Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 10. นายศิริชัย ฉัตรชัยพลรัตน์ เขต 10 ชาติพัฒนา เลือกตั้งใหม่ 29 ม.ค. 44 สังกัดพรรคไทยรักไทย 6 ก.ย.44 11. นายพงศกร อรรณนพพร เขต 10 ไทยรักไทย เลือกตั้งใหม่ 20 พ.ค. 44 12. นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ เขต 11 ความหวังใหม่ เลือกตั้งแทน 30 มิ.ย. 44 สังกัดพรรคไทยรักไทย 28มี.ค.44 ครงั้ ท่ี 21 6 ก.พ. 2548 1. นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร เขต 1 ไทยรักไทย 2. นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เขต 2 ไทยรักไทย 3. นายจตุพร เจริญเชื้อ เขต 3 ไทยรักไทย 4. นางมุกดา พงษ์สมบัติ เขต 4 ไทยรักไทย 5. นายภมู ิ สาระผล เขต 5 ไทยรักไทย 6. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 6 ไทยรักไทย 7. นายสุชาย ศรีสุรพล เขต 7 ไทยรักไทย 8. นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 8 ไทยรักไทย 9. นายอรรถสิทธิ์ กาญจนสินิทธ์ เขต 9 ไทยรักไทย 10. นายพงศกร อรรณนพพร เขต 10 ไทยรักไทย ครั้งท่ี 22 23 ธ.ค. 2550 1. นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร เขต 1 เพื่อไทย 2. นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เขต 1 ภูมิใจไทย 3. นายภมู ิ สาระผล เขต 1 เพื่อไทย 4. นางดวงแข อรรณนพพร เขต 2 เพื่อไทย 36

ข้อมูลทั่วไป 5. ร้อยโท ปรีชาพล พงษ์พานิช เขต 2 เพื่อไทย 6. นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย เขต 2 เพื่อไทย 7. นายจตุพร เจริญเชื้อ เขต 3 เพื่อไทย 8. นายนวัธ เตาะเจริญสุข เขต 3 เพื่อไทย 9. นายปัญญา ศรีปัญญา เขต 3 ภมู ิใจไทย 10. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 4 เพื่อไทย 11. นายสุชาย ศรีสุรพล เขต 4 เพื่อไทย คร้ังที่ 23 3 ก.ค. 2554 1. นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร เขต 1 พรรคเพื่อไทย 2. นายภูมิ สาระผล เขต 2 พรรคเพื่อไทย 3. นายจตุพร เจริญเชื้อ เขต 3 พรรคเพื่อไทย 4. นางมุกดา พงษ์สมบัติ เขต 4 พรรคเพื่อไทย 5. นายสุชาย ศรีสุรพล เขต 5 พรรคเพื่อไทย 6. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 6 พรรคเพื่อไทย 7. นายนวัธ เตาะเจริญสุข เขต 7 พรรคเพื่อไทย 8. นางดวงแข อรรณพพร เขต 8 พรรคเพื่อไทย 9. ร้อยโท ปรีชาพล พงษ์พานิชย์ เขต 9 พรรคเพื่อไทย 10. นาย เรืองเดช สุพรรณฝ่าย เขต 10 พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่ประเทศไทยได้นำการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามาใช้เมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีตัวแทนผู้ใช้อำนาจประชาชนในระบบรัฐสภาแล้ว 33 ชุด (ดูรายละเอียดอยู่ในภาคผนวก) รูปแบบของรัฐสภาไทย มีทั้งแบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ และที่มาจากการเลือกตั้ง และแต่งตั้ง โดยที่สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั่วไป 37

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 ซึ่งตรงกับรัฐสภาชุดที่ 29 มีสภาชุดที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด 8 ชุด คือ ชุดที่ 11, 13, 14, 17, 18, 19, 24, และ 31 โดยมีชื่อเรียกว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติบ้าง ส่วนสภาชุดที่เหลือนั้นมาจากการ เลือกตั้งซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมือง ในขณะนั้น นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าสังคมไทยได้ให้ความสำคัญ กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามากขึ้น เป็นลำดับ ดังประจักษ์พยานการเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับ ประชาชน ที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาแล้ว 17 ฉบับ และที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 (ปี พ.ศ. 2550) สังคมไทยให้ความสำคัญกับนักการเมืองที่เป็น ตัวแทนของประชาชนในระบบรัฐสภามากดังจะเห็นได้จากการ ออกมาใช้สิทธิของประชาชนในการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง และ จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากคุณสมบัติและความสามารถของ นักการเมืองเองแล้ว พรรคการเมืองมีบทบาทในการเลือกตั้ง มากขึ้นด้วย เหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับ จังหวัดขอนแก่นและนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ในส่วน รายละเอียดที่เกี่ยวของอื่นๆ อาทิเช่น ประวัติของนักการเมือง ถิ่นโดยสังเขป ข้อมูลการเลือกตั้ง ประวัติรัฐสภาไทย หรืออื่นๆ จะจัดไว้ในภาคผนวกเพื่อสะดวกในการนำเสนอตามกรอบ ความคิดในวิจัยชิ้นนี้ต่อไป 38

ข้อมูลท่ัวไป 2.2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ในอดีตที่ผ่านมามีงานวิจัยที่ศึกษานักการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง รวมทั้งรูปแบบทางการเมืองโดยใช้ ทฤษฎีการพัฒนาทางการเมือง ทฤษฎีความทันสมัย ทฤษฎี ชนชั้นนำ ทฤษฎีภาวะผู้นำ ฯลฯ เพื่อมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมทางการเมืองของรัฐ ขององค์กร หรือของชนชั้น ปกครอง จนเห็นได้ว่า ไม่มีทฤษฎีใดโดยลำพังจะสามารถ อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของบุคคล องค์กร หรือรัฐ ได้อย่างครอบคลุม เพียงแต่ทฤษฎีเหล่านี้ได้ฉายภาพตาม หลักคิดในทฤษฎีนั้นเท่านั้น และก็เจาะจงได้เฉพาะเรื่องเท่านั้น แต่มีข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่งก็คืองานวิจัยประเภทนี้ ก็คือ การเน้นย้ำวาทกรรมการศึกษา “การปกครองในรูปแบบ ประชาธิปไตย” ให้เด่นชัดขึ้นมาเท่านั้นเอง จึงดูเสมือนว่างาน วิจัยส่วนใหญ่ที่ศึกษาบทบาท ภาวะผู้นำ ความคิดผู้นำทาง การเมือง ก็คือหนึ่งในกระบวนการการพัฒนาในระบอบ การปกครองแบบประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม และดูเหมือน แนวทางทฤษฎีการศึกษาทางเลือกที่จะอธิบายปรากฏการณ์ ทางการเมือง พฤติกรรม หรือบทบาททางการเมืองของ นักการเมืองแทบจะไม่ได้รับความสนใจ เช่น ทฤษฎีทาง การเมืองของ คาร์ล มาร์ก ทฤษฎีทางการเมืองอิสลาม หรือ ทฤษฎีทางเลือกอื่นๆ เพราะปรากฏการณ์ทางการเมืองทั้งหลาย ส่วนใหญ่อยู่บนฐานความคิดการพัฒนาตามระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตยกระแสหลักในสังคมโลกในยุค ปัจจุบัน 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น อย่างไรก็ดี งานวิจัยว่าด้วยนักการเมืองและพฤติกรรม ทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ มีไม่มาก นัก และโดยมากมักจะเน้นการวิจัยตัวผู้นำระดับสูง หรือผู้ที่ม ี ชอ่ื เสยี งในระดบั ประเทศ ซง่ึ แนวโนม้ ของการศกึ ษาวจิ ยั สว่ นใหญ่ จะใช้ทฤษฎีภาวะผู้นำ หรือไม่ก็ใช้ทฤษฏี ชนชั้นนำในการศึกษา วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องข้างล่างต่อไปนี้เป็นผลงานส่วนหนึ่งที่ ศึกษาชนชั้นนำที่มีอิทธิพลทางการเมืองไทยซึ่งมีประโยชน์ในแง่ ที่สามารถชี้นำแนวทางการศึกษาชนชั้นนำ ชนชั้นปกครองโดย เฉพาะอย่างยิ่งคือการฉายภาพนักการเมืองที่มีคุณภาพมีผล งานเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม มีบทบาทในการพัฒนาสังคมไทย และสมควรนำไปเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังรวมทั้งคู่ควรต่อ การเผยแพร่สู่สาธารณชนดังจะกล่าวถึงดังต่อไปนี้ ในงานเขียนที่ศึกษาภาพรวมในเชิงทฤษฎีและฉายภาพ ชีวิตของผู้นำการเมืองของไทยได้ดีเพราะพูดถึงเรื่อง อำนาจ บุคลิกภาพและความเป็นผู้นำของนักการเมืองหรือผู้นำของไทย คืองานของยศ สันตสมบัติ (2533) เรื่อง อำนาจ บุคลิกภาพ และผู้นำการเมืองไทย งานชิ้นนี้ศึกษาวิจัยชีวประวัติของบุคคล ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูง มีอำนาจในการ ตัดสินใจ ควบคุม หรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ซึ่งมีผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ได้แก่ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการ ทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก รัฐมนตรี ซึ่งประวัติดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีชนชั้นนำที่เน้น ความสำคัญเรื่องอำนาจ อิทธิพล และบทบาทของชนชั้นนำใน ระบบการเมือง 40

