Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 33นักการเมืองถิ่นชุมพร

33นักการเมืองถิ่นชุมพร

Published by Meng Krub, 2021-06-10 12:20:49

Description: เล่มที่33นักการเมืองถิ่นชุมพร

Search

Read the Text Version

สถาบันพระปกเกล้า จั ง ห ว ันดักกชารุ มเมอื พงถร่ิน วชั ระ ศลิ ปเ์ สวตร ์ ชดุ สำรวจเพ่อื ประมวลข้อมูลนกั การเมอื งถิน่ เล่มท่ี 33



นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร โดย วชั ระ ศลิ ป์เสวตร ์ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data วัชระ ศลิ ป์เสวตร์. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ชมุ พร- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2556. 298 หน้า. 1. นักการเมือง - - ชุมพร. l. ชื่อเรื่อง. 923.2593 ISBN : 978-974-449-709-3 รหสั สง่ิ พมิ พ์ของสถาบันพระปกเกลา้ สวพ.56-15-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ 978-974-449-709-3 ราคา 234 บาท พิมพ์คร้งั ท่ี 1 มิถุนายน 2556 จำนวนพิมพ ์ 500 เล่ม ลิขสิทธิ ์ สถาบันพระปกเกล้า ที่ปรึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผูแ้ ต่ง วัชระ ศิลป์เสวตร์ ผ้พู มิ พผ์ โู้ ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พท์ ี่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถ่ิน จังหวัดชุมพร วัชระ ศิลป์เสวตร์ สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ เรื่องนักการเมืองถิ่น จังหวัดชุมพร เป็นการศึกษาวิจัย เพื่อทำความเข้าใจและสำรวจ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ การเมืองจังหวัดชุมพร อันเป็นการ นำเสนอถึงกระบวนการทำงานของ นักการเมืองซึ่งเป็นผู้อาสาเข้ามาทำงาน รับใช้ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งและ ประเทศ ซึ่งพฤติกรรมของนักการเมืองและ การเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ถือเป็น ส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ที่สำคัญ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะผู้สนับสนุนทุนการวิจัย และขอขอบพระคุณกรรมการ ผทู้ รงคณุ วฒุ ซิ ง่ึ ใหค้ ำแนะนำอนั เปน็ ประโยชนต์ อ่ การดำเนนิ งาน และขอขอบพระคุณนักการเมืองจังหวัดชุมพร ข้าราชการ ผู้นำ ท้องถิ่น และผู้ให้ข้อมูลทุกท่านอันนำมาสู่ความสำเร็จในการ จัดทำการวิจัยชิ้นนี้

บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยชื่อเรื่อง “โครงการสำรวจเพ่ือประมวล ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัด ชุมพร” ในมิติต่างๆ ของสมาชิก สภาผู้แทนจังหวัดชุมพร ตั้งแต่มีการ เลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 จนถึง การเลือกตั้งครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2550 เพื่อต้องการศึกษาเกี่ยวกับเครือข่ายและ ความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาทและ ความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และ กลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมือง รูปแบบ และวิธีการหาเสียง ในการเลือกตั้งของนักการเมือง โดยวิธีการศึกษาจากเอกสาร ที่เกี่ยวข้อง (Document Studies) ทั้งที่เป็นบันทึก เอกสาร หายาก งานวิจัย หรือหนังสืออนุสรณ์ต่างๆ และวิธีการ สัมภาษณ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในอดีตและปัจจุบัน สัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอดีต ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า 1. ลักษณะทางการเมืองในจังหวัดชุมพร ตั้งแต่มี การเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ถึงวันที่

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 3 กรกฎาคม 2554 นักการเมืองมีอาชีพที่หลากหลาย คือ มีทั้ง ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ ทนายความ นักธุรกิจ แพทย์ ครู เป็นกลุ่มคนที่สถานภาพทางสังคม มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี อยู่ในสังคมชั้นนำของจังหวัด มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งใน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เป็นผู้กว้างขวางที่มีผู้คนรู้จักทั้ง จังหวัด เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกระดับ 2. เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง รปู แบบการเลอื กตง้ั ในปจั จบุ นั มคี วามเปลย่ี นแปลงจากอดตี ไปมาก เครือข่ายทางการเมืองและความสัมพันธ์ของนักการเมืองใน จังหวัดชุมพร จะมีลักษณะที่สำคัญ ซึ่งมีทั้งเชิงตัวบุคคล และ กลุ่มการเมือง คือ (1) จะมีความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับ ข้าราชการ เช่น ข้าราชการครู ตำรวจ แพทย์ และข้าราชการใน สังกัดกระทรวงหมาดไทย (2) ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง กับนักการเมือง กล่าวคือ นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร มีเครือข่ายและความสัมพันธ์กับนักการเมืองท้องถิ่น เช่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกองค์การบริหาร ส่วนตำบล หลังจาก พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา การสร้างเครือข่าย ทางการเมือง เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนผล ประโยชน์ระหว่างกลุ่มนักการเมืองกับนักธุรกิจ การสร้าง ผลประโยชน์ที่อยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน การสร้าง ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง กับการเลือกตั้งสมาชิกองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดชุมพร เช่น สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรท่ีไดร้ ับการเลือกตัง้ ได้ตกลงในทางลับที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม ผลประโยชน์เพื่อให้ช่วยสนับสนุนงบประมาณแก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น VI

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร 3. บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ ท่ีมีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมืองแต่ละช่วงเวลา มีลักษณะท่ี แตกต่างกันไป ในช่วงการเลือกตั้งในยุคแรกระหว่าง พ.ศ. 2476 – 2500 มกี ลมุ่ ของผใู้ หญบ่ า้ น กำนนั ซง่ึ มอี าชพี เกษตรกรรม ธุรกิจสัมปทานเหมืองแร่ดีบุก และอาชีพโรงงานแปรรูปไม้ ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่คอยให้การสนับสนุนช่วยเหลือในการ หาเสียง ต่อมา ใน พ.ศ. 2500 – 2526 เริ่มมีกลุ่มผลประโยชน์ ทางราชการ กลุ่มนักการเมือง หรือสมาชิกการเมืองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสุขาภิบาล สมาชิกเทศาภิบาล และกลุ่มธุรกิจประเภท ต่างๆ เข้ามาให้การสนับสนุน เช่น ข้าราชการครู กลุ่มธุรกิจ ก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจการขนส่ง ใน พ.ศ. 2526 – 2550 เป็นกลุ่ม นักการเมืองที่มาจากสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ให้การสนับสนุน นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรม จังหวัด กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตปาล์มน้ำมันทั้งระบบ และยังมีกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการให้การสนับสนุนด้วย 4. บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมือง กับนักการเมืองในอดีตไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก ต่อมา ในวันที่ 10 กันยายน 2498 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอ ร่าง พ.ร.บ. พรรคการเมือง นักการเมืองจึงให้ความสำคัญกับ พรรคการเมือง ปัจจุบันมีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เพียง พรรคการเมืองเดียวที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองถิ่นจังหวัด ชุมพรมากที่สุด รองลงมาเป็น พรรคกิจสังคม ซึ่งเคยครองพื้นที่ จังหวัดชุมพรมาก่อนพรรคประชาธิปัตย์ VII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 5. รูปแบบและวิธีการหาเสียงในการเลือกต้ังของ นักการเมือง โดยการใช้หัวคะแนนในกลุ่มของผู้นำชุมชน / ผู้นำท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนจะใช้ความ สัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อขอให้ช่วยเป็นหัวคะแนนให้ และการใช้ สื่อวิทยุท้องถิ่น วิทยุชุมชน ใช้รถกระบะติดตั้งเครื่องขยายเสียง โดยการเคลอ่ื นตวั เปน็ ขบวนเพอ่ื ประชาสมั พนั ธใ์ นหมบู่ า้ น ชมุ ชน ตลาด การแจกแผน่ พบั ใบปลวิ และการตดิ ตง้ั ปา้ ยประชาสมั พนั ธ์ ขนาด การใช้วิธีการพบปะประชาชนในพื้นที่ ด้วยการเดิน เคาะประตูบ้าน เพื่อแนะนำตนเอง วิธีการสุดท้าย คือ การปราศรัยย่อยในพื้นที่ชุมชนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยใช้ รถกระบะเป็นเวทีปราศรัย ส่วนการปราศรัยใหญ่จะมีแกนนำ คนสำคัญของพรรคการเมืองต่างๆ มาช่วยปราศรัยหาเสียง VIII

