นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา โดย ดร.เศรษฐวฒั น์ โชควรกลุ ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data เศรษฐวัฒน์ โชควรกลุ . นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นครราชสมี า- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2559. 290 หน้า. 1. นักการเมือง - - นครราชสีมา. 2. นครราชสีมา - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 342.2092 ISBN 978-974-449-XXX-X รหสั สงิ่ พมิ พ์ของสถาบันพระปกเกลา้ สวพ.59-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สอื 978-974-449-XXX-X ราคา พิมพ์ครัง้ ท่ี 1 กันยายน 2559 จำนวนพมิ พ ์ 500 เล่ม ลขิ สทิ ธ ิ์ สถาบันพระปกเกล้า ทีป่ รกึ ษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผแู้ ตง่ ดร.เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล ผู้พิมพผ์ โู้ ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จัดพมิ พโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพท์ ่ี
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดนครราชสีมา ดร.เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล สถาบันพระปกเกล้า
คำนำ โครงการวิจัยเรื่อง “สำรวจเพ่ือประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา” สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หลายฝ่าย ซึ่งทำให้ผู้วิจัยได้ข้อมูลของนักการเมืองถิ่นใน จังหวัดนครราชสีมา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งโครงการวิจัยนี ้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจถึงนักการเมืองถิ่นที่เคยได้รับการ เลือกตั้งภายในจังหวัด เพื่อศึกษาถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ ของนักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษาถึงบทบาทและความ สัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วน สนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษา บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมือง ในจังหวัด ตลอดจนศึกษาถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา ด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา โดยศึกษาการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2556) โดยให้ความสำคัญกับการเจาะลึก ประวัตินักการเมืองรุ่นเก่า โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นตำนานหรือ มีความสำคัญในแต่ละช่วงเวลา/ยุค เน้นศึกษาจากเอกสาร และ สัมภาษณ์ครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หัวคะแนน ประชาชน เพื่อให้ได้ข้อมลู เชิงลึก ผู้วิจัยมีความมุ่งหวังว่าองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษา วิจัยในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจน ประชาชนผู้สนใจได้รับความรู้ ความเข้าใจต่อพัฒนาการ ทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่น จังหวัดนครราชสีมา อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ การป้องกันและ แก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ตลอดจนเป็นการปลูกฝัง ค่านิยมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในอนาคต ได้อย่างดียิ่งขึ้น ดร.เศรษฐวฒั น์ โชควรกลุ ผูว้ ิจัย
บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยเรื่อง การสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ ถึงนักการเมืองถิ่นที่เคยได้รับการเลือกตั้งภายในจังหวัด เพื่อ ศึกษาถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษาถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วนสนับสนุนทางการเมืองแก่ นักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษาบทบาทและความสัมพันธ์ ของพรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัด ตลอดจนศึกษาถึง วิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัด นครราชสีมา ทำการศึกษานักการเมืองระดับสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดนคราชสีมา ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2556) โดยใช้กระบวนการวิจัย เชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา ตระกูลการเมืองในจังหวัดนครราชสีมาที่มีบทบาท สำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (2556) มีจำนวน 36 ตระกูล โดยเลือกเฉพาะตระกูลที่เคยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ยกเว้นเฉพาะตระกูล เชิดชัย เพียงตระกูลเดียวที่ถึงแม้จะเคยได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเมื่อปี 2550 เพียงครั้งเดียว แต่ตระกูลนี้ก็มีบทบาทต่อการเมืองในจังหวัดนครราชสีมาทั้งใน ระดับท้องถิ่นและระดับจังหวัดเป็นอย่างมาก โดยผู้วิจัยจะแบ่ง การเมืองในจังหวัดนครราชสีมาเป็น 3 ช่วงใหญ่ คือ ช่วงแรก ตั้งแต่ปี 2476 ถึงก่อนปี 2518 ช่วงที่สองตั้งแต่ปี 2518 ถึงก่อน ปี 2544 และช่วงที่สามตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบัน (2556) ช่วงแรกต้ังแตป่ ี 2476 ถึงก่อนปี 2518 ผไู้ ด้รับการเลือกตง้ั เป็น ส.ส. ล้วนมาจากบุคคลผู้เป็นข้าราชการทั้งข้าราชการ บำนาญ และข้าราชการประจำเป็นส่วนใหญ่ มีตำแหน่งเป็น ขุน, หลวง, พระ, พระยา หรือตำแหน่งทางทหาร ตำรวจนำหน้า ชื่อ ซึ่งคาดการณ์ได้ไม่ยากว่าท่านเหล่านี้เป็นฝ่ายอนุรักษนิยม เป็นส่วนใหญ่ ช่วงที่สอง ตั้งแต่ปี 2518 ถึงก่อนปี 2544 มีตระกูลนักการเมืองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นมาเป็นผู้แทนของ ชาวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งด้วยความที่เป็นจังหวัดที่มีขนาด ใหญ่ ทำให้มีผู้แทนจำนวนมาก และผู้แทนในแต่ละพื้นที่ก็มี ตระกูลที่แทบจะมีผลผูกขาดในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นส่วนประสม ที่ลงตัวระหว่างชนชั้นข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ ทนายความ ทำให้ในช่วงนี้มีตระกูลนักการเมืองที่โดดเด่นหลายตระกูล เช่น ตระกูลชุณหะวัณ ตระกูลเลาวัณย์ศิริ ตระกูลลิปตพัลลภ VII
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา ตระกูลครุฑขุนทด ตระกูลพร้อมพันธุ์ ตระกูลสุวรรณฉวี ตระกูลรัตนเศรษฐ และตระกูลเชิดชัย ช่วงที่สามตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบัน (2556) การเมืองในช่วงนี้เป็นช่วงที่เกิดกระแสทักษิณ ฟีเวอร์ ความนิยมในตัวพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และ นโยบายพรรคไทยรกั ไทย ทำใหป้ ระชาชนในจงั หวดั นครราชสมี า เทคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ พรรคอื่น ๆ เช่น พรรคชาติพัฒนา และพรรคชาติไทย สูญเสีย ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรฯ ไปเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้ตระกูล การเมืองในจังหวัดนครราชสีมามีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยย้ายไปสังกัดพรรคในเครือข่ายของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ความสัมพันธ์ของนักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมากับ พรรคการเมือง และฐานเสียงการเมืองภายในจังหวัดเป็นไป ตามกระแสความนิยมชมชอบในตัวบุคคล พรรคการเมือง กระสุนดินดำ (เงินสนับสนุน) และนโยบายของพรรคเป็นหลัก ฐานเสียงของพรรคชาติพัฒนา จะอยู่ในเขตอำเภอเมืองฯ เป็น ส่วนใหญ่ ฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย จะอยู่ ต่างอำเภอเนื่องจากเป็นจังหวัดใหญ่ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง จะถูกคาดหวังจากทุกพรรคการเมือง กระแสการเมืองของ คนโคราช เปลี่ยนแปรได้ง่ายเนื่องจากตัวแปร ของคนในเมือง หรืออำเภอเมืองฯ ที่เป็นหลักในการเทคะแนนตามความคิด ความอ่าน อย่างตรงไปตรงมา โคราชเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว มีการเมืองที่ไม่ทำลายล้างกัน โคราชเป็นพื้นที่พิเศษ ในระดับหนึ่ง โคราชเป็นพื้นที่ท้องถิ่นนิยมระดับสงู VIII
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา วิธีการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา จะใช้วิธีการที่ตัวผู้สมัคร ส.ส. เข้าไปหา เสียงด้วยตนเองในหมู่บ้านและในชุมชน โดยไปจัดแสดง มหรสพ ฉายภาพยนตร์ แล้วขึ้นปราศรัยหาเสียง มีการ ติดใบปลิวหาเสียง บางครั้งใช้วิธีหาเสียงแบบเคาะประตูบ้าน ผู้สมัครหาสุราไปดื่มและกินต้มไก่กับชาวบ้าน ผู้สมัครจะขึ้น ปราศรัยหาเสียง และเริ่มมีการแจกสิ่งของอุปโภค บริโภค ให้ชาวบ้าน มีการแจกเงินควบคู่กับสิ่งของ มีการจัดตั้ง หัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำสตรี ครูหรือ ข้าราชการในท้องถิ่น โดยจัดตั้งถึงระดับชุมชน หมู่บ้าน มีการนำการจัดการเครือข่ายแบบธุรกิจขายตรงมาให้กับ เครือข่ายหัวคะแนน นโยบายของพรรคเป็นส่วนสำคัญที่จะ ตัดสินได้ว่าผู้สมัครรายใดจะได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ไม่ว่า จะพรรคขนาดใหญ่หรือพรรคขนาดเล็ก ต่างแข่งขันช่วงชิงฐาน เสียงในจังหวัดด้วยการออกนโยบายในรูปแบบประชานิยม ออกมาปรนเปรอชาวบ้านอยู่ตลอด และเงินยังคงเป็นปัจจัย สำคัญที่จะตัดสินว่าผู้สมัครรายใดจะได้รับการเลือกตั้ง IX
Abstract The research aims to compile data of local politicians who have been elected members of parliament for Nakhon Ratchasima Province, their relationships and networks, as well as the roles of interest groups, social groups, and political parties in supporting the local politicians. The study also examines how election campaigns are conducted in the province. The study covers the period since the first general election in 2476 (1933) until 2556 (2013). The study uses qualitative research techniques. Among all political families in the province whose family members have been elected members of parliament for at least two elections, only 36 families are found to haveplayed an important role in politics in the province from the first general election to the present (2556). The Cherdchai
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา family is, however, an exception because although they only won one election (in 2007), the family has been very influential in Nakhon Ratchasima politics. The analytical framework of this research is divided into 3 major periods: the first is 2476 (1933) – 2517 (1974), the second is 2518 (1975) – 2543 (2000) and the third is 2544 (2001) - 2556 (2013). During the first period, 2476 (1933) – 2517 (1974), all elected members of parliament for this province were civil servants and pensioners, most of whom were high ranking or senior officials with positions ranging from Khun Luang, Phra, Phraya, or police/soldiers. In the second period, 2518 (1975) – 2543 (2000), members of different political families took turns winning elections. As Nakhon Ratchasima is a large province, it has several representatives. Each area of the province was also politically occupied by different families of various backgrounds, including civil servants, merchants, businessmen, and lawyers. Thus there were several prominent political families in this period, namely the Chunhawan family, the Laowansiri family, the Liptapanlop family, the Krutkuntode family, the Prompan family, the Suwanchawee family, the Ratanasate family, and the Cherdchai family. During the third period, 2544 (2001) - 2556 (2013), the popularity of Thaksin Shinawatra and his party, Thai Rak Thai, contributed to the major success of Thai Rak Thai Party in elections. Other political parties, such as Chart Pattana and Chart Thai, XI
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา accordingly, lost many of their seats in the parliament to Thai Rak Thai, resulting in a number of politicians in this province moving to Thai Rak Thai Party. The relationship between Nakhon Ratchasima politicians and political parties and political bastions within the province depends primarily on the popularity of the politician, the political party, financial support, and the political party’s policies. Whereas the bastion of Chart Pattana Party is based mainly in Mueang Nakhon Ratchasima District, the bastions of Bhumjaithai Party and Pheu Thai Party are located in other districts. Having extensive area, Nakhon Ratchasima has always been a target area for all political parties. Shifts in political popularity in this province, however, occur easily as the people living in Mueang district are regarded as key unattached voters. One unique attribute of Nakhon Ratchasima’s politics is that the election campaigns are non- destructive. The province itself is also deemed a strong localism area. Regarding campaign strategies, local politicians in this province usually visit voters in their villages, organize some forms of entertainment (such as outdoor cinema), give speeches, and distribute campaign leaflets. Sometimes they use door-to-door campaigns, share local food and alcohol beverages with villagers, and distribute money and consumer XII
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา goods to voters during campaign speeches. Politicians also appoint community leaders, subdistrict headmen, village headmen, woman leaders, teachers or local civil servants to be election campaigners at community and village levels. A direct sales management strategy is also adopted for the management of election campaigner networks. Political parties’ policies and money paid to voters are important factors affecting the results of member of parliament elections. Both large and small political parties, therefore, put an effort into making their populist policies known to voters in order to gain popularity and win elections. XIII
สารบัญ หน้า คำนำ IV บทคัดย่อ VI Abstract IX บทท่ี 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและสภาพปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ 5 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 5 1.4 วิธีการศึกษา 6 1.5 ระยะเวลาที่ทำการศึกษา 6 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6 บทท่ี 2 ขอ้ มูลท่วั ไปของจงั หวดั นครราชสีมา 8 2.1 ภูมิหลังทางการเมืองของจังหวัดนครราชสีมา 8 2.2 ขนาดที่ตั้งและอาณาเขต 23
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา หนา้ บทที่ 3 แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง 35 3.1 แนวคิดประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 35 3.2 แนวคิดประชาธิปไตยไทยจากมุมมองทฤษฎีชนชั้นนำ 42 3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 51 บทที่ 4 นักการเมืองถนิ่ จังหวดั นครราชสีมา 59 4.1 เขตการเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 59 จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2556) 4.2 รายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา 73 ตั้งแต่ พ.ศ.2476 ถึงปัจจุบัน (2556) 4.3 วิเคราะห์การเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา 91 4.4 วิเคราะห์เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง 155 กับพรรคการเมือง และฐานเสียงการเมืองภายในจังหวัด 4.5 รปู แบบวิธีการหาเสียง 171 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 174 5.1 สรุปผลการวิจัย 174 5.2 อภิปรายผล 219 5.3 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในอนาคต 244 5.4 ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาการเมืองถิ่น 245 ในจังหวัดนครราชสีมา บรรณานุกรม 247 ภาคผนวก 253 ภาคผนวก ก รายนามผู้ให้สัมภาษณ์ 256 ภาคผนวก ข ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา 273 ประวัตนิ ักวิจยั XV
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 4.1 เขตเลือกตั้งจังหวัดนครราชสีมา 61 ตารางที่ 4.2 รายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา 73 ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2556) 92 ตารางที่ 4.3 จำแนกตระกลู การเมืองจังหวัดนครราชสีมา ตารางที่ 5.1 จำแนกตระกลู การเมืองจังหวัดนครราชสีมา 175 XVI
บ1ทท ี่ บทนำ 1.1 ความเป็นมาและสภาพปัญหา นับตั้งแต่มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี เป็นต้นมาเมื่อ พ.ศ. 2325 ประเทศไทย หรือประเทศสยาม ณ ช่วงเวลานั้นปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 150 ปี แต่เมื่อมีเหตุการณ์ เปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ทำให้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศตกเป็นของ ประชาชน อำนาจอธิปไตยนี้ นับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ของความเป็นรัฐ เพราะการจะเป็นรัฐได้นั้น นอกจากต้อง ประกอบด้วย อาณาเขต ประชากร และรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องมี
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา อำนาจอธิปไตยด้วย จึงจะสามารถเรียกว่ารัฐได้ อำนาจ อธิปไตยตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ประกอบไปด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่ อำนาจฝ่ายบริหาร อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และอำนาจ ฝ่ายตุลาการ การใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนชาวไทย กระทำการโดยเลือกผู้แทน ซึ่งจัดเป็นการปกครองแบบทางอ้อม ผ่านผู้แทนใช้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐในนามประชาชน หรือ ทเ่ี รยี กวา่ ประชาธปิ ไตยแบบตวั แทน (Representative Democracy) เป็นระบอบการเมืองที่ให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนเข้าไป บริหารและตัดสินใจแทนตน เป็นระบอบการปกครองที่ ประชาชนมอบอำนาจอธิปไตยให้ผู้แทนที่เขาเลือกตั้งเข้าไปตาม กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งของรัฐ เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าว แทน โดยมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่แน่นอน เช่น ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนด วาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปี สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 6 ปี สำหรับสมาชิกวุฒิสภา ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนในประเทศไทยนี ้ พบว่า เป็นการเลือกตัวแทนจากชนชั้นนำ (Elite) นั่นก็คือ การเลือกตัวแทนจากชนชั้นข้าราชการ ทั้งข้าราชการทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน รวมทั้งพ่อค้า คหบดี นักธุรกิจ เป็นต้น ดังคำกล่าวของนักสังคมวิทยานามอุโฆษ C. Wright Mills ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Power Elite” โดยจำแนก ชนชั้นนำออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ได้แก่ ข้าราชการ (Government Bureaucracies) ผู้บัญชาการทหาร (Military Commanders) และ กลุ่มเศรษฐกิจ (Economic Elite) ในปัจจุบันระบบการเมืองไทย ได้ถูกเปลี่ยนมือจากทหารและข้าราชการ มาเป็นระบบทุน
บทนำ อย่างเต็มรูปแบบ การเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยแบบ ชนชั้นนำนั้น เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์ทางประชาธิปไตย แต่หา ได้สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนเลย ถ้าจะมีอานิสงส์ ถึงประชาชนบ้างก็คงจะเป็นเศษเนื้อที่ประทังชีวิตไม่ให้ตาย เท่านั้น จากกรณีศึกษาแนวคิดของชนชั้นนำนั้น จะไม่สะท้อน ถึงความต้องการของมวลชน แต่จะแสดงให้เห็นถึงความ ต้องการของพวกตนเอง ถึงแม้ในบางครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลง ในนโยบายสาธารณะ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นเพราะ พวกชนชั้นนำต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของตนไม่ใช่ เพื่อประชาชน ดังนั้นนโยบายสาธารณะจึงมีลักษณะที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ และมีขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตามพวก ชนชั้นนำอาจจะต้องสนองตอบความต้องการของประชาชน บ้าง ถ้าเป็นไปเพื่อการรักษาสถานภาพของตน (พรชัย เทพปัญญา, 2548) อย่างไรก็ตามการจะได้มาซึ่งนักการเมืองหรือผู้แทนของ ประชาชนที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนได้นั้น มีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างหลักประกันทางการเมืองเพื่อให้ ประชาชนสามารถเชื่อมั่นและวางใจได้ว่า ผู้แทนที่เขาเลือกตั้ง เข้าไป จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งหมายความถึง ประชาชนและสังคมเป็นส่วนรวม บนหลักการความรับผิดชอบ ต่อส่วนรวม และเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อผลประโยชน์ ของมวลชน ด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งมองในแง่ประโยชน ์ ของประเทศชาติแล้ว เป็นหลักการที่ควรยึดถือ ยึดมั่น และ ควรปฏิบัติ อีกประการสำคัญ คือ ควรมีการศึกษาถึงเครือข่าย ของผู้แทนเหล่านั้นว่า เขาเหล่านั้นมีการทำงานเป็นอย่างไร
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา มีกลยุทธ์หรือกลวิธีใดใช้ในการหาเสียงจนสามารถได้รับ การเลือกตั้งให้มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้ โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ตัวแทน ประชาชนของแต่ละจังหวัด ย่อมต้องมีโครงข่ายหรือพรรคพวก จำนวนมากคอยให้การสนับสนุน เพราะจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ภายในจังหวัด ซึ่งบุคคล เหล่านี้ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ อย่างไร อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักการเมืองเหล่านั้น ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน การศึกษาโครงการสำรวจ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา จึงถูกจัดทำขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อสำรวจถึงนักการเมืองถิ่นที่เคยได้รับการ เลือกตั้งภายในจังหวัด เพื่อศึกษาถึงเครือข่าย และความ สัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษาถึงบทบาท และ ความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ ที่มีส่วนสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด เพื่อศึกษาบทบาท และความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองในจังหวัด ตลอดจนศึกษาถึงวิธีการหาเสียงในการ เลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีความ มุ่งหวังว่าองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้จะช่วย ส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนผู้สนใจได้รับ ความรู้ ความเข้าใจต่อการเมืองภายในจังหวัดนครราชสีมา ได้อย่างดียิ่งขึ้น
บทนำ 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสำรวจนักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อศึกษาถึงเครือข่าย และความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา 3. เพื่อศึกษาถึงบทบาท และความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วน สนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด นครราชสีมา 4. เ พ ื ่ อ ศ ึ ก ษ า บ ท บ า ท แ ล ะ ค ว า ม ส ั ม พ ั น ธ ์ ข อ ง พรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา 5. เพื่อศึกษาถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา 1.3 ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นครราชสีมา ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2556) โดยให้ความสำคัญกับการเจาะลึกประวัติ นักการเมืองรุ่นเก่า โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นตำนานหรือมีความ สำคัญในแต่ละช่วงเวลา/ ยุค เน้นศึกษาจากเอกสาร และ สัมภาษณ์ครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หัวคะแนน ประชาชน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา 1.4 วิธีการศึกษา อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ศึกษา ได้แก่ 1. การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ 2. การสัมภาษณ์นักการเมือง และบุคคลที่สามารถให้ ข้อมูลโยงใยไปถึงนักการเมืองได้ เช่น ครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หัวคะแนน และประชาชน 1.5 ระยะเวลาที่ทำการศึกษา ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยโครงการสำรวจ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมาเป็นเวลา 12 เดือน (เริ่ม ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2557) 1.6 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1. ได้ทราบถึงนักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดนครราชสีมา 2. ได้ทราบถึงเครือข่าย และความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา 3. ได้ทราบถึงบทบาท และความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วน สนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด นครราชสีมา
บทนำ 4. ได้ทราบถึงบทบาท และความสัมพันธ์ของพรรค การเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา 5. ได้ทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในจังหวัดนครราชสีมา
บ2ทท ี่ ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนครราชสีมา 2.1 ภูมิหลังทางการเมืองของจังหวัดนครราชสีมา (ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครราชสีมา, 2536) บริเวณจังหวัดนคราชสีมาในปัจจุบันปรากฏร่องรอยและ หลักฐานแสดงว่า มีพัฒนาการของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัย ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว 4,000-3,000 ปีมาแล้ว ที่บริเวณเขา จันทร์งาม อำเภอสีคิ้ว ภาพเขียนแสดงการดำเนินชีวิตของ คนในสังคมล่าสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการขุดค้นทางโบราณคดี พบหลักฐานทางด้านการตั้งถิ่นฐานของชุมชนเกษตรกรรมที่เก่า แก่ที่สุด ของเมืองนครราชสีมา เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ที่บ้านธารปราสาท อำเภอโนนสูง และยังพบหินตั้งเป็น รูปวงกลมที่บ้านหินตั้ง อำเภอสูงเนิน ซึ่งศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี สันนิษฐานว่าเป็นวัฒนธรรมหินใหญ่รุ่นใหม่ เชื่อว่าเป็น
ข้อมูลท่ัวไป ศาสนสถาน หรือหลักเขตแสดงอาณาเขตของเมือง ในราว พุทธศตวรรษที่ 11-13 อาณาจักรเจนละของขอมได้แผ่ขยาย อิทธิพลเข้ามาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรากฏหลักฐาน ที่ปราสาทภูมิโปน จังหวัดสุรินทร์ และเมืองศรีเทพ จังหวัด เพชรบูรณ์ ก็เป็นโบราณสถานอันเนื่องจาก ศาสนาพราหมณ์ ของอาณาจักรเจนละ แสดงว่าบริเวณเมืองนครราชสีมา ก็อาจอยู่ใต้อำนาจของขอม เพราะมีหลักฐานว่าขอมแผ่ขยาย อาณาเขตมาถึงพิมายด้วย ร่วมสมัยกับอาณาจักรเจนละ มีหลักฐานหลายประการที่แสดงว่าเมืองนครราชสีมาได้รับ อิทธิพลวัฒนธรรมสมัยทวาราวดี โดยเฉพาะที่เมืองเสมา อำเภอ สูงเนินพบชุมชนที่มีคูน้ำคันดินเป็นรูปวงรี มีการพบศิลาธรรม จักร และพระพุทธไสยาสน์ ปัจจุบันอยู่ที่วัดคลองขวาง ตำบล เสมา อำเภอสูงเนิน แต่ไม่แน่ใจว่าอาณาจักรทวารวดีจะแผ่ อำนาจเข้าครอบครองหรือไม่ เพราะฝีมือเป็นของช่างพื้นเมือง เมืองนครราชสีมาถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรก จากเอกสาร สมัยพระบรมไตรโลกนาถในกฎหมายเรื่อง พระอัยการตำแหน่ง นาพลเรือน และนาทหารหัวเมืองที่ประกาศใช้ใน พ.ศ. 1998 ระบุว่าเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองชั้นโท เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์ เป็นออกญากำแหงสงครามราชภักดีพิรียะภาหะ ศักดินา 10,000 ไร่ แต่ที่น่าสนใจที่สุดอยู่ตรงที่ว่า นครราชสีมาเป็นเมือง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพียงเมืองเดียวที่ถูกระบุไว้ใน รายชื่อเมืองของกฎหมายฉบับนี้ ก่อนหน้านี้เมืองนครราชสีมา น่าจะยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไทย ยังอยู่ภายใต ้ การปกครองของกัมพูชา แต่คงจะควบคุมดูแลไม่เข้มงวด มากนัก เพราะกัมพูชานั้นเริ่มเสื่อมอำนาจลง ตั้งแต่สิ้นสมัย
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แม้ว่าจะมีคนไทยแถบลุ่มแม่น้ำยม จะสามารถตั้งตัวเป็นอิสระ และสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ได้สำเร็จในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 แต่ยังไม่มีอิทธิพลแผ่มา จนถึงนครราชสีมา ที่คงเป็นเพียงเมืองชายเขตแดนของ อาณาจักรในสมัยนั้น แต่อย่างไรก็ตามมีหลักฐานที่แสดงว่าเมืองนครราชสีมา อาจจะได้ติดต่อกับอาณาจักรไทย ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อน การสถาปนาอยุธยาเป็นราชธานีใน พ.ศ. 1893 หรืออย่างน้อย น่าจะเริ่มมีความสัมพันธ์กันในสมัยพระรามาธิบดีที่ 1 โดยที่ เมืองนครราชสีมามีฐานะเป็นเมืองพระยามหานครของอยุธยา ข้อสันนิษฐานนี้อนุมานจากผลที่กองทัพไทยได้ชนะในสงคราม กับกัมพูชา ที่แม้ว่าอยุธยาจะยังไม่ได้มีอำนาจเหนือกัมพูชา อย่างเด็ดขาด แต่น่าจะเป็นผลให้หัวเมืองปลายอาณาเขตของ กัมพูชา เช่น นครราชสีมา คงจะหลุดพ้นจากอำนาจของกัมพชู า และตกอยู่ใต้อำนาจของอยุธยาแทน โดยมีการกล่าวถึง หลักฐาน เช่น เสาหลักเมืองไม้ตะเคียนหินซึ่งเป็นศิลปกรรม สมัยต้นอยุธยา รวมทั้งข้อสังเกตจากตำนานท้องถิ่น ศิลปกรรม แบบอู่ทอง และการหล่อทองสำริด ที่ไม่ใช่งานช่างแบบกัมพูชา ในแถบเมืองนครราชสีมา ข้อจำกัดในการคมนาคม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปริมาณประชากรที่เบาบาง เป็นเหตุผลให้ดินแดนในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือไม่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงนั้น นครราชสีมาเป็นเพียงเมืองชายเขตแดนของอยุธยา และมี ขอบเขตอำนาจอยู่ในบริเวณจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ 10
ข้อมูลทั่วไป ปัจจุบัน ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คงเป็นดินแดนรกร้างที่ไม่มีเมืองสำคัญใด ๆ หรือแม้แต่ เวียงจันทน์เองอ้างอิงเขตอิทธิพลของตนอยู่แค่บริเวณลุ่มแม่น้ำ โขง ดังนั้นจึงไม่ค่อยปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครราชสีมา ในประวัติศาสตร์ไทยมากนัก รวมทั้งข้อสังเกตว่าพลเมือง นครราชสีมามีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกับกัมพูชาจึงทำให้ ยังไม่อ่อนน้อมราบคาบทีเดียว ในรัชกาลต่อ ๆ มากองทัพไทย ยังต้องยกออกไปตีกัมพูชาอีกหลายครั้ง การปกครองหัวเมือง ในแผ่นดินที่ราบสูงในสมัยนั้น เห็นจะตั้งรักษาเพียงเมืองโคราช เก่า (อำเภอสูงเนิน) เท่านั้น ในหนังสือพระราชพงศาวดาร จึงไม่มีเรื่องราวกล่าวถึงเมืองนครราชสีมา จนถึงแผ่นดินสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช สมัยสมเด็จพระนารายณ์น่าจะเป็นสมัยที่เกิดความ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นครราชสีมา โดยโปรดให้ย้ายเมือง นครราชสีมาจากท้องที่อำเภอสูงเนินมาตั้งอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน โดยสร้างเมืองนครราชสีมาเป็นป้อมปราการในฐานะเมือง สำคัญชายพระราชอาณาเขต และทรงเลือกสรรข้าราชการที่มี ความสามารถออกไปปกครอง ในสมัยพระเพทราชาเมื่อแรก ขึ้นครองราชย์สมบัติได้มีพระราชโองการให้ข้าราชการหัวเมือง มาถวายบังคมถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อแสดงความจงรักภักดี แต่เจ้าเมืองนครราชสีมาไม่ยอมมาเข้าเฝ้า จึงมีพระราชโองการ ให้ยกทัพขึ้นมาปราบพระยายมราช (สังข์) ที่เมืองนครราชสีมา สงครามนี้กินเวลากว่า 2 ปี ซึ่งคงทำให้เมืองนครราชสีมา อ่อนแอลงและถูกตัดทอนกำลังของเมืองไปมาก เห็นได้จาก เหตุการณ์กบฏบุญกว้างใน พ.ศ. 2235 ที่มีกำลังเพียง 28 คน 11
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา เจ้าเมือง และกรมการเมืองนครราชสีมายังต้องยอมอ่อนน้อม และขอให้กองทัพอยุธยาเข้าช่วยยุติเหตุการณ์ หลังเหตุการณ์นี้ คงต้องมีการฟื้นฟูกำลังให้กับเมืองนครราชสีมา อีกครั้งเห็นได้ จากเหตกุ ารณเ์ จา้ เมอื งหลวงพระบางยกทพั มาตเี มอื งเวยี งจนั ทน์ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ขอให้กองทัพอยุธยา เข้าช่วย ปรากฏว่ากองทัพไทยมีกำลังจากนครราชสีมาเป็น กำลังหลัก แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นฟูกำลังให้กับเมือง นครราชสีมาได้กระทำพร้อม ๆ กับการเพิ่มบทบาทให้กับเมือง สำคัญอื่น ๆ เช่น พิมาย เห็นได้จากการขยายอิทธิพลของ อยุธยา มาถึงหัวเมืองเขมรป่าดง ในสมัยพระที่นั่งสุริยาศน์- อัมรินทร์ในช่วงปลายอยุธยา ทรงโปรดเกล้าให้หัวเมืองนี้ขึ้น ต่อเมืองพิมาย แทนที่จะเป็นเมืองนครราชสีมา การเพิ่มอำนาจ ให้กับพิมายน่าจะเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เมืองนครราชสีมา เป็นเมืองใหญ่เพียงเมืองเดียวเช่นเดิม ซึ่งทำให้สามารถท้าทาย อำนาจของอยุธยาเช่นที่เคยทำมา เมื่ออยุธยายุติความเป็น ราชธานีลงใน พ.ศ. 2310 กลุ่มผู้ปกครองในพิมายก็สามารถ กุมอำนาจการปกครองในเขตอิทธิพลของเมืองนครราชสีมา ได้สำเร็จ และเห็นได้ว่ากลุ่มผู้นำในสองเมืองนี้ได้ผลัดเปลี่ยนกัน ขึ้นปกครองเมืองนครราชสีมา เช่น ขุนชนะกรมการเมือง นครราชสีมา ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นพระยา กำแหงสงคราม ครองเมืองนครราชสีมาหลังจากจับกุมกรมหมื่น เทพพิพิธ หรือกรณีเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เจ้าเมือง นครราชสมี าอกี ทา่ นหนง่ึ ในสมยั ธนบรุ เี คยรบั ราชการเปน็ ยกบตั ร เมืองนครราชสีมา 12
ข้อมูลท่ัวไป ในสมัยธนบุรี ปัญหาทางการเมืองภายในของ เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์เปิดโอกาสให้อิทธิพลของไทยขยาย เข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเริ่มเข้าไปจัดการปกครอง ดินแดนแถบนี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจากสถานการณ์ทาง การเมืองของลาวในช่วงนั้นที่เกิดความแตกแยกภายใน จากกรณีกลุ่มขุนนางที่เป็นศัตรูกับกรุงศรีสัตนาคนหุต หนีภัย ทางการเมืองมาขออ่อนน้อมต่อไทยในสมัยธนบุรี รัฐบาลไทย ประกาศให้การคุ้มครองพร้อมทั้งให้สถานภาพทางการเมืองแก่ ขุนนางเหล่านั้น ในสมัยรัชกาลต่อมายังสถาปนาให้เมืองภายใต้ การปกครองของอดีตกลุ่มขุนนางจากเวียงจันทน์นี้มีฐานะ เทียบเท่าเมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ ที่มีฐานะเป็นเมือง ประเทศราช หลังจากการทำสงครามกับเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2321 เวียงจันทน์ถูกลดฐานะลงเป็นเพียงเมืองพระยามหานคร แม้ว่าต่อมาเวียงจันทน์จะได้ยกฐานะเป็นเมืองประเทศราชขึ้น ต่อกรุงเทพฯ แต่เมืองที่เคยขึ้นต่อเวียงจันทน์ โดยเฉพาะในฝั่ง ขวาของแม่น้ำโขงกลายเป็นเมืองชั้นนอกของอยุธยา หลังจาก เหตุการณ์รัฐบาลสยามจึงไม่เพียงได้กำลังคนเข้ามาเพิ่มเติม เท่านั้น ยังเกิดเมืองใหม่ตั้งขึ้นเป็นจำนวนมากในภาคตะวันออก- เฉียงเหนือ และอาณาจักรไทยสามารถเข้ามามีอิทธิพลในเขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ได้เป็นครั้งแรก แม้ว่าในสมัยนั้นยังไม่สามารถจัดระเบียบการปกครองเมืองใหม่ เหล่านี้ให้เรียบร้อยลง แต่เมืองนครราชสีมาในฐานะที่เป็นเมือง ใหญ่และใกล้ชิดกับอาณาจักรไทยในที่ราบภาคกลางมานาน จึงสามารถที่จะดูแลผลประโยชน์และเชื่อมโยงอำนาจของ ส่วนกลางที่มีอยู่เหนือเมืองต่าง ๆ นี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ 13
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา การที่การเดินทางติดต่อระหว่างเมืองภายในภาคตะวันออก- เฉียงเหนือกับส่วนกลางต้องผ่านเมืองนครราชสีมา จึงเป็นแหล่ง จ่ายเสบียง ที่พักระหว่างทาง รวบรวมเร่งรัดการจัดส่งส่วย สาอากรต่าง ๆ ดังนั้นนครราชสีมาจึงมีบทบาทเป็นเสมือน ตัวแทนของส่วนกลางในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การที่ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชทานพระสนมที่เชื่อว่าทรง พระครรภ์กับพระองค์ให้กับเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เป็นการสะท้อนถึงความใกล้ชิด และความไว้วางพระทัยที่มีต่อ ผู้ปกครอง เมืองนครราชสีมาอย่างสงู รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแต่งตั้งพระพิมายขึ้นเป็นพระยานครราชสีมา เจ้าพระยา นครราชสีมา (ปิ่น) เจ้าเมืองคนเดิมกล่าวว่า ท่านชราภาพและ จักษุมืดมัวลง ดังนั้นเมืองนครราชสีมายังคงความสำคัญเป็น เมืองหลักของไทยอยู่ระหว่างเมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ กบั กรงุ เทพฯ ทำหนา้ ทด่ี แู ลรกั ษาความสงบชายพระราชอาณาเขต เป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาลในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยงานการขยาย อำนาจของไทยเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และฝั่งซ้ายของ แม่น้ำโขง ในขณะที่นครราชสีมามีฐานะเป็นตัวแทนของกลุ่ม วัฒนธรรมไทย มีเมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ และเมือง อุบลราชธานเี ป็นตัวแทนของกลุ่มวฒั นธรรมลาว แต่เมอื งเหลา่ น้ี ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดพอที่จะรวมกลุ่มท้าทาย อำนาจของกรุงเทพฯ ได้ ในทางตรงข้ามรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จในการจัดการให้บรรดาผู้นำของเมืองเหล่านี้ คานอำนาจซึ่งกันและกัน เห็นได้จากกบฏข่าหลายครั้ง ครั้งนี้ ในเขตจำปาศักดิ์ทำให้กลุ่มอำนาจเดิมของจำปาศักดิ์ต้องสิ้น 14
ข้อมูลท่ัวไป อำนาจลง กลุ่มเมืองเวียงจันทน์กล่าวโทษนครราชสีมาว่า เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายเหล่านั้น ในขณะที่นครราชสีมาเอง ก็ปฏิเสธที่จะช่วยเหลืออุบลราชธานี ในการต่อสู้กับกลุ่มชาวข่า การที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าว ไว้ว่า ในสมัยนี้ได้มีการตั้งหัวเมืองชั้นนอกให้เป็นกำลังของเมือง นครราชสีมา และยกเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองเอกน่าที่จะ สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองในภาคตะวันออก- เฉียงเหนือที่มีกลุ่มการเมือง 4 คน ในขณะที่เมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ และเมืองอุบลราชธานีมีฐานะเป็นเมือง ประเทศราช เมอื งนครราชสมี าเปน็ ตวั แทนของกลมุ่ วฒั นธรรมไทย จึงควรเลื่อนสถานะขึ้นเป็นเมืองชั้นเอก และเพิ่มเติมกำลังคน เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล พร้อมทั้งคานอำนาจ กับเมืองเวียงจันทน์ เมืองจำปาศักดิ์ และเมืองอุบลราชธานี ใน พ.ศ. 2369 เกิดสถานการณที่มีแนวโน้มจะเป็นวิกฤติการณ์ ทางการเมืองขึ้นที่กรุงเทพฯ เมืองเวียงจันทน์ และเมืองจำปา ศักดิ์ ได้ใช้โอกาสนั้นดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากอำนาจของไทย แต่นับเป็นโชคดีที่ประชาชนเชื้อสายลาว และเขมรในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือส่วนหนึ่งเป็นอริกับเวียงจันทน์ ทำให้ เวียงจันทน์ไม่ได้รับความสนับสนุนจากกลุ่มประชากรเหล่านี้ กองทัพเจ้าอนุวงศ์ถูกประวิงเวลาในการเดินทาง รวมทั้ง ต้องกระจายกำลังออกเพื่อชักจูงกลุ่มที่สนับสนุนและกวาดต้อน กลุ่มที่ไม่ได้สมัครใจ จนทำให้ฝ่ายไทยสามารถปราบปราม เหตุการณ์นี้จนสามารถทำลายเวียงจันทน์ลง หลังสิ้นเหตุการณ์ กบฏอนุวงศ์ เมืองนครราชสีมากลายเป็นกำลังสำคัญของไทย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตอนเหนือมีอาณาเขตถึง 15
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน และทางตะวันออกถึงจังหวัดสุรินทร์ ในปัจจุบัน และแม้ว่าปัญหากับหัวเมืองลาวจะสิ้นสุดลง แต่การ ขยายอำนาจของไทยมาทางด้านตะวันออกนี้ ทำให้ไทยต้อง เผชิญหน้าคู่ต่อสู้ประเทศใหม่คือเวียดนาม ในขณะที่คู่ต่อสู ้ รายเดิมทางฝั่งตะวันตกของไทยกำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ใหม่ ที่เป็น ต่อหลายเท่าตัว ความตึงเครียดทางการเมืองจึงคงอยู่ทางฝั่ง ตะวันออกของไทยทำให้นครราชสีมาทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น กว่าเดิม สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ทำสัญญาเบาว์ริงกับ อังกฤษ และสัญญาลักษณะเดียวกันกับชาติตะวันตกอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยกเลิกการค้าแบบผูกขาดเป็นการค้าที่ให้ เอกชนเข้ามาทำการค้าขายได้ เมืองนครราชสีมาได้รับความ สนใจในฐานะที่มีสินค้าออกที่สำคัญ เช่น หนังสัตว์ เขาสัตว์ และงา นอกจากนี้ รัชกาลที่ 4 ยังทรงมีพระราชดำริที่จะตั้ง ให้เป็นเมืองพระราชธานีแห่งที่ 2 แต่เนื่องจากขาดแคลนน้ำ และการคมนาคมไม่สะดวก จึงโปรดให้สร้างที่ประทับที่ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ มีเมืองลพบุรีซึ่งสร้างสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชแทน ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงเมือง นครราชสีมาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนในทุก ๆ ด้าน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงของชาติ ต่อต้านการขยายอิทธิพล ของฝรั่งเศส ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์จัดเตรียมการปกครองเมือง นครราชสีมา เพื่อเตรียมการตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล 16
ข้อมูลทั่วไป นอกจากนี้ยังโปรดให้สร้างทางรถไฟสายแรกจากกรุงเทพฯ – นครราชสีมาเมื่อ พ.ศ. 2433 ทำให้เมืองนครราชสีมา และเมือง อื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางติดต่อกับภาคกลาง และภาคอื่น ๆ ได้สะดวกมากขึ้น ทำให้ชาวเมืองเกิดความรู้สึก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ สมัยรัชกาลที่ 6 ได้โปรดให้รวมมณฑลเทศาภิบาล เข้าเป็นภาค มีอุปราชปกครองยกเว้นมณฑลนครราชสีมา ยังปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ต่อเนื่องมาจนถึงสมัย รัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2476 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกบฏบวรเดช รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วย ระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2476 ยุบมณฑลเทศาภิบาล และจัดระเบียบบริหารราชการ ส่วนภูมิภาค โดยแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัด และอำเภอ มาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะการปกครองแบบเทศาภิบาลนี้ เป็นการปกครองที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการที่ประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตร พระกรรณของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาล รับแบ่ง ภาระของรัฐบาลกลางออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคเป็น สื่อกลางระหว่างประชาชนกับรัฐบาล มีการแบ่งการปกครอง ลดหลั่นกันดังนี้คือ มณฑล เมือง (จังหวัด) อำเภอ ตำบล และ หมู่บ้านจัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นสัดส่วนให้สอดคล้องกับงาน ของกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางและจัดสรรข้าราชการ ไ ป ป ร ะ จ ำ ท ำ ง า น ต า ม ต ำ แ ห น ่ ง ห น ้ า ท ี ่ ม ิ ใ ห ้ ก ้ า ว ก ่ า ย ก ั น ผู้บัญชาการมณฑลเรียกว่า ข้าหลวงใหญ่ และเมื่อจัดการ ปกครองระบอบเทศาภิบาลแล้วโปรดเกล้าให้เรียกข้าหลวงใหญ่ 17
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา ว่า ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล ในรัชกาลที่ 6 โปรดให้เปลี่ยนนามตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการ มณฑลเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑล สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง ปรับปรุงการปกครองในส่วนภูมิภาคใหม่ โดยทรงเปลี่ยนนาม ตำแหน่งของข้าหลวงเทศาภิบาลที่เดิมมีทั้งข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑล และข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการ มณฑล สำหรับข้าหลวงใหญ่มณฑลชายแดนที่เป็นเชื้อ พระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ให้เป็นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลเหมือนกัน หมด แล้วโอนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล จากกระทรวงมหาดไทย ไปขึ้นต่อพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนคำว่า เมืองเป็นจังหวัด การรวมมณฑลเข้าเป็นภาค มีตำแหน่งอุปราชเป็นผู้ปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2458 ตำแหน่งอุปราชเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีฐานันดรระหว่างเสนาบดี และสมุหเทศาภิบาล และรวม มณฑลเข้าเป็นภาค โดยแบ่งเป็น 4 ภาค ได้แก่ ภาคพายัพ ภาคตะวันตก ภาคใต้ และภาคอีสาน สำหรับภาคอีสาน เป็นการรวมมณฑล 3 มณฑลเข้าด้วยกันคือ มณฑลอุดร มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด ส่วนมณฑลนครราชสีมา ไม่ได้รวมอยู่ในภาคอีสาน มีข้าหลวงใหญ่ปกครองเรียกนาม ใหม่ว่า สมุหเทศาภิบาลขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มณฑล นครราชสีมายังจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลทั้งหมด ตามพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยระเบยี บบรหิ ารแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2475 คณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบ 18
ข้อมูลท่ัวไป ประชาธิปไตย ได้ยกเลิกการจัดหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาล และ จัดใหม่เป็นภาคเมื่อ พ.ศ. 2476 สำหรับมณฑลนครราชสีมา เปลี่ยนแปลงเป็นภาคที่ 3 มีจังหวัดในการปกครอง 6 จังหวัดคือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัด สุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่ว่าการ อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา และในปีเดียวกันนี้เอง เกิดเหตุการณ์ กบฏบวรเดชที่ใช้กองทหารจากจังหวัดนครราชสีมาเป็นกำลัง หลกั ในการกอ่ กบฏบวรเดช (11-25 ตลุ าคม 2476) ถกู ปราบปราม รุนแรงจากรัฐบาล นำไปสู่การแก้ไขการปกครองส่วนภูมิภาค ใหม่อีกครั้ง โดยตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการ บริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2476 เพื่อควบคุม การปกครองให้ได้อย่างใกล้ชิด โดยยุบมณฑลเทศาภิบาล และ จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด และ อำเภอ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร ด้วยเหตุนี้มณฑลนครราชสีมาจึงถูกยุบและตั้งเป็นจังหวัด นครราชสีมาตั้งแต่นั้นมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการปกครองประเทศ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันม ี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้จะมีบางช่วงที่เผด็จการเข้ามามี อำนาจ และเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกจัดขึ้น เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ใช้วิธีการเลือกผู้แทนตำบล ก่อน แล้วจึงมาเลือกผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้จำนวน 1 คน จนถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 19
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา 2 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 จึงเป็นการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยให้ราษฎรเป็นคนเลือกเอง มีการ แบ่งเขตการเลือกตั้ง โดยแต่ละเขตมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 1 คน ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมาแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 15 เขต และมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 15 คน ตามการ แบ่งเขตเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 การจัดการปกครองส่วนภูมิภาค ที่เปลี่ยนจากมณฑลเทศาภิบาลมาเป็นจังหวัดทำให้ผู้บริหาร มีโอกาสดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ประกอบกับการที่ประชาชนในท้องถิ่น มีโอกาสในการปกครอง ตนเองให้ดียิ่งขึ้น และมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครอง ประเทศในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจากนครราชสีมาได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรี แม้ว่าความพยายามต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พุทธศักราช 2475 ที่รุนแรงที่สุดมาจากกองกำลัง ในนครราชสีมา การปราบปรามมีจุดหมายที่สำคัญที่สุด คือ การขจัดโครงสร้างทางอำนาจในท้องถิ่นที่ผูกพันกับระบบ ราชการก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปลดและ จับกุมข้าราชการจำนวนมากในจังหวัดนครราชสีมา กลุ่ม ข้าราชการที่เป็นชนชั้นสูงในสังคมถูกขจัดออก และเปิดโอกาส ให้กลุ่มชนชั้นที่มีบทบาทรองเริ่มขยับฐานะมากเท่า ๆ กับความ พยายามที่จะควบคุมฐานทัพทางทหารในนครราชสีมาให้ เข้มงวดมากขึ้น นับจากนี้ไปจึงพบว่ามีผู้เข้ามามีบทบาททางการเมือง ในนครราชสีมามักจะไม่ใช่ผู้ที่มีพื้นฐานสืบตระกูลในท้องถิ่น หรือกลุ่มขุนนางที่สะสมอำนาจกันมานานตั้งแต่สมัย 20
ข้อมูลท่ัวไป สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นข้าราชการ หรือพ่อค้าที่สะสม ความมั่งคั่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2501 ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร นานถึง 16 ปีนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่เมืองของโลกแบ่งออก เป็นค่ายทางการเมืองระหว่างคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย การที่ไทยเลือกค่ายประชาธิปไตย ส่งผลให้เกิดสงครามต่อต้าน คอมมิวนิสต์ขึ้นอย่างยาวนาน การดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางได้ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับแนวคิดทางวิชาการแบบอเมริกันที่ได้นำแนว การวิเคราะห์แบบโครงสร้างหน้าที่เข้ามาอธิบายสังคมไทย แ ม ้ ก า ร ป ร ะ ก า ศ ใ ช ้ ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ร า ช อ า ณ า จ ั ก ร ไ ท ย พุทธศักราช 2511 และการเลือกตั้งในต้น พ.ศ. 2512 ยังไม่ได้ สร้างสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นมา แต่กระตุ้นบรรยากาศ ประชาธิปไตยหลังจากที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ มานาน ความตื่นตัวทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นิสิต นักศึกษา เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่เพียงแต่ในส่วนกลาง แม้แต่ในท้องถิ่น เช่น นครราชสีมา เกิดการเคลื่อนไหวสนับสนุน เพื่อต่อต้านระบบทางการเมืองแบบปิด ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ขบวนการ ประชาธิปไตยได้ถูกปราบปราม การกวาดจับบุคคลต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทำให้นักศึกษาและ ประชาชนจำนวนมากหนีเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย จนกระทั่งใน พ.ศ. 2522 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับใช้ประสบการณ์ต่อสู้กับพรรค คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศนโยบาย 66/23 สร้าง 21
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยใช้นครราชสีมา เปน็ ฐานทม่ี น่ั ทางการเมอื งทส่ี ำคญั ของพลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะใน เหตุการณ์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2524 ช่วยยืนยันความเป็น แหล่งพักพิง และสะสมอำนาจทางการเมืองของนครราชสีมา ที่ยังคงดำรงอยู่ต่อมาอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2531 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผล ให้พลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ ทายาทของกลุ่มราชครู และ หัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่สมาชิกได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดในยุคนั้น ต้องยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์นี้ ได้ผลักดันให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญอีกครั้งในประเทศ ไทย เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้ย่อมแสดง ศักยภาพในการบริหารของตน จนกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิด การยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีสามารถเป็นตำแหน่งที่มาจากการ เลือกตั้งได้ ปรากฏการณ์นี้สอดรับกับการเรียกร้องให้ท้องถิ่น เป็นผู้แสดงบทบาททางการเมือง จากความเชื่อที่ว่าความเข้าใจ ชุมชนท้องถิ่นนี้ จะทำให้เข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละ ท้องถิ่นนำไปสู่ความเข้าใจระบบความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่น กับรัฐ จึงเป็นแนวคิดที่จะทำความเข้าใจรากลึกทางสังคมของ คนส่วนใหญ่คือชนบท และท้องถิ่นเพื่อให้สามารถเข้าใจความ ต่อเนื่องของประสบการณ์สังคมในอดีตถึงปัจจุบันและเพื่อ พัฒนาการทางปัญญา เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจสังคมโดยรวม ข้อเสนอที่ให้ปรับปรุงโครงสร้างการจัดองค์กรของรัฐโดยเฉพาะ 22
ข้อมูลทั่วไป ในการจัดระเบียบการบริหารในส่วนภูมิภาคให้อยู่ภายใต้ การกำกับของจังหวัดและอำเภอ จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.2 ขนาดที่ตั้งและอาณาเขต จังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บนที่ราบสูงโคราช ละติจูด 15 องศาเหนือ ลองติจูด 102 องศาตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 187 เมตร ตัวจังหวัดอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ 255 กิโลเมตร และโดยทางรถไฟ 264 กิโลเมตร มีพื้นที่ 20,493.964 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 12,808,728 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.12 ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ ทศิ เหนอื ติดต่อกับ จังหวัดชัยภมู ิ และจังหวัดขอนแก่น ทศิ ใต ้ ติดต่อกับ จังหวัดปราจีนบุรี, จังหวัดนครนายก และ จังหวัดสระแก้ว ทิศตะวนั ออก ติดต่อกับ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดขอนแก่น ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกับ จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี 23
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา ภาพที่ 2.1 แผนทีจ่ ังหวดั นครราชสีมา 2.2.1 สภาพเศรษฐกิจ 2.2.1.1 ภาคการเกษตรและปศุสัตว์ (สำนักงานเกษตร จังหวัดนครราชสีมา, 2555) จังหวัดนครราชสีมามีจำนวนพื้นที่ทั้งหมด 12.80 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 8.70 ล้านไร่ หรือ คิดเป็นร้อยละ 67.97 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะ ปลูกข้าว และพืชไร่ โดยมันสำปะหลังมีมูลค่าการผลิตมากที่สุด คือ 10,085 ล้านบาท ปัญหาหลักในการทำการเกษตร คือ ปัญหาดินเค็ม ซึ่งมีพื้นที่ดินเค็ม 3,849,254 ไร่ หรือร้อยละ 30.05 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ส่วนใหญ่ขาดการปรับปรุงบำรุงดิน หรือ 24
ข้อมูลทั่วไป มีการปรับปรุงดินแต่ยังไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช และมีครัวเรือนเกษตรกรรวมทั้งหมด 326,587 ครัวเรือน รายละเอียดสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1) ด้านการผลิตพชื พืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่า ให้กับจังหวัดนครราชสีมามีหลายชนิด เนื่องจากพื้นที่มี ศักยภาพในการผลิตพืชค่อนข้างเหมาะสม ประกอบกับมี โรงงานภาคอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่รองรับผลผลิตเกษตร ได้อย่างเพียงพอ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมแป้ง มันสำปะหลัง โรงสีข้าวส่งออก โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาล โรงงาน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และโรงงานอุตสาหกรรมเอทานอล (จากมันสำปะหลัง) เป็นต้น อีกทั้งจังหวัดนครราชสีมายังเป็น ศู น ย ์ ก ล า ง ก า ร ค ม น า ค ม ก ร ะ จ า ย ส ิ น ค ้ า เ ก ษ ต ร ไ ป สู ่ ภ า ค อุตสาหกรรมการผลิตอื่นได้สะดวก 2) ด้านการผลิตปศุสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นการ ผลิตในลักษณะฟาร์ม เพื่อให้สามารถจัดการ/ ดูแล/ ควบคุมโรค ได้ง่าย จังหวัดนครราชสีมามีการเลี้ยงโคเนื้อ 5.7 แสนตัว โคนม 6.5 หมื่นตัว กระบือ 6.6 หมื่นตัว สุกร 3.8 แสนตัว เป็ด 1.5 ล้านตัว ไก่เนื้อ และไก่ไข่ 22 ล้านตัว โดยมีฟาร์มที่ได้ มาตรฐาน 1,236 ฟาร์ม ทุ่งหญ้าสาธารณะ 1.9 แสนไร่ และมี มูลค่าเพิ่มด้านการเกษตรประมาณ 2,619 ล้านบาท 3) ด้านการผลิตประมง มีการเลี้ยงปลาใน กระชัง 60 กระชัง เลี้ยงปลาในบ่อ 1.8 หมื่นบ่อ และเลี้ยงปลา ในแหล่งน้ำสาธารณะ 75 แห่ง 25
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา 4) สถาบันเกษตรกร ปัจจุบันจังหวัด นครราชสีมามีกลุ่มเกษตรกร 147 กลุ่ม สมาชิกสหกรณ์ การเกษตร 118 กลุ่ม สมาชิก 283,499 คน กลุ่มส่งเสริมอาชีพ 634 กลุ่ม สมาชิก 12,680 คน วิสาหกิจชุมชน1,580 กลุ่ม สมาชิก 21,681 คน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร 823 กลุ่ม สมาชิก 22,374 คน กลุ่มยุวเกษตรกร 177 กลุ่ม สมาชิก 6,195 คน และ กลุ่มอื่น ๆ เช่นอาสาสมัครเกษตร หมอดินอาสา ปศุสัตว์อาสา ประมงอาสา ครูบัญชีอาสา 10,523 คน 2.2.1.2 การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม (สำนักงาน อุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, 2555) การลงทุนในเดือนมกราคม 2555 ขยายตัว เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งพิจารณาจากจำนวน โรงงานเปิดดำเนินการใหม่ และกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริม การลงทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้น กิจการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริม การลงทุน ในเดือนมกราคม 2554 จังหวัดนครราชสีมา มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวน 154 โครงการ เงินทุนจดทะเบียน 32,510 ล้านบาท ก่อให้เกิดการ จ้างแรงงาน จำนวน 22,094 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน กับปีที่แล้ว พบว่าในเดือนมกราคม 2555 มีโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 3 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 42.86 เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1,743.549 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 356.67 (3.5 เท่า) ภาพรวม เดือนมกราคม 2555 จังหวัดนครราชสีมา มีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด จำนวน 2,494 โรงงาน เงินลงทุน 26
ข้อมูลท่ัวไป 137,205.477 ล้านบาท คนงาน 138,818 คน เมื่อเทียบกับช่วง เวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่า มีโรงงานเพิ่มขึ้น 101 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 4.22 เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 18,054.005 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.15 จำนวนคนงานเพิ่มขึ้น 8,962 คน คิดเป็น ร้อยละ 6.82 โรงงานต้งั ใหม ่ เดือนมกราคม 2555 จังหวัดนครราชสีมา มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งใหม่ 10 โรงงาน เงินลงทุน 2,232.394 ล้านบาท คนงาน 533 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปีที่แล้ว พบว่า มีโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3 โรงงาน คิดเป็น ร้อยละ 42.86 เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1,743.549 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 356.67 และจำนวนคนงานเพิ่มขึ้น 127 คน คิดเป็น ร้อยละ 29.81 โรงงานเลกิ กจิ การ เดือนมกราคม 2555 จังหวัดนครราชสีมา มีโรงงานอุตสาหกรรมเลิกกิจการ จำนวน 5 โรงงาน เงินลงทุน 13.737 ล้านบาท คนงาน 129 คน ในเดือนมกราคม 2554 มีโรงงานอุตสาหกรรมเลิกกิจการ 2 โรงงาน เงินลงทุน 113.383 ล้านบาท คนงาน 12 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่า มีโรงงานอุตสาหกรรมเลิกกิจการเพิ่มขึ้น ฃ 3 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 150 เงินลงทุนลดลง 99.646 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 87.88 และจำนวนคนงานเพิ่มขึ้น 117 คน 27
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา จำนวนโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัด นครราชสีมา ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555 มีโรงงาน อุตสาหกรรมทั้งหมด 2,494 โรงงาน เงินลงทุน 137,205.477 ล้านบาท คนงาน 138,818 คน นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 ได้กำหนดให้จังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมในภูมิภาค 9 จังหวัด เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีศักยภาพในด้านทำเลที่ตั้งเหมาะสม ทั้งในแง่ที่เป็นประตูสู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีระยะทางไม่ห่างจากกรุงเทพฯ และ ท่าเรือแหลมฉบัง อีกทั้งเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีทรัพยากร และ ประชากรที่อยู่ในวัยแรงงาน (13-60 ปี) จำนวนกว่าร้อยละ 72 ของประชากรทั้งจังหวัด โดยมีโรงงานที่จดทะเบียนประกอบ กิจการ ณ วันที่ 30 เมษายน 2554 จำนวน 2,402 โรงงาน มีมูลค่าการลงทุน 120,083.37 ล้านบาท และมีจำนวนคนงาน 130,468 คน 2.2.2 สภาพทางสังคม 2.2.2.1 การศึกษา จังหวัดนครราชสีมา มีสถานศึกษาแยกตาม สังกัด จำนวน 1,534 โรง ส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจำนวนครู คณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา จาก 6 สังกัด มีจำนวน 23,624 คน และมีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 533,263 คน สถานศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรตั้งแต่ปริญญา ตรีขึ้นไป ทั้งของภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ 28
ข้อมูลทั่วไป (1) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (3) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) (4) มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล (5) มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการ เฉลิมพระเกียรติ (6) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศนู ย์การศึกษาสีคิ้ว (7) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (8) วิทยาลัยนครราชสีมา (9) วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวัน (10) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา 2.2.2.2 การศาสนา จังหวัดนครราชสีมา มีวัดมากที่สุดในประเทศ ไทย จำนวน 2,568 วัด อยู่ในเขตอำเภอเมืองฯ 153 วัด มีผู้นับถือศาสนาพุทธมากกว่าร้อยละ 98 นับถือศาสนาคริสต์ ประมาณร้อยละ 1 นอกจากนั้นนับถือศาสนาอิสลาม ซิกซ์ และอื่น ๆ ในเขตเทศบาลมีวัดพระอารามหลวง 5 แห่ง วัดที่มี วิสุงคามสีมา 935 แห่ง สำนักสงฆ์ 870 แห่ง ที่พักสงฆ์ 798 แห่ง วัดร้าง 72 แห่ง พระภิกษุ 13,872 รูป สามเณร 1,935 รูป 29
นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครราชสีมา 2.2.2.3 การสาธารณสุข จังหวัดนครราชสีมา มีสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ และเอกชน ดังนี้ เป็นโรงพยาบาลเอกชน 8 แห่ง คลินิกแพทย์ และคลินิกทันตกรรม จำนวน 236 แห่ง มีศูนย์บริการ สาธารณสขุ ในเขตอำเภอเมืองฯ จำนวน 4 แหง่ เปน็ โรงพยาบาล ภาครัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 31 แห่ง แบ่งเป็นระดับ โรงพยาบาลศูนย์ขนาด 1,019 เตียง 1 แห่ง โรงพยาบาลจิตเวช 1 แห่ง โรงพยาบาลแม่และเด็ก 1 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 28 แห่ง โรงพยาบาลภาครัฐสังกัดกระทรวงกลาโหม 2 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 349 แห่ง 2.2.2.4 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จังหวัดนครราชสีมา มีสถานีตำรวจ จำนวน 51 สถานี ประกอบด้วย สถานีตำรวจภธู รจังหวัด จำนวน 1 สถานี สถานีตำรวจภธู รอำเภอ จำนวน 31 สถานี สถานีตำรวจภธู รตำบล จำนวน 19 สถานี จากข้อมูลคดีอาญาที่เกิดขึ้นในจังหวัด นครราชสีมา พ.ศ. 2555 พบว่า มีการรับแจ้งคดีความ จำนวน 13,832 คดี มีการจับกุมได้ 22,300 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่รัฐ เป็นผู้เสียหาย ซึ่งมีการรับแจ้งคดีความ จำนวน 11,288 คดี มีการจับกุมได้ 20,187 คดี รองลงมาเป็นคดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีความจำนวน 1,056 คดี มีการจับกุมได้ 924 คดี และมีการรับแจ้งคดีประทุษร้ายต่อ ทรัพย์ จำนวน 806 คดี มีการจับกุมได้ 702 คดี ตามลำดับ 30
ข้อมูลท่ัวไป 2.2.2.5 การท่องเท่ียว จังหวัดนครราชสีมา มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดังนี้ (1) แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และ ศาสนสถาน ได้แก่ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี, วัดศาลาลอย, วัดป่า สาละวัน อ.เมืองนครราชสีมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหา- วีรวงศ์, อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อ.พิมาย เมืองโบราณ อ.สูงเนิน วัดหน้าพระธาตุ อ.ปักธงชัย ปราสาทหินพนมวัน อ.เมืองฯ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท และหินโนนวัด อ.โนนสูง ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และวัดเขาจันทร์งาม อ.สีคิ้ว (2) แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและ หัตถกรรม ได้แก่ หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน อ.โชคชัย ผ้าไหม อ.ปักธงชัย (3) แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ได้แก่ อุทยาน แห่งชาติเขาใหญ่ อ.ปากช่อง เขื่อนลำมูลบน, เขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี ไทรงาม อ.พิมาย เขื่อนพิมาย, เขื่อนลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย อุทยานแห่งชาติทับลาน, ซากปลาดึกดำบรรพ์ “แอคติโนทรีเจียน” อ.วังน้ำเขียว อุทยานไม้กลายเป็นหิน อ.เมืองนครราชสีมา ซากช้างดึกดำบรรพ์ อ.เฉลิมพระเกียรติ น้ำตกวะภูแก้ว อ.สูงเนิน อ่างเก็บน้ำลำตะคอง, หาดชมตะวัน (เขื่อนลำปลายมาศ) อ.เสิงสาง 31
นักการเมืองถ่ินจังหวัดนครราชสีมา (4) สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ฟาร์ม โชคชัย, ไร่ทองสมบูรณ์ อ.ปากช่อง จิมทอมป์สันฟาร์ม อ.ปักธงชัย สวนพืชผักเมืองหนาวลุงไกร อ.วังน้ำเขียว (5) ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และ การละเล่นพื้นเมืองประจำจังหวัด ในเมืองโคราชนั้น นอกจาก จะมีคนโคราชแท้ ๆ อาศัยอยู่แล้วยังมีคนลาว คนแขก คนส่วย คนอินเดีย และคนจีน อาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มี อาชีพ มีประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ การแต่งกาย และ ภาษาพูดแตกต่างกันออกไป แต่สามารถอยู่รวมกันได้เป็น อย่างดี นับว่าเป็นความหลากหลายในความเป็นหนึ่งเดียวอย่าง แท้จริง สำหรับขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการละเล่นพื้นเมืองที่สำคัญที่นิยมปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่ โบราณจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ - งานฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี เริ่มตั้งแต่ วันที่ 23 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน ของทุกปี - งานเทศกาลแข่งเรือประเพณีพิมาย กำหนด จัดประมาณวันเสาร์-อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนของ ทุกปี - งานประเพณีแห่เทียนพรรษา กำหนดจัดการ ประกวดเทียนพรรษา โดยมีวัด คุ้ม และอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัด ส่งเข้าประกวด ต้นเทียนแต่ละต้นจะตกแต่งอย่างสวยงาม โดยกำหนดจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน สถานที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา 32
ข้อมูลทั่วไป - งานประเพณีลอยกระทง ในเขตจังหวัด นครราชสีมา จะมีการจัดงานประเพณีลอยกระทงโดยทั่วไป แทบทุกหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา กำหนดจัดงานประเพณีลอยกระทงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ณ บริเวณคูเมืองหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา มีการ ประกวดกระทงสวยงาม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นประจำ ทุกปี - เพลงโคราช เพลงโคราชเป็นเพลงพื้นเมืองที่มี ลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ต้องอาศัยไหวพริบปฎิภาณ ของผู้เล่นเพลง เพลงโคราชมีท่วงทำนองการขับร้องสัมผัสเป็น ภาษาพื้นบ้าน (ไทยโคราช) และลีลาท่ารำประกอบ ทั้งรำช้า และรำเร็ว ที่สำคัญคือเพลงโคราชไม่มีเครื่องดนตรีประกอบใน การเล่น นับเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมให้อนุชนรุ่นหลังได้อนุรักษ์และสืบสานต่อไป 2.2.3 การปกครอง และการบริหาร (สำนักงานจังหวัด นครราชสีมา, 2555) จังหวัดนครราชสีมามีรูปแบบการปกครอง และการ บริหารราชการออกเป็น 3 ส่วน คือ 2.2.3.1 การบริหารราชการส่วนกลาง มีส่วนราชการสังกัดส่วนกลางตั้งหน่วยงาน ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดอยู่ประมาณ 196 หน่วย (รวมทั้ง หน่วยงานอิสระ 26 หน่วย รัฐวิสาหกิจ 27 หน่วย) 33
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292