ข้อมูลท่ัวไป ส่วนงานที่เน้นศึกษาอัตชีวประวัติของบุคคลมีหลายชิ้น แม้เป็นเรื่องที่มีคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์และการจัดทำเป็น ฐ า น ข ้ อ มู ล ใ ห ้ ช น ร ุ ่ น ห ล ั ง ไ ด ้ ศ ึ ก ษ า แ ต ่ ย ั ง ข า ด ม ิ ต ิ ใ น ก า ร เปรียบเทียบการศึกษาเพราะส่วนใหญ่เป็นการศึกษาประวัติ บุคคลเพียงคนเดียว งานประเภทดังกล่าวมีหลายชิ้นเช่น งาน ของ สรวง วงศ์สุวรรณเลิศ (2545) เรื่อง พล.อ. เปรม ติณสูลา นนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน เป็นงานที่นำเสนออัตชีวประวัติของอดีต นายกรัฐมนตรีผู้ที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างสูง ของคนไทยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยนำเสนอชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งถึงการเข้ามามีอำนาจในทางการเมืองและการอำลา ชีวิตทางการเมืองจนกลายเป็นรัฐบุรุษในปัจจุบัน เสถียร จันทิมาธร (2532) ศึกษาชีวประวัติของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ผู้มีบุคลิกเฉพาะตัว โดยนำเสนอตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ วัยเด็กเรื่อยมาจนกระทั่ง การเขา้ มามอี ำนาจทางการเมอื ง งานชน้ิ นม้ี ลี กั ษณะทไ่ี มแ่ ตกตา่ ง จากงานเขียนของสรวงมากนักในแง่ของศึกษาอัตชีวประวัติของ บุคคลที่เน้นประวัติและความสำเร็จส่วนตัวในอาชีพและ การงานโดยเฉพาะในแวดวงราชการและการเมือง ประสาน มฤคพทิ กั ษแ์ ละคณะ (2542) ศกึ ษาชวี ติ ความคดิ และการทำงานของ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตร ี สองสมัย ซึ่งถือเป็นผู้นำทางการเมืองอีกคนหนึ่งที่ได้รับ การยอมรับเป็นแบบอย่างและเป็นผู้นำในอุดมคติของคนไทย เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ซึ่งงานชิ้นนี้ มีจุดดึงดูดในแง่ของการจุดประเด็นความเป็นผู้นำยุคใหม่ที่ต้อง 41

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น เก่งและที่สำคัญคือความโปร่งใสในการบริหารงาน ซึ่งถือเป็น ไฮไลท์สำคัญที่ขาดหายไปในการเมืองเพราะการเมืองเป็นเรื่อง ของอำนาจและผลประโยชน์ บ่อยครั้งมีความไม่โปร่งใสด้านใด ด้านหนึ่งดำรงอยู่ เริงศักดิ์ กำธร (2535) ศึกษาชีวประวัติของ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีผู้ที่มีรากเหง้าจากเด็กบ้านนอก บิดาเป็นครู มารดาเป็นแม่ค้าขายพุงปลาในตลาด แต่สามารถถีบตัวจนก้าว ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้ตามคำกล่าวที่เริงศักดิ์โปรยไว้ที่หน้า ปกหนังสือว่า “คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกดำเนิน ชีวิตได้” งานชิ้นนี้ให้แง่มุมในเชิงทฤษฎีชนชั้นนำแบบพหุนิยม (Pluralist school of Elite Theory) ที่ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลง สถานภาพตนเองจากชนชั้นผู้ถูกปกครองไปเป็นชนชั้น ผู้ปกครองนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ เปลี่ยนแปลงไป สัญลักษณ์ เทียมถนอม (2547) เป็นผู้เรียบเรียงชีวิต การทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบรรหาร ศิลปอาชา มวี ธิ กี ารนำเสนอดว้ ยการใหน้ ายกรฐั มนตรผี นู้ เ้ี ปน็ ผเู้ ลา่ เหตกุ ารณ์ ต่าง ๆ ที่สำคัญ ในยุคสมัยที่ตัวเขาเป็นผู้บริหารประเทศ เป็น งานชิ้นหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญและความใส่ใจผู้ให้ สัมภาษณ์หรือผู้เล่ามาก ๆ (natural setting) อันเป็นการได้มาซึ่ง ข้อมลู เชิงลึกของการวิจัยเชิงคุณภาพ และเช่นเดียวกันงานของ อภิวัฒน์ วรรณกร (2540) ไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว เขาได้ศึกษา 42

ข้อมูลทั่วไป ชีวประวัติของพลเอกชวลิต ยงใจยทุ ธ อดีตผ้บู ัญชาการทหารบก ผู้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งสำคัญในกองทัพเพื่อมาจัดตั้ง พรรคการเมืองใหม่ คือ พรรคความหวังใหม่ จนในที่สุดประสบ ความสำเร็จทางการเมืองสูงสุดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้ว่าข้อค้นพบไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่นอกเสียจากการเรียบ เรียงประสบการณ์การทำงานและบทบาทของชนชั้นนำทาง ทหารในการเมืองไทย แต่ให้แง่มุมการศึกษาในฐานะตัวแทน ของรัฐและระบบราชการรวมถึงบทบาทของชนชั้นผู้ปกครอง ในกรณีเดียวกันกับงานของอภิวัฒน์ บุญกรม คงบัง สถาน (2548) ได้ศึกษา “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ งานชิ้นนี้ได้ศึกษาแนวคิด และบทบาทของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผ่านสมรภูมิการต่อสู้ในชีวิตจริงทั้งทาง ทหารและทางการเมือง และยังได้พูดถึงความสำเร็จและความ ล้มเหลวในการต่อสู้ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีอิทธิพลต่อ สังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการ แก้ปัญหาภาคใต้ เช่น ทฤษฏีดอกไม้หลากสีแต่ไม่ได้รับการตอบ สนองจากผู้ปฏิบัติการภาครัฐในพื้นที่เท่าที่ควร อย่างไรก็ดีงาน ชิ้นนี้เป็นความพยายามที่จะดึงเอาบทบาทและหน้าที่อัน โดดเด่นของผู้นำในการรักษาความสงบสุขภายในชาต ิ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ รวมถึง ข้อเสนอและแนวทางในการแก้ปัญหาของชาติ ในด้านหนึ่งใน ฐานะตัวแทนของรัฐและอีกด้านหนึ่งในฐานะตัวแทนประชาชน ในขณะทง่ี านของ นพิ นธ ์ โซะเฮง (2543) เรอ่ื ง “วสิ ยั ทศั น์ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ : ศึกษาเปรียบเทียบผู้นำระหว่างพลเอก 43

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ชาติชาย ชุนหะวัณ นายอานันท์ ปันยารชุน และ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด” เป็นงานวิทยานิพนธ์ รัฐศาสตร์มหาบัณฑิตของ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งผู้เขียนมีจุดประสงค์ที่จะศึกษา เปรียบเทียบชีวิต แนวคิด และบทบาทของผู้นำที่สะท้อนออกมา เป็นวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในขณะที่ยัง ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศซึ่งสามารถนำพาประเทศ ไปสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง และข้อคิดที่ สำคัญในงานชิ้นนี้คือเสถียรภาพทางการเมืองและความต่อ เนื่องในการครองอำนาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การพัฒนา เศรษฐกิจบรรลุผลได้ด้วยดี แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดระบอบ เผด็จการอำนาจนิยมได้ง่ายเช่นกัน จะเห็นได้ว่าวรรณกรรมหรืองานทางวิชาการส่วนใหญ่ ข้างต้นจะเน้นศึกษาหรือให้ความสำคัญกับบทบาท หน้าที่ของ บุคคลสำคัญของประเทศในฐานะชนชั้นปกครองซึ่งส่วนใหญ่ จะเน้นหนักเฉพาะเรื่องที่เป็นความสามารถอันโดดเด่นหรือ เกียรติยศส่วนบุคคลของนักการเมืองนั้นมากกว่าที่จะเป็นเรื่อง ความสำเร็จในการตอบสนองความต้องการของมวลชนในฐานะ ตัวแทนประชาชนหรือมวลชน กล่าวคือการศึกษาบทบาท หน้าที่ของผู้นำหรือนักการเมืองในฐานะตัวแทนประชาชน และ พวกเขามีส่วนช่วยในการตอบสนองความต้องการของมวลชน ได้มากน้อยเพียงใด พวกเขาได้ทำหน้าที่ในการยกระดับ คุณภาพชีวิตของมวลชนอย่างไรบ้าง และพวกเขาได้นำเสนอ นโยบายเพื่อประชาชน สนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้ถึงระดับใดเป็นต้น เหล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 44

ข้อมูลทั่วไป มากกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกัน ในทางกลับกัน การศึกษา นักการเมือง และพฤติกรรมทางการเมืองในท้องถิ่นรอบนอก กรุงเทพฯ กลับมีไม่มากนัก (บฆู อรี ยีหมะ, 2549, หน้า 11) อย่างไรก็ดี การศึกษาประวัติบทบาท ความคิด และ การต่อสู้ของนักการเมืองถิ่นได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยของสถาบัน พระปกเกล้า ซึ่งในการวิจัยหลายจังหวัดที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไปแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อประชาคมวิชาการไทยมาก ตัวอย่างการศึกษานักการเมืองถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ที่ถูกจัด ตีพิมพ์ไปแล้วหลายจังหวัด เช่น จังหวัดเชียงราย เลย อุดรธานี อุบลราชธานี ชลบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี สมุทรสงคราม ฯลฯ งานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ ศึกษานักการเมืองถิ่นในจังหวัดรอบนอกกรุงเทพฯ แทบทั้งสิ้น และโดยส่วนใหญ่ก็มุ่งศึกษาประเด็น ประวัติ บทบาท ความคิด และความสัมพันธ์กับกลุ่มที่สนับสนุนทางการเมืองของ นักการเมืองถิ่นแต่ละคน แต่ละจังหวัด โดยทฤษฎีส่วนใหญ่ ที่นำมาอธิบายคือเรื่องชนชั้นนำ ภาวะผู้นำ ระบบอุปถัมภ์ ดังจะกล่าวถึงพอสังเขปดังนี้ ในขณะที่ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์ (2551) และพรชัย เทพปัญญา (2549) ได้กล่าวถึงทฤษฎีชนชั้นนำ (Elitist Theory) ว่าชนชั้นผู้นำเป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองในการที่จะชี้ชะตา บุคคลที่อยู่ภายใต้การปกครองให้เป็นไปตามครรลองที่เขา ต้องการ เครื่องมือที่สำคัญในการช่วยสร้างฐานอำนาจให ้ 45

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เข้มแข็ง ได้แก่ สถานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และความสามารถ ที่จะควบคุมปัจจัยการผลิตไว้ได้ นอกจากนั้นได้เสนอแนวคิด ของทฤษฎีชนชั้นผู้นำไว้ดังนี้ 1. ยอมรับการแบ่งสังคมเป็นสองชนชั้น คือ ผู้ปกครอง และผู้อยู่ใต้ปกครอง 2. ผู้ปกครองจะเป็นผู้ครอบครองเศรษฐกิจส่วนใหญ่ ภายในสังคม 3. อาจมีการหมุนเวียนโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในระบบ การเมืองในสถานะของผู้ปกครอง โดยอาจเป็นการหมุนเวียน เฉพาะกลุ่มของพวกชนชั้นผู้นำด้วยกัน หรืออาจเป็นการ หมุนเวียนระหว่างชนชั้นผู้นำกับมวลชนโดยเกิดจาก 2 ลักษณะ คือ การที่มวลชนได้เปลี่ยนสถานะตัวเองไปเป็นชนชั้นผู้นำหรือ มวลชนได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อที่จะตั้งกลุ่มชนชั้นผู้นำใหม่ และ รูปแบบการหมุนเวียนแบบสุดท้าย คือ การหมุนเวียนของชนชั้น ผู้นำที่เป็นการหมุนเวียนระหว่างผลประโยชน์เดิมที่กำลังหมดไป กับผลประโยชน์ใหม่ที่เข้ามาแทนที่ 4. ทฤษฎีชนชั้นนำเน้นย้ำถึงการมีฉันทานุมัติ (Consensus) ร่วมกันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เบื้องต้นของสังคมเพื่อ การอยู่รอดของระบบ 5. นโยบายสาธารณะจะไม่สะท้อนถึงความต้องการของ มวลชน แต่จะแสดงให้เห็นถึงความต้องการของพวกตน แม้ใน บางครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายสาธารณะแต่การ เปลี่ยนแปลงค่านิยมของตนมิใช่เพราะเพื่อประชาชน 46

ข้อมูลท่ัวไป อย่างไรก็ดีจะเห็นว่าแนวคิดและทฤษฎีชนชั้นนำได้กลาย เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดแนวคิดที่สนับสนุนอำนาจภาคประชาชน หรือประชาสังคมมากขึ้นในการศึกษาในเวลาต่อมา ในขณะที่ บูฆอรี ยีหมะ (2549) ได้ศึกษานักการเมืองถิ่น โดยใช้กรอบทฤษฏีว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบริบทเชิง โครงสร้างกับผู้กระทำ (Structure and Actor Relations) โดยมอง ว่าโครงสร้างทำหน้าที่ในการกำหนดขอบเขตความเป็นไปได้ใน การกระทำต่อผู้กระทำ (Actor) หรือกำหนดพฤติกรรมของคน ในสังคมว่าสิ่งใดกระทำได้และไม่ได้ โครงสร้างจึงเป็นทั้งกรอบ จำกัด (Constraint) และโอกาส (Opportunity) ในการกระทำหรือ แสดงพฤติกรรมของคนในสังคม ในขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยที่ศึกษาบทบาทของ นักการเมืองถิ่นอยู่บ้างแต่ก็ยังมีจำนวนน้อยมากและอยู่นอก เหนือโครงการ การสำรวจเพื่อประมวลผลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ของสถาบันพระปกเกล้า งานวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตด้าน การศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตรของ สำรวน ศิริบุรี (2537) ที่ศึกษาเรื่อง “แนวความคิดทางการเมือง และ บทบาทของนายแคล้ว นรปติ” สำรวน ศิริบุรี ได้ศึกษา เกี่ยวกับการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง แนวความคิด บทบาททางการเมือง และสภาพปัญหาในทางการเมืองของ นายแคล้ว นรปติ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พบว่า สาเหตุที่ทำให้นายแคล้ว นรปติ เข้ามามีบทบาททางการเมือง ใน พ.ศ. 2495 นั้น เพราะต้องการเข้ามาแก้ปัญหาความ เดือดร้อนของประชาชนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทาง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การอยู่ในสังคมระดับล่าง 47

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ทำให้ได้รู้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจน ประสบการณ์ทางด้านการศึกษา โดยเฉพาะทางด้านกฎหมาย ทั้งหมดนี้มีส่วนผลักดันในการเข้ามาเป็นนักการเมืองในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน ตลอดระยะเวลาในการเป็นผู้เทนราษฎร แนวความคิดที่สำคัญของนายแคล้ว นรปติ คือ การยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจน การต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นแบบสังคมนิยม บทบาทในฐานะสมาชิกสภาผู้เทนราษฎรนั้น นายแคล้ว นรปติ ได้พยายามเสนอความคิดเพื่อให้เกิดผลทางด้านปฏิบัติ ไม่ว่า จะเป็นการทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ โดยพยายามคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อประชาชน เป็นส่วนใหญ่ หรือพยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่เห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชน การทำหน้าที่ในการควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ด้วยการตั้งกระทู้ถาม การเสนอญัตติ การอภิปรายทั่วไป การลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แต่เนื่องจากการเป็นสมาชิกฝ่าย ค้านและมีแนวคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม จึงเป็นปัญหา สำคัญในการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร งานชิ้นนี้จึงเป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองถิ่นจังหวัด ขอนแก่นโดยตรง อย่างไรก็ดีงานชิ้นนี้เป็นงานศึกษาเชิง ประวัติศาสตร์ที่ดีชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประวัตินักการเมืองเพราะให้ รายละเอียดทั้งชีวิต ความคิด และบทบาททางการเมืองและ สังคมของนายแคล้ว นรปติ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทและ อิทธิพลมายาวนานในจังหวัดขอนแก่น 48

ข้อมูลทั่วไป ส่วนที่เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาของงานวิจัย นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยเจาะจงเลือกการเน้นย้ำ วาทกรรมการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผู้วิจัย พยายามที่จะนำแนวคิดการวิเคราะห์ปัญหาของประชาธิปไตย ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (2548) เรื่อง “การเมืองภาค ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งเสกสรรค์ (2548, หน้า 8- 40) พยายามชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยของไทยมีปัญหาเมื่อนำ เงื่อนไขประชาธิปไตยตะวันตกเพื่อให้เข้ากับประชาธิปไตยของ ไทย เสกสรรค์ได้ชี้ให้เห็นเงื่อนไขดังกล่าวที่สำคัญ 3 ประการ คือ หนึ่ง มรดกทางด้านประวัติศาสตร์ –วัฒนธรรม สอง โครงสร้างความสัมพันธ์ของอำนาจที่มีมาแต่เดิม สาม เงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจ – สังคม ซึ่งเงื่อนไขทั้งสามนี้ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่กำหนดกรอบคิด และพฤติกรรมทางการ เมืองของสังคมไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน กล่าวคือ มรดก ทางประวัติศาสตร์ – วัฒนธรรม คือ ระบบขุนนาง ระบบ ศักดินา หรือ ระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงของระบบ การปกครองโบราณของไทย ระบบดังกล่าวไม่มีมโนทัศน์ (Concepts) เกี่ยวกับ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของ กฎหมาย พรรคการเมือง การเลือกตั้ง ฯลฯ แต่อย่างใด แต่ระบบดังกล่าวก็อยู่ได้ตามอัตภาพ อย่างไรก็ดี มรดกทาง ประวัติศาสตร์การปกครองไทย ได้ฝังลึกในสังคมไทย โดยเปลี่ยนแปลงจากระบบศักดินา มาเป็นระบบอุปถัมภ์ซึ่งเน้น พันธกรณี (Obligation) ระหว่างผู้มีฐานะต่างกันในความสัมพันธ์ ทางอำนาจเป็นเกณฑ์ทางการเมืองมากกว่าเน้นการใช้เสรีภาพ ส่วนบุคคล จึงเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เกิดความสัมพันธ์แบบ 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น รวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง (Power Centralization) เมื่อระบบ อุปถัมภ์ได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมในสังคมไทยที่เปลี่ยนผ่าน จากระบบไพร่ – ขุนนาง ได้ถูกส่งต่อทางอ้อมมายังระบอบ ประชาธิปไตย โดยได้รับการแต่งรูปภายใต้ระบอบอำนาจนิยม เป็นเวลานาน จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมอุปถัมภ์ระหว่าง ประชาชนกับอำนาจรัฐราชการในเวลาต่อมา ดังกล่าวนี ้ ดูเหมือนจะสอดคล้องกับข้อสรุปของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2545, หน้า 78) ที่ระบุว่าแม้แต่การเขียนประวัติศาสตร์ไทยก็เขียนเพื่อ รับใช้อำนาจมากกว่าซึ่งอำนาจที่ประวัติศาสตร์ไทยรับใช้คือ อำนาจของผู้ปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างหนึ่ง และอำนาจเผด็จการรูปแบบต่างๆ ที่สืบทอดมาจากรัฐ สมบูรณาญาสิทธิ์สู่ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ของไทยในปัจจุบัน ในส่วนของโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจที่มีอยู่ เดิม อันเป็นผลมาจากการปฏิรูปการบริหารงานราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เน้นระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด และ ระหว่างรัฐกับสังคมโดยทีส่วนกลางมีอำนาจมากขึ้นแต่ยัง ยึดหลักการปกครองดั้งเดิมคือ การปกครองโดยธรรม แต่เมื่อ เข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 การกลับ กลายเป็นว่ารัฐราชการเป็นใหญ่ภายใต้การนำของคณะทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการปฏิวัติปี พ.ศ. 2490 ได้ก่อเกิดรัฐ ราชการ(Bureaucratic State) เรืองอำนาจขึ้นมาแทนที่ แม้ ประเทศไทยจะมีเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อการปกครองในระบอบ 50

ข้อมูลทั่วไป ประชาธิปไตย แต่โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐ กับสังคมในกรณีของไทยกลับเป็นว่ารัฐยังอยู่เหนือสังคม รัฐยัง ครอบงำและควบคุมสังคม รัฐราชการอยู่เหนือสังคม แทนที่จะ ให้อำนาจสังคมหรือประชาชนในการจำกัดขอบเขตอำนาจรัฐ เหมือนในสังคมประชาธิปไตยสากลทั่วไป เหล่านี้จึงเป็นการ เน้นย้ำการสะสมอำนาจรวมศูนย์โดยข้าราชการโดยเฉพาะ ทหารในสังคมไทย (เสกสรรค์, 2548, หน้า 8-40) ในขณะ เดียวกันความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบนี้ยังคงพึ่งพิงกับระบบ อุปถัมภ์อีกทอดหนึ่งไม่ได้พึ่งพิงกับระบบคุณธรรม (Merit System) ส่วนเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางอำนาจเศรษฐกิจและ สังคม แน่นอนว่า เรื่องการกินดีอยู่ดี ความยากจน และความ ร่ำรวยของประชาชนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดพฤติกรรม ทางการเมืองของประชาชนและสังคม ซึ่งมันเป็นผลกระทบ โดยตรงมาจากโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์การปกครอง โดยที่เงื่อนไขด้านสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด ดังนั้นความไม่เสมอภาคทางการเมืองและเศรษฐกิจย่อมเกิดขึ้น ได้ง่าย จึงทำให้เกิดข้อเรียกร้องมากมายจากภาคประชาชน ประเด็นที่พูดถึงส่วนใหญ่จึงมักจะพูดถึงความยุติธรรมหรือ ความเที่ยงธรรมทางสังคม (Social Justice) ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิด (Moral Economy) เศรษฐธรรมที่มองความสัมพันธ์ ระหว่างอำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Power) กับความ ยุติธรรมทางสังคมเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความคิดแบบ เศรษฐธรรม ของ John P. Powelson และความคิดในทำนอง เดียวกันนี้ของ E.P. Thompson ในหนังสือ “Moral Economy of 51

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น the English Crowd in the Eighteen Century” และนักรัฐศาสตร์ อย่าง James C. Scott (1976) ที่พยายามจะใช้หลักหรือ อุดมการณ์เรื่อง เศรษฐธรรม (Moral Economy) เป็นเครื่องมือ ของชาวนาในการต่อต้านอำนาจรัฐ ดังปรากฏในงานเขียนของ ท่านเรื่อง “The moral Economy of the Peasant: Subsistence and Rebellion in Southeast Asia” เขาชี้ให้เห็นว่าการต่อต้าน ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการต่อสู้กับอำนาจรัฐอย่างชอบธรรม ในขณะที่เรื่องที่มาหรือแหล่งที่มาแห่งอำนาจเป็น ประเด็นที่เกี่ยวโยงกันกับหลักคิดเรื่องเศรษฐธรรมในแง่ของ ความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งแหล่งที่มาแห่งอำนาจจะมีลักษณะ เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่มาของอำนาจที่เป็นทางการ เชน่ อำนาจบงั คบั อำนาจชอบธรรม อำนาจจากความเชย่ี วชาญ ส่วนอำนาจไม่เป็นทางการ เช่น อำนาจที่เกิดจากการอ้างอิง และอำนาจที่ให้ผลตอบแทนหรือรางวัล อำนาจเหล่านี้ล้วนถูก ใช้โดยตัวแทนอำนาจรัฐและต้องแสดงให้เห็นว่ามีความยุติธรรม ในการใช้อำนาจนั้น ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่สำคัญอันหนึ่งที่งาน วิจัยชิ้นนี้พยายามนำมาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ การเมืองถิ่นในจังหวัดขอนแก่นต่อไป ในการนี้เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลและการตีความเป็น ไปตามกรอบแนวคิดที่ได้กำหนดไว้ ผู้วิจัยจึงได้ทำการรวบรวม ข้อมูลประวัติของรัฐสภาชุดต่าง ๆ ตั้งแต่ชุดที่หนึ่งถึงปัจจุบัน และประวัตินักการเมืองถิ่นบางส่วนของจังหวัดขอนแก่นดังนี้ 52

ข้อมูลทั่วไป 2.3 ประวัติการเลือกตั้งจังหวัดขอนแก่น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทยก็ได้มีรูปแบบการปกครองและสถาบันการเมือง แบบใหม่ที่สำคัญก็คือ รัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ซึ่งถูกกำหนด ขึ้นโดยรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ใช้บังคับตามสถานการณ์ รัฐสภาไทยจึงมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ทาง การเมือง รัฐสภาเป็นองค์กรตัวแทนของประชาชนที่ใช้อำนาจ นิติบัญญัติและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐสภาไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 32 ชุด ในแต่ละชุดมีนักการเมืองถิ่น ดังนี้ รัฐสภาชุดที่ 1 สภาผู้แทนราษฎร พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีสภาเดียว คือสภาผู้แทน ราษฎร สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย ผู้แทนราษฎรชั่วคราว ที่คณะผู้รักษาพระนครฝ่านทหารใช้อำนาจแต่งตั้งแทน คณะราษฎร จำนวน 70 คน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระที่นั่ง อนันตสมาคมให้ใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน 2475-9 ธันวาคม 2476 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2576 ภายหลังที่มี การเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 และมีการแต่งตั้งสมาชิก ประเภทที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 53

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น พุทธศักราช 2475 โดย ส.ส. ของจังหวัดขอนแก่นคนแรก คือ ร.อ.หลวงพิพัฒพลกาย ร.น. (กระจ่าง วิโรจน์เพ็ชร์) ทั้งนี้ ทั้งจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งเดียว รัฐสภาชุดท่ี 2 สภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีสภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย สมาชิกสองประเภทคือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิก ประเภทที่ 2 มีจำนวนสมาชิกเท่ากัน สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 78 คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม โดยวิธีรวมเขต จังหวัด ซึ่งให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน แล้วให้ผู้แทนตำบล เลือกผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2476 โดยถือ จำนวนราษฎรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิก ประเภทที่ 1 ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2476-9 ธันวาคม 2480 จึงพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ส.ส. จังหวัด ของแก่นในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายโสภัณ สุภธีระ นายผล แสนสระดี และนายทิม ภรู ิพัฒน์ สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวน 78 คนเท่ากับสมาชิก ประเภทที่ 1 โดยได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2476 เมื่อสมาชิกประเภทที่ 1 พ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว สมาชิก ประเภทที่ 2 ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป รัฐสภาชุดที่ 3 สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภาชุดนี้มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบ ด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิก 54

ข้อมูลท่ัวไป ประเภทที่ 2 สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 91 คน มาจาก การเลือกตั้งของราษฎร โดยตรง เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 เป็นการเลือกโดยวิธีแบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตให้มีผู้แทน ราษฎรได้หนึ่งคน และถือจำนวนประชากรสองแสนคนต่อผู้แทน ราษฎรหนึ่งคน ส.ส.แบบแบ่งเขตจังหวัดขอนแก่น มีจำนวน 2 เขต สำหรับสมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 ถึงวันที่ 11 กันยายน 2481 สิ้นสุด โดยการยุบสภาผู้แทนราษฎรอันมีสาเหตุมาจากการที่สภา ผู้แทนราษฎรมีมติรับญัตติแก้ไขข้อบังคับการประชุมของสภา ผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีการเสนอร่างพระราชบัญญัต ิ งบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้พิจารณาเพื่อให้รัฐบาลเสนอ รายละเอียดตามงบประมาณโดยชัดเจน แต่รัฐบาลไม่สามารถ ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ จึงยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 11 กันยายน 2481 เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่ ส.ส. จังหวัดขอนแก่น1 ประกอบด้วย เขต 1 นายโสภัณ สุภธีระ และ เขต 2 นายผล แสนดี สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวน 91 คน มาจากการแต่งตั้ง เป็นสมาชิกประเภทที่ 2 ชุดเดิมจำนวน 78 คน และพระมหา กษัตริย์แต่งตั้งเพิ่มอีก 13 คน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2480 เพื่อให้ มีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่ 1 เมื่อมีการยุบสภาผู้แทน ราษฎรแล้ว สมาชิกประเภทที่ 2 ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป 1 เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ อำเภอเมืองขอนแก่น อำเภอน้ำพอง อำเภอชุมแพ และอำเภอภูเวียง เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ อำเภอพล อำเภอบ้านไผ่ และ อำเภอมัญจาคีรี 55

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น รัฐสภาชุดที่ 4 สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภาชุดนี้มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบ ด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิก ประเภทที่ 2 สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 91 คน มาจาก การเลือกตั้งโดยตรง เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 โดยวิธีการ แบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน และ ถือจำนวนประชากรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน การเลือกตั้งครั้งนี้ จังหวัดขอนแก่นแบ่งออกเป็น 3 เขต ส.ส. ประกอบด้วย เขต 1 ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ เขต 2 ร.ต.อ. เสวต ชุมแวงวาปี และเขต 3 นายทิม ภูริพัฒน์ สมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 – 15 ตุลาคม 2488 ทั้งนี้ ได้มีการขยาย เวลาอยู่ในตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ครั้ง ครั้งละ ไม่เกิน 2 ปี โดยพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาอยู่ใน ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งออกตามรัฐธรรมนูญแก้ไข เพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2485 เนื่องจากมีกรณีพิพาทอินโดจีนและสงคราม มหาเอเชียบูรพา และสิ้นสุดด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2488 เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกประเภท ที่ 1 ใหม่ อันมีเหตุมาจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบ ด้วยกับร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามที่รัฐบาลเสนอ เพื่อให้ลงโทษผู้ก่อให้เกิดการปกครองตามลัทธิเผด็จการ สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวน 91 คน ชุดเดิม มาจากการแต่งตั้ง เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้วสมาชิกประเภทที่ 2 ยังคงอยู่ ในตำแหน่งต่อไป 56

ข้อมูลท่ัวไป รัฐสภาชุดที่ 5 สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภาชุดนี้มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบ ด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิก ประเภทที่ 2 สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 96 คน มาจากการเลือกตั้ง ของราษฎร โดยตรง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 โดยวิธีแบ่ง เขตเลือกตั้ง แต่ละเขตให้มีผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน และถือ จำนวนประชากรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สมาชิก ประเภทที่ 1 ชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 6 มกราคม 2489 - วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 อนึ่ง เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2489 ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 สมาชิก ประเภทที่ 1 ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปในฐานะสมาชิกสภา ผู้แทน สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวน 96 คน มาจากการแต่งตั้ง เป็นสมาชิกชุดเดิมจำนวน 91 คน และได้มีการแต่งตั้งเพิ่มอีก 5 คน เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2489 เพื่อให้มีจำนวนเท่ากับ สมาชิกประเภทที่ 1 สมาชิกประเภทที่ 2 ชุดนี้ สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2489 เนืองจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 รัฐสภาชุดท่ี 6 สภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 กำหนดให้มีรัฐสภามีสองสภา คือ สภาผู้แทนและพฤฒสภา 57

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สภาผู้แทน มีสมาชิกจำนวน 178 คน ประกอบด้วยสมาชิก ประเภทที่ 1 ในรัฐสภา ชุดที่ 5 จำนวน 96 คน และได้มีการ เลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีก 82 คน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2489 เป็นการ เลือกตั้งใน 47 จังหวัด เป็นการเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีการ แบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน พฤฒสภา มีสมาชิกจำนวน 80 คน มาจากการเลือกตั้งของ สมาชิกสภาผู้แทน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2489 พฤฒสภา ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม 2489 – วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 รฐั สภาชดุ ท่ี 6 ไดส้ น้ิ สดุ ลงโดยการยดึ อำนาจการปกครอง ประเทศเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดย “คณะทหารของ ชาติ” ภายใต้การนำของ พลโท ผิน ชุณหะวัณ รัฐสภาชุดท่ี 7 สภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 กำหนดให้มีรัฐสภามี สองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน วุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 100 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2490 วุฒิสภาชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน 2490 – 29 พฤศจิกายน 2494 สภาผู้แทน มีสมาชิกจำนวน 99 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยตรง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 โดยวิธีรวมเขตจังหวัดและ ถือจำนวนประชากรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน 58

ข้อมูลทั่วไป ในวันที่ 5 มิถุนายน 2492 ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นใน 19 จังหวัดจำนวน 21 คน โดยวิธี รวมเขตจังหวัด และถือประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทน ราษฎรหนึ่งคน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 อนึ่ง เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 รัฐธรรมนูญกำหนดให้ สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนอยู่ในตำแหน่งต่อไป จนครบวาระ ในช่วงรัฐสภาชุดที่ 7 นี้ ได้มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2491 จึงเป็นผลให้มีการตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 รัฐสภา ชุดที่ 7 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 โดยการยึด อำนาจการปกครองประเทศของ “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ภายใต้การนำของพลเอกผิน ชุณหะวัณ รัฐสภาชุดท่ี 8 สภาผู้แทนราษฎร การยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 คณะบริหารประเทศชั่วคราว ได้นำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 มาใช้บังคับใหม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มี สภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิกประเภทที่ 2 59

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สมาชิกประเภทที่ 1 มีจำนวน 123 คน มาจากการ เลือกตั้งโดยตรง เมื่อวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2495 โดยวิธีรวมเขต จังหวัด และถือเกณฑ์ประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทน ราษฎรหนึ่งคน สมาชิกประเภทที่ 1 ชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 - วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2500 สิ้นสุดลง ตามวาระ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2500 สมาชิกประเภทท่ี 2 มจี ำนวน 123 คน มาจากการแตง่ ตง้ั เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2494 เมื่อสมาชิกประเภทที่ 1 พ้นจาก ตำแหน่งตามวาระแล้ว สมาชิกประเภทที่ 2 ยังคงอยู่ในตำแหน่ง ต่อไป รัฐสภาชุดที่ 9 สภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 กำหนดให้มี สภาเดียว คือสภา ผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิก ประเภทที่ 1 และสมาชิกประเภทที่ 2 สมาชกิ ประเภทท่ี 1 มจี ำนวน 160 คน มาจากการเลอื กตง้ั โดยตรง เมื่อวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2500 โดยวิธีรวมเขตจังหวัด ถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทนราษฎร หนึ่งคน สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวน 123 คน มาจากการแต่งตงั้ เป็นสมาชิกประเภทที่ 2 ชุดเดิม สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุด โดยการยึดอำนาจการปกครองประเทศของคณะทหารภายใต้ การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 60

ข้อมูลท่ัวไป รัฐสภาชุดท่ี 10 สภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 มีพระบรมราชโองการให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ต่อไป ซึ่งกำหนดให้มี สภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และ สมาชิกประเภทที่ 2 สมาชกิ ประเภทท่ี 1 มจี ำนวน 186 คน มาจากการเลอื กตง้ั โดยตรง เมื่อวันที่ 15ธันวาคม 2500 โดยวิธีรวมเขตจังหวัด และ ถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทนราษฎร หนึ่งคนได้จำนวน 160 คน ต่อมาวันที่ 1 มกราคม 2501 คณะ รัฐมนตรีได้ประกาศจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จบชั้น ประถมศึกษา ตามมาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้ สมาชิกประเภทที่ 2 ต้องจับสลากออก 26 คน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2501 ในวันที่ 31 มีนาคม 2501 จึงมีการเลือกตั้ง สมาชิกประเภทที่ 1 ใน 5 จังหวัด จำนวน 26 คน รวมสมาชิก ประเภทที่ 1 จำนวน 186 คน สมาชกิ ประเภทที่ 2 มีจำนวน 121 คน มาจากการแตง่ ต้ัง เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2500สมาชิกประเภทที่ 2 จับสลากออก จำนวน 26 คน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2501 จึงเหลือสมาชิก ประเภทที่ 2 จำนวน 95 คน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างวันที่ 18 กันยายน 2500 – 20 ตุลาคม 2501 สิ้นสุดโดยการยึดอำนาจ การปกครองประเทศของคณะทหารซง่ึ เรยี กตนเองวา่ คณะปฏวิ ตั ิ 61

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 รัฐสภาชุดท่ี 11 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 กำหนดให้มี สภาเดียว คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน สมาชิก 240 คน มาจากการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 สภารา่ งรฐั ธรรมนญู ปฏบิ ตั หิ นา้ ทร่ี ะหวา่ งวนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2502 – 20 มิถุนายน 2511 สิ้นสุดโดยการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 รัฐสภาชุดท่ี 12 รัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 กำหนดให้รัฐสภามีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 164 คน พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2511 จำนวน 120 คน และ ทรงแต่งตั้งเพิ่มอีก 44 คน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2512 เพื่อให้ มีจำนวน 3 ใน 4 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามที่กำหนดให้ รัฐธรรมนูญ จนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2514 สมาชิกวุฒิสภา มีอายุครบ 3 ปี ต้องจับสลากออกกึ่งหนึ่งจำนวน 82 คน และ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกเท่ากับจำนวนที่ต้องออกไป เข้ามาแทนที่ วุฒิสภาชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 4 กรกฎาคม 2511 – 17 พฤศจิกายน 2514 62

ข้อมูลท่ัวไป สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 219 คน มาจาก การเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีรวมเขตจังหวัดในอัตราประชากร หนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 – 14 พฤศจิกายน 2514 สิ้นสุดโดย การยึดอำนาจการปกครองประเทศของคณะปฏิวัติภายใต้ การนำของ จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 เป็นผลให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รัฐสภาชุดท่ี 13 รัฐสภา ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิก จำนวน 299 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2515 สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2515 – 16 ธันวาคม 2516 หลังจากเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลาออกจากตำแหน่ง 288 คน ในวันที่ 16 ธันวาคม 2516 จึงได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ รัฐสภาชุดท่ี 14 รัฐสภา รัฐสภาชุดนี้มี สภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มสี มาชกิ จำนวน 299 คน มาจากการเลอื กตง้ั ของสมชั ชาแหง่ ชาติ 63

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีจำนวน 2,347 คน ตามพระบรมราชโองการตั้งสมัชชา แห่งชาติ ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2516 โดยให้สมาชิกสมัชชา แห่งชาติเลือกตั้งกันเอง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2516 และ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตาม มติของสมัชชาแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2516 สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม 2516 – 25 มกราคม 2518 สิ้นสุด โดยการเลือกตั้ง ทั่วไปตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 รัฐสภาชุดที่ 15 รัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 กำหนดให้รัฐสภามี สองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร สำหรับวุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 100 คน พระมหา- กษัตริย์ทรงแต่งตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2518 เมื่อมีการยุบ สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จึงสิ้นสุดลงโดยการปฏิรูปการ ปกครองแผ่นดิน สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 269 คน มาจากการ เลือกตั้งโดยตรงเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 โดยถือเขตจังหวัด เป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ในอัตราประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทนราษฎร หนึ่งคน 64