Abstract The research titled “Survey Project to Compile Information about Local Politicians in Chumphon Province” examined certain information concerning members of parliament for Chumphon from the first election in 1933 to the election in 2007. The aim was to study the politicians’ networks and relationships, the roles and relationships of interest groups and other informal groups that provide political support to politicians, and the patterns and canvassing methods used by the politicians in elections. The research was carried out by studying relevant documents such as rare books, research papers, and various memorial books and personal interviews with current and former members of parliament, and people close to deceased members of parliament. From the research, it was found that: 1. From the first election on 15 November 1933 to the election of 3 July 1967, politicians in Chumphon Province

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร came from a diverse range of professions, specifically bureaucratic officials, pensioned officials, lawyers, entrepreneurs, doctors, and teachers. They were persons of good economic status and leaders in the provincial society. They were involved in politics at both local and national level, participated in political activities at all levels, and were widely well-known in the province. 2. The networks and relationships of politicians, and the election pattern, have changed considerably from the past to the present. The networks and the relationships of politicians in Chumphon can be categorized according to two important aspects of the people and groups involved, namely (1) the relationship between politicians and civilian officials such as teachers, police officials, and Ministry of Interior officials, and (2) the relationships with local politicians, such as members of the Provincial Administrative Organization, and members of District Administrative Organizations. Since 1983, political network creation has become more complicated. There has been and exchange of interests between the political groups and business entrepreneurs. They have created joint benefits, and a patronage system in connection with the election of members of Chumphon’s local administrative organization; for example, a member of Parliament secretly made an agreement known only to the interest groups involved to contribute supporting funds to the local government.

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 3. The roles and relationships of interest groups and informal groups that participated to give political support to politicians were different in different periods. During the early democratic age, 1933 – 1957, political support in the form of canvassing support came from groups of village headmen and sub-district leaders whose occupations in agriculture, tin mining concession-holding, and wood processing plant ownership. Later, during 1957 – 1983, official interest groups, politician groups and local politician groups, members of sanitary district authorities, local administrative bureau members, and various categories of business groups started to provide support for teachers, construction business entrepreneurs, and transport entrepreneurs to become the national politicians. In 1983 – 2007, politicians came from the members of provincial administrative organizations, municipalities, and district administrative organizations. In addition, there were also influential clusters from the provincial chamber of commerce, and the council of provincial industry business groups involved in closed system production of palm oil. There were also informal interest groups who supported political activities. 4. The role and relationship of political parties and politicians in the past was not very important. But on 10 September 1955 Field Marshal Plaek Pibunsongkhram, the Prime Minister, proposed the Political Party Bill. Politicians XI

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร began to gather into political parties. At present, the Democrat Party has the closest relationship with local politicians of Chumphon, while the secondary party is Social Action Party, which used to dominate the Chumphon area before being displaced by the Democrat Party. 5. Regarding patterns and canvassing methods of the politicians in elections, politicians used personal relationships to approach community/local leaders to serve as canvassers who would collect votes on the politician’s behalf. Public relations tools used in local communities and markets were local radio and community radio stations, caravans of pick-up trucks with amplified speakers, brochures, billboards, personal introduction meetings through door-knocking, and public addresses. In small communities, a pick-up truck can be used as the stage for an address, while for major addresses in the city, the political party’s core leaders may come to help to attract an audience. XII

สารบัญ หนา้ คำนำผแู้ ตง่ IV บทคัดย่อ V บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและสภาพปัญหา 1 วัตถุประสงค์ 3 ขอบเขตของการศึกษา 3 พื้นที่การศึกษา 4 วิธีการศึกษา 4 ระยะเวลาทำการศึกษา 8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 8 นิยามศัพท์เฉพาะ 9 บทที่ 2 เอกสาร งานวิจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง และทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ ง 13 แนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง 13 แนวคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง การเลือกตั้งนักการเมือง 15 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียกร้องผลประโยชน์ 19 และกลุ่มผลประโยชน์ แนวคิดเรื่องการเป็นตัวแทนการเลือกตั้ง 21 แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำ 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร หนา้ ทฤษฎีว่าด้วยชนชั้นนำ 23 แนวความคิดของทฤษฎีชนชั้นนำ 26 ประเภทของชนชั้นผู้นำ 28 แนวคิดการหาเสียงเลือกตั้ง 31 แนวคิดพื้นฐานในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 31 แนวคิดเกี่ยวกับสามเขตยุทธศาสตร์ 34 แนวคิดเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง 38 แนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง 41 พรรคการเมืองกับการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง 44 กลเม็ดการโกงเลือกตั้ง 45 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 49 บทท่ี 3 การเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร 57 พ.ศ. 2476-2550 ข้อมลู ทั่วไปของจังหวัดชุมพร 57 ประวัติและความเป็นมาของจังหวัดชุมพร 57 ประวัติการตั้งเมือง 58 ประวัติที่ตั้งเมือง 59 ประวัติคำว่าชุมพร 61 ตราประจำจังหวัดชุมพร 65 คำขวัญจังหวัด 65 ดอกไม้ประจำจังหวัดชุมพร 66 ต้นไม้ประจำจังหวัดชุมพร 66 แผนที่จังหวัดชุมพร 68 ลักษณะภูมิประเทศ 69 นักการเมืองถิ่นในจังหวัดชุมพร 76 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2476 79 XIV

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร หนา้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2480 80 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2481 81 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2489 82 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2491 83 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2495 83 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2500 85 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2500 86 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2512 87 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2518 88 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 11 พ.ศ. 2519 89 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2522 90 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2526 92 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2529 93 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 15 พ.ศ. 2531 94 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2535 95 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 17 พ.ศ. 2535 97 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2538 99 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 19 พ.ศ. 2539 100 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 20 พ.ศ. 2544 101 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 21 พ.ศ. 2548 104 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 22 พ.ศ. 2549 105 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 23 พ.ศ. 2550 107 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2554 111 บทท่ี 4 นักการเมืองถ่ินจังหวัดชมุ พร พ.ศ. 2476-2550 113 นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 113 หลวงสโมสรราชกิจ (คออยู่จีน ณ ระนอง) 114 พ.ต.หลวงอภิบาลภูวนารถ (สังข์ นาคะวัจนะ) 116 XV

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร หนา้ นายเยียน ชุมวรฐายี (หลวงศรีสุพรรณดิฐ) 125 นายประมวล กุลมาตย์ 133 พลเรือตรีพิศาล สุนาวิน (หลวงสุนาวินวิวัฒ) 141 นายศิรินทร์ รักศรีวงศ์ 150 นายณรงค์ บุษยวิทย์ 155 นายแพทย์พินัย รุโจปการ 158 นายธีรพันธ์ เพ็ชร์สุวรรณ 163 นายสุชาติ แก้วนาโพธิ์ 173 นายจัตุรนต์ คชสีห์ 183 นายวีรเทพ สุวรรณสว่าง 198 นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย 207 นายสุวโรช พะลัง 216 นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ 231 นายชุมพล จุลใส 239 นายสราวุธ อ่อนละมัย 247 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 253 เครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื งในจงั หวดั ชมุ พร 254 บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ 256 และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมือง 258 กับนักการเมือง วิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง 261 ในจังหวัดชุมพร ข้อเสนอแนะสำหรับนำไปพัฒนาการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 263 บรรณานกุ รม 267 นามานุกรม 270 XVI

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร ภาคผนวก ประวตั นิ กั วจิ ัย หนา้ 273 279 XVII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร สารบัญแผนภาพและตาราง หน้า แผนภาพที่ 1. โครงสร้างของสังคมในแนวคิดทฤษฎีชนชั้นผู้นำ 25 2. รูปแบบของการจัดองค์กรอย่างไม่เป็นทางการ 32 ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 3. รูปแบบของการจัดองค์กรในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 32 อย่างเป็นทางการหรือเป็นระบบ 4. รปู แบบการผสมผสานระหว่างการจัดองค์กรในการรณรงค์ 34 หาเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ กับการจัดองค์กร ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หรือเป็นระบบ 5. รูปแบบความคิดสามเขตยุทธศาสตร์ 37 ตารางที่ 109 1. สรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 112 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 228 2. สรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 3. สรุปผลคะแนนการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชุมพร (นายสุวโรช พะลัง) XVIII

