Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-09 03:54:34

Description: ประวัติท่านศาสดามุฮำมัด(ศ)แบบละเอียด

Search

Read the Text Version

24 การปกปอ งอสิ รภาพ สงครามอุฮุดหรอื การปกปอ งอิสรภาพ ณ เทอื กเขาอุฮดุ เหตุการณใ นป ฮ.ศ. ที่ 3 น้ี ใชวาจะตื่นเตนนอยไปกวา ฮ.ศ. ท่ี 2 ไม กลาวคือ ในป ฮ.ศ. ท่ี 2 มีเหตุการณสมรภูมิบะดัรเกิดขึ้น พอปตอมา ก็เกิดเหตุการณสมรภูมิอุฮุด ซ่ึงทั้งสองเหตุการณถือ เปนการทําสงครามปกปองตนเองที่ย่ิงใหญของอิสลาม และในระหวางปดังกลาวน้ันก็มีสงคราม ยอ ยเกิดขึน้ อกี (๓๐๑) ณ ทีน่ ้ีเราจะตรวจสอบเหตกุ ารณสงครามอฮุ ุดดังนี้ กเุ รชรวบรวมกองทนุ สําหรบั ทาํ สงคราม เมล็ดพันธุแหงการปฏิวัติและการตอตานไดถูกฝงเอาไวในเมืองมักกะฮฺแลว การหาม รองไหทาํ ใหความรูสึกของการลางแคนข้ึนถึงขดี สุด การปดเสนทางการคาของชาวมักกะฮฺระหวาง มะดีนะฮฺและอิรักยิ่งสรางความเจ็บช้ําใหคนพวกน้ี กะอับอัชร็อฟก็ไดจุดไฟแหงการปฏิวัติเอาไว แลว ดวยเหตุนี้เองที่ศ็อฟวานบินอุมัยยะฮฺ และอักริมะฮฺ บินอบูญะฮัล ไดเสนอความเห็นไปยังอบู ซุฟยานวา “ผูนําชาวกุเรชและผูกลาของเราอีกหลายคนไดถูกสังหารไปในแนวทางแหงการปกปอง กองคาราวานคาขายของพวกเรา ฉะนั้นใครก็ตามท่ีมีกองคาราวานสินคาที่พรอมขายจะตองจายเงิน กอน

หน่งึ สมทบเปนกองทุนสาํ หรับการทําสงครามคร้งั ใหม” ความเห็นดงั กลาว ไดรับการรับรองจากอบู ซฟุ ยาน และเสนอวา ตองทําอยา งเรง ดว น หัวหนาเผากุเรชหลายคนท่ีไดเคยประจักษความแข็งแกรงของมวลมุสลิม เห็นความกลา หาญท่ีไดสําแดงออกในคราวสมรภูมิบะดัร ดวยตัวเอง พวกเขาจึงไดเสนอวา จะตองมีการเรียกกอง กาํ ลงั ที่พรอ มรบอนั ประกอบดว ยชนเผาตางๆ ของอาหรบั เพอ่ื การตอ กรกับมุฮมั มดั อัมรว อาศและอีกหลายคนไดรับหนาที่ใหไปรวบรวมกองกําลังจากชนเผากินานะฮฺ และษะกีฟ พรอมกับความชวยเหลืออ่ืน อีกทั้งเชิญชวนใหนักรบประจําเผาเตรียมอาวุธให พรอมสรรพสําหรับการทําสงครามกับมุฮัมมัด โดยใหสัญญาวา กองทุนสําหรับการทําสงครามและ คาใชจายสําหรับการเดินทางไปทําสงครามน้ันเปนหนาที่ของเผากุเรช ภายหลังจากที่ไดพยายาม อยางหนัก พวกเขาก็สามารถรวบรวมนักรบที่มาจากเผากินานะฮฺ และ ตุฮามะฮฺ ไดจํานวนหน่ึง ซึ่ง กองทหารท่รี วบรวมไดในคร้งั น้มี ีจํานวนประมาณ 4000 คนท่พี รอ มจะออกทาํ สงคราม(๓๐๒) จํานวนท่ีกลาวนี้เปนจํานวนของผูชายท่ีเขารวมในศึกครั้งนี้เทานั้น ซ่ึงถารวมผูหญิงเขาไป ดว ยแลว ตอ งมีจํานวนมากกวาน้ี ธรรมเนียมปฏิบตั ิของชาวอาหรับจะไมอ นุญาตใหผหู ญิงออกไปรบ แตพอมาครั้งนี้ผูหญิงชาวกุเรชท่ีบูชาเจว็ดกลับมายืนเคียงบาเคียงไหลกับผูชายเพื่อทําสงครามกับ มวลมุสลิม หนาที่พวกนางก็คือคอยล่ันกลองรบทามกลางกองทหารและคอยอานบทลํานําปลุกใจ ใหพ วกทหารลา งแคน ใหสาํ เร็จ พวกเขาไดเตรียมผูหญิงเอาไวเพื่อปดทางการหลบหนีจากสนามรบของพวกผูชาย เพราะ เม่อื พวกเขาหลบหนีออกจากสนามรบ พวกผูหญิงก็ตองถูกจับเปนเชลย ลักษณะเชนน้ีถือวาเปนการ หยามเกียรติอยางที่สดุ ในวฒั นธรรมอาหรับ พวกทาสของชาวกุเรชหลายคนก็มีสวนรวมในสงครามคร้ังนี้ดวย โดยมีความหวังหลาย ประการรออยู วะฮฺชี อิบนิฮัรบฺ ซึ่งเปนทาสชาวอบิสสิเนียของมุฏอิม ก็เปนทาสคนหน่ึงท่ีมี ความสามารถในการทําอาวธุ

ท่ีใชในการตอสู เชน ลูกดอก พวกเขาไดใหความหวังกับทาสคนนี้วา หากเขาสามารถสังหารผู ย่ิงใหญของอิสลามเพียงหนึ่งในสามคนนี้ (คือมุฮัมมัด อะลี และฮัมซะฮฺ) เขาก็จะไดรับการ ปลดปลอยใหเปนไท แลวในท่ีสุด หลังจากท่ีไดผานความยุงยากนานับประการ กองทหารของชาว กุเรชก็ถูกจัดต้ังข้ึนดวยจํานวนดังน้ี เกราะ 700 อูฐ 3000 ตัว ทหารมา 200 คน และพลเดินเทาอีก จํานวนหน่ึง สายขา วของทา นศาสดา ทานอับบาส ลุงของทานศาสดา (ศ.) ซึ่งเปนมุสลิมแทคนหน่ึง แตไมอาจเผยตัวตนวาได ยอมรับศาสนาอิสลามแลว ไดแจงขาวการเคล่ือนไหวการสะสมกองกําลังของพวกกุเรชใหทาน ศาสดา (ศ.) รับทราบ โดยทานอับบาสไดเขียนจดหมายดวยลายมือตัวเองพรอมลงตราประทับ มอบ จดหมายใหชายคนหน่ึงจากตระกูลบนูฆ็อฟฟารเปนผูถือจดหมายมามอบใหทานศาสดา (ศ.) โดย กําชับวาตองสงจดหมายใหถึงมือทานศาสดา (ศ.) ภายในสามวัน ผูถือจดหมายนําจดหมายมาสงใน ขณะท่ีทานศาสดา (ศ.) อยูในสวนนอกเมือง หลังจากท่ีทําความเคารพแลว ก็ไดมอบจดหมายปด ผนึกใหท านศาสดา (ศ.) ทานศาสดา (ศ.) รับรจู ดหมายดังกลาว แตไมไดบอกเรื่องราวในจดหมายให สาวกรบั ทราบแตประการใด(๓๐๓) อัลลามะฮฺมัจญลิซี รายงานจากทานอิมามศอดิก (อ.)(๓๐๔) ความวา ทานศาสดาผูทรงเกียรติ นั้นเขียนหนงั สอื ไมไ ด แตอ านจดหมายได อันท่จี ริงแลว ทานศาสดา (ศ.) ตองแจง ขาวคราวความเคล่ือนไหวของศัตรูใหสาวกของทาน รับทราบ ซ่ึงก็เปนไปตามนั้น กลาวคือ เมื่อทานกลับเขามาในเมืองแลว ทานก็ไดอานจดหมายให พวกเขารับทราบกนั การเคลื่อนไหวของทหารกุเรช กองทหารกุเรชเดินทางเรื่อยมาจนกระท่ังถึงบริเวณหนึ่งที่มีชื่อ เรียกวา อับวาอฺ ซ่ึงเปน บริเวณทท่ี า นหญงิ อามินะฮฺ มารดาของทานศาสดา (ศ.)

ถูกฝงอยูท่ีน่ัน มีชายหนุมปญญาออนบางคนของกุเรชชี้ชวนใหขุดหลุมฝงศพของทานหญิง แลว นําเอารางออกมา แตพวกท่ีคิดไดอีกหลายคนไดหามเอาไว โดยเตือนสติวา ตอไปอาจมีการบันทึก เอาไว แลวศตั รูของพวกเราก็ตองกระทาํ เยย่ี งน้ีกับหลมุ ฝง ศพของบรรพบรุ ษุ ของเราได ในค่ําพฤหสั บดที ี่ 5 เดือนเซาวา ล ฮ.ศ. 3 ทานศาสดา (ศ.) ไดสงอะนัซและมูนิซ บุตรทั้งสอง ของฟะฎอละฮฺ ออกไปนอกเมืองมะดีนะฮฺ เพ่ือหาขาวพวกกุเรช ทั้งสองแจงกลับมาวา กองทหาร กุเรชใกลถึงเมืองมะดีนะฮฺ แลว โดยปลอยสัตวพาหนะของพวกเขากินในทุงหญาเมืองมะดีนะฮฺ ฮับ บาบ บินมุนซิ้ร แจงขาววา กองทหารสวนหนาของกุเรชเขาใกลเมืองมะดีนะฮฺแลว ตอนสายของวัน พฤหสั บดมี ีการแจงขาวเพิ่มเติมวา กองทหารสวนหนาของกุเรชไดเ ขามาถงึ เมอื งมะดีนะฮฺแถบภูเขาอุ ฮุดแลว ชาวมุสลิมกลัววาชาวกุเรชจะลอบเขามาทํารายทานศาสดาในตอนกลางคืน จึงไดมีการ เตรียมกองกําลังของพวกเอาซฺและค็อซร็อจญใหถืออาวุธครบมือปองกันมัสญิดไวพรอมกับสงคน คมุ กันบานทา นศาสดาจากทกุ ประตเู มือง เมือ่ ถึงตอนเชาคอ ยมาวางแผนการตอ สูตอ ไป ภมู ปิ ระเทศแถบอุฮุด วาตีอลั กุรอ คือ ช่ือบริเวณหุบเขากวางยาวและใหญซึ่งเปนทางผานของกองคาราวานสินคา ท่ีเดินทางมาจากซีเรีย ในอาณาบริเวณนี้ถูกจับจองเปนท่ีอยูอาศัยของชนเผาตางๆ ทั้งที่เปนอาหรับ และยิว ตลอดเสนทางจึงเต็มไปดวยหมูบานเล็กๆ ซึ่งใชกอนหินเปนเสนแบงอาณาเขต ศูนยกลาง ของหมูบานเหลาน้ีก็คือยัษริบ ซึ่งภายหลังไดรับการขนานนามวา มะดีนะตุลรอซูล (เมืองของทาน ศาสดา) ทุกคนท่ีเดินทางมาจากมักกะฮฺเพ่ือเขาไปยังมะดีนะฮฺจําเปนตองเดินทางผานทางทิศใตของ เมืองนี้ แตเนื่องจากอาณาบริเวณดังกลาวเต็มไปดวยโขดหิน การเคลื่อนยายกองกําลังและสัมภาระ จะเต็มไปดว ยความยากลาํ บาก กองทหารของกุเรชเมือ่ เดนิ ทางมาใกลเ มอื งมะดนี ะฮฺ จึงตองเบีย่ ง

เสนทางออกไป โดยไปเขา เมืองจากทางดานทิศเหนือ ทเ่ี รียกวา วาดีอะกีก ซ่ึงต้ังอยูแถบบริเวณเขาอุ ฮุด อาณาบริเวณน้ีเหมาะสมสําหรับการเตรียมการทางทหาร (สําหรับการจูโจมตี) ซ่ึงสําหรับ ชาวเมืองมะดีนะฮฺ แลว ถือเปนชัยภูมิท่ีอันตรายยิ่งเพราะไมมปี อมปราการตามธรรมชาติ เชนตนไม ใหญเลย อกี ทัง้ เปน บริเวณโลง เตยี น กองกําลังของกุเรชเดินเทามาถึงบริเวณเขาอุฮุดในตอนสายของวันพฤหัสบดีที่ 5 เดือนเชา วาล ฮ.ศ. 3 ตลอดคํ่าวันศุกรนั้นทานศาสดา (ศ.) พํานักอยูในเมืองมะดีนะฮฺ พอรุงเชาของวันศุกร ทานจึงไดจดั ต้งั กองกําลงั ท่ปี รกึ ษาทางทหารข้นึ ซง่ึ ประกาศใหห ัวหนากองกําลังตางๆ และท่ีปรึกษา ทางทหารเพื่อรว มประชุมปรกึ ษาหารอื และวางแผนเกีย่ วกับการสรู บกับพวกกเุ รช การประชมุ วางแผนปองกนั ทานศาสดา (ศ.) ไดร ับพระบัญชาจากอัลลอฮ (ซ.บ.) ใหทําการปรึกษาหารือกับมิตรสหาย ของทานในเรื่องการทหารและอ่ืนๆ โดยใหรับฟงแนวคิดของพวกเขาเพ่ือการตัดสินใจของตัวทาน เอง จากวิธีการดังกลาวนี้เองท่ีถือเปนแนวปฏิบัติอันยิ่งใหญสําหรับผูปฏิบัติตามทานสรางวิญญาณ แหงการมีสวนรวมและรักษาสิทธิของตนเองใหบังเกิดข้ึนในหมูมิตรสหายของทาน สวนประเด็น ที่วา ทานศาสดา (ศ.) ไดประโยชนจากการปรึกษาหารือดังกลาวหรือไม ? ทานศาสดา (ศ.) ได แนวคิดจากการออกความคิดเห็นของพวกเขาหรือไม ? น้ันเปนประเด็นที่บรรดานักปราชญและ นกั การศาสนาดา นการตอบโตป ญหาหลักความเช่อื ไดใหค าํ ตอบไวอยา งพรอ มมลู แลว ผูใดสนใจหา คําตอบกส็ ามารถอา นจากหนงั สอื ดังกลาวได( ๓๐๕) การประชุมปรึกษาหารือเหลาน้ีเปนแนวทางและวิธีการท่ีมีอยูในยุคปจจุบันซ่ึงทําใหหวน รําลกึ ถงึ เกียรตปิ ระวตั ใิ นดา นนีข้ องทานศาสดา แนวทางดังกลาวสรางผลเปนเอนกอนันตถึงขนาดท่ี ผูปกครองอิสลาม ในยุคถัดมาลวนนําเอาวิธีการนี้ไปใช อีกท้ังไมอาจปฏิเสธแนวคิดอันทรงคุณคา ของ

ทานอะมีรุลมุอมินีนอะลี (อ.) ท่ีไดใหแงคิดในเร่ืองการทหารและการแกปญหาสังคมอ่นื ๆ ตลอดยุค สมยั ภายหลังทานศาสดา(๓๐๖) สภาที่ปรึกษาทางทหาร ทานศาสดา (ศ.) ไดกลาวทามกลางท่ีประชุมใหญซ่ึงประกอบดวยหัวหนากองกําลังและ ทหารหาญชั้นแนวหนาของอิสลามวา จงใหคาํ ชี้แนะแกฉัน ซ่ึงใหความหมายวา “โอบรรดาหัวหนา และทหารหาญโปรดแสดงความคิดเห็นของตนเอง เพ่ือการพิทักษปกปองความศักดิ์สิทธ์ิของ ศาสนาท่นี ับถือพระเจา องคเ ดยี วซ่ึงกําลงั ไดรบั การขม ขูค กุ คามจากทหารกุเรช” อับดุลลอฮฺ บินอุบัย ซ่ึงเปนพวกมุนาฟก (กลับกลอก) คนหน่ึงของเมืองมะดีนะฮฺ ไดเสนอ ความเห็นใหใชวิธีการหลบในท่ีกําบัง จุดมุงหมายของวิธีการน้ีก็คือ มุสลิมจะตองไมออกไปนอก เมืองมะดีนะฮฺ ใหใชบานเรือนและอาคารเปนเกราะกําบัง โดยใหพวกผูหญิงขึ้นไปบนหลังคา แลว หาทางขวางกอนหินใสศัตรู สวนผชู ายกใ็ หสกู ันตัวตอ ตวั กบั ศตั รู ตอไปน้ีเปนคําพูดของเขา “แตกอนนี้เราเคยใชวิธีหลบในที่กําบังโดยผูหญิงตองเขามามี สว นรว มชวยเราจากบนหลงั คา จากวธิ กี ารนช้ี าวเมืองทั่วไปก็ยงั คงปลอดภัยอยู ศตั รูซึง่ ยังไมรูจักทาง กไ็ มอ าจทําอะไรเราได และเมื่อเราจโู จมกลับในเวลาใด เราก็สามารถกําชัยชนะได แตถาเราออกไป นอกเมืองเรากต็ องพบกับอันตราย” พวกอาวุโสและคนชราที่เปนชาวอันศอรและมุฮาญ้ิรลวนเห็นดวยกับความคิดของเขา แต บรรดาคนหนุมโดยเฉพาะพวกท่ีไมไดออกรวมรบในสมรภูมิบะดัรลวนแสดงความเห็นแยง โดย พยายามโนมนาวใหท่ีประชุมเห็นความสําคัญของการออกไปสูรบ พวกเขายืนกรานความคิดของ ตนเองอยางเด็ดเด่ียว โดยพวกเขากลาววา “วิธีการสูเชนน้ีจะเปนเหตุใหเกิดความฮึกเหิมในหมูศัตรู เกียรติประวัติของมวลมุสลิมในสมรภูมิบะดัรยอมสูญส้ินไป มันมิไดเปนความนาอดสูดอกหรือท่ีผู กลาหาญและผูเสียสละของพวกเราจะนั่งจับเจาอยูแตในบาน แลวปลอยใหศัตรูของตนเองรุกล้ําเขา มาใน

บานของตน ในสมรภูมิบะดัรดวยกองกําลังอันนอยนิดของเราก็สามารถ กําชัยชนะได เราตางก็รอ คอยวันน้ีมใิ ชห รือตอนนีถ้ งึ เวลาแลว” ทา นฮัมซะฮฺ ผูบ งั คับบัญชาระดับสงู ของกองทหารหาญอสิ ลาม กลาววา “ขอสาบานตอพระ เจา ซง่ึ ประทานอลั กุรอานลงมา ฉันจะยังไมก ินอะไรจนกวา จะไดอ อกไปรบกับศตั รูนอกเมอื ง” นคี่ ือบทสรปุ ทีก่ องทหารหาญของอสิ ลามตอ งออกไปรบนอกเมอื ง(๓๐๗) จบั สลากเพอ่ื เปนชะฮีด ชายแกหัวใจแกรงคนหนึ่งนามวา คุษัยมะฮฺ ลุกขึ้นยืนแลวกลาววา “โอทานศาสดา พวก กเุ รชดาํ เนนิ การในเรอ่ื งน้เี ปนเวลาขวบปแ ลวและสามารถรวบรวมเผา อาหรับตางๆ มาได หากเราไม ออกไปรบนอกเมือง พวกมันก็อาจลอมเมืองมะดีนะฮฺไว และในท่ีสุดก็ตองลาถอยกลับไปมักกะฮฺ เอง แตวิธีการน้ีก็ย่ิงสรางความฮึกเหิมใหกับพวกมัน และเราก็ไมมั่นใจวาพวกมันจะไมยอนกลับมา อีก ขาพเจา เคยอดสูมาคร้ังหน่ึงแลวท่ีไมมีโอกาสไดเขารวมรบในสมรภูมิบะดัร ทั้งๆ ท่ีขาพเจา และลูกตางก็มีความประสงคที่จะออกรบใหได เราท้ังสองตางก็อางเหตุผลมาหักลางเพื่อจะได ออกไปรบ ในท่ีสุดเปนลูกชายของขาพเจาที่ประสบผล สวนขาพเจาน้ันไมไดไป ขาพเจากลาวกับ ลกู ชายของขา พเจา ในคร้งั นนั้ วา เจา ยงั หนมุ อยู ยังมีความตองการและความปรารถนาอีกมากมาย เจา นาจะใชความหนุมของเจาไปในวิถีทางของอัลลอฮฺ สวนอายุของพอนั้นก็มากแลว อนาคตจะเปน เชนไรก็ไมรู จึงจําเปนที่พอตองออกไปรบ (ในสมรภูมิบะดัร) แลวเจาก็เขามารับหนาที่ดูแลภารกิจ อน่ื ของพอ แตการรบเราและความปรารถนาอยางแรงกลาของลูกชายของขาพเจามีมากเสียจน เราตอง ตัดสนิ ใจใชวธิ ีจบั สลาก และแลว ช่อื ของเขาก็ถกู จับขนึ้ มา เขาออกไปรบและไดร ับตาํ แหนงชะฮีดใน ท่ีสดุ เมอ่ื คืนน้มี กี ารพดู ถงึ เร่อื งการลอ มเมอื งมะดีนะฮฺ ขา พเจาหลบั ไปพรอมกบั แนวคิดน้ี ขาพ

เจาเห็นลูกชายของขาพเจาในฝน เขากําลังเดินอยูในสวรรคพรอมกับ รับประทานผลไมหลากสีอยู เขาตะโกนดวยนํา้ เสียงอนั แสดงถงึ ความรกั ความปรารถนาดีมายังขาพเจาวา พอ จา ลกู รอพอ อยูนะ “ทานศาสดาครับ เคราของขาพเจาขาวโพลนแลว กระดูกก็ออนแรงเต็มที ขาพเจาขอรอง ทานใหข อตอ พระผอู ภิบาลวา ไดโ ปรดประทานตําแหนง ชะฮีดใหแกข า พเจาดว ย”(๓๐๘) พวกทานคงเคยเห็นเหลาผูหาญกลาเชนน้ีในหนาประวัติศาสตรอิสลาม แนวคิดท่ีไรซ่ึง ความเชื่อความศรัทธายอมไมอาจท่ีจะสรางคน เฉกเชน คุษัยมะฮฺได จิตวิญญาณอันหาญกลาและ ความเสียสละน่ีเองท่ีทําใหทหารของอิสลามแสวงหาตําแหนงชะฮีดดวยนํ้าตาเพื่อความสูงสงแหง แนวทางอันเปนสัจจะและศาสนาแหงเตาฮีด มันไมอาจหาสิ่งนี้ไดจากแหลงอื่น นอกจากตาม แนวทางคําสอนของทานศาสดาเทาน้ัน ในประเทศอุตสาหกรรมท้ังหลายเวลาน้ี ซึ่งใหความสําคัญ กบั สภาพความเปน อยูข องทหาร นายทหาร และกองกําลังของตน ดวยเหตุที่วาคนเหลาน้ีมีเปา หมาย ในการรบและการทําสงครามเพ่ือความเปนอยูที่ดียิ่งข้ึน แตตามแนวทางคําสอนของศาสดาแหง อิสลามนั้น การตอสูเพื่อความพึงพอพระทัยของพระเจา ซึ่งหากเปาหมายนี้ซอนอยูที่การพลีชีพใน วิถที างของศาสนาแลว ละกท็ หารหาญของอิสลาม ก็ไมล ังเลทจี่ ะแลกดว ยชวี ติ (๓๐๙) มติท่ปี ระชมุ ทา นศาสดา (ศ.) ยอมรับเสียงสวนใหญของท่ีประชุมท่ีมีมติใหออกไปรบนอกเมืองมากกวา ท่ีจะใหคอยตั้งรับอยูในเมืองและสูกันแบบตัวตอตัว คงเปนส่ิงที่ไมเหมาะสมหากที่ประชุมจะมีมติ เห็นดเี หน็ งามตามความเห็นของอับดลุ ลอฮฺอบุ ัยซึ่งเปนพวกมุนาฟก ท่ีอยูในเมืองมะดีนะฮฺ ก็ในเม่ือผู บญั ชาการกองกาํ ลังในสวนตา งๆ เชนทา นฮมั ซะฮฺและทานซะอัดอบิ าดะฮมฺ ีความเห็นสอดคลองกนั

ย่ิงไปกวาน้ัน การตอสูแบบตัวตอตัวในตรอกซอกซอยอันคบั แคบของเมืองมะดนี ะฮฺ การมี สว นรวมของสตรีที่ตองคอยปอ งกนั บุรุษ และการเปดทางสะดวกใหศัตรูรุกเขามาในเมืองน้ัน แสดง ใหเห็นถึงความออนแอของมุสลิมซึ่งเทียบไมไดเลยกับสภาพเหตุการณที่เคยเกิดข้ึนในสมรภูมิ บะดรั การปดลอมเมืองมะดีนะฮฺ การรุกเขามาของศัตรูตามตรอกซอกซอย การหลบอยูในท่ีมั่นของทหาร หาญอิสลามน้ันยอมบ่ันทอนวิญญาณแหงความกลาของเหลาบุรุษท่ีพรอมพลีตนในวิถีทางแหง อิสลาม อบั ดุลลอฮอฺ ุบยั นาจะมีเจตนาไมด ตี อ ทานศาสดา (ศ.) และต้งั ใจทจ่ี ะจัดการทาน (ศ.) ทา นศาสดา (ศ.) สวมชุดนกั รบ หลังจากที่ไดกําหนดวิธีการรบเปนท่ีเรียบรอยแลว ทานศาสดา (ศ.) ก็ไดกลับไปบาน จัดการสวมเสื้อเกราะ ถือดาบ แขวนโลไวขางหลัง สะพายคันธนู และถือหอกในมือ แลวออกจาก บานไป ภาพเชนนี้สรางความตกตะลึงใหกับมุสลิม บางคนคิดวา การรบเราของพวกเขาท่ีจะให ออกไปรบนอกเมืองน้ันอาจสรางความไมพอใจใหกับทานศาสดา (ศ.) และเปนการบีบบังคับทาน ทางออม พวกเขาเลยกลาวออกตัววา “พวกเราเชื่อตามความเห็นของทานในวิธีการรบเสมอ หาก ทานคิดวาไมเหมาะท่ีจะออกไปรบละก็ เราก็จะอยูท่ีนี่” ทานศาสดา (ศ.) ตอบพวกเขาวา “เมื่อศาสน ทูตคนใดไดสวมเสื้อเกราะแลว ก็เปนการไมบังควรที่เขาจะถอดมันออกจนกวาจะไดตอสูกับศัตรู เสียกอน”(๓๑๐) ทา นศาสดา (ศ.) ออกจากเมืองมะดนี ะฮฺ ทา นศาสดา (ศ.) ไดนมาซมุ อะฮฺแลว สั่งใหเคลื่อนกองกําลังซึ่งมีจาํ นวนประมาณ 1000 คน ไปยังอุฮุด ทาน (ศ.) ไมอนุญาตใหเยาวชนที่อายุยังนอยอยูเชนอุซามะฮฺ ซัยดฺบินฮาริษะฮฺ และอับ ดลุ ลอฮบฺ ินอุมัรออกไปรบ แตก็มีเยาวชนสองคนที่อายยุ ังไมค รบ 15 ปช ื่อ ซูมเราะฮฺ และ รอฟอ ไฺ ดมี

โอกาสเขารวมรบในคร้ังน้ี ก็เพราะวาถึงแมทั้งสองจะอายุยังนอยอยูแตมีฝมือในดานการยิงธนูเปน เย่ยี มนน่ั เอง ทามกลางสถานการณเชนน้ี ชาวยิวกลุมหน่ึงซ่ึงมีสัญญาลับอยูกับอุบัยไดตัดสินใจท่ีจะเขา รวมตอสูดวย แตเพื่อความเหมาะสมทานศาสดา (ศ.) จึงไมอนุญาตพวกเขา เม่ือกองทหารอิสลาม เดินทางไปไดคร่ึงทางถึงบริเวณท่ีชื่อวา เชาฏ (อยูระหวางมะดีนะฮฺกับอุฮุด) อับดุลลอฮฺบินอุบัยกไ็ ด ปฏิเสธที่จะเขารวมตอสูในครั้งนี้ดวยขอ อางที่วา ทานศาสดา (ศ.) ยอมรับความคิดเห็นของพวกคน หนุมโดยไมใสใจตอความเห็นของเขา เขาไดเดินทางกลับ จึงเปนอันวา ในการสูรบครั้งน้ีไมมี พวกยวิ และพวกมนุ าฟกเขา รวมเลย ทานศาสดา (ศ.) และสหายผูกลาของทานมีความประสงคท่ีจะเดินทางลัดที่ใกลท่ีสุดและ ใหไปถึงคายพัก แตไมมีทางเลือกนอกจากตองเดินทางผานสวนของยิวคนหน่ึงที่ช่ือวา มุร็อบบะอฺ เขาแสดงความไมพอใจท่ีทหารหาญของอิสลามจะเดินผานบริเวณที่เปนทรัพยสินของเขา เขาได แสดงมารยาททรามตอหนาทานศาสดา มิตรสหายของทานศาสดา (ศ.) ตองการท่ีจะสังหารเขา แต ทานศาสดา (ศ.) กลา ววา “อยา ไปยงุ กบั ชายใจมดื บอดคนนเี้ ลย”(๓๑๑) ทหารผูกลา สองนาย ทานศาสดาผูทรงเกียรติ (ศ.) มองดูทหารหาญของทานบุคลิก ลักษณะอันเต็มไปดวยความ เสียสละ และใบหนาอันเจิดจรัสของพวกเขาสองแสงประกายวาววับจับที่ปลายดาบของพวกเขา ทหารหาญซงึ่ ทา นศาสดา (ศ.) นาํ พวกเขามาถงึ ภูเขาอุฮุดเพ่ือปกปองศาสนาอิสลาม พวกเขาเปนกลุม ทหารที่มีความตางทางดานอายุอยูมาก มีท้ังคนท่ีอาวุโสมากและเด็กหนุมผูหาญกลาซึ่งอายุยังไมถึง สบิ หา ปล แรงขับดันของคนกลุมนี้มิใชอื่นใดเลย นอกจากเปนความปรารถนาอันแรงกลาท่ีจะไปให ถึงความสมบูรณสูงสุด ซึ่งมีอยูในสภาวะแหงการปกปองความเปนเอกานุภาพของพระเจาเทานั้น เพ่ือเปนการยืนยันเรื่องน้ี ขอนําทุกทาน ไปพบกับเร่ืองราวของผูอาวุโสคนหนึ่งและชายหนุมคน หน่งึ ซ่ึงเพิง่ ผา น

คนื วนั แตง งานไดค ืนเดียว ดงั นี้ (1) อัมรว บินุมูฮฺ คนแกหลังคอมคนหน่ึงซึ่งไมคอยแข็งแรงนัก อีกท้ังยังมีอาการบาดเจ็บ ท่ีขาขางหน่ึง เขาไดปลอยใหลูกชายทั้งส่ีของเขาออกสูสมรภูมิรบเพื่อปกปองศาสนาไปแลว ความ ปรารถนาแหงหัวใจของเขาท่ีลุกโชนอยูตลอดเวลาก็คือ ลูกชาวสุดที่รักของเขาไดเขารวมสูรบเพื่อ ปกปองสัจธรรม เขารําพันกับตัวเองวา ชางเปนความไมยุติธรรมเลยที่เขาตองปลีกตัวออกมาจากการสูรบ ทําไมตองปลอยใหโอกาสดีน้ีหลุดลอยไปดวย ? ญาติพ่ีนองของเขาไดพยายามหามเขา ไมให ออกไปรบ โดยบอกวา กฎเกณฑอิสลามไดผอนผันใหทานแลว ไมวาพวกเขาจะพูดอยางไรก็หาได ทําใหชายแกคนนี้ลมเลิกความตั้งใจ เขาไปพบทานศาสดา และกลาววา “ญาติพี่นองของขาพเจา พยายามท่ีจะหามขาพเจาไมใหออกรบ ทานจะวาอยางไร ?” ทานศาสดา (ศ.) ตอบเขาวา “อัลลอฮฺ ทรงผอนผันใหทานแลว และทานไมจําเปนตองออกรบแตประการใด”(๓๑๒) แตเขายังพยายามและ ยืนกรานตามเดิมจนทาน ศาสดา (ศ.) ตองเรียกญาติพ่ีนองของเขาเขาพบ ทาน (ศ.) หันหนาไปยัง ญาติ พ่ีนองของเขาพรอมกับกลาววา “พวกทานอยาไดหามเขาไมใหไดลิ้มรสชาติ แหงการเปน ชะฮีดเลย” เขารีบผลุนผลันออกจากบานพรอมกับลํานําปลุกใจวา “โอพระเจาไดโปรดใหขาไดถูก สังหารในวถิ ที างของพระองคดว ยเทอญ อยาไดน ําขา พระองคกลับมายังบานของขา อกี เลย”(๓๑๓) ชายขาพิการคนน้ีสูอยางไมคิดชีวิตในสมรภูมิอันระทึกแหงอุฮุดน้ี เขาจูโจมเขาหาศัตรูดวย ขาพิการของเขาพลางกลาววา “ขาปรารถนาสวรรค” โดยมีลูกชายคนหน่ึงของเขารวมรบเคียงบา เคยี งไหลกับเขา เขาทั้งสองสูอยางหาญกลาจนกระทั่งไดรับตําแหนงชะฮีด สวนนองชายอีกคนหน่ึง ของเขาที่ชื่ออบั ดลุ ลอฮกฺ ็เปน ชะฮีดดว ย(๓๑๔) (2) ฮันซอละฮฺ เปนชายหนุมอายุประมาณย่ีสิบกวาป เขาคือบุคคลที่เปนเสมือนตัวแทน ความหมายของโองการที่วา “พระองคทรงนําสิ่งมีชีวิตออกมาจากส่ิงไรชีวิต” (หมายถึงพระองค ทรงนําลกู ชายทบ่ี รสิ ุทธม์ิ าจากพอ

ทีโ่ สมม) กลา วคือ เขาเปน ลกู ชายของอบูอามีร ซ่ึงเปน ศัตรูตวั ฉกาจ คนหน่ึงของทานศาสดา (ศ.) พอ ของเขาไดเขารวมทําสงครามอุฮุดดวย และถือวาเปนตัวการคนหนึ่งไมหวังดีตออิสลามท่ีพยายามชี้ ชวนใหชาวกุเรชมาทําสงครามกับทานศาสดา (ศ.) เขาไมเคยลดละที่จะแสดงความเปนศัตรูตอ อิสลามเลย อกี ท้งั เขายังเปนตน เหตหุ น่ึงเรอื่ ง มสั ญดิ อันตราย ซง่ึ จะมีการกลาวถงึ เร่ืองนี้ในเหตุการณ ชว งฮจิ ญเราะฮศฺ ักราชท่ี 9 ความผูกพันในฐานะลูกมิไดทําใหฮันซอละฮฺหันเหออกจากการทําสงครามกับพอของ ตนเอง กลางคืนของวันซ่ึงเกิดการตอสูท่ีอุฮุดนั้นเปนคืนแตงงานของฮันซอละฮฺ เขาแตงงานกับบุตรี ของอบั ดุลลอฮอฺ บุ ัย ผกู วางขวางของชาวเอาซฺ คํา่ คืนนนั้ เองตอ งเปนค่ําคนื แหง การสงตวั เจา สาวอยา ง หลกี เล่ียงมไิ ด เม่ือเขาไดยินเสียงเรียกรวมพล หัวใจของเขารูสึกหว่ันไหว เขาไมรูจะตัดสินใจประการใด นอกจากตองไปพบจอมทัพแหงอิสลามเพื่อขออนุญาตใหเขาไดอยูคางคืนที่เมืองมะดีนะฮฺ แลวพอ รงุ เชา เขากจ็ ะรบี ไปยงั สมรภมู ิทันที ตามการรายงานของทา นอัลลามะฮมฺ ัจญลิซ(๓๑๕) โองการตอไปน้ี ถกู ประทานลงมา อนั เน่อื งจากเขาเปน สาเหตุ ดงั ทีว่ า “อันท่ีจริงบรรดาผูศรัทธาคือบุคคลซ่ึงมีศรัทธามั่นตออัลลอฮฺ และศาสดาของพระองคเม่ือ พวกเขาไดตกลงอยูรวมกับเขาในการงานอันเปนมติหน่ึง พวกเขายังไมไดออกไป จนกระทั่งไดขอ อนุญาตเขาแลว แทจริงบุคคลผูซึ่งขอ อนุญาตเจานั้นคือบุคคลผูซึ่งมีศรัทธาม่ันตออัลลอฮฺและ ศาสดาของพระองค ดังน้ันเมื่อเขาไดขออนุญาตเจาในกิจการงานหนึ่งของพวกเขาแลวละก็ จง อนุญาต ไปตามท่ีเจาประสงค” (อันนรู / 62)(๓๑๖) ทานศาสดา (ศ.) อนุญาตใหเขาไดเขาหอหนึ่งคืน เชาวันรุงข้ึน ฮันซอละฮฺ ก็รีบรุดไปยัง สมรภูมิรบทันทีโดยยังไมไดอาบนํ้าชําระรางกายจากมลทิน (ฆุซุลญินาบะฮฺ) ในตอนท่ีเขาจะออก จากบานนั้น นํ้าตาของเจาสาวไหลอาบแกมของเธอ มันเปนการแตงงานเพียงคืนเดียวเทานั้น เธอ วางมือของเธอลงบนตนคอของเขา และตองการใหเขารอสักครู โดยเธอเรียกชายสี่คนที่ยังมีเหตุตอง อยใู นเมอื งมะดีนะฮมฺ าเปนพยานเธอวา เมอ่ื คนื นเ้ี ธอ

และสามขี องเขาไดมโี อกาสรว มหลับนอนกันแลว ฮันซอละฮฺออกมานอกบาน ภรรยาของเขาหันหนาไปยังชายทั้งส่ีแลวกลาววา เมื่อคืนน้ีฉัน ฝนเห็นทองฟาแยกออก แลวสามีของฉันก็เขาไปในนั้น จากนั้นทองฟาก็ปดลง จากความฝนน้ีฉัน รูสึกวาสามีของฉันกําลังเดินทางขึ้นสูโลกเบ้ืองบนและตองไดล้ิมรสชาติแหงการเปนชะฮีดเปนแน แท ฮนั ซอละฮรฺ ีบเขาไปสมทบกับกองทหาร ทันใดน้ันเองทส่ี ายตาของเขาไปเจออบูซุฟยานซ่ึง กําลังข่ีมาตรวจแถวทหารอยู เขารีบพุงตัวออกไปประชิดดวยดาบท่ีมั่นอยูในมือดวยความกลาหาญ แตค มดาลพลาดไปโดนมา ของอบซู ุฟยาน เขาตกลงจากหลังมา เสียงรองตะโกนของอบูซุฟยานทําใหชาวกุเรชรีบมายังเสียงนั้น ชัดดาดลัยษี เขาจูโจม มายังฮันซอละฮฺ เลยทาํ ใหอ บซู ุฟยาน รอดพน จากเงือ้ มมือของฮนั ซอ ละฮไฺ ปได ทหารพลหอกของกุเรชคนหน่ึงไดพุงหอกไปปกท่ีรางของฮันซอละฮฺ เขาจึงจําเปนตองลา ถอยโดยใชด าบยนั พ้ืนไว แลวตวั เองกล็ มลงกับพนื้ ทานศาสดาผูท รงเกียรติกลาววา “ฉันเห็นมะลาอกิ ะฮกฺ ลุมหน่ึงทําการอาบน้าํ ชําระมลทิน (ฆุ ซุลญนิ าบะฮ)ฺ ใหก บั เขา” จากตรงนี้เองท่ีผูคนกลาวขานถึงเขาในชื่อวา ฆอซีลุลมะลาอิกะฮฺ (ผูท่ีมะลาอิกะฮฺอาบนํ้า ให) และเมื่อตอนที่กลุมชนเอาซฺนับจํานวนผูไดรับเกียรติสูงสุดจากการสูรบ พวกเขากลาวขึ้นวา “ฮนั ซอละฮฺ ผูท ม่ี วล มะลาอิกะฮอฺ าบนาํ้ ใหน ั้นคอื พวกเรา” อบูซุฟยานกลาววา “เมื่อพวกเขาสังหารลูกของขานามวา ฮันซอละฮในสมรภูมิบะดัร ขาก็ ไดสังหารฮันซอละฮทฺ ่เี ปน มุสลมิ ในสมรภูมิอุฮดุ ไดเ ชนกนั ” สภาพของเจา บาว-เจาสาวคูนี้มีเร่ืองที่ชวนใหคิด กลาวคือ คนท้ังคูถือวาเปนทหารหาญแหง อิสลาม แตพอของคนท้ังสองกลับเปนศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม พอของเจาสาวคืออับดุลลอฮฺบิน อบุ ัย ซะลลุ หัวหนา พวกมนุ าฟก

ของเมืองมะดีนะฮฺ และพอของฮันซอละฮฺก็คืออบูอามีรเคยเปนนักบวช ในยุคญาฮิลียะฮฺ (กอนการ มาของอิสลาม) ซึ่งภายหลังการประกาศอิสลาม เขาก็ไดเขารวมกับพวกมุชริกในเมืองมักกะฮฺ และ เขายังเปน ผชู ักชวนให เฮอรก ลุ เขามาบดขยรี้ ฐั บาลอิสลาม(๓๑๗) การจัดทพั ของกองกาํ ลังท้ังสอง รุงเชาของวันที่ 7 เดือนเชาวาล ป ฮ.ศ. 3 กองกําลังอิสลามไดจัดทัพเผชิญหนากับผูรุกราน ชาวกุเรช กองทหารแหงเตาฮีด (ความเปนเอกานุภาพของพระเจา) ไดยึดเอาชัยภูมิโดยหันหลังให ภูเขาอุฮุดซึ่งเปนปราการตามธรรมชาติ แตตรงกลางหุบเขาจะมีชองแคบอยู ซ่ึงคาดการณไดวาศัตรู อาจใชก ลยทุ ธออ มไปหลงั เขา แลว เขา โจมตีมสุ ลิมจากทางดา นหลัง เพอ่ื การปองกันอันตรายดังกลาว ทานศาสดา (ศ.) จึงไดสั่งกําชับกองพลธนู 2 กองต้ังมั่นอยู เชิงเขา โดยการบังคับบัญชาของอับดุลลอฮฺ ุบัยรฺ ทาน (ศ.) ส่ังวา “พวกทานคอยยิงธนูเขาใสขาศึก จะตองไมปลอยใหพวกเขาออมไปดานหลังเปนอันขาด โดยเราไมรูตัว ในการตอสูนั้นไมวาเราจะ เปน ฝายชนะหรือแพ พวกทานกต็ องไมปลอ ยใหช ยั ภูมิน้วี างเปนอันขาด”(๓๑๘) ตอนจบของการสูรบที่อุฮุดน้ันแสดงใหเราเห็นวายุทโธปกรณอันมีคาของขาศึกน้ันชวนให หลงใหลย่ิงนัก ความพายแพของมุสลิมท่ีเกิดข้ึนภายหลังจากที่เกือบไดรับชัยชนะข้ันเด็ดขาดแลว น้ัน ก็เปนเพราะพลธนูไมยอมทําตามคําสั่ง ละทิ้งฐานที่ม่ันของตนเอง ศัตรูท่ีแตกพายไปแลวกลับ หวนมาโจมตีอยา งรวดเรว็ โดยมุสลิมกาํ ลังงวนอยกู ับการเก็บอาวธุ โดยไมรตู ัว คาํ สั่งอนั เดด็ ขาดของทานศาสดา (ศ.) ที่หามไมใหพลธนู ละทิ้งฐานที่มั่นของตนเองเปนอัน ขาดแสดงใหเห็นวาทานศาสดา (ศ.) มีความเชี่ยวชาญในดานกลศึก แตความชํ่าชองทางการทหาร ของจอมทัพ กใ็ ชว า จะสามารถเผด็จศกึ ได หากพลทหารไมฟง คําสั่งของผบู งั คับบัญชา

ปลุกใจทหารหาญ ในสมรภูมิตางๆ ทา นศาสดา (ศ.) ไมเคยละเลยที่จะใหขวัญกําลังใจกับทหารหาญของทาน ศึกครั้งน้ีท่ีมีมุสลิม 700 คนรวมตอสูกับพวกกุเรชจํานวน 3000 คนก็เชนกัน ทานศาสดา (ศอล.) ได กลาวเทศนา เพือ่ เปนการปลุกขวัญและกําลังใจของกองทหารของทานดังน้ี ตามการบันทึกของทาน วากิตี ดังน้ี ทานศาสดา (ศ.) สั่งใหพลธนู 50 คนต้ังม่ันอยูบนเนินอัยนัยนฺ โดยมีภูเขา อุฮุดเปนปราการ หลังและเมืองมะดีนะฮฺอยูดานหนา ทานเดินตรวจแถวทหารและกําหนดตําแหนงของหัวหนากอง กําลังฝายตางๆ วาใครจะอยูดานหนา ใครจะอยูดานหลัง ดวยตัวทานเอง ทานมีความละเอียดในการ จดั แถวทหารอยางมาก ถึงขนาดท่ีถามีทหารคนใดยื่นไหลออกมานอกแถวทานจะส่ังใหจัดแถวใหม ทันที หลังจากที่ทานจัดแถวทหารเปนท่ีเรียบรอยแลว ทานไดหันหนามายังกองทหารมุสลิมแลว กลาววา “ฉันขอเตือนพวกทาน ตามท่ีอัลลอฮฺไดทรงตักเตือนฉันไววา จงเชื่อฟงและปฏิบัติตามพระ บัญชาของพระเจา อยา ไดฝ า ฝน พระองคเ ปน อนั ขาด... การตอสูกับศัตรูนั้นเปนเร่ืองที่สาหัสสากรรจ มีนอยคนนักท่ีสามารถยืนหยัดตอกรกับพวกเขาได นอกจากตองเปนบุคคลที่พระเจาทรงชี้นําและ ประทานความแข็งแกรงใหแกพวกเขา พระเจาเทานั้นท่ีจะอยูกับผูที่เชื่อฟงและปฏิบัติตามพระ บัญชาของพระองค สวนชัยฏอนนัน้ จะอยเู คียงคกู บั บคุ คลทฝ่ี า ฝน พระบัญชาของพระองค ในการตอสูน้ันตองใชการยืนหยัดเปนประการแรก จากวิธีการนี้เองที่พวกทานจะไดรับ ความสมบูรณพูนสุขที่พระเจาไดทรงสัญญาไวกับพวกทาน(๓๑๙) ผูสื่อสาสนวะฮฺยูไดกลาวกับฉันวา ไมมีใครเสียชีวิตไปในวิถีทางแหงการตอสู นอกจากเขายังคงไดรับปจจัยยังชีพอยู...ถายังไมไดรับ คาํ สัง่ หามผูใดเรม่ิ ทาํ ศกึ เปนอันขาด”(๓๒๐)

ศัตรกู จ็ ดั แถวรบ อบูซุฟยานไดแบงกองกําลังทหารของตนเองออกเปน 3 สวน พลเดินเทาสวมเส้ือเกราะอยู ตรงกลาง กองกําลังปกขวานําโดยคอลิดบินวะลีด กองกําลังปกซายนําโดยอักรอมะฮฺ และมีกอง กาํ ลังพเิ ศษคอยถือธงรบอยูด านหนาของกองทหารทง้ั หมด จากนั้นเขาไดหันหนามายังผูถือธงรบซ่ึงเปนคนของเผา บนีอับดุดดาร และกลาววา “ชัย ชนะของกองทหารอยทู ีก่ ารยืนหยัด และความม่นั คงของผถู ือธงรบ เราพา ยในสมรภมู ิบะดั้รก็ตรงจุด นี้ หากชนเผาบนีอับดุดดารแสดงออกถึงการไรความสามารถที่จะพิทักษธงไวละก็ เราก็พรอมจะยก เกียรติยศนี้ไปใหกับชนเผาอื่น” คํากลาวเชนนี้เองท่ีทําใหฏ็อลฮะฮฺ บินอะบีฏ็อลฮะฮฺ ชายผูกลาและผูถือธงรบคนแรกของ กุเรชรบี รุกไปขา งหนา อยางหา วหาญ ปลุกใจ กอนที่การสูรบจะเร่ิมตนขึ้น ทานศาสดา (ศ.) จับดาบไวในมือและกลาวปราศรัยเพื่อเปน การปลุกขวัญและกําลังใจของทหารหาญแหงอิสลามวา “ใครจะเปนผูรับดาบเลมนี้ไป และปฏิบัติ ตามสิทธิของมัน?”(๓๒๑) มีคนกลุมหนึ่งลุกขึ้นยืน แตทานศาสดา (ศ.) ก็ยังไมมอบดาบใหกับผูใด จากน้ัน อบูดะญานะฮฺ ซึ่งเปนทหารผูกลาคนหนึ่งก็ลุกขึ้น แลวถามทานวา “ท่ีวาสิทธิของดาบเลมนี้ หมายถึงอะไร ? จะปฏิบัติตามสิทธิของมันไดอยางไร ?” ทานศาสดา (ศอล.) ตอบวา “สูจนดาบงอ” อบดู ะญานะฮฺ ตอบวา “ขา พเจา พรอ มทจ่ี ะเปนผูป ฏบิ ตั ติ ามสิทธิของดาบนั้น” แลว เขาก็หยิบผาสีแดง สด ซ่ึงเรียกกันวา ผาเช็ดหนาแหงความตาย ออกมาคาดไวท่ีศีรษะและรับดาบ จากทานศาสดา (ศ.) เมื่อใดก็ตามท่ีเห็นอบูดะญานะฮฺคาดศีรษะ ดวยผาผืนนั้น ก็เปนอันแสดงวาเขาจะตอสูจนวาระ สดุ ทายของชวี ติ (๓๒๒) เขาเดินอยางทะนงองอาจเชนราชสีหผูจองหอง จากเกียรติยศท่ีเขาไดรับนั้นทําใหเขาดีใจ เปนที่สุด ผาสีแดงผืนนน้ั ย่ิงทาํ ใหเ ขาดโู ดดเดนข้ึน

ไปอกี การปลุกใจกองทหารหาญซึ่งทําหนาที่ปกปองสัจธรรมและจิตวิญญาณอันสูงสง และมี เปาหมายอยูตรงท่ีความเชื่ออันอิสระและปรารถนาความสมบูรณแหงชีวิตน้ัน เปนการปลุกใจที่ดี เยี่ยมท่ีสุด จุดมุงหมายของทานศาสดา (ศ.) ไมไดอยูแคปลุกใจอบูดะญานะฮฺเทาน้ัน แตทานยัง ตองการปลุกการรับรูของบุคคลอื่นดวย ทานตองการใหคนอื่นเขาใจวา พวกเขาตองตัดสินใจและ แสดงความกลาหาญออกมาใหถ งึ ระดบั ทจ่ี ะไดรับเหรยี ญรางวลั ทางทหารเชนนี้ ซุบัยรฺอะวาม ก็เปนทหารผูกลาอีกคนหนึ่ง เขารูสึกเสียใจที่ทานศาสดา (ศ.) ไมไดมอบดาบ เลม น้ันใหกับเขา เขารําพันกับตัวเองวา “ขาตองคอยตามดูอบดู ะญานะฮฺ เพื่อใหเห็นระดับความกลา หาญของเขา” เขากลาววา “ขาพเจาคอยติดตามเขาในสมรภูมิรบ พบวาไมมีทหารกลาคนใดที่สามารถ ตอกรกับเขาไดเลย... ในหมูทหารกุเรชมีทหารที่รางกายกํายําคนหน่ึงซึ่งประทับบาดแผลไวท่ีราง ของมุสลิมไดอยางรวดเร็ว ขาพเจารูสึกขัดใจยิ่งนัก ชางโชคดีเหลือเกินท่ีชายคนน้ีเจอกับอบูดะญา นะฮฺ คนทงั้ คฟู าดฟนกันอยา งหนัก ในท่ีสดุ ชายรา งกาํ ยําคนนน้ั เปน ฝา ยพายใหก ับอบูดะญานะฮฺ อบูดะญานะฮฺรายงานวา ขาพเจาเห็นคนผูหน่ึงกําลังกลาวปลุกใจใหกองทหารของกุเรชลุก ขึ้นสู ขาพเจาจึงมุงตรงไปยังเขาผูนั้น เมื่อเขาเห็นดาบกวัดแกวงอยูเหนือศีรษะของเขา เขากรีดเสียง รองออกมา ขาพเจาเพ่ิงรูวาน่ีคือฮินดฺภรรยาของอบูซุฟยาน (จึงไมไดลงมือสังหารเพราะ) ขาพเจา เหน็ วา ดาบของทานศาสดา (ศ.) บรสิ ุทธ์ิเกินกวาท่ีจะประทับคมของมันลงบนศีรษะของคนเชนฮินด (๓๒๓) การตอสูไ ดเ ร่มิ ตนข้ึน สงครามเริ่มตน ข้ึนโดยนา้ํ มอื ของอบอู ามรี หน่ึงในกลุมบุคคลท่ีหลบหนีออกมาจากเมอื งมะ ดนี ะฮฺ เขาเปนคนของชนเผา เอาซฺ เน่อื งจากเขา

แสดงตนเปนปรปกษตออิสลามอยางเปดเผย จึงตองล้ีภัยไปอยูท่ีเมืองมักกะฮฺ เขามาพรอมกับทหาร ที่เปนชาวเอาซฺจํานวน 15 คน ในตอนแรกเขาเขาใจวาเม่ือพวกเอาซเห็นเขาแลว คงจะผละหนีจาก ทานศาสดา เขาจึงรีบรุดมาขางหนา แตเม่ือเขาไดเผชิญหนากับกองทหารมุสลิม เขากลับไดรับคํา ผรุสวาทจากมุสลิม หลังการเปดฉากตอสูผานไปเพียงเล็กนอย เขาก็หลบหนีออกจากสมรภูมิไป (๓๒๔) ความเสียสละของทหารหาญหลายตอหลายคนในสมรภูมิอุฮุดน้ันเปนที่รับรูกันในหมูนัก บันทกึ ประวัติท่มี ีชอื่ เสียงหลายคน ชอ่ื เสียงของทานอิมามอะลี (อ.) เปน ท่ีประจกั ษชดั ที่สุดในหมูคน เหลานั้น ทานอิบนุอับบาสกลาววา อะลีเปนผูถือธงชัยในทุกสมรภูมิ โดยปรกติผูถือธงชัยจะไดรับ เลือกมาจากคนท่ีมีความแข็งแกรงและกลายืนหยัด ในสมรภูมิอุฮุดธงชัยของพวกมุฮาญิรีนอยูในมือ ของอะลี สว นตามการรายงานของนักประวัตศิ าสตรส วนมากกลา ววา ภายหลงั จากท่ีมศุ อับบินอุมัยรฺ ซง่ึ เปนผถู อื ธงชัยของมุสลิมถูกสังหาร ทานศาสดา (ศ.) ไดมอบธงชัยน้ีใหกับทานอะลี สาเหตุถือมุศ อับเปนผูถือธงชัยคนแรกน้ันก็อาจเปนเพราะวา เขาเปนคนของเผาบนีอับดุดดาร ซ่ึงผูถือธงชัยของ พวกกุเรชกเ็ ปน คนของเผาบนีอบั ดดุ ดารเชน กัน(๓๒๕) ฏ็อลฮะฮฺ อะบีฏ็อลฮะฮฺ ซึ่งไดรับการขนานนามวา กับซุลกุตัยบะฮฺ (หมายถึง ทหารแถว หนา) ไดม ายังสนามรบพรอมกับตะโกนขึ้นวา “สหายของมุฮัมมัด พวกเจาใชไหมท่ีบอกวา คนของ พวกเราท่ถี กู สงั หารไปนนั้ ตองจมปลักอยใู นนรก สวนคนของพวกเจาที่ถูกสังหารไปน้ันจะไดอยูใน สวรรค ถาเปนเชนน้ี จะมีใครไหมท่ีขาจะไดนํามันเขาสูสวรรค หรือไมก็สงตัวขาไปนรกแทน” เสียงของเขาดังกังวาลไปทั่วสมรภูมิ ทานอะลี (อ.) รุดออมายืนขางหนา และหลังจากที่ไดประดาบ กนั ครหู นึง่ ฏอ็ ลฮะฮกฺ เ็ ปน ฝายลม กลง้ิ นอนตายจมกองเลือดโดยฝม ือดาบของทานอะลี หลังจากที่ฏ็อลฮะฮฺถูกสังหารแลว ธงชัยของพวกกุเรชก็ถูกมอบแกพี่นองสองคนของฏ็อล ฮะฮฺ และทงั้ สองกต็ ายดว ยฝมอื ธนขู องอาศิม ษาบติ น่ันเอง จากถอยคําของทา นอะมีรลุ มุอม นิ ีนอะลี (อ.) ในวันแหง การประชุม

เพ่ือเลือกผูนํา (ชูรอ) ภายหลังจากคอลีฟะฮฺท่ีสองเสียชีวิตแลวไดความกระจางวา ทหารของพวก กุเรชมีอยู 9 คนที่ทําหนาที่ถือธงชัย โดยมีการจัดลําดับกอนหลัง กลาวคือ ถาคนแรกถูกฆาคนที่สอง ตองเขามารับ หนาทถ่ี ือธงแทนเร่ือยไปจนคนสุดทาย และทั้งหมดเปนคนของเผาบนี อับดุดดาร ซ่ึง ในสมรภูมิอุฮุด ทั้งหมดถูกสังหารดวยน้ํามือของทานอะลี จากน้ันธงก็ตกมาอยูในมือของทาสชาว ฮะบะชีนามวาเศาอบั ซึ่งมหี นาตาที่ อปั ลักษณน ากลัว กเ็ ปน อกี ผหู นง่ึ ทีถ่ ูกสังหารโดยทานอะลี ทานอิมามอะลี (อ.) กลาวทามกลางการรวมชุมนุมของสาวกของทานศาสดาในคราวน้ันวา “พวกทา นยังจาํ ไดไหมในคราวที่ฉันเปนผูปดดาบจากศีรษะของพวกทาน ดวยการสังหารผูถือธงชัย ทั้งเกาคนของพวกกุเรชซึ่งเปนชาวบะนีอับดุดดารท่ีหาญกลา” ทั้งหมดท่ีรวมชุมนุมกันอยูตางตอบ รบั เปน เสียงเดียวกัน(๓๒๖) เขายังกลาวอีกวา “พวกทานคงจําไดเม่ือหมดวาระของคนช่ัวท้ังเกาแลว เศาอับ ทาสชาว ฮะบะชีก็เขามาในสนามรบ ซึ่งทุกคนก็รูดีวาเขามา เพื่อจุดประสงคเดียวคือสังหารทานศาสดา เขา แผดเสยี งพรอ มกับขบฟน ดวยความโกรธจัดดวงตาของเขาเปนสีแดงก่ํา เมื่อพวกทานเห็นนักรบผูน้ี ก็เกิดความขยาดและหันหลังกลับ สวนขาพเจานั้นเดินไปขางหนา แลวฟาดดาบไป ที่เอวของเขา แลวเขากล็ มลง มิใชหรือ ? คนท่ีรว มชมุ นุมอยูท น่ี ่ันตา งตอบรบั เปน เสยี งเดยี วกนั ผคู นซงึ่ สูร บเพ่ือสนองตัณหา จากบทลํานําที่ฮินดฺและพวกผูหญิงใชขับรองเพื่อการปลุกในทหารกุเรช รวมทั้งเสียงกลอง อันเรารอนที่เชิญชวนใหมีการหล่ังเลือดและแสดงความเปนศัตรูคูอาฆาตน้ันทําใหเปนท่ีประจักษ ชัดวา คนพวกนี้มิไดทําการสูรบเพ่ือความสูงสงทางจิตวิญญาณ ความสะอาดบริสุทธิ์ ความมี เสรีภาพและจรรยาอันงดงามเลย แตส่ิงท่ีพวกเขาใชนั้นกลับเปนการเลาโลม ในเร่ืองเพศและความ เปน ทาสของวัตถุ มบี ทกลอนอยบู ทหน่ึงซึง่ พวกผูห ญิง ไดนํามา

รองเพือ่ ปลกุ ใจทหารของพวกนาง ดังนี้ พวกเราคอื ลูกสาวของฏอรกิ เราเดนิ อยูบนพรมอนั ลํ้าคา หากพวกทานหนั หนา เขาหาศัตรู เรากจ็ ะไดเ คียงหมอนกัน แตหากพวกทา นหันหลังใหศตั รู เราก็จะแยกทางจากกนั ไมเ ปนทส่ี งสัยเลยวา ประชาชาตทิ ี่ตอสโู ดยมกี ามารมณเ ปน แกนหลกั และไมมีเปาหมายเพ่ือ สิ่งอ่ืนใดนอกจากความสุขทางโลกยและความปรารถนาเย่ียงสัตว ยอมมีความแตกตางอยางเห็น เดนชัดและเทยี บกันไมไดก ับประชาชาตทิ ี่ตอสูเพ่ือเปาหมายอันศักด์ิสิทธิ์ เชนเผยแผค วามมีเสรีภาพ ยกระดับความคิด และปลดปลอยมนุษยใหเปนอิสระจากทาสแหงการบูชาเจว็ด จากสาเหตุอัน แตกตางกันท่ีมีอยูในวิญญาณของกลุมท้ังสอง ผานไปเพียงไมเทาไรจากความหาวหาญของทหาร กลาแหงอิสลามเชนทานอะลี ทานฮัมซะฮฺ ทานอบูดะญานะฮฺ และซุเบร กองทหารของกุเรชก็ตอง ทงิ้ ดาบ และอาวุธ แลว เผน หนไี มคดิ ชวี ิต เกยี รติยศยง่ิ เพมิ่ สูงข้นึ ในกองทหารผกู ลาแหง อสิ ลาม(๓๒๗) พา ยหลังจากชนะ ทําไมถึงชนะ ? ก็เพราะวา ทหารหาญแหงอิสลามนั้น ตราบใดท่ียังไมชนะ พวกเขาไมเคย คดิ ถึงสิ่งอื่นใดนอกจากการตอสูในวิถีทางแหงพระเจาเพ่ือแสวงหาความพึงพอพระทัยของพระองค การเผยแผศ าสนาแหง เอกานภุ าพของพระองค และขจัดอปุ สรรคท่ีมาขัดขวางแนวทางดงั กลาว แลวทําไมจึงพายแพ ? ก็เพราะวาภายหลังไดรับชัยชนะแลวเปาหมายและเจตนารมณของ กองทหารมุสลมิ ทีเ่ คยแนวแนก ็แปรเปลีย่ นไป ความสนใจทรัพยเชลยทีท่ หารกเุ รชท้ิงไวกอนเผนหนี ทําใหความบรสิ ุทธข์ิ องคนกลุม นีเ้ กดิ ความมวั หมองและลมื คําบัญชาของทา นศาสดา (ศ.) นี่คือรายละเอียดของเหตุการณดังกลาว เราไดอ ธิบายถึงชัยภูมขิ องอฮุ ุดไปแลว ซึ่งขอกลาวยาํ้ อีกครัง้ วา ตรงกลางของภูเขาอุฮุดมีหุบ เขาเปนทางเฉพาะแหงหน่ึง ทา นศาสดา (ศ.) ไดม อบ

หมายใหพลธนู 50 คนโดยการบังคับบัญชาของอับดุลลอฮฺุเบร คอย สังเกตุการณอยูเชิงเขา พวก เขาไดรับบัญชาวาใหคอยยิงธนูสกัดก้ันมิใหพวกกุเรชผานหุบเขาใจกลางอุฮุดไปได และตองไมท้ิง จุดยทุ ธศาสตรด ังกลา ว เปนอันขาดไมวา กองทหารจะไดร บั ชยั ชนะหรือพายแพต อ ศัตรกู ต็ ามที ทามกลางการตอสูอยางพัลวันกันนั้น ไมวาศัตรูจะพยายามท่ีจะผานหุบเขานั้นไปคราใด พวกเขาก็ตอ งพบกับการสกัดกัน้ ดว ยพลธนู เหลา น้ันอยา งแนน หนา ในชวงเวลาน้ันเองท่ีทหารกุเรชทิ้งอาวุธและยุทธปจจัยทุกอยางไวกลางสมรภูมิ เพื่อว่ิงหนี เอาตัวรอดกัน กองทหารเพียงหยิบมือเดียวท่ีอยูในระดับนําของอิสลาม ซึ่งพวกเขาไดใหสัตยาบันที่ จะรวมสูจนเลือดหยาดสุดทาย ก็ยังคงทําหนาที่รุกไลศัตรูอิสลามอยางเอาเปนเอาตายอยูนั้น กลับมี ทหารมุสลมิ กลมุ ใหญเปลี่ยนใจที่จะรุกไลศัตรู โดยหันไปสนใจอาวุธและยุทธปจจัยท่ีกองเกล่ือนอยู ในสมรภมู ิ พวกเขางวนอยูกับการเกบ็ สิ่งเหลา นั้น โดยคดิ วา งานของพวกเขาสิ้นสดุ ลงแลว พลธนูซึ่งคอยรักษาฐานที่ม่ันเชิงเขาก็ไมปลอยใหโอกาสทองหลุดมือไป พวกเขากลาวข้ึน วา เราต้ังม่ันอยูที่น้ีก็ไรประโยชน นาจะไปรวมเก็บทรัพยเชลยเหลานั้นกันดีกวา แตผูบังคับบัญชา ของพวกเขาทักทว งขน้ึ วา ทา นศาสดาส่ังไวแลววา หามไปจากท่ีน่ีโดยเด็ดขาด ไมวาทหารอิสลามจะ แพหรอื ชนะ พลธนูสวนใหญกลับโตแยงคําสั่งของผูบังคับบัญชาโดยกลาววา “การหยุดอยูที่นี่ไมมี ประโยชนอันใดเลย จุดมุงหมายของทานศาสดา ก็คือใหเราตั้งม่นั อยูท่ีน่ีในตอนสูรบ แตตอนนี้การ สรู บจบสิน้ แลว ” จากความคิดดังกลาว พลธนู 40 คนที่ทําหนาท่ีคอยระวังภัยก็ลงมาจากฐานท่ีม่ัน เหลือไว เพยี ง 10 กวา คนเทา นน้ั คอลิดบนิ วะลีด นักรบท่ีกลาหาญ และชํานาญศึก ซึ่งในตอนเร่ิมตนการสูรบ น้ันเขารูอยูแกใจแลววาชองแคบกลางหุบเขาน้ันคือกุญแจแหงชัยชนะ โดยเขาไดพยายามหลายตอ หลายคร้ังท่ีจะผานบริเวณน้ันไปเพื่อโจมตีมุสลิมจากดานหลัง แตเขาก็ตองเผชิญกับหาธนูของพล ธนู ในตอนนีเ้ มอ่ื เขาเห็นพลธนูเหลอื เพียงไมก ี่คน

จึงเปนโอกาสดีที่เขาจะไดนําทหารของเขาฝาวงลอมเขาไปดานหลังเพ่ือโอบตีพวกมุสลิม จํานวน คนนอยที่คอยปองกันเพียงไมถึงสิบคน จึงไมอาจตานเขาไวได แลวพลธนูท้ังสิบคนก็ถูกสังหาร ทหารของคอลิด และอักรอมะฮฺบิน อะบีญะฮ้ัล จากนั้นไมนานมุสลิมท่ีไรอาวุธก็เปนฝายถูกรุกฆาต จากศัตรทู พ่ี รอ มอาวุธครบมือเม่อื คอลิดไดเขายึดพน้ื ที่ท่ีเปน เสมือน ชยั ภูมิไดแลว เขาไดพยายามรอง ตะโกนใหพวกทหารกุเรชที่กําลังหลบหนีนั้นกลับเขามายังสมรภูมิ ซึ่งมันไดสรางขวัญและกําลังใจ กลบั มาใหค นกลมุ น้ีอกี ครง้ั หนึง่ ผานไปไมเทาไร ผลจากการแตกกระสานซานเซ็นของมุสลิม ทหารกุเรชก็กลับเขามาสู สนามรบอีกครัง้ หนึง่ โดยเขา โอบลอ มทหารมุสลิมไว การตอ สูกไ็ ดเ รม่ิ ข้นึ อีกคาํ รบหน่ึง สาเหตุแหงความพายแพครั้งนี้มาจากความเขลาของบุคคลกลุมหนึ่งที่ละท้ิงฐานที่ม่ันของ ตนเองโดยแลกกับผลประโยชนทางวัตถุ พวกเขาไมรูวานั่นเปนการเปดทางสะดวกใหกับศัตรูที่นํา ทัพโดยคอลิดบินวะลดี เขา มาตีตลบหลังกองทพั มุสลิม การจูโจมของคอลิดบินวะลีดประสานเขากับการจูโจมของอักรอมะฮฺสรางความโกลาหล ใหเกิดข้ึนอยา งหนักในกองทัพมุสลิม พวกเขาไมมีทางเลือกนอกจากตองแยกปองกันตัวเอง แตทวา เมื่อคําบัญชาไมศักด์ิสิทธ์ิ พวกเขาก็ไมอาจประสบความสําเร็จได เหลือไวเพียงความเสียหายอัน ประเมินคา มไิ ด ทหารหาญของอิสลามตอ งสังเวยชวี ิตไปมใิ ชน อ ย การเขา จโู จมของคอลิดและอักรอ มะฮฺสรางความฮึกเหิมใหกับกองทหารกุเรช พวกท่ีหลบหนีไปแลวก็กลับเขามาในสนามรบตอและ ผนกึ กาํ ลังรว มสูกบั มุสลิมอกี ครง้ั มุสลิมถูกโอบลอมและถูกสงั หาร ขา วทา นศาสดาถกู สงั หารแพรไ ปอยางรวดเรว็ ลัยษีนักรบผูกลาของกุเรชไดเขาโจมตีมุศอับ บินอุมัยรฺ ผูถือธงชัยของอิสลาม หลังจากที่ได มีการโรมรันกันอยูพักใหญ ผูถือธงชัยของอิสลามก็เปนชะฮีด อันเน่ืองจากทหารของอิสลามคลุม หนา เขากเ็ ลยคดิ วา คนท่ีถูกสงั หารคอื

ทานศาสดา เขาจงึ รองตะโกนขน้ึ วา มุฮมั มัดถูกสังหารแลว ขาวกุดังกลาวถูกกระจายไปปากตอปากในหมูทหารกุเรช ความที่หัวหนาของกุเรชดีใจ อยา งสุดๆ พวกเขากต็ ะโกนกอ งไปทัว่ สนามรบวา มุฮมั มัดถูกสงั หารแลว มฮุ มั มัดถูกสังหารแลว การแพรกระจายขาวเทจ็ นที้ ําใหศ ัตรมู คี วามกลา ขน้ึ พวกเขารีบเคล่ือนไหว ทุกคนตองการมี สวนรวมในการตัดชิ้นสวนรางกายของทานศาสดา ทุกคนอยากไดเกียรติยศน้ีเพ่ือบันทึกไวในโลก วา ไดสังหารเขาแลว ขาวเท็จน้ีย่ิงสรางความฮึกเหิมใหเกิดข้ึนในหมูทหารของกเุ รชมากเทาใดก็ยิ่งสรางความหด หูใหเกิดขึ้นในกองทหารมุสลิมมากขึ้นเทานั้น ถึงขนาดที่มีมุสลิม กลุมหน่ึงผละหนีจากการสูรบ โดยหลบไปอยูตามเทือกเขาเหลือกลุม ทหาร เพยี งไมก ีค่ นทอ่ี ยูในสนามรบ สามารถปฏเิ สธการหลบหนีของคนบางคนไดห รอื ไม ? ไมอาจปฏิเสธเรื่องการหลบหนีของศอฮาบะฮฺบางคนได ความเปนศอฮาบะฮฺ (อัครสาวก) ของพวกเขา หรือการท่ีคนกลุมน้ีไดรับการสถาปนาใหมีตําแหนงใหญโตในหมูมุสลิม ก็ใชวาจะ เปนตัวการใหเ ราตองปฏิเสธประวัตศิ าสตรอ ันขมข่ืนน้ี ทานอิบนุฮิชาม นักบันทึกประวัตศิ าสตรผูย่ิงยงของอสิ ลามเขียนไววา อะนัส บินนะฏ็อร ผู เปนลุงของอะนัส บินมาลิก กลาววา ชวงเวลาที่กองทหารอิสลามอยูภายใตความกดดันอยางหนัก และขา วการเสยี ชีวติ ของ ทานศาสดา ถูกประโคมออกไปในสนามรบ มุสลิมสวนใหญคิดถึงแตชีวิต ของตนเอง ทุกคนตางหนเี อาตัวรอด... ขา พเจาเหน็ คนกลุมหน่ึงซงึ่ เปน มฮุ าญิรีนและอันศอรกําลังนั่ง เหมออยู หนึ่งในน้ันก็คือ อุมัร บินค็อฏฏอบ และฏ็อลฮะฮฺ บินอุบัยดิลลาฮฺ ขาพเจาจึงตะโกนมใส พวกเขาวา “พวกทา นมัวนั่งอยตู รงน้ที าํ ไม” พวกเขาตอบวา “ทา นศาสดาถูกสังหารแลว สูตอไปก็ไม มีประโยชน” ขา พเจาจึงกลาวตอบพวกเขาไปวา “หากทา นศาสดาถูกสังหารแลว การมีชีวิตอยูตอไป กไ็ รป ระโยชนก ระนน้ั หรือ ? รีบลกุ ข้นึ แลวไปเปนชะฮดี ตาม แนว

ทางทีเ่ ขาถูกสงั หาร”(๓๒๘) และตามคํากลาวของนักบันทึกประวัติศาสตรสวนใหญ เขากลาววา “หากมุฮัมมัดถูก สงั หาร พระเจาของมุฮมั มดั กย็ ังดํารงอย”ู แตเม่อื ขาพเจา เหน็ วา คําพดู ของขา พเจา ไรผ ล ขาพเจา กร็ ีบหยบิ อาวธุ ออกไปตอ สทู นั ที อบิ นฮุ ิชามกลาววา ในการสูรบครั้งน้ี อะนัสไดรับบาดเจ็บถึงเจ็ดสิบแผล ไมมีใครจํารางอัน ไรว ิญญาณของเขาไดนอกจากนองสาวของเขาเพียงคนเดยี ว มีมุสลิมกลุมหน่ึงแสดงความอดสูถึงขนาดวิ่งไปพบอับดุลลอฮฺ อุบัย ใหพาไปพบอบูซุฟ ยานเพื่อรอ งขอความคมุ ครองใหต นเองปลอดภัย(๓๒๙) โองการอลั กรุ อานไดเ ผยโฉมใหเ หน็ ความจรงิ แทห น่งึ โองการอัลกุรอานไดฉีกโฉมหนาความโงเขลาและความยึดติดโดยการบอกใหรูวา มีศอ ฮาบะฮฺกลุมหน่ึงซ่ึงคิดวา สัญญาของทานศาสดาในเรื่องชัยชนะน้ันเปนส่ิงที่ไรแกนสาร อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไดตรัสเกี่ยวกบั คนกลมุ นี้ไววา “...และมีบางกลุม (ท่ี) ตัวของพวกเขาเองทําใหพวกเขามีความวิตกกังวล-คิดถึงเพียงรักษา ชีวิตในโลกนี้เอาไว โดยไมตองการการตอสูใดๆ ท้ังสิ้น- พวกเขาคาดเดาในเรื่องของอัลลอฮฺโดย ปราศจากความเปนจริงอันเปนการคาดเดาแบบอนารยชน พวกเขากลาววา เรามีสิทธิ์ (เลือก) ใน เร่อื งดังกลา ว-สงคราม-บางหรอื เปลา...” (อาลอิ ิมรอน/154)(๓๓๐) ทานสามารถท่ีตรวจสอบโองการอัลกุรอานจากซูเราะฮฺอาลิอิมรอน(๓๓๑) แลวทานก็จะพบ ความจริงเร่ืองการตอสูที่ถูกปดบังไว โองการ เหลานี้เปนหลักฐานยืนยันความเชื่อของชีอะฮฺใน ประเด็นที่เกี่ยวของ กับศอฮาบะฮฺของทานศาสดาที่วา ศอฮาบะฮฺ บางคนของทานศาสดาน้ัน ไมได กลาหาญ และมีจิตใจมุงม่ันอยูกับแนวทางแหงเอกานุภาพของพระเจา ในหมูพวกเขา มีคนที่ออน ศรทั ธา อกี ท้ังยงั มพี วกกลบั กลอกปะปนอยดู วย แตอยา งไรก็ตามใน

หมูพวกเขาก็ยังมีบุคคลที่เปนผูศรัทธาม่ัน ผูยําเกรงท่ีหัวใจบริสุทธิ์ และเปนผูบริสุทธ์ิใจตอศาสนา อยูเ ปน จํานวนมาก ทุกวันนี้ยังมีนักเขียนอะฮฺลุซซุนนะฮฺอยูกลุมหนึ่งตองการท่ีจะขจัดเร่ืองราวที่ไมเหมาะสม ในหนาประวัติศาสตรซึ่งทานไดยินตัวอยางเหลานี้จากสงครามในครั้งนี้ ดวยการอธิบายแบบเฉไฉ ไปจากความจริง เพียงเพื่อรักษาสถานภาพของศออาบะฮฺท้ังหมดไว อยางไรก็ตาม การอธิบายเฉไฉ และเต็มไปดวยความยึดติดดังกลาวก็ไมอาจเปนตัวหักลางการเห็นความจริงในหนาประวัติศาสตร ได จะมนี กั เขยี นคนใดเลา ที่กลา ปฏิเสธความหมายของโองการทีก่ ลาวอยา งชัดแจงวา “(จงรําลึกถึงเหตุการณ) เมื่อพวกเจาจาก (สมรภูมิรบ) ไปไกล และไมสนใจผูใดทั้งสิ้น และ ศาสดาเรียกพวกเจาคนแลวคนเลาจนถึงคนสุดทาย ทุกคนไดยินเสียงรองเรียกของทานศาสดา-...” (อาลอิ มิ รอน / 153)(๓๓๒) โองการเหลานี้อางถึงกลุมบุคคลซ่ีงอะนัส บินนัศรฺเห็นพวกเขานั่งหลบมุมอยูและกําลัง คิดถงึ อนาคตของตนเอง ยังมีโองการทชี่ ดั เจนยงิ่ กวา นน้ั กลาวคอื “แทจริงบรรดาบุคคลผูซึ่งหันหลังจากพวกเจา-หลบหนีจากสงครามในวันที่กลุมทั้งสอง- มุสลิมกับผูปฏิเสธ-ไดเผชิญหนากัน อันที่จริงชัยฏอนไดโนมนาวพวกเขา (ใหทําส่ิงผิดพลาด) (อัน เน่ือง) ดวยบางอยางที่พวกเขาไดขวนขวายไว-เชนความหลงผิดที่อยูในหัวใจและพฤติกรรม- แนนอนย่งิ อลั ลอฮฺทรงยกโทษใหพ วกเขา แทจ ริงอลั ลอฮทฺ รงเปย มไปดวยการใหอภัย ทรงขันติยิ่งไม รบี เรงในการเอาโทษ-” (อาลอิ ิมรอน / 155)(๓๓๓) อัลกุรอานไดกลาวตําหนิกลุมบุคคลท่ีกลาวแกตัวท่ีตองหนีทัพวาเปนเพราะไดยินขาวทาน ศาสดาถูกสังหาร และมีความคิดที่จะไปหาอับดุลลอฮฺอุบัยเพ่ือใหพาไปอยูในความอารักขาของอบู ซุฟยานวา “มุฮัมมัดคือศาสดาคนหนึ่ง กอนหนาเขาก็ไดมีบรรดาศาสดามากอนแลว ฉะน้ัน หากเขา เสียชีวิตหรือถูกสังหาร พวกเจาจะผินสนเทากลับออกนอกศาสนา-กระน้ันหรือ และผูใดผินสนเทา กลบั -ออกนอกศาสนา-กไ็ มอาจ

สรางความเสียหายอันใดตออัลลอฮฺไดเลย และอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนรางวัลแกผูที่สํานึกในพระ มหากรุณาธคิ ุณ” (อาลอิ ิมรอน / 144)(๓๓๔) บทเรยี นอันขมขนื่ เมื่อพิจารณาตรวจสอบเหตุการณท่ีอุฮุดแลว ไดพบทั้งบทเรียนท่ีขมขื่นและหวานชื่น และ ยืนยันใหเห็นถึงการยืนหยัดอันม่ันคงของกลุมบุคคลหน่ึง และการไมยืนหยัดของอีกกลุมหน่ึง เมื่อ สนใจดูเหตุการณในหนาประวัติศาสตรแลว ก็จะไดประเด็นหนึ่งขึ้นมาวา ไมอาจใหการยอมรับได วามุสลิมทั้งหมดในฐานะท่ีเปนสาวกของทานศาสดาน้ันจําเปนตองเชื่อฟงมีความยําเกรง และรัก ความเที่ยงธรรมเสมอไป เพราะกลุมบุคคลที่ละทิ้งฐานที่ม่ันของตนเอง หรือวิ่งไปเก็บทรัพยสิน เชลยและไมส นใจเสยี งเรียกของทานศาสดา นั้นลว นเปน สาวกของทานทัง้ สน้ิ ทานวากิดี นักบันทึกประวัติศาสตรอิสลามบันทึกไววา ในวันสมรภูมิอุฮุดมีอยู 8 คนที่ได ใหสัตยาบันตอทานศาสดาวาจะรบเคียงบาเคียงไหลกับทานไปจนชีวิตหาไม สามคนเปนชาวมุฮาญิ รีนไดแก ทานอะลี ฏ็อลฮะฮฺและซูเบร สวนอีกหาคนเปนชาวอันศอร นอกจากท้ังแปดคนนี้แลว ท้งั หมดตางว่ิงหนีเอาตัวรอดกัน อิบนุอะบุลฮะดีด(๓๓๕) บันทึกไววา ในป ฮ.ศ. ๖๐๘ ขาพเจาไดอานหนังสือ มะฆอซี ของ ทา นวากิดีในที่ชุมนมุ ทางวิชาการของเมอื ง แบกแดด เมื่ออาน ไปถึงเร่อื งท่วี า มุฮัมมัด บนิ มัซละมะฮฺ ไดร ายงานไวอ ยาง ชัดเจนวาขาพเจาเหน็ มสุ ลมิ กลุมหนึ่งกําลงั ว่งิ ข้นึ ไปบนภเู ขาอฮุ ดุ และทานศาสดา (ศ.) ก็ได ตะโกนรองเรียกแตละคนวา “นาย ก. นาย ข. เอยฉันอยูน่ี ฉันอยูนี่ มาหาฉัน” แตไมมีใคร ตอบรบั เสียงรอ งเรยี ก ของทานศาสดาเลย เมื่อขาพเจาอานมาถึงตรงนี้ อาจารยของขาพเจาก็ไดกลาววา ที่วา นาย ก. นาย ข. นั้น ก็คือ บุคคลที่ไดรับตําแหนงภายหลังจากทานศาสดาแตนักรายงานไมยอมเอยชื่อของเขาเหลาน้ันเพราะ ตองการคงเกยี รติของบุคคลเหลาน้นั เอาไว

บคุ คลทั้งหาที่ใหส ัญญาตอ กนั วา ตองสังหารทา นศาสดาใหได ในชวงเวลาที่ทหารอิสลามแตกกระสานซานเซ็นอยูน้ัน ศัตรูอิสลามตางก็หันมาจูโจมทาน ศาสดา มที หารผกู ลาของกเุ รชหา คนที่ตดั สินใจวา ตองจบชวี ิตทานศาสดาใหไ ด บุคคลทั้งหาคือ 1) อบั ดลุ ลอฮฺ บนิ ชะฮาบ ซ่งึ ทาํ ใหท านศาสดาไดรับบาดเจ็บท่หี นา ผาก 2) อุตบะฮฺ บินอะบีวักกอศ ซึ่งไดข วางกอ นหนิ สกี่ อนทาํ ใหฟน หนาของทา นศาสดาหัก 3) อิบนุกอมีอะฮฺลัยษี เปนผูทําใหใบหนาของทานศาสดาเปนแผล บาดแผลน้ีฉกรรจถึง ขนาดทหี่ วงโซรอยหมวกของทานหักฝงบนแกมของทาน อบูอุบัยดะฮฺ ญัรรอฮฺ เปนผูใชฟน ของเขา ดึงมนั ออกมา จนทําใหฟน ของทานหกั ไปถงึ สี่ซี่ 4) อบั ดุลลอฮฺ บินฮะมดี ซ่ึงถกู สังหารโดยอบูดะญานะฮใฺ นขณะทเี่ ขา จโู จมทา นศาสดา 5) อุบัย บินคอลัฟ ซึ่งเปน อีกคนหนึ่งที่ทานศาสดาสังหารเขาดวยตัวทานเอง กลาวคือ เมื่อ เขาไดเ ผชิญหนากับทานศาสดาตอนทถี่ อยรน ไปอยูในท่ีแหงหนึ่ง โดยมีศอฮาบะฮฺกลุมหน่ึงรายลอม ตัวเขาอยู เขาวิ่งตรงมายังทานศาสดา ทานจึงหยิบหอกจากฮาริษ บินศุมมะฮฺปาเขาใสเขาท่ีตนคอ จนกระท่ังเขากลงิ้ ตกจากหลังมา ฃ บาดแผลที่อุบัย บินคอลัฟไดรับเปนบาดแผลธรรมดา แตความที่ เขากลัวจัด ตัวของเขาจะสั่นเทาอยูตลอด เม่ือมีใครมาเย่ียมเขา เขาก็จะเพอดวยประโยคที่วา “มุฮัม มดั อยทู ี่มักกะฮฺ เมื่อขา กลา วกับเขาวา ขาจะฆาเจา เขากลับตอบวา ฉันนั่นแหละที่จะฆาเจา เขาไมเคย พูดโกหกเลย” เขาไดรับบาดเจ็บจากบาดแผลพรอมท้ังมีการตัวสั่นอยูตลอดเวลาจนในที่สุดก็จบชีวิตลงใน ระหวางทาง(๓๓๖) ประเดน็ นี้เปน เร่อื งทีแ่ สดงใหเ หน็ ถึงความไรศ กั ด์ิศรีของชาวกเุ รช อยา ง

ถึงขีดสุด เพราะขนาดที่พวกเขาตางยอมรับเองวาทานศาสดาพูดจริงและไมเคยพูดโกหกเลยน้ัน พวกเขากลบั ไมว างมือจากความเปน ศตั รูกับทา นและพยายามอยางเต็มกาํ ลงั ที่หล่งั เลอื ดทานใหไ ด ทานศาสดาผูทรงเกียรติไดปกปองตนเองและความศักด์ิสิทธิ์ของอิสลามเฉกเชนภูผาท่ีไม หว่ันไหว ท้ังๆ ที่ทานกับความตายน้ันอยูไมไกลกันเลย พวกกุเรชตางโหมกระหนํ่าเพ่ือเอาชีวิตทาน ใหได แตทานกลับไมไดแสดงถึงความกลัวและความกังวลใดๆ แมแตนอยในทุกหวงแหงการ เคล่ือนไหวทั้งรางกายและคําพูด มีเพียงตอนท่ีทานปาดเลือดออกจากหนาผากของทานท่ีทานกลาว ขึ้นวา “บุคคลกลุมหน่ึงไดทําใหใบหนาของศาสดาของเขาอาบไปดวยเลือดของเขา ท้ังๆ ที่เขาได เชิญชวนคนพวกนั้นใหหันมาเคารพภักดีพระเจาองคเดียว แลวพวกเขาจะไดรับชัยชนะได อยา งไร”(๓๓๗) ทานอะมีรุลมุอมินีนอะลี (อ.) กลาววา ในสมรภูมิรบนั้นทานศาสดาคือบุคคลที่อยูใกลศัตรู ท่ีสุด เม่อื การสรู บทวีความรนุ แรงขึ้น ทานก็คอยปองกันเราสาเหตุหนึง่ ที่ทานยังคงปลอดภัยอยูน้ันก็ เปนเพราะตัวทานเองท่ียังคงปกปองความศักดิ์สิทธิ์แหงอิสลามดวยการยอมรับแลกกับชีวิต กับอีก สาเหตุหน่ึงกค็ ือ การมีชวี ติ อยูของทานศาสดานั้นเปนหลักประกันหนึ่งซึ่งสหายผูมีวิญญาณแหงการ เสยี สละของทานตอ งทาํ หนา ที่ปกปอ งตัวทา นใหได เพราะนี่คอื คบเพลิงที่ไมอาจดับมอดลงได ทานศาสดาตอสูอยางหาวหาญในสมรภูมิอุฮุด ทานยิงธนูทุกดอก ที่อยูในคันธนูจนคันธนู หัก(๓๓๘) ผูที่คอยปกปองทานศาสดานั้นมีอยูเพียงไมกี่คน(๓๓๙) แตตามหลักฐานทางประวัติศาสตรก็ ยังหาความแนนอนไมได แตสิ่งซ่ึงนักประวัติศาสตรยอมรับเปนเสียงเดียวกันก็คือมีกลุมบุคคลกลุม หนึง่ ที่ทําหนาท่ี ดงั กลา วอยางเขม แขง็ ซึง่ เราจะกลาวตอ ไป การปกปองท่ปี ระสบความสาํ เร็จพรอมกับชยั ชนะรอบใหม

หากเราจะกลาววา ชวงเวลาน้ีในประวัติศาสตรอิสลามถือวาเปนชัยชนะคร้ังใหม ก็คงเปน คําพูดที่ไมเกินเลยจากขอเท็จจริงนักที่วาเปนชัยชนะก็คือมุสลิมสามารถปกปองทานศาสดาจาก อันตรายท่ีอาจถึงแก ชีวิตได ซึ่งไมเปน ไปตามการคาดการณของพวกกุเรช และนี่ก็เปนชัยชนะ ครั้ง ใหมของทหารอสิ ลามนนั่ เอง หากชัยชนะครั้งนี้เรายกใหเปนของทหารอิสลามทั้งมวล นั่นก็หมายความวา เราใหเกียรติ ตอสถานะแหงการตอสูในวิถีทางของพระเจาของนักรบเหลาน้ัน มิเชน นั้นแลวก็ตองบอกวา มีกลุม คนเพียงหยิบมือเดียวเทานั้นที่แบกชัยชนะแหงความสําเร็จไวบนบาของพวกเขาโดยเอาชีวิตของ ตนเองแลกกับการปกปกษรักษาชีวิตของทานศาสดา อันที่จริงแลว การคงอยูของรัฐอิสลาม และ ประทปี ทยี่ ังไมด บั มอดไปนนั้ เปนผลจากการเสียสละของกลุม ชนผกู ลา เพียงไมก ี่คนน่นั เอง ตอไปเราจะไดนําเสนอบางแงม มุ ของการเสยี สละดวยชวี ิตของคนกลมุ นี้ ดงั น้ี (1) บุคคลแรกที่ยืนหยัดอยางม่ันคง ผูนําอันหาญกลาซ่ึงอายุยังไมผานพน 26 ป ต้ังแตเด็ก จนเตบิ ใหญกระท่ังทานศาสดาเสียชีวิต เขาผูน้ีอยูกับทานศาสดาโดยตลอด มิเคยท่ีจะวางมือจากการ เสียสละและใหค วามชวยเหลอื ทานเลย ผูนําทห่ี าวหาญ ผูเสียสละตัวจริง นายของบรรดาผูยําเกรง ทานอะมรี ุลมุอมินีนอะลี นั่นเอง ท่ีหนาประวัติศาสตรไดบันทึกเรื่องราวการรับใช และการเสียสละของเขาในวิถีทางแหงการเผยแผ อิสลามและปกปองศาสนาอันเที่ยงตรง ชัยชนะคร้ังใหมก็เปนดังเชนชัยชนะในคร้ังแรกท่ีเกิดข้ึน โดยชายผูเสียสละคนนี้ ก็เพราะวา สาเหตุหลักของการหนีทัพของพวกกุเรชในตอนเร่ิมตนการตอสู ก็คือผูถือธง คนแลวคนเลาถูกสังหารดวยนํ้ามือของอะลีผูน้ี ในท่ีสุดมันไดสรางความขยาดกลัวให เกดิ ขน้ึ ในหวั ใจของทหารกเุ รชจนไมอ าจสูตอ ไปได นักประวัติศาสตรรวมสมัยชาวอียิปตหลายคนท่ีทําการวิเคราะหประวัติศาสตรเหตุการณ ทงั้ หลาย ของอสิ ลามไมไดรกั ษาสทิ ธอิ นั ชอบธรรมตาม

ความเหมาะสมกับตําแหนงอันสูงสงของเขา หรืออยางนอยก็เปนไปตามท่ีประวัติศาสตรไดบันทึก เอาไว โดยพวกเขาไดวางตําแหนงของการเสียสละของทานอะลีไวในตําแหนงเดียวกับทหารหาญ คนอื่น ดวยเหตุน้ีเอง เราจึงคิดวาเปนความจําเปนที่เรา ตองพูดถึงภาพรวมของการเสียสละของ ทานอะลีใหท ุกคนไดร ับทราบดงั ตอ ไปนี้ 1) อิบนอุ ะษีร เขยี นไวใ หนงั สอื ประวัตศิ าสตรของเขาวา (๓๔๐) ทานศาสดา (ศ.) ถูกจูโจมจากทุกทิศทุกทาง ทุกกลุมท่ีถาโถมเขาใส ทานศาสดาก็จะไดรับ การรับมือจากทานอะลีตามคําบัญชาของทานศาสดาเมื่อทหารบางคนตาย พวกเขาก็จะถอยรนไม เปนขบวน เปนเชนน้ีอยูหลายตอหลายครั้ง จากความเสียสละอยางหาวหาญนี้เองท่ี ผูพิทักษวะฮฺยู (ญิบรออีล) ถูกประทานลงมาและกลาวสรรเสริญการเสียสละของทานอะลีใหทานศาสดารับทราบ โดยกลาววา น่ีเปนสุดยอดแหงการเสียสละซง่ึ ไดสําแดงออกมาจากทหารหาญของทาน ทานศาสดา (ศ.) ยืนยันคํากลาวดังกลาวดวยคําพูดที่วา “ฉันเปนสวนหน่ึงของอะลี และอะลีก็เปนสวนหนึ่งของ ฉัน” จากนั้นก็มีเสียงกังวาลหนงึ่ ดังขึ้น มีใจความวา “ไมม ีดาบใด (ที่รับใชอิสลามไดดีย่ิงกวา) นอก จากซุลฟก็อร และไมมีชายหนุมใด (ทส่ี าํ แดงความกลาหาญไดเ ทยี บเทา ) นอกจากอะลี” อบิ นุอะบล้ิ ฮะดีดไดร ายงานเรอื่ งราวเหลา นีด้ ว ยการขยานความวา มีทหารกลุมหน่ึงประมาณ 50 คนไดเขามาจูโจมทานศาสดาโดยหวังสังหารทาน ทานอะลี ไดเ ขา สกดั คนเหลา นี้ในสภาพทที่ านเปน พลเดินเทา จากนน้ั เขาก็ไดอางรายงานเร่ืองการลงมาของทานญบิ รออีล และกลาววา ไมเพียงแตเ ร่ืองน้ี เปนเรื่องยอมรับกันโดยทั่วไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตรเทาน้ัน ขาพเจายังพบรายงานท่ีเปน ขอเขียนของหนังสอื เรื่องสมรภูมิตางๆ ของ มุฮัมมัด บินอิซฮาก ท่ีกลาวถึงการลงมาของทานญิบรอ อีล วนั หน่งึ ขา พเจา ไดถ ามอาจารยข องขาพเจา อบั ดลุ วะฮฺฮาบ ซะกนี ะฮฺ ถึงความถูกตอ งของเรือ่ งราว ดังกลาว เขาตอบวา ถูกตอง ขาพเจาไดถามเขาตอวา แลวทําไมนักรายงานฮะดีษทั้งหก (ศิฮาฮุซซิต ตะฮฺ) จึงไมบันทึก ฮะ

ดีษศอฮีฮฺ (ถูกตอง) น้ีลงในหนังสือของพวกเขา ? เขากลาวตอบวา ฉันเห็นฮะดีษศอฮีฮฺมากมายที่นัก รายงานฮะดีษศอฮฮี ทฺ ้งั หกไมใหค วามสนใจฮะดีษเหลา นัน้ (๓๔๑) 2) ตามคํากลาวของทานอะมีรุลมุอมินีนเองท่ีกลาวกับสหายของทานโดยอธิบายการ เสียสละของตวั ทา นเองดังนี้ “เม่ือทหารของพวกกุเรชจูโจมมาท่ีเรานั้น พวกอันศอรและ มุฮาญิรีน ไมรูหายไปไหน ฉัน ไดปกปองทานศาสดาพรอมกับบาดแผล 70 แหงทั่วเรือนราง จากนั้นทานศาสดา (ศ.) ไดนําเอาผา คลมุ ของทานมาปด บาดแผลแลวใชม อื ลบู ไปบนบาดแผลน้ัน”(๓๔๒) แมกระทั่งตามการรายงานของเชคศอดูกในหนังสือ อิละลุชชะรอเยียะอฺ ท่ีวาดาบของ ทานอะลีหกั ในขณะทไี่ ดทาํ การปกปองทา นศาสดาอยา งหา วหาญ แลวทานศาสดาก็ไดมอบดาบของ ทานท่ชี ่อื ซลุ ฟกอ็ ร ใหกับทานอะลี เพือ่ ใชมันตอ สูในวิถีทางของพระเจา ตอไป อิบนฮุ ชิ าม ไดบนั ทึกไวในหนังสืออันทรงคุณคาของเขาวา(๓๔๓) มีชาวกุเรชถูกสังหารไป 21 คน โดยเขาไดระบุช่ือเสียงเรียงนามและช่ือเผาของคนเหลานี้ไวอยางละเอียด และมีอยูถึง 12 คนท่ี ถูกสังหารโดยฝม ือของทา นอะลี สวนทเี่ หลอื เปน ฝม อื ของทหารมุสลิม เราขอยอมรับวา เราไมสามารถท่ีจะนําเร่ืองราวแหงการรับใชอิสลามของทานอะลีตามท่ีมี ปรากฏอยูในหนังสือของพ่ีนองอะฮลุซซุนนะฮฺ และชีอะฮฺ เชน บิฮารุลอันวาร(๓๔๔) มาบันทึกไวใน หนังสือเลมนี้ได ซ่ึงจากการทบทวนรายงานที่ปรากฏอยูในสายรายงานของแนวคิดทั้งสองใน เรื่องราวเหลา นี้ กไ็ ดบ ทสรุปวา ไมมีใครท่ีไดยนื หยดั ในสมรภมู อิ ฮุ ุดเฉกเชน ทานอะลี (อ.) เลย (2) อบูดะญานะฮฺ เขาคือนายทหารคนที่สองนับจากทานอะมีรุลมุอมินีน (อ.) ที่ไดทําการ ปกปองสถานะอันศักดิ์สิทธ์ิของทานศาสดา (ศ.) โดยเขาไดนําพาตัวเองเปนโลห...ใหกับทาน กลาวคือ เขาใชแผนหลังของเขารับลูกธนูของศัตรู ดวยวิธีการน้ีเองท่ีทานศาสดา (ศ.) ปลอดภัยจาก ลูกธนขู อง

ศตั รู มัรฮูม ซะพะฮฺร กลาวเกี่ยวกับทานอบูดะญานะฮฺไวประโยคหนึ่งในหนังสือ นาซิคุตตะ วารีค ซ่ึงเราไมพบตน ฉบบั ท่จี ะอางอิงได เขากลา ววา(๓๔๕) เม่ือทานศาสดา (ศ.) และทานอะลี (อ.) ตกอยูในวงลอมของพวกมุชริก ทานศาสดาหันไป เจออบูดะญานะฮฺ ทานกลาวขึ้นวา “อบูดะญานะฮฺ ฉันขอยกเลิกสัญญาสวามิภักด์ิที่ทานทําไวกับฉัน แตอะลีน้ันเปนสวนหน่ึงของฉัน และฉันก็เปนสวนหน่ึงของเขา” อบูดะญานะฮฺสะอึกสะอื้นรองไห แลวกลาววา “ขาพเจาจะไปไหนได จะไปหาภรรยาของขาพเจา กระนั้นหรือ เดี๋ยวเธอก็ตองจากไป จะกลบั ไปบานหรอื เด๋ียวบา นก็ตองพังสักวันหนึ่ง จะกลับไปหาทรัพยสมบัติของฉันหรือ เด๋ียวมันก็ ตองหมดไป ฉันกําลงั มงุ หนาสวู าระสดุ ทา ยซึ่งกําลังจะมาถงึ ” เมื่อทานศาสดา (ศ.) เห็นน้ําตาท่ีรินหลั่งมาจากเบาตาท้ังสองของ อบูดะญานะฮฺ ทานก็เลย อนุญาตใหเขาสูตอไป เขาและทานอะลีน่ันเองท่ีทําหนาท่ีปกปกรักษาทานศาสดา (ศ.) จากการเขาจู โจมอยางหนักของพวกมุชริก ในหนังสือประวัติศาสตรเลมอ่ืนๆ มีรายช่ือบุคคลอ่ืนปรากฏอยู อาทิ เชน อาศิม บินษาบติ , ซะฮฺร ฮะนีฟ, ฏ็อลฮะฮฺ บินอุบัยดิ้ลลาฮฺ และนักรบมุสลิมอีกประมาณ 36 คน อยางไรก็ตาม เม่ือพิจารณาตามมุมมองทางประวัติศาสตรที่แนชัดแลว ยืนยันวามีบุคคลทั้งส่ีคือ ทานอะมรี ุลมุอมินีน, ทานอบูดะญานะฮฺ, ทานฮัมซะฮฺ และสตรีผูทรงเกียรติอีกคนหนึ่งคือ อุมมุอา มิ้ร ซ่ึงเปนผูที่ยืนหยัดตอกรกับเหลาศัตรูซึ่งนอกจากบุคคลทั้งส่ีแลว ถือวายังมีความนาสงสัยและ บางคนกไ็ มน า เช่ือถือ (3) ทานฮัมซะฮฺ บนิ อบั ดลุ มุฏฏอลบิ คือ ลุงของทา นศาสดา (ศ.) ถอื ไดวา เปนผูกลาหาญของ ชาวอาหรบั อยา งแทจ ริงและเปนนายทหารท่ีเล่ืองลือของอิสลาม เขาคือบุคคลท่ีออกความคิดเห็นให ทหารอิสลามออกไปสูรบกับพวกกุเรชนอกเมืองมะดีนะฮฺเขาคือบุคคลท่ีปกปองชีวิตทานศาสดาให พนจากเง้ือมมืออันโสมม ของศัตรูในชวงเวลาอันนาประหวั่นพร่ันพรึงในเมือง มักกะฮฺอยาง สุดกําลังความสามารถ เขาคือบุคคลท่ีทําใหศีรษะของอบูญะฮัลแตกอันเปนการตอบแทนที่เขา พยายามดหู มิ่นทา นศาสดาในคราว

ประชุม คร้ังใหญของพวกกุเรช แลว กไ็ มม ีใครกลา ทีจ่ ะตอกรกบั เขาไดเ ลย เขาคือนายทหารระดับหัวหนาที่เปนผูปลิดชีพชะบีฮฺ นักรบของพวกกเุ รช ในสมรภูมิบะดัร และทําใหพวกทหารกุเรชบาดเจ็บเปนจํานวนมาก เขาไมมี เปาหมายอื่นใดนอกจากการปกปองสัจ ธรรม ความประเสริฐและสถาปนา อสิ รภาพใหเ กดิ ข้นึ ในชีวติ ของทกุ คน ฮินด ภรรยาของอบูซุฟยาน ลูกสาวของอุตบะฮฺ เกลียดทานฮัมซะฮฺ เขากระดูกดํา นาง ตัดสินใจอยางแนวแนวา ไมวาตองลงทุนมากมายสักเพียงใด นางก็ตองแกแคนมุสลิมแทนพอของ นางใหจงได วะฮฺชี นักสูแหงฮะบะชะฮฺ ทาสรับใชของ ุบัยร บินมุฏอิม (ุบัยรฺ คนน้ีก็มีลุงคนหนึ่งถูก สังหารในสมรภูมิบะดัร) ไดรับคําสั่งจากฮินดใหปดบัญชีความแคนของลูกสาวอุตบะฮฺใหไดไมวา จะใชกลวิธีในรูปแบบใด นางฮินด ไดแนะนําแกวะฮฺชีวา ใหเขาสังหารคนใดคนหน่ึงในสามคนนี้ (คือ ทานศาสดา, ทานอะลี และทานฮัมซะฮฺ) ใหไดเพื่อเปนการลางแคนหน้ีเลือดใหกับพอ ของนาง นักสูแหงฮะบะชีตอบนางวา “ขาคงไมอาจหาโอกาสสังหารมุฮัมมัดได เพราะมีสหายหลายคนคอย อยูใกลชิดเขา สวนอะลีน้ันเวลาเขาอยูในสมรภูมิแหงการตอสูน้ัน เขาจะต่ืนตัวอยูตลอดเวลา แต สําหรับฮมั ซะฮแฺ ลว ความโกรธและความโมโหของฮัมซะฮฺจะลกุ โพลงในทุกการตอ สู เมื่อเวลาสูกัน เขามกั จะไมระวังตัว ขาอาจสงั หารเขาไดดวยแผนการอนั แยบยล” นางฮินดพอใจคําตอบน้ี และใหสัญญาวา ถาเขาประสบความสําเร็จตามที่วา นางจะปลอย ใหเขาเปนไท มีบางกลุมเชื่อวา ุบัยรฺเปนคนใหสัญญากับทาสของเขา (วะฮฺชี) เพราะลุงของเขาก็ ถูกสังหารในสมรภูมบิ ะดรั ดวย ทาสชาวฮะบะชีกลา ววา ในคราวศึกอุฮุดน้ัน ตอนท่ีชาวกุเรชเริ่มเห็นชัยชนะแลว ขาไดออก ตามหาฮัมซะฮฺ พบเขากําลังทําศึกเฉกเชนราชสีหท่ีกระโดดเขาตะปบเหย่ือของตนเอง ใครก็ตามท่ี เขาประชิดตัวเขาตองปลิดชีวิตลงทันที ขาเขาไปหลบหลังตนไมพรอมกับกอนหินในมือ โดยท่ีเขา มองไมเห็น ขณะที่เขากําลังงวนอยูกับการตอสูนั้น ขาก็คอยๆ กาวออกมาโดยท่ีขาน้ันก็เปนชาว ฮะบะชีคนหนึ่ง ขาเคยขวา งอาวธุ ...ไดเหมือนกับพวกเขา

และมักจะไมคอยพลาดเปา คร้ังนี้ก็เชนกัน ขาขวางหอกใสเขา จากระยะท่ีหางพอสมควร หอกพุง เขาปกที่...ของเขา เขาทรุดลงกับพ้ืน และอยูในสภาพน้ันจนกระทั่งวิญญาณหลุดลอยออกจากราง จากน้ันเพ่ือความแนใจ ขาก็เดินเขาไปหาเขาแลวเอา...ออกมา พรอมกับเดินกลับไปพบกองทหาร กเุ รชเพอื่ รอรบั รางวัลการเปนไท ภายหลังจากสงครามที่อุฮุด ขาก็ยังคงอาศัยอยูในเมืองมักกะฮฺระยะหนึ่งจนกระทั่งมุสลิม พิชิตมักกะฮฺสําเร็จ ขาก็หนีไปอยูท่ีฏออิฟะฮฺ จากนั้นไมนานอิทธิพลของอิสลามก็แผไปถึงท่ีนั่น ขา ไดยินวา ใครก็ตามไมวาจะทําชว่ั ไวสกั ปานใด หากเขา มาสูศาสนาแหงเอกานุภาพแลว ทานศาสดาก็ พรอ มจะยกโทษให ขาจึงไปพบทา นศาสดาพรอมกับกลาวคําปฏิญาณยืนยันการเปนมุสลิม เมื่อทาน ศาสดาเห็นขา ทานถามขาวา “เจาคือวะฮฺชีชาวฮะบะชีคนน้ันใชไหม ?” ขาตอบวา “ขอรับ” ทาน กลาวถามขาวา “เจาสังหารลุงฮัมซะฮฺไดอยางไร ?” แลวขาก็เลาไปตามน้ัน ทานศาสดามีสีหนาสลด อยางเห็นไดชัด ทานกลาววา “ตราบท่ีเจายังมีชีวิตอยู ฉันจะไมมองเจาเปนอันขาด เพราะ โศกนาฏกรรมทีเ่ กิดกบั ลุงของฉันน้ันเกิดขน้ึ โดยนาํ้ มือของเจา”(๓๔๖) น่ีคือวิญญาณอันสูงสงของบุคคลท่ีเปนศาสดา มีความใจกวางซ่ึงเปนคุณลักษณะที่พระเจา ไดประทานใหกับทาน ทั้งๆ ที่ทานสามารถเอาผิดกับบุคคลที่สังหารลุงของทานไดในทุกกรณี แต ทา นกย็ อมปลอยเขาผูนัน้ ไว วะฮฺชีกลาววา ตราบท่ีทานศาสดายังมีชีวิตอยู ขาก็หลบทานมาโดยตลอด หลังจากท่ีทาน เสยี ชีวิตแลว ก็เกดิ สงคราม มซุ ยั ละมะฮฺ จอมลวงโลก ขาก็ไดเขารวมในการสูรบครั้งนั้น และขาก็ได มีสวนรวมสังหารมุซัยละมะฮฺ พรอมกับชาวอันศอรคนหนึ่งดวยกับ...หากขาไดสังหารคนท่ีดีที่สุด เชน ฮมั ซะฮดฺ ว ยกับ...น้ี น่ันกห็ มายความวาคนทเ่ี ลวที่สดุ ก็ไมพนจาก...ของขาไปได การเขารวมในสงคราม มุซัยละมะฮฺ นั้นเปนคํากลาวอางของเจาตัวเอง แตอิบนุ ฮิชามกลาว วา ในบ้ันปลายชีวิตนั้นวะฮฺชีเปน... ซึ่งผลจากการดื่มสุราเปนอาจิณ นั้นทําใหเขาเปนท่ีรังเกียจของ มสุ ลิม และไดรบั การลงโทษตามกฎ และถูกลบชื่อออกจากสารบบการเปนทหารของกองทัพมุสลมิ อนั เนอ่ื งจาก พฤติกรรมอันไมเหมาะสมของตวั เขาเอง ทา นอุมรั บนิ ค็อฏฏอบ

กลาววา “ผทู ี่สังหารฮัมซะฮไฺ มควรมชี ่อื อยใู นฐานะผรู วมออกรบ”(๓๔๗) (4) อุมมุอาม้ีร คงไมใชเรื่องท่ีเราจะมาพูดคุยกันวา การญิฮาดในลักษณะจูโจมกอน (ญิ ฮาดอบิ ตดิ าอี) น้นั สําหรับสตรแี ลว ถือวา เปนสิ่งตองหาม จากกรณีที่เม่ือมีตัวแทนของสตรีกลุมหนึ่ง ไดเขา พบทานศาสดา (ศ.) และสนทนากับทา นเก่ียวกับการหมดโอกาสในการออกสงครามของสตรี และยกขออางวา เราไดทํางานทุกอยางของสามีไมวาจะเปนการหาเลี้ยงชีพอยางเต็มท่ี อีกท้ังทําให ผูชายไดเขารวมรบอยางหมดหวงแลว แตสังคมของสตรีกลับไมไดรับความการุณอันย่ิงใหญ ดังกลาว ทานศาสดา (ศ.) ไดสงสารไปยังสังคมสตรีของเมืองมะดีนะฮฺโดยผานผูหญิงคนน้ีทาน กลาววา “ถึงแมวาเมือ่ พจิ ารณาตามเหตปุ จ จัยทางดานกายภาพอนั เปนธรรมชาติท่ีติดตัวมาและปจจัย ทางดานสังคมแลว พวกเธอหมดโอกาสท่ีจะไดรับความการุณดังกลาว แตทวา พวกเธอก็สามารถท่ี จะไดร ับความการุณเฉกเชน การตอ สูในวถิ ที างของอัลลอฮฺ หากพวกเธอไดทาํ หนาท่ขี องภรรยาทดี่ ี” และนี่ก็คือ โอวาททางประวัติศาสตรท่ีทานกลาววา “แทจริงการทําหนาที่ภรรยาที่ดีน้ัน เทยี บไดกบั การออกรบในวิถที างของอัลลอฮฺทุกประการ” แตในบางกรณีก็มีสตรีที่ความพรอมและไดรับการฝกฝน ไดรับอนุญาตใหออกไป ชวยเหลือนักรบอิสลามนอกเมืองมะดีนะฮฺโดยมีสวนรวมในชัยชนะของมุสลิมดวยการทําหนาท่ี แจกนาํ้ ใหก ับทหารผูก ระหาย ซกั ชดุ ทหารและพันแผลใหกับทหารท่ีไดรบั บาดเจ็บ ทานหญิงอุมมุอามีร หรือช่ือจริงคือ นะซีบะฮฺ ไดกลาววา “ขาพเจาไดเขารวมในสงครามอุ ฮุดเพ่ือบริการนํ้าดื่มแกทหารหาญอิสลาม ขาพเจาเห็นลางแหงชัยชนะของมุสลิมแลว แตทันใด น้ันเองการณกลับตาลปตร มุสลิมถูกตีแตกพายและว่ิงหนีเอาตัวรอด ชีวิตของทานศาสดาตกอยูใน อนั ตราย จิตสํานกึ บอกขา พเจา วา ตราบทย่ี ังมีชวี ติ อยู ตองทําหนาทปี่ กปองทา นศาสดาใหได ขา พเจา รบี ทิง้ ถงุ นาํ้ แลวฉวยดาบไวในมอื ฟาดฟนศัตรูไปเร่ือย บางชวงก็ตองยิงธนู” พอเลามาถึงตอนน้ี เธอ ก็หันไปเห็นรอยบาดแผลท่ีหัวไหล เธอเลยเลาถึงที่มาของบาดแผลดังกลาวน้ันวา “ในตอนนั้น มี ทหารกลุมหน่งึ

กําลังวิ่งหนีและหันหลังใหศัตรู ทานศาสดา (ศ.) หันไปเจอทหารคนหนึ่งท่ีกําลังวิ่งหนี ทานพูดกับ เขาวา “ถา เจา จะหนลี ะก็ ท้ิงอาวุธไวท่ีน่ีซะ” ทหารผูนั้นรีบทิ้งอาวุธทันที และขาพเจาก็รีบหยบิ อาวุธ น้นั มา ทันใดน้ันเองขาพเจา ก็เห็นชายคนหนงึ่ ท่รี ูจกั กันในนาม อิบนุกอ มีอะฮฺ ตะโกนขึ้นมาวา “มุฮัม มัดอยูไหน ?” เมื่อเขาเห็นทานศาสดา เขาก็รีบจูโจมไปยังทานดวยดาบอันคมกริบ ขาพเจาและมุศ อับเปนผูสกัดเขาไวไมใหเขาถึงตัวทา นศาสดา เขาก็ไดตอบโตขาพเจา ดว ยการฟนเขาท่ีหัวไหลของ ขาพเจา อยางไรก็ตามขาพเจาก็ยังฟนเขาไปหลายครั้ง แตความเจ็บปวดของบาดแผลท่ีถูกเขาฟนนั้น ยังมอี าการเจ็บอยนู านนับป การฟาดฟนของขาพเจาไมอาจสรางความเจ็บใหกับเขาไดเลย เพราะเขา ใสเสอ้ื เกราะสองชั้น รอยคมดาบท่ีอยูบนหัวไหลของขาพเจาน้ันเปนแผลฉกรรจ เมื่อทานศาสดาเห็นวาหัวไหล ของขาพเจามีเลือดพุงออกมา ทานไดตะโกนเรียกลูกชายคนหน่ึงของขาพเจา และบอกวา “รีบพัน แผลใหแมของเจาซ”ิ เม่อื เขาพนั แผลใหขา พเจาเสร็จเรยี บรอ ย ขา พเจา กอ็ อกไปรบอกี ครั้งหนงึ่ ในระหวางที่กําลังสูรบกันอยูนั้น ขาพเจาก็เหลือบไปเห็นลูกชายคนหนึ่งกําลังไดรับ บาดเจ็บ ขา พเจาก็รีบเอาผา พันแผลที่ติดตัวมาสําหรับพันแผลใหกับทหารท่ีไดรับบาดเจ็บ ขาพเจาก็ รีบเอาผาพันแผลท่ีติดตัวมาสําหรับพันแผลใหกับทหารท่ีไดรับบาดเจ็บออกมา แลวพันแผลใหเขา เม่ือเสร็จแลวก็ตะโกนบอกลูกเพราะเห็นวาทานศาสดาตกอยูในอันตราย “ลูกแม ลุกขึ้นไดแลว ออกไปสตู อ”(๓๔๘) ทานศาสดารูสึกฉงนถึงความกลาหาญ ความเด็ดเด่ียว และความเสียสละของสตรีผูนี้มาก เม่ือตอนท่ีทานเห็นคนที่ฟนลูกชายของเธอ ทานไดตะโกนบอกเธอวา “คนน้ีแหละคือคนท่ีฟนลูก ชายของเจา” แมที่รักลูกด่ังดวงใจรีบผละออกจากทานศาสดา เขาจูโจมชายคนนั้นเชนนางสิงโตที่ ตะครุบเหย่ือ เธอไดฟนไปที่ตนขาของเขา ทําใหชายคนน้ันลมลงกับพื้น เหตุการณดังกลาวยิ่งทําให ทา นศาสดาประจกั ษถ ึงความกลา แกรงของสตรีคนน้ี ทานศาสดาแยมยิ้มจนเห็นไรฟนของทาน แลว กลา ววา “เจา ไดคดิ บัญชีแทนลูก แลว”(๓๔๙)

วันรุงขึน้ ทานศาสดาไดเคลือ่ นกองทหารไปยัง ฮุมรออุลอะซัด, นะซีบะฮฺ ก็ตองการเดินทาง ไปพรอมกับกองทหารน้ันดวย แตทานศาสดา ไมอนุญาต เพราะเธอมีบาดแผลฉกรรจ และเม่ือทาน ศาสดากลับจาก ฮุมรออุลอะซัดแลว ทานรีบสงคนไปถามไถอาการของนะซีบะฮฺที่บาน ทานดีใจ มาก เมอ่ื รับทราบวา เธอปลอดภัย อันเน่ืองดวยความกลาหาญและเสียสละ สตรีคนน้ีไดวอนขอตอทานศาสดาใหทานชวยดุ อาอใหอลั ลอฮฺทรงประทานตําแหนงที่อยใู กลชดิ ทา นศาสดาใหกับเธอดวย ทานศาสดาก็ไดขอดุอาอ ใหกับเธอวา “โออัลลอฮฺขอพระองคไดโปรดประทานตําแหนงสหายผูใกลชิดของขาพระองคใน สวรรคใหกบั นางดว ยเทอญ”(๓๕๐) วีรกรรมแหงการปกปอ งของสตรีทานน้ี สรา งความยนิ ดใี หก ับทา นศาสดาอยา งมาก ซงึ่ ทา น ไดก ลาวถึงสตรที านน้ีวา “สถานภาพของนะซีบะฮฺ บินติกะอับในวันนั้น ดียิ่งกวาคนนั้น คนนั้น เสีย อกี ” อิบนุอะบิ้ลฮะดีด บันทึกไววา ผูรายงานฮะดีษบทนี้ลบหลูทานศาสดา โดยไมยอมเอยช่ือ ของบคุ คลสองคนทที่ า นศาสดาเอยถึงอยา งชัดเจน(๓๕๑) แตอยางไรก็ตาม ขาพเจาคาดวา บุคคลสองคนน้ันนาจะหมายถึง บุคคลผูย่ิงใหญท่ีไดรับ ตําแหนง ใหญในหมูมสุ ลมิ ภายหลงั ทา นศาสดาจากไปและผูรายงานฮะดีษดังกลาวก็จําตองปกปดชื่อ ดังกลา วไว เพอื่ เปนการรกั ษาเกยี รตแิ ละกลวั เกรงในอํานาจดงั กลา ว เหตุการณต อ มาที่อุฮดุ การตอสูอยางหาวหาญของทหารกลุมเล็กๆ เปนเหตุใหชีวิตของทานศาสดาที่ตกอยูใน วิกฤติน้นั ไดรับความปลอดภยั และเปนการโชคดที ่ีสวนใหญของศัตรูเขาใจวาทานศาสดาถกู สังหาร แลว จึงมัวแตคนหาศพของทาน ประกอบกับไดรับการโตกลับจากทหารกลุมเล็กๆ ที่รับทราบวา ทานศาสดายังปลอดภัยอยู โดยการนําของทานอะลี ทานอบูดะญานะฮฺ และอีกบางคน (ตามการ คาดการณ) จากสภาพการณดังกลาวจึงเปน การสมควรทจ่ี ะปลอย

ใหข า วดังกลาวกระพอื ตอ ไป โดยทท่ี านศาสดากับสหายบางคนของทานไดเดนิ ทางไปยัง... ในระหวางทาง เม่ือทานศาสดาเดินทางมาถึงหลุมเพลาะที่มุสลิมขุดไวรอบๆ อบูอามีร ทานอะลีรีบจับมือของทานศาสดาชูขึ้น มุสลิมคนแรกที่เห็นทานศาสดาก็คือ กะอับมาลิก เขาเห็น ดวงตาของทานศาสดาสองประกายอยูในหมวกคลุมหนา เขารีบตะโกนขึ้นทันทีวา “มุสลิมทั้งหลาย ทานศาสดาอยูที่นี่ ทานยังมีชวี ิตอยู พระเจาทรงรักษาทานจากเงื้อมมือของศัตรูแลว” เมื่อขาวการมี ชวี ติ อยูของทานศาสดาแพรอ อกไป กก็ อ ใหเ กดิ การโจมตีระลอกใหม ทานศาสดาจึงออกคําส่ังใหกะ อบั ปดขาวน้ีไวก อ น แลว เขาก็เงียบ ในท่ีสุดทานศาสดาก็เดินทางมาถึงหมูบาน...มุสลิมท่ีอยูบริเวณนั้นเมื่อรับทราบวาทาน ศาสดายังมีชีวิตอยูตางก็ปลาบปลื้มดีใจ และยืนกมหนาดวยความละอายตอหนาทานศาสดา อบูอุบัย ดะฮฺ ญ้ัรรอฮฺ ไดถอนหวงโซสองอันที่ฝงอยูบนใบหนาของทานศาสดาออก ทานอะมีรุลมุอมินีน อะ ลี ก็นําเอาโลหของตัวเองไปตักน้ําจนเต็มแลวนํามาเช็ดที่ศีรษะและใบหนาของทานศาสดา และ กลาวประโยคหน่ึงออกมาวา “ความกร้ิวโกรธของอัลลอฮฺทวีความรุนแรงข้ึนตอกลุมชนที่ทําให ใบหนาของทานศาสดาของเขาเปอ นโลหิต”(๓๕๒) ศัตรผู ฉู วยโอกาส ในหวงเวลาที่มุสลิมกําลังเผชิญกับความปราชัยอยูนั้น ศัตรูผูฉวยโอกาสก็อาศัยเวลา ดงั กลา วเพอื่ เผยแพรค วามเช่ือของตนเอง และกลาวคําขวัญที่ตอตานศาสนาแหงเอกานุภาพของพระ เจาออกมา ซ่ึงมันไดสรางความหวั่นไหวใหกับพวกความคิดต้ืนเขินบางคน ตามคํากลาวของ นักเรียนรวมสมัยที่บอกววา “ไมมีชวงเวลาใดสําหรับการเผยแพรความเช่ือ แนวคิด และอิทธิพลตอ ผูคน ไดดีย่ิงไปกวาชวงเวลาท่ีพวกเขาประสบกับความพายแพ ความยากลําบาก และภัยพิบัติอัน รายแรง ในชวงเวลาที่ตองเผชิญกับความเศราโศกเชนน้ัน จิตใจของกลุมชนผูถูกกดขี่น้ันจะออนแอ และไหวหวน่ั

ถึงขนาดที่ชนกลุมน้ันจะสูญเสียปญญาและการแยกแยะของตนเอง ในชวงเวลานี้เองท่ีการโฆษณา ชวนเชอื่ อนั เลวทรามสามารถเขาไป และมอี ทิ ธพิ ลอยใู นหวั ใจของกลุม ชนที่หัวใจแตกสลายไดอยาง งา ยดาย” อบูซุฟยานและอักรอมะฮฺตางแสดงความดีใจอยางลิงโลด ในสภาพที่ในมือกําเจว็ดเอาไว พวกเขาอาศัยจังหวะชวงเวลาดังกลาวตะโกนข้ึนวา “ฮุบั้ลจงเจริญ ฮุบ้ัลจงเจริญ” ซึ่งหมายความวา ชัยชนะครัง้ นข้ี องพวกเราเก่ียวของกบั การบชู าเจว็ดน้ี และหากมีพระเจาอื่นนอกจากเจว็ดเหลานี้และ การเคารพภกั ดีพระเจาองคเดยี วเปนความถกู ตอ งแลว ไซร พวกเจากต็ อ งไดรบั ชัยชนะซิ ทา นศาสดาเขาใจไดทันทวี า คนพวกน้ีกาํ ลังฉกฉวยโอกาสและกระทําการอันนาอันตรายย่ิง ทานลืมความเจ็บที่ทานกําลังประสบอยู ทานรีบออกคําส่ังไปยังทานอะลีและมุสลิมคนอ่ืนให ตะโกนกลับไปวา “อัลลอฮฺทรงสูงสงที่สุดและทรงจําเริญย่ิง อัลลอฮฺทรงสูงสงที่สุดและทรงจําเริญ ยิ่ง” ซึ่งใหความหมายวา อัลลอฮฺทรงย่ิงใหญและทรงเดชานุภาพ การพายแพคร้ังน้ีไมเก่ียวกับการ เคารพบชู าพระเจาองคเดยี วของพวกเรา แตเปน เพราะการฝาฝน คําส่งั เทา น้ัน อบูซุฟยานยังคงไมลดละที่จะเผยแพรแนวคิดอันเปนยาพิษของเขาโดยตะโกนตอวา “พวก เรามี อุซซา สวนพวกเจา ไมมี” ทานศาสดารีบฉวยโอกาสกลับ ดวยการสั่งใหมุสลิมตะโกนเปนเสียง เดียวกันวา “อัลลอฮฺคือเจาชีวิตของเรา สวนพวกเจานั้นไมมี” ซึ่งใหความหมายวา หากพวกเจายึด เหน่ียวอยูกับเจว็ด ซึ่งก็คือชิ้นสวนของหินและไมละก็ ท่ีพึ่งพิงของพวกเราคือพระเจาผูทรงยิ่งใหญ และทรงเดชานภุ าพ มีเสียงตะโกนออกมาจากกองทหารมุชริกวา “นี่คือวันลางแคนแทนบะดัร” มุสลิมไดรับ คําสั่งจากทานศาสดาใหตอบกลับไปวา “สองวันนั้นไมเหมือนกันอยางแนนอน ผูเสียชีวิตของพวก เราจะอยูในสวรรค สวนผูเสยี ชวี ติ ของพวกเจานั้นอยใู นนรก” อบูซุฟยานรูสึกเจ็บแคนท่ีไดรับการตอบกลับอันเจ็บปวด ซึ่งกูกองมาจากกองทหารมุสลิม เขาไดพูดประโยคหนง่ึ ออกมาวา “แลว เจอกันปห นา”

เขาเดนิ ทางออกจากสนามรบและกลบั ไปยงั เสน ทางมักกะฮ(๓๕๓) ตอนนี้ไดเวลาท่ีมุสลิมซ่ึงไดรับบาดเจ็บนับรอยคนและเสียชีวิตไป 70 คน ตองทําหนาท่ีตอ พระเจา คือ นมาซดุฮฺริและอัศริ และอันเนื่องจากทานศาสดาเหน่ือยลาอยางมาก ทานจึงนั่งนมาซ เมื่อเสร็จจากนมาซแลว พวกเขากจ็ ดั การฝงศพชฮุ ะดาอแหงอุฮุด สน้ิ สดุ สงคราม ไฟแหงสงครามดับมอดลง ท้ังสองฝายตางแยกยายกันไป มุสลิมสังหารพวกกุเรชไดเปน สามเทา และเม่ือจําเปนตองรีบฝงรางอันเปนที่รักย่ิงของพวกเขา พวกเขาจึงไดจัดพิธีกรรมทาง ศาสนาขึน้ กอนที่จะจากสมรภูมิรบไป ผูหญิงกุเรชก็ไมวายท่ีจะสรางความเลวรายท้ิงไว กลาวคือ กอนที่พวกมุสลิมจะไดทําการฝงรางของนักรบผูกลาของพวกเขาน้ัน ผูหญิงกุเรชไดประกอบกรรม ชั่วหน่ึงขึน้ มา อันเปนกรรมช่ัวซึ่งไมเ หมือนใครในหนาประวัติศาสตรมนุษยชาติเลย พวกนางไมยุติ บทบาทในฐานะผูชนะสงครามเพียงเทานั้น แตกลับแสดงการแกแคนออกมาดวยการตัดชิ้นสวน ของรางกาย จมูก และใบหูของรางมุสลิมอันไรวิญญาณที่นอนจมกองเลือดอยู วิธีการน้ีเองที่พวก นางไดสรางรอยดา งอนั ตํา่ ทรามขึน้ ทกุ ประชาชาติในโลกน้ีตา งก็ตอ งใหเกียรติตอรางอันไรวิญญาณ ของศัตรูซึ่งไมมีโอกาสลุกขึ้นมาตอสูและปองกันตัวเองได แตภรรยาของอบูซุฟยานกลับนําเอา ช้ินสวนรางอันไรวิญญาณของมุสลิมมาทําเปนตุมหูและสรอยคอ นางไดผาทองของผูบัญชาการ ทหารผูเสยี สละของอิสลาม เชน ทา นฮมั ซะฮฺ แลว นําเอาตับของเขาออกมาขบกดั นางอยากจะกินตับ น้ันแตท ําไมได การกระทําเชนน้ีตํ่าทรามยิ่งถึงขนาดท่ีอบูซุฟยานยังพูดวา “ขาไมยอมทําเชนน้ีเปนอันขาด และกไ็ มเ คยออกคําสัง่ ใหท าํ เชนนัน้ เลย แตกไ็ มรูสกึ เสยี ใจอะไร” พฤติกรรมอันเลวทรามอยางไรท่ีตินี้เองท่ีทําใหมวลมุสลิมขนานนาม ผูหญิงคนนี้วา นาง ฮนิ ดผ ูสวาปามตับคน และตอ มาลกู หลานของนาง

ก็ไดร ับการเรยี กขานตอ มาวา ลกู หลานของผสู วาปามตบั คน มุสลมิ ไดก ลับเขามาหาทานศาสดาในสมรภมู ิ และตองการทีจ่ ะนํารางอันไรวิญญาณ 70 ศพ ไปฝง ทันใดนั้นสายตาของทานศาสดาก็ไปเจอรางของทานฮัมซะฮฺ สภาพเชนน้ันสรางความ สะเทือนใจใหกับทานเปนอยางมาก สีหนาที่ทานแสดงออกมาน้ันบอกใหรูวา ทานโกรธอยางมาก ทานพูดวา “ความรสู ึกโมโหและโกรธท่ีถาโถมฉนั อยูในเวลานี้ ไมเคยเปน เชนน้มี ากอนเลย” นักบันทึกประวัติศาสตรและนักอรรถาธิบายอัลกุรอานตางก็บันทึกไวในลักษณะเดียวกัน วา มุสลิมตางมีสัญญารวมกันวา (อาจรวมถงึ ทานศาสดาดวย) เม่ือใดก็ตามท่ีพวกเขาพบมุชริก พวก เขาจะตองสังหารพวกนั้นในลักษณะฉีกรางเปนชิ้นๆ ใหไดอยางนอยหนึ่งตอสามสิบคน แตยังไม ทันไดล งมือปฏบิ ตั ติ ามการตัดสนิ ใจดงั กลา ว ทานผพู ทิ ักษวะฮฺยูก็นําโองการของพระเจาลงมาวา “หากพวกเจา จะลางแคน พวกเขา...” (อนั นะฮฺลุ / 126)(๓๕๔) อสิ ลามไดยึดถอื เอาโองการนี้เปนหลกั ในการตัดสินพิจารณาคดีความท่ัวไปของอิสลาม อัน เปนการแสดงใหเห็นโฉมหนาอันเต็มไปดวยความเอื้ออารีและจิตใจอันสูงสงของอิสลาม ซ่ึงไมมี ลกั ษณะของการลางแคน อยางไรความชอบธรรมหลงเหลืออยูเลย ไมวาจะอยูในหวงเวลาที่พายุแหง ความโกรธถาโถมเขามาในตัวพวกเขาจะรุนแรงสักปานใด พวกเขาก็จะตองไมละเลยคําบัญชาเร่ือง ความเทีย่ งธรรม และความพอดี ตามแนวทางท่วี า นั่นเอง รากเหงาแหงความเท่ียงธรรมจึงสถิตอยูได ตราบจนทกุ วนั นี้ นองสาวของทานฮัมซะฮฺ ศอฟยะฮฺ ตองการที่จะดูรางอันไรวิญญาณของพี่ชาย แตลูกชาย ของนาง ซุเบร ไดพยายามหามนางไวตามคําส่ังของทานศาสดา ทานหญิงศอฟยะฮฺไดพูดกับลูกชาย ของนางวา “แมไดยินวาพวกเขาฉีกรางพี่ชายของแมออกเปนชิ้นๆ ขอสาบานตออัลลอฮฺ หากแมได ไปอยูขางรางของเขาละก็ แมจะไมแสดงความรูสึกเสียใจใหมากเกินควร แมจะยอมรับตอการ ทดสอบในวิถีทางของพระเจาเชน นี”้ สตรีผูสูงศักด์ิท่ีไดรับการฝกฝนมาเปนอยางดีไดเดิน เขาไปดูรางอันไรวิญญาณดวยความ อดทนเปนทส่ี ดุ เธอนมาซตอ หนา รางนัน้ และขออภัยโทษ

ตอ อัลลอฮแฺ ทนสามีของนางตามสทิ ธทิ ีเ่ ขาควรไดรบั แลว ก็เดินกลบั แนนอน พลังแหงความศรัทธาน้ันตองสูงสงเหนือพลังทางดานกายภาพอ่ืน มันสามารถ จัดการคลื่นพายุแหงความยุงยากใหผานพนไปได และมันก็จะทําใหบุคคลท่ีไดรับการทดสอบน้ันมี แตความเยือกเย็นและสงบม่ัน จากนั้นทานศาสดาก็ไดรวมนมาซใหกับบรรดาชะฮีดแหงอุฮุด และ รวมฝงราง นักรบผูกลาท่ีละรางหรือสองรางลงในหลุม ทานมีบัญชาใหฝงรางทานอัมรวุมูฮฺ และ ทานอับดุลลอฮฺ อัมรว ในหลุมเดียวกัน เพราะเขาท้ังสองเปนเพื่อนรักกัน มันคงเปนการดีท่ีเขาท้ัง สองจะอยดู วยกันท้ังในตอนท่ไี ดเ สยี ชีวิตแลว(๓๕๕) คําพดู สุดทายของทา นซะอัด บินรอบอี ฺ ทานซะอัด บินรอบีอฺ เปนมิตรสหายท่ีซื่อสัตยของทานศาสดา (ศ.) หัวใจของเขาเต็มเปยม ไปดวยศรัทธาและความบริสุทธ์ิใจ ในตอนที่เขาไดรับบาดเจ็บถึง ๑๒ แหงและลมลงน้ัน มีชายคน หน่ึงผานไปที่เขา แลวพูดวา “มุฮัมมัด (ศ.) ถูกสังหารแลว” ซะอัดตอบชายคนน้ันวา “หากมุฮัมมัด (ศ.) ถูกสังหารแลวแตพระเจาของมุฮัมมัดก็ยังทรงดํารงอยูมิใชหรือ เราตอสูตามแนวทางแหงการ เผยแผสาสนของพระองค และรว มพทิ กั ษห ลกั การ แหงเอกานภุ าพของพระเจามิใชห รือ ?” เม่ือไฟสงครามดับมอดลง ทานศาสดา (ศ.) นึกถึงสะอัดขึ้นมา ทานพูดวา “มีใครจะไปหา ขาวเกี่ยวกับสะอัดใหฉันรูบางไดไหม ?” ซัยดฺ บินษาบิต อาสาไปหาขาวการมีชีวิตอยูหรือเสียชีวิต ไปแลว ของซะอัด ทถ่ี ูกตองใหทานศาสดารับทราบ (ศ.) เขาพบสะอัดนอนจมกองเลือดอยูทามกลาง รางอันไรวิญญาณทั้งหลาย เขาพูดกับซะอัดวา “ทานศาสดา (ศ.) ส่ังใหขามาหาขาวคราวเกี่ยวกับตัว ทาน แลวนําขาวที่แทจริงไปบอกทาน” สะอัดตอบวา “ขอสงสลามฝากไปถึงทานศาสดาดวย บอก ทานวาชีวิตของสะอัดคงเหลืออีกไมมาก ขออัลลอฮฺไดโปรดประทานรางวัลท่ีดีท่ีสุดท่ีศาสนทูตพึง ไดร ับใหก บั ทานดว ย โอศ าสดาของพระเจา ” และเขายังกลาวเพมิ่ เตมิ อีกวา “ขอสงสลามฝากไปยงั ชาวอนั ศอร

และชาวมุฮาญิ้รดวย บอกพวกเขาวา หากศาสดาไดรับอันตรายในขณะท่ีพวกทานยังมีชีวิตท่ีปรกติ สุขอยลู ะก็ พวกทา นจะไรซ่ึงขอ แกต ัวใดๆ ตอ หนา เบอื้ งพระพักตรข องอลั ลอฮเฺ ลย” คนท่ีทานศาสดาสงไปนั้นยังไมทันเดินจากรา งของสะอัดไปไกลสักเทาใด วิญญาณของสะ อดั ก็โบยบินออกจากรางของเขา(๓๕๖) ความรกั ตวั เองของมนษุ ยน น้ั มนั ฝงรากลกึ และมีพลงั อํานาจมากถึงขนาดท่ีมนุษยจะไมมีวัน ลืมตัวเอง และเขาจะยอมเสียสละทุกอยางเพ่ือส่ิงน้ัน แตพลังแหงความศรัทธา ความมุงม่ันที่จะไป ใหถึงเปาหมาย และความผูกพันทางจิตวิญญาณกลับสงผลยิ่งกวานั้น เพราะตามการรายงานทาง ประวัติศาสตรบอกเราวา หัวหนานักรบผูกลาของอิสลามน้ันกลับสําแดงอาการลืมตัวเองในหวง เวลาท่ียุงยากท่ีสุด กลาวคือ ตอนที่ความตายอยูแคเอื้อมดวยความหาวหาญยิ่ง พวกเขากลับคิดถึงแต ทานศาสดาอันเปนท่ีรักยิ่งของพวกเขา ซ่ึงการพิทักษทานน้ันถือวาเปนการสําแดงออกท่ีสูงสงที่สุด สําหรับการดํารงอยูของเปาหมายอันศักดิ์สิทธ์ิของพวกเขา สารเพียงประการเดียวท่ีเราไดรับผาน จากซัยดฺ บินษาบิต ก็คือ มิตรสหายของทานศาสดาไมเคยที่จะละวางหนาท่ีการปกปองและพิทักษ ผูนําของพวกเขาเลย ทานศาสดา (ศ.) กลบั มายังเมอื งมะดีนะฮฺ ดวงอาทิตยเคล่ือนคลอยไปยังทิศตะวันตก เพือ่ จะสาดสองแสงไปยังโลกอีกซีกหนึ่ง ความ เงียบและความสงบเขาแทนท่ีผืนแผนดนิ อุฮุด เพราะเหตุท่ีมุสลิมไดรับบาดเจ็บเปนจํานวนมิใชนอย ไมมีทางเลือกใดนอกจากตองกลับไปสูบานของพวกเขาเพ่ือฟนฟูกําลังและตบแตงบาดแผล คํา บัญชาใหเคลื่อนกําลังพลกลับเมืองมะดีนะฮฺถูกสงออกมาจากผูบัญชาการสูงสุด ทานศาสดา (ศ.) พรอมกับกองทหารท่ีประกอบไปดวยชาวอันศอรและชาวมุฮาญ้ิรเดินทางกลับถึงเมืองมะดีนะฮฺ เมอื งท่เี ต็มไปดว ยเสียงของแมที่ ตองสญู เสียลกู ภรรยาท่ตี อ งสญู เสียสามดี ังระงมออกมาจากทกุ บาน ทา นศาสดาเดินทางมาถึงบา นของตระกลู บนอี บั ดุลอชั ฮลั้

เสียงบทกลอนรําลึกของพวกผูหญิงสรางความหวั่นไหวใหกับทานศาสดา นํ้าตาไดไหลพราก ออกมาจากดวงตาอันเจิดจรัสของทาน ทานพูดดวย น้ําตาวา “ฉันรูสึกเศราย่ิงนักที่ไมมีใครรองไห ใหก ับฮมั ซะฮฺเลย”(๓๕๗) ซะอดั มะอาซ และคนกลมุ หน่งึ เขา ใจจดุ ประสงคข องทา นศาสดาจึงบอกใหพวกผูหญิงอาน บทกลอนรําลึกถึงทานฮัมซะฮฺ หัวหนานักรบผูรับใชอิสลาม เมื่อทานศาสดารับทราบเรื่องดังกลาว ทานไดขอดุอาอใหกับพวกนางและพูดวา “ฉันไดรับความชวยเหลือท้ังทางวัตถุและจิตวิญญาณจาก ชาวอันศอรดวยดีเสมอมา” และทานยังกลาวอีกตอไปวา “ขอใหพวกผูหญิงท่ีอานบทกลอนรําลึก กลบั ไปบา นไดแ ลว” ความทรงจาํ อนั นาสะเทือนใจของสตรผี เู ปยมไปดว ยแรงศรัทธา ประวัตศิ าสตรของสตรีผเู ปย มไปดว ยแรงศรัทธาไดร ับความสนใจและนาพิศวงเปนอยางย่ิง ในหนาประวัติศาสตรอิสลาม ที่ขาพเจากลาววาเปนที่นาพิศวงนั้นก็คือ เราไมคอยไดเห็นสิ่งเหลานี้ ในสตรยี คุ ปจ จุบนั (๓๕๘) สตรที านหน่งึ เปนคนในตระกลู บนีดนี าร ซ่ึงไดส ญู เสียสามแี ละนองชายของตนเองไป นั่งน้ําตาไหล พรากอยูทามกลางสตรีกลุมหน่ึงท่ีกําลังอานลํานํารําลึกอยู ทันใดน้ันทานศาสดาก็ไดเดินผานสตรี กลุมน้ี นางพยายามเขามาถามไถสุขภาพของทานศาสดาจากบุคคลท่ีรายลอมตัวทานศาสดา ทุกคน ตอบวา “ทา นสบายดี อัลฮัมดุลล้ิ ลาฮฺ” นางพดู วา “ขา พเจาปรารถนาทจี่ ะเห็นทานศาสดาใกลๆ” ทาน ศาสดาหยุดยืนอยู ณ มุมหนึ่งไมไกลจากบริเวณท่ีสตรีกลุมน้ันนั่งอยู พวกเขาไดชี้ใหนางเห็นทาน ศาสดา เม่อื สายตาของนางจับจองไปที่ใบหนาของทานศาสดา นางลืมความเศราที่มีอยูจนส้ิน กนบึ้ง แหง หัวใจของนางเรียกรองอะไรบางอยาง ท่ีอาจสรางความเปล่ียนแปลงบางอยางใหเกิดขึ้นได นาง เอยขึ้นวา “โอทานศาสดาของพระเจา ความเศราโศกและความยากลําบากท้ังหลายทั้งปวงตาม แนวทางของทา นน้ันมันชา งงา ยดายมากทจ่ี ะเผชญิ หนา กบั มนั ตราบเทาที่ทา นยังมีชีวิตอยู ไมวาจะมี เหตกุ ารณใดเกิดขนึ้ กับพวกเรา เราคดิ วามนั ชา งเล็กนอยเสียเหลอื เกนิ ”

ยอดเยีย่ มจรงิ ๆ สาํ หรับการยืนหยดั อยา งหาวหาญเชนนี้ ชางเยี่ยมจริงๆ สําหรับความศรัทธา ท่ีไดขับเคล่ือนนาวาแหงชีวิตเหลานี้ นาวาท่ีแลนผานคล่ืนลมทะเลอันบาคล่ัง แตกลับลอยตัวอยูได (๓๕๙) ตวั อยา งของสตรีผูเสียสละทา นอืน่ ๆ กอนหนาน้ีเราไดมีการกลาวถึงเร่ืองราวของทานอัมรว บินุมูฮฺ ท้ังๆ ที่เขาพิการและไม จําเปนตอ งออกไปรบแตอยางใด ทวาเขาไดรับการอนญุ าตเปนพเิ ศษจากทานศาสดาหลังจากท่ีไดรบ เราทาน เขาไดอยูแถวหนาในสมรภูมิรบรวมกับนักสูคนอื่นๆ บุตรชายของเขา คอลาด และนอง ภรรยา อับดุลลอฮฺ บินอัมรว ก็ไดเขารวมสมรภูมิอันศักด์ิสิทธิ์น้ีดวย และท้ังสามก็ไดลิ้มรสการเปน ชะฮดี (การถกู สงั หารในวถิ ีทางแหง อลั ลอฮฺ) ตามท่ไี ดต ัง้ ใจ ภรรยาของเขา ฮินดฺ ซ่ึงเปนลูกสาวของ อัมรว บินฮัซซาม และเปนปาของ ทานญาบิร บิน อับดลุ ลอฮฺ อันศอรี ไดเดินทางมายังอุฮุดเพ่ือรับรางอันไรวิญญาณของชะฮีดทั้งสามบรรทุกบนหลัง อฐู กลับไปยังเมืองมะดนี ะฮฺ ในเมืองมะดีนะฮฺเกิดกระแสขาววา ทานศาสดาถูกสังหารในสมรภูมิรบ ผูหญิงหลายคนไดเดินทาง มายงั อุฮดุ เพอ่ื ตรวจสอบขาวดังกลาว ฮนิ ดฺ ไดพบกับภรรยาของทานศาสดาในระหวางทาง พวกนาง ไดถามขาวคราวของทานศาสดาจากฮินดฺ นางไดกลาวตอบดวยสีหนาท่ีเปนปรกติ เสมือนหนึ่งวา ไมไดเกิดเรื่องราวอันเจ็บปวดใดๆ กับนาง ทั้งๆ ที่รางอันไรวิญญาณของสามีลูกชาย และนองชาย ของนางยังอยูบนหลังอูฐวา “ขาพเจาไดรับขาวดีวาทานศาสดายังมีชีวิตอยูและปลอดภัยดี ความ เจ็บปวดที่ไดร ับนีช้ างไรค าจรงิ ๆ เมือ่ เปรียบเทียบกบั ความโปรดปรานอนั ยิง่ ใหญน”้ี “ยังมีขาวอกี วา อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงไลพ วกปฏิเสธกลับไปมักกะฮฺ ในสภาพท่ีพวกเขาพกเอา ความเคยี ดแคน กลบั ไปดว ย”(๓๖๐) จากนั้น สตรีกลุมนั้นก็ไดถามนางวา “แลวรางเหลาน้ีเปนใครกัน?” นางตอบวา “ท้ังหมด เปนญาติขาพเจาเอง คนหน่ึงเปนสามี อีกคนหนึ่งเปนลูกชาย และคนท่ีสามก็เปนนองชายของ ขา พเจา ซ่งึ ขา พเจากําลงั นําพวกเขากลับไปฝง ท่ีเมอื งมะดีนะฮ”ฺ

หลายตอหลายครั้งในหนาประวัติศาสตรที่ไดสําแดงใหเห็นถึง ผลผลิตแหงความศรัทธา ท่ีวา ความเจ็บปวดและความเศราตรมมีคาเพียงนอยนิดเมื่อจําเปนตองแลกมันในวิถีทางอัน ศักดสิ์ ิทธิเ์ พื่อบรรลเุ ปาหมายแหง การปกปอ งอสิ ลาม แนวคิดวัตถุนิยมไมอาจที่จะสรางบุรุษและสตรีท่ีเสียสละเชนนี้ได เพราะประเด็นเดียวก็คือ คนพวกนีไ้ มไ ดมจี ดุ มุงหมายในการสรู บตรงที่การ ไดม าซ่งึ การใชชีวิตในโลกทางวัตถุหรือตําแหนง ทางโลก ยังมีเร่ืองเลาท่ีนาประหลาดใจยิ่งกวา ซ่ึงไมอาจอธิบายไดดวยมาตรฐานทางวัตถุหรือ กฏเกณฑซ่ึงพวกวตั ถนุ ยิ มใชเพือ่ การวเิ คราะหประวัติศาสตร มีเพียงบุรษุ และสตรีท่ีมีจิตวิญญาณอัน สงู สง ซ่งึ มคี วามเชือ่ ม่นั อยางมั่นคงที่สามารถเขาใจในประเด็นความมหัศจรรยและคุณวิเศษเหลาน้ัน ได พวกเขาสามารถเขาใจเรื่องราวและมีทัศนะตอเรื่องราวเหลาน้ันไดอยางถูกตอง ลองดูเร่ืองราว ตอ ไปนี้ ฮินดฺจับบังเหียนอูฐกระชับไวในมือ แลวมุงหนาสูเมืองมะดีนะฮฺ แตอูฐกาวเดินอยาง ยากลาํ บาก ภรรยาคนหน่งึ ของทา นศาสดาเอย ขน้ึ วา “มันคงบรรทุกหนักเกินไป” นางตอบวา “อูฐตัว นี้แขง็ แรงมาก มนั สามารถแบกน้าํ หนักไดเปนสองเทาของอูฐตวั อืน่ นา จะมีเหตุอื่น กลาวคือ เม่ือฉัน บังคับใหมันมุงหนาไปยังอุฮุด มันก็เดินอยางทะมัดทะแมง แตเม่ือฉันบังคับมันใหเดินทางไปยัง เมืองมะดีนะฮมฺ ันกลบั ไมค อ ยอยากเดนิ และบางครงั้ ถึงขนาดหยดุ น่ังเลย” ฮินดฺจึงไดตัดสินใจกลับไปยังอุฮดุ เพื่อเลาเรื่องราวนี้ใหทานศาสดารับทราบ นางพรอมกับ อูฐและรางของชะฮีดทั้งสามไดกลับมาถึงอุฮุด นางไดเลาเหตุการณการเดินทางใหทานศาสดา รับทราบ ทาน (ศ.) กลา ววา “เม่ือตอนท่ีสามีของเธอมุงหนาสูสมรภูมิรบน้ัน เขาไดขอดุอาอจากพระ เจาวาอยางไร ?” นางตอบวา “เขาไดวอนขอตอพระองควา โออัลลอฮฺ อยางไดนําขาพระองค กลับคืนสูมะดีนะฮฺอีกเลย” ทานศาสดา (ศ.) จึงกลาววา “ดุอาอของสามีของเธอไดรับการตอบรับ แลว อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) ไมป ระสงคใหร า งของเขา

ไดกลับคืนสูมะดีนะฮฺดังนั้น จึงเปนหนาที่ที่เธอตองนํารางทั้งสามนี้ฝงอยูในอุฮุด ใหพวกเขาอยู รวมกนั ที่นแ่ี หละ” ฮินดฺวอนขอทานศาสดาทั้งน้ําตาวา ขอใหทานศาสดาวอนขอตอพระองคใหทางไดอยู รว มกับพวกเขาดว ย(๓๖๑) ทานศาสดา (ศ.) กลับถึงบานของทาน เมื่อสายตาของบุตรีอันเปนสุดท่ีรักยิ่งของทาน ฟาฏิ มะฮฺ พบกับใบหนาอันเต็มไปดวยบาดแผลของทานศาสดา น้ําตาของทานหญิงไดพร่ังพรูออกมา ทา นศาสดา (ศ.) ยนื ดาบใหทา นหญงิ เพอื่ นาํ ไปลาง อัรบะลี นักประวัติศาสตรชีอะฮฺ (ในราวศตวรรษที่ ๗) บันทึกไววาบุตรีของทานศาสดา (ศ.) นํานํ้ามาเช็ดใบหนาของบิดา ทานอะมีรุลมุอมินีน เอาน้ําไปทิ้ง ทานหญิงซะฮฺรออพยายามเช็ด เลือดรอบๆ บาดแผลน้ัน แตบาดแผลท่ีปรากฏนั้นฉกรรจมาก เลือดจึงไหลไมหยุด ไมมีทางเลือก นอกจากตองเอาเส่ือไปเผาแลว เอาเถา มาโรยบนบาดแผล เลอื ดจงึ หยุดไหล(๓๖๒) จาํ เปนตอ งติดตามศตั รู คืนน้ันหลังจากเหตกุ ารณอ ฮุ ดุ สน้ิ สดุ ลง มสุ ลิมก็กลับมายังบานของพวกเขา มันชางเปนคาํ่ คืนที่ทําใจ ไดย ากยง่ิ พวกมนุ าฟก ยิว และกลมุ ท่ีปฏบิ ัติตามอบั ดลุ ลอฮฺ อุบัย ตา งกแ็ สดงความดีอกดใี จอยา งออก นอกหนาตอเหตุการณท่ีเกิดข้ึน บานแตละหลังตางก็มีเสียงรองไหคร่ําครวญตอการสูญเสียบุคคล อันเปนท่ีรักย่ิงของพวกเขาเล็ดลอดออกมาเปนระยะๆ แตท่ีนากลัวยิ่งกวานั้นก็คือ พวกมุนาฟกและ พวกยิวอาจจะกอหวอดตอตานมุสลิมข้ึนมา มีคนกลุมเล็กๆ กลุมหน่ึงกําลังสรางความแตกแยกและ ทาํ ลายความเปนปก แผนของศูนยกลางอิสลามแหงน้ี ความแตกแยกในพื้นท่ีน้ันมอี ันตรายย่ิงกวาการเขาจูโจมของศัตรูภายนอกเสียอีก ดวยเหตุน้ี เองท่ีทานศาสดา (ศ.) ตองสําแดงใหศัตรูภายในเกิดเกรงขามข้ึนมา หรืออีกนัยหนึ่งตองสําแดงให พวกเขาไดรูวาอิทธิพลของกองกําลังเชื่อในพระเจาองคเดียวนั้น ยังเขมแข็งอยูและพรอมที่จะตอกร กบั

กลมุ ชนที่เปนฝายตอตานอยางเต็มที่วา อิสลามพรอมจะเขาบดขย้ีพวกเขาไดทุกเม่ือไมวาจะใชกําลัง มากมายสกั เพยี งใด ทา นศาสดาแหง อสิ ลามไดรับพระบญั ชาจากเอกองคอลั ลอฮฺ (ซ.บ.) วา วันรุงขึ้นให ติดตามศัตรูไป ทานศาสดาไดส่ังใหบุคคลหน่ึงออกไปปาวประกาศท่ัวเมืองวา ใครก็ตามที่ไดเขา รวมในสมรภูมิอุฮุดแลว วันพรุงนี้พวกเขาตองเตรียมตัวเพ่ือติดตามพวกศัตรู สวนบุคคลใดท่ีไมได เขา รว มในสมรภมู ดิ ังกลา ว พวกเขาก็ไมมสี ิทธเิ ขารวมในภารกจิ คร้งั นี้(๓๖๓) ขอ จาํ กดั ท่ีกาํ หนดไมใหคนกลมุ หนึ่งเขารวม ในภารกิจการตอสูครั้งใหมนี้ถือวาเปนยุทธวิธี ทส่ี าํ คัญทส่ี ดุ ซ่งึ สําหรบั นกั วางแผนทางยทุ ธศาสตรเขา ใจไดวาเปน เรอื่ งท่เี หมาะสมอยางยง่ิ ประการแรก ขอจํากัดดังกลาวนี้เปนวิธีการตอบโตกลุมบุคคลท่ีปฏิเสธการเขารวมใน สมรภูมอิ ฮุ ดุ วา พวกเขาไมมีความเหมาะสมทจ่ี ะทาํ หนาทป่ี กปอ งในครง้ั น๒้ี ๘๓ ประการท่ีสอง เปนการ… สําหรับบุคคลท่ีไดเขารวม เพราะผลจากการไมเชื่อฟงของพวก เขาน่ันเองท่ีเปนเหตุใหอิสลามตองประสบกับความเสียหายดังกลาว ฉะน้ัน พวกเขาตองเตรียมตัว สําหรบั การแกต ัวทจี่ ะตอ งไมใหเกิดเหตดุ ังกลา วซ้าํ สอง เสียงปาวประกาศของทานศาสดารูไปถึงหูของเยาวชนคนหน่ึงในตระกูลบะนีอับดุลอัชฮ้ัล ซ่ึงเขานอนบาดเจ็บอยูพรอมกับนองชายของเขา เสียงดังกลาวสรางความหวั่นไหวใหกับเขาท้ังสอง มาก เพราะพวกเขามีมาเพียงตัวเดียว และการที่ตองออกเดินทางอีกครั้งหน่ึงก็เปนอุปสรรคสําหรับ เขาทัง้ สองมิใชนอย พวกเขาพูดคุยกันวา “เปนเรื่องท่ีแยมาก ถาศาสดาตองเดินทางสูสมรภูมิรบโดย ท่ีเราตองอยูในแนวหลัง” พ่ีนองสองคนน้ีจึงตกลงกันท่ีจะผลัดกันขี่มา…และพาตัวเองเขารวมใน การตอ สคู รัง้ นีใ้ หไ ด( ๓๖๔) ฮัมรออลุ อะซดั (๓๖๕) ทา นศาสดาไดมีบญั ชาให อบิ นุอมุ มมิ ักตมู ทําหนา ทรี่ ักษาการแทน

ทานในเมืองมะดีนะฮฺ สวนตัวทานตั้งฐานที่ม่ันอยูที่ ฮัมรออุลอะซัด ซึ่งอยูหางจากเมืองมะดีนะฮฺ ประมาณ ๘ ไมล มะอฺบัด คอซาอี ซ่ึงเปนหัวหนาเผา คอซาอะฮฺ เปนชาวมุชริกมากอน ไดยอมเขา รวมสวามิภักด์ิตอทานศาสดาและนําคนทั้งหมดในเผาเขารวมสนับสนุนในการตอสูครั้งน้ี เม่ือมะอฺ บัดไดเดินทางจากรูฮาอเพ่ือไปพบทานศาสดาท่ีฮัมรออุลอะซัดศูนยกลาง การบัญชาการรบน้ัน เขา ไดพบกับอบูซุฟยาน ท่ีตัดสินใจเคล่ือนกําลังกลับเขาไปยังเมืองมะดีนะฮฺเพื่อจัดการกับกองกําลัง ของมุสลิมใหสูญสิ้นไป มะอฺบัด ไดพยายามทําใหเขาเปล่ียนเสนทางกลับไปยังมะดีนะฮฺ โดยกลาว วา “เฮย อบซู ฟุ ยาน มฮุ ัมมัดอยูที่อัมรออุลอะซัด โดยนํากองกําลังเต็มพิกดั เดินทางออกมานอกเมือง มะดนี ะฮแฺ ลว และบุคคลท่ีไมไ ดเขา รว มรบเมื่อวานน้ี ก็ตองเขารวมรบในวันน้ีดวย โออบูซุฟยาน ขา เห็นใบหนาของพวกเขาน้ัน ดุดันไปดวยความโกรธจัด ในชวงชีวิตของขาไมเคยเห็นใบหนาเชนนี้ มากอนเลย และมสุ ลิมทุกคนก็รูสึกสํานึกในความผิดพลาดทพ่ี วกเขาฝาฝน คําส่ัง” เขาพูดบรรยายให เห็นสภาพความแขง็ แกรงภายนอกและความแข็งแกรงทางดานจิตใจของมุสลิมจนทําใหอบซู ุฟยาน เปลยี่ นใจ ทานศาสดาไดคางคืนอยูฮัมรออุลอะซัดพรอมสหายของทานและทานไดออกคําสั่งใหจุด ไฟลอมรอบอาณาบริเวณดังกลาวไว เพื่อใหพวกศัตรูคิดวาทานมีกองกําลังท่ีพรอมรบมากกวาใน คราวทอี่ ุฮดุ ศ็อฟวาน อุมยั ยะฮฺ หันไปหาอบซู ุฟยานแลวกลาววา “มุสลมิ คงโกรธจัด ซึ่งขาคิดวา เราควร พอแคนก้ี อ น แลว กลบั ไปมกั กะฮจฺ ะดีกวา ”(๓๖๖) บุคคลซง่ึ เปย มไปดว ยศรัทธาน้ันตอ งไมถ ูกหลอกลวงถงึ สองครัง้ นีค่ อื บทสรปุ ของถอ ยคาํ ของทานศาสดาท่ีวา “ผูศรทั ธาตอ งไมถกู กัดจากรูเดียวกันสองครงั้ ” ทานศาสดาไดกลาวประโยคดังกลาวนี้ในตอนที่ อบูอัรเราะฮฺ ญัมฮี ไดวอนขอทาน ศาสดาปลอยตัว เขาใหเปนไท ซง่ึ เขาถูกจับเปนเชลยกอนหนาสมรภูมิบะดัร และ ทานศาสดาไดเอยปากปลอยเขาให เปนไทในคราวสงครามบะดัร แตไดตกลงเง่ือนไขกบั เขาไวว า เขาตองไมเ ขา รวมกับพวก

มุชริกมาตอตาน อิสลาม และเขาก็ยอมรับเงื่อนไขดังกลาว แตเขากลับผิดสัญญาโดยเขารวมใน สงครามอุฮุด และบงั เอญิ ที่มุสลิมจบั ตัวเขาไดในตอนกลับมาจาก ฮัมรออุลอะซัด คร้ังนเี้ ขาก็วอนขอ ทานศาสดาใหปลอยตัวเขาอีก แตทาน ก็ปฏิเสธคําขอของเขา และกลาวประโยคดังกลาวออกมา พรอมสั่งใหประหารเขาเหตกุ ารณทเ่ี ต็มไปดวยบทเรียนก็จบลง(๓๖๗) ในท่ีสุดสงครามอุฮุดก็ส้ินสุดลง ดว ยการพลชี ีพของนกั รบผพู ลีชีพถงึ ๗๐-๗๔ คน หรือบางรายงานกลา ววา ประมาณ ๘๑ คน ขณะที่ พวกมุชริกตายไป ๒๒ ศพ น่ีเปนผลจากเหตุการณอันไมคาดคิดที่เกิดจากการฝาฝนคําสั่งของคน กลมุ หน่งึ สงครามอุฮุดเริ่มตนเมื่อวันเสารที่ ๗ เดือนเชาวาล ป ฮ.ศ. ๓ และเหตุการณที่อัมรออุลอะซัด ซ่ึง ดาํ เนนิ เร่อื ยมาจนถึงวนั ศุกร และสน้ิ สุดลงเมื่อวนั ที่ ๑๔ เดอื นเชาวาล เหตุการณในปที่ ๓ แหงฮิจญเราะฮฺศักราชน้ี เปนปท่ีทานอิมามมุจญตะบา ทายาททาน ศาสดาผูดํารงตําแหนงอิมามไดถือกําเนิดข้ึนมาในวันที ๑๕ เดือนรอมะฎอน ขอความศานติ จากอลั ลอฮฺจงประสบแดท าน ในวนั ทีท่ า นถอื กาํ เนดิ ซ่งึ ในวันดังกลาวกม็ กี ารจดั งานเฉลิมฉลองดวย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook