301 พระราชบญั ญตั ิ ใหใ้ ชบ้ ทบญั ญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล คณะผสู้ ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ (ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗) อนุวัตน์จาตรุ นต์ อาทติ ยท์ ิพอาภา เจา้ พระยายมราช ตราไว้ ณ วันที่ ๕ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๘ เป็นปที ี่ ๒ ในรชั ชกาลปจั จบุ นั โดยท่ีสภาผ้แู ทนราษฎรลงมตวิ ่า การประมวลกฎหมายแหง่ บา้ นเมอื งไดด้ ำเนินมาถงึ คราวท่ี ควรใช้บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ จงึ่ มพี ระบรมราชโองการให้ตราพระราชบญั ญัติข้ึนไวโ้ ดยคำแนะนำและยินยอมของสภา ผแู้ ทนราษฎร ด่ังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบญั ญัตนิ ี้ให้เรียกว่า “พระราชบญั ญัตใิ ห้ใชบ้ ทบัญญตั ิบรรพ ๖ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗” มาตรา ๒[๑๙๒] ให้ใชพ้ ระราชบัญญตั นิ ี้ ต้ังแตว่ ันประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ใหเ้ พ่มิ บทบญั ญัติ บรรพ ๖ ต้ังแตม่ าตรา ๑๕๙๙ ถงึ มาตรา ๑๗๕๕ ตามท่ไี ด้ตราไว้ ต่อท้ายพระราชบัญญัตินีเ้ ข้าเป็นส่วนหนงึ่ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ และให้ใชบ้ ทบญั ญตั ิแห่ง บรรพน้ตี งั้ แต่วันท่ี ๑ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๘ เปน็ ต้นไป มาตรา ๔[๑๙๓] (ยกเลิก)
302 ผ้รู บั สนองพระบรมราชโองการ นายพนั เอก พระยาพหลพลพยหุ เสนา นายกรฐั มนตรี พระราชกำหนด แกไ้ ขเพ่ิมเติมพระราชบญั ญตั ไิ หไ้ ชบ้ ทบญั ญตั บิ พั ๖ แหง่ ประมวนกดหมายแพง่ และพานชิ พุทธสกั ราช ๒๔๗๗ พทุ ธสกั ราช ๒๔๘๖ ในพระปรมาภไิ ธยสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวอานันทมหิดล คณะผสู้ ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ (ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวนั ท่ี ๔ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๐ และวันท่ี ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔) อาทติ ย์ทพิ อาภา ปรดี ี พนมยงค์ ตราไว้ ณ วนั ที่ ๑๙ มถิ ุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๖ เป็นปที ี่ ๑๐ ในรัชกาลปจั จบุ นั โดยทเ่ี หน็ สมควรขยายการใช้บทบัญญตั ิบรรพ ๖ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ให้ ท่ัวถงึ เพื่อความมัน่ คงและวฒั นธรรมแหง่ ชาติ และโดยที่มเี หตุฉุกเฉนิ ซง่ึ จะเรียกประชมุ สภาผู้แทนราษฎรให้ทันทว่ งทมี ิได้ จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชกำหนดขน้ึ ไว้ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้ใหเ้ รยี กวา่ “พระราชกำหนดแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระราชบัญญตั ไิ ห้ไช้ บทบญั ญตั บิ พั ๖ แห่งประมวนกดหมายแพง่ และพานชิ พุทธสักราช ๒๔๗๗ พุทธสกั ราช ๒๔๘๖” มาตรา ๒[๑๙๔] ใหใ้ ชพ้ ระราชกำหนดนี้ตงั้ แต่วนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปน็ ต้นไป
303 มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกมาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญัติใหใ้ ชบ้ ทบญั ญตั บิ รรพ ๖ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ ผ้รู บั สนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม นายกรัฐมนตรี พระราชบญั ญตั อิ นุมัติพระราชกำหนดแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ พระราชบญั ญตั ไิ หไ้ ช้บทบญั ญัติบพั ๖ แหง่ ประมวนกดหมาย แพง่ และพานชิ พุทธสกั ราช ๒๔๗๗ พุทธสักราช ๒๔๘๖ พุทธสกั ราช ๒๔๘๖[๑๙๕] บรรพ ๖ มรดก ลักษณะ ๑ บทเบด็ เสรจ็ ท่ัวไป หมวด ๑ การตกทอดแหง่ ทรัพยม์ รดก มาตรา ๑๕๙๙ เมอ่ื บคุ คลใดตาย มรดกของบคุ คลนั้นตกทอดแกท่ ายาท ทายาทอาจเสียไปซง่ึ สทิ ธิในมรดกได้แต่โดยบทบญั ญัติแหง่ ประมวลกฎหมายนห้ี รอื กฎหมาย อนื่ มาตรา ๑๖๐๐ ภายใต้บงั คบั ของบทบญั ญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผตู้ าย ไดแ้ กท่ รัพยส์ นิ ทุกชนดิ ของผู้ตาย ตลอดทงั้ สทิ ธหิ นา้ ท่แี ละความรับผดิ ต่าง ๆ เว้นแตต่ ามกฎหมายหรอื วา่ โดย สภาพแลว้ เปน็ การเฉพาะตวั ของผ้ตู ายโดยแท้ มาตรา ๑๖๐๑ ทายาทไมจ่ ำตอ้ งรบั ผิดเกนิ กว่าทรัพยม์ รดกท่ีตกทอดไดแ้ ก่ตน มาตรา ๑๖๐๒ เมื่อบคุ คลใดตอ้ งถือวา่ ถงึ แกค่ วามตายตามความในมาตรา ๖๒ แหง่ ประมวล กฎหมายนี้ มรดกของบุคคลน้ันตกทอดแกท่ ายาท
304 ถ้าพสิ ูจน์ได้ว่าบคุ คลนัน้ ยงั คงมีชีวติ อยู่ หรือตายในเวลาอ่ืนผดิ ไปจากเวลาดงั ระบุไว้ในคำส่งั ท่ี สัง่ ใหเ้ ป็นคนสาบสูญ ให้ใชบ้ ทบัญญัติมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายนบ้ี ังคับแกท่ ายาทของบคุ คลนนั้ [เลขมาตรา ๖๒ มาตรา ๖๓ แก้ไขเพมิ่ เติมโดยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ บทบญั ญัตบิ รรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยท์ ่ีได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๐๓ กองมรดกย่อมตกทอดแกท่ ายาทโดยสทิ ธิตามกฎหมายหรือโดยพินยั กรรม ทายาททมี่ สี ิทธติ ามกฎหมาย เรยี กว่า “ทายาทโดยธรรม” ทายาทที่มสี ิทธิตามพนิ ยั กรรม เรียกว่า “ผรู้ ับพินัยกรรม” หมวด ๒ การเป็นทายาท มาตรา ๑๖๐๔ บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื มีสภาพบุคคลหรอื สามารถมสี ทิ ธิได้ ตามมาตรา ๑๕ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี ในเวลาทเ่ี จ้ามรดกถงึ แก่ความตาย เพื่อประโยชนแ์ หง่ มาตรานี้ ใหถ้ อื ว่าเดก็ ทเ่ี กดิ มารอดอยูภ่ ายในสามร้อยสบิ วันนับแตเ่ วลาท่ี เจา้ มรดกถงึ แก่ความตายนน้ั เป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถงึ แกค่ วามตาย มาตรา ๑๖๐๕ ทายาทคนใดยกั ยา้ ย หรอื ปดิ บงั ทรพั ย์มรดกเท่าส่วนทต่ี นจะได้หรอื มากกว่า นัน้ โดยฉ้อฉลหรอื รู้อยู่วา่ ตนทำใหเ้ สอ่ื มประโยชนข์ องทายาทคนอนื่ ทายาทคนน้ันตอ้ งถูกกำจดั มิใหไ้ ดม้ รดก เลย แตถ่ ้าได้ยักย้ายหรอื ปดิ บงั ทรพั ย์มรดกนอ้ ยกว่าสว่ นทตี่ นจะได้ ทายาทคนนน้ั ตอ้ งถูกกำจัดมใิ หไ้ ด้มรดก เฉพาะสว่ นที่ได้ยักย้ายหรอื ปิดบงั ไว้น้ัน มาตรานี้มใิ หใ้ ช้บงั คบั แกผ่ ้รู บั พินัยกรรม ซึง่ ผตู้ ายไดท้ ำพินยั กรรมยกทรัพย์สนิ ให้เฉพาะสิ่ง เฉพาะอย่าง ในอันทจี่ ะได้รบั ทรพั ยส์ นิ นนั้ มาตรา ๑๖๐๖ บุคคลดงั ตอ่ ไปนต้ี อ้ งถูกกำจดั มิให้รบั มรดกฐานเปน็ ผู้ไม่สมควร คือ (๑) ผูท้ ต่ี ้องคำพพิ ากษาถึงทส่ี ดุ วา่ ได้เจตนากระทำ หรือพยายามกระทำใหเ้ จา้ มรดกหรอื ผ้มู ี สทิ ธิไดร้ บั มรดกก่อนตนถึงแกค่ วามตายโดยมชิ อบด้วยกฎหมาย (๒) ผู้ทีไ่ ด้ฟ้องเจา้ มรดกหาวา่ ทำความผิดโทษประหารชวี ิตและตนเองกลับตอ้ งคำพพิ ากษาถงึ ทสี่ ุดวา่ มคี วามผดิ ฐานฟ้องเทจ็ หรือทำพยานเทจ็
305 (๓) ผทู้ ร่ี ู้แลว้ วา่ เจา้ มรดกถูกฆา่ โดยเจตนา แต่มิได้นำข้อความนน้ั ขึ้นร้องเรียนเพ่ือเปน็ ทางท่ี จะเอาตัวผ้กู ระทำผดิ มาลงโทษ แต่ข้อน้ีมิใหใ้ ช้บงั คับถ้าบคุ คลนั้นมีอายยุ งั ไม่ครบสบิ หกปบี รบิ รู ณ์ หรอื เปน็ คน วกิ ลจริตไมส่ ามารถรผู้ ดิ ชอบ หรือถา้ ผทู้ ฆ่ี า่ น้นั เป็นสามภี รยิ าหรือผู้บพุ การหี รอื ผสู้ บื สันดานของตนโดยตรง (๔) ผูท้ ี่ฉอ้ ฉลหรือขม่ ขใู่ หเ้ จ้ามรดกทำ หรอื เพกิ ถอน หรอื เปล่ียนแปลงพนิ ัยกรรมแต่บางสว่ น หรอื ทั้งหมดซง่ึ เก่ียวกบั ทรพั ย์มรดก หรือไมใ่ หก้ ระทำการดงั กลา่ วนั้น (๕) ผูท้ ปี่ ลอม ทำลาย หรือปิดบงั พนิ ัยกรรมแตบ่ างส่วนหรอื ท้ังหมด เจา้ มรดกอาจถอนข้อกำจัดฐานเป็นผ้ไู มส่ มควรเสยี ก็ไดโ้ ดยให้อภยั ไวเ้ ป็นลายลักษณ์อกั ษร มาตรา ๑๖๐๗ การถกู กำจดั มิใหร้ บั มรดกน้นั เป็นการเฉพาะตัว ผู้สืบสนั ดานของทายาทที่ถกู กำจดั สบื มรดกต่อไปเหมือนหนงึ่ วา่ ทายาทนัน้ ตายแลว้ แตใ่ นสว่ นทรัพยส์ นิ ซง่ึ ผสู้ บื สนั ดานได้รบั มรดกมาเช่นน้ี ทายาทที่ว่าน้ันไมม่ สี ิทธิทจ่ี ะจดั การและใช้ดงั ท่รี ะบไุ วใ้ นบรรพ ๕ ลักษณะ ๒ หมวด ๓ แหง่ ประมวลกฎหมายนี้ ในกรณีเชน่ นั้นใหใ้ ช้มาตรา ๑๕๔๘ บงั คับโดยอนโุ ลม หมวด ๓ การตัดมใิ หร้ บั มรดก มาตรา ๑๖๐๘ เจ้ามรดกจะตัดทายาทโดยธรรมของตนคนใดมใิ ห้รบั มรดกกไ็ ด้แตด่ ว้ ยแสดง เจตนาชัดแจง้ (๑) โดยพินยั กรรม (๒) โดยทำเปน็ หนงั สอื มอบไวแ้ ก่พนกั งานเจ้าหน้าที่ ตัวทายาทผู้ถูกตดั มิใหร้ ับมรดกนนั้ ตอ้ งระบุไว้ให้ชัดเจน แต่เม่ือบุคคลใดไดท้ ำพินัยกรรมจำหนา่ ยทรพั ยม์ รดกเสียทงั้ หมดแล้ว ใหถ้ ือว่าบรรดาทายาท โดยธรรมผู้ทมี่ ิไดร้ ับประโยชนจ์ ากพนิ ัยกรรม เป็นผถู้ ูกตดั มใิ หร้ บั มรดก มาตรา ๑๖๐๙ การแสดงเจตนาตัดมใิ หร้ ับมรดกนน้ั จะถอนเสียก็ได้ ถ้าการตดั มิใหร้ ับมรดกน้ันได้ทำโดยพินัยกรรม จะถอนเสยี ไดก้ แ็ ตโ่ ดยพนิ ยั กรรมเท่านัน้ แต่ ถ้าการตดั มิใหร้ ับมรดกไดท้ ำเป็นหนังสอื มอบไวแ้ กพ่ นักงานเจา้ หน้าที่ การถอนจะทำตามแบบใดแบบหนึ่งดงั บญั ญัตไิ ว้ในมาตรา ๑๖๐๘ (๑) หรือ (๒) ก็ได้
306 หมวด ๔ การสละมรดกและอ่นื ๆ มาตรา ๑๖๑๐ ถ้ามรดกตกทอดแกผ่ ู้เยาว์ หรอื บคุ คลวกิ ลจริต หรือบคุ คลผู้ไมส่ ามารถจะ จัดทำการงานของตนเองไดต้ ามความหมายแหง่ มาตรา ๓๒ แห่งประมวลกฎหมายน้ี และบุคคลนนั้ ยงั ไม่มี ผ้แู ทนโดยชอบธรรม หรือผ้อู นบุ าล หรือผู้พิทกั ษ์ เม่อื ผมู้ ีส่วนได้เสีย หรอื พนักงานอัยการร้องขอ ก็ใหศ้ าลตงั้ ผปู้ กครอง ผ้อู นบุ าล หรอื ผพู้ ทิ กั ษ์ แลว้ แต่กรณี [เลขมาตรา ๓๒ แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยมาตรา ๑๕ แหง่ พระราชบญั ญัตใิ ห้ใช้บทบญั ญัตบิ รรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ท่ีไดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๑๑ ทายาทซง่ึ เป็นผเู้ ยาว์ บคุ คลวิกลจรติ หรือบคุ คลผู้ไมส่ ามารถจะจัดทำการงาน ของตนเองไดต้ ามความหมายแหง่ มาตรา ๓๒ แหง่ ประมวลกฎหมายนี้ จะทำการดงั ต่อไปน้ไี ม่ได้ เว้นแต่จะ ได้รับความยินยอมของบิดามารดา ผ้ปู กครอง ผู้อนบุ าล หรอื ผพู้ ิทกั ษ์ แล้วแต่กรณี และได้รบั อนมุ ตั จิ ากศาล แล้วคอื (๑) สละมรดก (๒) รบั มรดกอันมีค่าภาระตดิ พันหรือเงอื่ นไข [เลขมาตรา ๓๒ แก้ไขเพม่ิ เติมโดยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญตั ใิ ห้ใช้บทบญั ญตั บิ รรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ที่ไดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๑๒ การสละมรดกนน้ั ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเปน็ หนังสอื มอบไว้แก่พนกั งาน เจ้าหนา้ ที่ หรอื ทำเป็นสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ เวลาไมไ่ ด้ มาตรา ๑๖๑๓ การสละมรดกนั้น จะทำแตเ่ พยี งบางสว่ น หรอื ทำโดยมเี งอื่ นไข หรอื เงอื่ น การสละมรดกนนั้ จะถอนเสยี มิได้ มาตรา ๑๖๑๔ ถา้ ทายาทสละมรดกด้วยวธิ ใี ดโดยที่ร้อู ย่วู ่าการทที่ ำเชน่ นัน้ จะทำใหเ้ จ้าหน้ี ของตนเสยี เปรียบ เจา้ หนม้ี ีสทิ ธทิ จ่ี ะรอ้ งขอให้เพิกถอนการสละมรดกนัน้ เสยี ได้ แตค่ วามข้อนีม้ ิให้ใชบ้ งั คบั ถา้ ปรากฏวา่ ในขณะที่สละมรดกนน้ั บุคคลซ่ึงเปน็ ผไู้ ด้ลาภงอกแต่การนนั้ มไิ ด้รเู้ ท่าถึงขอ้ ความจริงอันเป็นทางให้ เจา้ หนี้ตอ้ งเสยี เปรียบน้ันดว้ ย แตห่ ากกรณีเป็นการสละมรดกโดยเสนห่ า เพยี งแตท่ ายาทผสู้ ละมรดกเปน็ ผู้รู้ ฝา่ ยเดียวเท่าน้ันก็พอแลว้ ท่จี ะขอเพิกถอนได้
307 เมื่อไดเ้ พกิ ถอนการสละมรดกแล้ว เจ้าหนจ้ี ะรอ้ งขอให้ศาลสงั่ เพ่อื ใหต้ นรับมรดกแทนที่ ทายาทและในสิทธิของทายาทนนั้ ก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อไดช้ ำระหนี้ของทายาทนั้นให้แกเ่ จา้ หนีแ้ ลว้ ถ้าสว่ นของทายาทน้นั ยงั มี เหลอื อยู่อกี กใ็ หไ้ ด้แก่ผสู้ บื สันดานของทายาทนั้น หรอื ทายาทอ่นื ของเจ้ามรดก แล้วแตก่ รณี มาตรา ๑๖๑๕ การทท่ี ายาทสละมรดกน้นั มผี ลย้อนหลังไปถึงเวลาทเ่ี จา้ มรดกตาย เมอ่ื ทายาทโดยธรรมคนใดสละมรดก ผสู้ บื สนั ดานของทายาทคนนั้นสบื มรดกได้ตามสทิ ธิของ ตน และชอบท่จี ะไดร้ บั สว่ นแบง่ เท่ากบั สว่ นแบง่ ทผ่ี ู้สละมรดกนัน้ จะไดร้ บั แต่ผสู้ บื สนั ดานนัน้ ต้องไมใ่ ช่ผูท้ บี่ ิดา มารดา ผปู้ กครอง หรอื ผ้อู นบุ าล แลว้ แต่กรณี ได้บอกสละมรดกโดยสมบรู ณ์ในนามของผสู้ บื สนั ดานน้ัน มาตรา ๑๖๑๖ ถ้าผู้สบื สนั ดานของผสู้ ละมรดกได้มรดกมาดงั กลา่ วไว้ในมาตรา ๑๖๑๕ แล้ว ผู้ท่ีได้สละมรดกนนั้ ไมม่ สี ิทธิในส่วนทรัพยส์ ินอันผูส้ บื สันดานของตนได้รบั มรดกมา ในอนั ทจี่ ะจดั การและใช้ดังท่ี ระบุไว้ในบรรพ ๕ ลกั ษณะ ๒ หมวด ๓ แหง่ ประมวลกฎหมายนี้ และให้ใช้มาตรา ๑๕๔๘ บงั คบั โดยอนโุ ลม มาตรา ๑๖๑๗ ผู้รบั พนิ ยั กรรมคนใดสละมรดก ผนู้ นั้ รวมตลอดทง้ั ผสู้ บื สันดานไม่มสี ิทธจิ ะรบั มรดกทีไ่ ดส้ ละแล้วนน้ั มาตรา ๑๖๑๘ ถา้ ทายาทโดยธรรมผทู้ ไ่ี ดส้ ละมรดกไมม่ ผี สู้ บื สันดานทจี่ ะรับมรดกได้ หรอื ผู้รบั พินัยกรรมไดส้ ละมรดก ให้ปันสว่ นแบง่ ของผทู้ ีไ่ ด้สละมรดกนั้น ๆ แก่ทายาทอืน่ ของเจ้ามรดกต่อไป มาตรา ๑๖๑๙ ผู้ใดจะสละหรอื จำหนา่ ยจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสทิ ธิอันหากจะมใี นภาย หน้าในการสืบมรดกผ้ทู ยี่ งั มีชวี ติ อยู่น้นั ไมไ่ ด้
308 ลกั ษณะ ๒ สิทธโิ ดยธรรมในการรบั มรดก หมวด ๑ บทเบด็ เสรจ็ ท่วั ไป มาตรา ๑๖๒๐ ถา้ ผ้ใู ดตายโดยไม่ได้ทำพนิ ยั กรรมไวห้ รอื ทำพนิ ยั กรรมไว้แต่ไม่มีผลบงั คับได้ ให้ปนั ทรพั ยม์ รดกทงั้ หมดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายนน้ั ตามกฎหมาย ถา้ ผูใ้ ดตายโดยได้ทำพินยั กรรมไว้ แต่พนิ ัยกรรมนัน้ จำหนา่ ยทรพั ยห์ รอื มีผลบงั คับไดแ้ ตเ่ พยี ง บางสว่ นแห่งทรพั ยม์ รดก ใหป้ นั สว่ นทม่ี ไิ ดจ้ ำหนา่ ยโดยพนิ ัยกรรม หรอื สว่ นทีพ่ ินยั กรรมไม่มผี ลบงั คบั ให้แก่ ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย มาตรา ๑๖๒๑ เวน้ แตผ่ ทู้ ำพนิ ัยกรรมจะไดแ้ สดงเจตนากำหนดไวใ้ นพนิ ัยกรรมเปน็ อยา่ งอ่นื แมท้ ายาทโดยธรรมคนใดจะไดร้ ับทรพั ยส์ ินอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดตามพนิ ัยกรรม ทายาทคนน้นั ก็ยงั มสี ิทธทิ จี่ ะเรียก เอาสว่ นโดยธรรมของตนจากทรัพยม์ รดกส่วนทยี่ ังไมไ่ ด้จำหนา่ ยโดยพินัยกรรมจนเตม็ อกี กไ็ ด้ มาตรา ๑๖๒๒ พระภิกษุนั้น จะเรียกรอ้ งเอาทรัพยม์ รดกในฐานะท่ีเปน็ ทายาทโดยธรรมไมไ่ ด้ เวน้ แต่จะไดส้ ึกจากสมณเพศมาเรียกรอ้ งภายในกำหนดอายคุ วามตามมาตรา ๑๗๕๔ แตพ่ ระภกิ ษนุ ัน้ อาจเปน็ ผรู้ บั พินยั กรรมได้ มาตรา ๑๖๒๓ ทรัพยส์ นิ ของพระภิกษทุ ่ไี ดม้ าในระหวา่ งเวลาท่ีอยใู่ นสมณเพศนั้น เม่ือ พระภกิ ษุนนั้ ถงึ แกม่ รณภาพให้ตกเป็นสมบัตขิ องวัดที่เปน็ ภูมลิ ำเนาของพระภิกษนุ ้นั เว้นไวแ้ ตพ่ ระภิกษนุ ้นั จะ ไดจ้ ำหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรอื โดยพนิ ัยกรรม มาตรา ๑๖๒๔ ทรัพยส์ นิ ใดเปน็ ของบคุ คลก่อนอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ ทรพั ยส์ ินน้ันหาตก เป็นสมบัตขิ องวัดไม่ และใหเ้ ปน็ มรดกตกทอดแกท่ ายาทโดยธรรมของบุคคลน้ัน หรอื บคุ คลนน้ั จะจำหนา่ ยโดย ประการใดตามกฎหมายก็ได้ มาตรา ๑๖๒๕ ถ้าผู้ตายเปน็ ผสู้ มรสแล้ว การคิดสว่ นแบง่ และการปนั ทรพั ย์สนิ ระหว่างผูต้ าย กับคสู่ มรสทยี่ งั มชี วี ติ อยนู่ นั้ ให้เปน็ ไปดังน้ี
309 (๑) ในเรื่องส่วนแบง่ ในทรพั ย์สินระหว่างสามีภรยิ าให้อยใู่ นบงั คบั ของบทบญั ญัตแิ ห่งประมวล กฎหมายนว้ี ่าดว้ ยการหยา่ โดยยินยอมทงั้ สองฝา่ ย อนั มบี ทบญั ญตั ิเพม่ิ เตมิ ให้บริบรู ณใ์ นมาตรา ๑๖๓๗ และ ๑๖๓๘ และโดยเฉพาะตอ้ งอยู่ในบังคบั แห่งมาตรา ๑๕๑๓ ถึง ๑๕๑๗ แห่งประมวลกฎหมายน้ี แตก่ ารคดิ สว่ น แบง่ น้ันมผี ลตงั้ แต่วนั ท่กี ารสมรสไดส้ ้ินไปด้วยเหตุความตายน้ัน (๒) ในเร่ืองส่วนแบง่ ในทรพั ย์มรดกของผตู้ าย ใหอ้ ยู่ในบงั คบั ของบทบัญญัติแห่งบรรพนี้ นอกจากมาตรา ๑๖๓๗ และ ๑๖๓๘ มาตรา ๑๖๒๖ เม่อื ไดป้ ฏบิ ัตติ ามมาตรา ๑๖๒๕ (๑) แล้ว ใหค้ ดิ สว่ นแบ่งทรพั ยม์ รดกระหวา่ ง ทายาทโดยธรรม ดงั ต่อไปนี้ (๑) ทรัพยม์ รดกนน้ั ใหแ้ บง่ แกท่ ายาทตามลำดบั และช้นั ตา่ ง ๆ ดังท่ีบญั ญัตไิ ว้ในหมวด ๒ แหง่ ลกั ษณะน้ี (๒) สว่ นแบง่ อันจะไดแ้ ก่ทายาทในลำดบั และช้ันตา่ ง ๆ น้ัน ใหแ้ บง่ ในระหวา่ งบรรดาทายาท ในลำดับและชั้นน้ัน ๆ ดังทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ในหมวด ๓ แห่งลักษณะนี้ มาตรา ๑๖๒๗ บุตรนอกกฎหมายที่บดิ าได้รบั รองแล้วและบตุ รบญุ ธรรมนน้ั ให้ถือว่าเปน็ ผูส้ บื สนั ดาน เหมือนกบั บตุ รที่ชอบดว้ ยกฎหมาย ตามความหมายแหง่ ประมวลกฎหมายน้ี มาตรา ๑๖๒๘ สามภี รยิ าท่ีรา้ งกัน หรอื แยกกันอยโู่ ดยยังมิได้หยา่ ขาดจากกนั ตามกฎหมาย มไิ ด้สน้ิ ไปซง่ึ สทิ ธิโดยธรรมในการสืบมรดกซึง่ กนั และกัน หมวด ๒ การแบ่งทรพั ยม์ รดกระหวา่ งทายาท โดยธรรมในลำดับและช้นั ต่าง ๆ มาตรา ๑๖๒๙ ทายาทโดยธรรมมหี กลำดบั เท่านนั้ และภายใตบ้ งั คบั แหง่ มาตรา ๑๖๓๐ วรรค ๒ แตล่ ะลำดับมสี ทิ ธิได้รบั มรดกกอ่ นหลงั ดังตอ่ ไปนี้ คือ (๑) ผสู้ ืบสนั ดาน (๒) บิดามารดา (๓) พนี่ อ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั (๔) พ่นี อ้ งรว่ มบิดาหรอื รว่ มมารดาเดยี วกนั (๕) ปู่ ย่า ตา ยาย (๖) ลงุ ป้า น้า อา
310 คสู่ มรสทีย่ งั มีชวี ติ อยูน่ น้ั กเ็ ปน็ ทายาทโดยธรรม ภายใตบ้ งั คบั ของบทบัญญตั พิ เิ ศษแหง่ มาตรา ๑๖๓๕ มาตรา ๑๖๓๐ ตราบใดทม่ี ีทายาทซง่ึ ยงั มีชีวิตอยู่ หรือมผี รู้ บั มรดกแทนทย่ี งั ไม่ขาดสาย แล้วแต่กรณี ในลำดบั หนึง่ ๆ ทรี่ ะบุไวใ้ นมาตรา ๑๖๒๙ ทายาทผูท้ อี่ ยู่ในลำดบั ถดั ลงไปไมม่ สี ทิ ธใิ นทรพั ยม์ รดก ของผู้ตายเลย แต่ความในวรรคกอ่ นน้ีมใิ ห้ใช้บงั คับในกรณีเฉพาะทมี่ ีผสู้ บื สนั ดานคนใดยงั มีชวี ิตอยู่หรอื มผี ู้รบั มรดกแทนทกี่ นั แล้วแต่กรณี และมบี ิดามารดายังมีชวี ติ อยู่ ในกรณีเชน่ นนั้ ใหบ้ ิดามารดาไดส้ ่วนแบ่งเสมอื นหนงึ่ วา่ เป็นทายาทชัน้ บุตร มาตรา ๑๖๓๑ ในระหว่างผสู้ บื สันดานต่างช้ันกันนัน้ บตุ รของเจ้ามรดกอนั อย่ใู นชน้ั สนทิ ทีส่ ดุ เทา่ นัน้ มสี ทิ ธริ บั มรดก ผสู้ ืบสนั ดานทีอ่ ยใู่ นช้ันถดั ลงไปจะรับมรดกได้ก็แตโ่ ดยอาศยั สทิ ธิในการรับมรดกแทนท่ี หมวด ๓ การแบ่งสว่ นมรดกของทายาทโดยธรรม ในลำดับและช้นั ตา่ ง ๆ สว่ นที่ ๑ ญาติ มาตรา ๑๖๓๒ ภายใต้บงั คับแหง่ มาตรา ๑๖๒๙ วรรคสดุ ทา้ ย การแบ่งสว่ นมรดกของทายาท โดยธรรมในลำดับญาติใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั ิในสว่ นที่ ๑ แหง่ หมวดน้ี มาตรา ๑๖๓๓ ทายาทโดยธรรมในลำดบั เดยี วกัน ในลำดบั หนึ่ง ๆ ท่รี ะบุไวใ้ นมาตรา ๑๖๒๙ นน้ั ชอบทจี่ ะไดร้ บั สว่ นแบง่ เทา่ กนั ถ้าในลำดบั หนงึ่ มที ายาทโดยธรรมคนเดยี ว ทายาทโดยธรรมคนนัน้ มีสิทธิ ได้รับส่วนแบง่ ท้ังหมด มาตรา ๑๖๓๔ ระหวา่ งผสู้ ืบสันดานทร่ี บั มรดกแทนทก่ี นั ในส่วนแบ่งของสายหนง่ึ ๆ ตาม บทบญั ญตั ใิ นลกั ษณะ ๒ หมวด ๔ นนั้ ใหไ้ ด้รับส่วนแบง่ มรดกดงั น้ี (๑) ถ้ามผี สู้ บื สนั ดานต่างชัน้ กัน บตุ รของผู้ตายซงึ่ อย่ใู นชน้ั สนิทท่ีสุดเท่าน้ันมสี ิทธริ บั มรดก ผูส้ บื สันดานในช้ันถัดลงไปจะรบั มรดกได้กแ็ ต่โดยอาศยั สิทธิในการรบั มรดกแทนที่
311 (๒) ผสู้ ืบสนั ดานในช้ันเดยี วกนั ไดร้ บั ส่วนแบ่งเท่ากัน (๓) ถ้าในชนั้ หนงึ่ มผี ูส้ บื สนั ดานคนเดยี ว ผสู้ บื สนั ดานคนนั้นมีสิทธิได้รบั ส่วนแบง่ ท้งั หมด ส่วนที่ ๒ ค่สู มรส มาตรา ๑๖๓๕ ลำดับและส่วนแบง่ ของคสู่ มรสทย่ี ังมชี ีวิตอยใู่ นการรบั มรดกของผตู้ ายนนั้ ให้ เป็นไปดังตอ่ ไปน้ี (๑) ถา้ มีทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๑) ซงึ่ ยังมีชีวติ อยหู่ รอื มผี ู้รบั มรดกแทนท่ี แลว้ แตก่ รณี คู่ สมรสท่ยี งั มชี วี ิตอย่นู น้ั มสี ทิ ธไิ ดส้ ่วนแบ่งเสมอื นหน่ึงว่าตนเปน็ ทายาทช้นั บตุ ร (๒) ถ้ามีทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๓) และทายาทน้ันยังมชี ีวติ อยหู่ รอื มผี ู้รบั มรดกแทนที่ หรอื ถา้ ไมม่ ที ายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๑) แตม่ ีทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๒) แล้วแต่กรณี คูส่ มรสท่ยี ังมีชีวติ อยนู่ นั้ มสี ิทธไิ ด้รบั มรดกกงึ่ หนง่ึ (๓) ถ้ามีทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๔) หรือ (๖) และทายาทนน้ั ยังมชี ีวิตอยู่ หรอื มีผรู้ บั มรดก แทนท่ี หรือมีทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๕) แล้วแต่กรณี คูส่ มรสทีย่ งั มีชีวติ อยู่ มสี ทิ ธิไดม้ รดกสองส่วนในสาม (๔) ถ้าไม่มีทายาทดังที่ระบไุ ว้ในมาตรา ๑๖๒๙ คสู่ มรสที่ยงั มีชีวิตอยู่นัน้ มสี ทิ ธิได้รบั มรดก ทั้งหมด มาตรา ๑๖๓๖ ถา้ เจ้ามรดกมภี ริยาที่ชอบด้วยกฎหมายกอ่ นใชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์บรรพ ๕ หลายคนยังมชี ีวิตอยู่ ภริยาเหลา่ นนั้ ทง้ั หมดรวมกันมสี ิทธไิ ด้รบั มรดกตามลำดบั ชนั้ และส่วน แบ่งดงั ระบุไว้ในมาตรา ๑๖๓๕ แตใ่ นระหวา่ งกนั เองให้ภริยาน้อยแต่ละคนมสี ิทธไิ ดร้ ับมรดกกึง่ สว่ นท่ีภริยา หลวงจะพงึ ไดร้ บั มาตรา ๑๖๓๗ ถา้ คู่สมรสฝา่ ยใดที่ยงั มีชีวติ อย่เู ป็นผรู้ บั ประโยชน์ตามสญั ญาประกันชีวติ คู่ สมรสฝา่ ยน้ันมสี ิทธิรบั จำนวนเงนิ ทั้งหมดท่ีได้ตกลงไว้กบั ผรู้ บั ประกันภยั แต่จำตอ้ งเอาจำนวนเบ้ยี ประกันภยั เพียงเท่าทพี่ สิ จู นไ์ ด้ว่าสูงกว่าจำนวนเงินทผ่ี ู้ตายจะพงึ สง่ ใช้เปน็ เบยี้ ประกนั ภัยได้ ตามรายไดห้ รอื ฐานะของตน โดยปกตไิ ปชดใช้สนิ เดมิ ของคสู่ มรสอกี ฝ่ายหนงึ่ หรอื สินสมรส แลว้ แต่กรณี ถึงอย่างไรกด็ ี จำนวนเงนิ เบยี้ ประกันภยั ซง่ึ จะพึงสง่ คืนตามบทบัญญัติขา้ งตน้ น้นั รวมทง้ั สิ้น ตอ้ งไมเ่ กินจำนวนเงินทผี่ รู้ บั ประกนั ภยั ไดช้ ำระให้ มาตรา ๑๖๓๘ เมอ่ื คสู่ มรสท้ังสองฝ่ายไดล้ งทุนออกเงินในการทำสญั ญา และตามสญั ญาน้นั ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รบั เงนิ ปีในขณะทีย่ งั มีชีวิตอยู่รว่ มกัน และเม่อื ฝ่ายหนง่ึ ฝา่ ยใดตาย ฝ่ายทย่ี งั มชี วี ติ อยูย่ งั
312 จะตอ้ งไดร้ บั เงนิ ปีต่อไปตลอดอายุ ฝา่ ยทย่ี ังมีชวี ติ อยู่ จำตอ้ งชดใชส้ ินเดมิ ของอีกฝ่ายหนงึ่ หรือสินสมรสแลว้ แต่ กรณี สุดแตว่ ่าไดเ้ อาเงินสนิ เดมิ หรอื สนิ สมรสไปใชใ้ นการลงทุนนัน้ เงนิ ทจี่ ะต้องชดใชส้ นิ เดิมหรอื สินสมรสดังวา่ นี้ ใหช้ ดใชเ้ ทา่ จำนวนเงนิ ซง่ึ ผจู้ า่ ยเงนิ รายปจี ะเรียกใหใ้ ชเ้ พม่ิ ขนึ้ เปน็ พเิ ศษ เพอื่ ผจู้ ่ายจะไดจ้ ่ายเงินรายปีใหแ้ กค่ ู่ สมรสฝา่ ยทย่ี งั มชี วี ิตอยู่นัน้ ตอ่ ไป หมวด ๔ การรบั มรดกแทนทกี่ ัน มาตรา ๑๖๓๙ ถา้ บุคคลใดซ่งึ จะเปน็ ทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๑) (๓) (๔) หรือ (๖) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกำจดั มิใหร้ บั มรดกกอ่ นเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลน้นั มผี สู้ บื สันดานกใ็ ห้ผู้สบื สันดานรับมรดก แทนท่ี ถา้ ผ้สู บื สันดานคนใดของบุคคลนน้ั ถึงแกค่ วามตายหรอื ถูกกำจดั มใิ หร้ บั มรดกเชน่ เดยี วกนั ก็ให้ ผู้สบื สนั ดานของผสู้ ืบสนั ดานนั้นรบั มรดกแทนท่ี และใหม้ กี ารรบั มรดกแทนทกี่ ันเฉพาะส่วนแบง่ ของบุคคลเปน็ ราย ๆ สืบตอ่ กันเช่นนีไ้ ปจนหมดสาย มาตรา ๑๖๔๐[๑๙๖] เมือ่ บุคคลใดตอ้ งถือวา่ ถึงแกค่ วามตายตามความในมาตรา ๖๕ แห่ง ประมวลกฎหมายน้ี ใหม้ ีการรบั มรดกแทนทก่ี นั ได้ มาตรา ๑๖๔๑ ถ้าบุคคลใดซง่ึ จะเป็นทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๒) หรอื (๕) ถงึ แกค่ วาม ตาย หรอื ถูกกำจัดมิใหร้ บั มรดกกอ่ นเจ้ามรดกตาย ถ้ามที ายาทในลำดับเดียวกนั ยังมีชีวิตอยู่ กใ็ หส้ ว่ นแบง่ ทั้งหมดตกไดแ้ ก่ทายาทนน้ั เทา่ น้ัน ห้ามมใิ ห้มกี ารรบั มรดกแทนทก่ี ันตอ่ ไป มาตรา ๑๖๔๒ การรบั มรดกแทนท่กี นั นน้ั ใหใ้ ชบ้ งั คบั แต่ในระหว่างทายาทโดยธรรม มาตรา ๑๖๔๓ สทิ ธทิ จ่ี ะรับมรดกแทนทกี่ ันน้ันได้เฉพาะแกผ่ ู้สบื สันดานโดยตรง ผบู้ พุ การหี า มีสิทธดิ งั นน้ั ไม่ มาตรา ๑๖๔๔ ผู้สบื สนั ดานจะรบั มรดกแทนที่ไดต้ ่อเมอ่ื มสี ทิ ธบิ ริบรู ณใ์ นการรับมรดก มาตรา ๑๖๔๕ การทบ่ี คุ คลใดสละมรดกของบุคคลอีกคนหนงึ่ น้ัน ไม่ตัดสิทธขิ องผ้สู ละทจ่ี ะ รับมรดกแทนทบ่ี ุคคลอกี คนหนงึ่ น้นั ในการสบื มรดกบุคคลอน่ื ลกั ษณะ ๓
313 พินยั กรรม หมวด ๑ บทเบด็ เสรจ็ ทว่ั ไป มาตรา ๑๖๔๖ บคุ คลใดจะแสดงเจตนาโดยพินยั กรรมกำหนดการเผ่อื ตายในเร่อื งทรพั ยส์ นิ ของตนเอง หรอื ในการต่าง ๆ อนั จะใหเ้ กดิ เปน็ ผลบงั คับได้ตามกฎหมายเมือ่ ตนตายกไ็ ด้ มาตรา ๑๖๔๗ การแสดงเจตนากำหนดการเผ่ือตายนน้ั ยอ่ มทำได้ด้วยคำส่ังคร้งั สุดทา้ ย กำหนดไว้ในพินยั กรรม มาตรา ๑๖๔๘ พินยั กรรมนัน้ ตอ้ งทำตามแบบซง่ึ ระบไุ ว้ในหมวด ๒ แห่งลักษณะน้ี มาตรา ๑๖๔๙ ผู้จัดการมรดกซ่งึ ผู้ตายต้ังไวย้ ่อมมอี ำนาจและหน้าทใ่ี นอันทจี่ ะจัดการทำศพ ของผู้ตาย เวน้ แตผ่ ตู้ ายจะได้ต้ังบุคคลอื่นไวโ้ ดยเฉพาะใหจ้ ัดการดงั ว่านน้ั ถา้ ผตู้ ายมิไดต้ ้ังผจู้ ัดการมรดกหรือบคุ คลใดไวใ้ หเ้ ป็นผู้จัดการทำศพ หรือทายาทมไิ ด้ มอบหมายตั้งให้บุคคลใดเปน็ ผู้จดั การทำศพ บุคคลผู้ได้รบั ทรัพยม์ รดกโดยพนิ ยั กรรมหรือโดยสทิ ธโิ ดยธรรมเปน็ จำนวนมากทสี่ ดุ เป็นผ้มู อี ำนาจและตกอย่ใู นหน้าท่ตี อ้ งจดั การทำศพ เว้นแต่ศาลจะเห็นเป็นการสมควรต้งั บุคคลอื่นใหจ้ ดั การเช่นน้นั ในเม่ือบุคคลผมู้ ีส่วนไดเ้ สียคนใดคนหนง่ึ รอ้ งขอขน้ึ มาตรา ๑๖๕๐ คา่ ใช้จา่ ยเกดิ มหี นเ้ี ปน็ คณุ แก่บคุ คลใดในการจัดการทำศพนนั้ ใหเ้ รยี กเอาได้ ตามบุรมิ สทิ ธทิ ีร่ ะบุไว้ในมาตรา ๒๕๓ (๒) แหง่ ประมวลกฎหมายนี้ ถา้ การจัดการทำศพ ตอ้ งชกั ชา้ ไปดว้ ยประการใด ๆ ใหบ้ ุคคลผมู้ อี ำนาจตามความในมาตรา ก่อนกนั เงนิ เปน็ จำนวนอนั สมควรจากสินทรพั ย์แห่งกองมรดกเพอื่ ใชใ้ นการน้ี โดยใหบ้ ุคคลผู้มสี ว่ นไดเ้ สยี คนใด คนหนง่ึ ร้องตอ่ ศาลได้ในกรณที ่ีไมต่ กลงหรือคดั คา้ นการกันเงนิ จำนวนนนั้ กรณจี ะเป็นอย่างไรกต็ าม เงนิ คา่ ใช้จา่ ย หรอื เงินทก่ี ันไว้อนั เกีย่ วกบั การจดั การทำศพน้ัน ให้ กนั ไวไ้ ด้แตเ่ พียงจำนวนตามสมควรแกฐ่ านะในสมาคมของผตู้ าย แตจ่ ะตอ้ งไมเ่ ปน็ การเสอื่ มเสียตอ่ สิทธิของ เจา้ หนข้ี องผูต้ าย มาตรา ๑๖๕๑ ภายใต้บงั คับบทบญั ญัตลิ กั ษณะ ๔
314 (๑) เมอื่ ตามขอ้ กำหนดพนิ ัยกรรม บุคคลใดมสี ทิ ธิทจี่ ะไดร้ บั ทรพั ยม์ รดกท้ังหมดของเจ้ามรดก หรอื ตามเศษส่วน หรอื ตามสว่ นที่เหลอื แห่งทรพั ยม์ รดก ซง่ึ มไิ ดแ้ ยกไว้ตา่ งหากเปน็ พเิ ศษจากกองมรดก บุคคล นั้นเรยี กว่าผรู้ บั พนิ ยั กรรมลกั ษณะทัว่ ไป และมสี ิทธิและความรบั ผิดเช่นเดยี วกบั ทายาทโดยธรรม (๒) เมอ่ื ตามขอ้ กำหนดพนิ ัยกรรม บคุ คลใดมสี ทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั ทรพั ยส์ ินเฉพาะส่ิงเฉพาะอย่าง ซึ่งเจาะจงไวโ้ ดยเฉพาะ หรอื แยกไวต้ ่างหากเป็นพเิ ศษจากกองมรดก บคุ คลนั้นเรียกว่า ผรู้ ับพนิ ยั กรรม ลกั ษณะเฉพาะ และมสี ทิ ธแิ ละความรับผดิ ท่ีเก่ยี วกบั ทรพั ยส์ นิ เทา่ นั้น ในกรณที ี่มขี ้อสงสัย ใหส้ ันนษิ ฐานไว้ก่อนว่า ผรู้ บั พนิ ัยกรรมเป็นผรู้ บั พนิ ยั กรรมลกั ษณะเฉพาะ มาตรา ๑๖๕๒ บุคคลผูอ้ ยู่ในความปกครองนนั้ จะทำพนิ ัยกรรมยกทรพั ยม์ รดกของตนใหแ้ ก่ ผู้ปกครองหรอื ค่สู มรส บุพการี หรือผสู้ ืบสันดาน หรอื พ่นี อ้ งของผู้ปกครองไม่ไดจ้ นกวา่ ผปู้ กครองจะได้ทำคำ แถลงการณป์ กครองตามทบ่ี ัญญัติไวใ้ นมาตรา ๑๕๗๗ และมาตราต่อ ๆ ไป แหง่ ประมวลกฎหมายนเี้ สรจ็ ส้ิน แลว้ มาตรา ๑๖๕๓ ผเู้ ขยี น หรือพยานในพนิ ยั กรรมจะเป็นผรู้ ับทรพั ย์ตามพินยั กรรมน้ันไมไ่ ด้ ใหใ้ ช้บทบญั ญตั ิในวรรคกอ่ นบงั คบั แกค่ สู่ มรสของผเู้ ขยี นหรอื พยานในพนิ ัยกรรมดว้ ย พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ซ่งึ ไดจ้ ดข้อความแหง่ พินยั กรรมทพ่ี ยานนำมาแจ้งตามมาตรา ๑๖๖๓ ให้ ถือว่าเป็นผเู้ ขียนพินัยกรรมตามความหมายแหง่ มาตรานี้ มาตรา ๑๖๕๔ ความสามารถของผทู้ ำพินัยกรรมนน้ั ใหพ้ จิ ารณาแต่ในเวลาทที่ ำพินยั กรรม เทา่ น้ัน ความสามารถของผู้รบั พนิ ัยกรรมนน้ั ใหพ้ จิ ารณาแต่ในเวลาท่ผี ทู้ ำพนิ ยั กรรมตายเท่านั้น หมวด ๒ แบบพนิ ยั กรรม มาตรา ๑๖๕๕ พินัยกรรมนน้ั จะทำได้กแ็ ตต่ ามแบบใดแบบหนึ่งดังทบี่ ญั ญตั ไิ ว้ในหมวดน้ี มาตรา ๑๖๕๖ พนิ ยั กรรมนน้ั จะทำตามแบบดังน้กี ไ็ ด้ กล่าวคอื ต้องทำเป็นหนังสอื ลงวัน เดือน ปี ในขณะทท่ี ำขน้ึ และผทู้ ำพนิ ัยกรรมตอ้ งลงลายมือชอื่ ไวต้ ่อหนา้ พยานอยา่ งน้อยสองคนพรอ้ มกัน ซงึ่ พยานสองคนนั้นต้องลงลายมอื ชื่อรบั รองลายมอื ชอ่ื ของผู้ทำพนิ ยั กรรมไวใ้ นขณะนน้ั
315 การขดู ลบ ตก เติม หรอื การแก้ไขเปลย่ี นแปลงอยา่ งอ่นื ซงึ่ พนิ ยั กรรมน้นั ย่อมไมส่ มบูรณ์ เวน้ แต่จะได้ปฏิบตั ิตามแบบอยา่ งเดียวกับการทำพินัยกรรมตามมาตราน้ี มาตรา ๑๖๕๗ พินยั กรรมนัน้ จะทำเป็นเอกสารเขยี นเองทง้ั ฉบับกไ็ ด้ กล่าวคอื ผทู้ ำ พินยั กรรมตอ้ งเขยี นดว้ ยมือตนเองซง่ึ ข้อความท้ังหมด วัน เดอื น ปี และลายมอื ช่อื ของตน การขูดลบ ตก เตมิ หรอื การแก้ไขเปลย่ี นแปลงอยา่ งอน่ื ซงึ่ พนิ ยั กรรมนนั้ ย่อมไมส่ มบูรณ์ เวน้ แตผ่ ู้ทำพนิ ยั กรรมจะไดท้ ำด้วยมอื ตนเอง และลงลายมอื ชือ่ กำกบั ไว้ บทบญั ญัติมาตรา ๙ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี มใิ หใ้ ชบ้ ังคบั แก่พนิ ยั กรรมทที่ ำข้นึ ตามมาตรานี้ มาตรา ๑๖๕๘ พินัยกรรมนน้ั จะทำเปน็ เอกสารฝา่ ยเมอื งก็ได้ กลา่ วคอื (๑) ผู้ทำพนิ ยั กรรมต้องไปแจง้ ขอ้ ความทต่ี นประสงค์จะให้ใสไ่ วใ้ นพนิ ัยกรรมของตนแก่ กรมการอำเภอตอ่ หนา้ พยานอกี อย่างน้อยสองคนพรอ้ มกัน (๒) กรมการอำเภอต้องจดข้อความที่ผทู้ ำพนิ ัยกรรมแจง้ ให้ทราบน้ันลงไว้ และอา่ นขอ้ ความ นนั้ ให้ผทู้ ำพนิ ัยกรรมและพยานฟงั (๓) เมอ่ื ผทู้ ำพนิ ยั กรรมและพยานทราบแนช่ ดั ว่าข้อความท่กี รมการอำเภอจดนนั้ เป็นการ ถกู ตอ้ งตรงกนั กบั ท่ผี ทู้ ำพนิ ัยกรรมแจง้ ไว้แลว้ ใหผ้ ้ทู ำพนิ ยั กรรมและพยานลงลายมือชอื่ ไวเ้ ป็นสำคญั (๔) ข้อความทก่ี รมการอำเภอจดไวน้ นั้ ใหก้ รมการอำเภอลงลายมอื ชื่อและลงวัน เดือน ปี ท้ัง จดลงไว้ด้วยตนเองเปน็ สำคัญว่า พนิ ัยกรรมน้นั ได้ทำข้ึนถูกตอ้ งตามบทบญั ญตั ิอนุมาตรา ๑ ถึง ๓ ขา้ งตน้ แล้ว ประทบั ตราตำแหน่งไวเ้ ป็นสำคญั การขูดลบ ตก เติม หรอื การแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงอยา่ งอน่ื ซง่ึ พนิ ยั กรรมนน้ั ยอ่ มไมส่ มบรู ณ์ เวน้ แตผ่ ทู้ ำพินัยกรรม พยาน และกรมการอำเภอจะได้ลงลายมอื ชอ่ื กำกบั ไว้ มาตรา ๑๖๕๙ การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝา่ ยเมอื งนน้ั จะทำนอกทว่ี ่าการอำเภอก็ได้ เม่อื มกี ารร้องขอเชน่ น้ัน มาตรา ๑๖๖๐ พินยั กรรมนั้น จะทำเป็นเอกสารลบั กไ็ ด้ กลา่ วคอื (๑) ผู้ทำพนิ ยั กรรมตอ้ งลงลายมือชอื่ ในพนิ ัยกรรม (๒) ผู้ทำพนิ ัยกรรมต้องผนกึ พินยั กรรมนน้ั แล้วลงลายมอื ช่อื คาบรอยผนึกนน้ั (๓) ผูท้ ำพินยั กรรมตอ้ งนำพนิ ัยกรรมท่ีผนกึ น้ันไปแสดงตอ่ กรมการอำเภอ และพยานอกี อย่าง นอ้ ยสองคน และให้ถ้อยคำตอ่ บคุ คลทั้งหมดเหล่าน้นั ว่าเปน็ พนิ ยั กรรมของตน ถา้ พินัยกรรมนนั้ ผทู้ ำพนิ ัยกรรม มไิ ดเ้ ป็นผู้เขียนเองโดยตลอด ผู้ทำพนิ ัยกรรมจะตอ้ งแจ้งนามและภมู ิลำเนาของผู้เขียนใหท้ ราบดว้ ย
316 (๔) เมอ่ื กรมการอำเภอจดถอ้ ยคำของผูท้ ำพินัยกรรมและวนั เดอื น ปี ท่ีทำพินยั กรรมมาแสดง ไวบ้ นซองนัน้ และประทบั ตราตำแหนง่ แล้ว ให้กรมการอำเภอผู้ทำพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อบนซองน้นั การขูดลบ ตก เตมิ หรอื การแก้ไขเปล่ียนแปลงอยา่ งอน่ื ซงึ่ พนิ ยั กรรมนน้ั ยอ่ มไมส่ มบูรณ์ เว้น แต่ผู้ทำพินยั กรรมจะไดล้ งลายมือชอื่ กำกบั ไว้ มาตรา ๑๖๖๑ ถา้ บุคคลผเู้ ปน็ ท้ังใบ้และหูหนวกหรือผทู้ ีพ่ ดู ไมไ่ ด้ มีความประสงคจ์ ะทำ พนิ ยั กรรมเป็นแบบเอกสารลบั ให้ผ้นู ั้นเขียนดว้ ยตนเองบนซองพนิ ัยกรรมตอ่ หนา้ กรมการอำเภอและพยานซงึ่ ข้อความวา่ พินยั กรรมที่ผนึกน้นั เป็นของตนแทนการให้ถอ้ ยคำดงั ทีก่ ำหนดไวใ้ นมาตรา ๑๖๖๐ (๓) และถา้ หาก มผี เู้ ขียนกใ็ หเ้ ขยี นชื่อกบั ภูมิลำเนาของผเู้ ขยี นพินัยกรรมน้นั ไว้ดว้ ย ใหก้ รมการอำเภอจดลงไว้บนซองเป็นสำคัญวา่ ผู้ทำพนิ ยั กรรมได้ปฏิบตั ิตามข้อความในวรรค กอ่ นแลว้ แทนการจดถ้อยคำของผทู้ ำพนิ ัยกรรม มาตรา ๑๖๖๒ พินัยกรรมซง่ึ ได้ทำเป็นแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรอื เอกสารลบั น้ัน กรมการ อำเภอจะเปิดเผยแกบ่ คุ คลอ่นื ใดไม่ไดใ้ นระหวา่ งทผ่ี ู้ทำพินยั กรรมยงั มีชีวิตอยู่ และผู้ทำพินยั กรรมจะเรยี กให้ กรมการอำเภอส่งมอบพนิ ัยกรรมนนั้ แก่ตนในเวลาใด ๆ กรมการอำเภอจำต้องส่งมอบให้ ถ้าพนิ ยั กรรมน้นั ทำเป็นแบบเอกสารฝา่ ยเมอื ง ก่อนสง่ มอบพนิ ยั กรรม ใหก้ รมการอำเภอคดั สำเนาพินยั กรรมไวแ้ ลว้ ลงลายมอื ชอ่ื ประทบั ตราตำแหนง่ เปน็ สำคญั สำเนาพินัยกรรมนน้ั จะเปดิ เผยแกบ่ ุคคล อ่นื ใดไม่ไดใ้ นระหว่างทผ่ี ู้ทำพินัยกรรมยังมชี วี ิตอยู่ มาตรา ๑๖๖๓ เมื่อมพี ฤติการณพ์ เิ ศษซงึ่ บุคคลใดไมส่ ามารถจะทำพินัยกรรมตามแบบอ่นื ท่ี กำหนดไวไ้ ด้ เชน่ ตกอยู่ในอนั ตรายใกล้ความตาย หรือเวลามโี รคระบาด หรอื สงคราม บุคคลน้นั จะทำ พนิ ัยกรรมด้วยวาจากไ็ ด้ เพือ่ การน้ี ผ้ทู ำพินัยกรรมต้องแสดงเจตนากำหนดขอ้ พินัยกรรมตอ่ หน้าพยานอยา่ งน้อยสอง คนซง่ึ อยพู่ รอ้ มกนั ณ ทน่ี ้นั พยานสองคนน้นั ต้องไปแสดงตนต่อกรมการอำเภอโดยมชิ กั ชา้ และแจ้งข้อความทผ่ี ูท้ ำ พินัยกรรมได้สงั่ ไว้ดว้ ยวาจาน้ัน ท้งั ตอ้ งแจง้ วัน เดือน ปี สถานทีท่ ี่ทำพินัยกรรมและพฤตกิ ารณพ์ เิ ศษนั้นไวด้ ้วย ใหก้ รมการอำเภอจดขอ้ ความทพ่ี ยานแจง้ นน้ั ไว้ และพยานสองคนน้ันตอ้ งลงลายมือชอื่ ไว้ หรือมิฉะนน้ั จะใหเ้ สมอกบั การลงลายมอื ชอ่ื ไดก้ ็แต่ดว้ ยลงลายพมิ พน์ วิ้ มอื โดยมพี ยานลงลายมอื ชือ่ รบั รองสอง คน มาตรา ๑๖๖๔ ความสมบรู ณ์แหง่ พินยั กรรมซึ่งทำข้ึนตามมาตรากอ่ นน้ันยอ่ มสิ้นไปเมือ่ พน้ กำหนดหนงึ่ เดอื นนบั แตเ่ วลาผ้ทู ำพินยั กรรมกลบั มาสฐู่ านะทจี่ ะทำพนิ ัยกรรมตามแบบอนื่ ทกี่ ำหนดไวไ้ ด้
317 มาตรา ๑๖๖๕ เมื่อผทู้ ำพนิ ยั กรรมจะต้องลงลายมือชอื่ ตามมาตรา ๑๖๕๖, ๑๖๕๘, ๑๖๖๐ จะใหเ้ สมอกบั ลงลายมอื ชื่อได้ กแ็ ต่ด้วยลงลายพมิ พ์นิว้ มอื โดยมพี ยานลงลายมอื ชอื่ รับรองไวด้ ว้ ยสองคนใน ขณะน้นั มาตรา ๑๖๖๖ บทบัญญตั มิ าตรา ๙ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายนี้ มิใหใ้ ชบ้ ังคับแก่ พยานผทู้ จี่ ะต้องลงลายมอื ชอื่ ตามมาตรา ๑๖๕๖, ๑๖๕๘, ๑๖๖๐ [เลขมาตรา ๙ วรรคสอง แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยมาตรา ๑๕ แหง่ พระราชบัญญัตใิ ห้ใชบ้ ทบัญญตั ิ บรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๖๗ เมอ่ื คนในบงั คับไทยจะทำพินยั กรรมในต่างประเทศ พินัยกรรมน้ันอาจทำ ตามแบบซง่ึ กฎหมายของประเทศทที่ ำพนิ ยั กรรมบญั ญตั ิไว้ หรือตามแบบทก่ี ฎหมายไทยบญั ญัติไว้ก็ได้ เม่ือทำพินยั กรรมตามแบบท่กี ฎหมายไทยบัญญตั ิไว้ อำนาจและหน้าท่ีของกรมการอำเภอ ตามมาตรา ๑๖๕๘, ๑๖๖๐, ๑๖๖๑, ๑๖๖๒, ๑๖๖๓ ให้ตกแกบ่ ุคคลดังตอ่ ไปน้ี คือ (๑) พนกั งานทตู หรอื กงสลุ ฝา่ ยไทย กระทำการตามขอบอำนาจของตน หรอื (๒) พนักงานใด ๆ ซ่ึงมอี ำนาจตามกฎหมายของตา่ งประเทศน้ัน ๆ ท่ีจะรบั บนั ทึกขอ้ แจง้ ความไวเ้ ปน็ หลกั ฐานได้ มาตรา ๑๖๖๘ ผูท้ ำพินยั กรรมไมจ่ ำเป็นต้องเปิดเผยขอ้ ความในพินยั กรรมนน้ั ใหพ้ ยานทราบ เว้นแตก่ ฎหมายจะไดร้ ะบุไวเ้ ป็นอยา่ งอน่ื มาตรา ๑๖๖๙[๑๙๗] ในระหวา่ งเวลาทป่ี ระเทศตกอยู่ในภาวะการรบหรือการสงคราม บคุ คลท่ี รบั ราชการทหารหรอื ทำการเกีย่ วข้องอยูก่ บั ราชการทหาร จะทำพนิ ัยกรรมตามแบบท่บี ญั ญตั ิไว้ในมาตรา ๑๖๕๘ มาตรา ๑๖๖๐ หรอื มาตรา ๑๖๖๓ ก็ได้ ในกรณเี ชน่ วา่ นั้น ใหน้ ายทหารหรือข้าราชการฝา่ ยทหารชน้ั สัญญาบัตรมอี ำนาจและหน้าทเี่ ชน่ เดียวกบั กรมการอำเภอ บทบญั ญตั วิ รรคกอ่ นให้นำมาใชบ้ ังคบั แกก่ รณที บ่ี ุคคลทร่ี บั ราชการทหารหรือทำการเกย่ี วข้อง อยูก่ บั ราชการทหารทำพินัยกรรมในตา่ งประเทศในระหว่างทป่ี ฏิบัตกิ ารเพอื่ ประเทศในภาวะการรบหรือการ สงครามในต่างประเทศโดยอนโุ ลม และในกรณีเชน่ ว่านี้ ให้นายทหารหรอื ขา้ ราชการฝา่ ยทหารชั้นสญั ญาบัตรมี อำนาจและหนา้ ทเ่ี ชน่ เดยี วกบั พนกั งานทตู หรอื กงสุลฝ่ายไทย ถ้าผู้ทำพินัยกรรมตามความในสองวรรคกอ่ นนนั้ ป่วยเจ็บหรอื ตอ้ งบาดเจบ็ และอยใู่ น โรงพยาบาล ให้แพทย์แหง่ โรงพยาบาลนนั้ มีอำนาจและหน้าทเ่ี ช่นเดียวกบั กรมการอำเภอหรอื พนกั งานทตู หรือ กงสลุ ฝา่ ยไทย แลว้ แต่กรณดี ้วย
318 มาตรา ๑๖๗๐ บุคคลตอ่ ไปนจี้ ะเปน็ พยานในการทำพนิ ยั กรรมไม่ได้ (๑) ผซู้ งึ่ ยงั ไมบ่ รรลุนิติภาวะ (๒) บคุ คลวกิ ลจริตหรอื บุคคลซ่งึ ศาลสงั่ ใหเ้ ป็นผ้เู สมือนไร้ความสามารถ (๓) บุคคลทหี่ ูหนวก เป็นใบ้ หรือจักษบุ อดทั้งสองขา้ ง มาตรา ๑๖๗๑ เมื่อบคุ คลใดนอกจากผทู้ ำพนิ ยั กรรมเป็นผเู้ ขยี นข้อความแหง่ พนิ ยั กรรม บุคคลนน้ั ต้องลงลายมือช่ือของตนทงั้ ระบวุ ่าเปน็ ผเู้ ขียน ถ้าบคุ คลนั้นเป็นพยานด้วย ใหเ้ ขยี นขอ้ ความระบวุ า่ ตนเปน็ พยานไวต้ ่อทา้ ยลายมือชอื่ ของตน เชน่ เดยี วกับพยานอ่นื ๆ มาตรา ๑๖๗๒[๑๙๘] ใหร้ ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย กลาโหม และต่างประเทศ มี อำนาจและหนา้ ทเี่ ทา่ ทเ่ี กีย่ วกับกระทรวงน้นั ๆ ทจี่ ะออกกฎกระทรวง เพื่อให้การเป็นไปตามประมวลกฎหมาย บรรพน้ี รวมทง้ั กำหนดอตั ราค่าฤชาธรรมเนียมอันเกีย่ วกบั การน้ัน หมวด ๓ ผลและการตคี วามแหง่ พินัยกรรม มาตรา ๑๖๗๓ สิทธิและหนา้ ทใ่ี ด ๆ อันเกิดขน้ึ ตามพินัยกรรม ให้มผี ลบังคบั เรียกรอ้ งกนั ได้ ตั้งแตผ่ ู้ทำพินยั กรรมตายเป็นต้นไป เว้นแตผ่ ู้ทำพนิ ยั กรรมจะไดก้ ำหนดเงื่อนไขหรอื เงือ่ นเวลาใหม้ ีผลบงั คบั เรียกรอ้ งกนั ได้ภายหลงั มาตรา ๑๖๗๔ ถา้ ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมมีเงอื่ นไข และเง่อื นไขน้นั สำเรจ็ เสียกอ่ นเวลาทผ่ี ูท้ ำ พินัยกรรมตาย หากวา่ เปน็ เงอื่ นไขบังคับก่อน ข้อกำหนดพินยั กรรมนั้นมผี ลเมื่อผู้ทำพินยั กรรมตาย หากวา่ เปน็ เง่อื นไขบังคบั หลัง ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมนั้นเปน็ อันไรผ้ ล ถา้ เงื่อนไขบงั คบั ก่อนสำเร็จภายหลังทีผ่ ทู้ ำพินัยกรรมตาย ขอ้ กำหนดพินยั กรรมมผี ลตง้ั แต่ เวลาเง่ือนไขสำเรจ็ ถา้ เงือ่ นไขบังคบั หลงั สำเรจ็ ภายหลังทผ่ี ทู้ ำพินยั กรรมตาย ขอ้ กำหนดพินยั กรรมมีผลตงั้ แต่ เวลาทผ่ี ูท้ ำพนิ ยั กรรมตาย แต่ตกเปน็ อนั ไรผ้ ลในเมอื่ เงื่อนไขน้ันสำเร็จ แตถ่ ้าผทู้ ำพนิ ัยกรรมไดก้ ำหนดไวใ้ นพินยั กรรมวา่ ในกรณีทีก่ ล่าวมาในสองวรรคกอ่ นนนั้ ให้ ความสำเรจ็ แหง่ เง่ือนไขมีผลยอ้ นหลงั ไปถงึ เวลาทผ่ี ทู้ ำพินยั กรรมตาย กใ็ ห้เปน็ ไปตามเจตนาของผู้ทำพินยั กรรม น้ัน
319 มาตรา ๑๖๗๕ เมื่อพนิ ัยกรรมมีเงอ่ื นไขบงั คบั ก่อน ผรู้ ับประโยชน์ตามข้อความแห่ง พนิ ัยกรรมนั้นจะร้องต่อศาลขอใหต้ ง้ั ผู้จัดการทรัพยส์ ินทย่ี กให้โดยพนิ ัยกรรมนน้ั จนกว่าจะถงึ เวลาที่เง่ือนไข สำเร็จ หรือจนกว่าความสำเร็จแหง่ เงอ่ื นไขตกเป็นอนั พ้นวสิ ยั ก็ได้ ถา้ ศาลเหน็ เป็นการสมควร จะตงั้ ผรู้ ้องนั้นเป็นผจู้ ดั การทรพั ย์สินเสยี เอง และเรียกให้ผรู้ อ้ งนนั้ วางประกนั ตามทส่ี มควรกไ็ ด้ มาตรา ๑๖๗๖ พินยั กรรมจะทำขึ้นโดยให้บุคคลใดตกอย่ใู นภาระตดิ พนั ทจ่ี ะตอ้ งกอ่ ตั้งมลู นิธิ หรือจะส่งั จดั สรรทรัพยส์ ินไว้โดยตรง เพ่อื ประโยชนอ์ ยา่ งใดอย่างหน่ึงตามบทบัญญตั ิมาตรา ๑๑๐ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ีก็ได้ [เลขมาตรา ๑๑๐ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบญั ญัตใิ ห้ใชบ้ ทบญั ญตั บิ รรพ ๑ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ท่ไี ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๗๗ เม่อื มีพินัยกรรมกอ่ ตัง้ มูลนธิ ขิ นึ้ ตามมาตรากอ่ น ให้เป็นหนา้ ทีข่ องทายาทหรอื ผูจ้ ัดการมรดก แล้วแต่กรณี ทจี่ ะตอ้ งรอ้ งขอให้รฐั บาลให้อำนาจจดั ต้ังข้นึ เป็นนติ บิ คุ คลตามมาตรา ๑๑๔ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี เว้นแตจ่ ะไดม้ ขี ้อกำหนดไว้ในพนิ ัยกรรมเป็นอย่างอื่น ถ้าบุคคลดังกลา่ วแลว้ มิไดร้ อ้ งขอใหร้ ฐั บาลให้อำนาจ บุคคลผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี คนหนงึ่ คนใดหรอื พนกั งานอยั การจะเปน็ ผรู้ อ้ งขอกไ็ ด้ [เลขมาตรา ๑๑๔ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยมาตรา ๑๕ แหง่ พระราชบญั ญัตใิ ห้ใช้บทบญั ญัติบรรพ ๑ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ท่ีไดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๖๗๘ เมอ่ื มลู นธิ ิใดซงึ่ กอ่ ตงั้ ขน้ึ โดยพินัยกรรมได้ตั้งข้ึนเป็นนิตบิ ุคคลแล้ว ใหถ้ ือว่า ทรพั ยส์ นิ ซง่ึ ผู้ทำพินัยกรรมจดั สรรไว้เพื่อการนั้น ตกเปน็ ของนิติบคุ คลน้นั ตัง้ แตเ่ วลาซ่ึงพนิ ัยกรรมมีผล เวน้ แต่ จะมีขอ้ กำหนดไวใ้ นพินยั กรรมเปน็ อยา่ งอื่น มาตรา ๑๖๗๙ ถ้าจัดตงั้ มลู นิธิขนึ้ ไม่ได้ตามวตั ถุท่ปี ระสงค์ ใหท้ รพั ย์สนิ ตกทอดไปตามทรี่ ะบุ ไวใ้ นพนิ ัยกรรม ถ้าพนิ ยั กรรมไม่ได้ระบไุ ว้ เมือ่ ทายาทหรอื ผจู้ ัดการมรดก หรอื พนกั งานอัยการ หรอื บุคคลผมู้ ี ส่วนได้เสยี คนใดคนหนงึ่ รอ้ งขอ ให้ศาลจัดสรรทรพั ยส์ ินน้ันใหแ้ กน่ ิติบคุ คลอืน่ ซ่งึ ปรากฏวา่ มีวตั ถุทีป่ ระสงค์ ใกลช้ ิดท่สี ุดกับความประสงคข์ องผู้ทำพนิ ัยกรรม
320 ถ้าหากว่าจัดสรรทรพั ยส์ นิ อยา่ งนีไ้ ม่ไดก้ ็ดี หรอื วา่ มลู นิธนิ ั้นตงั้ ขึ้นไมไ่ ด้ เพราะเป็นการขดั ตอ่ กฎหมาย หรอื ขัดตอ่ ความสงบเรยี บร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนก็ดี ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมในการจดั ตั้ง มูลนธิ ินนั้ เป็นอนั ไรผ้ ล มาตรา ๑๖๘๐ เจ้าหนี้ของผู้ทำพนิ ัยกรรมมสี ทิ ธิทจี่ ะรอ้ งขอให้เพกิ ถอนข้อกำหนดพนิ ัยกรรม ซงึ่ ก่อตง้ั มลู นธิ ิน้นั ไดเ้ พยี งเทา่ ที่ตนต้องเสยี ประโยชนเ์ น่ืองแตก่ ารนนั้ มาตรา ๑๖๘๑ ถา้ ทรพั ยส์ ินซงึ่ เป็นวัตถแุ หง่ พนิ ัยกรรมนัน้ ได้สญู หาย ทำลาย หรอื บบุ สลายไป และพฤตกิ ารณท์ ้งั นเ้ี ปน็ ผลให้ไดท้ รัพยส์ นิ อน่ื มาแทน หรือไดส้ ิทธิเรยี กรอ้ งเอาคา่ สินไหมทดแทนทรัพยส์ นิ นัน้ ผรู้ บั พนิ ัยกรรมจะเรยี กใหส้ ง่ มอบของแทนซึ่งไดร้ บั มานน้ั หรอื จะเรยี กร้องเอาค่าสนิ ไหมทดแทนเสยี เองก็ได้ แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๑๖๘๒ เม่ือพนิ ยั กรรมทำขึน้ เปน็ การปลดหน้หี รือโอนสทิ ธเิ รียกรอ้ ง พินยั กรรมน้นั มี ผลเพียงจำนวนซึ่งคงค้างชำระอยูใ่ นเวลาทผี่ ู้ทำพนิ ยั กรรมตาย เว้นแตผ่ ้ทู ำพินยั กรรมจะไดก้ ำหนดไว้เปน็ อย่าง อ่นื ถา้ มีเอกสารอนั เปน็ หลกั ฐานแหง่ หน้ที ปี่ ลดให้หรอื สิทธิเรยี กรอ้ งท่โี อนไปนัน้ กใ็ หส้ ง่ มอบแก่ ผู้รบั พินัยกรรมและให้ใช้มาตรา ๓๐๓ ถึง ๓๑๓, ๓๔๐ แหง่ ประมวลกฎหมายน้บี งั คบั โดยอนุโลม แต่ถ้าผ้ทู ำ พนิ ัยกรรมจะตอ้ งกระทำการหรอื ดำเนินการอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ตามมาตราน้ัน ๆ แล้ว บุคคลผู้ต้องจัดการตาม พนิ ัยกรรมหรือผูร้ บั พนิ ยั กรรมจะกระทำการหรือดำเนนิ การนนั้ ๆ แทนผ้ทู ำพนิ ัยกรรมก็ได้ มาตรา ๑๖๘๓ พินยั กรรมทบ่ี ุคคลทำให้แกเ่ จา้ หนค้ี นใดของตนนนั้ ให้สนั นษิ ฐานไวก้ ่อนวา่ มไิ ดท้ ำขนึ้ เพื่อชำระหน้ีอันคา้ งชำระแก่เจ้าหนคี้ นนั้น มาตรา ๑๖๘๔ เมอ่ื ความข้อใดข้อหนงึ่ ในพินัยกรรมอาจตคี วามได้เป็นหลายนยั ให้ถอื เอา ตามนัยทีจ่ ะสำเรจ็ ผลตามความประสงคข์ องผทู้ ำพินัยกรรมน้ันได้ดีทสี่ ดุ มาตรา ๑๖๘๕ ในกรณที ผ่ี ู้ทำพินยั กรรมไดก้ ำหนดผูร้ บั พินยั กรรมไวโ้ ดยคุณสมบัตทิ ท่ี ราบตัว แนน่ อนได้ ถ้ามบี คุ คลหลายคนทรงไวซ้ ง่ึ คณุ สมบัติทีจ่ ะเป็นผรู้ ับพินยั กรรมตามทผ่ี ู้ทำพินยั กรรมกำหนดไวด้ ังน้ัน ได้ ในกรณีที่มีขอ้ สงสัย ใหถ้ ือวา่ ทุกคนมสี ทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั ส่วนปนั เทา่ ๆ กนั
321 หมวด ๔ พนิ ยั กรรมทตี่ งั้ ผปู้ กครองทรัพย์ มาตรา ๑๖๘๖[๑๙๙] อันว่าทรสั ต์นั้น จะกอ่ ตง้ั ขนึ้ โดยตรงหรอื โดยทางออ้ มด้วยพนิ ัยกรรมหรอื ด้วยนิติกรรมใด ๆ ทมี่ ผี ลในระหวา่ งชีวติ ก็ดีหรอื เมอื่ ตายแล้วก็ดี หามผี ลไม่ เว้นแตโ่ ดยอาศัยอำนาจตาม บทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายเพอื่ การก่อตัง้ ทรสั ตเ์ ท่านั้น มาตรา ๑๖๘๗ ถา้ ผ้ทู ำพนิ ยั กรรมประสงคจ์ ะยกทรพั ยส์ นิ ใหแ้ ก่ผู้เยาว์ หรือผซู้ ึง่ ศาลไดส้ งั่ ให้ เปน็ คนไร้ความสามารถ หรือเสมอื นไรค้ วามสามารถ หรอื แก่ผูซ้ ง่ึ ต้องรักษาตวั อยู่ในโรงพยาบาลเพราะเหตุ วิกลจรติ แตต่ อ้ งการมอบการเกบ็ รักษาและจัดการทรัพย์สินน้นั แกบ่ คุ คลอืน่ นอกจากบดิ ามารดา ผูป้ กครอง ผู้ อนบุ าล หรอื ผู้พทิ กั ษ์ของบุคคลเช่นนั้น ผู้ทำพินัยกรรมตอ้ งต้งั ผปู้ กครองทรัพยข์ นึ้ การตง้ั ผปู้ กครองทรพั ยน์ ี้ ห้ามมใิ หต้ ั้งข้นึ เป็นเวลาเกินกว่ากำหนดแห่งการเปน็ ผู้เยาว์ หรอื กำหนดทศี่ าลไดส้ ั่งใหเ้ ป็นคนไร้ความสามารถ หรอื เสมอื นไรค้ วามสามารถ หรอื กำหนดทต่ี อ้ งรกั ษาตวั อยใู่ น โรงพยาบาล แลว้ แต่กรณี มาตรา ๑๖๘๘ การตง้ั ผู้ปกครองทรพั ยน์ น้ั ในส่วนทีเ่ กีย่ วดว้ ยอสังหารมิ ทรพั ยห์ รอื ทรัพยสทิ ธิ ใด ๆ อนั เกีย่ วกบั อสงั หาริมทรพั ย์ ย่อมไมบ่ รบิ รู ณ์ เวน้ แตจ่ ะไดจ้ ดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจ้าหน้าที่ บทบญั ญัติทก่ี ล่าวมาในวรรคกอ่ นนี้ ใหใ้ ช้บงั คบั แก่เรอื มรี ะวางตั้งแตห่ ้าตนั ขึ้นไป ทั้งแพและ สัตวพ์ าหนะดว้ ย[๒๐๐] มาตรา ๑๖๘๙ นอกจากบคุ คลทรี่ ะบไุ วใ้ นมาตรา ๑๕๕๗ แหง่ ประมวลกฎหมายนี้ นติ ิบคุ คล หรือบคุ คลธรรมดาทมี่ ีความสามารถบรบิ รู ณ์ จะรบั ต้ังเปน็ ผปู้ กครองทรพั ย์ก็ได้ มาตรา ๑๖๙๐ ผ้ปู กครองทรพั ยน์ น้ั ยอ่ มตัง้ ขึ้นไดโ้ ดย (๑) ผู้ทำพินยั กรรม (๒) บคุ คลซง่ึ ระบุไว้ในพนิ ยั กรรมให้เป็นผตู้ ง้ั มาตรา ๑๖๙๑ เว้นแตผ่ ู้ทำพนิ ัยกรรมจะได้กำหนดไว้เปน็ อยา่ งอ่ืนในพินยั กรรมผู้ปกครอง ทรัพยจ์ ะทำพนิ ัยกรรมตัง้ บคุ คลอืน่ ใหท้ ำการสบื แทนตนกไ็ ด้
322 มาตรา ๑๖๙๒ เว้นแต่ผู้ทำพินยั กรรมจะได้กำหนดไว้ในพินยั กรรมเปน็ อย่างอืน่ ในสว่ นท่ี เกย่ี วด้วยทรัพยส์ ินท่ไี ด้รบั มอบไว้ ผปู้ กครองทรพั ย์มสี ิทธิและหนา้ ทเี่ ชน่ เดียวกบั ผู้ปกครองตามความหมายใน บรรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี หมวด ๕ การเพกิ ถอนและการตกไปแหง่ พินยั กรรม หรือขอ้ กำหนดพินัยกรรม มาตรา ๑๖๙๓ ผทู้ ำพนิ ยั กรรมจะเพกิ ถอนพนิ ัยกรรมของตนเสยี ทงั้ หมด หรอื แต่บางส่วนใน เวลาใดก็ได้ มาตรา ๑๖๙๔ ถ้าจะเพกิ ถอนพินยั กรรมฉบบั ก่อนเสียทง้ั หมด หรอื แต่บางสว่ นดว้ ย พนิ ัยกรรมฉบบั หลงั การเพกิ ถอนจะสมบรู ณ์ตอ่ เม่ือพินัยกรรมฉบบั หลงั น้นั ได้ทำตามแบบใดแบบหนง่ึ ท่ี กฎหมายบญั ญัติไว้ มาตรา ๑๖๙๕ ถ้าพนิ ัยกรรมไดท้ ำเป็นตน้ ฉบบั แตฉ่ บับเดียว ผู้ทำพินัยกรรมอาจเพกิ ถอน พินยั กรรมน้ันทง้ั หมดหรอื บางสว่ นได้ โดยทำลายหรอื ขีดฆา่ เสยี ดว้ ยความตงั้ ใจ ถา้ พนิ ยั กรรมไดท้ ำเป็นต้นฉบับหลายฉบับ การเพกิ ถอนน้ันไม่บรบิ รู ณ์ เวน้ แตจ่ ะได้กระทำแก่ ต้นฉบับเหลา่ นนั้ ทุกฉบบั มาตรา ๑๖๙๖ ถ้าผู้ทำพนิ ยั กรรมได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซง่ึ ทรพั ยส์ ินอนั เป็นวตั ถแุ ห่ง ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมใดดว้ ยความตัง้ ใจ ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมนั้นเปน็ อนั เพกิ ถอนไป วิธีเดยี วกนั นใี้ หใ้ ชบ้ งั คบั เม่อื ผทู้ ำพินัยกรรมได้ทำลายทรัพยส์ นิ น้ันดว้ ยความตัง้ ใจ มาตรา ๑๖๙๗ ถา้ ผูท้ ำพนิ ยั กรรมมไิ ด้แสดงเจตนาไวใ้ นพนิ ยั กรรมเปน็ อย่างอืน่ และปรากฏ วา่ พนิ ัยกรรมฉบับก่อนกบั ฉบับหลงั ขดั กนั ใหถ้ ือว่าพนิ ยั กรรมฉบบั กอ่ นเปน็ อันเพกิ ถอนโดยพนิ ยั กรรมฉบบั หลัง เฉพาะในส่วนทม่ี ขี อ้ ความขัดกันนน้ั เทา่ นัน้ มาตรา ๑๖๙๘ ขอ้ กำหนดพนิ ัยกรรมน้ัน ยอ่ มตกไป (๑) เม่ือผรู้ บั พนิ ยั กรรมตายกอ่ นผู้ทำพินัยกรรม
323 (๒) เมือ่ ข้อกำหนดพนิ ัยกรรมเปน็ ผลใช้ได้ต่อเมอ่ื เงอื่ นไขอย่างใดอยา่ งหนง่ึ สำเรจ็ ลง และผู้รบั พนิ ยั กรรมตายเสยี ก่อนเงือ่ นไขสำเรจ็ หรือปรากฏเปน็ ทแี่ นน่ อนอยู่แลว้ ว่าเงอื่ นไขน้นั ไมอ่ าจจะสำเร็จได้ (๓) เม่อื ผรู้ ับพนิ ยั กรรมบอกสละพินยั กรรม (๔) เม่ือทรพั ยส์ ินทงั้ หมดที่ยกให้สญู หาย หรือถกู ทำลายโดยผู้ทำพนิ ยั กรรมมไิ ดต้ ้ังใจใน ระหวา่ งท่ผี ทู้ ำพนิ ัยกรรมยงั มีชีวิตอยู่ และผู้ทำพนิ ยั กรรมมิได้ได้มาซ่ึงของแทน หรอื ซง่ึ สทิ ธทิ จี่ ะเรยี กค่าทดแทน ในการทที่ รพั ยส์ ินนนั้ สญู หายไป มาตรา ๑๖๙๙ ถ้าพนิ ยั กรรม หรอื ขอ้ กำหนดในพินยั กรรม เกย่ี วกบั ทรพั ย์สินรายใดเปน็ อันไร้ ผลดว้ ยประการใด ๆ ทรพั ยส์ ินรายนน้ั ตกทอดแกท่ ายาทโดยธรรมหรือไดแ้ ก่แผน่ ดิน แลว้ แต่กรณี หมวด ๖ ความเสียเปลา่ แห่งพินยั กรรมหรือ ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรม มาตรา ๑๗๐๐ ภายใตบ้ งั คับแหง่ บทบญั ญัติในหมวดนี้ บุคคลจะจำหนา่ ยทรพั ยส์ นิ ใด ๆ โดย นิติกรรมท่มี ผี ลในระหวา่ งชีวติ หรือเมือ่ ตายแลว้ โดยมขี ้อกำหนดหา้ มมิใหผ้ ูร้ บั ประโยชนโ์ อนทรัพยส์ นิ น้นั ก็ได้ แตต่ ้องมีบคุ คลใดบคุ คลหนง่ึ นอกจากผรู้ บั ประโยชนก์ ำหนดไว้ สำหรับเปน็ ผจู้ ะไดร้ ับทรพั ยส์ นิ น้นั เปน็ สิทธิ เด็ดขาด ในเมื่อมีการละเมิดข้อกำหนดหา้ มโอน ผู้ซึง่ กำหนดข้นึ ดังกลา่ วนนั้ ต้องเปน็ ผ้สู ามารถจะมสี ิทธติ ่าง ๆ ไดอ้ ยูใ่ นขณะท่ีการจำหนา่ ย ทรพั ยส์ นิ น้ันมผี ลบังคบั ถา้ มิไดก้ ำหนดบุคคลทจ่ี ะเป็นผู้รบั ทรัพย์สนิ ในเมอื่ มกี ารละเมิดข้อกำหนดหา้ มโอนไว้ ใหถ้ อื วา่ ข้อกำหนดห้ามโอนนั้นเป็นอันไมม่ เี ลย มาตรา ๑๗๐๑ ขอ้ กำหนดห้ามโอนตามมาตรากอ่ นนัน้ จะใหม้ กี ำหนดเวลาหรอื ตลอดชวี ติ ของผรู้ บั ประโยชน์ก็ได้ ถา้ ไม่ได้กำหนดเวลาหา้ มโอนไว้ ในกรณีทผ่ี รู้ บั ประโยชน์เป็นบคุ คลธรรมดา ให้ถือว่า ขอ้ กำหนดหา้ มโอนมรี ะยะเวลาอย่ตู ลอดชวี ิตของผรู้ บั ประโยชน์ แตใ่ นกรณีท่ผี รู้ บั ประโยชนเ์ ป็นนิติบคุ คล ใหม้ ี ระยะเวลาเพียงสามสบิ ปี ถ้าได้กำหนดเวลาห้ามโอนไว้ กำหนดนั้นมใิ หเ้ กนิ สามสิบปี ถ้ากำหนดไวน้ านกวา่ นนั้ กใ็ ห้ ลดลงมาเป็นสามสบิ ปี
324 มาตรา ๑๗๐๒ ขอ้ กำหนดห้ามโอนอนั เกย่ี วกบั สงั หารมิ ทรัพย์ซึง่ ไม่อาจจดทะเบยี นกรรมสทิ ธิ์ ได้นัน้ ใหถ้ อื ว่าเปน็ อนั ไมม่ เี ลย ขอ้ กำหนดห้ามโอนเก่ยี วกบั อสังหารมิ ทรพั ยห์ รอื ทรัพยสิทธอิ นั เกีย่ วกบั อสังหารมิ ทรัพยน์ น้ั ไม่ บรบิ รู ณ์ เว้นแตจ่ ะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการหา้ มโอนต่อพนกั งานเจา้ หน้าท่ี บทบญั ญัตใิ นวรรคก่อนน้ี ใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่เรือมรี ะวางตั้งแตห่ ้าตันขนึ้ ไป ทั้งแพและสัตวพ์ าหนะ ด้วย[๒๐๑] มาตรา ๑๗๐๓ พินยั กรรมซึง่ บคุ คลท่ีมอี ายยุ ังไมค่ รบสบิ หา้ ปีบรบิ ูรณท์ ำขึ้นน้ัน เปน็ โมฆะ มาตรา ๑๗๐๔ พนิ ยั กรรมซง่ึ บุคคลผถู้ ูกศาลสง่ั ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถทำขน้ึ น้นั เปน็ โมฆะ พนิ ยั กรรมซงึ่ บคุ คลผูถ้ กู อา้ งวา่ เปน็ คนวิกลจรติ แตศ่ าลยงั ไมไ่ ด้สง่ั ใหเ้ ป็นคนไร้ความสามารถ ทำข้ึนนั้น จะเป็นอันเสียเปล่ากแ็ ตเ่ มอื่ พสิ จู นไ์ ด้ว่าในเวลาทีท่ ำพนิ ยั กรรมนั้นผทู้ ำจริตวิกลอยู่ มาตรา ๑๗๐๕ พินยั กรรมหรือขอ้ กำหนดพนิ ัยกรรมน้ัน ถ้าไดท้ ำข้นึ ขดั ตอ่ บทบญั ญตั ิแหง่ มาตรา ๑๖๕๒, ๑๖๕๓, ๑๖๕๖, ๑๖๕๗, ๑๖๕๘, ๑๖๖๐, ๑๖๖๑ หรอื ๑๖๖๓ ยอ่ มเป็นโมฆะ มาตรา ๑๗๐๖ ข้อกำหนดพินยั กรรมเปน็ โมฆะ (๑) ถา้ ตั้งผรู้ ับพนิ ยั กรรมไว้โดยมีเง่ือนไขว่า ให้ผู้รบั พนิ ยั กรรมจำหนา่ ยทรพั ยส์ ินของเขาเอง โดยพินัยกรรมให้แกผ่ ทู้ ำพินัยกรรม หรอื แกบ่ คุ คลภายนอก (๒) ถา้ กำหนดบุคคลซ่งึ ไมอ่ าจทจี่ ะทราบตัวแนน่ อนได้เป็นผรู้ บั พินัยกรรม แต่ผูร้ บั พินยั กรรม ตามพนิ ยั กรรมลักษณะเฉพาะน้ัน อาจกำหนดโดยให้บคุ คลใดคนหนึ่งเปน็ ผรู้ ะบเุ ลอื กเอาจากบคุ คลอนื่ หลายคน หรอื จากบุคคลอ่นื หมู่ใดหมหู่ นึ่ง ซง่ึ ผทู้ ำพนิ ยั กรรมระบไุ ว้กไ็ ด้ (๓) ถา้ ทรพั ยส์ ินทีย่ กใหโ้ ดยพินัยกรรมระบุไว้ไม่ชัดแจ้งจนไมอ่ าจทจี่ ะทราบแน่นอนได้ หรอื ถา้ ให้บคุ คลใดคนหนงึ่ กำหนดให้มากนอ้ ยเท่าใดตามแต่ใจ มาตรา ๑๗๐๗ ถ้าข้อกำหนดพนิ ยั กรรมตงั้ ผรู้ บั พินัยกรรมโดยมเี งอ่ื นไขว่าใหผ้ รู้ บั พินยั กรรม จำหน่ายทรัพยส์ ินท่ยี กให้โดยพนิ ัยกรรมน้ันแก่บคุ คลอ่ืน ใหถ้ อื ว่าเงื่อนไขนน้ั เป็นอนั ไมม่ เี ลย มาตรา ๑๗๐๘ เมอ่ื ผู้ทำพนิ ัยกรรมตายแลว้ บคุ คลผมู้ สี ่วนไดเ้ สียคนใดคนหนึง่ จะรอ้ งขอให้ ศาลสงั่ เพกิ ถอนพนิ ยั กรรมซงึ่ ได้ทำข้ึนเพราะเหตุข่มขูก่ ็ได้ แตห่ ากผทู้ ำพนิ ยั กรรมยงั มชี ีวิตอยูต่ อ่ มาเกนิ หนงึ่ ปีนบั แตผ่ ทู้ ำพนิ ยั กรรมพน้ จากการข่มขแู่ ลว้ จะมกี ารรอ้ งขอเชน่ วา่ นัน้ ไม่ได้
325 มาตรา ๑๗๐๙ เมอ่ื ผ้ทู ำพินยั กรรมตายแลว้ บุคคลผูม้ สี ่วนไดเ้ สียคนใดคนหนงึ่ จะร้องขอให้ ศาลสง่ั เพิกถอนพนิ ัยกรรมซ่งึ ได้ทำข้นึ เพราะสำคัญผดิ หรือกลฉ้อฉลได้ก็ตอ่ เม่อื ความสำคญั ผดิ หรอื กลฉอ้ ฉลน้ัน ถงึ ขนาด ซึ่งถ้ามิได้มคี วามสำคญั ผิดหรือกลฉ้อฉลเชน่ นั้น พนิ ยั กรรมน้ันกจ็ ะมิไดท้ ำข้นึ ความในวรรคกอ่ นน้ี ใหใ้ ชบ้ งั คับ แม้ถึงว่ากลฉอ้ ฉลนัน้ บุคคลซ่ึงมิใชเ่ ป็นผูร้ บั ประโยชนต์ าม พนิ ัยกรรมไดก้ ่อขึน้ แตพ่ นิ ยั กรรมซง่ึ ได้ทำขึน้ โดยสำคัญผดิ หรอื กลฉอ้ ฉลยอ่ มมผี ลบังคบั ได้ เมื่อผู้ทำพินยั กรรมมิได้ เพิกถอนพนิ ยั กรรมนน้ั ภายในหน่งึ ปีนับแตท่ ไี่ ดร้ ู้ถึงการสำคญั ผดิ หรือกลฉ้อฉลนัน้ มาตรา ๑๗๑๐ คดีฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนข้อกำหนดพนิ ยั กรรมนนั้ มิใหฟ้ ้องเม่ือพ้นกำหนดดังน้ี (๑) สามเดอื นภายหลงั ทผี่ ้ทู ำพินยั กรรมตาย ในกรณีทโ่ี จทกร์ ูเ้ หตแุ ห่งการที่จะขอใหเ้ พิกถอน ได้ ในระหวา่ งท่ีผทู้ ำพินยั กรรมมชี ีวิตอยู่ หรอื (๒) สามเดือนภายหลงั ทโ่ี จทก์ไดร้ เู้ หตุเช่นนัน้ ในกรณอี น่ื ใด แต่ถา้ โจทก์ไมร่ ู้ว่ามีขอ้ กำหนดพินยั กรรมอันกระทบกระทง่ั ถงึ ส่วนไดเ้ สียของตน แมว้ า่ โจทก์ จะได้รเู้ หตุแหง่ การท่ีจะขอให้เพิกถอนไดก้ ด็ ี อายคุ วามสามเดอื นใหเ้ รมิ่ นับแต่ขณะทโ่ี จทกร์ หู้ รอื ควรจะไดร้ ู้ว่ามี ข้อกำหนดพนิ ัยกรรมนั้น แตอ่ ยา่ งไรก็ดี หา้ มมิให้ฟอ้ งคดเี ช่นนีเ้ มือ่ พ้นสิบปนี บั แต่ผทู้ ำพินัยกรรมตาย ลักษณะ ๔ วิธีจัดการและปนั ทรัพยม์ รดก หมวด ๑ ผ้จู ดั การมรดก มาตรา ๑๗๑๑ ผจู้ ดั การมรดกนนั้ รวมตลอดทั้งบุคคลท่ตี ง้ั ขน้ึ โดยพนิ ยั กรรมหรือโดยคำสง่ั ศาล มาตรา ๑๗๑๒ ผูจ้ ัดการมรดกโดยพินัยกรรมอาจตง้ั ขึ้นได้ (๑) โดยผทู้ ำพินยั กรรมเอง (๒) โดยบคุ คลซ่งึ ระบุไวใ้ นพินยั กรรม ใหเ้ ป็นผู้ตั้ง
326 มาตรา ๑๗๑๓ ทายาทหรอื ผ้มู สี ่วนไดเ้ สียหรือพนักงานอยั การจะร้องตอ่ ศาลขอใหต้ งั้ ผู้จัดการมรดกกไ็ ด้ ในกรณีดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) เมอ่ื เจ้ามรดกตาย ทายาทโดยธรรมหรอื ผรู้ บั พินัยกรรมไดส้ ูญหายไป หรอื อยนู่ อกราช อาณาเขต หรือเปน็ ผู้เยาว์ (๒) เมื่อผจู้ ัดการมรดกหรอื ทายาทไมส่ ามารถ หรือไมเ่ ต็มใจท่จี ะจดั การ หรือมเี หตุขัดข้องใน การจดั การ หรือในการแบ่งปันมรดก (๓) เม่อื ข้อกำหนดพนิ ยั กรรมซ่ึงตงั้ ผู้จดั การมรดกไว้ไมม่ ีผลบงั คบั ได้ด้วยประการใด ๆ การต้งั ผ้จู ัดการมรดกนนั้ ถ้ามีขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมก็ใหศ้ าลตัง้ ตามข้อกำหนดพินัยกรรม และ ถา้ ไม่มขี อ้ กำหนดพินัยกรรม ก็ให้ศาลตงั้ เพอื่ ประโยชน์แกก่ องมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึงถึงเจตนาของ เจา้ มรดก แลว้ แต่ศาลจะเหน็ สมควร มาตรา ๑๗๑๔ เมอ่ื ศาลต้งั ใหผ้ ู้ใดเปน็ ผจู้ ัดการมรดกเพอื่ การใดโดยเฉพาะ ผ้นู ั้นไมจ่ ำตอ้ งทำ บัญชีทรพั ยม์ รดก เว้นแตจ่ ะจำเปน็ เพ่อื การนน้ั หรือศาลสัง่ ใหท้ ำ มาตรา ๑๗๑๕ ผทู้ ำพินยั กรรมจะต้งั บคุ คลคนเดยี วหรอื หลายคนใหเ้ ป็นผู้จัดการมรดกก็ได้ เว้นแต่จะมีขอ้ กำหนดไว้ในพนิ ัยกรรมเป็นอยา่ งอ่ืน ถา้ มีผู้จัดการมรดกหลายคน แตผ่ จู้ ดั การ เหล่านน้ั บางคนไมส่ ามารถ หรือไมเ่ ตม็ ใจทจี่ ะจดั การ และยงั มีผจู้ ัดการมรดกเหลอื อยู่แต่คนเดียว ผูน้ ้นั มีสทิ ธิท่ี จะจัดการมรดกไดโ้ ดยลำพัง แตถ่ า้ มีผจู้ ัดการมรดกเหลอื อยหู่ ลายคน ใหส้ ันนิษฐานไว้กอ่ นว่า ผจู้ ดั การเหลา่ นัน้ แตล่ ะคนจะจดั การโดยลำพงั ไม่ได้ มาตรา ๑๗๑๖ หนา้ ทผ่ี จู้ ัดการมรดกทีศ่ าลตั้ง ใหเ้ ร่ิมนบั แตว่ นั ทีไ่ ด้ฟงั หรอื ถอื ว่าได้ฟงั คำสง่ั ศาลแล้ว มาตรา ๑๗๑๗ ในเวลาใด ๆ ภายในหนงึ่ ปีนบั แต่วนั ทีเ่ จา้ มรดกตาย แตต่ อ้ งเป็นเวลาภายหลงั ทเ่ี จ้ามรดกตายแล้วสิบห้าวนั ทายาทหรอื ผูม้ สี ว่ นได้เสียคนใดคนหนึง่ จะแจง้ ความถามไปยงั ผทู้ ี่ถูกตงั้ เป็น ผจู้ ัดการมรดกโดยพนิ ัยกรรมวา่ จะรับเปน็ ผจู้ ัดการมรดกหรอื ไม่ก็ได้ ถ้าผทู้ ไี่ ด้รับแจ้งความมิได้ตอบรบั เปน็ ผจู้ ดั การมรดกภายในหนึ่งเดือนนบั แตว่ นั รับแจง้ ความ นั้น ให้ถอื ว่าผู้นน้ั ปฏเิ สธ แต่การรบั เปน็ ผู้จัดการมรดกนน้ั จะทำภายหลงั หนงึ่ ปีนบั แตว่ นั ท่ีเจ้ามรดกตายไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนญุ าต มาตรา ๑๗๑๘ บุคคลต่อไปนจ้ี ะเปน็ ผจู้ ัดการมรดกไม่ได้ (๑) ผูซ้ ง่ึ ยงั ไมบ่ รรลุนติ ิภาวะ
327 (๒) บคุ คลวกิ ลจริต หรอื บคุ คลซงึ่ ศาลสั่งให้เปน็ ผเู้ สมอื นไรค้ วามสามารถ (๓) บคุ คลซง่ึ ศาลสัง่ ใหเ้ ปน็ คนล้มละลาย มาตรา ๑๗๑๙ ผจู้ ดั การมรดกมีสิทธแิ ละหนา้ ท่ที จ่ี ะทำการอนั จำเปน็ เพ่ือใหก้ ารเป็นไปตาม คำส่ังแจง้ ชดั หรือโดยปรยิ ายแห่งพนิ ยั กรรม และเพ่อื จัดการมรดกโดยท่ัวไป หรอื เพ่ือแบ่งปันทรพั ย์มรดก มาตรา ๑๗๒๐ ผู้จัดการมรดกตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ ทายาทตามที่บญั ญัตไิ ว้ในมาตรา ๘๐๙ ถึง ๘๑๒, ๘๑๙, ๘๒๓ แหง่ ประมวลกฎหมายนโ้ี ดยอนุโลม และเม่ือเกยี่ วกบั บคุ คลภายนอก ใหใ้ ช้มาตรา ๘๓๑ บงั คับโดย อนุโลม มาตรา ๑๗๒๑ ผจู้ ดั การมรดกไมม่ ีสทิ ธิที่จะไดร้ ับบำเหนจ็ จากกองมรดก เวน้ แต่พินัยกรรม หรอื ทายาทโดยจำนวนข้างมากจะไดก้ ำหนดใหไ้ ว้ มาตรา ๑๗๒๒ ผ้จู ดั การมรดกจะทำนติ กิ รรมใด ๆ ซ่ึงตนมสี ว่ นไดเ้ สยี เป็นปฏิปักษ์ตอ่ กอง มรดกหาไดไ้ ม่ เวน้ แต่พินยั กรรมจะได้อนุญาตไว้ หรอื ไดร้ บั อนญุ าตจากศาล มาตรา ๑๗๒๓ ผจู้ ดั การมรดกตอ้ งจดั การโดยตนเอง เว้นแตจ่ ะทำการโดยตวั แทนไดต้ าม อำนาจที่ใหไ้ ว้ชัดแจง้ หรือโดยปริยายในพินยั กรรม หรือโดยคำสั่งศาล หรือในพฤติการณ์เพือ่ ประโยชน์แกก่ อง มรดก มาตรา ๑๗๒๔ ทายาทยอ่ มมคี วามผูกพนั ตอ่ บุคคลภายนอกในกจิ การท้ังหลายอันผจู้ ดั การ มรดกได้ทำไปภายในขอบอำนาจในฐานะทเี่ ปน็ ผจู้ ดั การมรดก ถา้ ผจู้ ดั การมรดกเข้าทำนิติกรรมกบั บคุ คลภายนอก โดยเหน็ แกท่ รัพยส์ นิ อย่างใด ๆ หรือ ประโยชน์อยา่ งอนื่ ใด อนั บุคคลภายนอกไดใ้ ห้ หรอื ได้ใหค้ ำมน่ั วา่ จะให้เปน็ ลาภสว่ นตวั ทายาทหาต้องผกู พนั ไม่ เวน้ แตท่ ายาทจะได้ยินยอมด้วย มาตรา ๑๗๒๕ ผจู้ ัดการมรดกต้องสบื หาโดยสมควรซ่ึงตวั ผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี และแจง้ ไปใหท้ ราบ ถงึ ข้อกำหนดพนิ ัยกรรมทเี่ ก่ยี วกบั ผ้มู สี ว่ นไดเ้ สยี น้นั ภายในเวลาอันสมควร มาตรา ๑๗๒๖ ถ้าผูจ้ ัดการมรดกมหี ลายคน การทำการตามหน้าท่ขี องผจู้ ดั การมรดกนนั้ ตอ้ ง ถอื เอาเสียงขา้ งมาก เว้นแตจ่ ะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเปน็ อยา่ งอื่น ถา้ เสียงเทา่ กนั เมื่อผูม้ สี ่วนไดเ้ สยี รอ้ งขอ ก็ ใหศ้ าลเป็นผู้ช้ีขาด
328 มาตรา ๑๗๒๗ ผู้มสี ว่ นไดเ้ สียคนหนงึ่ คนใดจะรอ้ งขอให้ศาลสั่งถอนผู้จดั การมรดก เพราะเหตุ ผู้จดั การมรดกละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ หรอื เพราะเหตุอยา่ งอนื่ ทสี่ มควรกไ็ ด้ แต่ตอ้ งร้องขอเสียก่อนที่การ ปันมรดกเสรจ็ สิน้ ลง แม้ถึงวา่ จะไดเ้ ขา้ รบั ตำแหน่งแลว้ กด็ ี ผู้จดั การมรดกจะลาออกจากตำแหนง่ โดยมเี หตอุ นั สมควรก็ได้ แตต่ ้องไดร้ บั อนุญาตจากศาล มาตรา ๑๗๒๘ ผูจ้ ดั การมรดกต้องลงมือจัดทำบัญชีทรพั ยม์ รดกภายในสิบหา้ วัน (๑) นบั แตเ่ จ้ามรดกตาย ถา้ ในขณะนนั้ ผ้จู ัดการมรดกไดร้ ถู้ ึงการตั้งแตง่ ตามพินยั กรรมท่ี มอบหมายไว้แก่ตน หรอื (๒) นับแต่วนั ที่เริม่ หนา้ ทีผ่ จู้ ัดการมรดกตามมาตรา ๑๗๒๖ ในกรณที ่ีศาลตง้ั เป็นผจู้ ัดการ มรดก หรือ (๓) นบั แตว่ ันท่ผี จู้ ัดการมรดกรบั เป็นผจู้ ัดการมรดกในกรณอี น่ื มาตรา ๑๗๒๙ ผูจ้ ดั การมรดกต้องจัดทำบญั ชที รัพยม์ รดกใหแ้ ลว้ เสร็จภายในหนงึ่ เดอื นนับ แต่เวลาท่รี ะบุไว้ในมาตรา ๑๗๒๘ แต่กำหนดเวลาน้ี เมอื่ ผู้จดั การมรดกรอ้ งขอก่อนสิ้นกำหนดเวลาหนึง่ เดือน ศาลจะอนญุ าตใหข้ ยายตอ่ ไปอกี ก็ได้ บัญชีนนั้ ต้องทำตอ่ หน้าพยานอย่างนอ้ ยสองคน ซ่ึงตอ้ งเป็นผมู้ สี ว่ นได้เสยี ในกองมรดกน้ันดว้ ย บคุ คลซึง่ จะเป็นพยานในการทำพินยั กรรมไมไ่ ด้ตามมาตรา ๑๖๗๐ จะเป็นพยานในการทำ บญั ชใี ด ๆ ทต่ี ้องทำข้ึนตามบทบญั ญัติแห่งประมวลกฎหมายน้ไี ม่ได้ มาตรา ๑๗๓๐ ให้นำมาตรา ๑๕๖๓, ๑๕๖๔ วรรค ๑ และ ๒ และ ๑๕๖๕ แห่งประมวล กฎหมายนม้ี าใช้บังคบั โดยอนโุ ลม ในระหวา่ งทายาทกบั ผจู้ ดั การมรดกโดยพนิ ัยกรรมและในระหว่างศาลกบั ผู้จดั การมรดกท่ีศาลตั้ง มาตรา ๑๗๓๑ ถ้าผู้จัดการมรดกมไิ ดจ้ ดั ทำบญั ชีภายในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้ หรอื ถ้าบญั ชีนัน้ ไม่เป็นที่พอใจแก่ศาล เพราะความประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ งร้ายแรง หรอื การทจุ ริต หรอื ความไม่ สามารถอันเหน็ ประจักษ์ของผจู้ ัดการมรดก ศาลจะถอนผจู้ ดั การมรดกเสียก็ได้ มาตรา ๑๗๓๒ ผจู้ ัดการมรดกตอ้ งจัดการตามหนา้ ท่ีและทำรายงานแสดงบญั ชกี ารจดั การ และแบ่งปนั มรดกใหเ้ สรจ็ ภายในหน่ึงปนี บั แต่วนั ทร่ี ะบุไว้ในมาตรา ๑๗๒๘ เวน้ แตผ่ ู้ทำพินยั กรรม ทายาทโดย จำนวนขา้ งมาก หรือศาลจะไดก้ ำหนดเวลาให้ไว้เป็นอย่างอน่ื
329 มาตรา ๑๗๓๓ การใหอ้ นุมตั ิ การปลดเปลอ้ื งความรับผิด หรือขอ้ ตกลงอน่ื ๆ อนั เกย่ี วกบั รายงานแสดงบญั ชกี ารจดั การมรดกดงั ท่ีบญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา ๑๗๓๒ นั้น จะสมบรู ณต์ อ่ เมอ่ื รายงานแสดงบญั ชี น้นั ไดส้ ง่ มอบลว่ งหนา้ แกท่ ายาทพรอ้ มดว้ ยเอกสารอันเกีย่ วกบั การน้ันไม่นอ้ ยกว่าสบิ วนั กอ่ นแล้ว คดเี กีย่ วกบั การจัดการมรดกน้นั มใิ หท้ ายาทฟ้องเกินกว่าห้าปนี บั แต่การจัดการมรดกสนิ้ สุด ลง หมวด ๒ การรวบรวมจำหน่ายทรพั ย์มรดกเป็นตัวเงนิ และการชำระหนกี้ บั แบง่ ปนั ทรพั ยม์ รดก มาตรา ๑๗๓๔ เจ้าหนี้กองมรดกชอบแตจ่ ะไดร้ บั การชำระหนีจ้ ากทรพั ยส์ ินในกองมรดก เทา่ น้นั มาตรา ๑๗๓๕ ทายาทจำตอ้ งบอกทรพั ยม์ รดกและหนส้ี ินของผ้ตู ายตามท่ตี นรทู้ งั้ หมดแก่ ผจู้ ัดการมรดก มาตรา ๑๗๓๖ ตราบใดทเ่ี จ้าหน้กี องมรดก หรอื ผรู้ ับพนิ ัยกรรมทปี่ รากฏตวั ยังไม่ได้รับชำระ หน้ี หรอื สว่ นได้ตามพินยั กรรมแลว้ ทุกคน ให้ถือว่าทรพั ย์มรดกยังคงอยใู่ นระหว่างจดั การ ในระหวา่ งเวลาเช่นว่านัน้ ผจู้ ดั การมรดกชอบท่ีจะทำการใด ๆ ในทางจัดการตามทจ่ี ำเปน็ ได้ เช่นฟอ้ งคดีหรอื แกฟ้ อ้ งในศาลและอ่ืน ๆ อนง่ึ ผจู้ ัดการมรดกตอ้ งทำการทกุ อย่างตามทจ่ี ำเปน็ เพ่อื เรียกเกบ็ หนส้ี ินซ่ึงค้างชำระอย่แู กก่ องมรดกภายในเวลาอันเรว็ ทสี่ ดุ ทจี่ ะทำได้ และเมอ่ื เจา้ หนก้ี องมรดกไดร้ บั ชำระหน้ี แลว้ ผู้จดั การมรดกตอ้ งทำการแบ่งปันมรดก มาตรา ๑๗๓๗ เจา้ หนี้กองมรดกจะบงั คบั สทิ ธเิ รียกร้องต่อทายาทคนใดกไ็ ด้ แต่ถ้ามีผู้จดั การ มรดก ใหเ้ จา้ หนเ้ี รียกเขา้ มาในคดดี ว้ ย มาตรา ๑๗๓๘ ก่อนแบง่ มรดก เจา้ หนกี้ องมรดกจะบังคบั ชำระหนเี้ ต็มจำนวนจากกองมรดก ก็ได้ ในกรณเี ชน่ นี้ ทายาทคนหน่ึง ๆ อาจเรยี กใหช้ ำระหนจ้ี ากทรัพยม์ รดกของเจ้ามรดก หรอื ใหเ้ อาเปน็ ประกนั กไ็ ด้จนถึงเวลาแบง่ มรดก
330 เมอื่ แบง่ มรดกแล้ว เจ้าหนอี้ าจเรยี กใหท้ ายาทคนใดคนหนึง่ ชำระหน้ไี ด้เพยี งไมเ่ กนิ ทรัพย์ มรดกทที่ ายาทคนน้ันได้รบั ไป ในกรณเี ช่นนี้ ทายาทคนใดซง่ึ ได้ชำระหนแี้ กเ่ จ้าหน้กี องมรดกเกินกว่าสว่ นทต่ี น จะต้องเฉลี่ยใชห้ นี้ ทายาทคนนน้ั มสี ทิ ธิไลเ่ บ้ียจากทายาทคนอืน่ ได้ มาตรา ๑๗๓๙ ใหช้ ำระหนีท้ กี่ องมรดกคา้ งชำระตามลำดบั ต่อไปนี้ และตามบทบญั ญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายนว้ี า่ ดว้ ยบุรมิ สิทธิ โดยต้องไมเ่ ปน็ ทเ่ี สอื่ มเสียแก่บรรดาเจ้าหนผ้ี มู้ ีบรุ มิ สทิ ธพิ ิเศษตามประมวล กฎหมายนี้หรือกฎหมายอ่ืน และบรรดาเจ้าหนท้ี ่ีมปี ระกันโดยการจำนำหรอื การจำนอง (๑) คา่ ใช้จา่ ยเพ่อื ประโยชนอ์ นั รว่ มกนั ของกองมรดก (๒) คา่ ใชจ้ ่ายในการทำศพเจ้ามรดก (๓) คา่ ภาษีอากรซง่ึ กองมรดกค้างชำระอยู่ (๔) ค่าจ้างซงึ่ เจ้ามรดกคา้ งชำระแกเ่ สมยี น คนใช้และคนงาน (๕) ค่าเครอ่ื งอุปโภคบริโภคอันจำเปน็ ประจำวนั ซึง่ สง่ ให้แก่เจ้ามรดก (๖) หนสี้ นิ สามญั ของเจ้ามรดก (๗) บำเหน็จของผจู้ ัดการมรดก มาตรา ๑๗๔๐ เวน้ แตเ่ จา้ มรดกหรอื กฎหมายจะไดก้ ำหนดไว้เปน็ อยา่ งอื่น ใหจ้ ดั สรร ทรพั ยส์ นิ ของเจ้ามรดกเพื่อชำระหนต้ี ามลำดบั ต่อไปน้ี (๑) ทรัพยส์ นิ นอกจากอสงั หารมิ ทรพั ย์ (๒) อสงั หารมิ ทรพั ย์ซง่ึ จัดสรรไว้ชัดแจง้ ในพนิ ยั กรรมวา่ สำหรับชำระหนถี้ า้ หากว่ามที รพั ยส์ ิน เช่นนนั้ (๓) อสงั หาริมทรัพย์ซงึ่ ทายาทโดยธรรมชอบทจี่ ะได้รบั ในฐานะเชน่ นน้ั (๔) อสงั หาริมทรพั ยซ์ ง่ึ เจ้ามรดกทำพินยั กรรมให้แก่ผใู้ ดผหู้ นง่ึ โดยมีเงือ่ นไขวา่ ผนู้ นั้ ตอ้ งชำระ หนี้ของเจา้ มรดก (๕) อสงั หารมิ ทรัพย์ซง่ึ เจา้ มรดกทำพินยั กรรมใหโ้ ดยลักษณะท่ัวไปดังบญั ญัตไิ ว้ในมาตรา ๑๖๕๑ (๖) ทรพั ยส์ ินเฉพาะอยา่ งซ่งึ เจ้ามรดกทำพนิ ัยกรรมใหโ้ ดยลกั ษณะเฉพาะดังบญั ญตั ไิ วใ้ น มาตรา ๑๖๕๑ ทรัพยส์ นิ อย่างใดอย่างหนง่ึ ซง่ึ ไดจ้ ัดสรรไวต้ ามความทีก่ ลา่ วมาแล้วขา้ งตน้ น้นั ใหเ้ อาออกขาย ทอดตลาด แต่ทายาทคนใดคนหนึ่งอาจมิให้มีการขายเช่นว่าน้นั ได้ โดยชำระราคาทรัพยส์ นิ นนั้ ท้งั หมด หรอื แต่ บางสว่ นตามท่ผี ตู้ รี าคาซ่ึงศาลตง้ั ขึน้ ได้กำหนดให้ จนพอแกจ่ ำนวนทจ่ี ะชำระหน้ีให้แกเ่ จา้ หนี้
331 มาตรา ๑๗๔๑ เจา้ หนก้ี องมรดกคนใดคนหน่ึง จะคดั ค้านการขายทอดตลาดหรอื การตรี าคา ทรัพยส์ นิ ดังระบุไวใ้ นมาตรากอ่ น โดยเสียคา่ ใช้จ่ายของตนเองก็ได้ ถา้ เจา้ หนี้ไดร้ ้องคัดคา้ นแล้ว ยงั ไดก้ ระทำ การขายทอดตลาด หรือตรี าคาไป จะยกการขายทอดตลาดหรอื ตรี าคานน้ั ขึ้นยนั ตอ่ เจ้าหนี้ผรู้ อ้ งคดั ค้านแล้วนน้ั หาไดไ้ ม่ มาตรา ๑๗๔๒ ถา้ ในการชำระหนี้ซึง่ ค้างชำระอยู่แก่ตน เจา้ หนคี้ นใดคนหนงึ่ ได้รบั ตง้ั ใน ระหว่างทีผ่ ตู้ ายมีชวี ิตอยู่ ให้เปน็ ผรู้ บั ประโยชนใ์ นการประกนั ชวี ิต เจา้ หนี้คนนนั้ ชอบทีจ่ ะได้รบั เงนิ ท้ังหมด ซง่ึ ได้ตกลงไวก้ ับผรู้ บั ประกนั อนงึ่ เจา้ หนเ้ี ชน่ วา่ น้ัน จำตอ้ งสง่ เบ้ียประกนั ภัยคืนเขา้ กองมรดกกต็ อ่ เมือ่ เจ้าหน้คี น อน่ื ๆ พสิ ูจน์ได้วา่ (๑) การทผ่ี ู้ตายชำระหนี้ใหแ้ กเ่ จา้ หนโ้ี ดยวิธีดังกล่าวมานน้ั เปน็ การขดั ตอ่ บทบญั ญัตมิ าตรา ๒๓๗ แห่งประมวลกฎหมายน้ี และ (๒) เบี้ยประกนั ภัยเชน่ วา่ นั้น เป็นจำนวนสูงเกนิ สว่ นเมอ่ื เทยี บกับรายไดห้ รอื ฐานะของผตู้ าย ถึงอย่างไรก็ดี เบยี้ ประกันภัยซงึ่ จะพึงสง่ คนื เข้ากองมรดกนั้นต้องไมเ่ กนิ กวา่ จำนวนเงนิ ที่ผู้ รับประกันชำระให้ มาตรา ๑๗๔๓ ทายาทโดยธรรม หรอื ผรู้ บั พนิ ัยกรรมโดยลกั ษณะทวั่ ไปไม่จำต้องปฏิบตั ิตาม ขอ้ กำหนดในพินยั กรรมลกั ษณะเฉพาะเกินกวา่ จำนวนทรัพยม์ รดกที่ตนไดร้ ับ มาตรา ๑๗๔๔ ผ้จู ดั การมรดกไมจ่ ำต้องส่งมอบทรัพยม์ รดกหรอื ส่วนใดสว่ นหนง่ึ แห่งทรพั ย์ มรดกให้แกท่ ายาทกอ่ นปหี นง่ึ นบั แต่วนั ท่ีเจา้ มรดกถงึ แกค่ วามตาย เว้นแต่เจ้าหนก้ี องมรดกและผรู้ บั พินัยกรรม ทป่ี รากฏตัวได้รับชำระหนแี้ ละส่วนได้ตามพนิ ยั กรรมแลว้ ทุกคน หมวด ๓ การแบง่ มรดก มาตรา ๑๗๔๕ ถ้ามที ายาทหลายคน ทายาทเหลา่ นัน้ มีสทิ ธแิ ละหน้าทเ่ี กีย่ วกบั ทรพั ย์มรดก ร่วมกนั จนกวา่ จะได้แบ่งมรดกกันเสรจ็ แล้ว และให้ใชม้ าตรา ๑๓๕๖ ถึงมาตรา ๑๓๖๖ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี บงั คบั เพียงเทา่ ท่ไี ม่ขัดกับบทบัญญัตแิ ห่งบรรพน้ี มาตรา ๑๗๔๖ ภายใตบ้ งั คบั แหง่ กฎหมาย หรือข้อความในพินัยกรรมถา้ หากมี ใหส้ ันนิษฐาน ไว้กอ่ นว่า ผูเ้ ปน็ ทายาทดว้ ยกนั มสี ว่ นเทา่ กันในกองมรดกทีย่ งั ไม่ไดแ้ บง่
332 มาตรา ๑๗๔๗ การทท่ี ายาทคนใดได้รบั ทรัพยส์ ินอยา่ งหน่ึงอย่างใด หรอื ประโยชนอ์ ย่างอ่ืน ใดจากเจ้ามรดกโดยการให้ หรอื โดยการอย่างอื่นใด ซงึ่ ทำใหโ้ ดยเสนห่ าในระหว่างเวลาที่เจา้ มรดกยังมีชวี ิตอยู่ นน้ั หาทำให้สทิ ธิในการแบง่ ปนั ทรัพยม์ รดกของทายาทคนนน้ั ต้องเส่อื มเสยี ไปแตโ่ ดยประการใดไม่ มาตร ๑๗๔๘ ทายาทคนใดครอบครองทรพั ยม์ รดกซง่ึ ยงั มไิ ด้แบง่ กัน ทายาทคนน้นั มสี ิทธิท่ี จะเรียกรอ้ งใหแ้ บ่งทรพั ยม์ รดกนนั้ ได้ แมว้ ่าจะลว่ งพ้นกำหนดอายคุ วามตามมาตรา ๑๗๕๔ แลว้ ก็ดี สิทธทิ ี่จะเรยี กใหแ้ บง่ ทรพั ยม์ รดกตามวรรคกอ่ น จะตัดโดยนติ กิ รรมเกนิ คราวละสิบปีไม่ได้ มาตรา ๑๗๔๙ ถา้ มีคดฟี อ้ งเรียกทรพั ยม์ รดก ผู้ซ่งึ อ้างวา่ ตนเปน็ ทายาทมีสทิ ธใิ นทรพั ยม์ รดก นน้ั จะร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ แต่ศาลจะเรียกทายาทอนื่ นอกจากคคู่ วาม หรอื ผู้รอ้ งสอด ให้เข้ามารับสว่ นแบง่ หรือกนั สว่ น แห่งทรัพย์มรดกไว้เพอื่ ทายาทอน่ื น้นั ไมไ่ ด้ มาตรา ๑๗๕๐ การแบง่ ปนั ทรัพยม์ รดกน้ัน อาจทำได้โดยทายาทต่างเขา้ ครอบครอง ทรพั ยส์ นิ เปน็ ส่วนสดั หรือโดยการขายทรพั ยม์ รดกแลว้ เอาเงนิ ทข่ี ายได้มาแบง่ ปนั กันระหว่างทายาท ถา้ การแบง่ ปนั มิไดเ้ ป็นไปตามวรรคกอ่ น แตไ่ ดท้ ำโดยสญั ญา จะฟอ้ งร้องใหบ้ งั คับคดหี าไดไ้ ม่ เวน้ แต่จะมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื อยา่ งหนงึ่ อย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรบั ผดิ หรอื ตัวแทนของฝ่ายน้นั เป็น สำคัญ ในกรณเี ชน่ นใี้ ห้นำมาตรา ๘๕๐, ๘๕๒ แห่งประมวลกฎหมายนวี้ ่าด้วยประนปี ระนอมยอมความมาใช้ บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๑๗๕๑ ภายหลังทีไ่ ดแ้ บง่ มรดกกันแล้ว ถ้าทรพั ยส์ นิ ทงั้ หมดหรอื บางสว่ น ซ่งึ ทายาท คนใดคนหนึ่งได้รบั ตามส่วนแบ่งปนั น้นั หลุดมือไปจากทายาทคนนัน้ เน่ืองจากการรอนสทิ ธิ ทายาทคนอื่น ๆ จำต้องใชค้ ่าทดแทน หน้เี ช่นวา่ นั้น เป็นอันระงบั เมอ่ื มกี ารตกลงกันไว้เปน็ อยา่ งอืน่ หรือการรอนสทิ ธิเป็นผล เนอื่ งมาจากความผิดของทายาทผู้ถูกรอนสทิ ธิ หรือเนอ่ื งมาจากเหตซุ ง่ึ เกดิ ข้นึ ภายหลังการแบง่ ปนั ทายาทคนอ่ืน ๆ ตอ้ งใช้ค่าทดแทนใหแ้ ก่ทายาทผถู้ กู รอนสทิ ธิตามส่วนแหง่ สว่ นแบ่งของตน แต่ให้หกั จำนวนที่เป็นส่วนเฉล่ยี ซึง่ ทายาทผู้ถูกรอนสทิ ธิจะตอ้ งออกกบั เขาดว้ ยนนั้ ออกเสยี แต่ถ้าทายาทคนใด คนหนงึ่ เปน็ คนหนสี้ นิ ล้นพน้ ตวั ทายาทคนอน่ื ๆ ตอ้ งรบั ผดิ ในส่วนของทายาทคนน้ันตามส่วนเฉล่ยี เชน่ เดยี วกนั แต่ให้หกั จำนวนท่ีเปน็ ส่วนเฉลี่ยซงึ่ ทายาทผ้ทู จ่ี ะไดร้ ับค่าทดแทนจะตอ้ งออกแทนทายาทผู้ท่มี หี น้สี นิ ล้นพ้นตัว นน้ั ออกเสีย บทบญั ญตั ใิ นวรรคก่อน ๆ มิใหใ้ ช้บงั คับแกผ่ ู้รบั พนิ ัยกรรมลกั ษณะเฉพาะ
333 มาตรา ๑๗๕๒ คดฟี อ้ งใหร้ บั ผดิ เนื่องจากการรอนสทิ ธิตามมาตรา ๑๗๕๑ นน้ั มิใหฟ้ อ้ งเมอ่ื พน้ กำหนดสามเดือนนบั แต่เมอ่ื ถกู รอนสทิ ธิ ลักษณะ ๕ มรดกทีไ่ มม่ ผี รู้ ับ มาตรา ๑๗๕๓ ภายใต้บงั คบั แหง่ สทิ ธิของเจ้าหน้กี องมรดก เม่อื บุคคลใดถึงแก่ความตายโดย ไม่มีทายาทโดยธรรมหรือผรู้ บั พินัยกรรม หรือการตั้งมลู นิธติ ามพินยั กรรม มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ แผ่นดิน ลักษณะ ๖ อายุความ มาตรา ๑๗๕๔ ห้ามมใิ หฟ้ อ้ งคดีมรดกเมอ่ื พ้นกำหนดหน่งึ ปี นับแตเ่ มื่อเจ้ามรดกตาย หรอื นบั แต่เม่อื ทายาทโดยธรรมไดร้ ู้ หรอื ควรได้รู้ถงึ ความตายของเจา้ มรดก คดีฟอ้ งเรยี กตามข้อกำหนดพินยั กรรม มใิ หฟ้ ้องเมื่อพน้ กำหนดหน่ึงปีนบั แต่เมอ่ื ผรู้ บั พินยั กรรมได้รหู้ รอื ควรไดร้ ถู้ ึงสทิ ธิซงึ่ ตนมอี ยตู่ ามพินัยกรรม ภายใต้บงั คบั แหง่ มาตรา ๑๙๓/๒๗ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสทิ ธเิ รยี กร้องของเจา้ หนี้อันมี ตอ่ เจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกวา่ หนง่ึ ปี มิใหเ้ จา้ หนี้นน้ั ฟ้องรอ้ งเมอ่ื พน้ กำหนดหนง่ึ ปีนบั แต่เมอ่ื เจา้ หนีไ้ ด้ รู้ หรอื ควรไดร้ ้ถู งึ ความตายของเจา้ มรดก ถงึ อยา่ งไรก็ดี สทิ ธิเรยี กร้องตามท่วี า่ มาในวรรคก่อน ๆ นน้ั มใิ ห้ฟอ้ งรอ้ งเมอื่ พน้ กำหนดสบิ ปี นบั แตเ่ มือ่ เจ้ามรดกตาย [เลขมาตรา ๑๙๓/๒๗ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยมาตรา ๑๕ แหง่ พระราชบญั ญตั ิให้ใช้บทบญั ญัติ บรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ท่ีได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕] มาตรา ๑๗๕๕ อายุความหนึง่ ปนี ั้น จะยกข้นึ ตอ่ สไู้ ดก้ แ็ ต่โดยบคุ คลซงึ่ เป็นทายาท หรอื บคุ คล ซง่ึ ชอบทจี่ ะใชส้ ทิ ธขิ องทายาท หรือโดยผจู้ ดั การมรดก พระราชกฤษฎกี าให้ใชบ้ ทบัญญัตแิ หง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ ๑ และ ๒ ทไ่ี ด้ตรวจชำระ ใหม่[๒๐๒]
334 พระราชกฤษฎีกาให้ใชบ้ ทบัญญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ บรรพ ๓ ทไี่ ด้ตรวจชำระใหม่[๒๐๓] พระราชกฤษฎกี าให้ใชบ้ ทบัญญตั ิ บรรพ ๔ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์[๒๐๔] *พระราชบัญญตั เิ ทยี บตำแหน่งรัฐมนตรกี บั ตำแหนง่ เสนาบดแี ตก่ ่อน พุทธศกั ราช ๒๔๗๕[๒๐๕] มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตแิ ละกฎหมายอน่ื ใด ซึง่ ประกาศใช้อยใู่ นเวลานี้ คำว่า เสนาบดี ใหอ้ า่ นเปน็ รฐั มนตรี คำที่กลา่ วถงึ เสนาบดกี ระทรวงใด ๆ ใหห้ มายความวา่ รฐั มนตรีว่าการกระทรวงนัน้ ๆ และ คำว่า กฎเสนาบดี ใหอ้ ่านเปน็ กฎกระทรวง พระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พทุ ธศักราช ๒๔๗๖[๒๐๖] มาตรา ๒ ใหใ้ ช้พระราชบัญญตั นิ ี้ ต้ังแตว่ ันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พุทธศกั ราช ๒๔๗๗[๒๐๗] มาตรา ๒ ใหใ้ ชพ้ ระราชบญั ญตั นิ ต้ี งั้ แต่วนั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเปน็ ต้นไป พระราชบญั ญัติแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ (ฉะบบั ท่ี ๒)[๒๐๘] มาตรา ๒ ให้ใชพ้ ระราชบัญญตั นิ ี้ตงั้ แตว่ ันประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป พระราชบัญญัติแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ (ฉะบบั ที่ ๓)[๒๐๙] มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบญั ญตั ินี้ตง้ั แตว่ นั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป พระราชบัญญตั ิให้ใช้บทบัญญตั บิ รรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗[๒๑๐] มาตรา ๒ ให้ใชพ้ ระราชบญั ญตั นิ ตี้ งั้ แต่วนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป พระราชบัญญัติให้ใชบ้ ทบญั ญัติ บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗[๒๑๑]
335 มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบญั ญตั ิน้ี ต้ังแตว่ ันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พุทธศกั ราช ๒๔๗๘[๒๑๒] มาตรา ๒ ใหใ้ ช้พระราชบัญญตั นิ เี้ มอื่ พน้ กำหนดเก้าสบิ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจา นุเบกษา มาตรา ๓ พระราชบญั ญตั นิ ี้ใหใ้ ช้บังคบั เฉพาะสญั ญาจำนองทไี่ ดท้ ำตั้งแตว่ นั ใช้ พระราชบัญญตั เิ ปน็ ตน้ ไป มาตรา ๖ บทบญั ญตั มิ าตรา ๕๒ แหง่ กฎหมายลกั ษณะล้มละลาย ร.ศ. ๑๓๐ และบทบญั ญตั ิ แห่งกฎหมายอ่นื ใดซง่ึ เก่ยี วถึงสิทธิของผ้รู บั จำนองจะนำมาใช้บงั คับได้เพียงเทา่ ท่ไี ม่ขดั หรือแยง้ กบั บทบัญญตั ิ มาตรา ๗๓๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามทไ่ี ดแ้ ก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญัตินี้ พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๙[๒๑๓] มาตรา ๒ ใหใ้ ช้พระราชบญั ญัตนิ ้ีตง้ั แตว่ ันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชกำหนดแก้ไขเพิม่ เตมิ พระราชบัญญตั ิไหไ้ ชบ้ ทบญั ญตั ิบัพ ๕ แหง่ ประมวนกดหมายแพง่ และพานิช พทุ ธ สักราช ๒๔๗๗ พุทธสกั ราช ๒๔๘๖[๒๑๔] มาตรา ๒ ใหใ้ ชพ้ ระราชกำหนดนตี้ ้งั แต่วนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป พระราชกำหนดแก้ไขเพมิ่ เตมิ พระราชบัญญตั ไิ ห้ไชบ้ ทบัญญตั ิบพั ๖ แห่งประมวนกดหมายแพ่งและพานิช พทุ ธ สักราช ๒๔๗๗ พุทธสกั ราช ๒๔๘๖[๒๑๕] มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนต้ี ้งั แตว่ นั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป พระราชบญั ญตั อิ นุมัตพิ ระราชกำหนดแก้ไขเพิม่ เตมิ พระราชบญั ญตั ไิ หไ้ ชบ้ ทบญั ญตั ิบพั ๕ แหง่ ประมวนกดหมาย แพ่งและพานิช พุทธสกั ราช ๒๔๗๗ พทุ ธสักราช ๒๔๘๖ พทุ ธสกั ราช ๒๔๘๖[๒๑๖] มาตรา ๒ ใหใ้ ชพ้ ระราชบัญญัตินต้ี ง้ั แต่วนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป
336 พระราชบญั ญัตอิ นมุ ตั ิพระราชกำหนดแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระราชบญั ญัติไหไ้ ช้บทบญั ญัติบพั ๖ แห่งประมวนกดหมาย แพ่งและพานชิ พุทธสกั ราช ๒๔๗๗ พทุ ธสกั ราช ๒๔๘๖ พุทธสักราช ๒๔๘๖[๒๑๗] มาตรา ๒ ใหใ้ ชพ้ ระราชบญั ญตั นิ ตี้ ง้ั แต่วนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ต้นไป พระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๙๕[๒๑๘] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ี้ให้ใช้บงั คบั ตงั้ แตว่ ันที่ ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เปน็ ต้นไป พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๔๙๖[๒๑๙] มาตรา ๒ พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บงั คบั ตง้ั แต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป พระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๑๙[๒๒๐] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ินี้ใหใ้ ช้บงั คับตงั้ แตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ต้นไป หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย มาตรา ๒๘ วรรคสอง บัญญตั ิวา่ ชายและหญงิ มีสทิ ธิเทา่ เทยี มกนั จำต้องแก้ไขบทบญั ญัติในประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั บทบัญญัตขิ องรัฐธรรมนญู โดยแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์มาตรา ๒๐ เพอื่ ใหส้ อดคล้องกบั การแกไ้ ขเพิม่ เตมิ บทบญั ญัตมิ าตรา ๑๔๔๕ ซง่ึ ให้ศาลมีอำนาจอนญุ าต ให้ชายและหญิงทม่ี อี ายุตำ่ กวา่ สบิ แปดปบี รบิ รู ณท์ ำการสมรสได้ โดยบญั ญัติใหช้ ายหญงิ ซ่งึ ไดร้ บั อนญุ าตจาก ศาลทำการสมรสได้กอ่ นอายุครบสบิ แปดปบี รบิ รู ณบ์ รรลุนติ ภิ าวะโดยการสมรส นอกจากนี้ได้พจิ ารณาเห็นว่า มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๕๐ และวรรคสอง ของมาตรา ๑๓๗ เป็นบทบญั ญตั ิท่จี ำกัดสทิ ธสิ ตรี สมควรยกเลกิ เสีย จึงจำเป็นตอ้ งตราพระราชบัญญัติน้ขี ้นึ พระราชบญั ญัตใิ หใ้ ชบ้ ทบัญญัตบิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ทไี่ ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙[๒๒๑]
337 มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ินี้ใหใ้ ชบ้ งั คับตงั้ แตว่ นั ถัดจากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ต้นไป มาตรา ๑๒ ให้นายกรฐั มนตรรี กั ษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิฉบับนี้ คอื เน่ืองจากรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย มาตรา ๒๘ วรรคสอง บัญญัตวิ า่ ชายและหญงิ มสี ิทธเิ ทา่ เทยี มกนั จำต้องแก้ไขบทบญั ญตั ใิ นประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์ เพ่อื ให้สอดคล้องกบั บทบญั ญัติของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย จงึ จำเป็นตอ้ งตรา พระราชบญั ญัตินข้ี ึน้ พระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑[๒๒๒] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั ิน้ีใหใ้ ช้บงั คับตงั้ แต่วันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป มาตรา ๑๑ การเสนอขายห้นุ และหุ้นกูต้ ่อประชาชนท่ีไดม้ ีการจดทะเบยี นหนงั สือชีช้ วน หนงั สอื บอกกล่าวป่าวรอ้ ง หรือหนงั สืออย่างอื่นในการชี้ชวนใหซ้ ือ้ หนุ้ หรือหุ้นกโู้ ดยถกู ตอ้ งตามกฎหมายในวนั ประกาศพระราชบญั ญัตนิ ้ใี นราชกิจจานเุ บกษาแลว้ ใหค้ งดำเนนิ การต่อไปไดอ้ ีกไม่เกินเกา้ สบิ วันนับแต่วันท่ี พระราชบัญญัตนิ ีใ้ ช้บงั คับ และใหน้ ำมาตรา ๑๒๓๐ มาตรา ๑๒๓๑ มาตรา ๑๒๓๒ มาตรา ๑๒๓๓ มาตรา ๑๒๓๔ และมาตรา ๑๒๓๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาใช้บงั คบั จนกวา่ จะพ้นกำหนดเวลา ดงั กลา่ ว มาตรา ๑๒ บริษัทใดจัดต้งั ขึน้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์อย่กู อ่ นวันที่ พระราชบญั ญัตนิ ้ีใช้บงั คับและมผี ู้ถือห้นุ ตงั้ แต่หน่งึ ร้อยคนอยแู่ ล้ว หรือมผี ูถ้ อื หนุ้ เพม่ิ ขึน้ ถงึ หนง่ึ รอ้ ยคนขึ้นไป ภายหลังวนั ท่ีพระราชบัญญัตนิ ้ีใชบ้ งั คับ ใหย้ งั คงเปน็ บรษิ ัทตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยต์ ่อไป มาตรา ๑๓ ใหร้ ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงพาณชิ ย์รักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี หมายเหตุ:- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติฉบบั น้ี คอื เน่ืองจากไดม้ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติ บริษทั มหาชนจำกดั พ.ศ. ๒๕๒๑ ซง่ึ กำหนดใหบ้ ริษัทมหาชนจำกดั ตอ้ งมผี ้ถู อื หุ้นตั้งแต่หนง่ึ รอ้ ยคน และมี บทบญั ญตั ิควบคุมการเสนอขายหุน้ และห้นุ กู้ เพ่อื ป้องกันมิให้ประชาชนถกู หลอกลวงแลว้ สมควรกำหนดหา้ มมิ ใหบ้ รษิ ทั จำกดั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มผี ูถ้ ือห้นุ ถึงหนง่ึ รอ้ ยคนและเสนอขายหุ้น หรอื หุ้นก้ตู ่อ
338 ประชาชน ซึง่ จำเปน็ ต้องแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ ๓ ลักษณะ ๒๒ หมวด ๔ เฉพาะมาตราที่เก่ยี วขอ้ งใหส้ อดคล้องกับหลักการดังกลา่ ว จงึ จำเปน็ ตอ้ งตราพระราชบัญญตั นิ ้ขี นึ้ พระราชบัญญตั ิแก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๐) พ.ศ. ๒๕๓๓[๒๒๓] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ินีใ้ หใ้ ชบ้ ังคับตงั้ แต่วันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ต้นไป มาตรา ๖๒ ในกรณีทีม่ กี ารใหข้ องหม้ันกันไวก้ ่อนวันทพี่ ระราชบญั ญตั ินี้ใช้บงั คบั ให้ของหมั้น ดังกล่าวตกเปน็ สิทธิแกห่ ญงิ เมอ่ื ได้ทำการสมรสแล้ว มาตรา ๖๓ นิตกิ รรมที่คสู่ มรสฝ่ายหน่ึงได้กระทำไปในการจดั การสินสมรส โดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอกี ฝา่ ยหนง่ึ กอ่ นวันท่ีพระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั การใหส้ ตั ยาบันหรอื การขอให้ศาล เพกิ ถอนนิติกรรมนัน้ ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรา ๑๔๘๐ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยก์ ่อนการแก้ไข เพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ินี้ มาตรา ๖๔ ถ้ามคี ดีฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะเพราะเหตสุ มรสฝ่าฝนื บทบญั ญัติมาตรา ๑๔๕๒ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ค้างพจิ ารณาอยใู่ นศาลใดในวันที่ พระราชบญั ญตั ินีใ้ ช้บงั คบั ให้ศาลน้ันพจิ ารณาพิพากษาคดีต่อไปได้จนกวา่ คดีจะถงึ ท่สี ุด มาตรา ๖๕ ในกรณีท่ีมกี ารสมรสฝ่าฝนื มาตรา ๑๔๕๒ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ย์ สทิ ธเิ รยี กค่าเลย้ี งชพี หรอื สทิ ธิในมรดกของคสู่ มรสทตี่ ายซึ่งคู่สมรสอีกฝ่ายหนงึ่ ท่สี มรสโดยสุจริตมีอยู่ แลว้ ก่อนวันทพี่ ระราชบญั ญัตินีใ้ ชบ้ ังคบั ให้เปน็ ไปตามมาตรา ๑๔๙๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ กอ่ นการแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัตนิ ี้ มาตรา ๖๖ ในการจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ถา้ เจ้าหนา้ ท่ไี ดส้ ง่ แจง้ ความ การขอจดทะเบยี นไปยังเดก็ หรอื มารดาเดก็ แลว้ แต่ยังไมม่ กี ารจดทะเบียนกอ่ นวนั ทพ่ี ระราชบญั ญตั นิ ีใ้ ชบ้ งั คับ การจดทะเบยี นเดก็ เป็นบตุ รชอบด้วยกฎหมายใหบ้ ังคบั ตามบทบญั ญัติแหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ซ่ึงแก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบัญญัติน้ี มาตรา ๖๗ บิดาซง่ึ ไดจ้ ดทะเบยี นรบั เดก็ เปน็ บุตรชอบด้วยกฎหมายก่อนวันที่พระราชบญั ญตั ิ นี้ใช้บงั คบั ย่อมมสี ทิ ธริ ้องขอต่อศาลให้ถอนความเปน็ ผ้ปู กครองได้ตามมาตรา ๑๕๕๒ แหง่ ประมวลกฎหมาย
339 แพง่ และพาณิชยซ์ ง่ึ แก้ไขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญัตนิ ี้ ไม่วา่ บิดาจะได้เคยรอ้ งขอตอ่ ศาลใหม้ คี ำส่ังถอนความ เปน็ ผู้ปกครองมาก่อนแล้วหรอื ไมก่ ต็ าม มาตรา ๖๘ ในกรณีทม่ี กี ารตง้ั ผ้ปู กครองโดยพนิ ยั กรรม ถ้าผทู้ ท่ี ำพนิ ยั กรรมตายกอ่ นวนั ที่ พระราชบัญญตั นิ ีใ้ ช้บงั คับ การตงั้ ผปู้ กครองใหเ้ ป็นไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ก่อนการแกไ้ ข เพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั นิ ้ี มาตรา ๖๙ บทบญั ญัตมิ าตรา ๑๕๙๘/๒๒ และมาตรา ๑๕๙๘/๒๓ แหง่ ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ซงึ่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตนิ ีไ้ มก่ ระทบกระเทือนถึงความสมบรู ณข์ องการให้ความ ยนิ ยอมในการรบั เดก็ เป็นบุตรบญุ ธรรมท่ีได้กระทำไปแล้วก่อนวนั ที่พระราชบญั ญัตนิ ้ใี ชบ้ งั คบั มาตรา ๗๐ บทบญั ญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดย พระราชบัญญตั นิ ีไ้ มก่ ระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้น การสมรส สัญญาก่อนสมรส การเป็นบดิ า มารดากับบุตร การเปน็ ผปู้ กครอง และการรบั บุตรบญุ ธรรมทไ่ี ด้มีอยู่แล้วในวันท่พี ระราชบญั ญตั ินใ้ี ชบ้ ังคบั เวน้ แตใ่ นกรณีท่ีพระราชบญั ญตั ิน้บี ญั ญัตไิ ว้เปน็ อย่างอ่ืน มาตรา ๗๑ บรรดาอายคุ วามหรอื ระยะเวลาทีบ่ ทบญั ญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชยไ์ ดก้ ำหนดไวก้ อ่ นวนั ทีพ่ ระราชบญั ญัตนิ ้ีใช้บงั คับ หากยังไม่สิน้ สุดลงในวนั ทีพ่ ระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ช้บงั คบั และอายุความหรอื ระยะเวลาทีก่ ำหนดข้ึนใหม่น้นั แตกต่างกบั อายุความหรอื ระยะเวลาทกี่ ำหนดไวเ้ ดิม ก็ใหน้ ำ อายคุ วามหรอื ระยะเวลาที่ยาวกว่ามาบงั คบั หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติฉบับนี้ คือ โดยทบ่ี ทบญั ญตั ิบรรพ ๕ แหง่ ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชยว์ า่ ด้วยความสมบูรณข์ องการหม้นั และผลของการหมน้ั การคุ้มครองคสู่ มรสท่ี วิกลจริต การจัดการสินสมรส การแยกสนิ สมรสและรวมสินสมรส การสมรสทเ่ี ป็นโมฆะ เหตุหยา่ ผใู้ ชอ้ ำนาจ ปกครองบุตรในกรณีมกี ารหยา่ บทสนั นิษฐานความเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมาย การฟ้องคดีไมร่ บั เด็กเป็นบุตร การฟ้องปฏิเสธความเป็นบตุ ร การจดทะเบยี นเด็กเป็นบตุ ร การฟ้องใหร้ บั เดก็ เป็นบตุ ร อำนาจปกครอง การ เปน็ ผอู้ นบุ าลและผ้พู ทิ กั ษ์ การจดั การทรัพยส์ นิ ของผ้เู ยาว์ สทิ ธิหนา้ ทขี่ องบิดามารดาและบุตร ผปู้ กครอง และ บุตรบญุ ธรรม นนั้ ยงั ไมส่ อดคลอ้ งและไมเ่ อือ้ อำนวยต่อสภาพความเปน็ อยู่ในสงั คมปัจจบุ นั สมควรปรบั ปรงุ แก้ไขใหเ้ หมาะสมยงิ่ ขึน้ จงึ จำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบญั ญัตใิ หใ้ ชบ้ ทบัญญตั บิ รรพ ๑ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ท่ไี ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕[๒๒๔]
340 มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ิน้ีให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกำหนดหกสบิ วันนบั แต่วนั ถัดจากวนั ประกาศ ในราชกิจจานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป มาตรา ๑๘ ให้นายกรฐั มนตรี และรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตาม พระราชบญั ญตั นิ ้ี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ิฉบับน้ี คือ เนื่องจากบทบญั ญัตบิ รรพ ๑ แหง่ ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณชิ ยซ์ ึ่งไดใ้ ชบ้ งั คบั โดยพระราชกฤษฎีกาใหใ้ ชบ้ ทบญั ญัตแิ หง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ย์บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ทไ่ี ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๔๖๘ ไดใ้ ช้บงั คับมาเป็นเวลานานและบทบญั ญตั ิ หลายประการลา้ สมัย ไม่เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมปจั จบุ ัน สมควรปรบั ปรงุ แก้ไขใหเ้ หมาะสม ยง่ิ ข้นึ จงึ จำเปน็ ตอ้ งตราพระราชบัญญตั ิน้ี พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๕[๒๒๕] มาตรา ๒ พระราชบญั ญัตินี้ให้ใช้บังคบั เมือ่ พ้นหกสบิ วันนบั แต่วนั ประกาศในราชกจิ จา นเุ บกษาเปน็ ต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญัติฉบบั นี้ คอื โดยท่ีมีการแกไ้ ขพระราชบัญญัติบรษิ ัท มหาชนจำกดั พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้ยกเลกิ การกำหนดอัตราสว่ นการถอื หนุ้ และจำนวนผูถ้ ือห้นุ ของบรษิ ทั มหาชน จำกัด และเพอ่ื ใหก้ ารแปรสภาพบริษัทจำกัดเป็นบรษิ ทั มหาชนจำกัด เปน็ ไปโดยความสมัครใจ ในกรณที บี่ ริษทั จำกัดประสงค์จะชช้ี วนให้ประชาชนรว่ มลงทุน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบญั ญัตแิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๑[๒๒๖] มาตรา ๒ พระราชบญั ญัตินใี้ หใ้ ชบ้ งั คับตงั้ แต่วันถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป มาตรา ๖ บทบญั ญตั มิ าตรา ๔๙๙ วรรคสอง แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึง่ แก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั นิ ้ี มิใหใ้ ชบ้ งั คบั แกส่ ัญญาขายฝากทไ่ี ดท้ ำไวก้ อ่ นวันทพ่ี ระราชบัญญัตนิ ้ใี ช้ บงั คบั
341 หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิฉบับนี้ คือ เนื่องจากประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ในเรอื่ งขายฝากมบี ทบญั ญตั ยิ งั ไม่เหมาะสม เป็นเหตุใหม้ กี ารเอาเปรียบผู้ขายฝากโดยการกำหนดสินไถท่ ส่ี งู เกนิ ควร เพือ่ หลกี เล่ียงกฎหมายหา้ มเรียกดอกเบ้ยี เกนิ อัตรา รวมทั้งในกรณีที่ถงึ กำหนดเวลาไถ่ผซู้ ้ือฝากมกั จะ หลีกเลย่ี งไม่ยอมให้มกี ารไถจ่ นเป็นเหตุใหผ้ ขู้ ายฝากตอ้ งสญู เสียกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สินไปโดยไมช่ อบธรรม นอกจากน้ี เห็นควรปรบั ปรงุ ระยะเวลาในการใช้สิทธิไถ่ในสญั ญาขายฝากให้เหมาะสมยง่ิ ขน้ึ จึงจำเป็นตอ้ งตรา พระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๔๑[๒๒๗] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ใ้ี หใ้ ช้บังคบั ตง้ั แต่วันท่ี ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บับน้ี คือ โดยทพ่ี ระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้บัญญัติใหห้ นท้ี เ่ี กิดจากการไม่ชำระค่าจ้าง คา่ ลว่ งเวลา คา่ ทำงานในวันหยดุ ค่าลว่ งเวลาในวันหยุด คา่ ชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงนิ สะสม เงินสมทบ หรอื เงินเพ่ิมใหล้ ูกจา้ ง หรอื กรมสวสั ดกิ ารและคมุ้ ครองแรงงาน แล้วแต่กรณี มีบรุ มิ สทิ ธเิ หนอื ทรัพยส์ ินท้ังหมดของนายจ้างซึ่งเปน็ ลกู หนีใ้ นลำดบั เดียวกบั บรุ มิ สทิ ธใิ นคา่ ภาษี อากรตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ดงั นั้น จึงสมควรแก้ไขเพิม่ เตมิ มาตรา ๒๕๓ แหง่ ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณชิ ยใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั กฎหมายว่าดว้ ยการคุ้มครองแรงงานในสว่ นทเี่ กยี่ วกับสทิ ธขิ อง ลกู จา้ ง โดยใหร้ วมความถงึ สิทธิของเสมยี น คนใช้ และคนงาน ตามท่บี ัญญัติไวใ้ นมาตรา ๒๕๓ เดิมดว้ ย โดย กำหนดลำดบั บรุ มิ สทิ ธใิ นเงินท่ีลกู จ้างมสี ทิ ธไิ ดร้ ับอย่ใู นลำดบั เดียวกบั บุรมิ สทิ ธใิ นค่าภาษีอากร ประกอบกบั สภาวะเศรษฐกจิ และสังคมไดเ้ ปล่ยี นแปลงไป สมควรแกไ้ ขเพม่ิ เติมมาตรา ๒๕๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ เพอ่ื กำหนดหลักเกณฑแ์ ละจำนวนเงนิ สงู สุดของบรุ มิ สทิ ธิในเงนิ ทล่ี กู จ้างมีสทิ ธิไดร้ บั ใหเ้ หมาะสม กบั สภาวะเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศในปจั จุบันดว้ ย จึงจำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิน้ี พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘[๒๒๘] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ี้ใหใ้ ชบ้ ังคับตง้ั แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ต้นไป มาตรา ๑๗ พระราชบญั ญัตนิ ี้ไมก่ ระทบถงึ นิตกิ รรม สทิ ธิ หน้าท่ี หรือความรบั ผดิ ตาม กฎหมายอนั ไดก้ ระทำลงหรอื มีขนึ้ ก่อนวนั ท่พี ระราชบญั ญตั นิ ้ใี ช้บงั คับ
342 หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี คือ โดยที่เปน็ การสมควรแก้ไขเพิ่มเตมิ บทบัญญตั ิ ในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยใ์ นส่วนทเ่ี ก่ยี วกบั สญั ญาซอ้ื ขายอสงั หาริมทรัพย์และสงั หาริมทรพั ย์ ประเภทของสงั หารมิ ทรพั ย์ท่ีตอ้ งจดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจา้ หนา้ ที่ จำนวนเงนิ ในการกยู้ มื เงนิ ที่ตอ้ งมหี ลักฐาน แหง่ การกูย้ ืมเปน็ หนังสือ จำนวนเงินทเี่ จ้าสำนกั โรงแรมตอ้ งรบั ผดิ ในการที่ทรพั ย์สินของคนเดนิ ทางหรือแขก อาศยั สูญหาย อตั ราคา่ ธรรมเนยี มและคา่ คดั สำเนาเอกสารตามทีป่ รากฏในบทบญั ญตั ทิ ีว่ ่าด้วยบริษทั จำกัด รวมถึงจำนวนเงนิ รางวลั หรือคา่ ธรรมเนยี มทบี่ ุคคลผมู้ สี ทิ ธิจะรับทรัพยส์ ินหายตอ้ งชำระให้แกผ่ เู้ กบ็ ไดห้ รอื แก่ สว่ นราชการทีร่ บั ผิดชอบ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการณ์ทางเศรษฐกจิ และสภาวการณใ์ นปจั จบุ ัน จงึ จำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั นิ ี้ พระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙[๒๒๙] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตนิ ใ้ี หใ้ ช้บังคบั ตงั้ แต่วนั ถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ฉิ บบั น้ี คือ โดยท่เี ปน็ การสมควรแก้ไขเพม่ิ เตมิ บทบญั ญตั ิ ในลกั ษณะ ๒๒ หนุ้ สว่ นและบรษิ ทั ของบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ กรณีการลาออกของ หุ้นสว่ นผจู้ ดั การในห้างหุน้ สว่ นจดทะเบียนและหา้ งหุน้ สว่ นจำกัด และการลาออกของกรรมการบรษิ ัทจำกัด กำหนดเวลาทีก่ ารลาออกมผี ล ตลอดจนการจดทะเบียนเปลย่ี นแปลงตอ่ นายทะเบยี นภายในกำหนดเวลา เพอ่ื ใหเ้ กิดความชัดเจนในผลทางกฎหมาย และการนำผลทางกฎหมายและขอ้ เท็จจรงิ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั กรณี ดงั กล่าวไปใช้อา้ งองิ จงึ จำเปน็ ต้องตราพระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๓๐] มาตรา ๒ พระราชบญั ญัตินใี้ หใ้ ชบ้ งั คบั ตงั้ แต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป มาตรา ๗ พระราชบญั ญตั นิ ี้ไมก่ ระทบถงึ นิตกิ รรม สทิ ธิ หน้าท่ี หรอื ความรบั ผิดตามกฎหมาย อันได้กระทำลงหรอื มขี ้นึ กอ่ นวันที่พระราชบัญญัตนิ ใี้ ช้บงั คับ มาตรา ๘ ใหร้ ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ิธรรมรักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้
343 หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ฉิ บับน้ี คอื โดยทม่ี าตรา ๓ ของรัฐธรรมนญู แห่ง ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับชวั่ คราว) พุทธศกั ราช ๒๕๔๙ ให้ความคมุ้ ครองศักด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ สทิ ธิเสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาท่ชี นชาวไทยเคยได้รับความคมุ้ ครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ แต่บทบญั ญัตมิ าตรา ๑๔๔๕ มาตรา ๑๔๔๖ มาตรา ๑๔๔๗/๑ วรรคสาม มาตรา ๑๕๑๖ (๑) และมาตรา ๑๕๒๓ วรรคหน่งึ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์ เป็นบทบญั ญตั ทิ ่เี ลอื กปฏิบัตโิ ดยไมเ่ ป็นธรรมต่อบคุ คลเพราะเหตแุ หง่ ความแตกต่างในเร่อื งเพศ สมควรแกไ้ ขบทบญั ญัตดิ ังกลา่ วใหส้ อดคล้องกบั หลักการมสี ทิ ธเิ ท่าเทยี มกนั ระหว่างชายและหญิง และหลักการ หา้ มมใิ ห้เลอื กปฏบิ ัติโดยไมเ่ ปน็ ธรรมต่อบคุ คลเพราะเหตุแหง่ ความแตกต่างในเรอื่ งเพศท่ีเคยได้รบั ความ ค้มุ ครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข จงึ จำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๓๑] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั นิ ้ใี หใ้ ช้บงั คบั ตงั้ แตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ คือ เนื่องจากไดม้ กี ฎหมายวา่ ดว้ ยทรสั ตเ์ พ่ือ ธรุ กรรมในตลาดทนุ ซ่งึ กำหนดใหส้ ามารถก่อตั้งทรสั ตเ์ พ่ือเปน็ เคร่อื งมอื อีกประการหนง่ึ ที่จะทำให้ธรุ กรรมใน ตลาดทนุ เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและสามารถแก้ไขขอ้ ตดิ ขัดบางประการในการระดมทุนและในการ ประกอบธุรกิจในตลาดทนุ ได้ ดงั นนั้ เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎหมายดงั กล่าว จึงจำเปน็ ตอ้ งตราพระราชบัญญตั ิ น้ี พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๓๒] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั นิ ใี้ หใ้ ช้บงั คบั เมื่อพ้นกำหนดหนึง่ รอ้ ยย่สี บิ วันนับแต่วนั ประกาศใน ราชกจิ จานเุ บกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติฉบบั นี้ คือ โดยทป่ี ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ ๓ ลกั ษณะ ๒๒ ว่าดว้ ยหุ้นสว่ นและบริษัทใช้บงั คบั มาเปน็ เวลานาน บทบญั ญตั บิ างมาตราสรา้ งภาระโดย ไมจ่ ำเปน็ แกป่ ระชาชนและก่อให้เกิดความยงุ่ ยาก ซำ้ ซ้อน และความล่าช้าต่อการปฏิบัตหิ นา้ ที่ของส่วนราชการ นอกจากนี้ ยังเปน็ อปุ สรรคต่อการเสริมสรา้ งศักยภาพในการแข่งขันของประเทศอกี ดว้ ย ดงั นนั้ เพือ่ ขจดั ปัญหา
344 และอุปสรรคดงั กล่าวและเพ่ือให้การดำเนินกจิ การคา้ ในรปู แบบของหา้ งหนุ้ สว่ นและบรษิ ทั มคี วามคลอ่ งตัวมาก ย่งิ ข้นึ จงึ จำเปน็ ต้องตราพระราชบัญญตั นิ ้ี พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๓๓] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ้ใี ห้ใชบ้ งั คบั ตง้ั แตว่ ันถัดจากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื โดยทบี่ ทบัญญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวล กฎหมายแพง่ และพาณิชย์วา่ ด้วยการรอ้ งต่อศาลขอใหส้ ง่ั อนญุ าตให้สามีภริยาอยตู่ ่างหาก การเปน็ บุตรชอบ ด้วยกฎหมายของหญิง การเปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของชาย การนับวันที่เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของบดิ า และการกลบั มอี ำนาจปกครองบตุ รท่ยี ังไมบ่ รรลุนิติภาวะเมื่อมกี ารเลิกรับบตุ รบญุ ธรรม น้ัน ยังไมส่ อดคลอ้ ง และไม่เออ้ื อำนวยต่อสภาพความเปน็ อยใู่ นสงั คมปจั จบุ นั สมควรปรบั ปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยง่ิ ขน้ึ จงึ จำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั นิ ้ี พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗[๒๓๔] มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ินี้ให้ใช้บังคบั เมอื่ พ้นกำหนดเก้าสบิ วนั นับแต่วันประกาศในราช กิจจานเุ บกษาเปน็ ต้นไป มาตรา ๑๘ บทบญั ญัติของพระราชบญั ญัตนิ ีไ้ ม่กระทบกระเทอื นถงึ สญั ญาทไี่ ด้ทำไวก้ ่อนวนั ที่ พระราชบัญญัตนิ ีใ้ ชบ้ งั คบั เวน้ แต่กรณที ่พี ระราชบญั ญตั ินบ้ี ญั ญัตไิ วเ้ ปน็ อย่างอ่ืน มาตรา ๑๙ ในกรณีทล่ี ูกหนผี้ ิดนัดนับแต่วันท่ีพระราชบัญญตั นิ ้ีใชบ้ ังคบั สิทธแิ ละหน้าท่ขี อง เจ้าหนีแ้ ละผู้คำ้ ประกัน ให้เปน็ ไปตามมาตรา ๖๘๖ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยซ์ ่ึงแก้ไขเพมิ่ เตมิ โดย พระราชบญั ญัตนิ ้ี มาตรา ๒๐ ในกรณที เ่ี จ้าหนกี้ ระทำการใด ๆ นบั แตว่ ันที่พระราชบัญญตั ินใ้ี ช้บงั คบั อนั มผี ล เป็นการลดจำนวนหนี้ทม่ี กี ารคำ้ ประกนั รวมทงั้ ดอกเบ้ยี คา่ สนิ ไหมทดแทน หรอื ค่าภาระติดพันอนั เป็นอปุ กรณ์ แห่งหนรี้ ายนัน้ ใหผ้ ู้คำ้ ประกันเปน็ อนั หลดุ พน้ จากการคำ้ ประกนั ตามเง่อื นไขที่บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา ๖๙๑ วรรค หนงึ่ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ซง่ึ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญัตนิ ี้
345 มาตรา ๒๑ บทบญั ญตั ติ ามมาตรา ๗๒๗ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ซง่ึ แกไ้ ข เพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั นิ ี้ ให้ใช้กบั สญั ญาจำนองที่ยงั มผี ลบงั คบั อยู่ในวนั ที่พระราชบญั ญตั ินีใ้ ช้บงั คบั ดว้ ย มาตรา ๒๒ บทบญั ญตั ิตามมาตรา ๗๒๘ และมาตรา ๗๓๕ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ยซ์ ึ่งแก้ไขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญัตนิ ้ี ให้ใช้บงั คบั กบั การบงั คับจำนองที่ทำขน้ึ นบั แตว่ นั ที่ พระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ชบ้ งั คับด้วย มาตรา ๒๓ บทบญั ญตั ติ ามมาตรา ๗๓๗ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยซ์ ง่ึ แกไ้ ข เพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัตนิ ี้ ให้ใช้บงั คับกบั กรณที ผี่ รู้ บั โอนต้องการไถ่ถอนจำนองเม่อื มกี ารบอกกล่าวบงั คบั จำนองตามมาตรา ๗๓๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยซ์ ่ึงแก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญัตินี้ มาตรา ๒๔ ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงพาณิชยร์ กั ษาการตามพระราชบัญญัติน้ี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิฉบับนี้ คอื โดยท่บี ทบญั ญตั ขิ องประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชยท์ ใี่ ช้บงั คับอยูใ่ นปัจจุบันยงั ไมเ่ พียงพอท่จี ะคมุ้ ครองสทิ ธแิ ละใหค้ วามเป็นธรรมแกผ่ ้คู ำ้ ประกันและผู้ จำนองซง่ึ มิใช่ลกู หนีช้ น้ั ต้น แตเ่ ปน็ เพียงบคุ คลภายนอกท่ียอมผกู พันตนต่อเจ้าหน้ีในการทจี่ ะชำระหน้ีแทน ลูกหนเี้ ท่าน้นั โดยข้อเท็จจรงิ ในทางปฏิบัตปิ รากฏว่าเจา้ หนสี้ ว่ นใหญซ่ งึ่ เป็นสถาบันการเงินหรอื ผปู้ ระกอบ อาชีพใหก้ ยู้ มื มกั จะอาศัยอำนาจตอ่ รองทสี่ งู กวา่ หรอื ความไดเ้ ปรียบในทางการเงินกำหนดข้อตกลงอนั เปน็ การ ยกเว้นสทิ ธขิ องผู้คำ้ ประกนั หรอื ผจู้ ำนองตามท่ีกฎหมายบญั ญัติไว้ หรอื ให้คำ้ ประกัน หรอื ผ้จู ำนองต้องรบั ผดิ เสมอื นเป็นลกู หน้ชี น้ั ต้น กรณีจงึ สง่ ผลใหผ้ ้คู ้ำประกัน หรอื ผจู้ ำนองซง่ึ เป็นประชาชนทวั่ ไปไม่ไดร้ ับความ ค้มุ ครองตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย รวมทงั้ ตอ้ งกลายเปน็ ผู้ถูกฟ้องล้มละลายอกี เปน็ จำนวนมาก ดังนั้น เพอ่ื สรา้ งความเปน็ ธรรมใหแ้ ก่ผ้คู ้ำประกนั และผจู้ ำนอง จงึ จำเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘[๒๓๕] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั ิน้ใี ห้ใชบ้ ังคับตงั้ แตว่ นั ถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป มาตรา ๘ ขอ้ ตกลงใดทีไ่ ด้ทำข้ึนระหวา่ งวันทีพ่ ระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลใช้บังคบั จนถึงวันก่อนวนั ทพี่ ระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ ังคบั ให้ยงั คง ใชบ้ ังคับตอ่ ไปไดเ้ ทา่ ทไ่ี ม่ขัดหรือแย้งกบั บทบญั ญตั ิแหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ซงึ่ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดย พระราชบญั ญัตินี้
346 มาตรา ๙ ในกรณที เ่ี จา้ หนก้ี ระทำการใด ๆ ระหวา่ งวนั ทพี่ ระราชบัญญัติแก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลใชบ้ งั คับจนถงึ วนั กอ่ นวันท่พี ระราชบญั ญัตนิ ี้ ใช้บงั คับ อนั มีผลเป็นการลดจำนวนหนที้ มี่ กี ารค้ำประกัน รวมทัง้ ดอกเบยี้ คา่ สนิ ไหมทดแทน หรอื ค่าภาระติด พนั อนั เป็นอปุ กรณ์แห่งหนร้ี ายนั้น ให้เจา้ หน้มี หี นงั สือแจง้ ใหผ้ ้คู ำ้ ประกันทราบถึงการลดหน้ีดงั กล่าวภายในหก สบิ วนั นบั แต่วันทพ่ี ระราชบญั ญตั นิ ี้ใช้บงั คับ และให้ผคู้ ้ำประกนั เป็นอันหลดุ พ้นจากการคำ้ ประกนั ตามเงื่อนไขท่ี บัญญตั ไิ ว้ในมาตรา ๖๙๑ วรรคหน่ึง แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยซ์ งึ่ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดย พระราชบญั ญตั ินี้ มาตรา ๑๐ ใหร้ ัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณชิ ย์รกั ษาการตามพระราชบญั ญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยทเี่ ปน็ การสมควรแกไ้ ขบทบญั ญัติของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยใ์ นเร่อื งการคำ้ ประกนั และจำนองเพ่ือใหม้ ีความเหมาะสมแกก่ ารประกอบ ธุรกจิ ในปจั จบุ นั สมควรกำหนดให้ผคู้ ้ำประกันท่เี ปน็ นติ บิ ุคคลสามารถผกู พันตนเพอ่ื รบั ผดิ อยา่ งลกู หนรี้ ่วมได้ รวมทง้ั สามารถทำขอ้ ตกลงล่วงหนา้ ยินยอมใหม้ กี ารผ่อนเวลาได้ หากเปน็ สถาบันการเงินหรอื ประกอบอาชีพคำ้ ประกันเพือ่ สินจา้ งเปน็ ปกตธิ ุระ จงึ จำเปน็ ต้องตราพระราชบญั ญัติน้ี พระราชบัญญัติแก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘[๒๓๖] มาตรา ๒ พระราชบัญญตั นิ ้ีใหใ้ ช้บังคบั ตงั้ แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็น ตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญัตฉิ บบั น้ี คอื เนอื่ งจากกฎหมายว่าด้วยหลักประกนั ทาง ธรุ กิจได้บญั ญัติใหส้ ามารถนำสิทธเิ รยี กรอ้ งมาเป็นหลกั ประกนั การชำระหน้ีได้โดยไม่ตอ้ งส่งมอบการครอบครอง จึงสมควรแกไ้ ขใหส้ ทิ ธิตามสญั ญาหลกั ประกนั ทางธรุ กจิ เหนอื สิทธเิ รยี กรอ้ งทีน่ ำมาเปน็ หลกั ประกนั ตกไปเปน็ ของผรู้ ับโอนเม่อื มกี ารโอนสิทธเิ รียกรอ้ งน้ันไปเชน่ เดยี วกบั สทิ ธิจำนอง จำนำ หรอื ค้ำประกัน จงึ จำเป็นต้องตรา พระราชบัญญตั นิ ้ี
347 [๑] ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๔๒/-/หนา้ ๑/๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ [๒] ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๐๙/ตอนท่ี ๔๒/หน้า ๑/๘ เมษายน ๒๕๓๕ [๓] มาตรา ๒๑๔ แกไ้ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศกั ราช ๒๔๗๘ [๔] มาตรา ๒๕๓ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับ ท่ี ๑๓) พ.ศ. ๒๕๔๑ [๕] มาตรา ๒๕๗ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๔๑ [๖] มาตรา ๓๐๕ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๗] ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๔๕/-/หนา้ ๑/๑ มกราคม ๒๔๗๑ [๘] มาตรา ๔๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๙] มาตรา ๔๙๒ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับ ท่ี ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ [๑๐] มาตรา ๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับ ท่ี ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ [๑๑] มาตรา ๔๙๙ วรรคสอง เพิม่ โดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ [๑๒] มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๑๓] มาตรา ๖๗๕ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๑๔] มาตรา ๖๘๑ แก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๑๕] มาตรา ๖๘๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๑๖] มาตรา ๖๘๑/๑ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๗] มาตรา ๖๘๕/๑ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญัตแิ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๘] มาตรา ๖๘๖ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗
348 [๑๙] มาตรา ๖๙๑ แก้ไขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับ ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๐] มาตรา ๖๙๑ วรรคหน่งึ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์ (ฉบับท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๒๑] มาตรา ๗๐๐ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๒] มาตรา ๗๐๐ วรรคสาม เพ่มิ โดยพระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๒๓] มาตรา ๗๐๓ วรรคสอง (๑) แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๒๔] มาตรา ๗๑๔/๑ เพิม่ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๕] มาตรา ๗๒๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับ ท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๖] มาตรา ๗๒๗/๑ เพ่มิ โดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๗] มาตรา ๗๒๗/๑ วรรคสอง แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (ฉบับท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๒๘] มาตรา ๗๒๘ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับ ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๒๙] มาตรา ๗๒๙ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญัตแิ กไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๓๐] มาตรา ๗๒๙/๑ เพมิ่ โดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๓๑] มาตรา ๗๓๓ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศกั ราช ๒๔๗๘ [๓๒] มาตรา ๗๓๕ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับ ท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๓๓] มาตรา ๗๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๓๔] มาตรา ๗๔๔ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับ ท่ี ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ [๓๕] มาตรา ๑๐๒๐ แก้ไขเพม่ิ เติมโดยพระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑
349 [๓๖] มาตรา ๑๐๒๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๗] มาตรา ๑๐๒๓/๑ เพมิ่ โดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๘] มาตรา ๑๐๖๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบญั ญัตแิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๓๙] มาตรา ๑๐๖๔/๒ เพิม่ โดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๔๐] มาตรา ๑๐๗๘/๑ เพ่มิ โดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๔๑] มาตรา ๑๐๗๘/๒ เพมิ่ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๔๒] มาตรา ๑๐๙๖ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๕ [๔๓] มาตรา ๑๐๙๖ ทวิ ยกเลิกโดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับ ที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๕ [๔๔] มาตรา ๑๐๙๗ แก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔๕] มาตรา ๑๑๐๒ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๔๖] มาตรา ๑๑๐๓ ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๔๗] มาตรา ๑๑๑๑ วรรคห้า ยกเลกิ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔๘] มาตรา ๑๑๑๑/๑ เพ่มิ โดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔๙] มาตรา ๑๑๑๖ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๕๐] มาตรา ๑๑๑๗ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ (ฉบับท่ี ๒) [๕๑] มาตรา ๑๑๒๗ วรรคสอง แก้ไขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๕๒] มาตรา ๑๑๔๐ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘
350 [๕๓] มาตรา ๑๑๔๗ ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ท่ี ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๕๔] มาตรา ๑๑๕๓/๑ เพม่ิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๕๕] มาตรา ๑๑๕๗ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับท่ี ๑๕) พ.ศ. ๒๕๔๙ [๕๖] มาตรา ๑๑๗๕ แก้ไขเพม่ิ เติมโดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๕๗] มาตรา ๑๑๙๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๕๘] มาตรา ๑๑๙๙ วรรคหน่ึง แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘ [๕๙] มาตรา ๑๒๐๔ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖๐] มาตรา ๑๒๒๒ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๑] มาตรา ๑๒๒๓ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๒] มาตรา ๑๒๒๖ แกไ้ ขเพิม่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖๓] มาตรา ๑๒๒๙ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๔] มาตรา ๑๒๓๐ ยกเลกิ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๕] มาตรา ๑๒๓๑ ยกเลกิ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๖] มาตรา ๑๓๓๒ ยกเลกิ โดยพระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๗] มาตรา ๑๒๓๓ ยกเลกิ โดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๘] มาตรา ๑๒๓๔ ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑ [๖๙] มาตรา ๑๒๓๕ ยกเลิกโดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359