บ1ทท ่ี ความเป็นมาและสภาพปัญหา การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ได้สร้างระบบการเมืองแบบที่ประชาชน เลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่กำหนดนโยบายสาธารณะแทนตน ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมาในระดับชาติ ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทั้งทางตรง และทางอ้อมรวม 20 ครั้ง มีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒิสภาทาง อ้อม 1 ครั้งในปี พ.ศ. 2489 และมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยตรงครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 ในขณะที่ในระดับ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร ท้องถิ่นก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ในองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายรปู แบบพัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม คงมิอาจปฎิเสธได้ว่าการศึกษาการเมือง การปกครองไทยที่ผ่านมายังมุ่งเน้นไปที่การเมืองระดับชาติเป็น ส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดหายไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถ่ิน” หรือ “การเมืองท้องถิ่น” ที่เป็น การศึกษาเรื่องราวของการเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของ ท้องถิ่นจังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนานไป กับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะขณะที่เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นด้วยการชิงไหวชิงพริบ ของนักการเมืองในสภา และพรรคการเมืองต่าง ๆ อีกด้านหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัครพรรคพวกและผู้สนับสนุนทั้งหลาย ก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียงในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และทนั ทที ภ่ี ารกจิ ทส่ี ว่ นกลางสน้ิ สดุ ลง การลงพน้ื ทพ่ี บประชาชน ตามสถานทแ่ี ละงานบญุ งานประเพณตี า่ งๆ เปน็ สง่ิ ทน่ี กั การเมอื ง ผู้หวังชัยชนะในการเลือกตั้งมิอาจขาดตกบกพร่องได้ ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชุมพรได้สะท้อนให้เห็นถึง หลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาต่อเนื่อง ยาวนาน ในแง่มุมที่จะไม่สามารถพบได้เลยในการเมืองระดับ ชาติ “การเมืองถ่ิน” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจทำการศึกษามิใช่ น้อย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่ยังขาดหาย และหากนำสิ่งที่ได้ ค้นพบนี้มาพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็น่าจะทำให้สามารถเข้าใจ การเมืองไทยได้ชัดเจนขึ้นในมุมมองที่แตกต่างจากการมองแบบ เดิม ๆ

ความเป็นมาและสภาพปัญหา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งใน จังหวัดชุมพร 2. เพอ่ื ทราบถงึ เครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดชุมพร 3. เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วนในการ สนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด ชุมพร 4. เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรค การเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดชุมพร 5. เพื่อทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในจังหวัดชุมพร ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาการเมืองของนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่การ เลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ในจังหวัดชุมพร โดยให้ ความสำคัญกับเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการต่างๆ บทบาทความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับนักการเมืองภายใน จงั หวดั ชมุ พร ตลอดจนรปู แบบวธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื ง ใช้ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร พ้ืนที่การศึกษา ศึกษาข้อมูลของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดชุมพร ในเขต พื้นที่การเลือกตั้งทั้งในกรณีการรวมเขตเลือกตั้ง และการแบ่ง เขตเลือกตั้ง ซึ่งการศึกษาขึ้นอยู่กับแต่ละยุคสมัย ของการ เลือกตั้ง ตั้งแต่อดีตจนถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีการแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 3 เขต ประกอบด้วย 8 อำเภอ ดังนี้ เขตเลือกตั้งเขต 1 ประกอบด้วย อำเภอเมืองบางส่วน อำเภอสวี เขตเลือกตั้งเขต 2 ประกอบด้วย อำเภอเมืองบางส่วน อำเภอปะทิว อำเภอท่าแซะ เขตเลือกตั้ง เขต 3 ประกอบด้วยอำเภอทุ่งตะโก อำเภอละแม อำเภอพะโต๊ะ อำเภอหลังสวน ซึ่งการศึกษาขึ้นอยู่กับแต่ละยุคสมัยของการ เลือกตั้ง วิธีการศึกษา อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็น เครื่องมือสำคัญในการศึกษา ได้แก่ 1. การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Document Studies) ทั้งที่เป็นบันทึก เอกสารหายาก งานวิจัย หรือหนังสือ อนุสรณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะได้รวมรวมข้อมูลที่เป็นจริงมานำเสนอ ให้สมบูรณ์และเที่ยงตรงอย่างที่สุด 1.1 ศึกษาและสืบค้นข้อมูลจากหนังสือ เอกสาร วารสาร และแหล่งข้อมูลออนไลน์ ที่เกี่ยวกับ หลวงสโมสรราชกิจ (คออยู่จีน ณ ระนอง) เช่น หนังสือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ความเป็นมาและสภาพปัญหา ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 50 เรื่อง ตำนานเมือง ระนอง หนังสือ ฟื้นอดีตเมืองหลังสวน หนังสือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2475 - 2535 และ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พันตรีหลวง- อภิบาลภูวนารถ สำเนาเอกสารเรื่องปูมชุมพร สำเนาเอกสาร เรื่องสายสัมพันธ์ ซึ่งได้อธิบาย เรื่องราวของสกุล ชุมวร-ฐายี อย่างละเอียด ซึ่ง เป็นสกุลของ นายเยียน ชุมวรฐายี (หลวง ศรีสุพรรณดิฐ) ศึกษาจากวารสารชีวประวัติของ นายประมวล กุลมาตย์ หนังสือ 100 ปี มหาดไทย วารสารลำดับประวัติสมเด็จ พระสังฆราช ราชาศัพท์ เปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็น เอกสารที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้เป็นอนุสรณ์งาน พระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี พิศาล สุนาวิน (หลวงสุนาวินวิวัฒ) 2. การสัมภาษณ์บุคคลเชิงลึก (In - depth interview) ที่ สามารถให้ข้อมูลโยงใยไปถึงนักการเมืองและกลุ่มบุคคลที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองถิ่นในจังหวัดชุมพรในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ดังต่อ ไปนี้ 2.1 สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองตั้ง แต่ พ.ศ. 2476-2500 2.1.1 สัมภาษณ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จำรูญ ณ ระนอง อดีตอาจารย์ประจำคณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร พ.ต.ท.หญิงกรรณิกา ณ ระนอง สารวัตร งานธุรการฝ่ายอำนวยการ กองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายธีรเวช ณ ระนอง พนักงานสำนักงานการ ปิโตเลียมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องกับ หลวงสโมสรราชกิจ (คออยู่จีน ณ ระนอง) สัมภาษณ์นาย โอวาท อภิบาลภูวนารถ รองผู้อำนวย การฝ่ายธุรกิจเกษตร องค์การตลาดเพื่อ เกษตร นายบำรุง นาคะวัจนะ เป็นผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.หลวงอภิบาล ภูวนารถ (สังข์ นาคะวัจนะ) สัมภาษณ์ นายธำรงศักดิ์ ทินบาล มีศักดิ์เป็นแหลน ของ หลวงศรีสุพรรณดิฐ และนาง เสงี่ยม ชุมวรฐายี เป็นหลานสะใภ้ของ ห ล ว ง ศ ร ี ส ุ พ ร ร ณ ด ิ ฐ ส ั ม ภ า ษ ณ ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ บุตรชายของ นายประมวล กุลมาตย์ 2.2 สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2500-2526 2.2.1 สมั ภาษณ์ พระครบู ญุ ญาภวิ ฒั น์ เจา้ อาวาส วัดบางลึก อดีตเจ้าคณะอำเภอเมือง ชุมพร เป็นเพื่อนสมัยที่ นายศิรินทร์ รักศรีวงศ์ กำลังศึกษาทางธรรม สัมภาษณ์นางประทุมศรี ปราชญ์นคร

ความเป็นมาและสภาพปัญหา นางสิริพร ผลพานิช เป็นผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องกับ นายศิรินทร์ รักศรีวงศ์ สัมภาษณ์นางสุรีย์ ดำริสถลมาร์ค น้องสาวของ นายณรงค์ บุษยวิทย์ สัมภาษณ์นางยุพิน รุโจปการ และ น.ส.พรพรรณ รุโจปการ ภรรยาและบุตร ของนายแพทย์พินัย รุโจปการ สัมภาษณ์ นายธีรพันธ์ เพ็ชร์สุวรรณ อดีตสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร พรรค กิจสังคม 2.3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร ตั้งแต่ พ.ศ. 2526-2550 2.3.1 สัมภาษณ์ นายจัตุรนต์ คชสีห์ นาย สุชาติ แก้วนาโพธิ์ และนายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดชุมพรพรรคประชาธิปัตย์ สัมภาษณ์ นายวีรเทพ สุวรรณสว่าง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ชุมพร พรรคความหวังใหม่ นายสุวโรช พะลัง นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ นายชุมพล จุลใส และนายสราวุธ อ่อนละมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชุมพร พรรคประชาธิปัตย์

