Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-09 03:54:34

Description: ประวัติท่านศาสดามุฮำมัด(ศ)แบบละเอียด

Search

Read the Text Version

และในขณะน้ันฟรอูนแหงมักกะฮฺ (อบูละฮับ) ไดรูถึงการเคล่ือนไหวและเห็นวามุฮัมมัด ไดไปอยู ในหัวใจของชาวอาหรับไปเกือบหมดแลว และมีเผาตางๆหลั่งเขาหาทานศาสดา พวกหัวหนากุเรช ไดตัดสินใจไปหาทานอบูฏอเล็บอีกครั้ง เพ่ือจะบอกใหรูวาอิสลามเปนอันตรายตอชาวมักกะฮฺ ดวย เหตุนีพ้ วกเขาไดพ ดู กับอบูฏอเลบ็ วา ....... “โออบูฏอเล็บ ทานเปนผูอาวุโส มีอายุมากกวาพวกเราแตทวาเราเคยกลาวกับกับทานมา กอนแลววาใหทานหาม หลานของทาน (มุฮัมมัด) จากการเผยแพรศาสนาแตทานไมสนใจเลย แต ตอนน้ีความอดทนของพวกราหมดแลว เราไมสามรถจะทนไปไดมากกวาน้ีอีก จงดูซิ เขา (มุฮัมมัด) ไดดูถูกพระเจาของเราแลวบอกวาพวกเราไมสมองไรปญญา และจําเปนที่ตองหามเขาจากการการ เผยแพรเดียวน้ีถาไมใชเชนน้ัน เราจะทําสงครามกับเขาและกับทานดวย และจะไดรูไปเลยการวา ตอ งพนิ าศไปขา งหนง่ึ ” ทานอบูฏอเล็บ ผูป กปองศาสดา ดวยกับความฉลาดและมีไหวพริบรูวาควรจะเผชิญหนากับ พวกกุเรชอยา งไรท่ีจะไมเ กิดปญหา จึงไดใชการพูดคุยแบบสนั ติวิธีและใหสัญญาวาจะนําคําพูดของ พวกกุเรชไปบอกแก มุฮัมมัด แตทวานี่คือวิธีการเจรจาเทาน้ันเพื่อจะดับไฟแคนของพวกอาหรับ หลังจากนน้ั จะหาวิธที ี่ดีทสี่ ดุ ในการแกป ญ หา หลงั จากทบ่ี รรดาหวั หนา ชาว กุเรชไดกลับออกไป ทานอบูฏอเล็บไดเขาพบทานศาสดา และนําคําพูดชาวกุเรชบอกแกมุฮัมมัด โดยมีนับยะจะทดสอบความมั่นใจคงในการยืนหยัดทานศาสดาดวย ทานศาสดาไดตอบกลับอบูฏอ เล็บ เปนประโยคท่ีกินใจที่สุดก็วาไดของชีวประวัติทานศาสดาวา.... “โอลุงที่รัก มาตแมวาพวกเขา ไดนําดวงอาทิตยไวในมือมือขวาแบะดวงจันทรในมือซายของฉัน(ใหฉันเปนประมุขแหงพ้ืนพิภพ) แลวใหฉันละท้ิงจากการการเผยแพรศ าสนาแนนอนฉันไมละทิ้งอยางเด็ดขาด และฉันจะกาวตอไป ถงึ เปาหมายจนกระทง่ั ไดรบั ชยั ชนะ หรอื ไมก จ็ ะยอมตายในหนทางแหง เปาหมายนี”้ (๑๓๐) หลังจากน้ันนํ้าตาของศาสดาไดไหลออกมาดวยกับการยึดม่ันในอุดมการณและเดินจากลุง ของทานไป คําพูดอันทรงพลังและหนักแนนน้ีไดมีผลสะทอนตอผูนําแหงมักกะฮฺของทาน ทันใด

นั้นโดยไมไดตั้งตัวอบูฏอเล็บไดกลาวกับศาสดาวา “ขอสาบานตอพระเจา ฉันจะไมละท้ิงการ ปกปอ งเจา และเจาจงทาํ ภารกจิ ใหบรรลุเถดิ ”(๑๓๑) พวกกุเรชไดมาหาอบฏู อเล็บครงั้ ทส่ี าม จากพลังแหงอิสลามไดขยายไปในหมูชาวกุเรชอยางตอเน่ืองทําใหกุเรชตองรวมตัวประชุม อีกครั้งเพ่ือหาทางสกัดข้ัน จึงไดกลาววาการปกปองกัน อบูฏอเล็บ ตอ มุฮัมมัด อาจเปนเพระวา มุฮัมมัดเ ปนลุกบุญธรรม ดังน้ัน เราจะนําเด็กหนุมที่สวยงามที่สุดใหกับเขา แลวจะกลาววาขอแลก กับลูกบุญธรรมนั้น ดวยเหตุนี้พวกเขาจึงนํา อัมมาเราะฮ บินวะลีด บินมุฆีเราะฮ เด็กหนุมท่ีนาตาดี ของมักกะฮฺ หาอบฏู อเลบ็ และเปน การไปหาคร้ังท่สี ามดวยกับการขมขวู า “โออบฏู อเลบ็ บุตรของวะ ลีด เปนเด็กหนุมเปนท้ังนักกวีและนักพูดที่เกง และนาตาดีอีกทั้งฉลาด เราพรอมท่ีจะมอบใหกับ ทาน เพ่ือจะแลกกับลูกบุญธรรม (มุฮัมมัด) และใหทานเลิกการปกปองเขาเสีย “อบูฏอเล็บไดโมโห อยางมากจากการพดู ของพวกกเุ รชน้ันเขากลาววา “มันชา งเปน ธรุ กิจทเ่ี ลวรา ยสําหรับฉัน ฉันไดดูแล เลี้ยงดูลูกฉันมา แลวฉันจะใหพวกทานไปประหารชีวิตกระน้ันหรือ ? ของสาบานเปนไปไมได” (๑๓๒) มุฎอิม บินอิดดีย ไดยืนขึ้นแลวกลาววา “ขอเสนอพวกกุเรชยุติธรรมท่ีสุดแลวนะและทาน ไมยอมรับมันเอง”อบูฏอเล็บกลา วตอ วา “พวกเจา อยา ไดพูดกบั ฉนั เร่อื งยตุ ิธรรมเลย ฉนั รดู วี า พวกเจา จะฆา และทาํ ลายฉนั ซ่งึ พวกเจา จะปกุ ระดมใหก เุ รชตอตา นฉนั เอาเถอะ ถาพวกเจามีความสามารถก็ เอาเลย.” พวกกเุ รชวางแผนใหท า นศาสดาเกดิ ความลุมหลง พวกกุเรชมีความมั่นใจแลววา เปนไปไมไดอยางแนนอนที่จะให อบูฏอเล็บ พอใจพวกเขา ถงึ แมว าอบฏู อเลบ็ จะไมเ ปดเผยการยอมรบั อิสลามก็ตาม แตใ นหัวใจของเขาน้นั เติมไปดวยพลังแหง

ศรทั ธาทมี่ ีตอ ทานศาสดาดังนนั้ พวกเขาจงึ ตดั สินใจไมไปเจรจากับอบูฏอเล็บอีกตอไป และแผนของ พวกกุเรชคือ ตองการจะพบกับมุฮัมมัด โดยจะเสนอตําแหนงเงินทองและผูหญิงท่ีสวยงามของ อาหรับใหทานศาสดา เพื่อที่จะใหเขาหยุดการเผยแพรศาสนา ดังนั้นพวกกุเรชจึงไดรวมตัวไปยังบา นอบูฏอเล็บ ในขณะนั้นมุฮัมมัดน่ังติดอยูกับอบูฏอเล็บ พวกเขาไดเริ่มสนทนาดังน้ี “โออบูฏอเล็บ มุฮัมมัด ไดทําลายการเปนเอกภาพของพวกเรา สรางความแตกแยกใหเกิดกับหมูพวกเรา เขาได หัวเราะเยาะพวกเรา ไดดูถกู รปู ปน ทีเ่ ราบูชา ถา หากวาเราลําบาก ไมมีเงินทอง จะแตงต้ังเขาเปนผูนํา เรา เราจะฟงคําพูดของเขาและถาเขาไมสบาย เราจะนาํ หมอทด่ี มี ารักษาเขาและ...ฯลฯ อบูฏอเล็บไดหันไปยังศาสดากลาววา “พวกหัวหนาชาวกุเรชมาหาตองการใหเจาเลิกการดู ถูกเหยียดหยามเจร็ดพวกเขา และพวกเขาจะเลิกรังแกเจา” ทานศาสดาไดหันมายังลุงของเขาแลว กลาววา “ฉันไมตองการอะไรจากพวกเขาเลย และสิ่งท่ีพวกเขาเสนอมาฉันตองการ เพียงอยางเดียว คอื ใหย อมรบั ฟง คําพดู ของฉัน พวกเขาตองเช่ือฟงฉันในถอยคําหนึ่ง ดวยถอยคํานั้นเองพวกเขาจะไดปกครอง อาหรับและทําใหคนอื่นไมใชอาหรับมาตามพวกเขา”(๑๓๓) และในขณะนั้นอบูละฮับไดลุกข้ึนแลว กลาววา “เราพรอมท่ีจะฟงคําพูดของเจาถึงสิบคําพูด” ทานศาสดากลาววา “สิ่งแรกคือใหยอมรับ ความเปน เอกะของพระเจา”(๑๓๔)คําพูดทานศาสดาเหมือนกับน้ําเย็นท่ีลาดลงมาบนความหวังอันเดือดพลาน ของพวกเขา ความเงียบท่ีแฝงดวยความส้ินหวังเขามาแทนท่ีพวกเขาจึงกลาวโดยไมไดตั้งใจวา “จะ ใหเราละท้งิ รูปปน ท้ัง ๓๖๐ รปู แลวมาภักดพี ระเจาองคเดยี วกระน้นั หรอื ?”(๑๓๕) พวกกุเรชไดโมโหเลอื ดขึ้นหนา เดินออกจากบานอบูฏอเล็บ และสุดทายพวกขําดนําไปคิด แผนการใหม ท่ปี รากฏในซเู ราะฮศฺ ็อด อายะฮทฺ ี่ ๔-๗ (๑๓๖) บางตัวอยางการกล่นั แกลงของกเุ รชตอมุสลิม

วันหนึ่งจาการที่พวกกุเรชไดยินคําพูดทานศาสดาที่วา.. “โอลุงท่ีรักมาตรแมนวาพวกเขาได นําดวงอาทิตยไวในมือขวาและดวงจันทรในมือซายของฉัน(ใหฉันเปนประมุขในพ้ืนพิภพ) แลวให ฉันละท้ิงการเผยแพรศาสนา แนนอนฉันไมละทิ้งอยางเด็ดขาด และฉันจะกาวตอไปถึงเปาหมาย จนกระทั่งไดร ับชัยชนะ หรืกไมกจ็ ะยอมตายใหห นทางแหง เปาหมายน้ี” ทําใหพวกเขาหมดหวังจาก ภากิจนั้น และหนึ่งจากเหตุการณตางๆ ท่ีลําบายที่สุดของทานศาสดาไดเร่ิมข้ึน เพราะวากอนหนา นั้น ชาวกุเรชไดใหเกียรติทานศาสดา และพวกเขาไดวางแผนตางๆนานาในการจะหยุดมานศาสดา แตเม่ือเห็นวาการวางแผนนนั้ เหมือนกับการวาดรูปบนผิวน้ํา พวกเขาไดคิดแผนใหม โดยที่พวกเขา จะสกัดกั้นการลุมลามของอิสลามทุกรูปแบบ พวกเขาจะใหทุกวิธีการในการสกัดกั้น และพวกกุเรช ไดประชุมตกลงวา จะทาํ การสกดั กน้ั ศาสดามฮุ มั มดั ทุกรปู แบบ ทานศาสดามุฮัมมัดดวยกับพลังแหงจิตวิญญาณที่สูงสง ท่ีสงผลชวยขับเคล่ือนงานเผยแพร ของทานและตัวแปรอีกประการคือการไดรับการปกปองจากบนีฮาซิม ซ่ึงอบูฏอเล็บเปนหัวหนา ใหญในการปกปองครั้งน้ันเพราะวาเม่ืออบูฏอเล็บไดเห็นวาพวกกุเรชไดตัดสินใจอยางเด็ดขาดแลว วาจะสกัดก้ันทานศาสดาโดยการกล่ันแกลงตางๆ ทานอบูฏอเล็บก็เรียกบนีฮาซิมประชุมทันที และ ทัง้ หมดลงมติกันวา จะปกปอ งศาสดา ดานหน่งึ ของผูปกปองคือแนวรวมอันทรงพลังแหงศรัทธาตอศาสดา อีกดานหนึ่งตระกูลของทานเองมี เพียงอบูละฮับและอีคนสองคนเทาน้ันท่ีไมไดรวมงานนี้และอยูฝายศัตรู แตทวาก็ยังไมสามารถจะ ยับยั้งหรือสกัดก้ันแผนการทํารายของพวกกุเรชไดท้ังหมด เพราะเมือไรก็ตามท่ีพวกเขาเห็นทาน ศาสดาไปเผยแพรคนเดียว พวกมันจะเขาทําลายหรือกั่นแกลง เราจะนําบางเหตุการณของการก้ัน แกลง พวกกุเรชตอทานศาสดา ดังนี้ ๑.) วันหน่ึงอบูละฮับไดเห็นทานศาสดาอยู ณ ภูเขาชอฟา เขาก็ไดกลาวประมาณพูดจาที่ หยาบคายใสท านศาสดา แตทานศาสดาไมโตตอบอะไร แลว ไดเ ดนิ กลบั บาน และ อบูละฮับได

มุงไปที่ศูนยประชุมของชาวกุเรช อยูขางกะอฺบะฮฺ ทานฮัมซะฮฺลุงทานหน่ึงของทานศาสดา ซึ่งเขา ไดก ลับมาจากการลาสัตวส ภาพที่ ออนเพลีย ซ่ึงปกติของเขาคือหลังจากท่ีเขาไปยังกะอฺบะฮฺเขาจะเขาไปเยี่ยมลูกหลาน เครือญาติกอน ทําอยางอ่ืนหลังจากน้ันจึงเยือนกะอฺบะฮฺและเวียนรอบ แลวจึงไปเย่ียมเยียมกลุมตางๆท่ีชุมนุมกัน ใกลกะอฺบะฮฺ และในวันเดียวกันน้ัน ทานฮัมซะฮฺก็ไดเดินกลับบาน หลังจากท่ีไดประกอบพิธีเสร็จแลว ทนั ใดนั้นไดพ บกบั ทาสของอับดุลลอฮฺ ลินยัคยานซง่ึ เห็นการรังแกที่อบูญะฮั้ลทํากับทานศาสดา เขา ไดเดินมาหาทานฮัมซะฮฺ กลาววา “โออะบาอัมาเราะฮ ( สรอยนามทานฮัมซะฮ ) ทานนาจะอยูที่น่ี เม่ือสิบนาทที ผี่ า นมา จะไดเ ห็นส่ิงที่ฉันไดเห็น นั่นก็คืออบูละฮับไดกล่ันแกลงตอมุฮัมมัด และพูดจา ไมดีตอเขาดว ย และยังขมขตู างๆนานา” จากคาํ บอกเลา ของทาสผนู ั้น ทําใหท านฮัมซะฮโฺ มโห เปนอ ยางมาก จึงตดั สินใจท่จี ะไปเอาเรื่องกบั อบลู ะฮบั ฮัมซะฮฺเดินทางยอนกลับไปทางเดิม แลวไดเห็นอบูละฮับ อยูกับฝูงชนนั้น เขาไดมุงไป ยังอบูละฮับทันที่ โดยท่ีไมพูดจากับใครมุงหนาเขาไปแลวกลาววา “เจาพูดอะไรไมดีตอมุฮัมมัดใช ไหม? ฉันไดศรัทธาตอเขานะหนทางท่ีมุฮัมมัดเดินไปน้ัน ฉันก็เดินตามดวย ถามีปญหาอะไร จงทํา สงครามกับฉัน” ในขณะนัน้ มปี ระชาชนกลุมหนึง่ จากเผา บนีมคั ซูม ไดลุกขึ้นยืน ปกปองเขาขางอบูละฮับ แตอบูละฮับ เปนผูอาวุโสและนักการเมืองกหามการปกปองของประชา ชนกลุมนั้นแลวกลาววา “ ฉนั ไดพูดจาดูถูกมุฮัมมัด ปฏิบัติตัวไมดีกับเขา ฮัมซะฮฺ มีสิทธิ์ที่ไมพอใจ” (๑๓๗) น่ีคือประวัติศาสตรท่ีไดกลาวอยางชัดเจนวา มีวีรบุรุษ ดังฮัมซะฮฺ ซึ่งตอมาเขาเปนผูท่ี ปกปองเกียรติแหงทานศาสดา และเสริมกําลังใหแกมุสลิม ดังที่ทานอิบนุอะษรีไดกลาววา........ “

ชาวกุเรชถือวาทานฮัมซะฮฺเปนตัวแปรสําคัญในการปกปองและสรางความกาวหนาแกอิสลาม และ ทําใหม ุสลมิ มพี ลัง” (๑๓๘) อลูญะฮัลไดน ่งั รอจะทํารายทา ศาสดา จากความกาวหนาของอสิ ลามไดพ ุงขน้ึ ตอ วน ทําใหพวกกุเรชเพ่ิมความโกรธแคนยิ่งขึ้น ซ่ึง ไมเคยมีชวงใดท่ีเลวรายมากสําหรับพวกเขาเทากับชวงเวลานั้น ดวยเหตุนี้มันไดเพิ่มไฟแหงความ เคียดแคน จนพวกเขาตองระเบิดมันออกมาดวยคําพูด ดังที่ฟรอูนแหงมักกะฮฺ อบูละฮับ วันหน่ึงได อยใู นทามกลางของชาวกุเรชในวันหน่งึ วา “ พวกทา นเปน ชาวกุเรช อีกรหรือเปลาดูซิมุฮัมมัด ไดพูด ไมดีตอศาสนาเราเชนไร และยังดูถูกตอศาสนา และพระเจาของเราอีกดวย และกลาววาราไรสมอง ไรปญญา (๑๓๙) ขอสาบานตอพระเจาของเรา พรุงนี้เราจะอดทนสักนิด แลวเอากอนหินน้ันตีไปทัหัว ของมุฮัมมัด” เมื่อถึงวันรุงขึ้นศาสดาไดเขามสั ญิดเพ่ือนมาซ ไดยินนมาซระหวางหินดํากบั รุกนุลยะ มานี ชาวกุเรชกลุมหน่ึงรูเจตนาของอบูญะฮัล พวกเขาไดคิดในเรื่องนี้วา รกระทําของอบูญะฮัล จะ ประสบสําเรจ็ หรทอไม ครั้นเมือ่ ทา นศาสดาไดลงไปซูยูดศัตรูตัวฉกาจไดเขามาหมายจะเอากอนหิน ทุบหัวทานศาสดา แตทันใดน้ันไดเกิดสิ่งประหลาดในหัวใจของเขาคือมือไมส่ัน ไมสามารถจะ กระทําการนน้ั ได เขารบี กลับไปยังพวกตัวเองทนั ที ละคนอ่นื ๆว่งิ ตามกันไปแลว กลา ววา “ เกิดอะไร ขึ้น โอพอของฮะกัม” เขากลาวตอบดวยเสียงที่แผวซ่ึงบงบอกความหวาดกลัววา “ ฉันไดเห็นราง หนึ่งยนื ตอหนาฉัน ซึ่งชวี ิตฉนั ไมเ คยเหน็ มากอ นเลย ดว ยเหตเุ ชนนีฉ้ ันจึงไดเปล่ยี นใจทันที” ไมใชเรื่องแปลกท่ีมีพลังร้ีลับ ตามพระบัญชาของพระเจาเขามาชวยเหลือ ทานศาสดาโดย จาํ แลงเปน สิง่ ท่เี ขาเหน็ การมีอยทู านศาสดานัน้ เปน คาํ มั่น สัญญาจากพระองคที่ปกปองววา “แทจริง เราไดปกปองเจา จากผกู ล่นั แกลง และจากการมุง รายของศตั รู”

และยังมีตัวอยางอ่ืนอีกมากของประวัติศาสตรเกยวกับการถูกกล่ันแกลงของทานศาสดา จากพวกกุเรช แมแตทานอิบนุอะษีรยังไดนําเรื่องน้ีกลาวไวเปนบทเฉพาะ นํารายช่ือพวกกุเรชคน สําคัญท่ีเปนศัตรูตอทานศาสดาในมักกะฮฺและวิธีการทํารายและรูปตางๆมากมาย เชนอีกตัวอยาง หน่ึง วันหน่ึงทานอุตบะฮ บินอะบีมุอีฎ ไดเห็นทานศาสดากําลังเวียนรอบกะอฺบะฮฺเขาไดกลาวคํา หยาบและคาํ เสยี ดสีใสทา นศาสดา ไดน ําผาโพกศรีษะ ( อะมามา ) มารัดที่คอทานศาสดาแลวดึงทาน ออกมาจากมัสญิด มีกลุมหน่ึงยังเกรงบารมีของบนีฮาชิมอยู รีบเขามาดึงตัวทานศาสดาออกจากเขา (๑๔๐) หรือแมกระทั่งการถูกกลั่นแกลงของทานศาสดาจากลุงของทานเองอบูละฮับและภรรยา ของเขาคือ อุมมุญะมี้ล ซ่ึงเปนการทรมานท่ีไมเคยมีมากอน น่ันก็คือบานของทานศาสดาไดอยูรวม ชายคากบั เพื่อนบานอื่นๆ พวกเขาน้นั ไดน าํ ส่งิ สกปรก ขยะเทใสศรีษะทานศาสดาทุกวัน วนั หนึ่งได นํารกของแกะเทใสศรีษะทานศาสดา จนในท่ีสุดทานฮัมซะฮไดรูขาวและเอาเรื่องกับอบูละฮับ โดย ปฏบิ ตั ติ ออบลู ะฮบั เหมือนทมี่ นั ทาํ กับทานศาสดา การทรมานมุสลมิ ความเจริญกาวหนาของอิสลามในชวงตนๆของการแตงตั้งทานศาสดามีปจจัยหลาย ประการ หน่ึงจากปจ จัยนัน้ คอื ความอดทนและการยนื หยัดตอสูของทานศาสดาและบรรดาสาวก ซ่ึง จะไดเห็นตัวอยางของสาวกของศาสดาวาไดอดทนกับการทรมานนั้นเปนอยางไร ดังนั้นเราจะนํา ความอดทนและการเสียสละของสาวกของทา นมากลาววิเคราะห ดงั น้ี ๑) ทา นบลิ าล ฮะบาชี พอแมของเขาเปนชาวเอธิโอเปย เปนทาสถูกขายมายังคาบสมุทรอาหรับ บิลาลตอมาเขา เปน ผูอะซานของทาน และเขาเปนทาสของ อุมัยยะฮ บินคดลัฟ และอุมัยยะฮเปนบุคคลท่ีเคียดแคน ตอมุสิลิมอยางมากเพราะวาตระกูลของศาสดาไดปกปองทานศาสดา ดังน้ันอุมัยยะฮไดคิดลางแคน

นี้ดวยการ ทรมานทาสมุสลิมผูนี้(บิลาล)อยางทารุณ โดยที่ไดใหบิลาลถอดเสื้อ ทามกลางอากาศที่ รองระอุ แลวใหนอนท่ีพื้นทรายท่ีรอนนั้น แลวเอากอนหินขนาดใหญวางบนทองของบิลาล ดวย ความรอนของพื้นดินทําใหรางเขาไหม แลวมันไดกลาวกับบิลาลวา “เราจะไมเอาหินออกจากอก ของเจา จนกวา เจา จะตาย หรอื ใหเปล่ียนการยอมรับในพระเจาของมฮุ ัมมัดเสีย แลวมาบูชาเจร็ดของ เราคือ อัลลาตและอุซซา แตทวาบิลาลผูมีความหนักแนนตอพลังศรัธทา ไมพูดอะไรเลยนอกจากคํา วา “อะฮัด อะฮัด พระเจาองคเดียวเทาน้ัน พระเจาองคเดียวเทานั้น “จากความอดทนและการยืน หยัดในศรัธทาของบิลาล ทําใหเกิดผลสะทอนตอบุคคลอื่นอยางนาทึ้งที่เดียว แมแตทานวะรอเกาะฮ บินนูฟล ถึงกับรองไหออกมา แลวกลาวตออุมัยยะฮวา “ขอสาบานตอพระเจา ถาทานจะฆาเขาใน สภาพเชน นี้ ฉนั ก็จะสรางสถานฝง ศพท่ยี ิ่งใหญแกเ ขา”(๑๔๑) บางคร้ังอุมัยยะฮยังไดทรมานบิลาลย่ิงกวานี้เสียอีก เชนเอาเชือกมาลามที่คอ แลวใหเด็กๆ ลากไปตามมมุ ตามซอยตางๆ(๑๔๒) ในสงครามบะดัร อุมัยยะฮและผูของเขาถูกจับเปนเชลย มีมุสลิมบางคนไดเสนอวาอยาฆา เขาเลย แตบิลาลกลาววา เขาคือหัวหนาท่ีปฏิบัติเสธจําเปนตอ งถูกฆา” และดวยกับการรบราวของบิ ลาล ทําใหท ้งั สองคนถูกฆา ๒.) ทา นอมั มาร บนิ ยาซีรและพอแมข องเขา ทานอัมมารและพอแมของเขาถือวาเปนสาวกของทานศาสดาท่ียอมรับอิสลามในสมัยตนๆ พวกเขาไดรับอิสลามในชวงการเผยแพรของทานศาสดาซ่ึงศูนยกลางเผยแพรอยูท่ีบานของอัรกอม บินอะบีอัรกอม วันหน่ึงพวกมุชริกรูการรับอิสลามพวกเขา พวกมันไดจับอัมมารและพอแมของเขา ไปทรมาน อยางทารุณ ดงั ที่ทานอบิ นุอะษีร(๑๔๓)ไดกลา ววา “พวกมุชริกไดทรมานอยางทารุณตอบุคคลท้ังสาม โดยบีบบังคับใหพวกเขาใหออก ทิ้ง บา นออกไปอยใู นทะเลทรายอนั รอนระอุ ซึ่งพวกมันไดท รมานซาํ้ แลวซํ้าอีก จนทําใหทานยาซีรตอง จบชีวิตลง วันหน่ึงซุมัยยะฮภรรยาของยาซีรไดเดินเขาไปหาอบูญะฮัลดวยกับการโฉดช่ัว และ

อํามหิตของมัน มันไดเอาหอกแทงซุมัยยะฮทะลุหัวใจ จนขาดใจตายในที่สุดจากสภาพอันนาเศรา สลดท่ีเกิดข้ึนกับสามีภรรยาคูนั้นทําใหทานศาสดารูสึกปวดราว เมื่อทานศาสดาเห็นสภาพสามี ภรรยาคูน้ันนํ้าตาของทานไดไหลออกมา แลวกลาววา โอลูกหลานของยาซีร พวกเจาจงอดทนจาก การทรมานนเ้ี ถิด ซึง่ สถานพาํ นกั เจา อยบู นสวรรค” หลังจากยาซีรและภรรยาของเขาไดเสียชีวิต พวกมุริกยังไดทรมานลูกของพวกเขาอีกตอ คือทานอัมมาร ซึ่งไดทรมานกับท่ีบิลาลไดรับดังน้ันทานอัมมารไดปกปองชีวิตของดวยการเปดเผย ในการยอมรับอิสลาม แตทวาเขารูสึกไมสบายใจ ก็เลยมาหาทานศาสดา แลวเลาเรื่องราวตางๆให ศาสดาฟงดังน้ันทานศาสดาไดกลาววา “ความศรัธทาของเจาส่ันครอนหรือเปลา?” เขากลาววา “หัวใจของฉันเต็มไปดวยอีหมาน” ทานศาสดากลาวอีกวา “อยาใหความกลัวเกิดในหัวใจของทาน เด็ดขาดและเพ่ือไมใหเจาถูกทรมานจากมุชริก จงปกปดอิหมานของเจาไวกอน” ดังน้ันโองการ จึง น้ีนไดล งใหทานอมั มาร ดงั น้ี “ยกเวนผูที่ถูกบีบบังคับ แตหัวใจของเขามีความมั่นคงและเต็มไปดวยศรัธทา”(อันนะฮลุ/ ๑๐๖)(๑๔๔) เปนที่รับรูกันวา อบูญะฮั้ลตั่งใจท่ีจะทรมานครอบครัวยาซิ้รซ่ึงเปนครอยครัวที่ไรที่พ่ึง เขา ไดส่ังใหทุกคนเตรียมแสและไฟเอาไว จากน้ันพวกเขาก็ลากยาช้ิร ซุมัยยะฮ และอัมมารไปตามทาง เอาแผนเหล็กเผาไฟและแสท่ีเตรียมไวฟาดไปท่ีคนทั้งสาม พวกทําอยางน้ีอยูหลายตอหลายครั้ง จน ยาซร้ิ และซมุ ัยยะฮไดสนิ้ ชีวติ ลง (โดยปากของเขาทัง้ สองยังคงกลาววา ประสาทพรแดทานศาสดา) พวกเด็กหนุมกุเรชเห็นการทารุณอันโหดเห้ียมน้ีดดยตลอด พวกเขาไดรวมตัวกันเปนหน่ึงเพ่ือ ปกปองอิสลาม ดวยการเขาไปชวยเหลืออัมมารใหพนจากการทรมานนั้น แลวสามารถนํารางอันไร วญิ ญาณของชะฮีดทัง้ สองกลับสแู ผนดินได ๓.)อับดุลลอฮ บนิ มัสอดู

บรรดาสาวกทีไ่ ดร บั อิสลามอยางลับๆ ตางก็ไดปรึกษาหารือวา ทําอยางไรท่ีจะใหพวกกุเรช ไดฟงอุลกุรอาน และเปนสิ่งท่ีเหมาะสมคือ ใหคนใดคนหนึ่งลุกข้ึนยืนอานอัลกุรอานในมัสญิดอัล ฮะรอม ดวยเายงไพเราะ ดังน้ัน อับดุลลอฮ บินมัสอูด ไดเสนอตัวในการรับงานน้ี ดังน้ันเม่ือเขาเห็น วาบรรดาหัวหนาพวกกุเรชไดเดินเขามา ณ กะอบะฮ เขาไดเริ่มอานโองการท่ีกินใจและท่ีนาท่ึงให พวกเขาฟง คือ ซูเราะฮอัรเราะฮมาน จากประโยคที่ทรงพลังและเต็มไปดวยความมีโวหารของซูเราะฮน้ีทําใหหัวหนาของพวก กุเรชรูสึกซึ้งและรูสึกคลายตาม แตมีผูหน่ึงไดเขามาคัคคานการอานกุรอานน้ัน จนทําใหพวกกุเร ชยืนขน้ึ แลว ตีไปที่อบั ดุลลอฮ บินมสั อดู อยา งแรง ทาํ ใหเ ลอื ดไหลออกมาทวมรา ง เขาไดก ลับไปกับ สาวกของทานศาสดาในสภาพเชนนั้น แตทวาพวกเขารูสึกดีใจ ในทีสอุอัลกุรอานไดถูกอานใหพวก มชุ รกิ ฟง แลว (๑๔๕) และน่ีคือการยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณของสาวกทานศาสดาที่มีตออิสลาม ซึ่งยังมี เหตุการณอื่นๆอกี มากมาย ๔.)ทา นอบซู รั มอ็ ฟฟารี เปนบคุ คลที่สี่หรือหาจากสาวกที่รับอิสลาม(๑๔๖)ดังน้ีเขาเปนบุคคลหนึ่งท่ีรับอิสลามในสมัย ตนๆ จากคํากลาวยืนยันอัลกุรอาน ถือวาบุคคลท่ีรับอิสลามในสมัยแรกๆน้ัน จัดอยูในกลุมสาวกที่ ยิ่งใหญ(๑๔๗)กลาวคือบุคคล ท่ีรับอิสลามกอนชัยชนะเหนือมักกะฮฺกับผูรับอิสลามหลังชัยชนะเหนือ มกั กะฮฺ มีฐานะภาพเทากนั ดงั ที่กรุ อานไดก ลาวไววา “ไมเทาเทียมกันหรอดในหมูพวกเจาระหวา งบุคคลท่ีไดรับบริจาคไปกอนที่จะพิชิตมักกะฮฺ และรวมตสูน้ัน พวกเขาจะไดรับลาํ ดบั ขั้นท่ยี ่ิงใหญากวาบุคคลผูซ่ึงบริจาคภายหลังจากนั้นและรวม ตอส.ู ..” (อัลฮะดีด / ๑๐) (๑๔๘) เสียงรองเรียกสอู สิ ลามครงั้ แรก

ในขณะท่ีอบูซัรไดรับอิสลาม ทานศาสดา (ศ.) ไดเผยแพรอิสลามในลักษระท่ีลับๆอยู และ ในตอนนั้นพื้นฐานของการเผยแพรแบบเปดเผยยังไมพรอม ดังนั้นแนวรวมตออิสลามมีจํานวนที่ จํากัดน่ันคือทานศาสดาพรอมกับสาวอีกหาคนเทานั้น ดวยการพิจารณาตอเงื่อนไขน้ี ทานอบูซัร เพยี งคนเดียวทีจ่ ะพอมีหนทางในการสงเขาไปเผยแพรศาสนาตอเผาของเขาอยางลบั ๆ แตทวาอบูซัร มีบุคลิกท่ีเรารอนเปนนักตอสู ไดถูกสรางมาอยางน้ันเขาจะผจญกับศัตรูท่ีตอตานความอธรรม และ เปนผูที่ตอสูกับความหลงผิดและการบิดเบือนท้ังหลาย แลวจะมีอะไรเปนความหลงผิดท่ียิ่งใหญ มากเปน การกราบไหวทอ นไมแ ละกอนหินแลวถือวามันเปนพระเจา? ทานอบูซัรไมสามารถจะทนดูสภาพเชนนั้นได ดังนั้นหลังจากท่ีเขาไดพํานักอยู ณ นครมัก กะฮฺชวงหน่ึงแลว วันหน่ึงเขาไปหาทานศาสดาแลวกลาววา “ฉันจะตองทําไรบาง และทานจงบอก หนา ท่ีใหฉนั มาเถิด” ทานศาสดากลาววา “เจาสามารถจะไปเผยแพรศาสนาตอเผาของเจา ดังน้ันจงกลับยังเผา ของเจา เถิด แลวทาํ ตามคําส่งั ของฉัน” อบูซรั กลาววา “ขอสาบานตอ พระเจา กอ นทีฉ่ นั จะกลบั ไปเผา ของฉัน ฉันของเรียกรองชาวมักกะฮฺสู อิสลามสกั ครั้ง เพอื่ จะทําลายพิธกี รรมของชาวมกั กะฮทฺ ่พี วกเขายดื ถอื ปฏบิ ตั ิ” เขาก็ไดดําเนินในส่ิงท่ีไดตัดสินใจ เมือเขาเห็นชาวมักกะฮฺเขามายังมัสญดิ อัลฮะรอมแลวได ทําการพูดคุยกัน เขาก็ไดเขาไปในมัสญิดทันที แลวไดตะโกนดวยเสียงดังวา “ขาขอปฏิญาณวาไมมี พระเจาอืน่ ใดนอกจากอลั ลอฮแฺ ละขอปฏิญาณวามฮุ มั มดั คือศาสนทตู ของอัลลอฮ”ฺ น่ีคือการเรียกรองคร้ังแรกท่ีเปนการรองเรียกอยางเปดเผย เปนการตอสูกับพวกกุเรชท่ีทรง พลังในขณะนั้น และเสียงเรียกรองน้ีเปนเสียงเรียกรองของผูท่ีไมไดอยูในมักกะฮฺ ไมมีทั้งผูปกปอง ในมกั กะฮฺ และไมมญี าตใิ กลช ดิ เปนท่ีทานศาสดาไดพยากรณไว น่ันก็คือเม่ือเสียงเรียกรองของอบูซัรไดดังข้ึน บรรดาพวก กุเรชก็ไดเขาตะลุมบอนทานอบูซัรแลวไดตบตีเขาอยางไรความเมตตา ถึงกับทําใหอบูซัรตองหมด

สติไป เรื่องน้ีรูถึงหูของอับบาสท่ีเปนลุงศาสดา อับบาสจึงรีบมุงหนาไปยังมัสญิด อัลฮะรอม ทันที แลว ไดไปรางของอบซู รั ทน่ี อนอยหู มดสติ และสามารถพาอบูซัรออกจากเอ้ือมมือของพวกมุชริกมา ได ดวยกับการใชวาทศิลปของอับบาส ดังน้ีวา.... “พวกเจาเปนพอคานายทุน ซ่ึงพวกเจาตองทํา การคากับเผาฆ็อฟฟารี และชายหนุมผูน้ีมาจากเผา ฆ็อฟฟารี ถาเขาเปนอะไรไป (หรือเสียชีวิต) แนนอนการคาของพวกเจาตกอยูในอนั ตรายแน และไมม กี ารคา ใดที่จะผานมือของเผาน้ี” ทาทีของอับบาสเปนผลทําใหพวกกุเรชไดปลอยอบูซัรแตอบูซัรเปนเด็กหนุมท่ีมีไฟแรง และเต็มไปดวยอุดมการณเกินพิกัด เปนนักสู ทําใหเขาไดปฏิบัติเชนนั้นอีกในมัสญิดอัลฮะรอม ทํา ใหคนท้ังสองคนเผากุเรชไดมาตีบท่ีศรีษะของเขาอยางแรง ทําใหเขาเกือบตาย(๑๔๙)และอับบาสอีก นั้นแหละไดเขามาพูดกับพวกกุเรช จึงทําใหอบูซัรปลอดภัย ซึ่งถาอับบาสไมอยูไมรูวาอบูซัรจะ ไดรับการปลอดภัยอยางน้ีหรือเปลา แตเขาไมใชคนท่ียอมใครงายๆในเรื่องวิถีแหงชัยชนะของ อิสลาม หลังจากน้ันเขาไดเร่ิมวิธีการตอสูวิธีใหม คือวันหนึ่งเขาไดเห็น ผูหญิงคนหน่ึง ไดกําลัง เวียนรอบกะอฺบะฮฺอยู และรูปปนสองรูปคือ “อะสาฟ และนาอิละฮ”ซึ่งผูหญิงคนนั้นแสดงความโง เขลาออกมาทําใหเกิดความโมโหมาก และตองการบอกใหนางรูวา รูปปนทั้งสองไรซึ่งการรับรูใดๆ เขากลาววา “เจา จงนาํ สองรปู ปน ไปแตงงานอกี องคไดมั๊ย ? ผูหญิงคนนั้นโมโหจากคําพูดของอบูซัร ไดต ะโกนวา “เจา เปนพวกบูชาดวงดาว” จากการตะโกนของผูหญิงผูน น้ั ทําใหเ ด็กหนุม กุเรชมุงเขา มาทุบตีอบูซัรอยางหยัก แตไดคนหน่ึงจากเผาบนีบักร เขามาชวยอบูซัรไวทัน จึงนําตัวเขาออกจาก พวกกุเรชไดด ว ยความปลอดภัย (๑๕๐) เผาฆอ็ ฟฟารไี ดร ับอสิ ลาม

ทานศาสดา (ศ.) รูจักความสามารถและความเกงของสาวกของทานแตละคนดีวาพวกเขาจะ ตอ สกู ับความเท็จตา งๆไดอ ยางไร แตทวาเวลาการตอ สยู ังไมม าถึง ดังนัน้ ทา นศาสดาจงึ มีคําสั่งใหอ บู ซัร กลับไปยังเผาของเขาและใหเขาเรียกรองเชิญชวนสูอิสลาม ดังน้ัน อบูซัร ไดกลับไปยังเผาของ เขาเขากเ็ ร่มิ พูดถึงทา นศาดามุฮมั มดั วา เปน ทูตของพระเจาไดถ กู แตงต้ังมาและเรียกรองใหประชาชน สูการภักดีตอ พระองคเพียงผูเดียว และไดเ รยี กรองใหประชาชนสกู ารมมี ารยาททด่ี ี ในชวงแรก พี่ชายและแมของเขาไดรับอิสลาม ตอมาเผาฆ็อฟฟารีคร้ังหน่ึงไดเปนมุสลิม และหลังจากนั้นทานศาสดาไดอพยบไปยังมะดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่งท่ีเหลือไดรับอิสลาม และเผาอัสลัม ไดยอมรบั อิสลามตามเผา ฆ็อฟฟารีในเวลาตอมา หลังจากสงครามบะดัรและอุฮุด อบูซัรไดมาอยูกับ ทา นศาสดา ณ มะดีนะฮฺ และไดต้ังถ่ินฐานอยูทนี่ ่นั (๑๕๑) บรรดาศัตรูอนั รา ยกาจของศาสดา (ศ.) การรูจักศัตรูบางคนของผูนําผูย่ิงใหญของอิสลาม (ศ.) เปนการนําใหสามารถวิเคราะห เหตุการณตางๆท่ีจะเกิดขึน้ ในอนาคตหลังจากฮิจญเราะฮฺดังน้ันเราจะนํารายชื่อของสัตรุเหลาน้ันมา กลา ว ดงั นี้ อบูละฮับ เขาเปนผูอยูรวมชายคาเดียวกับทานศาสดาไมเคยวางมือจากการทํารายและกล่ัน แกลงบรรดามุสลมิ เลย อัซวัด บิน อับดุยะฆูส เขาเปนคนหนึ่งท่ีชอบลอเลือนทานศาสดาเม่ือใดท่ีเขาเห็นมุสลิม หรือทานศาสดาไมมผี ูใดเขา มาปกปอง เขาจะเขาไปพูดจากเสียดและลอเลียน เชนกลาววา “พวกส้ิน ทาเหลาน้ีคืดวาตัวเองเปนกษัตริยใหญโตและคิดวาในไมชาจะไดสวมมงกุฎปกครองอาณาจักร เปอรเ ซยี ” แตความตายไมปลอยใหเขาไดเห็นดวยตาของเขาเองวา มุสลิมไดสืบทอดอํานาจของ อาณาจกั รโรมและเปอรเ ซยี อยางไร 3.) วะลีด บินมุฆีเราะฮ เปนคนแกคนหนึ่ง ซ่ึงเราจะนําเรื่องราวของเขามากลาวในตอน ตอ ไป

๔.) อุมัยยะฮ และอุบัย เปนลูกหลานของคอลัฟ วันหน่ึงอุบัยไดเอากระดูกที่ตายมาใสแลว ไดมองไปยังศาสดาพลางกลาววา “แทจริงพระผูอภิบาลของเจาจะชุบชีวิตบรรดากระดูก(คนตาย เหลานี)้ กระน้ันหรือ? ดังนน้ั ไดม วี ะฮยฺ ลู งมาวา ... “จงกลาวเถิดโอมุฮัมมัด ผูท่ีชุบกระดูกที่ตายไปแลวเหลานั้น คือผูท่ีไดทําใหเขาเกิดมาแต ครง้ั แรก” (๑๕๒) สองพน่ี อ งนไ้ี ดถ กู ฆา ตายในสงครามบะดรั ๕.) อบูฮะกัม บินฮิชาม เปนบุคคลที่มีทิฐิตออิสลาม อยางมากมุสลิมไดใหฉายาวา “อบูยะ เฮล” เขาไดถกู ฆา ในสงครามบะดรั เชน กัน ๖.) อาศ บินวาอลิ เขาเปน พอ ของอัมรุอาศ ซึ่งศาสดาเรียกเขาวา “อบั ตัร” ผูไรบตุ รสืบสกลุ ๗.) อะกอบะฮฺ บินอะบีมุอีฏ เปนท่ีต้ังตนเปนศัตรูท่ีรายกาจตอศาสดาเลยทีเดียว จากความ ช่ัวของเขา ไมส ามารถทําใหม ุสลมิ อยไู ดอยา งสงบเลย(๑๕๓) และยงั มกี ลุมอน่ื ๆอกี มาก เชนอบูซุฟยาน และอ่ืนๆ ซึ่งตําราประวัติศาสตรไดบันทึกรายช่ือ พวกเขาได ทานผอู านสามารถยอยกลบั ไปดเู องได. สาเหตุของการแข็งขืนของหวั หนา พวกกุเรชตอทานศาสดา ในประเด็นนี่ถือวาเปนประเด็นทางประวัติศาสตรที่นานํามาเสนออยางย่ิง เพราะวามนุษย ทกุ คนขบคิดวา แทจรงิ พวกกเุ รชท้งั หมดถือวาทา นมฮุ ัมมัดเปน ผูท ีพ่ ูดจริง ไววางใจได ซ่ึงไมเคยมีสัก ชวงหน่ึงท่ีเห็นถึงความบกพรองของมุฮัมมัด พวกกุเรชไดฟงคําพูดและคําปราศรัยท่ีทรงพลังและมี ความนา ทึง่ นนั้ หรือแมกระท่งั บางครง้ั พวกเขายังไดเหน็ สิ่งทีเ่ ปน ปาฏหิ าริย ซ่ึงมฮุ มั มัดไดสําแดงใหพ วกเขาดุ แลวทําไมพวกเขาจงึ ตองตอ ตา นทา นศาสดาขนาดนน้ั สาเหตุท่ีตอ ตานทานศาสดา ๑.) การอจิ ฉาริษยาตอ ทา นศาสดา

กลาวคือมีกลุมหนึ่งที่ไดมีความอิจฉาริษยาตอทานศาสดา จึงไมปฏิบัติและยอมรับคําสอน ของศาสดา ถงึ กับใหมีความหวังวา ตาํ แหนง ศาสดานน้ั นา จะเปนของพวกเขาไมใชของศาสดา นกั ตัฟซรี ฺทง้ั หลายไดก ลา วถงึ โองการนี้ “และพวกเขาไดกลาววา ทําไมอัลกุรอานไมไดถูกประทานลงมายังผูที่ย่ิงใหญ(มีฐานะ ร่าํ รวย) แหง เมืองทั้งสองนี”้ (๑๕๔) วา “ทานวะลีด บินมุฆีเราะฮ ไดมาหาทานศาสดาแลวกลาววา ขามี ความเหมาะสมมากกวาทานอีกในการทีจะไดรับตําแหนงศาสดานั้น เพราะวาขานั้นมีฐานะและ ตาํ แหนงความรํา่ รวยและวงศตระกูลทส่ี ุงกวา ทา น” (๑๕๕) อุมัยยะฮ บินอะบิศศิลัต ถือวาเปนบุคคลหนึ่งท่ีไดกลาวถึงเร่ืองตําแหนงศาสดากอนการมา ของอสิ ลาม ถงึ กบั คิดและหวงั วา ตําแหนงนั้นจะตกมาถึงเขา ดังน้ันจนกระท่ังหายใจเฮอื กสุดทา ยเขา กย็ งั ไมศ รัธทาและเจรญิ รอยตามทา นศาสดามุฮมั มัด อัดนัส เปนศัตรูหมายเลขหนึ่งของทานศาสดา เขาไดถามตอ อบูญะฮัล วา “ทานมีทัศนะ อยา งไรตอมุฮัมมัด? อบูญะฮัลตอบวา “เราและอับดุมะนาฟเคยโตเถียงกันในเร่ืองความมีเกียรติและ ความยิ่งใหญ เราไดแขงขันกับพวกเขามาโดยตลอด และจะสามารถสรางความเทาเทียมกับพวกเขา ในหลายวิถีทางดวยกัน ซ่ีงในตอนน้ีเราก็เทาเทียมกับพวกเขาแลว” พวกเขากลาววา “สําหรับคนท่ี เผาเราทบ่ี อกวาไดร ับการวะฮฺยนู ัน้ ขอสาบานตอพระเจา เราไมย อมศรทั ธาเปนอนั ขาด” นี่คือบางตัวอยางของผูท่ีมีความอิจฉาริษยาตอทานศาสดาและความถือดีตอตระกูลและ เผา พนั ธขุ องพวกเขา และยังมีตัวอยางอีกมากในประวัติศาสตร ๒.) กลวั ความสขุ สบาย(ทม่ี มี านาน)จะหมดไป น่ีคือตัวแปรหน่ึงที่ทําใหพวกกุเรชไมยอมรับศาสดา มุฮัมมัดเพราะวาพวกเขาไดเคยชินอยู กับการเปนอยูท่ีสุขสบาย อยูอยางสําราญไรกกไรขอบังคับ แตการเรียกรองของมุฮัมมัด ไดตอตาน

การเปนอยูอยางสุขสาํ ราญเปน ประเพณยี าวนานของพวกเขา ดังนั้นการละทิง้ ความสขุ ทางดา นโลกีย ตา งๆนนั้ เปน ส่ิงทย่ี ากและทาํ ใหพ วกเขามคี วามลําบาก ๓.) กลวั ตอทบลงโทษทจี่ ะเกดิ การไดยินคําบอกกลาวของโองการตางๆเก่ียวกับบทลงโทษตอผูกดขี่และผูเสพสุขทําให พวกเขาหวัน่ วติ ก เมอ่ื ทานศาสดาไดอ านโองการเกยี่ วกบั ทบลงโทษตา งๆทจ่ี ะเกดขึน้ กับสังคมทั่งไป ของกุเรช ทําใหเขาขนลุกและเกิดความหว่ันวิตก ตอการดําเนินชีวิต ซึ่งพวกอาหรับเมอ่ื ไหรก็ตามที่ พวกเขารูวาจะมีภัยอันตราย พวกเขาจะเตรียมพรอม และสําหรับการนํามาซ่ึงความปลอดภัยและ ความมั่นคงในการดําเนินชีวิต และยิงธนูเปนการเส่ียงทาย หรือขวางกอนหิน หรือดูการบินไปมา ของนกเปนเครื่องหมาย การเกิดเหตุการณตางๆและจะไมพรอมท่ีจะทําหากไมมีความปลอดภัย เสียกอน จากคําบอกลวงหนาถึงการลงโทษแกผูกระทําบาปจาก คําสอนของมุฮัมมัด ทําใหพวกเขา เงียบสงบ ดังน้ันพวกเขาจึงตัดสินใจในการตอสูกับศาสดา เพื่อจะไมใหไดยินคําเตือนของศาสดา ซึ่งเราจะนําบางโองการที่กลาวถึงการอยูอยางสุขสบายพวกกุเรช เมื่อไดยินคําสอของศาสดาเกิด ความหว่ันวิตกดงั น้ี “เม่ือเสียงกัมปนาทดังข้ึน (มันเปน) วันซ่ึงมีผูคนวิ่งหนีจากพี่นองขงเขาจากแมของเขาและ แมข องเขา จากภรรยาของเขาและลูกนอยของเขาสําหรับทุกคนในหมูพวกเขา มนั เปนวันท่ีเร่ืองราว ทาํ ใหเ ขาตอ งหมกมนุ (อะบะซะ /๓๓-๓๗) (๑๕๖) “ทุกครั้งท่ีผิวหนังของเขาไหมเกรียม เราก็จะเปล่ียนผิวหนังใหมใหพวกเขา เพื่อใหเพื่อเขา ไดล ิ้มรสการลงทณั ฆ” (อันนิซาอ / ๕๖) (๑๕๗) ๔.)กลัวสังคมอาหรบั

ฮาริษ บินเนาฟล บินอับดุมะนาฟ มาพบทานศาสดา และกลาวข้ึนวา “เรารูดีวาที่เจาเตือน พวกเราน้ันเปนความจริงและตองเกิดข้ึน แตเม่ือใดก็ตามท่ีเราเกิดศรัทธาข้ึนมา พวกอาหรับมุชริกก็ คลขบั ไลพ วกเขาออกไปจากถิ่นฐานของพวกเรา” คาํ ตอบสาํ หรบั คนพวกนค้ี ือโองการที่วา “พวกเรากลาววา หากเราปฏิบัติตามทางนําพรอมกับเจา เราก็จะถูกขับไลออกจากแผนดิน ของเรา (จงกลาวแกพวกเขาเถิดวา) เรามิไดใหพวกเขาไดอาศัยอยูในแผนดินท่ีปลอดภัยดอกหรือ มี ผลติ ผลทกุ สงิ่ ทกุ อยางท่ีเปนปจจัยยังชีพอนั มาจากเราถกู จดั สรรไวใ ห....” (กอศ็อศ / ๕๗)” (๑๕๘) ๑๒

การฮิจญเราะฮคฺ รงั้ แรก การอพยพของมุสลิมกลุมหนึ่งไปยังประเทศเอธิโอเปย เปนการบงบอกถึงความศรัทธาอัน หนักแนนและม่ันคงของพวกเขาที่มีตออิสลาม ซ่ึงพวกเขาไดหนีจากการถูกกล่ันแกลงและการ ทรมานของพวกกุเรชและเพื่อตองการจะหาสถานท่ีหน่ึงที่สงบตอการทําอิบาดะฮฺตอพระผูเปนเจา องคเดียว และปฏิบัติศาสนกิจตามแนวทางของศาสนาอยางอิสระ ดังนั้นพวกเขาจึงไดตัดสินใจละ ทิ้งเมืองมักกะฮฺโดยละทิ้งการงานและการคาขายตางๆของพวกเขา แตพวกเขาก็ยังกังวลอยูวาจะทํา อยา งไรและจะไปท่ีไหนเพราะวาทุกมมุ เมืองของคาบสมทุ รอาหรบั มีแตผคู นท่ีเคารพบูชาเจว็ดซ่ึงไม มีชองทางท่ีจะเรียกรองความเอกะของพระเจาไดเลย หรือจะปฏิบัติตามศาสนกิจแหงศาสนาของ พระเจาองคเดียว ดังนั้น พวกเขาคิดวาดีท่ีสุดคือนําเร่ืองนี้ไปปรึกษากับทานศาสดา ศาสดาผูซึ่ง ศาสนาของเขาวางอยูบ นหลกั การทีว่ า “แทจริงแผนดินของขากวางใหญไพศาล ดังนั้นพวกเจาตองเคารพภักดีขาเพียงองคเดียว เทาน้ัน” (อลั อันกะบูต / ๕๖) สภาพความคับแคน ทีบ่ งั เกดิ ขึน้ กับมุสลิมนั้นเปน ท่รี ับทราบของทา นอยางชัดเจนแลว ถึงแมว า ศาสดาจะไดรบั การปกปอ งจาก บนฮี าชิม ก็ตาม ซึ่งบรรดาเด็กหนุมของบนีฮาชิมจะคอยปกปองศาสดาตอภัยอันตรายตางๆแตทวาสาวกของทาน ก็ ยงั มบี างคนที่เปนทาส เปนเชลยอยอู กี จํานวนมากดังน้นั บรรดาหัวหนาพวกกุเรชมีชองทางในการจะ

กลั่นแกลง จึงไมสามารถอยูอยางสงบไดสําหรับการ จะหยุดย้ังท่ีจะไมใหเกิดสงครามระหวาง เผาพันธุดวยกัน ดังน้ันบรรดาหัวหนา เผาอาหรับจะนําผูยอมรับอิสลามมาทรมานซึ่งตัวอยางการ ทรมานของมุสลมิ ดังท่ีไดก ลาวมาแลว จากเหตุผลตางๆเหลาน้ี เม่ือสาวกไดมาหาทานศาสดาเพื่อที่จะช้ีแจงถึงการอพยพ ทาน ศาสดาไดกลาวแกพวกเขาวา “พวกทานจงเดินทางไปยังเอธิโอเปยเถิดนาจะเปนผลดีอยางมากตอ พวกเจา เพราะมีกษัตริยท่ีทรงอํานาจและยุติธรรม ซ่ึงไมมีผูใดเคยถูกกดข่ี และที่น้ันเปนแผนดินท่ี สะอาด พวกเขาสามารถจะพักพิงที่น้ันได จนกวาพระเจาจะทรงใหการปลดปลอยพวกทาน (จาก การกลนั่ แกลง ของพวกอาหรบั )” (๑๕๙) ใช การมีชีวิตอยูในสภาพแวดลอมท่ีดีและมีผูนําท่ียุติธรรมถือวาเปนเหมือนสรรคบนดิน ทีเดียว และสาวกทั้งหมดหวังเปนเชนนี้วา คงมีสักแผนดินหน่ึงท่ีเต็มไปดวยความปลอดภัยและอยู อยางสงบในการประกอบศาสนาพิธที างศาสนา คําแนะนําของศาสดามีอิทธิพลตอสาวกกลุมน้ัน จึงทําใหพวกเขาเตรียมสัมภาระในการ อพยพ โดยท่ีพวกเขาไมไดใหพวกมุชริกในเร่ืองนี้เมื่อตกคํ่าบางคนไดเดนิ เทา บางคนทไี่ ดขี่อูฐ มุงสู ถนนหนทาง จนมารวมตัวกนั ไดสิบถึงสบิ หาคน(๑๖๐) ซึง่ ในผูอพยพเหลา นนั้ มมี ุสลีมะฮฺ(สตรี)ส่คี น ตรงนี้มีคําถามหนึ่งวา ทําไมทานศาสดาไมแนะนําใหสาวกอพยพไปยังประเทศอ่ืนๆ คําตอบก็คือ เมื่อวเิ คราะหแลวแผน ดนิ แถบคาบสมุทรอาหรับเอธิโอเปยเปนทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะ ในสถานท่ีอื่นๆ ชาวอาหรับท้ังหมดไดกราบไหวรูปปน ซึ่งเปนอันตราย บรรดาพวกมุชริกไดสกัด ก้ันการยอมรับอิสลามของชาวอาหรับ แตจะสนับสนุนใหอยูในศาสนาแหงบรรพบุรุษของพวกเขา สวนในพ้ืนที่ที่ชาวยิวและชาวคริสตอาศัยอยู ก็ไมเหมาะสมท่ีมุสลิมจะอพยพไป เพราะพวกเขาไม ปรารถนาดตี อศานาอิสลาม สักเทาไร และพวกเขาไดทําสงครามทางดานจิตวิทยากับมุสลิมอยู และยังถือวาชนอาหรับเปน เผาพนั ธุท ตี่ กตา่ํ

สวนเยเมน เปนแผนดินภายใตภายใตการการปกครองของอิหราน อาณาจักรเปอรเซียใน สมัยนั้น นักการเมืองและผูอาวุโสของอิหรานในสมัยน้ันไมพอใจท่ีจะใหมุสลิมอพยพยังเยเมน แมกระทั่งเม่อื สาสน ทานศาสดาไดม าถึงมอื จกั พรรด์ิ เขาก็ไดส งสาสนใหกบั ผูปกครองเยเมนทนั ทีวา “ศาสดาอิสลามไดน าํ ศาสนาใหมม า และจะมาขยายอิทธพิ ลในอาณาจกั รของอิหรา น” เมืองฮัยเราะฮ ก็เหมือนกับเยเมนอยูภายใตการปกครองของอิหรานสวนซีเรียอยูใกลกับมัก กะฮฺ ถงึ แมวาเยเมนและซเี รียจะเปน ตลาดการคาของกุเรชในสมยั ก็ตาม และชาวกเุ รชก็มีความผูกพัน สนิทสนมกับประชาชนในแถบน้ันดี ถามุสลิมไดอพยพไปน้ันแนนอนพวกกุเรชตองขอรองใหขับ ไลม ุสลมิ แตก ษัตรยิ ไมทรงยอมรบั คําเรียกรอ งนั้น การเดินทางระยะไกลโดยมีเด็กและสตรีรวมเดินทางดวยน้ันถือวาเปนการดินทางที่ ยากลําบากมาก ดังนั้นการอพยพในคร้ังเปนการถือวาเปนการเอาชีวิตเขาแลก และเปนการยืนยันถึง ความศรัทธาและพลังอันแรงกลาของความศรัทธา แตทวาพวกมุชริกไมละเลยในการติดตามมุสลิม พวกเขาไดรวมตัว ท่ี ดารุลนัดวะฮฺ เพื่อปรึกษาหารือสาเหตุการเดินทางของมุสลิมครั้งนั้น และไดมี ขอ ตกลงกันที่เปนนยั ซง่ึ เราจะนํามากลาวในตอนตอไป จํานวนการอพยพที่นอยนิดนี้ ไมไดมาจากเผาเดียว แตมาจากตางเผาพันธุกันและกันมีอีก กลุมหนึ่งตามมาดวยการนําของทานญะอฺฟร บินอบีฏอลิบ และดวยความอิสระทําใหมุสลิมจํานวน หน่ึง/ดเห็นดวยกับการนําพาเด็กๆและสตรีรวมอพยพไปดวยจํานวนมุสลิมที่ไดอพยพไปยัง เอธิโอเปย มีมากถึง ๘๓ คน มุสลิมท่ีไดอพยพไปยังเอธิโอเปยน้ันมีความพอใจมาก ดังทีทานศาสดาไดบอกลวงหนาไว วา เปน แผนดนิ ท่มี คี วามปลอดภัย เปนบานเมืองท่ีสงบสุขสบายและมีความเปนอิสรภาพ ผูอพยพคน หนึ่งคอื อุมมุซะลามะฮเปน ภรรยาของทานอบีซะละมะฮฺ ซงึ่ หลังจากน้ันทา นไดม าเปน ภรรยา คนหนึ่งของทานศาสดา ไดก ลาวถงึ เรอื่ งนี้วา... “เม่ือเรามาถึงประเทศเอธิโอเปย ไดอาศัยอยูที่น้ัน เรา ไดร บั การคุมครองปกปอง ไมมีใครมากลัน่ แกลงเราเลยและไมไดยินใครที่จะพูดจาหยาบคายเสียดสี ตอ พวกเราเลย”

ทานอิบนุอะษีรฺไดบันทึกไววา... “การอพยพของมุสลิมกลุมนี้มายังเอธิโอเปย เกิดข้ึนใน เดือนรอญับ ปที่หาของการประกาศการเปนศาสนทูตพวกเขาไดอยูในประเทศเอธิโอเปยในเดือน ชะอฺบานและเดือนรอมะฎอนและเม่ือพวกเขาเห็นวาพวกกุเรชไมไดกล้ันแกลงทําลายมุสลิมแลว พวกเขาก็เดินทางกลับในเดือน เชาวาล และเมื่อพวกเขากลับไปมักกะฮฺการณกับตอกันขามกับท่ี พวกเขาไดขอมูล พวกเขาจงึ ไดอ พยพไปเอธิโอเปย เปนคร้งั ท่สี อง” (๑๖๑) พวกกุเรชไดส ง ตัวแทนมายังประเทศเอธโิ อเปย เมื่อขาวการเปนอยูสุขสบายและมีความเปนอิสระของมุสลิมท่ีอพยพมาไดไปถึงหูของพวก กุเรชมักกะฮฺ ย่ิงเพ่ิมความแคนและความเจ็บปวดย่ิงขึ้นตอพวกเขา และเกิดความกังวลตอพลังและ อิทธิพลของมุสลิมจะแพรกระจายไปในเอธิโอเปย เพราะมุสลิมอาจจัดตั้งฐานทัพอยางเขมแข็งและ ท่ีพวกเขากลัว เกิดความวิตกมากนั้นก็คือ กลัววากษัตริยนะญาชีแหงเอธิโอเปยจะไดรับอิทธิพล อิสลาม แลวนําอิสลามมาเผยแพร และกลัววากษัตริยจะคลอยตามอิสลาม ในที่สุดก็เปนกองทัพท่ี ย่ิงใหญข ้ึนมาได และยกทัพมาทําสงครามหรือทาํ ลายชาวอาหรบั พวกบูชาเจวด็ ในคาบสมทุ รอาหรบั บรรดาหัวหนาชาวกุเรชไดม ารวมตัวกันอีกคร้ัง ณ ดารุลนัดวะฮฺ(๑๖๒)และไดลงความเห็นวา จะสงตัวแทนของพวกเขาไปพบกับองครักษของกษัตริยและพวกเขาไดเตรียมของกํานัลที่จะมอบ ใหกับกษตั รยิ องครักษ หรือเสนาบดเี พื่อท่ีจะใหการเปดทางแกพวกเขา จะไดพูนกับกษัตริยใหทรงรู วา กลมุ มสุ ลมิ ทอ่ี พยพเปนผโู งเ ขลา ไดส รางศาสนาข้นึ มาใหม ซงึ่ การเจรจาน้ันไดเกิดขึ้นเร็วเทาใดก็ จะเปนผลดีแกพ วกเขาเทา น้ัน พวกเขาไดเ ลือกผูชายสองคนที่มีความฉลาดแกมโกง เปนนักการเมือง นกั เจรจาแลวนํามาจับฉลากจงึ ไดช ่อื ของ อัมรอู าศ และอับดุลลอฮ บนิ รอบอี ะฮ ดังนั้นหัวหนากลุมพวกเขาไดส่ังแกคนทั้งสองวา “กอนท่ีพวก เจาจะไปพบกษัตริย จงมอบของกํานัลนั้นใหแกองครักษเสียกอน และจงพูดคุยกับเขาดวยการโนม

นาวเขาใหไดกอนเขาจะไดไปทูลกับกษัตริย เขาจึงไดเช่ือพวกเจา “เมื่อท้ังสองไดฟงคําสั่งน้ันแลว ไดจัดเตรยี มสัมภาระเดินทางไปยังเอธโิ อเปยทันที บรรดาองครักษของกษัตริยไดพบกับตัวแทนของกุเรช เมื่อทั้งสองไดมอบของกํานัลให แลว ก็กลาววา “มีกลุมพวกเราไดเดินมายังท่ีนี้โดยที่พวกเขาละทิ้งศาสนาของเราและของทาน และ ในตอนน้ีพวกเขาอยูในประเทศของเขา บรรดาหัวหนากุเรชไดมีความมุงหวังและตองการอยางย่ิง ตอทานและขอรอง ที่จะใหไลพวกเขาออกจากแผนดินของทาน และขอใหเราไดเขาเฝากษัตริยดวย เถดิ เพือ่ เราจะไดบ อกถึงความชว่ั และความไมด ขี องมุสลิมกลุม น้นั ” พวกอารักขาและทหาร สัญญาวาจะชวยโดยกลาววาพรุงน้ีไปหาองครักษของกษัตริย เม่ือ ทั้งสองไดมาแลวไดมอบของท่ีระลึกและของบรรณาการใหแกกษัตริย ไดกลาวสาสนของหัวหนา กเุ รชแกเขาวา .. “ผปู กครองที่เคารพ มีกลมุ หนุมสาวที่เพิ่งจะเติบโตขึ้นมาไดปฏิบัติตัวคัดคานกับบรรพบุรุษ ของเราและไมใหความสําคัญตอเราดวยการเผยแพรศาสนาใหม ซ่ึงเปนศาสนาท่ีไมเหมือนกับ ศาสนาของประชาชนชาวเอธิโอเปยและเปนศาสนาที่ไมเหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขา กลุมนี้ เม่ือไมนานมาน้ีไดอพยพมายังประเทศน้ีและไดใชประโยชนจากความมีอิสรภาพในทางที่ไมดีของ พวกเขา บรรดาหัวหนาพวกเรา ตองการจะรอรองตอพระองคใหไลพวกเขาออกจากประเทศ แลว กลับไปยังมกั กะฮ”ฺ คําพูดของตัวแทนกุเรชยังไมจบลงก็มี เสียงกระโกนขององครักษดังขึ้น เพ่ือแจงใหรูวา กษัตริยไดข้ึนประทับบัลลังคแลวใหทุกคนท่ีอยู ณ น้ันไดลุกขึ้นยืนเพ่ือทําการเคารพ แตทวากษัตริย เปนผูที่มีความฉลาดและเปนผูทรงธรรม และยุติธรรมไดแสดงการคัดคาน(ในส่ิงท่ีตัวแทนกุเรชก ลาว) กลา วขึน้ วา “เปน ไปไมไดทจ่ี ะทําเชน น้ัน ขา จะไมก ระทําการใดๆกับผูที่ไดอพยพมา ยังแผนดินและประเทศของเรากอนท่ีจะตรวจสอบหรือสอบสวน ดังน้ันตองตรวจสอบสภาพของผู อพยพและแยกแยะหาผลสรปุ จากคํากลาวหาของบุคคลสองคนนี้ ถาส่ิงท่ีสองคนน้ีพูดเปน ความจริง

เราจะสงมุสลิมกลุมน้ีกลับทันทีแตถาไมจริงอยางท่ีท้ังสองคนกลาว เราจะใหการปกปองพวกเขา แบะจะใหการชว ยเหลอื แกพ วกเขา” หลังจากน้ันกษัตริยไดรับสงใหองครักษไปเชิญมุสลิมที่ไดอพยพมาซ่ึงกษัตริยไมเคยทรงรู ขอมูลใดๆมากอนเลย ทานญะอฺฟร บินอะบีฏอลิบ ไดถูกแนะนําใหเปนผูกลาว มุสลิมบางคนเกิด ความวิตกกังวนวาตัวแทนของเขาจะทูตตอหนากษัตริยคริสเตียนอยางไร เพ่ือขจัดความหวาดวิตก ดังกลาวทานญะอฺฟร บินอะบีฏอลิบจึงพูดข้ึนวา “ฉันจะกลาวในส่ิงที่เปนทางนําและไดยินจากทาน ศาสดาโดยตรง โดยไมเพมิ่ เติมหรือตดั ทอนเปนอันขาด” กษัตริยไดหันไปยังญะอฺฟรแลวกลาววา “ทําไมเจาจึงไดละท้ิงศาสนาของบรรพบุรุษของ พวกเจาละ? แลวไดยึดศาสนาใหม ท่ีไมเหมือนกับศาสนาของบรรพบุรุษและไมเหมือนกับศาสนา ของเรา ?”ญะอฺฟร กลาวตอบวา ... “เราเปนกลุมชนท่ีไดกราบไหวรูปปน และไมไดออกจากการกินซากศพ ไดยึดวิถีท่ีนา รังเกียจย่งิ เราไมเ คยใหเกยี รตเิ พือ่ นบานของเราผอู อ นแออยภู ายใตผ ูมีอํานาจเราไดทําสงครามกับเผา ของเราดวยกัน เราไดมีวิถีชีวิตอยางน้ีมายาวนานทีเดียว จนกระทั่งไดมีบุคคลหนึ่งจากเผาของเรา เปนผูท่ีสะอาดและเปนผูท่ีมีวาจาสัตย ไดลุกขึ้นยืนแลวรองเรียกเชิญชวนเราสูการอิบาดะฮฺพระเจา องคเดียว และถือวาการกราบไหวรูปปนเปนส่ิงที่ผิดพลาดและไดสอนเราใหรักษาสัญญา ใหเรา ออกจากสิง่ ที่ไมดีท้ังหลาย ใหเราปฏิบัติตอเพื่อนบานและตอญาติอยางดีงาม ใหเราออกหางจากการ ยึดครองทรพั ยส ินลกู กาํ พรา ” “สั่งใหเรานมาซตอพระเจาใหถือศิลอดใหแบงทรัพยสินบางสวนแกผูยากไร ดังน้ันเราจึง ศรทั ธาตอ เขาและไดล ุกขนึ้ ยึดถอื ปฏบิ ตั อิ บิ าดะฮตอ พระเจาองคเดียว สิง่ ที่เขาวาเปน ส่ิงตองหามเราก็ ไมป ฏบิ ตั สิ ิง่ ที่เขาถือวา เปน สิง่ ท่อี นมุ ตั ิเรากจ็ ะถอื ตามนั้น แตพ วกกเุ รชไดตอ ตานพวกเรา ไดทรมานกล้ันแกลวพวกเราท้ังกลางวันและกลางคืน เพื่อท่ีจะใหเราเลิกการยึดมั่นตอศาสนาของ เรา และใหเรากลับมากราบไหวรูปปนและเจว็ด และเราไดยืนยึดตอสูกับพวกเขาอยูชวงหนึ่ง

จนกระทั่งเราหมดกําลัง เราจึงตัดสินใจละท้ิงบานเรือน และนําเนินชีวิตที่มักกะฮฺ มุงสูเอธิโอเปย เพอื่ ปกปองศาสนาและตวั เอง และเรียกรอ งหาความเปน ธรรมจากกษตั ริยแ หงเอธโิ อเปย ” จากคําปราศรัยอันทรงพลังและนาประทับใจของทานญะอฺฟรสงผลตอหัวใจของกษัตริย ถงึ กับใหชลนยั นของพระองคไ ดไหลรินออกมาและพระองคประสงคใหทานญะอฺฟร อานคัมภีรรท่ี ไดถูกประทานมายังทานศาสดา ดังนั้นทานญะอฺฟร ไดอานโองการซูเราะฮมัรยัม ซ่ึงเปน โองการท่ี กลาวถึงความบริสุทธิ์ของทานหญิงมัรยัม และทานศาสดาอีซาซ่ึงเปนจุดยืนของศาสนาอิสลาม ทานญะอฺฟรอานไมทันไดจบซูเราะฮฺ เสียงรองใหของกษัตริยไดดังข้ึน และเสียงนั้นไดดังเพ่ิมขึ้น ทําใหช ลนัยนไ ดไหลหยดลงตําราท่ีไดต ัง้ อยตู รงทป่ี ระทบั ของพระองคจ นเปยก หลังจากน้ัน เสียงผูที่นั่งในหองประชุมเงียบลง ทันใดนั้นกษัตริยไดตรัสวา “คําพูดของ ศาสดา (อิสลาม)กับคําพูดของศาสดาอีซา เปนสิ่งเดยี วกันมาจากรัศมีเดียวกันพวกเจาจงไปเสียเถอะ ขาไมย อมรบั ขอ เสนอพวกเจา แนน อน” การประชุมคร้ังน้ันแตกตางไปจากท่ีตัวแทนของกุเรชไดคาดการณไวอยางสิ้นเชิง เพราะ เปนผลลบและเปนผลรายตอพวกเขา ความหวังท่ไี ดตัง้ ไวก ็ลม สลายลง อัมรวอาศ เปนนักการเมือง มีเลหเหลี่ยมจัด พอตกกลางคืนเขาไดพูดกับเพ่ือนอีกคนหน่ึง คอื อบั ดุลลอฮฺ บนิ รอบอี ะฮวฺ า “พรุงน้เี ราตอ งใชกลอุบายอ่ืนเสยี แลว ซ่งึ เปนวิธีท่ีอาจจะทําใหผูอพยพ มสุ ลิมน้ันตองหมดคา ฉันจะพูดกบั กษตั รยิ ว า พวกมุสลิมมีความเชื่อตอเรื่องศาสดาอีซาเปนอยางอ่ืน และไมเหมาะสมกับหลักการของชาวคริสตเลย “อับดุลลอฮฺ ไดเสนอใหยุติงานน้ันโดยกลาววา “มี บางคนในกลุมพวกเขาญาติดีกับเราอยู” แตคําพูดของเขาไมเปนผล ดังนั้นทั้งสองไดไปเฝากษัตริย อีกคร้ังพรอมกับองครักษ ในครั้งนี้พวกเขาไดแสดงความเปนหวงที่จะปกปองศาสนาประจําชาติ ของเอธิโอเปย ซ่ึงเปนความเชื่อของมุสลิมที่ผิดๆตอศาสดาอีซา ไดกลาววา “มุสลิมกลุมนี้ ไดมีความเช่ือที่เฉพาะ (อยางผิดๆ)ตอศาสดาอีซา ซ่ึงไมตรงตามหลักความเช่ือพื้นฐานของชาวคริสตทั่วโลก ดังน้ันบุคคล

เชนนี้ถือวาเปนอันตรายตอประเทศของทาน ทานสามารถจะตรวจสอบถึงพฤติกรรมและความเชื่อ ของพวกเขาได” กษัตริยผูชาญฉลาดจึงไดตรวจสอบโดยสั่งใหกลุมผูอพยพนั้นมาบรรดามุสลิมที่ไดอพยพ มา เม่ือไดยินคําสั่งใหไปเขาเฝากษัตริยอีกครั้ง เกิดกังวนและคิดวาคงจะเรียกเราไปถามเก่ียวกับ ความเช่ือตอเร่ืองศาสดาอีซาอยางแนนอนพวกเขาไดเลือกทานญะอฺฟร เปนผูกลาวปราศรัยเชนเคย ซึ่งญะอฺฟรไดสญั ญาวา ทกุ ส่งิ ท่ีเขาไดยนิ จากทานศาสดา( ศ. ) เขาจะกลา วใหหมด กษตั รยิ นะญาชี ไดหนั ไปยัง ญะอฟฺ ร แลวตรสั ถามวา “ทา นมีความเชื่อตอเรือ่ งทา นศาสดาอี ซาอยางไร เหมือนกับทศี่ าสดาของเราไดกลาวสอนแกเราคือ ทานอีซาเปนบาวของพระเจาและเปน ศาสดาคนหนงึ่ ซง่ึ เปน พจนารถและจติ วญิ ญาณแหงพระเจาทรงประทานใหก ับทานหญงิ มรั ยัม” กษัตริยรูสึกสบายใจและยินดีกับการไดยินส่ิงท่ีญะอฺฟร กลาว แลวกลาววา “ขอสาบานตอ พระเจา ศาสดาอัซาไมมีฐานะภาพใดอีกแลว นอกเหนือจากที่ญะอฺฟรไดกลาว แตทวากษัตริยได ปฏิบัติที่ดีตอมุสลิมและใหเสรีภาพแกมุสลิมเต็มรูปแบบ กษัตริยไดเทของขวัญและขอกํานัลของ กุเรช ทิ้งตอหนาตอตาพวกเขาแลวกลาววา พระเจาไดใหอํานาจ (เปนกษัตริย) น้ี แลวฉันจะรับของ กํานลั นน้ั อีกหรอื ? ดว ยเหตุนีไ้ มเ หมาะสมสาํ หรับขา เลยท่จี ะใชประโยชนจ ากวิธีน้ี” (๑๖๓) การกลับจากเอธิโอเปย ของกลุมอพยพมุสลิม ดังที่ไดก ลา วมาแลววา กลมุ มุสลิมที่อพยพไปเอธิโอเปย ไดกลับมายังมักกะฮฺอกี คร้ัง เนื่องจ กไดรับขาววาพวกกุเรชไมกลั้นแกลง และทรมานมุสลิม แตเม่ือเขาไปถึงเมืองฮิยาซ ก็รูทันทีวาขาว นน้ั เปนขาวลวง ซ่งึ การ กล่ันแกลงและการทรมาน การประทุษรายตอมุสลิมยังมีอยูอยางตอเนื่อง และยังรุนแรงกวาเดิม ทํา ใหกลุมใหญที่กลับมา ไดหันหลังกลับไปยังประเทศเอธิโอเปยทันที เหลือไมก่ีคนไดเดินทางมายัง มกั กะฮฺยา งปกปดดว ยอาศัยบารมีผหู ลักผใู หญน้ัน

อุษมาน บินมัฎอูน ไดอาศัยบารมีของวะลีด บินมุฆีเราะฮฺเขามายังเมืองมักกะฮฺ(๑๖๔) จึง ปลอดภัยจากการปองรายของพวกกุเรช แตเขาเห็นบรรดามุสลิมคนอื่นยังไดร ับการทรมานและการ กลั่นแกลงอยูอีก ทําใหเขารูสึกไมสบายใจกับการลําเอียงท่ีเดิดข้ึนระหวางมุสลิมดวยกัน จึงได ขอรอ งตอ ทานวะลดี ใหป ระกาศทุกคนรูวาลุกหลานของมัฏอูนไมมีความปลอดภัยอีกตอไปเพื่อที่วา เขาจะไดเทาเทียมกับมุสลิมคนอ่ืนๆท่ีไดรับการทรมานจากพวกกุเรชดังน้ันวะลีดจึงไดลุกขึ้น ประกาศในมัสญิดวา ตอไปนี้ลูกหลานตระกูลมัฏอูนจะไมมีความปลอดภัยอีกตอไป อุษมานได กลา วดว ยเสยี งวา ดงั วา “ฉันเช่อื เชนนัน้ ” ไมนานนัก ไดมีกวีชื่อดัง (ช่ือวาลุบัยด) ไดเดินเขามาในมัสญิดและเขาไปยังชมรมของพวก กเุ รช ไดอ า นบทกวบี ทหน่งึ วา “ จงรูเถิดวา ทกุ ๆสง่ิ ทน่ี อกเหนอื จากอัลลอฮฺ จะเปน โมฆะแนนอน” อุษมานกลาววา “ เจาพดู ถกู ตอ ง” กวีผูนน้ั ไดกลา วทอนทีส่ องวา “ทกุ ๆความโปรดปราน จะไมอยคู งทนสูญสลาย” อุษมานรูสกึ แปลกใจจึงกลาววา “ เจาพุดผิดแลว บรรดาความโปรดปรานท้ังหลายจะคงอยู ตอไป “จาการคัดคานของอุษมาน ทําให ลุบัยด ถือวาเปนปรากฏการณคร้ังสําคัญ เขาไดกลาววา “ โอกุเรช สภาพพวกเจาเปลีย่ นแปลงไปแลว บคุ คลน้คี ือใคร? คนหน่งึ ทีน่ ั่งทน่ี ัน่ ลุกขึ้นกลา ววา “ เขาผู นั้นคือเปนพวกนอกคอก ไดออกจากศาสนาของเราไปแลว เขาไดยึดถือปฏิบัติตามคนหนึ่งที่ เหมือนกับเขาแหละ อยาไปฟงคําพดู เขาเลย” หลงั จากนั้นเขาไดลุกขึ้นยืน แลวเดินมาตบหนาอามาน อยางแรง ทําใหหนาเขาแดงชํ้า วะลีดกลาววา “อุษมาน ถาเจายังอยูภายใตบารมีของขาอยูอีกเจาจะ ไมไดร ับอนั ตรายเชนน้ี” อษุ มาน กลา ววา “ฉนั ขอความคมุ ครอง ตอ พระเจา ผูท รงยิ่งใหญ” วะลีดกลาววา” ตอไปฉันจะใหความคุมครองตอเจาเอง” เขาตอบวา “ ฉัน ไมยอมรบั เด็ดขาด” (๑๖๕)

กลุมนัดคน ควา ขาวครสิ ตไ ดเ ขาสูเมอื งมักกะฮฺ ผลจากการเผยแพรของมสุ ลมิ ที่อพยพไปยงั ประเทศเอธิโอเปย ซึงเปนศูนยกลางของศาสนา คริสต ทําใหนักวิจัยและนักคนควากลุมหน่ึงประมาณ ๒๐ คนเนทางมายังเมืองมักกะฮฺ และไดเขา พบทานศาสดามุฮัมมัด ไดมีคําถามมากมายถามทานศาสดา ทานศาสดาไดตอบคําถามเหลาน้ัน ทั้งหมด และเรียกรองเชิญชวนพวกเขาสูศาสนาอิสลาม และทานศาสดายังไดอานดองการหนึ่งให พวกเขาฟง ดองการแหงคัมภีรอัลกุรอานทําใหหัวใจของพวกเขามีการเปล่ียนแปลงถึงกับทําใหน้ําตา พวกเขาไดไ หลรินออกมา และพวกเขายังไดพบสัญลักษณตางๆท่ีกลาวไวในคัมภีรอินญีลถงึ การมา ของศาสดามฮุ มั มดั อีกดวย การประชุมของกลุนนักคนควาน้ัน สรางความสนใจแกอบูญะฮัลมากเขาไดพูดดวยทิฐิท่ี รนุ แรงวา “ ชาวเมอื งเอธิโอเปยไดสงพวกทานมา เพ่ือคนควาและวิจัย ไมใชสงพวกทานมาใหละท้ิง ศาสนาบรรพบรุ ุษของพวก ทานขาไมค ดิ วาโลกน้ีจะมคี นโงยง กวาพวกทานอยอู กี ” พวกเขาเหลานน้ั ไดตอบกับฟรอูนแหงอาหรับซึ่งไดแทงใจดําแกเ ขาวา “ เรายึดศาสนาของ เรา สวนทานยึดศาสนาของทานซิ แตทวาส่ิงวด ที่เราวิเคราะหแลววามีประโยชนและคุณคาตอเรา เราจะไมละวางแน” การโตต อบทง้ั สองฝา ยจงึ ไดย ุติลง (๑๖๖) คณะเจรจาของพวกกเุ รช คณะวิจัยชาวคริสตที่เดินทางมาเยือนมักกะฮฺนั้น สรางความต่ืนตัวใหกับพวกกุเรช พวกเขา จึงไดต้ังกลุมบุคคลหนึ่งเขามประกอบไปดวย ฮาริษ บินนัศรฺ และอะกอบะฮฺ บินอะบีมุอีฏ และ บคุ คลอื่นเปน ตัวแทนของพวกกเุ รชเดินทาง ไปยังเมืองยาริบเพ่ือพูดคุยเร่ืองสาสนเชิญชวนของมุฮัม มดั

กับนักปราชญชาวยิวที่อยูในเมืองน้ัน นักปราชญชาวยิวไดกลาวกับคณะบุคคลกลุมนั้นวา “ใหพวก ทานถามมุฮมั มัดในสามประเด็นตอ ไปนค้ี ือ ๑) แกน แทข องวญิ ญาณคอื อะไร ๒) ชวี ประวตั ิของชาวถา เปน อยางไร ๓) การมชี วี ิตของทา นซุลกัรนัย หากมุฮัมมัดตอบคําถามเหลานี้ได ก็ใหพวกทานเชื่อไดเลยวา เขาคือผูไดรับการเลือกจาก พระเจา แตถ า ไมเปน เชน น้ัน แสดงวา เขาพดู เทจ็ จึงตองทําลายเขาอยางดวนทีส่ ดุ ” บรรดาตัวแทนเหลาน้ันไดเขาไปยังเมืองมักกะฮฺดวยความยินดีและสบายใจ และไดมอบ คําถามท้ังสามใหกับพวกกุเรช และใหพวกเขาจัดประชุมขึ้นแลวเชิญมุฮัมมัดมา เพื่อตอบคําถาม เหลา น้ัน ทานศาสดากลาววา “ฉันกาํ ลังรอวะฮยฺ ู สําหรับคาํ ตอบของคําถามท้งั สาม”(๑๑๗) วะฮยูไดป ระทานใหก บั ทานศาสดาในเรอ่ื งวญิ ญาณ อยูใน ซูเราะฮ อัลอิสรอฮฺ อายะฮที่ ๘๕ และอีกสองคําถามอยูในซูเราะฮอัล-กะฮฟอายะฮ ท่ี ๙-๒๘ และโองการท่ี ๘๓-๙๘ ซึ่งรายละเอียด อยูในตําราตัฟซรี ท้งั หลาย และกอนจะจบในบทนี้ ขอกลาวเปนขอสังเกตสักเร่ืองหนึ่ง คือคําถามชาวยิวในเร่ือง วญิ ญาณ (รูฮ )ไมใ ชวญิ ญาณของมนุษย แตเปนความหมายของญิบรออลี . ๑๓

เสยี งระฆังแหง สงครามไดด ังขน้ึ บรรดาหัวหนาผา กุเรชไดจ ัดทัพต้ังแถวเตียมตอสกู ับพรรคแหง พระผูเปน เจา ซงึ่ ไดวางแผนอยางเปน ระบบเร่ิมดวยแผนการโนมนาวใหขอเสนอทางดานทรัพยสินเงินทองมหาศาลกับทานศาสดาและ ตําแหนงผูนํา เพ่ือใหศาสดาเปลี่ยนอุดมการณและยกเลิกงานดานการเผยแพรศาสนา แตพวกเขาก็ ลมเหลว ดวยกับคําพูดอันทรงพลังของทานศาสดาทวี่ า “ขอสาบานตอพระเจา มาตรแมนวาพวกเจา จะนําตะวันไวมือขวาและดวงเดือนไวมือขางซายของขา ขาก็ไมมีวันลมเลิกการเผยแพรศาสนา (อิสลาม) นี้อยางเด็ดขาด” หลังจากน้ันพวกกุเรซไดใชแผนกดดันทานศาสดา ดวยการทรมานและ กลั่นแกลงประทุษรายตอบรรดาสาวกแตก็ไมมีผลอะไร แตกลับกันบรรดาสาวกน้ันไดลุกขึ้นตอสู ยืนหยดั ดว ยกับอุดมการณ ทําใหบรรดาสาวกไดรับชัยชนะเหนือพวกกุเรช ถึงกับไดแสดงใหเห็นถึง คุณคาของศาสนาอิสลาม พวกเขาไดอพยพละท้ิงบานเรือนและทรัพยสินไปยังประเทศ เอธิโอเปย แตทวาแผนการรายพวกกุเรชที่ตองการจะขุดรากถอนโคนศาสนาแหงเตาฮีดใหหมดไปยัง ดําเนินการตอ ไป ดังนัน้ พวกเขาไดเตรียมแผนตอไป คือการทาํ สงครามและการสงั หารทานศาสดา สงครามไดอุบัตขิ ้ึนในรูปของการโฆษณาชวนเช่อื ใหชาวอาหรับเกียจชังและตอตานศาสดา มุฮมั มัด เพราะวาเปนเหตุผลหนึง่ ทีจ่ ะทาํ

ใหชาวอาหรับท่ีอาศัยในมักกะฮฺไดกดดันและสกัดก้ันการเผยแพรของอิสลาม แมแตชาวอาหรับ หรือผูท่ีไดเดินทางมาเย่ียมกะอุบะฮฺในเดือนตองหามตางๆและผูท่ีอยูในแวดลอมท่ีปลอดภัย ได ตดิ ตอกับทา นศาสดา และไดรับผลสะทอนท่ีดีจากคําสอนของทานศาสดา ซึ่งถาไมส ามารถสกัดกั้น พวกเขาได อยา งนอ ยพวกเขาจะไมศ รัทธาตอศาสดามุฮมั มัด และยังคงดํารงศาสนาเดิมกราบไหวรูป ปน และดวยกระแสการปรากฏของศาสนาใหมมุฮัมมัดไดขยายไปท่ัวสารทิศ และอิทธิพลของ อิสลามน้ี ทําใหศาสนาแหงการบูชาเจว็ดไดรับการจองจํา แตกลับศาสนาแหงพระเจาไดรับการ เผยแพรและมีแนวรวมเพิ่มมากข้ึน บรรดาหวั หนา เผาชาวกุเรชจึงไดค ิดแผนการใหมเพื่อทาํ ลายลางอิสลาม พวกเขาตองการจะ สกัดก้ันการเผยแพรศาสนามุฮัมมัดทุกรูปแบบและใหชาวอาหรับทุกเผาตัดความสัมพันธกับทาน ศาสดา และเราจะขอกลาวาแผนการทาํ ลายลางอสิ ลามของพวกกเุ รช ดังนี้ ๑)การกลา วดูถกู เหยยี ดหยามทา นศาสดาอยา งรนุ แรง การทําลายบุคคลสําคัญดวยกับวิธีการกลาวดูถูกและเหยียดหยามนั้นถือวาเปนที่มาของการ สรางศัตรู ดังน้ันศัตรูไดพยายามท่ีจะใหประชาชนเขาใจอยางผิดๆและบิดเบือนตอทานศาสดาถูก ทาํ ลาย หรืออยา งนอยสุดก็ทําใหประชาชนทําลายเกยี รตยิ ศของทาน (ศ) พวกศัตรูเหลานน้ั ฉลาดดวย การยุแหยดวยการพาดพิงสิ่งไมดีตางๆแกศาสดา เพื่อที่จะใหชาวอาหรับไดเช่ือส่ิงที่พวกเขากุเรื่อง ข้ึนมา หรืออยางนอยก็เกิดความสงสัยกับสิ่งที่มุฮัมมัดไดนํามาเผยแพร แตสิ่งที่พวกกุเรชไดใสไคร ทานศาสดาเปนเร่ืองไมท่ีไมเปนความจริงและไมเหมาะสมกับฐานนะภาพของทานศาสดามุฮัมมัด ดังนัน้ ส่งิ ที่พวกกเุ รชไดพ ดู ดูถูกทา นศาสดาจึงไรผ ล ในประเดน็ น้ี นักคนควาและนักวิจัยทางดานประวัติศาสตร สามารถจะเขาใจเบื้องหลังของ การใสไครแ ละการดูถูกเหยียมทานศาสดาไดอยางดีและประเด็นทางสังคมและจิตวิญญาณของทาน ศาสดาจากมุมมองของศตั รู

เพราะศัตรูพวกเขาไมไ ดตอ งการท่ีจะใหแ ผนการของพวกเขา ในการทําลายทานศาสดาบกพรอง ซ่ึง จากการเปดสงครามดวยการโฆษณาชวนเช่ือใสไครทานศาสดา ทําใหเขาใจและวิเคราหถึงตัวของ ทา นศาสดาไดอยางดเี ยยี่ ม แตถา สงั คมหรือศตั รไู มไ ดพดุ อะไรเก่ยี วกับทานศาสดาเลย กไมจําเปนจุด ขายท่ีดีนั่นเอง ถาเราเปดดูเรื่องราวในประวัติศาสตรอิสลาม จะพบวาพวกกุเรชไดมีความเกียจแคนและ เปนศัตรูกับทานศาสดาอยางเกินคําอธิบาย ถึงกับพวกเขาตองการที่จะทําลายระบบโครงสรางของ อิสลาม แมจะเสียคาใชจายมหาศาลเทาไหรก็ตาม ไดพยายามดึงบุคคลสําคัญและมีชื่อเสียงมาสกัด กั้นทานศาสดา แตวิธีการทั้งหมดนั้นไมเปนผลบวกแกพวกเขาเลย จนกระทั่งไดประชุมวาระพิเศษ เรงดวนหลายตอหลายคร้ังวาจะทําอยางไรดีกับมุฮัมมัดวาเปนผูฉอโกงเงินทองของประชาชน ก็ เปนไปไมไดอีก เพราะวาทรัพยสินเงินทองของประชาชนอยูครบในบานเรือนพวกเขา และวิถีชีวิต ของทา นศาสดาในอายสุ ีส่ บิ ป เต็มไปดวยชือ่ เสยี งดา นความซื่อสตั วและความไววางใจ หรือใสรายมุฮัดมัดวา เปนผูเสพกามหลงใหลนารี ก็เปนไปไมได อยูดีเพราะวาในชวงวัย หนมุ ของทานศาสดามีภรรยาเพียงคนเดียว ซึ่งไมเคยมีผูหญิงใดอ่ืนเลยท่ีจะมาเปนขออางได ตั้งแตที่ พวกกุเรชไดคิดแผนวาจําอยางไรดี อยางนอยสุดใหประชาชนวาระเรงดวนอีกครั้ง ณ ดารุลนัดวะฮ วา พวกเราจะไปยังสํานักของผูอาวุโส กุเรชและกลาวถึงคาจางในงานทําลายศาสดา การประชุมจึง ไดถ กู จดั ขน้ึ วะลีดไดห นั ไปยังพวกกเุ รชแลวกลา ววา เทสกาลฮัจญใกลมาถึงแลวและพลังประชาชน จะมายังมักกะฮฺมหาศาลเพื่อประกอบพิธีกรรมศาสนาและแนนอนมุฮัมมัดจะใชประโยชนชวงเวลา แหงอิสรภาพนั้นดวยในการเผยแพร ดังนั้นถือวาเปนการดีท่ีเราจะโจมตีกลาวถึงศาสนาใหมท่ีมุฮัม มดั นาํ มา ทกุ คนลงความเหมือนกนั มเี พียงสองคนคัดคาน ก็ไดรับความสนใจ

ปราชญแ หง อาหรับไดคดิ แลวกลา ววา เราจะพูดวามุฮมั มัด เปนผูท่ีมีญิณ* สิงในรางซึ่งสิ่งที่ เขาพูดนั้นไมใชคําพูดของเขาแตเปนคําพูดของ ญิณไดมีผูคัดคานวา แตส่ิงท่ีมุฮัมมัดพูดไม เหมือนกับผูญิณสิงในราง อีกคนเสนอวา ใหกลาววามุฮัมมัด เปนคนบา ขอเสนอนี้ก็ถูกปฏิเสธอีก วะลีด กลาววา “ไมมีสัญญาณการเปนบาหรือคนบาในตัวของมุฮัมมัด เลย” ดังพวกกุเรช ไดมี ความเหน็ เหมอื นกันวา ใหก ลาววามฮุ มั มดั เปนผูเลน ไสยศาสตร ซ่งึ เคร่อื งมือนั้นคืออัลกุรอาน (๑๖๘) นกั ตัฟซีรฺท้ังหลายไดอรรถาธิบายถึงซูเราะฮฺอัลมุดดัษษีร เปนอยางอ่ืนและพวกเขาไดกลาว วา เม่ือวะลีดไดยินโองการตางๆที่ศาสดา ไดอานในซูเราะฮฟุศศิลัต เกิดผลสะทอนตอเขาถึงมือไม ส่ันและผมตั้ง เนื้อตัวสั่นไดรีบว่ิงกลับบานทันที และไมออกจากบานอยูหลายวันทีเดียว จนทําให พวกกุเรชกลาวเยาะเยยแกเขาวา “วะลีดถูกไศยศาสตรมุฮัมมัดเสียแลว” และพวกกุเรชกลุมหน่ึงได เดินทางไปยังบานของวะลีด และพวกกุเรชขอรองใหวะลีดเลาเรื่องโองการอัลกุรานอานของมุฮัม มัด เม่ือพวกเขาไดยินคําพูดของวะลีด ก็ไดเสนอแนะและกลาวโตตอบ สุดทายเขาใหท ัศนะวา มุฮัม มัดเปนผูสรางความแตกแยกใหหมูอาหรับวาเปนนักไสยศาสตร และกลาววาเขาเปนนักเลน ไสยศาสตรท่ีเกง ในเรอื่ งการพดู ” การใสไ คลทา นศาสดาวาเปน คนบา จากการยืนทางประวัติศาสตรอิสลามวา แทจริงศาสดาอิสลามจาก ชวงสมัยหนุม เปนที่รูจักในนาม ของผูมีความซื่อสัตยและเปนผูท่ีถูกไววางใจ แมกระทั่งศัตรูอิสลามยังตองยอมรับในเร่ืองมารยาท และดา นจรยิ ธรรมอนั ดงี ามของศาสดาอยางหลีกเลี่ยงไมได และคุณลักษณะหน่ึงของศาสดาท่ีเปนท่ี รูจักในสังคมอาหรับคือความซื่อสัตยและผูมีสัจจะ จนกระท่ังบรรดาพวกมุชริกยังไดนําทรัพยสิน เงินทองของมีคาไปฝากกับศาสดา และ --------- *ญิน คือสง่ิ ถกู สรางหนงึ่ ของพระเจา ไมป รากฏรปู

เมื่อการกดดันตอทานศาสดามากย่งิ ขึ้น พวกเขาจึงนําทรัพยสินน้ันไปเก็บไวจึงไมม ีผลอะไรสําหรับ พวกกุเรชเลย จนกระท่ังไดคิดแผนการทําลายทานศาสดาแบบใหม นั่นกต็ ือกลาววาทานศาสดาเปน คนบา ไรสติ หรือสติไมสมบูรณซึ่งการใสรายในเรื่องน้ีไมเปนเหตุใหประชาชนตองสงสัยในเร่ือง การมีวาจาสัตยห รอื การอยอู ยางเรียบงายของศาสดา จึงเปนขอ กลาวหาท่ีไดก ลา วขึ้นแกศ าสดา จากความโออวดอยางรุนแรง เปนจุดที่มาของการใสรายตออากรมีหนาตาท่บี ริสุทธิ์ จึงอาจ ทาํ ใหพวกอาหรับเกดิ ความสงสัยในเน้อื หาตา งๆไดดังทีม่ กี ุรอานไดก าวถงึ เรอื่ งน้ีวา “พวกเขาไดใ สร า ยตอ อลั ลอฮฺ หรือกลา ววา ศาสดาเปน บา “(ซะบะอ/๘) น่ีคือวิธีของนางมารรายซ่ึงเนื้อแทของศัตรูคือ การใสรายในเรื่องท่ีไมเปนจริงตอบุคคล สําคัญระดับสูงของสังคมหรือนักปฏิรูป และอัลกุรอานยังไดกลาวถึงวิธีของมารรา ยนี้ไมไดเกิดข้ึน แคสมัยของศาสดาแตสมัยกอนหนาอิสลามก็มีใหเห็นอยู และน่ีคือการประกาศทําสงครามทางดาน จิตวทิ ยาตอ สาสดา ดงั ทอ่ี งั กรุ อานไดก ลา วถงึ เรือ่ งนี้ในซูเราะฮอฺ ัซซาริยาต อายะฮฺที่ ๕๒ – ๕๓ (๑๖๙) หรือแมกระท่ังในคัมภีรไบเบิล ก็ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีไวเชนกัน ดูไดจากไบเบิล จอหน บทที่ ๑๐ วรรคท๒ี่ ๐ และบทท๗ี่ วรรค ๔๘ และ ๕๒ และดว ยกับความจริงอยูอยางหน่งึ คือ เมือ่ ไหรที่พวกกุเรซไดเห็นวาพวกเขาสามสารถจะใส รายอื่นๆอีก พวกเขาก็จะทํา แตเนื่องจากวิถีชีวิตวัยสี่สิบเต็มเปยมไปดวยความดีงามและความ ไววางใจ จึงทําใหการใสรายเหลานั้นไมมีผล ละพวกศัตรูไมละเวนในการทําลายทานศาสดา แมวา จะเปนส่ิงท่ีเล็กนอยก็ตาม ตัวอยางเชนบางครั้งทานศาสดาไดเขามานั่งขางเด็กรับใชชาวคริสตคน หนึ่งใกลกับมัรวะฮฺ ศัตรูในชวงเวลานั้นสบโอกาสท่ีเห็นอยางน้ัน พวกเขากลาวขึ้นวา เด็กรับใช ชาวครสิ ตรค นนีเ้ องทสี่ อนอลั กุรอานใหม ฮุ มั มดั อลั กรุ อานไดตอบโตคาํ พูดอันไรแกนสารของเขาวา “เรารวู า พวกเขา

กลาววา มนุษยคนหน่ึงเปนผูสอนส่ิงน้ัน (อัลกุรอาน) ภาษาของผูที่เขาอางอิงมันนั้นเปนภาษา ตา งชาติ และนี่คือภาษาอาหรบั ท่ีชดั เจา (อันนะฮฺล/ุ ๑๐๓) (๑๗๐) ๒) การคดิ ทจ่ี ะประจนั หนากบั อลั กุรอาน การเปดศึกสงครามทางจิตวิทยาพวกกุเรชกับทานศาสดาดวยการใสราย กลาวเท็จ ดูจะไม ไดผลสักเทาไหร เพราะวาประชาชนไดมีความรูสึกที่ดีดวยตัวของเขาเองตออัลกุรอานวามีผลตอ วิญญาณพวกเขา ซึ่งไมเคยไดยินถอยคําใดที่มีความไพเราะมากทกับอัลกุรอานมากอนเลย และ คําพูดอันทรงพลังของศาสดาเองซ่ึงมีพลังดูด ดว ยเหตผุ ลน้กี ารใสร ายหรือการกลาวเท็จตอศาสดาไม มีผลอะไรเลย ดังนั้นพวกกุเรชไดคิดคนแผนการใหม ซ่ึงพวกเขาคิดวาใชไดกับพวกอาหรับท่ีจะ ปฏเิ สธตอทา นศาสดา นฏั ร บินฮารษิ เปนคนทีฉ่ ลาดและมีความชาํ นาญในการวางแผนของกเุ รช และเขาเคยอาศัย อยูในเมืองฮัยเราะฮฺและอิรัก ไดรับรูถึงวรรณกรรมของกษัตริยแหงเปอรเซียยิ่งใหญ เชนทานรุสตัม ทานอิสฟนดิยาร และเร่ืองความเชื่อเก่ียวกับความดีความช่ัวของชาวเปอรเซีย ดังนั้นพวกกุเรชได เลือดเขามาตอสูประจันหนากับทานศาสดา โดยพวกกุเรชไดมีแผนวาใหนัฏ บินฮาริษเปดศึก สงครามกับศาสดาดวยการไปตามซอดซอยแลวนําเร่ืองราววรรณคดีที่นาทึ่งของชาวเปอรเซียอาน ใหประชาชนรับฟงหรือประวัติของกษัตริยเปอรเซียและทําใหฐานนะภาพของทานศาสดาจะได ตํา่ ลง และทําใหถอยคาํ แหงอลั กรุ อานเปนสง่ิ ไรค า การวางแผนน้ี ถือวาเปนสิ่งโงเขลาเสียเหลือเกิน เขาไดดําเนินการไปไดไมกี่วัน เพราะวา พวกกุเรชรูสึกเบื่อหนายตอเนื้อหาและไมเปนสิ่งทนี่ าประทับใจเลย ทําใหพวกกุเรชกระจัดกระจาย หายไปคนสองคนจนหมด จึงมโี องการไดถ ูกประทานเกย่ี วกับเรือ่ งน้มี าวา “พวกเขากลาววา น่ีคือนิยายของคนรุนกอนที่เขียนข้ึนมา แลวทุกฝายมาอานทั้งเชาและสาย จงกลาววา พระองคคือผูซ่ึงรอบรูความเรนลับ ในชั้นฟาและผืนแผนดินเปนผูประทานมันลงมา แทจริงพระองคทรงเปน ผใู หอ ภยั

ทรงเมตตา” (อัลฟรุ กอน/๕-๖)(๑๗๑) ๓. พวกกุเรชหา มประชาชนฟงเสียงอานอลั กุรอาน พวกกุเรชไดมีแผนการทําลายหลายวิธีตอศาสนาอิสลาม และจะตอสูกับศาสนาแหงเตาฮีด พระผูเปนเจา หลังจากท่พี วกเขาเห็นวา แผนทหี่ นึง่ ไมไดผลก็จะนําแผนที่สองมาปฏิบัติทันที แตก็ไม มีผลอะไรตอ การเผยแพรข องศาสดาเลย พวกเขาไมประสบความสําเร็จเอาเสียเลย เหมือนกันวาดรูป บนผวิ นาํ้ ในชวงหนึ่งไดทําการโฆษณาชวนเช่ือตานศาสดา แตก็ไมประสบความสําเร็จ ทานศาสดา ยังไดยืนหยดั ดําเนินงานเผยเพรตอไปอยางม้ันคงซ่ึงมีแนวรวมผูยอมรับในศาสดาแหงเตาฮีดเพิ่มขึ้น ทกุ วนั ดังน้ันพวกกุเรชไดคิดแผนใหม หามประชาชนฟงเสียงอานของอัลกุรอาน เพ่ือท่ีจะ ประชาชนไมรูแ ละไมเขาใจตอ ความหมายของกรุ อาน พวกเขาไดวางสายลับอยางมากในมักกะฮฺ จะ ไมไปหาศาสดามุฮัมมัด และพวกเขาจะพยายามทกุ วิถีทางท่ีจะไมใหประชาชนไดยินหรือไดฟงอัลกุ รอาน ดงั โองการอัลกุรอานไดก ลาววา “บรรดาผูซ่ึงปฏิเสธกลาววา พวกทานอยาไดฟงอัลกุรอานน้ี จงทําเสียงดังกลบ(เม่ือไดยิน) หวงั วาพวกเจา พวกจะมีชยั ” (ฟศศิลตั / ๒๖) ชยั ชนะที่ยง่ิ ใหญของศาสดากับการเปด ศึกสงครามทางดานจิตวิทยาของพวกมุชริก คือพวก มุชริกมีความหวั่นกลัวท่ีเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาอยางนาแปลกประหลาดตอศาสดา น่ันก็คือ ความมหัศจรรยของอัลกุรอาน ซึ่งแมแตหัวหนาทั้งหลายของกุเรชท่ีต้ังตนเปนศัตรูตอศาสดาอยาง หนัก เม่ือไดฟงอัลกุรอาน ทําใหพวกไมสามารถควบคุมความรูสึกไดมือไมสั่น ดังนั้นพวกมุชริกจึง ไดตัดสินใจส่งั หา มการฟง อลั กุรอานและหามการฟง คําปราศรัยของมุฮัมมัด ( ศ. )

ผวู างกฎไดล ะเมดิ กฎเสียเอง ดังที่กลาวมาแลวพวกมุชริกไดมีความแคนศาสดาอยางหนักถึงกับไดมีคําสั่งหามไมให ประชาชนฟงคําปราศรัยของมุฮัมมัดและอัลกุรอานถาใครไดฝาฝนแอบไปฟงจะไดรับการลงโทษ หลายวนั ตอมาผูท่ไี ดวางกฎนด้ี วยการลงมติกลับไดท ําลายกฎเสียเอง(คือแอบฟง อลั กุรอานเสยี เอง) น่ันก็คือ อบูซุฟยาน อบูยะฮัล และอัฆนัสบินชะรีค คืนหนึ่งพวกเขาไมไดบอกใหใครรู ได ออกจากบานไป แลวไปยังบานของศาสดา มุฮัมมัด แตละคนไดแอบกันไป โดยไมใครรู เปาหมาย คือตองการจะฟงอัลกุรอานเมื่อศาสดาจะนมาซ เพราะในนมาซทานจะอานอัลกุรอานดวยเสียงที่ ไพเราะ ทั้งสามมาที่บา นศาสดาโดยไมไดน ับหมายกันไดอยูจนถึงอรุณรุงนมาซซุบฮ และไดฟงอัลกุ รอานท้ังคืน เม่ือก็ตองกลับไปบานของพวกเขา ทั้งสามไดมาพบกันระหวางทาง ตางก็ไดกลาว ประณามกนั และกนั และกลาววา ถาประชาชนธรรมดาไดรูวาเราท้ังสามไดแอบมาฟงอัลกุรอานของ มฮุ ัมมดั พวกเขาจะกลา วตําหนิตอ เราอยา งไร? คืนตอมาท้ังสามคนก็ไดแอบมายังบานศาสดาอีกเพื่อจะฟง อัลกุรอานแลวเจอกันระหวาง ทาง ตางคนก็ตางไดกลาวตําหนิกันและกัน และสัญญากันวาจะไมกระทํากันอีก แตทวาดวยความ มหัศจรรยของอัลกุรอานและความไพเราะของอัลกุรอานและความหมายที่งดงามน้ันทําใหพวกท้ัง สามตองมาแอบมาฟงอลักุรอานกันอีก และไดฟงอัลกุรอานจนถึงเชา และก็ไดมาเจอกันอีก แลว พวกเขากลาววา เม่ือไหรก็ตามที่คําสัญญาของมุฮัมมัดเปนจริงมากเทาไหร พวกเขาจะไดรับความ เสยี หายในการดาํ เนินชีวติ มากเทา นนั้ เมอ่ื ฟาสวาง พวกเขารีบออกจากบานทานศาสดา เพราะกลัววาความจะแตก คร้ังนี้ก็เหมือน คร้ังท่ีผานมา พอขากลับพวกเขาก็พบกันอีกและออกปากวา พวกเขาไมมีกําลังพอที่จะตอตาน พลัง ดึงดูดของการเชิญชวนของอัลกุรอาน แตเพื่อเปนการหยุดยั้งไมใหลุกลามกลายเปนเร่ืองใหญ ท้ังหมดใหสัญญาตอกนั วา พวกเขาตอ งลม เลิกการกระทาํ นี้ (๑๗๓)

14 การปดลอมทางเศรษฐกจิ ตอทานศาสดา ( ศ. ) หนทางท่ีงายที่สุดในการทําลายกลุมชนนอยของสังคม นั่นคือการตอสูดวยการรวมตัวกันเปนหนึ่ง ของกลมุ ใหญ และควํ่าบาตรทางดานความเปนอยูและเศรษฐกิจ สวนการตอสูในรูปแบบการเผชิญหนา ตองใชสื่อและรูปแบบตางๆมากมาย เพราะตอง พึ่งพากลุมท่ีมีพละกําลังและรูเร่ืองดานอาวุธ และดวยกับการเสียสละชีวิตและเลือดเน้ือ ทรัพยสิน พรอมกับการสรางเสียงเรียกรองท่ีดังและคําพูดท่ีหยาบ ถึงจะไปถึงเปาหมาย และการตอสูประเภท น้ีตองประสบกับความยากลําบากตางๆและควบคูกับผูนําทัพที่ฉลาด และพรอมกับการบริหารที่ จําเปนและความพรอมอยางสมบูรณ ก็จะตอสูในรูปแบบน้ีไดอยางดีและถายังไมถึงกับการตองเสีย เลือดเนื้อ ก็คือวาจะไมปฏิบัติการน้ันไดแตการตอสูเชิงลบ ไมจําเปนตองเตรียมการขนาดนั้น แต สวนมากไดตกลงรวมกันและไดตัดสินใจเหมือนกัน ตกลงใหสัญญาเหมือนกัน โดยการควํ่าบาตร และตักความสมั พันธด า นการชอื้ การขาย และวางแผนนโยบาย โดยไมม สี วนรวมกันพวกเขาในดาน สังคมและตัดความสัมพันธ การชวยเหลือกิจการงานตางๆของพวกเขา จนทําใหความเปนอยูของ ชนกลมุ นอยนน้ั เหมอื นกับพวกเขาไดอยูในคุก พรอมกับไดร ับการทรมานและการกดดนั ตา งๆนานา

การไดรับสิ่งตางๆเหลานั้น บางคร้ังทําใหชนกลุมนอยตองยอมรับและจากการขมขู พวก เขาอาจจะเปลยี่ นวถิ คี ิดและแนวปฏบิ ตั แิ ละยอมรับการปกครองของชนสวนมากในทสี่ ุด แตทวาสําหรับกลุมชนหน่ึง ไดยืนหยัดกับการตอตานตอพวกเขาดวยกับพลังแหงศรัทธา อันแรงกลา โดยที่ไมมีมรสุมใดจะพัดพาพวกเขาไปไดการกดดันทางดานเศรษฐกิจย่ิงทําใหพลัง แหงอิหมานของพวกเขาเขมแข็งย่ิงข้ึนและชนกลุมนี้จะยืนหยัดดวยความอดทนเพื่อเปนคําตอบตอ ศัตรู เหตุการณในหนาประวัติศาสตรแหงมนุษยชาติไดยืนหยัดถึงพลังที่แข็งแกรงท่ีสุดของการ ยืนหยัดตอสูของชนกลุมนอยตอฝายศัตรูที่มีจํานวนมาก คือพลังแหงอิหมานและความศรัทธา ซ่ึง บางครั้งการยืนหยัดนั้นอาจตองหลั่งเลือดเนื้อ เพ่ือเปนการปกปองรักษาจุดยืนอันมั่นคงไว เราจะนํา ตัวอยางแหง เสียงยนื ยนั นบั รอยของผคู น ตอเหตุการณห น่ึงในหนาประวตั ิศาสตรอิสลามดงั น้ี คาํ ประกาศของชาวกุเรช บรรดาหวั หนาเผาของกเุ รชไดร ูสกึ โกรธเคอื งอยางมาก จากการท่ศี าสนาอสิ ลามไดกาวหนา และมีอทิ ธิพลไปทั่ว พวกเขาเหลานั้นไดคิดหากลอุบายวิธีการเพื่อตานอิสลาม แตไรผล และดวยกับ การยอมรบั อสิ ลามของทา นฮัมซะฮฺ และหนมุ สาวชาวกเุ รชจํานวนมาก อีกทั้งไดรับการชวยเหลือให อสิ รภาพแกม สุ ลิมผอู พยพมายังเอธโิ อเปย และดวยอํานาจรฐั ที่เอื้ออาํ นวยใหกบั มุสลิม ทําใหมุกมุช ริกไมรับประโยชนอะไรเลยจากปผนการทลายอิสบมนั้น พวกเขาจึงไดคิดแผนการใหมขึ้นมา น่ันก คอื พวกเขาตอ งการจะปดชอมทางดา นเศรษฐกิจ ซ่ึงเปนการตัดเสนเลือดของมุสลิมและอิทธิพลของ อสิ ลาม และทาํ ใหผทู ีห่ ลงใหลตอ อศาสนาแหง เตาฮีด เกิดความกดดันในการเปนอยู ดว ยเหตุนี้บรรดาหัวหนาเผาชาวกุเรชดร างสนธิสัญญาขึ้น โดยการเขียนของ มันศูร บินอัก รอ มะฮ และใหกลุมของหัวหนาเผา กเุ รชลงนาม

พรอมกัน และไดทําสัญญาน้ีข้ึนมาในกะอฺบะฮฺ และไดสาบานกันวา ในนามของเผากุเรช จะปฏิบัติ ขอ ตกลงนีจ้ นกวา ชวี ติ จะหาไม คือ ๑) พวกเราจะคว่ําบาตรรในเรอ่ื งการซ้อื และการขายตอมฮุ มั มัดและสาวกของเขา ๒) กาตดิ ตอ สัมพนั ธตอพวกมุสลิมถือเปน สิง่ ตองหาม ๓) ทกุ คนมสี ทิ ธจิ์ ะเชื่อมสมั พนั ธทางดานการแตง งานกับมสุ ลิม ๔) รายไดตา งๆที่ไดมาตองนํามาใชส อยในการตอตา นมุฮมั มัด รางสัญญาน้ีไดรับการลงนามจากพวกกุเรชท้ังหมด ยกเวนมุฎอับ บินอะดี และถูกกําชับวา ตองปฏิบัติตามนี้อยางเครงครัด ผูปกปองทานศาสดาอบูอะลิบไดเชิญชวนญาติสนิท (ลูกหลานของ ฮาชิมและมกุฏฏอลิบ)ใหรับหนาที่ชวยดูแลทานศาสดา ทานไดสั่งใหคนในครอบครัวทุกคนอพยพ ไปอยูในบริเวณหุบเขาที่มีช่ือวา ชิอฺบุบีฏอลิบ และใหอยูหางจากอาราบริเวณของพวกมุชริก และยัง ไดมีการมอบหมายใหมียามกลุมหนึ่งคอยระวังภัยอยูบนท่ีสูง เอแจงขาวหากมีการรุกรานจากพวก กุเรซ(๑๗๔) การปดลอมน้ีไดผา นไปสามป ทําใหมุสลิมและทานศาสดาไดรับการทรมานและเจ็บปวดท่ี ไมสามารถจะอภิบายได บรรดาชาวบนีฮาชิมไดตะโกนเรียกรองใหพอคามักกะฮฺมาช้ือสินคาหรือ ขายสินคา แตพวกเขาไมไดยินเสียงรอง และไมไ ดสนใจในเสีงรองนั้น บรรดาหนุมสาวและผูใหญ ไดกินอินทผาลัมเพื่อเม็ดเดียวเอทังชีวิตแตวัน และบางครั้งอินทผาลัมเม็ดหน่ึง ตองแบงครึ่ง และ ชวงสามปแหงการทรมานนั้นมีเพียงเดียนท่ีตองหาม บรรดาบะนีฮาชิมสามารถออกมาขางนอกได และไดมาเรียกรองความเปนธรรมเพียงเล็กนอย หลังจากน้ันคองถูกขับกลับไปยังท่ีชิอฺบุอบีฏอลิบ ทานศษสดามุฮัมมดั กย็ ังมโี อกาสเพยี งเดือนท่ตี องผา นเทาน้ันท่ีพอจสามารถเผยแพรศาสนาแหงพระ เจาไดบาง บรรดาพวกมุชริกกุเรชไดเตรียมพรอมและวิถีการ ตางๆในการกลั่นแกลงกดดันมุสลิม ดว ยการปด ทางการช้ือขายและดานเศรษฐกิจ ในขณะท่ีตลาดไดเปดและมีสินคาตางๆนานามากมาย แตเม่ือพวกมันเห็นวามุสลิมจะไปชื้อจะขึ้นราคาสินคาใหแพงลิ่ว เพื่อมุสลิมไมสามารถช้ือสินคา เหลา นั้นได

อบูละฮับอีกคนหนึ่งท่ีไดกดดันมุสลิม เขาไดเรียกรองใหพอคา แมขายในตลาดวา “โอ ประชาชนท้ังหลาย จงเพ่ิมราคาสินคาใหสูงไปอีก เพอื่ ท่ีจะไมใหพรรคพวกของมุฮัมมัดช้ือสินคาได และใหตรี าคาใหแ พง” สภาพความเปน อยูบนีฮาชิมในชะอบฺ ุอบีฏอลิบ ความทรมานของความหิวของมุสลิม ถึงกับทานสะอัด บินวักกอสไดกลาววา “คืนหน่ึงฉัน ไดเดินออกจากหุบเขาน้ัน ในสภาพที่ฉันรูสึกหมดเร่ียวหมดแรง ทันใดน้ันก็ใหหนังอูฐท่ีแหง ฏได หยิบมาลางและเผาทําใหมันละเอียดและนํามาปรุงเติมนํ้า ฉันไดนํามากินอยูสามวันเพื่อปะทังชีวิต ไว” บรรดาสายลับของพวกกุเรชไดคอยติดตามอยูตลอดเวลา วามีใครแอบเอาอาหารมาใหกับ บรรดามุสลิม ณ ชิอฺบุอบูฏอลิบบางม้ัย แตทวาทามกลางการควบคุมที่หนาแนนนั้น ทานฮะกีม บินญัซซาม เปนลูกพี่ลูกนองกับทานหญิงคอดีญะฮและทานอะบุลอาศ บินรอบี้ และทานฮิชาม บิน อุมรั ไดนําขาวสาลีและอนิ ทผาลัมมาใหใ นยามเที่ยงคืนมาใหท ่หี มบู าน ชิอบฺ ุ อะบีฏอิบหลังจากน้ันก็ สง สัญญาณใหกับมุสลิมน้ันเอาออกมา และบางครั้ง การชวยเหลือน้ีเกิดปญหาและอุปสรรคแกพวก เขาเชนกัน วันหน่ึงอบูละฮับ ไดเห็นทานฮะกีมไดนําสัมภาระบรรทุกหลังอูฐ และมุงหนาไปตาม เนินเขา (ชะอฺบุอบีฏอเล็บ) ทําใหอบูละฮับโกรธเคืองฮะกีมอยางหนัก เขากลาววา ขาตองนําเจาไป หาหัวหนา เผากุเรชแลว และจะฝองพวกเขาก็ไดเดินไปพอดี เจอกับ อบลุ บัคตี ซ่ึงเปนศัตรูหมายเลข หน่ึงคนหน่ึงอิสลาม เขาก็ไดกลาว ประณามตออบูญะฮัลแลวกลาววา เขาไดนําอาหารไปใหอาของ เขาคอดญี ะฮเฺ จา ไมม ีสิทธ์ิมาหา มเขาและเขาไดหา มอบูญะฮลั ในการน้นั ความยงุ ยากและลําบาก ความทรมานของการกระทําพวกกุเรชในการปฏิบัติตอสนธิสัญญา จนในท่สี ดุ เสียงรอ งโอดโอยของเด็กสตรแี ละประชาชนไดอุบตั ขิ ึน้ เนอื่ งจากความทรมานและความ หวิ โหย และทําใหบา งคนเกดิ ความเสยี ใจตอสญั ญาทไ่ี ดร า งข้นึ ในการคว่ําบาตรทางดา น

เศรษฐกิจตอ มสุ ลมิ จงึ มคี วามคิดจะแกป ญ หาในเรอ่ื งนี้อยา งไร วันหนึ่งฮิชาม บินอุมัร ไดมาหาทานซุฮัรร บินอบีอุมัยยะฮฺ เปนหลานคนหนึ่งของลูกสาว อับดุลมุฏฏอเล็บ ไดกลาววา “เปนสิ่งท่ีเหมาะสมแลวกระนั้นหรือที่เจาไดกินดื่มอาหารอยาง เอร็ดอรอย ไดสวมเส้ือผาที่ดีแตทวาลูกหลานของเจา(ที่เปนมุสลิม)ไดอยูในสภาพท่ีหิวโหยและอยู อยางไรเครื่องนุงหม? ขอสาบานตอพระเจา หากเจาตัดสินใจทําเชนน้ีกับลูหลานของอบูญะฮัลแลว ชวนเขาใหปฏิบัติตามขอตกลงน้ี แนนอนเขาจะไมยอมทําตามเจาอยางแนนนอน” ซูฮัรรกลาววา “ขาคนเดียวไมสามารถทําอะไรไดท่ีจะทําลายสัญญาของพวกกุเรช แตทวาถามีใครรวมกับขาดวย ขาก็จะฉีกและทําลายสัญญาน้ันเสีย “ฮิชามกลาววา”ขาจะรวมกับเจา “เขากลาวตอวา”จงหาอีกสัก คนเปนสามคนในการน”้ี เขาก็ไดลกุ ข้นึ มงุ ไปยงั ทา นมุฏอิม บินอิดดี ปละกลาววา “ฉันคงไมคิดวาจะ เปนไปไดวาเจาจะยินยอมที่จะใหสองเผา ทั้งบนีฮาชิมและบนีอับดุลมุฏฏอลิบ ซึ่งมาจากลูกหลาน ของอับดุลมะนาฟ ซ่ึงเจาก็มีความภาคภูมิใจตอวงคตระกูลนั้นอยูแลว แลวจะใหพวกเขาไดรับความ ตาย “เขากลา ววา ”จะทาํ ไงไดแ คเ พียงขา คนเดียว”เขากลา วตอบวา”ยงั มีอีกสองคนท่จี ะรวมกบั เจา คอื ขา และทา นซุฮยั ร” มฎุ อมิ ตอบวา “จะเปน ตอ งมคี นอนื่ อีกท่รี วมกบั ขา ในการน้ี”จากทศั นะนนั้ ทานฮิ ชามไดเตรียมการในการหาแนวรว มเพิ่มใหกบั มฏุ อมิ เขาไดเ ชญิ ทานอบุลบัคตะรีและซัมอะฮมาเปน แนวรว มอีกสอง และไดตกลงกันวาเชา มดื วนั รงุ ขึน้ จะไปรวมตวั ที่ ณ มสั ญดิ การประชุมของกุเรช ดวยกับการเขารวมของทานซุฮัยรและกลุมที่เปนแนวรวมกับเขา ได ถูกจัดต้ังข้ึน เขาไดทําลายสัญญาขอตกลงน้ันแลวกลาววา “วันนี้ชาวกุเรช ตองขจัดความเลวราย ออกไปจากตัก เพื่อใหมีความสะอาด เราจําเปนตองทําลายสัญญาอันโหดรายและกดขี่น้ันออกไป เพราะทําใหส ภาพการเปนอยูของบนฮี าชมิ ไดรบั การทรมาน และไมพอใจ” อบูญะฮัลไดกลาวในท่ีประชุมวา “ส่ิงที่เจาเสนอไมสามารถจะทําไดเพราะวาขอตกลงของ ชาวกุเรชถือวาทุกคนตองเคารพ “ในขณะน้ันซัมอะฮฺไดลุก ข้ึนชวยทานซุฮัยรกลาวา “ถือวา จําเปน ตองทาํ ลายสญั ญานั้น เราไม พอใจ

ต้ังแตแรกอยูแลว” อีกมุมหน่ึงไดดังข้ึนมาวา จําเปนตองยกเลิกสัญญานั้นเสียและสวนมากได สนับสนุนขอสนอของซุฮัยร ดังน้ันอบูญะอัลไดรูสึกวา น่ีเปนเรื่องใหญ และพวกเขาก็จะเอาจริง และเปนเสียงของประชาชน และกลุมที่เงียบน้ันก็สบับสนุนดวย ดังนั้นอบูญะฮัลจึงไดเงียบ และ ทานมุฎอิมไดใชสถานการณน้ันเปนประโยชนดวยการยกเลิกสัญญาน้ัน ก็ไดไปหยิบกระดาษน้ัน และจะฉีกทําลายสัญญาน้ัน แตเมื่อหยิบมาดูไดเห็นกรดาษเปนรูๆปลวกไดกัดกินไปแลว เหลือเพียง คําวา “มิสมกิ ะอลั ลอฮุมมา” อบูฏอลิบไดดูเหตุการณณอยูหาง และมีเปาหมายจะใหเร่ืองนั้นจบเขาไดเหนวาทุกคนจะ เปนเสียงเดียว กไดนําเร่ืองราวน้ันเสนอตอหลานของทาน (มุฮัมมัด) และดวยกับการตัดสินใจและ การปรึกษากบั อบูฏอลบิ ทําใหก ลมุ ที่ถกู ปด ลอ มอยูหมูบานชอิ บฺ อุ บีฏอลิบ ไดกลับไปยังบานพวกเขา ทนั ที นักประวัติศาสตรบางทานดับันทึกไววาทานศาสดาและทานอบูฏอลิบและทานหญิงคอ ดีญะฮฺ ในชวงการปดลอมทางดานเศรษฐกิจไมมีอํานาจอะไรท่ีจะทําอะไรไดเลย จนกระท่ังไดมี วิวรณถูกประทานมาบอกขาววา “มดและปลวกไดกัดกินขอตกลงสัญญาของพวกกุเรช ที่พวกเขาด รวมกัน ลงนามควํ่าบาตรเศรษฐกิจมุสลิม ยกเวนประโยคหนึ่งท่ีเหลืออยูคือ “มิสมิกะ อัลลอฮมุ มา” ทานศาสดาไดสงขาวเร่ืองนี้ใหอบูฏอลิบรู และไดส่ังใหทุกๆสองคนออกเดินทางจากหมูบานชิอฺบุอ บีฏอลิบ และใหไปนั่งอยูท่ีกะอุบะฮฺ และพวกเขาไดอยูหางจากอบูฏอลิบ และพวกเขาไดกลาว กับอบูฏอลิบวา ยังไมถึงเวลาอีกหรือที่จะใหเครือญาติมานึกถึงเรา และทานจะวางมือการปกปอง หลานของทาน (คือมุฮัมมดั )” อบูฏอลิบไดมองไปยังพวกเขาแลวกลาววา “จงนําสัญญาน้ันมาซิ” พวกเขาไดไปหยิบ สญั ญานน้ั มา ในสภาพท่ีลายเซน็ คงอยู อบูฏอลบิ กลาววา น่คี อื สัญญาทถี่ กู เขียนไวเหมือนเดิมกระน้ัน หรือ? พวกเขากลาววา “ใชแลวอบูฏอลิบ กลาววา” ใครไปแตะหรือหยิบมาเลนบาง? พวกเขากลาว วาไมมีอบฏู อลบิ กกลา ววา หลานของฉนั มุฮมั มดั ไดรับวิวรณจากพระผูเปนเจา ของเขาถาคําพูดของ เขาเปน จริง พวกเจา จะลมเลิกงานนหี้ รือเปลา พวกเขากลา ววา

ไดซิ อบูฏอลิบกกลาวอีกวา “ถาส่ิงท่ีเขาพุดเปนส่ิงโกหก ฉันจะมอบมุฮัมมัดใหกับพวกเจาทันที เพื่อใหพวกเจาขาเขา อบูฏอลิบกลาววา หลานของฉันไดกลาววา ไดมีปลวก มด กัดกินสัญญาน้ัน หมดแลว “ดังน้ัน พวกเขา ไดไปหยิบขอตกลงสัญญาน้ัน ไดเห็นวากระดาษนั้นไดถูกปลวกกัดกิน ยกเวนประโยคที่กลาวถึงพระนามของพระเจา งานครั้งนี้เปนเหตุใหเกิดการตอตานโดยท่ัวไป ใน ท่ีสดุ บนฮี าชมิ กก ลบั ไปชิอฺบุอบฏี อลบิ อกี คร้ังหนึ่ง และอยทู น่ี น่ั จนการปด ลอมส้ินสดุ ลง (๑๗๕) หลังจากการทาํ ลายสญั ญาน้นั ทา นอบูฏอลิบไดแตบ ทกวีหน่ึงเพื่อยกยองผูทําลายสญั ญานั้น ซ่ึงทา นอิบนิฮิชามยงั ไดน ํามาบนั ทกึ ในหนังสอื ประวตั ิศาสตรข องเขาดว ย (๑๗๖) นี่คือตัวอยางท่ีความกังวลของผูกดขี่พวกกุเรช ในการเผยแพรของทานศาสดามุฮัมมัด แนนอนไมสามารถจะอางไดอยางเต็มปากวานี่คือความกังวลที่เกิดผลสะทอนอยางนี้ ซ่ึงไดนํามา บันทึกไว แตจากการยอ นกลบั ไปดตู ําราประวัตศิ าสตรส ามารถจะเรียบเรียงเหตกุ ารณๆไดวา แทจริง จดุ จบของารปดลอ มทางดานเศรษฐกจิ เกดิ ขึ้นในชว งกลางเดือนรอยับ แตทวาการกลั่นแกลงและการทรมานของพวกกุเรชทมีตอมุสลิมไมใชแคเพียงเหตุการณนี้เทาน้ัน แทว าพวกมสุ ลมิ เหลา นัน้ ไดย ืนหยัดครงั้ แลว ครงั้ เลา ดงั เชน การดุถูกกับทานศาสดาวาเปนผูที่อับโชค อัลอับตัร ดังทราอาซบินวอิลไดกลาวกับทานศาสดาวา “ปลอยมุฮัมมัด ไปเถอะ เขาเปนผูไมมี ทายาทเปนหมัน ถาเขาตายเมื่อไหร ทายาทก็ไมมี การเผยแพรน้ันก็จบไปดวย” แลวซูเราะฮอัล เกาษรั กไ ดถ กู ประทานลงมาวา แทจริงอลั ลอฮฺทรงประทานทายาทใหอ ยา งมากมายแกศาสดามุฮัมมัด (๑๗๗)

15 การอสัญกรรมของทา นอบูฏอลิบ การปดลอมทางดานเศรษฐกิจของพวกกุเรชตอศาสดาและสาวกไดถูกทําลายดวยกลุมผูไมหวังดี และมีใจเปนธรรมของพวกเขาเองทานศาสดาและบรรดาสาวกไดหลุดพนจากความเลวรายและ ความทรมานในตาํ บลชิอฺบอุ บีฏอลิบเปนเวลาสามป และพวกสาวกจึงไดกลบั บานเกิดเมืองนอนของ พวกเขาอีกครั้ง ไดซื้อขายสินคาอยางอิสระ และทําใหสภาพการเปนอยูของมุสลิมไดมีความคึกคัก อีกครั้ง แตทันใดนั้นไดเกิดความเสราโสกและระทมทุกขตอทานศาสดา และความเศราโศกนี้เปน การสูญเสียผูปกปองมุสลิมและอิสลาม ซ่ึงเปนเหตุการณที่ไมสามารถจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ ใดๆได เพราะวาอิสลามไดพ ัฒนาละกาวหนามาสององคป ระกอบหลกั หนงึ่ ความอิสระทางการเผยแพรและพลังของการไดรับการปกปองจากการโจมตีและกล่ัน แกลง ของศัตรู ดังน้ันเมื่อมุสลิมไดมีโอกาสในการองคประกอบแรกคือ การมีโอกาสในการเผยแพร และอภิบายหลักสาสนายางอิสระน้ัน ทําใหมุสลิมตองสูญเสียองคประกอบที่สอง คือผูปกปอง อสิ ลามทีม่ ีอาํ นาจซึง่ ศตั รไู มกลาจะทาํ อะไร วันน้ันทานศาสดาไดสูญเสียบุคคลสําคัญท่ีปกปองานและอิสลามซ่ึงทานศาสดาไดอยูกับเขามา ตั้งแตอายุแปดขวบ จนกระทั่งเมื่อทานอายุไดหาสิบป เขาผูน้ันตองจากไป โดยที่เขาไดปกปองทาน ศาสดาและอิสลามมาตลอดชวงที่เขามีชีวิตอยู ดว ยกับการอยขู องเขาทําใหแสงจรัสของอสิ ลาม

และจนกระทั่งวันหน่ึงที่ทานศาสดาไดมีอํานาจเขมแข็ง และเขาผุน้ันยังยกทานศาสดาเหนือกวาลูก เองเสยี อกี การสญู เสยี บุคคลสําคัญรี้ ซงึ่ ทานอับดุลมกุฏฏอลิบ (ปูทานศาสดา) ไดมอบมุฮัมมัดใหเขาผูนั้นดูแล และเขาได กลาวบทกวหี น่งึ วา “ ขอสั่งเสียเจา โออับดุลมันัฟ หลังจากนั้น ใหดูแลและปกปองเขาหลังจากที่บิดาของเขา ไดจ ากไป” อบูฏอลิบไดตอบตออับดุลมกุฏฏอลิบ “โอบิดา สําหรับมุฮัมมัดแลวไมจําเปนตอ งสั่งเสียใด อีกแลว เพราะวาเขาคือลูกของฮันคนหนง่ึ และเขากค็ ือลกู ของพ่ชี ายของฉนั ” เปนไปไดจากชวงเวลาหนึ่งท่ีบทบาทของอบูฏอลิบตองปดฉากลงทานศาสดาไดระลึกถึง เหตุการณท่ขี มขืน่ และหวานช่นื (ชวงที่อบฏู อลิบยงั มีอยู) ไดก ลาวกับตัวเองวา ๑) บุคคลท่ียิ่งใหญน้ีไดลวงลับ คือลุงของฉันที่มีเปยมไปดวยความเมตตา ซ่ึงทานไดอยู รวมกับเราในชว งทเี่ ราถูกปดลอมเศรษฐกิจในตําบลชิอฺบุอบีฏอลิบ ซ่ึงทานไดปลุกฉันจากที่นอนให ต่ืน และไดจับมือฉันและทานยังไดเตรียมท่ีนอนใหฉันไดพักผอนอยางสบาย และทานยังไดใหลูก ของทานคืออะลีมานอนที่นอนกับฉัน ทานมีทัศนะยูอยางหนึ่งวา เมื่อไหรท ี่เห็นพวกกุเรชจะทําลาย การนอนหลับของฉัน เขาจะมุงไปท่ีพวกกุเรชทันทีและสงอะลีมานอนอยูกับฉันทันที่เพื่อปกปอง แมกระทั่งคืนหนึ่งที่ลูกของเขาคืออะลี ไดกลาวกับบิดาของเขาวา โอบิดาท่ีรัก ในท่ีสุดแลวฉันคงจะ ไดนอนบนเตียงนน้ั สกั ครง้ั หนง่ึ เพ่ือจะถูกถูกสงั หาร “อบฏู อลบิ ไดตอบกับลุกชายวา “โอลูกรัก การ กระทําทุกอยางคือเครื่องหมายของผูมีปญญา ส่ิงมีชีวิตทุกอยางตองตายท้ังนั้นแหละ ฉันขอมอบ ภารกจิ นใ้ี หก ับเจา ดแุ ล และจงรูวา ส่ิงที่ถูกทดสอบนั้นลําบากและทรมานยิ่ง เจาตองเสียสละดวยการ มีชีวิตอยูท่ีดี เพื่อจะไดดูแลลูกของฉัน (มุฮัมมัด)” และทานอบูฏอลิบไดพุดกับลุกของทานคืออิ มามอะลีดวยคําพูดที่ไพเราะ และใหถือวาคามตายที่ไดอยูเคียงบาเคียงไหลปกปองศาสดา นั่นคือ ความภาคภูมิใจ 2) นี่คือรางท่ีไรว ญิ ญาณผูนี้ คือรา งของลุงของฉนั ทรงเกยี รติย่ิง

และเปน ผูรกั ษาสัญญาน้นั ซึ่งเขาไดย ืนหยดั ปกปองฉนั ถงึ สามปใ น (การปด ลอมเศรษฐกิจ) เขาไดละ ท้ิงความสุขและการอยูอยางสุขสบายกับลูกๆของเขา เขาส่ังใหทุกคนดุแลฉันเม่ือฉัน เขาไดละทิ้ง ตําแหนงความเปนผูยิ่งใหญท้ังหมด คือท้ังหมดของตําแหนงทางโลกไดหมดไปจากตัวเขา และเขา ไดดแู ลฉนั และยังไดสงสาสนท่ีทรงพลังใหพวกกุเรช โดยประกาศใหพวกกุเรชรูวา“เปนไปไมไดท่ี ฉันจะละท้ิงการดูแลเขา(มุฮัมมดั )” คาํ พูดของอบูฏอลบิ ดงั นี้ “โอศัตรูทั้งหลายของมุฮัมมัดพวกเจาอยาคิดเลยวา เราจะปลอยใหมุฮัมมัด(อยูอยางโดด เดียว)ไม เขาจะอยูภายใตวงลอมของเรา และจะอยูกับเราอยางมีเกียรติ และมุฮัมมัดจะถูกปกปอง ดวยอํานาจทรงพลังของบนีฮาชิม” เมื่อความตายของอบูฏอลิบไดอุบัติขึ้น เสียงรอง เสียงรํ่าไหไดดังข้ึนมาจากบานอบูฏอลิบ ไดมีทงั้ มติ รและศตั รไู ดอยูรอบๆบา นของอบฏู อลิบและไดรว มฝง ศพอบูฏอลิบกันทั่วหนา บางตวั อยางจากความดีงามของอบูฏอลบิ ในประวัติศาสตรไดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความดีและความเมตตาของอบูฏอลิบไวอยาง เดนชัด ซึ่งไดเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ทานนั้นจะมีจุดยืนหางจากเปาหมายที่เปนวัตถุหรือทรัพยสิน เงนิ ทอง แตทวาไฟแหงความเมตตาและความดีของทานอบูฏอลิบไดตั้งอยูบนพ้ืนฐานที่มีความอี หมานและความบริสุทธิ์ตอการดําเนินชีวิตท่ีดีและความสมบูรณทางดานจิตวิญญาณเกิดขึ้นในตัว ของเขา ดวยกับส่ิงนี้ก็จะจบไปอยางงายๆหรือจบไปเร็ว และดวยกับความดีน้ันก็จะไมสามารถ ทาํ ลายใหหมดไปได แนนอนความเมตตาท่ีอบูฏอลิบ มีตอมุฮัมมัด สามารถวิเคราะหไดสองประเด็นคือ ความอี หรานความสรัทธาของทานอบูฏอลิบ ที่มีตอทานศาสดาซ่ึงถือวาเปนมนุษยที่สมบูรณ และยังเปส หลานของทา นอีกดวยและถอื วาทานศาสดาเปน ลูกของทานคนหนง่ึ จึงมคี วามรักเปน พเิ ศษขึน้ อีก

ทานอบูฏอลิบไดมีความศรัทธาท่ีสะอาดที่จิตใจของทานมีความสะอาดตอทานศาสดา ในชวงเหตุการณท่ีแหงแลง ทานอบูฏอลิบยังไดพาทานศาสดาไปยังสถานท่ีนมาซ และไดมีการ สาบานตอพระเจาในตําแหนงของทานศาสดา แตในทามกลางประชาชนไมไดเห็นภาพเชนนี้ และ ประชาชนไดหางจากความเมตตาน้ัน แมแตทานไดดุอาขอฝน ดุอาของทานไดถูกตอบรับซ่ึงเรื่อง ตําราประวัติศาสตรไดบ ันทึกเรอื่ งนีไ้ วอ ยา งนาทึ้งทีเดยี วดงั นี้ “ในปหนึ่งของชาวมักกะฮฺและประชาชนรอบมักกะฮฺไดรับความแหงแลงที่แปลก ประหลาดมาก ไมมีฝนตกจากฝากฟา และพ้ืนดินแหงแลงพวกกุเรชทุกคนทุกสายตาไดเพงมอง มายังทานอบูฏอลิบ และไดขอรองตอทานอบูฏอลิบอยางจริงใจใหทานไปยังสถานที่นมาซ และให ทา นขอพรจากพระเจาเพื่อใหฝนตกลงมา ดังน้ันทานอบูฏอลิบไดจูงมือมักกะฮฺไปดวยในขณะท่ีอายุ ของทา นศาสดายงั เยาววัย ไดไปแตะท่ตี วั อาคารของกะอฺบะฮฺ และไดยกมอื ข้ึนเงยบนทอ งฟากลา ววา “โอพระผูอภิบาลผูทรงเมตตา ดวยสิทธิ์ของเด็กนอยผูน้ี(ซ่ึงทานไดช้ีไปยังทานศาสดา)ไดโปรด ประทานนํ้าฝนใหกับพวกเราดวยเถิด อยาใหพวกเราไดรับทรมานและความรอนระอุตอไปนี้อีก เลย” บรรดานกั ประวัติศาสตรไดร ับความเห็นเปนเอกฉันทในเร่อื งน้ีวา “ทานอบูฏอลิบในขณะท่ี ไดขอฝนจากพระผูเปนเจา ในทองฟาไมมีเมฆมืดเลยสักกอน แตผานไปไมนาน จะเห็นกลุมเมฆได เคลื่อนกันเขามาเปนกอน และไดปกคลุมดวยเมฆทั่วทองฟาของมักกะฮฺ และไดเกดเสียงฟารอง ฟา แล็บ ฟาฝา น้ําฝนไดตกลงมาอยางไมขาดคิดทั่วท้ังเมืองมักกะฮฺและสถานที่ไกลเคียง ทําใหทุกคน พอใจและมคี วามสขุ กันทัว่ หนา ทา นอบฏู อลิบไดก ลา วบทกวสี รรเสรญิ (๑๗๘) ทานอบูฏอลิบไดมีความลําบากใจและทรมานที่สุดของชวงที่ทานมีชีวิตคือเรื่องของการ ขอรองชาวกุเรชใหนําตัวศาสดามุฮัมมัดใหแกพวกเขา ซ่ึงทานอบูฏอลิบไดรําพันเรื่องนี้เปนบทกวี ดังที่ทานอิบนุฮิชามไดกลาวไวในหนังสือ” เลม ๒ หนา ๒๘๖ เขาไดนําบทกวีและบทรําพันมา บนั ทกึ ไวถึงส่ีบท ในขณะที่อบิ นกุ ะษีร ไดนําลทกวมี าบนั ทึกไวแค

เพยี งสองบท ในหนังสือประวัติศาสตร ของเขา เลม ๓ หนา ๕๒ – ๕๗ และบลกวีของอบูฏอลบิ นั้น มีความไพเราะนา ฟงมาก บางคนถึงกับกลาววามีความไพเราะมากกวาบทกวีของอาหรับในยุคกอน เสยี อกี ไดมีนักเขียนชื่อ อบูฮัฟฟานอับดีไดรวบรวมบทกวีของทานอบูฏอลิบไวในนามของ ดี วานอบูฏอลบิ ถึงสร่ี อ ยยส่ี บิ เอ็ดบท และหนงบทกวีท่ีนาทึ่งคือเหตุการณณการขอดุอาอขอฝน โดยท่ี ทานไดนําศาสดาไปดวย ซ่ึงไดชี้ใหเห็นถึงความศรัทธาของอบูฏอลิบที่มีตอศาสดาและทานยังได กลา วถงึ รศั มีของศาสดามฮุ มั มัดอีกดว ย. มุมหนงึ่ ของการเสยี สละของอบฏู อลิบ บรรดาผูหนาเผาชาวกุเรช ไดมารวมตัวประชุมกันท่ีบานของอบูฏอลิบ ซ่ึงในคร้ังนั้นทาน ศาสดาอยูด ว ย ทา นอบฏู อลบิ ไดกลา วโตต อบพวกกุเรชในการปกปอ งทา นศาสดา อยงหนักแนน ทําใหหัวหนาของพวกกุเรชตองลุกออกจากบานไปท้ังๆท่ียังไมไดผลสรุปของการ เจรจา ทาํ ใหทานอุกบะฮฺ บนิ อบีมุอีฎ ไดพูดข้ึนเสียงดังวา “ ปลอยใหอบูฏอเล็บอยูสภาพอยา งน้ันไป เถอะ เตือนขอเสนอแนะของเราไมมีผลอะไรหรอก ดังน้ันจําเปนตองฆามุฮัมมัดเสีย เพื่อจะใหทุกๆ อยางจะไดจ บลง” เมอื่ อบฏู อลิบไดย ินประโยคน้ัน ทานโมโหอยางหนัก แตจะทําอยางไรได พวกกุเรชที่มาคือ แขกของทาน ทานศาสดาจึงออกจากบานอบูฏอลิบทันที และไมกลับมาบานอีก ไดเดินไปทาง ตะวนั ตก และบันดาลุงของทานศาสดาไดมุงไปยังอบฏู อลิบ แตไมมีรอยรอยของทานศาสดา ทันใด น้ันอบูฏอลิบ ไดพูดถึงคําพูดของอุกบะฮฺ เขาไดพูดกับตัวเองวา แนนอนพวกกุเรชตองไปฆาหลาน ของฉันอยางแนน อน ดวยกับความคิดเชนน้ัน อบูฏอลิบจึงกลาววา ถาเปนเชนนั้นฉันจะลางแคนกับฟรอูนแหง มักกะฮฺ เขาจึงเชิญลูกหลานของบนีฮาชิมและอับดุลมุฏฏอลิบมา และไดส่ังใหทุกคนเตรียมอาวุธให พรอม โดยซอนไวใตเส้ือและเขาไปมัสญิดฮะรอมพรอมกัน โดยใหแตละคนไปนั่งประกบกับ หัวหนา

ของพวกกุเรช และเมือไดยนิ เสียงของทานอบูฏอลิบท่ีวา “โอพวกกุเรชเราตองการมุฮัมมัดคืน” ให ทุกคนลุกข้ึนมาจากสถานที่ของตนทันที และใหสังหารคนที่น่ังอยูใกล จนกระท่ังพวกเขาถูกฆา ท้ังหมด” ทานอบูฏอลิบไดเตรียมพรอมจะปฏิบัติการทันใดที่ทานซัยด บินฮาริษะฮฺ ไดเขามาในบาน ไดเห็นบนฮี าชิมเตรียมพรอมกันทุกคน ดวยความแลกใจมาก ไมกลาจะปริปากพูดอะไร จึงกลาววา ไมมีใครพบมุฮัมมัดเลยหรือ? ในขณะเดียวกันท่ีศาสดาไดทําการเผยแพรศาสนาท่ีบานมุสลิม คน หนึ่งมีคนว่ิงไปสงขาวใหทานศาสดารู ทานไดรับขาวถึงการตัดสินใจที่เปนอันตรายของอบูฏอลิบ ดังนน้ั ทา นไดร บี ขีม่ า มายังบา นทนั ที ดวงตาของอบูฏอลิบได มองมายังศาสดาอยางเปน หว ง ถึงกบั นํ้าตาไหลจากนั้นทานอบูฏอลิบกลาววา “เจาไปไหนมาโอหลานรัก เจาสบายดีหรือเปลา?” ทาน ศาสดาไดต อบลงุ ของทานวา “ไมม ีใครไดรบั การกดข่ีหรือทาํ รายเลย” ตลอดท้ังคืนอบูฏอลิบไดครุนคิดวา ต้ังแตพรุงน้ีเปนตนไปขาจะไมใหมุฮัมมัดเปนเปาของ ศัตรูอยางเด็ดขาด แตทวาพวกกุเรชตราบเทาที่ยังไมไดฆามุฮัมมัด พวกเขาจะไมหยุดแน ดัง นั้นอบูฏอลิบจึงตัดสินใจวาพรุงน้ีจะเขาไปรวมกลุมประชุมกับชาวกุเรช ที่มัสญิดฮะรอม พรอมกับ นําเด็กหนุมบนีฮาชิมและลูกหลานของอับดุลมุฏฏอลิบไปดวย พรอมจะประกาศใหพวกกุเรชรูถึง การตัดสินใจของลูกหลานอับดุลมุฏฏอลิบ เพ่ือพวกน้ันจะไดรูสํานึกเสียบาง จะไดลมเลิกการ วางแผนสังหารทานศาสดา เมื่อแสงอาทิตยคลอยลง เปนเวลาที่ชาวกุเรชจะมารวมตัวกัน จึงเดินไป ยังสถานที่ชุมนุมในขณะนั้นการพูดคุยยังไมไดเริ่มข้ึนชาวกุเรชเห็นใบหนาของอบูฏอลิบมาแตไกล พรอมเด็กหนุมลูกหลานของอับดุลมุฏฏอลิบรวมมาดวย พวกกุเรชไดเปดทางใหกับบนีฮาชิม และ เฝามองดุวา อบูฏอลิบจะพดู อะไร? และมาเพื่ออะไร? อบูฏอลิบไดยินตอหนาฝูงชนชาวกุเรชแลวกลาววา “เมื่อวานมุฮัมมัดไดหายไปจากสายตา เราหลายช่ัวโมง ขาคิดวาพวกเจาจะปฏิบัติตาม คําพูดของอุกบะฮฺและจะฆามุฮัมมัด ดังน้ันเราได ตัดสินใจพรอมกับเด็กหนุมเหลานี้จะเขามายังมัสญิด และขายงั ไดส่ังใหแตละคนไปนั่งใกลกับพวก ทา น

เม่ือใดท่ีเสียงของขาไดดังข้ึน พวกเด็กหนุมจะลุกขึ้น และฆาพวกเจาทันทีดวยกับดาบที่ซอนมาใต เส้ือ แตทวาโชคดีที่มุฮัมมัดยังมีชีวิตอยูและเขาไดรับการกล่ันแกลงจากพวกเจาแตอยางใด หลังจาก น้ันขาไดส่ังใหเด็กหนุมเหลานั้นปลดอาวุธ และขาจะขอพุดแคนี้และขอกลาวคําสุดทายวาขอ สาบานตอพระเจา ถาพวดเจา ฆา มุฮมั มดั ขาจะไมใหพวกเจามีชีวิตเหลือสักคน และขาจะทําสงคราม กบั พวกเจาจนชีวิตจะหาไม. ...” โอผ อู านทีเ่ คารพ ถาหาดทา นไดพ จิ ารณาเรื่องรางในหนาประวตั ศิ าสตรเรื่อง ชีวประวัติของ ทานอบูฏอลิบทานจะพบวาทานอบูฏอลิบไดชวยเหลือปกปองทานศาสดาเปนเวลาถึงสี่สิบสองป โดยเฉพาะอยางยิ่งสิบปสุดทายของชีวิตอบูฏอลิบ ซึ่งตรงกับชวงแตงต้ังศาสดา มุฮัมมัด(มับอัษ)ได แสดงใหเห็นถึงความเสียสละและการอุทิศตนในการชวยเหลือ ทานศาสดาซึ่งถือไดวาเปนปจจัย สําคัญอันหน่ึงที่ทําใหทานศาสดามีความมั่นคงและเขมแข็งสามารถยืนหยัดอยูได ซึ่งดวยกับพลัง แหงศรัทธาและอิหมานของอบูฏอลิบท่ีมีตอตําแหนงศาสดาและเปนการศาสดาของมุฮัมมัดถานํา การเสียสละและความชวยเหลือของทานอะลี ซึ่งเปนบุตรมารวมกับผูเปนบิดาท่ีมีตอทานศาสดา มุฮัมมัดแลวพบวา บทกวีท่ีทานอิบนิอะบิลฮะดีดไดนํามาบันทึกไวชางย่ิงใหญและเปนจริงเสีย เหลอื เกนิ ซง่ึ ขอนาํ บทกวนี ้นั มากลา วบางบทดังน้ี หากไรอ บูฏอลบิ กับบุตรแลวไซร ก็จะไรศ าสนาเชนศาสดาท่ยี นื เดน น่นั มกั กะฮเฺ ขาปกปอ งเกือ้ หนุนอยางชดั เจน ยัษรบิ นีก้ ็เหน็ ลูกชายยอมตายแทน(๑๗๙) หลกั ฐานความมีศรทั ธาของอบูฏอลิบ สามารถจะวิเคราะหแ นวคดิ และความเชอื่ ของคนใดคนหนง่ึ ดวยสามวิธีดังน้ี ๑.วิเคราะหผ ลงานทางดา นวิชาการทไี่ ดจารกึ ไว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook