Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore UTEL : Ubiquitous Technology Enhanced Learning: The Outcome-Based Learning Design

UTEL : Ubiquitous Technology Enhanced Learning: The Outcome-Based Learning Design

Published by jinmonsakul, 2020-05-06 03:42:33

Description: หนังสือ UTEL : Ubiquitous Technology Enhanced Learning:
The Outcome-Based Learning Design for 21* Century Learners
ยูบิควิตัสเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการเรียนรู้:การออกแบบที่เน้นผลลัพธ์การเรียนรู้สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21

Keywords: Ubiquitous,UTEL,Technology,Learning,Learners

Search

Read the Text Version

Chapter 2 91 จำกกำรศึกษำบทควำมวิชำกำรและงำนวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับขั้นตอนกำรเรียนแบบผสมผสำน (Khalil, Meguid, and Elkhider, 2018; Dick et al., 2004; Alvarez, 2005; สู ติ เ ท พ ศิ ริ พิ พั ฒ น กุ ล , 2553; จินตวีร์ คล้ำยสังข์, 2557) สำมำรถสรุปข้ันตอนของกำรจัดกำรเรียนรู้ตำมแนวคิดกำรเรียนแบบผสมผสำน ได้ ดังตอ่ ไปน้ี สรุปการสังเคราะห์ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรยี นแบบผสมผสาน 1. วเิ ครำะหว์ ำงแผน กำหนดจดุ มุ่งหมำยในกำรจัดกำรเรียนรแู้ บบผสมผสำน 2. ออกแบบกิจกรรมและสอื่ กำรเรยี นกำรสอนแบบผสมผสำน (พิจำรณำควำมเหมำะสมระหวำ่ งกำรเรยี นแบบ เผชิญหน้ำและกำรเรียนออนไลน์) 3. กำหนดสง่ิ ท่ีผ้เู รยี นตอ้ งรู้ก่อนเรียน (สำหรบั กำรเรียนออนไลน)์ 4. กำหนดจดุ ประสงค์ เนือ้ หำ สื่อและวิธีกำรเรียนแบบผสมผสำน (ระบุว่ำเน้ือหำ สื่อและวิธกี ำรใดท่จี ะต้องเรียน แบบเผชญิ หน้ำและแบบออนไลน์) 5. พัฒนำบทเรยี นออนไลน์ 6. จดั กำรเรียนกำรสอนแบบผสมผสำน (ดงึ คณุ สมบัตเิ ด่นของกำรเรียนแบบเผชญิ หน้ำและระบุบรบิ ททเ่ี ออื้ ตอ่ กำรเรียนรใู้ นรปู แบบดังกล่ำว) 7. ประเมินผลกำรเรยี นรแู้ บบผสมผสำน (เน้นกำรประเมินด้วยกำรเก็บรอ่ งรอยพฤติกรรมออนไลน์และกำรทำ แบบทดสอบเพอ่ื วดั ผลกำรเรยี นรูใ้ นหอ้ งเรียนและกำรสงั เกตพฤติกรรมในหอ้ งเรียน) 4.2 การประยุกต์ใช้ UTEL ในบรบิ ทการเรยี นรู้เสมือน (Virtual Learning Environment) สืบเน่ืองจำกในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ำมำเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของทุกคน โดยเป็นสังคมแห่งโลก ดิจิทัลที่สำมำรถเข้ำถึงแหล่งข้อมูลสำรสนเทศได้อย่ำงรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนตอ้ งปรับให้ สอดคล้องกับวิถีชีวิตด้วยจึงต้องเน้นให้ผู้เรียนสำมำรถเรยี นรู้ได้ตลอดเวลำ นำไปสู่กำรศึกษำตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ด้วยวิธีกำรสอนที่มีควำมยืดหยุ่นที่ไม่จำกัดอยู่เพียงแต่ในห้องเรียน แต่สำมำรถเรียนรู้ได้ใน สภำพแวดล้อมท่ีมีบริบทตำ่ งกัน ท้ังน้ี สภำพแวดลอ้ มกำรเรียนรู้เสมือนจริงจะช่วยลดชอ่ งว่ำงในกำรเรียนรู้ดงั กลำ่ ว เน่ืองจำกผู้เรียนสำมำรถเรียนรู้ด้วยตนเองทุกท่ี ทุกเวลำ ส่งเสริมกำรเรียนรู้ด้วยตนเองตำมอัตรำกำรเรียนรู้ของ ผู้เรียน (Self-Paced Learning) กล่ำวคือผู้เรียนจะสำมำรถควบคุมกำรเรียนรู้ของตนเองได้อย่ำงอิสระ เช่น กำรย้อนกลับมำศึกษำเน้ือหำเพิ่มเติมในส่วนท่ีตนเองไม่เข้ำใจ หรือข้ำมเน้ือหำในส่วนที่ตนเองเคยศึกษำมำแล้ว นอกจำกน้ี สภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้เสมอื นจรงิ ไมเ่ พยี งพัฒนำควำมรู้ควำมเขำ้ ใจของ ผูเ้ รยี นเท่ำนน้ั แต่ยังสำมำรถ กระตุ้นกำรกำกับตนเองหรือกำรนำตนเอง (Self-Directed Learning) ของผู้เรียน อันจะนำไปกำรศกึ ษำตลอดชวี ติ ไดเ้ ป็นอย่ำงดี (Khlaisang & Mingsiritham, 2016) โดยสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้ที่มีประสิทธิภำพควรเปิดโอกำสให้ผู้เรียนมีกำรทำกิจกรรมร่วมกัน สร้ำง แรงจูงใจแก่ผู้เรียน ตอบสนองต่อควำมต้องกำรของผู้เรียนในยุคปัจจุบันด้วยกำรสร้ำงประสบกำรณ์ตรง ให้ผล

92 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ป้อนกลับแบบทันที และมีควำมยืดหยุ่นในด้ำนอุปกรณ์กำรเรียนรู้ ซึ่งสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้เสมือนจริงจะช่วย ส่งเสริมควำมคิดสร้ำงสรรค์ ทักษะกำรแก้ปัญหำกำรสื่อสำร และทักษะในกำรทำงำนร่วมกันของผู้เรียน ผ่ำน กำรแลกเปล่ยี นควำมคิดเห็น กำรแบ่งปนั แนวคิดหรือข้อคน้ พบตำ่ งๆมำกกว่ำกำรเรยี นรดู้ ้วยตนเองเพียงอยำ่ งเดยี ว (Khlaisang & Songkram, 2017) โดยสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้เสมือนจริงนั้นจะครอบคลุมท้ังกำรเรียนรู้ผ่ำน เว็บไซต์ กำรเรียนรู้ผ่ำนระบบจัดกำรเรียนรู้ (LMS) ตลอดจนสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้ในโลกเสมือนสำมมิติ (3D Virtual World) เน่ืองจำกปัจจุบันได้มีกำรนำนวัตกรรมทำงเทคโนโลยีต่ำงๆมำใช้อย่ำงแพร่หลำยใน สภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้เสมือนจริง เช่น กำรนำเทคโนโลยีเสมือนจริงมำใช้เป็นเครื่องมือในกำรเรียนรู้ ช่วยให้ ผู้เรียนได้รับประสบกำรณท์ ่ีหลำกหลำยในกำรเรียนรู้ กระตุ้นควำมสนใจ กำรมีส่วนร่วม กำรจินตนำกำรและกำรมี ปฏิสัมพันธ์ในกำรเรยี นรู้ระหว่ำงผู้เรียนในบรบิ ทท่ีต่ำงกัน รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงผเู้ รยี นและผู้สอน (Khlaisang & Mingsiritham, 2016; Khlaisang & Songkram, 2013) องค์ประกอบที่สำคัญของห้องเรียนเสมือนจริงประกอบด้วย (1) เคร่ืองมือสำหรับใช้ในกำรเรียนรู้ตำม อธั ยำศัยของผเู้ รียนเช่น แหล่งทรพั ยำกรกำรเรยี นรูแ้ บบเปิด (Open Education Resources: OER) ท่ีใชเ้ ทคโนโลยี สำรสนเทศเป็นเคร่ืองมือให้ผู้เรียนสำมำรถเลือกเนื้อหำในกำรเรียนรู้ได้ตำมควำมต้องกำร เช่น กำรเรียนรู้ผ่ำน ทำง Youtube, เว็บไซต์ หรือ Google Drives เป็นต้น (2) เคร่ืองมือสำหรับใช้ในกำรสื่อสำร ได้แก่ ระบบจัดกำร เรียนรู้ สอ่ื สงั คม และ Open Simulators ซงึ่ เป็นเครอื่ งมอื ช่วยในกำรเกิดปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวำ่ งผู้เรียนกบั ผ้เู รยี น และ ผเู้ รยี นกับผู้สอน ในกำรติดตอ่ สอื่ สำรและแลกเปลยี่ นข้อมูลต่ำงๆ รวมท้ังเป็นแหลง่ ข้อมลู ในกำรเรียนรู้และเชือ่ มโยง กับเน้ือหำอื่นๆที่เกี่ยวข้อง (Khlaisang & Songkram, 2013) สอดคลอ้ งกับที่ Ducange et al. (2017) ได้กล่ำวถึง องค์ประกอบของสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้เสมือนจริงท่ีประกอบด้วย (1) แหล่งเรียนรู้ ซ่ึงอำจเป็นเอกสำร ไฟล์ข้อมูล หรือวิดีโอ และมีกำรติดตำมปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่ำงผู้เรียนกับแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับ สภำพกำรเรียนรู้ในปัจจุบัน (2) กำรทดสอบเป็นกำรประเมินผลกำรเรียนรู้และควำมก้ำวหน้ำของผู้เรียนแบบ ออนไลน์ รวมทั้งบันทึกผลไว้ในโปรไฟล์ของผู้เรียน (3) เคร่ืองมือท่ีใช้ในกำรตรวจสอบกำรทำกิจกรรมต่ำงๆของ ผเู้ รียน ทง้ั กำรเข้ำสรู่ ะบบหรือออกจำกระบบของผเู้ รียน กำรสือ่ สำรแบบประสำนเวลำผำ่ นทำงแชท และกำรส่ือสำร แบบไม่ประสำนเวลำผ่ำนทำง Discussion Board เป็นต้น (4) e-Portfolio ของผู้เรียนที่ใช้ในกำรเก็บผลงำนและ เอกสำรต่ำงๆของผู้เรียน และ (5) E-tivities ประกอบด้วยแผนผงั มโนทัศน์ วิกิ หรือเคร่ืองสำหรับใช้ในกำรทำงำน รว่ มกนั ของผู้เรยี น จำกกำรทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องได้แก่ (Khlaisang & Mingsiritham, 2016; Khlaisang & Songkram, 2013; Ducange et al., 2017; Gonzalez-Marcos et al.,2018) สำมำรถสรปุ องค์ประกอบที่สำคัญ ของสภำพแวดลอ้ มกำรเรยี นรู้เสมอื นจริงได้ดังต่อไปนี้ สรปุ การสงั เคราะห์องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมการเรยี นรู้เสมือนจรงิ 1. กำรออกแบบสภำพแวดล้อมในกำรเรยี น 6. กำรติดตำมกำรเรียนรู้ของผ้เู รยี น 2. วธิ สี อนและเทคนคิ กำรสอน 7. แพลตฟอรม์ ในกำรเรยี นรู้

Chapter 2 93 3. เครื่องมือสำหรับใช้ในกำรตดิ ต่อสือ่ สำร 8. แหลง่ เรยี นรู้ท่หี ลำกหลำย 4. กำรแลกเปลย่ี นขอ้ มลู /ทำงำนร่วมกันของผเู้ รยี น 9. กำรศึกษำตำมอธั ยำศยั ของผ้เู รียน 5. กำรให้ผลปอ้ นกลบั ทหี่ ลำกหลำย 10. กำรประเมินตนเองของผ้เู รียน 4.3 การประยุกต์ใช้ UTEL ในบริบทการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Learning Environment) เ ป็ น ที่ ท ร ำ บ กั น ดี ว่ ำ ใ น ปั จ จุ บั น ก ำ ร เ รี ย น ก ำ ร ส อ น ใ น รู ป เ ดิ ม ที่ เ น้ น ก ำ ร บ ร ร ย ำ ย ใ น ชั้ น เ รี ย น แ ล ะ ให้ผู้เรียนจดบันทึกเน้ือหำตำมผู้สอนนั้นจะทำให้ผู้เรียนขำดโอกำสในกำรทำกิจกรรมร่วมกันในชั้นเรียน หรือ กำรซักถำมถำมในส่วนที่ผู้เรียนไม่เข้ำใจ รวมท้ังเกิดปัญหำในกำรตำมช้ันเรียนไม่ทัน เนื่องจำกข้อจำกัดทำงด้ำน เวลำท่ีมีไม่เพียงพอในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน รวมทั้งเน้ือหำท่ีใช้ในกำรเรียนกำรสอนมีมำก ดังนั้นแนวคิด หอ้ งเรียนกลบั ด้ำน (Flipped Classroom หรอื Flipped Learning) จึงไดเ้ รม่ิ ใชข้ ้นึ เรม่ิ จำกในปี 2012 โดย Sams และ Bergmann ครูสอนวิทยำศำสตร์ชำวสหรัฐอเมรกิ ำ ได้นำแนวคดิ เร่อื งหอ้ งเรยี นกลับดำ้ นมำใชใ้ นกำรแก้ปัญหำ ดังกล่ำว ซง่ึ กำรเรียนแบบกลับด้ำนน้ันเปน็ กำรนำเทคโนโลยีมำใชใ้ นกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนนอกหอ้ งเรียน เนน้ ให้ ผู้เรียน กำรเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่ำนทำงส่ือวิดีทัศน์ และเปล่ียนพฤติกรรมของครูผู้สอนจำกกำรเป็นผู้บรรยำยใน ช้ันเรยี น เปน็ ผู้คอยช้ีแนะ ใหค้ ำแนะนำผู้เรยี นขณะทำกิจกรรมในช้ันเรียน สรำ้ งแรงบนั ดำลใจในกำรเรยี น และช่วย ให้ ผู้สอนสำมำรถพิจำรณำกิจกรรมที่เรียนรรู้ ว่ มกันกับผเู้ รียนมำกขึ้น เน่ืองจำกผู้เรยี นไดม้ กี ำรศึกษำเน้ือหำมำก่อน เข้ำชั้นเรียน และผู้เรียนสำมำรถควบคุมกำรเรียนรู้ของตนเองได้มำกขึ้น (Khlaisang, 2018; Hamdan et al., 2014) ควำมแตกต่ำงของกำรเรียนในรูปแบบปกติกับแบบห้องเรียนกลับด้ำนคือกำรเรียนแบบห้องเรียนกลับ ด้ำนน้ัน ครูผู้สอนจะจดั เตรยี มสื่อเพ่ือให้นักเรียนศึกษำมำก่อนเข้ำช้ันเรียน และในระหว่ำงชั้นเรียนครูจะมีบทบำท สำคัญในกำรสนับสนุนและให้คำแนะนำระหว่ำงทำกิจกรรมแก่ผู้เรียน เปลี่ยนจำกกำรเรียนในห้องเรียน เป็นกำรศึกษำนอกห้องเรียน เปลี่ยนจำกกำรทำกิจกรรมนอกเวลำเรียน เป็นทำกิจกรรมในช้ันเรียนมำกขึ้น ซ่ึงจะ ตรงข้ำมกับกำรเรียนแบบปกตทิ ี่ครูจะบรรยำยเน้ือหำในช้ันเรียน และให้กำรบ้ำนหรือแบบฝึกหัดหลังจำกเรยี นจบ (Khlaisang, 2018; Sezer, 2016) คุณลักษณะสำคญั ของหอ้ งเรียนกลับด้ำนประกอบด้วย 1. กำรออกแบบเนื้อหำสำหรับให้ผู้เรียนศึกษำนอกห้องเรียนที่เหมำะสม เพ่ือเตรียมนักเรียน ให้มีควำมพร้อมสำหรับกิจกรรมในชั้นเรียน มีจุดเด่นคือผู้เรียนสำมำรถควบคุมกำรเรียนรู้ของตนเอง โดยเน้ือหำจะอยู่ในรูปแบบของวิดที ัศน์ทผ่ี ู้เรยี นสำมำรถศกึ ษำไดจ้ ำกอุปกรณ์เทคโนโลยีพกพำของตนเอง สำมำรถ ย้อนกลับไปศึกษำในส่วนท่ีตนเองไม่เข้ำใจได้ ตอบโจทย์เร่ืองรูปแบบ กำรเรียนรู้และอัตรำกำรเรียนรู้ของผู้เรียน ทแี่ ตกต่ำงกัน

94 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 2. กำรประเมินผู้เรียนก่อนเข้ำเรียน โดยอำจอยู่ในรูปแบบของกำรให้เข้ำร่วมกิจกรรมก่อนเข้ำเรียนหรอื กำรทดสอบก่อนเรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเตรียมควำมพร้อมในกำรเรยี นมำกขึ้น และยังช่วยผู้สอนให้ทรำบข้อมลู เบอื้ งต้น สำหรบั กำรนำไปปรับใช้ในกำรทำกิจกรรมในชั้นเรียน 3. กำรกำหนดกิจกรรมในช้ันเรียนสำหรับใช้ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกำรต่อยอดกำรเรียนรู้ กำรอภิปรำยร่วมกัน และกำรแก้ปัญหำ มำกกว่ำกำรฟังและจดบันทึกจำกกำรบรรยำย โดยเน้นกิจกรรมจำก กำรเรียนเชิงรับ (Passive Learners) ที่เน้นกำรเรียนแบบนงั่ ฟังหรือจดตำมครสู อนมำเปน็ กิจกรรมท่ีเน้นกำรเรยี น เชงิ รุก (Active Learners) มำกย่งิ ข้นึ โดยสำมำรถอยูใ่ นรปู แบบของกิจกรรมท่เี น้นกำรเรียนร้รู ว่ มกัน และกจิ กรรม ที่เนน้ กำรแกป้ ญั หำ 4. กำรเปิดโอกำสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติและรับคำแนะนำหรือข้อมูลป้อนกลับจำกผู้สอน อย่ำง มีประสทิ ธิภำพ จุดเด่นของกำรเรียนแบบกลับด้ำนคือกำรออกแบบเนื้อหำและกิจกรรมท่ีเน้นกำรทำงำนร่วมกันของ ผู้เรียน ผเู้ รยี นสำมำรถศึกษำเนอ้ื หำท่คี รูผู้สอนไดจ้ ัดเตรยี มไวด้ ้วยตนเอง ใช้ส่อื กำรเรยี นรูท้ ่หี ลำกหลำยในกำรเขำ้ ถึง แหล่งเรียนรู้ มีอิสระในกำรเรียนรู้ สำมำรถเรียนรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลำ และสำมำรถประเมินควำมเข้ำใจของตนเองได้ เน้นกำรเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์และกำรเรียนรู้เชิงรุก รวมท้ังมีควำมยืดหยุ่นของกำรบริหำรจัดกำรเวลำใน ช้ันเรียน ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้อย่ำงมีประสิทธิภำพมำกยิ่งขึ้น รวมท้ังเสริมสร้ำงแรงจูงใจในกำรเรียน ของผู้เรียนได้เป็นอย่ำงดี (Abeysekera & Dawson, 2014; Bergmann & Sams, 2012; Khlaisang, 2018; McGivney-Burelle & Xue, 2013, Rau et al., 2017) จำกกำรศึกษำบทควำมวิชำกำรและงำนวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกับห้องเรียนกลบั ดำ้ น สำมำรถสรุปองคป์ ระกอบ ที่สำคัญของห้องเรียนกลับด้ำน ดังนำเสนอเป็นข้อสรุปได้ว่ำจำกกำรสังเครำะห์บทควำมและงำนวิจัยท่ีเก่ียวข้อง (Fln, 2014; Sezer, 2016; McGivney-Burelle & Xue, 2013; Abeysekera & Dawson, 2014) สำมำรถสรุป องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้ำนได้ดังตอ่ ไปนี้ สรุปการสังเคราะห์องคป์ ระกอบของห้องเรยี นกลบั ดา้ น 1. กำรเตรยี มพร้อมกอ่ นเข้ำเรียนของผู้เรยี น โดยกำรศึกษำเน้ือหำจำกแหลง่ เรยี นรู้ทีค่ รูผู้สอนเตรยี มไว้ 2. กำรประเมินตนเองของผู้เรยี น เพอื่ ผเู้ รยี นสำมำรถตรวจสอบควำมเขำ้ ใจของตนก่อนกำรเรยี นในชน้ั เรยี น 3. ผู้เรยี นสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเองจำกกำรศึกษำเนื้อหำและลงมือทำกจิ กรรมในชัน้ เรยี น 4. ผเู้ รียนมีอสิ ระในกำรศกึ ษำเน้อื หำ ควบคุมกำรเรียนรขู้ องตนเอง และทำงำรร่วมกับผอู้ ่ืน 5. ผู้สอนมกี ำรจัดเตรยี มสอ่ื ทเ่ี หมำะสมกับเนอ้ื หำและลกั ษณะของผูเ้ รยี น 6. กำรกำหนดภำระงำนทีม่ ีควำมท้ำทำยและเนน้ กำรทำกิจกรรมในชัน้ เรยี น 7. กำรเลอื กเนอ้ื หำ วธิ สี อน และกำรประเมินทเี่ หมำะสม 8. ผู้สอนมีบทบำทสำคัญในกำรให้คำแนะนำและให้ผู้ตอบกลับแก่ผเู้ รียน

Chapter 2 95 4.4 การประยกุ ต์ใช้ UTEL ในบริบทการเรียนรู้โมบาย (Mobile Learning Environment) Mobile Learning หรือ M-Learning เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับ ULE โดยบูรณำกำรและใช้งำน อุปกรณ์เคลื่อนท่ี ซ่ึงช่วยให้เกิดกำรเรียนรู้ในทุกท่ีทุกเวลำโดย Pachler, Bachmair, and Cook (2010) ได้ให้ ควำมหมำยไว้ว่ำ M-Learning ไม่ใช่เพียงแต่เป็นกำรส่งเน้ือหำไปยังอุปกรณ์เคลื่อนท่ีเท่ำนั้น แต่ยังเก่ียวข้องกับ คุณสมบัติของเครื่องมือท่ีจะช่วยเอื้อต่อกระบวนกำรในกำรรับรู้และควำมสำมำรถในกำรทำงำนเพ่ือเปล่ียนแปลง ลดช่องว่ำงในกำรเรียนรู้ โดยได้เช่ือมพื้นท่ีแห่งกำรเรียนรู้ (Learning Spaces) ต่ำงๆ ทั่วโลกเข้ำไว้ด้วยกัน โดย ประเภทของ M-Learning ตำมอุปกรณ์กำรใช้งำน (Sampson D.G. et al 2013) ได้แก่ (1) คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เป็นคอมพิวเตอร์ขนำดพกพำ (2) แท็บเล็ต เป็นคอมพิวเตอร์พกพำขนำดเล็กที่มีควำมสำมำรถเหมือนกับ PC (3) PDA เป็นอุปกรณ์พกพำขนำดเล็กแต่มีหน่วยประมวลผลที่มีควำมสำมำรถสูง (4) โทรศัพท์มือถือ เน้นกำรใช้ ข้อมูลประเภทเสียงและกำรรับส่งข้อควำม สำมำรถเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ต และ (5) สมำร์ทโฟน เป็นอุปกรณ์ โทรศพั ทท์ ี่มคี วำมสำมำรถสงู โดยรวมควำมสำมำรถของ PDA และ โทรศัพท์มอื ถือเข้ำด้วยกนั Quinn (2011) กล่ำวถงึ รูปแบบกำรเรียนรู้แบบเคลอ่ื นทีม่ ีกำรสรำ้ งปฏิสมั พนั ธ์ทำงกำรเรยี นใน 4 ช่องทำง ไดแ้ ก่ (1) Content ปฏิสัมพันธ์กำรเรยี นรู้ทผี่ ้เู รียนได้รับเน้อื หำกำรเรียนผ่ำนอุปกรณส์ อื่ สำรเคล่ือนที่ โดยอำจอยใู่ น รบู แบบตัวอกั ษร ข้อควำม ภำพนิ่ง ภำพเคลื่อนไหว เสียง (2) Compute ปฏิสมั พันธก์ ำรใชง้ ำนของแอพพลิเคช่ันท่ี อยู่บนอุปกรณ์ส่ือสำรเคลื่อนท่ี เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ตำมวัตถุประสงค์ (3) Capture ปฏิสัมพันธ์จำกกำรส่ง สำร กำรสรำ้ งข้อมลู และบนั ทกี ข้อมูลในรูปแบบตำ่ ง ๆ เช่น เสยี ง วิดโี อ รูปภำพ ขอ้ ควำมจำกผู้สง่ สำรไปยงั ผรู้ บั สำร ในท่ีต่ำงๆ และ (4) Communication ปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงผู้ส่งสำรกับผู้รับสำรในลักษณะของกำรใช้เครื่องมือ สือ่ สำรด้วยกำรสง่ ข้อควำม ภำพ หรือเสียง ท้ังน้ี จำกผลกำรสังเครำะห์งำนวิจัยและบทควำมวิชำกำรต่ำงๆ ได้แก่ Trifonova and Ronchetti (2004) Georgieva, Smrikarov and Georgiev (2005) สำโรช โศภีรักข์ (2557) ภสิทธ เมตตพันธุ์ (2556) และ ธงชัย แก้วกิริยำ (2552) สำมำรถสรปุ องค์ประกอบท่ีสำคญั ของ M-Learning ได้ดังตอ่ ไปน้ี สรปุ การสังเคราะห์องค์ประกอบท่สี าคัญของ M-Learning 1. M-Device คืออปุ กรณ์เคล่อื นท่ี 2. M-LMS คอื ระบบกำรจดั กำรกำรเรียนกำรสอน ครอบคลุมกำรนำเสนอเนื้อหำ กำรประสำนขอ้ มูลและ แหลง่ ข้อมูล และกำรกำหนดกิจกรรมสำหรบั อุปกรณเ์ คลอ่ื นท่ี 3. M-Content คอื หน่วยเก็บเนอ้ื หำบทเรยี น (Content Repository) 4. M-Testing คือกำรจดั กำรด้ำนกำรประเมินผลกำรเรยี น

96 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 5. M-Learner คอื สว่ นของผเู้ รียนท่ีใช้งำน กำรจัดกำรแสดงผลหนำ้ จอ (interface) ทเี่ อ้ือตอ่ กำรเรียนรู้ รวมถึง เอือ้ ต่อกำรตดิ ต่อส่อื สำรระหวำ่ งผู้สอนและผเู้ รยี นและระหว่ำงผเู้ รียนด้วยกนั 4.5 การประยกุ ต์ใช้ UTEL ในบรบิ ทการเรียนรบู้ นคลาวด์ (Cloud Based Learning Environment) คลำวด์เทคโนโลยเี ป็นเทคโนโลยีทนี่ ิยมในปจั จุบนั โดยเปน็ กำรใหบ้ ริกำรทรัพยำกรทำงคอมพวิ เตอร์ต้งั แต่ โครงสร้ำงระบบไปจนถึงโปรแกรมประยุกต์ท่ีผู้ใช้สำมำรถเข้ำถึงบริกำรได้สะดวกและรวดเรว็ เร่ิมจำกแนวคิดของ สภำพแวดล้อมทำงไกลท่ีต้องกำรส่งเสริมกำรใช้โปรแกรมร่วมกันบนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต โดยใช้คำว่ำคลำวด์ เพอ่ื สอื่ ถงึ เครอื ข่ำยอินเทอร์เน็ตท่ีเช่ือมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซอฟตแ์ วร์ ฮำรด์ แวร์เข้ำดว้ ยกนั เปรยี บด่งั กล่มุ กอ้ นเมฆ ที่ลอยอยู่แต่มีควำมสลับซับซ้อนภำยใน เป็นกำรสร้ำงโลกเสมือนเพื่อกำรทำงำน โดยสร้ำงพื้นที่กำรใช้งำนบน เซิฟเวอร์ขึ้นตำมควำมต้องกำรของผู้ใช้งำน ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งำนเชื่อมต่อและทำงำนผ่ำนคลำวด์ ซงึ่ เปรียบได้กบั เครื่องเสมือน (Grossman, 2009; Mell and Grance, 2011; กุลชยั กลุ ตวนิช, 2557) รูปแบบกำรให้บริกำรของคลำว์โดยทั่วไปน้ันมี 3 รูปแบบ (Rajganesh & Ramkumar, 2016; Tian & Zhao, 2015; ปถมำภรณ์ ไทยโพธศ์ิ รี, 2557) ไดแ้ ก่ 1. กำรให้บริกำรซอฟต์แวร์ (Software as a Service: Saas) เป็นกำรบริกำรกำรซอฟต์แวร์ที่สำมำรถ นำมำใช้ไดโ้ ดยตรง ซึ่งสำมำรถเข้ำถงึ ซอฟตแ์ วรน์ ี้ไดผ้ ่ำนอุปกรณข์ องผูใ้ ชท้ หี่ ลำกหลำย ผ้ใู ชไ้ ม่จำเป็นตอ้ งจดั กำรหรอื ควบคุมโครงสร้ำงพ้ืนฐำนคลำวด์ ส่วนใหญ่เป็นเบรำว์เซอร์และมฟี ังก์ชันท่ีเฉพำะเจำะจง เช่น ระบบในกำรจัดกำร ควำมสัมพันธ์กับลูกค้ำ ซ่ึงจะใช้งำนได้ง่ำยแต่มีควำมยืดหยุ่นในระดับต่ำและโดยท่ัวไปจะใช้สำหรับงำนท่ี เฉพำะเจำะจง 2. กำรให้บริกำรแพลตฟอร์ม (Platform as a Service: PaaS) กำรให้บริกำรแพลตฟอร์ม ประกอบไป ด้วย ระบบปฏิบัติกำร สภำพแวดลอ้ มกำรพฒั นำโปรแกรม เซิรฟ์ เวอร์ และระบบฐำนข้อมลู ทรพั ยำกรแพลตฟอร์ม น้ีสำมำรถแบ่งปันและนำมำใช้ร่วมกันระหว่ำงผู้ใช้ได้ กำรพัฒนำและกำรใช้งำนของโปรแกรมจะมีข้อกำหนดท่ี เจำะจง เช่นกำรใช้ภำษำในกำรเขียนโปรแกรม กรอบกำรเขียนโปรแกรม และรูปแบบกำรจัดเก็บข้อมูล เช่น Google App Engine 3. กำรให้บริกำรโครงสร้ำงพื้นฐำน (Infrastructure as a Service: IaaS) เป็นกำรบริกำรจัดหำ กำรประมวลผล ท่ีจัดเก็บขอ้ มูล ปริมำณกำรรับสง่ ขอ้ มลู โดยตรงกบั ผูใ้ ช้งำน (Network Bandwidth) เครอื ขำ่ ยและ ทรัพยำกรอ่ืน ๆ ที่ผู้ใช้สำมำรถปรับและเรยี กใช้ซอฟต์แวร์ รวมถึงระบบปฏิบัติกำรและแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สำมำรถ เป็นเจ้ำของอุปกรณ์ต่อพ่วงและสำมำรถกำหนดค่ำได้ตำมควำมต้องกำร แต่ไม่สำมำรถจัดหำหรือควบคุม ระบบปฏิบัติกำร ที่จัดเก็บข้อมูล และแอพลิเคชันที่ใช้งำนได้ เช่น Amazon EC2 (Amazon Elastic Cloud Computing)

Chapter 2 97 Denton (2012 อ้ำงถึงใน จิตรลดำ คำนวนสิน จินตวีร์ คล้ำยสังข์ และประกอบ กรณีกิจ, 2561) ได้ นำเสนอกลยทุ ธ์สำหรบั กำรใช้คลำวดท์ ่ีเอื้อตอ่ กำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนแบบคอนสตรัคติวิสต์และกำรเรียน แบบร่วมมือ ได้แก่ (1) กำรทำงำนเป็นกลุ่ม (Group Projects) (2) กำรประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) (3) กำรสร้ำงกำรนำเสนอผลงำน (Student Constructed Presentations) (4) กำรอภิปรำยพร้อมกันในช้ันเรียน (Simultaneous Class Discussions) (5) กำรร่วมสะท้อนคิด (Collaborative Reflection) (6) กำรเขียนโดย กำรชแี้ นะ (Assisted Writing) (7) กำรเรียนรูด้ ว้ ยภำพประกอบ (Learning Illustrated) (8) กำรรวบรวมขอ้ มูลใน ชั้นเรียน (Class Inventory) (9) กำรสร้ำงรูบริคแบบร่วมมือกัน (Collaborative Rubric Construction) (10) กำรเผยแพรเ่ ว็บไซต์ (Website Publishing) นอกจำกน้มี ีงำนวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับกำรนำเคร่ืองมือคลำวดม์ ำใช้กบั กำรจดั กำรเรยี นกำรสอน ตัวอยำ่ งเช่น งำนวจิ ัยเร่ือง ระบบกำรเรียนบนหอ้ งเรียนเสมอื นแบบคลำวด์ตำมแนวคิดกำรเรยี นรูค้ อนเนค็ ตวิ ิสม์เพอื่ ส่งเสรมิ กำรรู้ สำรสนเทศและกำรรับรู้ควำมสำมำรถของตนเองดำ้ นกำรรู้สำรสนเทศสำหรบั นิสติ นักศึกษำปริญญำตรี ของกุลชัย กุลตวนิช ในงำนวิจัยนี้ ผู้เขียนได้เห็นกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่น่ำประทับใจ ในฐำนะผู้สอนในรำยวิชำดังกล่ำว จึงขอหยิบยกมำเป็นตัวอย่ำง โดยเครื่องมือคลำวด์ที่นำมำใช้บนเว็บมีกำรให้บริกำรแบบ Software as a Service เปิดให้บริกำรแก่สำธำรณะสำมำรถนำมำใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้ โดยมีเคร่ืองมือดังน้ี (1) เคร่ืองมือระบุ หัวข้อและคำค้น (Topics and Keyword Specify Tools (2) เคร่ืองมือบันทึกและจัดเก็บแห่งควำมรู้ (Knowledge Bookmaking Tools) (3) เคร่ืองมอื แบบฟอร์ม (Form Tools) (4) เคร่ืองมือสร้ำงเนือ้ หำ (Content Creation Tools) (5) เคร่ืองมืออ้ำงอิง (Reference Tools) (6) เครื่องมือนำเสนอ (Presentation Tools) (7) เครื่องมือกำรติดต่อสื่อสำร (Communication Tools) และ (8) เคร่ืองมือกำรประเมินผล (Assessment Tools) โดยมีตัวอย่ำงหนำ้ จอดงั น้ี ภาพที่ 2.26 หน้ำจอระบบกำรเรียนบนหอ้ งเรยี นเสมอื นแบบคลำวด์ตำมแนวคิดกำรเรียนรูค้ อนเน็คติวิสม์ เพ่อื ส่งเสริมกำรรู้สำรสนเทศและกำรรับรคู้ วำมสำมำรถของตนเองดำ้ นกำรร้สู ำรสนเทศ สำหรับนิสิตนกั ศกึ ษำปรญิ ญำตรี (กลุ ชัย กลุ ตวนิช, 2557)

98 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ภาพที่ 2.27 หน้ำจอระบบกำรเรยี นบนหอ้ งเรียนเสมือนแบบคลำวด์ตำมแนวคิดกำรเรียนรคู้ อนเน็คตวิ ิสมเ์ พือ่ สง่ เสริมกำร รู้สำรสนเทศและกำรรบั รู้ควำมสำมำรถของตนเองด้ำนกำรรสู้ ำรสนเทศสำหรับนิสิตนกั ศกึ ษำปริญญำตรีท่แี สดงตวั อยำ่ ง เครอื่ งมืออำ้ งอิงและเคร่ืองมอื นำเสนอ (กุลชัย กุลตวนิช, 2557) ทั้งน้ี เมื่อพิจำรณำจำกนิยำมของ UTEL ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีใน 3 ระดับได้แก่ ระดับท่ี 1 กำรใช้ อุปกรณ์เคลื่อนท่ีกับระบบท่ีมีอยแู่ ล้ว (UTEL) ระดับที่ 2 กำรใช้อุปกรณ์เคล่อื นท่ีกับระบบที่ได้มีกำรพัฒนำต่อยอด หรือระบบที่ได้พัฒนำขึ้นใหม่เพื่อให้มีควำมเหมำะสมกับบริบทน้ัน (Customized UTEL) และระดับท่ี 3 กำรใช้ อุปกรณ์เคลื่อนท่ีร่วมกับอุปกรณ์เสริมเพ่ือให้เกิดกำรใช้งำนท่ีมีประสิทธิภำพย่ิงข้ึน (UTEL with Smart Tools) ขอยกตัวอย่ำงงำนวิจัยท้ัง 3 ระดับที่น่ำสนใจ ดังตัวอย่ำงเช่น ระดับท่ี 1 มีนักวิจัยได้ศึกษำเก่ียวกับเร่ืองนี้ ตัวอย่ำงเช่น Ryder and Machajewski (2017) ศึกษำเกี่ยวกับกำรใช้แอปพลิเคชัน UIC German โดยใช้แนวคิด เกมิฟิเคชัน (Gamification) เพ่ือพัฒนำกำรเรียนภำษำของนักศึกษำต่ำงชำติ โดยแอปพลิเคชันประกอบไปด้วย ภำรกิจต่ำงๆ ให้นักศึกษำเข้ำไปศึกษำ ซึ่งแต่ละภำรกิจจะมีคะแนนแตกต่ำงกันไปตำมควำมยำกง่ำยของภำรกิจ นอกจำกนี้ผู้เรียนยังสำมำรถตรวจสอบควำมก้ำวหน้ำของตนเองได้ ผลของงำนวิจัยพบว่ำ แอปพลิเคชันสำมำรถ สง่ เสรมิ กำรเรยี นภำษำองั กฤษของนักศกึ ษำต่ำงชำติ (ภำพท่ี 2.28) ภาพท่ี 2.28 แสดงแอปพลเิ คชัน UIC German

Chapter 2 99 ในระดับที่ 2 (Customized UTEL) มีงำนวิจัยของ Arain, Hussain, Rizvi and Vighio (2018) กำรวิเครำะห์อิทธิพลของแอปพลิเค ชันกำรเรี ยนรู้บนอุปกรณ์เ คลื่ อนท่ีเ ก่ีย วกับผล กำรเรีย นรู้ของนักศึ กษำ ระดับอุดมศึกษำ ผลกำรวิจัยพบว่ำ นักศึกษำท่ีใช้แอปพลิเคชันในกำรเรียนรู้มีผลกำรเรียนรู้สูงกว่ำก่อนเรียนด้วย แอปพลเิ คชนั ภาพท่ี 2.29 แสดงโมบำยแอปพลิเคชันเพ่อื พัฒนำผลกำรเรยี นรขู้ องนักศึกษำระดบั อุดมศึกษำ ในระดับที่ 3 พบตัวอย่ำงงำนวิจัยท่ีเป็นลักษณะของกำรใช้ UTEL with Smart Tools ได้แก่ Ray and Deb (2016) ได้ทำกำรวิจัยเกี่ยวกับกำรเรียนรู้ผ่ำนควำมเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ผ่ำนอุปกรณ์ Cardboard ในกำรพัฒนำผลลพั ธก์ ำรเรียนรู้ของผูเ้ รยี น ผลกำรวิจยั พบว่ำ ผู้เรียนท่ีเรียนรู้ผำ่ นควำมเปน็ จริงเสมือน (Virtual Reality: VR) โดยอุปกรณ์ Cardboard มีควำมตั้งใจในกำรเรียนรู้เพิ่มมำกขึ้น อีกท้ังยังมีผลลัพธ์ทำง กำรเรียนรูส้ ูงกว่ำผู้เรียนที่ไดก้ ำรเรยี นรแู้ บบปกติ (ภำพที่ 2.30) ภาพที่ 2.30 แสดงกำรใช้ Virtual Reality (VR) ผำ่ นอปุ กรณ์ Cardboard (Ray & Deb, 2016) ควำมท้ำทำยของนักออกแบบกำรเรียนกำรสอนคือกำรออกแบบและเลือกใช้ UTEL ในท้ัง 3 ระดับให้ เหมำะสมกบั บรบิ ทเพ่อื ได้สง่ ผลต่อและผลลัพธ์ท่ีไดต้ ้งั ไว้ให้มำกทส่ี ุด



ทกั ษะการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21 ดา้ นสาขาวชิ าหลัก (Key Subject-3Rs and 21st Century Themes) ประกอบด้วย ทักษะการอ่าน (Reading) ทักษะการเขียน (Writing) และทักษะการคานวณ (Arithmetic) โดย ทักษะการอ่าน เป็นกระบวนการที่เก่ียวกับการทาความเข้าใจสิ่งท่ีอ่าน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการทางสติปัญญาใน การนาความรู้ใหม่ผสานรวมกับความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน ทกั ษะการเขียน เป็นทักษะหนึ่งในการ สอ่ื สาร เป็นการบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกถึงความคิด ความรู้ และอารมณ์ความรู้สึกผ่านตวั หนังสือและ เคร่ืองหมายหมายต่างๆ ผ่านตัวอักษร โดยทักษะการเขียนถือเป็นกระบวนการถ่ายทอดออกในการส่งสาร ดังนั้น ทกั ษะการใชภ้ าษาเขยี น ตอ้ งอาศัย พ้นื ฐานความรู้จากการฟงั การพดู และการอ่าน เพราะจากพน้ื ฐานดังกลา่ ว จะ ทาให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์เพียงพอท่ีจะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและ ถา่ ยทอดความคิดออกมา ส่ือสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทักษะการคานวณ ซ่ึงเป็นความสามารถใน การจัดกระทากับตัวเลขหรือค่าแสดงปริมาณอันประกอบด้วย การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉล่ียต่าง ๆ และ การคานวณท่ีซับซ้อน ซ่ึงได้จากการสังเกต การวัด และการทดลอง นอกจากน้ี ทักษะการคานวณจะต้องมีทักษะ การจัดเก็บข้อมูลระหว่างการทางานของการคานวณ ดังนั้นทักษะการคานวณจึงมีความเก่ียวข้องกับกระบวนการ ทางปัญญาและทักษะการจา ซึ่งผูท้ ีม่ ีทักษะการคานวณจะเปน็ ผ้ทู ีส่ ามารถจัดกระทากับตวั เลขไดด้ ี โดยอาจกล่าวได้ว่าทักษะดังกล่าว เช่ือมโยงกับแนวคิดของ Bloom’s Taxonomy ในเรื่องของผลลัพธ์ การเรยี นรูด้ า้ นทกั ษะการคิด แบง่ เปน็ 2 ระดับใหญ่ 6 ระดับยอ่ ยตามแนวคดิ Bloom's Revised Taxonomy โดย Anderson and Krathwohl (2005) ท่ีได้กาหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาท่ีเริ่มจากการเรียนการสอนที่เน้นให้ ผู้เรียนเกิดความรู้ความจา ส่งต่อความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ อันจะส่งผลต่อทักษะการคิดข้ันสูงต่อไป ได้แก่ การวเิ คราะห์ การประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์ท่ผี ูเ้ รียนสามารถนาเอาสง่ิ ตา่ งๆทไ่ี ดเ้ รยี นรู้มาบูรณาการเพอื่ ใหเ้ กิด สงิ่ ใหม่ได้ การออกแบบและการเลือกใช้เคร่ืองมือ (UTEL) กิจกรรมและการประเมินผลท่ีเหมาะสมกับบริบท ยูบิควิตัส (ULE) ซ่ึงเป็นความท้าท้ายและตอบโจทย์ผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการคิดในทักษะท้ัง 3 ด้านของ สาขาวิชาหลัก (ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคานวณ) เป็นส่ิงท่ีท้าทายยิ่งต่อผู้สอนในศตวรรษ

102 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ท่ี 21 นี้ ดังน้ันในบทน้ีจึงจะขอกล่าวถึง (1) Core Concept ความหมาย แนวคิด และวิธีการประเมินทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้านสาขาวิชาหลัก (Key Subject-3Rs and 21st Century Themes) (2) Case Studies กรณีตัวอย่างกล่าวถึงการใช้ UTEL เพ่ือเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในสาขาวิชาหลัก (3) Research Works งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องและการประยุกต์ใช้ และ (4) Perspectives มุมมองของผู้เขียนต่อ UTEL เนน้ การนาเสนอ UTEL ใน 3 ระดบั ได้แก่ ระดับท่ี 1 การใช้อปุ กรณ์เคล่อื นทีก่ ับระบบท่ีมีอยแู่ ล้ว ระดับที่ 2 การใช้อุปกรณ์เคล่ือนท่ีกับระบบที่ได้มีการพัฒนาต่อยอดหรอื ระบบท่ีได้พัฒนาข้ึนใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสมกับ บริบทนน้ั (Customized UTEL) และระดับที่ 3 การใช้อปุ กรณ์เคลื่อนท่ีร่วมกับอุปกรณ์เสริมเพื่อให้เกิดการใช้งาน ท่ีมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน (UTEL with Smart Tools) ในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในสาขาวิชาหลกั มีรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี ภาพที่ 3.1 แนวคิดหลกั ของการใช้ UTEL เพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 ดา้ นสาระหลกั ในบรบิ ท ULE 1. Core Concept ความหมาย แนวคิด และวิธีการประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ดา้ นสาขาวชิ าหลัก มี 2 หัวข้อ ได้แก่ (1) ความหมายและแนวคิดของทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้านสาขาวิชาหลัก (Key Subject-3Rs and 21st Century Themes) และ (2) วิธีการสอนและการประเมินทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 ด้านสาขาวชิ าหลัก มรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ความหมายและแนวคดิ ของทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ดา้ นสาขาวชิ าหลัก สาขาวิชาหลัก (Key Subject-3Rs and 21st Century Themes) ประกอบด้วย (1) ทักษะการอ่าน (Reading) (2) ทักษะการเขียน (Writing) และ (3) ทกั ษะการคานวณ (Arithmetic) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

Chapter 3 103 1. ทักษะการอ่าน (Reading) Grabe and Stoller (2002) ไดใ้ ห้ความหมายของทกั ษะการอ่านไวว้ ่าเป็นการแสวงหาความรู้อย่างไม่มีท่ี ส้ินสุด ทุกคนต้องมีทักษะการอ่านเพ่ือพัฒนาและเพ่ิมพูนประสบการณ์ต่างๆ ของตนเองThe National Assessment of Educational Progress (NAEP,2009 อ้างถึงใน Daane, 2005) ได้ให้คานิยามของทักษะ การอ่านไว้ว่า เป็นกระบวนการเคล่ือนไหวท่ีซับซ้อนท่ีเกี่ยวข้องกับความเข้าใจในงานเขียน การพัฒนาและ การตคี วามหมายใหเ้ หมาะสมกบั เรอ่ื งทอี่ า่ น (Daane, 2005) สาหรับในบรบิ ทไทยน้นั พบว่า สนุ นั ทา ม่ันเศรษฐวทิ ย์ (2542) และ ไพพรรณ อินทนิล (2546) ให้ความหมายของทักษะการอ่านไว้สอดคล้องกันสรุปได้ว่า เป็นกระบวนการที่สลับซบั ซ้อน ตอ้ งการสมาธิในการทาความเข้าใจความหมายของคา ข้อความ และเร่ืองราวของ สาระที่ผู้อ่านต้องสามารถตีความของส่ิงท่ีอ่าน โดยผู้อ่านได้นาความรู้เดิมเข้ามาร่วมตัดสินในการอ่านด้วย นอกจากน้ี พัชรินทร์ แจ่มจารูญ (2547) ให้ความหมายว่า เป็นทักษะท่ีต้องอาศัยกระบวนการทางสติปัญญา จินตนาการ โดยมีประสบการณ์เดิมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการประมวลความรู้ใหม่ และความคิดท่ีมนุษย์นามาใช้ใน การส่ือสารร่วมกันในสังคม ดังนั้นสรุปได้ว่า ทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่เก่ียวกับการทาความเข้าใจส่ิงที่อ่าน ซ่ึงต้องอาศัยกระบวนการทางสติปัญญาในการนาความรู้ใหม่ผสานรวมกับความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์เดิมของ ผู้อา่ น 2. ทักษะการเขยี น (Writing) นักวิชาการหลายท่านได้นิยามความหมายของทักษะการเขียนไว้มากมาย สามารถสรุปได้ว่า ทักษะ การเขียนเป็นหนึ่งในการส่ือสารแบบหนึ่ง เป็นการบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกถึงความคิด ความรู้ และ อารมณ์ความรสู้ ึกผ่านตวั หนังสอื และเครอ่ื งหมายหมายต่างๆ ดังนนั้ การเขยี นจึงเปน็ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกและประสบการณ์ต่างๆ ออกไปให้ผู้อื่นผ่านตัวอักษร ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับการพูด แต่แตกต่างกันท่ี การเขียนมีตัวอักษร ทักษะการเขียนถือเป็นกระบวนการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของการส่งสาร ดังน้ัน ทักษะการใช้ภาษาเขียนจะต้องอาศยั พื้นฐานความรจู้ ากการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะจากพ้ืนฐานดังกล่าว จะทาให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและ ถ่ายทอดความคิดออกมาเพ่ือส่ือสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาองค์ความรู้ อารมณแ์ ละความคิดสรา้ งสรรค์ของผู้เรยี นได้เปน็ อย่างดี (เอกฉัน จารุเมธชี น, 2557; กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551; Government of Ireland, 1999) 3. ทกั ษะการคานวณ (Arithmetic) นักวิชาการหลายท่านได้นิยามความหมายของทักษะการคานวณไว้มากมาย สามารถสรุปได้ว่า ทักษะ การคานวณเป็นความสามารถในการจัดกระทากับตัวเลขหรือค่าแสดงปริมาณอันประกอบด้วยการบวก ลบ คูณ

104 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL หาร การหาค่าเฉล่ียต่างๆ และการคานวณที่ซับซ้อน ซึ่งได้จากการสังเกต การวัด การทดลองโดยตรง นอกจากนี้ ผู้ท่ีมีทักษะการคานวณจะต้องมีทักษะการจัดเก็บข้อมูลระหว่างการทางานของการคานวณ ดังน้ันทักษะ การคานวณจึงมีความเก่ียวข้องกับกระบวนการทางปัญญาและทักษะการจา ซ่ึงผู้ท่ีมีทักษะการคานวณ จะเป็นผู้ท่ี สามารถจัดกระทากับตัวเลขได้ดี (Hecht, Torgesen, Wagner, & Rashotte, 2001; Bull & Scerif, 2001; Fu¨rst & Hitch, 2000) ทักษะทั้ง 3 ดังกล่าว เช่ือมโยงกับแนวคิดเรื่องของผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะการคิดท่ีได้แบ่งเป็น 2 ระดับใหญ่ 6 ระดบั ย่อยตามแนวคิด Bloom's Revised Taxonomy โดย Anderson and Krathwohl (2004) ได้กาหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาท่ีเริ่มจากการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความจา ส่งต่อ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ อันจะส่งผลต่อทักษะการคิดข้ันสูงต่อไป ได้แก่ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และ การสร้างสรรค์ที่ผูเ้ รียนสามารถนาเอาสงิ่ ต่างๆทไ่ี ด้เรียนรู้มาบูรณาการเพื่อใหเ้ กดิ เป็นองคค์ วามรู้ใหม่ของตนเองได้ ตารางที่ 3.1 การเปรยี บเทยี บกระบวนการทางปัญญาทใี่ ช้คาศพั ท์เดิมและคาศพั ท์ใหม่ จดุ มุ่งหมายทางการศึกษาเดิม จดุ มุ่งหมายทางการศกึ ษาใหม่ (Bloom's Taxonomy) (Bloom's Revised Taxonomy) 1. ความรู้ (Knowledge) 1. จา (Remembering) 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 2. เขา้ ใจ (Understanding) 3. การนาไปใช้ (Application) 3. ประยุกต์ใช้ (Applying) 4. การวเิ คราะห์ (Analysis) 4. วิเคราะห์ (Analyzing) 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) 5. ประเมนิ ค่า (Evaluating) 6. การประเมินคา่ (Evaluation) 6. คดิ สรา้ งสรรค์ (Creating) จากตารางที่ 3.1 จะเห็นได้ว่าการศึกษาปรับปรุงแก้ไขกาหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาใหม่เพื่อให้มี ความสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น โดย Anderson and Krathwohl (2001) ที่เคยร่วมงานกับ Bloom ในยุคแรกเร่ิมได้ร่วมมือกันทางานคร้ังนี้และมีผู้ร่วมคณะทางาน 3 กลุ่มคือ กลุ่มนักจิตวิทยาทางด้าน พุทธินิยม (Cognitive Psychologists) นกั ทฤษฏีทางด้านหลกั สตู ร (Curriculum Theorists) กลุ่มนกั วจิ ยั ด้านการ สอน (Instructional Researchers)และกลุ่มผู้เช่ียวชาญด้านการทดสอบและการประเมิน (Testing and Assessment Specialists) และไดก้ าหนดจดุ มงุ่ หมายทางการศกึ ษาฉบบั ปรับปรงุ ไว้ 2 ด้าน ประกอบไปดว้ ย ด้าน ความรู้ (Knowledge Dimension) และดา้ นกระบวนการทางปญั ญา (Cognitive Processes) 1. ด้านความรู้ (Knowledge Dimension) คือ ความรู้ที่เป็นส่ิงสาคัญในวิชานั้นๆ ที่ผู้เรียน จาเป็นจะต้องรู้ ประกอบด้วย (1) ความรู้เก่ียวกับคาศัพท์และคานิยาม (Terminology) ทม่ี ีลักษณะทาให้นักเรียน สามารถจดจาสาระสาคัญของวิชาความรู้นั้นๆ ได้ และ (2) ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดเฉพาะเจาะจง (Specific Details) เช่น องค์ประกอบ กฎเกณฑ์ ของเนอื้ หานัน้ ๆ ท่ีเป็นสิ่งสาคญั

Chapter 3 105 2. ด้านกระบวนการทางปัญญา (cognitive processes) ได้จาแนกออกมาเป็น 6 ขั้น ได้แก่ (1) ความรู้ความจา (Remembering) ผู้เรียนสามารถระลึกนึกคิดได้จากการท่ีได้ผ่านการเรียนมาแล้ว (2) ความเข้าใจ (Understanding) ผู้เรียนสามารถเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนและสามารถสรุปความหมายได้อย่าง เป็นเหตุเป็นผล และสามารถแปลความหมายออกมาได้ในรูปแบบ ข้อความ หรือการอธิบายได้ (3) การนาไปใช้ (Applying) การปฏิบัติงานโดยการนาเอาความรู้ที่ผู้เรียนได้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้ (4) การวิเคราะห์ (Analyzing) ผู้เรียนสามารถแยกแยะองค์ประกอบย่อยๆท่ีอยู่ในหลักการใหญ่ได้ สามารถแยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การแยกแยะองค์ประกอบ การจัดระบบ และการให้เหตุผล (5) การประเมิน (Evaluating) การตีความอย่างมีหลักการโดยอาศัยกฎเกณฑ์ ได้แก่ การตรวจสอบ และการใช้วิจารณญาณ (6) สร้างสรรค์ (Creative) การนาเอาสิง่ ต่างๆ ท่ีไดเ้ รียนรู้มาบูรณาการเพ่ือให้เกิดส่ิงใหม่ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ การสรา้ ง หรอื กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ การวางแผน และการผลิตหรอื การสร้างส่งิ ใหมๆ่ ทไ่ี ม่ซ้าใคร 1.2 วิธีการสอนและการประเมนิ ทักษะการเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 ด้านสาขาวชิ าหลัก ในการสอนและประเมินทกั ษะการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ดา้ นสาขาวิชาหลกั แบ่งวิธกี ารสอนไดอ้ อกเป็น 3 วธิ กี าร และการประเมินไดเ้ ป็น 4 วธิ กี าร ไดแ้ ก่ (1) แบบประเมินตนเอง (ใช้แบบมาตราสว่ นประมาณค่าประกอบ เกณฑ์ในการให้คะแนน) (2) ร่องรอยพฤติกรรม (ใช้แบบสังเกตเพ่ือเก็บข้อมูลหรือการเขียนบันทึกสะท้อน) (3) หลักฐานการเรียนรู้ (เกบ็ ในรูปแบบแฟ้มสะสมผลงานหรอื การมอบหมายให้จดั ทาช้ินงานและใช้รูบริคเปน็ เกณฑ์ ในการประเมนิ ) และ (4) แบบทดสอบ (ออกแบบ Test Blueprint ที่มีการกาหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนตามกรอบ แนวคดิ ของ Bloom Taxonomy) ดังนั้นในหัวข้อน้ี ผู้เขียนขอนาเสนอตัวอย่างการนารูปแบบฯ ตลอดจนเครื่องมือทางปัญญาท่ีได้นาไป ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยในรายวิชาดังกล่าวได้มีการศึกษาวรรณกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การวิธีการสอนในบริบทออนไลน์และได้พบ 3 วิธีการจัดการเรียนรู้น้ีได้มีการถูกดึงมาใช้มากท่ีสุดได้แก่ (1) การเรยี นออนไลน์โดยใชว้ ธิ ีการอภิปรายร่วมกับการเรียนร้แู บบร่วมมือ (2) การเรียนออนไลน์โดยใช้วิธกี ารเรียน แบบโครงการร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ (3) การเรียนออนไลน์โดยใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกับการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ ทั้งนี้ ยังมีวิธีการอ่ืนๆ อกี ที่น่าสนใจดังจะสรุปไว้ในส่วนของงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องต่อไป สาหรับวิธกี ารจัดการ เรยี นร้ทู ้ัง 3 สามารถสรุปขัน้ ตอนไดด้ ังต่อไปน้ี ท้ังนี้ท่านสามารถอ่านขอ้ มลู เพิ่มเตมิ ในบทความเร่อื ง อีเลิร์นนิงแบบ ผสมผสานศาสตรก์ ารสอนตามแนวทางคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ดว้ ยเครื่องมอื ทางปญั ญาเพ่ือเสรมิ สร้างการสร้างความรู้ของ ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาจากรูปแบบท่ีนาเสนอสู่การนาไปใช้. วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีท่ี 41 ฉบบั ท่ี 4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556). หนา้ 16-34 (จินตวีร์ คลา้ ยสังข์, 2556)

106 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ตารางท่ี 3.2 สรปุ ขั้นตอนการจดั การเรยี นรูอ้ อนไลน์ทถ่ี ูกนามาใช้มากที่สุด วธิ ีการอภปิ รายร่วมกับ การจัดการเรยี นรู้ วธิ ีการแกป้ ญั หารว่ มกับ การเรียนร้แู บบรว่ มมือ วธิ กี ารเรียนแบบโครงการรว่ มกบั การ การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน ประกอบดว้ ย 8 ขั้นตอน 1. ผู้สอนกาหนดหวั ข้อและเวลาใน เรียนรูแ้ บบร่วมมือ 1. เตรียมความพรอ้ มให้กับผเู้ รยี น การอภปิ รายแต่ละสัปดาห์ ประกอบด้วย 6 ข้ันตอน โดยการใหข้ ้อมลู หรือขอ้ เท็จจริงต่างๆ 2. ผู้เรียนเร่ิมต้นอภิปรายในช้ันเรียน 1. เตรยี มความพรอ้ ม เช่น ขอบเขตของ 2. ระบุปัญหาใหช้ ดั เจน 3. ผู้สอนเตรียมเนื้อหาประกอบการ โครงการ แหลง่ ขอ้ มูล และคาถามนา 3. แสดงแนวคดิ หรอื วเิ คราะหป์ ัญหา อภิปราย สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้ท่ี 2. กาหนดหัวขอ้ โครงการ 4. วางแผน ค้นควา้ หรือศึกษาขอ้ มูล เกยี่ วข้อง 3. วางแผนโครงการ โดยการกาหนด เพิม่ เติม 4. ผู้สอนต้ังกระทตู้ ามหัวขอ้ กจิ กรรม ข้ันตอนการดาเนินงาน 5. สร้างสมมตฐิ าน การอภิปรายแต่ละสปั ดาห์ และบทบาทหน้าที่ 6. สังเคราะหแ์ ละทดสอบสมมติฐาน 5. ผูเ้ รียนสง่ ข้อความแสดง 4. คน้ ควา้ แลกเปลย่ี นประสบการณ์/ 7. สร้างข้อสรุปและหลกั การที่ ไดจ้ าก การอภิปรายของตน และแสดง ความรู้ และเตรยี มการนาเสนอ การทดสอบ ความเห็นต่อการอภปิ รายของเพ่ือน 5. จดั ทารายงานและนาเสนอผลงาน 8. ประเมินผล 6. ประเมนิ ผลช้ินงานและกระบวนการ ท้ังนี้ ในบริบทของ ULE นั้น อาจมีการพิจารณาเครื่องมือ UTEL เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ตัวอย่างเช่น การนาแนวคิดและเครื่องมือทางปัญญามาใช้เพ่ือเป็นเครื่องมือสาคัญในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ดังตัวอย่างเช่น เม่อื นามาผนวกกับวธิ ีการจดั การเรยี นรู้ข้างต้น จะเกดิ เป็นรูปแบบการเรยี นรู้ ท่ีสง่ เสรมิ การพฒั นาผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ ทช่ี ัดเจน (ผลลัพธ์การเรยี นรใู้ นตัวอย่างนี้ คือ การสรรคส์ ร้างความรขู้ องผูเ้ รียน) ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี UTEL ตัวอย่างที่ยกมานี้ หมายถึง เคร่ืองมือทางปัญญาที่มีท้ังส้ิน 6 ประเภท ได้แก่ (1) ประเภท ฐานข้อมูล (2) ประเภทผังความคิด (3) ประเภทตารางคานวณ (4) ประเภทเคร่ืองมือจาลองสถานการณ์ (5) ประเภทเครือ่ งมอื สรา้ งงานนาเสนอ และ (6) ประเภทการประชมุ ดว้ ยคอมพิวเตอร์ สามารถนามาประยุกต์ใชใ้ น การจดั การเรยี นรทู้ ง้ั 3 โมดลู ได้กล่าวคือ โมดูล 1 การเรยี นออนไลน์โดยใช้วิธีการอภิปรายร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะเน้นการใช้ฐานข้อมูล กลุ่มผ่านเคร่ืองมือทางปัญญาประเภทฐานข้อมูล แอพลิเคชันท่ีใช้ ได้แก่ Google Documents และการใช้ ผงั ความคดิ ในการอภิปรายแสดงความคดิ เห็นร่วมกันผ่าน โดยเครอ่ื งมือทางปัญญาประเภทผังความคิด และ Note Sharing Tool นั้น แอพลิเคชันที่ใช้ ได้แก่ Google Drawings, Padlet (padlet.com), Lino (linoit.com) เพอ่ื แลกเปลยี่ นเรยี นร้แู ละยังเปน็ การตรวจสอบความเข้าใจของผเู้ รยี น ในขณะที่โมดูล 2 การเรียนออนไลน์โดยใช้วิธีการเรียนแบบโครงการร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ นอกจากจะมีการใช้เครื่องมือทางปัญญาทั้ง 2 ประเภทดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ยังมีการใช้เครื่องมือทางปัญญา

Chapter 3 107 ประเภทเครื่องมือสร้างการนาเสนอ แอพลิเคชันที่ใช้ ได้แก่ Google Presentation, YouTube (Slide Editor) ( youtube.com) , Viewedit (viewedit.com), EDpuzzle (edpuzzle.com), Animation Based Material Tool ได้แก่ Powtoon (powtoon.com) และ Graphic Based Material tool (Infographic) เช่น Canva ( canva.com) ส่วนโมดูล 3 การเรียนออนไลน์โดยใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะเน้นที่ การใช้เคร่ืองมือทางปัญญาประเภทผังความคิด แอพลิเคชันท่ีใช้ได้แก่ Google Drawings เพื่อให้ผู้เรียน แตล่ ะกลุ่มได้วิเคราะห์ปัญหา การใชเ้ ครื่องมือทางปัญญาประเภทเครื่องมือจาลองสถานการณ์และการประชมุ ด้วย คอมพิวเตอร์แอพลิเคชันท่ีใช้ ได้แก่ CamStudio (camstudio.org), Peardeck (peardeck.com), Mentimeter (mentimeter.com), Skype (skype.com) เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถสร้างและทดสอบสมมติฐานได้อย่างเป็น รูปธรรม ตลอดจนสามารถร่วมกันวางแผน เสนอแนวคิด วิเคราะห์ปัญหาได้โดยไม่มีข้อจากัดท้ังในเรื่องของเวลา และสถานท่ี ดังน้ันจะเห็นได้ว่าเครื่องมือทางปัญญาทั้ง 6 ประเภท จะสามารถนามาใช้เพ่ือสร้างความรู้ ระดบั พืน้ ฐาน (จา เขา้ ใจ ประยกุ ตใ์ ช)้ หรือใช้ในการสรา้ งความร้รู ะดับสงู (วิเคราะห์ ประเมนิ คา่ สร้างสรรค)์ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี (ดดั แปลงมาจาก จนิ ตวีร์ คล้ายสังข์, 2556) 2. ตัวอยา่ งแบบประเมิน ในส่วนนี้จะขอยกตวั อยา่ งแบบประเมินจากงานวจิ ยั 2 ช้นิ โดยช้นิ แรกจากโครงการวจิ ยั นวัตกรรมบนฐาน การเรียนรู้เชิงลึก: การพัฒนาต้นแบบโมบายแอพลิเคชันกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอัจฉริยะเพ่ือส่งเสริมทักษะการคิด สาหรับผู้เรียนประถมศึกษา (จินตวีร์ คล้ายสังข์ และเนาวนิตย์ สงคราม, 2560) จะเป็นแบบประเมินแบบกว้างๆ ไม่กาหนดเน้ือหาการเรียนรู้ ดังนั้นจึงสามารถปรับใช้ในบริบทและระดับชั้นท่ีหลากหลายได้ ส่วนชิ้นที่ 2 จะมี ความเฉพาะสาหรับการเรียนในระดับอุดมศึกษา นามาจากงานวิจัยเร่ืองการพัฒนารูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิง แบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญาเพ่ือเสริมสร้างการสร้าง ความร้ขู องผเู้ รียนในระดบั อดุ มศกึ ษา (จินตวีร์ คล้ายสงั ข์, 2556) ตวั อยา่ งแบบประเมินชุดท่ี 1 ตวั อย่างแบบประเมินผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ และแบบ ประเมินตนเองท่ีนามาจากเคร่ืองมือวิจัยในโครงการวิจัยนวัตกรรมบนฐานการเรียนรู้เชิงลึก: การพัฒนาต้นแบบ โมบายแอพลิเคชันกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสาหรับผู้เรียนประถมศึกษาน้ี ที่ได้ ออกแบบไวแ้ บบเป็นกลาง ผอู้ า่ นสามารถปรบั ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ หมายที่ต่างๆ กันไปได้ โดยข้อคาถามผ่าน การตรวจสอบค่าความตรงจากผู้เช่ียวชาญ และได้ตรวจสอบความเท่ียงจากกลุ่มตัวอย่างเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ตวั อยา่ งมีดงั ตอ่ ไปน้ี

108 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 1. ตวั อย่างแบบประเมนิ ผลงาน ประเด็นการ ดีมาก (3) เกณฑ์การใหค้ ะแนน พอใช้ (1) ประเมนิ สามารถบอกความหมาย ดี (2) สามารถบอกความหมาย ความรู้ความจา รายละเอียดของเน้ือหาจากสงิ่ ที่ รายละเอียดของเนอ้ื หาจาก ไดเ้ รียนรู้ รวมท้งั จดจาและ สามารถบอกความหมาย สิง่ ที่ได้เรียนรู้ รวมทง้ั จดจา ความเข้าใจ สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนและ รายละเอยี ดของเนื้อหาจากสง่ิ ที่ และสามารถปฏิบตั ิตาม ใช้งานเลนส์และแอพลิเคชันสอ่ื ได้เรียนรู้ รวมทัง้ จดจาและ ขั้นตอนและใชง้ านเลนสแ์ ละ เทคโนโลยไี ดอ้ ย่างถูกต้อง สามารถปฏิบตั ิตามขนั้ ตอนและใช้ แอพลิเคชัน ครบถ้วน งานเลนส์และแอพลเิ คชัน สอ่ื เทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งถูกต้อง สื่อเทคโนโลยไี ด้อยา่ งถกู ต้องร้อย นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 50 ของการ ละ 50-70 ขึ้นไปของ ใชง้ านทกุ คร้งั การใช้งานทกุ ครัง้ สามารถอธิบายการใชส้ อื่ เทคโนโลยใี นการสบื คน้ ข้อมลู สามารถอธิบายการใชส้ ือ่ สามารถอธิบายการใชส้ ื่อ มสี ว่ นร่วมในการทางานและ การอภปิ รายแลกเปล่ียน เทคโนโลยีในการสบื ค้นขอ้ มูล มี เทคโนโลยีในการสืบคน้ ขอ้ มลู มี ความคิดเหน็ ผ่านสอื่ สงั คม ออนไลน์ รวมทง้ั สามารถ สว่ นร่วมในการทางานและการ ส่วนรว่ มในการทางานและการ อธิบายสิ่งท่ีไดจ้ ากการเรยี นรู้ น้อยกวา่ รอ้ ยละ 50 อภิปรายแลกเปลี่ยนความ อภปิ รายแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น คดิ เห็นผา่ นสอื่ สังคมออนไลน์ ผา่ นส่อื สังคมออนไลน์ รวมทง้ั รวมท้งั สามารถอธิบายสง่ิ ท่ีได้ สามารถอธิบายส่ิงที่ไดจ้ ากการ จากการเรยี นรูไ้ ด้ถูกตอ้ ง เรียนรู้ รอ้ ยละ 50-70 ข้นึ ไป ครบถ้วน การประยกุ ตใ์ ช้ สามารถนาความรู้ทไ่ี ดจ้ าก สามารถนาความรู้ที่ได้จาก สามารถนาความรู้ท่ไี ด้จาก การศกึ ษามาใช้ในการ การศึกษามาใช้ในการแกป้ ัญหา/ การศึกษามาใชใ้ นการ แกป้ ญั หา/ทางานเสรจ็ ตามเวลา ทางานเสรจ็ ตามเวลาท่ีกาหนด แกป้ ญั หา/ทางานเสร็จตาม ทีก่ าหนด โดยใช้เครื่องมือและ โดยใช้เครื่องมือและสื่อเทคโนโลยี เวลาทกี่ าหนด โดยใช้ สือ่ เทคโนโลยที เี่ หมาะสม ท่ีเหมาะสม ถูกต้องรอ้ ยละ 50- เคร่ืองมอื และส่ือเทคโนโลยที ่ี ถูกตอ้ งท้ังหมด 70 ขึ้นไป เหมาะสม ถูกต้องน้อยกว่า ร้อยละ 50 การวเิ คราะห์ สามารถวางแผนการทางาน สามารถวางแผนการทางาน โดย สามารถวางแผนการทางาน โดยบูรณาการความรู้ และ บูรณาการความรู้ และวิเคราะห์ โดยบรู ณาการความรู้ และ วิเคราะหอ์ งค์ความรเู้ พื่อ องคค์ วามรู้เพอื่ ออกแบบงานที่ วเิ คราะห์องค์ความรู้เพ่อื ออกแบบงานท่ีสอดคลอ้ งกบั สอดคลอ้ งกับภาระงานที่กาหนด ออกแบบงานที่สอดคลอ้ งกับ ภาระงานทก่ี าหนดได้อยา่ ง ไดถ้ ูกต้องร้อยละ 50-70 ข้ึนไป ภาระงานทกี่ าหนดได้ถูกต้อง ถูกตอ้ งท้ังหมด น้อยกว่าร้อยละ 50

Chapter 3 109 ประเดน็ การ ดมี าก (3) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน พอใช้ (1) ประเมนิ สามารถใช้หลักเกณฑใ์ นการ ดี (2) ตรวจสอบขอ้ มลู และนาขอ้ มลู สามารถใช้หลกั เกณฑ์ในการ การประเมนิ มาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถใช้หลกั เกณฑ์ในการ ตรวจสอบขอ้ มลู และนา รวมทั้งสามารถวิจารณ์และให้ ตรวจสอบข้อมลู และนาขอ้ มูลมา ข้อมลู มาใช้อย่างถูกตอ้ ง การสรา้ งสรรค์ ข้อเสนอแนะในผลงานของผูอ้ ื่น ใช้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม รวมท้ัง เหมาะสม รวมทัง้ สามารถ อยา่ งมหี ลักการที่ถูกตอ้ ง สามารถวจิ ารณ์ และให้ วจิ ารณ์และใหข้ อ้ เสนอแนะใน ข้อเสนอแนะในผลงานของผู้อื่น ผลงานของผู้อ่ืนอย่างมี สามารถออกแบบผลงานท่ี อย่างมีหลักการที่ถูกตอ้ ง หลักการทถ่ี ูกตอ้ งน้อยกวา่ สอดคลอ้ งกับภาระงานท่ี รอ้ ยละ 50-70 ขึ้นไป รอ้ ยละ 50 กาหนด โดยใช้ Application I สามารถออกแบบผลงานที่ Journey ในการออกแบบ สามารถออกแบบผลงานท่ี สอดคลอ้ งกับภาระงานที่ รวมท้ังนาเสนอผลงานโดยใชส้ ่ือ สอดคลอ้ งกับภาระงานท่ีกาหนด กาหนด โดยใช้ Application เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม โดยใช้ Application I Journey ในการออกแบบ I Journey ในการออกแบบ รวมท้งั นาเสนอผลงานโดยใช้ รวมทัง้ นาเสนอผลงานโดยใช้สอ่ื ส่อื เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมน้อย เทคโนโลยีทเี่ หมาะสมรอ้ ยละ 50- กวา่ ร้อยละ 50 70 ขึ้นไป จากแบบประเมินผลงานน้ี ผู้อ่านสามารถเพ่ิมเติมเกณฑ์การประเมินได้ตามความเหมาะสม และให้ สอดคล้องกับผลงานและบริบททจี่ ะเกดิ ข้นึ ได้ 2. ตวั อย่างแบบสงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ ตัวอย่างแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้จัดทาขึ้นเพื่อให้ผู้สอนได้ประเมินพฤติกรรม การเรียนรู้และการทางานของผู้เรยี นในห้องเรยี น แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรยี นและการทางาน คาช้ีแจง ให้ผู้สอนทาเคร่ืองหมาย ✓ ลงในช่องระดับพฤติกรรมของนักเรียนตามความเป็นจริง โดยแต่ ละระดับมคี วามหมาย ดังนี้ 5 หมายถึง แสดงพฤติกรรมเปน็ ประจาสม่าเสมอ 4 หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเป็นประจา 3 หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมค่อนขา้ งจะสมา่ เสมอ

110 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 2 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมคอ่ นขา้ งน้อย 1 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ย สาหรบั เกณฑ์การประเมินในการสงั เกตพฤติกรรม มดี งั น้ี 4.50 - 5.00 หมายถึง ดีมาก 3.50 - 4.49 หมายถงึ ดี 2.50 - 3.49 หมายถงึ ปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายถงึ พอใช้ 1.00 - 1.49 หมายถึง ควรปรบั ปรงุ ช่ือ-นามสกุล ผู้เรียนทส่ี ังเกต......................................................................................................... วิชา.................. เลขที่ ........... สังเกตครั้งที่ .......... วันท่ี .............. เดอื น ............. พ.ศ. ................ ระดับความคิดเหน็ บันทึก ทักษะการคดิ 5 4 3 2 1 ผลการสงั เกต ทักษะการคิดขน้ั พื้นฐาน เพิม่ เติม 1. ความรคู้ วามจา 1.1 บอกความหมาย/เนื้อหา/ความรู้ จากสงิ่ ทไ่ี ด้เรียน มาแลว้ 1.2 ปฏบิ ัตติ ามขั้นตอน/วิธกี ารได้อย่างถกู ต้อง (ใช้งานแอพลเิ คชัน ได้อยา่ งถูกตอ้ ง) 1.3 มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยี เพอื่ สืบคน้ ข้อมูลหรอื แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 2. ความเข้าใจ 2.1 การสบื ค้นขอ้ มูลดว้ ยอนิ เทอรเ์ น็ตหรอื สือ่ เทคโนโลยี ต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง เข้าถงึ ข้อมูลการศึกษาอยา่ งทวั่ ถงึ ทุกที่ ทุกเวลา 2.2 มสี ว่ นร่วมในการกาหนดวิธีการเรยี นรูห้ รอื การทา กจิ กรรมด้วยตนเอง 2.3 กาหนดขั้นตอนในการทางานของตนเองได้ 2.4 ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน 3. การประยุกตใ์ ช้ 3.1 ดาเนินการตามแผนงานที่กาหนด

Chapter 3 111 ระดับความคิดเหน็ บันทกึ ทกั ษะการคิด 5 4 3 2 1 ผลการสงั เกต เพิม่ เติม 3.2 ทางานเสร็จตามเวลาทกี่ าหนด 3.3 จัดการงานใหส้ าเรจ็ ตามเปา้ หมาย 3.4 แก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพโดยใชเ้ คร่ืองมอื และส่อื เทคโนโลยีทีห่ ลากหลาย ทักษะการคดิ ข้ันสงู 4. การวเิ คราะห์ 4.1 นาความรู้มาใช้ในการวางแผนงานอย่างเป็นข้ันตอน 4.2 ระบจุ ดุ เด่นของงานตนเองได้ 4.3 ระบจุ ุดดอ้ ยของงานตนเองได้ 5. การประเมิน 5.1 ใช้หลกั เกณฑ์ในการตรวจสอบข้อมูล ตัดสนิ ใจเลอื ก ข้อมลู ทเี่ หมาะสม ท่ีจะนามาใช้ในการทากจิ กรรม 5.2 สะท้อนคิด วจิ ารณ์ และให้ขอ้ เสนอแนะในผลงานของ ตนเองอยา่ งมีหลักการ 5.3 สะทอ้ นคิดและวจิ ารณผ์ ลงานของผู้อื่นอยา่ งมี หลักการ 6. การสร้างสรรค์ 6.1 ออกแบบ DSIB (Deep Smart Interactive Book) โดยบรู ณาการสิ่งทีไ่ ดจ้ ากการเรียนรู้ สอดคลอ้ งกับบรบิ ท งานและภาระงานที่กาหนด 6.2 ใช้ CU Deep Smart Tools, Application I Journey, Google Street View ในการออกแบบ (Deep Smart Interactive Book) 6.3 นาเสนอผลงานไดอ้ ยา่ งชดั เจนและเหมาะสม จากแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้นี้จัดทาขึ้นโดยใช้ Bloom’s Taxonomy เป็นฐาน ผู้อ่านสามารถ เพ่ิมเตมิ หรอื ปรับเกณฑก์ ารสงั เกตให้สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ บรบิ ท และผลลพั ธ์ทไี่ ด้ตง้ั ไว้ไดต้ ามต้องการ

112 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 3. ตวั อยา่ งแบบประเมินตนเอง ตัวอย่างแบบประเมินตนเองจัดทาขึ้นให้ผู้เรียนประเมินตนเองก่อนเรียน (Pre-Test) และหลังเรียน (Post-Test) เพ่อื เปรียบเทยี บความรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะของผเู้ รียนก่อนเรยี นและหลังเรียนในสาระการเรียนรู้ น้นั ๆ แบบประเมินคุณลกั ษณะของทกั ษะการคดิ สาหรบั ผูเ้ รียนประถมศกึ ษา คาชี้แจง ให้นกั เรียนพจิ ารณาขอ้ ความในแต่ละขอ้ แลว้ ทาเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องว่างระดับพฤตกิ รรม ท่ตี รงตามความคดิ เหน็ ของผู้เรยี นมากที่สดุ โดยแต่ละระดับมคี วามหมาย ดงั นี้ ☺ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมเปน็ ประจา  หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมปานกลาง  หมายถงึ แสดงพฤติกรรมน้อย ทักษะการคิด ระดบั พฤตกิ รรม ☺ ทกั ษะการคดิ ข้นั พ้นื ฐาน 1. ความรคู้ วามจา 1.1 ฉันสามารถบอกรายละเอียดของเนือ้ หาทไ่ี ด้เรยี นมาแล้ว 1.2 ฉันสามารถจดจาเน้อื หาและปฏิบัตติ ามขั้นตอนของกจิ กรรมได้ 1.3 ฉันสามารถใช้เลนสแ์ ละแอพลิเคชนั ได้ถูกต้อง 2. ความเขา้ ใจ 2.1 ฉันสามารถอธิบายการใช้เลนส์และแอพลเิ คชันเพือ่ ให้ผ้อู ่นื เข้าใจได้ 2.2 ฉันสามารถศกึ ษาและค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง 2.3 ฉันสามารถกาหนดขนั้ ตอนในการทางานของตนเองได้ 2.4 ฉันยอมรบั ฟังความคิดเห็นของผู้อน่ื 3. การประยุกต์ใช้ 3.1 ฉันสามารถทางานตามแผนงานท่กี าหนด 3.2 ฉันสามารถทางานเสรจ็ ตามเวลาทกี่ าหนดได้ 3.3 ฉันสามารถจดั การงานใหส้ าเรจ็ ตามเป้าหมาย 3.4 ฉันสามารถแกไ้ ขปญั หาทีเ่ กิดขึ้นระหวา่ งการทางานได้ ทกั ษะการคิดขั้นสูง 4. การวเิ คราะห์ 4.1 ฉันสามารถนาความรูม้ าใชใ้ นการวางแผนงานอยา่ งเป็นข้นั ตอน 4.2 ฉันสามารถบอกจุดเด่นของงานตนเองได้ 4.3 ฉันสามารถบอกจดุ ด้อยของงานตนเองได้

Chapter 3 113 ทักษะการคดิ ระดับพฤติกรรม ☺ 5. การประเมนิ 5.1 ฉันสามารถเลือกขอ้ มูลท่ีเหมาะสมมาใช้ในการสรา้ งผลงาน 5.2 ฉันสามารถประเมินผลงานของตนเองไดว้ ่าเป็นอยา่ งไร ต้องแกไ้ ขตรงไหน 5.3 ฉันสามารถดูงานของเพือ่ นและให้ขอ้ เสนอแนะไดอ้ ยา่ งมเี หตุผล 6. การสร้างสรรค์ 6.1 ฉันสามารถออกแบบผลงานท่สี อดคลอ้ งกบั โจทยท์ ่ีครูกาหนด 6.2 ฉันสามารถสรา้ งผลงานโดยใชเ้ ลนส์และแอพพลิเคชันที่ครูสอนได้ 6.3 ฉันสามารถนาเสนอผลงานของตนเองได้อย่างชัดเจน ทั้งน้ีตัวอย่างแบบประเมินตนเองข้างต้นได้เลือกใช้สัญลักษณ์การ์ตูนในการแสดงระดับการประเมิน เพื่อให้สอดคล้องกับระดับของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในที่น้ีคือระดับประถมศึกษา ผู้อ่านสามารถปรับระดับ การประเมินเปน็ ตัวเลขหรือตัวหนังสือไดใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั ผู้เรียนในบรบิ ทอ่นื ๆ ไดต้ ามความเหมาะสมต่อไป ตัวอย่างแบบประเมินชุดที่ 2 ตัวอย่างแบบประเมินน้ีเป็นแบบวัดการสร้างความรู้จากงานวิจัยเร่ือง การพัฒนารูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเคร่ืองมือ ทางปญั ญาเพ่ือเสรมิ สรา้ งการสร้างความรู้ของผู้เรยี นในระดับอดุ มศึกษา (จินตวีร์ คลา้ ยสังข์, 2556) โดยในงานวจิ ัย น้ีไดน้ าแนวทางของ Revised Bloom’s Taxonomy มาเปน็ ฐานในการออกแบบและพัฒนาแบบวัดสาหรับผูเ้ รยี น โดยผลงานวิจัยดังกล่าวได้เสนอแนวทางในการประเมินผลการสร้างความรู้ของผู้เรียนในรูปแบบชิ้นงานและ กระบวนการ ประกอบด้วย 3 ข้ันย่อยได้แก่ ข้ันท่ี 1 การสังเกตพฤติกรรมการสร้างความรู้ของผู้เรียน ข้ันที่ 2 การร่วมกันสรุปทบทวนถึงส่ิงที่ได้เรียนรู้สู่การนาไปใช้ และ ขั้นที่ 3 การประเมินผลการเรียน (การสร้างความรู้) ทั้งในรูปแบบของ (1) การประเมินผลการเรียนจากพฤติกรรมการสร้างความรู้ ตามกระบวนการพุทธิปัญญา 6 ระดับ ได้แก่ ความจา ความเข้าใจ การประยกุ ต์ใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ (2) การวัด ผลลัพธ์จากการสร้างความรู้ ระดับพ้ืนฐานในรูปแบบของข้อสอบปรนัยวัด จา เข้าใจ และประยุกต์ใช้ และ (3) การวัดผลลัพธ์จากการสร้างความรู้ ในรูปแบบแบบประเมินช้ินงานรูบริควัดการสร้างความรู้ระดับสูง ประกอบด้วย วิเคราะห์ ประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์ โดยจากการประเมินการสร้างความรู้ท้ัง 3 ข้ันตอน สามารถนามาพัฒนาเป็นแบบวัดการสร้างความรู้ท่ี แบง่ ออกเป็น 3 ตอนตามแนวทางการประเมินในทงั้ 3 ขั้นได้แก่ ตอนท่ี 1 การวดั พฤตกิ รรมการสร้างความรู้ ตอนท่ี 2 การวดั ผลลพั ธ์จากการสร้างความรู้ (แบบทดสอบวดั การสร้างความรู้ระดับพ้ืนฐาน ประกอบด้วย จา เขา้ ใจ และ ประยุกต์ใช้) และตอนท่ี 3 การวัดผลลัพธ์จากการสร้างความรู้ (แบบประเมินช้ินงานรูบริควัดการสร้างความรู้

114 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ระดับสูง ประกอบด้วย วิเคราะห์ ประเมินค่า และการสร้างสรรค์) ท้ังน้ีในข้ันตอนของการพัฒนาแบบวัดน้ีนั้นได้มี กรอบในการพัฒนาจากคาสาคัญและความสอดคล้องระหว่าง มิติของความรู้ และการสร้างความรู้ในระดับต่างๆ รายละเอียดดังต่อไปน้ี แนวทางการพัฒนาแบบวัดตามกรอบของ ความสอดคล้องระหว่าง มิติของความรู้ 4 มิติ และการสร้าง ความรใู้ นระดับตา่ ง ๆ มติ ดิ ้านความรู้ มติ ิด้านกระบวนการจา ความรเู้ กี่ยวกับความเป็นจริง (Factual Knowledge) คาสาคัญ/คากรยิ าทอี่ ธิบายกิจกรรม ความรู้เชงิ มโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) บอก บรรยาย ระบุ เขยี น แสดง สะกด จับคู่ ความรู้เชิงวธิ ดี าเนินการ (Procedural Knowledge) เลอื ก ความรูเ้ ชิงอภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) มิติด้านกระบวนการความเขา้ ใจ มิติด้านความรู้ คาสาคัญ/คากริยาที่อธิบายกิจกรรม ความรเู้ ก่ียวกบั ความเป็นจรงิ (Factual Knowledge) การทดสอบการคน้ หาขอ้ มลู ดว้ ยอนิ เทอร์เนต็ ความรู้เชิงมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) การทาผังความคดิ ความรู้เชงิ วิธดี าเนินการ (Procedural Knowledge) การอภปิ ราย การติดต่อสื่อสาร การทาผังความคดิ การร่วมมือทากิจกรรมตา่ งๆ ออนไลน์ ความรู้เชิงอภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) การติดต่อส่ือสาร การระดมสมอง มติ ิด้านความรู้ มติ ดิ า้ นกระบวนการประยกุ ต์ใช้ ความรู้เกย่ี วกับความเป็นจรงิ (Factual Knowledge) คาสาคญั /คากรยิ าท่อี ธบิ ายกิจกรรม ความรเู้ ชิงมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) สร้าง สาธติ เตรยี มการ ใช้ประโยชน์ ความรเู้ ชิงวิธีดาเนินการ (Procedural Knowledge) แปลความ หาความสัมพันธ์ ความรเู้ ชงิ อภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) การฝึกปฏิบตั ิ การแกป้ ัญหาแบบมีโครงสร้าง การสรา้ งกลยุทธก์ ารเรียน มติ ิดา้ นความรู้ ความรู้เกี่ยวกบั ความเป็นจริง (Factual Knowledge) มิติดา้ นกระบวนการวเิ คราะห์ ความรู้เชิงมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) คาสาคัญ/คากรยิ าทอี่ ธบิ ายกิจกรรม ความรเู้ ชิงวิธดี าเนินการ (Procedural Knowledge) เปรียบเทียบ จดั ประเภท ความรเู้ ชงิ อภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) วิเคราะห์ แยกแยะความตา่ ง การเรียนด้วยกรณีศึกษา การบนั ทกึ การทากจิ กรรม

Chapter 3 115 มิตดิ า้ นความรู้ มิติดา้ นกระบวนการประเมินค่า ความรู้เก่ียวกบั ความเป็นจริง (Factual Knowledge) คาสาคัญ/คากรยิ าท่อี ธิบายกิจกรรม ความรเู้ ชงิ มโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความรู้เชงิ วธิ ดี าเนินการ (Procedural Knowledge) โตแ้ ยง้ /แก้ตา่ ง พิสูจน์ จดั ลาดับ ความรู้เชงิ อภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) การตัดสินใจ วจิ ารณ์ การสะท้อนคิด มติ ดิ า้ นความรู้ การสะท้อนคิด ความรู้เกย่ี วกับความเป็นจรงิ (Factual Knowledge) ความรู้เชิงมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) มิติดา้ นกระบวนการสรา้ งสรรค์ ความรเู้ ชิงวธิ ดี าเนินการ (Procedural Knowledge) คาสาคัญ/คากริยาทอี่ ธบิ ายกิจกรรม ความรเู้ ชิงอภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) อธบิ าย เชอ่ื มต่อ สรา้ งสตู ร จดั ดาเนินงาน คาดคะเน ทานาย การแกป้ ญั หาแบบไม่มีโครงสรา้ ง พฒั นา แก้ปัญหา ผลิตออกแบบ จากกรอบในการพัฒนาจากคาสาคัญและความสอดคล้องระหว่างมิติของความรู้ และการสรา้ งความรูใ้ น ระดับต่าง ๆ ดังกล่าว สามารถนามาพัฒนาเป็นแบบวัดการสร้างความรู้ท่ีแบ่งออกเป็น 3 ตอนได้แก่ ตอนที่ 1 การวัดพฤติกรรมการสร้างความรู้ ตอนท่ี 2 การวัดผลลัพธ์จากการสร้างความรู้ (แบบทดสอบวัดการสร้างความรู้ ระดับพื้นฐาน ประกอบด้วย จา เข้าใจ และประยุกต์ใช้) และตอนท่ี 3 การวัดผลลัพธ์จากการสร้างความรู้ (แบบประเมนิ ช้ินงานรูบรคิ วดั การสรา้ งความรู้ระดบั สงู ประกอบด้วย วเิ คราะห์ ประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์) จากความหมายข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ทักษะการคิด คือ ความสามารถในการแสดงออกถึง การกระทาหรือพฤติกรรมผ่านการใช้ความคิด โดยความสามารถยอ่ ยในการคิดหรือการแสดงออกในลกั ษณะต่างๆ น้ันจะนาไปสู่กระบวนการคิดที่มีความซับซ้อนมากยิ่งข้ึนตามแนวคิดของ Bloom’s Revised Taxonomy ประกอบด้วย (1) การจา (Remembering) (2) การเข้าใจ (Understanding) (3) การประยุกต์ใช้ (Applying) (4) การวิเคราะห์ (Analyzing) (5) การประเมินค่า (Evaluating) และ (6) การสร้างสรรค์ (Creating) โดยสามารถ ประเมินได้ใน 4 มิติ ได้แก่ ความรู้เก่ียวกับความเป็นจริง (Factual Knowledge) ความรู้เชิงมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความรู้เชิงวิธีดาเนินการ (Procedural Knowledge) และความรู้เชิงอภิมาน (Meta-Cognitive Knowledge) ซึง่ สามารถวัดได้จากการประเมนิ ผลการสรา้ งความรขู้ องผู้เรยี นในรูปแบบชนิ้ งาน และกระบวนการเรยี นรู้ แบบวัดประกอบด้วย 3 ตอนได้แก่ ตอนท่ี 1 แบบสังเกตพฤติกรรมการสร้างความรู้ด้วยการเรียนด้วย อีเลิร์นนิงแบบผสมผ สานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญ ญ า เพื่อเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา ตอนที่ 2 การวัดผลลัพธ์จากการสร้างความรู้

116 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL (แบบทดสอบวัดการสร้างความรู้ระดับพื้นฐาน ประกอบด้วย จา เข้าใจ และประยุกต์ใช้) และ ตอนท่ี 3 การวดั ผลลัพธจ์ ากการสร้างความรู้ (แบบประเมินช้ินงานรูบรคิ วัดการสร้างความรูร้ ะดับสูง ประกอบด้วย วเิ คราะห์ ประเมินคา่ และการสร้างสรรค์) โดยแบบวดั นี้ได้นามาจากเครอื่ งมอื วิจยั เร่ืองการพัฒนารูปแบบการเรียนอเี ลิรน์ นิง แบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญาเพื่อเสริมสร้างการสร้าง ความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา (จินตวีร์ คล้ายสังข์,2556 กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย ประจาปีงบประมาณ 2554) โดยเคร่ืองมือชุดน้ีได้ออกแบบไว้ให้มีความเฉพาะ เน้นการใช้เครื่องมือ ทางปัญญา (Cognitive Tool) เพ่ือเป็น UTEL ในการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรยี นในด้านการสร้างความรู้ตามกรอบ แนวคิดของ Bloom Taxonomy ทั้งนี้ผู้อ่านสามารถใช้กรอบในการประเมินน้ี นาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายและเนื้อหาท่ีต่างๆ กันไปได้ โดยข้อคาถามผ่านการตรวจสอบค่าความตรงจากผู้เชี่ยวชาญ และได้ ตรวจสอบความเทีย่ งจากกลมุ่ ตัวอย่างเปน็ ท่ีเรยี บรอ้ ยแลว้ ตวั อยา่ งมีดงั ต่อไปนี้ ตอนที่ 1 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการสร้างความรู้ ดว้ ยการเรียนดว้ ยอีเลิรน์ นิงแบบผสมผสานศาสตรก์ ารสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวสิ ต์ ด้วยเคร่อื งมือทางปัญญา เพือ่ เสริมสร้างการสร้างความรขู้ องผเู้ รียนในระดับอดุ มศึกษา การวัดพฤตกิ รรมการสร้างความรู้ คาชแ้ี จง: ใหท้ าเครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ งระดับพฤติกรรมตามความเปน็ จริง โดยแตล่ ะระดบั มคี วามหมาย ดังน้ี 3 หมายถงึ ผ้เู รยี นมคี วามถใ่ี นการแสดงพฤติกรรมสม่าเสมอเมอ่ื มีการมอบหมายงานหรือคาสง่ั โดยไมต่ อ้ งมกี ารกระตุ้นเตอื นจากผู้สอน 2 หมายถึง ผเู้ รยี นมีความถี่ในการแสดงพฤตกิ รรมไมส่ มา่ เสมอเมื่อมีการมอบหมายงานหรอื คาส่งั โดยไม่ตอ้ งมกี ารกระตุ้นเตือนจากผ้สู อน 1 หมายถงึ ผู้เรยี นมคี วามถ่ีในการแสดงพฤติกรรมเฉพาะเมื่อมีการมอบหมายหรอื คาส่งั และ กระตนุ้ เตอื นจากผสู้ อน 0 หมายถึง ผเู้ รยี นไมม่ กี ารแสดงพฤติกรรมในการเรยี นการสอน โดยเกณฑก์ ารแปลผลคะแนนมดี ังนี้: คะแนนเตม็ 36 คะแนน ระดับดมี าก ได้คะแนนตั้งแต่ ร้อยละ 85 (31 - 36 คะแนน) ระดบั ดี ได้ คะแนนตั้งแต่ รอ้ ยละ 70 ถึงร้อยละ 84 (25 - 30 คะแนน) ระดบั พอใช้ ได้คะแนนตั้งแต่ รอ้ ยละ 50 ถงึ ร้อยละ 69 (18 - 24 คะแนน) ระดับตอ้ งปรบั ปรงุ ได้คะแนนนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 (0 - 17 คะแนน)

Chapter 3 117 ระดับความรู้ การสรา้ งความรู้ (ตามแนวทางคอนสตรัคติวสิ ต์) ระดบั พฤติกรรม ตามแนวบลูม 32 1 0 1. มีการแสดงความรู้ผ่านเครอื่ งมอื ทางปญั ญา ร่องรอยสาหรับการตรวจสอบ: MODULE 1: - ตัวอยา่ งเช่น Breaking the Ice Activity MODULE 2: การท้าทาย - ตวั อยา่ งเช่น FAQs จา (Remembering) ความคดิ / MODULE 3: สรา้ งความ - ตวั อยา่ งเช่น Group Learning Log ขัดแยง้ 2. มกี ารสนทนาแลกเปล่ยี นความร้รู ะหวา่ งผู้เรียน ร่องรอยสาหรบั การตรวจสอบ: ความรู้ MODULE 1: ระดับ MODULE 2: พื้นฐาน MODULE 3: เข้าใจ 3. มกี ารรว่ มกันอภิปรายกรอบความร้ใู หม่ผา่ น (Understanding) เครื่องมือทางปัญญา การสร้าง 1. มีการค้นหาความรู้เพม่ิ เติมผ่านเคร่ืองมือทาง ความรจู้ าก ปญั ญา สิ่งท่ีพบเหน็ 2. มกี ารร่วมกนั นาเสนอความสัมพันธร์ ะหว่าง ประยกุ ตใ์ ช้ หรอื การมี ความรู้ใหมแ่ ละประสบการณเ์ ดมิ ผ่านเคร่ืองมือ (Applying) ปฏิสัมพันธ์ ทางปญั ญา กบั 3. มีการนาเสนอตัวอยา่ งการใชป้ ระโยชน์จาก สง่ิ แวดล้อม ความรู้ทีได้รบั ผ่านเครื่องมอื ทางปัญญาและรับฟงั หรอื บคุ คลอื่น ความคิดเห็นระหวา่ งผู้เรยี น พยายามนา 1. มกี ารร่วมกนั จาแนกประเภทความรู้/แนวคิด ความเข้าใจ ใหม่ๆ และจัดเก็บผา่ นเครอื่ งมอื ทางปญั ญา ความรู้ วเิ คราะห์ จากสิ่งทพี่ บ 2. มกี ารร่วมกนั ตรวจสอบประเภทความรู้/ ระดับสงู (Analyzing) เหน็ หรอื แนวคิดใหม่ๆ ทีไ่ ดจ้ ัดเก็บผ่านเครอ่ื งมือทาง ประสบการณ์ ปญั ญา มาสรา้ ง

118 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ระดบั ความรู้ การสร้างความรู้ (ตามแนวทางคอนสตรัคตวิ ิสต์) ระดบั พฤตกิ รรม ตามแนวบลมู 32 1 0 ประเมนิ ค่า โครงสร้าง 3. มีการสะทอ้ นคดิ ทีแ่ สดงถึงการตัดสนิ ใจของ (Evaluating) ทางปญั ญา ผเู้ รียนผา่ นเครือ่ งมอื ทางปัญญา การสรา้ งสรรค์ หรือ 1. มีการออกแบบต้นแบบของความรู้ผา่ น (Creating) การพิจารณา เครอ่ื งมือทางปัญญา ไตร่ตรองกับ 2. มีการเรียนร้คู วามผดิ พลาดจากประสบการณ์ และหาวิธปี รับปรงุ แกไ้ ขระหว่างผู้เรียน ตนเอง 3. มกี ารรว่ มกนั ผลิตช้ินงานจากความรู้และ ประสบการณ์ท่ีได้รบั ผา่ นเครื่องมอื ทางปญั ญา การนาเสนอ ผลงาน ตอนท่ี 2 การวดั ผลลัพธจ์ ากการสร้างความรู้ (แบบทดสอบวัดการสรา้ งความรูร้ ะดบั พนื้ ฐาน ประกอบดว้ ย จา เข้าใจ และประยุกต์ใช้) ด้วยการเรยี นด้วยอเี ลิร์นนงิ แบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทาง คอนสตรัคติวสิ ตด์ ้วยเครื่องมอื ทางปัญญาเพอื่ เสริมสร้างการสรา้ งความร้ขู องผู้เรียนในระดบั อดุ มศึกษา คาชี้แจง แบบวัดผลลัพธ์จากการสรา้ งความรู้ น้ี สร้างขึ้นเพื่อใช้วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการสร้างความรู้ด้วย การเรียนด้วยอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญา เพ่ือเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา โดยจัดทาในรูปแบบข้อสอบแบบปรนัยพร้อมคา สาคญั ท่แี สดงถึงระดบั ของการสร้างความรูท้ ่เี กิดขนึ้ คาจากดั ความ แบบประเมินชิ้นงานจากการสร้างความรู้ เป็นผลลัพธ์ท่ีได้มาจากกระบวนการท่ีบุคคลสร้างความหมาย หรือความเข้าใจเก่ียวกับสิ่งที่รับรู้ใหม่และแตกต่างจากส่ิงที่เคยรู้มาก่อนดังนั้นความหมายหรอื ความเข้าใจที่บุคคล แต่ละคนสร้างขึ้นอาจจะแตกต่างกันตามประสบการณ์ภาษาและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตน แบ่งออกตาม หลักการกาหนดจุดมุง่ หมายทางการศึกษาของบลูม และกระบวนการพุทธิปัญญา โดยเน้นท่ีความรู้ระดับพื้นฐาน ประกอบดว้ ย จา เข้าใจ และประยกุ ตใ์ ช้

Chapter 3 119 คาชแี้ จง: แบบทดสอบฉบบั นม้ี ีจานวน 10 ข้อต่อ 1 โมดลู (มีทัง้ สนิ้ 3 โมดลู ) นิสิตจะมเี วลาในการทาแบบทดสอบ โมดลู ละ 20 นาที โดยให้ X เลือกคาตอบท่ีถกู ท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว มีตวั อย่าง Test Blueprint ดงั ตอ่ ไปน้ี MODULES ความรู้ระดบั พ้ืนฐาน จา เข้าใจ ประยกุ ตใ์ ช้ MODULE 1: ………………………………………………………. วัตถุประสงค์: ผู้เรียนสามารถ……………………………………. ✓ 1. …………………………… ✓ 2. …………………………… 3. …………………………… ✓ ………………………………… ✓✓ 10. …………………………. ✓✓ MODULE 2: ………………………………………………………. วตั ถุประสงค์: ผูเ้ รียนสามารถ……………………………………. ✓ 1. …………………………… 2. …………………………… ✓ 3. …………………………… ✓ ………………………………… ✓✓ 10. …………………………. ✓✓ MODULE 3: ………………………………………………………. วัตถปุ ระสงค์: ผเู้ รียนสามารถ……………………………………. ✓✓ ✓ 1. …………………………… 2. …………………………… ✓ 3. …………………………… ………………………………… ✓✓ 10. …………………………. ✓✓

120 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ตอนท่ี 3 การวดั ผลลัพธจ์ ากการสรา้ งความรู้ (แบบประเมินช้ินงานรูบรคิ วัดการสรา้ งความรรู้ ะดบั สงู ประกอบดว้ ย วเิ คราะห์ ประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์) ด้วยการเรียนดว้ ยอเี ลริ ์นนิงแบบผสมผสาน ศาสตรก์ ารสอนตามแนวทางคอนสตรัคตวิ ิสตด์ ว้ ยเครอื่ งมอื ทางปัญญา เพ่อื เสริมสร้างการสร้างความรขู้ องผู้เรียนในระดับอดุ มศกึ ษา (ดดั แปลงเกณฑ์การแปลผลคะแนนและเกณฑก์ ารให้คะแนนจาก ประกอบ กรณีกจิ , 2553) คาชี้แจง แบบประเมนิ ชิน้ งานจากการสรา้ งความรนู้ ี้ สร้างข้ึนเพื่อใช้วัดผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนจากการสร้างความรู้ด้วย ก า ร เรี ย น ด้ ว ย อี เลิ ร์ น นิ งแ บ บ ผ ส ม ผ ส า น ศ า ส ต ร์ ก า ร ส อ น ต า ม แ น ว ท า งค อ น ส ต รั ค ติ วิ ส ต์ ด้ ว ย เค ร่ื อ งมื อ ทางปัญญาเพื่อเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา โดยจัดทาในรูปแบบเกณฑ์การประเมิน แบบรบู ริค 4 ระดับ คาจากดั ความ แบบประเมินช้ินงานจากการสร้างความรู้ เป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากกระบวนการที่บุคคลสร้างความหมาย หรือความเข้าใจเก่ียวกบั สง่ิ ที่รับรู้ใหมแ่ ละแตกต่างจากสงิ่ ท่เี คยร้มู าก่อน ดงั นน้ั ความหมายหรือความเข้าใจท่ีบคุ คล แต่ละคนสร้างขึ้นอาจจะแตกต่างกันตามประสบการณ์ภาษาและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตน แบ่งออกตาม หลักการกาหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของบลูม และกระบวนการพุทธิปัญญา โดยเน้นที่ความรู้ระดับสูง ประกอบด้วย วิเคราะห์ ประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์ คาชแ้ี จง 1. เกณฑ์การประเมินนี้เป็นเกณฑก์ ารประเมินช้นิ งานจากการสร้างความรู้ โดยผูป้ ระเมิน ไดแ้ ก่ ผูเ้ ชีย่ วชาญทางด้านเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา จานวน 2 ทา่ น 2. ผ้ปู ระเมินควรศกึ ษาองค์ประกอบและเกณฑ์การประเมนิ อย่างถ่องแทก้ ่อนทาการประเมิน 3. เกณฑก์ ารแปลผลคะแนนมดี งั นี้ คะแนนเตม็ 30 คะแนน - ระดับดมี าก ได้คะแนนตั้งแต่ รอ้ ยละ 85 (25 - 30 คะแนน) - ระดบั ดี ได้คะแนนต้งั แต่ รอ้ ยละ 70 ถึงร้อยละ 84 (20 - 24 คะแนน) - ระดบั พอใช้ ได้คะแนนตั้งแต่ ร้อยละ 50 ถงึ ร้อยละ 69 (15 - 19 คะแนน) - ระดับตอ้ งปรบั ปรงุ ไดค้ ะแนนนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 (0 - 14 คะแนน)

Chapter 3 121 ตารางแสดงเกณฑก์ ารประเมินแบบรูบริคสาหรับประเมินชน้ิ งาน องคป์ ระกอบ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดี (2) พอใช้ (1) การประเมนิ ดมี าก (3) ตอ้ งปรบั ปรุง (0) 1. ด้านการสรา้ งความรู้ระดับสูง มกี ารรว่ มกนั ค้นคว้า จาแนก จดั เก็บขอ้ มูล 1.1 การวิเคราะห์ มกี ารร่วมกนั คน้ ควา้ มีการรว่ มกันคน้ คว้า มกี ารรว่ มกันค้นคว้า อยา่ งไมม่ ปี ระสิทธภิ าพ จาแนก จัดเก็บขอ้ มลู จาแนก จดั เกบ็ ข้อมูล จาแนก จดั เก็บข้อมลู อย่าง อยา่ งมปี ระสิทธิภาพใน อย่างมปี ระสิทธภิ าพใน ไมม่ ีการตรวจสอบ ข้ันตอนการทางานตง้ั แต่ ข้ันตอนการทางาน ความถูกต้องของข้อมูล มีประสิทธภิ าพในทกุ ร้อยละ 70ขนึ้ ไป น้อยกวา่ ร้อยละ 70 และไมม่ ี การร่วมกันตัดสินใจ ข้ันตอนการทางาน มีการตรวจสอบความ มกี ารตรวจสอบความ ในขน้ั ตอนการทางาน ถกู ต้องของขอ้ มูลและ ถกู ตอ้ งของข้อมลู และ ในการสร้างสรรค์งาน 1.2 การประเมนิ มกี ารตรวจสอบความ รว่ มกนั ตัดสนิ ใจใน ร่วมกันตัดสนิ ใจใน ไม่มขี ้ันตอนของ คา่ ถูกต้องของขอ้ มูลและ ข้ันตอนการทางานตั้งแต่ ขั้นตอนการทางาน การออกแบบตน้ แบบ ร่วมกนั ตัดสนิ ใจ ร้อยละ 70 ขนึ้ ไป น้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 เรยี นรคู้ วามผิดพลาด ในทุกขั้นตอนการทางาน และหาวธิ ีปรับปรุง ในการสรา้ งสรรค์งานมี ในการสรา้ งสรรค์งานมี ช้ินงาน 1.3 การ ในการสรา้ งสรรคง์ าน การออกแบบตน้ แบบ การออกแบบต้น แบบ สรา้ งสรรค์ มกี ารออกแบบตน้ แบบ เรียนรู้ความผดิ พลาด เรียนรู้ความผิดพลาด เรียนรคู้ วามผิดพลาด และ และหาวิธปี รับปรงุ และหาวิธปี รับปรงุ หาวธิ ปี รับปรุงช้ินงานครบ ชน้ิ งาน บางขั้นตอน ช้นิ งาน บางข้ันตอน ทุกข้ัน ตอน ตง้ั แต่ร้อยละ 70 ข้ึนไป น้อยกวา่ ร้อยละ 70 2. ดา้ นองค์ประกอบของชนิ้ งาน 2.1. วัตถปุ ระสงค์ วตั ถุประสงคแ์ ละเนอ้ื หา วตั ถุประสงคแ์ ละเนื้อหา วตั ถุประสงค์และ วตั ถุประสงค์และ เหมาะสมกับกลุ่ม เนื้อหาเหมาะสมกบั เนอ้ื หาไมเ่ หมาะสมกับ และเน้อื หา เหมาะสมกับกลุ่ม เปา้ หมาย และมีความ กล่มุ เปา้ หมาย และมี กลมุ่ เปา้ หมาย และมี สอดคล้องระหว่าง ความสอดคลอ้ ง ความสอดคล้อง เปา้ หมาย และมีความ วตั ถุประสงคแ์ ละเนื้อหา ระหวา่ งวตั ถปุ ระสงค์ ระหวา่ งวัตถุประสงค์ บางประเด็น ต้งั แตร่ อ้ ย และเนอื้ หาบาง และเนือ้ หาบาง สอดคล้องระหว่าง ละ 70 ขึ้นไป ประเดน็ น้อยกว่ารอ้ ย ประเด็น น้อยกว่ารอ้ ย ละ 70 ละ 70 วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเนือ้ หา ในทกุ ประเด็น

122 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL องคป์ ระกอบ เกณฑ์การใหค้ ะแนน การประเมิน ดมี าก (3) ดี (2) พอใช้ (1) ตอ้ งปรบั ปรุง (0) 2.2. สอ่ื และ มกี ารเลือกใชส้ ่อื และแหล่ง มีการเลอื กใช้ส่ือและ แหลง่ การเรียนรู้ การเรยี นรู้ที่เหมาะสมกับ มกี ารเลอื กใชส้ อื่ และ มีการเลือกใชส้ อื่ และ แหลง่ การเรียนรู้ที่ กลุ่มเป้า หมาย และมี ไมเ่ หมาะสมกบั กลุ่ม ความสอดคล้องกับเนอื้ หา แหล่งการเรียนรทู้ ี่ แหล่งการเรียนรู้ท่ี เป้า หมาย และมีความ ในทกุ ประเด็น สอดคล้องกับเนอ้ื หา เหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ เหมาะสมกับกลุ่มเปา้ บางประเดน็ นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 หมาย และมีความ หมาย และมีความ มีการเลอื กใชก้ ิจกรรม และ สอดคลอ้ งกับเน้ือหาบาง สอดคล้องกับเน้อื หา ประเมินผลท่ี ไมเ่ หมาะสมกบั ประเด็น ต้ังแต่ บางประเดน็ กลุ่ม เป้าหมาย และมี ความสอดคล้องกบั รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 วตั ถปุ ระสงค์ในบาง ประเดน็ นอ้ ยกว่าร้อย 2.3. กิจกรรมและ มกี ารเลือกใชก้ ิจกรรม มีการเลือกใชก้ ิจกรรม มกี ารเลือกใชก้ จิ กรรม ละ 70 การประเมินผล และการประเมินผลท่ี มีการประยุกตใ์ ช้ และการประเมนิ ผลท่ี และ ทฤษฎีทางการศกึ ษาได้ เหมาะสมกบั ไมถ่ ูกต้องตามหลักการ กลุ่ม เปา้ หมาย และ เหมาะสมกบั การประเมินผลที่ เรียนรู้ และไม่ มคี วามสอดคลอ้ งกบั เหมาะสมกบั กลุ่ม วตั ถุประสงคใ์ น กลุม่ เป้าหมาย และ เหมาะสมกบั เปา้ หมาย ทกุ ประเด็น มคี วามสอดคลอ้ งกบั กลุ่ม เปา้ หมาย และมี การออกแบบไม่ สอดคล้องกับเนือ้ หา วัตถปุ ระสงคใ์ นบาง ความสอดคล้องกบั และกลุ่มเป้าหมาย และไมต่ รงตามหลกั ประเด็น ตง้ั แตร่ อ้ ยละ วัตถปุ ระสงคใ์ นบาง การออกแบบ 70 ขึน้ ไป ประเดน็ น้อยกวา่ ร้อย ละ 70 2.4. ทฤษฎี มกี ารประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎี มีการประยกุ ต์ใช้ทฤษฎี มีการประยกุ ต์ใช้ ทางการศึกษา ทางการศกึ ษาได้ถูกตอ้ ง ตามหลกั การเรยี นรู้ และ ทางการศึกษาไดถ้ กู ต้อง ทฤษฎีทางการศกึ ษาได้ เหมาะสมกบั กลุ่ม เป้าหมาย ตามหลกั การเรียนร้ใู น ถกู ต้องตามหลักการ บางประเดน็ และ เรียนรู้ แต่ เหมาะสมกับกลุ่ม ไมเ่ หมาะสมกบั เปา้ หมาย กลุ่มเปา้ หมาย 3. ด้านการออกแบบและพฒั นา 3.1. การ การออกแบบสอดคลอ้ ง การออกแบบสอดคลอ้ ง การออกแบบ กับเนอ้ื หาและ สอดคลอ้ งกับเน้ือหา ออกแบบ กับเนอื ้หาและ กลุ่มเป้าหมาย และตรง และ/หรือกลุม่ ตามหลักการออกแบบ เปา้ หมาย และตรงตาม กลมุ่ เป้าหมาย และตรง ตั้งแต่ร้อยละ 70 ข้ึนไป หลกั การออกแบบ บางหลักการ ตามทกุ หลกั การออกแบบ

Chapter 3 123 องคป์ ระกอบ เกณฑ์การให้คะแนน การประเมิน 3.2. การพัฒนา ดมี าก (3) ดี (2) พอใช้ (1) ต้องปรับปรุง (0) มีการเลอื กใช้ประเภทของ มีการเลอื กใช้ประเภท 4. การส่งงาน เครอื่ งมอื และมีประยกุ ต์ใช้ มีการเลือกใชป้ ระเภท มีการเลือกใช้ประเภท ของเคร่ืองมอื และมี และความ เทคนิคไดเ้ หมาะสมกบั ประยุกตใ์ ช้เทคนคิ ได้ เรียบร้อย ลักษณะของงาน ของเคร่อื งมือและมี ของเครื่องมอื และมี ไม่เหมาะสมกบั สมบูรณ์ของ ลักษณะของงาน ชน้ิ งาน ส่งงานตรงเวลา และมี ประยุกตใ์ ชเ้ ทคนคิ ได้ ประยกุ ต์ใช้เทคนคิ ได้ ความถีถ่ ้วนในการ สง่ งานไม่ตรงเวลา และ ตรวจสอบชิ้นงานให้ เหมาะสมกับลกั ษณะ เหมาะสมกบั ลักษณะ มีความถี่ถว้ นในการ สามารถแสดงผลได้ ตรวจสอบชิ้นงานให้ ถกู ตอ้ งท้ังหมด ของงานไดถ้ กู ตอ้ งตง้ั แต่ ของงานได้ถกู ต้องนอ้ ย สามารถแสดงผลได้ ไม่ถกู ต้อง ร้อยละ 70 ขึน้ ไป กวา่ ร้อยละ 70 (มขี อ้ ผดิ พลาดมากกว่า 2 ท)่ี สง่ งานตรงเวลา และมี ส่งงานไม่ตรงเวลา และ ความถี่ถ้วนในการ มีความถ่ถี ว้ นในการ ตรวจสอบชิ้นงานให้ ตรวจสอบช้ินงานให้ สามารถแสดงผลได้ สามารถแสดงผลได้ ถกู ต้องเกอื บทงั้ หมด (มี ถูกตอ้ งเกอื บทั้งหมด ข้อผดิ พลาด 1-2 ท)่ี (มขี ้อผดิ พลาด 1-2 ท)่ี 2. Case Studies ในส่วนนี้จะขอนาเสนอกรณีตัวอย่างการใช้ UTEL เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้านสาขาวิชาหลักในบริบทต่างๆ ท่ีประสบความสาเร็จ โดยพบว่าในเร่ืองของสาระหลักนั้นผลลัพธ์การเรียนรู้ ส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความเข้าใจในการอ่าน วิธีการสอนที่นิยมใช้ในการพัฒนา ผลลัพธก์ ารเรียนรูด้ ังกล่าวไดแ้ ก่ วธิ กี ารสอนแบบร่วมมือ ทฤษฎกี ารตอบสนองของผอู้ า่ น แนวคดิ วศิ วกรรมผันกลับ และ เทคนคิ การเรยี นร้แู บบเพ่อื นชว่ ยเพ่อื น ดังแสดงในตารางที่ 3.3 ตารางที่ 3.3 งานวจิ ยั ท่ีมตี ัวแปรตามเกี่ยวข้องกบั ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้านสาขาวชิ าหลกั 21st Century Skills Outcomes ช่ืองานวิจัย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาอังกฤษ วิไลพร พรมตา และจนิ ตวรี ์ ม่นั สกุล. (2551). (English Learning Achievement) ผลของการเรียนการสอนแบบผสมผสานด้วยการเรยี น การสอนแบบรว่ มมือในบทเรียนภาษาองั กฤษทมี่ ีตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกนั . วารสารอิเลก็ ทรอนิกส์ ทางการศกึ ษา, 3(2), 164-177.

124 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 21st Century Skills Outcomes ช่อื งานวจิ ยั ความเข้าใจในการอ่าน จิตรลดา คานวนสนิ และจินตวรี ์ คล้ายสงั ข์. (2557). (Reading Comprehension) การพฒั นารปู แบบหนงั สอื วรรณคดีไทยอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ แบบเช่ือมโยงรว่ มกับโซเชียลมเี ดียตามทฤษฎีการตอบสนอง ความคิดเชงิ ประมวลผล ของผู้อ่านเพอ่ื สง่ เสริมความเขา้ ใจในการอา่ นของนกั เรียน (Computational Thinking) ประถมศึกษา. วารสารอิเล็กทรอนิกสท์ างการศกึ ษา, 9(4), 1-12. สธุ ิวัชร ศุภลกั ษณ์ และจนิ ตวีร์ คลา้ ยสงั ข์. (2561). ระบบการ เรยี นร้บู นคลาวด์ตามแนวคิดวิศวกรรมผันกลับและเทคนิคการ เรียนร้แู บบเพ่ือนช่วยเพอื่ นเพ่ือส่งเสริมความคิดเชงิ ประมวลผล. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาครศุ าสตรดษุ ฎีบัณฑิต (กาลังดาเนินการ), จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จากตารางที่ 3.3 จะขอฉายภาพงานวิจัยทั้ง 3 ดังรายละเอียดต่อไปนี้ วิไลพร พรมตา และ จินตวีร์ ม่ันสกุล (2551) ได้ศึกษาผลของการเรียนการสอนแบบผสมผสานด้วยการเรียนการสอนแบบร่วมมือในบทเรียน ภาษาอังกฤษทม่ี ตี ่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ที่มบี ุคลิกภาพแตกตา่ งกัน โดยการวจิ ัยมี วตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษาผลของการจดั การเรยี นการสอนบนเวบ็ แบบผสมผสานดว้ ยการเรียนการสอนแบบรว่ มมือใน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังฤกษที่มีตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นช้ันมัยธยมศกึ ษาปีทึ่ 1 ท่ีมีบคุ ลกิ ภาพ ท่แี ตกต่างกัน คอื บุคลิกภาพแบบแสดงตัวและแบบเกบ็ ตัว และเปรยี บเทียบคะแนนความรว่ มมือในการปฏิบัตงิ าน กลุ่มของนักเรียนที่มีบุคลิกท่ีแตกต่างกัน โดยจุดเด่นของงานนี้คือ การผสมผสานวิธีการสอนแบบร่วมมือเข้ากับ ยบู คิ วติ ัสเทคโนโลยีเพอื่ ตอบโจทยล์ ักษณะการเรียนรู้ทแ่ี ตกต่างกันของผเู้ รยี น ในการเข้าถงึ เน้ือหาและกิจกรรมโดย ไม่มีข้อจากัดของเวลาและสถานท่ี ซึ่งเป็นจุดเด่นของ UTEL ในด้านความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ (Flexibility) สามารถสรปุ เป็นกรอบแนวคดิ ทใ่ี ช้ในการพฒั นางานวจิ ยั เพอื่ นาไปทดลอง ดงั สรุปได้ดงั กรอบแนวคดิ ต่อไปน้ี

Chapter 3 125 ขน้ั ตอนการสอนแบบรว่ มมือโดยใช้ ขัน้ ตอนการสอนภาษาอังกฤษแบบรว่ มมอื รปู แบบการจัดกระบวนการเรยี นรู้ เทคนคิ CIRC 1. แบง่ กลมุ่ นกั เรยี นตามระดับแบบของ แบบ 2W3P บคุ ลกิ ภาพ นกั เรยี นในกลมุ่ ทากจิ กรรมการ 1. ขนั้ เตรียมความพร้อมหรือนาเขา้ สู่ 1. แบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดบั แบบของ อา่ นแบบเรียนรว่ มกนั บทเรียน บคุ ลกิ ภาพในกลุม่ กจิ กรรมการอ่าน 2. ครูจดั ทีมใหมโ่ ดยให้แต่ละทมี มีนกั เรียน 2. ขั้นนาเสนอ แบบเรยี นร่วมกนั มีบุคคลกิ ภาพแตกตา่ งกัน ตามขนั้ ตอนการ 3. ข้ันฝึกทกั ษะ 2. ครูจดั ทีมใหมโ่ ดยใหแ้ ตล่ ะทีมมี สอน ดังนี้ 4. ข้นั นาความรไู้ ปใช้ นักเรยี นมบี ุคคลิกภาพแตกตา่ งกัน 1. ขน้ั นาเข้าสูบ่ ทเรียน (Warm up) 5. ขน้ั สรปุ บทเรยี น 3. ครพู บกลมุ่ การอา่ น แจ้ง 2. ขน้ั นาเสนอ (Presentation) วตั ถปุ ระสงค์ในการอา่ น 3. ขน้ั ฝกึ ทกั ษะ (Practice) 4. หลังจากกจิ กรรมการอา่ นครนู า 4. ขั้นนาความร้ไู ปใช้ (Production) อภิปรายเร่อื งที่อา่ น 5. ขัน้ สรปุ บทเรยี น (Wrap up) 5. นกั เรยี นไดร้ บั การทดสอบการอา่ น 3. ครูพบกลุ่มการอา่ น แจง้ วตั ถปุ ระสงค์ใน เพ่ือความเขา้ ใจ การอ่าน 4. หลงั จากกจิ กรรมการอ่านครนู าอภิปราย เรือ่ งทอ่ี ่าน 5. นักเรียนไดร้ บั การทดสอบการอ่านเพอ่ื ความเข้าใจ ภาพท่ี 3.2 กรอบแนวคดิ การวิจยั เรื่อง ผลของการเรียนการสอนแบบผสมผสานด้วยการเรยี นการสอน แบบรว่ มมือในบทเรียนภาษาองั กฤษท่มี ีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรยี นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ท่ีมีบุคลกิ ภาพแตกต่างกนั

126 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ทั้งน้ีสามารถศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จาก วิไลพร พรมตา และ จินตวีร์ มั่นสกุล. (2551). ผลของการเรียนการสอนแบบผสมผสานด้วยการเรียนการสอนแบบร่วมมือในบทเรียนภาษาอังกฤษที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกัน. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทาง การศึกษา, 3(2), 164-177. ภาพท่ี 3.3 เวบ็ เพจคาแนะนาบทเรียน ภาพท่ี 3.4 เว็บเพจหน้ากจิ กรรม จติ รลดา คานวนสนิ และจินตวีร์ คลา้ ยสังข์ (2557) ไดพ้ ัฒนารูปแบบหนังสอื วรรณคดไี ทยอิเล็กทรอนกิ ส์ แบบเชื่อมโยงร่วมกับโซเชียลมีเดียตามทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่านเพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน ของนักเรียนประถมศึกษา การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยและพัฒนา การพัฒนารูปแบบฯ มีวัตถุประสงค์ เพ่ือพัฒนา รูปแบบและศึกษาผลของรูปแบบการใช้หนังสือวรรณคดีไทยอิเล็กทรอนิกส์แบบเชื่อมโยงร่วมกับโซเชียลมีเดีย ตามทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่าน เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนประถมศึกษา โดยจุดเด่น ของงานน้ีคือการนาแนวคิดเร่ืองหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบเช่ื อมโยง (Interactive e-Book) มาใช้เป็น ส่ือการเรียนรู้สอนวรรณ คดีไทยสาหรับเด็กประถมศึกษา เน่ืองจากผู้เรียนสามารถใช้อ่านและดูบน เคร่ืองคอมพิวเตอร์หรอื อปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอ่ืนๆ ได้ และยังชว่ ยในการสบื ค้น เชอ่ื มโยงเนื้อหาบทเรียนไป ยงั เนือ้ หาภายในและภายนอกได้ สรา้ งแรงจูงใจในการอ่าน และเพิ่มประสิทธภิ าพในการอ่านไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

Chapter 3 127 สามารถสรุปเป็นองค์ประกอบและข้ันตอนเพื่อการนาไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนได้ ดังนี้ รปู แบบทพ่ี ฒั นาขนึ้ ประกอบดว้ ย 6 องค์ประกอบ และ 3 ขนั้ ตอน องค์ประกอบ ขนั้ ตอน (1) การเชอื่ มโยงหลายมติ ิ (Hypermedia) (1) ขั้นกอ่ นการอา่ น (The pre - reading phase) (2) โซเชียลมเี ดยี (Social Media) (2) ขัน้ ระหว่างการอา่ น (The during reading phase) (3) โครงสรา้ งของหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (3) ขั้นหลงั การอา่ น (The post - reading phase) (E-Book Structure) (4) มลั ติมีเดยี (Multimedia) (5) เนอื้ หา (Content) (6) รปู แบบการสอนอา่ น (Reading Strategy) ทั้ งน้ี ส าม ารถศึ กษ าราย ล ะเอีย ด เพ่ิ ม เติ ม ได้ จ าก Kumnuansin, J., & Khlaisang, J. (2015). Development of a Model of Thai Literature Hypermedia Electronic Books with Social Media Based on the Reader-response Theory to Enhance Reading Comprehension of Elementary School Students. Procedia - Social and Behavioral Sciences, 174, 1700-1706. ภาพท่ี 3.5 หน้าปกหนังสืออิเล็กทรอนกิ สฯ์ ภาพที่ 3.6 ตัวอย่างภายในหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ สฯ์

128 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL สุธิวัชร ศุภลักษณ์ และจินตวีร์ คล้ายสังข์ (2561) ได้พัฒนาระบบการเรียนรู้บนคลาวด์ตามแนวคิด วศิ วกรรมผันกลับและเทคนิคการเรียนรู้แบบเพ่ือนชว่ ยเพื่อนเพ่ือส่งเสริมความคิดเชิงประมวลผล การวิจัยในคร้ังน้ี เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการเรียนรู้บนคลาวด์ตามแนวคิดวิศวกรรมผันกลับและ เทคนิคการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือนเพ่ือส่งเสริมความคิดเชิงประมวลผล โดยจุดเด่นของงานนี้คือการส่งเสริม ความคดิ เชิงประมวลผล ดว้ ยการพฒั นาระบบบนพนื้ ฐานของเทคโนโลยคี ลาวดท์ สี่ ง่ เสริมการเรยี นรูไ้ ดท้ กุ ท่ี ทกุ เวลา และเน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ Real Time ผสานกับแนวคิดแนวคิดวิศวกรรมผันกลับ (Reverse Engineering) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงอุตสาหกรรม โดยเป็นแนวคิดวิธีการในการแยก องคค์ วามรู้หรือขอ้ มูลการออกแบบจากทกุ สง่ิ ท่อี ย่างทมี่ นุษยเ์ ป็นสรา้ ง แลว้ นามาออกแบบหรือสรา้ งใหมบ่ นพ้นื ฐาน ของข้อมูลได้มา หรือการนามาวิเคราะห์เพ่ือหาแนวทางปรับปรุง ซ่อมแซมเพ่ือทาให้ระบบหรือวัตถุน้ันดีข้ึน ข้อดี ของการนาวิธีนี้มาใช้คือ ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย การวิเคราะห์หาจุดด้อยเพื่อพัฒนาให้ดีข้ึน ซ่ึงระบบน้ีสามารถ ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นสามารถเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถปพู ืน้ ฐานของการพฒั นานวัตกรรมใหม่ๆได้ สามารถสรปุ เปน็ 5 องคป์ ระกอบและ 6 ขัน้ ตอนเพอ่ื การนาไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการจัดการเรยี นการสอน ไดด้ ังนี้ (1) ระบบการเรยี นรู้ รปู แบบท่พี ฒั นาขึ้น ประกอบดว้ ย 5 องคป์ ระกอบ และ 6 ขน้ั ตอน (2) เครื่องมือบนคลาวด์ (1) ขน้ั การกาหนดเปา้ หมายและการจัดกลมุ่ (3) บทบาทของผู้เรยี น (2) ข้นั การวางแผนงานร่วมกัน (4) เน้ือหา (3) ข้ันการเลือกตน้ แบบ (5) การประเมินผล (4) ขั้นการวิเคราะห์ต้นแบบร่วมกัน (5) ขน้ั การออกแบบรว่ มกัน (6) ข้ันการใหผ้ ลปอ้ นกลับ ท้ังน้ีสามารถศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จาก สุธิวัชร ศุภลักษณ์ จินตวีร์ คล้ายสังข์ และ เนาวนิตย์ สงคราม. (2561). ระบบการเรียนรู้บนคลาวด์ตามแนวคิดวิศวกรรมผันกลับและเทคนิคการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วย เพ่ือน เพ่ือส่งเสริมความคิดเชิงประมวลผล. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต (กาลังดาเนินการ), จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.

Chapter 3 129 ภาพที่ 3.7 ภาพหน้าจอระบบการเรียนร้บู นคลาวด์ ภาพท่ี 3.8 หน้าจอเก่ยี วกบั การเรยี นรู้ตามแนวคิดวศิ วกรรมผนั กลับ 3. Research Works ในส่วนของงานวิจัยที่เก่ียวข้องและการประยุกต์ใช้น้ัน จะขอกล่าวถึง งานวิจัยของผู้เขียน เน้น การนาเสนอผลวิจัยเพ่ือเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ UTEL ในการจัดการเรียนการสอน และการมองทิศทาง ในอนาคต มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี

130 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL 3.1 การนาเสนองานวิจัยของผู้เขยี นเพือ่ เปน็ แนวทางในการประยกุ ต์ใช้: รูปแบบการ เรียนอเี ลิรน์ นงิ แบบผสมผสานศาสตรก์ ารสอน การวิจัยเร่ือง การพัฒนารูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอน สตรัคตวิ สิ ต์ด้วยเครอ่ื งมือทางปัญญาเพ่ือเสริมสรา้ งการสร้างความร้ขู องผู้เรยี นในระดับอดุ มศกึ ษา เป็นงานวิจยั และ พัฒนา (Research and Development: R&D) (จินตวีร์ คล้ายสังข์, 2556) มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบ การเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวคิด คอนสตรัคติวิสต์ด้วยเคร่ืองมือทางปัญ ญาเพื่อ เสริมสร้างการสร้างความรขู้ องผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างของการพัฒนารูปแบบฯ ได้แก่ผู้เช่ียวชาญ จานวน 8 ท่าน และกลุ่มตัวอย่างในการศกึ ษาผลการใช้รูปแบบฯ เป็นนิสติ ท่ลี งทะเบยี นเรยี นรายวิชาการออกแบบ การเรียนการสอนบนเว็บ และโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเว็บขั้นนา จานวน 21 คน โดยมีขั้นตอนใน การดาเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ (1) การพัฒนารูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอน ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเคร่ืองมือทางปัญญาฯ (2) การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบ ผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญาฯ และ (3) การนาเสนอรูปแบบ การเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญาฯ โดย ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะตามกระบวนการวจิ ยั ผลการวิจัยระยะที่ 1 พบว่า จากผลการวิจัยในการศึกษาข้อมูล เอกสาร งานวิจัย ท่ีเกี่ยวข้อง และ ก า ร วิ เค ร า ะ ห์ ค ว า ม คิ ด เห็ น ข อ ง ผู้ เช่ี ย ว ช า ญ เก่ี ย ว กั บ รู ป แ บ บ ก า ร เรี ย น อี เลิ ร์ น นิ งแ บ บ ผ ส ม ผ ส า น ศ า ส ต ร์ การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญา รูปแบบฯ ควรประกอบด้วย รูปแบบทั่วไป 1 รูปแบบและรูปแบบเฉพาะจานวน 3 รูปแบบ โดยรูปแบบท่ัวไปประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) บทบาทผู้สอน/บทบาทผู้เรียนเชงิ รุก (2) กจิ กรรมด้วยเครื่องมือทางปัญญา และ (3) การประเมินผลในรปู แบบ ชิ้นงานและกระบวนการ และ 3 ข้ันตอน ได้แก่ (1) ขั้นนา (2) ขนั้ สอน และ (3) ขั้นสรปุ ในขณะท่ีรปู แบบเฉพาะจะ ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ (1) บทบาทผสู้ อน/บทบาทผู้เรยี นเชงิ รุก (2) กิจกรรมด้วยเคร่อื งมือทางปญั ญา (3) การผสมผสานศาสตร์การสอน และ (4) การประเมนิ ผลในรปู แบบช้นิ งานและกระบวนการ และ 3 ข้นั ตอนและ 7 ขั้นตอนย่อยที่สอดคล้องกับรูปแบบท่ัวไปและปรับเฉพาะตามศาสตร์การสอนแต่ละประเภท โดยตามศาสตร์ การสอนประกอบดว้ ย การเรียนออนไลน์โดยใชว้ ธิ ีการอภปิ รายรว่ มกันกบั การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ การเรียนออนไลน์ โดยใช้วิธีการเรียนแบบโครงการเป็นหลักร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการเรียนออนไลน์โดยใช้วิธีการ แกป้ ัญหาร่วมกันกับการเรยี นรู้แบบร่วมมือ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบการสร้างความรู้โดยการทดสอบความแตกต่างก่อนเรียนและ หลังเรียน และความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยใช้สถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกันและแบบเป็นอิสระต่อกัน ตามลาดับ จากน้ันวิเคราะห์ระดับพฤติกรรมการสร้างความรู้ และความพึงพอใจของผู้เรียนด้วยสถติ ิค่าเฉลี่ย และ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน โดยผลการวิจัยพบว่า จากการเปรียบเทียบคะแนนการสร้างความรู้ของผู้เรียนกลุ่มทดลอง

Chapter 3 131 ที่ 1 (ใช้เคร่ืองมือ Cognitive Tool แบบ Synchronous) จานวน 11 คน และกลุ่มทดลองท่ี 2 (ใช้เคร่ืองมือ Cognitive Tool แบบ Asynchronous) จานวน 10 คนพบว่า ทั้ง 2 กลุ่มมีคะแนนก่อนเรียนแตกต่างจาก หลงั เรียนอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 และถึงแม้วา่ ค่าเฉลี่ยของคะแนนการสรา้ งความรหู้ ลงั เรยี นของกลุ่ม ทดลองท่ี 1 จะสูงกว่ากลุ่มทดลองท่ี 2 แต่เมื่อเปรียบเทยี บคะแนนดังกล่าวของทั้ง 2 กลุ่มแล้ว พบวา่ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของคะแนนจากการสังเกตพฤติกรรมการสร้างความรู้ พบว่าค่าเฉล่ยี ของคะแนนพฤตกิ รรมการสร้างความรู้หลังเรียนของกลุ่มทดลองท่ี 1 สูงกว่ากลุ่มทดลองที่ 2 และผล จากแบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ รูปแบบการเรียนฯ พบว่า ผู้เรยี นมีความพงึ พอใจต่อรูปแบบการเรียนอีเลิรน์ นิง แ บ บ ผ ส ม ผ ส า น ศ าส ต ร์ ก า ร ส อ น ต า ม แ น ว คิ ด ค อ น ส ต รั ค ติ วิ ส ต์ ด้ ว ย เค ร่ื อ ง มื อ ท า งปั ญ ญ าอ ยู่ ใน ร ะ ดั บ ดี ม า ก ทัง้ 2 กลุ่ม ขั้นสุดท้าย เป็นการปรับแก้และการนาเสนอรูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอน ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเคร่ืองมือทางปัญญาฯ โดยนาผลการวิจัยจากการศึกษาข้อมูล เอกสาร งานวิจัย ท่ีเก่ยี วข้อง และการวิเคราะหค์ วามคิดเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญเก่ยี วกับรูปแบบการเรยี นอีเลริ ์นนงิ แบบผสมผสานศาสตร์ การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญา และจากการศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ ดังกล่าว ผู้เช่ียวชาญเห็นว่ารูปแบบการเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ด้วย เครื่องมือทางปัญญาเพ่ือเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา มีความเหมาะสมในระดับมาก ท่ีสดุ จากผลจากงานวิจัยดังกล่าว ผู้เขียนจึงขอนาเสนอรูปแบบอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตาม แนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครื่องมือทางปัญญาเพ่ือเสริมสร้างการสร้างความรูข้ องผู้เรียนระดับอุดมศึกษา โดย ผู้อ่านสามารถศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้จากการเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยในที่ประชุมนานาชาติ Khlaisang, J. (2012). Development of Pedagogical Blended e-Learning Model Using Cognitive Tools Based Upon Constructivist Approach for Knowledge Construction in Higher Education. Proceedings of the Fourth International e-Learning Conference 2012, organized by the Thailand Cyber University Project, Office of the Higher Education Commission, Bangkok, Thailand, June 14, 2012.) และบทความในวารสารของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเน้นการนาเสนอองค์ความรู้ที่ได้รับ จากงานวิจัย จินตวีร์ คล้ายสังข์ (2556). “อีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ ด้วยเคร่ืองมือทางปัญญาเพื่อเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนระดับอุดมศึกษา: จากรูปแบบท่ีนาเสนอ ส่กู ารนาไปใช้”. วารสารครุศาสตร์. 4 (ตุลาคม-ธนั วาคม 2556). 16-34

132 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ทั้งน้ี ขอฉายภาพของรูปแบบอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วย เครื่องมือทางปัญญาเพ่อื เสริมสรา้ งการสรา้ งความรขู้ องผู้เรียนในระดบั อุดมศกึ ษา ประกอบดว้ ยรายละเอียด 2 ส่วน ได้แก่ (1) องค์ประกอบของรูปแบบอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วย เครื่องมือทางปัญญาเพื่อเสริมสร้างการสร้างความรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา และ (2) ขั้นตอนการเรียน การสอนของอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอนตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ด้วยเคร่ืองมือทางปัญญา เพือ่ เสริมสรา้ งการสรา้ งความรู้ของผเู้ รียนในระดบั อดุ มศกึ ษา ดังแสดงในภาพที่ 3.9-3.12 ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ bit.ly/utel2018_7 ภาพท่ี 3.9 แสดงองค์ประกอบและขนั้ ตอนของรูปแบบอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานศาสตร์การสอน ตามแนวทางคอนสตรัคตวิ ิสตด์ ้วยเคร่อื งมือทางปัญญาเพ่ือเสรมิ สร้าง การสร้างความรู้ของผเู้ รียนในระดับอดุ มศกึ ษา (Generic Model) ภาพที่ 3.10 แสดงข้นั ตอนอีเลิร์นนงิ แบบผสมผสานศาสตรก์ ารสอน (การอภปิ รายรว่ มกนั กับการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื ) ตามแนวทางคอนสตรัคตวิ ิสตด์ ้วยเครือ่ งมอื ทางปัญญาเพ่อื เสริมสร้างการสรา้ ง ความรขู้ องผเู้ รยี นในระดับอุดมศกึ ษา (Specific Model) ศกึ ษาเพ่ิมเตมิ bit.ly/utel2018_8

Chapter 3 133 ศกึ ษาเพ่ิมเตมิ bit.ly/utel2018_9 ภาพที่ 3.11 แสดงขัน้ ตอนอเี ลิร์นนงิ แบบผสมผสานศาสตร์การสอน (การเรียนแบบโครงการเป็นหลกั ร่วมกับ การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื ) ตามแนวทางคอนสตรัคติวสิ ต์ดว้ ยเคร่อื งมือทางปัญญาเพ่ือเสริมสร้าง การสรา้ งความรู้ของผู้เรยี นในระดับอดุ มศึกษา (Specific Model) ภาพที่ 3.12 แสดงขัน้ ตอนอีเลริ ์นนงิ แบบผสมผสานศาสตรก์ ารสอน (การแก้ปัญหารว่ มกันกับการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ) ตามแนวทางคอนสตรัคติวสิ ตด์ ้วยเครอ่ื งมอื ทางปัญญา เพื่อเสริมสรา้ งการสร้างความรขู้ อง ผเู้ รยี นในระดับอุดมศกึ ษา (Specific Mode) ศึกษาเพ่มิ เตมิ bit.ly/utel2018_10

134 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL จากผลการวิจัยดังกล่าว เพ่ือให้ผู้อ่านได้เห็นภาพที่ชัดเจนของการนาไปใช้ท่ีเป็นรูปธรรม จึงขอเสนอ แผนผังระบบปฏิบัติการ (Learning Management System Site Structure) และภาพตัวอย่างหน้าจอระบบฯ เพอื่ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ต่อไปได้ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี ภาพที่ 3.13 ตัวอยา่ งหน้าจอระบบ ภาพที่ 3.14 แผนผงั ระบบปฏิบัตกิ าร (Learning Management System Site Structure)

Chapter 3 135 ภาพที่ 3.15 รา่ งต้นแบบ Module 1 E-Courseware: เนอ้ื หาประจาโมดูล ภาพที่ 3.16 รา่ งตน้ แบบ Module 1 E-Activities: กิจกรรมประจาโมดูล

136 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ภาพท่ี 3.17 รา่ งต้นแบบ Cognitive Tools 3.2 ทศิ ทางในอนาคต จากท่ีกล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า UTEL ท่ีเข้ามาผสมผสานกับศาสตร์การสอนน้ัน ส่วนใหญ่จะเน้น การจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) เน้นการใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning) ไม่วา่ จะเป็น การใช้โครงการ การใชป้ ัญหา หรือการใชก้ ารอภิปรายเข้าสกู่ ารทากิจกรรมเพื่อการเรียนร้ตู ่างๆ นอกจากผลลัพธ์ท่ี เกดิ ขึน้ ในเร่อื งของการพัฒนาทักษะผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 แลว้ ยังเปน็ การตอบโจทย์ Thailand 4.0 ในการสรา้ ง ผู้เรียนให้เป็น “นวัตกร” โดยการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นหนึ่งในมิติของนวัตกรรม คือ วิธีการสอนแบบใหม่ๆ ดังนั้นนวัตกรรมจึงไม่ได้หมายถึงเคร่อื งมือ หรือส่ิงประดษิ ฐ์เท่าน้ัน โดยเม่ือพิจารณาทักษะ ท่ีจาเป็นในศตวรรษท่ี 21 ทาให้เกิดคาถามว่าจะสอนอย่างไร ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะเหล่าน้ี และติดตัวผู้เรียนไป เมื่อสาเร็จการศึกษา ทาให้เกิดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเชิงรุก ให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด การทางานเป็นกลุม่ และมกี ารใช้เทคโนโลยใี นการจดั การเรยี นการสอน BYOD (Bring Your Own Device) เป็นแนวคิดหนึ่งท่ีเชื่อว่า ในอนาคตสถาบันการศึกษาและผู้สอน ไม่จาเปน็ ต้องเตรยี มอุปกรณส์ าหรบั การเรียนใหก้ บั ผเู้ รียน แตใ่ หผ้ เู้ รียนใชอ้ ปุ กรณ์ของผู้เรยี นเอง อนั จะทาใหผ้ ู้เรยี น รู้สึกถึงคงามผูกพันและความเป็นเจ้าของในการเรียนรู้ ดังน้ันสถาบันและผู้สอนจึงจาเป็นต้องปรับบทบาทท้ัง ในส่วนของการเตรียมส่ือการเรียนรู้ให้รองรับกับอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายและสามารถรองรับเครื่องมือของ ผู้เรียนได้ โดยแนวคิดการผลิตส่ือในยุคปัจจุบันพบว่า สื่อควรมีความยาวไม่เกิน 5-10 นาที และผู้เรียนจะใช้เวลา 5-10 วินาที ตัดสินใจว่าจะชมส่ือหรือไม่ เพราะฉะน้ันสื่อในปัจจุบันควรจะมีการนาเสนอเน้ือหาที่กระชับและต้อง ดึงดูดผเู้ รียนใหไ้ ด้มากทสี่ ุด

Chapter 3 137 แนวคดิ การจดั การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก (Active Learning) ต้องเรียบง่าย รวดเรว็ และตอ้ งดึงดูด ตัวอย่างเชน่ วิธีการสอน Round Robin หรือ เทคนิคเล่าเรื่องรอบวง โดยผู้สอนจะต้ังคาถามและให้ผู้เรียนวนกันตอบ ถ้าผู้เรียนยังไม่มี คาตอบหรือไม่พร้อมที่จะตอบให้ข้ามไปผู้เรียนถัดไป ซึ่งการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบดังกล่าว จะไม่ทาให้ ผูเ้ รียนรู้สึกไม่ดีเมื่อตอบคาถามไม่ได้หรือตอบคาถามผิด โดยจะเน้นที่คาถามค่อนข้างปลายเปิด โดยในการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกลักษณะนี้ ถ้ามีผู้เรียนจานวนมากจะทาให้เสียเวลาค่อยข้างมาก จึงต้องนาเทคโนโลยเี ข้ามาช่วยเสริม ดังตัวอย่างเช่น โปรแกรม Answer Garden ที่มีการใช้ Word Cloud ในการประมวลผลคาตอบที่มีการตอบซ้าๆ กันจานวนมาก ตัวอักษรจะใหญ่ข้ึน ดังตัวอย่างในภาพที่ 3.18 การใช้ Word Cloud ในการระดมสมอง ด้วย โปรแกรม AnswerGarden โดยโปรแกรมจะระบุถึงจานวนผู้ตอบในแต่ละคาตอบด้วย ดังตัวอย่าง คาว่า “เท่าทัน เทคโนโลยี” ผู้ตอบจานวน 5 คนดังนั้นจะเห็นว่า UTEL ดังกล่าวเอ้ือในเรื่องของการเข้าถึงเน้ือหาและเข้าร่วม กิจกรรมของผู้เรียน ในเวลาเดียวกนั นาสกู่ ารสรุปผลและเชื่อมโยงไปยังกิจกรรมอ่ืนๆ ตอ่ ไปอย่างทนั ท่วงที โดยไม่ ข้อจากัดในเร่ืองของเวลาและสถานที่ ตอบโจทย์คุณลักษณะ 3 ประการของ UTEL ได้แก่ ความสามารถในการ เคลื่อนที่ (Mobility) ความสามารถในการโตต้ อบ (Interactivity) และความยดื หย่นุ ในการเรยี นรู้ (Flexibility) ภาพท่ี 3.18 ตวั อยา่ งการใช้ Word Cloud ในการระดมสมอง ดว้ ยโปรแกรม AnswerGarden อีกทั้งการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ต้องมีเป้าหมายท่ีชัดเจน โดยเป้าหมายที่นิยมนามา พิจารณาคือการใช้ Bloom’s Taxonomy โดยสามารถค้นหาข้อมูลในการใช้เทคโนโลยีที่ตอบสนองพฤติกรรม การเรียนรู้ของ Bloom’s Taxonomy โดยคน้ หาว่า “Bloom’s Digital Taxonology”

138 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL ภาพที่ 3.19 เครื่องมอื ทเ่ี หมาะสมกับผลลัพธ์การเรียนรู้ ดงั นั้นการใชเ้ ครื่องมือข้นึ กับกิจกรรม โดยเครอ่ื งมอื หนง่ึ ๆ จะสง่ เสรมิ ผลลัพธ์การเรียนรู้ในระดับที่แตกต่างกัน ที่มา: https://teachinglearningandinternet.wordpress.com/ authentic-integration-of-ict-in-schools/ ภาพท่ี 3.20 เครอ่ื งมือที่เหมาะสมกับผลลัพธ์การเรียนรูใ้ นระดับที่ต่างกนั สาหรับ iPads ทมี่ า: http://langwitches.org/blog/2012/03/31/ipad-apps-and-blooms-taxonomy/ อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ UTEL เช่น การใช้โปรแกรมระดมสมอง Linoit หรือ Padlet ท่ีให้ผู้เรียนส่ง ขอ้ ความ รปู ภาพ ซึ่งผู้สอนสามารถเคล่ือนย้ายคาตอบของผเู้ รียนหรอื จัดกล่มุ คาตอบของผู้เรียนท่ีมีความคลา้ ยคลึง กันได้รวมกับกลยุทธ์การสอน Think Pair Share (เทคนิคเพื่อนคู่คิด) โดยเริ่มจากการคิดคาตอบของตัวเองก่อน แลว้ จับคคู่ ิดกับเพ่ือน แชรค์ าตอบซง่ึ กนั และกัน และคดั เลอื กคาตอบทด่ี ีทสี่ ุดในการนาเสนอ

Chapter 3 139 ภาพที่ 3.21 ตัวอยา่ งการใช้ Padlet เป็นเคร่อื งมือในการจดบันทกึ (Note Taking Tool) เพอ่ื การแลกเปล่ียนเรียนรูร้ ่วมกัน โดยสามารถเลือกเทม็ เพลตได้หลากหลายรปู แบบ เพ่อื ให้เหมาะสม กบั ลักษณะการใช้งาน นอกจากน้ยี ังสามารถแลกเปล่ยี นข้อมูลไดใ้ นหลายรูปแบบไมว่ ่าจะเป็น ข้อความ ภาพ และวีดโิ อ ถือว่าเป็นอีกเครอื่ งมอื ที่ตอบโจทย์คณุ ลกั ษณะ 3 ประการของ UTEL ไดอ้ ย่างดี ภาพที่ 3.22 ตัวอยา่ งการใช้ Coggle ในการระดมสมองดว้ ยการทา Concept Map ตอบโจทย์คุณลกั ษณะ 3 ประการ ของ UTEL เช่นกนั โดย Concept Map อาจนามาใช้ ในลักษณะของการระดมสมอง สาหรบั เนื้อหาหรือข้อมูลทม่ี ีความตอ่ เนือ่ งหรอื เชื่อมโยงกนั ตัวอย่างกลยทุ ธ์การสอนอื่นๆ ท่ีสามารถนาไปใช้กบั UTEL ได้ เช่น Team-pair-solo เป็นวธิ ีการสอนท่ีมี ลาดบั เปน็ ทาเป็นทีม ทาเป็นคู่ และทาคนเดยี ว วิธกี ารสอนแบบนี้เป็นการช่วยกันเรียนร้ใู นเบ้ืองตน้ โดยผู้สอนอาจ ใช้เคร่ืองมือระบบต่างๆ เช่น Padlet หรือ Coggle ในการแลกเปล่ียนแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ หรือแลกเปล่ียน แนวคิดจากชนั้ เรียน จึงเรม่ิ ใหผ้ ูเ้ รยี นจบั คู่ และทางานเดี่ยว เมอ่ื มที รพั ยากรและแนวคิดทม่ี ากพอ การใช้ AR โดยใช้ เคร่ืองมือ (เปล่ียนชื่อเป็น HP Reveal ในปัจจุบัน) ในการเรียนรู้เน้ือหาท่ีมีความซับซ้อน การใช้กลยุทธ์ Six Thinking Hats จะทาให้ลกั ษณะการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ เพ่ือให้ผู้เรียนมองปัญหาได้รอบด้าน ฝึกคิดและสามารถ นามาประยุกตใ์ ชก้ ับ UTEL ไดเ้ ป็นอย่างดี ดงั ตัวอย่างเชน่ การกาหนดสีใน Padlet ใหเ้ ป็นสตี ่างๆ ท้งั 6 สี

140 Ubiquitous Technology Enhanced Learning: UTEL สรุปได้ว่าผู้สอนในยุคปัจจุบันต้องมีความพร้อมในทั้ง 2 ด้านคือ ด้านเทคโนโลยี (Smart Technology) เช่น การใช้โปรแกรมและแอพลิเคชันต่างๆ ซ่ึงมีอยู่มากมายในปัจจุบันที่พร้อมใช้และสามารถใช้งานได้ฟรี ท้ังน้ีครู สามารถติดตามเครือ่ งมอื ใหมๆ่ ได้จาก toptools4learning.com และด้านการสอน (Smart Pedagogy) เชน่ การ ใช้กลยุทธ์การสอนในรูปแบบต่างๆ จะเห็นได้ว่า วิธีการสอนแบบร่วมมือเป็นตัวขับเคล่ือนที่ทาให้การใช้เทคโนโลยี เต็มประสิทธิภาพตาม Bloom’s Taxonomy หรอื ทกั ษะอนื่ ๆ ที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 ได้เปน็ อย่างดีต่อไป 4. Perspectives ในส่วนน้ีจะขอนาเสนอมุมมองของผู้เขียนท้ังในส่วนของการนาแนวคิดทฤษฎีสู่การปฏิบัติ และแนวทาง การนาไปใช้ที่เป็นตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แสดงถึงการใช้ UTEL บริบทต่างๆ เพ่ือให้เกิดทักษะการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ดา้ นด้านสาขาวิชาหลกั มีรายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี 4.1 จากแนวคดิ ทฤษฎีสกู่ ารปฏิบตั ิ: กรณีตัวอยา่ ง แอพลิเคชัน iJourney และ CU Deep Smart Lens Set เม่อื พิจารณาจากนิยามของ UTEL ทีค่ รอบคลุมเทคโนโลยีใน 3 ระดบั ได้แก่ ระดับที่ 1 การใช้อุปกรณ์ เคล่ือนที่กับระบบท่ีมีอยู่แล้ว (UTEL) ระดับท่ี 2 การใช้อุปกรณ์เคลื่อนท่ีกับระบบท่ีได้มีการพัฒนาต่อยอดหรือ ระบบท่ีไดพ้ ัฒนาข้นึ ใหมเ่ พ่ือใหม้ คี วามเหมาะสมกบั บริบทนั้น (Customized UTEL) และระดบั ท่ี 3 การใช้อุปกรณ์ เคลอ่ื นท่ีร่วมกบั อปุ กรณเ์ สริมเพอื่ ให้เกิดการใชง้ านท่ีมีประสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น (UTEL with Smart Tools) พบตวั อยา่ ง งานวิจัยในทั้ง 3 ระดับที่จะขอใช้ยกตัวอย่าง โดยในระดับท่ี 1 พบงานวิจัยที่ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่กับระบบต่างๆ ตวั อย่างเช่น งานวจิ ัยของ Franciosi, Yagi, Tomoshige, and Suying (2016) ได้พัฒนาเกมจาลอง (Simulation Game) ชื่อว่า 3rd World Farmer ร่วมกับการใช้โปรแกรมการเรียนรู้คาศัพท์ (Quizlet) ซ่ึงสามารถเรียนรู้ได้ใน ทกุ อุปกรณ์ ผลการวิจยั สรปุ ไดว้ ่าผลของการจาลองเกมสามารถใชใ้ นการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศเพื่อพฒั นาทักษะ การจาระยะยาวในการเรยี นภาษาอังกฤษไดอ้ ย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (ภาพที่ 3.23 – 3.24)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook