Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Description: เล่มที่31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ “สมัยก่อนที่เขาเอาปลาทูมาแจก ไม่ได้แจกที่อำเภอ เมือง แต่แจกอยู่ที่อำเภอรอบนอก เช่น ที่อำเภอราษีไศล โดยนำ ปลาทูใส่ตู้รถไฟมา แล้วเอาไปแจก ส่งผลให้ได้เสียงจากชาว ราษีไศลจนชนะการเลือกตั้ง ต่อมา ส.ส.คนนี้ได้ของบมาทำ คลองส่งน้ำให้เกษตรกรปลูกหอม กระเทียม ปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันโครงการนี้ก็ยังอยู่..” (มนตรี ไสยสมบัติ, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) การแจกเงินและสิ่งของในยุคแรกนี้ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ลักษณะแรก ผู้สมัคร ส.ส.จะเดินแจกเงินหรือสิ่งของเอง ลักษณะที่สอง จะมอบหมายให้หัวคะแนนซึ่งมักเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าชุมชนหรือตัวแทนของผู้สมัคร เดินแจกเงินหรือสิ่งของแทน โดยมักจะดำเนินการช่วงหนึ่งวัน ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ในการเลือกตั้ง ส.ส.แต่ละครั้ง อาจจะมีการ แจกหลายพรรค หลายเบอร์ แต่ละเบอร์จะแจกในมูลค่าที ่ แตกต่างกันไป ซึ่งเบอร์ใดแจกมากกว่าก็มีโอกาสสูงที่จะชนะ การเลือกตั้ง แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะจะมีชาวบ้านบางกลุ่มที่มี ความมักคุ้น นิยมชื่นชอบผู้สมัครบางคนอยู่แล้ว เวลามีเบอร์อื่น มาแจกก็จะรับไว้ แต่จะไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครที่ตน ชื่นชอบ สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ นายมนตรี ไสยสมบัติ ผู้เคยอยู่ในทีมงานช่วยผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ใน สมัยอดีต วิเคราะห์ว่า การแจกเงินหรือสิ่งของไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ จะทำให้ชนะการเลือกตั้งเสมอไป โดยมีกรณีตัวอย่าง ส.ส.ที่ไม่ ได้แจกเงินหรือสิ่งของแต่ประชาชนก็ยังเลือก เช่น นายเทพ 226

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ โชตินุชิต ส.ส.หลายสมัยช่วง พ.ศ. 2480 – 2500 หรือกรณีนาย บุญเพ็ง พรหมคุณ ซึ่งเป็น ส.ส.ใน พ.ศ. 2491 ใช้วิธีการร้อง หมอลำขอคะแนนเสียง เป็นต้น “เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญเสมอไป สำคัญอยู่ที่คนที่จะ เสนอตัวเข้ามารับใช้ประชาชนต้องมีความจริงใจ มีความ ซื่อสัตย์ กล้าทำ กล้าแสดง ประชาชนเขาต้องการคนอย่างนี้ มากกว่า หากแจกแล้วประชาชนขอความช่วยเหลือยาก พบยาก เข้าถึงยาก ประชาชนก็อาจจะไม่เลือก” (มนตรี ไสยสมบัติ, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) ในขณะที่ ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ หลายสมัยวิเคราะห์การเมืองศรีสะเกษในช่วงแรกๆ ว่า “การเมืองศรีสะเกษเคยมีประวัติที่น่ารังเกียจอยู่มาก ตั้งแต่ยุค ปลาทูเค็มที่นักการเมืองที่อยู่กรุงเทพฯ เอาปลาทูเค็มใส่เข่งขึ้น รถไฟไปแจกแล้วก็ได้เป็นผู้แทน จากนั้นมีการเอาคนจากอยุธยา กรุงเทพฯ หิ้วกระเป๋าเงินไปแจกแล้วก็ได้เป็นผู้แทนโดยไม่คำนึง ว่าเป็นคนในท้องถิ่นหรือไม่ รวมทั้งในยุคหลังๆ ก็จะมีเศรษฐี จากภาคอื่นๆ ที่มีเงินมากไปลงสมัครที่จังหวัดศรีสะเกษแล้วได้ เป็น ส.ว. หรือ ส.ส. ดังนั้น ศรีสะเกษจึงถูกมองว่า เป็นจังหวัดที่ เอาเงินซื้อได้” (กุเทพ ใสกระจ่าง, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2555) ส่วนนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ที่ได้รับการ เลือกตั้งมากที่สุดในจังหวัดศรีสะเกษทั้งหมด 11 สมัย ได้ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่อยู่ในวงการเมืองศรีสะเกษมามากกว่า 30 ปีโดยวิเคราะห์การเมืองของจังหวัดนี้ว่าในช่วง พ.ศ. 2512 227

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้นมา เงินคือปัจจัยหลักที่จะทำให้ผู้สมัคร ส.ส.ได้รับ ชัยชนะในการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ปัจจัยที่สองคือ ความเป็นเครือญาติ ความรู้จักมักคุ้น และ ปัจจัยที่สาม คือ การสามารถพึ่งพาอาศัยได้ของชาวบ้าน ส่วน ประเด็นด้านนโยบายไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญมากนัก “เงินคือปัจจัยหลักในการเลือกตั้ง แต่ละพื้นที่มันไม่ เหมือนกัน เราไม่สามารถจะเอาเป็นกฎเกณฑ์ได้ทั้งหมด มันแล้วแต่หมู่บ้าน แล้วแต่หน่วยเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญ หนึ่งคือ เงิน สองคือญาติพี่น้อง สามคือคนที่เขาจะพึ่งพาอาศัยได้ หากว่ามีการเลือกตั้งผู้แทนได้หลายคน ก็จะใช้ปัจจัยนี้เลือก อย่างละคน แจกเงินมากเอา 1 คน ญาติพี่น้องเอา 1 คน คนที่ จะพึ่งพาอาศัยเอา 1 คน..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) นอกจากนั้น นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ยังได้ให้ข้อคิดที่น่า สนใจว่า การไปโทษชาวบ้านในอดีตว่าโง่ที่ถูกชักจูงได้ด้วยเงิน ซื้อเสียงนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและขาดการคิดพิจารณา ไตร่ตรองอย่างรอบด้าน เพราะในความเป็นจริงแล้วในสมัยนั้น ประชาชนเองก็มีข้อจำกัดทางข้อมูลในการตัดสินใจเลือกคน ด้วยเช่นกัน เพราะในการเลือกตั้ง ส.ส.แต่ละครั้งจะมีผู้สมัครขึ้น ป้ายอย่างทั่วถึงไม่กี่คน อีกทั้งประชาชนในเขตชนบทส่วนใหญ่ มีฐานะยากจน การศึกษาวิจัยชิ้นนี้ ได้ค้นพบประเด็นสำคัญว่านับตั้งแต่ ช่วง พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา อานุภาพ หรืออิทธิพลของ “เงิน ซื้อเสียง” ได้ลดความสำคัญลงไปบ้าง “เงิน” ไม่ได้เป็นตัวแปร 228

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ หรือปัจจัยหลักที่จะตัดสินแพ้ชนะการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นที่สอดแทรกเข้ามาเพิ่ม คือ ปัจจัยเรื่องพรรค การเมืองที่สังกัด และการลงพื้นที่โดยสม่ำเสมอ โดยนายปวีณ แซ่จึง ส.ส.หลายสมัยจังหวัดศรีสะเกษ วิเคราะห์ว่า การแจกเงินไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะตัดสินการแพ้ชนะ บางเขตบางพื้นที่การแจกเงินอาจจะได้ผล โดยมีปัจจัยเรื่อง พรรคที่สังกัด และเรื่องตัวบุคคลด้วยว่าประชาชนรู้จัก คุ้นเคย มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ส.ส.ปวีณยังเสนออีกว่า หากจะ ให้การเมืองมีการพัฒนา ต้องทำให้เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็ก เพราะประชาชนจะได้เลือกคนที่ประชาชนชื่นชอบ และคนที่อยู่ ในพื้นที่ก็จะมีโอกาสได้รับเลือกตั้ง ส่วนคนที่มาจากต่างถิ่นจะมี โอกาสน้อย และสรุปว่าในอดีต ส.ส.จะไม่ผูกพันกับประชาชน มากนัก เลือกตั้งเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างไป แต่สมัยปัจจุบัน ส.ส.ต้องลงพื้นที่ เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วต้องลงพื้นที่อย่าง ต่อเนื่อง “การเลือกตั้งสมัยก่อน พรรคการเมืองกับประชาชนไม่ ได้ผูกพันกันมากนัก เลือกเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างไป แต่เดี๋ยวนี้ มันไม่เหมือนเมื่อก่อน สมัยนี้พอถึงเวลาก็ต้องมาลงพื้นที่ พอเป็นแล้วต้องลงพื้นที่ด้วย..” (ปวีณ แซ่จึง, สัมภาษณ์, 21 มีนาคม 2551) ส่วนนายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 สะท้อนลักษณะสำคัญของการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเห็นว่ารูปแบบการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ได้เปลี่ยนแปลงจากอดีตเป็นอย่างมาก ในยุคใหม่การ 229

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ หาเสียงจะเน้นที่นโยบายของพรรคเป็นหลัก และเชื่อว่าการใช้ เงินซื้อเสียงจะลดความสำคัญลงเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยด้าน นโยบายและพรรคการเมืองที่สังกัดเข้ามาแทน รวมถึงปัจจัย ด้านบุคคล และเห็นว่าในอดีตประชาชนจะยึดติดที่ตัวบุคคล เป็นหลัก จะสังกัดพรรคการเมืองใดก็ไม่มีผล แต่ในปัจจุบัน ทั้งตัวบุคคลและพรรคที่สังกัดล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน หากเป็นตัวบุคคลที่ประชาชนชื่นชอบ แต่สังกัดพรรคการเมืองที่ ประชาชนไม่ชื่นชอบก็อาจจะแพ้การเลือกตั้งได้ แต่ถ้าหากเป็น บุคคลที่ประชาชนชื่นชอบและได้สังกัดพรรคที่ประชาชนชื่นชอบ ด้วยก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ผู้สมัคร ส.ส.คนนั้นได้รับชัยชนะใน การเลือกตั้ง ดังบทสัมภาษณ์ว่า “การหาเสียงสมัยนี้ เน้นการพูดนโยบายพรรคให้ ประชาชนทราบก็คือปราศรัยนั่นเอง แต่สมัยก่อนเขาไม่ได้เน้น ปราศรัยมากนัก หัวคะแนนมันจะลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเงินก็จะสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆ นโยบายจะมีความ สำคัญมากกว่า ในด้านการตัดสินใจเลือกตั้ง ส.ส. มองว่า ประชาชนจะพิจารณาจากตัวบุคคลเป็นลำดับแรก และปัจจัยที่ สำคัญใกล้เคียงคือพรรคการเมืองที่สังกัด แต่สมัยก่อนจะเน้นที่ ตัวบุคคลเป็นหลัก พรรคการเมืองจะรองลงมา พรรคไหนก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ขอให้เป็นคนนี้ด้วยและก็ พรรคนี้ด้วย เมื่อก่อนนี้จะเน้นเรื่องบุคคลเป็นหลัก แล้วก็เรื่อง เงิน หัวคะแนน ถึงมาพิจารณาที่เรื่องพรรค.. เรื่องเงินไม่ใช่เป็นประเด็นหลัก ไม่ใช่ตัวแปรหลักใน สถานะปัจจุบัน ผู้สมัครกับพรรคการเมืองยังเป็นตัวหลักอยู่ 230