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร ระยะเวลาทำการศึกษา ระยะเวลา 9 เดอื น (พฤศจกิ ายน 2552 - กรกฎาคม 2553) ศึกษากลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิด นักการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2476 – 2500 พ.ย.52 ธ.ค.52 ม.ค.53 ก.พ.53 มี.ค.53 เม.ย.53 พ.ค.53 มิ.ย.53 ก.ค.53 สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง กับนักการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2500 – 2526 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดชุมพร ตง้ั แต่ พ.ศ. 2526 - 2550 กลุ่มบุคคลที่มีความรู้ และประสบการณ์ ทางการเมือง รายงานผลการศึกษา ฉบับสมบรู ณ์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดชุมพร ตั้งแต่มี การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550

ความเป็นมาและสภาพปัญหา 2. ได้ทราบว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นต้นมามี นักการเมืองคนใดในจังหวัดชุมพร ได้รับการเลือกตั้ง บ้าง และชัยชนะของนักการเมืองเหล่านี้มาสาเหตุ และปัจจัยอะไรสนับสนุน 3. ได้ทราบถึงความสำคัญของกลุ่มผลประโยชน์และ กลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีต่อการเมืองในจังหวัดชุมพร 4. ได้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดชุมพร 5. ไดท้ ราบรปู แบบวิธีการ และกลวธิ ตี ่างๆ ท่ีนกั การเมอื ง ใช้ในการเลือกตั้ง 6. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” สำหรับเป็นองค์ความรู้ในการ ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของไทย ต่อไป นิยามศัพท์เฉพาะ การเมือง หมายถึง การได้มาซึ่งอำนาจ และการใช้อำนาจนั้นเพื่อการ ตัดสินใจว่าใครจะได้รับอะไร เมื่อใด และอย่างไร การเมืองถิน่ หมายถึง ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในจังหวัดชุมพร

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร นกั การเมืองถน่ิ หมายถึง นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดชุมพรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และบุคคลผู้ที่ สนใจการเมืองต้องการมีอำนาจทางการเมือง ซึ่งได้แสดง พฤติกรรมทางการเมืองในลักษณะต่าง ๆ ธนกจิ การเมอื ง (Political Finance) หมายถึง รูปแบบการเมืองที่นักการเมืองเข้ามาสู่การดำรง ตำแหน่งทางการเมืองด้วยวิธีการใช้เงินซื้อเสียง และใช้เงินใน ระบบอุปถัมภ์ เมื่อได้อำนาจทางการเมืองแล้วได้ใช้อำนาจนั้น เอื้ออำนวยประโยชน์ทางธุรกิจให้แก่ตนเอง ครอบครัว และ เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ หมายถึง การรวมตัวกันของกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อ ต่อรองรักษา เสาะหาผลประโยชน์ทางการเมือง และเพื่อเข้าไป มีอิทธิพลทางการเมือง ระบบอปุ ถมั ภ์ หมายถึง ความช่วยเหลือเกื้อกูลที่เป็นความสัมพันธ์คู่ ซึ่งเกิด จากผู้อุปถัมภ์มีฐานะเหนือกว่าผู้รับอุปถัมภ์ ทั้งที่เป็นความ สัมพันธ์แบบมีข้อตกลง และไม่มีข้อตกลง แต่ก็ได้ทำให้เกิด ความผูกพันในลักษณะของการสนองตอบซึ่งกันและกัน แม้จะ ไม่เท่าเทียมกัน 10

ความเป็นมาและสภาพปัญหา ผูม้ อี ิทธิพล หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจที่ไม่เป็นทางการ และสามารถใช้ อำนาจนั้นในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ของตน ผ้นู ำทอ้ งถ่ิน หมายถึง บุคคลที่ประชาชนยกย่อง นับถือ เชื่อฟัง มีบารมีใน ท้องถิ่น ทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น และบุคคลที่ได้รับการ ยอมรับ นับถือ โดยคุณลักษณะส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับ การแต่งตั้งตามกฎหมาย เช่นปราชญ์ท้องถิ่น หมอพื้นบ้าน และ ผู้ประกอบการ พิธีกรรมทางจิตวิญญาณ พฤตกิ รรมเบ่ียงเบนในการหาเสยี งเลอื กตัง้ หมายถึง กระบวนการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และ พฤติกรรมการสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมือง และทีมงาน ผู้สนับสนุนทางการเมือง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้น ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนไปลง คะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม 11



บ2ทท ี่ ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีที่เก่ียวข้อง ในการทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการหาเสียงเลือกตั้ง และผู้นำ เพื่อใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ ซึ่งมีรายละเอียดดัง ต่อไปนี้ 1. แนวคิดเก่ียวกับปรัชญาการเมือง พฤทธิสาร ชุมพล (2550,น.2) แนวทางการศึกษา รัฐศาสตร์แบบปรัชญาการเมือง ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่มีความ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร เก่าแก่ที่สุด โดยมีจุดเริ่มต้นในปรัชญาสมัยกรีกโบราณเรื่องของ การเมืองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรัชญา สาระสำคัญของการ ศึกษาปรัชญาในเบื้องต้นอยู่ที่ “ธรรมชาติ” (Physis ในภาษา กรีก) หมายถึงการค้นหาคุณลักษณะ (character) ว่ามัน “เป็น” อย่างไรหรือ “ทำ” อะไร เป็นความสนใจต่อสิ่งที่อยู่นอกตัว มนุษย์ คือในโลกหรือจักรวาลมากกว่าที่จะสนใจเรื่องของ มนุษย์เอง ต่อมาภายหลังจึงได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวมนุษย์ โดยตรง เช่น ชีวิตที่ดีที่สุดของมนุษย์เป็นอย่างไร การปกครอง ที่ดีสัมพันธ์กับความดีโดยทั่วไปอย่างไร การที่นักปรัชญาการเมืองโบราณถามคำถามอุดมคติ ก็เพื่อที่จะได้หาทางปรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ให้ใกล้เคียงกับ อุดมคติ นอกจากนั้นนักปรัชญาการเมืองโบราณเองก็มิได้ละทิ้ง การตั้งคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นจริงไปเสียทั้งหมด ดังจะเห็น ได้จากความแตกต่างระหว่างงานของเปลโต (Plato) กับงานของ มาเคียเวลลี (Machiavelli) เปลโต (Plato) เน้นการพิจารณาที่จิตใจมนุษย์ โดยมอง ว่าคนเราแบ่งออกเป็นสามประเภทคือ คนที่มีเหตุผล คนที่มี จิตใจมุ่งมั่น และคนที่มีแต่ความหิวกระหาย การปกครองที่ดีจะ ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา และการปกครอง จะดีได้ก็ด้วยการมอบหน้าที่ให้แก่บุคคลแต่ละประเภทตาม ความเหมาะสม กล่าวคือ คนที่มีเหตุผลควรเป็นผู้ปกครอง มีคน ที่มีจิตใจมุ่งมั่นเป็นผู้ช่วยในการบริหารประเทศ ส่วนคนที่มีแต่ ความต้องการควรเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ การจัดการ แบ่งงานกันทำเช่นนี้จะทำให้คนดีและระบบที่ดีมาบรรจบกัน 14

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง พอดี จะเห็นได้ว่าทฤษฎีของเปลโตเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด ความอ่านเท่านั้น มิได้มีวิธีการสำรวจตรวจสอบโลกแห่งความ เป็นจริง ส่วนมาเคียเวลลี (Machiavelli) พูดถึงชีวิตทางการเมือง ตามที่เป็นจริง จากประสบการณ์ของเขา เขาเห็นว่าแรงจูงใจ เบื้องหลังพฤติกรรมทางการเมืองต่างๆ ก็คือความต้องการที่จะ ใช้อำนาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องคำนึงถึงศีลธรรม หรือ ความดีงาม การศึกษาการเมืองควรเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ เทคนิคในการใช้อำนาจให้ได้ผล มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพมากกว่า ที่ความชอบธรรม เขาเสนอว่า คนส่วนน้อยที่เป็นผู้ปกครอง อยู่ในอำนาจได้ก็เพราะเขามีฐานะในโครงสร้างสังคมที่เข้าถึง ข่าวสารได้มากกว่า มีประสบการณ์ในองค์การมากกว่า จึงสามารถกระทำตนได้อย่างมีเหตุผลมากกว่าคนทั่วไปที่ยังไม่ สนใจการเมือง มาเคียเวลลีใช้วิธีการสังเกตการณ์ และกรณี ตัวอย่างในประวัติศาสตร์เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของเขา 2. แนวคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง การเลือกต้ังนักการเมือง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (2550) ได้เสนอแนวคิดว่าพลวัต ของการเมืองไทยขึ้นกับส่วนประกอบของสังคมและการเมือง 4 ส่วน คือ 1. สถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ข้าราชการทหารและพลเรือน 15

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร 3. ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ 4. ประชาชนในชนบท ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ 4 ส่วนนี้ ทำให้เกิดพลวัต ทางการเมือง และสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวมทั้งก่อให้ เกิดรัฐบาล และทำลายรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย กล่าว ในส่วนสุดท้าย คือ ประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทนั้นไม่มีอำนาจ ตอ่ รองในระบบเศรษฐกจิ แบบตลาด ทง้ั ยงั ไมอ่ าจเขา้ ถงึ ทรพั ยากร ส่วนใหญ่ของประเทศ ช่องว่างรายได้ระหว่างกลุ่มคนจนที่สุด กับคนรวยที่สุดห่างกันถึง 14.66 เท่า ความไม่สามารถเข้าถึง ทรัพยากร และไม่สามารถต่อรองในระบอบเศรษฐกิจแบบตลาด นี้เอง ประกอบกับความด้อยโอกาสในด้านการศึกษาทำให ้ คนส่วนใหญ่ในชนบทต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของกลุ่มอื่น ในสังคม กระบวนการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในระบบเศรษฐกิจ เช่นนี้ จึงไม่ได้มีความหมายเชิงการเมือง การเลือกตั้งผู้แทน เข้าไปเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนเท่านั้น แต่มีความหมาย เชงิ เศรษฐกจิ ของการแลกเปลย่ี นในระบบอปุ ถมั ภด์ ว้ ย การซอ้ื เสยี ง จึงไม่ใช่เพียงการเอาเงินไปแจกแล้วประชาชนจะลงคะแนนให้ แต่หมายถึงการตอบแทนบุญคุณที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเคย ช่วยเหลอื อุปถัมภค์ นในเขตเลอื กต้งั มากอ่ น (ไชยวฒุ ิ มนตรรี ักษ,์ 2551, น. 29) สังศิต พิริยะรังสรรค์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร (2536) ได้เสนอแนวคิดว่า นายทุนท้องถิ่นของไทยเข้ามามีบทบาท ทางการเมืองภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ ตามกรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 16

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง โดยเป็นนักธุรกิจสะสมทุนขึ้นมาจากการใช้อิทธิพลเหนือ กฎหมายเป็นกลไกหลัก ขณะเดียวกัน ก็ต้องใช้ตำแหน่งทาง การเมืองในท้องถิ่นหรือระดับชาติเพื่อสนับสนุนการสะสมทุน นายทุนท้องถิ่นเหล่านี้จะมีภาพลักษณะเป็นเจ้าพ่อในพื้นที่ สมบัติ จันทรวงศ์ (2536) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการ ซอ้ื เสยี งวา่ การซอ้ื เสยี งในการเลอื กตง้ั ส.ส. มมี านานแลว้ เพยี งแต่ ไม่ได้ใช้เงินมากอย่างในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าการใช้เงินซื้อเสียง อย่างโจ่งแจ้งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2518 แต่การซื้อเสียงที่อื้อฉาวมาก ที่สุดในประวัติการเมืองไทย คือ การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัด ร้อยเอ็ดใน พ.ศ. 2522 โดยกล่าวกันว่าผู้สมัครรับเลือกตั้ง (ซ่อม) จ ั ง ห ว ั ด ร ้ อ ย เ อ ็ ด ใ น ข ณ ะ น ั ้ น ใ ช ้ เ ง ิ น ซ ื ้ อ เ ส ี ย ง ป ร ะ ม า ณ 30 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเรียกชื่อเหตุการณ์นี้ว่าโรคร้อยเอ็ด และ ต่อมาได้ขยายตัวไปทั่วประเทศไทย การที่ผู้สมัครนิยมจ่ายเงิน เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนี้สะท้อนได้ว่า วิธีการนี้เป็นส่วนสำคัญ สว่ นหนง่ึ ทจ่ี ะทำใหช้ นะการเลอื กตง้ั ได้ แตต่ อ้ งอาศยั องคป์ ระกอบ อย่างอื่นด้วย เช่น ชื่อเสียงผู้สมัคร การบริหารจัดการหัวคะแนน การจัดองค์กรการหาเสียง เป็นต้น อิสระ สุวรรณบล และคณะ (2535) เสนอข้อมูลว่า ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้เงินจำนวน มากเพื่อซื้อเสียงทั้งโดยการจ่ายให้กับหัวคะแนน (การซื้อเสียง ทางออ้ ม) และการจา่ ยเงนิ ใหก้ บั ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั โดยตรง ตลอดจน การแจกสิ่งของ เช่น ปลาทูเค็ม จนมีชื่อเรียกผู้ได้รับการเลือกตั้ง จากการแลกเปลี่ยนปลาทูเค็มว่า “ส.ส. ปลาทูเค็ม” และได้ พัฒนามาสู่ ส.ส. เจ้าบุญทุ่มในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2518 เมื่อมี 17

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร นักธุรกิจใหญ่ลงสมัครรับเลือกตั้งจำนวนมากในหลายจังหวัด เชน่ นายพงศ์ สารสนิ , นายพชิ ยั รตั ตกลุ , ร.ต.ท.สรุ ตั น ์ โอสถาน-ุ เคราะห,์ นายทวิช กลิ่นประทุม, พล.ต.อ. ประมาณ อดิเรกสาร, นายพรเทพ เตชะไพบูลย์, นายบรรหาร ศิลปอาชา, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์, นายวัฒนา อัศวเหม, เป็นต้น ต่อจากนั้นได้พัฒนา มาสู่โรคร้อยเอ็ดในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 หลังจากนั้นก็มี คำพูดที่ใช้เรียกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ใช่ผู้ที่ม ี ภูมิลำเนาในจังหวัดที่ลงสมัครรับเลือกตั้งว่า “ผู้แทนหมาหลง” ส่วนหัวหน้าทีมหรือนักธุรกิจที่เป็นผู้สนับสนุนการเงินให้ลูกทีม จะมีชื่อเรียกว่า “ต้เู อทเี อม็ ” ในระยะหลัง พ.ศ. 2522 มีพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ผิด กฎหมายหลายรูปแบบกระจายในพื้นที่หลายจังหวัด ได้แก่ การ ซื้อบัตรประจำตัวประชาชน การซื้อนายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่น องค์กรในท้องถิ่น เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน สมาชิกสภา จังหวัด สมาชิกสภาตำบล การซื้อกรรมการหน่วยเลือกตั้ง การซื้อเสียงจากการแจกสิ่งของ เช่น การแจกสังกะสีมุงหลังคา บ้าน การแจกปุ๋ย แจกรองเท้า แจกปลากระป๋อง แจกยาแก้ปวด การแจกเทปปราศรัยของพรรคหรือผู้สมัคร การจัดเลี้ยงสุรา อาหาร การออกล็อตเตอร์รี่ผู้แทน การแจกถ้วยชาม การนำ หัวคะแนนไปเที่ยว การพนัน การทอดผ้าป่า และกฐิน การ บริจาคทรัพย์ และสิ่งของให้วัด โรงเรียน การจัดรถบริการรับศพ รับส่งผู้ป่วย การมอบเงินช่วยเหลือให้ญาติในวันฌาปนกิจศพ การจัดรถรับส่งผู้มีสิทธิลงคะแนน การใช้อำนาจข่มขู่ นอกจาก นั้นยังมีพฤติกรรมการซื้อเสียงทางอ้อมอีกหลายรูปแบบ เช่น การใช้เงินจัดตั้งกลุ่มสตรี กลุ่มสหกรณ์ ศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ 18

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง กองทุนยาหมู่บ้าน โดยมีวงเงินตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครบางคน (ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์, 2551 น. 35) 3. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียกร้องผลประโยชน์ และกลุ่มผลประโยชน์ พฤทธิสาณ ชุมพล (2550) กระบวนการเรียกร้อง ผลประโยชน์ (Interest articulation) ในฐานะกระบวนการทาง ด้านปัจจัยนำเข้า (input) ของระบบการเมือง ในขณะเดียวกัน ก็จะพิจารณาถึงกลุ่มผลประโยชน์ (interest groups) ประเภท ต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงสร้างการทำหน้าที่นี้ 3.1 การเรียกร้องผลประโยชน์ การเรียกร้องผลประโยชน์ คือ กระบวนการที่ปัจเจก- บุคคล หรือกลุ่มบุคคลแสดงออก ซึ่งข้อเรียกร้อง (Demands) ต่อ ผู้ตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นขั้นตอนแรกที่ทำหน้าที่ แปรสภาพ input เป็น output ระบบการเมืองทุกระบบ จะต้องมีวิธีการในการจัดการ กับข้อเรียกร้อง หรือความต้องการของประชาชน การตัดสินใจ ทางการเมืองทุกอย่างย่อมมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของ กลุ่มชนไม่ในทางบวกก็ในทางลบ ดังนั้น หากชนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใดในสังคม ไม่มีช่องทางที่จะเรียกร้องผลประโยชน์ หรือ ความต้องการแล้วไซร้ก็นับเป็นที่แน่นอนว่าความต้องการ เหล่านั้นจะไม่ได้รับการตอบสนอง ความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้น จึงอาจปะทุขึ้นมาเป็นความรุนแรง และหากก่อให้เกิดความ 19

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร ระส่ำระสายต่อระบบการเมือง จะเป็นผลให้เกิดความจำเป็นที่ ผู้มีอำนาจทางการเมืองจะโต้ตอบด้วยการปราบปรามเพื่อรักษา ความเป็นระเบียบในสังคม จะเห็นได้ว่ากระบวนการเรียกร้อง ผลประโยชน์เป็นกระบวนการที่จำเป็นในการที่ระบบการเมือง จะดำเนินไปได้โดยราบรื่น เพราะเป็นวิธีการตีแผ่ให้เห็นถึงความ ต้องการของกลุ่มชนต่างๆ ที่อาจมีความขัดแย้งกันทำให้ผู้ตัดสิน ใจทางการเมืองได้รับรู้และหาทางตอบสนองให้เหมาะสม ซึ่งหากทำได้ดีก็จะป้องกันมิให้ความขัดแย้งปรากฏชัดขึ้น โดยการช่วงชิงที่จะทำการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่าง กลุ่มชนเสียก่อน 3.2 โครงสร้างซึ่งมีหน้าที่เรียกร้องผลประโยชน์: กลุ่มผลประโยชน์ พฤทธิสาณ ชุมพล (2550, น.127) ได้ศึกษาถึงโครงสร้าง หลาย ๆ อย่างทำหน้าที่เรียกร้องผลประโยชน์ ด้วยวิธีการต่างๆ กัน เช่น การรวมตัวเป็นฝูงชนเพื่อประท้วงนโยบายของรัฐบาล หน้าทำเนียบรัฐบาล หรือการที่ที่ประชุมสมัชชาสหพันธ์แรงงาน ออกแถลงการณ์ เพื่อให้มีการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น หากจะพจิ ารณาวา่ โครงสรา้ งเหลา่ นท้ี ง้ั หมดเปน็ กลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest groups) ก็อาจนิยามกลุ่มผลประโยชน์ตามอัลมอนด์ และพาเวลล์ ได้ว่า “กลุ่มคนที่เชื่อมโยงกัน โดยมีความสนใจหรือห่วงใยใน สิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน และโดยมีความสำนึก อยู่ไม่มากก็น้อยว่าเขามีความเชื่อมโยงดังกล่าวอยู่” อัลมอนด์ และพาเวลล์ แบ่งประเภทของ “กลุ่ม ผลประโยชน์” ออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ทั้งนี้โดยคำนึงไว้ว่า 20

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง ปัจเจกบุคคลก็อาจเป็นผู้แสดงออกซึ่งผลประโยชน์ของเขาเอง แต่เพียงลำพังก็ได้ (self representation) กลุ่มผลประโยชน์ตาม นิยามนี้อาจมีลักษณะจัดตั้ง หรือไม่จัดตั้งก็ได้ 4. แนวคิดเร่ืองการเป็นตัวแทนการเลือกตั้ง พงษ์สนิท คุณนะลา (2536, น. 22) การเลือกตั้งเป็น กิจกรรมที่สำคัญในกระบวนการทางการเมือง จุดสำคัญของ การเลือกตั้งก็คือ การสนองตอบมติมหาชนเพื่อความชอบธรรม ในการปกครอง การเลือกตั้งเป็นฐานที่มาของการเลือกสรร ผู้ปกครอง เลือกสรรแนวนโยบายที่ใช้การเรียนรู้ทางการเมือง สร้างบรู ณาการของชาติ ฯลฯ การเลือกตั้ง คือ การที่ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง โดยพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งบุคคลหนึ่ง หรือ หลายคนจากบุคคลหลายๆ คน เพื่อให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง แทนตัวเองโดยสุจริต การเลือกตั้งเป็นเครื่องช่วยให้ประชาชนมี ความเชื่อถือว่าตนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในด้านการเมืองการ ปกครองอันเป็นเหตุก่อให้เกิดความร่วมมือกันรักษาและปฏิบัติ ตามกฎเกณฑ์ และแนวนโยบายที่วางไว้ และการเลือกตั้งยัง เป็นการวินิจฉัยที่จะได้มาซึ่งผู้แทนที่เข้ามาปกครองประเทศไทย อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หลักเกณฑ์ในการเลือกตั้ง ตามกำหนดไว้ในปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหลักการขั้นมูลฐานกำหนดว่า 1. หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง 21

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร 2. หลักการเลือกตั้งตามกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน 3. หลักการเลือกตั้งอย่างแท้จริง คือ การเลือกตั้ง ที่บริสุทธิ์ยุติธรรม 4. หลักการออกเสียงโดยทั่วไป คือ ไม่กีดกันหรือจำกัด สิทธิบุคคลใดเป็นพิเศษ 5. หลักการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค 6. หลักการลงคะแนนลับ สำหรับมูลเหตุที่ก่อให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นมาก็คือ การก่อ ให้เกิดสภาวะที่มีระเบียบวินัย และมีแบบแผนอยู่ร่วมกัน บุคคล จึงยอมสละสิทธิและเสรีภาพของตนเพื่อแลกสิทธิและเสรีภาพ ของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องหาตัวแทนของประชาชนที่จะทำ หน้าที่เพื่อกิจกรรมส่วนรวม การเป็นตัวแทน และทำให้มีสิทธิ และความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครอง การเป็นตัวแทน คือ การได้รับการมอบหมายจากผู้ถูกปกครอง ดังนั้นการเป็น ตัวแทนของประชาชน ของหัวคะแนนเป็นการเชื่อมความ สัมพันธ์ระหว่างประชาชน และผู้สมัครเป็นตัวแทนประชาชน นน่ั เอง โดยผา่ นระบบการเลอื กตง้ั ซง่ึ อาจกระทำโดยการหาเสยี ง อย่างเปิดเผย เช่น การติดโปสเตอร์ ปราศรัย เคาะประตูบ้าน หรือใช้สื่อมวลชนก็ตาม 22

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเกี่ยวข้อง 5. แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำ 5.1 ทฤษฎีว่าด้วยชนช้ันนำ (Elitist theory) คำว่า Elitist ได้เริ่มใช้ครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศสเมื่อ ศตวรรษที่ 17 ในการพรรณนาถึงสินค้าที่มีลักษณะพิเศษที่ดี เลิศ และต่อมาความหมายนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยหมายถึง กลุ่มสังคมที่มีอำนาจ เช่น กลุ่มทหาร หรือกลุ่มขุนนางชั้นสูง (Bottomor T. B., 1976) ในทัศนะของ Lasswell ชนชั้นนำ คือ ผู้ที่ ทรงอิทธิพลในการที่จะหาประโยชน์ หรือคุณค่าจากสังคมให้ได้ มากที่สุด โดยเขาได้จำแนกลักษณะของคุณค่าออกเป็น ตำแหน่ง (deference) รายได้ (income) และสวัสดิภาพ (safety) (Lasswell D. H., 1968) นอกจากนี้ Lasswell ยังได้กล่าวต่อไป อีกว่า มันเป็นสิ่งที่เป็นสากลที่ทุกสังคมย่อมมีการแบ่งคนออก เป็นสองชนชั้น คือ (elite) และมวลชน (mall) ผู้ที่อยู่ภายใต้การ ปกครองของชนชั้นนำ Mosca นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลี ได้เสริมความคิดของ Lasswell ไว้ว่า ในทุกสังคมจากสังคมด้อยพัฒนา หรือที่กำลัง พัฒนาไปสู่ความศรีวิไล จนถึงสังคมที่ก้าวหน้าและพัฒนาแล้ว จะมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 2 ชนชั้น กล่าวคือ ชนชั้นผู้นำ (ผู้ปกครอง) และชนชั้นผู้อยู่ใต้ปกครอง (มวลชน) ชนชั้นผู้นำ จะเป็นกลุ่มบุคคลผู้มีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน ประชาชนภายในสังคม แต่คนส่วนน้อยเหล่านี้จะเป็นผู้ทรง อำนาจ และผูกขาดการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนทั้งสิ้น สำหรับชนชั้นผู้อยู่ใต้ปกครอง ถึงแม้จะมีจำนวนมากในสังคม แต่ถกู ควบคุมโดยคนจำนวนน้อย เพราะคนจำนวนน้อยเหล่านั้น 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดชุมพร สามารถที่จะจัดองค์กรได้อย่างเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และมี จุดมุ่งหมายที่แน่นอน Pareto ได้อธิบายถึงความหมายของชนชั้นนำไว้สอง ความหมายด้วยกัน กล่าวคือ ในความหมายแรก เขาได้เน้นถึง ใครก็ตามที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเกี่ยวกับหน้าที่การงาน อย่างสูง ในความหมายที่สอง เขาได้เน้นถึงการแบ่งบุคคล ภายในสังคมออกเป็นสองระดับด้วยกันคือ ในระดับต่ำ ได้แก่ พวกที่ไม่ได้เป็นชนชั้นนำ (non-elite) และในระดับที่สูงกว่า ได้แก่ ชนชั้นนำผู้ที่มีบทบาทในการปกครอง (governing elite) กับ ชนชน้ั ผนู้ ำ ผซู้ ง่ึ ไมม่ บี ทบาทในการปกครอง (non-governing elite) ในทฤษฎีมาร์กซิสต์ ก็ได้มีการแบ่งสังคมออกเป็น สองชนชั้นด้วยกัน คือ ชนชั้นปกครอง (ruling class) และผู้อยู่ใต้ ปกครอง (subject class) ชนชั้นปกครองจะเป็นผู้ควบคุมปัจจัย ผลิตในทางเศรษฐกิจ สิ่งที่แตกต่างระหว่างทฤษฎีมาร์กซิสต์ และทฤษฎีชนชั้นผู้นำอยู่ตรงที่ว่า ทฤษฎีชนชั้นผู้นำจะเน้นถึง การหมุนเวียนของพวกชนชั้นผู้นำ (circulation of elites) ถึงแม้ จะมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองโดยกลุ่มบุคคลภายใน สังคม แต่ในที่สุดกลุ่มบุคคลผู้ที่ทำการปฏิวัตินั้นก็จะกลายเป็น ชนชั้นนำชุดใหม่โดยปริยาย สำหรับทฤษฎีมาร์กซิสต์ เมื่อมี การปฏิวัติโดยมวลชนเกิดขึ้น จะเป็นจุดจบของชนชั้นผู้นำ และ จะนำไปสู่เสรีภาพอันแท้จริงที่ปราศจากผู้ปกครอง กล่าวโดยสรุป จากคำอธิบายของหลายสำนักจะเห็นว่า ชนชั้นผู้นำก็คือ ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองในการที่จะชี้ชะตา บุคคลที่อยู่ภายใต้การปกครอง ให้เป็นไปตามครรลองที่พวกเขา 24

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง ต้องการ เครื่องมือที่สำคัญในการช่วยสร้างฐานอำนาจให ้ เข้มแข็ง ได้แก่ สถานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และความสามารถ ที่ควบคุมปัจจัยการผลิตไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งกำหนดอื่นๆ อีก ที่ทำให้ชนชั้นผู้นำมีอำนาจเหนือบุคคลอื่นๆ ภายในสังคม คือ สภาวะผู้นำ การศึกษา ฯลฯ ดังนั้น เมื่อเรามองโครงสร้างของสังคมในแนวความคิด ของทฤษฎีชนชั้นนำจะเห็นได้ว่า ลักษณะโครงสร้างของสังคม ในแนวความคิดของทฤษฎีชนชั้นนำ จะเห็นได้ว่าลักษณะ โครงสร้างของสังคมจะมีรูปร่างเป็นปิรามิดโดยมีชนชั้นผู้นำซึ่งมี จำนวนน้อยอยู่บนยอดของปิรามิดข้าราชการจะเป็นผู้ที่รับใช้ ชนชั้นผู้นำเหล่านั้นและมีมวลชนเป็นฐานของปิรามิดซึ่งไม่มี บทบาทมากมายอะไรนักในสังคม (พรชัย เทพปัญญา, 2552, น.7-9) แผนภาพที่ 1 โครงสร้างของสังคมในแนวคิดทฤษฎีชนชั้นผู้นำ ชั้นชนน ำ ข้าราชการ มวลชน Elite Policy direction Official & administrators MASSES ที่มา : พรชัย เทพปัญญา. นักการเมืองถิ่นจังหวัดชลบุรี. นนทบุรี. 2552 25

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร 5.2 แนวความคิดของทฤษฎีชนชั้นนำ 1. ยอมรับการแบ่งสังคมออกเป็นสองชนชั้น คือ ผู้ที่ ปกครอง และผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง 2. ผู้ปกครอง จะเป็นผู้ที่ครอบครองเศรษฐกิจส่วนใหญ่ ภายในสังคม 3. ทฤษฎีชนชั้นผู้นำ ยอมรับแนวความคิดที่จะเปิด โอกาสให้พวกมวลชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในระบบ การเมืองในสถานะของผู้ปกครองเช่นกัน แต่เงื่อนไขอันนี้เกิดมา จากสภาวะจำยอมของผู้ปกครองเองกลัวที่จะเกิดการปฏิวัติโดย มวลชน แต่อย่างไรก็ตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงของพวก มวลชนที่จะเข้าไปสู่ศูนย์กลางของอำนาจนั้น จะเป็นไปใน ลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยการ ปฏิวัติ (Pareto V., อ้างถึงใน Bottmor, 1976) Pareto ได้พูดถึง การหมุนเวียนของชนชั้นผู้นำ (the circulation of elite) ไว้ 3 ประการด้วยกัน ในประการแรก เป็นการหมุนเวียนในเฉพาะ กลุ่มของพวกชนชั้นนำด้วยกัน ในแต่ละประเภท สำหรับการ จำแนกประเภทของกลุ่มชนชั้นผู้นำที่สำคัญนั้น นักสังคมวิทยา Mill C. Wright ได้จำแนกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ข้าราชการ (government bureaucracies) ผู้บัญชาการทหาร (military commanders) และกลุ่มเศรษฐกิจ (economic elite) (Mill C. Wright, 1956) สำหรับ Bottomor ได้แบ่งชนชั้นผู้นำภายในสังคม ได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปัญญาชน (intellectuals) กลุ่มผู้จัดการ ของอุตสาหกรรม (manager of industry) และกลุ่มข้าราชการ ชั้นสูง (high government officials) ในประการที่ 2 เป็นการ 26

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีที่เก่ียวข้อง หมุนเวียนระหว่างชนชั้นนำกับมวลชน สำหรับการหมุนเวียนใน ประการนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ ในลักษณะแรก มวลชนได้เปลี่ยนสถานะตัวเองไปเป็นชนชั้นนำ หรือในลักษณะที่สอง ได้แก่ มวลชนได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อที่จะตั้ง กลุ่มชนชั้นผู้นำใหม่ขึ้น เพื่อต่อสู้กับชนชั้นผู้นำที่มีอำนาจอยู่ ในประการสุดท้าย การหมุนเวียนของชนชั้นผู้นำนั้นเป็น การหมุนเวียนระหว่างผลประโยชน์เดิมที่กำลังหมดลงไปกับ ผลประโยชน์ใหม่ที่เข้ามาแทนที่ (พรชัย เทพปัญญา, 2552, น. 11) 4. ทฤษฎีชนชั้นผู้นำเน้นการมีฉันทานุมัติ (consensus) ร่วมกันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เบื้องต้นของสังคม เพื่อการอยู่รอด ของระบบ ดังตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ความเชื่อร่วมกัน ของพวกชนชั้นผู้นำได้แก่รัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด (limited government) การเลือกตั้งสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การเคารพใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล สำหรับความขัดแย้งหรือการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มชนชั้นผู้นำอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่จะมีลักษณะในทาง ที่ค่อนข้างจำกัด 5. นโยบายสาธารณะ (public policy) จะไม่สะท้อนถึง ความต้องการของมวลชน แต่แสดงให้เห็นถึงความต้องการของ พวกตน ถึงแม้ในบางครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบาย สาธารณะ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นเพราะพวกชนชั้น ผู้นำต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของตนมิใช่เพราะเพื่อ ประชาชน ดงั น้นั นโยบายสาธารณะจงึ มีลักษณะท่เี ปลี่ยนแปลง ไปอย่างช้าๆ และมีขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้ 27

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร หมายความว่าพวกชนชั้นผู้นำอาจจะสนองตอบความต้องการ ของประชาชนช้า ถ้าเป็นไปเพื่อการรักษาสถานะของตน (พรชัย เทพปัญญา, 2552, น 10-12) 5.3 ประเภทของชนชั้นผู้นำ ทฤษฎชี นชน้ั ผนู้ ำยงั สามารถทจ่ี ะจำแนกไดเ้ ปน็ 2 รปู แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ The single elite model และ The plural elite model สำหรับในรูปแบบแรก จะเน้นถึงอำนาจอยู่ในมือของคน กลุ่มน้อยเพียงสองสามกลุ่ม โดยปกติแล้วจะเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ กลุ่มนายทหาร และข้าราชการ สำหรับรูปแบบที่สอง จะเน้นถึงการกระจายอำนาจระหว่างกลุ่ม ผู้นำหลายๆ กลุ่ม ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ภายในสังคม นอกจากนั้น กลุ่มเหล่านี้จะแข่งขันกันเพื่อที่จะอยู่ ในอำนาจโดยจะใช้วิธีทางในการเลือกตั้งพรรคการเมือง หรือ กลมุ่ ผลประโยชนเ์ ปน็ แนวทาง (Robert L., 1971) สง่ิ ทเ่ี หน็ แตกตา่ ง ได้ชัดเจนของทั้งสองรูปแบบ ได้แก่ The single elite model จะจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย และการกำหนดนโยบายส่วนใหญ่มักจะตัดสินด้วยคนส่วนน้อย สว่ น The plural elite model จะเนน้ ถงึ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน Dye และ Zeiglesได้เปรียบเทียบรูปแบบทั้งสองจะเห็นได้ ว่ามีลักษณะแตกต่าง ดังต่อไปนี้ The single elite model 1. อำนาจเกิดมาจากบทบาท หรือตำแหน่งที่ได้มาจาก สถานภาพทางสังคม และทางเศรษฐกิจ ดังนั้น 28

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง ผู้ที่ทรงอำนาจมักจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญในทาง ธุรกิจ การเงิน การทหาร หรือสถาบันการเมืองอื่นๆ 2. อำนาจจะอยู่ในกลุ่มของชนชั้นผู้นำตลอดเวลาถึงแม้ จะมีการเลือกตั้ง แต่อำนาจทั้งหลายก็คงอยู่ในมือ ของกลุ่มเดิมอย่างเช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง 3. การเปลี่ยนแปลงจากมวลชนไปเป็นชั้นผู้นำนั้นเกิด ขึ้นได้ยาก นอกเสียจากว่ามวลชนที่จะขยับฐานะของ ตนให้มีตำแหน่งสงู ขึ้นภายในสังคม 4. สิ่งที่แตกต่างระหว่างชนชั้นผู้นำกับมวลชน เกิดขึ้น จากพื้นฐานความสามารถที่จะควบคุมเศรษฐกิจ ภายในสังคมไว้ได้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าพ่อค้า หรือนักธุรกิจใหญ่ๆ จะเป็นชนชั้นนำที่สำคัญ 5. ระบบการเมืองจะมีโครงสร้างคล้ายรูปปิรามิด กล่าวคือ อำนาจจะมารวมอยู่ที่ยอดของ ปิรามิด เพียงจุดเดียว 6. มีความขัดแย้งระหว่างชนชั้นผู้นำด้วยกัน แต่ความ ขัดแย้งเหล่านี้ถูกขจัดให้ลดน้อยลงด้วยแนวความคิด ในการที่จะรักษาระบบให้คงไว้ 7. มวลชนไม่สามารถที่จะมีอำนาจเหนือชนชั้นผู้นำได้ ถึงแม้จะมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง และเข้าร่วมใน กิจกรรมการเมืองด้านอื่น ๆ 29

นักการเมืองถิ่นจังหวัดชุมพร Plural elite model 1. อำนาจจะถูกกระจายไประหว่างกลุ่มหลายกลุ่ม ด้วยกันภายในสังคม โดยไม่คำนึงถึงสถานะทาง เศรษฐกิจ และสังคม 2. อำนาจจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และจะไม่อยู่ ในมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยถาวร 3. ความแตกต่างระหว่างชนชั้นผู้นำกับมวลชนเห็นได้ ไม่ชัด เพราะฉะนั้น การหมุนเวียนที่จะเข้าไปสู่ อำนาจของมวลชนจึงเป็นไปได้ง่าย 4. ความแตกต่างระหว่างชนชั้นผู้นำกับมวลชนนั้น ขึ้นอยู่กับความสนใจของมวลชนในนโยบายเรื่องใด เรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าไปมี บทบาทในนโยบายจึงไม่จำเป็นจะต้องมีสถานะทาง เศรษฐกิจที่ดี แต่อาจจะอาศัยปัจจัยอื่นๆ เช่น ทักษะ ในการเป็นผู้นำ ความสามารถในการพูดจูงใจคน เป็นต้น 5. อำนาจจะกระจายอยู่ในมือคนหลายๆ กลุ่ม โดย แต่ละกลุ่มจะมีอำนาจเฉพาะเรื่อง และจะไม่มีกลุ่ม ใดจะผูกขาดอำนาจทั้งหมดไว้ได้ 6. มีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มของชนชั้นผู้นำด้วยกัน โดยเชื่อถือในแนวความคิดในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย 30

ทบทวนเอกสาร งานวิจัย และทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง 7. มวลชนสามารถจะควบคุมชนชั้นผู้นำได้ด้วยระบบ เลือกตั้ง เพราะเนื่องจากมีการแข่งขันกันระหว่าง กลุ่มชนชั้นผู้นำด้วยกัน (พรชัย เทพปัญญา, 2552, น.12-13) 6. แนวคิดการหาเสียงเลือกต้ัง การหาเสียงเลือกตั้ง คือ การพยายามหาวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎร แนวคิดพ้ืนฐานในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง การจดั องค์กรในการรณรงคห์ าเสยี งเลือกตง้ั การจัดองค์กรในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็น ทางการ เป็นแนวทางการจัดองค์กรที่อาศัยภาพของ ปัจเจกบุคคลเป็นหลัก การดำเนินงานในการรณรงค์หาเสียง จะอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้สมัคร กับญาติมิตร เพื่อนฝูง โดยไม่มีการจัดแบ่งหน้าที่ของบุคลากรอย่างชัดเจน เป็นระบบ เป้าหมายจะเป็นกลุ่มญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนรู้จัก เป็นอันดับแรก คะแนนเสียงที่ผู้รับสมัครหวังจะได้เป็นกอบเป็น กำ คือ คะแนนเสียงของผู้ที่อยู่ในชนบทที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ และการศึกษาที่ไม่สูงนัก โดยการจัดตั้งจากระบบหัวคะแนน โดยมีรูปแบบของการจัดองค์กรในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ดังนี้ 31


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook