดขอนแก่นในสังกัดพรรค ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งทุกเขตการเลือกตั้ง โดยปรากฏ ผลคะแนนจากตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์จำนวน 834,636 คน คิดเป็น 254

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น ร้อยละ 70.98 พรรคไทยรักไทยมีคะแนนเสียงเลือกตั้งอยู่ใน ระดับสูงกว่าผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในเขตเลือกตั้งที่ 1 นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนสูงถึง 43,960 คะแนน ในขณะที่ นายอัษฏางค์ แสวงการ จากพรรคมหาชน และพ.ต.ต.ประวัติ วิเชษฐ์พงษ์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนเพียง 12,078 และ 9,515 ตามลำดับ นอกจากนี้ในเขตเลือกตั้งที่ 2 ก็เช่นเดียวกัน โดยนายประจักษ์ แก้วกล้าหาญ จากพรรคไทยรักไทย ได้ 74,024 คะแนน ขณะที่ นายสุพร ลีซีทวน พรรคประชาธิปัตย์ นายบญุ คง ดวงจันคำ พรรคมหาชน และนายเกริกฤทธิ์ แจ้งพรมมา พรรคความหวังใหม่ ได้คะแนนเพียง 9,958 6,900 และ 1,965 ตามลำดับ (โปรดดเู พิ่มเติมในตาราง 4.1 และ 4.2) ตาราง 5.1 แสดงสถิติจำนวนผู้มาใช้สิทธ์ิลงคะแนนเสียง เลือกตง้ั วันที่ 6 กุมภาพนั ธ์ 2548 จงั หวัดขอนแก่น เขตเลอื กตัง้ จำนวนผ้มู ีสิทธิ์ จำนวนผใู้ ชส้ ทิ ธ์ลิ งคะแนน เลอื กตง้ั 1 117,417 จำนวน รอ้ ยละ 2 120,420 82,044 73.64 3 117,488 4 115,868 104,066 86.42 5 113,450 6 112,273 84,903 94.69 7 115,498 81,928 70.71 82,771 72.69 72,275 67.94 73,662 63.78 255

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เขตเลอื กต้งั จำนวนผูม้ สี ทิ ธ์ิ จำนวนผ้ใู ชส้ ิทธ์ลิ งคะแนน 8 เลือกตั้ง 114,387 จำนวน รอ้ ยละ 80,014 69.95 9 114,698 76,233 66.46 10 113,277 74,142 65.45 11 111,764 78,658 70.38 รวม 1,260,540 834,636 70.98 ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.). (2548). ข้อมูล สถิติ และ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ. 2548, หน้า 149, ใน http://www.ect.go.th/th/wp-content/uploads/2013/10/mp48.pdf ตัวเลขผลคะแนนที่ผู้สมัครของพรรคต่าง ๆ ได้รับนั้น นับว่าน้อยมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ในพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนจังหวัดขอนแก่น ในลักษณะของการให้ความสำคัญต่อพรรคการเมือง นโยบาย พรรคการเมือง และนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองต่าง ๆ เพราะหากพิจารณาจากรายชื่อผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่มิได้ รับการเลือกตั้งแล้วส่วนใหญ่เป็นบุคคลหรือเป็นกลุ่มตระกูล ที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีบทบาททางการเมือง สังคม และ เศรษฐกจิ ในพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ของจงั หวดั อาทิ นายอษั ฏางค์ แสวงการ ซึ่งผลปรากฏว่าแม้จะมีคะแนนเป็นลำดับที่ 2 แต่ได้รับ คะแนนเสียงเพียง 12,078 เท่านั้น แตกต่างจากนายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร จากพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้คะแนนสูงถึง 49,360 คะแนน 256

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ อาทิ เขตเลือกตั้งที่ 3 ซึ่งพบว่าคะแนนของผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ม ี ความโดดเด่นมาก คือ นายอรรถพล ชัยนันท์สมิตย์ สังกัดพรรค กจิ สงั คม ซง่ึ ไดถ้ งึ 22,056 คะแนน ในขณะท่ี นายจตพุ ร เจรญิ เชอ้ื ได้ 49,406 คะแนน ส่วนผู้สมัครอื่น ๆ ได้คะแนนไม่ถึง หมื่นคะแนน ในเขตเลือกตั้งที่ 4 นายปัญญา ศรีปัญญา จาก พรรคมหาชน ได้ 10,741 คะแนน สำหรับผู้สมัครจากพรรค ไทยรักไทย คือ นางมุกดา พงษ์สมบัติ ได้ 57,273 คะแนน ในเขตเลือกตั้งที่ 5 นายภูมิ สาระผล พรรคไทยรักไทย ได้ 40,673 คะแนน รองลงมาคือ นายอุดมศักดิ์ มาสีพิทักษ์ พรรคชาติไทย ได้ 30,166 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 6 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ พรรคไทยรักไทย ได้ 46,959 คะแนน รองลงมา คือ นายสุเทพ ดีบุญมี ณ ชุมแพ พรรคมหาชน ได้ 19,886 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 7 นายสุชาย ศรีสุรพล ไทยรักไทย ได้ 62,514 คะแนน รองลงมาคือ นายศรีนวล ศรีตรัย พรรค มหาชน ได้ 17,429 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 8 นายสมศักดิ์ คุณเงิน ไทยรักไทย ได้ 52,701 คะแนน รองลงมาคือ นายประสิทธิ์ เตาะเจริญสุข พรรคมหาชน ได้ 13,799 คะแนน เขตเลือกต้งั ที่ 9 นายอรรถสิทธ ิ์ กาญจนสินิทธ์ ไทยรักไทย ได้ 44,107 คะแนน รองลงมาคือ นายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์ พรรคความหวังใหม่ ได้ คะแนน 4,659 คะแนน เขตเลือกตั้งที่ 10 นายพงศกร อรรณนพพร พรรค ไทยรักไทย ได้ 53,902 คะแนน รองลงมาคือ นายปัญญา วงษ์กันหา พรรคชาติไทย ได้ 9,308 คะแนน และเขตเลือกตั้งที่ 257

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 11 นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย พรรคไทยรักไทย ได้ 51,385 คะแนน รองลงมาคอื นายอภชิ าติ สงิ คสบี ตุ ร พรรคความหวงั ใหม่ ได้ 10,677 คะแนน จากผลคะแนนการเลือกตั้งข้างต้นดังกล่าวพบว่า ประชาชนจังหวัดขอนแก่นให้ความสำคัญกับการเลือก พรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล กล่าวคือในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จจาก การนำนโยบายหาเสียงมาสู่การปฏิบัติ ในขณะเดียวกันบทบาท ผู้นำพรรคภายใต้การนำของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีความโดดเด่นกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ดังนั้นความสำคัญของ ผู้นำพรรคหรือหัวหน้าพรรคจึงเป็นจุดขายทางการเมือง ซึ่งประชาชนให้ความสำคัญในการตัดสินใจสนับสนุนหรือ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้กับพรรคการเมือง ดังปรากฏว่า พรรคมหาชนภายใต้การนำของนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ และ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ได้สร้าง กระแสความนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพ่ายแพ้ในการ เลือกตั้งแต่หากพิจารณาผลคะแนนจะพบว่าตัวผู้นำพรรคและ นโยบายพรรคการเมืองมีความสำคัญต่อการตัดสินใจทาง การเมืองของประชาชน (โปรดดเู พิ่มเติมในตาราง 5.2) 258

ตาราง 5.2 แสดงผลการเลอื กสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขต จงั หวดั ขอนแกน่ ในการเลอื กตง้ั วนั อาทติ ย์ ท่ี 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2548 เขต หมายเลขสมคั ร ชอื่ ผูส้ มัคร พรรคทส่ี ังกดั คะแนนท่ีได ้ ลำดับ 1 4 พ.ต.ต.ประวัติ วิเชฏฐพงษ์ ประชาธิปัตย์ ไทยรักไทย 9,515 3 ความหวังใหม่ 9 นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร มหาชน 49,360 1 ชาติประชาธิปไตย 10 นางจุฑามาศ ธาตุดี 1,006 4 ชาติไทย 11 นายอัษฏางค์ แสวงการ ประชาธิปัตย์ 12,078 2 ประชาชนไทย 15 นายสมพร ทีภูเวียง แผ่นดินไทย 337 5 รวม ไทยรักไทย ความหวังใหม่ 72,296 213 1 นายวีระ พลรักษา มหาชน 4 นายสุพร ลีซีทวน 1,423 5 5 นางนาตยา ราชแสนเมือง 214 8 นางสาวพรพิมล มูลสาร 9,958 2 9 นายประจักษ์ แก้วกล้าหาญ 348 7 10 นายเกริกฤทธิ์ แจ้งพรมมา 11 นายบุญคง ดวงจันคำ หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 677 6 259 74,024 1 1,569 4 6,900 3 รวม 96.648 13 จากพรรคการเมืองที่ได้คะแนนสูงสุดใน 7 ลำดับแรก 14 จากพรรคการเมืองที่ได้คะแนนสูงสุดใน 7 ลำดับแรก

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น คะแนนทไ่ี ด้ ลำดบั 260 607 5 เขต หมายเลขสมคั ร ชอื่ ผู้สมัคร พรรคทสี่ งั กัด ชาติไทย 315 1 นายวิษณุ ศักดาสกุลคุณากร กิจสังคม ประชาธิปัตย์ 2 นายอรรถพล ชัยนันท์สมิตย์ ไทยรักไทย 22,056 2 มหาชน 3 นายไชยยงค์ สืบสารคาม 5,529 3 ประชาธิปัตย์ 9 นายจตุพร เจริญเชื้อ ไทยรักไทย 49,406 1 มหาชน 11 นายณรงค์เลิศ สุรพล ชาติประชาธิปไตย 2,060 4 รวม 80,393 4 4 นายนิคม ศรีเงิน 4,688 4 9 นางมุกดา พงษ์สมบัติ 57,273 1 11 นายปัญญา ศรีปัญญา 10,741 2 15 นายประยงค์ อันไขหน้า 1,156 5 รวม 73,858 15 ข้อมลู ในกลุ่มพรรคที่ได้คะแนนจากทั้งหมด 11 พรรคการเมือง

เขต หมายเลขสมัคร ชือ่ ผูส้ มัคร พรรคทีส่ งั กัด คะแนนทไ่ี ด ้ ลำดับ ชาติไทย 516 1 นายอุดมศักดิ์ มาสีพิทักษ์ ประชาธิปัตย์ 30,166 2 ไทยรักไทย 4 นายสมชาย สัตยาภรณ์ ความหวังใหม่ 1,658 3 คนขอปลดหนี้ 9 นายภูมิ สาระผล 40,673 1 ชาติไทย 11 นางสาวกนกวรรณ เบ้าจรรยา ประชาธิปัตย์ 823 4 คนขอปลดหนี้ 15 นายนาคิน คำศรี ไทยรักไทย 388 5 มหาชน รวม 78,145 6 1 นายอุดร ศรีบุญเรือง 663 5 4 นายสุริโย ประสาทบัณฑิตย์ 2,608 3 หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 261 1,137 4 6 นายธนายุทธ บุดดาเวียง 9 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 46,959 1 11 นายสุเทพ ดีบุญมี ณ ชุมแพ 19,886 2 รวม 71,523 16 จากพรรคที่ได้คะแนนทั้งสิ้น 8 พรรคการเมือง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น คะแนนทีไ่ ด้ ลำดับ 262 7,626 3 เขต หมายเลขสมคั ร ช่อื ผ้สู มัคร พรรคที่สังกดั ชาติไทย 717 1 นายเตือน สายบัวทอง ประชาธิปัตย์ ไทยรักไทย 4 นายนาถ พรหมา ความหวังใหม่ 699 4 มหาชน 9 นายสุชาย ศรีสุรพล 42,514 1 ชาติไทย 11 นายวุฒิพงษ์ ศุภรมย์ ประชาธิปัตย์ 397 5 ไทยรักไทย 15 นายศรีนวล ศรีตรัย มหาชน 17,429 2 รวม 68,967 8 1 ร.อ.วิชัย ราชานนท์ 7,717 3 4 นายสุพจน์ ทองเนื้อขาว 687 4 9 นายสมศักดิ์ คุณเงิน 52,701 1 11 นายประสิทธิ์ เตาะเจริญสุข 13,799 2 รวม 74,904 17 จากพรรคที่ได้คะแนนทั้งสิ้น 7 พรรคการเมือง

เขต หมายเลขสมัคร ช่อื ผสู้ มคั ร พรรคที่สงั กดั คะแนนทไ่ี ด้ ลำดับ ประชาธิปัตย์ 1,474 4 9 1 นายปิติชา ทุมเทียง ประชาชนไทย ไทยรักไทย 4 นายธราวุฒิ เคนคำภา ความหวังใหม่ 203 5 มหาชน 9 นายอรรถสิทธิ์ กาญจนสินิทธ์ 44,107 1 ชาติไทย 10 นายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์ ประชาธิปัตย์ 4,659 2 ประชาชนไทย 11 นายกิตติโชติ เตรียมเวชวุฒิไกร ไทยรักไทย 4,208 3 มหาชน รวม 71,281 10 1 นายปัญญา วงษ์กันหา 9,038 2 4 นายสุเมธ เลียงชัยศิริ 1,726 4 หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 263 956 5 5 นายสหชาติ สุดสะอาด 9 นายพงศกร อรรณนพพร 53,902 1 11 นายอำนาจ ชนะวงศ์ 3,232 3 รวม 68,872

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ชื่อผสู้ มคั ร พรรคท่ีสงั กดั 264 ชาติไทย เขต หมายเลขสมคั ร คะแนนที่ได ้ ลำดับ 794 5 1118 1 นายสมฤทธิ์ เชื้อสาวถี 4 นายธรรมรส สุวรรณาวงศ์ ประชาธิปัตย์ 895 4 9 นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย ไทยรักไทย 51,385 1 10 นายอภิชาต สิงคลีบุตร ความหวังใหม่ 10,677 2 11 นายศิริพงษ์ อรุณเดชาชัย มหาชน 10,022 3 รวม 73,824 ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.). (2548). ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ.2548, หน้า 293 -294, ใน http://www.ect.go.th/th/wp-content/uploads/2013/10/mp48.pdf 18 จากพรรคที่ได้คะแนนทั้งสิ้น 6 พรรคการเมือง

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน ในการเลือกตั้งปี 2550 ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการ เลือกตั้งในปี 2548 กล่าวคือ ประชาชนชาวจังหวัดขอนแก่น ยังคงสนับสนุนพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคไทยรักไทยเดิม หลังจากการถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง ดังนั้น ผู้สมัคร ส.ส. ที่เคยสังกัดพรรคไทยรักไทยจึงชนะการเลือกตั้ง ทั้งหมดยกจังหวัด ในขณะที่ผู้สมัครของพรรคการเมืองอื่น ๆ ไม่สามารถเบียดที่นั่งเข้ามาได้แม้แต่คนเดียว ทั้งนี้ในการ เลือกตั้งครั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งใหม่ โดยระบบแบ่งเขตกำหนดให้เป็น “ระบบรวมเขต” ซึ่งใน 1 เขต มีจำนวน ส.ส. โดยส่วนใหญ่ 3 คน ตามเงื่อนไขจำนวน ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ยกเว้นเขตซึ่งมีจำนวนประชากรไม่ถึง เกณฑ์กำหนดอาจทำให้มีจำนวน ส.ส. ในเขตดังกล่าวเพียง 1 หรือ 2 คน การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นครั้งนี้ เขตที่ 1, 2 และ 3 มีจำนวน ส.ส. 3 คน ในขณะที่เขต 4 มีจำนวน ส.ส. ได้เพียง 2 คน สำหรับสถิติคะแนนผลการเลือกตั้งเป็นตัวชี้ที่ สำคัญต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงให้กับพรรค “พลังประชาชน” ซึ่งเป็นพรรค การเมืองใหม่ของ “พรรคไทยรักไทย” เดิม สำหรับผลคะแนน ปรากฏว่าผู้สมัครจากพลังประชาชนได้คะแนนโดยส่วนใหญ่ มากกว่าแสนคะแนนในแต่ละเขตการเลือกตั้งครอบคลุมทั้ง จังหวัด ยกเว้นเขตเลือกตั้งที่ 4 เท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวน ประชากรที่น้อยกว่าเขตเลือกตั้งอื่น ๆ ในขณะเดียวกันยังมี จำนวน ส.ส. เพียง 2 คนเท่านั้น (ดตู าราง 5.3 ประกอบ) 265

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 266 ตาราง 5.3 แสดงผลการเลอื กตัง้ ส.ส. แบบแบง่ เขตของจังหวัดขอนแก่น ในการเลอื กต้ังวนั ท่ี 6 กุมภาพนั ธ์ 2550 เขต ผูส้ มัคร ส.ส. หมายเลข พรรค คะแนน รอ้ ยละ 1 นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ 119,971 17.97 5 พลังประชาชน นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร 6 พลังประชาชน 114,327 17.13 นายภูมิ สาระผล 4 พลังประชาชน 111,415 16.69 นายอุดมศักดิ์ มาสีพิทักษ์ 15 เพื่อแผ่นดิน 67,886 10.17 นายอัษฎางค์ แสวงการ 13 เพื่อแผ่นดิน 47,506 7.12 นายจรัล ตฤณวุฒิพงษ์ 7 ประชาธิปัตย์ 44,731 6.70 พ.อ.(พิเศษ) ชาตรี ไกรพีรพรรณ 8 ประชาธิปัตย์ 35,947 5.38 นายเชิดชัย ตันติศิรินทร์ 14 เพื่อแผ่นดิน 34,144 5.11 พ.ต.ท.ประวัติ วิเชฎฐพงษ์ 9 ประชาธิปัตย์ 33,358 5.00 พล.ต.ต.ไพฑูรย์ เชิดมณี 16 มัชฌิมาธิปไตย 10,727 1.61 รวม 39 พรรค 667,558 100.00

เขต ผู้สมัคร ส.ส. หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 2 ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช 135,158 23.65 17 พลังประชาชน 124,447 21.78 123,929 21.69 นางดวงแข อรรณนพพร 18 พลังประชาชน 56,166 9.83 41,162 7.20 นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย 16 พลังประชาชน 11,086 1.94 10,941 1.91 นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ 1 ชาติไทย 1.66 9,476 1.47 นายศุภสิธ เตชะตานลท์ 4 เพื่อแผ่นดิน 8,418 1.34 7,665 นายปัญญา วงษ์กันหา 2 ชาติไทย 100.00 571,445 นายคงฤทธิ์ อัศวพัฒนากูล 10 มัชฌิมาธิปไตย นายเสถียร ดีแป้น 3 ชาติไทย หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน นาย ณ ตะวัน พรหมทา 267 12 มัชฌิมาธิปไตย นายบรรพต พงษ์โพธิ์ชัย 19 ประชาธิปัตย์ รวม 36 พรรค

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 268 เขต ผู้สมคั ร ส.ส. หมายเลข พรรค คะแนน รอ้ ยละ 3 นายนวัธ เตาะเจริญสุข 119,614 18.03 11 พลังประชาชน 110,311 16.63 105,315 15.88 นายปัญญา ศรีปัญญา 12 พลังประชาชน 97,845 14.75 87,168 13.14 นายจตุพร เจริญเชื้อ 10 พลังประชาชน 86,047 12.97 1.14 นายสุวิทย์ คุณกิตติ 1 เพื่อแผ่นดิน 7,587 0.90 5,945 0.86 นางมุกดา พงษ์สมบัติ 2 เพื่อแผ่นดิน 5,686 0.77 5,130 นางประทุมรัตน์ คุณเงิน 3 เพื่อแผ่นดิน 100.00 663,287 นายกาล คำโมง 13 รวมใจไทยชาติฯ นายนิคม ศรีเงิน 19 ประชาธิปัตย์ นายสุพล เมืองฮาม 20 ประชาธิปัตย์ นางศรีเพ็ญ ด่านธานินทร์ 21 ประชาธิปัตย์ รวม 38 พรรค

เขต ผ้สู มัคร ส.ส. หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 4 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 71,437 25.27 2 พลังประชาชน นายสุชาย ศรีสุรพล 1 พลังประชาชน 56,995 20.16 นางศรีนวล ศรีตรัย 7 เพื่อแผ่นดิน 51,008 18.04 นายสุเทพ ดีบุญมี ณ ชุมแพ 5 ชาติไทย 40,173 14.21 นายเอกราช ช่างเหล่า 8 เพื่อแผ่นดิน 16,948 6.00 พ.ต.อ.อุดร ชาญนุวงศ์ 9 รวมใจไทยชาติฯ 14,692 5.20 นายเตือน สายบัวทอง 24 ประชาราช 8,624 3.05 นายสุพจน์ ทองเนื้อขาว 12 ประชาธิปัตย์ 7,184 2.54 หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 269นายประดิษฐ์พงษ์ แดงอ่อน 11 ประชาธิปัตย์ 4,382 1.55 นายนิพนธ์ บุตรเวียงพันธ์ 15 มัชฌิมาธิปไตย 974 0.34 รวม 26 พรรค 282,688 100.00 ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.). (2550). ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ.2550, หน้า 293 -294, ใน http://www.ect.go.th/th/wp-content/uploads/2013/10/mp48.pdf

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น หากพิจารณาในตาราง 5.3 พบว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง พฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนซึ่งเป็น พฤติกรรมทางการเมืองที่ส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคการเมือง มากกว่าตัวตนของ ส.ส. คือ การที่อดีต ส.ส. ที่เคยดำรง ตำแหน่งรัฐมนตรีและมีบทบาทเป็นผู้นำพรรคหรือหัวหน้าพรรค ที่มีชื่อเสียงต้องสอบตกหรือพ่ายแพ้ในสนามการเลือกตั้ง อาทิ ในเขตเลือกตั้งที่ 2 นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ พรรคชาติไทย อดีต ส.ส.หลายสมัยสังกัดพรรคความหวังใหม่ และอดีตพรรค ไทยรักไทย ได้คะแนนเพียง 56,166 คะแนน ขณะที่ผู้สมัครจาก พรรคพลังประชาชน (ไทยรักไทยเดิม) ชนะการเลือกตั้ง ประกอบดว้ ย ร.ท. ปรชี าพล พงษพ์ านชิ นางดวงแข อรรณนพพร นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย ซึ่งได้คะแนน 135,158 124,447 และ 123,929 ตามลำดับ ในเขตเลือกตั้งที่ 3 นายสุวิทย์ คุณกิตติ จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และ อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม ที่ได้ 97,845 คะแนน แต่เพียงพอกับ การได้รับเลือกตั้งเพราะผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน 3 คน ได้คะแนนมากกว่า ประกอบด้วย นายนวัธ เตาะเจริญสุข นายปัญญา ศรีปัญญา และนายจตุพร เจริญเชื้อ (119,614; 110,311 และ 105,315 คะแนน ตามลำดับ) ในการเลือกตั้งปี 2554 เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ ทางการเมอื งทป่ี ระสบปญั หาการชมุ นมุ ประทว้ งของกลมุ่ ทต่ี อ่ ตา้ น พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ซึ่งในที่สุดทั้งสองพรรคนี้ ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคตามลำดับแล้วนั้น พ ร ร ค เ พ ื ่ อ ไ ท ย จ ึ ง ไ ด ้ เ ก ิ ด ข ึ ้ น ภ า ย ใ ต ้ ก ล ุ ่ ม ก า ร เ ม ื อ ง เ ด ิ ม ขณะเดียวกันกลุ่มสมาชิกพรรคโดยส่วนใหญ่ยังคงรวมกลุ่มเช่น 270

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น เดิม มีน้อยมากที่แยกตัวออกไปตั้งพรรค รวมถึงย้ายไปสังกัด พรรคการเมืองอื่น สำหรับการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นแล้ว แนวคิด ความเชื่อและค่านิยมทางการเมืองของประชาชนยังคง สนับสนุนกลุ่มการเมืองเดิมภายใต้พรรคการเมืองในชื่อ “เพื่อไทย” ทั้งนี้ผลการเลือกตั้งในวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 แสดงให้เห็นถึงข้อมูลพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน จังหวัดขอนแก่นที่พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเมืองดังกล่าวนี ้ เป็นมิติการมองการเมืองในความสัมพันธ์เชิงอำนาจและ ผลประโยชน์ ซง่ึ เปน็ การแลกเปลย่ี นระหวา่ งประชาชนกลมุ่ ตา่ ง ๆ ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน นักการเมืองและ พรรคการเมือง หมายความว่าประชาชนมีพฤติกรรมการเมือง ที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองในฐานะศนู ย์กลาง/ ศูนย์รวม ของอุดมการณ์ทางการเมืองที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย การบริหารประเทศ และผลของการปฏิบัติตามนโยบายรวมถึง ความสำเร็จของนโยบายที่มีผลต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การสนับสนุนนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมือง ที่สามารถนำเนินการตามสัญญาการหาเสียงเลือกตั้งที่ได้ให้ไว้ นั้นจึงเป็นสิ่งที่ปรากฏในการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ดังผล คะแนนการเลือกตั้งทั้งในระบบบัญชีรายชื่อ และระบบแบ่งเขต (โปรดดูตาราง 5.4 ประกอบ) 271

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ตาราง 5.4 แสดงการเลอื กตงั้ แบบบญั ชรี ายชอ่ื ในปี 2554 จงั หวัด ขอนแก่น หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 1 เพื่อไทย 685,369 74.67 2 ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 11,394 1.24 4 ประชากรไทย 1,365 0.15 5 รักประเทศไทย 19,236 2.10 6 พลังชล 505 0.06 10 ประชาธิปัตย์ 112,922 12.30 12 รักษ์สันติ 7,355 0.80 14 กิจสังคม 29,119 3.17 16 ภูมิใจไทย 23,434 2.55 21 ชาติไทยพัฒนา 14,148 1.54 30 มหาชน 1,120 0.12 33 ประชาสันติ 173 0.02 34 ความหวังใหม่ 1,291 0.14 รวม 40 พรรค 917,891 100.00 หมายเหตุ: จากพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง 40 พรรค ทั้งนี้นำมาแสดงเฉพาะ 13 พรรค ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.). (2554). ข้อมูล สถิติ และ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ.2554, หน้า 293 -294, ใน http://www.ect.go.th/th/wp-content/uploads/2013/10/mp48.pdf 272

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น จากตาราง 5.4 พบว่าผลคะแนนเลือกตั้งในระบบบัญชี รายชื่อจังหวัดขอนแก่นที่ประชาชนสนับสนุนพรรคการเมืองนั้น ร้อยละ 74.67 สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มีแนวทาง การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยการกำหนดนโยบายเสนอ ต่อประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้งและนำไปปฏิบัติหรือบริหาร ประเทศเมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในขณะที่พรรคการเมือง อื่น ๆ ได้รับคะแนนเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อน้อยมาก อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนเพียงร้อยละ 12.30 พรรค กิจสังคม ได้คะแนนร้อยละ 3.17 ซึ่งเดิมทีนั้นพรรคกิจสังคมนับ ว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีฐานที่มั่นในจังหวัดขอนแก่นมานาน พรรคภูมิใจของกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุกูล ชาญวีระกูล ได้คะแนนร้อยละ 2.55 และพรรครักประเทศไทย ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ซึ่งเป็นพรรคที่ตั้งใหม่แต่มีกระแส ทางสังคมสนับสนุน ได้คะแนนร้อยละ 2.10 ในขณะเดียวกัน ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต เลือกตั้ง ซึ่งครั้งนี้จังหวัดขอนแก่นมีจำนวน ส.ส. เพียง 10 ที่นั่ง ลดลง 1 ที่นั่งนั้น ผลปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยชนะในทุกเขต เลือกตั้ง โดยผู้สมัครของพรรคแต่ละคนมีผลคะแนนที่ได้รับ มากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไป กล่าวคือ เขตเลือกตั้งที่ 9 ร้อยโท ปรีชา พล พงษ์พานิช ได้คะแนนร้อยละ 87.91 รองลงมาได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 8 นางดวงแข อรรณนพพร ได้คะแนนร้อยละ 84.76 และ เขตเลือกตั้งที่ 5 นายสุชาย ศรีสุรพล ได้คะแนน ร้อยละ 73.96 สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 7 นายนวัธ เตาะเจริญสุข ชนะการเลือกตั้งโดยได้รับคะแนนร้อยละ 58.76 ซึ่งถือว่า น้อยที่สุดที่ชนะการเลือกตั้งในจังหวัดขอนแก่น 273

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สำหรับคู่แข่งขันทางการเมืองที่ได้รับคะแนนใกล้เคียงกับ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย มีเพียงนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ พรรคภูมิใจไทย เขตเลือกตั้งที่ 10 และนายจงรักษ์ คุณเงิน พรรคภูมิใจไทย เขตเลือกตั้งที่ 7 และนายสมพงษ์ ปู่เพ็ง พรรคกิจกรรม เขตเลือกตั้งที่ 6 เท่านั้น ซึ่งได้รับคะแนนที่ถือว่า สงู ในระดับหนึ่งแต่ไม่เพียงพอที่จะชนะเลือกตั้งได้ (ได้รับคะแนน คิดเป็นร้อยละ 35.68, 35.14 และ 34.77 ตามลำดับ; โปรดด ู เพิ่มเติมในตาราง 5.5) 274

ตาราง 5.5 แสดงคะแนนผลการเลือกต้งั แบบแบ่งเขต จงั หวัดขอนแก่น ในการเลอื กตัง้ เม่ือวนั ท่ี 3 กรกฎาคม 2554 เขต ผูส้ มคั ร หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 1 นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร 1 เพื่อไทย 53,579 60.65 นายสุนทร ลีซีทวน 10 ประชาธิปัตย์ 23,821 26.97 นายพงษ์ เทพมุสิเกตุ 16 ภูมิใจไทย 4,870 5.51 นายไทกร พลสุวรรณ 12 รักษ์สันติ 3,580 4.05 นายสยมภู เกียรติสยมภู 14 กิจสังคม 1,591 1.80 รวม 12 พรรค 88,339 100.00 2 นายภูมิ สาระผล 1 เพื่อไทย 60,465 61.28 หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 275 นายสุริยนต์ วะสมบัติ 14 กิจสังคม 14,767 14.97 นายอัษฎางค์ แสวงการ 16 ภูมิใจไทย 11,676 11.83 พ.ต.ท.ประวัติ วิเชฎฐพงษ์ 10 ประชาธิปัตย์ 10,536 10.68

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เขต ผู้สมัคร หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 276 61.28 2 นายภูมิ สาระผล 1 เพื่อไทย 60,465 14.97 11.83 นายสุริยนต์ วะสมบัติ 14 กิจสังคม 14,767 10.68 0.86 นายอัษฎางค์ แสวงการ 16 ภูมิใจไทย 11,676 100.00 พ.ต.ท.ประวัติ วิเชฎฐพงษ์ 10 ประชาธิปัตย์ 10,536 64.53 15.83 นายชัยชนะ ทัศนิยม 12 รักษ์สันติ 852 14.69 3.84 รวม 9 พรรค 98,663 0.49 3 นายจตุพร เจริญเชื้อ 1 เพื่อไทย 66,204 100.00 นายอรรถพล ชัยนันท์สมิตย์ 14 กิจสังคม 16,241 นายปัญญา ศรีปัญญา 16 ภมู ิใจไทย 15,074 นายนิคม ศรีเงิน 10 ประชาธิปัตย์ 3,944 นางกรณิกา สุขพวง 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ 506 รวม 12 พรรค 102,599

เขต ผสู้ มัคร หมายเลข พรรค คะแนน รอ้ ยละ 72.66 4 นางมุกดา พงษ์สมบัติ 1 เพื่อไทย 73,511 16.76 6.96 นายณรงค์ เลิศสุรพล 14 กิจสังคม 16,953 1.46 0.77 นายสงคราม เมืองมนตรี 10 ประชาธิปัตย์ 7,043 100.00 นายฉัตรชัย ทองคำพันธุ์ 16 ภูมิใจไทย 1,474 73.96 15.49 นางสาวกนกวรรณ เบ้าจรรยา 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ 782 6.13 3.42 รวม 11 พรรค 101,166 0.60 5 นายสุชาย ศรีสุรพล 1 เพื่อไทย 60,046 100.00 ดาบตำรวจพิชิต ศรีวิไล 16 ภมู ิใจไทย 12,573 หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 277 นายวุฒิพงศ์ ศุภรมย์ 10 ประชาธิปัตย์ 4,978 นายเตือน สายบัวทอง 21 ชาติไทยพัฒนา 2,776 นายประดิษฐ์พงษ์ แดงอ่อน 14 กิจสังคม 486 รวม 9 พรรค 81,187

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เขต ผู้สมัคร หมายเลข พรรค คะแนน รอ้ ยละ 278 60.41 6 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 1 เพื่อไทย 51,416 34.77 4.19 นายสมพงษ์ ปู่เพ็ง 14 กิจสังคม 29,595 0.26 0.17 นายชยนนท คำเบ้า 10 ประชาธิปัตย์ 3,570 100.00 นางสาวดวงใจ ลาสุ 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ 223 58.76 35.14 นายสมศักดิ์ คลังคำภา 20 การเมืองใหม่ 147 4.09 1.19 รวม 9 พรรค 85,111 0.40 7 นายนวัธ เตาะเจริญสุข 1 เพื่อไทย 50,854 100.00 นายจงรักษ์ คุณเงิน 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ 30,412 นายสัมฤทธิ์ เชื้อสาวถี 10 ประชาธิปัตย์ 3,544 นางวารุณี สมีใหญ่ 16 ภูมิใจไทย 1,027 นายทองพลู ดีไพร 14 กิจสังคม 348 รวม 10 พรรค 86,552

เขต ผู้สมัคร หมายเลข พรรค คะแนน รอ้ ยละ 77,472 84.67 8 นางดวงแข อรรณนพพร 1 เพื่อไทย 6,743 7.37 6,195 6.77 นายคงฤทธิ์ อัศวพัฒนากลู 16 ภมู ิใจไทย 390 0.43 240 0.26 นายบรรพต พงษ์โพธิ์ชัย 10 ประชาธิปัตย์ 91,495 100.00 นางกนกวรรณ เกียรติสยมภู 14 กิจสังคม 74,220 87.91 5,997 7.10 นายประสาท พรหมชัยนันท์ 20 การเมืองใหม่ 3,480 4.12 0.41 รวม 9 พรรค 350 0.33 278 9 ร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช 1 เพื่อไทย 100.00 84,424 นายวรพัชร พิงคารักษ์ 10 ประชาธิปัตย์ หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 279 นายสุระสิทธิ ศิริสาร 16 ภูมิใจไทย นางสาวนภาวรรณ บุญมา 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ นายรณชัย แซ่บุ้น 14 กิจสังคม รวม 8 พรรค

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 280 เขต ผู้สมัคร หมายเลข พรรค คะแนน ร้อยละ 9 ร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช 1 เพื่อไทย 74,220 87.91 10 ประชาธิปัตย์ 5,997 7.10 นายวรพัชร พิงคารักษ์ 16 ภูมิใจไทย 3,480 4.12 นายสุระสิทธิ ศิริสาร 2 ชาติพัฒนาเพื่อฯ 350 0.41 นางสาวนภาวรรณ บุญมา 14 กิจสังคม 278 0.33 นายรณชัย แซ่บุ้น รวม 8 พรรค 84,424 100.00 51,372 58.04 10 นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย 1 เพื่อไทย 31,581 35.68 ภมู ิใจไทย 2,760 3.12 นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ 16 ประชาธิปัตย์ 1,981 2.24 ชาติไทยพัฒนา 0.39 นายอุดม การณ์วรกิจ 10 รักษ์สันติ 342 เรือเอกสมรักษ์ คำสิงห์ 21 นายอาทิตย์ คำจุลลา 12 รวม 9 พรรค 88,518 100.00 ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.). (2554). ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ.2554, หน้า 293 -294, ใน http://www.ect.go.th/th/wp-content/uploads/2013/10/mp48.pdf

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน พฤติกรรม และค่านิยมทางการเมืองของประชาชน จังหวัดขอนแก่นที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การให้ความสำคัญกับ พรรคการเมืองมากกว่าตัวนักการเมืองนั้นสะท้อนให้เห็นว่า แม้ตัวบุคคลที่ลงรับสมัครเลือกนั้นจะมีชื่อเสียงระดับประเทศ และเป็นชาวจังหวัดขอนแก่นโดยกำเนิด ก็มิได้หมายความว่า จะได้รับการสนับสนุนในทางการเมืองแต่อย่างใด อาทิ เรืออากาศเอก สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยไทยชื่อดัง และ อดีตนักมวยเหรียญทอง กีฬาโอลิมปิค ซึ่งลงสมัครในนาม พรรคชาติไทยพัฒนาในเขตเลือกตั้งที่ 10 ได้รับคะแนนเลือกตั้ง เพียง 1,981 เท่านั้น โดยนายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย พรรค เพื่อไทย ได้คะแนนสูงถึง 51,372 คะแนน ในกรณีเดียวกัน นายไทกร พลสุวรรณ ผู้นำกลุ่มเกษตรกรไทยซึ่งมีเครือข่าย ทางสังคมที่กว้างขวาง หากแต่เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งใน เขตเลือกตั้งที่ 1 ในสังกัดพรรครักษ์สันติ ได้คะแนนเพียง 3,580 คะแนนเท่านั้น ขณะที่นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนเลือกตั้งสูงถึง 53,579 คะแนน ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเรียกได้ว่า การเมืองถิ่นจังหวัด ขอนแก่นให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล 281

บ6ทท ่ี บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 6.1 บทสรุป งานวิจัยนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นนี้เป็นความ พยายามที่จะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับนักการเมือง เพื่อรู้จัก นักการเมือง บทบาทของนักการเมือง เครือข่ายความสัมพันธ์ ของนักการเมืองกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนทาง การเมืองของพวกเขาที่สะท้อนพฤติกรรมนักการเมืองถิ่นและ ที่สำคัญที่สุดคือ การมองนักการเมืองจากกรอบคิดที่ว่า หน่ึง นักการเมืองมักจะใช้ประโยชน์จากมรดกทางประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมไทย เช่น ระบบอุปถัมภ์ เครือข่ายในวงข้าราชการ ท้องถิ่น คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. สถาบันทางการศึกษา สถาบันทางศาสนา โรงเรียน วัด เป็นต้น ซึ่งนักการเมือง

บทสรุปและข้อเสนอแนะ หลายคนได้สะท้อนทั้งแนวคิดและการกระทำที่สอดคล้องกับ ม ร ด ก ท า ง ป ร ะ ว ั ต ิ ศ า ส ต ร ์ แ ล ะ ว ั ฒ น ธ ร ร ม ไ ท ย ด ั ง ก ล ่ า ว สอง นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น มักจะใช้ประโยชน์จาก โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจจากเดิมคือระบบข้าราชการ และค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่โครงสร้างความสัมพันธ์ทาง อำนาจแบบใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น กล่าวคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองมากขึ้น เช่น ความต้องการคนส่วนใหญ่ได้รับการตอบสนองมากขึ้น กล่าวคือ มีนโยบายประชานิยมที่ส่งผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคประชานิยมปี 2544-ปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะของนโยบายที่เน้นการตลาดคล้าย ๆ กับทฤษฎี การตลาด สาม หลักเศรษฐธรรมซึ่งเป็นกรอบคิดอันหนึ่ง ที่ตีกรอบให้นักการเมืองต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของตน เพราะหลักเศรษฐธรรมเป็นหลักที่สอดคล้องและมีความใกล้ชิด กับหลักศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ นักการเมืองเองที่ต้องมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ สาธารณะ (public interest) และผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นจะเห็นว่านักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่จะเข้าถึง ประชาชน และเข้าใจความต้องการของประชาชน และที่สำคัญ สามารถนำเสนอความต้องการของประชาชนเพื่อเป็นนโยบาย ของพรรคและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมให้ได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นหนึ่งวิธีในการชนะการเลือกตั้ง หรอื การรกั ษาฐานอำนาจของตนตอ่ ไป นอกจากนห้ี ลกั เศรษฐธรรม ยังเป็นวิธีการในการสร้างความชอบธรรมของนักการเมือง เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองต่อไป 283

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น นอกเหนือจากนี้ หลักเศรษฐธรรมยังสะท้อนให้เห็น หลักคิดว่าในทุกกิจกรรมและการกระทำของนักการเมือง หากปราศจากหลักเศรษฐธรรมเสียแล้ว นอกจากจะไม่ยัง ประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนแล้ว อาจจะไม่ยังประโยชน์ต่อ ตัวนักการเมืองเองอีกด้วย เพราะเขากำลังขาดความรับผิดชอบ และอาจจะไม่ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะประชาชนเลือกผู้แทน บนพื้นฐานของเหตุผลมากขึ้นนั่นเอง มิใช่เพราะเงินตรา หรือ ไม่ใช่เพราะกระแส แต่เป็นเหตุผลทางศีลธรรม นี่แหละที่เรียกว่า ความอยู่รอดบนหลักเศรษฐธรรมของนักการเมือง 6.2 อภิปรายผล การวิจัยชิ้นนี้แม้จะเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการเก็บ รวบรวมข้อมูลจะเป็นข้อมูลเอกสารและข้อมูลการสัมภาษณ์ แต่ก็ได้ข้อค้นพบตามกรอบทฤษฎีที่ได้ตั้งเอาไว้รวมถึง ความสอดคล้องกับงานวิจัยอื่น ๆ ดังจะอภิปรายให้เห็นดังต่อ ไปนี้ ประเด็นที่หนึ่ง มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย มกดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติไทยในช่วง ก่อนปี พ.ศ. 2475 คือระบบการปกครองแบบรวมอำนาจ หรือ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของอำนาจ การปกครอง การรวมอำนาจไว้ที่บุคคลคนเดียว เนื่องจากสังคม ถูกสร้างให้เชื่อและถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น จะสังเกตเห็นได้ว่าวิวัฒนาการแบบรัฐรวมศูนย์อำนาจ ของไทยมักจะถูกใช้วนเวียนกันในบุคคลหรือสถาบันสามกลุ่ม 284

บทสรุปและข้อเสนอแนะ ด้วยกันคือ สถาบันกษัตริย์ ข้าราชการ นักการเมือง แต่ในขณะ ที่อีกหนึ่งสถาบันคือประชาสังคม มักจะถูกบดบังอำนาจมาโดย ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ความหวังของสถาบัน ภาคประชาสังคม ดูจะมีแสงสว่างในการแบ่งสรรอำนาจอยู่บ้าง แต่ในช่วง 4 ทศวรรษแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็กลับมาปรากฏว่าอำนาจของภาคประชาชนกลับไม่เข้มแข็งขึ้น และในขณะที่ภาคราชการโดยเฉพาะทหารและนักการเมือง กลับมีความเข้มแข็งมากอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ Riggs (1966) ได้กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยเป็นรัฐราชการ (Bureaucratic State) ระบบราชการคือกลไกที่สำคัญของอำนาจรัฐที่จะดำเนินงาน ตามนโยบายของรัฐ นับตั้งแต่มีการสถาปนาระบบราชการ ขึ้นมาในสังคมไทย สิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นจากกลไกอันนี้ และกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมไทย ดังที ่ นักวิชาการไทย รัชนีกร เศรษโฐ กล่าวไว้ คือ ระบบราชการไทย ใหญ่โตเกินไป มีการผูกขาดรวมอำนาจในการตัดสินใจ มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงจนกลายเป็นโรคร้าย ของระบบราชการไทย (รัชนีกร เศรษโฐ, 2536) ในขณะที่ลิขิต ธีรเวคินได้กล่าวถึงสภาพระบบราชการไทยไว้ว่า มีสภาพของ ความล่าช้าในการปฏิบัติ มีการวางอำนาจและการใช้อำนาจ ในทางที่ผิด มีการปฏิบัตินอกกฎเกณฑ์ และมีการขัดขวางต่อ การเปลี่ยนแปลง (มติชน, 22 เมษายน 2529, หน้า 7) 285