ข้อมูลทั่วไป สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2518 -12 มกราคม 2519 สิ้นสุดโดยพระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 ซึ่งมีสาเหตุ มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ไปสนับสนุน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐสภาชุดที่ 16 รัฐสภา รัฐสภาชุดนี้มีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร สำหรับวุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 100 คน เป็นสมาชิก วุฒิสภาชุดเดิมที่ได้แต่งตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 ในขณะที่ สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 279 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยตรง เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 โดยถือเขตจังหวัดเป็นเขต เลือกตั้ง จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิน 3 คน ให้แบ่ง เขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง ในแต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ในอัตราประชากร หนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 4 เมษายน 2519 – 16 ตุลาคม 2519 สิ้นสุดโดยการยึดอำนาจการ ปกครองประเทศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินภายใต้ การนำของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 รัฐสภาชุดที่ 17 สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีทำหน้าท่ีสภา ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ 65

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สภาปฏิรปู การปกครองแผ่นดินมีสมาชิก จำนวน 24 คน มาจาก การแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2519 สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ทำหน้าที่สภาปฏิรูป การปกครองแผ่นดินระหว่าง วันที่ 22 ตุลาคม 2519 – 20 พฤศจิกายน 2519 จึงมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปการ ปกครองแผ่นดิน รัฐสภาชุดท่ี 18 สภาปฏิรูปการครองแผ่นดิน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีสมาชิกจำนวน 340 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519 สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง วันที่ 20 พฤศจิกายน 2519 – 20 ตุลาคม 2520 สิ้นสุดโดยการ ยึดอำนาจการปกครองประเทศของคณะปฏิวัติภายใต้การนำ ของ พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 รัฐสภาชุดที่ 19 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิก จำนวน 360 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2520 สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2520 – 21 เมษายน 2522 ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 66

ข้อมูลท่ัวไป รัฐสภาชุดที่ 20 รัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 กำหนดให้มี สองสภา คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สำหรับวุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 225 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 เมื่อครบ 2 ปี ในวันที่ 22 เมษายน 2524 สมาชิกจำนวนหนึ่งในสามของจำนวน สมาชิกทั้งหมดคือ จำนวน 75 คน พ้นจากตำแหน่งโดยวิธีการจับสลากและมีการ แต่งตั้งเข้ามาทดแทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 75 คน ในขณะ เดียวกันสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 301 คน มาจาก การเลือกตั้งโดยตรงเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 โดยถือ เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขต เลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อย กว่า 2 คน โดยถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อ ผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 22 เมษายน 2522 – 19 มีนาคม 2526 สิ้นสุดโดยพระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2526 อันมีสาเหตุ มาจากรฐั สภาไมใ่ หค้ วามเหน็ ชอบในการแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ รฐั ธรรมนญู เพื่อให้ขยายเวลาการใช้บทเฉพาะกาลออกไปอีก 4 ปี รัฐสภาชุดท่ี 21 รัฐสภา รัฐสภาชุดนี้มีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร ซึ่งวุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาชุดเดิมจำนวน 67

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 225 คน ซึ่งในวันที่ 21 เมษายน 2526 วุฒิสภามีอายุครบ 4 ปี สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 ที่เหลืออยู่จากการจับสลากออกเมื่อครบ 2 ปี ต้องจับสลากออก ครั้งหนึ่ง คือ จำนวน 75 คน และในวันที่ 22 เมษายน 2526 ได้แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 93 คน โดยแทนตำแหน่งที่ว่าง 75 คน และเพิ่มอีก 18 คน เพื่อให้มีจำนวนสามในสี่ของจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อรวมสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด มีจำนวน 243 คน วันที่ 22 เมษายน 2528 สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 ที่เหลือจำนวน 75 คน ต้อง พ้นจากตำแหน่ง เพราะครบวาระ 6 ปี ในวันที่ 15 เมษายน 2528 จึงได้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 75 คน โดยให้ ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2528 เป็นต้นไป สำหรับสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 324 คน มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 โดยถือเขต จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขต เลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อย กว่า 2 คน โดยถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อ ผู้แทนราษฎรหนึ่งคน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการยุบสภาผู้แทน ราษฎรในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 โดยมีสาเหตุเนื่องมาจาก สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2529 68

ข้อมูลทั่วไป รัฐสภาชุดที่ 22 รัฐสภา รัฐสภาชุดนี้มีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร อย่างไรก็ตามวันที่ 28 กรกฎาคม 2529 มีการแต่งตั้ง สมาชิกวุฒิสภาเพิ่มขึ้นอีก 17 คน รวมเป็น 260 คน หรือจำนวน 3 ใน 4 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 22 เมษายน 2530 สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 75 คน ที่ได้รับแต่งตั้งเมื่อ วันที่ 22 เมษายน 2524 ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะครบวาระ 6 ปี ในวันที่ 19 เมษายน 2530 จึงได้รับ การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 75 คน โดยให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2530 เป็นต้น สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 347 คน มาจาก การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 โดยถือเขตจังหวัด เป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน โดยถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อผู้แทน ราษฎรหนึ่งคน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 – 29 เมษายน 2531 สิ้นสุดโดยการยุบสภา ผู้แทนราษฎร อันมีสาเหตุมาจากสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ในวันที่ 28 เมษายน 2531 สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลอภิปรายคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และในการลงมติมีสมาชิกพรรค ร่วมรัฐบาล จำนวน 31 คน ยกมือคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ 69

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ลิขสิทธิ์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ เป็นเหตุให้รัฐมนตรีของ พรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 16 คน ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้มีการ ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี แต่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายก- รัฐมนตรีในขณะนั้นได้ตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 29 เมษายน 2531 เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 รัฐสภาชุดที่ 23 รัฐสภา รัฐสภาชุดนี้มีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทน ราษฎร โดยวฒุ สิ ภา ประกอบดว้ ยสมาชกิ ชดุ เดมิ จำนวน 260 คน วันที่ 25 กรกฎาคม 2531 มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเพิ่มขึ้น อีก 7 คน เพื่อให้ครบ 3 ใน 4 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด จำนวน 267 คน ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2532 สมาชิกวุฒิสภาต้องพ้นจากตำแหน่งตามวาระ จำนวน 75 คน จึงได้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่ง ที่ว่าง 75 คน สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 357 คน มาจากการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 โดยถือเขตจังหวัดเป็น เขตเลือกตั้ง จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน โดยถือจำนวนประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน รัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดโดยการยึดอำนาจการปกครอง ประเทศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ภายใต้ 70

ข้อมูลทั่วไป การนำของ พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รัฐสภาชุดท่ี 24 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 กำหนดให้มีสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิก 292 คน มาจากการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2534 สภา นิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ได้กำหนดให้มีหน้าที่ 2 ประการคือ (1) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (2) จัดทำรัฐธรรมนูญ ทั้งนี ้ การจัดทำรัฐธรรมนูญ โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (รัฐสภา ชุดที่ 24) ในวันที่ 4 เมษายน 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 20 คน คณะ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมกันรวม 36 ครั้ง จึงยกร่าง รัฐธรรมนูญเสร็จและเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันที่ 15 สิงหาคม 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 26 – 27 และ 28 สิงหาคม 2534 มีมติ รับหลักการในวันที่ 28 สิงหาคม 2534 แล้วตั้งกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 25 คน คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาเสร็จ เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาในวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 19, 20 และ 21 พฤศจิกายน 2534 และ พิจารณาสรุปทั้งร่างใน วันที่ 25 พฤศจิกายน 2534 71

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติให้ประกาศใช้เป็น รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2534 ประธานสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ อยู่ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2534 – 21 มีนาคม 2535 สิ้นสุดโดยการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 22 มีนาคม 2535 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 รัฐสภาชุดที่ 25 รัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 กำหนดให้รัฐสภามีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร โดยวุฒิสภา ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีความรู้ความ ชำนาญในวิชาการหรือ อาชีพต่างๆ จำนวน 270 คน โดย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 สำหรับ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 360 คน มาจาก การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยถือเขต จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน จำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดคำนวณจากเกณฑ์จำนวน ราษฎร ต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ซึ่งเฉลี่ยจากจำนวนราษฎร ทั่วประเทศ สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2535 โดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการเกิด วิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 72

ข้อมูลท่ัวไป รัฐสภาชุดท่ี 26 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ได้กำหนดให้มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 360 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 ในขณะเดียวกันวุฒิสภา มีสมาชิก จำนวน 270 คน เป็นสมาชิกชุดเดิม สภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงเพราะมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 รวมเวลาที่สมาชิกอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 8 เดือน 6 วัน ในขณะ เดียวกันวุฒิสภาคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป รัฐสภาชุดที่ 27 มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยสภา ผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 391 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 สำหรับวุฒิสภา มีสมาชิก จำนวน 270 คน เป็นสมาชิกชุดเดิม สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เพราะมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 รวมเวลาที่ สมาชิกอยู่ในตำแหน่ง 1 ปี 2 เดือน 25 วัน วุฒิสภาพ้นจาก ตำแหน่งตามวาระเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 ในวันที่ 22 มีนาคม 2539 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ชุดใหม่จำนวน 260 คน เมื่อมีการยุบสภาแล้ววุฒิสภาคงอยู่ใน ตำแหน่งไป ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 73

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น รัฐสภาชุดท่ี 28 มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา โดยสภา ผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 393 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ในขณะวุฒิสภามีสมาชิก จำนวน 262 คน มาจากวุฒิสภา ชุดเดิม 260 คน และมีการ แต่งตั้งเพิ่มอีก 2 คน เพื่อให้มีสัดส่วนสองในสามของจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงเพราะมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 รวมเวลาที่สมาชิกอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 11 เดือน 22 วัน วุฒิสภาพ้นจากตำแหน่งเมื่อครบวาระในวันที่ 21 มีนาคม 2543 และมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 จำนวน 200 คน ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อมีการยุบสภาแล้ว สมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป รัฐสภาชุดนี้เป็นไป ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รัฐสภาชุดท่ี 29 มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยสภา ผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการ เลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน และสมาชิกซึ่งมาจาก การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน สำหรับ วุฒิสภามีสมาชิก จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป 74

ข้อมูลท่ัวไป ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รัฐสภาชุดท่ี 30 มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยสภา ผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการ เลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน และสมาชิกซึ่งมาจาก การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน สำหรับ วุฒิสภามีสมาชิก จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 เป็นสมาชิกชุดเดียวกับ สภาชุดที่ 29 รัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดเนื่องจากมีการยึดอำนาจ ก า ร ป ก ค ร อ ง โ ด ย ค ณ ะ ป ฏ ิ รู ป ก า ร ป ก ค ร อ ง ต า ม ร ะ บ อ บ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2540 รัฐสภาชุดท่ี 31 มีสภาเดียว คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 242 คน มาจากการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลงเนื่องจากมีการประกาศ ผลการสรรหาวุฒิสภาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 ภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 75

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น รัฐสภาชุดที่ 32 มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งสภา ผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 480 คน มาจากการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการ เลือกตั้งแบบสัดส่วน จำนวน 80 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการ เลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน สำหรับวุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 150 คน เป็นสมาชิก มาจากการสรรหา จำนวน 74 คน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และสมาชิก มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน จำนวน 76 คน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2551 เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 รัฐสภาชุดท่ี 33 หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้รับการประกาศใช้ ได้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง โดยมี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยสภาผู้แทน ราษฎร มีสมาชิกจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 125 คน และสมาชิกซึ่งมาจาก การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 375 คน ในขณะที่ วุฒิสภา มีสมาชิกจำนวน 149 คน เป็นสมาชิกมาจากการ สรรหา จำนวน 73 คน เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 และสมาชิก มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน จำนวน 76 คน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2551 76

ข้อมูลทั่วไป 2.4 นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 2.4.1) นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นชาวขอนแกน่ โดยกำเนิด เกดิ เมือ่ วนั ท่ี 17 ตุลาคม พ.ศ. 2500 สำเร็จการศึกษา ม.ศ. 5 โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ปริญญาตรีสาขาเคมี และปริญญาโทสาขาเคมี มหาวิทยาลัย เคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานในตำแหน่งกรรมการบริหาร สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการโครงการการ จัดการจัดตั้งสำนักวิจัยและนโยบายงบประมาณฝ่าย นิติบัญญัติ สถาบันนโยบายศึกษา ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสง่ิ แวดลอ้ ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม การเข้าสู่การเมือง สุวิทย์เข้ามาในแวดวงการเมือง เพราะว่าทำงานเรื่องของท้องถิ่นมาตลอด ตั้งแต่กลับมาจาก ตา่ งประเทศ เรม่ิ จากเปน็ “ประธานชมรมผพู้ ฒั นาเขาสวนกลวง” และได้เข้าร่วมกิจกรรมท้องถิ่นกับข้าราชการและประชาชน จนได้รับการสนับสนุนให้สมัคร ส.จ.ในปี 2525 เป็นครั้งแรก และเป็นได้เพียง 6 เดือนก่อนจะขยับมาลงสมัคร ส.ส. ในปี 77

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 2526 และได้รับเลือกตั้งนับจากนั้นเป็นต้นมารวมทั้งสิ้น 28 ปี2 และแม้ว่าไม่ได้รับการเลือกตั้งก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่ง ทางการเมือง คือ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม กระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งสิ้น 28 ปี การเข้าร่วมในกิจกรรมขององค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งด้านการศึกษา ทำให้สุวิทย์ฯ มีกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ เลือกตั้งจำนวนมาก อาทิ ประธานกรรมการโรงเรียน ประธาน ชมรม ประธานกรรมการโรงเรียนประชาบาลเขาสวนกวาง รวมถึงการเป็นกรรมการการอุดมศึกษาจังหวัดรุ่นแรกในปี 2525 “...หลังจากได้รับเลือกตั้งเป็น สส. สมัยแรกก็ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง ต่อมาเป็นเลขาธิการ กระทรวง พาณิชย์ ทบวงมหาวิทยาลัย เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวง ต่างประเทศ เป็นที่ปรึกษา เป็นรองเลขาและก็เป็น 2 สุวิทย์ คุณกิตติ เป็น ส.ส. ครั้งแรก ในการลงสมัครเขต 1 สังกัดพรรค กิจสังคม ร่วมกับนายสุทัศน์ ศรีรัตนพรรณ ในการเลือกตั้งครั้งที่ 13 วันที่ 18 เมษายน 2526 ในเขตเลือกตั้งดังกล่าวมีนายแคล้ว นรปติ เป็น ส.ส. สังกัดพรรคสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งครั้งที่ 14 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529ได้ย้ายไปลงสมัครในเขต 4 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สังกัดพรรคกิจสังคมร่วมกับนายพงษ์ สารสิน สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่ 15 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 สุวิทย์ฯ ได้ลงสมัครในเขต 3 สังกัดพรรครวมไทย/ เอกภาพ และนับจากการเลือกตั้งครั้งที่ 20 ในวันที่ 6 มกราคม 2544 เป็นต้นมา สุวิทย์ฯ มิได้เป็น ส.ส. ในระบบเขตเลือกตั้งของจังหวัดขอนแก่น อีกเลยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน 78

ข้อมูลทั่วไป รัฐมนตรีไล่เรียงมา เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกตั้ง มาเป็นกรรมการบริหารรัฐสภาโลกในปี 2530 และได้รับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. อายุน้อยที่สุด” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุวิทย์ฯ ประสบความ สำเร็จในการเลือกตั้งนับจากเข้าสู่การเมืองด้วยการลงสมัคร รับเลือกตั้งครั้งแรก คือ ความใกล้ชิดประชาชน และการเป็น ที่พึ่งของประชาชน ทั้งนี้ด้วยภูมิศาสตร์พื้นที่เลือกตั้งนั้น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดในลักษณะของความคุ้นเคยเป็นกันเอง ซึ่งประชาชนสัมผัสหรือเข้าถึงได้โดยง่าย นั้นเป็นคุณสมบัต ิ ที่จำเป็นของนักการเมืองจังหวัดขอนแก่น ซึ่งอาจมีลักษณะ เช่นเดียวกับพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัด อื่น ๆ โดยทั่วไป “ตอนหลังจากขึ้นบัญชีรายชื่อก็ห่างจากประชาชน เพราะไม่ได้ลงสัมผัสในพื้นที่ก็เลยเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิด ปัญหาในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถึงแม้จะเป็นปัญหาก็แพ้ ไม่ได้มากเท่าไหร่ 3,500 คะแนน เท่านั้นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถือว่าน้อยมาก ซึ่งตอนนั้นก็สู้กระแสด้วย และห่างจาก ชาวบ้านหลายปี แต่ก็ยังให้ สจ. ในพื้นที่ดูแลชาวบ้าน ตลอดมา แต่ว่าในการดำเนินการทางการเมือง ก็ไม่ได้ทำ เหมือนเดิมที่เคยทำ คือ การใกล้ชิดกับประชาชนนั่นแหล่ะ คือปัญหาก็เลยเป็นปัญหา กระแสพรรคพลังประชาชนก็มี 79

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น สว่ นเหมอื นกนั เลยทำใหไ้ มไ่ ดเ้ ปน็ ส.ส.”3 (สวุ ทิ ย์ คณุ กติ ต,ิ สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนจังหวัด ขอนแก่น การตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนในการ เลือกตั้งนั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านวัฒนธรรมของสังคม โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางการเมืองในท้องถิ่นซึ่งมีความแตกต่าง จากวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะต่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงปัจจัยด้าน โครงสร้างทางสังคมอีกด้วย เหตุผลดังกล่าวทำให้ประชาชน จังหวัดขอนแก่นมีวิธีคิด ความเชื่อหรือค่านิยมทางการเมืองที่มี ต่อ ส.ส. หรือพรรคการเมืองที่แตกต่างออกไปจากต่างประเทศ นอกจากนี้แล้วยังเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านกฎหมายที่ใช้ในการ ควบคุมหรือกำกับสังคมอีกด้วย ซึ่งทำให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจ แก้ไขปัญหาได้อย่างที่ควรจะเป็น “วัฒนธรรมของไทยมีผลต่อการเลือกตั้ง ความเป็นไปเป็นมาของสังคมในแต่ละสังคมแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เราจะไปมองประเทศไทย เหมือนต่างประเทศมันคงมองยาก เพราะมองต่างประเทศ ทไ่ี ปทม่ี าของสงั คมมนั แตกตา่ งกนั วฒั นธรรมมนั แตกตา่ งกนั ความเป็นส่วนตัวมันสูงกว่า ความเป็นเครือญาติ เพื่อนฝูง 3 คำอธิบายภายหลังการไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งสุวิทย์ฯ ย้ายออกพรรคพลังประชาชนและลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในสังกัดพรรคการเมืองอื่น 80

ข้อมูลทั่วไป ความผูกพัน ระหว่างครอบครัว สังคมมันต่างกันเยอะ ระหว่างไทยกับต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเวลาเรามองมัน ต้องแยกกัน แล้วก็การแก้ไขปัญหาทั้งหมดรวมทั้ง กฎหมายที่ออกมาถ้าเราไม่มองถึงเรื่องของวัฒนธรรม ความเป็นไป เป็นมา โครงสร้างของสังคมไม่มีผลบังคับ ไม่มีผล ไม่มีประสิทธิภาพ การไปเอากฎหมายที่บังคับใช้ ในสังคม ที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน มาใช้ในสังคมเราก็เป็นช่องว่างเป็นปัญหา ปัญหาใหญ่ ของประเทศไทย คือ การไปเอากฎหมายของสังคม ที่แตกต่างมาใช้ในสังคมไทย ซึ่งมันไม่ได้สอดคล้องกับ วัฒนธรรม ความเป็นไปเป็นมาของคนไทย จึงทำให้เกิด ปัญหาสังคมแก้ไขไม่ได้ เพราะปัญหาสังคมที่แตกต่าง กัน” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) นโยบายของพรรคการเมืองกับการสนับสนุน ของประชาชน สำหรับนโยบายของพรรคการเมืองและ การบริหารจัดการนโยบายให้สามารถปฏิบัติได้และส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตของประชาชน การขยายตัวทางเศรษฐกิจของ ประเทศนั้น มีผลต่อคะแนนนิยมของพรรคการเมืองเป็นอย่าง มาก ซึ่งเมื่อพรรคไทยรักไทยนำมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังทำให้ได้รับการกล่าวถึงจนกระทั่ง กลายเป็นคะแนนนิยมทางการเมืองของประชาชนทั้งประเทศ ถอื เปน็ การกระจายอำนาจในการบรหิ ารจดั การและการตดั สนิ ใจ ไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าว 81

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น จึงทำให้เกิดกระแสคะแนนนิยมที่มีต่อพรรคไทยรักไทยอย่างยิ่ง ทั้งนี้นโยบายดังกล่าวมีพื้นฐานสำคัญมาจากแนวนโยบายของ พรรคกิจสังคมในอดีตซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นทั้งสมาชิกและผู้มี บทบาทสำคัญของพรรคในอดีต จนกระทั่งได้รับการเรียกขาน ว่า “ทายาททางการเมืองของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช” อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม “นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นนโยบายสำคัญ ที่ทำให้เกิดกระแสของพรรคไทยรักไทย ในเรื่องของ SML ของพี่น้องประชาชน ในเรื่องของ 30 บาท รักษาทุกโรค การพักชำระหนี้ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง โครงการกองทุน เป็นโครงการเดียวของรัฐบาลซึ่งในโลกนี้ ที่กระจายไป อย่างทั่วถึงทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ไม่มีโครงการไหนของ รัฐบาลในโลกนี้ที่กระจายไปถึงทุกหมู่บ้านทุกชุมชนได้ เท่าเทียมกัน ในแนวโน้มของอำนาจ แนวโน้มของตัวเงิน ได้ 1 ล้าน เท่ากันหมดทุกหมู่บ้าน อำนาจในการบริหาร เท่ากันหมด แล้วเป็นการกระจายอำนาจไปถึงพี่น้อง ประชาชน เพราะฉะนั้นมันจะแตกต่างกับนโยบายทั้งหมด เลย รวมทั้งของเรื่อง SML ที่มีขนาดกลาง ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ได้ออกไปอย่างเท่าเทียมกัน ในลักษณะ ของตัวเงิน และอำนาจ แต่เป็นไปตามขนาดของหมู่บ้าน และก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์ วันที่ 7 มิถุนายน 2554) 82

ข้อมูลทั่วไป สำหรับสุวิทย์ คุณกิตติ เห็นว่านโยบายดังกล่าว ล้วนมุ่งส่งเสริมสนับสนุนรวมถึงกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และ ความเข้าใจต่อหลักการประชาธิปไตยพื้นฐานที่สำคัญไปยัง ประชาชน โดยเป็นการกระจายทั้งอำนาจและเงินงบประมาณ เป็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนหมู่บ้าน อย่างแท้จริง สิ่งดังกล่าวทำให้เกิดกระแสความนิยมและคะแนน สนับสนุนที่มีต่อพรรคไทยรักไทยและทักษิณ ชินวัตรในฐานะ ผู้ดำเนินนโยบายดังกล่าวอย่างจริงจัง “อันนี้เป็นหลักการ เป็นรากเหง้าของระบอบ ประชาธิปไตย มีการกระจายทั้งอำนาจ และเงินออกไป ให้เค้าไปบริหารจัดการแก้ไขปัญหา รับผิดชอบกันเอง แล้วเงินก็ไม่หายไปไหน ก็ยังหมุนเวียนอยู่ในระบบ เพราะฉะนั้นถามว่าวันนี้มีอะไรที่ดีกว่านี้ไหม ในการ กระจายอำนาจ งบประมาณในเรื่องของการกระจาย โครงการ เงินบำรุง วันนี้ก็พิสูจน์แล้วใน 10 ปี ที่ผ่านมา ก็ยังหมุนเวียนในระบบอยู่ มันก็มีปัญหามากมาย แต่ในภาพรวมแล้วมันไม่ได้เสียหาย จริง ๆ แล้วนโยบาย ประชานิยมของกิจสังคม เป็นนโยบายของการกระจาย อำนาจ งาน เงนิ เปน็ รปู เศรษฐกจิ ใหเ้ คา้ มงี านทำ ซง่ึ จรงิ ๆ แล้ว เป็นแบบอย่างเบื้องต้นของระบบประชานิยมของ เมืองไทย รักษาฟรีก็ใช่ ประกันราคาพืชผล เรื่องของ การประกันรายได้ เรื่องของส่งเสริมสภาตำบล การกระจายอำนาจ ยกฐานะเป็น อบต. เป็นเทศบาล รักษาฟรี น้ำไฟฟรี รถเมล์ฟรี สมัยก่อนพรรคกิจสังคม 83

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ทำหมดเลย จนวันนี้ก็ย้อนยุคกลับไปหมด วันนั้น ที่กิจสังคมทำ งบประมาณอาจจะน้อย แล้วก็การ ประชาสัมพันธ์เรื่องของสื่อไม่เข้าถึง คนอาจจะไม่รู้ คนรุ่นใหม่อาจจะลืมไปแล้วกองทุนหมู่บ้านก็ส่วนหนึ่ง เป็นการกระจายอำนาจ เป็นการสอนการให้ความรู้ ในระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ต้องสอน ซึ่งประชาชน เคา้ เปน็ โดยประชาชน เพอ่ื ประชาชน ชลประทานระบบทอ่ ก็เหมือนกัน เป็นการกระจายความเจริญ เป็นการกระจาย โอกาส การสร้างงาน อาชีพ รายได้ เป็นการแก้ไขปัญหา อย่างมั่นคง ยั่งยืน มีรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี คือ การแก้ไขปัญหาอย่างมั่นคง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การลงทุน ไม่ใช่การใช้จ่าย เพราะฉะนั้นลงทุนไปแล้ว มันเกิดประโยชน์แตกต่างของโครงการอื่นรัฐบาลทั้งหมด รายได้เพิ่มขึ้นก็อยู่ได้อย่างยั่งยืน” (สุวิทย์ คุณกิตติ, สัมภาษณ์วันที่ 7 มิถุนายน 2554) ประสบการณ์ทางการเมืองของประชาชนจังหวัด ขอนแก่นมีผลต่อการเปลี่ยนในค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อและ วิธีคิดในทางการเมืองของประชาชน ส่งผลต่อการให้ความ สำคัญกับผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับโดยตรง และไม่ใช่ อุดมคติอีกต่อไป นั่นคือ ประชาชนจะตัดสินใจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งโดยประเมินจากผลงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งของ พรรคการเมืองมากกว่านักการเมือง ซึ่งส่งผลให้ระบบ พรรคการเมืองมีความสำคัญมากกว่าตัวนักการเมืองหรือ ตัวบุคคล นอกจากนี้แล้วปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรม 84

ข้อมูลทั่วไป ทางการเมืองคือ ความสามารถทางการบริหารในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับ รายได้ รายจ่าย และเงินออมของประชาชน ซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ อธิบายในกรณีดังกล่าวไว้ดังนี้ “ผมคิดว่าผลงานเป็นสิ่งสำคัญ คือว่าวันนี้ ทำไม ประชาชนถึงชอบนายกทักษิณ เพราะนโยบายเป็น นโยบายที่สามารถจับต้องได้โดยตรง และถึงประชาชน อย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ก็เกิดขึ้นในสมัยนายกทักษิณ อันนี้ก็เป็นหลักการที่สำคัญ ความนิยมที่มันเกิดขึ้น รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไทย ได้รับประโยชน์อย่าง ทั่วถึง อย่างเท่าเทียมกัน ได้รับประโยชน์ทางตรง ไม่ใช่ ทางอ้อม การแก้ไขปัญหาวันนี้ คือการแก้ไขปัญหาความ แตกแยก ในสังคมไทยวันนี้ คือ การลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายไมก่ ระจกุ การกระจายทง้ั งาน ทง้ั เงนิ ทง้ั โอกาส ให้ประชาชน แรงงานเค้าก็มี คนในชนบท 60 เปอร์เซ็นต์ ในเมือง 40 เปอร์เซ็นต์ ทำไงคนในชนบท 60 เปอร์เซ็นต์นี้ จะได้เข้มแข็ง ยั่งยืนได้เพราะเป็นฐานราก ทางด้าน เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้รับเข้มแข็ง ได้รับเงิน มีรายได้ เพียงพอ คิดถึงอนาคตที่จะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือได้ เจ็บไข้ได้ป่วยมีเงินค่ารถไปโรงพยาบาล รักษาฟรีก็ต้องมี ค่าใช้จ่าย แล้วก็มองถึงอนาคตตนเองยามแก่เถ้า ไม่ใช่ได้ เดือนละ 500 เดือนละ 1,000 จะอยู่ได้ เค้าอยู่ไม่ได้ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพมันสูงขึ้น เพราะฉะนั้นมุมนี้เป็น ส่วนสำคัญทำให้เกิด ความสามารถในระบบ ในระบบ 85