Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Description: เล่มที่31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 4) ความสัมพันธ์นี้ ประกอบด้วยบุคคลเพียงสองคน ดังนั้นผลประโยชน์ที่แลกเปลี่ยนกัน จึงเป็นผลประโยชน์ที่ เฉพาะเจาะจงเป็นการส่วนตัว เช่น การเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจที่จะให้ผลประโยชน์เฉพาะ อย่างแก่พ่อค้าได้ และพ่อค้าก็จะให้สิ่งของหรือเงินเป็นการ แลกเปลี่ยนต่อการได้รับสิทธิบางอย่างจากเจ้าหน้าที่นั้น ในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ก่อให้เกิด ความสัมพันธ์ทางการเมือง ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจาก โครงสร้างทางการเมืองแบบกลุ่ม กล่าวคือ 4.1) ระบบนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่เพียงฝ่ายเดียว (ผู้อุปถัมภ์) 4.2) การก่อตัวและโครงสร้างของระบบ จะมีผู้นำ เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่กลุ่มผู้นำเป็นคนที่ทำให้เกิดความ สัมพันธ์ 4.3) ความสัมพันธ์ในระบบนี้ เป็นความสัมพันธ์ ในแนวดิ่ง และเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ในความ สัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์และลูกน้องนี้ ถ้าจะมีความรู้สึกร่วมกัน ระหว่างลูกน้อง ก็เป็นเพราะว่าเขาต่างถือว่ามีนายคนเดียวกัน 4.4) ผลประโยชน์ที่ทำให้ผู้อุปถัมภ์และลูกน้อง มีความสัมพันธ์ต่อกัน เป็นความสัมพันธ์เฉพาะเจาะจงมากกว่า ผลประโยชน์ร่วมแบบกลุ่ม วัตถุประสงค์ที่ผู้อุปถัมภ์และลูกน้อง คงความสัมพันธ์ต่อกันไว้ ได้แก่ การแสวงหาผลประโยชน์ของ แต่ละคน 26

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง 4.5) ผลประโยชน์ที่แต่ละคนแสวงหา ผันแปรไปตาม ความแตกต่างทางฐานะและอำนาจ เช่น ผู้อุปถัมภ์ต้องการ อำนาจ และชื่อเสียงเกียรติยศ ส่วนลูกน้องต้องการความ คุ้มครองและเงิน เป็นต้น 4.6) สายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับ ลูกน้องแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการตอบแทนซึ่งกันและกัน โดย แต่ละฝ่ายต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เขายังมีค่าแก่ การที่เป็นผู้อุปถัมภ์หรือลูกน้อง 4.7) ความสัมพันธ์แบบนี้ มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยน- แปลงค่อนข้างสูง และไม่มั่นคง 4.8) ความสัมพันธ์แบบนี้ มักประกอบไปด้วย การมี ลูกน้องมากมายหลายชั้น ตั้งแต่ชั้นที่ใกล้ชิดผู้อุปถัมภ์มากที่สุด ไปจนถึงผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันเพียงเล็กน้อย ลูกน้องที่ใกล้ชิด เจ้านายมากก็มักจะมีลูกน้องของตนเองด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็น ผู้อุปถัมภ์ย่อยๆ เช่นกัน ส่วน Barend J. Terwiel (1984) ได้นำเสนอความ สัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ไม่ใช่เรื่องของความถูกต้องหรือไม่ถูกกฎหมาย เมื่อผู้อุปถัมภ์ หรือผู้ถูกอุปถัมภ์ไม่ได้ทำตามหน้าที่ก็ไม่สามารถนำมาลงโทษ ตามกฎหมายได้ โดยอุดมการณ์แล้ว ผู้อุปถัมภ์นั้นเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครอง ให้ความมั่นใจ และความเชื่อมั่นแก่ผู้ถูกอุปถัมภ์ และ ในขณะเดียวกันผู้ถูกอุปถัมภ์ก็ต้องซื่อสัตย์ เชื่อฟัง และให้ความ ช่วยเหลือผู้อุปถัมภ์โดยไม่ต้องขอร้อง รูปแบบของผู้อุปถัมภ์กับ ผู้ถูกอุปถัมภ์ มีการคบหากัน และมีผลประโยชน์ให้กันและกัน 27

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ไม่เหมือนแบบแผนของลักษณะของครอบครัวขยายของไทย ความสัมพันธ์ในระบบเจ้านาย ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ใน ระเบียบ กฎเกณฑ์ งานเท่านั้น แต่ยังได้รับการคาดหวังจากคน ภายนอกที่จะได้รับความสัมพันธ์ เช่น ในระบบราชการ และ หวังว่าจะได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้อุปถัมภ์ เมื่อผู้อุปถัมภ์ ต้องการจะช่วยผู้ใต้อุปถัมภ์ของเขา คนในส่วนอื่นก็จะถูกลืมไม่ ได้รับการดแู ล ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ มองว่า ระบบอุปถัมภ์เป็นผล มาจากความเชื่อของคนไทยในเรื่องบุญกรรมและเรื่องตายแล้ว เกิดใหม่ เช่น ความเชื่อที่ว่าผู้ที่เกิดมาท่ามกลางเงินทองมี ทรัพย์สิน อำนาจ วาสนา เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกันด้วยเหตุที่บุญบารมีที่ได้สะสมไว้แต่ ปางก่อนแตกต่างกัน ทำให้คนไทยยอมรับความแตกต่างใน ฐานะตำแหน่งที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติและ ธรรมดา และยึดถือความแตกต่างเป็นหลักสูงต่ำของฐานะ ตำแหน่งในการจัดระเบียบทางสังคม เมื่อมีการยึดถือความแตกต่างในระดับสูง-ต่ำของฐาน ตำแหน่งเป็นหลัก เราจึงพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ แตกต่างกันในฐานะตำแหน่งเป็นแบบที่มีความสำคัญยิ่งในการ จัดระเบียบทางสังคม ในด้านพฤติกรรมความสัมพันธ์ที่สำคัญ และเห็นได้ง่ายก็คือ ความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ - ผู้น้อย หรือ ความสัมพันธ์แบบลูกพี่ - ลูกน้อง ความสำคัญแบบดังกล่าว เป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคใน การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ในด้าน 28

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง เศรษฐกิจการเมืองหรือสังคมก็ตาม ซึ่งความสัมพันธ์ในลักษณะ นี้เองที่เราเรียกว่า ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์เป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่งที่ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีทรัพยากรต่างกัน ทรัพยากรในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงอย่าง อื่นๆ ซึ่งอาจเป็นอำนาจทางการเมือง สิทธิพิเศษทางสังคม เป็นต้น ผู้อุปถัมภ์อยู่ในฐานะที่เป็นเจ้าของทรัพยากรที่มีอยู่ จำกัด และเป็นที่ต้องการของผู้รับอุปถัมภ์ ผู้รับอุปถัมภ์มักจะ ทราบว่าในการเข้าเป็นผู้รับอุปถัมภ์หรือเป็นลูกน้องของใคร ตนต้องการอะไร เช่น การคุ้มครองทางการเมืองหรือทางสังคม หรือความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือฐานะทาง เศรษฐกิจ การที่ผู้รับอุปถัมภ์ทราบก็โดยเหตุที่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ ตนต้องการและมักจะเป็นสิ่งที่น้อยคนจะสามารถให้แก่ตนได้ แต่ผู้รับอุปถัมภ์จะไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่ชัดเลยว่า ผู้อุปถัมภ์จะให้ตนหรือไม่และเพียงใด นอกจากนั้นแล้ว ผู้รับ อุปถัมภ์ซึ่งเรียกว่า “ลูกน้อง” จะไม่ทราบแน่ชัดว่า ผู้อุปถัมภ์ซึ่ง เรามักเรียกว่า “เจ้านาย” หรือ “ลูกพี่” หรือ “เฮีย” จะต้องการ ให้ตนทำอะไรให้บ้าง เพื่อที่ตนจะได้ในสิ่งที่ตนประสงค์ เช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่สร้างความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์กับ ผู้บังคับบัญชาเพื่อให้ได้รับความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เป็น พิเศษ อาจจะต้องทำอะไรมากกว่าหน้าที่ในการงาน เช่น อาจ เข้าไปรับใช้งานในบ้านของเจ้านายและอื่นๆ อีก เป็นต้น หรือ ลูกไร่ลูกนากับเจ้าของที่ดินแบบอุปถัมภ์อาจต้องสนับสนุนลูกพี่ 29

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าของที่ดินในทางการเมือง เช่น ลงคะแนนเสียงเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยหาเสียงให้ หรืออาจถึงขนาดต้องกำจัดศัตรู คู่แข่งของผู้อุปถัมภ์ก็ได้ จะเห็นได้ว่าในการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้อุปถัมภ์และ ผู้รับอุปถัมภ์ ผู้อุปถัมภ์มีส่วนได้เปรียบอยู่ในเนื้อแท้ของความ สัมพันธ์ (คือมีฐานอำนาจในการต่อรองสูงกว่า) ทั้งนี้เพราะ ผู้อุปถัมภ์จะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีทรัพยากรมากเพียงพอที่จะ จ่ายให้ลูกน้องจนพอใจได้ ดังนั้นผู้อุปถัมภ์จึงเป็นผู้เลือกว่าจะ ให้การอุปถัมภ์แก่ใครและเป็นผู้กำหนดว่าผู้รับอุปถัมภ์ควรให้ บริการอะไรแก่ตน การที่ผู้อุปถัมภ์จะได้เปรียบมากน้อยเพียงไร หรือผู้รับ การอุปถัมภ์จะถูกเอาเปรียบมากน้อยเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และอุปทานของสิ่งของที่ผู้รับอุปถัมภ์ประสงค์ประการ หนึ่ง และอุปสงค์อุปทานของสิ่งที่ผู้อุปถัมภ์ต้องการจากผู้รับ อุปถัมภ์ประการหนึ่ง เช่น ถ้าหากมีแหล่งเงินกู้มากมายและมี เงินกู้เพียงพอ ในความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเจ้าของเงิน กู้กับลูกหนี้ ผู้รับอุปถัมภ์ก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีจาก ผู้อุปถัมภ์ (เพื่อดึงดูดผู้รับอุปถัมภ์ไว้) หรือกรณีการเลือกตั้งผู้รับ อุปถัมภ์อาจได้รับการปฏิบัติต่ออย่างดี เพราะคะแนนเสียงของ เขามีความสำคัญต่อผู้อุปถัมภ์ เป็นต้น โดยทว่ั ไปจะเหน็ ไดว้ า่ ความสมั พนั ธแ์ บบอปุ ถมั ภใ์ นทอ้ งถน่ิ ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะ หลังๆ ได้ ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ตามความหมายในอุดมคติ คือ การที่ผู้อุปถัมภ์คอยปกป้องค้ำจุนผู้รับอุปถัมภ์ ผู้รับอุปถัมภ์ 30

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำงานรับใช้ให้บริการแก่ผู้อุปถัมภ์เป็นการแสดงความ กตัญญู คำสามัญใช้เรียกผู้อุปถัมภ์(patron) และผู้รับ อุปถัมภ์(client) ก็เป็นคำในระบบครอบครัว คือ “ลูกพ่ี” และ “ลูกน้อง” ดังนั้น บทบาทในอุดมคติของผู้อุปถัมภ์(patron) กับ ผู้รับอุปถัมภ์ (client) ก็คือ บทบาทของบิดากับบุตร หรือพี่กับ น้องนั่นเอง โดยคำจำกัดความตามระบบอุปถัมภ์ ผู้ได้ประโยชน์มาก คือผู้อุปถัมภ์ แต่ผู้อุปถัมภ์จะต้องรับผิดชอบต่อการกินดีอยู่ดี ของผู้รับอุปถัมภ์ด้วย กฎแห่งศีลธรรมของระบบอุปถัมภ์คือ การตอบแทนซึ่งกันและกันเป็นหลักสำคัญ แต่ปัจจุบันนี้ การเอารัดเอาเปรียบผู้ที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่ามีมากขึ้น ผลที่จะ เกิดตามมาก็อาจเป็นการรวมตัวของชนชั้นผู้รับอุปถัมภ์เพื่อ ช่วยเหลือตนเอง ซึ่งมีลักษณะของการเกิดชั้นทางสังคม ลักษณะของความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ หากเราต้องการที่จะวิเคราะห์โครงสร้างที่ใหญ่กว่า สายสัมพันธ์เพียงสายเดียวระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ ซึ่งรวมเอาสายสัมพันธ์เช่นที่กล่าวข้างต้นหลายสายด้วยแล้วจะ ต้องพิจารณาคำศัพท์สองคำที่สำคัญ (เจมส์ ซี สกอตต์, 2545, น. 57-58) ประการแรก เมื่อเราพูดถึงผู้ติดตามที่ใกล้ชิดของ ผู้อุปถัมภ์ในลักษณะของผู้รับอุปถัมภ์ที่ผูกพันกับเขาโดยตรง เราจะเรียกว่าผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์แบบกลุ่ม (patron-client cluster) 31

หากเราตองการที่จหะาวกเิ เครราาตะอ หงโ กคารรงทส่ีจระาวงทเิ คใี่ รหาญะหกโวคา รสงาสยรสา มั งทพใ่ีนั หธญเ พก ียวงาสสาายยเสดมัียพวรันะธหเวพาียงงผสู ายเดียวระหวางผู ภและผูรับออุปุปถถัมั ภภซแ่ึงลระวผมูรเับออาุปสถายัมสภัมซพ่ึงัรนวธมเชเอนาทสี่กาลยาสวัมขพาันงตธนเชหนลทาี่กยลสาาวยขดาวงยตแนลหวลจาะยตสอางยดวยแลวจะตอง าคําศพั ทส พอจิงนาคักราํกณทาร่ีสาเคาํมคือําศงัญถพั ่ิน(ทเจจสังมอหสวงัดคซศําี ทรสีสกส่ี ะอําเกคตษัญต ,(2เจ5ม4ส5, ซนี .ส5ก7อ-ต5ต8), 2545, น. 57-58) ประการแรกเมื่อเรปาพระดู กถางึ รผแูตรกดิ เตมาื่อมเทรา่ีใกพลดู ช ถิดึงขผอตู งิดผตอู าปุ มถทมั ่ีใกภลใ นชดิลกัขษองณผะูอ ขุปอถงัมผภูรับในอลุปักถษัมณภะทข่ี องผูรับอุปถัมภที่ กลyบัะrมaเขmีสสาวาiโdนยด)สคยลัมําตักผเcศดรพlษกูยเiพังeียรันพณnังวทียเธนัtรคแะทตกาpกขลงี่สจyาวบัอะมะrอมงมaเ่างขแทีศรmสีสส ขายีน ้ังวาูนi่วโยผdกสวนยดน)ายวอตู้อสคยยลาง้ัง์กคัมาํตุปผขกัแเศลรพำรบนอูษถพังียัศนุปาบาณัมทกเดถธงอัพระวทภตเมัอาาขพาท่ีจสจาภ์แยอิ่มแะอม์ทแงลผู่เทสจงแทรลูี่อสะดขาียนี่บะง้ั กุปงยผผกอสวุคไกาถวรูอตู้รดงยลบัคัามง้ับงดขุผมขแอเภลังอรยบนูอุป(นแีcยเุปบุปาาถดล้ีlกuดถอมัยะถsียวเัมาผภtพขาัมeจวภูรแrิ่มนแแับภ)แบผสจาลอลแบ์แูอดาะุปตดกะกุปงบผถยลไมเกถรูบดพััุมมงลบััมีสคดภปุมอิ่มภ(ังงาpแปุ(ิรนมแจacยบถาลี้ีlศtuาrสบมัมะoูนsกปผภnัมtยิดe-ูรกแกcพrัาบ)บlลล(iมันeอpแบาุ่มิดnุปaตกงธttถอ(ยล์ต(rccpยััุมมงollาuaคuูทภns(tมงsrpี่บแtoมe–atแุคบnerีศt)rคนบrcoูนล)–ปlnวยie-แรตกcาnตlลั้งiมteา่ิดnงtอ(cpยluaูทstr่ีบtoeุคnr)คล– pyramid) ลักษณะของทั้งสองแบบอาจแสดงได้ดังนี้ าพที่ 1 เปรแียผบนเแทภผยี านบพลภทกั า่ีษ1พณเปทะรสี่ ยี 1าบยเเสทปมั ยี รพบียันลบธกั ร ษเะทณบียบะบอสุปาลยถักสมั ัมษภพณนั ธะร สะบาบยอสุปัมถัมพภัน ธ์ระบบอุปถัมภ์ on-client cluPsatterron- client cluster Patron-client pyPraamtriodn-client pyramid ที่มา : เจมส์ ซี สกอตต์, 2545, การเมืองในระบบผู้อุปถัมภ์กับผู้รับอุปถัมภ์ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ใน อมรา จมส ซี สทกี่มพอาตงตศ: ,เาจ2พม5ส4ิช5 ญ,ซกี์ าแสรลกเมอะือตงปตใ,รน2ีชร5ะา4บ 5 บ,คผกุวอู าิุปนรเถทมัมรอื ภ์งพกใันนับรธผะุูร์บ(ับบบอผรปุ ูอรถุปณัมถภาัมแธภลิกก ะบัากรผา)รู ,เับปรอละปุ ่ียบถนบัมแภอปแุลปลงถะกัมาภรเ์ ป ล่ียนแปลง ราเธมิกือางรใ)น, เรอะท(เบบชา(บีนรยงอรตก.ณปุ ะา5ถวรา7เันมัธ)ม,ิกอภือกแาอง(รรกนใม)ุงนเ,.เฉ้วเทร5อียะ่พ7าเงบช)ใฯส,บตีย:กอ,าต สรปุ ะยใงุำถวนเนสทันัมอักพอภัมมพอฯ (รพก:ิมนาเส.พัฉนาํ5พีย์แนธ7งหกั)ศ์ใใ,่งพตานกจ,มิพรุฬแพใุงิชนาเนญแทลหอพวงแงมกฯตลจร:รุะฬาั้งณสาปาํจพล์มรนงะชีงหกั ศาเพาราปณวิมพคิท็พนมวุิชยินหญแหาหทา ลัแววงริทลจัยพ ใุะฬย.ันจ าปธขลุรัยงอีช.กางรณรคะมวุ นิบหทาบวริทพ ยนั าธลุ ัย. อุปถัมภ์ แต่เรายังต้องการวิเคราะห์สายสัมพันธ์คู่ตามแนวราบ เป็นบางครั้ง เช่น ระหว่างผู้อุปถัมภ์ 2 คน ที่มีฐานะใกล้เคียงกัน ที่ร่วมกันเป็นพันธมิตร ลักษณะของพันธมิตรดังกล่าวจะเป็น ฐานที่ทำให้เกิดกลุ่มแตกแยก (factions) ในการเมืองระดับ ท้องถิ่นได้ ท้ายที่สุดเครือข่ายของผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ (patron-client networks) จะไมไ่ ดม้ ศี นู ยร์ วมทบ่ี คุ คลใดบคุ คลหนง่ึ 32

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง (ego-focused) แต่หมายถึง รูปแบบทั้งหมดของสายสัมพันธ์ ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้รับอุปถัมภ์(รวมพันธมิตรของผู้อุปถัมภ์ ตามแนวนอนด้วย) ซึ่งเชื่อมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันใน อาณาเขตหรือชุมชนหนึ่งๆ กลุ่มผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ (cluster) เป็นวิธีการหนึ่ง ในหลายๆ ทางที่ประชาชนที่ไม่ได้เป็นญาติสนิทกันมาร่วมมือ กัน รูปแบบของการร่วมมืออื่นๆ ส่วนมากจะเกี่ยวพันกับการจัด ระเบียบองค์การที่มีการจัดประเภทของสายสัมพันธ์ (categorical ties) ทั้งที่เป็นรูปแบบที่เป็นประเพณี เช่น เชื้อชาติ ศาสนา หรือ วรรณะ และที่เป็นแบบสมัยใหม่ เช่น อาชีพหรือชั้นทางสังคม ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มต่างๆ ที่มีความแตกต่างด้านพื้นฐานทาง โครงสร้างและพลวัต ลักษณะแตกต่างที่สำคัญอื่นๆ ระหว่างกลุ่มประเภทอื่น กับกลุ่มผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์จะเป็นไปตามหลักของการ จัดตั้งกลุ่มโดยเฉพาะ ดังที่ปรากฏในงานของ คาร์ล แลนเด (Carl Lande) ดังนี้ (เจมส์ ซี สกอตต์, 2545, น. 59-60) 1) เป้าหมายของสมาชิก ผู้รับอุปถัมภ์มีเป้าหมายเฉพาะ ที่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีต่อหัวหน้า ในขณะที่กลุ่ม แยกประเภทมีเป้าหมายร่วมกันที่เกิดขึ้นจากการมีลักษณะ ร่วมกันบางประเภทที่ช่วยแยกให้แตกต่างไปจากสมาชิกของ กลุ่มอื่น 2) การปกครองตนเองของผู้นำ ผู้อุปถัมภ์มีสิทธิ์ในการ ปกครองตนเองสูงในการเลือกพันธมิตรและการตัดสินใจในเรื่อง ของนโยบายนานตราบเท่าที่เขาสามารถสนองตอบความ 33

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ต้องการพื้นฐานของผู้รับอุปถัมภ์ของตน ในขณะที่ผู้นำของกลุ่ม แยกประเภทจะต้องยอมรับผลประโยชน์รวมของกลุ่มที่เขาเป็น ผู้นำเป็นสำคัญ 3) เสถียรภาพของกลุ่ม กลุ่มผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ (patron-client cluster) มีพื้นฐานอยู่ที่สายสัมพันธ์ในแนวตั้งที่เปิด เฉพาะของกลุ่มนั้นๆ และที่สำคัญขึ้นอยู่กับความสามารถของ ผู้นำที่จะทำให้เกิดการขยายตัว หรือสลายตัวที่เกี่ยวเนื่องกับ ทรัพยากรที่เขามีอยู่ และขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะสนองตอบ ต่อข้อเรียกร้องของผู้อุปถัมภ์ได้ ในทางตรงข้ามกลุ่มแยก ประเภท (categorical group) มีพื้นฐานอยู่ที่คุณสมบัติร่วมกัน ของสมาชิกตามแนวนอน เพราะฉะนั้น การคงอยู่ของกลุ่มจึงไม่ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของหัวหน้า และจะยังคงขึ้นอยู่กับกิจกรรม หรือผลประโยชน์ (บ่อยๆ ครั้งในเรื่องนโยบาย) ร่วมกันของ สมาชิก 4) สว่ นประกอบของกลมุ่ กลมุ่ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ ละผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ พิจารณาจากการกำเนิดของกลุ่มจะมีแนวโน้มที่มีลักษณะ หลากหลายจากชั้นทางสังคมที่เข้าร่วมในกลุ่มมากกว่ากลุ่ม แยกประเภท ซึ่งการเกิดขึ้นอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะที่สมาชิกมี ร่วมกันอยู่ โดยคำจำกัดความผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์แบบ ปิรามิด จะรวมเอาคนที่มีความแตกต่างในการจัดฐานะตำแหน่ง ในขณะที่กลุ่มแยกประเภทอาจจะเป็นหรือไม่เป็นกลุ่มของคนที่ มีสถานภาพที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (homogeneous in status) 5) การร่วมมือของกลุ่ม ในความเป็นจริงกลุ่มผู้อุปถัมภ์ และผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (patron-client cluster) ไมใ่ ชก่ ลมุ่ (group) ทแ่ี ทจ้ รงิ 34

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งเราอาจเรียกไดว้ ่าเปน็ “ชดุ กจิ กรรม” (action set) ที่รวมกัน อยู่ได้เพราะความสัมพันธ์ในแนวตั้งกับหัวหน้าเท่านั้น สาย สัมพันธ์ที่หัวหน้าทำให้เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ บริวารหรือผู้ติดตาม (followers) จะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรง ต่อกันและกัน และโดยแท้จริงแล้วอาจจะไม่รู้จักกันเลย ในทาง ตรงข้ามในกลุ่มแยกประเภทสมาชิกมักจะเชื่อมโยงกันตามแนว นอนกับระดับที่เราจะเรียกว่ากลุ่ม (group) ที่เป็นอิสระจาก หัวหน้า ประเภทของระบบอุปถัมภ์ อาจแยกความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่เป็นไป ตามคำนิยามของสังคมในการที่ผู้รับอุปถัมภ์จะยอมรับฐานะที่ ด้อยกว่าของตนภายใต้ระบบบิดาอุปถัมภ์(patrimonial) และ ความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะของการใช้อำนาจกดขี่ โดยผู้ที่มีอำนาจอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมอื งทท่ี ำใหก้ ารยอมรบั สทิ ธขิ องการใชอ้ ำนาจอยา่ งชอบธรรม ตามประเพณีลดลง (แอนโทนี่ ฮอลล์, 2545, น. 30-33) 1) ระบบบิดาอุปถัมภ์ ผู้อุปถัมภ์จะทำหน้าที่คล้ายๆ ครอบครัวขยาย ที่หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้รับผิดชอบใน สวัสดิการของผู้ที่อยู่ใต้อำนาจตน ซึ่งรวมทั้งครอบครัวของ ข้าทาสและแรงงานอิสระ ในสถานการณ์นี้ รัฐบาลกลางไม่ เข้มแข็งและชุมชนอยู่ค่อนข้างจะโดดเดี่ยว ความสัมพันธ์แบบ อุปถัมภ์ในลักษณะนี้จึงเป็นทางเลือกของชาวไร่ชาวนาที่ ต้องการการคุ้มครองจากผู้อุปถัมภ์ที่มีอำนาจ ซึ่งในทำนอง เดียวกัน ผู้ที่สามารถปกป้องคุ้มครองชาวไร่ชาวนาย่อมจะได้รับ 35

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ การยอมรับและสนับสนุนทางการเมืองจากผู้รับอุปถัมภ์นั่นเอง ในสังคมปัจจุบัน ประชากรอาจยังต้องพึ่งพาผู้อุปถัมภ์โดยมีค่า นิยมบางอย่างเป็นตัวสนับสนุน โอกาสที่ผู้มีอำนาจจะกดขี่เบียด บังย่อมเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ระบบอุปถัมภ์ยังคงช่วยให้ชาวไร่ ชาวนาดำรงชีวิตอยู่ได้ ชาวไร่ชาวนาจะหันเข้าหาผู้อุปถัมภ์ 2) ระบบการใช้อำนาจกดขี่ เป็นลักษณะที่ผู้อุปถัมภ์ หรือเจ้าที่นาได้หันมาใช้วิธีการกดขี่ควบคุมผู้รับอุปถัมภ์มากขึ้น การข่มขู่ และความรุนแรง และแม้กระทั่งการฆาตกรรม เป็น เรื่องปกติธรรมดา การยอมรับในสิทธิและการเชื่อฟังเจ้าที่นาใน ช่วงบิดาอุปถัมภ์ได้รับการท้าทายในรูปของการต่อต้านไม่พอใจ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม นอกจากนี้ การผูกขาดที่ดินของชนชั้นนายทุนใหม่ และการที่ชาวไร่ชาวนา ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตลาดสมัยใหม่มีผลในทางทำลาย ความชอบธรรมของผู้อุปถัมภ์แบบประเพณีที่เคยมีและได้สร้าง ความรู้สึกในหมู่ชาวไร่ชาวนาว่าถูกกดขี่ อันนำไปสู่การลุกฮือก่อ ความไม่สงบขึ้น ระบบอุปถัมภ์ในวงกว้าง (แอนโทนี่ ฮอลล์, 2545, น. 33-34) อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับ อุปถัมภ์ขยายขอบเขตกว้างไกลกว่าที่จะจำกัดอยู่เฉพาะใน ชุมชนหรือในชนบทเท่านั้น ระบบอุปถัมภ์ยังมีความสำคัญใน การช่วยเชื่อมโยงโครงสร้างอำนาจระหว่างชนบทและเมือง และ เป็นลู่ทางของการแสวงหาผลประโยชน์ ใน “สังคมที่กำลังพัฒนา” เส้นสายของความสัมพันธ์ ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์สามารถเชื่อมโยงบุคคลที่มี 36

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง สถานภาพต่ำไปจนถึงบุคคลระดับชาติ โดยไม่จำเป็นต้องผูกติด อยู่กับระบบราชการที่ค่อนข้างเข้มงวดเกินไป ในขั้นต้นของการ พัฒนาอุตสาหกรรม ผู้อุปถัมภ์ตามประเพณีอาจสามารถ ช่วยเหลือผู้รับอุปถัมภ์ของตนในการติดต่อกับระบบราชการ ทั้งนี้ โดยเหตุที่เจ้าที่ดิน(ผู้อุปถัมภ์) มีความสามารถที่จะติดต่อ กับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกันหรืออาจเป็นเพราะตนเอง เป็นผู้รับอุปถัมภ์ของผู้อุปถัมภ์ที่มีอำนาจมากกว่าต่อๆ กันไป จนถึงระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้ว ผู้อุปถัมภ์ตาม ประเพณีที่มีบทบาทในหลายๆ ด้าน (เช่นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง) จะถูกแทนที่โดยผู้อุปถัมภ์ที่มีอำนาจเฉพาะด้าน และจำกัดอยู่เฉพาะในระบบราชการ หรือองค์การต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และครู เป็นต้น เครือข่ายของระบบอุปถัมภ์ได้กลายมาเป็นวิธีการที่ พรรคการเมืองใช้ในการหาคะแนนเสียงในชนบท ผู้รับอุปถัมภ์ ในทางการเมืองมักจะถูกพรรคการเมืองใช้ให้เป็นหัวคะแนน โดยอาจให้ผลตอบแทนแก่ผู้รับอุปถัมภ์ เช่นการให้สัญญาใน การปฏิรูปที่ดินเพื่อแลกเปลี่ยนกับคะแนนเสียง ซึ่งเกี่ยวข้อง โดยตรงกับการศึกษาวิจัยนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษใน ครั้งนี้ ระบบอุปถัมภ์กับ “เจ้าพ่อ” คำว่า “เจ้าพ่อ” ก็เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์แบบ อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์เช่นกัน ซึ่งมักจะใช้อำนาจไปในทางที่ ไม่ถูกต้องต่อสาธารณชน พวกนี้จะมีลูกน้องที่อาจเป็นนักเลง หรือมือปืนที่เป็นผู้รับอุปถัมภ์ซึ่งพร้อมที่จะรับใช้นายคือ 37

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ “เจ้าพ่อ” ในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หรือก่อให้เกิด ความเดือดร้อนต่อประชาชนที่อยู่ในท้องที่ได้ ความสัมพันธ์แบบ “เจ้าพ่อ” นั้น ถึงแม้จะเป็นความ สัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ แต่ก็เป็นการอุปถัมภ์กับคนที่เป็นลูกน้อง ตนเท่านั้น โดยทั่วไปชาวบ้านมักจะถูกเอาเปรียบ โดยเฉพาะใน กรณีของอิทธิพลของบ่อนการพนันและสถานเริงรมย์ต่างๆ ที่มี การเรียกค่าคุ้มครอง “เจ้าพ่อ” จะได้รับการคุ้มครองจาก เจ้าหน้าที่บ้านเมืองด้วย ทำให้การเอารัดเอาเปรียบประชาชน เป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น (อมรา พงศาพิชญ์ และ ปรีชา คุวินทร์พันธุ์, 2545, น. 6) ในยุคปัจจุบัน กรอบแนวคิดเรื่องอุปถัมภ์อาจมีความ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงกับความสัมพันธ์ในเชิง “เจ้าพ่อ” โดยเฉพาะในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทยที่ “เจ้าพ่อ” มักจะ กลายเป็นนักการเมืองถิ่นด้วย อาทิ จังหวัดในภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายจังหวัด เป็นต้น เวียงรัฐ เนติโพธ์ิ (มกราคม – มิถุนายน 2546, น. 449- 455) นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “เจ้าพ่อ” ในสังคมการเมืองไทย สรุปว่า ความหมายของคนที่เป็นเจ้าพ่อที่เรานึกถึงในสังคมไทย ครอบคลุมอยู่สองประเด็น นั่นคือ ประเด็นแรก พวกเขาคือผู้มีอำนาจนอกภาครัฐ มีพรรค พวกมากสามารถรวบรวมความจงรักภักดี ความนับถือจากคน จำนวนมาก โดยที่อำนาจและบารมีที่เขามีเกิดขึ้นจากสิทธิ พิเศษที่เขาสามารถเข้าถึงผู้มีอำนาจในรัฐและใช้ประโยชน์จาก 38

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ความสามารถเหล่านี้ได้ (ซึ่งจะเรียกว่าเส้นสายหรือ คอนเนคชั่นก็ได้) พวกเขาสามารถที่จะปะทะ แข่งขัน ต่อรอง ประนีประนอมกับอำนาจรัฐได้อย่างเท่าเทียม มากกว่า หรือ บางครั้งอาจจะน้อยกว่า ในขณะที่ประชาชนที่เป็นปัจเจกบุคคล ทั่วไปทำเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับที่ Joel Migdal เรียกว่า เป็น strong men (ผู้มีอิทธิพล) ที่นับเป็นอำนาจทางสังคม แบบหนึ่ง ประเด็นที่สอง มีลักษณะเหมือน godfather หรือหัวหน้า แก๊งมาเฟียหรือองค์กรอาชญากรรม คือ ทำธุรกิจผิดกฎหมาย มีลูกน้องภายใต้การบังคับบัญชามาก ใช้ความรุนแรงเพื่อแสดง อำนาจของตนซึ่งทำได้โดยใช้ช่องทางที่ระบบราชการอ่อนแอ และไร้ประสิทธิภาพเข้ามาแสวงหาประโยชน์ เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อธิบายว่า ความหมายของเจ้าพ่อ ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เจ้าพ่อดำรงอยู่ได้ในสังคมไทยคือความ หมายประการแรก ซึ่งก็คืออำนาจบารมีที่มีเหนือคนจำนวนมาก จนสามารถปะทะสังสรรค์กับอำนาจรัฐได้ ภาวการณ์เช่นนี้เกิด ขึ้นได้ภายใต้รัฐที่อ่อนแอ (weak state) ที่ทำให้อำนาจของผู้มี อิทธิพล (strong men) ที่อยู่ในภาคสังคมเด่นชัดและเทียบเคียง ได้กับอำนาจรัฐ รัฐอ่อนแอ ไม่ได้แปลว่าอำนาจรัฐไม่รวมศูนย์ หรือ อุดมการณ์การรัฐไม่เข้มแข็ง (เพราะเวียงรัฐ เชื่อว่า รัฐไทยทั้ง รวมศูนย์และเข้มแข็งทางอุดมการณ์อย่างยิ่ง) แต่หมายถึงกลไก รัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ ข้าราชการต้องฉ้อราษฎร์บังหลวง (เพราะเงินไม่พอใช้ หรือเพราะมีช่องทางก็ตาม) รวมถึงการ 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ บริหารงานที่ไม่เป็นระบบ เปิดโอกาสให้ผู้มีอิทธิพลนอกภาครัฐ เขา้ มาแทรกแซงได้ (เชน่ การตำรวจ กระบวนการยตุ ธิ รรม) ในแงน่ ้ี รัฐไทยจึงเป็นรัฐที่อ่อนแออย่างยิ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อเนื่อง นับจากการสร้างรัฐสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เช่น นายอำเภอในยุคแรกๆ เมื่อถูกส่งไปเป็นผู้ปฏิบัติงานแทนรัฐ เพอ่ื ควบคมุ ทอ้ งถน่ิ ทห่ี า่ งไกลจากศนู ยก์ ลาง แตเ่ มอ่ื ไปถงึ ทอ้ งถน่ิ นั้น ก็ต้องเข้าหานักเลงประจำถิ่นเพื่อหาข้อมูลหรือเพื่อประนี- ประนอมกับนักเลง ไม่เช่นนั้นก็ทำงานไม่ได้ ถ้าเราจะมองต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เราคงเห็นพ้องต้อง กันว่า อย่าว่าแต่นายอำเภอสมัยโน้นเลย ท่านผู้ว่าฯ สมัยนี้ ก็ทำงานลำบากหากไปถิ่นไหนที่เจ้าพ่อเข้มแข็งแล้วไม่อาจ ประนีประนอมกับเจ้าพ่อได้ ดังนั้น สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือสายสัมพันธ์ที่พึ่งพิงกันอย่าง แน่นแฟ้นระหว่างผู้อยู่ในอำนาจรัฐกับเจ้าพ่อ อีกมิติหนึ่งของความอ่อนแอของรัฐไทยที่สำคัญยิ่งไม่ใช่ เรื่องประสิทธิภาพแต่เป็นเรื่องของการให้บริการแก่ประชาชน เวียงรัฐ ยกตัวอย่าง “นับตั้งแต่เสือฝ้ายตั้งตัวเป็นผู้พิพากษา ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง จวบจนถึงวันที่ท่านกำนันผู้ยิ่งใหญ่เปิดบ้าน ของตัวเป็นศูนย์บริการแบบ One Stop Service คือ มีตั้งแต่ฝาก ลูกเข้าโรงเรียน ขอยืมเงิน รับรายงานเรื่องนักเลงหัวไม้ ขอให้ไป ซ่อมถนน ขอให้บริจาคสร้างวัด เรื่อยไปจนผู้หลักผู้ใหญ่มาขอ ให้สนับสนุนการเลือกตั้ง นั่นคือ การที่เจ้าพ่อผู้ให้บริการ ประชาชน คือ ผู้ที่เอาผลประโยชน์จากเส้นสายของตัวเองมา แจกจ่ายให้ชาวบ้าน (ซึ่งอาจจะบวกลบกับผลประโยชน์ส่วนตัว 40

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง แล้วก็ตาม)” สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ ขาดตอน เวยี งรฐั เชอ่ื วา่ เจา้ พอ่ ดำรงอยใู่ นสงั คมไทยไดอ้ ยา่ งสำคญั เพราะมีหน้าที่ (function) ที่ชัดเจนนั่นคือเป็นตัวกลางระหว่างรัฐ ที่อ่อนแอกับชาวบ้านที่ไม่มีช่องทางอื่นที่จะเข้าถึงทรัพยากรใน สังคมได้ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยกับ ระบอบที่ผ่านมาคือ ชาวบ้านมีความสำคัญขึ้นมาในฐานะเป็น ฐานเสียงในการเลือกตั้ง ท่ามกลางการแข่งขันทางอำนาจของ กลุ่มต่างๆ เจ้าพ่อก็ยิ่งมีความหมายมากยิ่งขึ้นเพราะคือผู้เชื่อม ต่อกับชาวบ้าน ในฐานะฐานเสียงอันเป็นตัวชี้ขาดการขึ้นมามี อำนาจในระบอบประชาธิปไตยได้ก็ต้องยึดกุมอำนาจเช่นที ่ เจ้าพ่อเคยมีมานี้ ให้มาเป็นของตนให้ได้ 4. งานศึกษาวิจัยและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง งานศึกษาวิจัย รวมทั้งวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับนัก การเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษที่สำคัญได้แก่ งานศกึ ษาของ จาตรุ งค์ เพง็ นรพฒั น์ (2546, บทคดั ยอ่ ) เรื่อง “การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร เขตการเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดศรีสะเกษ” ซึ่งดำเนินการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2546 แทนนายบุญชง วีสมหมาย ซึ่งเสียชีวิต โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมคนสำคัญ คือ นายมานะ มหาสุวีระชัย พรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จงั หวดั ศรสี ะเกษ เขต 1 กบั นายธเนศ เครอื รตั น์ พรรคไทยรกั ไทย อดีตสมาชิกสภาจังหวัด จังหวัดศรีสะเกษ บุตรชายของนาย 41

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ไพโรจน์ เครือรัตน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ของจังหวัดศรีสะเกษ โดยผู้ศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ถึงการรณรงค์การเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งสมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎร รวมทง้ั ศกึ ษาผลกระทบ ปญั หา อปุ สรรค ตลอดจน แนวทางในการแก้ปัญหาในการรณรงค์หาเสียง ผลการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานัก การเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ คือ ประเด็นเรื่องบทบาทของ พรรคการเมือง โดย จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ พบว่า พรรคได ้ คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเป็นตัวแทนของพรรค โดยการทำ แบบสอบถามหาคะแนนนิยมจากประชาชน พ่อค้า ข้าราชการ นิสิตนักศึกษา เพื่อให้ได้บุคคลที่ได้รับการยอมรับสูงสุด พรรค ประชาธิปัตย์ได้นายมานะ มหาสุวีระชัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ เขต 1 เป็นผู้สมัคร พรรคไทยรักไทย ได้ นายธเนศ เครือรัตน์ อดีตสมาชิกสภาจังหวัดศรีสะเกษ และ อดีตรองนายก อบจ.ศรีสะเกษ เป็นผู้สมัคร พรรคไทยรักไทยได้เตรียมการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้ ได้มาซึ่งชัยชนะ โดยมีนายวัน มูหะมัด นอร์ มะทา รองหัวหน้า พรรคไทยรักไทย เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง และมีบุคคลสำคัญ ของพรรคเป็นกรรมการ พรรคได้มีการวางแผนโดยให้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จ.ศรีสะเกษ พรรคไทยรักไทย เป็นแกนหลัก โดยแบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจน และได้สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จ.ศรีสะเกษ พรรคร่วมรัฐบาลให้การสนับสนุน รวมทั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทย ที่อยู่ใกล้ – ไกล ได้ เดินทางมาร่วมรณรงค์หาเสียง ทั้งภาพกว้าง คือการติดป้าย 42

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โปสเตอร์ รถยนต์แห่ป้ายผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นคาราวาน โดยมี การโชว์ตัวผู้สมัครและทีมงาน ส.ส.ของพรรค ปลุกเร้าความน่า สนใจต่อประชาชน ภาพลึกคือ การลงสัมผัสกับชุมชน รับรู้ ปัญหา รับข้อเสนอ และรับความคิดเห็นของประชาชน โดยจัด กลุ่มสนทนาแบบจับเข่าคุยกันอย่างใกล้ชิด การเสริมทีมงานเข้า สำรวจความนิยมชมชอบของประชาชนต่อรัฐบาล ให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะและรับฟังปัญหาความเดือดร้อน ความทุกข์ยากของราษฎร เพื่อการแก้ไขในระดับชาติต่อไป ซึ่งได้ผลดีมาก ส.ส.และทีมงานร่วมทำงานอย่างสอดคล้อง เสียสละและทุ่มเทเพื่อพรรคเป็นอย่างมาก นับเป็นนิมิตรหมาย ที่ดี ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างเสียเปรียบและเงียบเหงา กว่า การหาเสียงก็อาศัยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ที่มาจากต่างถิ่น ไม่เข้าใจและทราบปัญหาของพื้นที่ได้ดีเท่า ส.ส.ในพื้นที่ การหาเสียงจึงไม่ค่อยได้รับความสนใจ และไม่เป็น ที่ยอมรับในการหาเสียงเท่าที่ควร ในส่วนของภาคประชาชน ผลการศึกษาของ จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ พบว่า ประชาชนได้ให้ความร่วมมือ มีความตื่นตัว และนิยมในตัวผู้สมัครเป็นอย่างมาก ประชาชนได้เห็นการ ทำงานของรัฐบาลตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ เช่น การแก้ปัญหา ความยากจน ปราบทุจริตคอรัปชั่น ปราบยาเสพติดให้โทษ ปราบผู้มีอิทธิพล โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค การพักชำระ หนี้ กองทุนหมู่บ้าน ประชาชนรู้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ตนได้รับ ผลอย่างไร ประชาชนพอใจและอยากตอบแทนรัฐบาล โดย เลือกคนของรัฐบาลเพื่อเข้าไปช่วยสานงานต่อ ก่องานใหม่ อีกเพื่อเป็นการให้กำลังใจในตัวนายกรัฐมนตรีในระดับหนึ่ง 43

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ สำหรับตัวผู้สมัครฝ่ายรัฐบาล คือนายธเนศ เครือรัตน์ เป็นคน หนุ่มมีอุดมการณ์ เคยทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่นจนเป็นที่ รู้จักคุ้นเคย ได้ลงสัมผัสท้องที่เขตเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ เป็น ผู้มีมนุษยสัมพันธ์ มีประสบการณ์ทางการเมืองโดยสายเลือด และมีเกียรติประวัติดียิ่ง จึงส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง ของประชาชนผู้ใช้สิทธิ์ได้เด่นชัด (จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์, 2546, น. 54-55) งานศึกษาของ คณะกรรมการจัดงานเชิดชูนักสู้เพื่อ ประชาธิปไตย จังหวัดศรีสะเกษ (2543, น. 17-48) ซึ่งพยายาม ศึกษานักต่อสู้ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองของจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พบว่า ชาวศรีสะเกษ ถึงแม้จะเป็นผู้รัก ความสงบ ขยันและเจียมตัว แต่ก็ยังมีความขัดแย้ง มีการต่อสู้ สอดแทรกอยตู่ ลอดเวลา เหตกุ ารณ์ท่สี ำคญั ได้แก่ เจา้ เมืองสว่ ย ถูกลูกเลี้ยงลาวร้องเรียน พ.ศ. 2325, คนส่วยขอแยกเมืองมาตั้ง ปกครองเอง พ.ศ. 2325, การวิวาทแย่งชิงเขตแดน พ.ศ. 2329, ความแตกแยกในเมืองขุขันธ์ พ.ศ. 2369, ความแตกแยกใน ครอบครัว พ.ศ. 2410, กรณีเสือยง พ.ศ. 2437,กบฏผีบุญจันทร์, กรมการเมืองขุขันธ์กระด้างกระเดื่อง พ.ศ. 2444, กบฏสันติภาพ ในศรสี ะเกษ พ.ศ. 2495 และเหตกุ ารณว์ นั มหาวปิ โยค 14 ตลุ าคม 2516 เป็นต้น ในส่วนของกิจกรรมการเคลื่อนไหวขององค์กรเอกชนใน ศรีสะเกษ สรุปได้ว่า ในช่วง พ.ศ. 2521 – 2541 หลังจากที่มีการ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทยแล้ว มีนักสู้ชาวศรีสะเกษที่ทยอย 44

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลายคน ที่สามารถเปิดเผยได้ เช่น นคร ศรีวิพัฒน์ มยุรี ศรีวิพัฒน์ อุปถัมภ์ ดิษฐประสพ เสรี วงศ์ภักดี บุญรวม จันทะมาศ รวมทั้งญาติพี่น้องตระกูลชัยชาญ ตระกูล นารี ชาวบ้านคูซอด และอีกหลายท่านที่ไม่สามารถนำชื่อมา เอ่ยได้ ระบอบประชาธิปไตยที่ได้รับการสถาปนาในแผ่นดินไทย ส่งผลให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งกลุ่มและองค์กรต่างๆ ในวงอาชีพ สหภาพแรงงาน สมาคม มูลนิธิ และมีการรวมตัวเป็นกลุ่มต่างๆ ในศรีสะเกษ มากมายหลายกลุ่ม เช่น ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติจังหวัด ศรีสะเกษ, คณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัด ศรีสะเกษ คปศ., สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกยอ.), สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน 1 (สกยอ.1), สมัชชาคนจน, ชมรมครูประถมศึกษาศรีสะเกษ, กลุ่มสายธารประชาชน, กลุ่ม ธารไทย, สมัชชาเขื่อนแห่งประเทศไทย, หมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน, คณะกรรมการปฏิรูปการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ, สมัชชาปราชญ์ ชาวบ้าน เป็นต้น องค์กรเหล่านี้มีบทบาทนำประชาชน และกลุ่มอาชีพ เรียกร้องสิทธิและประโยชน์ต่างๆ เช่น การชุมนุมต่อเนื่องกัน หลายวันในเดือนพฤษภาคม 2535 ที่หน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ เพื่อต่อต้านรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ การเรียกร้องค่าชดเชยการสร้างศาลจังหวัด กันทรลักษ์ ค่าชดเชยการสร้างฝายราษีไศล ค่าชดเชยที่ดิน ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อำเภอขุนหาญ 45

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ การคัดค้านการสร้างโรงงานกระดาษบริเวณบ้านโพนทราย อำเภอกันทรารมย์ และบ้านคูซอด อำเภอเมือง ศรีสะเกษ การเคลื่อนไหวช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างฝาย หัวนา และการเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆ เป็นต้น ภาพของ การชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษและหน้าสถานีรถไฟ ศรีสะเกษ จึงเป็นเรื่องปกติ และบางครั้งก็เป็นกำลังหลักในการ ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลด้วย (คณะกรรมการจัดงานเชิดชู นักสู้เพื่อประชาธิปไตย จังหวัดศรีสะเกษ, 2543, น. 47-48) ในขณะที่ ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ (2546, น. 498- 500) ได้ศึกษาวิจัยการเมืองสองฝั่งโขง เรื่อง การรวมกลุ่มทาง การเมืองของ ส.ส. อีสาน พ.ศ. 2476-2494 ในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า เมื่อการเมืองระบบใหม่แบบ “เลือกต้ัง” เข้ามามี บทบาทในอีสาน กล่าวคือ “การเลือกตั้ง” ทั้งในระดับชาติและ ระดับท้องถิ่นในระบบการเมืองสมัยใหม่ ส.ส.อีสาน พยายาม กระตุ้นความเป็นท้องถิ่นนิยมและภูมิภาคนิยม ด้วยการย้ำถึง หน้าที่ของผู้แทนราษฎรว่า นอกจากมีหน้าที่ในการออก กฎหมายและในการปกครองบ้านเมืองแล้ว ยังมีหน้าที่จัดการ ระงับทุกข์และบำรุงสุขในพื้นที่อีกด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการย้ำ “หน่ออ่อน” ในเรื่องท้องถิ่นนิยมในเชิงพื้นที่ให้ชัดเจนขึ้น ประกอบกับการที่รัฐได้กำหนดเกณฑ์ของผู้สมัครอย่างหนึ่ง ก็คือ กำหนดให้เขตเลือกตั้งผูกติดกับภูมิลำเนาของผู้สมัครหรือ ถิ่นที่อยู่ หรือเกิด หรือมีอสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งกรอบดังกล่าวนี้ยิ่งทำให้ความเป็นท้องถิ่นนิยมในเชิงพื้นที่ 46

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ชดั เจนขน้ึ ภายใตก้ ารดำเนนิ การของผสู้ มคั ร ส.ส. ทไ่ี ดน้ ำ “ทอ้ งถนิ่ นิยม” และ “ภูมิภาคนิยม” มาใช้เพื่อ “แยกคนในท้องถ่ิน” กับ “คนนอกท้องถิ่น” เพื่อแยก “เขา” กับ “เรา” ออกจากกัน รวมทั้งระบบหัวคะแนนและฐานเสียงเป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่อง ท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น และเนื่องจากเขตเลือกตั้งหรือพื้นที่ทาง การเมืองของ ส.ส. เป็นพื้นที่หรือเขตเลือกตั้งเดียวกับสมาชิก สภาเมืองและสภาจังหวัดที่ซ้อนทับกัน จึงทำให้ ส.ส. ได้เริ่ม เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่หรือท้องถิ่นทางการเมืองของตนด้วย การส่งเครือญาติลงสมัครรับเลือกตั้งการเมืองระดับท้องถิ่น ประกอบกับกรอบในการเลือกสรรสมาชิกในระดับท้องถิ่น ได้ทำให้นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ ทางการเมืองกันนับตั้งแต่แรกเริ่มของการเมืองระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ใหม่ที่รัฐกำหนดขึ้นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ระดับท้องถิ่น ซึ่งคล้ายกับเกณฑ์ของการเมืองระดับชาติ มีส่วน ทำให้ท้องถิ่นมีความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การเมืองในระบบสมัยใหม่ที่มีการเลือกตั้งทั้งในระดับชาติ “ส.ส.” และระดับท้องถิ่น “เทศบาล” มีส่วนสำคัญในการย้ำ “หน่ออ่อน” ของท้องถิ่นนิยมและภูมิภาคนิยมที่มีมาก่อน พ.ศ. 2476 ให้มีความชัดเจนขึ้น และความรู้สึกในเรื่องนี้ จะเห็นได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ ส.ส. อีสานได้เข้าไปมีบทบาทในสภาผู้แทน ราษฎรนับตั้งแต่สมัยแรก งานวจิ ัยในโครงการสำรวจเพ่ือประมวลข้อมูลนกั การเมืองถ่นิ ในส่วนของงานวิจัยในโครงการสำรวจเพื่อประมวล ข้อมูลนักการเมืองถิ่นของสถาบันพระปกเกล้า ในจังหวัดอื่นๆ 47

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ผู้วิจัยขอเลือกกล่าวถึงเฉพาะนักการเมืองถิ่นในภาคตะวันออก เฉียงเหนือเฉพาะจังหวัดที่มีนัยสำคัญกับนักการเมืองถิ่นใน จังหวัดศรีสะเกษเท่านั้น โดยจะเลือกอธิบายผลการศึกษา นักการเมืองถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดยโสธร ซึ่ง ผู้วิจัยเห็นว่าในจังหวัดเหล่านี้นอกจากจะมีพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน แล้ว ยังมีลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ จังหวัดแรกเป็นการศึกษาของ สุเชาวน์ มีหนองหว้า และกิติรัตน์ สีหบัณฑ์ (2549, บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่อง นัก การเมืองถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) มีวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่สำคัญ คือ เพื่อรู้จัก นักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อทราบ ถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานี บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ที่ มีส่วนให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานี เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของ พรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี และ ทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง ในจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งการ ดำเนินการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการวิจัยโดย การศึกษาวิจัยการเอกสาร การเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และการใช้การ สังเกตการณ์ 48

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง จากการศึกษา พบว่า ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองของประเทศไทยมาสู่ระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 เป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน จังหวัด อุบลราชธานีในฐานะจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยก็เข้าสู่ กระบวนการการเมืองการปกครองไทย โดยจัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเข้าไปทำงานในรัฐสภาเช่นเดียว กับจังหวัดอื่นๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้เกณฑ์ภูมิหลังและ อาชีพของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่อดีต จนกระทั่งปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคของ นักการเมืองที่เป็นข้าราชการ ระหว่าง พ.ศ. 2476 - พ.ศ. 2514 และยุคของนักการเมืองที่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้า ระหว่าง พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน ในส่วนเครือข่ายของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี และกลุ่มผลประโยชน์ที่มีส่วนให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่ นักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีนั้น นักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังมีการรวมกันเป็น กลมุ่ ในบางชว่ งบางขณะ เพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื กนั ในการเลอื กตง้ั เช่น ในสมัยแรกๆ ภายหลังการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2518 เริ่มมี การรวมกลุ่มทางการเมืองที่มีนายสุทัศน์ เงินหมื่น เป็นผู้นำ ต่อมามีกลุ่มทางการเมืองที่มีนายประสิทธิ์ ณรงค์เดช และกลุ่ม ของนายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ เป็นผู้นำ ส่วนในปัจจุบัน ในจังหวัดอุบลราชธานี มีกลุ่มการเมืองสำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ เป็นผู้นำ กับกลุ่มที่มีนาย เกรียง กัลป์ตินันท์ เป็นผู้นำ แม้ว่าจะอยู่ในพรรคการเมือง 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ เดียวกัน โดยกลุ่มการเมืองเหล่านี้จะลงสมัครในนาม พรรคการเมืองเดียวกัน และเมื่อย้ายพรรคก็จะย้ายไปสังกัด พรรคใหม่คล้ายกัน ขณะเดียวกัน หัวหน้ากลุ่มก็อาจมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับชาติที่เป็นแกนนำในระดับ รองหัวหน้าหรือหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย ในส่วนรูปแบบและวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่น ในจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาพบว่า รูปแบบวิธีการ หาเสยี งของนกั การเมอื งทไ่ี ดร้ บั เลอื กตง้ั ในสมยั แรกทม่ี กี ารเลอื กตง้ั กับในปัจจุบันแตกต่างกัน กล่าวคือ ในสมัยแรกจากการเลือกตั้ง ของจังหวัดอุบลราชธานีที่มีนักการเมืองได้รับเลือกตั้ง เช่น นายทองอนิ ทร ์ ภรู พิ ฒั น์ นายเลยี ง ไชยกาล นายฟอง สทิ ธธิ รรม การหาเสียงใช้รูปแบบของการออกปราศรัยตามท้องถิ่นต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง และการใช้กลุ่มเครือญาติ เพื่อนสนิทช่วยในการ หาเสียง แต่รูปแบบและวิธีการหาเสียงของนักการเมืองใน จังหวัดอุบลราชธานีในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นการใช้ การจัดตั้งระบบหัวคะแนนในหมู่บ้านและชุมชน กระจาย ครอบคลุมเขตเลือกตั้ง ซึ่งปัจจัยเกี่ยวกับความสามารถในการ จัดตั้งหัวคะแนนจัดได้ว่าเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญที่จะทำให้ ผู้สมัครได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ผู้สมัครยังจะ ต้องมีความสามารถและเอาใจใส่ต่อการให้บริการประชาชนใน เขตเลือกตั้ง เช่น การดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่ได้รับความ เดือดร้อนที่มาขอความช่วยเหลือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง การเข้าร่วมในกิจกรรมงานบุญ ประเพณีที่ชาวบ้านในชุมชนจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ซึ่งรูปแบบและวิธีการหาเสียงดังกล่าวสำคัญมาก อย่างไรก็ตาม 50

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ปัจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครที่เป็นคนมีความรู้ความ สามารถ คบง่าย พึ่งพาได้ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญประกอบกัน จังหวัดต่อมาเป็นงานศึกษาของ นิรันดร์ กุลฑานันท์ (2549, บทคัดย่อ) เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ โดย ผู้ศึกษามีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ (1) ทำความรู้จักนักการเมือง ที่เคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดบุรีรัมย์ (2) เพื่อทราบถึง เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด (3) เพื่อ ทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่ม ที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วนสนับสนุนทางการเมืองในจังหวัด (4) เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองในจังหวัด และ (5) เพื่อทราบวิธีการหาเสียงใน การเลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัด โดยทำการศึกษานัก การเมืองระดับชาติ ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก จนถึง พ.ศ. 2548 โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักการเมืองที่โดดเด่นในยุคแรก พ.ศ. 2476 - 2500 ได้แก่ นายเสรี อิศรางกูร ณ อยุธยา (บิดา ของพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และเป็นรัฐมนตรี คนแรกของบุรีรัมย์) และนายสอิ้ง มารังกูล (นักการเมือง หวั กา้ วหนา้ ในยคุ แรก) ในยคุ ท่ี 2 (พ.ศ. 2512 - 2519) นกั การเมอื ง ที่โดดเด่นคือ นายสวัสดิ์ คชเสนีย์ และนายประเสริฐ เลิศยะโส (ผู้สมัครพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย) เป็นนักการเมือง หวั กา้ วหนา้ ทไ่ี ดร้ บั เลอื กหลงั เหตกุ ารณ์ 14 ตลุ าคม 2516 ในยคุ ท่ี สาม (พ.ศ. 2522 - 2535) นักการเมืองที่โดเด่นคือ นายอนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ (อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย) และนายการุณ ใสงาม 51

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ นกั การเมอื งหวั กา้ วหนา้ ในยคุ ทส่ี ่ี (พ.ศ. 2535 - 2540) นกั การเมอื ง ที่โดดเด่นคือนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ (อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย) ในยุคปัจจุบัน (พ.ศ. 2540 - 2548) นักการเมืองบุรีรัมย์ที่โดดเด่น คอื นายเนวนิ ชดิ ชอบ (รฐั มนตรหี ลายสมยั ) นายโสภณ เพชรสวา่ ง (อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร) และพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (รัฐมนตรีหลายสมัย) สำหรับเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง ในจังหวัด พบว่านักการเมืองบุรีรัมย์ มีความสัมพันธ์กันผ่าน การทำธุรกิจ และการแบ่งปันผลประโยชน์ งบประมาณพัฒนาที่ ลงมาในพื้นที่เลือกตั้ง มีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกันบ้าง และสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม องค์กรกู้ภัย เป็นต้น ส่วนความสัมพันธ์ ระหว่างนักการเมืองกับพรรคการเมือง จะสัมพันธ์ผ่าน มุ้งการเมืองที่ตนสังกัดอยู่ ในด้านวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้ง มีพัฒนาการมา ตั้งแต่การเคาะประตูบ้าน จัดมหรสพแล้วปราศรัยหาเสียง ทำโปสเตอร์ แผ่นป้ายโฆษณา มาจนถึงการแจกสิ่งของ อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า และแจกเงินในท้ายที่สุด และรูปแบบการ จัดตั้งหัวคะแนนเริ่มจากง่ายๆ อาศัยผู้นำท้องถิ่นมาเป็นการวาง เครือข่ายคล้ายธุรกิจขายตรง มีสัดส่วนหัวคะแนนต่อผู้ใช้สิทธิ เล็กลง และนอกจากนี้ยังใช้วิธีการหาเสียงโดยจัดตั้งกองทุนให้ กลุ่มชาวบ้าน การอบรมและพาไปศึกษาดูงาน การจัดเลี้ยง การแจกเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น 52

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง จังหวัดสุดท้ายเป็นงานศึกษาของ พิชญ์ สมพอง (2551, บทคัดย่อ) ศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธร มีวัตถุประสงค์ เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งในจังหวัดยโสธร เครือ ข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดยโสธร บทบาทของ เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่น ยโสธร กลวิธีในการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นยโสธร โดย การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ และการ สังเกตการณ์ในพื้นที่ของผู้วิจัย ข้อมูลที่ได้นำมาประมวล จัดระบบ วิเคราะห์แล้วนำมาเสนอโดยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นยโสธรจำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักสื่อสารมวลชน กลุ่มครู อาจารย์ ข้าราชการเก่า และนักกฎหมาย กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและ นกั ธรุ กจิ เครอื ขา่ ยสายสมั พนั ธท์ พ่ี บจะเปน็ บดิ า–บตุ ร 1 คู่ นอกนน้ั จะเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ในระดับท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่ม ผลประโยชน์ทางสังคมและวัฒนธรรม พรรคการเมืองคือกลุ่ม ผลประโยชน์ทางการเมือง มีบทบาทสูงต่อนักการเมืองถิ่น ยโสธร นักการเมืองถิ่นยโสธรมีการเปลี่ยนสังกัดพรรคตามวาระ ของรัฐบาล โดยพรรคใดเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ นักการเมือง ถิ่นยโสธรก็สังกัดพรรคนั้น ส่วนกลวิธีสำคัญในการหาเสียงได้แก่ การลงพื้นที่พบประชาชนโดยสม่ำเสมอ การให้ความอุปถัมภ์ ช่วยเหลือในรปู แบบต่างๆ จากผลการศึกษาวิจัยและวรรณกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบวิธีการสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้ง 53

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ส.ส. ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ คือ การจัดตั้ง ระบบหัวคะแนนในหมู่บ้านและชุมชน กระจายครอบคลุมเขต เลือกตั้ง การลงพื้นที่พบประชาชนโดยสม่ำเสมอ การให้ความ อุปถัมภ์ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมในกิจกรรมงาน บุญประเพณีที่ชาวบ้านในชุมชนจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ผู้สมัคร ส.ส. ที่จะได้รับการเลือกตั้งต้องเป็นผู้ที่ประชาชนสามารถเข้าหา ได้ง่าย พึ่งพาได้ รูปแบบการรณรงค์หาเสียง มีพัฒนาการมาตั้งแต่การ เคาะประตูบ้าน จัดมหรสพแล้วปราศรัยหาเสียง การติดป้าย ทำโปสเตอร์ แผ่นป้ายโฆษณา มาจนถึงการแจกสิ่งของ อาหาร ยารักษาโรคเสื้อผ้า และแจกเงินในท้ายที่สุด นอกจากนี้ยังหา เสียงโดยจัดตั้งกองทุนให้กลุ่มชาวบ้าน การอบรมและพาไป ศึกษาดูงาน การจัดเลี้ยง การแจกเบี้ยเลี้ยง รถยนต์แห่ป้าย ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นคาราวาน โดยมีการโชว์ตัวผู้สมัครและ ทีมงาน ส.ส.ของพรรค ปลุกเร้าความน่าสนใจต่อประชาชน เป็นต้น 54

บ3ทท ี่ ข้อมูลพื้นฐานและประวัติศาสตร์ ของจังหวัดศรีสะเกษ ในบทนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องและส่งผลต่อลักษณะพฤติกรรมในการตัดสินใจ เลือกตั้ง โดยแบ่งลำดับการนำเสนอเป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อมูล พน้ื ฐานทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมและการเมอื ง และประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาของจังหวัดศรีสะเกษเพื่อให้มีความเข้าใจพื้นฐาน ในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยมี รายละเอียด ดังนี้ 1. ข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดศรีสะเกษ การนำเสนอข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย ขนาดและที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ลักษณะการปกครอง ทรัพยากรธรรมชาติ และ โครงสร้างประชากรและสังคม โดยมีรายละเอียดตามลำดับ ดังนี้ (ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ, 2555ก)

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 1.1 ขนาดและท่ีตั้ง จังหวัดศรีสะเกษตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทยระหว่างเส้นรุ้ง(ละติจูด) ที่ 14-15 องศาเหนือ และ เส้นแวง(ลองติจูด) ที่ 104-105 องศาตะวันออก อยู่เหนือระดับ น้ำทะเล 120 เมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 8,839.97 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,524,987.50 ไร่ ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถไฟ 515 กิโลเมตร ทางรถยนต์ 571 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับ จังหวัดใกล้เคียงดังนี้ ทิศเหนือ เขตอำเภอราษไี ศล อำเภอยางชมุ นอ้ ย กง่ิ อำเภอ ศิลาลาดติดกับจังหวัดยโสธรและจังหวัด ร้อยเอ็ด ทิศใต้ เขตอำเภอภูสิงห์ อำเภอขุนหาญ อำเภอ กันทรลักษ์ ติดกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันออก เขตอำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอเบญจลักษ์ อำเภอโนนคูณ ติดกับ จังหวัดอุบลราชธานี ทิศตะวันตก เขตอำเภอขุขันธ์ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอ ห้วยทับทัน อำเภอเมืองจันทร์ อำเภอบึงบูรพ์ ติดกับจังหวัดสุรินทร์ 56

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ แผนภาพที่ 2 แผนที่จังหวัดศรีสะเกษ 29 แผนภาพท่ี 2 แผนท่ีจังหวัดศรสี ะเกษ ท่มี า : Real Estate, 2555, แผนที่จังหวดั ศรสี ะเกษ, สืบคน เม่ือวันที่ 7 กรกฎาคม 2555, จาก http://nutac122.wordpress.com/real-estate/ ที่มา : Real Estate, 2555, แผนที่จังหวัดศรีสะเกษ, สืบค้นเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2555, จากhttp://nutac122.wordpress.com/real-estate/ 57

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 1.2 ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มทาง ตอนเหนือและตอนกลางของจังหวัด ส่วนทางตอนใต้เป็นที่ ลาดชัน และลูกคลื่นลอนตื้นสลับลาดชันพื้นที่ทั้งหมดของ จังหวัดจะมีความลาดชัน จากทางตอนใต้ลงสู่แม่น้ำมูลตอน เหนือของจังหวัด สภาพดินร้อยละ 60 เป็นดินร่วนปนทรายที่ มีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำเพียงร้อยละ 4.5 ของ พื้นที่จังหวัดเท่านั้นที่มีระดับความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึง ค่อนข้างสูง ส่วนที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 35.5 เป็นดินภูเขา และเทือกเขาซึ่งทำกสิกรรมได้เพียงบางส่วน มียอดเขาสูงที่สุด ของจังหวัด คือ ยอดเขาพนมตาเมือน ในเขตอำเภอขุนหาญ สูง 673 เมตร และมแี นวชายแดนตดิ กบั ประเทศกมั พชู าประชาธปิ ไตย รวม 127 กิโลเมตร (แบ่งเป็นเขตชายแดนอำเภอกันทรลักษ์ 76 กิโลเมตร อำเภอขุนหาญ 18 กิโลเมตรและอำเภอภูสิงห์ 33 กิโลเมตร) 1.3 ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดศรีสะเกษมีอากาศร้อนจัด ในฤดูร้อนและค่อนข้างหนาวจัดในฤดูหนาว ส่วนใหญ่ในฤดูฝน มักมีฝนตกหนักในเดือนกันยายน โดยจะตกหนักในพื้นที่ตอน กลางและตอนล่างของจังหวัดเท่านั้น ส่วนพื้นที่ตอนบนจะมี ปริมาณฝนตกน้อย และไม่ค่อยสม่ำเสมอ 58

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ 1.4 ลักษณะการปกครอง จงั หวดั ศรสี ะเกษ มกี ารปกครอง 2 รปู แบบ คอื การปกครอง ส่วนภูมิภาค และการปกครองส่วนท้องถิ่น (คณะกรรมการฝ่าย ประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, 2544, น. 44-50) 1) การบรหิ ารราชการสว่ นภมู ิภาค การบริหารราชการส่วนภูมิภาคในจังหวัดศรีสะเกษ แบ่งการปกครองออกเป็น 22 อำเภอ 206 ตำบล 2,633 หมู่บ้าน (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) ประชากรในปี พ.ศ. 2554 รวมทั้งสิ้น 1,452,203 คน แยกเป็นชาย 726,173 คน เป็นหญิง 726,030 คน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2554) 59

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 60 ตารางที่ 1 รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ (จังหวัดศรีสะเกษ) ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 – ปัจจุบัน ที ่ ชอ่ื ผวู้ ่าราชการจงั หวดั ระหวา่ ง พ.ศ. – พ.ศ. หมายเหตุ 1 พระยาบำรุงบุรประจันต์ (จันดี กาญจนเสริม) 2450 – 2452 ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ 2 พระยาประชากิจกรจักร (ทับ มหาเปาระยะ) 2452 - 2454 ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ 3 พระยาวิเศษสิงหนาท (ปิ๋ว บุญนาค) 2454 - 2456 ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ 4 ร.อ.พระอินทร์ประสิทธิศร (เชื้อ ทองอุทัย) 2456 - 2457 ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ 5 อ.ต.หม่อมเจ้าถูกถวิล สุขสวัสดิ์ 2457 - 2459 ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ 6 อ.ท.พระภักดีศรีสุนทรราช (ดิศ โกมลบุตร) 2459 - 2461 7 อ.อ.พระยาวิเศษชัยชาญ (ชอุ่ม อมัตติรัตน์) 2461 - 2465 ผวจ.ขุขันธ์ 8 อ.ท.พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) 25 เม.ย. - 30 ก.ย.2465 ผวจ.ขุขันธ์ 9 อ.ท.พระยาวิสุทธิราชรังสรรค์ (ใหญ่ บุนนาค) 1 ต.ค.2465 – 30 เม.ย.2472 ผวจ.ขุขันธ์ 10 ม.อ.ต.พระยาประชากิจกรจักร (ชุบ โอสถานนท์) 15 พ.ค.2472 - 14 พ.ค.2473 ผวจ.ขุขันธ์ 11 อ.ท.พระศรีพิชัยบริบาล (สวัสดิ์ ปัทมดิลก) 14 พ.ค.2473 - 30 เม.ย.2478 ผวจ.ขุขันธ์ 12 หลวงศรีราชรักษา (ผิว ชาศรีรัฐ) 10 พ.ค.2478 - 31 พ.ค.2481 ผวจ.ขุขันธ์ 13 พ.อ.พระศรีราชสงคราม (ศรี สุขวาที) 1 มิ.ย.2481 - 31 ธ.ค.2481 ผวจ.ขุขันธ์ ผวจ.ศรีสะเกษ

ท่ ี ชือ่ ผวู้ ่าราชการจงั หวัด ระหว่าง พ.ศ. – พ.ศ. หมายเหตุ 14 พระบริรักษ์ภูธร (เพิ่ม ขนิษฐายนต์) 1 พ.ค.2482 - 31 ธ.ค.2483 ผวจ.ศรีสะเกษ 15 หลวงปริวรรตวรจิตร (จันทร์ เจริญไชย) 1 ม.ค.2484 - 31 ส.ค.2485 ผวจ.ศรีสะเกษ 16 นายชอบ ชัยประภา 9 ก.ย.2485 - 10 ส.ค.2488 ผวจ.ศรีสะเกษ 17 ขุนบำรุงรัตนบุรี (ปกรณ์ จฑู พุทธิ) 24 ส.ค.2488 - 17 ต.ค.2489 ผวจ.ศรีสะเกษ 18 นายศิริ วรนาถ 11 พ.ย.2489 - 14 ส.ค.2490 ผวจ.ศรีสะเกษ 19 นายเติม ศิลปี 10 ก.ย.2490 - 8 ก.พ.2492 ผวจ.ศรีสะเกษ 20 นายพินิต โพธิพันธ์ 23 ก.พ.2492 - 1 ก.ค.2495 ผวจ.ศรีสะเกษ 21 ขุนวัฒนานุรักษ์(ประจักษ์ วงศ์รัตน์) 19 ก.ค.2495 - 27 เม.ย.2498 ผวจ.ศรีสะเกษ 22 นายกิติ ยธการี 28 เม.ย.2498 - 11 ก.ค.2500 ผวจ.ศรีสะเกษ 23 นายจาด อุรัสยะนันท์ 12 ก.ค.2500 - 17 ก.พ.2501 ผวจ.ศรีสะเกษ 24 นายวรวิทย์ รังสิโยทัย 17 ก.พ.2501 - 20 ก.ค.2504 ผวจ.ศรีสะเกษ 25 นายรังสรรค์ รังสิกุล 5 ก.ย.2504 - 14 ส.ค.2512 ผวจ.ศรีสะเกษ 26 นายกำเกิง สุรการ 17 ก.ย.2512 - 29 ก.ย.2514 ผวจ.ศรีสะเกษ ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ 61

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 62 ท ี่ ชือ่ ผู้วา่ ราชการจงั หวดั ระหวา่ ง พ.ศ. – พ.ศ. หมายเหตุ 27 นายประมวญ รังสิคุต 30 ก.ย.2514 - 22 พ.ย.2516 ผวจ.ศรีสะเกษ 28 นายเชื้อ เพชรช่อ 23 พ.ย.2516 - 26 ก.ค.2517 ผวจ.ศรีสะเกษ 29 นายพิศาล มูลศาสตรสาทร 24 ต.ค.2517 - 14 ต.ค.2518 ผวจ.ศรีสะเกษ 30 นายกรี รอดคำดี 15 ต.ค.2518 - 13 ต.ค.2521 ผวจ.ศรีสะเกษ 31 นายสมบูรณ์ ไทยวัชรามาศ 14 ต.ค.2521 - 31 มี.ค.2524 ผวจ.ศรีสะเกษ 32 เรือตรีดนัย เกตุศิริ 1 เม.ย.2524 - 30 ก.ย.2528 ผวจ.ศรีสะเกษ 33 นายจำลอง ราษฎร์ประเสริฐ 1 ต.ค.2528 - 30 ก.ย.2531 ผวจ.ศรีสะเกษ 34 นายธวัช โพธิสุนทร 1 ต.ค.2531 - 30 ก.ย.2533 ผวจ.ศรีสะเกษ 35 ร.ต.สมจิตต์ จุลพงษ์ 1 ต.ค.2533 - 30 ก.ย.2535 ผวจ.ศรีสะเกษ 36 นายอุทัยพันธ์ สงวนเสริมศรี 1 ต.ค.2535 - 30 ก.ย.2536 ผวจ.ศรีสะเกษ 37 นายจิโรจน์ โชติพันธ์ 5 ต.ค.2536 - 30 ก.ย.2540 ผวจ.ศรีสะเกษ 38 นายพจน์ ใจมั่น 20 ต.ค.2540 - 30 ก.ย.2542 ผวจ.ศรีสะเกษ 39 นายโกสินทร์ เกษทอง 1 ต.ค. 2542 – 22 เม.ย.2544 ผวจ.ศรีสะเกษ 40 นายสุจริต นันทมนตรี 23 เม.ย.2544 – 30 ก.ย.2545 ผวจ.ศรีสะเกษ

ที่ ชอื่ ผวู้ า่ ราชการจังหวดั ระหว่าง พ.ศ. – พ.ศ. หมายเหต ุ 41 นายสวัสดิ์ ศรีสุวรรณดี 1 ต.ค.2545 – 30 ก.ย.2546 ผวจ.ศรีสะเกษ 42 นายถนอม ส่งเสริม 1 ต.ค.2546 – 30 ก.ย.2548 ผวจ.ศรีสะเกษ 43 นายสันทัด จัตุชัย 1 ต.ค.2548–29 เม.ย.2550 ผวจ.ศรีสะเกษ 44 นายก้องเกียรติ อัครประเสริฐกุล 30 เม.ย. 2550 - 30 ก.ย.2550 ผวจ.ศรีสะเกษ 45 นายเสนีย์ จิตตเกษม 1 ต.ค. 2550 – 17 พ.ค.2552 ผวจ.ศรีสะเกษ 46 นายระพี ผ่องบุพกิจ 18 พ.ค. 2552 - 2 พ.ค. 2553 ผวจ.ศรีสะเกษ 47 นายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ 3 พ.ค. 2553 - 30 ก.ย. 2553 ผวจ.ศรีสะเกษ 48 นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต 1 ต.ต. 2553 – 23 พ.ย. 2554 ผวจ.ศรีสะเกษ 49 นายประทีป กีรติเรขา 29 ธ.ค. 2554 ถึง ปัจจุบัน ผวจ.ศรีสะเกษ ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ 63 ท่ีมา : สำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ, 2549, ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น : ประวัติอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ของจังหวัดศรีสะเกษ, ศรีสะเกษ : ศรีสะเกษการพิมพ์, น. 93 – 94 ;ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ, 2555ข,พระนามและรายนามผู้ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 ถึง ปัจจุบัน, สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555, จาก http:// www.sisaket.go.th/name_gov/name_gov.php

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนหน่วยการปกครองทั้งส่วน ภูมิภาค (อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน) และหน่วยการปกครอง ส่วนท้องถิ่น (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ดังนี้ ตารางที่ 2 หน่วยการปกครองส่วนภูมิภาค และหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ จำนวนตำบล/ องค์การปกครอง หมู่บ้าน ส่วนท้องถิ่น ลำดับ ที่ อำเภอ ตำบล ห ูม่บ้าน เทศบาลเมือง (แห่ง) เทศบาลตำบล (แห่ง) อบต. 1 เทศบาลเมืองศรีสะเกษ 2 - 1 - - อ.เมืองศรีสะเกษ 16 163 - 1 15 2 อ.กันทรารมย์ 16 175 - 1 16 3 อ.กันทรลักษ์ 20 279 1 1 19 4 อ.ขุขันธ์ 22 276 - 1 22 5 อ.ราษีไศล 13 190 - 1 13 6 อ.อุทุมพรพิสัย 19 232 - 4 16 7 อ.ขุนหาญ 12 145 - 6 7 8 อ.ปรางค์กู่ 10 141 - 1 10 9 อ.ไพรบึง 6 80 - 1 6 10 อ.ยางชุมน้อย 7 80 - 1 6 11 อ.ห้วยทับทัน 6 81 - 1 6 12 อ.โนนคณู 5 80 - - 5 13 อ.ศรีรัตนะ 7 90 - 1 7 64

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ จำนวนตำบล/ องค์การปกครอง หมู่บ้าน ส่วนท้องถิ่น ลำดับ ที่ อำเภอ ตำบล ห ูม่บ้าน เทศบาลเมือง (แห่ง) เทศบาลตำบล (แห่ง) อบต. 14 อ.บึงบรู พ์ 2 25 - 1 1 15 อ.น้ำเกลี้ยง 6 75 - - 6 16 อ.วังหิน 8 126 - 1 7 17 อ.ภูสิงห์ 7 86 - - 7 18 อ.เบญจลักษ์ 5 67 - - 5 19 อ.เมืองจันทร์ 3 52 - - 3 20 อ.พยุห์ 5 66 - 1 5 21 อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ 5 80 - - 5 22 อ.ศิลาลาด 4 44 - - 4 รวม 206 2,633 2 23 191 ทม่ี า : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษ, 2553, อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และ อปท., สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553, จาก http://www2.ect.go.th/about.php?Province=sisaket&SiteMenuID= 3080 2) การบริหารราชการส่วนทอ้ งถ่ิน การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของจังหวัดศรีสะเกษ มีทั้งหมด 4 รปู แบบ คือ 65

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 2.1) องคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 เป็นผลให้มีการจัดรูปแบบการบริหารองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดศรีสะเกษเต็มรูปแบบ นายกองค์การบริหารส่วน จังหวัดศรีสะเกษคนแรก คือ นายณรงค์สิทธิ์ เครือรัตน์ ได้รับ การเลือกตั้งจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้คะแนน 19 คะแนน จาก 36 คน เมื่อ พ.ศ. 2540 ส่วนข้อมูล การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 จังหวัดศรีสะเกษมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัด 36 คน จำนวนผู้มีสิทธิ์ 853,266 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 495,818 คน คิดเป็นร้อยละ 58.11 2.2) เทศบาลเมือง ช่วงปี พ.ศ. 2553 จังหวัดศรีสะเกษมีเทศบาล เมือง 2 แห่ง คือ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ และเทศบาลเมือง กันทรลักษ์ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เดิมเรียกว่า เทศบาลเมือง ขุขันธ์ ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2479 เดิมมีพื้นที่ 3.26 ตารางกิโลเมตร ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นเทศบาลเมือง ศรีสะเกษ เมื่อ พ.ศ. 2481 และมีการขยายเขตเทศบาลเพิ่มขึ้น เป็น 36.66 ตารางกิโลเมตร ตามพระราชกฤษฎีกาขยายเขต เทศบาล ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 104 เลขที่ 44 ลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2530 ปัจจุบันมีประชากรทั้งสิ้น 39,990 คน แยกเป็นชาย 19,311 คน หญิง 20,679 คน แบ่งเป็น 6 ตำบล คือ ตำบลเมืองเหนือ ตำบลเมืองใต้ตำบลโพธิ์ ตำบล หนองครก ตำบลหญ้าปล้อง และตำบลโพนข่า (ข้อมูลถึงเดือน พฤศจิกายน 2553) 66

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ ปจั จบุ ัน เทศบาลเมืองศรีสะเกษ มนี ายฉฐั มงคล อังคสกุลเกียรติ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี โดยม ี รองนายกเทศมนตรี 3 คน คอื นายนพดล จนั ทรพ์ วง นายมาโนช มหาสุวีระชัยและนาย ส. จึงศิรกุลวิทย์ ภายใต้ชื่อกลุ่มการเมือง ท้องถิ่นว่า “กลุ่มมิตรประชา” ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มแรก และกลุ่มเดียวของเทศบาลเมืองศรีสะเกษที่ผูกขาดอำนาจ ทางการเมืองมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยมี นายฉัฐมงคล อังคสกุล- เกียรติ เป็นหัวหน้ากลุ่มตั้งแต่เริ่มแรก นายฉัฐมงคลเริ่มมี บทบาททางการเมืองท้องถิ่นครั้งแรกโดยการดำรงตำแหน่งเป็น สมาชิกสภาเทศบาล เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2523 และขึ้น ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาที่ดำรง ตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษทั้งสิ้น รวมเป็น 8 สมัยติดกัน ภายใต้ชื่อ “กลุ่มมิตรประชา” ซึ่งเป็นกลุ่ม การเมืองท้องถิ่นระดับเทศบาลเมืองกลุ่มหลักกลุ่มเดียวที่มี บทบาทผูกขาดอำนาจสามารถชนะการเลือกตั้งเทศบาลมาได้ อย่างท้วนถ้วนทุกยุคสมัย ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 26 ปี 2.3) เทศบาลตำบล ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 จังหวัดศรีสะเกษ มีเทศบาลตำบลทั้งสิ้น 23 แห่ง ได้แก่ เทศบาลตำบลน้ำคำ (อำเภอเมือง) เทศบาลตำบลกันทรารมย์ (อำเภอกันทรารมย์) เทศบาลตำบลสวนกล้วย (อำเภอกันทรลักษ์) เทศบาลตำบล ห้วยเหนือ (อำเภอขุขันธ์) เทศบาลตำบลเมืองคง (อำเภอ 67

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ราษีไศล) เทศบาลตำบลกำแพง (อำเภออุทุมพรพิสัย) เทศบาล ตำบลสระกำแพงใหญ่ (อำเภออุทุมพรพิสัย) เทศบาลตำบล โคกจาน (อำเภออุทุมพรพิสัย) เทศบาลตำบลอุทุมพรพิสัย (อำเภออุทุมพรพิสัย) เทศบาลตำบลขุนหาญ (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลโนนสูง (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลสิ (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลกันทรอม (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลกระหวัน (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลโพธิ์ กระสังข์ (อำเภอขุนหาญ) เทศบาลตำบลปรางค์กู่ (อำเภอ ปรางค์กู่) เทศบาลตำบลไพรบึง (อำเภอไพรบึง) เทศบาลตำบล ยางชุมน้อย (อำเภอยางชุมน้อย) เทศบาลตำบลห้วยทับทัน (อำเภอห้วยทับทัน) เทศบาลตำบลศรีรัตนะ (อำเภอศรีรัตนะ) เทศบาลตำบลบึงบูรพ์ (อำเภอบึงบูรพ์) เทศบาลตำบลวังหิน (อำเภอวังหิน) และเทศบาลตำบลพยุห์ (อำเภอพยุห์) 2.4) องคก์ ารบริหารสว่ นตำบล ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 จังหวัดศรีสะเกษ มีองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวนรวมทั้งสิ้น 191 แห่ง (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) 1.5 ทรัพยากรธรรมชาติ 1) แหล่งน้ำ จังหวัดศรีสะเกษมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญ คือ แม่น้ำมูล ห้วยสำราญ ห้วยขยุง ทั้งจังหวัดมีแม่น้ำ ห้วย ลำธาร คลอง 687 สาย ส่วนแหล่งน้ำชลประทานที่มีอยู่ในจังหวัด ประกอบด้วย โครงการขนาดกลาง โครงการขนาดเล็ก โครงการ 68

ข้อมูลพื้นฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการหมู่บ้านป้องกันตนเอง ชายแดน ศูนย์บริการเกษตรเคลื่อนที่ ขุดลอกหนองน้ำและ คลองธรรมชาติ แหล่งน้ำในไร่นา และ ค.ปร.(ขุดสระ) 2) ป่าไม้ จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ 8,839.926 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,524,953.85 ไร่ มีพื้นที่ป่าทั้งจังหวัด 2,136.24 ตาราง กิโลเมตร หรือ 1,366,444 ไร่ แบ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ 25 ป่า เนื้อที่ 1,274,312 ไร่ หรือ 2,038.83 ตารางกิโลเมตรและป่าไม้ ถาวรเตรียมการสงวน 4 ป่า คิดเป็น 147.41 ตารางกิโลเมตร หรือ 92,132 ไร่ มีพื้นที่ป่าที่ยังคงสภาพป่าที่สมบูรณ์ 1,032 ตารางกิโลเมตร หรือ 645,000 ไร่ คิดเป็น 11.67% ของเนื้อที่ จังหวัดศรีสะเกษ(ข้อมูลจากดาวเทียม ปี 2547)และยังสามารถ จำแนกพื้นที่ป่า ออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ป่าอนุรักษ์ 755 ตารางกิโลเมตร หรือ 471,875 ไร่ ป่าชุมชน(ที่มีพื้นที่อยู่ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติและป่าเตรียมการ) 39.3 ตารางกิโลเมตร หรือ 24,548 ไร่ และป่าเศรษฐกิจ(Zone E) จำนวน 814,778 ไร่ (ข้อมลู ปี 2549) 3) ภเู ขา ทางทิศใต้ของจังหวัดศรีสะเกษมีเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เป็นแนวชายจากทิศตะวันออก–ทิศตะวันตก มีความยาว ประมาณ 127 กิโลเมตร มีช่องทางติดต่อเข้า-ออก 26 ช่อง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณร้อยละ 20 ของพื้นที่ในเขตอำเภอ ขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ อำเภอภูสิงห์ อำเภอกันทรลักษ์ 69

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 1.6 โครงสร้างประชากรและสังคม 1) สภาพทั่วไปของประชากร (คณะกรรมการฝ่าย ประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, 2544, น. 40-43) สิ้น พ.ศ. 2554 ประชากรในจังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,452,203 คน แยกเป็นชาย 726,173 คน เป็นหญิง 726,030 คน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2554) (ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ, 2555ก) 1.1) การย้ายถ่นิ ของประชากร จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2513 มีประชากร อายุ 5 ปีขึ้นไปย้ายภูมิลำเนามายังจังหวัดศรีสะเกษ รวม 53,829 คน เป็นชายมากกว่าหญิง ส่วนใหญ่เป็นการย้าย ระหว่างจังหวัด ระหว่าง พ.ศ. 2518 - 2523 ประชากรอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปที่อยู่ในเขตเทศบาล เป็นผู้ย้ายมาจากจังหวัดอื่น ร้อยละ 11.75 ส่วนนอกเขตเทศบาลเป็นผู้ย้ายมาจากจังหวัดอื่น ร้อยละ 1.79 และระหว่าง พ.ศ. 2528 - 2533 มีประชากรจังหวัด อื่นย้ายเข้ามาอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ ประมาณ 27,877 คน โดยเป็นการย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเทศบาลมากกว่านอกเขต เทศบาลเช่นเดียวกัน สถานที่อยู่ก่อนการย้ายหากไม่นับ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม จะได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ นครราชสีมาและบุรีรัมย์ มากที่สุดตามลำดับ ส่วนสาเหตุของการย้ายส่วนใหญ่เป็นการย้ายตามบุคคลใน ครัวเรือน ย้ายเพราะเปลี่ยนสถานภาพสมรส และย้ายตาม หน้าที่การงานมากที่สุดตามลำดับ 70

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ จากข้อมูลสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง สรุปว่า ใน พ.ศ. 2535 จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนประชากรย้ายเข้าสงู เป็นลำดับที่หกของภาคตะวันออก- เฉียงเหนือ (ร้อยละ 5.73) รองจาก นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี และบุรีรัมย์ ส่วนการย้ายออกนั้น ใน พ.ศ. 2534 มีประชากรจังหวัดศรีสะเกษ ย้ายออกสูงเป็นอันดับที่ห้า ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ร้อยละ 6.93) รองจากสุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่นและบุรีรัมย์ โดยมีการย้ายออกประมาณ กว่า 6 หมื่นคน การย้ายถิ่นมีลักษณะเป็นการย้ายออกมากกว่า การย้ายเข้าทุกปี ระหว่างช่วง พ.ศ. 2531 - 2534 1.2) มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชากร มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชากร วัดจาก คุณภาพของที่อยู่อาศัย การครอบครองที่อยู่อาศัย และสิ่ง อำนวยความสะดวกต่างๆ อาจกล่าวได้ว่า มาตรฐานความเป็น อยู่ของประชากรจังหวัดศรีสะเกษโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และมีความแตกต่างกันพอสมควร ระหว่างครัวเรือนในและ นอกเขตเทศบาลร้อยละ 88 ของครัวเรือนทั้งสิ้น มีที่อยู่อาศัยที่ สร้างขึ้นด้วยวัตถุถาวรได้แก่ ไม้ และซีเมนต์ ครัวเรือนนอกเขต เทศบาลมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัย ในฐานะเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อ ในสัดส่วนที่สูงกว่าครัวเรือนในเขต เทศบาล อัตราการมีไฟฟ้าใช้ และการใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ 71

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 1.3) การอพยพแรงงาน การอพยพแรงงานถือเป็นเอกลักษณ์และ จุดเด่นของจังหวัดศรีสะเกษ คนงานหรือผู้ใช้แรงงานใน กรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑล ในไรน่ าภาคกลาง ภาคตะวนั ออก ภาคใต้ ในท้องทะเลและแม้ในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มาจากจังหวัดศรีสะเกษ แบบแผนของการอพยพแรงงานของ ชาวศรีสะเกษ เป็นไปในลักษณะเดียวกับการอพยพแรงงานของ ชาวภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทง้ั ภาค งานวจิ ยั หลายชน้ิ สรปุ ผลวา่ ชาวชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นประชากรที่มีการ เคลื่อนย้ายสูง การอพยพมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ของ ครัวเรือน ผู้อพยพทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นคนโสด หญิง เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วจะอพยพเพื่อหางานทำน้อยลง ในขณะที่ชายจะอพยพเพื่อหางานทำตามฤดูกาลอยู่เหมือนเดิม ปลายทางของการอพยพของแรงงานสว่ นใหญ่ คอื กรงุ เทพมหานคร และปริมณฑล การอพยพตามฤดูกาลมีเป็นจำนวนมากที่มุ่งไป ยงั เขตชนบทภาคกลางเพอ่ื รบั จา้ งทำงานเกษตรกรรม ซง่ึ สว่ นใหญ่ จะอพยพไปหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนตุลาคมถึง พฤศจิกายน และจะกลับถิ่นฐานเดิมใน เดือนเมษายนถึง พฤษภาคม พ่อแม่ มีอิทธิพลสำคัญต่อการตัดสินใจอพยพ ไปหางานทำต่างถิ่นสำหรับผู้มีอายุยังน้อย พ่อแม่บางกลุ่มนิยม ให้ลูกสาวไปทำงานต่างถิ่นเพราะเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความ ยากจนของครอบครัวได้ เพราะเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะประหยัด และส่งเงินกลับบ้านอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่แต่งงานแล้ว 72

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ คู่สมรสมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่จะอพยพหรือไม่อพยพ ส่วน ปัจจัยประกอบการตัดสินใจอื่นๆ ได้แก่ การมีเพื่อนหรือญาติ อพยพไปก่อนแล้ว ความคาดหวังในโอกาสที่ดีกว่า เป็นต้น ผู้อพยพส่วนใหญ่ จะมีเงินติดตัวไปเป็นทุนเพียง เล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย ลักษณะการอพยพมักไปเป็นกลุ่ม เมื่อไปถึงแล้วก็ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนหรือญาติ ส่วนใหญ่จะยัง ไม่มีงานทำ บางคนหางานอยู่หลายเดือนกว่าจะได้งานทำ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักไปทำงานบ้าน งานซักรีด เลี้ยงเด็ก ขายของ ทำงานโรงงาน ทำงานตามร้านอาหาร ส่วนผู้ชายมักไปทำงาน ก่อสร้าง กรรมกรแบกหาม ร้านอาหาร ขับรถแท็กซี่ เป็นต้น ทุกคนมีความอดทนหนักเอาเบาสู้ และสามารถส่งเงินมาให้ ครอบครัวที่รอคอยอยู่ทางบ้าน ในโอกาสเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เข้าพรรษา ออกพรรษา ลูกหลานชาวศรีสะเกษ จะกลับมาพร้อมกองผ้าป่ามาบำรุงวัด การศึกษาและสาธารณประโยชน์ ในท้องถิ่นของตนเองเป็น ประจำ ในส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ สถิติของผู้อพยพ ไปทำงานต่างถิ่นซึ่งได้จาก กชช.2 ค. พ.ศ. 2540 พบว่ามีทั้งสิ้น 56,736 คน ไม่ได้แยกชาย-หญิง เป็นผู้อพยพไปจากอำเภอ อุทุมพรพิสัย มากที่สุดถึง 11,087 รองลงมาคือ อำเภอ กันทรลักษ์ 8,653 คน อำเภอขุนหาญ 5,613 คน นอกนั้นเป็น อำเภอที่มีผู้อพยพต่ำกว่า 5,000 คน อำเภอที่มีผู้อพยพ น้อยที่สุด คือ อำเภอพยุห์และอำเภอบึงบรู พ์ 73

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ประเภทงานที่มีผู้อพยพไปทำงานต่างถิ่น ส่วนใหญ่พบว่าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมร้อยละ 55.13 รองลงมาได้แก่ การประกอบอาชีพส่วนตัวร้อยละ 19.93 งานบริการร้อยละ 15.56 งานเกษตรร้อยละ 7.55 และงาน เบ็ดเตล็ดอื่นๆ ร้อยละ 0.15 การอพยพไปหางานทำต่างถิ่นนี้ มีผลกระทบ ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ในด้านบวกที่เห็นได้ชัดคือ การกระจาย รายได้ ช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทลดน้อยลง โดยแรงงาน อพยพเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง กระบวนการถ่ายทอดความรู้ ระหว่างชุมชนเมืองกับชนบทกระทำได้รวดเร็ว โดยผ่านระบบ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ส่วนด้านลบได้แก่ การสร้างปัญหา ให้พื้นที่ปลายทาง ทำให้เกิดปัญหาชุมชนแออัด และปัญหา สังคมต่างๆ ผู้อพยพเองหากไม่มีการแจ้งย้ายทะเบียนบ้านจะ ไม่สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการใช้สิทธิเลือกตั้ง และจะไม่สามารถใช้สิทธิรับบริการบางอย่างจากรัฐ เช่น บัตรสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น ในด้านชุมชนต้นทางจะ ขาดแรงงานที่จะช่วยกันทำงานส่วนรวมของหมู่บ้าน ชุมชน ทเ่ี คยพง่ึ ตนเองได้ อาจตอ้ งกลายเปน็ ชมุ ชนทพ่ี ง่ึ พาจากภายนอก ทั้งในด้านตัวเงินและการดำเนินชีวิต ซึ่งจะนำความอ่อนแอมาสู่ ชุมชนมากขึ้นทุกขณะ 2) โครงสรา้ งทางสังคม 2.1) การศกึ ษา จังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการศึกษาออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบการศึกษาในโรงเรียนและระบบการศึกษา 74

ข้อมูลพ้ืนฐานและประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ นอกโรงเรียน จำนวนโรงเรียนและสถาบันศึกษา โรงเรียน ประถมศึกษา 734 แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษา 112 แห่ง สถาบัน อาชีวศึกษา 10 แห่ง และสถาบันอุดมศึกษา 6 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขต ศรีสะเกษ วิทยาลัยเฉลิมกาญจนา มหาวิทยาลัยรามคำแหง (สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดศรีสะเกษ) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (ศูนย์วัดสระ- กำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏ ราชวิทยาลัย (ศนู ย์การศึกษาศรีสะเกษ) 2.2) การศาสนา ประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ 99.7 มีจำนวนวัดที่พักสงฆ์ทั้งสิ้น 1,409 วัด นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.01 และนับถือศาสนา คริสต์ ร้อยละ 0.3 2.3) ประเพณแี ละวฒั นธรรม จังหวัดศรีสะเกษเป็นดินแดนที่มีปราสาทหิน และวัตถุโบราณมากมายหลายแห่ง แสดงให้เห็นถึงความเจริญ รงุ่ เรอื งของอารยธรรมของยคุ กอ่ นๆ ทเ่ี คยเกดิ ขน้ึ ในบรเิ วณแถบน้ี ประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษเป็นผู้รักความสงบ มีความ เอื้อเฟื้อและจริงใจกับคนทั่วไป รักอิสระ และเนื่องจากประชากร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบทซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรมจึงอยู่กัน แบบเครอื ญาตนิ บั ถอื ผอู้ าวโุ สอาศยั จารตี ประเพณแี ละวฒั นธรรม ดั้งเดิมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 75