Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-09 03:54:34

Description: ประวัติท่านศาสดามุฮำมัด(ศ)แบบละเอียด

Search

Read the Text Version

เชงิ อรรถ (๑) อัลกะอฺบะฮฺ หรือ กะอฺบะฮฺ คือ อาคารทรงส่ีเหล่ียม ต้ังอยูในมัสญิดอัลฮะรอม เมืองมักกะฮฺ ประเทศซาอุดอิ ารเบีย เปน ชุมทศิ สาํ หรบั การประกอบพิธกี รรมทางศาสนา (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) อะอลฺ ามุลวะรอ หนา ๓๕-๔๐, บิฮารุลอันวาร เลม ๑๙ หนา ๘-๑๑. (๑๔) (๑๕) นะฮฺุล บะลาเฆาะฮฺ คฏุ บะฮทฺ ่ี ๒๖ (๑๖) กิยามะฮฺ คือ วนั แหงการตดั สินความของพระเจา ในโลกหนา (๑๗) จาก ซูเราะฮอฺ ัตตกั ว้ัร อายะฮฺ ท่ี ๘ (๑๘) หมายถึงกลุมบุคคลท่ีอยูที่เมืองมะดีนะฮฺมากอนที่ทานศาสดา (ศ.) จะอพยพเขามา และทํา หนา ทีช่ วยเหลอื และปกปอ งทาน (๑๙) อิบนุอะษ้ีร รายงานไวในหนังสอื อะซะดลุ ฆ็อยบะฮฺ ในหมวด ก็อยซฺ วาทานศาสดาไดถามเขา วา “เจาไดฝง ลูกผหู ญงิ ไปกค่ี นแลว ” เขาตอบวา “๑๒

คนแลวครับ” เร่ืองราวนี้มีการกลาวไวในหนังสือ ฮะยาตุมุฮัมมัด เขียนโดย มุฮัมมัดอะลี ซาลิมีน หนา ๒๔-๒๕. (๒๐) หมายถึง คัมภีรของศาสนาอิสลาม ซึ่งไดรับการประทานลงมาจากพระเจาในคัมภีรเลมน้ี ประกอบไปดวยหลักธรรมคําสอนอันสําคัญของอิสลามซึ่งจําเปนท่ีมุสลิมทุกคนตองปฏิบัติ หรือ กลาวอกี นัยหนึง่ คือ อัลกรุ อานคอื ธรรมนูญสาํ หรับการดําเนินชวี ิตของมุสลมิ ทกุ คน (๒๑) จาก อลั อะอฺรอฟ / ๑๕๗ (๒๒) หมายถึง ยุคสมัยของชาวอาหรับกอนการปรากฏของศาสนาอิสลามซ่ึงในยุคน้ันจะเต็มไป ดว ยความอวิชชา และความสกปรกโสมมทั้งจติ วญิ ญาณและความเชอ่ื (๒๓) บิฮารลุ อันวา ร เลม ๒๒ หนา ๑๕๕. (๒๔) บิฮารลุ อนั วา ร เลม ๑๕ หนา ๓๙๒ (๒๕) เขียนโดย มฮุ มั มดั อาลซู ี เลม ๒ หนา ๒๘๖-๓๖๙ (๒๖) ตะฮฟุ ฟุลอกุ ลู หนา ๒๕ และ ซีเราะฮฺอบิ นฮิ ิชาม เลม ๓ หนา ๔๑๒. (๒๗) ซีเราะฮฺอบิ นฮิ ชิ าม เลม ๓ หนา ๔๑๒. (๒๘) อตั ตาจญ เลม ๓ หนา ๑๗๘. (๒๙) อตั ตาจญ เลม ๓ หนา ๑๗๙. (๓๐) อตั ตาจญ เลม ๓ หนา ๑๘๔. (๓๑) ฟุตฮู ุล บลุ ดาน ของ อะบุลฮะซันบะลาซะรี หนา ๔๕๘-๔๕๙. (๓๒) เพื่อทําความรูจักกับแนวความเชื่อ วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และชนเผาอาหรับไดดี ยิ่งขึ้น โปรดอานหนังสือสองเลมน้ีคือ ๑. บุลูฆุลอั้รบิฟมะอฺริฟะตอะฮิวาล้ิลอะร็อบ เขียนโดย มุฮัม มัดอาลูซี เสียชีวิตป ฮ.ศ. ๑๒๗๐ และ ๒. อัลมุฟศิ้ล ฟตารีคิ้ลอะร็อบ ก็อบล้ัลอิสลาม ของ ศ.ญะ วาดอะลี หนงั สือเลม น้ีมี ๑๐ เลม ครอบคลมุ เรือ่ งราวของชาวอาหรับไวท ง้ั หมด (๓๓) เตาฮีด คอื หลักความเชอื่ ในเรอื่ งความเปน เอกะของพระเจาซ่ึงเปนหลักความเชื่อที่สําคัญท่ีสุด ของศาสนาอิสลาม, วรี บุรษุ เตาฮดี หมายถึง บคุ คลท่ียอมพลตี นเพื่อสถาปนาความเช่ือนี้อยางแนวแน มน่ั คง.

(๓๔) นามานุกรมคัมภีร หมวด บาบลุ (๓๕) จาก อัลอะอรฺ อฟ / ๑๒๕. (๓๖) จาก อันนาซิอาต / ๒๔. (๓๗) จาก อลั กอศ็อศ / ๓๘. (๓๘) ตัฟซร้ี บรุ ฮาน เลม ๑ หนา ๕๓๕. (๓๙) เร่ืองราวของทานนบีอิบรอฮีม (อ.) สามารถทําความเขาใจไดจาก อัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอันบิ ยาอ อายะฮฺที่ ๕๑-๗๐ และอานเร่ืองราวของทานไดจากการบันทึกของนักบันทึกประวัติศาสตรใน หนงั สือ อลั กามิ้ล ของอิบนกุ ะษ้รี หนา ๕๓-๖๒ และ บิฮารลุ อนั วาร เลม ๑๒ หนา ๑๔-๕๕. (๔๐) คือ การอพยพ และเมื่อกลา วถงึ การฮิจญเราะฮขฺ องทานศาสดามฮุ ัมมัด (ศ.) หมายถึง การอพยพ จากเมืองมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ เมื่อไดรับการบีบค้ันและการตอตานจากประชาชนชาวมักกะฮฺ เพือ่ ธํารงไวซ่ึงหลักความเช่ือและการปฏบิ ัติ (๔๑) ซะอดฺ ุซซะอดู หนา ๔๑-๔๒ และบฮิ ารลุ อนั วาร เลม ๑๒ หนา ๑๑๘. (๔๒) (๔๓) คือ ตานาํ้ ท่ผี ดุ ข้ึนมาในสมัยของทานศาสดาอิบรอฮมี (อ.) ปจจุบันอยูภายในบรเิ วณมัสญิดอัล ฮะรอม เมอื งมกั กะฮ.ฺ (๔๔) ตฟั ซี้รกมุ มี หนา ๕๒ และบิฮารุลอันวา ร เลม ๑๒ หนา ๑๐๐. (๔๕) บิฮารลุ อันวา ร เลม ๑๒ หนา ๑๑๒, รายงานจากหนงั สอื กิศอ ศลุ อันบิยาอ. (๔๖) (๔๗) (๔๘) กามลิ้ อิบนอุ ะษ้รี เลม ๒ หนา ๑ และ ๒๑. (๔๙) ซเี ราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๒๖. (๕๐) อิบนุอะษี้รไดกลาวถึงเรื่องราวของพวกเขาไวในหนังสือ กาม้ิล ของเขา, ดูท่ี เลม ๒ หนา ๑๕- ๒๑. (๕๑) คณะผูดูแลอัลกะอฺบะฮฺนี้เพ่ิงจะมามีกันในยุคกอนการประกาศศาสนาอิสลามเล็กนอย อัน เนื่องจากความเหมาะสมบางประการ โดยคณะผูดูแลนี้

ประกอบดวยกลุมบุคคลที่ทําหนาที่ ๔ กลุมดวยกัน คือ ๑. ผูถือกุญแจ ๒. ผูเตรียมนํ้าเพือ่ การบริการ ผูมาแสวงบุญ ๓. ผูเตรียมอาหารเพ่ือการบริการผูมาแสวงบุญ ๔. คณะหัวหนาผูปกครอง คณะผู อาวโุ ส และผบู ญั ชาการทหารซ่งึ ในกลุมหลังนี้ไมเ กีย่ วขอ งกบั หลกั การศาสนา. (๕๒) ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๓. (๕๓) ซเี ราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๖-๗. (๕๔) กามลิ้ อบิ นุอะษร้ี เลม ๒ หนา ๑๐. (๕๕) กาม้ิลอิบนุอะษ้ีร เลม ๒ หนา ๖, ตารีคฏอบะรี เลม ๒ หนา ๘-๙ และซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๘. (๕๖) ซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๔. (๕๗) เร่ืองราวที่ยกมากลา วนี้เปน เรอ่ื งราวที่ไดรับการบันทึก โดยนักบันทึกประวัติศาสตรสวนใหญ ทยี่ กมากลาวเพยี งสงั เขปนก้ี ็เพ่อื ยืนยันถึงจิตวิญญาณอนั แขง็ แกรงและความมงุ มัน่ ของทานอบูฏอลิบ ทรี่ กั ษาคํามั่นสัญญาอยางท่ีสดุ (๕๘) ซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๑๕๓ และบิฮารุลอันวาร เลม ๑๖ หนา ๙-๗๔. มีรายงานคําพูด ของทานศาสดาท่ีวา “ฉันคือบุตรของผูถูกเชือดทั้งสอง” ซ่ึงทานหมายถึงทานนบีอิซมาอีลและทาน อบั ดุลลอฮบฺ ิดาของทานนัน่ เอง. (๕๙) ตารีคฏอบะรี เลม ๒ หนา ๗-๘ และซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๕๙. (๖๐) จาก ซเู ราะฮฏฺ อฮา อายะฮฺท่ี ๔๑-๔๓. (๖๑) จาก ซูเราะฮมฺ รั ยมั อายะฮทฺ ่ี ๑๙-๓๒. (๖๒) ตารีคยะอฺกูบี เลม ๒ หนา ๕, บิฮารุลอันวาร เลม ๑๕ หนา ๒๔๘ และซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๖๔. (๖๓) ซีเราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๙๓. (๖๔) ซีเราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๙๗. (๖๕) จากหนังสือ อินซานุลอุยนู ฟซ ีรอ ตล้ิ อะมีนวิ ล้ั มะอม ุน เลม ๑ หนา ๙๓-๑๐๐. (๖๖) บฮิ ารุลอันวาร เลม ๑๕ หนา ๓๘๔ และมะนากบิ ของ อบิ นุซะฮรฺ อิ าซบู เลม ๑ หนา ๑๑๙.

(๖๗) ซีเราะฮอฺ บิ นุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๖๒-๑๖๓. (๖๘) ซีเราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๑๐๖. (๖๙) บฮิ ารลุ อันวาร เลม ๑๕ หนา ๓๔๕. (๗๐) มะนากิบ ของ อิบนชุ ะฮฺริอาชูบ เลม ๑ หนา ๒๔. (๗๑) (๗๒) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๖๗. (๗๓) เคยมอี าคารซึง่ ครอบหลมุ ฝงศพของทานอับดุลลอฮฺอยูในบริเวณน้ัน แตเมื่อมีการขยายบริเวณ มัสญิดอนั นะบีออกไป ทําใหเ ปนขออา งตองทําลายอาคารหลงั นั้นทิง้ . (๗๔) ซเี ราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๑๒๕. (๗๕) ซีเราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๑๖๘. (๗๖) จาก ซูเราะฮอฺ ฎั ฎฮา อายะฮทฺ ี่ ๖. (๗๗) ยะอกฺ ูบีไดกลาวถึงอัตชีวประวัติของทานอะบูฏอลิบ ในหนังสือประวัติศาสตรของเขา เลม ๒ หนา ๗-๘ และบอกวา เขาเปนผูเคารพภักดีในพระเจาองคเดียว มิใชผูบูชาเจว็ด อีกทั้งการกระทํา ของทานหลายอยางทีถ่ กู นํามาเปน หลกั การปฏิบัตขิ องอสิ ลาม. (๗๘) เหตุการณใ นปท่ี ๑๐ แหง ฮิจญเ ราะฮฺศกั ราช. (๗๙) ซีเราะฮฺอิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๑๗๙. (๘๐) ทา นอบฏู อลิบไดข ับลาํ นําเลาเรือ่ งการเดนิ ทางของทานคร้ังน้ีหาอานไดจากตารีคอิบนุอะซากิ้ร เลม ๑ หนา ๒๖๙-๒๗๒ และดีวานอะบูฏอลบิ หนา ๓๓-๓๕. (๘๑) ตารีคฏอบะรี เลม ๑ หนา ๓๓-๓๔ และซีเราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๘๐-๑๘๓. มีรายงาน มากกวาทย่ี กมากลาวไว. (๘๒) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๙๔. (๘๓)

(๘๔) ซเี ราะฮอฺ ิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๘๖. (๘๕) (๘๖) ซะฟน ะตุลบฮิ า ร หมวด นูน-บา-ยา (๘๗) (๘๘) นักบันทึกประวัติศาสตรบางคน เชน ฮะละบี เชื่อตามคํากลาวของผูแตงฟตฮุลบารีในการ อธบิ ายถงึ ปรัชญาของเร่ืองดังกลา ว แตไ มอาจนํามาอางองิ ทางวิชาการได. (๘๙) บฮิ ารลุ อนั วาร เลม ๑๖ หนา ๒๒. (๙๐) ซีเราะฮฺอิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๑๕๘. (๙๑) (๙๒) ขอความของฮะดษี บทนคี้ ือ (๙๓) ตารคี ยะอกฺ ูบี เลม ๒ หนา ๑๖. (๙๔) อลั คอ รออจิ ญ หนา ๑๘๖ และ บฮิ ารุล อนั วา ร เลม ๑๖ หนา ๔. (๙๕) ฏอบะกอตกบุ รอ เลม ๑ หนา ๑๓๐. (๙๖) บิฮารลุ อนั วาร เลม ๑๖ หนา ๑๘. (๙๗) จากนะฮฺ ลุ บะลาเฆาะฮฺ คุฏบะฮฺ กอศอิ ะฮฺ (๙๘) จาก อุซะดุลฆอบะฮฺ หมวด อะฟฟ (๙๙) ซีเราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๒๖. (๑๐๐) บฮิ ารลุ อนั วาร เลม ๑๖ หนา ๑๙. (๑๐๑) บิฮารลุ อันวา ร เลม ๖ หนา ๑๐๔. (๑๐๒) ซีเราะฮอฺ บิ นุฮิชาม เลม ๑ หนา ๒๐๔. (๑๐๓) บดิ าของทานหญงิ คอ ดญี ะฮฺ (คุวยั ลดิ บนิ อะซัด) เสียชีวติ ในสงคราม

ฟุจญญาร อาของทานหญิงจึงรับหนาที่เปนตัวแทนอานสัญญาสมรส (วะก้ีล) ดังนั้น ท่ีนักบันทึก ประวตั ศิ าสตรบางคนกลา ววา ควุ ยั ลดิ รสู กึ ไมพ อใจตอ การสมรสในคร้งั น้ี แตก ็ไดรับการคะย้ันคะยอ จากทา นหญิง จงึ ตองยินยอมในที่สุดน้ัน จงึ ไมมมี ูลความจรงิ . (๑๐๔) มะนากิบ เลม ๑ หนา ๓๐ และ บฮิ ารุลอนั วาร เลม ๑๖ หนา ๑๖. (๑๐๕) ที่เขาใจวา วะรอเกาะฮฺ เปนอาของทานหญิงคอดีญะฮฺ นาจะไมถูกตองเพราะทานหญิงเปน บุตรีของคุวัยลิด บุตรของอะซัด แตวะรอเกาะฮฺเปนบุตรของเนาฟล บุตรของอะซัด ฉะนั้น เขาท้ัง สองนาจะเปน ลกู ผพู ีล่ ูกผูน องกนั ไมใ ชอ ากบั หลาน. (๑๐๖) ซเี ราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๑๒๓. (๑๐๗) มะนากิบอิบนิชะฮฺริอาชูบ เลม ๑ หนา ๑๔๐, ก็อรบุลอัซนาด หนา ๖ และ ๗, อัลคิศอล เลม ๒ หนา ๓๗ และบิฮารุลอันวาร เลม ๒๒ หนา ๑๕๑-๑๕๒. แตบางคนกลาววา ทานศาสดา (ศ.) มี ลูกชายมากกวาสองคน ดูไดจากตารีคฏอบะรี เลม ๒ หนา ๓๕ และบิฮารุลอันวาร เลม ๒๒ หนา ๑๖๖. (๑๐๘) อะมาลี หนา ๒๔๗. (๑๐๙) อลั อศิ อบะฮฺ เลม ๑ หนา ๕๔๕ และอุซะดุลฆอบะฮฺ เลม ๒ หนา ๒๒๔. (๑๑๐) มะกอติลุฏฏอลิบยี นี หนา ๒๖ และซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๒๓๖. (๑๑๑) นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ คฏุ บะฮฺที่ ๑๙๐. (๑๑๒) ตารคี ลุ คอมีซ เลม ๑ หนา ๒๕๘. (๑๑๓) นะฮฺลุ บะลาเฆาะฮฺ ของ มฮุ ัมมัด อบั ดฮุ ฺ คุฏบะฮทฺ ี่ ๑๙๐ และของฟย ฎอิสลาม หนา ๗๗๕. (๑๑๔) อางจากแหลงเดิม (๑๑๕) ศอ ฮฮี ฺบุคอรี เลม ๑ หมวด กิตาบลุ อ้ลิ มฺ และบิฮารลุ อนั วาร เลม ๑๘ หนา ๑๙๔. (๑๑๖) (๑๑๗) ซีเราะฮอฺ บิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๒๓๖, ศอฮฮี บฺ คุ อรี เลม ๑ หนา ๓,

ฮะดีษท่ียกมากลาวน้ีถือวาถูกตอง และการอธิบายฮะดีษที่ปรากฏในหนังสือ ดังกลาวไมอาจยอมรับ ได เราไดนาํ เรอ่ื งน้ีมาถกเถียงกนั ในหนงั สือ มะฟาฮีมลุ กุรอาน เลม ๓ สนใจสามารถหาอา นได. (๑๑๘) ซีเราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๒๔๐. (๑๑๙) บิฮารลุ อนั วา ร เลม ๑๖ หนา ๘. (๑๒๐) (๑๒๑) ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๒๔๕-๒๖๒. (๑๒๒) ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๖๑. (๑๒๓) บานหลังน้ีเคยอยูท่เี ชิงเขาศอ ฟา รูจ กั กันในนาม ดารคุ อ็ ยซะรอน จาก ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๒๖๓ และซีเราะฮฺอิบนฮุ ะละบี เลม ๑ หนา ๓๑๙. (๑๒๔) จาก ซูเราะฮฺอัชชุอะรอ อายะฮฺที่ ๒๑๔. (๑๒๕) จาก ซเี ราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๓๒๑ (๑๒๖) (๑๒๗) (๑๒๘) ตารีคฏอบะรี เลม ๒ หนา ๖๒-๖๓, มุซนัดอะฮฺมัด เลม ๑ หนา ๑๑๑ และช้ัรฮุนะฮฺุลบะลา เฆาะฮฺ ของ อิบนุอะบิ้ลฮะดดี เลม ๑๓ หนา ๒๑๐-๒๒๑. (๑๒๙) จาก ซเี ราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๓๒๑ (๑๓๐)

(๑๓๑) ซเี ราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๒๖๕-๒๖๖. (๑๓๒) จาก ตารีคฏอบะรี เลม ๒ หนา ๖๗-๖๘, ซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๒๖๖-๒๖๗. (๑๓๓) (๑๓๔) (๑๓๕) (๑๓๖) ตารคี ฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๖๖-๖๗, ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๒๙๕-๒๙๖. (๑๓๗) ซเี ราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๓๑๓ และตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๗๒. (๑๓๘) กามิ้ล เลม ๓ หนา ๕๙. (๑๓๙) จาก ซีเราะฮอฺ ิบนุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๒๙๘-๒๙๙. (๑๔๐) บิฮารุลอันวา ร เลม ๑๘ หนา ๒๐๔. (๑๔๑) ซีเราะฮอฺ ิบนุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๓๑๘. (๑๔๒) ฏอบะกอต อบิ นซุ ะอดั เลม ๓ หนา ๓๓๓. (๑๔๓) กามล้ิ เลม ๒ หนา ๔๕. (๑๔๔) ซเี ราะฮฺอิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๓๒๐. (๑๔๕) ซเี ราะฮอฺ บิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๓๑๔. (๑๔๖) อุซะดุลฆอบะฮฺ เลม ๑ หนา ๓๐๑, อัลอิศอบะฮฺ เลม ๔ หนา ๖๔ และอัลอิซตีอาบ เลม ๔ หนา ๖๒. (๑๔๗) (๑๔๘) (๑๔๙) ฮล้ิ ยะตุลเอาลิยาอ เลม ๑ หนา ๑๕๘-๑๕๙, ฏอ บะกอต อิบนุซะอดั

เลม ๔ หนา ๒๒๕, อัลอิซตีอาบ เลม ๔ หนา ๖๓, อัลอิศอบะฮฺ เลม ๔ หนา ๖๔ และอัดดะรอญาดุล รอ ฟอ ะฮฺ หนา ๒๒๘. (๑๕๐) ฏอ บะกอต อิบนุซะอัด เลม ๔ หนา ๒๒๓. (๑๕๑) ฏอ บะกอต อิบนุซะอัด เลม ๔ หนา ๒๒๑-๒๒๒ และอัดดะรอญาตุลรอฟอะฮฺ หนา ๒๒๕- ๒๒๖ และ ๒๒๙-๒๓๐. (๑๕๒) จากซเู ราะฮฺยาซีน อายะฮฺที่ ๗๘-๗๙. (๑๕๓) ดไู ดจาก อซุ ะดุลฆอบะฮฺ, อลั อิศอบะฮ,ฺ อัลอซิ ตีอาบ และอน่ื ๆ. (๑๕๔) จากซูเราะฮฺอัซซุครฟุ อายะฮฺที่ ๓๒. (๑๕๕) ซีเราะฮฺอิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๓๖๑. (๑๕๖) (๑๕๗) (๑๕๘) (๑๕๙) จาก ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๗๐ และ ซีเราะฮอฺ ิบนุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๓๒๑. (๑๖๐) ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๗๐. (๑๖๑) กามิ้ล เลม ๒ หนา ๕๒-๕๓. (๑๖๒) สถานท่หี นึง่ อยูขา งอัลกะอบฺ ะฮฺ ซึง่ พวกกุเรชใชเพื่อการประชมุ . (๑๖๓) ซเี ราะฮอฺ บิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๓๓๘. (๑๖๔) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๓๖๙. (๑๖๕) ซเี ราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๓๗๑. (๑๖๖) ซีเราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๓๘๒-๓๙๒. อายะฮฺท่ี ๕๒-๕๕ ซูเราะฮฺอัลกอศ็อศ ถูก ประทานลงมาในเร่อื งนี้. (๑๖๗) ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๓๐๐-๓๐๑.

(๑๖๘) ซีเราะฮอฺ บิ นุฮิชาม เลม ๑ หนา ๒๗๐. (๑๖๙) (๑๗๐) (๑๗๑) (๑๗๒) (๑๗๓) ซีเราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๓๓๗. (๑๗๔) ซีเราะฮอฺ ิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๓๕๐, ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๗๘. สัญญาฉบับนีท้ าํ ข้ึนใน คืนแรกของปที่ ๗ แหงฮจิ ญเ ราะฮฺศักราช เมอื่ ทา นอบฏู อลบิ ทราบเรื่องการปดลอมทางเศรษฐกิจของ พวกกุเรช ทา นไดข ับลาํ นาํ ออกมาบทหนง่ึ คือ “พวกทานไมร ูดอกหรือวา ฉันนนั้ พบวา มุฮมั มัด คือศาสนทูตเฉกเชนมซู าดงั ทป่ี รากฏในคมั ภรี เ ดมิ ” (๑๗๕) ตารีคยะอกฺ ูบี เลม ๒ หนา ๑๙ และฏอบะกอต อิบนซุ ะอดั เลม ๑ หนา ๒๐๘ และ ๒๑๐. (๑๗๖) ซีเราะฮฺอบิ นฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๓๗๔-๓๘๐. (๑๗๗) มะฟาตฮี ลุ ฆ็อยบฺ หนา ๓๐. (๑๗๘) ซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๑ หนา ๑๒๕. (๑๗๙) (๑๘๐) มจั ญม ะอลุ บะยาน เลม ๗ หนา ๓๗ และมุซตดั รอ็ กฮากมิ เลม ๒ หนา ๖๒๓. (๑๘๑)-(๑๘๒) ดีวานอบฏู อลิบ หนา ๓๒ และซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๓๗๓. (๑๘๓) จาก ซเี ราะฮฮฺ ะละบี เลม ๑ หนา ๓๙๐ และตารคี ุล คอ มีซ เลม ๑ หนา

๓๓๙. (๑๘๔) จาก อฏั ฏอ รออฟิ ของ ซัยยิดอิบนฏุ อวูซ หนา ๘๕ (๑๘๕) ชรั ฮฺนะฮฺ ุล บะลาเฆาะฮฺ ของ อิบนุอะบ้ลิ ฮะดดี เลม ๑๔ หนา ๗๖. (๑๘๖) มัจญม ะอุลบะยาน เลม ๓ หนา ๓๙๕. (๑๘๗) สามารถสบื คนความหมายของ ซดิ รอ ตุล มนุ ตะฮา ไดจากตาํ ราอรรถาธิบายอลั กุรอาน (๑๘๘) อิบนุซะอัด เขียนใน ฏอบะกอต ของเขาวา ทานหญิงคอดีญะฮฺเสียชีวิตหลังจากอบูฏอลิบ ๑ เดอื น ๕ วัน แตม นี ักวิชาการบางกลุมบอกวานางเสียชวี ติ กอ นทา นอบฏู ิลิบ. (๑๘๙) ซเี ราะฮฺอบิ นฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๒๕. (๑๙๐) (๑๙๑) (๑๙๒) สถานท่ีท่อี ยูระหวา งเมืองฏออฟิ กับเมอื งมกั กะฮ.ฺ (๑๙๓) ฏอบะกอต อิบนุซะอัด เลม ๑ หนา ๒๑๐-๒๑๒ และอัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ เลม ๓ หนา ๑๓๗. (๑๙๔) ฏอบะกอต อิบนุซะอดั เลม ๑ หนา ๒๑๖ และซเี ราะฮอฺ บิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๔๒๒. (๑๙๕) ซีเราะฮฺอิบนุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๔๒๖. (๑๙๖) ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๘๖. (๑๙๗)

(๑๙๘) ซีเราะฮอฺ ิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๑๓๑. (๑๙๙) (๒๐๐) ซเี ราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๔๔๘-๔๕๐. (๒๐๑) อะอลฺ ามลุ วะรอ หนา ๓๗ และบฮิ ารลุ อนั วา ร เลม ๑๙ หนา ๑๐-๑๑. (๒๐๒) ฏอบะกอต อิบนซุ ะอัด เลม ๗ หนา ๒๑๐. (๒๐๓) จาก อัลอันฟา ล / ๓๐. (๒๐๔) ฏอ บะกอตกบุ รอ เลม ๑ หนา ๒๒๘ และตารีฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๐๐. (๒๐๕) ซีเราะฮฮฺ ะละบี เลม ๒ หนา ๓๒. (๒๐๖) อะอลฺ ามุล วะรอ หนา ๓๙ และบิฮารุล อันวา ร เลม ๑๙ หนา ๕๐. (๒๐๗) ตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๐๐. (๒๐๘) ฏอบะกอตกุบรอ เลม ๑ หนา ๒๒๙. (๒๐๙) มซุ นัดอะฮมฺ ดั อิบนิฮนั บล้ั เลม ๑ หนา ๘๗, กนั ซุลอุมมา ล เลม ๖ หนา ๔๐๗ และในหนังสือ อัลฆอดร้ี เลม ๒ หนา ๔๔-๔๕ ไดม ีการอธบิ ายในเรอ่ื งวา โองการดังกลาวถูกประทานลงมาในเรื่อง ของทานอมิ ามอะลี (อ.) (๒๑๐) กามิ้ล เลม ๒ หนา ๗๓. (๒๑๑) ซเี ราะฮอฺ ิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๔๙๑. (๒๑๒) ตารคี ฏอบะรี เลม ๒ หนา ๑๐๔. (๒๑๓) กามิ้ล เลม ๒ หนา ๗๔. (๒๑๔) นักบันทึกประวัติศาสตรสวนใหญ เชน อิบนุอะษ้ีร ใน กามิ้ล เลม ๒ หนา ๗๔ และมัจญลิซี ใน บิฮารุลอันวาร เลม ๑๙ หนา ๘๘ อางรายงานดังกลาวมาจากทานอิมามศอดิก (อ.) แตผูเขียน หนังสือ ฮะยาตุมุฮัมมัด เขียนวา ซะรอเกาะฮฺถือวาเหตุการณน้ีเปนลางราย โดยคิดวาพระเจาคงให พวกเขายับยั้งเรอ่ื งน้ีไว. (๒๑๕) บฮิ ารลุ อันวา ร เลม ๑๙ หนา ๗๕. (๒๑๖) (๒๑๗) หนา ๓๐๐.

(๒๑๘) (๒๑๙) จาก กาม้ิล เลม ๒ หนา ๗๕ (๒๒๐) อิมตาอลุ อซั มาอฺ เลม ๔๘ (๒๒๑) ตารีคฏอบะรี เลม ๑ หนา ๑๐๖. (๒๒๒) จาก อซุ ะดุล ฆอบะฮฺ เลม ๔ หนา ๙๙. (๒๒๓) (๒๒๔) (๒๒๕) (๒๒๖) บิฮารุลอันวาร เลม ๑๙ หนา ๑๐๘. แตมีบางคนกลาววา พวกเขาอยูในการอุปการะเล้ียงดู ของ มะอาซ บนิ อฟั รอ (๒๒๗) จาก บฮิ ารุลอนั วาร เลม ๑๙ หนา ๑๒๖ (๒๒๘) ซีเราะฮอฺ ิบนฮิ ชิ าม เลม ๑ หนา ๕๐๐ และ ๕๐๑, บฮิ ารลุ อนั วาร เลม ๑๙ หนา ๑๒๖. (๒๒๙) ศอ ฮีฮบฺ คุ อรี เลม ๑ กิตาบุล อลิ มฺ ศูนยกลางการเรียนรู ยายจากมัสญิดมาสูโรงเรียน แตก็มีการ สรางโรงเรียนใกลม ัสญิด อยางไรก็ตาม มนั ก็ยงั แสดงความผกู พนั ระหวา งศาสนากบั ความรู. (๒๓๐) (๒๓๑) ซีเราะฮฺอิบนิฮิชาม เลม ๑ หนา ๔๙๖, ตารีคุลคอมีซ เลม ๑ หนา ๓๔๕ และซีเราะฮฺฮะละบี เลม ๒ หนา ๗๖. (๒๓๒) ซเี ราะฮฮฺ ะละบี เลม ๒ หนา ๗๖-๗๗.

(๒๓๓) มซุ ตดั รอ็ กฮากมิ เลม ๓ หนา ๓๘๕. (๒๓๔) (๒๓๕) ซเี ราะฮอฺ บิ นุฮิชาม เลม ๒ หนา ๑๒๓-๑๒๖. (๒๓๖) (๒๓๗) (๒๓๘) ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ เลม ๑ หนา ๒๒๖. (๒๓๙) ตซั กริ อ ตลุ คอวาศ หนา ๔๖. (๒๔๐) มุเราวิ ุซซะฮับ เลม ๒ หนา ๒๘๗-๒๘๘. (๒๔๑) ฏอบะกอตอิบนุซะอัด เลม ๑ หนา ๒๔๑-๒๔๒, อะอฺลามุลวะรอลิเอียะลามิ้ลฮุดา หนา ๘๑- ๘๒. อบิ นฮุ ิชามกลาววา การเปลี่ยนทศิ กบิ ละฮฺนี้เรม่ิ ตนในชว งเดือนที่ ๑๘ หลังจากที่ทานศาสดาเดิน ทางเขามะดีนะฮฺ อิบนุอะษีรเชื่อวา เกิดข้ึนในเดือนชะอฺบาน ดู ซีเราะฮิอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๐๖ และ กามิ้ล เลม ๒ หนา ๘๐. (๒๔๒) (๒๔๓) (๒๔๔) จากซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺท่ี ๑๔๓, คําวา อีมาน (ความศรัทธา) ในประโยคนี้ ให หมายถงึ อะมล้ั (การงาน). (๒๔๕) ตฮุ ฟฺ ะตุล อะญะละฮฺ ฟม ะอริ ฟิ ะติ้ลกิบละฮฺ หนา ๗๑. (๒๔๖) มนั ลายะฮฺฎรฮุ ุล ฟะกฮี ฺ เลม ๑ หนา ๘๘. (๒๔๗) วะซาอลิ ุชชอี ะฮฺ เลม ๓ หนา ๒๑๘ บทที่วา ดว ยเรื่อง กิบละฮฺ มีการรายงานสภาพบรรยากาศ ในขณะทที่ า นศาสดานมาซแลวเปลยี่ นทศิ กิบละฮฺ. (๒๔๘) บิฮารุลอนั วาร เลม ๑๙ หนา ๒๑๗. (๒๔๙) จาก มะฆอซี วากดิ ี เลม ๑ หนา ๒๐. (๒๕๐) ทะเลทรายซัฟรอน คือ เสนทางเดินของกองคาราวานกุเรช อิบนุอิชามไดยกรายชื่อสถานท่ี ตางๆ ท่ีทานศาสดาเดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺถึงซัฟรอน บะด้ัรเปนศูนยกลางทางการคาท่ีมี ความสาํ คญั

สําหรับการเชื่อมตอมะดีนะฮฺ มักกะฮฺ และซีเรีย ในทุกปจะมีผูคนจากที่ตางๆ มาแลกเปลี่ยนซ้ือขาย กนั ในบริเวณนน้ั พจิ ารณาดู ซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๖๑๓-๖๑๖. (๒๕๑) อิมตาอลุ อัซมาอ หนา ๖๒-๖๓. (๒๕๒) จาก กามิล้ เลม ๒ หนา ๘๑. (๒๕๓) ตารคี ฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๓๘ และกามิล้ เลม ๒ หนา ๘๒. (๒๕๔) ซเี ราะฮฺอิบนุฮชิ าม เลม ๒ หนา ๒๔๘-๒๔๙. (๒๕๕) (๒๕๖) (๒๕๗) (๒๕๘) (๒๕๙) (๒๖๐) (๒๖๑) มะฆอซี วากดิ ี เลม ๑ หนา ๔๘ และซีเราะฮฺอบิ นุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๑๕. (๒๖๒) จาก ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๖๑๗. (๒๖๓) จากซูเราะฮฺอัลอนั ฟาล อายะฮทฺ ี่ ๗ (๒๖๔) ซีเราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๖๒๐ และตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๔๔. (๒๖๕) (๒๖๖) ซีเราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๖๒๒. (๒๖๗) มะฆอซี เลม ๑ หนา ๖๒ และบิฮารุลอันวาร เลม ๑๙ หนา ๒๓๔. (๒๖๘) ซีเราะฮอฺ ิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๒๓ และบิฮารุล อนั วา ร เลม ๑๙ หนา

๒๒๔. (๒๖๙) ตารคี ฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๔๙. (๒๗๐) “ยามฮุ มั มดั อัครจิ ญอ ิลยั นา อกิ ฟาอนุ ามินเกามนิ า” (๒๗๑) ตารคี ฏอบะรี เลม ๒ หนา ๑๔๘ และซเี ราะฮฺอบิ นฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๖๒๕. (๒๗๒) นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ จดหมายท่ี ๖๔. (๒๗๓) จากซเี ราะฮอฺ บิ นฮุ ิชาม เลม ๑ หนา ๖๒๖. (๒๗๔) จากตารคี ฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๔๙. (๒๗๕) (๒๗๖) ซีเราะฮอฺ บิ นุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๒๘. (๒๗๗) จาก ซีเราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๒๘. (๒๗๘) ฏอบะกอต เลม ๒ หนา ๒๓. (๒๗๙) ซีเราะฮฺอิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๗๐๖-๗๐๘ และมะฆอซี วากิกี เลม ๑ หนา ๑๓๘-๑๗๓. (๒๘๐) คําพูดของทานศาสดา (ศ.) ที่พูดกับรางอันไรวิญญาณของหัวหนาพวกกุเรช ซ่ึงถูกฝงอยูใน หลุมนนั้ เปน เรื่องทร่ี ับทราบกันโดยทวั่ ไปในหมูนกั รายงานฮะดีษ ขอยกตัวอยางมานําเสนอดังนี้ ศอ ฮีฮฺบุคอรี เลม ๕ ในหัวขอเร่ือง สถานการณสงครามบะดั้ร หนา ๙๗-๙๘, ศอฮีฮฺมุสลิม เลม ๔ เร่ือง ญันนะฮฺ, ซุนันนะซาอี เลม ๔ หนา ๘๙ และ ๙๐, มุซนัดอะฮิมัด อิบนิฮันบั้ล เลม ๒ หนา ๑๓๐, ซี เราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๓๙, มะฆอซี วากิดี เลม ๑ สงครามบะดั้ร และบิฮารุลอันวาร เลม ๑๙ หนา ๓๔๖. (๒๘๑) จากซเู ราะฮอฺ ลั อันฟา ล อายะฮฺ ๔๑. (๒๘๒) ซีเราะฮฺอบิ นุฮิชาม เลม ๒ หนา ๖๔๕. (๒๘๓) ซเี ราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๑ หนา ๖๔๕.

(๒๘๔) เรอ่ื งราวเหลานี้มีคาํ อธิบายอยใู นตําราอรรถาธบิ ายอัลกุรอาน (๒๘๕) ฟะฮฺร็อซตฺ นะญาชี เลม ๕. (๒๘๖) จาก ซีเราะฮฺอิบนฮุ ชิ าม เลม ๑ หนา ๕๔๘. (๒๘๗) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๑ หนา ๖๕๑-๖๕๘. (๒๘๘) (๒๘๙) ชรั ฮนฺ ะฮฺ ลุ บะลาเฆาะฮฺ ของ อิบนอุ ะบ้ิลฮะดดี เลม ๑๔ หนา ๑๙๑. (๒๙๐) การสมรสเกิดขึ้นหลังจากสงครามบะดั้ร ดูไดจาก บิฮารุลอันวาร เลม ๔๓ หนา ๗๙ และ ๑๑๑. (๒๙๑) ในซูเราะฮอฺ าลิอมิ รอน อายะฮทฺ ี่ ๖๑. (๒๙๒) มุบาฮะละฮฺ หมายถึง การทําพิธีสัตยสาบานระหวางคนสองคนหรือระหวางกลุมสองกลุม เพ่ือการยืนยันในเรื่องหน่ึงเร่ืองใด พรอมท้ังมีการขอสาปแชงใหบังเกิดผลอยางหน่ึงอยางใดกับฝาย ตรงขามดวย การบุฮาละฮฺกับพวกคริสตชาวนัจญรอนนั้น ทานศาสดา (ศ.) ไดพาบุคคลท้ังสี่รวมไป กับทานคือ ทานอิมามอะลี ทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ทานอิมามฮะซัน และทานอิมามฮุเซน เพียงเทานั้น โดยไมม ีสาวกคนใดรวมติดตามไปดวย จะอธิบายเร่ืองเหลานี้ในตอนเหตุการณในปที่ ๑๐ แหงฮิจญ เราะฮศฺ กั ราช. (๒๙๓) บิฮารุลอันวาร เลม ๔๓ หนา ๙๓. (๒๙๔) แหลงเดยี วกนั (๒๙๕) จาก บฮิ ารุลอันวาร เลม ๔๓ หนา ๙๔, และกัชฟลุ ฆุมมะฮฺ เลม ๑ หนา ๓๕๙. (๒๙๖) วะซาอิลชุ ชีอะฮฺ เลม ๑๕ หนา ๘. (๒๙๗) บิฮารลุ อนั วา ร เลม ๔๓ หนา ๙๖. (๒๙๘) จาก บิฮารุล อันวาร เลม ๔๓ หนา ๙๖. (๒๙๙) มซุ นดั อะฮมฺ ัด อบิ นฮิ ันบ้ลั เลม ๒ หนา ๒๕๙

(๓๐๐) (๓๐๑) เชน สงครามบุฮรฺ อน หรอื อมั รออุลอะซดั เปน ตน . (๓๐๒) ในเร่ืองจํานวนของกองทหารฝายกุเรชนั้น ยังมีความเห็นแตกตางกันในหมูนักปราชญดาน อรรถาธิบายอัลกุรอานและนักประวัติศาสตร เชน ทานอะลี บินอิบรอฮีม, เชคฏอบ้ัรซี ใน อะอฺลามุ ลวะรอ และอบิ นุฮิชามทยี่ กมากลาวนนี้ า จะใกลเคยี งความเปน จริงมากทส่ี ุด (๓๐๓) มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๒๐๓ และนักบันทึกประวัติศาสตรกลุมหนึ่งมีความเห็นวา จดหมายไปถึงมะดีนะฮฺขณะท่ีทานศาสดา (ศ.) อยูในมัสญิด และอุบัย บินกะอับเปนอานใหทาน (ศ.) ฟง วากิดียังไดอางอีกวา ยังไมเคยเห็นบันทึกประวัติศาสตรที่บอกวา ทานศาสดา (ศ.) อาน จดหมายหรือสารดวยตัวทา นเอง ฉะนน้ั แนวคิดแรกนา จะถูกตองมากกวา . (๓๐๔) บฮิ ารุลอันวา ร เลม ๒๐ หนา ๑๑๑. (๓๐๕) มีหนังสือเลม ทเ่ี ขียนเรอ่ื งการปรกึ ษาหารือของทาน (ศ.) วามจี ุดประสงคหรือวิทยปญญาเชน ไร. (๓๐๖) นะฮฺลุ บะลาเฆาะฮฺ คฏุ บะฮฺท่ี ๑. (๓๐๗) มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๒๑๑ เราไดกลาวไวในหนังสือเลมหนึ่ง (พวกกลับกลอกใน อิสลาม) วา ทัศนะของอับดุลลอฮฺ บินอุบัย แฝงไปดวยอันตราย กลาวคือ เม่ือพวกศัตรูเขาเมืองได แลว พวกเขาก็อาจใชบานของพวกกลับกลอก (มุนาฟก) เปนฐานที่ม่ัน และพวกยิวก็อาจเขารวมมือ ทันที. (๓๐๘) บิฮารลุ อนั วา ร เลม ๒ หนา ๑๒๕. (๓๐๙) เชนในสงครามรุกรานที่ฝายตะวันตกระดม สรรพกําลังเพ่ือชวยเหลือใหอิรักบดขย้ีอิหราน นั้น เราไดเห็นการเสียสละของทหารหาญอิหรานที่สําแดงใหเห็นถึงจิตวิญญาณอันสูงสงอันเต็มไป ดว ยการเสยี สละอยา งใหญห ลวง. (๓๑๐) จาก มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๒๑๔ และฏอ บะกอตกุบรอ เลม ๒ หนา ๓๘.

(๓๑๑) ซีเราะฮฺอิบนุฮชิ าม เลม ๒ หนา ๖๕. (๓๑๒) จากซูเราะฮอฺ ัลฟตฮฺ อายะฮฺที่ ๑๘ กําหนดวา การสูรบในวิถีทางของอัลลอฮฺไมเปนส่ิงบังคับ สําหรับคนพิการ ตาบอด หรอื ปวย. (๓๑๓) (๓๑๔) ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๙. (๓๑๕) บฮิ ารุลอันวา ร เลม ๒๐ หนา ๕๗. (๓๑๖) จากซูเราะฮอฺ ันนรู อายะฮทฺ ่ี ๖๒. (๓๑๗) อุซะดุลฆอบะฮฺ เลม ๒ หนา ๕๙ และบิฮารุลอันวาร เลม ๒๐ หนา ๕๗. (๓๑๘) (๓๑๙) (๓๒๐) มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๒๒๑-๒๒๒. (๓๒๑) (๓๒๒) ซีเราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๒ หนา ๖๕. (๓๒๓) ซเี ราะฮฺอบิ นุฮิชาม เลม ๒ หนา ๖๘-๖๙. (๓๒๔) ซีเราะฮฺอิบนฮุ ิชาม เลม ๒ หนา ๑๒. (๓๒๕) ทศั นะนอี้ า งมาจากบะลาซะร.ี (๓๒๖) ใน บิฮารุลอันวาร เลม ๒๐ หนา ๕๑ ไดใหรายละเอียดเร่ืองผูถือธงชัยของฝายกุเรช ๙ คน ถกู สงั หารดวยนา้ํ มือของทา นอะลี. (๓๒๗) ซเี ราะฮฺอิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๖๘ และตารีคฏอ บะรี เลม ๒ หนา ๑๙๔. (๓๒๘) ซีเราะฮฺอบิ นฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๘๓. (๓๒๙) กามล้ิ เลม ๒ หนา ๑๐๙.

(๓๓๐) (๓๓๑) จากซเู ราะฮฺอาลิอมิ รอน อายะฮทฺ ี่ ๑๒๑-๑๘๐. (๓๓๒) (๓๓๓) (๓๓๔) (๓๓๕) ชร้ั ฮนฺ ะฮฺ ุลบะลาเฆาะฮฺของอบิ นุอะบิล้ ฮะดดี เลม ๑๕ หนา ๒๓-๒๔. (๓๓๖) ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๘๔ และมะฆฮซี วากดิ ี เลม ๑ หนา ๒๔๔. (๓๓๗) “กัยฟะยุฟลฮิ ุเกามุน คอฏอ บูวจั ญฮ ะนะบียิฮมิ บิดดมั มิ วะฮวุ ะยดั อฮู มุ อิลัล้ ลอฮฺ” (๓๓๘) กามลิ้ เลม ๒ หนา ๑๐๗. (๓๓๙) ช้รั ฮนฺ ะฮฺ ลุ บะลาเฆาะฮฺ ของ อบิ นอุ ะบิล้ ฮะดีด เลม ๑๕ หนา ๒๑. (๓๔๐) กามิล้ เลม ๒ หนา ๑๐๗. (๓๔๑) ชร้ั ฮนฺ ะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ ของ อิบนุอะบล้ิ ฮะดีด เลม ๑๕ หนา ๒๑. (๓๔๒) อัลคิศอ ล เลม ๑ หนา ๓๖๗. (๓๔๓) ซีเราะฮฺอบิ นุฮิชาม เลม ๒ หนา ๘๑. (๓๔๔) บฮิ ารลุ อันวา ร เลม ๒๐ หนา ๘๔. (๓๔๕) นาซคิ เลม ๑ หนา ๓๕๗. (๓๔๖) (๓๔๗) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๒ หนา ๖๙-๗๒. (๓๔๘) (๓๔๙) (๓๕๐) การเสียสละรับใชอิสลามของสตรีทานน้ีไมไดจบลงเพียงเทานี้นางยังเขารวมสงครามสั่ง สอนมุซยั ละมะฮฺ กับบตุ รชายของนาง และนางไดเสียแขนไปหนง่ึ ขางจากสงครามคร้งั น้ี. (๓๕๑) ชั้รฮนฺ ะฮฺุล บะลาเฆาะฮฺ ของ อิบนุอะบลิ้ ฮะดดี เลม ๑๕ หนา ๒๓-๒๔.

(๓๕๒) (๓๕๓) บิฮารุลอันวาร เลม ๒๐ หนา ๔๔-๔๕. (๓๕๔) จากซเู ราะฮอฺ นั นะฮลฺ ุ อายะฮทฺ ่ี ๑๒๖. (๓๕๕) ซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๔๙๘ และบิฮารลุ อนั วาร เลม ๒๐ หนา ๑๓๑. (๓๕๖) ซเี ราะฮฺอิบนุฮิชาม เลม ๒ หนา ๙๕. (๓๕๗) จาก ซีเราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๙๙. (๓๕๘) นับตั้งแตยุคการเผยแพรอิสลามของทานศาสดาเปนตนมา ยังไมเคยเห็นการเสียสละของ สตรีในหนาประวัติศาสตรท่ีไดสําแดงความกลาหาญและจิตวิญญาณอันแข็งแกรง นอกจากในยุค สงครามรกุ รานท่ีอิรกั ไดกระทาํ ตออิหราน โลกไดเห็นการเสียสละอยา งใหญห ลวงของพวกนาง. (๓๕๙) ซเี ราะฮอฺ บิ นฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๙๙. (๓๖๐) ตามการรายงานของอิบนุอะบิ้ลฮะดีด ในหนังสือ ชั้รฮฺนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ เลม ๑๔ หนา ๒๖๒ ของเขา นางไดอ า นสว นแรกของโองการน้ี (๓๖๑) มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๒๖๕. (๓๖๒) กัซฟุลฆมุ มะฮฺ หนา ๕๔. (๓๖๓) ซเี ราะฮอฺ ิบนฮุ ชิ าม เลม ๒ หนา ๑๐๑. (๓๖๔) ซเี ราะฮฺอบิ นุฮชิ าม เลม ๒ หนา ๑๐๑. (๓๖๕) การที่ทานศาสดา (ศ.) สง กลุมไลต ิดตามศัตรจู นถึง อัมรออุล อะซัดนนั้ ถือวา เปนสงครามยอย อีกคร้งั หน่งึ . (๓๖๖) ฏอ บะกอตกุบรอ เลม ๒ หนา ๔๙. (๓๖๗) ซีเราะฮอฺ ิบนุฮชิ าม เลม ๒ หนา ๑๐๔, ฏอ บะกอตกุบรอ เลม ๒ หนา ๓๖-๔๙, มะฆอซี วากิดี เลม ๑ หนา ๑๙๙-๓๔๐, ช้ัรฮฺนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺของ อิบนุอะบ้ิลฮะดีด เลม ๑๔ หนา ๑๔-๒๑๘ และ เลม ๑๕ หนา ๖๐ และบฮิ ารุลอันวาร เลม ๒๐ หนา ๑๔-๑๔๖.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook