นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 176 ตารางที่ 26 สรุปรายชื่อสมาชิกวุฒิสภา จ.ศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 - 2554 ลำดบั ที ่ ชื่อ - สกุล ช่วงเวลาดำรงตำแหนง่ 1 นายณรงค์สิทธิ์ เครือรัตน์ การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 4 มีนาคม 2543 2 นายจิโรจน์ โชติพันธุ์ การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 4 มีนาคม 2543 3 ทพญ.กรองกาญจน์ วีสมหมาย การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 4 มีนาคม 2543 4 นายแพทย์ชิต เจริญประเสริฐ เลือกตั้งซ่อม วันที่ 21 เมษายน 2544 5 นางสุนีย์ อินฉัตร เลือกตั้งซ่อม วันที่ 26 พฤษภาคม 2544 6 นางสุณิสา ไตรสรณกุล เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 19 เมษายน 2549 7 นางสาววิลัดดา อินฉัตร เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 19 เมษายน 2549 8 นางผ่องศรี แซ่จึง เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 19 เมษายน 2549 9 นายไพโรจน์ วงศ์พรหม เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 19 เมษายน 2549 10 นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 19 เมษายน 2549 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 2 มีนาคม 2551
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 3. นักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่มีบทบาทสำคัญ และเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง นับตั้งแต่จังหวัดศรีสะเกษมีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 โดยขุนพิเคราะห์คดี (อินทร์ อินตะนัย) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ศรีสะเกษคนแรกจนถึงยุคปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) จังหวัดศรีสะเกษ มีนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญและเคยดำรงตำแหน่งทาง การเมืองที่สำคัญ ได้แก่ 1) ขุนพิเคราะห์คดี ส.ส.จังหวัดขุขันธ์ ในช่วง พ.ศ. 2476 ขุนพิเคราะห์คดี ส.ส.จังหวัดขุขันธ์ มีบทบาทในรัฐสภาร่วมกับนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (ส.ส. อุบลราชธานี) นายเลียง ไชยกาล (ส.ส.อุบลราชธานี) นายเนย สจุ มิ า (ส.ส.อบุ ลราชธาน)ี นายสนทิ เจรญิ รฐั (ส.ส.นครราชสมี า) และนายเตียง ศิริขันธ์ (ส.ส.สกลนคร) เป็นต้น โดยจากการ สำรวจจากรายงานการประชุมสภาตลอด พ.ศ. 2476 พบว่า ขุนพิเคราะห์คดี ได้อภิปรายแสดงความคิดเห็น 58 ครั้ง (ถือเป็น ระดับปานกลางจาก ส.ส.ทั่วประเทศ) โดยประเด็นในการอภิปรายส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความทุกข์ร้อน ภาษีอากร ก า ร ป ร า บ ป ร า ม โ จ ร ผู ้ ร ้ า ย ร ะ บ บ ชลประทาน ปัญหาความยากไร้ของ ประชาชนในภาคอีสาน (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 211-218) ภาพที่ 1 ขุนพิเคราะห์คดี (สำนักงานว ัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) 177
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 2) นายเทพ โชตินุชิต นายเทพ โชตินุชิต เป็นบุตรของขุนศุภมาตรา (สรรพากรเมืองนครปฐม) จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย สำเร็จเนติบัณฑิต และเคยรับ ราชการที่จังหวัดขุขันธ์ 2 ปี สำหรับตำแหน่งราชการก่อนลง สมัครรับเลือกตั้งเป็นจ่าศาลแพ่ง กรุงเทพฯ และนายเทพยังเป็น เจ้าของโรงเรียน 2 แห่ง คือ โรงเรียนเทพวิทยากับโรงเรียนสตรี เทพวิทยา (ดารารัตน ์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 239-240) นาย เทพลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่จังหวัดศรีสะเกษ ใน พ.ศ. 2480 และถือเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยตรง ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้งหมด 5 สมัย คือ พ.ศ. 2480, 2491, 2495, 2500 ครั้งที่ 1 และ พ.ศ. 2500 ครั้งที่ 2 ภาพที่ 2 นายเทพ โชตินุชิต (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) เดวิด วิลสัน (David Wilson) ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย สรุปว่า นายเทพ โชตินุชิต เป็น บุคคลที่ไม่ธรรมดา โดยวิลสัน เสนอว่า นายเทพเป็นบุตรชาย ของข้าราชการจากจังหวัดนครปฐม เป็นนักศึกษาสาขา นิติศาสตร์ และต่อมาได้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท 178
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งผู้พิพากษาในปี ค.ศ. 1937 (พ.ศ. 2480) หลังจากนั้น ก็ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ นายเทพเป็นผู้ที่ ยืนหยัดต่อสู้ให้ภาคอีสานอย่างเข้มแข็งที่สุด (Wilson, 1959, pp. 314-315) พรรคเศรษฐกรซึ่งมีนายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้าพรรค ได้คะแนนนำในหลายจังหวัดภาคอีสาน นายเทพเป็นผู้ที่ได้รับ ความนิยมจากประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษมากที่สุด ในขณะ ที่รองหัวหน้าพรรคคือ นายทิม ภูริพัฒน์ เป็นผู้สมัครที่ได้รับ ความนิยมมากในจังหวัดอุบลราชธานี (ชาร์ลส์ เอฟ คายส์, 2552, น. 116) นายเทพ โชตินุชิต และนายทิม ภูริพัฒน์ ได้จุด ชนวนความสนใจแก่สาธารณชน เมื่อได้เดินทางไปเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) แต่เมื่อ เดินทางกลับถึงประเทศไทยก็ถูกตำรวจจับและได้รับการปล่อย ตัวในเวลาต่อมาไม่นานนัก ทั้งนายเทพและนายทิมได้ให้ความ สำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล (ชาร์ลส์ เอฟ คายส์, 2552, น. 110-111) จากการศึกษาเอกสารการประชุมของ ส.ส.อีสานที่มี บทบาทในการอภิปรายตลอดสมัยประชุมสภาฯ เฉพาะ พ.ศ. 2481 (สามัญ) ซึ่งมีการประชุมทั้งหมด 21 ครั้ง (ครั้งที่ 1-21/2481 25 มิถุนายน 2481 ถึง 10 กันยายน 2481) พบว่า นายเทพ โชตินุชิต เป็นผู้ที่มีบทบาทในการอภิปรายในสภามากที่สุด ของภาคอีสาน โดยมีจำนวนการอภิปรายทั้งหมด 45 ครั้ง (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 246) 179
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ นายเทพ โชตินุชิต เป็นนักการเมืองแนวหน้า ที่เป็นที่ ยอมรับในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2492 นายเทพได้รับ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี(ลอย) ในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 22 ก่อนที่จะ ได้รับการปรับมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2493 สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูล สงคราม (นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์, 2540, น. 75-77) นายเทพ โชตินุชิต ถูกรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับกุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2502 ข้อหาคอมมิวนิสต์ และถกู ปล่อยตัวจากคกุ ลาดยาวพร้อมกับนายทองใบ ทองเปาด์ นายเปลื้อง วรรณศรี และนายพรชัย แสงชัจจ์ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2509 และ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2517 นับเป็นแบบอย่างของ นักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเห็นความสำคัญใน การจัดการศึกษาแก่ชาวศรีสะเกษในอดีต (คณะกรรมการ จัดงานเชิดชูนักสู้เพื่อประชาธิปไตย, 2543, น. 51-53) 3) นายพุฒเทศ กาญจนเสริม นายพุฒเทศ กาญจนเสริม มีบทบาทในการอภิปราย สนับสนุนร่างข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2481 การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ จราจรทางบก (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 ร่างพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2481 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา พ.ศ. 2484 เป็นต้น (ดารารัตน์ เมตตา- ริกานนท์, 2546, น. 255-256, 298-299) 180
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 4) นายวิชิต แสงทอง อดีต ส.ส. จังหวัดศรีสะเกษ ช่วง พ.ศ. 2529 และ 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2520 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 (สำนักงานเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร, 2543, น. 391,394) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (5 ส.ค. 2529 - 3 ส.ค. พ.ศ. 2531) แต่ต่อมากลายเป็นจำเลยฐานร่วมกัน หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถส่งไปทำงานในต่างประเทศได้และ ร่วมกันฉ้อโกง ตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82, 91ตรี, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 (ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์, 2552) 5) นายจำนงค์ โพธิสาโร ก่อนเข้าสู่อาชีพนักการเมือง นายจำนงค์ โพธิสาโร ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ (กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรมป่าไม้, 2554) ที่สามารถอยู่ใน ตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ ซึ่งมี อธิบดีกรมป่าไม้น้อยคนที่จะได้เกษียณในตำแหน่งนี้ เมื่อ เกษียณจากอายุราชการ นายจำนงค์ โพธิสาโร ได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งที่จังหวัดศรีสะเกษ และดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ 7 สมัย โดยได้รับการเลือกตั้ง สมัยแรกใน พ.ศ. 2529 สมัยที่สอง พ.ศ. 2531 สมัยที่สาม พ.ศ. 2535/1 สมัยที่สี่ พ.ศ. 2535/2 สมัยที่ห้า พ.ศ. 2538 สมัยที่ หก เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 3 เลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 181
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2544 (นับคะแนนใหม่) และสมัยที่ เจ็ด เลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรค ไทยรักไทย ภาพที่ 3 นายจำนงค์ โพธิสาโร (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรมป่าไม้, 2554) ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ ในสมัยรัฐบาลพลเอก ชาตชิ าย ชณุ หะวณั (9 ธนั วาคม 2533 - 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2534) ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ถือเป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 46 (นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์, 2540, น. 188-190) และตำแหน่งอื่นๆ ไดแ้ ก่ ทป่ี รกึ ษารฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี พ.ศ. 2541 (สมัยนายปองพล อดิเรกสาร) ที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี พ.ศ. 2543 (สมัยนาย ประภัตร โพธสุธน) และที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม ในปี พ.ศ. 2545 (สมัยนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล) 6) นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ นายปยิ ะณฐั วชั ราภรณ์ เกดิ วนั ท่ี 13 เมษายน พ.ศ. 2492 เป็นบุตรของนายสง่า วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ สำเร็จการ ศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เป็น ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับการ 182
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 เลือกตั้งหลายสมัยที่สุดนับตั้งแต่มีการ เลือกตั้ง ส.ส.มาจนถึงปัจจุบัน โดยได้ รับการเลือกตั้งทั้งหมด 11 สมัย คือ พ.ศ. 2518, 2519, 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539 และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เลือกตั้ง ทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ภาพที่ 4 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ ในสมัยรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (9 ธันวาคม 2533 – 23 กุมภาพันธ์ 2534) ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2533 เป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 46 (สมัย เดียวกับนายจำนงค์ โพธิสาโร) (นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์, 2540, น.188-190) ในสมยั รฐั บาล พลเอกสจุ นิ ดา คราประยรู (7 เมษายน 2535 – 10 มิถุนายน 2535) ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2535 ถือเป็น คณะรฐั มนตรคี ณะท่ี 48 (นพิ ทั ธ ์ สระฉนั ทพงษ,์ 2540, น. 194-195) สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปะอาชา (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี และสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540) ได้รับ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกสมัย (นิพัทธ์ 183
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ สระฉันทพงษ์, 2540, น. 224-225) ดำรงตำแหน่งเป็นรอง ประธานรัฐสภาและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2526 ถึง 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 (สำนักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2543, น. 391,394) ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2518 และ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2519 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนน มิตรภาพ ระหว่างจังหวัดสระบุรีและนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 อุบัติเหตุครั้งดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพ ของนายปิยะณัฐ ทำให้ต้องวางมือทางการเมืองในเวลาต่อมา (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) 7) นายบุญชง วีสมหมาย นายบุญชง วีสมหมาย หรือที่ชาวศรีสะเกษเรียกอีก อย่างว่า “อาเจ๊ก” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการกีฬาและ การศึกษาของจังหวัดศรีสะเกษ นายบุญชง วีสมหมาย เกิด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2474 เป็นบุตรของนายเซ่งซอย กับ นางบุญ วีสมหมาย สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียน ศรีสะเกษวิทยาลัย และระดับปริญญาตรี สาขาการจัดการ สถาบันราชภัฏสุรินทร์ นายบุญชง วีสมหมาย ได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.ทั้งหมด 7 สมัย คือ พ.ศ. 2519, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม 2544 และ ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 1 (เลือกตั้งซ่อม) วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2545 รวมทั้งเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก 184
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 วุฒิสภา พ.ศ. 2532 (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2543, น. 124-125) ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ คือ ได้รับ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ใน พ.ศ. 2538 เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2539 รองประธาน สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544 - 2545 นายบุญชง วีสมหมาย เสียชีวิต เมื่อ วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2546 ด้วย โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี ขณะอายุ 72 ปี (กรองกาญจน์ วีสมหมาย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) ภาพที่ 5 นายบุญชง วีสมหมาย 8) ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ดร.มานะ จบการศึกษา มัธยมศึกษา โรงเรียนศรีสะเกษ วิทยาลัย จังหวัดศรีสะเกษ ปริญญาตรีวิศวกรรมโยธา จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (A.I.T.) ทุนรัฐบาลเยอรมันและ ปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมโครงสร้าง (Ph.D. Structural Engineering) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ สหรัฐอเมริกา โดยทุนรัฐบาลไทย นายมานะเกิดในตระกูลที่มี ธุรกิจหลายประเภทในเมืองศรีสะเกษ เป็นบุตรนายประวิทย์ และนางสุชา มหาสุวีระชัย เจ้าของร้านขายทอง ร้านขายยา กิจการรับเหมาก่อสร้าง และโรงแรมพรหมพิมาน (ชิงเก้าอี้ 185
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ส.ส.ศรีสะเกษเดือด ! “เสี่ยขายรถ” ซด “เสี่ยรับเหมา, 8 พฤษภาคม 2546, น. 8) เคยได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้งหมด 2 สมัย คือ พ.ศ. 2535/2 และ 2539 รองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พ.ศ. 2537 ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจรัส พั้วช่วย) พ.ศ. 2538 ที่ ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2539 ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม(นางพิมพา จันทร์ประสงค์) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ต่อมาได้ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหารพรรค ประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2546 ในปี พ.ศ. 2547 ดร.มานะ ได้ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร โดยไม่ได้สังกัด พรรคการเมืองใดแต่ได้รับการสนับสนุน จาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แต่ไม่ได้รับ การเลือกตั้ง (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2552) ภาพที่ 6 ดร.มานะ มหาสุวีระชัย 9) นายไพโรจน์ เครือรัตน์ นายไพโรจน์ เครือรัตน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้งหมด 6 สมัย คือ พ.ศ. 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1 และ 2538 เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ คณะรัฐมนตรีชุดที่ 48 วันที่ 7 เมษายน 2535 – 9 186
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 มิถุนายน 2535 สมัยรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร (นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์, 2540, น. 194-196) 10) นายสวัสดิ์ สืบสายพรหม นายสวัสดิ์ สืบสายพรหม ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้งหมด 4 สมัย คือ พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1 และ 2535/2 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (23 กันยายน 2535 – 13 กรกฎาคม 2538) ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2535 ถือเป็น รัฐมนตรี คณะที่ 50 (นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์, 2540, น. 200-201) 11) ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง เกิดวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2495 ก่อนเข้าสู่วงการเมืองได้บวชเรียนและได้ทุนไปศึกษาต่อที่ ประเทศอินเดีย ก่อนมาทำงานใช้ทุนเป็นพระอาจารย์อยู่ที่มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และลาสิกขาหลังจากครองเพศเป็น บรรพชิตมาทั้งหมด 12 ปี ต่อมาได้เข้าทำงานที่กองบัญชาการ ทหารสูงสุด เป็นนายทหารข่าว พ.ศ. 2522-2525 จนได้ยศร้อยโท แล้วโอนไปอยู่กรมประชาสัมพันธ์ เป็นผู้ประกาศข่าวและจัด รายการ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภาคภาษา อังกฤษ พ.ศ. 2527 ผู้ประกาศข่าวและจัดรายการภาคภาษาไทย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศญี่ปุ่น (Radio Japan) ของ NHK ณ กรุงโตเกียว พ.ศ. 2527-2531 ผู้ประกาศข่าวและจัด รายการ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 พ.ศ. 2531-2535 (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2554, น. 151-153) 187
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ร.ท.กุเทพ เริ่มต้นเข้าสู่วงการเมืองโดยสังกัดพรรคพลัง ธรรม (เข้ามาก่อน ดร.มานะ มหาสุวีระชัย) ได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.ทั้งหมด 5 สมัย คือ พ.ศ. 2535/2 (พรรคพลังธรรม) พ.ศ. 2539 (พรรคความหวังใหม่) ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 7 (เลอื กตง้ั ซอ่ ม) วนั ท ่ี 29 มกราคม พ.ศ. 2544 (พรรคความหวงั ใหม)่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 (พรรคไทยรักไทย) และ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 2 เลือกตั้ง ทั่วไป วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งในการเลือกตั้งแต่ละ ครั้งจะมีวิธีการหาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจาก ผู้สมัครทั่วไป คือ การแต่งและร้องกลอนลำ ที่เรียกว่า “ลำเต้ย” เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน โดยมักจะร้องกลอนลำเต้ยควบคู่กับ การปราศรัยบนรถหาเสียง (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2552, น. 83-84, 98-99) เหตุท่ีอยากเล่นการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษ ร.ท. กุเทพ อธบิ ายว่า “..เกิดที่ศรีสะเกษ เป็นคนชนบทที่อยู่บ้านนอก ได้เห็น สภาพชีวิตของผู้คนที่ลำบากยากจน พอได้ไปเรียนหนังสือ มีประสบการณ์ก็เลยอยากกลับไปช่วยเหลือผู้คน การเป็น ข้าราชการมันไม่สามารถช่วยได้มากนัก ไม่เหมือนนักการเมือง ที่สามารถเอานโยบายไปช่วยเหลือผู้คนในจำนวนมากๆ ได้ แต่ ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะใช่ว่าเราจะได้ตำแหน่งมาง่ายๆ ประกอบกับการเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้เงินสูงมาก โดยเฉพาะ ในเขตชนบท ซึ่งนักการเมืองส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีอย่างนั้น แต่ ตนเองก็พยายามให้วิธีที่แตกต่างไป โดยใช้ความเป็นชาวบ้าน 188
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 ความเป็นคนชนบท เข้าไปปราศรัยแบบถึงบ้านถึงเรือน ทีแรก ตั้งใจว่าถ้าไม่ได้รับการเลือกตั้งก็จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้นแล้วกลับ ไปทำงานราชการเช่นเดิม แต่บังเอิญจุดกระแสติด และได้รับ การเลือกตั้งขึ้นมา เลยได้อยู่บนเวทีการเมืองมานานมากกว่า 15 ปี” (กุเทพ ใสกระจ่าง, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2555) ร.ท.กุเทพเคยมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ใน พ.ศ. 2540 รองโฆษกรัฐบาล พ.ศ. 2544 - 2545 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ช่วง พ.ศ. 2545 - 2548 ประธานคณะ กรรมาธิการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2548 - 2549) ภายหลังการยุบพรรคไทยรักไทย ร.ท.กุเทพ ได้ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชนและรับตำแหน่งโฆษกพรรค พลังประชาชน (พ.ศ. 2550) จนกระทั่งใน พ.ศ. 2551 ศาล รัฐธรรมนูญได้ตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน และตัดสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ซึ่ง ร.ท.กุเทพเป็นหนึ่งใน 37 คนที่ถูกตัดสิทธิ์ หลังจากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับ การรักษาตัวจากโรคมะเร็ง ซึ่งถูกตรวจพบใน พ.ศ. 2551 ส่วน อนาคตทางการเมืองหลังจากครบกำหนดการตัดสิทธิ์ ในปี พ.ศ. 2556 ร.ท.กุเทพสรุปว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในขณะนั้นว่าจะ พร้อมหรือไม่เพียงใด ถ้าสุขภาพเอื้อก็จะมาเล่นการเมืองอีกครั้ง (กุเทพ ใสกระจ่าง, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2555) จนกระทั่ง วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 ร.ท.กุเทพได้เสียชีวิตด้วย โรคมะเร็ง ขณะมีอายุ 60 ปี 189
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ภาพที่ 7 ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง 12) นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ หรือ “เสี่ยลาว” เกิดเมื่อ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 สำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง ก่อนเข้าสู่ วงการเมืองประกอบธุรกิจโรงสีข้าวใน อำเภออุทุมพรพิสัย เช่น หสน. ส.สินทวี และ หจก.โรงสีสินทวี การเกษตร ต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย (ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย, 2555) ก่อนเข้าวงการเมืองระดับชาติ ได้เป็นสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ (ส.อบจ.) ใน พ.ศ. 2538 ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2539 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดพรรคชาติพัฒนา ต่อมาเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อสังกัดพรรคไทยรักไทย เลือกตั้ง ทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544, ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548, ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 2 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 23 ธันวาคม 2550 สังกัดพรรคพลัง ประชาชน และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (ในลำดับที่ 33) พรรคเพื่อไทย จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 190
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภายหลังการ เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำใน การจัดตั้งรัฐบาลโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นายพรศักดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนจะ ถู ก ป ร ั บ อ อ ก จ า ก ต ำ แ ห น ่ ง ใ น เ ด ื อ น มกราคม พ.ศ. 2555 ภาพที่ 8 นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ 4. รูปแบบและวิธีการหาเสียงของ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แยกเป็นรายบุคคล การนำเสนอรูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ในจังหวัดศรีสะเกษ ผู้วิจัยเลือกนำเสนอเฉพาะนักการเมืองคน สำคญั ทไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั หลายสมยั ซง่ึ ประกอบดว้ ย นายปยิ ะณฐั วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษหลายสมัย และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสขุ และอดตี รฐั มนตรปี ระจำสำนกั นายกรฐั มนตรี นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษหลายสมัย และโฆษกพรรค พลังประชาชน นายปวีณ แซ่จึง ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 จังหวัดศรีสะเกษ นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ส.ส. แบบแบ่ง เขต เขต 3 จังหวัดศรีสะเกษ นายบุญชง วีสมหมาย อดีต ส.ส. ส.ว. ศรีสะเกษ และนางสุนีย์ อินฉัตร ตามลำดับ 191
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า รูปแบบการหาเสียงของ ผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศใช้ทั้งวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และรูปแบบที่ผิดกฎหมาย แต่ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการถูก ฟ้องร้องตามกฎหมาย ผู้วิจัยขอนำเสนอวิธีการหาเสียงเฉพาะ รูปแบบที่สามารถเปิดเผยได้ของผู้สมัคร ส.ส. แต่ละบุคคล เท่านั้น ส่วนรูปแบบการหาเสียงที่กระทำโดยผิดกฎหมาย หรือ วิธีการแบบใต้ดิน โดยเฉพาะการซื้อเสียง จัดเลี้ยง แจกสิ่งของ หรือกระทำการผิดกฎหมายรูปแบบอื่นๆ ผู้วิจัยจะนำเสนอเป็น ภาพรวมไว้ในส่วนของบทวิเคราะห์ในบทที่ 5 ซึ่งจะไม่ระบุว่า เป็นผู้สมัครคนใด ในด้านรูปแบบการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยส่วนใหญ่มักใช้หลายวิธีประกอบกัน แต่ละคนจะมีกลยุทธ์ และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ แตกต่างกันไป ต่างฝ่ายต่างวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ประเมิน ฐานคะแนนเสียงอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่จะมีความ เข้มข้น ความรุนแรงของการแข่งขันที่แตกต่างกัน ซึ่งระดับความ รุนแรงในการแข่งขันส่งผลต่อรูปแบบ วิธีการหาเสียงในแต่ละ พื้นที่ด้วย ที่สำคัญมีดังนี้ 1 ) นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ผู้สมัคร ส.ส. โดยส่วนใหญ่รวมทั้งนายปิยะณัฐ จะใช้ กลยุทธ์และวิธีการหาเสียงหลายวิธีประกอบกัน วิธีการหาเสียง ที่สำคัญของนายปิยะณัฐ จนเป็น ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับ การเลือกตั้งหลายสมัยที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ส.ส. 192
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 มาจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด 11 สมัย คือ พ.ศ. 2518, .2519, 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539 และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม 2544 วิธีที่โดดเด่น คือ 1.1) การพยายามนำเสนอความเป็นผู้ท่ีมีหน้าที่ การงานดี และมคี วามรสู้ ูง เน้นปริญญา ในการเลือกตั้งช่วงแรกๆ การพยายามชูความ เป็นผู้มีความรู้เป็นค่านิยมสำหรับนักการเมืองและประชาชน ทั่วไปในยุคนั้น โดยเฉพาะปริญญาทางกฎหมายจาก มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยนายปิยะณัฐ วชั ราภรณ์ สำเรจ็ การศกึ ษานติ ศิ าสตรบณั ฑติ ปี 2514 ในยคุ แรกๆ ใครก็ตามที่จะเป็นนักการเมือง จะต้องพยายามหาทาง ลงทะเบียนเรียนเป็นนักกฎหมาย ส่วนหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นว่าเป็น ผู้มีความรู้เหมาะสมในการเป็นตัวแทนของประชาชนที่จะเข้าไป ทำหน้าที่ในเวทีรัฐสภา เมื่อเป็นดังนี้จึงพบโดยทั่วไปในบรรดา ผู้สมัครที่ได้รับปริญญา จะสวมเสื้อครุยธรรมศาสตร์ในการ หาเสียงหรือลงป้ายโฆษณาแนะนำตนเอง และมีข้อความที่ เกี่ยวกับเรื่องปริญญาทางกฎหมาย รวมทั้งนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ด้วยซึ่งประกอบอาชีพทนายความ และธุรกิจ โรงน้ำแข็งและเครื่องดื่ม มักจะถ่ายรูปชุดเนติบัณฑิตเป็น รูปประจำตัวติดป้ายโฆษณาหาเสียง เป็นที่น่าสังเกตว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษที่เป็น ส.ส.ตั้งแต่อดีตมักประกอบอาชีพทนายความ ผู้พิพากษา อาทิ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ นายดนัยฤทธิ์ 193
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ วัชราภรณ์ นายเริ่มรัฐ จิตรภักดี นายเทพ โชตินุชิต นายพุฒเทศ กาญจนเสริม ขุนพิเคราะห์คดี เป็นต้น โดยนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ตั้งข้อสังเกตที่ทนายความมาลงสมัครรับเลือกตั้ง ว่า เป็นเพราะทนายสามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มี ความเดือดร้อนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินทำกิน และเรื่องอื่นๆ “ชาวบ้านส่วนใหญ่เวลามีปัญหาพิพาทกัน ก็จะ มาหา ทนายความก็จะเป็นคนแก้ปัญหาให้ กฎหมายมันแก้ ปัญหาให้เขาได้ ส่วนใหญ่ที่เขาเอาทนายเพราะว่าบางทีเขามี กรณีพิพาทระหว่างเขตแดน ก็จะช่วยไกล่เกลี่ย..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ยังสะท้อนลักษณะ พิเศษของประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษว่า ความยากแค้นทาง ด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับลักษณะอุปนิสัยที่เจียมเนื้อเจียมตัว ความฝักใฝ่ในทางศาสนาพุทธ ส่งผลต่อลักษณะพฤติกรรม ทางการเมืองในการตัดสินใจเลือกตั้ง ส.ส. “คนจังหวัดศรีสะเกษโดยพื้นฐานเป็นคนที่ว้าเหว่ ฐานะทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างจะด้อยกว่าที่อื่นทั้งหมด แต่ อุปนิสัยของคนศรีสะเกษเป็นคนซื่อสัตย์ ฝักใฝ่ในเรื่องธรรมะ เพราะว่าคนในพื้นที่มันผสมผสานกันระหว่างคนเชื้อสายเขมร กับลาว และก็จะมีชนกลุ่มน้อยอยู่ มันก็มีหลากหลาย มีส่วย เยอ คนเหล่านี้เป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวและก็รู้ตัวเองว่าเป็น คนที่ด้อย เพราะฉะนั้นก็จะเคารพผู้ใหญ่ มีความซื่อสัตย์สุจริต ..แต่ว่าในเวลาต่อมาระบบทุนนิยมมันทำให้คุณค่าของ ประชาชนมันสูญหายไปหมด มันก็เป็นเรื่องระบบทุนเข้ามา 194
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 ครอบงำไปหมด..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) 1.2) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ในแผ่นใบปลิว หาเสียง แผน่ โปสเตอร์ ป้ายโฆษณา ขบวนรถแห่ การทำป้ายโฆษณาแนะนำตนเองของนาย ปิยะณัฐ มีพัฒนาเริ่มตั้งแต่แผ่นกระดาษโฆษณาตั้งแต่ขนาด A4 แบบขาวดำ และสีตามลำดับ โดยจะนำไปติดตามหมู่บ้าน โรงสี วัด และแหล่งชุมชนต่างๆ การทำป้ายโฆษณาของ อดีต ส.ส.ปิยะณัฐ ยังสามารถพบได้ในหลังคาศาลาที่พักริมทาง การ เขียนชื่อไว้บนตุ่มน้ำ และป้ายบนถนนสาธารณะต่างๆ เป็นต้น 1.3) การจัดตั้งหัวคะแนน (แกนจดั ต้งั ) ผู้สมัคร ส.ส.ที่จะได้รับการเลือกตั้งทุกคนจะต้อง มีการจัดตั้งหัวคะแนน เพื่อช่วยหาเสียง โดยหัวคะแนนของ อดีต ส.ส.ปิยะณัฐซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ไม่ต้องลงพื้นที่ด้วย ตนเองมากนัก หัวคะแนนของ ส.ส.ปิยะณัฐ มักจะเป็นสมาชิก สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั กำนนั ผใู้ หญบ่ า้ น ผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น ส.อบต. หรือผู้นำชุมชนอื่นๆ โดยเฉพาะในเขตอำเภอปรางค์กู่ นั้น หัวคะแนนคนสำคัญที่ดำเนินการแทน คือ ส.อบจ.ชวาล ทองสังข์ (หรือ อดีต ส.อบจ.แดง) รูปแบบการจัดตั้งหัวคะแนนนั้น จะให้หัวคะแนน ในแต่ละหมู่บ้านเดินเคาะประตูบ้านหาคะแนนเสียงและอื่นๆ จำนวนหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้านจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับขนาดของ หมู่บ้าน 195
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 1.4) การต้งั เวทีปราศรัยยอ่ ยตามหมูบ่ า้ นต่างๆ ในอดีต ส.ส.ปิยะณัฐ จะนั่งรถปิคอัพไปหาเสียง ตามหมู่บ้านต่างๆ แล้วจะตั้งเวทีปราศรัยย่อยเพื่อหาเสียง แนะนำตัวเอง และพูดถึงนโยบายต่างๆ หากได้รับการเลือกตั้ง แต่ในช่วงหลัง การตั้งเวทีปราศรัยย่อยได้ลดลงไปให้หัวคะแนน เข้ามามีบทบาทแทนมากขึ้น 1.5) การลงพื้นท่ีโดยสม่ำเสมอ โดยส่วนใหญ่ ส.ส.ผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้งจะต้อง ลงพื้นที่พบปะประชาชน โดยสม่ำเสมอ แต่กรณีของ ส.ส. ปิยะณัฐ ถือว่าลงพื้นที่ค่อนข้างน้อย มักจะลงเฉพาะช่วงที่มีการ เลือกตั้งเท่านั้น หรือลงพื้นที่เฉพาะช่วงที่สำคัญจริงๆ โดยส่วน ใหญ่ประชาชนมักจะพบ ส.ส.ปิยะณัฐผ่านจอโทรทัศน์มากกว่า เพราะมักจะมีตำแหน่งทางการเมืองหลังจากได้รับการเลือกตั้ง เสมอ 2) นายธเนศ เครือรัตน์ นายธเนศ เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 จังหวัด ศรีสะเกษหลายสมัย เขตเลือกตั้งที่ 1 ประกอบด้วย อ.เมือง เขต เทศบาลตำบล (ทต.) น้ำคำ อ.วังหิน ทต.บุสูง และ เทศบาล เมืองศรีสะเกษ มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้สมัคร ส.ส.รายอื่นๆ คือ จะใช้กลยุทธ์และวิธีการหาเสียงหลายวิธีประกอบกัน วิธีการหาเสียงที่สำคัญของนายธเนศที่โดดเด่น คือ 196
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 2.1) การสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และ กิจกรรมของชุมชน นายธเนศ เครือรัตน์ เป็น ส.ส.ที่ให้ความสำคัญ กับการสนับสนุนกิจกรรมกีฬาภายในจังหวัดอย่างชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะต้องการสืบทอดเจตนารมณ์ของ ส.ส.บุญชง วีสมหมาย อดีต ส.ส. และ ส.ว.ผู้ล่วงลับ โดยฝ่ายที่เคยให้การ สนับสนุน ส.ส.บุญชง ได้ผลักดันให้ ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ได้รับ การเลือกตั้งแทน โดยหลังจากได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.ธเนศ ได้เข้ามาเป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2546 และประธานสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ(เอฟซี)(กูปรีอันตราย) หรือ สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ในช่วง พ.ศ. 2553 (ดังภาพที่ 9-10) ต่อมา กลุ่มนายสมบัติ เกียรติสุรนนท์ หรือ “เฮียฮวด” ซึ่งมีเครือข่ายทางการเมืองและธุรกิจอยู่ที่จังหวัด อุบลราชธานีร่วมกับตระกูล “ศรีธัญรัตน์” เข้ามาดำรงตำแหน่ง เป็นประธานสโมสรได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อสโมสรฟุตบอล ศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี เป็น “อีสาน ยูไนเต็ด” และย้ายไป แข่งขันที่สนามกีฬากลางจังหวัดอุบลราชธานี (ทุ่งบูรพา) ซึ่งเป็น สนามของ อบจ.อุบลราชธานี ในฤดูกาล พ.ศ. 2555 ท่ามกลาง ปัญหาความขัดแย้งภายในสโมสร และความไม่พอใจของกลุ่ม แฟนบอลในจงั หวดั ศรสี ะเกษทเ่ี หน็ วา่ “กลมุ่ เฮยี ฮวด” มเี ปา้ หมาย เพื่อนำสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ไปเป็นของ จังหวัดอุบลราชธานีในท้ายที่สุด (ดังภาพที่ 11-13) อย่างไรก็ตาม แม้ว่า จะเปลี่ยนชื่อเป็น “อีสาน ยูไนเต็ด” และย้ายไปแข่งขันที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ข้อมูล 197
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า(DBD) กระทรวงพาณิชย์ (http:// www.dbd.go.th/corpsearch/corpdetail.phtml?mfno1..) ณ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 พบว่า บริษัท สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ จำกัด ยังมี ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ เป็นกรรมการบริษัทอยู่ โดย กรรมการบริษัท มี 3 คน ประกอบด้วย 1) นายธเนศ เครือรัตน์ 2) นายสมบัติ เกียรติสุรนนท์ 3) นายสรศาสตร์ ศรีธัญรัตน์ ภาพที่ 9-10 ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ประธานสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ-เมืองไทย เอฟซี ในฟุตบอลลีกสงู สุดของประเทศ (ไทยพรีเมียร์ลีก) 198
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 ภาพที่ 11-13 ภาพการประท้วงของกลุ่มแฟนบอลในจังหวัดศรีสะเกษ ท่ีมา : คนศรีสะเกษต้องการศรีสะเกษ เอฟซี ไม่ใช่อีสานยูไนเต็ด, กรกฎาคม 2555, อัลบั้มของ คนศรีสะเกษต้องการศรีสะเกษ เอฟซี ไม่ใช่ อีสานยูไนเต็ด, สืบค้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2555, จาก http:// www.facebook.com/wewantsisaketfc/photos 199
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ที่มา : คนศรีสะเกษต้องการศรีสะเกษ เอฟซี ไม่ใช่อีสานยูไนเต็ด, กรกฎาคม 2555, อัลบั้มของ คนศรีสะเกษต้องการศรีสะเกษ เอฟซี ไม่ใช่ อีสานยูไนเต็ด, สืบค้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2555, จาก http:// www.facebook.com/wewantsisaketfc/photos 2.2) การตั้งเวทีปราศรัยย่อยตามชุมชนและ หม่บู า้ นต่างๆ ส.ส.ธเนศ ยอมรับว่าในอดีตตนไม่เน้นการ ปราศรัยหาเสียงมากนัก จะเน้นระบบการจัดตั้งหัวคะแนนเป็น หลัก แต่ปัจจุบัน การปราศรัยหาเสียงนับวันจะมีความสำคัญ มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการปราศรัยเพื่อนำเสนอนโยบายของ พรรคให้ประชาชนได้ทราบ นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 สะท้อนลักษณะสำคัญของการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่ 200
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 จังหวัดศรีสะเกษ โดยเห็นว่ารูปแบบการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ได้เปลี่ยนแปลงจากอดีตเป็นอย่างมาก โดยในยุคใหม่ การ หาเสียงจะเน้นที่นโยบายของพรรคเป็นหลัก และเชื่อว่าการใช้ เงินซื้อเสียงจะลดความสำคัญลงเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยด้าน นโยบายและพรรคการเมืองที่สังกัดเข้ามาแทน รวมทั้งปัจจัย ด้านบุคคล โดยเห็นว่าในสมัยอดีตประชาชนจะยึดติดที่ตัว บุคคลเป็นหลัก จะสังกัดพรรคการเมืองใดก็ไม่มีผล แต่ใน ปัจจุบันทั้งตัวบุคคลและพรรคที่สังกัดล้วนมีความสำคัญเท่า เทียมกัน หากเป็นตัวบุคคลที่ประชาชนชื่นชอบ แต่สังกัด พรรคการเมืองที่ประชาชนไม่ชื่นชอบก็อาจจะแพ้การเลือกตั้งได้ แต่ถ้าหากเป็นบุคคลที่ประชาชนชื่นชอบและได้สังกัดพรรค ที่ประชาชนชื่นชอบด้วยก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ผู้สมัคร ส.ส. คนนั้นได้รับชัยชนะ ดังบทสัมภาษณ์ว่า “การหาเสียงสมัยนี้ เน้นการพูดนโยบายพรรคให้ ประชาชนทราบก็คือปราศรัยนั่นเอง แต่สมัยก่อนเขาไม่ได้เน้น ปราศรัยมากนัก หัวคะแนนมันจะลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเงินก็จะสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆ นโยบายจะมี ความสำคัญมากกว่า ในด้านการตัดสินใจเลือกตั้ง ส.ส. มองว่า ประชาชนจะพิจารณาจากตัวบุคคลเป็นลำดับแรก และปัจจัยที่ สำคัญใกล้เคียงคือพรรคการเมืองที่สังกัด แต่สมัยก่อนจะเน้นที่ ตัวบุคคลเป็นหลัก พรรคการเมืองจะรองลงมา พรรคไหนก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ขอให้เป็นคนนี้ด้วยและก็ พรรคนี้ด้วย อาจจะใกล้เคียงกัน เมื่อก่อนนี้มันจะเน้นเรื่อง บุคคลเป็นหลัก แล้วก็เรื่องเงิน หัวคะแนน ถึงมาพิจารณาที่ เรื่องพรรค.. 201
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ เรื่องเงินไม่ใช่เป็นประเด็นหลัก ไม่ใช่ตัวแปรหลัก ในสถานะปัจจุบัน ผู้สมัครกับพรรคการเมืองยังเป็นตัวหลักอยู่ สำหรับการเลือกตั้งระดับชาติไม่ใช่ระดับท้องถิ่น ในการเมือง ระดับชาตินี้จะมีตัวแปรเรื่องตัวบุคคลกับพรรคมาเกี่ยวข้องมาก กว่าเงิน และยิ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาไปมาก เงินก็จะยิ่งมี ความสำคัญลดลง เมื่อก่อนยอมรับ แต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไป เรื่อยๆ แต่ก่อนอาจจะซื้อได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่เดี๋ยวนี้อาจจะ ห้าสิบห้าสิบ และจะมีแนวโน้มน้อยลงไปเรื่อยๆ การเลือกตั้งที่ ผ่านมามันชัดเจน คนที่อยู่ในสังคมก็จะรู้ดีว่าเงินมันซื้อไม่ได้..” (ธเนศ เครือรัตน์, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 อธิบายว่า ในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งแต่ละสมัยจะเน้น การชูประเด็นนโยบายของพรรค การพัฒนาเมืองศรีสะเกษ และ การศึกษา “เวลาอภิปรายหรือปราศรัยแต่ละครั้งจะ พยายามชูนโยบายเป็นหลัก และชูเรื่องการพัฒนาจังหวัด ศรีสะเกษ เพราะบังเอิญว่าผมเป็น ส.ส. อยู่ในเขต 1 หมายถึง เขตเมืองเล็กก็เลยต้องเน้นเรื่องการพัฒนาเมืองด้วยและ ประเด็นที่พูดถึงอยู่เป็นประจำก็คือเรื่องการศึกษา ที่เป็นห่วง ก็คือภาพรวมของการพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ..” (ธเนศ เครือรัตน์, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) 2.3) การจัดต้ังหวั คะแนน (แกนจดั ต้งั ) ผู้สมัคร ส.ส.ที่จะได้รับการเลือกตั้งทุกคนจะต้อง มีการจัดตั้งหัวคะแนน เพื่อช่วยหาเสียงซึ่งรวมถึง ส.ส.ธเนศ 202
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 เครือรัตน์ ด้วย 2.4) การลงพื้นทโ่ี ดยสมำ่ เสมอ ส.ส.ธเนศให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่ พบปะ ประชาชนอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มีงานบุญ งานประเพณี งานเทศกาล งานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ หรืองานอื่นๆ ที่ได้รับเชิญ หากอยู่ในพื้นที่มักจะเข้าร่วมเกือบทุกครั้ง เป็นต้น 3) ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง ดร.กุเทพ เริ่มต้นเข้าสู่วงการเมืองโดยสังกัดพรรค พลังธรรม ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้งหมด 5 สมัย วิธีการ หาเสียงที่สำคัญของ ดร.กุเทพที่โดดเด่น คือ 3.1) การตัง้ เวทปี ราศรยั และร้องกลอนลำ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ดร.กุเทพจะมีวิธีการ หาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจากผู้สมัครทั่วไป คือ การแต่งและร้องกลอนลำ ที่เรียกว่า “ลำเต้ย” เป็นที่ชื่นชอบของ ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในศรีสะเกษ โดยมักจะร้องกลอน ลำเต้ยควบคู่กับการปราศรัยบนรถหาเสียงซึ่งมักจะได้รับเสียง ปรบมือพอใจจากประชาชนทุกครั้ง (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2552, น. 83-84, 98-99) โดยหลังจากเปลี่ยนสังกัดจากพรรคพลังธรรม มาเป็นพรรคความหวังใหม่ พรรคไทยรักไทย และพรรคพลัง- ประชาชนนั้น เนื้อหาของกลอนลำเต้ย มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ นโยบาย และผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาทิ 203
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ “นายกๆ ทักษิณ นายกๆ ทักษิณ ชื่อใครได้ยิน ชื่นชมผลงานประชานิยม คนชื่นคนชมท่านเอื้ออาทร ผู้คน ยากไร้อยู่ที่ไหนบ้านป่านาดอน ทักษิณท่านเอื้ออาทรไม่ตัดไม่ รอนกำลังแรงใจๆ นายกๆ ทักษิณ นายกๆ ทักษิณ ชื่อใครได้ยิน ชื่นใจ ผลงานและนโยบายดังก้องเกรียงไกรไปทุกวงการ ผู้คน ยากไร้อยู่ที่ไหนจิตใจชื่นบาน อบอุ่นมั่นใจผลงานของรัฐบาล พรรคไทยรักไทยๆ” (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2552, น. 83-84, 98-99) 3.2) การลงพื้นทโี่ ดยสมำ่ เสมอ โดยส่วนใหญ่ นักการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดศรีสะเกษ จะต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้านอย่าง สม่ำเสมอ ผู้สมัคร ส.ส. จะใช้โอกาสในช่วงเวลาที่ชุมชนมีงาน บุญ งานบวช งานศพ งานแต่งงาน หรืองานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่ พบปะสร้างความคุ้นเคย ความเป็นกันเองกับชาวบ้าน โดย เจ้าภาพมักจะเชิญ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นมาเป็นประธาน ในงานเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สืบทอดกันมาในสังคมยุคปัจจุบัน ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง ตัวอย่างของผู้สมัคร ส.ส.ที่อาศัยการลงพื้นที่หาเสียงตามหมู่บ้านต่างๆ โดยเฉพาะ กับการเลือกตั้งในสมัยแรกๆ ที่ประชาชนยังไม่รู้จัก ดร.กุเทพ ว่า “...ที่ทำงานของผม คือ หมู่บ้านนับหมื่นและ ท้องทุ่งไร่นาอันกว้างใหญ่ มีประชาชนนับแสนเป็นเจ้านาย ผมต้องคอยวิ่งเต้นรับใช้พวกเขาในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องส่วนตัว หรือส่วนรวม มือถือของผมต้องเปิดรับสายตลอดเวลา เพราะ ปัญหาของเจ้านายเกิดได้ทุกเมื่อ ทุกสายที่รับจึงมีแต่ปัญหาให้ 204
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 ต้องช่วยแก้ไข งานของผมไม่มีวันหยุด เพราะถ้าไม่อยู่ในสภาฯ ก็ต้องลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้าน ยิ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือ เทศกาล ยิ่งมีงานมาก เพราะชาวบ้านนิยมจัดงานส่วนรวมใน วันหยุด เพื่อให้ “ผู้แทน” ของเขาไปร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อ ไปร่วมต้องไม่ไปมือเปล่าหรือไปเป็นเกียรติเฉยๆ เพราะพวกเขา คาดหวังว่า “ผู้แทน” จะมีเงินบริจาคในจำนวนที่เหมาะสมกับ ตำแหน่ง “ผู้แทน” ด้วย ที่หนักสุดๆ คือช่วงกฐิน ปีใหม่ ตรุษจีน และ สงกรานต์ เพราะทุกหมู่บ้านจะมีงานพร้อมๆ กันเกือบทุกวัน ผมต้องแบ่งทั้งเวลาและเงินบริจาคเพื่อให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด ต้องจัดเวลาให้ลงตัวว่าจะไปที่ไหนในช่วงใด ซึ่งบางครั้งต้อง วิ่งรอกช่วยงานจนดึกดื่น เพราะถ้ามีมหรสพประเภทหมอลำ สมโภช ชาวบ้านก็คาดหวังให้ “ผู้แทน” ขึ้นเวทีเปิดงานด้วย” (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2552, น. 39-40) อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเรียงเบอร์ เขตหนึ่งเลือกได้ 3 คน ในเขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วยพื้นที่ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอวังหิน อำเภอขุขันธ์ อำเภอภูสิงห์ อำเภอห้วยทับทัน อำเภออุทุมพรพิสัย และอำเภอเมืองจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ประกอบด้วย ร.ท.ดร. กุเทพ นายวีระพล จิตสัมฤทธิ์ และนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ พบว่า ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชนไม่ได้ลงพื้นที่มากนัก ส่วนหนึ่งอาจะเป็นเพราะกระแสความนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ 205
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ชินวัตร แม้ว่าผู้สมัครจะไม่เคยลงพื้นที่หาเสียงเหมือนผู้สมัคร คนอื่นๆ หากสังกัดพรรคพลังประชาชนก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับ ชัยชนะ ดังคำสัมภาษณ์ของ นายธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ อดีต กำนันตำบลกู่ อ.ปรางค์กู่ ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ว่า “ในพน้ื ทเ่ี ขต 2 คณุ วรี ะพล จติ สมั ฤทธ์ิ คณุ พรศกั ด์ิ เจริญประเสริฐ และร้อยโทกุเทพ ใสกระจ่าง ไม่ค่อยลงพื้นที่ ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ที่ได้คะแนนเพราะชาวบ้านคิดอย่าง เดียวว่าต้องการให้ทักษิณกลับมา คุณวีระพลมาหาเสียงบอกว่า เลือกพลังประชาชนแล้วทักษิณจะกลับมา..เวลาใช้รถแห่ โฆษณาก็จะมีสปอตโฆษณาบอกว่าเลือกพรรคพลังประชาชน แล้วทักษิณจะกลับมา และเวลาเดินพบปะชาวบ้านในพื้นที่ มีวีระพลที่เดินเข้ามาพบปะชาวบ้านก็จะบอกเลือกผมนะครับ แล้วทักษิณจะได้เข้ามา ประเด็นเดียว.. และแม้ว่าพรศักดิ์ และ กุเทพจะไม่ได้เข้ามาในเขตพื้นที่ปรางค์กู่แต่ก็ได้ยกทีม” (ธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ, สัมภาษณ์, 19 มีนาคม 2551) 3.3) การพยายามชูความเปน็ คนในพนื้ ที่ ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง เกิดจากครอบครัว ชาวนาที่จังหวัดศรีสะเกษ เกิดวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2495 หลังจากเรียนจบชั้นประถม 4 แล้ว ไม่มีโอกาสเรียนต่อเพราะ ครอบครัวฐานะยากจน จึงได้บวชเป็นสามเณรเพื่อแสวงหา โอกาสทางการศึกษา และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ก่อนมาทำงานใช้ทุนเป็นพระอาจารย์อยู่ที่มหาจุฬาลงกรณ- ราชวิทยาลัย และลาสิกขาหลังจากครองเพศเป็นบรรพชิต 206
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 มาทั้งหมด 12 ปี ดังนั้น การเป็นลูกหลานชาวบ้านชาว ศรีสะเกษโดยแท้จริง จึงกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับการนำ เสนอเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชน ในขณะที่นักการเมือง โดยส่วนใหญ่ในจังหวัดศรีสะเกษ มักจะเป็นลูกหลานกลุ่ม พ่อค้า แม้ค้าที่อพยพเข้ามาตั้งรกราก และเข้ามาเล่นการเมือง ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยนักการเมืองเหล่านี้มักมี ผิวขาวโดยส่วนใหญ่ ในขณะที่ประชาชนพื้นถิ่นมักมีผิวคล้ำ ผิวดำ เป็นต้น นอกจากนั้น แม้ว่าก่อนจะเล่นการเมือง ดร.กุเทพ จะเคยบวชมานานถึง 12 ปีจนกลายเป็น “มหา” มีความรู้ความ เชี่ยวชาญทางด้านการศาสนา วรรณคดีและปรัชญา แต่ก็ไม่ได้ ใช้ความเป็น “มหา” เข้าไปหาเสียงกับพระสงฆ์หรือเจ้าอาวาส กลับเข้าหาเสียงกับชาวบ้านโดยตรงเช่นเดียวกับนักการเมือง ทั่วไป 4) นายปวีณ แซ่จึง นายปวีณ แซ่จึง ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบเขต มา 3 สมัย (ไม่รวมการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549) ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ชนะการเลือกตั้งในเขต 8 ประกอบด้วย อ.ราษีไศล อ.บึงบูรพ์ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ อ.ยางชุมน้อย ทต.ยางชุมน้อย อ.ศิลาลาด วิธีการหาเสียงที่โดดเด่นของ ส.ส.ปวีณ มีลักษณะ สำคัญ คือ 207
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 4.1) การตง้ั เวทีปราศรยั การตั้งเวทีปราศรัย ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการหาเสียง หลักที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษสมัยใหม่ต้องทำควบคู่กับ วิธีการอื่นๆ การปราศรัยส่วนใหญ่มักจะเสนอแนวนโยบายของ พรรคเพื่อไทยและผลงานในอดีตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส.ส.ปวีณ สรุปว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา การชูประเด็นในการหาเสียงมีแนวโน้มที่จะอิงกับนโยบายของ พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดมากขึ้น โดยเฉพาะการอิงกับ นโยบายแนวประชานิยมของพรรคไทยรักไทย หรือพรรค พลังประชาชน ดังคำสัมภาษณ์ที่ว่า “แนวการเลือกตั้งมันจะเปลี่ยนไปมาก ต่อไป พรรคไหนสามารถใช้นโยบายที่ตัวเองนำมาเสนอตอนหาเสียง ไปปฏิบัติได้จริง จะได้รับคะแนนนิยมมาก... ต้องใช้เศรษฐกิจนำ การเมืองและสังคม เรื่องปากเรื่องท้องต้องมาก่อน สำคัญที่สุด ข้าราชการก็เหมือนกัน ถ้าคนมีปัญหาเรื่องปากท้องก็ไม่ต้องพูด ถึงเรื่องอื่น ให้คนได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น..ในการเลือกตั้ง ครั้งหลังๆ นโยบายพรรคมีส่วนสำคัญมาก ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะ สอบตก...ชูนโยบายพรรค เราจะต้องเปรียบเทียบให้เขาเห็นว่า นโยบายที่ทำแล้วเขาได้อะไร เปรียบเทียบพรรคอื่นทำแล้ว ได้อะไร” (ปวีณ แซ่จึง, สัมภาษณ์, 21 มีนาคม 2551) นายปวีณ แซ่จึง สรุปรูปแบบสำคัญในการ หาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาว่า การลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียง จะเริ่มตั้งแต่เวลา 7.00 น. ถึงเวลา 23.00 น. ทำติดต่อกันทุกวันไม่ได้พัก โดยจะ 208
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 เริ่มหาเสียงตั้งแต่วันลงรับสมัคร จนถึงก่อนวันเลือกตั้ง รวมระยะเวลาประมาณ 60 วัน หรืออย่างต่ำ 45 วัน ขึ้นอยู่กับ การกำหนดวันรับสมัครและวันเลือกตั้งของคณะกรรมการ การเลือกตั้ง “ในการหาเสียง มันต้องใช้วิธีลงไปพบปะ ประชาชน เพราะเดี๋ยวนี้ประชาชนเริ่มเปลี่ยน วิธีการหาเสียง ก็เปลี่ยนตาม การที่จะใช้วิธีการเอาเงินไปแจกๆ แล้วตัวเอง ไม่ไปพบปะกับประชาชน มันไม่ได้หรอก ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พวกผมก็ลงกันทั้ง 3 คน พรรคพลังประชาชน ใช้วิธีปราศรัยให้ครบตำบลละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ต้อง ปราศรัยด้วยตัวเอง ต้องเหนื่อยหน่อย ระยะเวลาประมาณ 63 วันเต็มไม่ได้พัก ถึงประมาณ 5-6 ทุ่ม ข้อจำกัดก็คือเวลา แล้วก็มีพื้นที่เพิ่มและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กกต. จะบอกว่าเคร่ง มันก็เคร่ง ไม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะว่าพรรคพลังประชาชนตอน หาเสียงก็ลำบาก..” (ปวีณ แซ่จึง, สัมภาษณ์, 21 มีนาคม 2551) 4.2) การลงพ้ืนที่โดยสม่ำเสมอ การลงพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สมัคร ส.ส.ใน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งในช่วงที่ไม่ได้ประชุมสภาหรือประชุมพรรค ที่กรุงเทพฯ ก็จะต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชุมชนมีงานบุญ งานบวช งานศพ งาน แต่งงาน หรืองานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่พบปะสร้างความคุ้นเคย ความเป็นกันเอง และรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน เป็นต้น 209
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ นักการเมืองมักใช้โอกาสการได้รับเชิญไป งานบุญ งานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่เพื่อสร้างความรู้จักมักคุ้น และ ประชาสัมพันธ์ตัวเองด้วย หากลงพื้นที่ประจำ ประชาชนรู้จักมัก คุ้น ช่วงหาเสียงก็จะง่ายกว่าคนที่ไม่เคยลงพื้นที่ จำนวนเงิน ช่วยงานเจ้าภาพโดยส่วนใหญ่จะใส่ซองละ 500 บาท 1,000 บาท หรือมากกว่านั้น ตามลักษณะงาน ในแต่ละงานเจ้าภาพ อาจเชิญนักการเมืองหลายคนมาในงานเดียวกันก็ได้ 4.3) การจัดตงั้ หัวคะแนน (แกนจัดต้งั ) ผู้สมัคร ส.ส.ที่จะได้รับการเลือกตั้งทุกคนจะต้อง มีการจัดตั้งหัวคะแนน เพื่อช่วยหาเสียงซึ่งรวมถึง ส.ส.ปวีณ แซ่จึง ส.ส.วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ และ ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ 5) นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบเขต 3 สมยั (ไมน่ บั รวมเลอื กตง้ั ทว่ั ไป วนั ท่ี 6 มกราคม 2544 ที่ภายหลังนับคะแนนใหม่ได้นายจำนงค์ โพธิสาโร) ในการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ชนะการเลือกตั้ง ในเขต 4 ประกอบด้วย ต.ภูเงิน(กันทรลักษ์) อ.ศรีรัตนะ ทต.ศรรี ตั นะ อ.พยหุ ์ ทต.พยหุ ์ อ.เบญจลกั ษ์ อ.ไพรบงึ ทต.ไพรบงึ วธิ กี ารหาเสยี งทโ่ี ดดเดน่ ของส.ส.ววิ ฒั นชยั มลี กั ษณะสำคญั คอื 5.1) การตง้ั เวทปี ราศรยั นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ วิเคราะห์ว่าแต่เดิม ประชาชนจะเลือกตั้ง ส.ส.โดยยึดติดกับตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ หลังจาก ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ประชาชนชื่นชอบในนโยบาย 210
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 ของพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งผลให้เกิด กระแสความนิยมพรรคไทยรักไทย ในขณะที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เคย สังกัดพรรคไทยรักไทยได้ย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ปรากฏว่าส่วน ใหญ่จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง และคะแนนเสียงของผู้สมัครจาก พรรคไทยรักไทยก็ห่างจากผู้สมัครคนอื่น ดังคำสัมภาษณ์ว่า “พัฒนาการในการหาเสียงของ ส.ส.ศรีสะเกษ ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคปัจจุบัน เดิมทีประชาชนจะยึดตัวบุคคล เป็นหลัก แต่หลังจากที่ประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่มีการเลือกตั้งแบบใหม่ แบบเขตเดียว เบอร์เดียว ปรากฏว่านโยบายของพรรค ไทยรักไทยถูกนำไปปฏิบัติเกือบทุกข้อ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ทำให้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางภาคอีสานชื่นชอบในตัว พรรคและหัวหน้าพรรค ทำให้กระแสที่ยึดตัวบุคคลนั้นเป็นรอง.. วิธีการหาเสียงก็ใช้ระบบพรรคนำและชูหัวหน้า พรรคที่ประชาชนชื่นชม การเมืองในช่วงหลังปี 2544 เป็นต้นมา มันเริ่มเปลี่ยน จะเห็นได้ชัดเจนจากเครื่องชี้วัดคือ ในการ เลือกตั้งปี 2550 คนที่ออกจากพรรคไทยรักไทยจะตกเกือบ 80% ยกตัวอย่างง่ายๆ จังหวัดศรีสะเกษ คนที่เปลี่ยนพรรคไปมี 3 คน คือ นางมาลินี อินฉัตร นายมานพ จรัสดำรงนิตย์ นายพิทยา บุญเฉลียว สามคนร่วงหมดและคะแนนห่างมากด้วย..” (วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) 5.2) การจัดต้งั หัวคะแนน (แกนจดั ตัง้ ) ระบบ “หัวคะแนน” หรือเรียกชื่อใหม่ว่า “แกน จัดตั้ง” ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากที่เคยอาศัยกำนัน 211
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส ครู หรือผู้นำชุมชนที่มี ตำแหน่ง เปลี่ยนมาเป็นบุคคลในหมู่บ้านที่ไม่จำเป็นต้องมี ตำแหน่ง เช่น อาจจะเป็นหัวหน้าคุ้มประจำหมู่บ้าน ชาวบ้าน ธรรมดา หัวหน้าครอบครัวที่สามารถรวบรวมสมาชิกได้ครบ ตามจำนวน สมาชิกสภา อบต. สมาชิก อสม. หัวหน้าเยาวชน กลุ่มเยาวชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เป็นต้น กล่าวได้ว่า ระบบ หัวคะแนนสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องผ่านนายหน้าที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านอีกต่อไป แม้ว่าในบางพื้นที่จะยังคงให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวคะแนนอยู่ ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการปกครองส่วน ท้องถิ่น โดยเฉพาะในระดับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พบว่าในชุมชนระดับหมู่บ้านโดยส่วนใหญ่มักจะมีขั้วอำนาจ ที่สำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มนายก อบต. และสมาชิก อบต. ซึ่งทั้งสองกลุ่มมักคานอำนาจกัน โดย ส่วนใหญ่ทั้งสองกลุ่มจะเป็นหัวคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส.คนละ พรรคกัน ยกเว้นว่าในบางพื้นที่ที่ทั้งสองกลุ่มเป็นเครือข่าย เดียวกันหรือในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้สมัครคนเดียวที่จัดตั้ง ระบบหัวคะแนน ระบบหัวคะแนนหรือระบบแกนนำเหล่านี้จะคอย ทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อสมาชิกในกลุ่มเพื่อจูงใจให้เลือก ส.ส.ที่ ตนเป็นหัวคะแนนให้ รวมทั้งการเป็นผู้ประสานงานการจัดเวที ปราศรัย การประสานงานให้ผู้สมัคร ส.ส.ได้พบปะกับประชาชน เป็นต้น จำนวนของหัวคะแนน หรือแกนจัดตั้งในแต่ละ หมู่บ้าน ส.ส.วิวัฒนชัย อธิบายว่าถ้าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก 212
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 แกนนำจะมีประมาณ 15 คน หมู่บ้านขนาดกลางประมาณ 20-25 คน หมู่บ้านขนาดใหญ่ประมาณ 25-40 คน ส่วนแกนนำ ระดับตำบล ถ้าเป็นตำบลขนาดใหญ่ที่มี 18 หมู่บ้านขึ้นไป จะแบ่งแกนนำระดับตำบลออกเป็น 3-4 กลุ่ม ถ้าเป็นตำบล ขนาดเล็กที่มี 10-11 หมู่บ้าน จะแบ่งแกนนำเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีแกนนำประมาณ 3-5 คน แกนนำระดับตำบล จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน 6 ) นายบุญชง วีสมหมาย นายบุญชง วีสมหมาย หรือที่ชาวศรีสะเกษเรียกอีก อย่างว่า “อาเจ๊ก” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการกีฬาและ การศึกษาของจังหวัดศรีสะเกษ นายบุญชง วีสมหมาย ได้รับ การเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้งหมด 7 สมัย เสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2546 วิธีการหาเสียงที่โดดเด่นของนายบุญชง คือ การสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และกิจกรรมของ ชุมชน ในช่วง พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา นักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษพยายามใช้กีฬาเป็นสื่อในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตัวเองมากยิ่งขึ้น อาทิ การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เอฟซี หรือการสนับสนุนกีฬาในระดับชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะ นายบุญชง วีสมหมาย ผู้ก่อตั้งสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด ศรีสะเกษ (สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) และเป็น ผู้ผลักดันให้มีการก่อตั้งวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ โดยใน พ.ศ. 2519 ขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน 213
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ได้เข้าพบอธิบดีกรมพลศึกษา เพื่อ ติดต่อประสานงานและยืนยันหลักการที่จะให้มีการตั้งวิทยาลัย พลศึกษาจังหวัดศรีสะเกษขึ้น จากนั้นได้นำเรื่องเสนอต่อ นายกรี รอดคำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา กรมพลศึกษาได้ส่งนายปรีดา รอดโพธิ์ทอง และนายสุวิทย์ วิสุทธิสิน มาสำรวจที่ดินบริเวณโนนหนามแท่งและให้ความเห็น ว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเหมาะสมที่จะตั้งวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้นายบุญชง ยังเป็นผู้ผลักดันให้มี การจัดตั้งสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ ใน พ.ศ. 2542 เพื่อทำการ แข่งขันรายการไทยแลนด์โปรวินเชี่ยล ลีก โดยมี นายบุญชง วีสมหมาย เป็นประธานสโมสร ต่อมาสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ (เอฟซี) หรือสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ได้สิทธิ์ เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ (ไทยพรีเมียร์ลีก) ในช่วง พ.ศ. 2553 – 2554 โดยมีนายธเนศ เครือรัตน์ เป็นประธานสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษจนถึง พ.ศ. 2553 นายสรศาสตร์ ศรีธัญรัตน์ เป็นผู้จัดการทีม นายสมบัติ เกียรติสุรนนท์ เป็นผู้จัดการทั่วไปและเป็นนายกสมาคมกีฬา จังหวัดศรีสะเกษ (สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี, 2553) นอกจากนี้ นายบุญชง วีสมหมาย ยังมีบทบาทสำคัญใน การผลักดันให้มีการก่อตั้งสถาบันราชภัฏศรีสะเกษขึ้น โดยเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2537 นายบุญชง ได้มีหนังสือถึงผู้ว่า ราชการจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง ขอจัดตั้งสถานศึกษาระดับ อุดมศึกษา โดยใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์บริเวณโนนบักบ้า ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2539 นายบุญชง มีหนังสือถึง 214
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 - 2554 กระทรวงศึกษาธิการขอจัดตั้งสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา (สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ) และวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 กระทรวงศึกษาธิการออกหนังสือ ที่ ศธ 0335/18506 ถึง สำนักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งสถาบัน ราชภัฏเพิ่มเติม และคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการจัดตั้ง สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2540 โดย ใน พ.ศ. 2554 มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษเปิดการเรียนการ สอนทั้งหมด 27 โปรแกรมวิชา (มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, 2555) นายบุญชง วีสมหมาย ยังเป็นผู้สนับสนุนนักกีฬาของ จังหวัด อาทิ วันดี คำเอี่ยม นักกีฬายกน้ำหนักหญิง รุ่น 58 กิโลกรัม ประสบความสำเร็จได้รับเหรียญทองแดงในการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ 7) นางสุนีย์ อินฉัตร นอกจากการสนับสนุนด้านกีฬาและการศึกษาแล้ว นักการเมืองบางคนใช้วิธีการทำบุญบริจาคตามวัดและสถาน ปฏิบัติธรรมต่างๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงและความรู้จักมักคุ้น ก่อน จะลงสมัครรับเลือกตั้ง อาทิ นางสุนีย์ อินฉัตร และนางมาลินี อินฉัตร กรณีนางสุนีย์ อินฉัตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “คุณนาย สุนีย์ อินฉัตร” เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวจังหวัดศรีสะเกษ ในช่วง พ.ศ. 2533 จากการตระเวนทำบุญทอดกฐินตามวัดประจำ หมู่บ้านในแถวพื้นที่ อ.ปรางค์กู่ อ.ขุขันธ์ อ.วังหิน และ อ.อุทุมพรพิสัย โดยแต่ละปีจะกำหนดจำนวนวัดในการทำบุญ ทอดกฐินไม่ต่ำกว่า 60 วัด หมุนเวียนไม่ซ้ำกัน ในการทำบุญ แต่ละครั้งจะมีชาวบ้านผู้สูงอายุเข้าร่วมกิจกรรมทำบุญและเปิด 215
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ โรงทาน จนเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในพื้นที่ ดังคำสัมภาษณ์ของ นายธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ อดีตกำนันตำบลกู่ อ.ปรางค์กู่ ผู้เคยรับเป็นธุระจัดหาวัดในการทำบุญให้นางสุนีย์ ว่า “คุณนายสุนีย์ เริ่มเข้ามาในลักษณะของการทำบุญ คุณนายสุนีย์ได้ไปแก้บนในเรื่องการสู้คดีความ พอสู้คดีชนะ ก็แก้บนโดยการทำบุญ ทอดกฐิน 60 วัด ตามคำแนะนำของ พระที่ท่านนับถือซึ่งเป็นคนศรีสะเกษ พอคุณนายสุนีย์ชนะคดี เรื่องสนามกอล์ฟก็ขายเพื่อทำบุญทอดกฐิน 60 วัด สำหรับผม ก็ส่วนหนึ่งที่เขามาบอกให้หาวัดที่ปรางค์กู่ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ กลัวเขามาหลอก แต่ก็มีคนบอกว่าเขาไม่ได้มาเป็นคณะใหญ่ๆ จะมาแค่ 4-5 คนเอง ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ผมก็เลยประสาน เจ้าคณะอำเภอ ประสานพระ หาวัดให้ 5-6 วัด พอถึงเวลา ก็มาจริง ทอดที่วัดบ้านกะดึ ต.กู่ เป็นวัดแรก ท่านก็มีเงินถวาย วัดห้าหมื่น พอชาวบ้านเห็นคนใจบุญมาก็แห่มาตามท่าน พอมาปีที่สองท่านบอกจะทอดผ้าป่าอีก 60 วัด ทีนี้ทุกคนฮือฮา เลย” (ธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ, สัมภาษณ์, 19 มีนาคม 2551) ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่า จุดอ่อนของกลุ่ม “คุณนายสุนีย์” คือ การไม่ได้อยู่ประจำในเขตพื้นที่ แม้ว่าจะลงทุนสร้างบ้านหรือ โรงทานไว้ในเขต อ.ปรางค์กู่ อ.วังหิน อ.ขุขันธ์ ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ อยู่ประจำในพื้นที่เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าพบเพื่อขอความ ช่วยเหลือได้ง่ายซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของนักการเมืองใน อุดมคติของชาวบ้าน การขาดความต่อเนื่องในการลงพื้นที่ ขาดความเข้าใจถึงลักษณะสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แท้จริง ความยุ่งยากในการ “เข้าถึง” ของประชาชน ความขัดแย้งกับ 216
นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 กลุ่มการเมืองอื่นๆ ปัญหาความครอบคลุมของฐานเสียง และ การเปลี่ยนไปสังกัดพรรคที่ประชาชนไม่ชื่นชอบ ถือเป็นจุดอ่อน ที่สำคัญที่ทำให้ไม่ได้รับการเลือกตั้งในช่วงหลังทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ตารางที่ 27 สรุปรปู แบบวิธีการหาเสียงของนักการเมือง ในจังหวัดศรีสะเกษแยกเป็นรายบุคคล รปู แบบวิธกี ารหาเสียง ลำดบั ท ี่ รายช่ือตัวอย่าง การจัดตั้งหัวคะแนน (แกนจัดตั้ง) นักการเมอื งถ่นิ เน้นการปราศรัยหาเสียง จังหวัดศรีสะเกษ แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ /ขบวนรถแห่ การลงพื้นที่โดยสม่ำเสมอ เน้นการสนับสนุนด้านกีฬา กิจกรรมชุมชน การ ูชความเป็นคนในพื้นที่ 1 ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ✓ ✓ ✓ 2 ธเนศ เครือรัตน์ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 3 กุเทพ ใสกระจ่าง ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 4 ปวีณ แซ่จึง ✓ ✓ ✓ ✓ 5 วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ✓ ✓ ✓ ✓ 6 บุญชง วีสมหมาย ✓ ✓ ✓ ✓ 7 สุนีย์ อินฉัตร ✓ ✓ ✓ 217
นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวโดยสรุป รูปแบบวิธีการหาเสียงของนักการเมือง คนสำคัญของจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งประกอบด้วย นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษหลายสมัย และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุขและอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษหลายสมัย และ โฆษกพรรคพลังประชาชน นายปวีณ แซ่จึง ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 จังหวัดศรีสะเกษ นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 3 จังหวัดศรีสะเกษ นายบุญชง วีสมหมาย อดีต ส.ส. ส.ว. ศรีสะเกษ และนางสุนีย์ อินฉัตร ตามลำดับ รูปแบบการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศใช้ทั้ง วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และรูปแบบที่ผิดกฎหมาย แต่ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการถูกฟ้องร้องตามกฎหมาย ผู้วิจัย ขอนำเสนอวิธีการหาเสียงเฉพาะรูปแบบที่สามารถเปิดเผยได้ ของผู้สมัคร ส.ส. แต่ละบุคคลเท่านั้น ส่วนรูปแบบการหาเสียงที่กระทำโดยผิดกฎหมาย หรือ วิธีการแบบใต้ดิน โดยเฉพาะการซื้อเสียง จัดเลี้ยง แจกสิ่งของ หรือกระทำการผิดกฎหมายรูปแบบอื่นๆ ผู้วิจัยจะนำเสนอเป็น ภาพรวมไว้ในส่วนของบทวิเคราะห์ในบทที่ 5 ซึ่งจะไม่ระบุว่า เป็นผู้สมัครคนใด ในด้านรูปแบบการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยส่วนใหญ่มักใช้หลายวิธีประกอบกัน แตล่ ะคนจะมีกลยทุ ธ์ และการวางแผนเชิงยทุ ธศาสตรท์ ่ีแตกตา่ ง กันไป ต่างฝ่ายต่างวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ประเมินฐาน 218
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 คะแนนเสียงอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่จะมีความเข้มข้น ความรุนแรงของการแข่งขันที่แตกต่างกัน ซึ่งระดับความรุนแรง ในการแข่งขันส่งผลต่อรปู แบบ วิธีการหาเสียงในแต่ละพื้นที่ด้วย รูปแบบวิธีการหาเสียงที่สำคัญของผู้สมัคร ส.ส. จังหวัด ศรีสะเกษ คือ 1) การจัดต้ังหัวคะแนน (แกนจัดตั้ง) กล่าวได้ว่า นักการเมืองทุกคนที่หวังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งต้องใช ้ วิธีการนี้ทุกคน โดยเฉพาะการเลือกตั้งยุคสมัยใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา 2) การปราศรัยหาเสียง นับตั้งแต่การเกิดปรากฎ การณ์ทักษิณ ชินวัตรในจังหวัดศรีสะเกษ ขึ้นมา นักการเมือง ที่สังกัดกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกปราศรัยหาเสียง เพื่อนำ เสนอนโยบายและผลงานของพรรค ซึ่งชาวบ้านเองก็เริ่มให้ ความสำคัญกับพรรคและนโยบายของพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปัจจัยชี้ขาดอย่างหนึ่งที่จะทำให้ชนะหรือแพ้การเลือกตั้ง ในครั้งนั้นๆ การสังกัดพรรคอื่นๆ หากไม่ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และไม่ทุ่มทรัพยากรในการหาเสียงอย่างแท้จริงแล้ว โอกาสแพ้ ผู้สมัครจากกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ มีสูงมาก ซึ่งในการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ผลปรากฏว่า พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้ง 7 คน จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 9 คน และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้รับการเลือกตั้ง 7 คน จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 8 คน เป็นต้น 219
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนวิธีลงพื้นปราศรัยตามหมู่บ้านหรือตำบลต่างๆ นั้น จะเริ่มตั้งแต่เวลา 7.00 น. ถึงเวลา 23.00 น. ทำติดต่อกัน ทุกวันไม่ได้พัก โดยจะเริ่มหาเสียงตั้งแต่วันลงรับสมัคร จนถึง ก่อนวันเลือกตั้ง รวมระยะเวลาประมาณ 60 วัน หรืออย่างต่ำ 45 วัน ขึ้นอยู่กับการกำหนดวันรับสมัครและวันเลือกตั้งของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หากรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการ สมัครแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ผู้สมัครจะกระจายปราศรัย เฉพาะเขตของตนเอง (เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540) แต่ถ้าหากกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดให้ แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สามคน หรือที่เรียกว่า เขตเดียวเรียงเบอร์ ผู้สมัครทั้งสามคนจะรวมตัว กันปราศรัยหาเสียงพร้อมกัน และมีขบวนรถแห่แบบคาราวาน 3) แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ ขบวนรถแห่ และส่ือ อื่นๆ การใช้สื่อโฆษณาหาเสียงรูปแบบต่างๆ ถือเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่สามารถพบได้อยู่ทั่วไปในการหาเสียงแต่ละครั้ง รูปแบบ วิธีการ อุปกรณ์และเครื่องมือก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ตามยุคสมัย ในอดีตการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ของจังหวัด ศรีสะเกษ เริ่มจากการใช้สื่อโฆษณาแบบง่ายๆ ด้วยจำนวนเงิน ไม่มากนัก อาทิ การใช้แผ่นโปสเตอร์โฆษณาแบบสีขาวดำนำไป ติดตามหมู่บ้าน การทำให้ชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปรากฏในที่สาธารณะ ประโยชน์ เช่น ศาลาริมทาง โอ่งน้ำ อ่างเก็บน้ำ การจัดงาน มหรสพ การจัดฉายหนังกลางแปลงก่อนจะแนะนำตัวผู้สมัคร จนถึงยุคปัจจุบันมีการใช้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ การใช้รถแห่ เป็นขบวนยาวหลายสิบคันรถในลักษณะขบวนคาราวานโดยมี การโชว์ตัวผู้สมัครและทีม ส.ส.ของพรรคเพื่อปลุกเร้าความ 220
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่ปี 2476 - 2554 สนใจจากประชาชน การจัดตั้งทีมงานแจกแผ่นป้ายโฆษณา แจกเสื้อทีมกีฬาโดยมีชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปักไว้ที่เสื้อ ใช้สื่ออินเตอร์ เน็ต สื่อวิทยุชุมชน แจกคำปราศรัยแนะนำตัวผ่านแผ่นซีดีรอม เป็นต้น 4) การลงพื้นที่โดยสม่ำเสมอ การลงพื้นที่เป็น สิ่งจำเป็นสำหรับผู้สมัคร ส.ส.ในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งในช่วงที่ไม่ ได้ประชุมสภาหรือประชุมพรรคที่กรุงเทพฯ ก็จะต้องลงพื้นที่ พบปะชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชุมชน มีงานบุญ งานบวช งานศพ งานแต่งงาน หรืองานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่พบปะสร้างความคุ้นเคย การนำเสนอ แนะนำตัวเอง และสร้างความเป็นกันเองกับชาวบ้าน โดยเจ้าภาพมักจะเชิญ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นมาเป็นประธานในงานเพื่อเป็น เกียรติแก่เจ้าภาพ หากลงพื้นที่ประจำ ประชาชนรู้จักมักคุ้น ช่วงหาเสียงก็จะง่ายกว่าคนที่ไม่เคยลงพื้นที่ จำนวนเงินช่วยงาน เจ้าภาพโดยส่วนใหญ่จะใส่ซองละ 1,000 บาท หรือมากกว่านั้น ตามลักษณะงาน ในแต่ละงานเจ้าภาพอาจเชิญนักการเมือง หลายคนมาในงานเดียวกันก็ได้ 5) การสนับสนุนด้านกีฬา กิจกรรมชุมชน ที่เด่นๆ ได้แก่ นายบุญชง วีสมหมาย ผู้ก่อตั้งสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด ศรีสะเกษ และเป็นผู้ผลักดันให้มีการก่อตั้งวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้นายบุญชง ยังเป็นผู้ผลักดันให้มี การจัดตั้งสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ ใน พ.ศ. 2542 เพื่อทำการ แข่งขันรายการไทยแลนด์โปรวินเชี่ยล ลีก โดยมี นายบุญชง วีสมหมาย เป็นประธานสโมสร ต่อมาสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ 221
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ (เอฟซี) หรือสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ได้สิทธิ์ เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ (ไทยพรีเมียร์ลีก) ใน ช่วง พ.ศ. 2553 – 2554 โดยมีนายธเนศ เครือรัตน์ เป็นประธาน สโมสรฟตุ บอลศรสี ะเกษจนถงึ พ.ศ. 2553 นอกจากน้ี นายบญุ ชง วีสมหมาย ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีการก่อตั้ง สถาบันราชภัฏศรีสะเกษขึ้น และยังเป็นผู้สนับสนุนนักกีฬาของ จังหวัด อาทิ วันดี คำเอี่ยม นักกีฬายกน้ำหนักหญิง รุ่น 58 กิโลกรัม ประสบความสำเร็จได้รับเหรียญทองแดงในการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ต่อมานายธเนศ เครือรัตน์ พยายามสืบทอดเจตนารมณ์ของ ส.ส.บุญชง วีสมหมาย อดีต ส.ส. และ ส.ว.ผู้ล่วงลับ นอกจากการสนับสนุนด้านกีฬาและการศึกษาแล้ว นักการเมืองบางคนใช้วิธีการทำบุญบริจาคตามวัดและสถาน ปฏิบัติธรรมต่างๆ การเปิดโรงทาน เพื่อสร้างชื่อเสียงและความรู้ จักมักคุ้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้ง อาทิกรณีนางสุนีย์ อินฉัตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “คุณนายสุนีย์ อินฉัตร” 222
บ5ทท ่ี บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและ ความสัมพันธ์ ในบทนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์นักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษ เนื้อหาประกอบด้วย ส่วนแรก ภาพรวมรูปแบบ วิธีการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่สอง เครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษ แยกเป็น 2 หัวข้อ คือ การสืบทอดตระกูลหรือกลุ่มทางการเมือง และความสัมพันธ์ ระหว่างนักการเมืองระดับชาติกับนักการเมืองระดับท้องถิ่น และส่วนที่สาม ความแตกต่างของนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ กับจังหวัดอื่นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 1. ภาพรวมรูปแบบวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง ของนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของนักการเมืองจังหวัด ศรีสะเกษ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2476 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมีพัฒนาการตามลักษณะ พลวัต(dynamic) ของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง รูปแบบวิธีการรณรงค์หาเสียงได้เปลี่ยนแปลงไปตาม ยุคสมัยเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย กลยุทธ์การหาเสียงมีวิธีการ จูงใจที่สลับซับซ้อน แยบยลมากขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบวิธีการหาเสียงของนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งวิธีการที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ 1.1 การแจกเงินและสิ่งของ การแจกเงินและสิ่งของเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เลือกตน กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับการเลือกตั้ง ส.ส.ตง้ั แตเ่ รม่ิ แรกและเกดิ ขน้ึ อยา่ งแพรห่ ลาย มกี ารเปลย่ี นแปลง รูปแบบและวิธีการตามยุคสมัยเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย แต่ละ จังหวัดแต่ละพื้นที่ก็จะมีรูปแบบวิธีการที่แตกต่างกันไป เฉพาะ ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า สิ่งของที่ผู้สมัคร ส.ส. และ ทีมงานใช้แจกเพื่อจูงใจให้เลือกตั้ง มักจะเป็นของอุปโภคบริโภค ขั้นพื้นฐานของชาวบ้าน อาทิ ยาทัมใจ ยาแก้ปวด ดินสอ สมุด ไม้บรรทัด บุหรี่ หมากพลู รองเท้าแตะ พริก กะปิ น้ำปลา ปลาทู ปลาเค็ม เสื้อผ้า ปลากระป๋อง ข้าวสาร นาฬิกา ปฏิทิน 224
บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ที่มีภาพผู้สมัคร ส.ส. กระเป๋า กล้องข้าวนักเรียน ตุ่มน้ำ เบียร์ สุรา น้ำอัดลม เครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น ต่อมาการหาเสียงโดยวิธีการแจกสิ่งของเริ่มมีน้อยลง โดยปรับเปลี่ยนมาซื้อเสียงด้วยเงินสดแทน เริ่มตั้งแต่เหรียญ 5 บาท ธนบัตร 10 บาท 20 บาท 40 บาท 50 บาท 60 บาท 100 บาท 200 บาท 300 บาท 400 บาท 500 บาท หรือมากกว่า นั้น จนเป็นเสมือนวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาหลายสิบปี จนเกิดคำกล่าวว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” “ใบแดงไม่มา ไม่กา ให้ใคร” (นิยม รักษาขันธ์ และสมชาย พรหมโคตร (บก.), 2548, น. 156) “ส.ส.ซื้อเสียง” “ส.ส.หมาหลง” เป็นต้น กรณีจังหวัดศรีสะเกษ เคยได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น ถิ่นกำเนิดของ “ส.ส.ปลาทูเค็ม” ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2512 หลังจากจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีผู้สืบทอด อำนาจจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศใช้กฎหมาย รัฐธรรมนูญและเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีนักการเมือง จากส่วนกลางเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัด ศรสี ะเกษดว้ ย (คณะกรรมการจดั งานเชดิ ชนู กั สเู้ พอ่ื ประชาธปิ ไตย, 2543, น. 40) และในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ได้มีผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่งนำปลาทูขึ้นขบวนรถไฟไปแจกให้ชาวบ้านที่อำเภอ ราษีไศล ดังคำสัมภาษณ์ของ นายมนตรี ไสยสมบัติ อดีต ประธานสภาจังหวัดศรีสะเกษ ผู้คลุกคลีอยู่วงการเมืองจังหวัด ศรีสะเกษในอดีต ว่า 225
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383