250 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ศาสนาทกุ ศาสนามหี นา้ ทเ่ี บอ้ื งตน้ คอื ใหค้ วามมน่ั คงทาง จติ ใจ ทกุ วนั นผี้ คู้ นเขา้ หาบรโิ ภคนยิ ม ไมใ่ ชแ่ คต่ อ้ งการความสขุ ทางกายเท่านั้น หากยังเพราะต้องการความมั่นคงทางจิตใจ เชน่ กนั หลายคนรสู้ กึ มนั่ ใจมากขนึ้ เมอ่ื ไดส้ ะพายกระเปา๋ ยห่ี อ้ ดงั หรือขับรถราคาสิบล้าน นักเรียนนักศึกษารู้สึกว่าตัวเองด้อย หากไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือไม่เคยเข้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ ช่ือดงั ความมน่ั คงในจติ ใจทล่ี กึ ไปกวา่ นนั้ เกดิ ขน้ึ เมอื่ เรารสู้ กึ วา่ ชีวิตของเรามีคุณค่าและความหมาย บริโภคนิยมก็ให้สัญญา แก่เราเช่นเดียวกันว่าชีวิตของเราจะมีคุณค่าและความหมาย ถา้ ครอบครองวตั ถสุ ง่ิ เสพมากๆ โดยเฉพาะสนิ คา้ ยหี่ อ้ ดงั มนั ท�ำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีเข็มมุ่งหรือมีเป้าหมาย เป้าหมายท่ีว่า ก็คือชีวิตนี้เราต้องรวยให้ได้ อย่างน้อยต้องมีคฤหาสน์ มีรถ ราคาสบิ ลา้ น นกั ศกึ ษา จำ� นวนไมน่ อ้ ยมงุ่ มน่ั เรยี นอยา่ งเตม็ ท ่ี เพราะตัง้ เปา้ วา่ จบแลว้ ตอ้ งรวย ลกึ ลงไปกวา่ นน้ั เรายงั ตอ้ งการตวั ตนทมี่ น่ั คงและยงั่ ยนื สมยั กอ่ นความเชอ่ื เรอื่ งชาตหิ นา้ ทำ� ใหค้ นเราไมก่ ลวั ตาย เพราะ เชอ่ื วา่ ตายแลว้ กต็ อ้ งเกดิ ใหม ่ ตวั ตนไมไ่ ดข้ าดสญู แตเ่ มอ่ื ผคู้ น ไม่ค่อยเชื่อเรื่องชาติหน้าแล้ว ก็เป็นทุกข์ข้ึนมาเพราะกลัวว่า ตายแลว้ จะดบั สญู สญั ชาตญาณสว่ นลกึ ไมส่ ามารถยอมรบั ไดว้ า่
251 ศ า ส น า บ ริ โ ภ ค นิ ย ม ตวั ตนจะตอ้ งสนิ้ สุดทีช่ าติน้ี ด้วยเหตนุ ี้เองจึงเอาประเทศชาติ มาเปน็ สง่ิ ทดแทนชาตหิ นา้ ประเทศชาตไิ ดก้ ลายเปน็ ตวั ตนใหม ่ ทเ่ี ชอื่ วา่ จะคงอยเู่ ปน็ นริ นั ดรแ์ มเ้ ราจะตายไปแลว้ การมปี ระเทศ ชาติท�ำให้เราเช่ือว่าตายไปแล้ว ตัวตนของเรายังไม่ขาดสูญ เพราะมชี าตทิ ำ� หนา้ ทส่ี บื ตอ่ ตวั ตนของเราตอ่ ไป ดว้ ยเหตนุ ผ้ี คู้ น จงึ ยอมตายเพอ่ื ประเทศชาตไิ ด ้ ทำ� ใหไ้ มก่ ลวั ตาย แตร่ ะยะหลงั คนเรม่ิ เสอ่ื มศรทั ธาในชาต ิ ชาตนิ ยิ มเรม่ิ ออ่ นพลงั ลง ถา้ เชน่ นน้ั จะมีอะไรมาเป็นส่งิ ทส่ี บื ตอ่ ตัวตนได ้ คนจ�ำนวนไม่น้อยเอาบริษัทมาเป็นตัวตนแทน จึงยอม ตายเพอื่ บรษิ ทั ทมุ่ เททำ� งานทงั้ วนั ทง้ั คนื เพอื่ บรษิ ทั โดยไมส่ นใจ ลูกเมีย อย่างในญี่ปุ่น คนเหล่านี้ยอมตายเพ่ือบริษัท ทุกเช้า จะมีการเข้าแถวร้องเพลงเชิดชูบริษัท แต่คนไทยเรายังไป ไมถ่ งึ ขนั้ น ี้ จงึ เอาอยา่ งอน่ื มาแทน เชน่ เอาชอ่ื เสยี งวงศต์ ระกลู มาส�ำหรับสืบต่อตัวตนแทน ท�ำให้เรายอมตายเพ่ือชื่อเสียง วงศ์ตระกลู แตเ่ มอ่ื ลทั ธปิ จั เจกนยิ มมอี ทิ ธพิ ลมากขน้ึ คนนกึ ถงึ ตวั เอง มากข้ึน ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลหรือครอบครัวก็เริ่มคลายความ ศักดิ์สิทธ์ิ ก็เอาช่ือเสียงของตัวเองมาเป็นส่ิงยึดเหนี่ยวแทน ดังมีค�ำขวัญว่า “ตัวตายแต่ชื่อยัง” ทางออกอีกทางหน่ึงก็คือ หันไปเอาวัตถุมาเป็นส่ิงท่ีสืบต่อตัวตนแทน เพราะวัตถุน้ันมี
252 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ลักษณะอาการที่มั่นคงย่ังยืน บัญชีเงินในธนาคาร รถยนต์ หรือคฤหาสน์ ล้วนให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวตนที่ม่ันคง ถ้าเอา ตวั ตนไปผกู ตดิ กบั สงิ่ น ้ี ตวั ตนของเรากจ็ ะดมู น่ั คงไปดว้ ย และ อาจรูส้ กึ ไปถึงขั้นวา่ มนั จะสืบต่อตวั ตนของเราใหเ้ ปน็ นิรันดร ์ ได ้ ตรงนเ้ี ปน็ แรงผลกั ดนั ลกึ ๆ ทที่ ำ� ใหผ้ คู้ นนบั ถอื บรโิ ภคนยิ ม มันเป็นแรงผลักดันอย่างเดียวกับท่ีท�ำให้ผู้คนเข้าหาศาสนา เปน็ แรงผลกั ดนั ทลี่ กึ มาก จนสามารถเรยี กไดว้ า่ เปน็ แรงผลกั ดนั ทางจติ วญิ ญาณ ศาสนาทกุ ศาสนาตอ้ งมพี ธิ กี รรมและสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ ิ์ บรโิ ภค นยิ มกม็ พี ธิ กี รรมและสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธเิ์ ชน่ กนั พธิ กี รรมประจำ� สปั ดาห ์ กค็ อื การเขา้ ศนู ยก์ ารคา้ ทกุ เสารอ์ าทติ ยแ์ ทนการเขา้ วดั เทศกาล ลดราคาหรือลดแลกแจกแถมเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของ บรโิ ภคนยิ ม เชน่ เดยี วกบั เทศกาลครสิ ตม์ าส ปใี หม ่ วาเลนไทน์ เทศกาลน้ีมาถึงเม่ือใด ผู้คนเป็นไปช็อปปิ้งกัน ถ้าไม่ไปก็จะ รู้สึกกระสบั กระส่าย ไม่เป็นสขุ พธิ กี รรมทส่ี ำ� คญั อกี อยา่ งหนงึ่ ของศาสนาบรโิ ภคนยิ มคอื พิธีกรรมคอนเสิร์ต เวลาน้ีหนุ่มสาวไปคอนเสิร์ตเหมือนกับที่ คนสมยั กอ่ นรว่ มพธิ ที างศาสนาทวี่ ดั เวลาหนมุ่ สาวไปฟงั คอน- เสริ ต์ จะเกดิ ความรสู้ กึ ทเี่ รยี กไดว้ า่ เปน็ “ประสบการณท์ างจติ วิญญาณ” น่ันคือความรู้สึกปีติ และลืมตัวตน เหมือนกับว่า
253 ศ า ส น า บ ริ โ ภ ค นิ ย ม ตวั ตนไดห้ ลอมรวมกนั เปน็ หนง่ึ เดยี วกบั ฝงู ชน ทำ� ใหร้ สู้ กึ โปรง่ เบา อยา่ งยง่ิ ความทกุ ขท์ ง้ั หลายมลายหายไป เพราะไมม่ ตี วั ตนให ้ หว่ งพะวงอกี ตอ่ ไป นค้ี อื ประสบการณท์ างจติ วญิ ญาณอยา่ งหนง่ึ ท่ีไม่ตา่ งจากเวลาไดร้ ว่ มพธิ ีทางศาสนาทา่ มกลางคนหมู่มาก คนเราเมื่อลืมตัวตนหรือเอาตัวตนไปฝากไว้กับฝูงชน แทน จะไม่กลัวตาย ใครที่เคยร่วมชุมนุมทางการเมือง หรือ ร่วมคอนเสิร์ต จะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน นี่คือสภาวะหรือ ประสบการณท์ ส่ี ามารถจดั ไดว้ า่ เปน็ “ประสบการณท์ างศาสนา” มนั ทำ� ใหผ้ คู้ นหลดุ พน้ จากตวั ตนเดมิ ทค่ี บั แคบ กลายมามตี วั ตน ใหมท่ มี่ นั่ คงและใหญก่ วา่ เดมิ ทำ� ใหเ้ กดิ สภาวะทอี่ บอนุ่ มน่ั คง เบาสบาย คอนเสริ ต์ จงึ เปน็ พธิ กี รรมทางศาสนาของคนรนุ่ ใหม่ ที่ก�ำลงั มาแทนที่พธิ ีกรรมทางศาสนาของคนร่นุ เก่า แล้วสิ่งศักด์ิสิทธ์ิของบริโภคนิยมคืออะไร สมัยก่อนสิ่ง ศกั ดส์ิ ทิ ธคิ์ อื พระธาต ุ สมยั นตี้ อ้ งเปน็ ลายเซน็ ดารา ยง่ิ เปน็ ดารา นอกยิ่งศักดิ์สิทธ์ิใหญ่ แม้แต่กางเกงชั้นในของดาราฟุตบอล อยา่ งเบค๊ แฮม่ ทยี่ งั ไมไ่ ดซ้ กั ใครๆ กอ็ ยากได ้ เวลาเขามาเมอื ง ไทยหรือไปเมืองจีน เส้ือผ้าและข้าวของเคร่ืองใช้ของเขาใน โรงแรมมีคนแย่งกันประมูล ยอมจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสน ส่ิงของเหล่าน้ีให้ความรู้สึกทางจิตใจแก่คนรุ่นใหม่ไม่ต่างจาก ที่ชานหมากหรือน�้ำบ้วนปากของเกจิอาจารย์ชื่อดังมีสำ� หรับ
254 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล คนเฒา่ คนแก ่ ของใชพ้ วกนก้ี ลายเปน็ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธไิ์ ปไดก้ เ็ พราะ คนรนุ่ ใหมเ่ หน็ ดาราเหลา่ นไ้ี มต่ า่ งจากพระเจา้ พอนกั รอ้ งดนตร ี เอ็กซ์เจเปนฆ่าตัวตาย วัยรุ่นญ่ีปุ่นหลายคนก็ฆ่าตัวตายตาม เหมือนกับพลีชีพเพือ่ พระเจ้า บริโภคนิยมเป็นศาสนาใหม่ท่ีกำ� ลังมีอิทธิพลกว้างขวาง และฝงั รากลกึ มนั คอื คแู่ ขง่ ทส่ี ำ� คญั ของศาสนาดง้ั เดมิ ทกุ ศาสนา รวมทงั้ พทุ ธศาสนาดว้ ย ทน่ี า่ กลวั กค็ อื มนั กำ� ลงั บอ่ นเซาะศาสนา เหลา่ นอ้ี ยา่ งถงึ รากถงึ โคน จนสามารถเอาศาสนาตา่ งๆ มาเปน็ ร่างทรงของมันได้ แต่ความส�ำเร็จของมันกล่าวอย่างถึงที่สุด แล้วก็เกิดจากความล้มเหลวอ่อนแอของศาสนาเหล่าน้ีนั่นเอง ถา้ ไมป่ รบั ตวั ใหเ้ ขม้ แขง็ กไ็ มม่ วี นั ทจ่ี ะชนะศาสนาบรโิ ภคนยิ ม ได้เลย