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ สำหรับการเลือกตั้งระดับชาติไม่ใช่ระดับท้องถิ่น ในการเมือง ระดับชาตินี้จะมีตัวแปรเรื่องตัวบุคคลกับพรรคมาเกี่ยวข้องมาก กว่าเงิน และยิ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาไปมาก เงินก็จะยิ่งมี ความสำคัญลดลง เมื่อก่อนยอมรับ แต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไป เรื่อยๆ แต่ก่อนอาจจะซื้อได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่เดี๋ยวนี้อาจจะ ห้าสิบห้าสิบ และจะมีแนวโน้มน้อยลงไปเรื่อยๆ การเลือกตั้งที่ ผ่านมามันชัดเจน คนที่อยู่ในสังคมก็จะรู้ดีว่าเงินมันซื้อไม่ได้..” (ธเนศ เครือรัตน์, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) ด้าน นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 3 จังหวัดศรีสะเกษ เห็นไม่ต่างจากนายธเนศ เครือรัตน์ โดยวิเคราะห์ว่าแต่เดิมประชาชนจะเลือกตั้ง ส.ส.โดยยึดติดกับ ตัวบุคคลเป็นหลัก แต่หลังจาก พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ประชาชน ชื่นชอบในนโยบายของพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ส่งผลให้เกิดกระแสความนิยมพรรคไทยรักไทย ในขณะที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เคยสังกัดพรรคไทยรักไทยหากย้ายไป สังกัดพรรคอื่น ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง และคะแนน เสียงของผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยก็ห่างจากผู้สมัครคนอื่น มาก ดังคำสัมภาษณ์ว่า “พัฒนาการในการหาเสียงของ ส.ส.ศรีสะเกษ ตั้งแต่ยุค แรกจนถึงยุคปัจจุบัน เดิมทีประชาชนจะยึดตัวบุคคลเป็นหลัก แต่หลังจากที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่มีการเลือกตั้งแบบใหม่แบบเขตเดียว เบอร์เดียว ปรากฏว่านโยบายของพรรคไทยรักไทย ถูกนำไป ปฏิบัติเกือบทุกข้อ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ทำให้คนส่วนใหญ่ 231

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ โดยเฉพาะทางภาคอีสานชื่นชอบในตัวพรรคและหัวหน้าพรรค ทำให้กระแสที่ยึดตัวบุคคลนั้นเป็นรอง.. วิธีการหาเสียงก็ใช้ระบบพรรคนำและชูหัวหน้าพรรคที่ ประชาชนชื่นชม การเมืองในช่วงหลังปี 2544 เป็นต้นมามันเริ่ม เปลี่ยน จะเห็นได้ชัดเจนจากเครื่องชี้วัดคือ ในการเลือกตั้ง ปี 2550 คนที่ออกจากพรรคไทยรักไทยจะตกเกือบ 80% ยกตัวอย่างง่ายๆ จังหวัดศรีสะเกษ คนที่เปลี่ยนพรรคไปมี 3 คน คือ นางมาลินี อินฉัตร นายมานพ จรัสดำรงนิตย์ นายพิทยา บุญเฉลียว สามคนร่วงหมดและคะแนนห่างมากด้วย..” (วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) สอดคลอ้ งกบั ความเหน็ ของนายธนชั พงศ ์ เจนพทิ กั ษค์ ณุ อดีตกำนันตำบลกู่ อ.ปรางค์กู่ ที่เห็นพัฒนาการการหาเสียง เลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษมาหลายสิบปีว่า เงินไม่ใช่ปัจจัย หลักเพียงปัจจัยเดียวที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัด ศรีสะเกษ แต่ยังขึ้นอยู่กับการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน อย่างสม่ำเสมอ การมีผลงานว่าได้ทำประโยชน์อะไรให้ ประชาชนในพื้นที่ ดังคำสัมภาษณ์ว่า “ปัจจัยเรื่องเงินมันไม่แน่เสมอไป เงินเป็นส่วนหนึ่ง อยู่ที่ ตัวผู้สมัครเองด้วยว่าได้ทำการบ้านดีหรือไม่ ถ้าหากใครที่อยู่ใน พื้นที่แล้วดูแลพบปะพี่น้องประชาชนก็จะมีโอกาสได้คะแนน ถ้าใครที่มาแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ชาวบ้านก็จะมองแล้วว่าไม่มี ผลงานอะไรเลย บางครั้งรับเงินแต่อาจจะไม่ลงคะแนนให้ ถ้าจะเอาเงินมาเป็นตัวตั้ง ก็จะมีโอกาสแค่ 50:50 คือชาวบ้าน จะมองคนที่คลุกคลีหรือทำงานกับชาวบ้านเป็นประจำ 232

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ เป็นประเด็นในการพิจารณาด้วย..” (ธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ, สัมภาษณ์, 19 มีนาคม 2551) กล่าวโดยสรุป ในช่วงเริ่มแรก ปัจจัยเรื่อง “เงิน” ถือเป็น ปัจจัยหลักที่จะตัดสินให้แพ้หรือชนะการเลือกตั้ง ซึ่งทุกจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ การใช้เงินเป็นตัวหลัก การลงพื้นที่คลุกคลีเป็นปัจจัยรอง ยกเว้นคนที่มีความเป็นผู้นำพิเศษเฉพาะตัว หรือมีฐานเสียงของ ตนเองอย่างเหนียวแน่น แต่ในยุคสมัยต่อมา การใช้เงินซื้อเสียงเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้สมัครคนนั้นได้รับการเลือกตั้ง เมื่อ โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้มีพัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยเรื่องพรรคการเมืองที่ ส.ส.คนนั้นสังกัด การลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวแปรที่แทรกขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการซื้อเสียงในยุคปัจจุบันจะหายไป จะวัฒนธรรมทางการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษโดยสิ้นเชิง หาก แต่ยังต้องมีควบคู่กับตัวแปรแทรกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ คนหนึ่งซึ่งผู้วิจัยไม่ขอเปิดเผยชื่อ อธิบายว่า “ปัจจุบัน การ เลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้ง ส.ส.คนหนึ่งใช้เงินอย่างต่ำประมาณ 15 ลา้ นบาท ถา้ ซอ้ื เสยี งจะตอ้ งใชเ้ งนิ ประมาณ 30-40 ลา้ นบาท” 233

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 1.2 ย้ำความเป็นผู้ท่ีมีหน้าท่ีการงานดี และมีความรู้สูง เน้นปริญญา ในการเลือกตั้ง ตั้งแต่สมัยแรกจนถึงช่วง พ.ศ. 2530 นอกจากการพยายามชูตำแหน่งหน้าที่การงานและตำแหน่ง ทางการเมืองในระดับต่างๆ ที่ได้รับมาแล้ว ผู้สมัคร ส.ส.มักชู ความเป็นผู้มีความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับปริญญาในสาขาต่างๆ และดูเหมือนว่าจะเป็นค่านิยมสำหรับนักการเมืองและ ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นก็คือ ปริญญาทางกฎหมายจาก มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นกระแสธรรมศาสตร์นิยมก็ว่าได้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าในยุคนั้น ใครกต็ ามทจ่ี ะเปน็ นกั การเมอื งจะตอ้ งพยายามหาทางลงทะเบยี น เรียนเป็นนักกฎหมาย ส่วนหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ เหมาะสมในการเป็นตัวแทนของประชาชนที่จะเข้าไปทำหน้าที่ ในเวทีรัฐสภา เมื่อเป็นดังนี้จึงพบโดยทั่วไปในบรรดาผู้สมัครที่ได้ รับปริญญา จะสวมเสื้อครุยธรรมศาสตร์ หรือ ม.รามคำแหงใน การหาเสียงหรือลงป้ายโฆษณาแนะนำตนเอง และมีข้อความที่ เกี่ยวกับเรื่องปริญญาทางกฎหมาย เช่น กรณีของนายพุฒเทศ กาญจนเสริม(ส.ส.ขุขันธ์) พบว่าใช้ประเด็นการเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองหาเสียง ความว่า “..เวลานี้กำลังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชา ธรรมศาสตร์และการเมือง ในวันข้างหน้าจะนำดีกรีปริญญา มาฝากเป็นเกียรติยศแก่ขุขันธ์ ซึ่งเลือดเนื้อขุขันธ์ยังไม่มี และยัง อดุ หนนุ นอ้ งหลานในเวลานก้ี ำลงั เปน็ นกั ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั วชิ า ธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อเตรียมตัวนำดีกรีเกียรติยศมาช่วย กันกู้ขุขันธ์...” (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 278-279) 234

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ในสมัยต่อมานักการเมืองถิ่นศรีสะเกษที่ได้รับปริญญา ทางด้านกฎหมาย หรือประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับกฎหมาย มีหลายคน อาทิ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ สำเร็จการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2514 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เป็น ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับการ เลือกตั้งหลายสมัยที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ส.ส.มาจนถึง ปัจจุบัน โดยได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด 11 สมัย คือ พ.ศ. 2518, 2519, 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539 และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า นักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่ได้เป็น ส.ส.ในอดีต มักประกอบอาชีพทนายความ ผู้พิพากษา อาทิ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ นายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ นายเริ่มรัฐ จิตรภักดี นายเทพ โชตินุชิต นายพุฒเทศ กาญจนเสริม ขุนพิเคราะห์คดี เป็นต้น โดยนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ตั้ง ข้อสังเกตที่ทนายความนิยมมาเล่นการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษ ว่า เป็นเพราะทนายความสามารถให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่มีความเดือดร้อนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินทำกิน และเรื่องอื่นๆ “ชาวบ้านส่วนใหญ่เวลามีปัญหาพิพาทกัน ก็จะมาหา ทนายความก็จะเป็นคนแก้ปัญหาให้ กฎหมายมันแก้ปัญหาให้ เขาได้ ส่วนใหญ่ที่เขาเอาทนายเพราะว่าบางทีเขามีกรณีพิพาท ระหว่างเขตแดน ก็จะช่วยไกล่เกลี่ย..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) 235

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ นายปิยะณัฐ ยังสะท้อนลักษณะพิเศษของประชาชนใน จังหวัดศรีสะเกษว่า ความยากแค้นทางด้านเศรษฐกิจ ประกอบ กับลักษณะอุปนิสัยที่เจียมเนื้อเจียมตัว ความฝักใฝ่ในทาง ศาสนาพุทธ ส่งผลต่อลักษณะพฤติกรรมทางการเมืองในการ ตัดสินใจเลือกตั้ง ส.ส. “คนจังหวัดศรีสะเกษโดยพื้นฐานเป็นคนที่ว้าเหว่ ฐานะ ทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างจะด้อยกว่าที่อื่นทั้งหมด แต่อุปนิสัยของ คนศรีสะเกษเป็นคนซื่อสัตย์ ฝักใฝ่ในเรื่องธรรมะ เพราะว่า คนในพื้นที่มันผสมผสานกันระหว่างคนเชื้อสายเขมรกับลาว และก็จะมีชนกลุ่มน้อยอยู่ มันก็มีหลากหลาย มีส่วย เยอ คนเหล่านี้เป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวและก็รู้ตัวเองว่าเป็นคนที่ ด้อย เพราะฉะนั้นก็จะเคารพผู้ใหญ่ มีความซื่อสัตย์สุจริต ..แต่ ว่าในเวลาต่อมาระบบทุนนิยมมันทำให้คุณค่าของประชาชนมัน สูญหายไปหมด มันก็เป็นเรื่องระบบทุนเข้ามาครอบงำไป หมด..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) ในขณะที่ นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ส.ส.แบบ แบ่งเขต เขต 3 จังหวัดศรีสะเกษ วิเคราะห์ว่า เหตุที่ ส.ส.จังหวัด ศรีสะเกษในสมัยแรกๆ มักเป็นกลุ่มทนายหรืออดีตผู้พิพากษา เป็นเพราะจังหวัดศรีสะเกษเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาทในเรื่อง ที่ดินทำกินอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีคนต่างถิ่น อพยพเข้ามาทำกินแสวงหาที่อยู่ใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่แถบ อ.กันทรลักษ์ที่มีความขัดแย้งในที่ดินทำกินบ่อยครั้ง ประกอบ กับประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน และขาดการศึกษา เมื่อมีปัญหาจึงต้องปรึกษาพึ่งพาทนายในพื้นที่ 236

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ “จังหวัดศรีสะเกษมันเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา พูดง่ายๆว่ามี ปัญหาเรื่องที่ทำกินอันดับหนึ่ง และจะมีคนจากท้องถิ่นอื่น จังหวัดอื่นมาอยู่รวมกัน เช่น อำเภอกันทรลักษ์ มาจากหลาย จังหวัด ต่างคนต่างมาแสวงหาที่อยู่อาศัยและก็มาเริ่มต้นอาชีพ ใหม่ เพราะแต่ก่อนอำเภอกันทรลักษ์เขาเรียกว่าคูดินแดง เป็น พื้นที่ที่เหมาะกับการเกษตร และประการสำคัญก็คือ สมัยก่อน คนศรีสะเกษมีรายได้เฉลี่ยต่ำสุด ประชากรยากจนที่สุด มีปัญหาในเรื่องการศึกษา พอเกิดเรื่องคดีความมาก็ต้องพึ่งพา อาศัยทนายความ” (วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) 1.3 การชูประเด็นความเป็นคนในพ้ืนท่ีหรือท้องถิ่น การถูกคนไทยในเมืองหลวงมองว่าด้อยกว่า เป็นคน บา้ นนอก เปน็ คนตา่ งจงั หวดั ทม่ี กี ารศกึ ษานอ้ ย ยงั ไมค่ อ่ ยพฒั นา และด้อยในทางวัฒนธรรม การเผชิญกับสภาพเช่นนี้ทำให้คน อีสานมีแนวโน้มที่จะรวมกลุ่ม โดยเฉพาะเมื่อไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีความรู้สึกร่วมในเรื่องวัฒนธรรมย่อย ภาษาถิ่น รสนิยมเรื่องอาหาร ดนตรี และอื่นๆ เป็นที่มาของการเกิด แนวคิดท้องถิ่นนิยมหรือท้องถิ่นอีสานนิยม (ชาร์ลส์ เอฟ คายส์, 2552, น. 102) ผู้สมัคร ส.ส.ในอดีตมักนำประเด็นเรื่องนี้ไปใช้ ประโยชน์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้สมัครต่างถิ่นเข้ามาแข่งขัน หรือคนที่ไม่มีภูมิลำเนาที่นั้นมาสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันในพื้นที่ คู่แข่งก็จะชูประเด็นนี้หาเสียงหากตัวเองเป็นคนในพื้นที่ หรือถ้า หากไม่ใช่คนในพื้นที่ก็ต้องโฆษณาว่าหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว ตนจะย้ายมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในพื้นที่อย่างแน่นอน ดังเช่น 237

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ กรณี ส.ส.ขุขันธ์ เขต 2 นายพุฒเทศ กาญจนเสริม เคยได้รับ การเลือกตั้งเป็น ส.ส.เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 และ 2481 ในบรรทัดแรกของแผ่นโฆษณาหาเสียง คือ “เลือกนาย พุฒเทศ กาญจนเสริม ผู้มีเลือดขุขันธ์แท้..” เรื่องนี้เป็นประเด็น ที่แรงมากในพื้นที่ขุขันธ์ เขต 1 เพราะแม้กระทั่งหลวงราษฎร์ วิรุฬหกิจ ยังได้โฆษณาว่า “เลือกหลวงราษฎร์วิรุฬหกิจ เป็นผู้แทน เบอร์ 3 ข้าพเจ้า ขอรับรองโดยความซื่อสัตย์ว่า ถ้าข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทน แล้วข้าพเจ้าจะมาตั้งหลักฐานอยู่ในท้องที่จังหวัดขุขันธ์เพื่อ เป็นการสะดวกในเมื่อท่านทั้งหลายมีกิจธุระที่จะปฤกษาหารือ ไดโ้ ดยสะดวก..” (ดารารตั น ์ เมตตารกิ านนท,์ 2546, น. 270-271) ดังนั้น ประเด็นในเรื่องคนในคนนอกหรือท้องถิ่นนิยมนั้น อาจกล่าวได้ว่า ผู้แทนราษฎรมีส่วนสำคัญในการจุดกระแสใน เรื่องนี้ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลที่มีการเลือกตั้งซึ่งได้รับการเน้น และย้ำในหลายๆ พื้นที่ทั่วประเทศ ในยุคปัจจุบัน การชูประเด็นความเป็นคนในพื้นที่หรือ เป็นคนในท้องถิ่นได้ลดความสำคัญลง เห็นได้จากกรณีการ ได้รับการเลือกตั้งของตระกูลนางสุนีย์ อินฉัตร แม้ว่าพื้นเพเดิม เป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ และได้ย้ายไปประกอบธุรกิจที่จังหวัด ชลบุรี ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่อำเภอปรางค์กู่ เมื่อ พ.ศ. 2537 และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด ศรีสะเกษ จากการเลือกตั้งซ่อม เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 รวมทั้งยังส่งบุตรสาว 2 คนลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ ประกอบด้วย นางมาลินี อินฉัตร ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. 238

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ แบบแบ่งเขต เขต 7 จากการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 และส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 7 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 2 เมษายน 2549 (การเลอื กตง้ั เปน็ โมฆะ) และ น.ส.วลิ ดั ดา อนิ ฉตั ร ลูกสาวของนางสุนีย์อีกคนก็ถูกส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต พรรคชาติไทย จังหวัดศรีสะเกษ จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แม้ว่าจะไม่ประสบ ความสำเร็จ แต่ก็ได้รับคะแนนเลือกตั้งถึง 44,942 คะแนน รวมถึง กรณี นายวิวัฒนชัย โหตระไวยศยะ ซึ่งพื้นเพ เดิมเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี แต่ใน พ.ศ. 2530 มามี ครอบครัวอยู่ที่ อ.กันทรลักษ์ ก่อนที่จะลงหลักปักฐานและได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ปี พ.ศ. 2538 ต่อมาได้รับการ เลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 3 จากการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 3 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 3 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 4 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 จากกรณีตัวอย่างของตระกูลนางสุนีย์ อินฉัตร และ นายวิวัฒนชัย โหตระไวยศยะ สะท้อนให้เห็นว่า ความเป็น คนนอกพื้นที่ได้ลดความสำคัญลงไป ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ตัดสินใจเลือกตั้งโดยพิจารณาจากปัจจัยอื่น กล่าวได้ว่าเป็น ความก้าวหน้าทางความคิดอย่างหนึ่งของประชาชนจังหวัด ศรีสะเกษที่ไม่ยึดติดกับภูมิลำเนาหรือความเป็น “คนบ้าน เดียวกัน” หากมีคนต่างถิ่นที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับความ ต้องการของประชาชน ประชาชนก็พร้อมที่จะให้โอกาส 239

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการชูประเด็นความเป็นคนในพื้นที่ หรือท้องถิ่นจะหมดไปจากการเลือกตั้งในจังหวัดศรีสะเกษ การชูประเด็นความเป็นคนในท้องถิ่นกลับไปมีบทบาทสำคัญ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นแทน โดยเฉพาะกรณีการเลือกตั้ง นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ศรสี ะเกษ เมอ่ื วนั ท่ี 26 เมษายน พ.ศ. 2551 ซึ่งมีคู่แข่ง 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มคนท้องถิ่น” นำโดยนาย วิชิต ไตรสรณกุล (นายก อบจ.คนเก่า) และ “กลุ่มรักศรีสะเกษ” โดยมีนางสุนีย์ อินฉัตร เป็นหัวหน้า ซึ่งพบว่ากลุ่มนายวิชิตได้ชู ประเด็นความเป็นท้องถิ่นนิยมภายใต้ชื่อ “กลุ่มคนท้องถิ่น” ทีม คนท้องถิ่นได้เน้นการหาเสียงภายใต้สโลแกน “คนท้องถิ่นโดย กำเนิด รักบ้านเกิดด้วยความจริงใจ” และ “ศรีสะเกษจะ ก้าวหน้า ชาวประชาจะก้าวไกล เราควรภาคภูมิใจที่เลือกใช้คน ท้องถิ่น” ถือได้ว่าเป็นการหาเสียงที่เน้นการชูประเด็นท้องถิ่น นิยมแข่งกับคู่แข่งขันที่มาจากต่างถิ่นอย่างชัดเจน ขณะที่ “กลุ่มรักศรีสะเกษ” ของนางสุนีย์ อินฉัตรได ้ ชูสโลแกน “ศรีสะเกษจะรุ่งเรือง ถ้าคนทั้งเมืองกล้า เปลี่ยนแปลง” ผลปรากฏว่า “กลุ่มคนท้องถิ่น” ของนายวิชิต ไตรสรณกุล เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ทั้งนี้ไม่อาจสรุปได้ว่า การแพ้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพราะความเป็นคนท้องถิ่น หรือต่างถิ่น แต่อาจเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนาดของฐาน เสียงสนับสนุนซึ่งกลุ่มแรกมีฐานเสียงที่กว้างและครอบคลุม พื้นที่ของจังหวัดได้มากกว่า ในขณะที่กลุ่มหลังมีฐานเสียง สำคัญอยู่ที่อำเภอปรางค์กู่ อำเภอวังหิน อำเภอขุขันธ์ และ อำเภออุทุมพรพิสัย เท่านั้น 240

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ 1.4 การสนับสนุนการศึกษา การกีฬาและกิจกรรม ของชุมชน ในช่วง พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา นักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษพยายามใช้กีฬาเป็นสื่อในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตัวเองมากยิ่งขึ้น อาทิ การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เอฟซี หรือการสนับสนุนกีฬาในระดับชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะ นายบุญชง วีสมหมาย ผู้ก่อตั้งสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด ศรีสะเกษ (สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ, 2553) และเป็น ผู้ผลักดันให้มีการก่อตั้งวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ โดยใน พ.ศ. 2519 ขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ได้เข้าพบอธิบดีกรมพลศึกษา เพื่อ ติดต่อประสานงานและยืนยันหลักการที่จะให้มีการตั้งวิทยาลัย พลศึกษาจังหวัดศรีสะเกษขึ้น จากนั้นได้นำเรื่องเสนอต่อ นายกรี  รอดคำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา กรมพลศึกษาได้ส่งนายปรีดา รอดโพธิ์ทอง และนายสุวิทย์ วิสุทธิสิน มาสำรวจที่ดินบริเวณโนนหนามแท่งและให้ความเห็น ว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเหมาะสมที่จะตั้งวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้นายบุญชง ยังเป็นผู้ผลักดันให้มี การจัดตั้งสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ ใน พ.ศ. 2542 เพื่อทำการ แข่งขันรายการไทยแลนด์โปรวินเชี่ยล ลีก โดยมี นายบุญชง วีสมหมาย เป็นประธานสโมสร ต่อมาสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ (เอฟซี) หรือสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ได้สิทธิ์ เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ (ไทยพรีเมียร์ลีก) ในช่วง พ.ศ. 2553 – 2554 โดยมีนายธเนศ เครือรัตน์ เป็น 241

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ป ร ะ ธ า น ส โ ม ส ร ฟ ุ ต บ อ ล ศ ร ี ส ะ เ ก ษ จ น ถ ึ ง พ . ศ . 2 5 5 3 นายสรศาสตร์ ศรีธัญรัตน์ เป็นผู้จัดการทีม นายสมบัติ เกียรติสุรนนท์ เป็นผู้จัดการทั่วไปและเป็นนายกสมาคมกีฬา จังหวัดสรีสะเกษ (สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี, 2553) นอกจากนี้ นายบุญชง วีสมหมาย ยังมีบทบาทสำคัญใน การผลักดันให้มีการก่อตั้งสถาบันราชภัฏศรีสะเกษขึ้น โดยเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2537 นายบุญชง ได้มีหนังสือถึงผู้ว่า ราชการจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง ขอจัดตั้งสถานศึกษาระดับ อุดมศึกษา โดยใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์บริเวณโนนบักบ้า ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 นายบุญชง มีหนังสือถึง กระทรวงศึกษาธิการขอจัดตั้งสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา (สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ) และวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 กระทรวงศึกษาธิการออกหนังสือ ที่ ศธ 0335/18506 ถึง สำนักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งสถาบัน ราชภัฏเพิ่มเติม และคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการจัดตั้ง สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2540 ใน พ.ศ. 2554 มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษเปิดการเรียนการสอน ทั้งหมด 27 โปรแกรมวิชา (มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, 2555) นายบุญชง วีสมหมาย ยังเป็นผู้สนับสนุนนักกีฬาของ จังหวัด อาทิ วันดี คำเอี่ยม นักกีฬายกน้ำหนักหญิง รุ่น 58 กิโลกรัม ประสบความสำเร็จได้รับเหรียญทองแดงในการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ส่วนนักการเมืองคนอื่นๆ ที่เริ่มสนับสนุนด้านกีฬาและ การศึกษา ได้แก่ นายวิชิต ไตรสรณกุล นายกองค์การบริหาร 242

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนกีฬา โดยจัดให้มี การแข่งขันกีฬานักเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ทุกปี โดยใน พ.ศ. 2555 จัดเป็นครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 6 - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 (องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ, 2555) ส่วนนายฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ เคยเป็นอุปนายก สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษและในช่วงดำรงตำแหน่ง นายกเทศบาลเมืองศรีสะเกษได้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาใน โรงเรียนที่สังกัดเทศบาลเมืองอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะผลักดันให้ บุตรชาย คือ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ เข้ามามีบทบาท สำคัญในวงการกีฬาของจังหวัดศรีสะเกษ โดยเฉพาะการเข้ามา รับตำแหน่งเป็นนายกสมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษในเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 โดยนายสิริพงศ์ ได้กล่าวว่า “ตนเองขออาสาที่จะเข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ และจะขอพัฒนาการกีฬาของจังวัดศรีสะเกษ โดยจะให้ความ ร่วมมือกับประธาน คณะกรรมการชมรมกีฬาในทุกประเภท จะนำพาการกีฬาของจังหวัดศรีสะเกษ กลับมารุดหน้า สามารถ สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดศรีสะเกษ ได้อีกครั้งหนึ่ง เปรียบ เสมือนกับสมัยที่อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายบุญชง วีสมหมาย ที่ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ก่อนที่เสียชีวิตไป.. มุ่งมั่นที่จะดำเนินการใน 2 เรื่องก่อนคือ การประสาน งบประมาณมาสร้างสนามกีฬาของจังหวัดศรีสะเกษ ให้จงได้ซึ่ง เคยเคยทำค้างไว้ และการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาเยาวชน แห่งชาติระดับประเทศในปี 2557 ให้จงได้..” (77 ช่องจังหวัด, 2555) 243

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้ยังมี นายธเนศ เครือรัตน์ ซึ่งเคยเป็นนายก สมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2546 และประธานสโมสร ฟุตบอลศรีสะเกษ (เอฟซี) หรือสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เมืองไทย เอฟซี ในช่วงปี 2553 เป็นต้น นอกจากการสนับสนุนด้านกีฬาและการศึกษาแล้ว นักการเมืองบางคนใช้วิธีการทำบุญบริจาคตามวัดและ สถานปฏิบัติธรรมต่างๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงและความรู้จักมักคุ้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้ง อาทิ นางสุนีย์ อินฉัตร และนาง มาลินี อินฉัตร กรณีนางสุนีย์ อินฉัตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “คุณนายสุนีย์ อินฉัตร” เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวจังหวัดศรีสะเกษ ในช่วง พ.ศ. 2533 จากการตระเวนทำบุญทอดกฐินตามวัด ประจำหมู่บ้านในแถวพื้นที่ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอขุขันธ์ อำเภอวังหิน และ อำเภออุทุมพรพิสัย โดยแต่ละปีจะกำหนด จำนวนวัดในการทำบุญทอดกฐินไม่ต่ำกว่า 60 วัด หมุนเวียน ไม่ซ้ำกัน ในการทำบุญแต่ละครั้งจะมีชาวบ้านผู้สูงอายุเข้าร่วม กิจกรรมทำบุญจนเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในพื้นที่ ดังคำ สัมภาษณ์ของอดีตกำนันตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ ผู้เคยรับเป็น ธุระจัดหาวัดในการทำบุญให้นางสุนีย์ ว่า “คุณนายสุนีย์ เริ่มเข้ามาในลักษณะของการทำบุญ คุณนายสุนีย์ได้ไปแก้บนในเรื่องการสู้คดีความ พอสู้คดีชนะ ก็แก้บนโดยการทำบุญ ทอดกฐิน 60 วัด ตามคำแนะนำของ พระที่ท่านนับถือซึ่งเป็นคนศรีสะเกษ พอคุณนายสุนีย์ชนะคดี เรื่องสนามกอล์ฟก็ขายเพื่อทำบุญทอดกฐิน 60 วัด สำหรับผม ก็ส่วนหนึ่งที่เขามาบอกให้หาวัดที่ปรางค์กู่ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ กลัวเขามาหลอก แต่ก็มีคนบอกว่าเขาไม่ได้มาเป็นคณะใหญ่ๆ 244

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ จะมาแค่ 4-5 คนเอง ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ผมก็เลยประสาน เจ้าคณะอำเภอ ประสานพระ หาวัดให้ 5-6 วัด พอถึงเวลา ก็มาจริง ทอดที่วัดบ้านกะดึ ตำบลกู่ เป็นวัดแรก ท่านก็มีเงิน ถวายวัดห้าหมื่น พอชาวบ้านเห็นคนใจบุญมาก็แห่มาตามท่าน พอมาปีที่สองท่านบอกจะทอดผ้าป่าอีก 60 วัด ทีนี้ทุกคนฮือฮา เลย” (ธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ, สัมภาษณ์, 19 มีนาคม 2551) 1.5 เน้นการแก้ปัญหาปากท้องของคนในพ้ืนท่ี การหาเสียงโดยการชูประเด็นการแก้ไขปัญหาปากท้อง ความอยู่ดีกินดีของประชาชนมีมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษมักจะหาเสียงโดยอ้างการขอ ลดค่านา การเลิกหรือลดเงินรัชชูปการ รวมทั้งการเสนอขอลด ค่าอาชญาบัตร และการช่วยเหลือชาวนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหา เฉพาะด้านของพื้นที่ในแต่ละแห่งที่มีปัญหาไม่เหมือนกัน ผู้สมัคร ส.ส.จะยกปัญหาเหล่านั้นมาเป็นประเด็นในการหาเสียง ทั้งในแง่ที่ได้ทำไปแล้ว หรือที่กำลังจะเข้าไปทำหากได้รับการ เลือกตั้ง เช่น นายพุฒเทศ กาญจนเสริม (ส.ส.ขุขันธ์) มี ประเด็นในการหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ปี พ.ศ. 2481 ว่างานเก่าที่ได้ทำไปแล้ว คือ การเน้นไปที่การทำงานในสภา เช่น “ร่วมกับนายถวิลเรื่องงบประมาณอย่างละเอียด” ส่วนงานใหม่ที่จะทำหากได้รับเลือก คือ “เปลี่ยนชื่อจังหวัดเป็น ศรีสะเกษ เพิ่มโทษผู้ค้าฝิ่นเถื่อน ลดค่าปรับรัชชูปการและยึด เวลาชำระ เพิ่มกำลังตำรวจ บ้านพักครู การชลประทาน ขอให้ ช่วยกำนันผู้ใหญ่บ้าน อาชีพราษฎร สร้างทาง การศาสนา..” (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 272) 245

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ แม้กระทั่งประเด็นเนื้อหาการอภิปรายหาเสียงของ ผู้สมัคร ส.ส.ในช่วงหลังถึงยุคปัจจุบันก็หนีไม่พ้นประเด็นเรื่อง ปากเรื่องท้อง ความกินดีอยู่ดีของประชาชน การสร้างระบบ ชลประทาน การศึกษา การรักษาพยาบาล และระบบสวัสดิการ สังคมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนยากจน อาทิ กรณี นายบุญชง วสี มหมาย ทนั ตแพทยห์ ญงิ กรองกาญจน ์ วสี มหมาย อธบิ ายวา่ “การหาเสียงจะเน้นแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของชาวบ้าน แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน” (กรองกาญจน์ วีสมหมาย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) ส่วนนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ผู้มีประสบการณ์ทาง การเมืองจังหวัดศรีสะเกษมากกว่า 30 ปี อธิบายว่าในการหา เสียงแต่ละครั้งของผู้สมัคร ส.ส.แต่ละคนจะมีรูปแบบเนื้อหาที่ แตกต่างกันไป คนเดียวกันไปพูดอีกอำเภอหรือตำบลหนึ่ง ประเด็นเนื้อหาก็ไม่เหมือนกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วตนจะชู ประเด็นความเป็นธรรมในสังคม “แล้วแต่วิธีของนักการเมืองแต่ละคน ..ผมเป็นคนที่ไม่ไป งานศพ หรืองานอะไร แต่ถ้าหากว่าเป็นคนสำคัญมีเวลาก็ไป ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะมาหาผม มาให้ช่วยแก้ไขความเดือดร้อน หรือว่ามาให้ไปทำอะไร พฤติกรรมในการเลือกตั้งของประชาชน ในแต่ละอำเภอ แต่ละตำบลก็ไม่เหมือนกัน” “สังคมแต่ละสังคมมันไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งการ ปราศรยั ผมกม็ ปี ระสบการณว์ า่ ในการปราศรยั แตล่ ะพน้ื ท่ี แตล่ ะจดุ แต่ละแห่ง ก็ไม่เหมือนกัน เราจะต้องรู้ว่าการที่เราพูดกับคน 246

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ พูดกับคนระดับไหนให้เขาเข้าใจ ผมจะชูประเด็นเรื่องความเป็น ธรรม..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) มาในยุค พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา การชูประเด็นในการ หาเสียงมีแนวโน้มที่จะอิงกับนโยบายของพรรคการเมืองที่ ตนเองสังกัดมากขึ้น โดยเฉพาะการอิงกับนโยบายแนวประชา นิยมของพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน ดังคำ สัมภาษณ์ของนายปวีณ แซ่จึง ส.ส.แบบแบ่งเขตหลายสมัย สรุปว่า “แนวการเลือกตั้งมันจะเปลี่ยนไปมาก ต่อไปพรรคไหน สามารถใช้นโยบายที่ตัวเองนำมาเสนอตอนหาเสียงไปปฏิบัติได้ จริง จะได้รับคะแนนนิยมมาก... ต้องใช้เศรษฐกิจนำการเมือง และสังคม เรื่องปากเรื่องท้องต้องมาก่อน สำคัญที่สุด ข้าราชการก็เหมือนกัน ถ้าคนมีปัญหาเรื่องปากท้องก็ไม่ต้องพูด ถึงเรื่องอื่น ให้คนได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น..ในการเลือกตั้ง ครั้งหลังๆ นโยบายพรรคมีส่วนสำคัญมาก ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะ สอบตก...ชูนโยบายพรรค เราจะต้องเปรียบเทียบให้เขาเห็นว่า นโยบายที่ทำแล้วเขาได้อะไร เปรียบเทียบพรรคอื่นทำแล้วได้ อะไร” (ปวีณ แซ่จึง, สัมภาษณ์, 21 มีนาคม 2551) ส่วน นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 อธิบายว่า ในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งแต่ละสมัยจะเน้นการ ชูประเด็นนโยบายของพรรค การพัฒนาเมืองศรีสะเกษ และการ ศึกษา “เวลาอภิปรายหรือปราศรัยแต่ละครั้งจะพยายามชู นโยบายเป็นหลัก และชูเรื่องการพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ เพราะ 247

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ บังเอิญว่าผมเป็น ส.ส. อยู่ในเขต 1 หมายถึงเขตเมืองเล็กก็เลย ต้องเน้นเรื่องการพัฒนาเมืองด้วยและประเด็นที่พูดถึงอยู่เป็น ประจำก็คือเรื่องการศึกษา ที่เป็นห่วงก็คือภาพรวมของการ พัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ..” (ธเนศ เครือรัตน์, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) สอดคล้องกับข้อสรุปของ นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 3 จังหวัดศรีสะเกษ ที่สะท้อนว่าการ หาเสียงมักจะชูนโยบายของพรรค โดยเฉพาะนโยบายประชา นิยมที่สามารถแปลงเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน “ประชาชน อยากได้นโยบายประชานิยมคืนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนการ ศึกษา การแก้ปัญหายาเสพติด กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ นโยบาย เหล่านี้มันสามารถแปลงเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน พอเอ่ยปาก ประชาชนก็เชื่อ..” (วิวัฒนชัย โหตระไวศยะ, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2551) 1.6 การจัดตั้งหัวคะแนน (แกนจัดตั้ง) หัวคะแนนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการเลือกตั้ง ส.ส. ตั้งแต่เริ่ม แรก ระบบหัวคะแนนเป็นเครื่องมือหรือช่องทางที่สำคัญในการ หาคะแนนเสียง หรือแม้กระทั่งการแจกเงินหรือแจกสิ่งของ ซึ่งมักจะดำเนินการผ่านระบบหัวคะแนนทั้งสิ้น ในอดีต หัว คะแนนมักจะมีตำแหน่งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส ครู นักการภารโรง แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน หรือผู้นำ ชุมชนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและสามารถจูงใจให้ชาว บ้านเลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่งได้ ผู้นำที่เป็นหัวคะแนนเหล่านี้ 248

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ จะเปรียบเสมือนนายหน้าที่จะไปจัดหาเครือข่ายของระบบ หัวคะแนนอีกต่อหนึ่ง หรืออาจจะดำเนินการด้วยตนเอง ซึ่งใน การเลือกตั้งแต่ละครั้งผู้นำชุมชนหรือบุคคลที่มีตำแหน่งข้างต้น มักจะถูกร้องเรียนเป็นประจำว่ากระทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง โดยเอนเอียงเข้าข้างผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง อาทิ การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดศรีสะเกษ แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2536 พบว่าผู้ที่ ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งมากที่สุด ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ถูกกล่าวหา 20 ราย ข้าราชการครูและผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน ถูกกล่าวหา 14 รายเท่ากัน กำนัน นักการภารโรง และสารวตั รกำนนั ถกู กลา่ วหาตำแหนง่ ละ 3 ราย (คณะกรรมการ องค์กรกลางการเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งซ่อมในเขต เลือกตั้งที่ 2 จังหวัดศรีสะเกษ, 2536, น. 28) ล่าสุด ในการเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 จากการศึกษามติของคณะ กรรมการการเลือกตั้ง เรื่องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า การคัดค้านการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ เขตเลือกตั้ง ที่ 6 (ในการประชุมครั้งที่ 78/2554 เมื่อวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เลขลำดับที่ ส.ส.(ท.) 217/54 สำนวนที่ 2 การเลือกตั้ง วันที่ 3 ก.ค.54) (คณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2554ก) ผู้ร้อง คือ นายทองดี ไชยโพธิ์ (ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัด ศรีสะเกษ เขต 6 หมายเลข 2 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน) ผู้ถูกร้อง ประกอบด้วย 249

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 1) นายภา ระยับศรี (กำนัน ต.หนองเชียงทูน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ) 2) นายประหยัด ผ่านพินิจ (ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 17 ต.หนองเชียงทนู อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ) 3) นายวีระพล จิตสัมฤทธิ์ (ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัด ศรีสะเกษ เขต 6 หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย) ข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดย มิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง (ผู้ถูกร้องที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของ ผู้ถูกร้องที่ 3 มีพฤติกรรมในลักษณะการใช้เงินซื้อเสียง) มติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ยกคำร้องคัดค้าน หรือ การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ เขตเลือกตั้งที่ 6 (ในการประชุมครั้งที่ 79/2554 เมื่อวันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เลขลำดับที่ ส.ส.(ท.) 218/ 54 สำนวนที่ 3 การเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.54) (คณะกรรมการ การเลือกตั้ง, 2554ข) ผู้ร้อง คือ นายทองดี ไชยโพธิ์ (ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัด ศรีสะเกษ เขต 6 หมายเลข 2 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน) (ไม่ได้รับการเลือกตั้ง) ผถู้ กู รอ้ ง นายพศิ าล เทยี นทอง ผใู้ หญบ่ า้ น บา้ นหนองหนิ หมู่ที่ 2 ตำบลดู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ 250

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดย มิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง (เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 13.00 น. กกต.เขตเลือกตั้งที่ 6 ได้จัดอบรม กปน. ของเขต ตำบลดู่ ณ โรงเรียนหนองคูวิทยา มีผู้เข้าอบรมประมาณ 100 คน และผู้ถูกร้องได้เข้าร่วมอบรมดังกล่าวด้วย โดยผู้ถูกร้อง ได้สวมเสื้อแจ็กเก็ตพรรคเพื่อไทย เบอร์ 1 เข้าอบรม ซึ่ง กกต. เขตเลอื กตง้ั ท่ี 6 ไดต้ กั เตอื นแลว้ แตผ่ ถู้ กู รอ้ งอา้ งวา่ เปน็ สทิ ธขิ องตน) มติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ยกคำร้องคัดค้าน ในยุคปัจจุบัน ระบบ “หัวคะแนน” หรือเรียกชื่อใหม่ว่า “แกนจัดตั้ง” ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากที่เคยอาศัยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส ครู นักการภารโรง หรือผู้นำชุมชนที่มีตำแหน่ง เปลี่ยนมาเป็นบุคคลในหมู่บ้านที่ไม่ จำเป็นต้องมีตำแหน่ง เช่น อาจจะเป็นหัวหน้าคุ้มประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านธรรมดา หัวหน้าครอบครัวที่สามารถรวบรวมสมาชิกได้ ครบตามจำนวน สมาชิกสภา อบต. สมาชิก อสม. หัวหน้า เยาวชน กลุ่มเยาวชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เป็นต้น กล่าวได้ว่า ระบบหัวคะแนนสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องผ่าน นายหน้าที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านอีกต่อไป แม้ว่าในบางพื้นที่จะ ยังคงให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวคะแนนอยู่ ทั้งนี้ นับตั้งแต่มี การกระจายอำนาจให้มีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดย เฉพาะในระดับองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) พบว่าในชุมชน ระดับหมู่บ้านโดยส่วนใหญ่มักจะมีขั้วอำนาจที่สำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มนายก อบต. และสมาชิก 251

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ อบต. ซึ่งทั้งสองกลุ่มมักคานอำนาจกัน โดยส่วนใหญ่ทั้ง สองกลุ่มจะเป็นหัวคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส.คนละพรรคกัน ยกเว้นว่าในบางพื้นที่ที่ทั้งสองกลุ่มเป็นเครือข่ายเดียวกันหรือใน การเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้สมัครคนเดียวที่จัดตั้งระบบหัวคะแนน ระบบหัวคะแนนหรือระบบแกนนำเหล่านี้จะคอยทำ หน้าที่รวบรวมรายชื่อสมาชิกในกลุ่มเพื่อจูงใจให้เลือก ส.ส.ที่ตน เป็นหัวคะแนนให้ การไปรับเงินจากแกนนำระดับบนเพื่อนำมา แจกให้กับประชาชนในหมู่บ้านที่ตนเองรับผิดชอบ รวมทั้งการ เป็นผู้ประสานงานการจัดเวทีปราศรัย การประสานงานให้ ผู้สมัคร ส.ส.ได้พบปะกับประชาชน เป็นต้น จำนวนของหัวคะแนน หรือแกนจัดตั้งในแต่ละหมู่บ้าน ถ้าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กแกนนำจะมีประมาณ 15 คน หมู่บ้าน ขนาดกลางประมาณ 20-25 คน หมู่บ้านขนาดใหญ่ประมาณ 25-40 คน ส่วนแกนนำระดับตำบล ถ้าเป็นตำบลขนาดใหญ่ที่มี 18 หมู่บ้านขึ้นไป จะแบ่งแกนนำระดับตำบลออกเป็น 3-4 กลุ่ม ถ้าเป็นตำบลขนาดเล็กที่มี 10-11 หมู่บ้าน จะแบ่งแกนนำเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีแกนนำประมาณ 3-5 คน แกนนำระดับ ตำบลจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน 1.7 การลงพื้นท่ีของผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ โดยส่วนใหญ่ นักการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดศรีสะเกษ จะต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้านอย่าง สม่ำเสมอ ผู้สมัคร ส.ส. จะใช้โอกาสในช่วงเวลาที่ชุมชนมี งานบุญ งานบวช งานศพ งานแต่งงาน หรืองานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่พบปะสร้างความคุ้นเคย ความเป็นกันเองกับชาวบ้าน 252

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ โดยเจ้าภาพมักจะเชิญ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นมาเป็น ประธานในงานเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพจนกลายเป็น ธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในสังคมยุคปัจจุบัน ดังคำกล่าวของ ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง ตัวอย่างของ ผู้สมัคร ส.ส.ที่อาศัยการลงพื้นที่หาเสียงตามหมู่บ้านต่างๆ โดย เฉพาะกับการเลือกตั้งในสมัยแรกๆ ที่ประชาชนยังไม่รู้จัก ว่า “...ที่ทำงานของผม คือ หมู่บ้านนับหมื่นและท้องทุ่งไร่นา อันกว้างใหญ่ มีประชาชนนับแสนเป็นเจ้านาย ผมต้องคอย วิ่งเต้นรับใช้พวกเขาในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือส่วนรวม มอื ถอื ของผมตอ้ งเปดิ รบั สายตลอดเวลา เพราะปญั หาของเจา้ นาย เกิดได้ทุกเมื่อ ทุกสายที่รับจึงมีแต่ปัญหาให้ต้องช่วยแก้ไข งานของผมไม่มีวันหยุด เพราะถ้าไม่อยู่ในสภาฯ ก็ต้อง ลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้าน ยิ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเทศกาล ยิ่งมีงานมาก เพราะชาวบ้านนิยมจัดงานส่วนรวมในวันหยุด เพื่อให้ “ผู้แทน” ของเขาไปร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อไปร่วม ต้องไม่ไปมือเปล่าหรือไปเป็นเกียรติเฉยๆ เพราะพวกเขาคาด หวังว่า “ผู้แทน” จะมีเงินบริจาคในจำนวนที่เหมาะสมกับ ตำแหน่ง “ผู้แทน” ด้วย ที่หนักสุดๆ คือช่วงกฐิน ปีใหม่ ตรุษจีน และสงกรานต์ เพราะทุกหมู่บ้านจะมีงานพร้อมๆ กันเกือบทุกวัน ผมต้องแบ่ง ทั้งเวลาและเงินบริจาคเพื่อให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด ต้องจัดเวลาให้ ลงตัวว่าจะไปที่ไหนในช่วงใด ซึ่งบางครั้งต้องวิ่งรอกช่วยงานจน ดึกดื่น เพราะถ้ามีมหรสพประเภทหมอลำสมโภช ชาวบ้าน ก็คาดหวังให้ “ผู้แทน” ขึ้นเวทีเปิดงานด้วย” (กุเทพ ใสกระจ่าง, 2552, น. 39-40) 253

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ สอดคล้องกับ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ที่ได้ รับการเลือกตั้งหลายสมัยที่สุดของจังหวัดศรีสะเกษ สรุปว่า นักการเมืองต้องใกล้ชิดกับชาวบ้าน ชาวบ้านต้องพบได้ง่าย โดยเปรียบตัวเองเป็นเหมือนน้ำตาล ประชาชนเป็นเหมือนมด “ผมมันเหมือนกับน้ำตาล และชาวบ้านเหมือนมด ผมไปตกอยู่ ตรงไหนชาวบ้านจะรู้เอง ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะมีมดมาขึ้นอยู่ ตลอด…” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) ส่วนนายปวีณ แซ่จึง ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 พรรคพลัง ประชาชน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย) สรุปรูปแบบสำคัญ ในการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาว่า “ในการหาเสียง มันต้องใช้วิธีลงไปพบปะประชาชน เพราะเดี๋ยวนี้ประชาชนเริ่มเปลี่ยน วิธีการหาเสียงก็เปลี่ยนตาม การที่จะใช้วิธีการเอาเงินไปแจกๆ แล้วตัวเองไม่ไปพบปะกับ ประชาชน มันไม่ได้หรอก ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พวกผมก็ลงกันทั้ง 3 คน พรรคพลังประชาชน ใช้วิธี ปราศรัยให้ครบตำบลละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ต้องปราศรัยด้วย ตัวเอง ต้องเหนื่อยหน่อย ระยะเวลาประมาณ 63 วันเต็มไม่ได้ พัก ถึงประมาณ 5-6 ทุ่ม ข้อจำกัดก็คือเวลา แล้วก็มีพื้นที่เพิ่ม และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กกต. จะบอกว่าเคร่งมันก็เคร่ง ไม่รู้ว่า เป็นยังไง เพราะว่าพรรคพลังประชาชนตอนหาเสียงก็ลำบาก..” (ปวีณ แซ่จึง, สัมภาษณ์, 21 มีนาคม 2551) 254

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ นักการเมืองมักใช้โอกาสการได้รับเชิญไปงานบุญ งานเลี้ยงต่างๆ ลงพื้นที่เพื่อสร้างความรู้จักมักคุ้น และ ประชาสัมพันธ์ตัวเองด้วย หากลงพื้นที่ประจำ ประชาชนรู้จัก มักคุ้น ช่วงหาเสียงก็จะง่ายกว่าคนที่ไม่เคยลงพื้นที่ จำนวนเงิน ชว่ ยงานเจา้ ภาพโดยสว่ นใหญจ่ ะใสซ่ องละ 500 บาท 1,000 บาท หรือมากกว่านั้น ตามลักษณะงาน ในแต่ละงานเจ้าภาพ อาจเชิญนักการเมืองหลายคนมาในงานเดียวกันก็ได้ 1.8 การหาเสียงรูปแบบวิธีการอื่นๆ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากจะใช้วิธีการแจกเงิน แจกสิ่งของ การย้ำความเป็นผู้ที่มีหน้าที่การงานดี มีความรู้สูง เน้นปริญญา การชูประเด็นความเป็นคนในพื้นที่หรือท้องถิ่น การสนับสนุน การศึกษาการกีฬาและกิจกรรมของชุมชน เน้นการแก้ไขปัญหา ปากท้องของประชาชน การจัดตั้งระบบหัวคะแนน(แกนจัดตั้ง) หรือการลงพื้นที่ของผู้สมัคร ส.ส.แล้ว ยังมีรูปแบบอื่นๆ ที่ สำคัญได้แก่ การใช้สื่อโฆษณาหาเสียงรูปแบบต่างๆ ถือเป็น เรื่องปกติธรรมดาที่สามารถพบได้อยู่ทั่วไปในการหาเสียงแต่ละ ครั้ง รูปแบบ วิธีการ อุปกรณ์และเครื่องมือก็มีการเปลี่ยนแปลง ไปตามยุคสมัย ในอดีตการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ของจังหวัด ศรีสะเกษ เริ่มจากการใช้สื่อโฆษณาแบบง่ายๆ ด้วยจำนวนเงิน ไม่มากนัก อาทิ การใช้แผ่นโปสเตอร์โฆษณาแบบสีขาวดำนำไป ติดตามหมู่บ้าน การทำให้ชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปรากฏในที่สาธารณะ ประโยชน์ เช่น ศาลาริมทาง โอ่งน้ำ อ่างเก็บน้ำ การจัดงาน มหรสพ การจัดฉายหนังกลางแปลงก่อนจะแนะนำตัวผู้สมัคร 255

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ จนถึงยุคปัจจุบันมีการใช้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ การใช้รถแห่ เป็นขบวนยาวหลายสิบคันรถในลักษณะขบวนคาราวานโดยมี การโชว์ตัวผู้สมัครและทีม ส.ส.ของพรรคเพื่อปลุกเร้าความ สนใจจากประชาชน การจัดตั้งทีมงานแจกแผ่นป้ายโฆษณา แจกเสื้อทีมกีฬาโดยมีชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปักไว้ที่เสื้อ การจัดเลี้ยง ส่งรถมาช่วยขนศพ ส่งเครื่องดื่มและน้ำแข็งมาช่วยงาน ทำป้าย โฆษณาตามถนน ใช้สื่ออินเตอร์เน็ต สื่อวิทยุชุมชน แจกคำ ปราศรัยแนะนำตัวผ่านแผ่นซีดีรอม ไม่นับรวมวิธีการทำลาย ฝ่ายตรงข้าม การจ้องจับผิด และการสร้างหลักฐานเท็จเพื่อร้อง กกต. การบล็อคฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีการต่างๆ ฯลฯ ภาพที่ 14-16 ป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 256

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ภาพที่ 17-19 ป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคเพื่อไทย พรรคภมู ิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 257

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 2. เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง ในจังหวัดศรีสะเกษ เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด ศรีสะเกษมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ 2.1 การสืบทอดตระกูลหรือกลุ่มทางการเมือง เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด ศรีสะเกษ พบว่ามีลักษณะสำคัญ คือ การสืบทอดเป็นตระกูล และกลุ่มทางการเมือง จากบิดามายังบุตร จากพี่มายังน้อง จากสามีมายังภรรยา จากอามาสู่หลานและภายในวง เครือญาติอื่นๆ สาเหตุสำคัญในการสร้างทายาททางการเมือง คือ เพื่อสานต่ออุดมการณ์ทางการเมือง ขยายฐานทาง การเมืองและธุรกิจในเครือข่าย เป็นต้น โดยใช้วิธีการสานต่อ 258

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งคู่กัน (หากในการเลือกตั้งครั้งนั้น เลือกได้ 2-3 คน) หรือบิดาเลิกเล่นการเมืองแล้วให้บุตรมาลง สมัครรับเลือกตั้งแทน ในด้านวิธีการเข้าสู่วงการเมืองระดับชาติ (ส.ส., ส.ว.) นักการเมืองยุคใหม่ของจังหวัดมักลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับ ท้องถิ่นก่อน เช่น เป็นสมาชิกสภาจังหวัด ยกเว้นกลุ่มตระกูลที่ กุมฐานเสียงในระดับท้องถิ่นอยู่แล้วจะส่งบุตรหลานหรือสามี ภรรยาลงสมัครในเวทีระดับชาติทันทีโดยใช้ฐานเสียงในระดับ ท้องถิ่นของกลุ่มตนช่วยสนับสนุน ตระกูลทางการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษโดยส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า นักธุรกิจเชื้อสายจีน ข้าราชการ บำนาญ เจ้าของโรงเรียน และทนายความ ตระกูลทางการเมือง ที่มีการสืบทอดและมีบทบาทสำคัญของจังหวัดศรีสะเกษ นับตั้ง แต่ช่วง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ประกอบด้วย ตระกูลวัชราภรณ์ ตระกูลวีสมหมาย ตระกูลเครือรัตน์ ตระกูลไตรสรณกุล และ ตระกูลอังคสกุลเกียรติ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 2.1.1 ตระกลู “วัชราภรณ์” 1) พื้นฐานทางการเมือง ตระกลู “วชั ราภรณ”์ (ธวชั ชยั กฤตยิ าภชิ าตกลุ , 2541, น. 220-223) เป็นตระกูลการเมืองของจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีพื้นเพดั้งเดิมมาจากจังหวัดนครปฐม จนกระทั่งนายสง่า วัชราภรณ์ ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ จาก ข้าราชการเสมียนกรมทาง (รพช.) ก็มีกิจการรับเหมาก่อสร้าง 259

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ถนนสายศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ และเมื่อมีความสนิทสนมกับ ตระกูล “สืบสายพรหม” ของนายแก้ว สืบสายพรหม ก็ถึงจุด เริ่มเข้ามาเล่นการเมืองโดยอาศัยฐานการเมืองสำคัญจากเขต อำเภอรอบนอก และได้รับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ทำให้ได้รู้จักกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และส่งผลให้กิจการส่วนตัวในจังหวัดศรีสะเกษ เติบโต ขึ้นและเข้าสู่การค้าเป็นเอเยนต์สุราของบริษัท สุราทิพย์ จำกัด จนกระทั่งแพ้ประมูลจนล้มเลิกไป ในช่วง พ.ศ. 2541 มารดาของ นายปิยะณัฐ คือ นางมาลี วัชราภรณ์ เป็นเจ้าของกิจการ โรงทำน้ำแข็งอนามัยและน้ำดื่มธารทิพย์ ในนาม “มาลี ธารทิพย์” ในวงการเมือง นายสง่า วัชราภรณ์ ได้รับ เลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2500 และได้รับเลือกตั้งครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2512 ในนามอิสระ จนกระทั่งในการเลือกตั้งวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ครอบครัววัชราภรณ์ได้กลับสู่วงการ การเมืองระดับชาติอีกครั้ง โดยนายสง่าได้นำบุตรชายคนโต คือ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ซึ่งเป็นทนายความ มาลงสมัครรับ เลือกตั้งในสังกัดพรรคธรรมสังคม โดย นายสง่า ลงสมัครใน เขต 1 ส่วนนายปิยะณัฐ ลงสมัครในเขต 2 และได้รับเลือกตั้งทั้ง สองคน ใ น ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง พ . ศ . 2 5 2 2 น า ย ส ง ่ า วัชราภรณ์ ได้กลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง แต่ย้ายไปลง สมัครในเขตเลือกตั้งที่ 3 ในขณะที่นายปิยะณัฐ ลงสมัคร ในเขต 2 ในสังกัดพรรคเสรีธรรมและได้รับเลือกตั้งทั้งสองคน 260

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2526 นายสง่าและนายปิยะณัฐ ได้ย้าย มาสังกัดพรรคชาติไทยและได้นำนายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ น้องชายนายปิยะณัฐมาลงสมัครรับเลือกตั้งคู่กับนายปิยะณัฐ แต่นายดนัยฤทธิ์สอบตก ขณะที่นายสง่าและนายปิยะณัฐ ได้รับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2529 ครอบครัว วัชราภรณ์ ได้ย้ายมาสังกัดพรรครวมไทย โดยนายปิยะณัฐ ได้ เป็นเลขาธิการพรรครวมไทยและได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง ในขณะที่ นายดนัยฤทธิ์สอบตกเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2531 นายปิยะณัฐ ได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียวในสังกัด พรรครวมไทยและภายหลังได้รวมกับพรรคการเมืองอื่นๆ เป็น พรรคเอกภาพ ในการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ซึ่งได้รับการขนานว่าเป็นดาวสภา มี วาจาคารมคมคาย ได้ย้ายมาสังกัดพรรคกิจสังคมและได้รับ เลือกตั้งอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 7 ในเขตเลือกตั้งที่ 2 และยัง สามารถดึงน้องชาย คือ นายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ ให้ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ในเขตเลือกตั้ง ที่ 3 ซึ่งจากการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เกิดประเด็นทางการเมือง กล่าวคือ นายปิยะณัฐได้สนับสนุนพลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) เป็นนายก รัฐมนตรี โดยประกาศวาทะที่ลือลั่นว่า “ขณะนี้ผมหมดหวังทางการเมืองแล้ว ที่เล่น การเมืองต่อไปก็เพื่อประคับประคองไม่ให้สถานการณ์เลวร้าย 261

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ กว่านี้ ตอนนี้ไม่มีอะไรมากกว่าการรักษาอำนาจเอาไว้ เรื่อง อุดมคติ อุดมการณ์ เก็บไว้ในลิ้นชักก่อน ถึงเราจะไม่แสวงหา อำนาจ คนอื่นก็แสวงหาจนได้” หลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี หลังจากได้ หยุดเล่นการเมืองเนื่องจากปัญหาสุขภาพ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 นายปิยะณัฐได้ย้อนกล่าวถึงวาทะดังกล่าวว่า ตนเองอยู่ในสถานการณ์จำเป็นที่ต้องพูดแบบนั้น คำว่าการ เก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชักหมายถึงว่า เมื่อโอกาสหรือโครงสร้าง ทางการเมืองยังไม่เอื้อ ก็ไม่ต้องทำอะไร ต้องรอจนกว่าโอกาส จะเอื้ออำนวย และใจจริงไม่ได้สนับสนุนทหาร “หลังจากเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อ พ.ศ. 2534 ผมท้อแท้หมดเลยนะครับ ผมเป็นคนแรกๆ ที่ออกไป ประกาศคัดค้านไม่เห็นด้วย แต่เสียงของผมมันก็ไม่มีความ หมายอะไร เพราะใครต่อใครก็ต้องเอาตัวรอดกัน มันทำให้เรา สูญเสียความหวังความคิดที่ว่าอยากจะทำอะไรในสิ่งที่ดี ผม เป็นคนที่เคยพูดและก็ถูกล้อมาตลอดว่าต้องเก็บอุดมการณ์ไว้ ในลิ้นชัก เพราะว่าในยามนั้นไม่รู้จะไปสู้อะไรได้ และก็ท้อแท้ หมดไม่รู้ว่าจะทำยังไง..” “ที่บอกว่าเก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก ความหมายว่าเมื่อโอกาสไม่เปิดให้เราก็ไม่ควรทำอะไร แต่ว่าเรา เก็บเอาไว้ใช้ในยามที่เราจะสามารถทำได้ แต่ว่าบางคนไม่ต้อง พูดถึง อุดมการณ์นี้โยนทิ้งใส่ชักโครกไปแล้ว ผมก็ถูกเล่นงาน มากในตอนนั้น แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะว่าการจะเหยียบคน มันก็เหยียบได้ในตอนที่เขาล้ม หลังจากมีการประกาศใช้ 262

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2535 ช่วงนั้นทหารตั้งพรรคการเมือง คือ พรรคสามัคคีธรรม ผมถูกเชิญชวนให้ไปอยู่ที่นั่นด้วย คือผมยัง ทำใจไมไ่ ด้ พดู อยา่ งตรงไปตรงมายงั ยอมรบั ทหารไมไ่ ด้ ความจรงิ ตอนนั้นต้องพูดให้ปรากฏเอาไว้และก็พูดเสมอคือว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ บอกกับผมว่าให้ไปอยู่พรรคสามัคคีธรรมเถอะ เงินก็มี อำนาจก็มี หลังจากเราได้มาแล้วค่อยมาคิดแก้ปัญหากัน แต่ผม บอกผมทำใจไม่ได้ และพอดี นายมนตรี พงษ์พานิช ชวนไปอยู่ พรรคกิจสังคม ก็ยังพอพูดกันรู้เรื่อง ผมไปอยู่พรรคกิจสังคม หลังการเลือกตั้ง พรรคสามัคคีธรรมได้เป็นแกนนำก็เลือก พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุว่าคุณณรงค์ วงษ์วรรณ หัวหน้าพรรคมีปัญหาและปัญหานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของใคร ใครสร้างอะไรขึ้นมา ผมเสียดายจนถึงทุกวันนี้ ถ้าวันนั้นผมไปอยู่พรรคสามัคคีธรรม ผมจะต้องเป็นประธานสภาฯ ถ้าผมเป็นประธานสภาฯ แล้วคน ที่จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีก็คือ ประธานสภาฯ จะเป็นคนรับ สนองพระบรมราชโองการ แต่ว่าบังเอิญผมไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ก็เลยกลายเป็น ดร.อาทิตย์ เป็นคนเสนอชื่อ แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่เสนอท่านเพราะผมจะต้องเอาระบบพรรคการเมือง และ ถามว่าทำไมผมไปอยู่กับพลเอกสุจินดา ก็เพราะพรรคไป ตอนนั้นผมก็อึดอัดนะครับ..” (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) อย่างไรก็ตาม ภายหลังการกล่าววาทะอัน ลือลั่น นายปิยะณัฐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 และมีการเลือกตั้งใหม่ 263

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ในวนั ท่ี 13 กันยายน พ.ศ. 2535 นายปิยะณฐั และนายดนยั ฤทธิ์ วัชราภรณ์ ยังคงสังกัดพรรคกิจสังคมและได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง แต่ในช่วงปลายสมัย นายปิยะณัฐ ถูกขับออกจากพรรค กิจสังคมและพ้นจากสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2538 ทั้งนายปิยะณัฐ และนายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ ได้ย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทย อกี ครง้ั ในสงั กดั กลมุ่ เทดิ ไททม่ี นี ายณรงค์ วงศว์ รรณ เปน็ แกนนำ และได้รับการเลือกตั้งทั้งสองคน ต่อมาในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2539 สองพี่น้องตระกูลวัชราภรณ์ ได้ย้ายมาสังกัดพรรค ความหวังใหม่ และได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง โดยนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี ต่อมานายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ประสบอุบัติเหตุ ทางรถยนต์บนถนนมิตรภาพ ระหว่างจังหวัดสระบุรีและ นครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 อุบัติเหต ุ ดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพของนายปิยะณัฐ ทำให้ต้องวางมือ ทางการเมืองในเวลาต่อมา แต่ปัจจุบันยังปฏิบัติหน้าที่เป็น ทนายให้ประชาชนที่เข้ามาขอความช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) 2) บคุ คลในตระกลู “วชั ราภรณ”์ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ในวงการเมอื ง นายสง่า วัชราภรณ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 สมัยของ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ครั้งที่สองในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 264

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ในสังกัดอิสระ ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามพร้อมกับนายปิยะณัฐ บุตรชาย ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2518 สังกัดพรรคธรรมสังคม การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2519 นายสง่าสอบตกไม่ได้รับเลือกตั้ง ต่อมาใน พ.ศ. 2522 ได้ย้ายมาลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งที่ 3 สังกัดพรรคเสรีธรรมและได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่สี่ ต่อมา พ.ศ. 2526 ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ห้า พ.ศ. 2529 ได้รับ เลือกตั้งครั้งที่หกในสังกัดพรรครวมไทยและสมัยสุดท้าย ได้รับเลือกตั้งใน พ.ศ. 2535 ก่อนที่จะยุติบทบาททางการเมือง นายสง่าถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 (สง่า วัชราภรณ์ ถึงแก่อนิจกรรม, 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551, น. 10) ขณะอายุ 92 ปี นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ นายปยิ ะณฐั วชั ราภรณ์ เกดิ วนั ท่ี 13 เมษายน พ.ศ. 2492 เป็นบุตรของนายสง่า วัชราภรณ์ อดีต ส.ส. ศรีสะเกษ สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ใน พ.ศ. 2514 นายปิยะณัฐ เป็น ส.ส.จังหวัด ศรีสะเกษที่ได้รับการเลือกตั้งหลายสมัยที่สุดนับตั้งแต่มีการ เลือกตั้ง ส.ส.มาจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด 11 สมัย คือ พ.ศ. 2518, 2519, 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539 และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เลือกตั้ง ทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 เคยดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2534 รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2539 รองประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2526 เลขานุการรัฐมนตรี 265

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2518 และเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการทบวงมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2519 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนนมิตรภาพ ระหว่างจังหวัด สระบุรีและนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 อุบัติเหตุดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพของนายปิยะณัฐ ทำให้ต้อง วางมือทางการเมืองในเวลาต่อมา (ปิยะณัฐ วัชราภรณ์, สัมภาษณ์, 28 กุมภาพันธ์ 2551) นายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ นายดนยั ฤทธ์ิ วชั ราภรณ์ เกดิ วนั ท่ี 21 เมษายน พ.ศ. 2496 อาชีพทนายความ เป็นบุตรชายนายสง่า – นางมาลี วัชราภรณ์ และเป็นน้องชายของนายปิยะณัฐ เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ 5 สมัย ลงสมัครรับเลือกตั้ง ครง้ั แรก ในปี พ.ศ. 2526 คกู่ บั นายปยิ ะณฐั พช่ี าย ในเขตเลอื กตง้ั ที่ 1 แต่นายดนัยฤทธิ์สอบตก ลงสมัครอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2529 และ 2531 แต่สอบตกทั้งสองครั้ง ได้รับเลือกตั้งครั้งแรก ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 สังกัดพรรค กิจสังคม ครั้งที่สอง ในการเลือกตั้งวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ครั้งที่สาม ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2538 สังกัดพรรคชาติไทย ครั้งที่สี่ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2539 สังกัดพรรคความหวังใหม่ และครั้งที่ห้าได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 5 จาก การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 3) ความสัมพันธ์ของการสืบทอดทายาท ทางการเมือง การสืบทอดทายาททางการเมืองของตระกูล 266

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ “วัชราภรณ์” เป็นการสานต่อจากนายสง่า วัชราภรณ์ บิดา มายังบุตรชายคนโต คือ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ และบุตร ชายคนรอง คือ นายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์ โดยให้บุตรชาย คนโต คือ นายปิยะณัฐ ลงสมัครรับเลือกตั้งพร้อมกับนายสง่า บิดา ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2518 แต่อยู่คนละเขตเลือกตั้ง หลังจากนั้นเป็นต้นมานายปิยะณัฐ ได้รับเลือกตั้งติดต่อกัน 11 สมัย นายปิยะณัฐ ได้นำน้องชาย คือ นายดนัยฤทธิ์ มาลง สมัครรับเลือกตั้งคู่กันตั้งแต่ พ.ศ. 2526 แต่ไม่ประสบความ สำเร็จ โดยนายดนัยฤทธิ์สอบตกและใช้ความพยายามในการ เลือกตั้งอีก 3 สมัยกว่าจะได้รับเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2535 ภาพที่ 20 การดำเนินการสัมภาษณ์ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษหลายสมัย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551) 267

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 2.1.2 ตระกูล “วีสมหมาย” 1) พนื้ ฐานทางการเมอื ง ตระกลู “วสี มหมาย” (ธวชั ชยั กฤตยิ าภชิ าตกลุ , 2541, น. 223-226) เป็นคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญของตระกูล “วัชราภรณ์” ในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเป็นตระกูลคหบดีชาวจีน มีธุรกิจมากมายหลายประเภทในจังหวัดศรีสะเกษทั้งโรงสีข้าว ปั้มน้ำมัน บริษัทรับเหมาก่อสร้างและอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ (บุญชง วีสมหมาย ด้วยฝันอันสูงสุด, 22 กันยายน 2539, น. 21) อ้างใน ธวัชชัย กฤติยาภิชาตกุล, อ้างแล้ว, หน้า 223. เริ่มเข้าสู่ วงการการเมืองโดยนายบุญชง วีสมหมาย ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาจังหวัด ใน พ.ศ. 2518 หลังจากนั้นได้รับการ ทาบทามจากพรรคกิจสังคมให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2519 และได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนน เสียงเป็นอันดับหนึ่ง 31,447 คะแนน โดยมีคะแนนนำนายสง่า วชั ราภรณ ์ ทส่ี งั กดั พรรคธรรมสงั คมกวา่ 2 หมน่ื คะแนน ส่งผลให้ นายสง่า วัชราภรณ์ สอบตกเป็นครั้งแรก ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 บทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 94 กำหนดให้ผู้ที่จะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด หากบิดาเป็นคนต่างด้าว ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ส่งผลให้นายบุญชง วีสมหมาย ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ให้ทันตแพทย์ หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย ภรรยา ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน ใน พ.ศ. 2522 ในสังกัดพรรคกิจสังคม การเลือกตั้งครั้งนี้ 268

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ มีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้นเป็น 7 คน มีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เป็น 3 เขต และทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ ได้ลงสมัครใน เขตเลือกตั้งที่ 1 และได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่นายบุญชง ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานพรรคกิจสังคม ในพื้นที่แทน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2526 นายบุญชง วีสมหมาย ได้นำนายธีระชัย วีสมหมายหลานชายและเป็น บุตรของนายบุญเล้ง วีสมหมาย อดีตประธานหอการค้าจังหวัด ศรีสะเกษลงสมัครรับเลือกตั้งคู่กับทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน ์ วีสมหมาย ภรรยา ในสังกัดพรรคกิจสังคมและได้รับเลือกตั้ง ทั้งสองคน โดยทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ ได้คะแนนเสียง เป็นอันดับ 1 นายธีระชัยได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 ต่อมา ในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2529 ตระกูล “วีสมหมาย” ได้นำ นายธีระพันธ์ วีสมหมาย น้องชายนายธีระชัย วีสมหมาย ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ในเขตเลือกตั้งที่ 3 ทำให้การเลือกตั้ง ครั้งนี้มีตระกูล “วีสมหมาย” ลงสมัครรับเลือกตั้งถึง 3 คน แต่ปรากฏว่าได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว คือ ทันตแพทย์หญิง กรองกาญจน ์ วสี มหมาย ไดค้ ะแนนเปน็ อนั ดบั 3 (ในเขตเลอื กตง้ั ที่ 1) ส่วนนายธีระชัย ได้คะแนนเป็นอันดับ 5 โดยได้คะแนน เสียง 26,767 คะแนน ในขณะที่นายธีระพันธ์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 3 ได้คะแนนเป็นอันดับ 3 สอบตกแพ้ อันดับ 2 เพียง 131 คะแนน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2531 มีเพียงทันตแพทย์ หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมายเท่านั้นที่ได้รับเลือกตั้งในเขตที่ 1 269

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ในขณะที่นายบุญชง วีสมหมาย สามี ได้รับการแต่งตั้งเป็น วุฒิสมาชิกใน พ.ศ. 2532 หลังจากนั้น นายบุญชง ได้ไปศึกษา ต่อจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏสุรินทร์ และกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีกครั้ง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 คู่กับ ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ ภรรยา ในเขตเลือกตั้งที่ 1 สังกัดพรรคความหวังใหม่และได้รับเลือกตั้งทั้งสองคน ในการ เลือกตั้งวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 นายบุญชงได้รับเลือกตั้ง อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 ในขณะที่ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ สอบตกเป็นครั้งแรก และตั้งแต่ครั้งนั้นทันตแพทย์หญิงกรอง กาญจน์ก็ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรอีก แต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิก ใน พ.ศ. 2539 ส่วนนายบุญชงได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2538 และ 2539 ตอ่ มาในการเลอื กตง้ั ทว่ั ไป เมอ่ื วนั ท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2544 โดยเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน ปรากฏว่านายบุญชงสังกัดพรรคความหวังใหม่ ชนะการเลือกตั้งในเขตที่ 1 ด้วยคะแนน 22,634 คะแนน (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2544, น. 141) อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเลือกตั้งได้มีการ ร้องเรียนการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบ 270

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีมติ ให้ใบเหลือง และกำหนดให้มีการเลือกตั้งซ่อมและนับคะแนน ใหม่ในบางเขต โดยในเขตเลือกตั้งที่ 1 ที่นายบุญชงลงสมัครรับ เลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ซ่อมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2545 ปรากฏว่านายบุญชงชนะ การเลือกตั้งอีกครั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรอง ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2545 (สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้ง จังหวัดศรีสะเกษ, ม.ป.ป.) ในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภา โดยมีพรรคความหวังใหม่ พรรค ชาติไทย พรรคชาติพัฒนาและพรรคเสรีธรรม เข้าร่วมจัดตั้ง รัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลมีเสถียรภาพเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับ การมีนโยบายแนวประชานิยมที่ได้รับการสนับสนุนจาก ประชาชน อาทิ นโยบายการแก้ปัญหาความยากจน โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค การพักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ หลังได้รับการเลือกตั้งและเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค ไทยรักไทย นายบุญชง ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทน ราษฎร ต่อมาพรรคความหวังใหม่ได้ยุบพรรครวมกับพรรคไทย รักไทย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2546 นายบุญชง วีสมหมาย ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี (ไวรัส ตับคร่าชีวิต ‘บุญชง วีสมหมาย’ ‘ทรท.-ปชป. ชิงซ่อมเขต 1 ศรีสะเกษ, 20 เมษายน 2546, น. 1, 8) 271

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ 2) บุคคลในตระกูล “วีสมหมาย” ท่ีเก่ียวข้อง ในวงการเมอื ง นายบุญชง วีสมหมาย นายบุญชง วีสมหมาย หรือที่ชาวศรีสะเกษ เรียกอีกอย่างว่า “อาเจ๊ก” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการ กีฬาและการศึกษาของจังหวัดศรีสะเกษ เกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2474 เป็นบุตรของนายเซ่งซอย กับนางบุญ วีสมหมาย สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียน เทศบาลเมืองศรีสะเกษ ระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียน ศรีสะเกษวิทยาลัย และระดับปริญญาตรี สาขาการจัดการ จากสถาบันราชภัฏสุรินทร์ นายบุญชงได้อธิบายจุดเริ่มต้นในการลง สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ว่า “เนื่องจากมองเห็นปัญหาของ จ.ศรีสะเกษว่ามีความด้อยกว่าจังหวัดอื่นมาก ไม่ว่าเรื่อง โรงเรียน โรงพยาบาลหรือความเจริญด้านอื่นๆ ดังนั้น จึงทำให้ ตัดสินใจที่จะลงเล่นการเมือง แม้ว่าในขณะนั้นครอบครัวไม่ว่า พ่อแม่หรือญาติพี่น้องจะไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าครอบครัว เป็นนักธุรกิจทำการค้า ไม่อยากให้มายุ่งกับการเมืองซึ่งที่บ้าน ได้ทำการค้าเกี่ยวกับการค้าขายพวกหอม กระเทียม ข้าวสาร และสินค้าอื่นๆ” (20 ปี บุญชง วีสมหมาย การเมืองมีปัญหาที่ บุคคลไม่ใช่ระบบ, 26 มีนาคม 2544, น. 5) นายบุญชง วีสมหมาย ได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.ทั้งหมด 7 สมัย คือ พ.ศ. 2519, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต 1 เลือกตั้งทั่วไป วันที่ 6 มกราคม 272

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ 2544 และ ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 1(เลือกตั้งซ่อม) วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2545 รวมทั้งเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2532 (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2543, น. 124-125) ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญเป็นรองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ใน พ.ศ. 2538 เป็นเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2539 รองประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544 - 2545 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2546 ขณะอายุ 72 ปี (กรองกาญจน์ วีสมหมาย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย เป็นภรรยานายบุญชงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแทนสามีที่ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 และได้รับเลือกตั้งครั้งแรกสังกัดพรรคกิจสังคม ครั้งที่สองใน พ.ศ. 2526 ครั้งที่สามใน พ.ศ. 2529 ครั้งที่สี่ ใน พ.ศ. 2531 และในการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้ย้ายมาสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่พร้อม กับนายบุญชงสามีและได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ห้า ส่วนการเลือก ตั้งวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 สอบตกเป็นครั้งแรก ต่อมาได้ รับการแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิกใน พ.ศ. 2539 ก่อนได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย ได้ให้เหตุผลในการเข้ามาเล่นการเมืองว่า 273

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ “เพราะถูกกลั่นแกล้ง ถูกฟ้องร้องที่กระทรวง สาธารณสุข ว่าไม่บริการคนไข้ ตอนนั้นท่านบุญชงเป็นพ่อค้า ธรรมดา ไม่ได้มีอะไร คิดว่าเป็นแค่ข้าราชการธรรมดา จะไปสู้ รบปรบมือกับเขาได้อย่างไร มีทางเดียวที่จะเอาชนะได้คือ การต่อสู้ทางการเมือง..ตอนนั้นเขาจะย้ายหมอไปอยู่ที่ยโสธร หมอไม่ไป และตัดสินใจลาออกมาลงเล่นการเมืองทันที” (กรองกาญจน์ วีสมหมาย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2551) นายธีระชัย วีสมหมาย หลานชายนายบุญชงและเป็นบุตรของนาย บุญเล้ง วีสมหมาย อดีตประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2526 ใน สังกัดพรรคกิจสังคม แต่หลังจากนั้นไม่ประสบความสำเร็จใน การเลือกตั้งและยุติบทบาททางการเมือง 3) ความสัมพันธ์ของการสืบทอดทายาท ทางการเมอื ง การสืบทอดทายาททางการเมืองของตระกูล “วีสมหมาย” เป็นการสืบทอดจากนายบุญชง สามีไปยัง ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ ภรรยา เป็นการสืบทอดหลังจาก ที่นายบุญชงไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2522 และให้ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ ลงสมัครรับ เลือกตั้งแทน ต่อมาในการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 นายบุญชงได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพร้อม ภรรยา แต่หลังจากนั้นทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ไม่ประสบ 274

บทวิเคราะห์ : รูปแบบวิธีการหาเสียง เครือข่ายและความสัมพันธ์ ความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่ได้รับการแต่งตั้งเป็น วุฒิสมาชิกแทน ก่อนได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ทั้งนี้นายบุญชง ได้กล่าวถึงการสร้างทายาททางการเมือง ว่า “ผม (บุญชง) ไม่สามารถลงเลือกตั้งใน พ.ศ. 2522 ได้ เพราะติดเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ผมน้อยใจมาก แต่ ยังอดห่วงชาวบ้านไม่ได้ ผมจึงขอร้องแกมบังคับให้ภรรยา ทิ้งอาชีพทันตแพทย์มาเป็น ส.ส.แทน ผมบอกเขาว่า ถ้าเขา ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ให้เก็บข้าวของกลับบ้านที่จันทบุร ี ไดเ้ ลย แลว้ ผมกจ็ ะยา้ ยไปอยทู่ อ่ี เมรกิ า ไมข่ อกลบั มาเมอื งไทยอกี ภรรยาผมก็เลยต้องยอมตามใจผม โดยลงสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งแรก ใน พ.ศ. 2522 ซึ่งก็ผ่านเข้าไปได้ด้วยดี โดยผมเป็น คนทำงานในพื้นที่ แล้วให้เขาไปทำหน้าที่ในสภาเพื่อขอ งบประมาณมาลงในจังหวัดและทำงานอื่นๆ ตามหน้าที่ ส.ส. เพยี งอยา่ งเดยี ว ไมต่ อ้ งมาหว่ งพน้ื ท่ี เพราะผมจะดแู ลใหเ้ ขาหมด จนมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 ผมก็ไปลงสมัครรับ เลือกตั้งคู่กับภรรยา และได้รับเลือกตั้งทั้งคู่ แต่ในการเลือกตั้ง เดือนกันยายน พ.ศ. 2535 ภรรยาผมสอบตกอย่างที่ไม่เคยมีใคร คาดคิดมาก่อน เขาเสียใจมาก เขาคิดว่าได้ทุ่มเทให้กับคน ศรีสะเกษตั้งมากมาย แต่คนศรีสะเกษไม่เลือกเขา เหมือนกับ ไม่ได้รักกันจริง ตั้งแต่นั้นมาเขาก็กลับไปอยู่บ้านที่จันทบุรี.. ” (ธวัชชัย กฤติยาภิชาตกุล, 2541, น. 226) อย่างไรก็ตาม ต่อมาทันตแพทย์หญิง กรองกาญจน์ได้รับการแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิกใน พ.ศ. 2539 275