Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น และผไู้ ดร้ บั อปุ ถมั ภไ์ ปตามความสมั พนั ธท์ างสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลง ไปจากระบบเจ้าขุน มูลนาย ไพร่ ไปสู่ข้าราชการ-ประชาชน เจ้านาย-ลูกน้อง คนรวย-คนจน อันรวมถึงผู้สมัครเลือกตั้ง-ผู้มี สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ซึมซับอยู่ในสังคมไทย อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่มีกฎหมายอนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมือง ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 (ดารารัตน ์ เมตตาริกานนท์, 2546, หน้า 355) จนเมื่อปรากฏว่า มีการรวมตัวก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอย่างเป็นทางการ หลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองภาคอิสานที่ สนับสนุน นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้น โดย ใช้ชื่อว่า “พรรคสหชีพ” ส่วน “พรรคก้าวหน้า” เป็นของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ พรรคประชาธิปัตย์ ของนายควง อภัยวงศ์ และก็มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มเติม ภายใต้ การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2489 ซึ่งผลปรากฏว่า พรรคสหชีพได้ครองเสียง ข้างมาก คือได้รับการเลือกตั้ง จำนวน 56 คน จากจำนวน 82 คน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือก 15 คน และใน การเลือกตั้งครั้งนี้เองมีข้อกล่าวหา สำคัญอันหนึ่ง ในงานเขียน ของสละ ลิขิตกุล (2521 : 65-67) ที่อ้างคำกล่าวของสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ท่านหนึ่งว่า “การต่อสู้ระหว่างพรรคประชา- ธิปัตย์กับพรรคสหชีพได้เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งเป็นผลให้ รัฐบาลของพรรคสหชีพได้สร้างประวัติศาสตร์ “โบว์ดำ” ขึ้น ในการหาเสียงเลือกตั้งในครั้งกระนั้น” โดยกล่าวหาว่า นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (ซึ่งเป็นน้องชายของ ทิม ภูริพัฒน์ ส.ส. จังหวัดขอนแก่น) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรี 186

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้ออกคำสั่งลับ ๆ ไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยเหลือผู้สมัครของพรรคสหชีพ ต่อกรณี ดังกล่าวไม่ว่าข้อมูลนี้จะจริงหรือเท็จมากน้อยขนาดไหน แต่สิ่งที่ น่าสนใจคือ การรับรู้และยอมรับความเชื่อที่ว่าผู้มีอำนาจบารมี เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คือ เครือข่ายความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ในการเลือกตั้งของไทยอย่างแน่นอน บทบาทการเป็นผู้ให้ การเป็นผู้รับช่วยผกู โยงความสัมพันธ์ ดังที่จตุพร เจริญเชื้อ และ สุชาย ศรีสุรพล ได้ให้สัมภาษณ์ในท่วงทีที่คล้ายกันว่า “ที่บ้านผมจะมีมูลนิธิ ช่วยเหลือในการบริจาค โลงศพ ชาวบ้านก็จะมาขอเป็นประจำ คนจน คนตาย ตายแล้วไม่มีโลงศพก็มารับบริจาค เราก็ทำบุญบริจาคโลง ศพไปให้ ที่นี่ในเวลาปกติ ที่ไม่มีการประชุม ชาวบ้านจะรู้ ว่าวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมจะอยู่พื้นที่ มาปรึกษาเรื่อง โน่นเรื่องนี้ มาเชิญไปงานบวช งานกุศล เวลามีกิจกรรม ก็จะมาเชิญเรา อยากให้ไปร่วม เพราะว่าชาวบ้านเวลา เขาจัดงานก็อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปร่วมงาน เราไปเขาก็ จะดีใจที่ไปร่วม งานเล็กงานน้อยมีโอกาสเราก็ไป ถือว่า มีปฏิสัมพันธ์กับเขาตลอดเวลา ไม่ได้ทอดทิ้งเขา” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) “...เรื่องพื้นฐานครอบครัว พ่อผมทำโรงเลื่อย จึงกว้างขวาง มีเพื่อนเยอะเป็นครูเป็นตำรวจ คือสมัยก่อน ทำโรงเลื่อยไม้ก็ไม่มีราคา ทีนี้ไม่ว่าชาวบ้านที่ไหนตาย 187

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ก็มาเอาโลงศพไป เอาไม้ไปทำโลงศพ เพราะฉะนั้น คนภูเวียงและแถว ๆ นี้ก็จะรู้จักตระกูลผมดี พอเข้าสู่ การเมอื ง ตวั ผมกเ็ ปน็ คนทอ่ี ยกู่ บั ชาวบา้ นอยแู่ ลว้ กค็ อ่ นขา้ ง ที่จะไปได้ ก็สนุก นี่คือชีวิตก่อนเข้าสู่การเมือง” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) ดังนั้นระบบอุปถัมภ์จึงเป็นการคงไว้ซึ่งสถานะและ บทบาทที่แตกต่างกันระหว่างนักการเมือง ผู้สมัครเลือกตั้งและ ผู้เลือกตั้ง โดยที่นักการเมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันต้องใช้ความ สัมพันธ์ทุก ๆ ส่วน ไม่ว่าความสัมพันธ์กับครอบครัว เครือญาติ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจผู้มีอิทธิพล และกับพรรคการเมือง เพอ่ื ใหต้ นเองไดร้ บั ชัยชนะในการเลือกตงั้ แมว้ า่ จะมนี กั การเมือง หลายคนที่ได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากอิทธิพลของกระแสพรรค มากกว่าความสัมพันธ์โดยส่วนตัว ซึ่งเรื่องนี้ จตุพร เจริญเชื้อ และสุชาย ศรีสุรพล ต่างก็ยอมรับความจริงข้อนี้อย่างเต็มปาก และให้น้ำหนักพรรคการเมืองมากกว่าบทบาทของตนเอง “ผมว่าปัจจัยพรรคสำคัญที่สุด แล้วพรรค ไทยรักไทย ผมว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นปัจจัยพรรค ทั้งนั้น...” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) “...ปัจจัยแรกคือเรื่องของพรรค คือชาวบ้านเขา อยากให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลเขาก็เลือก ซึ่งตรงนี้สำคัญ ส่วนตัวเราเองเมื่อได้รับเลือกตั้ง เราก็ช่วยเหลือเขา เราเอง เปน็ ตวั ประกอบนดิ เดยี ว ในการเลอื กตง้ั พรรค 70 เปอรเ์ ซน็ ต์ เรา (นักการเมือง) 30 เปอร์เซ็นต์ …” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) 188

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย แม้แต่นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งหลายสมัยและเคยเป็น อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย นายสุวิทย์ คุณกิตติ ก็ยอมรับว่า ปัจจัยพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองเป็นเรื่อง สำคัญมาก เขากล่าวว่า “...นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายสำคัญที่ ทำให้เกิดกระแสของพรรคไทยรักไทย ในเรื่องของ SML ของพี่น้องประชาชน ในเรื่องของ 30 บาท รักษาทุกโรค การพักชำระหนี้ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง โครงการกองทุน เป็นโครงการเดียวของรัฐบาลซึ่งในโลกนี้ ที่กระจายไป อย่างทั่วถึงทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ไม่มีโครงการไหนของ รัฐบาลในโลกนี้ที่กระจายไปถึงทุกหมู่บ้านทุกชุมชนได้ เท่าเทียมกัน... ผมคิดว่าผลงานเป็นสิ่งสำคัญ คือว่าวันนี้ ทำไม ประชาชนถึงชอบ นายกทักษิณ เพราะนโยบาย เปน็ นโยบายทส่ี ามารถจบั ตอ้ งไดโ้ ดยตรง และถงึ ประชาชน อย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ก็เกิดขึ้นในสมัยนายกทักษิณ อันนี้ก็เป็นหลักการที่สำคัญ ความนิยมที่มันเกิดขึ้น รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไทย ได้รับประโยชน์อย่าง ทั่วถึง อย่างเท่าเทียมกัน ได้รับประโยชน์ทางตรง ไม่ใช่ ทางอ้อม” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) 3.3 เครือข่ายความสัมพันธ์กับการเลือกตั้ง จากข้อมูลการศึกษาพบว่านักการเมืองถิ่นจังหวัด ขอนแก่นต่างก็ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ 189

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เครือข่าย และการเข้าถึงประชาชนโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการ ชนะการเลือกตั้ง เช่น นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีต ส.ส. 6 สมัย กล่าวว่า “ปัจจัยที่ตนเองได้รับการเลือกตั้งมี 3 ประการด้วยกัน คือ หนึ่ง ความจริงใจ และความใกล้ชิดกับประชาชน ความที่ เป็นคนท้องถิ่น... สอง การใช้แนวคิดทางศาสนา และความ ศรัทธาในพุทธศาสนาของประชาชน ในการหาเสียงเลือกตั้ง สาม การจัดตั้งหัวคะแนน 3 คน ต่อหนึ่งหมู่บ้าน มีฝ้ายผูกแขน ที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อในจังหวัดขอนแก่นผูกความสัมพันธ์กับ ชาวบ้านผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) ส่วนหมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส. 4 สมัย กล่าวว่า “ถ้าพูดถึงกลยุทธ์ในการเลือกตั้ง เราทำความเข้าใจประชาชน สม่ำเสมอ จัดกิจกรรมที่ให้ความรู้ทางการเมืองตลอดเวลา โดยผ่านประเพณีท้องถิ่นบ้าง...ผมเป็นนักการเมืองแบบให้ความ รู้และมีเครือข่าย ขยายแนวคิดจากเรื่องที่เราเคยเป็นไปแล้ว ซึ่งเราจะมีกลุ่ม อสม. กลุ่มแม่บ้าน ผมใช้วิธีปราศรัย ปราศรัย ย่อย ปราศรัยใหญ่ เคาะประตู โรงเรียน วัด หัวไร่ปลายนา... ผมก็ได้รับการเลือกตั้งแบบนี้มาถึงสี่สมัยติดต่อกัน โดยใช้วิธี เดียวกัน แม้แต่ตอนสู้กับพรรคไทยรักไทย ผมก็ชนะ” (เปรมศักดิ์ เพียยุระ, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ในขณะที่ สุวิทย์ คุณกิตติ อดีต ส.ส. หลายสมัย และ รัฐมนตรีหลายกระทรวงก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “ปัจจัยที่ สำคัญที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง คือ ความใกล้ชิดประชาชนและ การเป็นที่พึ่งของประชาชนได้” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์ วันที่ 7 มิถุนายน 2554) 190

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ในขณะเดียวกัน เจริญลักษณ์ เพชรประดับ นักสื่อสาร มวลชนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น และเจ้าของสื่อ Isan Bizweek ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ในยุคธุรกิจการเมืองนี้กลายเป็นว่าเงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักการเมืองประสบความสำเร็จ.... มีนักการเมืองบางคน (ขอสงวนนาม) ประสบความสำเร็จแค่ เพียงสมัยเดียวก็ถอดใจ เพราะว่าใช้เงินเยอะ” (เจริญลักษณ์ เพชรประดับ, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ซึ่งเป็นตัวอย่าง ของธุรกิจการเมืองที่เข้ามาซ้อนทับระบบอุปถัมภ์ ซึ่งอันที่จริง อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบอุปถัมภ์แบบหนึ่งที่เป็นการแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ของนักการเมืองกับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง และ เจริญลักษณ์ เพชรประดับ ยังให้ข้อสังเกตอีกว่า “โครงสร้าง ทางวัฒนธรรมของคนอีสานมีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง เพราะคนอีสานซื่อสัตย์ รักษาคำพูด จนมีคำพูดที่ว่า “เอาเงิน เขามาแล้วไม่เลือกเดี๋ยวจะบาป” ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ใน การจดั การแบบธนกจิ การเมอื ง (money politics)” (เจรญิ ลกั ษณ,์ สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากในการสร้างเครือข่ายความ สัมพันธ์จากระบบอุปถัมภ์ที่นักการเมืองจะตระหนักอยู่เสมอ ก็คือ ความสัมพันธ์ที่ตนเอง “เป็นผู้ให้” มากกว่า “เป็นผู้รับ” ดังที่สมศักดิ์ คุณเงิน ได้หาเสียงกับประชาชนว่า “เลือกไว้ใช้ เลือกไว้เอาตังค์...ขอที่นั่งในสภา ให้ลูกชาวนาหนึ่งคน” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) หรืออย่าง คำพูดของ สุวิทย์ คุณกิตติ ที่ว่า “เป็นผู้ให้” มากกว่า “ผู้รับ” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การเป็นมือบนมากกว่าเป็นมือล่าง” ซึ่งอันที่จริงเป็นปณิธานของนักการเมืองขอนแก่นเกือบทุก ๆ 191

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น คน ขึ้นอยู่กับว่าใครได้ช่วยเหลือประชาชนไปมากน้อยอย่างไร และมีผลงานให้เห็นเป็นประจักษ์พยานหรือไม่ สุชาย ศรีสุรพล เองกล่าวว่า “ผมก็ลงไปโดยเชื่อว่า หนึ่งการเลือกตั้งไม่ต้องใช้ เงิน แล้วมั่นใจใน กกต.มาก ปัจจัยที่สอง คือ ชาวบ้านนั้น ผมเคยไปรับเหมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วคนที่เป็นช่าง ทำงานเป็นกรรมกรเป็นอะไร ล้วนเป็นคนพื้นเพทางบ้าน ผมเกือบหมด สองสามร้อยคนเป็นคนบ้านผมเกือบหมด ในตำบลก็มาอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ ผมก็กินนอนอยู่กับ กรรมกรแล้วก็ช่าง ก็ตั้งแค้มป์สังกะสีอยู่ด้วยกันก็เลยรู้จัก อุปนิสัยกัน แล้วผมถือหลักเป็นหุ้นส่วน แล้วก็ค่าแรง ค่าจ้างผมให้สูงกว่าทุกคน ให้ตรงเวลา อยู่กันเหมือน พี่น้อง คืองานมันเดินเร็ว พอเลิกเขาก็กลับสู่บ้านเขา พอผมเลิกก็เลยพูดปากต่อปากว่าผมเป็นคนยังงัย แล้ว การหาเสียงผม ผมไปทุกหมู่บ้าน แล้วผมไม่ได้ขึ้นปราศรัย ใช้คนเดินหาทุกหมู่บ้าน นั่นคือเบื้องต้น คือผมไม่รู้ว่าจะ ปราศรัยอย่างไร ทำอย่างไร ทำได้คือเดินหาเขา (ชาวบ้าน) แล้วก็ไปพูดกับเขา บางครั้งยังโดนทดสอบเลย ครั้งแรก ผมก็ขึ้นปราศรัยบ้าง เขาก็มาถามผมต่อหน้าเลยว่า ถ้าได้ เป็น ส.ส. นี่จะทำให้ข้าวที่บ้านกิโลละสิบได้มั้ย ผมบอก เลยผมทำไม่ได้ เพราะผมยืนยันไม่ได้ เพราะเป็นแค่ฝ่าย นิติบัญญัติ ผมยังไม่รู้เลยว่ามันจะบริหารอย่างไร ผม รับปากไม่ได้ แต่เขาก็ชอบ เขาบอกว่าคุณเป็นเดียวที่พูด ความจริง ขณะนี้ผมว่าชาวบ้านเขาต้องการความจริงใจ 192

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย มากกว่า อันไหนที่ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่รับปาก อันนั้น คอื เบอ้ื งตน้ พอไป ๆ หาเสยี งไมน่ านกร็ สู้ กึ วา่ เออรสู้ กึ สนกุ ” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) อย่างไรก็ดีการเมืองยุคประชานิยมที่พรรคไทยรักไทย เป็นตัวชูโรงได้สร้างกระแสการนำเสนอนโยบายพรรคที่เป็น รูปธรรมและเอื้อประโยชน์กับคนด้อยโอกาส รวมถึงได้เข้ามา บดบังวิธีการหาเสียงแบบเดิม ๆ ที่นโยบายพรรคมักจะบอกใน ภาพรวม กว้าง ๆ ไม่เห็นภาพ กระแสพรรคการเมืองกลายเป็น เรื่องสำคัญมากจนกระทั่งว่า นักการเมืองต้องแย่งกันสังกัด พรรคที่มีกระแสแรง และมีแนวโน้มว่าจะได้ชนะการเลือกตั้ง อันที่จริงเรื่องของกระแสความนิยมของพรรคการเมือง มีหลาย พรรคการเมืองได้สร้างปรากฏการณ์ในจังหวัดขอนแก่น เช่น พรรคความหวังใหม่ที่ชูนโยบายอีสานเขียว พรรคพลังธรรม ในยุคฟีเวอร์ที่นำเสนอการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหาร กรณี ของพรรคความหวังใหม่ จะเห็นได้ว่า นโยบายอีสานเขียวเป็น นโยบายที่ถูกใจประชาชนชาวจังหวัดขอนแก่น และชาวอีสาน โดยทั่วไป จนทำให้พรรคความหวังใหม่ครองจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในเขตอีสานมากกว่าพรรคใด ๆ ในขณะนั้น ต่อมาจึงเป็นพรรค ไทยรักไทยที่สร้างกระแสความนิยมอย่างถล่มทลายในภาค อีสานในเวลาต่อมานับจากปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ก่อนที่จะ เปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยที่กวาด จำนวน ส.ส. ในภาคอีสานได้อย่างเบ็ดเสร็จและกลายเป็น กระแสพรรคการเมืองของชาวอีสานในปัจจุบัน 193

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น อันที่จริงในระบบการเลือกตั้ง มีเรื่องการแพ้-ชนะ เป็นตัว บ่งบอกความสำเร็จของนักการเมืองในพื้นที่ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ เกิดการแพ้หรือชนะการเลือกตั้งมีหลายปัจจัย ปัจจัยที่สำคัญ คอื ระบบอปุ ถมั ภ์ ยทุ ธศาสตรก์ ารหาเสยี ง เครอื ขา่ ยการหาเสยี ง ชื่อเสียงของพรรคการเมือง และรวมถึงผลงานและการเข้าถึง ประชาชน ในสว่ นน้ผี ้วู จิ ยั จะขอหยิบยกบางสว่ นของนกั การเมือง ที่ผู้วิจัยได้สัมผัส เจริญลักษณ์ เพชรประดับ (สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ได้อธิบายถึงอดีต ส.ส. 8 สมัย นายแคล้ว นรปติ ดังนี้ “ลุงแคล้วเป็นคนดี มีอุดมการณ์ และเป็นที่รักของประชาชน ชาวจังหวัดขอนแก่น ท่านเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ประชาชน เห็น ความทุกข์ยากของประชาชน และต่อสู้ในสภาเพื่อประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการปกป้องสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงออกของ ประชาชน ท่านชนะการเลือกตั้งได้เพราะชื่อเสียงและบารมี ส่วนตัวของท่าน ที่สำคัญท่านมีประสบการณ์ในการรับใช้ ประชาชนในพื้นที่ทั้ง ส.จ. และ ส.ส. กินเวลาเกือบ 40 ปี ส่วนกรณีที่ท่านต้องปราชัยในการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว ก็มาจากสาเหตุความผิดพลาดส่วนตัว” ส่วนอดีต ส.ส. 7 สมัย อย่าง นายสุวิทย์ คุณกิตติ กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชนะการเลือกตั้งคือความใกล้ชิด กับประชาชน และการเป็นที่พึ่งของประชาชนได้” ส่วนปัจจัย ที่ทำให้ท่านแพ้การเลือกตั้ง 1 ครั้งในจังหวัดขอนแก่นในนาม พรรคเพื่อแผ่นดินท่านบอกว่า “เนื่องจากตอนช่วงหลังจากขึ้น บัญชีรายชื่อ (ไม่ใช่ ส.ส. เขต) ก็ห่างหายจากประชาชน เพราะ 194

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ไม่ได้ลงสัมผัสในพื้นที่ก็เลยเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดปัญหา ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นสู้กระแสด้วยและห่างจาก ชาวบ้านหลายปี ... การใกล้ชิดกับประชาชนนั่นแหละคือปัญหา ก็เลยเป็นปัญหา กระแสพรรคพลังประชาชนก็มีส่วนเหมือนกัน” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ในขณะที่อดีต ส.ส. อย่างหมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ ลูกหลานชาวนาที่นิยมชมชอบการทำงานการเมืองของ ส.ส. แคล้ว นรปติ และปลื้มสปิริตทางการเมืองของพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ หมอเปรมศักดิ์ เป็น ส.ส. คนหนึ่งที่มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อทางการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งแรกปรากฏว่าแพ้การ เลือกตั้งในนามพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งการ พ่ายแพ้ในครั้งนี้มีเหตุผลสำคัญที่หมอเปรมศักดิ์ ได้อธิบายว่า “เพราะประเพณีทางการเมืองของเรามันยังมีเรื่องอามิสสินจ้าง เรื่องค่านิยมต่าง ๆ ซึ่งนักการเมืองสมัยก่อนได้นำมาปลูกฝัง” (เปรมศักดิ์ เพียยุระ, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) อย่างไร ก็ดีนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สามารถกลับมาชนะการเลือกตั้ง ครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2538 และได้เป็น ส.ส. 3 สมัยซ้อนในนาม พรรคความหวังใหม่ และหลังจากพรรคความหวังใหม่ยุบรวม กับพรรคไทยรักไทย เปรมศักดิ์ ก็ได้ออกจากพรรคไทยรักไทย โดยให้เหตุผลว่า “ผมไม่ศรัทธาผู้นำพรรคมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุผลด้านอุดมการณ์ทางการเมือง” และในท้ายที่สุด ได้เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับพรรคภูมิใจไทย และสงสมัคร ส.ส. สู้กับพรรคไทยรักไทย โดยปรากฏว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ซึ่งการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้นายเปรมศักดิ์ให้เหตุผลและ ยอมรับว่า “เป็นเพราะกระแสประชานิยมของพรรคไทยรักไทย 195

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ที่ทำนโยบายประชานิยมมานานแล้ว... คุณทักษิณทำมาตั้งแต่ ปี 2544 ถึง 2548 เค้าทำมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว ความเชื่อถือและ ความมั่นคงมีมากกว่า” (เปรมศักดิ์, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ส่วน อำนวย วีรวรรณ อดีต ส.ส. 1 สมัย ของจังหวัด ขอนแก่น หัวหน้าพรรคนำไทย ที่ลง ส.ส. แค่เพียงสมัยเดียวในปี 2538 และชนะการเลือกตั้ง แต่ในครั้งถัดมาก็เกิดความท้อถอย ดังคำอธิบายดังนี้ “เพราะว่าใช้เงินเยอะ นักการเมืองพอเข้าไป ในระบบแล้วมันใช้เงินเยอะ” (เจริญลักษณ์, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) สำหรับนายสมชาญ ศรีสองชัย ได้เปิดเผยว่า “ลงสมัคร ส.ส. 2 ครั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ แพ้การ เลือกตั้งครั้งแรกปี 2518 การแพ้การเลือกตั้งครั้งแรกนี้เพราะว่า ส่วนตัวเลยชาวบ้านไม่ค่อยรู้จัก คนงงกันว่านายคนนี้มาจาก ไหน... และชนะการเลือกตั้งปี 2519 จากอาชีพมัคคุเทศก์ ได้กลายมาเป็น ส.ส. 1 สมัย” นายสมชาญ อธิบายต่อว่า “แม้การหาเสียงเลือกตั้งของตนเองไม่ค่อยมีระเบียบแบบแผน และทุนทรัพย์มากนัก โดยส่วนใหญ่ใช้การปราศรัยใหญ่ร่วมกับ ทีมงานส่วนกลางของพรรคเป็นวิธีในการหาเสียงแต่ก็สามารถ ชนะการเลือกตั้งได้ในปี พ.ศ. 2519” (สมชาญ ศรีสองชัย, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2555) ในขณะที่ อดิษร เพียงเกษ ผู้มีประวัติการเป็น ส.ส. ที่สังกัดในหลายพรรคการเมืองได้ให้ข้อสังเกตความสำเร็จและ ความล้มเหลวในการเลือกตั้งของตนไว้ว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทางการเมือง กระแสการตอบรับของประชาชนเป็นสำคัญ 196

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ดังนั้น ส.ส. ต้องทำการบ้าน ลงพื้นที่และสอบถามความ ต้องการของประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่เป็น วิทยาศาสตร์ในการสอบถามความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ยังต้องเลือกพรรคการเมืองเพื่อยุทธศาสตร์ในการอยู่ รอดในการเลือกตั้งตามสถานการทางการเมืองด้วย ดังนั้น การย้ายพรรคการเมืองจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับนักการเมือง อดิศรเล่าให้ฟังว่าในช่วงแรกๆที่ลงเลือกตั้งแล้วพ่ายแพ้การ เลือกตั้งเป็นเพราะ “ปัจจัยที่ว่าเราไม่สามารถไปชี้แจงให้แก่ ประชาชนตามหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ได้ครบ หน่วยไหนที่เราไป เราได้ที่หนึ่ง มี หกร้อยกว่าหมู่บ้านอย่างงี้ เราไปได้แค่ร้อยกว่า หมู่บ้านจะชนะเขาได้อย่างไร” และได้ระบุเพิ่มเติมว่า “35/1 นี่สอบตก ผมก็ไม่ย้ายพรรค เป็นเลขาธิการ พรรคมวลชน ร้อยตำรวจเอกเฉลมิ ก็เปน็ หวั หน้า ปรากฏว่า ทง้ั หวั หนา้ เลขา ตกหมด สถานการณช์ ว่ งนน้ั รอ้ ยตำรวจเอก เฉลิมกลับจากลี้ภัยเดนมาร์ก ก็มาชนแก้วกับบิ๊กจ๊อดไง เรื่องประชาชนเรื่องการเมืองประชาชนเริ่มไม่ไว้ใจว่า คุณเอายังไงกันแน่” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) การย้ายพรรคการเมืองในแต่ละครั้งจึงมีเหตุผลและ เบื้องหลังของมันอยู่อดิศรกล่าวเพิ่มเติมว่า “การอยู่พลังธรรม ตั้งแต่ผมอยู่พรรคมวลชน ผมก็แสดงความจำนงจะลงสมัครในนามพรรคพลังธรรม 197

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น อยู่แล้ว แต่มีคนสมัครก่อน พอเราตกจากพรรคมวลชน เราก็ทำแบบสำรวจ เป็นวิทยาศาสตร์ ถามชาวบ้าน ว่า สาเหตุเป็นเพราะประการใด เราจะปรับปรุงตัวอย่างไร ผลโพลล์ออกมาเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ให้ไปอยู่ พลังธรรม ไม่ย้ายพรรคก็จำเป็นต้องไปละทีนี้ คนที่จะ เลือก (ประชาชน) เขาให้ไปอยู่พลังธรรม พอไปอยู่ พลังธรรมเราก็ยกทีม (ชนะ) ทั้งสามคน” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ส่วนในการย้ายมาอยู่พรรคนำไทยในเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2538 และพรรคความหวังใหม่ในปี พ.ศ. 2539 อดิศร กล่าวว่า “ก็มีเหตุผลว่าในการเลือกตั้งคุณอำนวย วีรวรรณ อยู่ ๆ จะมาลงเขตผม ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยน่ะ อยู่ ๆ แกก็มา ให้เหตุผลว่า แกมาเขียนแผนพัฒนาฉบับที่บ้านจอมพล สฤษดฯ์ิ นน่ั แกกจ็ ะมาลงทน่ี ่ี ลงทน่ี ม่ี นั กต็ อ้ งสกู้ นั ตอนหลงั ผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านกวี สุภัทธีระ ผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะนั้น ก็ถือว่าเป็นพี่ชาย นัดมาคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะท่านอำนวยเองก็หวังจะเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบกบั ทางพรรคพลงั ธรรมกเ็ กดิ การแตกแยกความคดิ มีกลุ่ม 23 แตกแยกรุนแรง ในพลังธรรมก็แตกกันเละมาก ผู้ใหญ่ก็บอกว่าให้ลองพรรคท่านอำนวย วีรวรรณ ดูซิ จะเป็นยังไง ผมก็เป็นเลขาธิการพรรค และโฆษกพรรค นำไทย... และได้รับการเลือกตั้งยกทีม” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 198

มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย แต่ต่อมาปรากฏว่าหัวหน้าพรรคคืออำนวย วีรวรรณ ยกธงขาวโดยบอกวา่ ไมเ่ ลน่ การเมอื งและสดุ ทา้ ยจงึ ไปอยรู่ ว่ มกบั พรรคความหวังใหม่ของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธอีก ก่อนที่สุด ท้ายจะย้ายมาร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและเป็นสมาชิก มาอย่างเหนียวแน่น เป็นต้น “ก็ต้องดูคนเลือกครับ เราไปสมัครให้ใครเลือกล่ะ ถ้าเราไม่ไป(ย้ายพรรค) เราก็เลิกเล่นการเมืองไป อยู่พรรค พลังธรรมในช่วงที่มีอุดมการณ์ต่อสู้ทางการเมืองใน ขณะนั้น เป็นพรรคที่ก้าวหน้ามาก ตอนนั้นใครไปอยู่ พลังธรรมถือว่าได้รับการรับประกันจากความก้าวหน้า ในขณะนั้นอย่างแน่นอน... (โพลล์) 90 เปอร์เซ็นต์เป็น พรรคพลังธรรมช่วงนั้น เดี๋ยวนี้ไปทำโพลล์ขอนแก่นก็เป็น เพื่อไทย คุณจะไปลงประชาธิปัตย์หรือเปล่า เช่นเดียวกับ ทางภาคใต้ เขากไ็ มเ่ ลอื กพรรคเพอ่ื ไทย ถอื เปน็ เรอ่ื งธรรมดา ใครชนะก็มาบริหาร” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในขณะที่นายเพิ่มศักดิ์ จันทหาร อดีตผู้จัดการธนาคาร ออมสิน สาขาบ้านไผ่ หนึ่งในชาวขอนแก่นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกันดี กับ นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย อดีต ส.ส. 2 สมัย (พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2554) ผู้ซึ่งคร่ำหวอดในแวดวงข้าราชการครู และ มีความสามารถทางด้านดนตรีคนหนึ่ง อดีตเคยเป็นประธาน สภาวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประธานสภา วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น ประธานสันนิบาตมูลนิธิจังหวัด 199

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ขอนแก่น ได้อธิบายว่า “คุณเรืองเดช สุพรรณฝ่าย เคยเป็น ข้าราชการครู และมีความสามารถทางด้านดนตรี ดังนั้น ท่านจึงเป็นคนที่มีบุคลิกส่วนตัวที่เข้ากับคนง่าย หรือคนเข้าถึง ได้ง่าย มีความเป็นกันเองสูง ติดดิน และชอบช่วยเหลือคนอื่น และเป็นเรื่องปกติที่ท่านมักไปงานวัดงานบุญร่วมกับชาวบ้าน อย่างสม่ำเสมอ...โดยส่วนตัวผมมองว่าท่านเป็นคนที่มีสถานะ ปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ด้วยลักษณะของท่านที่ติดดินเข้ากับ ชาวบ้านได้ดี และชอบช่วยเหลือชาวบ้านจึงทำให้เขาได้รับการ เลือกตั้งเข้ามา ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง ผมว่ามาจากบทบาทและ ชื่อเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ทำให้ท่านได้รับการเลือกตั้ง” (สัมภาษณ์วันที่ 22 สิงหาคม 2558) และเพิ่มศักดิ์ จันทหาร ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “การหาเสียงของ ส.ส.เรืองเดช มักใช้ วิธีการเข้าถึงประชาชนตามงานและเทศกาลต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านวัฒนธรรม เนื่องจากท่านมี บทบาทในสภาวัฒนธรรมจังหวัด” แม้ว่าในช่วงหลัง อดีต ส.ส. เรืองเดช สุพรรณฝ่าย จะเข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการ ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) แต่เป็นช่วงที่เกิด เหตุการณ์ไม่ปกติ คือหลังการยึดอำนาจของทหารซึ่งไม่อยู่ใน ความสนใจในงานชิ้นนี้ของผู้วิจัย เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความ สำเร็จและความล้มเหลวในการเลือกตั้งของ ส.ส. จังหวัด ขอนแก่น 200

บ4ทท ี่ โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ กับนักการเมืองถ่ิน หัวใจสำคัญของโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ ระหว่างนักการเมืองกับประชาชน หรือระหว่างนักการเมือง ระดับชาติกับนักการเมืองถิ่นนั้นโดยมากถูกกำหนดหรือกำกับ โดยส่วนกลางซึ่งสะท้อนให้เห็นอำนาจรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นมรดกการปกครองดั้งเดิมของไทย นอกจากนี้รูปแบบ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ-สังคม กับนักการเมืองถิ่น รัฐ-ระบบ ราชการกับนักการเมืองถิ่น จะแสดงออกมาให้เห็นตามบทบาท และหน้าที่และการต่อสู้ของนักการเมืองถิ่นเพื่อความอยู่รอด หรือชัยชนะในสนามเลือกตั้ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบการปกครอง แบบดั้งเดิมเอื้ออำนวยให้เกิดสภาวะการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ส่วนกลาง ในขณะที่ระบบการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย เป็นการเพิ่มอำนาจให้ประชาชนในการเลือกตัดสินใจ นโยบาย ที่ส่งผลกระทบกับตนโดยตรง หรือโดยอ้อมก็ตาม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในการกำหนด “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” สงู สุดเพื่อปกครองตนเอง 4.1 โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ รัฐ-ระบบ ราชการ กับนักการเมืองถิ่น ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การรวมศูนย์อำนาจไว้ใน ส่วนกลางเป็นมรดกทางการปกครองแบบดั้งเดิมของไทย นอกจากนี้ยังเป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เน้นให้ เห็นความสำคัญกับรัฐมากกว่าประชาชน หรือให้ความสำคัญ กับรัฐเหนือสังคม กล่าวคือ ความต้องการของรัฐอยู่เหนือความ ต้องการของสังคมที่ประกอบไปด้วยประชาชนส่วนใหญ่ของ ประเทศ ในขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่าความต้องการของรัฐ โดยทั่วไปมักจะถูกครอบงำโดยคนจำนวนน้อยที่มีอำนาจคือ เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ในหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่า ทหาร ตำรวจ หรอื ในแวดวงการศกึ ษา คอื ครู อาจารย์ ซง่ึ อนั ทจ่ี รงิ สะท้อนให้เห็นชนชั้นหนึ่งที่เรียกว่า “ชนชั้นนำทางการเมือง” ครอบงำสังคมอยู่อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยโครงสร้างความ สัมพันธ์ทางอำนาจและความสามารถในการควบคุมองค์กร เพื่อผลสัมฤทธิ์ในการควบคุมสังคม อันเป็นกฎเหล็กของ คณาธิปไตย (The Iron Law of Oligarchy) ที่นิยามและอธิบาย เอาไว้โดย โรเบิร์ท มิเชลล์ (Gerraint Parry, 1971, pp. 42-43) 202

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 อิทธิพลและอำนาจภาครัฐอยู่เหนือสังคมไทยมาเป็นระยะเวลา นาน หลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ การครอบงำ ของทหารในระบบการปกครอง ซึ่งแนวทางการได้มาซึ่งอำนาจ มักมาจากการ “ปฏิวัติรัฐประหาร” นับจนถึงปัจจุบัน ประเทศ ไทยมีการปฏิวัติและมีรัฐบาลโดยคณะทหารในนาม “เพื่อชาติ” เสมอมา และที่สำคัญที่สุดคือการที่ตัวแทนอำนาจภาครัฐมัก ประเมินความรู้ความสามารถของประชาชนในสังคมอยู่ในระดับ ต่ำมาก โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด และอ้างว่า พวกเขาด้อยการศึกษา หลักฐานประการต่อมา คือ ระบบราชการที่ครอบงำ สังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน นับตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูป การปกครองไทย ส่งเสริมให้ข้าราชการได้ศึกษายังต่างประเทศ และนำความรู้กลับมารับใช้ประเทศ ซึ่งอันที่จริงก็คือ การรับใช้ ประชาชนในสังคมไทย แต่เมื่อได้พิจารณาในกรณีดังกล่าว อย่างถี่ถ้วนก็จะพบว่า ข้าราชการส่วนใหญ่จะสนองอำนาจรัฐ มากกว่าความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ จนเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 ดูเหมือนว่าความต้องการของประชาชนในสังคมไทยจะได้ รับการตอบสนองมากขึ้น เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเป็น กฎเกณฑ์สูงสุดที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามเสมอเหมือนกัน แต่ทว่า อำนาจที่ล้นเหลือของทหารก็สร้างปรากฏการณ์ “อำนาจ เผด็จการ” ล้มการปกครองแบบประชาธิปไตย “ของพลเรือน” ลงครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ภาคพลเรือนที่มีตัวแทนคือ นักการเมืองเองก็ต้องต่อรองอำนาจกับระบบราชการโดยเฉพาะ 203

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ทหารซึ่งในความเป็นจริงทหารควรจะมีบทบาทแบบมืออาชีพ ทำหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายกำหนด เป็นรั้วป้องกันประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง ดังเช่นที่เป็นอยู่ในสังคมไทย ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่เป็นการเกินเลยที่จะถกเถียงด้วยข้อสรุปที่ว่า “รัฐอยู่เหนือสังคม” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งประชาชนยังคงเป็น เบี้ยล่างให้รัฐเสมอมา ซึ่งไม่น่าจะสอดคล้องกับการปกครอง ที่พวกเราเรียกกันเองว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” ที่ชาวตะวันตกได้ริเริ่มกัน เพราะการปกครองระบบนี้เน้น สิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมกับประชาชน และปกป้องสิทธิ และเสรีภาพของปัจเจกบุคคลและประชาชนโดยรวม มิใช่สิทธิ แค่เพียงการมีสิทธิในการเลือกตั้งเท่านั้น ส่วนรัฐและกลไกของ รัฐเป็นแค่เพียงเครื่องมือในการปกป้อง และรับประกันสิทธิและ เสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการที่สังคมไทยเริ่มมี บทบาทมากขึ้นในการกำหนดนโยบายสาธารณะ เพื่อปกป้อง และรับประกันสิทธิ เสรีภาพของตน โดยผ่านตัวแทนของตนคือ สมาชิกสภาผู้แทนในจังหวัดต่าง ๆ มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อน เจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่มากขึ้น เช่นรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มีภาคส่วนต่าง ๆ หลากหลาย มีส่วนร่วมในการร่าง รัฐธรรมนูญมากที่สุด จนเป็นที่มาของการเรียกขานว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ถึงกระนั้นก็ดี รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ถูกโยนทิ้งโดยคณะทหารอีกครั้ง จะเห็นได้ว่า รูปแบบการปกครองแบบดั้งเดิมของไทย ที่เน้นอำนาจรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางยังคงดำรงอยู่ และยึดถือ 204

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น ปฏิบัติในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐไทยเป็นรูปแบบ รัฐเดี่ยวจนมีคำกล่าวอ้างว่าไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ว่าจะ เป็นโครงสร้างการปกครองแบบบังคับบัญชาตามระดับชั้น ไม่เกิดการกระจายอำนาจดังที่การปกครองแบบประชาธิปไตย ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเกี่ยวพันกับคนส่วนใหญ่ใน ภูมิภาคและชนบท ไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่มากนัก แต่กลับ ไปให้ความสำคัญกับโครงสร้างส่วนบน คือ รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง การเลือกตั้ง สภา และรัฐบาล (ลิขิต ธีรเวคิน, 2544,หน้า 254) การเน้นการปกครองแบบรวมศูนย์ในลักษณะ ดังกล่าวของไทยจึงถูกกล่อมเกลาทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ ยินยอมต่ออำนาจส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ ประเทศไทย ต้องต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมในช่วงต้นของ กรุงรัตนโกสินทร์ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ภายในประเทศ ได้รับการสนับสนุนให้เจริญเติบโตแต่ก็เพื่อการรวมอำนาจไว้ที่ ส่วนกลางเท่านั้นเอง การแบ่งอำนาจ (Deconcentration) และ การกระจายอำนาจ (Decentralization) จึงยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็น รูปเป็นร่าง จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การแบ่งอำนาจ และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจึงเริ่มได้รับ ความสำคัญขึ้นมาเป็นลำดับ อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมอาการ “หวง” อำนาจ หรือรวมศูนย์อำนาจของรัฐไทยก็ยังคงมีอยู่ แต่ซ่อนรูปในระบบรัฐเดี่ยว (Unitary State) จึงเห็นได้ว่ารัฐ สังคมในบริบทของไทย สังคมยังคงอยู่ต่ำกว่ารัฐ รัฐ-ระบบ ราชการผูกพันกันอย่างแยกไม่ออก กลายเป็นโครงสร้างทาง อำนาจที่เป็นคานงัดสังคมไทย ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วไป 205

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เสมอมา ซึ่งเรื่องนี้สุวิทย์ คุณกิตติได้สะท้อนความอ่อนแอของ ภาคประชาชนในสังคมไทยที่ท่านสัมผัสในฐานะนักการเมือง ไว้ว่า “ในสังคมไทยวันนี้ คือ การลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายไม่กระจุก การกระจายทั้งงาน ทั้งเงิน ทั้งโอกาสให้ประชาชน แรงงานเค้าก็มี คนในชนบท 60 เปอร์เซ็นต์ ในเมือง 40เปอร์เซ็นต์ ทำไงคนในชนบท 60 เปอร์เซ็นต์ นี้จะได้เข้มแข็ง ยั่งยืนได้เพราะเป็นฐานราก ทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้รับความเข้มแข็ง ได้รับเงิน มีรายได้เพียงพอ คิดถึงอนาคตที่จะส่งลูกหลานไปเรียน หนังสือได้ เจ็บไข้ได้ป่วยมีเงินค่ารถไปโรงพยาบาล รักษาฟรีก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วก็มองถึงอนาคตตนเอง ยามแก่เฒ่า ไม่ใช่ได้เดือนละ 500 เดือนละ 1,000 จะอยู่ได้ เค้าอยู่ไม่ได้ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพมันสูงขึ้น เพราะฉะนั้น มุมนี้เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิด ความสามารถในระบบ ในระบบในสังคมได้ ในระบบเศรษฐกิจได้ พอประชาชน มีรายได้มากขึ้น ก็มีค่าใช้จ่าย ก็กระตุ้นเศรษฐกิจ เงินจาก ระดับรากหญ้า ออกไปในระบบมันจะหมุนหลายรอบกว่า แล้วเงินพวกนี้ไม่เก็บ ประชาชนก็มีความต้องการ ทำให้ เศรษฐกิจเจริญเติบโต เพราะเค้าไปซื้อของร้านค้า ในหมู่บ้าน ร้านค้าหมู่บ้านไปซื้อในอำเภอ อำเภอไปซื้อใน จังหวัด จังหวัดก็ต้องสั่งจากผู้ส่ง พ่อค้าขายส่งก็ต้องไป โรงงาน โรงงานก็ไปวัตถุดิบ นี่มันก็หมุน 7 รอบแล้ว” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์ 7 มิถุนายน 2554) 206

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น การรวมอำนาจ (Centralization) และการกระจายอำนาจ (Decentralization) จึงเป็นภาวะย้อนแย้งทางอำนาจในสังคม ประชาธิปไตยเสมอมา เพราะผู้มีอำนาจมีแนวโน้มว่าจะใช้ อำนาจเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้อำนาจรัฐ (state power) หรือ อำนาจของตนเองในฐานะตัวแทนของประชาชน ในขณะที่ อำนาจประชาชน (people power) ในระบอบประชาธิปไตย ที่แท้จริง มีแนวโน้มว่าจะถูกกดทับมิให้ใช้อำนาจที่ไปบั่นทอน อำนาจรัฐ ด้วยเหตุนี้นักวิชาการหลายคนได้กล่าวว่าอำนาจ ประชาชนในหนึ่งรอบของการเลือกตั้งมีระยะเวลาแค่เพียง สั้นๆ เฉพาะในคูหาเลือกตั้งอาจไม่ถึง 1 นาที เสียด้วยซ้ำไป ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างทางอำนาจที่เป็นทางการ เป็นตัวกำหนดที่สำคัญสำหรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทาง อำนาจระหว่างนักการเมืองและประชาชน จะเห็นว่านักการเมืองถิ่นได้รับอิทธิพลจากโครงสร้างทาง อำนาจ แบบรวมศูนย์ รัฐ-ระบบราชการ เนื่องจากนักการเมือง หลายคน หรือส่วนใหญ่ในประเทศไทยต่างก็เคยเป็น หรือรับ ราชการมาก่อน เพราะการผ่านงานราชการมาก่อนถือว่าเป็น ใบเบิกทางทางการเมืองสู่ถนนการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี ในกรณีของนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นก็ไม่แตกต่างจาก จังหวัดอื่น ๆ ในประเทศ โดยที่นักการเมืองมักมีพรรคพวกใน แวดวงราชการส่วนต่าง ๆ คอยให้การสนับสนุนตนเองอยู่ ซึ่ง อันที่จริงไม่ใช่ปัจจัยนี้เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้นักการเมืองถิ่น ลงสู่สนามเลือกตั้ง แต่ยังมีปัจจัยด้านอุดมการณ์ และพื้นฐาน ทางเศรษฐกจิ ของนกั การเมอื งเองเปน็ ปจั จยั สำคญั ทท่ี ำใหพ้ วกเขา เหล่านั้นเข้าสู่ถนนการเลือกตั้ง ซึ่งจะกล่าวถึงในบทถัดไป 207

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ดังนั้นจะเห็นว่า มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ไทยได้ถูกใช้โดยนักการเมืองสายข้าราชการและสายพลเรือน เพื่อความอยู่รอดหรือชัยชนะในการเลือกตั้ง อันที่จริงโครงสร้าง ความสัมพันธ์ทางอำนาจก็เป็นมรดกของชาติไทยประการหนึ่ง ซึ่งโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจดังกล่าวจะเน้นระบบ การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ความสัมพันธ์ ทางอำนาจระหว่างเมืองหลวงกับตัวจังหวัดและที่สำคัญ คือ ระหว่างรัฐกับสังคม ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยโดยทั่วไป “สังคมจะอยู่เหนือรัฐ” แต่ในบริบทของสังคมโดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (2548) กล่าวว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ “รัฐอยู่เหนือ สังคม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านี้คือมรดกตกทอดมาจาก ประวัติศาสตร์ไทย นอกจากนี้ ความสัมพันธ์แบบ “รัฐอยู่เหนือสังคม” หรือ ในคำพูด ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2538, หน้า 28) คือ “รัฐล้อม สังคม” อันเป็นวิถีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม ที่รวม ศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางอย่างชัดเจน จึงกลายเป็นการใช้อำนาจ ส่วนกลางหรือกล่าวง่าย ๆ ว่า อำนาจรัฐเป็นของคนส่วนน้อย ที่เป็นชนชั้นนำหรือชนชั้นผู้ปกครองซึ่งไม่ได้สะท้อนหรือแสดง ให้เห็นอำนาจของประชาชนในระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยเท่าที่ควร แนวคิดหรือความสัมพันธ์แบบ “รัฐ อยู่เหนือสังคม” อาจเป็นประโยชน์และโทษสำหรับนักการเมือง ได้เช่นกัน ตัวอย่างของประโยชน์ที่นักการเมืองมักนำมาใช้การ เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจของประชาชนในการกำหนดนโยบายรัฐ ที่อาจส่งผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ตน ดังที่ เพม่ิ ศกั ด์ิ จนั ทหาร (สมั ภาษณว์ นั ท่ี 22 สงิ หาคม 2558) ทก่ี ลา่ ววา่ 208

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น “เป็นผลงานของ ส.ส. เรืองเดชที่ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปศึกษา ดูงานในต่างจังหวัดร่วมกับ ส.ส.ในจังหวัดขอนแก่นหลายครั้ง” หรือในกรณีที่งบประมาณในการพัฒนาต่างๆ ของรัฐที่ถูก แปรญัตติโดย ส.ส. คนหนึ่งคนใดก็ดีมักถูกนำมาใช้โดย นักการเมืองเองว่าเป็นผลงานของตนเองดังที่เห็นกันดาษดื่น บนศาลาพักร้อนหรือสถานที่สาธารณะประโยชน์อื่น ๆ ที่ปรากฎ ชื่อของนักการเมืองคนนั้นคนนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมายของนักการเมืองในระบบที่ ต้องปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ งบประมาณ ในโครงการเหล่านั้นล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน ในส่วนที่ เป็นโทษของความสัมพันธ์ที่รัฐอยู่เหนือสังคมคือ เมื่อใดก็ตาม ที่นโยบายสาธารณะของรัฐอันใดที่ผิดพลาดหรือล้มเหลว และ เป็นนโยบายที่ถูกผลักดันโดยนักการเมืองคนใดคนหนึ่งก็จะถูก เหมารวมว่าเป็นความผิดพลาดของนักการเมืองคนนั้นหรือไม่ก็ ถูกเหมารวมว่าเป็นของพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งที่จริง คือความรับผิดชอบร่วมกันของนักการเมืองทั้งหมดในสภา เพราะพวกเขาเห็นพ้องกันตามกระบวนการของกฎหมายและ ยอมให้นโยบายเหล่านั้นเกิดผลขึ้น ในกรณีของนักการเมืองเอง ก็ใช้โอกาสในการเข้าถึง ประชาชนก็เฉพาะสมัยหรือช่วงเลือกตั้งและเมื่อมีตำแหน่งหรือ เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วก็มักจะทำตัวอยู่เหนือสังคมหรือ ประชาชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง นักการเมืองกลายเป็นตัวแทนของ รัฐที่อยู่เหนือประชาชนและไม่ค่อยได้สร้างคุณประโยชน์ต่อ ประชาชนเท่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากโครงสร้างอำนาจรัฐเอง จำกัดขอบเขตอำนาจของตัวแทนประชาชนให้ทำหน้าที่ได้ตามที่ 209

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น กฎหมายกำหนดหรือทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้ตราบเท่าที่ไม่ละเมิด กฎหมายเท่านั้น ในเรื่องนี้ อดีต ส.ส. สมศักดิ์ คุณเงิน ได้ให้ สัมภาษณ์ว่า “การทำหนา้ ท่ี ส.ส. ทำอะไรไดน้ อ้ ย เพราะจรงิ ๆ แลว้ กฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่เอาไว้ ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ คือ กระบวนการนิติบัญญัติ จึงไม่สามารถสร้างอะไรที่เป็น รูปธรรมได้มากนัก ซึ่งต่างจากตำแหน่งบริหารในฐานะ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่สามารถสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม ได้มากกว่า ส.ส.” (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ์วันที่ 2 เมษายน 2555) ขณะที่ จตุพร เจริญเชื้อ (สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) ได้ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า “นโยบายส่วนตัวนั้น มันทำไม่ได้ มันต้องใช้นโยบายพรรค มันเหมือนจะไปลอกเขา (ประชาชน) ซึ่งนโยบายพรรคสำคัญมาก ...ชาวบ้านเดี๋ยวนี้เขา ฉลาดที่จะเลือกแล้วน่ะ ส่วนใหญ่เขาจะเลือกพรรค ตัวบุคคล เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่” ดังนั้นจะเห็นว่าการไร้ซึ่งผลงานอันเป็นรูปธรรมของ นักการเมืองรายบุคคลส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้าง ความสัมพันธ์ทางอำนาจในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก พรรคการเมืองที่ไม่สามารถกำหนดนโยบายหรือสร้างผลงาน ใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนจึงเป็นสาเหตุหนึ่งของความ ล้มเหลวและการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งต่อมาได้ 210

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น 4.2 โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ รัฐ-สังคม กับนักการเมืองถิ่น อันที่จริงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง รัฐ-สังคม ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในสังคม สมัยใหม่มีทิศทางความสัมพันธ์ในแบบ “สังคมอยู่เหนือรัฐ” หรือไม่ก็เป็นแบบ “สังคมร่วมรัฐ” มากกว่าที่จะเป็นในแบบ “รัฐเหนือสังคม” ในกรณีของระบอบการปกครองของไทยแม้จุด เริ่มต้นของประชาธิปไตยจะยาวนานมากกว่า 80 ปี หากนับตั้ง แต่ พ.ศ. 2475 แต่ทิศทางความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง รัฐ-สังคมไทยยังไม่ได้มุ่งไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นคือ “สังคม อยู่เหนือรัฐ” หรือไม่ก็เป็นแบบ “สังคมร่วมรัฐ” อย่างไรก็ดี ความคาดหวังดังกล่าวมีความคืบหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไปใน ทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะเกิดจากการที่ประชาชนไม่สามารถ เข้าถึงความเข้าใจที่แท้จริงของประชาธิปไตย12 อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะอำนาจรัฐ ราชการและกองทัพ โดยหากนับเฉพาะ การทำรัฐประหารปรากฏว่ามีมากกว่าหนึ่งโหลคือจำนวน 13 ครั้ง เป็นการเข้ามาแทรกแซง ตัดขาด ทำลายพัฒนาการ ความต่อเนื่องของระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับประเทศอารยะ อันส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อ ระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไทย เพราะทำให้ประชาชน ไม่สามารถกำหนดอำนาจรัฐและจำกัดอำนาจรัฐได้ตาม เจตนารมณ์ของประชาธิปไตยสากล 12 หมายถึง การที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยเหนือรัฐในการกำหนด ขอบเขตสทิ ธแิ ละอำนาจของรฐั ใหเ้ ปน็ ไปตามความตอ้ งการของคนสว่ นใหญ ่ 211

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น แม้ว่าโดยรวมแล้ว ประชาชนหรือสังคมไทยเป็นผู้มีสิทธิ ในการกำหนดอำนาจรัฐ โดยการเลือกตัวแทนของตน ผ่านการ เลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่แทนตน แต่ด้วย ข้อจำกัดทางอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนที่กำหนดใน รัฐธรรมนูญ ประชาชนจึงมีข้อจำกัดในการเสนอข้อเรียกร้องของ ตน อย่างไรก็ดี กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 ได้ให้สิทธิแก่ ประชาชนมากขึ้น ในการเข้าชื่อการนำเสนอนโยบายของตน แต่ ก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่ข้อเสนอของประชาชนโดยตรงเช่นนี้ จะได้รับหรือผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรได้โดยง่าย เพราะเท่าที่ปรากฎยังไม่เคยมีร่างบทบัญญัติที่นำเสนอโดย ประชาชนจะผ่านการพิจารณาแม้สักครั้งในประวัติศาสตร์ไทย หน้าที่ทั้งหลายนี้จึงตกไปอยู่ที่มือของ ส.ส. ที่เป็นตัวแทน ประชาชน หรือไม่ก็สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเห็น ได้ว่าในสังคมไทย รัฐอยู่เหนือสังคมเช่นเดิม รัฐ ประกอบด้วย สถาบันจำนวนหนึ่ง คือ รัฐบาล ระบบ บริหาร ศาล และตำรวจ ซึ่งสถาบันเหล่านี้เป็นกลไกของรัฐ (R. Miliband,1969) อันที่จริงรัฐมีทั้งอำนาจบังคับและอำนาจทาง อุดมการณ์ อำนาจรัฐเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เป็น ตัวกลางระหว่างรัฐและสังคมและองค์กรภาคประชาสังคมอื่น ๆ อำนาจรัฐจึงเป็นพลังที่เป็นรูปธรรมของการแสดงออก (ชัยอนันต์ สมุทวนิช, 2539, หน้า 28) ส่วนอำนาจที่เป็นรูปธรรม ก็คือการแปรอำนาจให้ออกมาในรูปของนโยบายและการกระทำ ต่าง ๆ นั่นเอง ในขณะที่นักการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของ พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกลไกอันหนึ่งที่ทำหน้าที่ด้านอุดมการณ์ ดังนั้นจะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐ ระบบราชการ และ 212

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น พรรคการเมือง มีความสัมพันธ์กันในด้านของการใช้อำนาจ หน้าที่เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรัฐ พรรคการเมืองและนักการเมืองในฐานะกลไกของรัฐ ด้านอุดมการณ์ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของรัฐสมัยใหม่ พรรคการเมืองไม่สามารถตั้งขึ้นมาได้โดยอำเภอใจ แต่ต้องเป็น ไปตามกติกาของรัฐ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า นักการเมืองเป็น ตัวแทนของอำนาจรัฐอย่างหนึ่ง การเลือกตั้งเพื่อเป็นตัวแทน ของประชาชน เพื่อเข้ามาใช้อำนาจรัฐของนักการเมืองจึงเป็น เสมือนการแสวงหาอำนาจนั่นเอง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า อำนาจรัฐนี้ ควรใช้ไปเพื่อใคร เพื่อรัฐ หรือเพื่อประชาชน ในกรณีประเทศที่มี การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และสังคมอยู่เหนือรัฐ อำนาจรัฐจะถูกใช้เพื่อประชาชน เพื่อความเป็นสุข กินดีอยู่ดี ของประชาชน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสังคมไทยเรามักมีข้ออ้าง เสมอว่า อำนาจรัฐเพื่อรัฐ หรือเพื่อสถาบันใดสถาบันหนึ่ง โดยเฉพาะ เช่น ผลประโยชน์ของชาติ แต่ถ้าเรามองและให้ ความสำคัญที่ผลประโยชน์ของประชาชน เอาประชาชนเป็น ที่ตั้ง อำนาจรัฐทั้งหมดก็เพื่อประชาชน เพราะมันมาจาก ประชาชน ดงั นน้ั บทบาท และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื ง กับประชาชนจึงควรจะอยู่ที่ “การนำเสนอผลประโยชน์ สาธารณะที่ประชาชนควรจะได้รับ” และผลประโยชน์ดังกล่าว ก็ควรจะเป็นผลประโยชน์ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เรื่องนี้ นักต่อสู้ที่เข้าป่าอย่าง อดิศร เพียงเกษ ได้ให้ข้อสังเกตที่สำคัญ ของบทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองว่า 213

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น “มันเปลี่ยนพรรคการเมืองไทยเยอะ หน้ามือเป็น หลังมือ จากความไม่เชื่อถือพรรคการเมืองกลายเป็น ความเชื่อถือเลย การจะมาโกหกพกลม จะสร้างโน่นสร้าง นี่กลายเป็นความเชื่อถือว่าคุณจะทำอะไรให้เขา เป็นความเชื่อมั่นเชื่อถือ ผมยังสงสัยเลยเรื่องสามสิบบาท ผมถามทักษิณว่ามันจะมีเงินรักษาหรือท่าน ทักษิณ ตอบแบบเลน่ ๆ วา่ มนั ไมเ่ กดิ พรอ้ มกนั หรอกอดศิ ร ไมใ่ ชว่ า่ ขอนแก่นป่วยวันจันทร์ สตูลป่วยวันอังคารที่ไหนเล่า แกว่าอย่างนั้น อธิบายง่าย ๆ แกไม่ได้คิดเอง คุณหมอ เป็นคนคิดให้ ก็เสนอท่านเท่านั้นแหละ ท่านก็ประมวล แล้วมันน่าจะเอางบประมาณมารักษาคนจน แทนที่จะไป ซื้ออาวุธ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องประชานิยม” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในอดีต พรรคความหวังใหม่ ซึ่งมีนโยบายอิสานเขียว อันบ่งบอกถึงความเป็นท้องถิ่น และการพัฒนาอิสานให้เป็น พื้นที่ทางการเกษตรสีเขียว จึงเป็นเสมือนนโยบายที่นักการเมือง จะใช้อำนาจรัฐ กระทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามนโยบาย ที่หาเสียงเอาไว้ ส่วนพรรคไทยรักไทย ซึ่งก่อเกิดเมื่อปี 2544 กลับทำได้ดีกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ในอดีต ด้วยการนำเสนอ นโยบายที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เช่น โครงการ 30 บาทรักษา ทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน กองทุนการศึกษา ฯลฯ ซึ่ง สามารถเข้าถึงคนรากหญ้าได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น บทบาทพรรคการเมืองในฐานะกลไกด้านอุดมการณ์ได้แปร สภาพนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ เมื่อประชาชน 214

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น ไว้วางใจและเลือกใช้พรรคการเมืองที่ใช้อำนาจรัฐเพื่อประชาชน จริง ๆ ซึ่งในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงกรณีทุจริตที่มีอยู่ทั่วไปในการ ใช้อำนาจรัฐของพรรคการเมือง และนักการเมืองในการแปร นโยบายไปสู่ผลที่เป็นรูปธรรม แต่สำหรับนักการเมืองที่หวังจะ อยู่รอดทางการเมืองจึงต้องมีความพยายามที่จะสร้างสรรค์ นโยบายการพัฒนาที่ส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นหรือให้ได้ มากที่สุดเพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชนและโอกาสในการ กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งเป็น วิถีเดิม ๆ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น กรณี ของอดีต ส.ส. สมศักดิ์ คุณเงิน ที่เคยผลักดันโครงการซื้อ รถแบคโฮ ใช้งบประมาณกว่า 5 ล้านบาท เพื่อขุดบ่อ ขุดสระ เพื่อทำการเกษตรของประชาชนในพื้นที่กว่า 7 อบต. การสร้าง ถนนรอบเขื่อน อำเภอบ้านฝาง (สมศักดิ์ คุณเงิน, สัมภาษณ ์ วันที่ 12 เมษายน 2555) หรืออย่างนายสุวิทย์ คุณกิตติ ที่เสนอ โครงการอุทยานสัตว์ป่าเขาสวนกวาง เป็นต้น ในขณะที่บทบาทอีกด้านหนึ่งของ ส.ส. คือ การส่งเสริม ประชาธิปไตย การมีสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็เป็นอีก บทบาทหนึ่งที่ ส.ส. ควรใช้อำนาจรัฐที่ตนเองมีอยู่ในการ สนับสนุนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน นายแคล้ว นรปติ ส.ส. ลายครามผู้ล่วงลับและเป็นผู้มีบทบาทในสภาผู้แทน ราษฎรเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ต่อสู้โต้เถียงในสภา เช่น การ เสนอญัตติในสภาสอบสวนพฤติกรรมการใช้อำนาจรัฐที่ไป รุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่นการขังลืมผู้ถูกกล่าวหา ว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ หรือปัญหาการใช้ความรุนแรงในการ ปราบปรามประชาชน ในขณะที่ประชาชนยังยากจน ข้อเสนอ 215

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ของเขาคือ ควรแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประชาชน มากกว่านโยบายปราบปราม (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 1 พฤษภาคม 2518) และในอีกกรณีหนึ่งที่นายแคล้วได้กล่าวไว้ ในสภาว่า “สภาแห่งนี้ไม่ใช่โรงงานออกกฎหมาย ไม่ใช่โรงงาน ผลิตกฎหมาย กฎหมายทุก ๆ ฉบับที่จะผ่านจากสภานี้ เราจะ ต้องใช้สมอง ใช้ความคิด ใช้สติปัญญาเปรียบเทียบ...สภานี้ ทำอย่างไร ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะยกมือไม่เห็นชอบหรือ คัดค้าน หรือลงมติเท่านั้น...” (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 18 ธันวาคม 2495) นอกเหนือจากนี้นักการเมืองรุ่นหลังอย่าง อดิศร เพียงเกษ เป็นผู้หนึ่งที่ประกาศตนเองต่อสู้กับเผด็จการ อำนาจทหารที่เป็นศัตรูกับประชาธิปไตยจนต้องลี้ภัยเข้าป่า รวมกลุ่มกันเพื่อต่อสู้ อดิศร เพียงเกษกล่าวว่า “ประชาชนรู้ประชาธิปไตยมากกว่าสมัยก่อน 14 ตุลา 16 ซึ่งนักศึกษาบางส่วนรู้เรื่องประชาธิปไตย แต่ชาวบ้านไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านรู้ประชาธิปไตย แต่พรรคการเมืองไม่รู้ประชาธิปไตย กลับกัน พรรค การเมืองตามไม่ทันความรู้ของชาวบ้าน ปรากฏในหลาย ต่อหลายเหตุการณ์ เรื่องรัฐธรรมนูญไม่ต้องไปพูดถึง บอกเป็นลูกชายพหล เขาไม่เชื่อแล้ว เขา (ประชาชน) เป็นเจ้าของการเมือง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย เพราะ ประชาธิปไตยทำให้เขามีอยู่มีกิน เขาสามารถที่จะโต้เถียง เขาได้งบประมาณจากภาษีที่เขาเสียไป ชัดเจน ประชาชน ก้าวหน้ากว่าองค์กรการจัดตั้งทางการเมืองบางองค์กร อนั นเ้ี รอ่ื งสำคญั ถา้ คณุ ยงั ยำ่ อยกู่ บั ท่ี ลกั ษณะนเ้ี ขาไมเ่ อาแน่ 216

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถิ่น ไปไม่รอด” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) อดิศรได้อธิบายความสำคัญของประชาธิปไตยโดยแต่ง เนื้อและเรียบเรียงเป็นบทเพลงสั้น ๆ แต่จับใจในการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมีวันชนะ เกิดดี นักร้องเพลงลูกทุ่งเป็นผู้ขับร้อง ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่อดิศรคิดว่า ประชาชนยังไม่ได้รับสิ่งเหล่านั้นอย่างแท้จริงที่เรียกว่า ประชาธิปไตย หรือที่แปลว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นอกจากนี้อดิศร ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ประชาธิปไตย ประชาชนสำคัญสุด อย่าคิดว่า ประชาชนไม่รู้เรื่องนะครับ เขาไปไกลกว่าที่คุณคิด (ตัวอย่างเหตุการณ์ปี 2553) เขาสูญเสียลูกสาวเขาอยู่ วัดปทุม (ปทุมวนาราม) แม่เขายังต่อสู้จนถึงปัจจุบันนี้ เขาไม่เคยรู้เรื่อง แต่ต้องรู้เรื่องเพราะเหตุการณ์ที่ฝ่ายศัตรู ทำให้เขาสูญเสียลูก ผมก็สูญเสียน้องคนหนึ่งในป่า น้อง แท้ ๆ ที่จังหวัดน่าน การพูดไม่ใช่พูดเล่น ๆ เอาชีวิต เข้าต่อสู้ ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ธรรมดา พอมีอยู่มีกิน ไปเรอ่ื ย ๆ เทา่ นน้ั เอง อดุ มการณค์ อมมวิ นสิ ตห์ รอื วญิ ญาณ ของน้องยังสิงสถิตในตัวผมอยู่ ทำอะไรจึงต้องเกรงใจ คิดถึงประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว เราไม่ได้เล่นการเมือง เราทำการเมือง คือการทำให้ประเทศบรรลุประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยประเทศก็เจริญ เชื่อเถอะ” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) 217

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น บทบาทดังกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทที่สะท้อน อุดมการณ์ แต่ก็เป็นบทบาทที่น่าภูมิใจ และเป็นสิ่งที่ประชาชน ไว้วางใจ มอบหมายให้ตัวแทนของพวกเขาได้ทำหน้าที่สนอง ความต้องการต่าง ๆ ของพวกเขาซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไป ตามสถานการณ์และบริบทของสังคม ในปัจจุบันบทบาทของพรรคการเมืองมีบทบาทโดดเด่น บดบังตัวนักการเมืองทั้งในเชิงโครงสร้าง สัญลักษณ์และผลงาน แมว้ า่ ในความเปน็ จรงิ พรรคดำเนนิ งานไดโ้ ดยผา่ นตวั นกั การเมอื ง ทั้งนี้เพราะนโยบายประชานิยมต่าง ๆ จะถูกเหมารวมว่าเป็น นโยบายของพรรคภายใต้การกำกับดูแลของกรรมการบริหาร พรรค ดังนั้น ผลงานที่เป็นรูปธรรมมักจะถูกถือว่าเป็นผลงาน ของพรรคไป ดังจะเห็นได้จากยุคประชานิยมที่เกิดขึ้นในสมัย รัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่รวบรวมเอาคนเก่ง ๆ และประสบความสำเร็จเข้ามาทำงาน เพื่อพรรค ทักษิณให้เครดิตพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล ซึ่งอันที่จริงบทบาทและหน้าที่อันหนึ่งของพรรคการเมืองคือ การคัดเลือกคนที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานเพื่อระบบการเมือง พรรคการเมืองและประชาชนไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์เพื่อชนะ การเลือกตั้งเท่านั้น (Jo Silvester, 2012, pp. 21-27) ในเรื่อง ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้จากความคิด พฤติกรรมทางการเมือง ของประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองในการเมืองถิ่น จังหวัดขอนแก่น ดังที่ อดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส. คนสำคัญ ของจังหวัดขอนแก่นได้กล่าวไว้ว่า 218

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถ่ิน “การอยู่ดีกินดี เดี๋ยวนี้ 30 บาทรักษาทุกโรค ถ้าผม สู้คนเดียวแล้วผมจะไปทำ 30 บาทรักษาทุกโรคได้ยังไง ผมสู้เป็น 10 สมัยยังทำไม่ได้เลย ทำได้แค่แม่น้ำชี แต่ว่า ไม่ได้คนส่วนมากอย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค เมื่อพรรค การเมืองรวมกันแล้วมันได้ ไอ้ความเป็นจริงก็เพียง 3,000 บาทต่อหัวเอง การเมืองทำให้ประชาชน...” (อดิศร เพียงเกษ, สัมภาษณ์วันที่ 12 ธันวาคม 2558) ในขณะทจ่ี ตพุ ร เจรญิ เชอ้ื อดตี ส.ส. หลายสมยั ไดก้ ลา่ วไว้ เกี่ยวกับบทบทบาทพรรคการเมืองว่า “ปัจจัยความสำเร็จของผม...ปัจจัยแรกคือเรื่องของ พรรค คือชาวบ้านเขาอยากให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลเขาก็ เลือก ซึ่งตรงนี้สำคัญ ส่วนตัวเราเองเมื่อได้รับเลือกตั้ง เราก็ช่วยเหลือเขา เราเองเป็นตัวประกอบนิดเดียว ในการเลือกตั้งพรรค 70 เปอร์เซ็นต์ เรา 30 เปอร์เซ็นต์ … พรรคไทยรักไทย คือชาวบ้านเขาเชื่อถือในตัวท่านทักษิณ เพราะฉะนั้นใครมานำพรรคเขาก็จะเลือก เพราะเขาคิดว่า ยังไงเสียท่านนายกทักษิณก็ต้องช่วยชาวบ้าน เป็นคน ช่วยคิดนโยบาย เป็นอะไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจากพรรค ไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพราะเขาเห็นบทบาท ตอนเป็นนายก มาแก้ไขปัญหาจนประเทศก้าวหน้าได้ เขาก็เชื่อว่าใครก็ตามที่มานำพรรคนี้ก็ต้องยึดแนวนโยบาย เดิม” (จตุพร เจริญเชื้อ, สัมภาษณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2558) 219

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น แม้ว่าคำอธิบายดังกล่าวอาจมีข้อถกเถียงจากใคร หลายคนว่า “ก้าวไม่พ้นทักษิณ” แต่ความจริงสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ไปค่อนข้างมากคือการอนุวัติทางความคิดในการพัฒนาที ่ แตกต่างจากความคิดของนักการเมืองในแบบเดิม ๆ ต่างหาก ที่ประชาชนได้ประโยชน์จริง กล่าวคือการทำให้เห็นว่านโยบาย ต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดออกมาโดยรัฐนั้นประชาชนส่วนใหญ่ทั้ง ประเทศได้ประโยชน์ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญที่ไม่เคยได้รับ การปฏิบัติมาก่อนในอดีต เช่นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายกองทุนหมู่บ้าน และโครงการประชานิยมหลากหลายที่ สามารถทำได้จริง ประชาชนจึงพร้อมใจเลือกพรรคไทยรักไทย ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยเห็นศาลาริมถนน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ที่มักเขียนติดไว้ว่าเป็น งบแปรญัตติของ ส.ส. คนนั้นคนนี้ หรือเป็นผลงานของ ส.ส. คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะดังที่เคยเห็นมาในอดีต ดังที่สุชาย ได้อธิบายในประเด็นนี้ไว้ว่า “ผมมาเป็นนักการเมืองจึงรู้ว่ารัฐธรรมนูญฯ ห้าม ส.ส. มายุ่งเกี่ยวกับงบประมาณ ซึ่งผมก็ถือว่ามันเป็นสิ่งดี เพราะสมัยก่อนเป็น ส.ส. จะมีเงินในกระเป๋าแล้ว 20 ล้าน กอ่ นปี 40 พอ 20 ลา้ นสมยั กอ่ นผมกเ็ หน็ เขาทำศาลารมิ ถนน มันจะเป็นหลังคาสังกะสีแล้วก็เขียนว่าโดย ส.ส. คนนั้น คนน้ี เขียนชื่อใส่ไว้ ผมกถ็ ามวา่ คือสมัยก่อนมันมี 20 ลา้ น จะซื้อกระโถน ซื้อถ้วยเข้าวัดก็ได้ สมัยก่อนเขาบอกว่า 20,000 ผมบอกเป็นผู้รับเหมา 3,000 ยังได้เลย ตอนผม เป็น ส.ส. พวกนี้ไม่มี มันก็สบายใจ ก็ดูว่าชาวบ้านเขา 220

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจกับนักการเมืองถ่ิน ต้องการอะไร แต่ก็ดีที่ทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลง ไปมาก...” (สุชาย ศรีสุรพล, สัมภาษณ์วันที่ 24 ธันวาคม 2558) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจไม่ได้ทำให้การเมืองไทยดูดี มีเหตุผลขึ้นทันตาเห็น แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ความ จริงจังและจริงใจของนักการเมืองในการแก้ไขปัญหาให้แก่ ประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้าเมา และทำให้ประชาชนมีตัวชี้วัด ในการประเมินผลงานของ ส.ส. หรือตัวแทนของเขาเพื่อเป็น ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจที่มีเหตุผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอันหนึ่งที่สะท้อนว่า สังคมเริ่ม ล้อมรัฐมากขึ้น หรือบทบาทของสังคมเริ่มอยู่เหนือรัฐมากขึ้น เป็นลำดับโดยเฉพาะในยุคประชานิยมภายใต้การนำของพรรค ไทยรักไทย ทำให้รัฐและผู้มีอำนาจรัฐต้องปรับตัวไปตามความ ต้องการของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 221

บ5ทท ี่ หลักเศรษฐธรรม กับนักการเมืองถ่ิน หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่นเป็นเรื่องที่กล่าวถึง ในวงวิชาการไทยน้อยมาก แต่โดยมากมักจะพูดถึงเรื่อง หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) อย่างไรก็ดีทั้งสองหลัก คิดมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ของผู้มีส่วนได้เสียในสังคม สำหรับหลักเศรษฐธรรมในบทนี ้ จะพิจารณาประเด็น อำนาจทางเศรษฐกิจกับนักการเมืองถิ่น ความยุติธรรมกับนักการเมืองถิ่น เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทางสังคมบทบาทและความอยู่รอดของนักการเมืองถิ่นในระบบ เศรษฐธรรม แหล่งอำนาจของนักการเมืองถิ่นกับการรักษาฐาน อำนาจทางการเมือง ประเด็นดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นได้

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน จากพฤติกรรมทางการเมืองในการเลือกตั้งของทั้งประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองในการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 5.1 แนวคิดและความหมายว่าด้วยหลักเศรษฐธรรม กับนักการเมืองถิ่น ระบบเศรษฐธรรมมีความสัมพันธ์กับนักการเมือง ในฐานะแหล่งอำนาจหรือความชอบธรรมทางการเมือง รวมถึง ความอยู่รอดของนักการเมือง ทั้งนี้เพราะระบบเศรษฐธรรม สะท้อนให้เห็นแนวคิด และพฤติกรรมของนักการเมืองที่โยงใย กับหลักจริยธรรม กล่าวคือการเป็นตัวแทนประชาชนของ นักการเมืองคือการอาสาทำหน้าที่รักษาสิทธิประโยชน์ของ ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับความกินดีอยู่ด ี ของประชาชน การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การสนับสนุนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าหลักเศรษฐธรรมอยู่บนพื้นฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและเศรษฐกิจ โดยทั่วไปหลัก- เศรษฐธรรม (Moral economy) มีอยู่ในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นยุค ก่อนสมัยใหม่ สมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ ประเทศในระบบ คอมมิวนิสต์ หรือในระบบประชาธิปไตยต่างก็มีพื้นฐานหลัก เศรษฐธรรมเหมือนกัน เพียงแต่เป้าหมาย จุดประสงค์ และ กระบวนการทางเศรษฐกิจและสังคมที่พึ่งพากันและกันนั้นอาจ จะแตกต่างกันไป เช่น ในภาพกว้าง เศรษฐกิจในระบบทุนนิยม คือ กิจกรรมการสร้างผลผลิตของปัจจเจกบุคคล เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิต ตามกรอบ ธรรมเนียม ความคาดหวัง และ ค่านิยมที่สังคมหรือประชาคมในระบบทุนนิยมยอมรับ เช่น 223

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น การปล่อยให้มีการแข่งขันโดยเสรี กรรมสิทธิ์เป็นของ ปัจเจกบุคคล ที่สำคัญคือ ไม่เบียดเบียนหรือทำลายความกินดี อยู่ดีของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าหลักเศรษฐธรรม ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มีอยู่ในประเทศทั่วโลกรวมถึง ในประเทศไทยดังที่สก๊อตต์กล่าวไว้คือ (James C. Scott, 1976) การยอมรับกันว่าสถานภาพและการกินดีอยู่ดีของมนุษย์ ถูกเพิ่มพูน เสริมสร้างโดยกิจกรรมอันเป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจ ในด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือไม่ว่าเศรษฐกิจจะยังประโยชน์ หรือสร้างมูลค่าใด ๆ ก็ตาม ต่างต้องอยู่ในอยู่ในกรอบ บรรทัดฐาน ความคาดหวัง และค่านิยมของสังคมนั้น ๆ กิจกรรมอันเป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ตัวแปรเดี่ยว แต่ มันต้องพึ่งพาสังคม กล่าวคือ ต้องเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของชุมชน สังคม และประชาชน โดยทั่วไปหลักเศรษฐธรรม คือ การตัดสินใจดำเนินการ ใดๆ ที่มีเหตุผล บนฐานจริยธรรมไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้ริเริ่ม กระทำ (Action) หรือเป็นผู้ตอบโต้การกระทำ (Reaction) และ ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ตอบโต้การกระทำ ล้วนแล้วแต่ได้รับ การสนับสนุนจากกฎเกณฑ์ธรรมเนียมปฏิบัติ ความคาดหวัง และค่านิยม ในท้องถิ่นนั้นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความคาดหวัง ธรรมเนียมปฏิบัติและค่านิยมของคนในประชาคมนั้นๆ เป็นสิ่ง ผลักดันให้เกิดการตัดสินใจที่มีเหตุผลในการกระทำเพื่อความ อยรู่ อดของพวกเขา สง่ิ เหลา่ นน้ั แหละทส่ี ะทอ้ นถงึ ความเปน็ ธรรม ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ เจมส์ ซี สกอตต์ เรียกว่า “บัญชาแห่ง ศีลธรรม” (moral imperative) (Scott, 1976) 224

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น เมื่อกล่าวถึงหลักเศรษฐธรรมที่ผูกโยงความสัมพันธ์ ระหว่างเศรษฐกิจกับความเป็นธรรมในสังคม สิ่งที่จะขาดและ ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ เรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่องว่าง ระหว่างรายได้ของคนจน-คนรวยอันเป็นผลมากจากการพัฒนา ทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อระบบนายทุนในสังคมไทยช่องว่าง ระหว่างคนจน-คนรวย นับวันจะห่างกันมากขึ้นทุกที่ หรืออยู่ใน สภาวะที่เรียกว่าหนึ่งรัฐสองสังคม คือรอยสุดขั้วจนสุดขีด (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2554, หน้า 300) ช่องว่างระหว่าง คนรวยสุด (20 เปอร์เซ็นต์ กับคนจนสุด 20 เปอร์เซ็นต์ ห่างกัน ถงึ 13.2 เทา่ (มตชิ น, 6 พ.ค. 2552) และคนรวยสดุ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ เป็นเจ้าของทรัพย์สินมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศเทียบกับ คนจนสุด 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้ส่วนแบ่งเพียง 3.9 เปอร์เซ็นต ์ (มติชน, 5 ตุลาคม 2552) ที่นำมากล่าวนี้เพียงเพื่อให้เข้าใจว่า คนที่มีความสนใจและใช้หลักเศรษฐธรรมจำเป็นต้องมีสำนึก เรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีความต้องการที่จะแก้ปัญหา ดังกล่าว และนำเสนอวิธีการในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม มิใช่ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นเพื่อแสวงหาประโยชน์จาก ช่องว่างตรงนั้น ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่พยายามเสนอ แนวทางแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมดังกล่าว แล้วได้ ผลประโยชน์ส่วนตนด้วยก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รับบ้างแต่ไม่ใช่ เพื่อการกอบโกยผลประโยชน์ เพราะนั่นย่อมเป็นการดีเสียกว่า การไม่นำเสนอแนวทางเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เลย ในปัจจุบันสังคมส่วนใหญ่ได้ปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจ เป็นระบบที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของชุมชน สังคม และ ประชาชน และได้กลายเป็นสังคมการตลาด (Market society) 225

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ที่ดำเนินไปตามบัญชาของกลไกการตลาด โดยที่ค่านิยมทาง สังคมท้องถิ่นไม่สามารถหรือมีบทบาทในการควบคุมหรือ กำหนดผลผลิตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ความ ต้องการของประชาชน ชุมชน หรือสังคมท้องถิ่นนั้น ๆ ได้ ในลักษณะเดียวกัน การเลือกตั้งตัวแทนประชาชนในยุค ปัจจุบัน จะเห็นว่ามีการใช้วิธีการในลักษณะเดียวกันกับ การตลาดในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ หรือผลประโยชน์ของประชาชน ชุมชน และสังคมท้องถิ่น มากเท่าที่ควร แต่มันเป็นไปตามกลไกตลาด กล่าวคือ พรรค การเมืองที่มีชื่อเสียงหรือครองตลาด ได้จะได้รับชัยชนะ บทบาทพรรคการเมืองจึงมีอิทธิพลต่อนักการเมือง ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะพรรคการเมืองคือปัจจัยหนึ่ง ทส่ี ง่ ผลใหน้ กั การเมอื งชนะการเลอื กตง้ั แตอ่ ยา่ งไรกด็ นี กั การเมอื ง ที่ไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทในพรรคการเมืองอย่างเด่นชัด อาจ จะถูกกีดกันให้ออกจากพรรคการเมืองนั้นได้ หรืออาจถูกจำกัด บทบาทในพรรคการเมือง มีนักการเมืองบางกลุ่มซึ่งมีจำนวนน้อย สามารถที่จะ ยืนหยัดทางความคิดและอุดมการณ์ของตน และสามารถเรียก ได้ว่าเป็นนักการเมืองที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนและประเทศ ชาติ เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ดังที่สุพจน์ ด่านตระกูล ได้ให้ความหมายนักการเมืองไว้ว่า “นักการเมือง คือบุคคลผู้ซึ่งยอมอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้ประชาชน และประเทศชาติในด้านกิจกรรมทางการเมือง เพื่อยังความ ยุติธรรมและสันติให้สมบูรณ์พูนสุขให้แก่ประชาชนด้วยความ 226

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน ซื่อสัตย์สุจริตโดยยึดอุดมคติว่า “เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม” และ “เหนือสิ่งอื่นใดคือชาติ และ เหนือชาติคือมนุษย์” นี่คือ ความหมายของนักการเมืองที่แท้ จริง...” กิจกรรมทางการเมืองต่างกับธุรกิจการค้า เพราะ ผู้ประกอบธุรกิจการค้าย่อมหวังผลกำไรเป็นเงินเป็นทอง โดยไม่ คำนึงถึงความเดือดร้อนของใครทั้งหมด นักการค้ามีอุดมคติว่า “เหนือสิ่งอื่นใดคือประโยชน์ส่วนตัว” ดังนั้นจึงเป็นการ ไม่แปลกประหลาดอะไรที่เราได้พบกับการฉกฉวยโอกาส กอบโกย ของบรรดาพ่อค้า เพราะนั่นเป็นวิสัยของนักการค้า ในระบบทุนนิยม แต่หากกิจกรรมทางการเมืองเป็นกิจกรรมที่ ต้องการความเสียสละ ต้องการความเป็นนักบุญ ไม่ใช่เพื่อ กอบโกยอย่างธุรกิจ ดังนั้น ผลตอบแทนที่นักการเมืองจะได้รับ ก็คือความศรัทธาของประชาชนที่เลือกพวกเขาให้มารับใช้ ประชาชนวาระแล้ววาระเล่า น่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับ ผู้มีอุดมคติที่ยึดมั่นอยู่กับการรับใช้ประชาชน ในบริบทของการเลือกตั้งในฐานะของเครื่องมือไปสู่ อำนาจทางการเมืองของนักการเมืองไทยอันรวมถึงนักการเมือง จังหวัดขอนแก่นด้วย ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยหลักแห่ง เศรษฐธรรมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ในการตัดสินใจที่มี เหตุผลเพื่อเลือกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพวกเขาเข้ามาทำ หน้าที่เพื่อความอยู่รอดและเพื่อประโยชน์ของคนในท้องถิ่นของ เขาให้ได้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่งที่พวกเขาพึงพอใจ 227

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น อย่างไรก็ดีในบริบทของนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น และโดยเฉพาะจังหวัดในภาคอีสานในยุคหลัง ๆ นี้ ประชาชน ส่วนใหญ่เลือกพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล นับตั้งแต่ การริเริ่มแนวคิดเรื่องประชานิยมของพรรคไทยรักไทย และมี การหาเสียงว่าพรรคการเมืองของตนมีนโยบายเพื่อประชาชน ของอยา่ งไร ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2544 เปน็ ตน้ มา ไมว่ า่ พรรคไทยรกั ไทย จะตระหนักได้หรือไม่ว่านี่คือหลักแห่งเศรษฐธรรม แต่สิ่งที่พรรค ไทยรักไทยได้ริเริ่มและบุกเบิกไม่ว่าจะเป็นนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน กองทุนเพื่อการศึกษา ฯลฯ หลากหลายนโยบายประชานิยม ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายที่ พลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างแท้จริงในแง่ที่ว่า “รู้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร และอะไรคือการตัดสินใจที่มี เหตุผลของประชาชน” นั่นคือหลักเศรษฐธรรมที่ถูกนำมาใช้ อย่างได้ผลของพรรคการเมืองอย่างไทยรักไทย แม้ว่าสิ่งที ่ พ่วงมากับนโยบายอันหลากหลายนี้จะมาพร้อมกับแบรนด ์ ตัวบุคคลคนที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม แต่ก็คุ้มค่าเพราะ ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหลายไม่ต้องจำยอมเลือก ส.ส. หรือเลือกพรรคการเมืองทั้งทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า ตนเองในฐานะ ผู้เลือกตั้งจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้างที่เป็นรูปธรรมและในระยะ ยาว หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต้องเลือก ส.ส.คนนั้น คนนี้เพราะ เขาเป็นญาติ เป็นคนพื้นที่ เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เป็นเพราะ ส.ส. คนนั้นจะเข้ามาเป็นตัวแทนและสร้างประโยชน์อะไร อย่างไรให้กับพวกเขาบ้าง นั่นแหละเป็นการเลือกตัดสินใจที่มี เหตุผล และชาญฉลาดมากขึ้นของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 228

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน 5.2 อำนาจทางเศรษฐกิจกับนักการเมืองถ่ิน โดยปกติผู้ที่ขันอาสาเข้ามาดำเนินการหรือเป็นตัวแทน ประชาชนมักมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ที่สำคัญมีความโดดเด่นในการบริหารการจัดการ รวมถึงความรู้ ความสามารถในการเสนอตนทำงานแทนประชาชน มีการ ศึกษาสูง มีประสบการณ์ในการทำงานรับใช้ประชาชน เช่น ขา้ ราชการในกระทรวง ทบวง กรมตา่ ง ๆ นอกจากน้ี นกั การเมอื ง มักมีสถานภาพทางสังคมที่สูงกว่าประชาชนทั่ว ๆ ไป หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นนำโดยจะสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่ของ นักการเมืองจะมีธุรกิจส่วนตัว หรือมีชื่อเสียงตามสายงาน หรืออาชีพใดอาชีพหนึ่งโดยเฉพาะ จากข้อมูลการศึกษาทั้งจาก เอกสารและการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องพบว่า นักการเมือง ส่วนใหญ่ไม่ว่าในยุคข้าราชการ ยุคธุรกิจการเมือง และยุค ประชานิยม ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจส่วนตัวที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคธุรกิจการเมืองและยุคประชานิยม เนื่องจากนักการเมืองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เข้าสู่ถนนทางการเมือง เพราะความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังจะหยิบยกตัวอย่างข้อมูล นักการเมืองจังหวัดขอนแก่นดังเช่น อดีต ส.ส. อำนวย วีรวรรณ แม้จะเป็นข้าราชการมาก่อน แต่ส่วนตัวก็มีฐานทางเศรษฐกิจ ที่ดี ในฐานะของประธานกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน ทำให้อำนวย ต้องออกไปนอกประเทศในเรื่องการค้าขายตามขอบข่ายของ สหยูเนี่ยนที่เป็นผู้ค้าทั้งในและนอกประเทศ มีเครือข่ายทาง ธุรกิจมากมาย ส่วน ส.ส. สุวิทย์ คุณกิตติ คือบุคคลหนึ่งที่มีฐาน ทางครอบครัวมาจากนักธุรกิจ เนื่องจากคุณพ่อเป็นเจ้าของโรงสี และโรงเลื่อย และมีธุรกิจปั๊มน้ำมัน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 229

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น มีคุณพ่อเป็นเจ้าของโรงสี จากข้อมูลนักสื่อสารมวลชนท้องถิ่น เจริญลักษณ์ เพชรประดับ ได้เล่าให้ฟังว่า “ตระกูลของ คุณสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นพวกคหบดี คุณพ่อเป็นเจ้าของโรงไม้ ย้ายมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี” (เจริญลักษณ์, สัมภาษณ์ 27 มีนาคม 2554) และเจริญลักษณ์ยังกรุณาเล่าถึงประวัติ ส.ส. ขอนแก่นคนอื่น ๆ ด้วย “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เองก็เป็น ลูกเถ้าแก่โรงสี... สุชาย ศรีสุรพลก็เป็นนักธุรกิจค้าไม้ และมี ธุรกิจเกี่ยวกับโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลเวชประสิทธิ ซึ่งอยู่ ในเครอื วงศต์ ระกลู ของ สชุ าย สว่ น ร.ต.อ. สรุ ตั น์ โอสถานเุ คราะห์ ก็มีธุรกิจของพ่อคือบริษัทในเครือโอสถสภา ส่วน ส.ส.นวัธ เตาะเจริญสุข ก็ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง” ส่วนจักริน พัฒน์ดำรงจิตร ก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม โรงแรมเจริญธานี ปริ้นเซส ส่วนคุณพ่อ เจริญ พัฒน์ดำรงจิตร ซึ่งมีฉายา อินทรี อิสาน หรือเสี่ยเล้ง (เจริญลักษณ์,สัมภาษณ์ 27 มีนาคม 2555, และอุสมาน ระดิ่งหิน, สัมภาษณ์ 2 เมษายน 2555) ส.ส. มีธุรกิจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคนที่พร้อมจะมาเป็นตัวแทน ประชาชนสมควรมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจอยู่พอสมควร ก่อนที่จะขันอาสามาช่วยพัฒนาประชาชน 5.3 ความยุติธรรมกับนักการเมืองถ่ิน โดยปกติแล้ว คงไม่มีใครสามารถนิยามความหมาย คำว่า “ยุติธรรม” ได้อย่างครอบคลุมและใช้ได้กับทุกสังคม เพราะมีการถกเถียงกันมาก อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่เราอาจเห็น พ้องกันในเรื่องความยุติธรรม คือ “ความยุติธรรมนั้นเป็น ข้อเรียกร้องทางศีลธรรมที่เชื่อมโยงกับความประพฤติในความ 230

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน สัมพันธ์ระหว่างมนุษย์” (วรเจตน์ ภาคีรัตน์, 2554, หน้า 331) ในอีกนัยยะหนึ่ง ความยุติธรรมหมายถึงสิทธิและหน้าที่ในทาง ศีลธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน ความยุติธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งของ ศีลธรรม อย่างไรก็ดีในการพิจารณาประเด็นว่าด้วยความ ยุติธรรม สิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์ คือ การกระทำของมนุษย์และ กฎเกณฑ์ที่กำหนดการกระทำของมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดคือ กฎเกณฑ์ที่จะใช้กำหนดการกระทำของมนุษย์จำเป็นต้องได้รับ การยอมรับและเห็นพ้องกันระหว่างมนุษย์ในสังคมนั้น ซึ่งหมายความว่ากฎเกณฑ์นั้นมีลักษณะในการบังคับใช้เป็นการ ทั่วไป ครอบคลุมเฉพาะในสังคมที่เห็นชอบด้วยกฎหมาย ที่กำหนดดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญสูงสุดของแต่ละ ประเทศที่บังคับใช้เฉพาะกับคนในประเทศนั้น ๆ เป็นต้น หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าความยุติธรรมคือการปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์หรือกติกาที่สังคมกำหนดอย่างเสมอหน้ากัน โดยไม่มี การเลือกปฏิบัติ เช่นการปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในแง่ นี้ถือได้ว่าหรือเรียกได้ว่าสังคมใช้หลักนิติธรรม (The Rule of law) ซึ่งเป็นหลักนิติหรือหลักกฎหมายที่สังคมเห็นพ้องต้องกัน และยอมรับผิดรับชอบซึ่งกันและกัน อันที่จริงความยุติธรรมมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับ หลักนิติรัฐที่ประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของราษฎร การที่รัฐ รัฐหนึ่งจะเป็นนิติรัฐได้ต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน คือ การยอมรับร่วมกันในกฎกติกาที่สังคมสร้างขึ้นมา หรือกล่าว ตามนักทฤษฎี รุสโซ คือ “การมีเจตนาร่วมกัน” (General will) ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นกติกาพื้นฐานในการจัดระเบียบโครงสร้างของรัฐ และกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “ราษฎร” 231

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในภาพรวมของความยุติธรรมนอกเหนือจากเป็นเรื่อง ของศีลธรรมแล้ว ความยุติธรรมจึงต้องประกอบไปด้วย หลัก นิติธรรม (The Rule of Law) หลักความเห็นพ้องต้องกัน (The Rule of Consent) และหลักความเสมอภาค (The Rule of Equality) ซึ่งในแต่ละหลักมีรายละเอียดปลีกย่อยจะไม่กล่าวถึง ณ ที่นี้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถสังเกตได้ในบริบทของสังคมไทย คือ ที่มาของหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมของไทยมักมาจากคนผู้มี อำนาจส่วนบนมาโดยตลอด กล่าวคือ ชนชั้นปกครอง ชนชั้นนำ จึงเป็นที่มาและเป็นข้อจำกัดของหลักความเห็นพ้อง/ความ ยินยอม และหลักแห่งความเสมอภาคในการบังคับใช้ ด้วย เหตุผลดังกล่าวนี้เองสังคมไทยจึงเกิดกระแสคัดค้าน ล้มล้าง รัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปกฎหมายรัฐธรรมนูญสูงสุดเสมอมา เนื่องจากขาดความเห็นพ้อง ยินยอม ซึ่งต้องมาจากการทำ ประชามติ (consensus) เป็นต้น รัฐธรรมนูญไทยปี 2540 และ 2550 เป็นตัวอย่างของความต้องการปฏิรูปกฎหมายเพื่อสร้าง ความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระนั้นก็ดี ตราบเท่าที่ มนุษย์ยังมีความต้องการอย่างไม่จำกัด และสังคมโลก เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การปฏิรูปจะคงมีอยู่ต่อไปในสังคมไทย อย่างไรก็ดี ลักษณะอันเป็นพลวัตของความต้องการในสังคม ไทยที่จะปฏิรูปกฎหมาย คือคุณลักษณะส่วนหนึ่งของสังคมยุค หลังสมัยใหม่ที่มีลักษณะไม่คงที่ (Relativism) เปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ (Dynamism) และมีลักษณะของการยอมรับความ หลากหลาย (Pluralism) (Postmodernism, สืบค้นจาก http:// www.en.wikipedia.org/wiki/Postmodernism) 232

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถ่ิน ในส่วนเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม นักการเมืองในฐานะ ตัวแทนประชาชนและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นอำนาจและสิทธิหน้าที่อันได้มาจากความเป็นตัวแทน ประชาชนจำเป็นจะต้องสะท้อนความต้องการของประชาชน กล่าวคือ นักการเมืองต้องใช้สิทธิและหน้าที่เพื่อประชาชน มิเช่นนั้นพวกเขากำลังละทิ้งความยุติธรรมในหน้าที่ที่ประชาชน มอบให้ และในขณะเดียวกันการไม่ทำหน้าที่ให้สมกับฐานะ ตัวแทนประชาชนย่อมแสดงให้เห็นถึงการขาดความชอบธรรม ในการดำรงตำแหนง่ อันทรงเกียรตินี้ ดว้ ยเหตนุ ้ีเองที่นักการเมอื ง จึงพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้ออกเป็นผลที่เป็นประโยชน์ ทั้งรปู ธรรมและนามธรรม ในอดีตนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน นักการเมืองและ ส.ส. ที่เป็นตัวแทนประชาชน ชาวจังหวัดขอนแก่นล้วนสร้างประวัติในการทำหน้าที่แทน ประชาชนได้อย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองยุคข้าราชการ 2775-2528 ยุคธุรกิจการเมือง 2528-2544 และยุคประชานิยม 2544-ปัจจุบัน โดยในส่วนนี้จะขอหยิบยกนักการเมืองแต่ละยุคที่ มีผลงานอันโดดเด่นในการทำหน้าที่เพื่อประชาชน 5.4 ยุคข้าราชการ พ.ศ. 2475 - 2528 แน่นอนว่าการแบ่งช่วงเวลาเป็นยุคนี้อาจเป็นข้อสงสัย ของหลายคน แต่ผู้ทำวิจัยเห็นว่าเป็นยุคที่ข้าราชการโดยเฉพาะ ทหารมีบทบาทและอำนาจอย่างสูงในการเมืองและการปกครอง ของไทย สังเกตได้จากความบ่อยครั้งในการปฏิวัติรัฐประหาร และการครองตำแหน่งระดับสูงของนักการเมืองในเครื่องแบบ 233

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ทหาร นอกเหนือจากนี้เป็นยุคที่ศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่ ข้าราชการ ดังนั้นข้าราชการมีบทบาทและอำนาจเหนือ ประชาชน และกลายเป็นว่าประชาชนคนรากหญ้าส่วนใหญ่ถูก กดทับทั้งสิทธิ เสรีภาพ ในบางช่วงบางตอนของปรากฎการณ์ ทางการเมือง อาทิเช่น ในยุคเผด็จการทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่กำหนดกฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ขัดต่อ เสรีภาพของปวงชนชาวไทย เช่น กฎหมายวัฒนธรรม การเข่น ฆ่าประชาชนผู้เห็นต่างทางความคิดในยุค 14 ตุลาคม 2516 ของรัฐบาลทหาร ฯลฯ ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็น การขาดความชอบธรรม ความยุติธรรมในการทำหน้าที่เพื่อ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของอำนาจรัฐตามหลักการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นคนแรกที่จะหยิบยกมา พูดถึงของยุคนี้คือ ส.ส. ทิม ภูริพัฒน์ มีแกนนำร่วมอย่าง นายผล แสนสระดี นายโสภัณ สุภธีระ ผู้ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม เสรีไทยภาคอีสานและเป็น ส.ส. จังหวัดขอนแก่น แต่ละคนเป็น ผู้ที่มีอุดมการณ์ในการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ชาวไทย โดยเฉพาะชาวอีสาน พวกเขาเป็นแกนนำที่ปลุกระดม ความคิด และการตระหนักในความเป็นชนเชื้อชาติ “ลาว” รวมถึงแนวคิดเรื่องท้องถิ่นนิยมและภูมิภาคนิยม แม้ว่าหลาย ๆ ครั้งจะถูกกล่าวหาอย่างหนักหน่วงในเรื่องการสนับสนุนลัทธิ คอมมิวนิสต์ หรือ แนวคิดสังคมนิยม ดังจะเห็นได้จากบทบาท ของ ส.ส. ในสภาของกลุ่มเสรีไทย ที่ทั้งสนับสนุนและคัดค้าน กฎหมายสำคญั ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน (ดรู ายละเอยี ดใน ดารารตั น์ เมตตารกิ านนท,์ 2546, หนา้ 242-284) 234

หลักเศรษฐธรรมกับนักการเมืองถิ่น ส่วนบทบาทสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายแคล้ว นรปติ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจเพราะก็เป็นผู้หนึ่งที่มี ความคิดสังคมนิยมเช่นกัน ดังนั้นบทบาทในฐานะตัวแทน ประชาชนที่สอดส่องดูแลปัญหาของประชาชนทั้งทางด้านการ ส่งเสริมแนวคิดประชาธิปไตย แนวคิดในการดำเนินนโยบาย ต่างประเทศอย่างเป็นกลาง นโยบายการป้องกันประเทศและ การแก้ปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ การต่อต้านเผด็จการ ทหาร การสนับสนุนให้เอกชนรวมตัวจัดตั้งสหกรณ์ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นบทบาทที่สนับสนุนอำนาจประชาชนและการมีส่วนร่วม ของปะชาชนจะสังเกตเห็นได้จากการมีส่วนร่วมอภิปราย พิจารณาอนุมัติร่างพระราชบัญญัติในสภาของ ส.ส. แคล้ว ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี ระหว่างปี 2495-2529 จำนวน 22 ฉบับ (ดูรายละเอียดใน สำรวน ศิริบุรี, 2537, หน้า 148-150) หรือในกรณีที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นในกรณีที่เกี่ยวข้อง กับการปกครองแบบเผด็จการของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงขนาดที่ “จะทุบอนุสาวรีย์ สฤษดิ์ ทิ้ง” (เจริญลักษณ์ เพชรประดับ, สัมภาษณ์วันที่ 27 มีนาคม 2554) หรือตัวอย่างอดีต ส.ส. ร.ท. จารุบุตร เรืองสุวรรณ อดีตประธานวุฒิสภาและประธานรัฐสภาคนแรกของจังหวัด ขอนแก่น ที่มีบทบาททั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ในด้านการศึกษามีผลงานทางวิชาการมากมาย ทั้งตำรา บทความ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ก่อตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่วนด้านเศรษฐกิจ เป็นผู้ได้รับ การแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการธนาคารสหพานิชย์ ฯลฯ และ ด้านการเมืองที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่โดยตรงในฐานะผู้แทนราษฎร 235