255 ศ า ส น า บ ริ โ ภ ค นิ ย ม คนเราอย่อู ยา่ งไรกต็ ายอยา่ งน้นั ถ้าคนเรารู้จักวิธตี าย เรากจ็ ะรวู้ ธิ ีที่จะอยู่ การทคี่ นเราร�ำลกึ ถึงความตายอยเู่ สมอ กจ็ ะท�ำใหเ้ ราเหน็ คณุ คา่ ของชวี ติ ความตายทำ� ใหเ้ ราตระหนกั ไดว้ ่า เรามีความจำ� กดั ของเวลาในโลก ชวี ิตจงึ สมควรดำ� เนนิ ไปอยา่ งมีค่าท่ีสดุ
มิ ต ร ที่ ถู ก เ มิ น มิ ต ร ท่ี ถู ก เ มิ น ไมว่ า่ ใครกต็ าม...ยอ่ มปรารถนาความสุข แตค่ วามทกุ ขเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของชวี ติ ทปี่ ฏเิ สธไมไ่ ด ้ ไมม่ ใี คร ที่สามารถยึดสุขไว ้ และกีดกันทกุ ข์ออกไปได้ตลอด คนที่คิดแต่จะหนีห่างจากความทุกข์ ไม่ยอมให้มันกลำ้� กราย จงึ ไมต่ า่ งจากคนวง่ิ หนเี งากลางแดด ดงั นนั้ แทนทจ่ี ะหาทาง ผลักไสมันออกไป ศิลปะแห่งการด�ำเนินชีวิตจึงอยู่ที่ว่า “ท�ำ อย่างไร จึงจะอยรู่ ่วมกับความทกุ ข์ได้”
258 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ความทกุ ขน์ นั้ นา่ รงั เกยี จกเ็ พราะมนั ท�ำใหเ้ ราทกุ ข ์ ตอบ อยา่ งกำ� ปน้ั ทบุ ดนิ อยา่ งน ี้ คงไมม่ ใี ครเถยี ง แตเ่ รามกั มองขา้ ม ความจรงิ ประการหนง่ึ นน่ั กค็ อื ความทกุ ขม์ ไิ ดม้ แี ตโ่ ทษอยา่ ง เดียว หากยังมีคุณอีกด้วย คุณของความทุกข์มีอยู่มากมาย แตเ่ รามกั มองไมเ่ หน็ เพราะจติ ใจมวั สาละวนวนุ่ วายไปกบั การ หาทางผลกั ไสความทุกข์ให้ถอยไปห่างๆ ความทกุ ข์...ท�ำใหเ้ ราอยู่เฉยไมไ่ ด้ นีแ่ หละคุณประโยชน์เบ้ืองตน้ ของความทุกข์ เปน็ เพราะความเจบ็ ปวด เราจงึ กระชากมอื ออกจากเปลว ไฟกอ่ นทีจ่ ะไหมไ้ ปมากกวา่ นัน้ ความหวิ ทำ� ใหเ้ ราหาอาหารมาใสท่ อ้ ง กอ่ นทรี่ า่ งกายจะ ขาดพลังงาน จะวา่ ไปแลว้ ความเจบ็ ปวดกด็ ี ความหวิ กด็ ี ลว้ นเปน็ ตวั กระตุ้นเตือนให้เราท�ำอะไรบางอย่าง ก่อนที่สถานการณ์จะ เลวร้ายลงไปกว่านั้น ใครทป่ี รารถนาใหช้ วี ติ ปลอดพน้ จากความเจบ็ ปวดอยา่ ง สนิ้ เชงิ ขอใหด้ ู “คนโรคเรอ้ื น” เปน็ แบบอยา่ งกแ็ ลว้ กนั อนั ตราย ของโรคดงั กลา่ ว มไิ ดม้ อี ยทู่ ม่ี โี รครา้ ยมากดั กนิ อวยั วะจนหดหาย หากเป็นเพราะปลายประสาทถูกท�ำลาย จึงไม่มีความรู้สึก เจบ็ ปวด เวลาถกู ไฟหรอื ของมคี ม คนประเภทนใ้ี ชอ้ วยั วะอยา่ ง
259 มิ ต ร ท่ี ถู ก เ มิ น สมบกุ สมบนั โดยไมร่ สู้ กึ เจบ็ ปวด ทงั้ ยงั หลบั สบายแมน้ ว้ิ จะถกู หนูกัดแทะ ผลก็คือนิ้วมือน้ิวเท้าเกิดแผลเรื้อรังจนหดหายไป เรื่อยๆ ท่ีร้ายกว่านัน้ การไม่รู้สึกระคายเคืองที่ดวงตา ทำ� ให้ หนังตาไม่มีการเคล่ือนไหวกะพริบข้ึนลง ดวงตาจึงไม่ได้รับ การหล่อเล้ียงชะล้างอย่างคนปกติ เป็นเหตุให้ตาบอดไป ในท่ีสดุ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับชีวิต เพราะมันคือ สัญญาณเตือนภัยของร่างกาย ที่บ่งบอกว่าบางส่ิงบางอย่าง กำ� ลงั ผดิ ปกติ ใครทป่ี วดนิ้วหรอื ปวดขอ้ นน่ั อาจหมายความวา่ อวยั วะสว่ นนน้ั ทำ� งานหนกั เกนิ ไปแลว้ และตอ้ งการการพกั ผอ่ น แตค่ นสมยั น ี้ นบั วนั จะหา่ งเหนิ จากรา่ งกาย จนไมอ่ าจรบั ร้ ู “ภาษา” ของรา่ งกายของตนได ้ มหิ นำ� ซำ�้ ยงั มคี วามรสู้ กึ เกลยี ด กลวั และตอ่ ตา้ นความเจบ็ ปวด จงึ หาทางขบั ไลค่ วามเจบ็ ปวด ด้วยการกินยาระงับปวดหรือฉีดยาผสมสเตียรอยด์ โดยหารู้ ไมว่ า่ อวยั วะทหี่ ายปวดดว้ ยวธิ กี ารเชน่ น ี้ จะไมม่ วี นั ไดพ้ กั มแี ต ่ จะถูกใช้งานหนกั เกนิ กำ� ลัง จนเส่ือมโทรมอย่างรวดเรว็ ธรรมชาตยิ ่อมเคล่อื นไปส่ดู ุลยภาพเสมอ ชีวิตท่ีบรรสานสอดคล้องกับธรรมชาติ คอื “ชวี ิตทม่ี สี มดลุ ” เมอ่ื ใดก็ตามที่เคลอื่ นออกจากดุลยภาพ
260 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ความผดิ ปกติก็ปรากฏ ดงั นน้ั ทกุ ครงั้ ทเ่ี กดิ การเจบ็ ปวดหรอื ปว่ ยไข ้ นน่ั แสดงวา่ เรากำ� ลงั สบู บหุ รมี่ ากเกนิ ไป หรอื เรากำ� ลงั กนิ อาหารมากเกนิ ไป หรอื อาจเปน็ ได้ว่าเราก�ำลังท�ำงานหนกั เกนิ ไป โรคบางโรคเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า เราก�ำลังใช้ชีวิต อยา่ งไมถ่ กู ตอ้ ง หากเราไมแ่ ตกตนื่ ตกใจกลวั จนเกนิ ไป เราอาจ พบวา่ โรคหวั ใจทก่ี ำ� ลงั เกดิ ขนึ้ กบั เรานนั้ เปน็ อาการบง่ ชวี้ า่ เรา กำ� ลงั เครง่ เครยี ดกบั งานมากเกนิ ไป โดยไมม่ เี วลาพกั ผอ่ น หรอื กนิ อาหารอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ ความเจบ็ ปว่ ยน้นั เปน็ ทุกข์ แตข่ ณะเดียวกัน มนั กเ็ ป็นคุณด้วย เพราะกระตกุ ใหเ้ ราไดฉ้ กุ คดิ และหนั มาดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ ง ถูกตอ้ งและสมดุล มะเร็งเป็นโรคร้าย แต่หลายคนกลับเห็นคุณประโยชน ์ จากโรคน้ี เพราะท�ำให้พวกเขาละท้ิงชีวิตที่เคร่งเครียดกดดัน หนั มาสชู่ วี ติ ทส่ี มดลุ ทงั้ กายและใจ ไดเ้ หน็ คณุ คา่ ของสมาธภิ าวนา อนั ทำ� ใหช้ วี ติ ไดเ้ ขา้ ถงึ สว่ นลกึ แหง่ จติ วญิ ญาณ อนั เปน็ ทม่ี าของ ความสงบศานติ มใิ ชจ่ ำ� เพาะความทุกขท์ างกายเทา่ นั้น แม้ “ความทุกข์ทางใจ” ก็มคี ณุ แก่เราด้วยเชน่ กนั
261 มิ ต ร ท่ี ถู ก เ มิ น เพยี งแคม่ องยอ้ นกลบั ไปในอดตี กค็ งเหน็ ไดย้ ากวา่ ความ ลำ� บากในวยั เยาว ์ การตอ้ งกลำ้� กลนื ฝนื ทนกบั สง่ิ ทไ่ี มน่ า่ พงึ พอใจ ครั้งยังเป็นนักเรียน ได้มีส่วนบ่มเพาะชีวิตของเราให้เจริญ งอกงามเพียงใดบ้าง แต่ความทุกข์เหล่าน้ัน เรามาเห็นคุณ เมอ่ื มนั ผา่ นไปแลว้ ทงั้ ๆ ทคี่ ณุ ประโยชนข์ องความทกุ ขน์ น้ั มอี ย ู่ แม้ในยามท่เี ราเผชิญกบั มนั ซ่งึ ๆ หนา้ ความทุกข์จะมีอานุภาพกระทบกระแทกก็ต่อเมื่อ “เรา เผลอ” คราใดท ี่ “ขาดสต”ิ เรากต็ กอยใู่ นอำ� นาจของมนั ความ รอ้ นรมุ่ ถกู โหมกระพอื จนแผดเผาจติ ใจ หาไมค่ วามขงึ้ เครยี ด กร็ มุ เรา้ จติ ใจจนอดึ อดั ขดั เคอื งไปหมด ความทอ้ แทท้ ว่ มทบั จน ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ในภาวะเช่นนี้จิตใจมีแต่จะถูกชักลาก จนถูลู่ถูกังไปกับอารมณ์ต่างๆ ท่ีมากระทบ มีปฏิกิริยาไปกับ ทกุ ส่งิ โดยมไิ ดใ้ ช้ปัญญาไตรต่ รอง แตจ่ ติ ใจของเรามไิ ดม้ ไี วเ้ พอ่ื ใหท้ กุ ขก์ ระหนำ่� ซำ�้ เตมิ ฝา่ ย เดยี วเทา่ นนั้ ธรรมชาตยิ งั ให ้ “ปญั ญา” แกเ่ ราเพอื่ นำ� ความทกุ ข์ มาใช้ให้เปน็ ประโยชนด์ ว้ ย แต ่ “ปญั ญาจะใชก้ ารได ้ ตอ่ เมอ่ื มสี ตปิ ระคองใจ” สตเิ ปน็ ตวั ยงั้ ใจ ไมใ่ หม้ ปี ฏกิ ริ ยิ าไปกบั อารมณใ์ ดๆ อยา่ งหนุ หนั พลนั แลน่ ทง้ั ยงั เปดิ โอกาสใหป้ ญั ญาเขา้ มาแกไ้ ขสถานการณอ์ ยา่ งฉบั พลนั
262 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เวลาเกิดความโกรธข้ึนมา ความร้อนรุ่มในใจมีแต่จะ ผลกั ดนั ใหเ้ รามปี ฏกิ ริ ยิ ากราดเกรย้ี วกบั สง่ิ ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ผลท่ตี ิดตามมา หากแตเ่ รามสี ต ิ “รทู้ นั ความโกรธ” ความโกรธนน้ั เอง จะ กลายเปน็ กระจกสะทอ้ นใหเ้ ราเหน็ ตวั เองชดั เจนขน้ึ และหาก ปญั ญาวง่ิ เขา้ มาทนั ทว่ งท ี เราอาจพบวา่ สงิ่ ทก่ี ำ� ลงั รอ้ นรมุ่ ทรุ น- ทรุ ายอยนู่ ั้นไม่ใชต่ วั เรา แตก่ ลับเปน็ เจ้าตัวกิเลสตา่ งหาก บางทเี ราอาจจะกระหยม่ิ ยมิ้ ยอ่ งดว้ ยซำ�้ ทเ่ี หน็ เจา้ ตวั อตั ตา ถูกทรมาน ต่อไปจะได้คลายพยศลงเสียบ้าง ในท่ีสุดเราอาจ
263 มิ ต ร ท่ี ถู ก เ มิ น เกิดปัญญากระจ่างว่า การมีอตั ตานั้นให้โทษเพียงใด ต่อเมื่อ สละความยดึ มนั่ ในอตั ตาตวั ตนเสยี ได ้ ชวี ติ กจ็ ะประสบศานตสิ ขุ อย่างแท้จรงิ “ความทุกข์” นั้นเป็นตัว “บ่มเพาะปัญญา” เช่นเดียว กับที่ขยะปฏิกูลเป็นปุ๋ยโอชะส�ำหรับเหล่าพรรณไม้ท่ีให้ดอก งาม ความพยาบาทมไิ ดม้ แี ตโ่ ทษแตย่ งั มคี ณุ เพราะหากรจู้ กั มองด้วยสติและปัญญา ก็จะท�ำให้เราเห็นโทษของมัน และ ชวนใหน้ ึกสงสารผู้อื่นที่ถกู ความอาฆาตพยาบาทเผาลนจติ ใจ พลอยให้เกิดกรุณาต่อผู้อ่ืน เวลามีกามราคะเกิดข้ึน แทนที ่ จะปล่อยใจให้กระเสือกกระสนไปกับสิ่งต่างๆ เพ่ือเอามา ปรนเปรอตน ลองตงั้ สตพิ นิ จิ ดบู า้ ง วา่ เวลาคนอน่ื มกี ามราคะ เกดิ ขน้ึ ในใจอยา่ งทเ่ี กดิ กบั เรานนั้ จะเรา่ รอ้ นเพยี งใด เมอ่ื นนั้ เราจะเหน็ โทษของมนั กระจา่ งขนึ้ และคดิ หาหนทางเปน็ อสิ ระ จากมนั ถงึ ทส่ี ดุ แลว้ ความทกุ ขใ์ จนน้ั กค็ อื ความเจบ็ ปว่ ยชนดิ หนงึ่ ขน้ึ ชอ่ื วา่ “ความเจบ็ ปว่ ย” แลว้ ยอ่ มเปน็ ผลจากความเสยี สมดลุ ท้ังสิ้น ไมว่ ่าทางกายหรอื ทางใจ จิตที่เสียสมดุลเป็นผลจากการวางใจไม่สอดคล้องกับ ธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ แม้จะเป็นการ
264 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล แปรเปลี่ยนตามเหตุปัจจัย แต่เหตุปัจจัยท้ังหลายก็ไม่เคยอยู่ ในความควบคมุ ของเราได้อย่างแทจ้ รงิ เป็นเพราะเราต้องการให้สิ่งต่างๆ เที่ยงแท้และไม่แปร เปล่ียน เราจึงเป็นทุกข์และกลัดกลุ้ม เป็นเพราะเราไม่อาจ ควบคุมสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามทีห่ วัง เราจึงผิดหวังและแค้น เคอื ง ต่อเม่ือเราด�ำรงสติและปัญญา ไม่ปล่อยใจแล่นไปตาม ความทุกข์ เราจึงจะพบว่าความทุกข์ในจิตใจนั้นแหละ คือ ส่ิงบอกเหตุว่า เราก�ำลังวางจิตวางใจไม่สอดคล้องกับธรรม- ชาติตามความเปน็ จริง ความทุกข์ท้ังหลายก�ำลังบอกเราให้ละวางความยึดมั่น ถอื มน่ั และรจู้ กั ยอมรบั ความเปน็ จรงิ ทม่ี พิ งึ ปรารถนาเสยี บา้ ง ใครที่มืดบอดหนวกใบ้ต่อค�ำเตือนของความทุกข์ ชีวิต ก็มีแต่จะทุกข์ร�ำ่ ไป จำ� เพาะคนทตี่ ระหนกั วา่ ความทกุ ขเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของชวี ติ ไมป่ ฏเิ สธทุกข ์ แต่เรยี นจากทกุ ข์ จนเหน็ ธรรมดาของชีวติ วา่ “ไมค่ วรยดึ มน่ั ถอื มน่ั ” บคุ คลเชน่ นนั้ ยอ่ มอยใู่ ตอ้ ทิ ธพิ ลครอบงำ� ของความทุกข์นอ้ ยลงเร่ือยๆ จนเป็นอิสระในท่ีสุด ดงั พระบรมศาสดาทที่ รงเรม่ิ ตน้ บำ� เพญ็ เพยี ร ดว้ ยความคดิ ทตี่ อ้ งการหนคี วามเกดิ แก ่ เจบ็ ตาย แตใ่ นทสี่ ดุ กท็ รงคน้ พบ
265 มิ ต ร ท่ี ถู ก เ มิ น หนทางแหง่ การอยกู่ บั ความทกุ ขเ์ หลา่ นน้ั อยา่ งเปน็ อสิ ระเหนอื มนั คุณสมบัติประการหนึ่งของมิตร คือ หม่ันตักเตือนให ้ เราอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง ในชีวิตของเรามิใช่ความทุกข ์ หรอกหรือ ท่ีคอยส่งสัญญาณเตือนให้เราคืนสู่ความถูกต้อง เพอ่ื เปน็ ปกตทิ งั้ กายและใจ เราจงึ สมควรถอื ความทกุ ข ์ วา่ เปน็ ดงั่ มติ รของเรา ดังนั้นแทนที่จะผลักไส รังเกียจความทุกข์ กลับควรท ี่ จะตอ้ นรบั ทกุ ครงั้ ท่ีความทุกข์มาเยือน น้อมรับบทเรียนจาก ความทกุ ข ์ รบั ฟงั คำ� ตกั เตอื น และหนั มาสำ� รวจตรวจตราชวี ติ จติ ใจของตน เพื่อให้ด�ำเนินตามครรลองที่ถูกต้อง น่าเสียดาย ที่ทุกวันน้ีเราพากันปฏิเสธความทุกข์ โดย หารูไ้ ม่ว่า เรากำ� ลงั “เมนิ เฉยมิตร” ทสี่ ำ� คัญที่สุดในชีวติ
ภิกษณุ ีสงฆ์ : ภิ ก ษุ ณี ส ง ฆ ์ : ท า ง เ ลื อ ก ท่ี เ ลี่ ย ง ไ ด ้ ย า ก ท า ง เ ลื อ ก ที่ เ ลี่ ย ง ไ ด้ ย า ก พระไพศาล วสิ าโล การบังเกิดภิกษุณีสงฆ์ข้ึนในเมืองไทย ดูเหมือนเป็นเร่ืองท่ี หลกี เลยี่ งไมไ่ ดเ้ สยี แลว้ หากเปน็ เมอ่ื ๗๐ ปกี อ่ น คงไมส่ ามารถ พดู เชน่ นไ้ี ด ้ แตป่ จั จบุ นั นส้ี ถานการณไ์ ดเ้ ปลยี่ นไป จนสามารถ กลา่ วไดว้ า่ อะไรๆ กเ็ กดิ ขนึ้ ไดท้ ง้ั นน้ั คณะสงฆท์ กุ วนั นอ้ี อ่ นแอ อยา่ งมาก จนยากทจี่ ะขดั ขวางมใิ หม้ สี ามเณรหี รอื ภกิ ษณุ ี ดงั ท ่ี ได้เคยท�ำส�ำเร็จมาแล้วเมื่อปี ๒๔๗๐ ไม่ว่าคณะสงฆ์จะใช ้ มาตรการใดๆ มาสกดั กน้ั หา้ มปราม กม็ พิ งึ หวงั วา่ จะไดร้ บั ความ สนับสนุนจากผู้คนดังแต่ก่อน ทุกวันน้ีคณะสงฆ์ได้สูญเสีย
268 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ศรทั ธาจากประชาชนไปมาก จนยากทจ่ี ะนำ� ประชาชนใหเ้ หน็ คล้อยตามได้ง่ายๆ มิใยต้องเอ่ยว่ากี่คร้ังก่ีหนแล้วท่ีคณะสงฆ ์ ไดท้ ำ� สง่ิ ทส่ี วนทางกบั ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของคนในสงั คม จนทำ� ให้ เกดิ ความระอากนั ไปทว่ั หนา้ กรณธี รรมกายเปน็ ตวั อยา่ งหนงึ่ ท่ีชดั เจน ใช่แต่เท่าน้ัน การท่ีคณะสงฆ์จะยืมมือรัฐมาจัดการกับ ผู้ที่บวชเป็นสามเณรีหรือภิกษุณี ดังเมื่อ ๗๐ ปีก่อนก็ไม่ใช ่ เร่ืองง่ายแล้ว ไม่มีรัฐบาลใดในเวลานี้ที่สนใจหรืออยากจะมา ยงุ่ เกย่ี วกบั เรอื่ งศาสนาและพระสงฆ ์ ตราบใดทไ่ี มม่ ากระทบกบั ความมนั่ คงของรฐั และรฐั บาล ยง่ิ เปน็ ประเดน็ ทมี่ คี นเหน็ ดว้ ย และสนบั สนนุ เปน็ จำ� นวนมากดว้ ยแลว้ ทางออกทดี่ ที สี่ ดุ สำ� หรบั รัฐบาลคือให้คณะสงฆ์จัดการแก้ปัญหาเอาเอง และก็เป็นที่ คาดเดาไดไ้ มย่ ากว่า หากมหาเถรสมาคมไมน่ งิ่ เงยี บอยู่เฉยๆ ดงั ทม่ี กั ทำ� เปน็ อาจณิ สงิ่ ทที่ ำ� ไดอ้ ยา่ งมากคอื มมี ตแิ ละออกคำ� สงั่ ทีไ่ รผ้ ลในทางปฏบิ ตั ิ แต่ท้ังหมดท่ีกล่าวมาไม่ใช่สาเหตุส�ำคัญท่ีสุดที่ท�ำให้ ภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นได้ในเมืองไทย สาเหตุส�ำคัญเหนืออ่ืนใด กค็ อื การสนบั สนนุ ของผคู้ นในสงั คมทอ่ี ยากเหน็ ภกิ ษณุ เี กดิ ขน้ึ นเ้ี ปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทสี่ ดุ ทเี่ ปน็ ตวั ชข้ี าดวา่ ภกิ ษณุ สี งฆจ์ ะเกดิ ขนึ้ ไดใ้ นเมอื งไทยหรอื ไม ่ ถงึ แมค้ ณะสงฆแ์ ละรฐั บาลจะไมย่ อมรบั
269 ภิ ก ษุ ณี ส ง ฆ ์ : ท า ง เ ลื อ ก ท่ี เ ลี่ ย ง ไ ด ้ ย า ก วา่ มสี ามเณรหี รอื ภกิ ษณุ ี แตถ่ า้ ประชาชนใหค้ วามเคารพนบั ถอื สามเณรีหรือภิกษุณีก็เกิดข้ึนแล้วในความรู้สึกนึกคิดของ ประชาชน ไมว่ า่ จะเรยี กด้วยชอ่ื อะไรก็ตาม ความเปน็ พระนนั้ ไมไ่ ดถ้ กู กำ� หนดดว้ ยกฎหมาย (หรอื การรับรองของรัฐและคณะสงฆ์) เท่าน้ัน หากยังขึ้นอยู่กับ ธรรมวินัยและการยอมรับของประชาชนด้วย ถึงจะเป็นพระ ทถี่ กู ตอ้ งตามกฎหมาย (เชน่ บวชถกู ตอ้ งตามระเบยี บคณะสงฆ ์ และยงั ไมถ่ กู จบั สกึ เพราะตอ้ งปาราชกิ ) แตถ่ า้ ไดต้ อ้ งปาราชกิ แล้ว และญาติโยมไม่นับถือว่าเป็นพระ ตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ถือว่าเป็นพระแล้ว ขณะเดียวกันก็มิใช่พระในความรู้สึก นกึ คดิ ของชาวบา้ นดว้ ยเชน่ กนั ในอกี ดา้ นหนงึ่ ถงึ แมจ้ ะไมไ่ ด ้ เป็นพระตามที่กฎหมายรบั รอง (เช่น ไมไ่ ด้บวชกับอปุ ชั ฌาย ์ ท่ีรัฐและคณะสงฆ์รับรอง) แต่บวชและประพฤติตนถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย อีกท้ังประชาชนยอมรับ ก็ถือว่าเป็นพระ วนั ยงั คำ่� (ดงั ทค่ี นไทยมกั ใหค้ วามเคารพแกพ่ ระนกิ ายอนื่ ซง่ึ บวชจากตา่ งประเทศ ดจุ เดียวกบั พระไทย) คนไทยทอ่ี ยากเหน็ ภกิ ษณุ สี งฆเ์ กดิ ขน้ึ ในเมอื งไทยนบั วนั จะมมี ากขน้ึ สว่ นหนงึ่ เพราะวา่ ภกิ ษณุ สี งฆเ์ ปน็ สง่ิ จำ� เปน็ สำ� หรบั การเผยแผ่ธรรมและส่งเสริมการปฏิบัติ โดยเฉพาะในหมู่ ผหู้ ญงิ ความจำ� เปน็ ดงั กลา่ วปรากฏใหเ้ หน็ เดน่ ชดั ขน้ึ เมอื่ พบวา่
270 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ในระยะหลงั มผี หู้ ญงิ เปน็ จำ� นวนมากทไ่ี มไ่ ดส้ นใจแคก่ ารทำ� บญุ (ใหท้ าน) เทา่ นนั้ หากยงั สนใจการทำ� สมาธวิ ปิ สั สนาและการ ศึกษาธรรมเพื่อน�ำมาใช้แก้ปัญหาชีวิต กลุ่มคนที่เข้าวัดเพ่ือ ปฏบิ ตั ธิ รรมดงั กลา่ ว บอ่ ยครง้ั จะพบวา่ มขี อ้ จำ� กดั ในการฝกึ ฝน เรยี นรกู้ บั พระ เงอื่ นไขทางพระวนิ ยั เปน็ เพยี งสาเหตหุ นงึ่ เทา่ นน้ั ท่ีส�ำคัญไม่น้อยก็คือภูมิหลังและประสบการณ์อันเนื่องจาก ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศ ซงึ่ ทำ� ใหพ้ ระมขี อ้ จำ� กดั ในการชแี้ นะ แกป้ ญั หาของโยมผหู้ ญงิ ไดต้ รงจดุ ใชแ่ ตเ่ ทา่ นน้ั พระทมี่ คี วาม สามารถในการสอนธรรมให้แก่ผู้หญิง (หรือแม้แต่คนทั่วไป) กม็ ีอยูน่ ้อย เม่อื เทยี บกบั ความตอ้ งการท่เี พิม่ ขน้ึ ทกุ ที ด้วยเหตุน้ีจึงไม่น่าแปลกใจท่ีระยะหลังมีผู้หญิงจ�ำนวน มากขน้ึ ทห่ี นั มาฝกึ ฝนปฏบิ ตั ธิ รรมกบั ผหู้ ญงิ ดว้ ยกนั สำ� นกั ปฏบิ ตั ิ ธรรมท่ีมีผู้หญิงเป็นเจ้าส�ำนัก หรือหลักสูตรการปฏิบัติธรรม ทม่ี ผี หู้ ญงิ เปน็ ครบู าอาจารยผ์ ดุ ขน้ึ ไปทวั่ ขณะเดยี วกนั การทมี่ ี ผหู้ ญงิ เปน็ ครบู าอาจารยท์ างพทุ ธศาสนากนั มากขนึ้ ทงั้ ทเ่ี ปน็ ฆราวาสและนกั บวช (แมช่ )ี กเ็ ปน็ เครอื่ งชถี้ งึ ความรแู้ ละความ สามารถของผหู้ ญงิ ทเ่ี พม่ิ มากขนึ้ อนั เปน็ ผลจากการมโี อกาส ได้รับการศึกษามากข้ึน ผิดกับแต่ก่อนที่ผู้หญิงถูกปิดโอกาส ในอดตี จงึ มีบทบาทเพียงแค่เปน็ โยมอปุ ัฏฐากหรือผู้รับใช้พระ เท่าน้นั
271 ภิ ก ษุ ณี ส ง ฆ ์ : ท า ง เ ลื อ ก ท่ี เ ลี่ ย ง ไ ด ้ ย า ก อยา่ งไรกต็ ามศกั ยภาพของผหู้ ญงิ ในการศกึ ษาและเผยแผ ่ ธรรมยงั มมี ากกวา่ น ี้ ชวี ติ อยา่ งคฤหสั ถห์ รอื แมแ้ ตแ่ มช่ ยี งั เปน็ เงอื่ นไขอนั จำ� กดั ในการพฒั นาศกั ยภาพดงั กลา่ ว สงิ่ ทจ่ี ะเพม่ิ พนู ศักยภาพให้มากข้ึนก็คือชุมชนและวิถีชีวิตอย่างพระ นี้เป็น สาเหตทุ ่ีพระพทุ ธองค์ทรงตั้งชุมชนของพระทีเ่ รยี กวา่ “สงฆ”์ ขน้ึ มา โดยมรี ะบบชมุ ชนและระเบยี บชวี ติ ทเี่ รยี กวา่ “วนิ ยั ” ซงึ่ เอือ้ ตอ่ การฝกึ ฝนพฒั นาตนและการเผยแผ่ธรรม จริงอย่กู าร ปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ จะอยใู่ นสถานะไหนกท็ ำ� ไดท้ ง้ั นน้ั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ ง บวชพระ แตพ่ ระพทุ ธองคท์ รงตระหนกั ดวี า่ การฝกึ ฝนพฒั นาตน นนั้ ลำ� พงั ปจั จยั ภายใน (เชน่ ความตงั้ ใจ) อยา่ งเดยี วยงั ไมพ่ อ ควรอาศัยปัจจัยภายนอกหรือสภาพแวดล้อมมาช่วยด้วยเพ่ือ ให้ศักยภาพได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนไม่เพียงแต่บรรลุ ประโยชนต์ นเทา่ นน้ั หากยงั สามารถบำ� เพญ็ ประโยชนท์ า่ นได ้ ดว้ ย นค้ี อื เหตผุ ลทที่ รงเชญิ ชวนใหค้ ฤหสั ถท์ บี่ รรลธุ รรมถงึ ขนั้ อรหตั ตผล มาบวชเปน็ ภกิ ษแุ ละรว่ มเปน็ สว่ นหนง่ึ ของสงฆ ์ ทง้ั ๆ ท่ที า่ นเหล่านั้นหมดกจิ ที่จะต้องฝกึ ฝนตนเองแลว้ เปน็ เวลาชา้ นานแลว้ ทผ่ี ชู้ ายมชี มุ ชนสงฆร์ องรบั เพอ่ื ฝกึ ฝน พัฒนาตนได้อย่างเต็มท่ี ถึงเวลาแล้วท่ีผู้หญิงพึงได้รับโอกาส ดงั กลา่ วดว้ ยเชน่ กนั พงึ ตระหนกั วา่ การเปดิ โอกาสหรอื สง่ เสรมิ ใหม้ ภี กิ ษณุ สี งฆเ์ กดิ ขน้ึ ในเมอื งไทยนน้ั ความสำ� คญั ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่
272 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ความเสมอภาคทางดา้ นสทิ ธริ ะหวา่ งเพศ หรอื การยกสถานะ ของผู้หญิงให้เท่าเทียมชาย หากอยู่ที่การส่งเสริมให้ผู้หญิง มโี อกาสไดร้ บั การฝกึ ฝนพฒั นาตนอยา่ งเตม็ ท ่ี เพอื่ ความเจรญิ งอกงามแหง่ ธรรม ตราบใดทย่ี งั มองไมเ่ หน็ จดุ น ้ี แตไ่ ปเขา้ ใจวา่ นเ้ี ปน็ เรอื่ งการเรยี กรอ้ งสทิ ธเิ สรภี าพของผหู้ ญงิ ภกิ ษณุ สี งฆก์ ็ จะกลายเปน็ ประเดน็ ทสี่ ร้างความเขา้ ใจผิดไดม้ าก
273 ภิ ก ษุ ณี ส ง ฆ ์ : ท า ง เ ลื อ ก ท่ี เ ลี่ ย ง ไ ด ้ ย า ก นมิ ติ ดสี ำ� หรบั วงการพทุ ธศาสนากค็ อื บดั นภี้ กิ ษณุ สี งฆ ์ ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศศรีลังกา และนับวันจะตั้งมั่นแม้จะ ถกู ตอ่ ตา้ นคดั คา้ นจากพระผใู้ หญจ่ ำ� นวนไมน่ อ้ ย แตก่ ไ็ มส่ ามารถ ขัดขวางได้ เนื่องจากภิกษุณีสงฆ์ได้รับการสนับสนุนจาก ประชาชนจ�ำนวนมาก โดยมีพระผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือด้วย จนบดั นีม้ ีภิกษณุ ีแล้วกวา่ ๒๐๐ รูป ไม่มีใครในศรีลังกาท่ีคัดค้านภิกษุณีด้วยเหตุผลง่ายๆ (ซงึ่ มกั ไดย้ นิ ในเมอื งไทย) วา่ มาบวชเพราะอกหกั ทง้ั นที้ ง้ั นนั้ กเ็ พราะแมช่ ที น่ี นั่ (ซงึ่ เรยี กวา่ “ทศศลี มาตา” เนอื่ งจากถอื ศลี สิบ) เป็นท่ีศรัทธาเล่ือมใสของผู้คน ว่าเป็นผู้มีศีลาจารวัตร งดงาม มคี วามรดู้ ที างพทุ ธศาสนา อกี ทง้ั อทุ ศิ ตนเพอ่ื พระพทุ ธ- ศาสนา จนมสี ถานภาพแทบไมต่ า่ งจากพระ ดงั นน้ั เมอ่ื มาบวช เปน็ สามเณรีและภิกษุณ ี จงึ เปน็ ที่ยอมรบั ของสังคมไดง้ ่าย กระน้ันก็ตามมีเหตุผลหน่ึงท่ีมักอ้างกันและน่ารับฟัง ก็คือ ภิกษุณีสงฆ์ได้ขาดสายไปนานแล้ว จึงไม่สามารถท่ีจะ บวชภิกษุณีให้ถูกต้องตามพระวินัยได้ เน่ืองจากในการบวช ภิกษุณีน้ันจะต้องมีสงฆ์ท้ังสองฝ่ายคือภิกษุสงฆ์และภิกษุณี สงฆ์รับรอง เม่ือสงฆ์ไม่ครบจึงไม่สามารถบวชภิกษุณีได้ แต ่ ทางออกของฝ่ายสนับสนุนภิกษุณีในศรีลังกาก็คือ การอาศัย ภิกษุณีสงฆ์ท่ีไต้หวันมาท�ำพิธีอุปสมบทตามแบบเถรวาทเม่ือ
274 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ปี ๒๕๔๑ โดยบวชท่ามกลางภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและ มหายานอีกช้ันหน่ึงด้วย แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าภิกษุณีสงฆ ์ มหายานสามารถบวชภิกษุณีเถรวาทได้หรือ แต่ข้อเท็จจริง ประการหนง่ึ ทไ่ี มอ่ าจมองขา้ มไดก้ ค็ อื เมอื่ สบื สายไปใหถ้ งึ ทส่ี ดุ แลว้ ภกิ ษณุ มี หายานกถ็ อื กำ� เนดิ มาจากภกิ ษณุ เี ถรวาทนน่ั เอง ดังมีหลักฐานว่ามีภิกษุณีสงฆ์จากลังกาไปบวชภิกษุณีในจีน เมอ่ื พทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๐ และนบั แตน่ นั้ กม็ กี ารสบื ตอ่ ไมข่ าดสาย จนถงึ ปจั จบุ นั ใชแ่ ตเ่ ทา่ นนั้ วนิ ยั ปาฏโิ มกขข์ องภกิ ษณุ มี หายาน กแ็ ทบไมผ่ ดิ แผกจากของเถรวาทเลย กลา่ วคอื แตกตา่ งตรงท่ ี ข้อปลีกย่อยและจ�ำนวนสิกขาบท (ของมหายานมีมากกว่า ประมาณ ๑๒ ข้อ) ประเด็นเรื่องพระวินัยน้ันเป็นเร่ืองท่ียังถกเถียงกันได ้ มาก แต่การพจิ ารณาเรอื่ งภกิ ษุณีสงฆ์ หาควรไมท่ ่จี ะเร่มิ ต้น ด้วยประเด็นพระวินัย ข้อที่ควรพิจารณาเป็นประการแรกสุด กค็ อื ควรหรอื ไมท่ จ่ี ะมภี กิ ษณุ สี งฆใ์ นเมอื งไทย ทงั้ นโ้ี ดยคำ� นงึ ถึงประโยชน์อันเกิดแก่พระศาสนาและสังคมไทยเป็นส�ำคัญ และไม่ควรน�ำเอาอคติส่วนตัวมาเป็นอารมณ์ (ซ่ึงรวมไปถึง การทำ� ใจไมไ่ ด ้ หากผหู้ ญงิ จะมาเปน็ พระ หรอื ทนไมไ่ ดท้ ผ่ี ชู้ าย จะไหว้ผู้หญิง) ต่อเมื่อเห็นว่าควรมีภิกษุณีสงฆ์ในเมืองไทย จึงค่อยพิจารณาถึงพระวินัย ว่าเอื้ออ�ำนวยหรือเปิดช่องให้มี
275 ภิ ก ษุ ณี ส ง ฆ ์ : ท า ง เ ลื อ ก ท่ี เ ลี่ ย ง ไ ด ้ ย า ก การบวชภิกษุณีในปัจจุบันได้หรือไม่ น่ันหมายความว่าหาก สรปุ วา่ ควรมภี กิ ษณุ ี กน็ า่ จะตอ้ งมกี ารตคี วามพระวนิ ยั ใหมใ่ ห้ เอ้ือต่อการบวชภิกษุณี ถ้าท�ำไม่ได้ก็ต้องคิดค้นรูปแบบใหม่ สำ� หรบั นกั บวชหญงิ ซงึ่ กค็ อื ภกิ ษณุ ใี นชอื่ ใหมน่ นั่ เอง โดยทยี่ งั คง ปฏบิ ตั ติ ามวนิ ยั ปาฏโิ มกขข์ องภกิ ษณุ ที พ่ี ระพทุ ธองคท์ รงบญั ญตั ิ สามเณรธี มั มนนั ทาคอื จดุ เรมิ่ ตน้ ของการสถาปนาภกิ ษณุ ี สงฆ์ข้ึนในเมืองไทย แม้ปัจจุบันมีหญิงไทยบางคนท่ีบวชเป็น ภกิ ษณุ แี ลว้ แตก่ ย็ งั ไมค่ รบองคส์ งฆ ์ ความรคู้ วามสามารถและ การอุทิศตนเพ่ือพระศาสนาของสามเณรีและภิกษุณีไทยใน ปจั จบุ นั และทจ่ี ะตามมาในอนาคต เปน็ ตวั กำ� หนดสำ� คญั ทสี่ ดุ วา่ สงั คมไทยจะยอมรบั ภกิ ษณุ สี งฆห์ รอื ไม ่ หากสงั คมไทยยอมรบั และสนับสนนุ ไม่ว่ารฐั และคณะสงฆก์ ็ไมอ่ าจขดั ขวางได้
ภาพ : เพชร มโนปวติ ร
ที่มา : นิตยสารสารคด ี ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง ฉบับท ่ี ๓๐๖ สิงหาคม ๕๓ ปีที ่ ๒๖ คอลมั น์ริมธาร : รนื่ รมยบ์ นผาสูง รืน่ รมย์ บ น ผ า สู ง รินใจ ปาโรเปน็ ประตสู ภู่ ฐู านทส่ี ามารถสะกดนกั ทอ่ งเทยี่ วตา่ งชาติ ได้อย่างชะงัด จากดินแดนแห่งความแน่นขนัดอึกทึกวุ่นวาย และเรง่ รบี ในหลายมมุ โลก พอออกจากสนามบนิ ปาโร ทกุ คน จะได้สัมผัสกับหุบเขาและทุ่งกว้างที่เงียบสงบ มีธารน้�ำไหล เออ่ื ย พอๆ กบั ชวี ติ ทเี่ นบิ ชา้ ของผคู้ น ฟา้ สวย แดดใส อากาศ บรสิ ทุ ธ ิ์ คอื สง่ิ ทป่ี รากฏแกเ่ ราอยา่ งแจม่ ชดั ในเชา้ วนั แรกทภี่ ฐู าน
278 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ปาโรเปน็ หบุ เขาทง่ี ดงาม มบี า้ นเรอื นกระจดั กระจายอย่ ู เป็นหย่อมๆ ในทุ่งราบเขียวสด บ้านเรือนเหล่านี้มิได้เป็น กระท่อมอย่างท่ีพบเห็นในชนบทส่วนใหญ่ หากเป็นอาคาร สองชั้นที่สร้างอย่างมั่นคงแน่นหนา ท้ังยังมีลวดลายศิลปะ งดงามโดยเฉพาะที่ขอบหน้าต่างช้ันบน แม้ว่าศิลปะเช่นนี้ม ี ใหเ้ หน็ ทวั่ ภฐู าน แตท่ ปี่ าโรนนั้ มลี กั ษณะโดดเดน่ กวา่ กลา่ วกนั ว่า หากต้องการเห็นบ้านเรือนท่ีสวยงามที่สุดในประเทศต้อง มาดทู ห่ี ุบเขาปาโร ปาโรอยหู่ า่ งจากทิมพู เมอื งหลวงภูฐาน ประมาณ ๕๐ กม. แตป่ าโรเปน็ มากกวา่ ปากทางสรู่ าชธาน ี แมจ้ ะเปน็ เมอื งเลก็ ๆ แต่ก็มีความส�ำคัญอย่างมากในทางประวัติศาสตร์และวัฒน- ธรรม เชอ่ื กนั วา่ ปาโรเปน็ สถานทแี่ หง่ แรกๆ ทร่ี บั เอาพทุ ธศาสนา เขา้ มา นอกจากนน้ั ปาโรยงั มปี อ้ มโบราณทงี่ ดงาม ปอ้ มทเ่ี รยี กวา่ “ซง่ ” นเี้ ปน็ เอกลกั ษณข์ องภฐู าน เพราะนอกจากเปน็ ศนู ยก์ ลาง การบรหิ ารและการปกครองของพน้ื ทโี่ ดยรอบ (เปรยี บไดก้ บั ศาลาวา่ การจงั หวดั ของบา้ นเรา) ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางการปกครอง คณะสงฆใ์ นพน้ื ทด่ี งั กลา่ ว (เปรยี บไดก้ บั วดั ของเจา้ คณะจงั หวดั ) พูดง่ายๆ คือเป็นท้ังป้อมและอารามผนวกอยู่ด้วยกัน ภูฐาน มซี ง่ แบบนอ้ี ยทู่ ว่ั ประเทศ แตป่ าโรซง่ นน้ั ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ มี เครอ่ื งไม้ที่งามทสี่ ุดในภูฐาน โดยเฉพาะทีห่ อกลาง
279 ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง แตท่ งั้ หมดทก่ี ลา่ วมานไี้ มม่ อี ะไรโดดเดน่ เทา่ กบั วดั ตกั ซงั ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวภูฐาน อีกทั้งยัง เปน็ สถานทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ แหง่ หนง่ึ ในเทอื กเขาหมิ าลยั ทแี่ มแ้ ตช่ าวธเิ บตกย็ งั ดน้ั ดน้ ขา้ มเขาเพอื่ มาสกั การะอยา่ งนอ้ ย ครง้ั หนงึ่ ในชวี ติ ทกุ วนั นแี้ มก้ ระทง่ั ชาวตะวนั ตกทนี่ บั ถอื พทุ ธ- ศาสนาแบบวชั รยานกย็ ังหาโอกาสมาจารกิ แสวงบุญทน่ี ี่ วดั ตกั ซงั มคี วามหมายอยา่ งมากตอ่ ชาวพทุ ธนกิ ายวชั รยาน เน่ืองจากเป็นสถานที่ท่ีเก่ียวข้องกับท่านปัทมสัมภวะ ซึ่งเป็น ผนู้ ำ� พทุ ธศาสนาแบบวชั รยานเผยแพรใ่ นธเิ บตและภฐู าน ทา่ น ปทั มสมั ภวะ (หรอื ทชี่ าวภฐู านเรยี กวา่ “ครุ รุ นิ โปเช”) ไดร้ บั การ สักการะจากชาวพุทธธิเบตและภูฐานประหน่ึงพระพุทธเจ้า องคท์ สี่ อง เนอ่ื งจากทา่ นมฤี ทธานภุ าพมาก สามารถปราบภตู ผี ปศี าจรา้ ยใหห้ นั มายอมรบั นบั ถอื พทุ ธศาสนา ตกั ซงั เปน็ สถานที่ อกี แหง่ หนง่ึ ทที่ า่ นเคยมาบำ� เพญ็ สมาธภิ าวนานานสามเดอื นกอ่ น ท่ีจะลงมาเทศนาส่ังสอนให้ชาวบ้านในหุบเขาปาโรสมาทาน พุทธศาสนา เชน่ เดยี วกบั สถานทจี่ ารกิ สำ� คญั ในพทุ ธศาสนา วดั ตกั ซงั อยบู่ นเขาสงู เหนอื ผาหนิ สดี ำ� ซง่ึ ตระหงา่ นโดดเดน่ เหน็ แตไ่ กล เขานน้ั สงู ชนั มองไมเ่ หน็ ทางขนึ้ อดพศิ วงไมไ่ ดว้ า่ ขนึ้ ไปสรา้ งวดั บนนนั้ ไดอ้ ยา่ งไร เพยี งแคเ่ ดนิ ขนึ้ ไปกย็ ากแลว้ แตส่ ำ� หรบั ทา่ น
280 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล คุรุรินโปเช ผาสูงอย่างนี้ไม่เป็นปัญหา ตำ� นานเล่าว่าท่านคุรุ- รินโปเชขเี่ สอื ตวั หนึง่ เหาะขน้ึ ไปยงั หนา้ ผาน้นั นอนพกั เอาแรงทป่ี าโรหนง่ึ คนื เชา้ วนั รงุ่ ขน้ึ พวกเรากวา่ สิบชีวิตก็เดินทางไปวัดตักซัง ใช้เวลาไม่นานรถก็มาจอดถึง ตนี เขา ซง่ึ เป็นป่าสนร่มรืน่ มมี า้ อยู่หลายตัวรอใช้บริการจาก นกั ทอ่ งเทยี่ ว แตพ่ วกเราเลอื กทจ่ี ะเดนิ ขนึ้ เขา มาจารกิ แสวงบญุ ทั้งที ควรพึ่งน�้ำพักน้�ำแรงของตน แม้จะล�ำบากเหนื่อยยาก เพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้วจุดมุ่งหมายประการแรกของการ จาริกแสวงบุญก็เพ่ือสร้างความเพียรและเรียนรู้ที่จะอยู่กับ ความยากล�ำบาก มใิ ชเ่ พอื่ ทรมานตน แตเ่ พอื่ เปน็ แบบฝกึ หดั ในการยกจติ ให้อยู่เหนือความล�ำบากทางกาย เราตอ้ งเดนิ ลดั เลาะไปตามไหลเ่ ขา ไมน่ า่ เชอื่ วา่ เสน้ ทาง แคบๆ ท่ีตัดผ่านป่าสนและโรโดเดนดรอนน้ี ผู้คนนับไม่ถ้วน ไดใ้ ชเ้ ดนิ ตลอดเวลาพนั กวา่ ป ี มใิ ชแ่ ตช่ าวบา้ นธรรมดาเทา่ นนั้ หากรวมถึงพระราชาและนักพรตผู้ทรงคุณอีกมากมาย แต ่ แม้จะรองรับผู้คนเรอื นล้านมาแล้ว บรรยากาศรอบเสน้ ทางก็ ยังเงียบสงบร่มร่ืนและคงสภาพป่าไว้ได้ บางช่วงมีน�้ำตกน้อย และลำ� ธารไหลผา่ น หมนุ กงลอ้ มนตรใ์ หส้ ง่ เสยี งดงั เปน็ ระยะๆ บรรยากาศอยา่ งนเี้ หมาะกบั การเดนิ เจรญิ สตไิ ปดว้ ย คอื รับรู้ทุกย่างก้าว ขณะเดียวกันก็เปิดใจรับรู้ทุกสิ่งที่มากระทบ
ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง 281
282 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล แตก่ ไ็ มว่ อกแวกหรอื คดิ ฟงุ้ ปรงุ แตง่ เดนิ ชา้ ๆ ไมต่ อ้ งรบี และ ไมต่ อ้ งสนใจจดุ หมายปลายทาง ใจอยกู่ บั ปจั จบุ นั อยกู่ บั แตล่ ะ ก้าวเท่าน้ันก็พอ ย่ิงเดิน ทางยิ่งชัน ก็ยิ่งต้องเดินอย่างมีสติ ไม่เช่นน้ันจะเหน่ือยเร็ว เพราะเผลอเดินจ�้ำเอาๆ ด้วยอยาก ให้ถึงจดุ หมายไวๆ ในการจารกิ แสวงบญุ บนเขาสงู ยงิ่ เดนิ กย็ ง่ิ หา่ งไกลจาก ความสบาย เพราะนอกจากการขนสง่ สง่ิ อำ� นวยความสะดวก จะทำ� ไดย้ ากแลว้ แตล่ ะคนยงั ขนเสบยี งกรงั ไดไ้ มม่ าก จะเดนิ ใหถ้ ึงจุดหมาย จ�ำตอ้ งพกพาข้าวของให้นอ้ ยทสี่ ดุ เส้นทางย่ิง สูงชัน ความสุขทางกายก็จะลดลงไปเรื่อยๆ แต่หากเดินเป็น สงิ่ ทจ่ี ะไดเ้ พมิ่ ขนึ้ มากค็ อื ความสขุ ทางใจและความสขุ จากธรรม- ชาติ เพราะได้สัมผัสกับความสงบ ทั้งความสงบทางใจและ ความสงบจากธรรมชาต ิ บอ่ ยครงั้ ทม่ี แี ตเ่ ราคนเดยี วทเ่ี ดนิ อย ู่ บนทางแคบๆ กลางปา่ เดนิ ไปกท็ ำ� นอ้ มใจสงบไปดว้ ย แตใ่ คร ที่เอาแต่บ่น จมอยู่กับความเหน่ือยกาย หรือมัวแต่พูดคุยกัน หาไมก่ ฟ็ งั เพลงจากเครอ่ื ง MP3 กค็ งยากทใี่ จจะเปดิ รบั ความสขุ ดังกลา่ วได้ เม่ือค�ำนึงถึงความโดดเด่นของสถานท่ีซึ่งบัดนี้ได้กลาย เป็นจุดท่องเที่ยวส�ำคัญไปแล้ว เส้นทางที่สงบร่มรื่นและวิเวก อยา่ งนนี้ บั วา่ หาไดย้ ากอยา่ งยงิ่ ใครทเ่ี คยขน้ึ เขาศรปี าทะ อนั เปน็
283 ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง สถานที่จาริกแสวงบุญที่สำ� คัญท่ีสุดแห่งหน่ึงของศรีลังกา จะ พบกับบรรยากาศที่ตรงกันข้าม ผู้คนนอกจากจะพลุกพล่าน สง่ เสยี งอกึ ทกึ แลว้ สองขา้ งทางยงั เกลอ่ื นไปดว้ ยขยะ หาความ อภริ มยร์ ม่ รน่ื ไดย้ าก สว่ นพระธาตอุ นิ ทรแ์ ขวน ซง่ึ เปน็ สถานที่ ศกั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ หง่ หนงึ่ ของชาวพทุ ธพมา่ กก็ ำ� ลงั จะเจรญิ รอยตาม ศรีปาทะอยา่ งนา่ เป็นห่วง เดนิ ไตเ่ ขาไปไดช้ วั่ โมงกวา่ กจ็ ะถงึ จดุ พกั ชมววิ ซงึ่ ประจนั หนา้ กบั ผาสงู อนั เปน็ ทต่ี งั้ ของวดั ตกั ซงั เปน็ มมุ ทเี่ หน็ จดุ หมาย ปลายทางได้อย่างงดงามมาก หลายคนเลือกที่จะหยุดเดิน เพียงเท่านี้เพราะมีร้านกาแฟให้น่ังพักผ่อน(หรือจะนอนหลับ ไปเลยก็ได้) ส่วนคนท่ีเดินต่อน้ันจะต้องไปพบกับทางชันและ วิบากย่ิงกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นขอบหน้าผา สูงชันตรงข้ามวัดตักซัง ทางท่ีเคยชันข้ึนก็เปล่ียนเป็นดิ่งลง ทางนอกจากจะแคบแลว้ ยงั หวาดเสยี วอยา่ งยง่ิ เพราะสามารถ มองเหน็ เหวลกึ ดา้ นขา้ งไดอ้ ยา่ งถนดั ถน ี่ นค้ี อื เสน้ ทางแหง่ สติ โดยแท้ เพราะต้องจับจ้องท่ีข้ันบันไดเบ้ืองหน้าอย่างเดียวจึง จะเดนิ ได้อยา่ งไม่หว่นั หวาด หลงั จากเดนิ ไตเ่ ขาสองชว่ั โมงเศษกถ็ งึ จดุ หมาย วดั ตกั ซงั นั้นมีอาคาร ๑๓ หลังสร้างกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ บนหนา้ ผา ลว้ นมคี วามเปน็ มาเกย่ี วขอ้ งบคุ คลส�ำคญั ในประวตั ิ
284 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ศาสตรข์ องภฐู าน อาคารทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ส่ี ดุ นนั้ สรา้ งตรงถ้�ำทค่ี รุ -ุ รนิ โปเชเคยบำ� เพญ็ ภาวนา ตลอดพนั กวา่ ปที ผ่ี า่ นมามลี ามะและ วปิ สั สนาจารยค์ นสำ� คญั มานง่ั บรกิ รรมในถำ้� นอ้ี ยา่ งไมข่ าดสาย อาท ิ มลิ าเรปะ ซงึ่ เปน็ ทนี่ บั ถอื อยา่ งยงิ่ ในฝา่ ยวชั รยาน จวบจน ยคุ ปจั จบุ นั ไมว่ า่ ดลิ โก เคนเซ รนิ โปเช ธรรมาจารยช์ าวธเิ บต ทย่ี งิ่ ใหญท่ สี่ ดุ ของยคุ น ้ี หรอื เชอเกยี ม ตรงุ ปะ ครุ ทุ ช่ี าวตะวนั ตก รู้จักดที ่สี ุด กเ็ คยท�ำสมาธิในถำ�้ นมี้ าแล้ว แมถ้ ้�ำจะมปี ระตหู มุ้ แผน่ ทองแดงปดิ ไว ้ เปดิ แคป่ ลี ะครงั้ แตก่ ารไดม้ านงั่ สมาธหิ นา้ ถำ�้ ตรงจดุ ทลี่ ามะคนสำ� คญั เคยนงั่ ก ็ ใหค้ วามรสู้ กึ ทดี่ มี าก เหมอื นกบั วา่ เราไดร้ ว่ มเปน็ สว่ นหนง่ึ แหง่ กระแสธารทางจติ วญิ ญาณทสี่ บื สายอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจากอดตี อนั ไกลโพ้นสู่อนาคตอันเป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ง่ายที่ใครสักคนจะได ้ มาทำ� สงิ่ เดยี วกนั และตรงจดุ เดยี วกนั กบั ครุ ผุ ยู้ ง่ิ ใหญใ่ นอดตี เชน่ มลิ าเรปะ ซง่ึ เปน็ เสมอื นบคุ คลในตำ� นาน แตแ่ ทจ้ รงิ เคยมชี วี ติ มเี ลอื ดเนอื้ และเดนิ เหินอย่ใู นถำ้� เดยี วกนั นกี้ ับเรา เหนอื ถำ้� เปน็ อาคารหลายหลงั ซอ้ นกนั เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐาน รูปปั้นของคุรุรินโปเช ตลอดจนพระพุทธรูปท้ังสามกาล คือ พระทปี งั กร พระศากยมนุ ี และพระศรอี รยิ เมตไตรย รวมทงั้ พระโพธิสัตว์ปางต่างๆ พวกเราได้สักการะและนั่งสมาธิอยู่ พกั ใหญ ่ แมจ้ ะมนี กั ทอ่ งเทยี่ วผา่ นไปผา่ นมาเปน็ ครงั้ คราว แต ่
285 ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง ก็ยังรู้สึกถึงความสงบ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศท่ีอบอวลด้วย พลงั อันเป็นกุศล วัดตักซังมิได้เปี่ยมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณเท่านั้น หากยังให้ความรู้สึกถึงพลังทางธรรมชาติท่ียิ่งใหญ่ เม่ือเรา ออกมายนื ตรงระเบยี งบนหนา้ ผาซงึ่ สงู ถงึ ๘๐๐ เมตร ไดเ้ หน็ ทัศนียภาพอันกว้างไกลสุดขอบฟ้า จิตใจก็ย่ิงรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งเบา ไม่ต่างจากท้องฟ้าอันเว้ิงว้างที่อยู่เบ้ืองหน้า เมื่อถึง จดุ หมายปลายทางของการจารกิ แสวงบญุ ไมเ่ พยี งกายเทา่ นนั้ ท่ีก้าวขึ้นมาอยู่บนท่ีสูง ใจก็ถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่าน้ีคือรางวัลแห่งความเพียรท่ีต้องฝ่าความยาก ลำ� บาก การจาริกแสวงบุญกับการปีนเขานั้นมักจะแยกจากกัน ไมอ่ อก ทำ� ไมถงึ เปน็ เชน่ นน้ั ตอบอยา่ งกำ� ปน้ั ทบุ ดนิ กต็ อ้ งพดู วา่ เปน็ เพราะสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธนิ์ น้ั มกั อยบู่ นยอดเขาหรอื ชะงอ่ นผา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง จึงต้องประดิษฐานบนที่สูง แต่มอง อกี แงห่ นงึ่ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธอิ์ ยบู่ นทส่ี งู กเ็ พราะเปน็ สญั ลกั ษณข์ อง อดุ มคตสิ งู สดุ ของมนษุ ย ์ สำ� หรบั ชาวพทุ ธ อดุ มคตสิ งู สดุ กค็ อื พระนิพพาน อันได้แก่สภาวะท่ีอยู่เหนือโลก เป็นอิสระจาก โลกธรรมทงั้ หลายซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยความผนั ผวนแปรปรวน ไมน่ า่ ยึดถือและยดึ ถือไมไ่ ด้
286 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ในการจารกิ แสวงบญุ เราตอ้ งใชค้ วามเพยี รอยา่ งมากเพอื่ ไปใหถ้ งึ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธบิ์ นเขาสงู เมอ่ื ตอ้ งพบกบั ความยากลำ� บาก ระหวา่ งทาง นนั่ คอื โอกาสทเี่ ราจะไดฝ้ กึ ตนใหม้ ชี วี ติ เรยี บงา่ ย ไมย่ ดึ ตดิ กบั ความสขุ ทางวตั ถ ุ ขณะเดยี วกนั กเ็ รยี นรทู้ จ่ี ะฝกึ ใจ ให้สงบ ด้วยการเจริญสติ บ�ำเพ็ญสมาธิ หรือสวดมนต์ เม่ือ ไปถงึ จดุ หมาย ศรทั ธาปสาทะทเ่ี พมิ่ พนู ยอ่ มบนั ดาลใจใหเ้ กดิ ปีติ อ่ิมเอิบ และโปร่งเบา อันเป็นสุขท่ีประเสริฐกว่ากามสุข จะวา่ น้เี ป็น “นพิ พานนอ้ ยๆ” หรือ “นิพพานชิมลอง” ก็ได้ การจาริกแสวงบุญจึงเป็นเสมือนภาพจ�ำลองของการ ดำ� เนนิ ชวี ิตเพ่อื บรรลุถงึ อดุ มคติสูงสดุ ของชวี ติ ขณะเดียวกัน ก็เป็นการฝึกตนเตรียมใจให้พร้อมส�ำหรับการก้าวไปให้ถึง จุดหมายสูงสุดดังกล่าว การจาริกแสวงบุญสู่เขาสูงจึงเป็นสิ่ง ที่ชาวพทุ ธทุกคนควรบำ� เพญ็ สกั ครัง้ หนึง่ ในชวี ิต
287 ร่ื น ร ม ย ์ บ น ผ า สู ง ขากลบั เราเดนิ ผา่ นชาวภฐู านหลายคนทที่ ยอยกนั ขนึ้ ไป วดั ตกั ซงั คนเหลา่ นไี้ มใ่ ชน่ กั ทอ่ งเทยี่ ว แตต่ ง้ั ใจไปจารกิ แสวง บญุ ตามธรรมเนยี มของชาวธเิ บต ดแู ลว้ คงจะไมไ่ ดไ้ ปเชา้ เยน็ กลับเหมือนพวกเรา แต่ค้างแรมด้วย แม้กระนั้นก็ไม่ได้ม ี สัมภาระมากมาย สะพายแคถ่ ุงยา่ มเล็กๆ ได้ทราบมาว่าชาวภูฐานบางคนไม่ได้แสวงบุญด้วยการ เดินอย่างธรรมดา แต่จาริกด้วยการกราบอัษฎางคประดิษฐ ์ ตามแบบวชั รยาน คอื เดนิ สามกา้ วแลว้ กม้ ลงกราบโดยนอนราบ กบั พนื้ นอกจากใชเ้ วลานานแลว้ ยงั ตอ้ งใชค้ วามเพยี รมากดว้ ย นกั บวชภฐู านผหู้ นงึ่ กลา่ ววา่ “ทกุ คนทจ่ี ารกิ แสวงบญุ มา ถึงตกั ซัง จะกลบั ไปเป็นคนละคนทีเดยี ว” ใครทไ่ี ปถงึ ตกั ซงั มใิ ชแ่ ตก่ ายเทา่ นน้ั หากใจกถ็ งึ ดว้ ย ยอ่ ม เห็นด้วยกบั คำ� พดู น้อี ย่างแน่นอน
ทีม่ า : หนังสือ รงุ่ อรุณทสี่ ุคะโต ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก บรรยายเมื่อวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๕ ไปพน้ จาก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก พระไพศาล วิสาโล มเี รอ่ื งเลา่ วา่ มเี กาะอยเู่ กาะหนง่ึ กลางทะเล ทง้ั เกาะมคี น อยู่คนเดียว เขาไปติดเกาะอยู่นานมาก ไม่มีใครมาช่วยก็ เลยฝงั ตวั ทเี่ กาะนน้ั สรา้ งบา้ น ทำ� ไรท่ ำ� สวน เลย้ี งสตั วจ์ บั ปลา เรียกว่าพึ่งตนเองได้แทบทั้งหมด หลายปีต่อมา ก็มีคนมา พบเขาทเ่ี กาะน ี้ คนทมี่ าพบเขาแปลกใจมากทพี่ บวา่ ในเกาะน้ี มวี ดั อย ู่ ๒ วดั กเ็ ลยถามวา่ ทำ� ไมเขาถงึ สรา้ งวดั ไวถ้ งึ ๒ วดั เขาตอบว่า วดั หนงึ่ ผมเขา้ อกี วดั ผมไมเ่ ข้า
290 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เร่ืองน้ีมาจากเมืองฝร่ัง จะเข้าใจเร่ืองน้ี เราต้องเข้าใจ ภูมิหลังของฝรั่ง ศาสนาของฝร่ัง มีการแบ่งแยกออกเป็น ๒ นกิ าย คอื คาทอลกิ กบั โปรเตสแตนท ์ ทง้ั ๒ นกิ าย ทะเลาะ เบาะแว้งกันมากเมื่อ ๔๐๐ ปีก่อน เคยท�ำสงครามสู้รบกัน นานหลายสบิ ป ี ทง้ั ๆ ทนี่ บั ถอื พระเจา้ องคเ์ ดยี วกนั บางประเทศ อย่างไอร์แลนด์เหนือ เวลาน้ีก็ยังฆ่าฟันกันอยู่ เรื่องเล่าท่ีว่า เป็นเร่ืองแต่ง ที่สะท้อนความรู้สึกของฝรั่งบางพวก ที่จริง มองให้ดี เรื่องน้ียังสะท้อนจิตใจของมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี คือว่าคนๆ นี้เขานับถือนิกายหนึ่ง แต่เกลียดอีกศาสนาหนึ่ง เกลยี ดเขา้ กระดกู ดำ� เลย ถอื วา่ เปน็ ศตั ร ู แตว่ า่ พอมาตดิ เกาะ ทั้งๆ ท่ีอยู่คนเดียว ยังอดคิดถึงศัตรูท่ีตนเกลียดไม่ได้ ก็เลย สรา้ งสง่ิ ทเี่ ปน็ ตวั แทนของศตั รทู ตี่ วั เองเกลยี ดเอาไวด้ ตู า่ งหนา้ เรื่องนี้ต้องการบอกอะไร เขาต้องการบอกเราว่าคนน่ี ลกึ ๆ ตอ้ งการศตั ร ู อยคู่ นเดยี วกต็ อ้ งหาศตั รมู าไวใ้ กลๆ้ นา่ คดิ นะว่าคนเราท�ำไมถึงต้องการศัตรู ทั้งๆ ท่ีตัวเองเกลียด พอ ไปอยู่คนเดียวก็อดคิดถึงศัตรูไม่ได้ ต้องหาศัตรูมาไว้ใกล้ๆ สร้างศัตรูมาไว้ให้ระลึกถึง เรื่องนี้น่าคิด เพราะปกติคนเรา ต้องการมิตร เพราะมิตรช่วยเหลือเกื้อกูลตนเอง แต่ศัตรูน่ี มันมีแต่จะบั่นทอน กระนั้นคนเรามักขาดศัตรูไม่ได้ แม้อยู่ คนเดียวก็ต้องสร้างศัตรูข้ึนมา เพื่ออะไร? จะโดยรู้ตัวหรือ
291 ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ไมก่ ต็ าม เราตอ้ งการศตั ร ู ประการแรกสดุ เพอ่ื เปน็ ทรี่ ะบาย ความโกรธความเกลยี ดออกไป เวลามโี ทสะ เราจะระบายใส่ ตัวเองก็ไม่ถนัด ต้องหาทางระบายออกไปข้างนอก ระบาย ไปท่ีไหน ก็ระบายไปที่ศัตรู ดังนั้นจึงต้องหาศัตรูข้ึนมาเป็น ตัวรองรับโทสะนั้น ถ้าไม่มีก็สร้างข้ึนมาโดยอาจไม่รู้ตัวก็ได้ ประการที่ ๒ เราต้องการศัตรูก็เพ่ือจะได้โยนความผิดไปให้ คนเราเวลาท�ำผิดพลาดข้ึนมา ยากนักที่จะยอมรับว่าตัวเอง ท�ำผิด เวลาท�ำอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็เลยต้องหาทางโทษ คนอน่ื การมศี ตั รทู ำ� ใหเ้ ราสะดวกทจี่ ะโทษวา่ คนนนั้ เปน็ ตน้ เหตุ ด้วยเหตุนี้เราจึงจ�ำต้องมีศัตรูข้ึนมาไว้ระบายโทสะและเพ่ือ โยนความผดิ ให้ สงั เกตดนู ะทกุ ประเทศตอ้ งมศี ตั ร ู ถา้ ไมม่ กี ต็ อ้ งสรา้ งขนึ้ มา สรา้ งขนึ้ มาจนเปน็ เรอ่ื งเปน็ ราวใหญโ่ ต สมยั กอ่ นอเมรกิ า กม็ โี ซเวยี ตเปน็ ศตั ร ู พอโซเวยี ตลม่ สลาย คอมมวิ นสิ ตพ์ งั ทลาย ก็ต้องหาศัตรูใหม่ พักหนึ่งก็เอาญ่ีปุ่นข้ึนมาเป็นศัตรูแทน หาวา่ เปน็ ตวั การทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ อเมรกิ าตกตำ�่ แตพ่ อเศรษฐกจิ อเมริกาดีข้ึน ก็หาศัตรูตัวใหม่ ก็มาเจอพวกมุสลิมหัวรุนแรง ซง่ึ มบี นิ ลาเดนหรอื อลั เคดา้ เปน็ ตวั แทน นคี่ อื ศตั รตู วั ใหมข่ อง อเมริกา คนมุสลิมในอเมริกา เดี๋ยวน้ีต้องอยู่แบบระวังตัว เพราะอาจโดนรฐั บาลหรอื คนขาวเลน่ งาน สว่ นคนมสุ ลมิ จาก
292 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ประเทศอื่นเวลาจะเข้ามาอเมริกา เด๋ียวนี้ต้องถูกตรวจสอบ มากเป็นพิเศษ เรมิ่ ตง้ั แต่ทสี่ นามบนิ เลยทเี ดยี ว เร่ืองแบบน้ีนักการเมืองชอบ เพราะมีศัตรูตัวใหม่ จะ ได้งบประมาณทหารเพ่ิม ได้ค่าคอมมิชชั่นง่าย ย่ิงศัตรูดุร้าย นา่ กลวั เทา่ ไหร ่ งบประมาณกจ็ ะยงิ่ เพม่ิ ไดค้ า่ คอมมชิ ชนั่ งา่ ย ดา้ นหนงั สอื พมิ พห์ รอื สอ่ื มวลชนกช็ อบทม่ี ศี ตั รตู วั ใหม ่ เพราะ ข่าวจะขายดี ใครๆ ก็ติดตามอ่าน วันไหนถ้ามีข่าวเกี่ยวกับ บินลาเดนหรืออัลเคด้าหนังสือพิมพ์จะขายดี โทรทัศน์และ วิทยุก็มีคนติดตามมากขึ้น ค่าโฆษณาก็เพ่ิม ส่วนฮอลลีวู้ดก็ ถือโอกาสเอาเร่ืองพวกน้ีมาทำ� เป็นหนงั ขายได้ เหน็ ไหมวา่ ศตั รนู ม้ี ปี ระโยชน ์ ทกุ คนตอ้ งมศี ตั ร ู บา้ นเรา ก็เหมือนกัน สมัยก่อนมีพม่าเป็นศัตรู ต่อมาก็คอมมิวนิสต์ พอคอมมิวนิสต์หายไปก็ต้องมีอะไรมาแทน ช่วงหนึ่งได้แก่ จอรจ์ โซรอส ถกู กลา่ วหาวา่ เปน็ ตวั การทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ ตกตำ�่ มาตอนน้ีพม่าก็ก�ำลังจะมาแทนท่ี แต่ในบางวงการ เช่น แวดวงพระสงฆ์หรือชาวพุทธจ�ำนวนไม่น้อยก็มองว่า ศัตรูท่ี สำ� คญั เวลานค้ี อื ศาสนาครสิ ต ์ ซงึ่ กำ� ลงั แฝงตวั มาบอ่ นทำ� ลาย พุทธ ตอนนี้ศาสนาคริสต์ถูกหาว่าอยู่เบื้องหลัง ข่าวคราวที่ อื้อฉาวเกี่ยวกับพระสงฆ์ รวมท้ังความตกต�่ำด้านอ่ืนๆ ของ พุทธศาสนา
293 ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก สญั ชาตญาณในสว่ นลกึ ของคนเราตอ้ งการสรา้ งศตั รขู นึ้ มา หรือชอบโทษคนนนั้ คนนเ้ี ป็นศตั รู เราต้องหาคนทเี่ ราจะ เกลยี ด หรอื ระบายความเกลยี ดออกไป จะไดร้ สู้ กึ สบายใจวา่ เออ... ท่ีบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะเรา แต่เป็น เพราะศตั รมู นั ทำ� ใหเ้ ปน็ ทค่ี นไทยตดิ ยาบา้ กนั เยอะ กเ็ พราะ พวกพม่ามันผลิตยาบ้าส่งเข้ามาขาย นี่อาจเป็นความจริง ส่วนหน่ึง แต่จริงไม่ท้ังหมด เพราะสาเหตุส�ำคัญนั้นอยู่ที่คน ไทยด้วย ต้ังแต่นกั การเมอื ง ต�ำรวจทหารระดับสงู ท่ีชว่ ยกนั ผลติ ชว่ ยกนั ขาย หรอื เอาหไู ปนาเอาตาไปไร่ เพราะไมอ่ ยาก ไปขัดขวางผลประโยชน์ผู้มีอิทธิพล ตัวการนี้รวมไปถึงพ่อแม่ ท่ีปล่อยปละละเลยลูกของตัวท�ำให้เขาเข้าหายาบ้า ตั้งแต่ ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ มีคนไทยเข้าไปเก่ียวข้อง กับปัญหายาบ้าท้ังนั้น แต่ว่าเราก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเป็น ความผิดของเรา สโู้ ยนความผดิ ใหพ้ มา่ ไมไ่ ด้ ในทำ� นองเดยี วกนั เวลาประชาชนไมพ่ อใจรฐั บาล ออก มาประทว้ งรฐั บาล รฐั บาลแทนทจ่ี ะพจิ ารณาตวั เองวา่ ทำ� ผดิ พลาดอะไรบ้าง ก็ชอบกลา่ วหาตา่ งชาติ หรือพรรคการเมอื ง ฝา่ ยตรงขา้ มวา่ หนนุ หลงั หรอื ไมก่ ก็ ลา่ วหาเอน็ จโี อวา่ อยเู่ บอื้ ง หลงั การประทว้ ง คนไทยชอบกลา่ วหามอื ทส่ี ามเสมอ รฐั บาล ต้องการมือที่สาม ใครๆ ก็ต้องการ เพราะจะได้โยนความ
294 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ผิดไปได้สะดวก น่าแปลกก็ตรงที่ เราไม่เคยจับมือท่ีสามได้ คาหนังคาเขา หลักฐานก็ไม่เคยพบ แต่คนไทยกลับเช่ือเรื่อง มอื ทส่ี ามอยา่ งงา่ ยดาย เปน็ แบบนม้ี าหลายสบิ ปแี ลว้ เราเชอื่ เรอ่ื งมือท่สี ามก็เพราะเราจะไดโ้ ยนความผดิ ให้พ้นตวั งา่ ยๆ เราเปน็ แบบนกี้ นั หมดแมก้ ระทง่ั ในหมบู่ า้ น ทกุ คนกต็ อ้ ง พยายามสรา้ งศตั รขู นึ้ มา ศตั รอู าจจะไดแ้ ก ่ คนในหมบู่ า้ นอนื่ ทมี่ าลกั ลอบตดั ไมใ้ นปา่ แยง่ นำ�้ ในลำ� หว้ ย หรอื มาทำ� รา้ ยวยั รนุ่ ในหมู่บ้านเรา ในที่ท�ำงานเราก็ต้องสร้างศัตรูข้ึนมา เช่น มองบรษิ ทั คแู่ ขง่ เปน็ ศตั ร ู มองหนว่ ยงานกรมกองอนื่ วา่ เปน็ ศตั รู เปน็ คแู่ ขง่ ทจ่ี ะมาแยง่ ชงิ ผลงานจากเรา แยง่ ชงิ สว่ นแบง่ ตลาด จากเรา เปน็ ตน้ การมศี ตั รแู บบนมี้ ขี อ้ ดอี กี อยา่ งหนง่ึ คอื ทำ� ให้ คนในหน่วยงานหรือบริษัทมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน เพราะมศี ตั รรู ว่ มกนั ในทำ� นองเดยี วกนั ทกุ ประเทศ กต็ อ้ งการ ศตั รแู บบน ี้ จะไดก้ ลมเกลยี วเปน็ หนงึ่ เดยี วกนั ไมท่ ะเลาะกนั รัฐบาลจะได้ท�ำงานสะดวก ฝ่ายค้านก็ไม่กล้าตีรวนเพราะ เดีย๋ วจะถูกหาวา่ ไมร่ กั ชาติ คนเราหลกี เลย่ี งไดย้ ากทจ่ี ะไมม่ ศี ตั ร ู นอกจากเหตผุ ลที่ ว่ามาแล้ว เหตุผลที่ส�ำคัญท่ีสุดก็คือ มนุษย์เราชอบมีการถือ เราถือเขา เม่ือมีเราข้ึนมา ก็ต้องมีเขาเกิดข้ึน เขาน้ีก็คือ คนอนื่ ทไี่ มใ่ ชเ่ รา และเขาหรอื คนอน่ื นแ้ี หละ ทจี่ ะถกู วาดภาพ
295 ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ให้เป็นศัตรูของเราได้ง่ายมาก มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม้กระทั่งในชุมชนเล็กๆ อย่างเช่นหมู่บ้าน การถือเราถือ เขาก็เกิดขึ้นได้ง่ายมากโดยไม่รู้เน้ือรู้ตัว เมื่อถือเราถือเขา แบง่ เปน็ เราเปน็ เขาขนึ้ มากม็ ชี อบมชี งั ใครเปน็ พวกเรา เราก็ ชอบ ใครเปน็ พวกเขา เรากช็ งั จากชงั กก็ ลายเปน็ โกรธเกลยี ด ในทสี่ ดุ ตามหมบู่ า้ นกม็ กี ารแบง่ วา่ คมุ้ นเ้ี ปน็ เรา คมุ้ โนน้ เปน็ เขา ใครท่ีเป็นเครือญาติของเรา ก็ถือว่าเป็นพวกเรา ถ้าไม่ใช่ เครือญาติ ก็เป็นพวกเขา ถ้าไปอยู่ในเมืองก็แบ่งว่าภาค เดยี วกนั เปน็ พวกเรา ภาคอน่ื เปน็ พวกเขา อาตมาไปญปี่ นุ่ มา คนไทยท่ีนั่นจะแบ่งเราแบ่งเขากันชัดมาก แบ่งเป็นคนเหนือ คนอสี าน คนอสี านกเ็ หน็ คนเหนอื เปน็ พวกเขา ไมใ่ ชพ่ วกเรา คนเหนือก็มองคนอีสานเป็นคนละพวกกัน ต่างฝ่ายต่างหา เรื่องค่อนแคะกัน เวลาอยู่ด้วยกันจะแบ่งเป็นพวกแบบน้ี บางทีก็แบ่งซอยเป็นจังหวัด ถึงแม้จะป็นอีสานด้วยกัน แต่ คนละจงั หวัด ก็ถอื ว่าคนละพวกกม็ ี แต่พอคนเหนือคนอีสานไปเจอคนญี่ปุ่น คนอีสานคน เหนือก็จะรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน คือ เป็นคนไทย ส่วน ญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นคนอื่น เป็นพวกเขาไม่ใช่พวกเรา เส้น แบ่งเราแบ่งเขามันยืดได้หดได้ อย่างในหมู่บ้านก็เหมือนกัน
296 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ถ้าเราอยู่คนละคุ้มก็เป็นคนละพวก แต่ถ้ามีคนจากหมู่บ้าน อื่นหรือคนกรุงเทพๆ เข้ามาในหมู่บ้าน พวกท่ีอยู่คนละคุ้ม ที่เคยรู้สึกว่าเป็นคนละพวก ก็จะเปล่ียนมารู้สึกว่าเราเป็น พวกเดยี วกนั คนจากหมบู่ า้ นอน่ื หรอื คนกรงุ เทพฯ ถกู มองวา่ เป็นเขา แต่ถ้ามีฝร่ังเข้ามากับคณะคนกรุงเทพฯ ด้วย คนใน หมู่บ้านก็จะถือว่าคนกรุงเทพฯ เป็นพวกเรา ส่วนฝรั่งเป็น พวกเขา การเป็นเราเป็นเขามันไม่แน่นอน สุดแท้แต่จะมี อะไรมาเทียบ เพราะเหตุท่ีเส้นแบ่งเราแบ่งเขามันยืดได้หดได้ ขึ้นอยู่ กบั การเปรยี บเทยี บนเ้ี อง คนเราจงึ ตอ้ งสรา้ งศตั รหู รอื พวกเขา ขน้ึ มา เชน่ ดงึ เอาคนอน่ื เขา้ มาเกยี่ วขอ้ งดว้ ย เพราะพอมเี ขา ความเปน็ เรากเ็ กดิ ขนึ้ ในหมคู่ นทอ่ี ยใู่ นแวดวงขอบขา่ ยเดยี วกนั เกดิ เปน็ ความสามคั คขี นึ้ มาในหมบู่ า้ น ในภาค ในประเทศ ถา้ ไม่มีเขาโผล่เข้ามา คนท่ีอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ภาคเดียวกัน ประเทศเดียวกันก็จะทะเลาะกันได้ง่าย เพราะมีการแบ่งเรา แบง่ เขาในพวกเดยี วกนั วิธีท�ำให้คนในชาติซึ่งแตกแยกกันมาสามัคคีกัน ก็คือ สร้างศัตรูจากภายนอกขึ้นมา ในยามท่ีมีเขมรหรือพม่าเป็น ศัตรู คนไทยก็สามัคคีกันง่าย แต่ถ้าไม่มีศัตรูจากภายนอก เมื่อไหร่ คนไทยก็จะกลับมาทะเลาะกันใหม่ เพราะเส้นแบ่ง
297 ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก เราแบง่ เขา มนั กจ็ ะเลอ่ื นเขา้ มา กลายเปน็ การแบง่ คนในชาติ ให้เป็นเราเป็นเขาแทน น้ีเป็นเรื่องท่ีเราต้องระวัง ความเป็นเราเป็นเขา มัน เกิดขึ้นได้ง่ายโดยที่เราไม่รู้ตัว พวกเราอยู่ในวัดกันไม่กี่คนนี่ กส็ ามารถแบง่ เปน็ เราเปน็ เขากนั ไดง้ า่ ยๆ อยกู่ นั แค ่ ๓ คน ยงั แบ่งเป็นเราเป็นเขาได้เลยถ้าไม่ระวัง คนไทยมีช่ือในเรื่องน้ี มาก ไม่ว่าอยู่ท่ีไหนมักจะแบ่งเป็นพวกเป็นเหล่า อาจารย์ ประเวศ วะสเี คยเลา่ วา่ ในมหาวทิ ยาลยั มหดิ ล มภี าควชิ าหนงึ่ มีอาจารย์อยู่ ๘ คน ปรากฏว่ามีการแบ่งเป็น ๗ ก๊ก ด้วย เหตนุ เี้ ราจงึ ตอ้ งสงั วรระวงั ไว ้ อยใู่ นวดั นพี้ ยายามอยา่ ใหม้ กี าร แบง่ เราแบง่ เขา การแบง่ พวกแบง่ กลมุ่ ในวดั เดยี วกนั นนั้ เกดิ ขน้ึ ได้งา่ ย เพราะมันเปน็ สัญชาตญาณของคน นอกจากสญั ชาตญาณแลว้ ปจั จยั แวดลอ้ มกม็ สี ว่ นดว้ ย เช่นเราอยู่กันแต่ในวัด ไม่ค่อยได้เก่ียวข้องกับคนอื่น ความ เป็นเขา มันก็เลยไม่สามารถจะเกิดกับคนข้างนอกได้ ดังนั้น มันจึงมาเกิดกับพวกเรากันเองแทน ตรงกันข้าม ถ้ามีคน ภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือมาก่อกวน ความเป็นเราเป็น เขาก็เปลี่ยนไป คือคนในวัดก็กลายเป็นพวกเดียวกัน เกิด ความกลมเกลียวกัน ส่วนคนภายนอกก็กลายเป็นพวกเขา หรอื พวกอื่น
298 ๓ ท ศ ว ร ร ษ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อกี สาเหตหุ นง่ึ ทท่ี ำ� ใหก้ ารแบง่ เราแบง่ เขามนั เกดิ ขน้ึ งา่ ย กค็ ือ การทพี่ ระเราอยู่อย่างไม่คอ่ ยมีเร่ืองมากระทบ ไม่คอ่ ย มีเร่ืองสลักส�ำคัญให้ครุ่นคิด คือถ้าเป็นฆราวาส เรามีเรื่อง ที่ต้องคิดเยอะเร่ืองส�ำคัญท้ังน้ัน เช่น การท�ำมาหากิน การ ดูแลครอบครัว และมีเรื่องหน้ีสิน มีเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องคิด มนั ไมค่ อ่ ยมเี วลาวา่ งมาคดิ เรอื่ งหยมุ หยมิ แตพ่ ออยใู่ นชมุ ชน เล็กๆ อย่างน้ี ไม่ค่อยมีเรื่องส�ำคัญๆ หรือเรื่องใหญ่ๆ มา รบกวนจติ ใจ เรากเ็ ลยมาสนใจเรอื่ งหยมุ หยมิ แทน เรอ่ื งอะไร กต็ ามพอเราสนใจมนั มากๆ ครนุ่ คดิ กบั มนั มากๆ กก็ ลายเปน็
299 ไ ป พ ้ น จ า ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก เร่ืองใหญ่ขึ้นมาง่ายๆ ท่ีท�ำให้ติดค้างในความรู้สึก เช่นสวด มนต์ไม่เข้ากัน บางคนเสียงสูง บางคนเสียงตำ่� หรือว่าเวลา ฉันอาหาร คนหน่ึงฉันดัง อีกคนหนึ่งฉันไม่ดัง เร่ืองอย่างนี้ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยส�ำหรับสังคมฆราวาส ซึ่งมีเร่ือง มากมายให้ครุ่นคิด แต่ที่นี่มันอาจกลายเป็นเร่ืองใหญ่ข้ึนมา เพราะวา่ มนั ไมม่ เี รอ่ื งอะไรอยา่ งอนื่ มาอยใู่ นความสนใจ เรอ่ื ง เลก็ เลยกลายมารบกวนจติ ใจแทน กเ็ หมอื นกบั เมด็ ทรายทอ่ี ยู่ บนพื้นบ้านมันไม่ค่อยสะดุดใจเท่าไหร่ เพราะพ้ืนบ้านมีของ เยอะแยะท่ีจะดึงความสนใจไป แต่พอเม็ดทรายนั้นมาอยู่ บนผ้าปูท่ีนอน มันก็สะดุดตาขึ้น เห็นเด่นชัด และกลายเป็น ปญั หาทต่ี ้องจดั การ ถา้ ไมจ่ ดั การกน็ อนไมห่ ลบั หรอื เหมอื นกบั จดุ ดำ� ในผา้ สี มนั ไม่ค่อยสะดดุ ตา แต่พอมาอยู่ทผี่ ้าขาว มันกก็ ลายมาเปน็ ปัญหาน่าร�ำคาญขึ้นมา อะไรท�ำนองนั้น คนที่นิสัยแตกต่าง กนั เลก็ ๆ นอ้ ยๆ ถา้ มาอยดู่ ว้ ยกนั ในทเ่ี ลก็ ๆ จำ� กดั แบบน ี้ มี เร่ืองท่ีต้องมาเจอะเจอหน้ากันทุกวันๆ ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ หรือเร่ืองไม่เป็นเรื่องก็อาจกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ข้ึน มาได้ การแบง่ เขาแบง่ เรากเ็ ข้มขน้ ขน้ึ แม้คนในครอบครัวเดียวกัน คู่ผัวตัวเมียถ้าไปท�ำงาน นอกบ้านทั้งคู่ มีเรื่องนอกบ้านให้ครุ่นคิด ก็อาจไม่มีอะไรใน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306