Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-06 05:31:49

Description: จดหมายสนทนาโตตอบทางวิชาการระหว่างอุลามาชีอะห์กับผู้รู้ซุนนี

Search

Read the Text Version

หน้ า๒๓๔ และยังมีอีกฮาดีษหนึ่งท่ีคลายคลึงกันน้ี ซ่ึงรายงานมาจากทานบัซซาซ ไดกลาววา “แทจริงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดจับมือของทานอาลีแลวกลาววา “แทจริงนบีมูซานั้นทานได วิงวอนตอพระผูอภิบาลของทานเพ่ือท่ีจะใหมัสญิดของทานนั้นสะอาด โดยการมีสวนรวมของฮา รูน และแทจริงฉันก็ไดวิงวอนขอตอพระผูอภิบาลของฉันวา ใหมัสญิดของฉันน้ีไดสะอาดโดยการ มสี ว นรวมของเจา ” หลังจากนนั้ ทานไดออกคาํ สง่ั ใหอาบูบกั รฺทาํ การปดประตขู องเขาเสีย อาบูบักรฺ ไดแสดงความฉงนใจ หลังจากน้ันทานก็ไดกลาววา “ฉันเปนผูเชื่อฟงและฉันเปนผูปฏิบัติตาม” แลวทา นศาสดากไ็ ดออกคําสง่ั นไ้ี ปยังทา นอุมัร ถดั จากน้ันกอ็ อกคาํ สัง่ ไปยังทาน (188) ทานอาบูอิสฮาก ษะลาบียไดรายงานฮาดีษบทนี้มาจากทานอาบูซัร ฆ็อบฟารียในตอน อธิบายโองการท่ีวา (แทจริงผูปกครองของสูเจานั้นมีเพียงอัลลอฮฺและศาสนทูตของ พระองคและบรรดาผูซึ่งศรัทธา...) ในซูเราะฮฺมาอิดะฮฺ หนังสือ “ดัฟสีร อัล-กาบีร และ นกั ปราชญบ ะลาคยี ก ไ็ ดอ า งไวอกี ดงั มีปรากฎอยูจากมุสนัดอมิ ามอะหมฺ ดั อับบาสในลกั ษณะเดียวกนั และแลวทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ฉันมิไดสั่งปดประตูท้ังหลายของพวกทานแลวส่ังใหเปด ประตูของอาลี โดยพละการของฉัน แตทวาอัลลอฮฺตางหากที่พระองคไดเปดประตูของเขาและปด ประตทู ้งั หลายของพวกทาน”(189) ขอมูลตา ง ๆ เหลานี้คงจะเปน ทเี่ พียงพอสาํ หรับส่งิ ที่เราไดเสนอไปแลววาทานอาลีกบั นบีฮา รนู นั้นมลี กั ษณะทเี่ สมอเหมอื นกันในทกุ ๆ มาตรการและคุณลกั ษณะ (ยกเวนการเปน นบ)ี วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 35 27 ซุล-ฮจิ ญะฮ 1329 • ขอพิสจู นห ลักฐานอื่น ๆ ท่ียังเหลืออยู

ขอใหอัลลอฮฺไดทรงประทานความโปรดปรานใหแกทานตามท่ีทานไดใหความกระจาง แจงโดยหลักฐานตาง ๆ ของทาน และโดยที่การอธิบาย การยกหลักฐานตาง ๆ เหลานั้น ทานได ดําเนินไปอยางนาประทับใจ ดังนั้นขอใหทานไดโปรดขยายความสวนท่ียังเหลืออยูจากบรรดา หลักฐานตาง ๆ ของทานอันถายทอดมาจากสายสืบท่ีสอดคลองตองกันอีกเถิด ขอใหเกียรติยศเปน ของทา น วสั ลาม (ช) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 36 29 ซลุ -ฮิจญะฮฺ 1329 1. ฮาดีษของทานอบิ นุ อบั บาส 2. ฮาดษี ที่รายงานโดยทา นอมิ รอน 3. ฮาดษี ท่รี ายงานโดยทา นบุรยั ดะฮฺ 4. ฮาดีษที่ระบุถึงคุณสมบตั ิ 10 ประการ 5. ฮาดษี ท่รี ายงานโดยทานอาลี 6. ฮาดีษที่รายงานโดยทานวะฮับ 7. อาดษี ท่ีรายงานโดยทานอิบนุ อาบูอาศิม 1. ขอทานไดโปรดพิจารณาเนื้อหาฮาดีษท่ีรายงานโดยทานอาบู ดาวูดอัฏ-ฏอยาลิสียที่ได กลาวถึงเร่ืองราวตาง ๆ ของทานอาลีจากหนังสือ “อัล-อิสตีอาบ” ดวยสายสืบท่ีรายงานไปถึง ทานอิบนุอับบาส ซง่ึ ทานไดกลาววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ

และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกทานอาลี บิน อาบิฏอลีบวา “เจา คอื ผูป กครองของผูศรทั ธาทุกคนหลงั จากฉัน”(190) (190) ทานอาบู ดาวูดและนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺคนอ่ืน ๆ ไดบันทึกฮาดีษนี้มาจาก อาบู อิวานะฮฺ อัล-วะฎอห บิน อับดุลลอฮฺ ยัชการีย ผูซึ่งไดรับรายงานมาจากอาบูบาลัจญ ยะห ยา บิน สาลีม อัล-ฟะซารีย ซ่ึงเปนผูบันทึกมาจาก อุมัร บิน มัยมูน อัล-เอาดียที่ไดรับ รายงานสบื ทอด 2. ฮาดีษทํานองเดียวกันน้ี ยังเปนฮาดีษท่ีมีสายสืบศอฮี้ฮฺ ซ่ึงรายงานมาจากทานอิมรอน บิน ฮุซัยน คอื ฮาดีษทีท่ า นไดก ลา ววา ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดตั้งกองทหารข้ึนกองหน่ึงแลวไดสั่งใหพวกเขาเหลานั้น อยูภายใต การบงั คับบัญชาของทานอาลี บนิ อาบีฏอลบิ ดงั นัน้ ทา นจงึ ไดจัดการเลือกมาจาก อลั คุมส ซึ่งหญิง รับใชคนหน่ึง เพื่อตัวของทานเอง เร่ืองนี้เปนเหตุใหพรรคพวกบางคนของทานแสดงความไมพึง พอใจขึ้น และบุคคลจํานวน 4 คน ในหมูพวกเขาเหลานั้น ก็ไดนําเรื่องนี้ไปรองเรียนเพ่ือฟองทาน อาลตี อทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลาน ของทาน) ครั้งเมื่อพวกเขาเหลานั้นไดไปถึงยังทานศาสดาแลวบุคคลหน่ึงจากจํานวน 4 คนก็ไดลุก ข้ึนยนื แลวกลา ววา “โอท า นศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ ทา นไดท ราบหรือไมวา แทจริงอาลีนั้นเขาไดทํา อยา งน้ัน ๆ และทําอยางนี้ ๆ ?” ทานศาสนทูตไดเบือนหนาหนีจากเขาคนน้ัน ตอมาชายคนท่ีสองก็ ไดลุกขึ้นยืน แลวกลาวเชนเดียวกัน ทานศาสนทูตก็ยังเบือนหนาของทานหนีไปจากเขาผูน้ันอีก ชายคนท่สี ามกย็ ังลุกข้ึนยนื แลวกลา วเชนเดียวกันกบั ที่พรรคพวกของเขาไดก ลาวไปแลว ทา นศาสน ทตู ก็ยงั คงเบือนหนาหนีจากเขาคนนน้ั จนถึงคน ไปถึงทานอิบนุอับบาส นักปราชญเหลานี้หลักฐานตาง ๆ ของพวกเขาเปนที่ถูกยอมรับกัน มาโดยตลอดและโดยเฉพาะอยางย่ิงผูอาวุโสท้ังสอง (บุคอรี-มุสลิม) ก็ไดเคยรับหลักฐาน ตาง ๆ จากบุคคลเหลานั้นบันทึกไวในตําราศอฮ้ีฮฺของทานทั้งสองเลม ยกเวนคนชื่อยะหยา บิน สาลิมถึงแมวาบุคคลทั้งสองน้ีมิไดทําการบันทึกฮาดีษบทนี้ไวก็ตาม แตทวาบรรดาอิ มามผูมีคุณวุฒิและมีมาตรการท่ียุติธรรมั้งหลายตางก็ไดยืนยันถึงความสําคัญและมี หลกั ฐานท่แี ข็งแรงของฮาดีษบทน้ีและแทจริงเขาก็เปนบุคคลหนึ่งท่ีเปนผูรําลึกถึงอัลลอฮฺอ ยา งมากมาย ซึ่งทานซะฮะบียไดอธิบายถึงเขาไวในหนังสือมีซาน โดยระบุวา ทานอิบนุมุ

อีน ทานนะสาอียทานดาเราะ กุฎนีย, ทานมุฮัมมัด บิน สะอีย และอาบูฮาติม ตลอดจนถึง บคุ คลอ่นื ๆ ตา งไดใ หก ารยอมรับในความสําคญั ของเขา ท่ี 4 ก็ไดลุกข้ึนยืนกลาวเชนเดียวกันกับท่ีพรรคพวกไดกลาวไปแลวทานศาสนทูต แหง อัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทาน) ไดห ันหนา ตรงมายงั พวกเขาเหลา นั้นดวยความโกรธ ซงึ่ สามารถมองเห็นไดชัดในสีหนา ของ ทาน พลางกลาววา “พวกทานประสงคอะไรจากอาลีหรือ ? แทจริงอาลีน้ันมาจากฉันและฉันก็มา จากเขา และเขาคอื ผูปกครองของผศู รทั ธาทุกคนหลงั จากฉนั ”(191) 3. ในทํานองเดียวกันนี้ก็ยังมีฮาดีษซึ่งรายงานโดยทานบุรัยดะฮฺซ่ึงสํานวนประโยคฮาดีษ ของทานน้นั มีปรากฏอยูหนา ๓๕๖ จากุซอทฺ ี่ 5 ของหนงั สือมสุ นดั อะหมฺ ัดซึ่งมีขอความที่ทานได กลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดทําการสงทหารสองกลุม ไปยังเมืองยะมัน โดยท่ีกลุมหนึ่ง อยูภายใตการบังคับบัญชาของอาลี บิน อาบีฏอลิบ สวนอีกกลุมหนึ่งอยูภายใตการบังคับบัญชา ของ คอลิด บิน วะลีด ซึ่งทานดสั่งวา “อาลีนั้นคือ ผูทําหนาที่บังคับบัญชาสูงสุดของกองทหาร ท้งั สอง ดังนนั้ ทกุ ๆ คนท่เี ปน ทหาร (191) จํานวนไมนอ ยจากบรรดานกั ปราชญของฝายซุนนะฮฺไดทําการบันทึกฮาดีษบทน้ี เชนอิมิม นะสาอยี  ท่ไี ดบ ันทกึ ไวในหนังสือ “เคาะศอิศ อลุ วุ ียะฮฺ” ทานอะหฺมัดบิน ฮันบัล ก็ไดบันทึกฮาดีษ บทนี้โดยอางรายงานมาจากทานอิมรอน ซ่ึงมีบันทึกอยูในตอนแรกของหนา 438 ุซอฺที่ 4 หนังสือ “มุสนัด” ทานฮากิมก็ไดบันทึกไวมีปรากฏในหนา 111 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” ทานซะฮะบียไดบันทึกไวในหนังสือตัลคีศมุสตัดร็อกโดยระบุวาศอฮ้ีฮฺตรง ตามมาตรฐานของทานมุสลิม ทานอิบนุอาบียชัยบะฮฺ และทานอิบนุญะรีรก็ไดบันทึกไว โดยระบุวาเปนฮาดีษศอฮี้ฮฺ ทานมุตตากีย อัลฮินดียไดยืนยันวาเปนฮาดีษศอฮี้ฮฺในตอนตน ของหนา 400 ุซอฺที่ 6 หนังสือกันซุลอะมาล ทานติรมีซียก็ไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไว เชนเดยี วกนั โดยระบถุ ึงสายสบื ของฮาดีษท่แี ข็งแรง ดวยการท่ีฮาดีษนี้ไดถูกนํามากลาวถึง โดยทานอัสก็อลลานีย ในหัวขอเร่ือง “ทานอาลี” จากหนังสืออะศอบะฮฺ ทานอัลลามะฮฺ

อัล-มุอฺตะซิละฮฺไดอางฮาดีษบทน้ีไวในหนา 450 เลม 2 หนังสือชะรออฺ นะุลบะลา เฆาะฮฺ แลวกลาววา “อาบูอับดุลลอฮฺอะหฺมัด ไดร ายงานฮาดีษบทนี้ไวในหนังสือ มุสนัด ไวหลายแหงโดยไดรายงานไวในหมวดวาดวยเกียรติยศของทานอาลี และบรรดา นักปราชญฮาดีษจาํ นวนมากก็ไดท าํ การบนั ทึกฮาดษี บทน้ี ของสองกองนี้จะตอ งอยภู ายใตการบังคับบัญชาของเขา”(192) ทานไดกลาววา “เมื่อเราไดเผชิญหนากับกลุมของบะนีสุนัยดะฮฺชาวยะมันและเราไดสูรบ กันอยางสุดกําลังและฝายมุสลิมก็ไดมีชัยชนะเหนือฝายมุสลิมก็ไดมีชัยชนะเหนือฝายศัตรู และเรา ไดริบทรัพยส นิ เชลยศึก รวมทัง้ บรรดาสตรีและเดก็ ๆ อีกเปน จาํ นวนมากจากการทําสงคราม แลว ทา นอาลกี ็ไดเ ลือกเอาสภุ าพสตรเี ชลยศึกสงครามคนหน่งึ ไวแกต ัวของทานเอง” ทานบุรัยดะฮฺไดกลาวตอไปอีกวา “ดังน้ันทานคอลิดจึงไดเขียนจนหมายใหฉันพาไปแจง จาวแกศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) โดยไดแจงใหทานไดทราบถึงกรณีนี้ ครั้นเมื่อฉันไดนําจนหมายไปถึง ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดพทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) แลว ฉันกไ็ ดม อบสง จนหมายฉบับนน้ั ดังนั้นจดหมายดังกลาวก็ไดถูกอานข้ึนใหทานฟง ฉัน ไดเ ห็นอาการโกรธปรากฏอยูในใบหนาของทาน แลว ฉันจงึ ได (192) ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แด บรรดาลูกหลานของทาน) ไมเ คยไดม ีบญั ชาใหค นหนึ่งคนใดมอี ํานาจหนาที่เหนือทานอาลี เลยตลอดชั่วชวี ติ ของทา นหากแตวาคําส่ังที่ปรากฏอยูเสมอนั้น คือ ตองการใหทานอาลีเปน ผูมีอํานาจบังคับบัญชาบุคคลอ่ืน ๆ ทานคือผูทําหนาท่ีถือธงของทานศาสดาในทุกสมรภูมิ ซ่ึงแตกตงกับคนอื่น ๆ แทจริงสําหรับทานอาบูบักรฺ และทานอุมั้รน้ัน เขาอยูในกองทหาร ภายใตการบังคับบัญชาของทานอุสามะฮฺ โดยการอนุมัติที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺมีแก เขา คือใหทานอุสามะฮฺเปนผูทําหนาที่ถือธง ซ่ึงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺ ทรง ประทานความจําเรญิ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดเกณฑ ใหบคุ คลท้งั สองอยกู ับทหารของอุสามะฮฺ โดยตัวของทา นเอง ซ่งึ เปนท่ีรูกันอยางเอกฉันท ของบรรดานักประวัติศาสตร และบางคร้ังทานก็เคยไดแตงต้ังใหบุคคลทั้งสองเปนทหาร

ของทาน อุมัร บิน อาศ ในการทําสงคราม ดังท่ีทานฮากิมไดบันทึกไวในหนา 43 ของุซอฺที่ 3 หนังสือ “อัลมุสตัดร็อก” และทานซะฮะบียก็ไดอธิบายไวเปนรายละเอียด ในหนังสือ “ตัลคีศ” โดยทานไดระบุวาเรื่องน้ีมีหลักฐานศอฮี้ฮฺทางฮาดีษยืนยัน ฉะนั้น ทานอาลีจึงไมเคยมีผูใดมีอํานาจสั่งการและไมเคยมีผูใดควบคุมเหนือตัวทานเลยนอกจาก ทานนบี ยอมเปนสิ่งท่ีแสดงใหเห็นถึงการประกาศอยางเปดผยในความสําคัญของทาน โดยทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) กลา วขึน้ “โอท า นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ฐานะของขาพเจา น้คี อื ผหู วงั ไดร ับความคุมคอง ทา นไดส ง ใหฉันทํางานรวมกับบุรุษหน่ึง และทานไดออกคําส่ังใหฉันเชื่อฟงปฏิบัติตามเขา ดังนั้นฉันก็ไดทํา ตามสง่ิ ท่เี ขาไดม อบหมาย โดยนาํ จดหมายของเขาสง มายังทา น” ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวขึ้นวา “พวกเจาอยาไดวากลาวตําหนิ ในเร่ืองของอาลีเลย เพราะแทจริงเขามาจากฉันและฉันเองก็มาจากเขา และเขาคือผูปกครองของพวกเจาหลังจากฉัน” “และแทจริงเขามากจากฉัน และฉนั มาจากเขา และเขาคอื ผูปกครองของพวกเจา ภายหลงั จากฉัน” (193) (193) น่ีคือฮาดีษท่ีไดบันทึกโดยทานอะหฺมัด ในหนา 356 โดยสายสืบทางดานการรายงานของ ทานอบั ดุลลอฮฺ บิน บุรัยดะฮฺ ซ่ึงเขาไดรับรายงานฮาดีษนี้มาจากบิดาของทาน และยังมีการ บันทึกไวอีกตอนหนึ่งในหนา 347 ของุซอฺที่ 5 จากหนังสือ “มุสนัด” ของทาน คือ สายสืบซ่ึงรายงานโดยทานสะอีด บิน ซุบัยร ซึ่งไดรับรายงานมาจากทานอิบนุอับบาส ผู ซ่งึ ไดร บั ฮาดีษนม้ี าจากทา น บุรัยดะฮฺไดกลาววา “ฉันไดเขารวมทําสงครามที่เมืองยะมันพรอมกับทานอาลี ฉันได ประจักษถึงพฤติกรรมท่ีรุนแรงของทาน ฉะน้ันเม่ือฉันไดกลับมาฉันก็ไดบอกเลาแก ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ โดยที่ฉันไดกลาวฟองรองทานอาลีกับทาน ฉันไดสังเกตเห็น ใบหนาของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺเปลี่ยนไป แลวไดกลาวข้ึนวา “โอบุรัยดะฮฺเอย ฉัน

มิไดเปนผูบัญชาการสูงสุดของบรรดาผูศรัทธาท้ังหลายโดยมีอํานาจเหนือตัวพวกเขาเอง ดอกหรอื ?” ฉนั ไดต อบวา “โอทานศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ ทานอยูในฐานะอ้ันน้ันแนนอน” ทานไดกลวอีกวา “ผูใดก็ตามที่ฉันไดเปนผูปกครองของเขาแลว ดังน้ันอาลีคนนี้ก็คือ ผปู กครองของเขาดว ย” ทานฮากมิ ไดบ ันทึกฮาดษี บทนี้ไวในหนา 110 ุซอฺที่ 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” และบรรดานักปราชญฮาดีษอื่น ๆ อีกจํานวนไมนอย ฮาดีษน้ีไดรับการ พิจารณาตรวจสอบกันอยางละเอียดถี่ถวนดังท่ีทาน สังเกตุเห็นไดอยางชัดเจนถึงถอยคําท่ี ทานศาสดาไดกลาววา “ฉันมิไดเปนผูบัญชาการของผูศรัทธาท่ีมีอํานาจเหนือตัวของพวก เขาเองดอกหรือ? นั้นเปนการยืนยันที่ชี้ใหเห็นถึงความหมายของคําวา “เมาลา” วา แทจริงเปนคําที่มีความหมายไดเพียงแตวา “ผูมีอํานาจ ผูปกครอง” เทาน้ันอยางไมมีขอ สงสัยใด ๆ ฮาดีษน้ีไดรับการพิจารณาอยางละเอียดโดยไดบันทึกไวจากบรรดานักปราชญ ฮาดีษจํานวนไมนอย เชนทานอิมาม อะหฺมัด ซึ่งไดบันทึกอยูในตอนทายของหนา 483 ุซอฺที่ 3 จากหนังสือ “มัสนัด” ของทานโดยเปนรายงานที่มาจากอุมัร บิน ชาส อัลอัส ลามยี  ผูเปนทหารของกองรบในสงคราม สําหรับสํานวนประโยคที่บันทึกโดยทานสะสาอีย ในหนา 17 ของหนังสือ “เคราะศออิส อัลอุลุวียะฮ” นั้นมีวา “โอบัยดะฮฺเอย เจาอยาพยายามที่จะฟองฉันในเรื่องของอาลีเลย เพราะวา แทจ รงิ อาลีนั้นมาจากฉัน และฉนั เองก็มาจากเขา และเขาคือผปู กครองของพวกเจา หลังจากฉัน” ทานฏ็อบรอนีย ก็ไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไวโดยละเอียดซึ่งตามท่ีทานไดบันทึกไวนั้นมี ใจความวา “แทจริงเม่ือบุรัยดะฮฺไดกลับมาจากเมืองยะมันและไดเขาไปในมัสญิด เขาก็ไดพบกับ บรรดาพรรคพวกตรงท่ปี ระตหู องของทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุข แดท า นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) พวกเขาเหลา น้นั ไดย ืนขึน้ กลาว ฮุดัยบียะฮฺ คนหน่ึงไดกลาววา ฉันไดออกไปทําสงครามท่ีเมืองยะมัน พรอมกับทานอาลี แลว เขาได กระทําการรุนแรงกับฉัน ในการเดินทางคร้ังนั้น จนฉันเกิดความรูสึกสดุดใจตอเขาเปน อยางยิ่ง คร้ังเมื่อฉันไดกลับมาฉันก็ไดทําการอุธรณ ฟองรองเร่ืองราวของเขาในมัสญิด จนกระทั่งเรื่องนี้ไดเปนขาวไปถึงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ

จําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) กําลังวิสาสะอยูกับ บรรดาสาวกของทา น ครง้ั เม่ือทานไดม องเหน็ ฉนั ทานก็ไดม องมาดว ยสายตาท่ีเต็มไปดว ย ความโกรธ จนเม่อื ฉันไดน่ังลงแลวทานไดเอยข้ึนวา “โออุมัร ฉันขอสาบานดวยพระนาม ของอัลลอฮฺวา แทจริงเจาไดทํารายตอฉันเสียแลว” ฉันไดกลาววา “ฉันขอความคุมครอง จากอัลลอฮฺใหพนจากการท่ีฉันเปนผุทํารายทานดวยเถิด โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ” ทา นไดกลาววา “จงรูไวเถดิ ผูใดทีก่ ลาวรา ยตอ อาลีกเ็ ทา กับเขาไดกลาวรา ยตอ ฉัน” ในเนื้อหาของฮาดีษบทน้ี ทานมุตตากีย อัล-ฮินดียไดอางเอาไวในหนา 398 ุซอฺท่ี 6 หนังสอื กัลซุลอมุ าล และทานยังไดอางฮาดษี บทนเ้ี อาไวอีกในหนังสือ “มุนตาค็อบกันซ” สลามใหแ กทาน และไตถ ามทา น (บรุ ยั ดะฮฺ) วา “ผลปรากฏขางหลังทานเปนอยางไร ?” ทานตอบ วา “ดีมาก อัลลอฮฺ ไดประทานชัยชนะใหแกฝายมุสลิม” พวกเขาเหลานั้นไดถามอีกวา “แลว ทา นไดน ําอะไรมาบา ง ?” ทานตอบวา “เชลยหญิงคนหน่ึง แตอาลเี ขาไดยดึ นางเอาไวเสยี เอง โดย ถือวาเปนสวนท่ีมาจาก “คุมส” ฉะนั้นฉันจึงมาเพ่ือบอกเรื่องนี้แกทานนบี” พวกเขาเหลาน้ันจึง กลาววา “บอกทา นเถอะ....บอกทา นเถอะ เรื่องนจ้ี ะทาํ ใหอาลตี กตาํ่ ในสายตาของทา นเปน แน” ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ไดยินถอยความของพวกเขาเหลานั้นจากทางดานหลังประตู ทานจึงไดออกมา อยา งมคี วามโกรธแลวกลา ววา “มเี หตอุ ะไรเกิดข้ึนกับประชาชนจนถึงกับพวกเขาตองตําหนิติเตียน อาลีหรือ ? ผูใดที่โกรธอาลีแลวแนนอนเทากับเขาโกรธฉัน ผูใดที่แตกแยกกับอาลีก็เทากับเขาได แตกแยกกับฉันแทจริงอาลีนั้นมาจากฉัน และฉันก็มาจากเขา เขาถูกสรางมาจากเนื้อดินสวน เดียวกับฉันและฉันไดถูกสรางมาจากเนื้อดินสวนเดียวกันกับอิบรอฮีม และฉันมีเกียรติจากเกียรติ ของอิบรอฮีม(195) สวนหนึ่งของพวกเขาเหลานั้นคือ เชื้อสายของอีกสวนหน่ึง และอัลลอฮฺเปนผู ทรงไดย ินผูทรงรอบรูเสมอ โอบุรยั ดะฮฺเอย เจายังไมร ูด อกหรือวา แทจรงิ สทิ ธิสําหรับอาลี (195) ในเม่ือทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทา นและ แดบ รรดาลูกหลานของทา น) ไดประกาศวาแทจริงทานอาลีน้ันถูกสรางมาจากเน้ือดินสวน เดียวกันกับทาน ก็ยอมถือไดวาเปนหลักฐานที่สําคัญอยางย่ิงที่ช้ีใหเห็นเกียรติยศของทาน อาลี และถอยคําท่ีทานไดพูดวา “และฉันไดถูกสรางมาจากเน้ือดินสวนเดียวกันกับนบีอิบ

รอฮีมน้ันก็เปนการยืนยันใหเห็นวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ก็ไดรับเกียรติพิเศษมา จากทานนบีอิบรอฮีม สํานวนประโยคท่ีคลายคลึงกันน้ียังมีอีกมากมายซึ่งทาน อะหฺมัด บิน ฮันบัล ได บันทกึ มาจากรายงานฮาดษี ของทานอบั ดลุ ลอฮฺ บนิ อมุ ัร หนา 26 ุซอฺที่ 2 จากหนังสือ “มุสนดั ” ของทาน นักปราชญผูทรงคุณวุฒิจํานวนไมนอยไดรับรายงานฮาดีษบทน้ีมาจาก ทานอมุ ัร และทานอับดลุ ลอฮฺ บตุ รของทานดว ยสายสืบทม่ี ีสํานวนแตกตา งกัน นั้นยังมีมากมาย ยิ่งกวาการไดรับผูหญิงคนหน่ึงท่ีเขาไดยึดเอาไว และแทจริงเขาคือผูปกครองของ พวกเจา ภายหลงั จากน้ัน” (196) ฮาดีษบทน้ีมีความหมายปรากฏอยูในตัวอยางสมบูรณซ่ึงไมมีอะไรที่นาเปนขอสงสัย และ สายสืบฮาดษี บทนท้ี ีม่ าจากทา นบรุ ัยดะฮฺนัน้ มมี ากมาย ดว ยสํานวนสายสืบทแี่ ตกตา งกันไป 4. ทาํ นองเดียวกันนี้ ก็ยังมีรายงานฮาดีษซ่ึงทานฮากิมไดบันทึกมาจากสายสืบท่ีรายงานมา โดยทานอิบนุ อับบาสอันเปนฮาดีษท่ีกลาวถึง “เกียรติยศที่ดีเดนเปนพิเศษ 10 ประการ” ท่ีมี เฉพาะสําหรับทานอาลี(197) ซ่ึงทานไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “เจาคือ ผูปกครองของผูศ รทั ธาทกุ คนหลังจากฉนั ” 5. ยังมีฮาดีษทํานองเดียวกันนี้ จากรายงานของบุคคลอื่นๆ อีกเปนจํานวนมากท่ีไดอางถึง คํากลาวของทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลกู หลานของทาน) เชนฮาดีษที่ไดกลา ววา “โออาลีเอย ฉนั ไดวิงวอนขอตออัลลฮฺ ในเร่ืองท่ี เกี่ยวกับเจา 5 ประการ ดังน้ันพระองคไดประทานให 4 ประการและยับยั้งไวหน่ึงประการ.... จนถึงคําที่ทานไดกลาววา “ประการหน่ึงที่พระองคไดประทานใหแกฉัน ก็คือ ใหเจาเปน ผูปกครองของบรรดาผูศรัทธาภายหลังจากฉัน”(198) (196) ฮาดีษนี้มีปรากฏอยูในตอนแรก ๆ ของหนา 17 จากุซอฺท่ี ๓ “หนังสือมุสตัดร็อก” และฮา ดีษบท น้ีก็ไดมีปรากฏอยูในตําราศอฮ้ีฮฺสุนันเปนจํานวนมาก นักปราชญผูทรงคุณวุฒิท่ีมีความ พถิ พี ิถนั ของฝายซนุ นะฮฺจํานวนไมนอยทไ่ี ดบ นั ทึกรายงานของฮาดีษบทน้ี

(197) เปนรายงานฮาดีษท่ีไดบันทึกโดยทานอะหฺมัด ในหนา ๓๖๙ จากุซอฺที่ ๔ หนังสือ “มุ สนดั ” ทานฎิยาก็ไดบันทึกไวอีกเชนกัน ดังท่ีมีปรากฏอยูในหนังสือ “กันซุลอุมาล” และใน หนังสือ “มุนตาค็อบ” โปรดพจิ ารณา “มุนตาค็อบ” ไดในภาคผนวก หนา 29 ุซอฺท่ี 5 หนังสอื “มสุ นัด” (198) ทานมุตตากีย ฮินดียไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในตอนทายของภาคผนวกตามหมายเลขหนา ดงั ทเี่ ราไดก ลาวถงึ ไปแลว 6. ทํานองเดียวกันน้ี ก็ยังมีรายงานฮาดีษซ่ึงไดถูกบันทึกโดยทานอิบนุ สะอัดจากสายสืบ ซึ่งรายงานมาจาก ทานวาฮับ บิน ฮัมซะฮฺไดกลาวไวตามที่มีปรากฏในหัวขอเรื่องที่อธิบายถึงช่ือ ของทานวาฮับ ในหนังสือ “อัล-อิศอบะฮฺ” กลาววา “ฉันไดออกเดินทางพรอมกับทานอาลีในคร้ัง หน่ึง แลวฉันไดเห็นความประพฤติท่ีรุนแรงของทาน ฉันจึงบอกกับตัวเองวา แนนอนถาหากวา ฉันไดกลับไป ฉันจะฟองเรื่องราวของเขา คร้ังเมื่อฉันไดกลับมาแลว ฉันก็ไดพูดถึงเร่ืองของอาลี แกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ แลวฉันก็ไดรับคําตักเตือนจากทานวา “พวกเจาอยาไดกลาวเร่ือง ทํานองนี้แกอาลีอีกอยางเด็ดขาด เพราะแทจริงเขาคือ ผูปกครองของพวกเจาหลังจากฉัน” ทานฏ็บรอนยี ไ ดบ นั ทึกฮาดีษบทน้ีในหนงั สือ “อัลกาบิร” จากรายงานของทานงาฮับ โดยที่ทานได ใชสํานวนประโยควา “เจาอยาไดกลาวอยางนี้กับอาลี เพราะวาเขาคือผูปกครองของประชาชนใน หมพู วกเจา หลังจากฉัน”(199) 7. รายงานฮาดีษท่ีเลาโดยทา นอบิ นุ อาบูอาศิม ซึ่งเปนฮาดีษท่ีอางไปถึงทาน อาลีวา “ฉัน มิไดเปนผูปกครองของผูศรัทธาท้ังหลายที่มีอํานาจเหนือตัวของพวกเขาดอกหรือ ?” พวกเขา เหลานั้นกลาววา “ใชแลว ทานเปนอยางน้ันแนนอน” ทานไดกลาวอีกวา “ผูใดที่ฉันไดเปน ผูปกครองของเขาไซร ดังนั้นเขา (อาลี) ก็คือผูปกครองของตัวเขาดวย”(200) ในบรรดาฮาดีษที่มี สายสืบสอดคลอ งตรงกันมากมายเหลา น้ีมสี าย (199) เปนฮาดีษท่ีทานติรมีซียไดบันทึกเอาไวในหนังสือ ศอฮ้ีฮฺของทาน และทานมุตตากียฮินดีย ก็ไดอ าง ฮาดีษน้ีไวดวย ในหนังสือ “มุนตาค็อบ” ตามท่ีเราไกลาวไปแลวทานบัซซาซไดบันทึกฮา ดีษบทนี้จากสายสืบของทานสะอัด ตามท่ีปรากฏอยูในฮาดีษท่ี 13 ของจํานวนฮาดีษตาง

ๆ ทท่ี านอิบนุ ฮะญรั ไดเสนอเปน รายละเอียดสําหรบั เรอ่ื งนีไ้ วในเร่ืองท่ีสองของบาบที่ 9 หนังสือ “เศาวาอกิ ” โปรดพจิ ารณาดไู ดใ นหนา ท่ี 73 (200) ทานมตุ ตากียฮนิ ดยี  ไดบันทึกฮาดษี บทนีม้ าจากรายงานของ อบิ นุ อาบูกาซมิ ในหนา ๓๙๗ ซุ อฺท่ี 6 หนังสอื “กนั ซ” สืบท่ีศอฮี้ฮฺมาจากบรรดาอิมาม ผูสืบเช้ือสายท่ีบริสุทธิ์อีกดวย ขอมูลตาง ๆ ตามที่เราไดทําการ เสนอรายละเอียดตาง ๆ ไปแลวนี้ คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับการยืนยันโดยโองการวิลายะฮฺใน คมั ภีรแ หงอลั ลอฮฺ ผทู รงอานุภาพสูงสุด ตามท่ีเราไดกลาวไปแลว มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของ พระผูอภิบาลแหง สากลโลก วสั ลาม (ช) อัล-มรุ อญิอะฮฺ 37 29 ซุล-ฮิจญะฮฺ 1329 • คําวา “วะลีย” ที่อยูในประโยคน้ันเปนคําท่ีมีความหมายรวมกันมาก ดังนั้นขอ พิสจู นทช่ี ดั แจง นัน้ อยทู ี่ไหน ? คําวา “วะลีย” เปนคําที่มีความหมายรวมอยูระหวาง ความหมายของ “ผูชวยเหลือ มิตร คนรัก ผูเก่ียวดอง ผูติดตาม พันธมิตร เพื่อนบาน ฯลฯ” และ “บุคคลใดก็ตามท่ีเขารับผิดชอบ กิจการของคนใดคนหน่ึงแลวเขาก็คือ “วะลีย” ของคนผูน้ันดวย” อาจจะเปนไปไดวาสําหรับ ความหมายของคําวา “วะลีย” ในบรรดาฮาดีษตาง ๆ ตามที่ทานไดอธิบายไปแลวนั้น คงจะ หมายถึงวา “อาลีจะเปนผูชวยเหลือ หรือเปนมิตรหรือเปนท่ีรักของพวกทานหลังจากฉัน (ทาน ศาสดา)” ก็ได ถาเปนเชนน้ันแลว หลักฐานจากขอมูลใดที่พอจะใหขอพิสูจนอยางชัดแจง ตาม ขอ เสนอทท่ี า นไดกลา วไปแลว ? วัสลาม (ซ)

อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 38 30 ซลุ -ฮิจญะฮฺ 1329 1. การอธิบายความหมายของคําวา “วะลยี ” 2. มีคํายนื ยนั ทอ่ี ธิบายความหมายของคําน้ี 1. ตามท่ีทานไดกลาวถึงเรื่องของความหมายในคําวา “วะลีย” น้ัน ระบุวา “บุคคลใดก็ ตามที่เขารับผิดชอบกิจการของคนใดคนหน่ึงแลวเขาก็คือ “วะลีย” ของคนผูนั้นดวย” นี่คือ ความหมายของคําวา “วะลีย” ตามท่ีมีปรากฏอยูในฮาดีษเหลานั้นและนั่นคือการยอมรับท่ีเกิดข้ึน โดยสติปญญาตอความหมายของคําวา “วะลีย” ในฮาดีษเลานั้นเราขอกลาววา “วะลีย” ของผูเยาว น้ันไดแก “บิดาของเขาและปูของเขานั้น คือ “วะลีย” ของบิดา ฉะน้ันเขาก็คือทายาทของบุคคล ทง้ั สองที่ถกู ตอ งตามกฎหมาย” ฉะน้ันความหมายของคําวา “วะลีย” ก็คือบุคคลผูซึ่งบริหารกิจการ ตาง ๆ ของเขาและดาํ เนนิ การปฏบิ ตั ติ าง ๆ ของเขานน่ั เอง 2. เชน เดยี วกัน สาํ หรบั คําอธิบายความหายของฮาดีษเหลาน้ีท่ีมีคําวา “วะลีย” อยูในฮาดีษ เปนคําที่แทบจะถือไดวาไมมีขอสงสัยกันเลยในหมูปญญาชนโดยสังเกตถอยคําของทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ตสิ ขุ แดท านและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ที่กลาววา “และเขาคอื ผูปกครองพวกเจาภายหลงั จากฉัน” เปนความหมายที่จํากัดอยางเห็น ไดชัดวา ทา นอาลีอยูในฐานะของผูดําเนินการในดานใชอํานาจปกครองแทนทานภายหลังจากทาน นนั่ คือ ความหมายของฮาดษี บทน้ี(201) และน่ีคือส่ิงท่ีจําเปนอยางย่ิง ที่ตองใหความสําคัญกับความหมายในคําวา “วะลีย” ไป อยางที่เราไดกลาวไปแลว โดยเหตุวาคําวา “วะลีย” ในฮาดีษนี้ไมสามารถที่จะตีความรวมไปกับ ความหมายอ่ืน ๆ และเปนไปไมไดอีกดวยที่จะใหตีความไปอยางนั้น ทั้งน้ีก็เน่ืองจากวา คําวา “ผูชวยเหลือ คนรักหรือมิตรสหาย ฯลฯ” นั้น เปนสิทธิท่ีมิไดถูกจํากัดลงแกบุคคลเพียงคนเดียว เพราะบรรดาผูศรัทธาท้ังหมด ไมวาจะเปนบุรุษหรือสตรี สวนหน่ึงของพวกเขาเหลานั้นก็คือ พันธมิตรของอีกสวนหน่ึงอยูแลว ฉะนั้นถาหากวา ความหมายของคําวา “วะลีย” ในประโยคน้ีมี เพยี งเปนผูชว ยเหลือ พันธมิตร ฯลฯ นอกเหนือจากท่ีเราไดกลาวแลวก็เทากับวาทานศาสดา ไดทํา การซอนเรนความหมายท่ีแทจริงไวในฮาดีษของทานบทน้ี ซึ่งถาหากทานมีจุดประสงคท่ีจะให

ตีความคําวา “วะลีย” เปนเพียง “ผูชวยเหลือ” หรือ “มิตรรัก” หรือความหมายอื่น ๆ แลว แนนอนที่สุดทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ก็ยอมท่ีจะระบุใหอยาวชัดเจน ดวยการอธิบายท่ีชัดแจงได เพราะวิทยปญญาของทานน้ันสูงสงยิ่ง คุณสมบัติตาง ๆ ของทานน้ันเปนบทบัญญัติ ความเปน ศาสดาของทานนั้น หมายถึงความสมบูรณทั้งหมด ทานมีความย่ิงใหญในคุณสมบัติมากมาย เกินไปจากการที่จะใหบุคคลหน่ึงบุคคลใดสงสัยได ฉะน้ันโดยขอเท็จจริงของบรรดาฮาดีษเหลาน้ี ยอมมีคําอธิบายอันชัดแจงอยูแลววา ในความหมายของคําวา “วะลีย” น้ันก็คือ หมายถึง เพียงแต ฐานะของผูมี (201) เนื่องจากความหมายในคําพูดของทานท่ีวา “และเขาคือ (วะลีย) ผูปกครองของพวกเจา ภายหลังจากฉัน” ก็คือ ไมใหบุคคลอ่ืน ๆ นอกเหนือจากเขาเปน (วะลีย) ผูปกครองของ พวกเจา ภายหลงั จากฉัน” นน่ั เอง. อํานาจ อันมีไวเฉพาะสําหรับทานอาลี ภายหลังจากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจาํ เรญิ และความสันตสิ ุขแดทา นและแดบรรดาลกู หลานของทา น) และก็นี่อีกเชนกันถือวาเปนส่ิงจําเปนอยางยิ่งที่ตองใหความสําคัญกับความหมายในคําวา “วะลีย” ไปอยางที่เราไดกลาวแลวและไมอาจท่ีจะรวมใหเขากับความหมายของคําวา ผูชวยเหลือ พันธมิตรหรืออื่น ๆ ท้ังนี้ก็เนื่องจากวา ไมเคยมีขอสงสัยกันเลยถึงคุณสมบัติของทานอาลี ที่อยูใน ฐานะของผูท่ีใหความชวยเหลือตอบรรดามุสลิมทั้งหลาย และเปนท่ีรักของมิตรสหายของพวกเขา ทั้งหลายอยูแลวนับมาตั้งแตทานยังอยูในการอุปการะเลี้ยงดูของทานศาสดา เปนผูสนับสนุนกําลัง ของทานศาสดาในการผดุงรักษาหลักการของศาสนาซ่ึงเปนเหตุผลท่ีตัดสินไดอยูแลวสําหรับเพียง การทเี่ ราจะตอ งรกั ทา น (อาลัยอิสลาม) เพราะฉะน้ันการเปนผูชวยเหลือของทานก็ดี จึงมิใชเปนสิ่ง ทตี่ องถกู จาํ กัดความลงดว ยความหมายตามฮาดีษของทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ณ ท่ีน้ีอยางชนิดที่ไมมีส่ิงซ่ึงนาสงสัยอีก แลว หลักฐานที่ยืนยันถึงความหมายท่ีแนชัดของคําวา “วะลีย” ตามท่ีเราไดกลาวไปแลวนั้น ตามท่ีมีบันทึกอยูในหนา 347 ุซอฺท่ี 5 โดยทานอิมามอะหฺมัด ในหนังสือ “มุสนัด” ของทาน ดวยสายสืบรายงานฮาดีษที่ศอฮ้ีฮฺจากทาน สะอีด บิน ุบัยร อันเปนรายงานที่ทานอิบนุ อับบาส ไดร ับฟง มาจากทานบุรัยดะฮฺวา “ฉันไดรวมเขาทําสงครามท่ีเมืองยะมันพรอมกับทานอาลี แลวฉัน

ไดเหน็ ความบกพรองทร่ี ุนแรงของทาน ครั้งเมื่อฉันไดเดินทางกลับมาหาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ แลวฉันก็ไดพูดเรื่องของทานอาลี อันเปนการบ่ันทอดเกียรติคุณของทาน ฉันไดสงเกตเห็นสีหนา ของทาน ศาสนทูตแหงอัลลอฮฺเปล่ียนแปลงไป แลวทานไดกลาวขึ้นวา “โฮบุรัยดะฮฺเอย ฉันมิได เปนผูปกครองของบรรดาผูศรัทธา ที่มีอํานาจเหนือตัวของพวกเขาท้ังหลายดอกหรือ ?” ทานได กลาวอีกวา “ผูใดทฉ่ี ันเปน ผปู กครองของเขาแลวไซร ดังนน้ั อาลีกค็ ือ ผปู กครองของเขาดวย” ทานฮากิมก็ยังไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนา 110 ุซอฺที่ 3 หนังสือมุสตัดร็อกโดยระบุ วา เปน ฮาดษี ทีม่ มี าตรฐานทางดา นสายสืบตรงตามเงือ่ นไขของทานมสุ ลมิ ทานซะฮะบียก็ไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนังสือตัลคีศมุสลิมดวยอาศัยมาตรฐานที่ศอฮ้ีฮฺ ตามเงื่อนไขของทานมุสลิมดวยเชนกันทานเองก็ทราบดีอยูแลวถึงความหมายท่ีปรากฏในถอยคํา ของทานศาสดาที่วา “ฉันมิไดเปนผูปกครองของบรรดาผูศรัทธาที่มีอํานาจเหนือตัวของพวกเขา ทั้งหลายดอกหรือ” ซึ่งน่ันคือสวนหน่ึงที่มาจากหลักฐานอันถือเปนเหตุผลของสิ่งที่เราไดกลาวไป แลวในความหมายของคําวา “วะลยี ” ....และใครก็ตามทีเ่ ขาศึกษาฮาดีษตาง ๆ เหลานี้ และติดตามตรวจสอบอยา งละเอยี ดถถ่ี วนก็ ยมิ่ จะประจกั ษเ ปน ท่ีกระจางชัดอยางม่ันใจไดในความหมายตาง ๆ ดังที่เราไดกลาวไปแลวมวลการ สรรเสรญิ เปน สิทธิของอัลลอฮฺ วัสลาม (ช) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 39 30 ซุล-ฮจิ ญะฮฺ 1329 • คาํ ขอรองเพอ่ื ประสงคจ ะทราบถึงโองการ “อัล-วิลายะฮ”ฺ ขา พเจา ขอยืนยนั วา แทจ รงิ ทานนนั้ เปนผูทม่ี เี หตผุ ลที่เฉยี บขาดอยา งนาพิศวงวิชาการตาง ๆ ของทานนั้นชางปราดเปรื่องเสียยิ่งนักคูสนทนาท่ีมีความคิดเห็นตรงกันขามกับทานยอมประสบกับ ความลําบากใจอันเน่ืองมาจากเหตุผลของทาน ซ่ึงคูตอสูไมมีกําลังใด ๆ เหลืออยูเพ่ือการตอสูดวย เลย บัดนี้ขาพเจาขอยอมรับกับหลักฐานฮาดีษตาง ๆ ตามท่ีทานไดกลาวไปแลวอยางม่ันใจ ถาหาก

วาไมจําเปนดวยเพราะการผูกมัดใหเราตองเชื่อถือในจุดยืนของบรรดาสาวกและผูปฏิบัติตาม แนวทางเหลา นัน้ แลว ขาพเจาจะยอมจาํ นนตอการตัดสินของทานในเรื่องนั้น แตทวาเราไมยินยอม ท่ีจะใหเปนไปในหนทางที่ไขวเขวไปจากทางเดินท่ีปรากฏชัดเจนของพวกเขาเหลาน้ันตอการแปล ความหมายฮาดีษหรือความเขาใจในคําวา “วะลีย” และ “เมาลา” ในแงท่ีแตกตางไปจากความ เขาใจท่ีพวกเขาเหลาน้ันมีอยูเราจําเปนท่ีจะตองปฏิบัติตามการช้ีนําของบรรพชนผูทรงคุณธรรม ทัง้ หลายของเรา ผซู ง่ึ อัลลอฮไฺ ดทรงมคี วามโปรดปรานตอพวกเขาทัง้ มวล สําหรับในเรอ่ื งของโองการอันชดั แจง ตามท่ที า นไดย นื ยนั ไวใ นตอนทายของอัล-มุรอญิอะฮฺ ที่ 36 วา เปนโองการที่ยืนยันถึงสิ่งท่ีพวกทานไดกลาวถึงซึ่งเกี่ยวของกันกับฮาดีษทั้งหลายเหลานี้ แตเรายังไมไดพบโองการน้ันเลย ขอไดโปรดขยายความโองการนั้นเพ่ือเราจะไดพิจารณาโดย ละเอียดในโองการนน้ั ๆ ดว ยเถดิ อินชาอัลลอฮฺ วัสลาม (ซ) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 2 อัล-มุฮัรรอ็ ม 1330 1. โองการท่เี กยี่ วกับ “อัล-วิลายะฮฺ” (ผูมีอํานาจในการปกครอง) และสาเหตุการประทาน โองการในเรื่องของทา นอาลี 2. หลักฐานตาง ๆ เก่ยี วกบั สาเหตกุ ารประทานโองการน้ี 3. เหตผุ ลสําหรบั การอา งหลักฐานสาํ หรบั โองการน้ี 1. ขาพเจาขอนอบรับดวยความยินดี ในอันท่ีจะขยายความโองการท่ีชัดแจงโองการหนึ่ง จากหลาย ๆ โองการของอัลลอฮฺ ผทู รงสูงสดุ ใหแ กท า นตามที่ปรากฏอยูในพระคัมภีรอันทรงเกียรติ ของพระองค ซง่ึ ในโองการนั้น อลั ลอฮผฺ ูทรงสงู สุดไดต รัสไวในซูเราะฮฺ “อลั -มาอิดะฮฺ” วา “แทจริง ผูปกครองของสูเจานั้นมีเพียงอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค และบรรดาผู ซึ่งศรัทธา ซ่ึงพวกเขาดํารงนมาซและบริจาคซะกาตและพวกเขาเปนผูโคง และผูใดท่ีไดยอมรับ

ตออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค และบรรดาผูซึ่งศรัทธาท้ังหลายใหเปนผูปกครอง(202) ดังนั้น แทจริงพรรคแหงอลั ลอฮฺน้ัน คอื เหลา บรรดาพวกเขาทง้ั หลายที่ไดรับชยั ชนะ” (5:55-56) ไมม่ีขอสงสัยแตประการใด ในเร่ืองสาเหตุของการประทานมาซึ่งโองการน้ีวา เปน โองการที่เก่ียวของในเร่ืองของทานอาลี ขณะท่ีทานไดบริจาคแหวนของทานวงหนึ่ง ในขณะท่ี ทานเปนผูโคง ในนมาซ 2. มีหลักฐานฮาดีษท่ีศอฮี้ฮฺ ซึ่งเปนสายสืบท่ีสอดคลองตองกันจากบรรดาอิมามผูสืบเช้ือ สายอันบริสุทธ์ิวา สาเหตุของการประทานโองกานี้เก่ียวกับในตอนที่ทานอาลีไดบริจาคแหวนของ ทาน ขณะทท่ี านโคง ในการทํานมาซ ทานสามารถทจี่ ะคน ควาหาหลกั ฐานโดยละเอียดในเร่ืองน้ีได จากสายสืบอื่น ๆ นอกเหนือจากพวกเขาเหลาน้ันเชนฮาดีษของทานอิบนุสลามที่มีรายงานอางถึง ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ “อลั -มาอดิ าฮฺ” จากหนังสือ “ญัมอ-บัยน- อศั -ศหิ าหสุ -สติ ตะฮ” (รวบรวม หลักฐานศอฮ้ีฮฺ (202) ขอความนี้เปนสิ่งที่ถือปฏิบัติกันอยูในซีเรีย ดูหนังสือ อัล-มุตวาลีย เก่ียวกับซีอะฮฺ เน่ืองจากเขาไดยอมรับ ในความเปนผูปกครองหรืออํานาจสูงสุดของอัลลอฮฺและศาสนทูต แหงพระองคและผูซึ่งมีความศรัทธา บรรดาผูซึ่งโองการน้ีไดถูกประทานลงมาเกี่ยวกับ พวกเขา และซีอะฮฺอีกนั่นเองที่รูถึงความหมายในตอนนี้วาเปน “วาฮิบ อัล-มุตาวีละฮฺ” ท่ี พวกเขาไดขนานนามไวอยางน้ันก็เพราะวาพวกเขามีความเช่ือถือตอทานอาลี และอะหฺ ลุลบัยตฺวาเปน ผูนําทถ่ี ูกตองของพวกเขา ระหวาง 6 นักปราชญ) และทํานองเดียวกันนี้ ก็ยังมีฮาดีที่รายงานโดยทานอิบนุอับบาสและทาน อาลีอีกดวย ขอไดโปรดพิจารณาฮาดีษของทานอิบนุอับบาสไดในตํารา “ตัฟสีร” ของทาน ท่ี อธิบายถึงโองการนี้โดยหนังสือ “อัซบาบุน-นุซูล” (สาเหตุของการประทานโองการ) ในหนังสือ “อลั -มุตตาฟก ”(203) และโปรดพจิ ารณากับฮาดษี ของทานอาลใี น “มุสนดั ” ของทานอิบนุ มัรดุวียะฮฺ และอาบูชัยค และถาหากทานยังมีความประสงคที่จะคนควานอกเหนือจากนี้ก็โปรดดูในหนังสือ “กัล- ซุลอุมาล”(204) ตางก็ระบุโดยนักปราชญ “มุฟซซีรีน” วา แทจริงโองการนี้ไดถูกประทานมาในเรื่อง ของทานอาลี และกลุมนักปราชญจากบรรดานักปราชญผูทรงคุณวุฒิของฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ อีก จํานวนไมน อ ยทไี่ ดอา งไวใ นเร่ืองนี้ เชน ทา นอิมาม “อัล-กูชะญีย” ซ่ึงไดอธิบายเก่ียวกับเรื่องน้ีอยู ในหนงั สือ “ชะเราะฮฺตัจญรี” อันเปนหนังสือท่ีรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ “อิมามัต” และในบาบท่ี

18 ของหนังสือ “ฆอยะตุล-มะรอม” 24 ฮาดีษ อันเปนสายสืบของกลุมนักปราชญตาง ๆ ที่ยืนยัน ถึงสาเหตขุ องประทานโองการนี้ ดังทีเ่ ราไดก ลาวไปแลว แตเร่ืองนี้เปนประเด็นท่ีสามารถเขาใจไดในชวงระยะเวลาอันส้ัน เพราะเปนเรื่องราวหรือ ปญหาทช่ี ัดเจนเปรียบเสมือนมองหาดวงอาทิตยในเวลากลางวัน ซ่ึงเราสามารถท่ีจะประจักษชัดได อยางเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอยางที่มีปรากฏอยูในเร่ืองเหลาน้ีโดยตํารับตําราที่ศอฮี้ฮฺของบรรดา นักปราชญท งั้ หลาย ซึ่งเรอ่ื งเหลาน้ไี มมกี ารถก (203) เปน ฮาดษี ที่ 5991 จากหนงั สอื ประมวลฮาดษี “กัลซุลอุมาล” หนา 391 ุซอฺท่ี 6 และยัง ไดมีการอธิบายไวในหนังสือ “มุนตาค็อบ อัล-กันซ” อีกดวย ขอไดพิจารณาดูท่ีหนา 38 ซุ อฮที่ 5 หนังสือ “มุสนดั ” ของทานอะหมฺ ดั (204) เปนฮาดษี ที่ 6137 ของหนงั สือฮาดษี กันซ หนา 405 ซุ อฺท่ี 6 เถียงกันยืดเยือ้ ในประเดน็ ท่วี า โองการนถี้ กู ประทานมาในเร่อื งของทา นอาลหี รือไม ขอสรรเสริญตออัลลอฮฺ เร่ืองเหลาน้ีไมมีบุคคลใดท่ียังความสงสัยหรือคลางแคลง และ พรอมกันนี้เราก็มิไดหยิบยกรายละเอียดมากลาวถึงในเน้ือท่ีจดหมายของเรา จากสิ่งตาง ๆ ท่ีมี ปรากฏอยูแลวจากฮาดีษท่ีรวบรวมโดยนักปราชญท้ังหลาย จึงขอสรุปใหสั้นลงกับการอรรถาธิบาย โองการนี้ของทา นอิมาม อาบูอิสฮาก อะหฺมัด บินมุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อันนัยสาบูรีย อัษ-ษะอ ละบยี ( 205) ซง่ึ เราจะขอกลาวตามท่ีทานไดรวบรวมบันทึกถึงสาเหตุท่ีมาขอโองการน้ีไวในหนังสือ “ตัฟสีร อัล-กะบีร” ดวยรายงานฮาดีษที่มาจากทานอาบูซัร อัล-ฆ็อฟฟารีย ท่ีไดกลาววา “หูของ ฉนั ทีไ่ ดยินน้ันคงจะหนวกไปเสยี แลว และตาของฉันท้ังสองทไ่ี ดเ ห็นนนั้ ก็คงจะบอดไปดว ย ถาฉัน กลา วในส่ิงท่ไี มเปนความจริง คือ ฉันไดฟงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จําเรญิ และความสันติสขุ แดทานและแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดก ลาววา “อาลนี ้ันเปนหัวหนา ของบรรดาผูมีคุณธรรม เปนผูพิฆาตบรรดาคนทรยศผูใดท่ีชวยเหลือสนับสนุนตอเขาแลวก็จะได ถูกชวยเหลือสนับสนุนดวย ผูใดที่บ่ันทอนเขาแลวก็จะเปนผูถูกบ่ันทอนดวย สําหรับฉันเคยได นมาซรวมกบั ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเรญิ และความสนั ติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ในวันหนึ่ง ขณะนั้นมีคนขอทานคนหน่ึงเขาไดเขาไปขอ ในมัสญิด แลวไมมีบุคคลใดใหส่ิงของอันใดแกเขาเลย ขณะนั้นทานอาลีอยูในลักษณะโคง (รูกูอ) ทา นจึงช้นี ิว้ ท่ีทานไดใสแหวนน้ันใหบุคคลน้ันเห็น ทันใดน้ันชายผูขอก็จึงไดรับโดยถอดเอาแหวน ออกไปจากนิ้วกอ ยของทา นอาลี ขณะนัน้ ทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความ

(205) ทานเสียชีวิตเม่ือป ฮ.ศ. 337 ทานอิบนุด็อลกานไดกลาวถึงบุคคลผูนี้ไวในหนังสือ “วุฟยาต” วา เปนนักปราชญท่ีมีความรอบรูในการตัฟสีร เปนเลิศในสมัยของทานเปนผูรวบรวม ตัฟสีร “อัล-กะบีร” ทานอับดุลฆอฟร บิน อิสมาอีล อัล-ฟาริซีย ไดสดุดียกยองบุคคลผูนี้ไวใน หนังสือของทานวา “เขาเปนบุคคลที่อางหลักฐานฮาดีษท่ีมีมาตรฐานศอฮ้ีฮฺถูกตอง และเปนบุคคล ทถ่ี กู ยอมรบั โดยทั่วไป...” จําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) จึงไดออนวอนขอตออัลลอฮฺผู ทรงอานุภาพสูงสุด ดวยการกลาววา “โออัลลอฮฺ แทจริงนบีมูซาผูเปนพี่นองของฉันน้ันเขาไดขอ ความชวยเหลือจากพระองควา “โอพระผูอภิบาลของฉัน ขอไดโปรดใหความปลอดโปรงแกทรวง อกของฉัน และขอไดทรงประทานความสะดวกใหแกภารกิจของฉัน และขอไดทรงคล่ีคลายเงื่อน ปมที่ลิ้นของฉัน (เพ่ือฉันจะไดพูดจาคลองแคลว) ใหเขาทั้งหลายไดเขาใจคําพูดของฉัน และขอได ทรงแตงต้ังผูชวยเหลือท่ีมาจากครอบครัวของฉันใหแกฉันนั่นคือ ฮารูนพ่ีนองของฉัน และขอได ทรงทําใหภารกิจการของฉันเพื่อเราจะไดสดุดี สรรเสริญตอพระองคอยางมากมาย และเราจะได รําลึกถึงพระองคอยางมากมาย แทจริงพระองคเปนผูทรงมองเห็นเราอยูเสมอ” แลวพระองคก็ได ประทานคาํ ตอบแกเขา (มูซา) วา “แนนอนย่ิงฉันไดตอบแทนใหตามคําขอของเจาแลว โอมูซาเอย” “โออัลลอฮฺ แทจริงฉันก็เปนบาวและนบีของพระองคขอไดโปรดใหความปลอดโปรงแกทรวงอก ของฉัน และขอไดทรงประทานความสะดวกใหแกภารกิจของฉัน และขอไดทรงแตงต้ังผูชวย เหลือท่ีมาจากครอบครัวของฉันใหแกฉัน น่ันคืออาลีดวยเถิด และขอไดทรงทําใหภารกิจของฉัน ไดแข็งแกรง มน่ั คงเพราะเขาดว ยเถดิ ” ทา นอาบซู รั ไดก ลาววา “ขอสาบานดวยนามของอัลลอฮฺ วา ทานศาสนทูตของอัลลอฮฺ ยัง มิทันไดจบถอยคําอยางสมบูรณลงเทาไหรนัก ทันใดนั้นมะลาอีกะฮฺญิบรีลผูซื่อสัตยก็ไดลงมา พรอมกับแจงโองการนีใ้ หแกทา น ความวา “แทจริงผูมีอํานาจทารงการปกครองสูเจาน้ัน คือ อัลลอฮฺและศาสนทูตของ พระองคและบรรดาผูซ่ึงศรัทธา ซ่ึงพวกเขาดํารงการนมาซและจายซะกาต และพวกเขาเปนผูโคง และผูใดท่ีเขาไดยอมรับอํานาจการปกครองของอัลลอฮฺและศาสนทูตแหงพระองคและบรรดาผูซึ่ง ศรทั ธาแลว ดงั นน้ั แนน อนพรรคแหง อลั ลอฮฺนน้ั คอื เหลาบรรดาผูมีชยั ” (5 : 55 – 56)

3. หวังวาอัลลอฮฺจะไดทรงชวยเหลือตอทานเพื่อความเขาใจในสัจธรรมเปนแน ทานเองก็ ยอมประจักษอยูแลววา ความหมายของคําวา “วะลีย” ณ ที่น้ีนั้นมีเพียงความหมายแตวา “ผูมี อํานาจเหนือ” โดยเขากันกับคําพูดท่ีเราไดกลาวไปแลวท่ีวา “หมายถึงบุคคลท่ีมีอํานาจในการ บริหารธุรกิจหน่ึง ๆ” และบรรดานักภาษาท้ังหลายก็ไดอธิบายวาแทจริงผูมีอํานาจควบคุมกิจการ หนึ่งกิจการใดน้ัน ก็ไดช่ือวา เขาเปน “วะลีย” ของกิจการน้ัน ๆ ฉะน้ันความหมายในที่ตรงนี้ก็คือ วา ผูซ่ึงบริหารกิจการตาง ๆ ของพวกทานน้ัน ก็คือผูท่ีมีอํานาจตอกิจการน้ัน ๆ กับพวกทาน นั้น คือมีเพียงอัลลอฮฺ ผูทรงอานุภาพสูงสุด และศาสนทูตแหงพระองคและรวมถึงทานอาลีดวย โดย เหตุท่ีทานมีคุณสมบัติรวมอยูตามความหมายในวรรคของโองการนี้ น่ันคือมีความศรัทธา ดํารง การนมาซ และจายซะกาต ในขณะโคง และโองการนี้ก็ไดถูกประทานลงมาในขณะนั้นดวยและ แนน อนท่สี ดุ อล ลอฮไฺ ดทรงกําหนดฐานะแหง การเปน ผุมีอาํ นาจทางดานการปกครอง (อัล-วิลายะฮฺ) ไวเปนฐานะท่ีมีสําหรับพระองคเอง และแดนบีของพระองคและแดผูปกครองท่ีพระองคไดแตงตั้ง โดยอยูในความหมายอันเดียวกัน เม่ือเปนฐานะทางดานของการมีอํานาจปกครองแหงอัลลอฮฺผูทรง สูงสุด เปนฐานะที่มีความหมายสําหรับเหตุการณท่ัวไปโดยตลอดฉันใด ฉะนั้นฐานะของการมี อํานาจทางการปกครองของทานนบี และผูปกครองที่พระองคทรงแตงต้ังก็ยอมมีความหมายดุจ เดยี วกบั ตามเงื่อนไขของมนั ดว ย คําวา “วะลีย” ที่ปรากฏ ณ ท่ีน้ี จึงไมเปน ทอ่ี นุมัติสําหรับการตีความหรือใหความหมายวา “ผูชวยเหลือ มิตรรัก หรืออ่ืน ๆ” เน่ืองจากวาไมมีขอแมใด ๆ หลงเหลือยูสําหรับเงื่อนไขเหลาน้ี โดยไมมีส่ิงหน่ึงส่ิงใดซอนเรนในความหมายอีกเลย และขาพเจาหวังวา ขอพิสูจนเหลาน้ีจะเปนที่ ใหค วามกระจา งแจง เขาใจไดมวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ พระผูอภบิ าลแหงสากลโลก วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ ๔๑ 3 อัล-มุฮัรร็อม ๑๓๓๐

• คําวา “บรรดาผูศรัทธาน้ัน” เปนรูปนามท่ีระบุในลักษณะพหูพจน ฉะน้ันจะ ตคี วามในลักษณะพหูพจน ฉะน้นั จะตคี วามในลักษณะเอกพจนไ ดอยางไร ? ในเหตุผลตามท่ีทานไดอางไปแลวนั้น ไดมีขอสังเกตที่กลาวถึงกันวา แทจริง คําวา “บรรดาผูศรัทธา บรรดาผูซึ่งดํารงการนมาซและจายซะกาตและพวกเขาโคง” น้ัน เปนหลักการ ตายตัวทางดานภาษาที่กลา วในเร่อื งพหูพจน ฉะนัน้ จะจํากัดความหมายน้ีแกทานอิมามอาลี (อัลลอ ฮฺทรงยกยองเกียรติคุณของทาน) ไดอยางไร ในเม่ือทานเปนเพียงบุคคลเดียว ฉะนั้นขออางเหลานี้ เมอ่ื ไดเ สนอมาแกทานแลว ทานจะตอบไดฉ ันใดอีก ? วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญิอะฮฺ 42 4 อัล-มุฮรั รอ็ ม 1330 1. สํานวนของภาษาอาหรับที่กลาวถึงเอกพจน แตใชรูปประโยคพหูพจนน้ัน เปนที่ถือ ปฏบิ ตั กิ นั ไดเ สมอ 2. เหตผุ ลและหลักฐานเกยี่ วกบั ขอ น้ี 3. ทา นอิมาม ฏ็อบรอซยี ไ ดกลา วถึงเร่อื งน้ี 4. ทาน ซะมัคชารีย ไดกลา วถึงเรือ่ งน้ไี วเชน กัน 5. ทัศนะของขาพเจา ทจ่ี ะขอกลา วถึงเรอ่ื งนี้ 1.คําตอบสําหรับขอถามของทานคือวา แทจริงในสํานวนภาษาอาหรับน้ันบางคร้ังไดถือ ปฏิบัติกันโดยใชสํารวนประโยคในรูปพหูพจนตอบุคคลเพียงคนเดียว นี่คือส่ิงปลีกยอย สําหรับที่ จะมาเปน ประเด็นในปญหานี้

2. มีหลักฐานท่ียืนยันเก่ียวกับเรื่องทํานองดังกลาวน้ี โดยโองการของอัลลอฮฺ ผูทรงสูงสุด ซงึ่ ปรากฏอยใู นซเู ราะฮฺ อลิ อิ ิมรอนวา “บรรดาผูซ ่งึ ไดม ปี ระชาชนกลา วแกพวกเขาเหลาน้ันวา แทจริงประชาชนไดทําการรวมตัว กัน (เพ่ือปะทะ) กับพวกทานทั้งหลาย ดังนั้นพวกทานจงยําเกรงตอพวกเขาเถิด แตพระองคได เพิม่ พนู ความอีมานใหแ กพวกเขา และพวกเขาไดกลา ววา อัลลอฮฺทรงเปน ทเี่ พียงพอแกพ วกเราแลว และเปน ทยี่ ังความประเสริฐสําหรบั การใหความอารักขา” (3:173) ซ่ึงโดยแทจริงแลวบุคคลท่ีไดกลาวในโองการน้ีก็คือ นะอีม บินมัสอูด อัล-อัชญะอีย เพียงคนเดียวเทาน้ัน โดยมติทางดานวิชาการท้ังมวลตางไดระบุวา อัลลอฮฺ มหาบริสุทธ์ิยิ่งแด พระองคไ ดท รงมีอายะฮฺที่กลาวถึงบุคคลเพียงคนเดียวดวยสํานวนภาษาวา “บรรดามนุษย” ซึ่งคําน้ี ไดมาใชสําหรับบุคคลเพียงคนเดียว ทั้ง ๆ ที่ลักษณะของมันเปนคําท่ีตองใชแทนกลุมบุคคลผู ปฏิเสธกลุมหน่ึงท่ีไดใหนะอีก อัล-อัชญะอีย มาแจงแกบรรดามุสลิม แตพวกเขาก็มิไดหวั่นไหว หรือตกใจไปกับคําพูดของเขากลาวคือ อาบูซุฟยานไดมอบอูฐจํานวน 10 ตัว ใหแกนะอีม อัล- อชั ญะอยี ก ็ไดทาํ ตามนัน้ โดยเขาไดก ลา วแกบ รรดามสุ ลมิ ในวันนั้นวา “แทจริงประชาชน ไดมีการ รวมตัวกัน (เพื่อปะทะ) กับพวกทานท้ังหลาย... ดังนั้นขอใหพวกทานจงยําเกรงตอพวกเขาเถิด” ดังนั้นมุสลิมจํานวนมากจึงไมสูเต็มใจนักท่ีจะออกไปเพ่ือทําสงคราม แตทวาทานศาสดา (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) จึงไดออกไป พรอมกบั ทหารรว มรบ 70 คน และไดเดนิ ทางกลับมาดวยความปลอดภัยโองการของอัลลอฮฺจึงได ประทานลงมาเพ่ือยกยองบุคคลจํานวน 70 คน ซึ่งไดออกไปทําการรวมรบกับทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสันติสขุ แดท า นและแดบรรดาลูกหลานของ ทาน) วามิไดเปนผูมีความประหว่ันพร่ันพรึงตอเหตุการณที่นากลัวแดอยางใด จึงขอใหสังเกตถึง สํานวนในรูปประโยคของคําวา “บรรดามนุษย” ณ ที่ใชกับบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งถาหากวาใน โองการนี้สํานวนประโยคใหเปนไปตามลักษณะของเหตุการณแลวก็จะมีโองการท่ีมีใจความวา “บรรดาผซู ึ่งไดม ีคน ๆ หนงึ่ กลาวแกพ วกเขาเหลา น้ันวาแทจรงิ ประชาชนไดท าํ การรวมตัวกนั (เพอื่ ปะทะ) กับพวกทานทั้งหลาย” อยางไมตองสงสัยและยังมีโองการท่ีมีเรื่องราวปรากฏเปดเผยอยาง เหน็ ไดชัดอยูในอัล-กุรอานและในตําราซุนนะฮฺ ตลอดจนถึงเปนถอยคําท่ีใชกันตามสํานวนอาหรับ นั่นก็คืออีกโองการหนึง่ ท่อี ัลลอฮผฺ ทู รงสูงสดุ ไดกลา ววา

“โอบรรดาผูศรัทธาท้ังหลายจงราํ ลึกถงึ ความโปรดปรานที่อัลลอฮฺไดทรงประทานแกพ วกสู เจา ในขณะท่ีพวกเขาเหลานั้นกลุมหน่ึงไดบุกเขามาเพื่อท่ีจะแผอํานาจแกพวกสูเจาโดยกําลังของ พวกเขา แตอลั ลอฮไฺ ดทรงหยดุ ยง้ั อํานาจของพวกเขาออกไปจากสเู จา” (5:11) เปนท่ีรูกันดีในหมูนักปราชญถึงความหมายของโองการน้ีวาผูท่ีจะทําการแผอํานาจของเขา ตอบรรดาพวกมุสลิมนั้นก็คือชายคนหนึ่งที่เปนคนมาจากนะบีมะฮาริบ และมีบางกระแสก็บอกวา บุคคลผูน้ันคืออุมัร บิน ญาฮัชซ่ึงเปนบุคคลท่ีมาจากนะบีนะฎีร และมีบางกระแสท่ีรายงานวา คํา วา “พวกเขา” ในที่น้ีก็คือ ผูที่ตองการจะโจมตีตอทานรอซูลุลลอฮฺ แตอัลลอฮฺผูทรงอานุภาพสูงสุด ไดทรงยับย้ังเขาผูน้ันไวเสียจากการกระทําเชนน้ัน ซ่ึงในเร่ืองนี้มีประวัติที่ไดบันทึกไวโดย นักปราชญฮาดีษ นักวิชาการ และนักปราชญมุฟซซิรีนทั้งหลาย ทั้งอิบนุฮิชามไดบันทึกเร่ืองนี้ไว ในหนังสือ “ฆ็อซวะตุลซาตุรริกออฺ” ุซอฺท่ี 3 วา เปนโองการท่ีอัลลอฮฺไดทรงดํารัสเกี่ยวกับ บุคคลคนหนึ่ง ซ่ึงเปน บุคคลเพยี งคนเดียวดว ยสาํ นวนในประโยควา “เกาม” หมายถึง “พวกหนึ่ง” ซึ่งเปนคําที่โดยทั่วไปแลวจะตองใชสําหรับพหูพจน และอีกคร้ังหน่ึงตามที่มีปรากฏอยูในโองการ “อัล-มุบาฮิละฮฺ” ในประโยคท่ีใชคําวา “อัล-อับนาอฺ-อัน-นิสาอฺ-อัล-อันฟุส” ซ่ึงมีความหมายวา “บรรดาลูก ๆ บรรดาสตรี ตัวตน” น้ันไดมีหลักฐานยืนยันเปนที่แนชัดกันโดยท่ัวไปแลววา หมายถึงทานฮาซัน ทานฮุเซน ทานหญิงฟาฏิมะฮิและทานอาลีตามลําดับ เปนการเฉพาะซึ่งเปน เร่ืองท่ีมีหลักฐานสอดคลองตรงกัน และมีถอยคํากลาวเปนเสียงเดียวกันวา หมายถึงโองการที่ระบุ ถึงเร่ืองราวของพวกเขาเหลาน้ัน (อาลัยฮิมุสสลาม) เหตุผลเหลาน้ีมีมากมายเหลือคณานับ และไม ไกลเกินไปจากการศึกษาคนควาได และน่ีคือสวนหนึ่งจากหลักฐานที่แสดงใหเห็นวาสํานวนใน ประโยคท่ีเปนพหูพจนนั้นยอมไดรับการอธิบายสําหรับบุคคลเดียวก็ไดในเม่ือตองการท่ีจะแสดง เหตุผลเพอ่ื เรยี กรอ งความสนใจ 3. ทานอิมาม ฏ็อบรอซียไดกลาวถึงเรื่องนี้ในตอนท่ีอธิบายความหมายของโองการนี้ไวใน หังสือตัฟสีร “มัจญมูอฺ อัล-บะยาน” วาเปนโองการท่ีใชสํานวนประโยคในรูปของพหูพจนท่ีระบุ ถึงทานอาลี อามีรุล มุมีนีน ผูมีเกียรติและมีคุณสมบัติสูง ดวยเหตุน้ีเปนท่ีรูกันในหมู นักภาษาศาสตรท้ังหลายวา สํานวนประโยคที่เปนพหูพจนน้ันยอมใชสําหรับบุคคลเดียวก็ได เพ่ือ เปน ลกั ษณะที่แสดงใหเห็นโดยเนนถึงความสําคัญของเร่ือง ทานไดกลาวอีกวา เร่ืองเหลานี้เปนท่ีรู กนั ดีในถอยคําของพวกเขาเหลา น้ันวาเปน หลกั ฐานทยี่ นื ยนั ถึงเรื่องของทานอาลี

4.ทานซะมัคชารีย ไดกลาวไวในหนังสือตัฟสีร “กิชาฟ” ของทานโดยต้ังขอสังเกตไวใน คาํ กลา วของทา นวา ถาหากทานกลาววา “จะถูกตองไดอยงไรสําหรับในกรณีท่ีจะถือวาสํานวนประโยคในรูป พหูพจน นัน้ เปนเรือ่ งราวทร่ี ะบสุ าํ หรบั ทานอาลี (อลั ลอฮฺทรงชนื่ ชมยินดตี อทาน)” ขาพเจาก็จะบอก วา “ถอยคําที่ปรากฏเปนสํานวนพหูพจนตามโองการน้ีเปนเร่ืองเกี่ยวกับทานอาลีโดยแทและเปน คน ๆ เดียว” สาเหตุท่ีจะอางวาเปนเรื่องของบุคคลคนเดียวนั้นก็เพื่อท่ีจะใหประชาชนทั้งหลายมีความ สนใจตอพฤติกรรมของเขา และเปนการแสดงใหเห็นวา บรรดาผูศรัทธาทั้งหลายจําเปนท่ีจะตอง รักษาวิธกี ารปฏิบัตขิ องเขาใหส อดคลองกันกบั ความมคี ุณธรรมและดีงาม โดยใหทานแกคนยากจน แมกระทงั่ ในยามที่พวกเขาจาํ เปน อยา งทีส่ ุดในการปฏิบตั หิ นาทเี่ ขากจ็ ะไมรีรอในอนั ท่ีจะดํารงรักษา สภาพเหลานั้น แมวาเขาจะอยูในการนมาซ แตเขาก็จะไมปลอยโอกาสแหงการบริจาคนั้นใหผาน ไปจนสําเร็จจากการนมาซเสยี กอ น 5. สําหรับทัศนะของขาพเจาที่มีในเรื่องนี้ก็คือวา การที่อัลลอฮฺไดประทานโองการในรูป ประโยคพหูพจนโดยมิใชรูปประโยคเปนเอกพจนน้ัน เปนดวยเหตุผลของความเมตตาในอันที่จะ ใหม นุษยทําการศึกษา และอีกเหตุผลหน่ึงก็เพราะวาไดมีบุคคลจํานวนหนึ่งที่เปนศัตรูของทานอาลี และเปนปรปกษที่รายแรงของตระกูลบะนีฮาชิม และมีบรรดาผูกลับกลอก ตลอดจนถึงผูอิจฉา รษิ ยาและพวกที่ดือ้ รัน้ ที่ไมสามารถจะทําความเขาใจหรือยอมรับตอ ฐานะของทานอาลีได เน่ืองจาก เปนเพราะวา ในกรณีนั้นพวกเขายังอยูในยุคเร่ิมตนสําหรับการมาของอิสลาม ตอเม่ือพวกเขาได หมดกเิ ลสทแ่ี ฝงอยใู นจิตใจและไมดําเนินชีวิตอยูในความหลงแลว นั่นแหละคอยจึงใหเปนท่ีเขาใจ แกพวกเขา ดังนั้นโองการนี้จึงไดถูกประทานลงมาในรูปของพหูพจนสําหรับบุคคลเพียงคนเดียวก็ เพอ่ื ท่ีจะปดก้ันการแสดงความอาฆาตมาดรายของพวกเขาเหลา นั้นอาไวกอนน่ันเอง หลังจากท่ีไดมี เหตผุ ลอนื่ ๆ เขา มาประกอบเปน เง่ือนไขตาง ๆ ทบ่ี ง บอกถงึ คุณลกั ษณะอ่นื ๆ แลว เมอ่ื นน้ั เองอลั ลอ ฮฺจึงไดทรงกําหนดหนาทีทท่ีจะตองยอมรับอํานาจการปกครองใหแกพวกเขาเหลาน้ัน (อัล-วิลา ยะฮฺ) เพือ่ เปน การประกาศความสมบูรณของศาสนาและความครบถวนแหงความโปรดปรานตาง ๆ ตามท่ีทานศาสนทูตไดถือปฏิบัติมาจากคําส่ังของพระองค ถาหากวาพระองคจะทรงประทาน โองการมาในรูปของเอกพจนเปนการเฉพาะแลวไซร แนนอนพวกเขาเหลาน้ันจะตองเอานิ้วมือปด

หูเพ่ือไมใหยอมรับฟง และจะพากันคลุมหัวเสียดวยผาเพื่อปดการรับรูและจะแสดงตัวเปนความ โอหังบังอาจ วิทยปญญาในขอนี้มักจะมีปรากฏอยูเสมอในทุก ๆ โองการท่ีอัล-กุรอานอันทรง เกยี รตกิ ลวถึงทานอาลี อามีรลุ มุมีนีน และบรรดาอะหลฺ ุลบัยตฺ ผูบรสิ ทุ ธิท์ ง้ั หลายโดยตลอด แนนอนท่ีสุดเราไดอรรถาธิบายถึงเรื่องราวขอนี้โดยขอพิสูจนอันชัดเจนที่ถือวาเปนจุดยืน ของเราเกี่ยวกับหลักฐานในขอนั้น อันเปนหลักฐานท่ีชัดแจงท่ีเสนอไวในมาตรการของเราคือ หนังสอื “ซะบีลุล มุมีนีน” และหนังสือ “ตัลซีลุล-อายาต” มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ผปู ระทานทางนําที่ถกู ตอง วสั ลาม (ช) อลั -มุรอญิอะฮฺ 43 3 อัล-มฮุ รั ร็อม 1330 • แนวความคิดที่อรรถาธิบายคํา “วะลีย” วา “มิตรรัก” หรือ “ผูชวยเหลือ” หรือ อืน่ ๆ ขอใหอัลลอฮฺทรงมีความโปรดปรานแกทาน ที่ทานไดทําการปดเปา คลี่คลายปญหาขอ สงสัยของขาพเจา และไดทําใหความกระจางเกิดข้ึนในความคลางแคลงของขาพเจา โดยไดชวย อธบิ ายถงึ ขอเท็จจรงิ ตาง ๆ เกยี่ วกับเหตุผลในขอนั้นไดอยางใสสะอาด แตยังมีอยูอีกประการหน่ึงท่ี ยังคงตองการหาความกระจาง เพราะมีบุคคลบางกลุมไดกลาววา ความหมายของคําวา “วะลีย” ยอมหมายถึง “มิตร” ในประเด็นที่ไดมีโองการหามมิไดยึดเอาพวกปฏิเสธศาสนามาเปนพันธมิตร พวกเขาไดอางเหตุผลเหลานี้โดยอาศัยขอมูลแหงโองการที่มีท้ังกอนและหลังของโองการน้ัน และ ทศั นะเหลา นีเ้ ขาไดย ืนยันวา ความหมายของคําวา “วะลีย” ในโองการน้ี ท่ีแทจริงแลวก็คือ “ผูชวย เหลอื ” “พนั ธมิตร” หรือ “คนทร่ี ักใครตอ กัน” ทา นจะสามารถใหคําตอบ ในเร่ืองน้ีไดอยางไรบาง ขอทา นไดโปรดตอบเรอ่ื งน้ีดวย วัสลาม

(ซ) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 44 5 อัล-มุฮัรรอ็ ม 1330 1. แนวความคิดซ่ึงเปนขอสังเกตท่ีแสดงวา คํานี้มิไดมีความหมายวา “ผูชวย เหลอื ” หรอื “พนั ธมติ ร” แตอยา งใด 2. แนวความคิดอ่นื นนั้ ไมมนี ้ําหนกั พอทีจ่ ะเปนหลกั ฐาน 1. คําตอบสาํ หรบั ประเดน็ น้ีจะขอกลาววา “แทจริงโองการน้ีใหบทเรียนท่ียืนยันถึงเหตุผล อยางละเอียดท่ีสืบเน่ืองมาจากบรรดาโองการกอน ๆ หลายโองการ ท่ีไดหามมิใหยึดเอาผูปฏิเสธอ ทางศาสนามาเปนพันธมิตรเปนการแสดงออกของโครงการท่ีจะนําไปสูการยกยองคุณสมบัติของ ทานอามีรุลมุมีนีน อาลี ในฐานะท่ีจะตองเปนผูนําสูงสุด และมีฐานะเปน “อิมามัต” โดยชี้นําวา ผูปฏิเสธหรือกลับกลอกตอศาสนาน้ัน ยอมเปนผูที่กอเหตุรายใหแกทาน” และเนื่องจากโองการ กอนหนาน้ันเปนโองการท่อี ัลลฮฺไดท รงประทานมาวา “โอบรรดาผูศรัทธาทั้งหลาย ผูใดในหมูสูเจาท่ีปฏิเสธออกจากศาสนาของพวกเขา ดังน้ัน อัลลอฮฺก็จะทรงนําพวกหน่ึงมาโดยที่พระองคจะทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็จะรักพระองค พวก เขามคี วามถอมตนตอ บรรดาผูศรทั ธา มีความองอาจตอบรรดาพวกปฏิเสธ พวกเขาไดตอสูเสียสละ ในหนทางของอัลลอฮฺ และพวกเขาไมหวาดกลัวตออุปสรรคภัยอันตรายใด ๆ เหลาน้ีอัลลอฮฺจะ ทรงประทานความดีงาม พระองคจะทรงมอบมันใหแกผูที่พระองคทรงประสงค แนอนนอัลลอฮฺ เปน ผูทรงอานุภาพเกรียงไกร ผทู รงรอบรเู สมอ (5:54) นี่ก็คืออีกโองการหนึ่งท่ีระบุถึงทานอามีรุล มุมีนีน และผูกอการท่ีสรางความคับแคน ใหแกทาน(206) และสรางความคับแคนแกบรรดาสหายของทาน ตามที่ทานอามีรุล มุมีนีน (อาลี) ไดย กข้ึนมาเปน ขอ อา งในการทาํ สงครามอูฐ และทานอิมามบากิร กับทานอิมามศอดิก ก็ไดทําการ อธิบายใหความกระจา งเกีย่ วกบั เรอ่ื งนี้ ทา น ษะอ- (206) ขอใหสังเกตวจนะของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จําเริญแกทานและแกบรรดาลูกหลานของทาน) วา พวกเจาไมอาจท่ีจะหยุดย้ังกลุมชนชาวกุรอยช

จนกวาอัลลอฮฺจะไดทรงแตงตั้งใหแกพวกทานซึ่งบุคคลคนหนึ่งท่ีอัลลอฮฺไดทรงทดสอบหัวใจของ เขาดว ยความศรัทธา เขาจะเปน ผคู วบคุมตนคอของพวกเจาและพวกเจาจะเปนผูมีความเกรงกลัวตอ เขาเชน เดยี วกบั ฝงู แกะท่กี ลวั เจา นายของมัน” ทนั ใดนั้นทา นอาบูบกั รจฺ งึ ไดกลาวขึ้นวา “คนผูน้ันคือ ฉนั ใชไ หม โอทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ ?” ทานศาสดาไดกลาววา “มิใช” ทานอุมัรจึงไดกลาวข้ึน วา “บุคคลผูนั้นคือฉันใชหรือไม” โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ?” ทานศาสดาไดกลาววา “มิใช แตเขาคือบุคคลท่ีปะรองเทา” ทานไดกลาวในขณะเดียวกันกับที่ทานอาลีไดปะรองเทาเสร็จในมือ ของทาน แลวไดมอบใหแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน)” ฮาดีษบทนี้ไดบันทึกโดยนักปราชญฝายซุนนะฮฺจํานวนมาก และเปนฮาดีษที่ 610 หนา 393 ุซอฺที่ 6 หนังสือ “กันซ” และฮาดีษนี้ยังมีปรากฏอยูในรายงาน ของทานอาบู สะอีด ซ่ึงบันทึกโดยทานอิมาม อะหฺมัด บิน ฮันบัล และยังมีในหนังสือ “มุสตัด รอ็ ก” ซง่ึ บนั ทึกโดยทานฮากมิ และในหนังสอื “มสุ นัด” ท่ีบนั ทกึ โดย อาบูยะอล า ทา น มุตตากีย อลั -ฮินดยี  ก็ไดอา งไวในหนา 155 ซุ อทฺ ่ี 6 ละบยี  ก็ไดก ลาวถึงเรือ่ งนไี้ วเ ชน กัน ในหนังสอื “ตัฟสีร” ของทานผูรวบรวมหนังสือมัจญมุอฺ อัล- บะยาน ก็ไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวโดยอางวา เปนรายงานที่มาจาก ทานอัมมาร ทานฮุซัยฟะฮฺ ทานอิบนุ อับบาส และฮาดีษน้ีไดเปนท่ียอมรับกันอยางเอกฉันทของหมูนักปราชญฝายชีอะฮฺวา เปนรายงานฮาดีษท่ีศอฮ้ีฮฺทางดานสายสืบที่สอดคลองตรงกันมาจากบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺผู บริสทุ ธิ์ ฉะนั้นอายะฮฺ อัล-วิลายะฮฺ (โองการที่ระบุถึงผูมีอํานาจทางดานการปกครอง) จึงเปนที่ เขาใจอยางแจมแจงตามความหมายในขอนี้วา เปนขอกําหนดที่ตองถือวาเปนความจําเปน ให ยอมรับตอผูนํา (อิมาม) ที่พระองคไดแตงต้ัง อันเปนขอเสนอที่ไดถูกระบุลงหลังจากประโยคที่วา “โอบรรดาผูศรัทธาทั้งหลาย” เม่ือรายละเอียดท่ีไดถูกอธิบายขึ้นอยางกระจางแจงในโองการถัดมา ซ่ึงการชี้แจงและอธิบายเหตุผลเชนน้ันแลว เขาจะสามารถกลาวไดอยางไรวาความหมายของ โองการนี้ชี้นําไปในทางอ่ืน หลังจากที่ไดประจักษวาเปนโองการที่ชี้นําไปสูการหามมิใหยอมรับ บรรดาผูป ฏิเสธมาเปนพันธมิตร ? 2. โดยเหตุท่วี า ทานศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดท านและแดบ รรดาลกู หลานของทา น) ไดกาํ หนดใหบรรดาอิมามแหงเชื้อสายของทานน้ันอยู ในระดับฐานะของอัล-กุรอาน โดยทานไดแ จงใหทราบวาทัง้ เชื้อสายอขงทานกับอลั -กุรอานนัน้ จะ

ไมแตกแยกออกจากัน ทานไดระบุวาพวกเขาเลาน้ันคือมาตรฐานสําหรับความเที่ยงธรรมใน บทบัญญัติแหงอัล-กุรอานพวกเขาเหลาน้ันไดทําใหความถูกตองเปนที่ปรากฏใหรูจัก ซึ่งพวกเขา เหลานั้นไดทําใหความถูกตองเปนที่ปรากฏใหรูจัก ซึ่งพวกเขาเหลานั้นตางไดมีความเห็น สอดคลองตรงกันโดยหลักฐานตาง ๆ ของพวกเขาที่ยอมรับตอความหมายของโองการนี้ การ อรรถาธิบายโองการที่วาดวย “วะลีย” นั้นก็ไดรับยืนยันรายละเอียดตาง ๆ ในเรื่องน้ีตามที่เราได กลาวมาจากพวกเขาเหลา นนั้ ทั้งสน้ิ โดยถือวาไมมมี าตรการใด ๆ ท่ีจะนอ มนําความเขาใจใหปฏิเสธ ตอหลักฐาน และรายละเอียดของพวกเขาเหลานั้น เพราะแทจริงบรรดามุสลิมทั้งหลายน้ันมี ความเห็นพอ งตองกนั ตอเหตผุ ลทฝ่ี กใฝไปในทางที่ชอบตอ หลักฐาน ดงั นัน้ เมอื่ ประสบกับหลกั ฐาน ทเ่ี ปน นัย และหลกั ฐานท่ีมคี วามเหน็ คัดคานกนั ในเรื่องของหลักฐาน พวกเขาก็จะตองละทิ้งเหตุผล ท่ถี ูกอา งขึน้ มาอยา งเลอ่ื นลอยและจะตอ งยอมรับกับกฎเกณฑอ ันเปนหลกั ฐานอยา งแทจ ริง ซึ่งความ มดื มนนน้ั เกดิ ขนึ้ เนอื่ งจากความไมยอมรับในความสําคัญของสาเหตแหงการประทานโองการจึงได มีทัศนะอยางนี้เกิดข้ึน ฉะนั้นบรรดามุสลิมทั้งหลายจึงไมอาจท่ีจะไดรับการอรรถาธิบายโองการ ตาง ๆ ของพระคัมภีรใหสอดคลองตรงกันอยางเปนเอกฉันทไดก็เพราะ เนื่องจากพวกเขามิได ดาํ เนินอรรถาธิบายโองการนั้น ๆ ใหเปนไปตามเคาโครงของสาเหตุแหงการประทานโองการน้ัน ๆ ยังมีโองการตาง ๆ อกี เปนจาํ นวนมากที่รายละเอียดแหงความหมายในแตล ะโองการไดเปนท่ีขัดแยง กันในดานของการตีความ เชน โองการที่กลาวถึง “ความบริสุทธิ์” (อายะตุต-ตัฏ-ฮีร) โดยได ตีความคลุมไปถึงบรรดาภรรยาของทานศาสนทูต (ศ) ดวย ทั้ง ๆ ท่ีความหมายที่แนนอนของ โองการน้ี มเี ฉพาะแกบุคคลหาคนทถ่ี กู คลุมดวยผาหม (กสิ าอฺ) เทา นน้ั จึงขอกลาวโดยสรปุ วา ความหมายในโองการท่ีวา... “แทจริงผูมีอํานาจทางดานการปกครองสูเจานั้นมีเพียง อลั ลอฮฺ และ....” ตา งมีความเขาใจในดา นของความหมายโดยละเอียดท่ีแตกตงกัน ในดานของการ อรรถาธิบายที่เหมือนกัน มีความเห็นขัดแยงตรงกันขาม อันแสดงใหเห็นถึงความย่ิงใหญของ คัมภีรอัล-กุรอาน ซ่ึงไมไดเปนผลรายแตประการใดตอโวหารท่ีสูงสง และมิไดเปนความมัวหมอง แกก ารท่ีจะมคี วาเขาใจยอนไปสูแนวทางของมัน ซึง่ ความหมายของคาํ วา “วะลีย” โดยไดป ระจกั ษ อยางเดนชัดถึงความหมายและเหตุผลตลอดจนถึงหลักฐานตาง ๆ ท่ีระบุไวในความหมายของคําวา “วะลยี ” ตามโองการนี้ วสั ลาม

(ช) อลั -มรุ อญิอะฮฺ 45 6 อัล-มฮุ รั ร็อม 1330 • ขอยึดการตีความตามคําอธิบายปญหาน้ีตอหลักฐานอันชัดแจงของบรรพชน เพราะเปนสิง่ ท่ถี กู ตอ งอยางแนน อน ถาหากวาคําอธิบายตามเหตุผลของทาน ท่ีมีตอโองการ...ภาษาอิสลาม “แทจริงผุมีอํานาจ ทางดา นการปกครองของพวกสเู จา ...” มิไดตีความโดยตัดขาดความเช่ือถือของบรรดาคอลีฟะฮฺ อัร รอชดิ ีน แลวไซร เราจะมมที างเลือกอ่ืนนอกจากจะคลอยตามไปสแู นวทางความเหน็ ของทาน และ จะมีความเขาใจตอ โองการน้ีโดยสอดคลองกันกับเหตุผล การตัดสินของทานแตทวาในความหมาย แหงการตีความของทานนั้นไดทําใหเราเกิดความคลางแคลงสงสัยตอความถูกตองของตําแหนงคอ ลีฟะฮฺทั้งหลาย (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมกับพวกเขาเหลานั้น) โดยเหตุท่ีวาไมมีทางอื่นท่ีจะ ขัดแยงเหตุผลเหลา นั้นได อีกท้ังมันเปนการอธิบายที่คอนขางจะกระทบกระเทือนตอเกียรติภูมิของ พวกเขาเหลาน้ัน และของผูที่สนับสนุนพวกเขาเหลาน้ันขึ้นเปนหัวหนา โดยที่เราถือวาพวกเขา เหลา น้ันก็ถือหลกั การแหง ความถูกตองอยแู ลว วัสลาม (ซ) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ 46 6 อลั -มฮุ ัรร็อม 1330 1. ทัศนะของบรรพชนท่ีไดอธิบายโดยถือหลักแหงความถูกตองนั้นไมจําเปนสําหรับการ ตคี วามอกี 2. การอธิบายในรายละเอียดของเรอ่ื งน้ีมอี ุปสรรคอยา งยง่ิ

แทจริงบรรดาคอลีผะฮฺท้ังสามทาน (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทานท้ังหลาย) น้ันคือ หัวขอเรื่องที่สําคัญยิ่งสําหรับการอรรถาธิบายของเรา และบุคคลเหลาน้ันตางก็อยูในปญหาที่ไดรับ การถกเถียงกันอยูโดยตลอด ทั้งนี้ก็มิใชเพ่ือนอ่ืนใดนอกจากเพ่ือจะหาเหตุผลและหลักฐานที่ แข็งแรงมาพสิ จู นกนั เทา น้นั เอง 1. ความจรงิ แลว ถาทัศนะของพวกเขาเหลานัน้ และทัศนะของบรรดาผทู ่สี นบั สนุนพวกเขา ไดยืนหยัดอยูกับความถูกตอง ตามที่ไดกลาวไปแลวก็ไมจําเปนที่จะตองทําการอธิบายถึงหลักฐาน ท่ีเดนชัดเกี่ยวกับการเปนคอลีฟะฮฺของพวกเขาเหลานันอีกเพราะถือวาเปนความถูกตองที่สมบูรณ ทุกประการแลว แตส าํ หรับทา นนัน้ ไดเลอื กเอาปญ หานี้มาสูแนวทางการอรรถาธิบาย ซึ่งเราก็จะได ทาํ การชีแ้ จงใหก ระจางในเรอื่ งน้ีสําหรับโอกาสตอ ไป 2. ขอทานไดโปรดพิจารณาแนวทางการอรรถาธิบายท่ีเราไดกลาวถึงเรื่องนี้กับทานโดย ละเอียดเถิดและกับส่ิงที่เรายังมิไดทําการอธิบาย เชน หลักฐานฮาดีษในเร่ือง “ฆอดีร” หรือ หลักฐานฮาดีษของเรื่อง “ทายาท” โดยเฉพาะอยางยิ่งหลักฐานตาง ๆ เหลานี้ตางไดอางโดย ตํารับตําราของฝายซุนนะฮฺท่ีประกอบเขามาสนับสนุนจํานวนไมนอย ซึ่งจะไมทําใหทานสามารถ ตัดทอนจากรายละเอียดที่ชัดเจนเหลานั้นได ดังนั้นถาผูใดไดยืนหยัดไปตามหลักฐานตาง ๆ เหลา นั้นก็จะไดร บั ความถูกตอง และเขาจะไดเห็นวาหลักฐานตาง ๆ ที่ไดแสดงออกมานั้นลวนเปน สัจธรรมทเ่ี ดด็ ขาด และเปน ขอ พิสจู นท่สี มบรู ณโดยแทจ ริง วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญิอะฮฺ 47 7 อลั -มุฮัรรอ็ ม 1330 • ขอพสิ ูจนหลักฐานอนื่ ๆ อกี ขอทานไดโปรดเสนอหลักฐานตาง ๆ ที่เปนรายงานฮาดีษซึ่งอางอิงโดยนักปราชญฝายซุน นะฮฺใหแ กเ ราเถิด เพ่ือเราจะไดพิสูจนกับมนั ตามทเี่ รามคี วามปรารถนา.

วสั ลาม (ซ) อลั -มุรอญิอะฮฺ 48 8 อัล-มฮุ ัรรอ็ ม 1330 • หลักฐานฮาดีษ ที่อางอิงสนับสนุนโดยนักปราชญฝายซุนนะฮฺน้ัน จะขอหยิบยก มา 40 ฮาดีษ คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทาน ดวยการที่เราจะทําการอางหลักฐานฮาดีษจากตําราของ ฝา ยซนุ นะฮฺ จํานวน 40 ฮาดษี ดงั ตอ ไปน้ี 1. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ในขณะท่ีทานไดจับตัวทานอาลีวา “นี่คือ ผูนํา (อิ มาม) ของผูมีคุณธรรม ผูพิฆาตคนมิจฉาทิฐิ ผูสนับสนุนเขายอมเปนผูถูกสนับสนุนผูบ่ันทอนเขา ยอมเปนผูถูกบั่นทอน และแลวเสียงของทานก็ไดเปลงขึ้นเสียงสูง” รายงานฮาดีษบทนี้โดยทานฮา กิม จากสํานวนฮาดีษที่เลามาจากทาน ญาบิร หนา 129 ุซอฺท่ี 3 จากหนังสือ “ศอฮ้ีฮฺมุสตัด ร็อก”(207) โดยทานไดกลาวเพ่ิมเติมวาน่ีคือ ฮาดีษที่มีสายสืบถูกตอง แตผูอาวุโสท้ังสองมิไดบันทึก ไว 2. คาํ กลา วของทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทาน (207)เปนฮาดีษท่ี 2527 หนังสือ “กันซ” หนา 153 ุซอฺท่ี 6 ทานษะละบียไดบันทึกฮา ดีษบทนจ้ี ากรายงานของอาบูซัร โดยอธบิ ายโองการวิลายะฮฺในหนงั สอื “ตฟั สรี อลั -กะบรี ” ความจําเริญและความสันตสิ ขุ แดบ รรดาลกู หลานของทาน) ท่ีวา “ฉันไดรับวะฮฺยูในเรื่องที่เกี่ยวกับ อาลี 3 ประการ นัน่ คอื เขาจะตอ งเปนประมขุ ของบรรดามสุ ลิม และหวั หนา ของบรรดาผสู าํ รวมตน และเปนผูนําที่มั่นคงของผูที่มีความเครงครัดทั้งหลาย” ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนา 138 ุซอฺท่ี 3 ของหนังสือ “อัล-มุสตัดร็อก”(208) หลังจากนั้นทานไดกลาวอีกวา นี่คือฮาดีษที่มี สายสืบถกู ตอง แตผอู าวุโสทั้งสองมไิ ดบันทึกไว 3. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดท านและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ที่มีตอทานอาลีวา “ขอแสดงความยินดีกับประมุขของ

บรรดามุสลิมและหัวหนาของบรรดาผูสํารวมตน” ทานอาบูนะอีมไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในหนังสือ “ฮลุ ียะตลุ เอาลยิ าอ”ฺ (209) 4. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีไดกลาววา “ฉันไดรับวะฮฺยูเก่ียวกับในเรื่องของอาลี วา แทจริงเขาคือประมุขของบรรดามุสลิมทั้งหลาย เปนผูปกครองของผูสํารวมตนทั้งหลาย เปน ผูนําท่ีมีเกียรติของบรรดาผูเครงครัดท้ังหลาย” ทานอิบนุนัจญารและบรรดานักปราชญฝายซุนนะฮฺ คนอน่ื ๆ ได ทําการบันทึกฮาดษี บทน(้ี 210) 5. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดท า นและแดบ รรดาลูกหลานของทา น) ทไี่ ดก ลา ววา (208) ทานบารูดีย ทานอิบนุ กอนิอฺ ทานอาบู นะอีม และทานบัซซาร ไดทําการบันทึกฮาดีษ บทนแี้ ละเปนฮาดีษที่ 2628 จากหนังสอื “กันซ” หนา 157 ซุ อฺที่ 6 (209) เปนหัวขอท่ี 11 ในจํานวนหัวขอตาง ๆ ท่ีทานอิบนุ อาบู ฮะดีดไดรายงานเอาไวในหนา 450 เลม 2 ของหนังสือ “ซะเราะฮฺ-นะชฺุลบะลาเฆาะฮฺ” เปนฮาดีษท่ี 2627 จากหนังสือ “ซะเราะฮฺ-นะชฺุลบะลาเฆาะฮฺ” เปนฮาดีษที่ 2627 จากหนังสือ “กันซ” หนา 157 ุซอฺ ที่ 6 (210) เปนฮาดีษที่ 2630 หนา 157 ุซอทฺ ่ี 6 หนังสอื “กันซ” “บุคคลแรกทีจ่ ะไดเ ขาประตูน้ี คือ ผูนาํ ของผูสาํ รวมตนจากความชั่ว ผูเปนประมุขของบรรดามุสลิ มนี ผูซ ง่ึ ใหก ารอุปถมั ภแ กศาสนา ผซู ่งึ เปนผูประกาศความสมบรู ณของบรรดาทายาททั้งหลายและผู ซึง่ เปนหวั หนา ทีม่ ีเกยี รติยศของหมชู มผเู ครงครดั ทั้งหลาย” ครงั้ แลว ทานอาลีกไ็ ดเขาไป ทานศาสน ทูตไดยืนข้ึนแสดงความยินดีกับทานโดยไดตอนรับทานและไดทําการเช็ดเหง่ือท่ีหนาผากของทาน แลวทานไดกลาววา “เจาคือผูท่ีจะทําหนาท่ีชําระหน้ีสินของฉันและเจาเปนผูประกาศใหผูคน ท้ังหลายไดยินเสียงของฉัน และเจาเปนผูทําหนาที่อธิบายใหความแจมแจงแกประชาชนท้ังหลาย ในสง่ิ ท่ีพวกเขาไดข ัดแยง กนั หลังจากฉัน”(211) 6. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ที่ไดกลาววา “แทจริงอัลลอฮฺไดทรงสัญญาตอฉันใน เร่ืองของอาลีวา เขาไดเปนหัวหนาของผูอยูในทางนํา เปนผูนําของบรรดามิตรสหายของฉัน เปน แสงแสวางใหแกผูปฏิบัติตามฉัน และเขาเปนสัญลักษณหน่ึงซึ่งฉันไดกําหนดเอาไวสําหรับบรรดา

ผูสํารวมตน”(212) ทานสามารถจะพิจารณาฮาดีษตาง ๆ ทั้งหกนี้ไดอยางชัดเจนทีเดียววา เปนการ อธิบายในดานของความเปนผูนํา (อิมามะฮฺ) ของทานและมีความจําเปนท่ีจะตองปฏิบัติตามทาน อาลี (อาลยั อสิ สลาม) 7. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ท่ไี ดก ลา ว โดยไดชไ้ี ปยงั (211) ทานอาบูนะอีมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนังสือ “ฮุลียะตุล-เอาลิยาอฺ” โดยไดอางรายงาน มาจากทานอานัส ทานอิบนุ อาบูฮะดีด ไดอางฮาดีษบทนี้ไวอยางละเอียดในหนา 450 ของเลม ๒ หนงั สอื “ซะเราะฮ-ฺ นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” ขอไดพจิ ารณาในหัวขอ ท่ี ๙ จากหนัง ดังกลาว (212) ทานอาบู นะอีมไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไวในหนังสือ “ฮุลลียะตุล-เอาลิยาอฺ” โดยอางวาเปน อาดีษที่รายงานมาจากอาบู บัรซะฮฺ อัล-อัสละมีย และทานอานัส บินมาลิก ทาน อัล-ลา มะฮฺ อัล-มุอฺตะซิละฮฺ หนา 449 จากเลม 2 หนังสือ “ซะเราะฮฺ-นะฮฺุละบะลาเฆาะฮฺ” ดังนั้นขอใหท านพิจารณาถงึ หวั ขอที่ 3 ในหนา น้ี ทานอาลวี า “แทจริงบคุ คลผนู ค้ี อื บุคคลแรกทีไ่ ดความศรทั ธาตอฉนั เปนบคุ คลแรกท่ีจะได เขาไปคกํานับฉันในวันกียามัต และน่ีคือมิตรผูย่ิงใหญ และน่ีคือมาตรการท่ีจะจําแนกบุคคลตาง ๆ สาํ หรับประชาชาติน้ี เขาเปน ผูทําการจาํ แนกระหวา งสจั ธรรมและความผิดพลาดและเขาคือผูใหการ อปุ ถมั ภค าํ้ จนุ แกม วลผูศรทั ธา”(213) 8. คํากลาของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดทานและแดบรรดาลกู หลานของทาน) ที่วา “โอชนชาวอันศอรเอย พวกเจาจะเอาไหมกับส่ิง ท่ีถาพวกเจาไดยึดมั่นตอเขาแลว พวกเจาก็จะไมหลงผิด หลังจากนี้ไปโดยตลอดนี่และคือาลี ดังนน้ั พวกเจาจงรกั เขาเชน เดียวกบั รกั ฉัน และพงึ ใหเกยี รติเชนเดียวกบั การใหเกยี รตแิ กฉันเพราะวา แทจ ริงญิบรออลี ไดมีบัญชาใหฉ นั ไดประกาศแกพวกเจาจากขอความตาง ๆ ที่มาจากอัลลอฮฺ ผูทรง อานุภาพสูงสุด”(214) 9. คํากลา วของทานศาสนทตู แหง อัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สขุ แดทานและแดบ รรดาลูกหลานของทา น) ทวี่ า “ฉันคอื

(213) ทานฏ็อบรอนียไดบันทึกฮาดีษน้ีในหนังสือ “อัล-กะบีร” โดยรายงานของทานซัลมานและ อาบูซัร ทานบัยฮะกียไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในหนังสือ “สุนัน” ของทาน ทานอิบนุ อะดีย ไดบ ันทึกไวในหนังสือ “อัล-กาบีร” จากรายงานของทานฮุซัยฟะฮฺ เปน ฮาดษี ท่ี 2608 จาก หนังสอื “กันซ” หนา 156 ซุ อฺที่ 6 (214) ทานฏ็อบรอนียไดบันทึกฮาดีษบทนี้ในหนังสือ “อัล-กะบีร” เปนฮาดีษที่ ๒๖๒๕ หนังสือ “กันซ” หนา 157 ุซอฺท่ี 6 เปนหัวขอท่ี 10 หนา 450 เลม 2 หนังสือ “ซะเราะฮฺ- นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ”ฺ ของทานอิบนุ อาบู ฮะดีดขอใหทานพิจารณาดูวา การท่ีจะไมหลง ผิดน้ันหมายถึงการยึดทั่นตอทานอาลี เปนหลักฐานท่ีแสดงใหเห็นวา ความหลงผิดน้ันจะ เกิดข้ึนแกผูที่มิไดยึดมั่นตอทาน และโปรดพิจารณาถึงคําส่ังท่ีไดระบุใหพวกเขาเหลาน้ัน รักทานโดยใชความหมายของความรักที่พวกเขาใหความรักตอทานนบี และพวกเขา จะตองใหเกียรติแกทานโดยความหมายของเกียรติท่ีพวกเขาไดใหเกียรติแกทานนบี เหตุผลในขอนี้มิไดมุงหมายไปในทางอ่ืนนอกจากเพ่ือเปนการแสดงวาทานอาลีคือ “วะ ลีย” ในสมัยของทาน และเปนผูบัญชากิจการตาง ๆ ภายหลังจากทาน และขอใหทานได พจิ ารณาถึงคาํ กลา วในตอนทายที่วา ญบิ รออลี มีบญั ชาใหฉันกลาวอยางนี้ตอพวกเจาวาเปน เรอ่ื งทีม่ าจากอัลลอฮฺ คงจะเปน ทีป่ ระจกั ษใหแ กท านซึ่งขอพิสูจนท่ีแทจ รงิ ไดแลว นครแหง ความรู สวนอาลคี ือประตขู องมันผูใ ดประสงคต อความรู เขากต็ อ งเขาทางประตู”(215) 10. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความ สันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีวา “ฉันคือบานแหงวิทยปญญา สวนอาลีคือ ประตขู องมนั ”(216) 11. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “อาลีคือประตูแหงวิชาการของฉัน และเปนผูทํา หนา ท่ีอธิบายใหแ กประชาชาติของฉนั เกยี่ วกบั สิ่งตาง ๆ ภายหลังจากฉนั ความรกั ท่มี ีตอเขานนั้ เปน ความศรัทธา ความโกรธที่มตี อเขานน้ั เปนละเมิด”(217) (215) ทานฎ็อบรอนียไดบันทึกฮาดีษบทน้ีในหนังสือ “อัล-กะบีร” จากรายงานของทานอิบนุ อับบาสดังที่มีปรากฎอยูทํานองเดียวกันกับประโยคนี้ ในหนา 107 หนังสือ “ญามิอศ- ศอฆีร” ของทาน ซะยูฎีย ทานฮากิมไดบันทึกไวในหมวดวาดวย “เกียรติยศของอาลี” หนา 226 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “ศอฮี้ฮฺมุสตัดร็อก” ดวยสายสืบท่ีมาจาก 2 กระแสรายงาน

คือ รายงานหน่ึงนั้นเปนรายงานของทานอิบนุอับบาส สวนอีกรายงานหน่ึงน้ันเปน รายงานของทานญาบรี บินอับอลุ ลอฮฺ อัล-อันศอร ซ่ึงลว นแตเปนหลักฐานท่ีมีสายสืบตาง ๆ ที่แสดงไวอยางถูกตองโดยเฉพาะอยางยิ่งทานอิมาม อะหฺมัด บินมุฮัมมัด บินศอดิก แหงมอรอ็ กโค ผไู ดม าตั้งรกรางท่เี มอื งไคโร ก็ไดกลาวยืนยันฮาดีษบทน้ีวามีหลักฐานศอฮี้ ฮฺถูกตองไวในหนังสือของทานเลมหน่ึงท่ีช่ือวา “ฟตฮุล-มุลากุอาลี” เปนหนังสือท่ีพิมพ โดยสํานักพิมพอิสลามียะฮฺแหงประเทศอียิปต อันเปนขอเท็จจริงท่ีไดประจักษแลวโดย บรรดาผูทรงคุณวุฒิที่ไดยืนหยัดอยูบนแนวทางอันน้ีวา แทจริงในตัวของทานอาลีนั้นมี วชิ าการอยา งสมบูรณ (216) ทานติรมีซียไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไวในหนังสือศอฮ้ีฮฺของทาน ทานอิบนุ ญะรีร ก็ได บันทึกไวเชนเดียวกัน นักปราชญจํานวนไมนอยตางก็ไดอางฮาดีษนี้จากบุคคลทั้งสอง เชน ทานมุตฺตากีย อัล-ฮินดียซึ่งไดบันทึกไวในหนา 401 ญซอฺท่ี 6 หนังสือ “กันซ” ทานอิบนุ ญะรีรไดกลาววา “ฮาดีษบทนี้มีสายสืบที่ถูกตองจากเรา.... ทานญะลาลุดดีน ซะยูฎียไดอางฮาดีษบทน้ีจากทานติรมีซียไวในหนังสือ “ญามีอุล-ญะวามิอฺ” และหนังสือ “ญามิอุศ-ศอฆีร” หนา 170 ุซอทฺ ่ี 1 (217) ทานอัดดัยละมียไดบันทึกฮาดีษบทนี้ โดยเปนรายงานฮาดีษของอาบูซัร ซ่ึงเปนฮาดีษที่มี ปรากฏอยูในหนา ๑๕๖ ซุ อทฺ ่ี ๖ หนังสือ “กัลซุลอมุ าล” 12. ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแกทาน และแกบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดก ลา วแกท านอาลวี า “เจาคือผูทําหนาที่อธิบายใหความกระจาง แจง แกประชาชาติของฉันเก่ียวกับส่ิงตาง ๆ ท่ีพวกเขาไดขัดแยงกันภายหลังจากฉัน” ทานฮากิมได บันทึกฮาดีษบทนี้ไวในหนา 122 ุซอฺที่ 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก”(218) อันเปนฮาดีษที่รายงานโดย ทานอะนัส โดยทานไดกลาวเพ่ิมเติมวาฮาดีษบทน้ีมีมาตรฐานทางดานสายสืบที่ศอฮี้ฮฺตรงตาม เง่อื นไขของผูอาวโุ สท้งั สอง (บุคอรี-มุสลิม) แตทานทั้งสองมิไดบันทึกไว ถาหากไดทําการสังเกต อยางละเอียดถี่ถวนกับฮาดีษนี้ก็จะเห็นไดอยางชัดเจนวา วิชาความรูท่ีมีอยูกับทานอาลีน้ันก็คือวิชา ความรูที่มาจากศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ โดยที่ฐานะของศาสนทูตนั้นมาจากอัลลอฮฺผูทรงสูงสุด ดวย เหตุน้อี ัลลอฮฺ ผูทรงสงู สุดจึงไดม ีโองการแกนบขี องพระองควา

“เรามิไดประทานอันใดใหแกเจา นอกจากเพ่ือจะไดเปนท่ีอธิบายใหความกระจางแจงแก พวกเขาเหลานั้น ซ่ึงพวกเขามีความขัดแยงกันในสิ่งน้ัน และเปนทางนําและเปนความเมตตาแก บรรดาผศู รทั ธาท้ังหลาย” (16:64) (218) ทานดัยละมียไดรายงานฮาดีษน้ีมาจากอานัสอีกเชนกัน ตามท่ีปรากฏอยูในหนา 156 ภาร ที่ 6 หนงั สอื กนั ซุล-อุมมาล 13. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ยังไดกลาวไวตามที่มีปรากฏอยูในบันทึกของทานอิบนุ สิมาก อันเปนรายงานฮาดีษท่ีอางอิงถึงทานอาบูบักรฺวา “อาลีกับฉัน โดยอยูในฐานะเชนฉันกับพระผู อภบิ าล”(219) 14. ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ยังไดกลาวไวตามท่ีมีปรากฏอยูในบันทึกของทาน ดาเราะกุฏนีย โดยอางถึงทานอิบนุ อับบาสวา “อาลี บิน อาบีฏอลิบ น้ัน เปนประตูแหงเมตตา ผูใดที่ไดเขาสู ประตนู ัน้ หมายถงึ ผศู รัทธา และผูใดทไ่ี ดอ อกจากมันกห็ มายถงึ ผูปฏิเสธ”(220) 15. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลกู หลานของทาน) ไดกลาวในวันอะรอฟาตเม่ือคร้ังทําฮัจญญะตุล-วิดาอฺวา “อาลีมา จากฉันและฉันมาจากอาลี และไมมีผูใดชําระสะสางภาระหนาท่ีตาง ๆ จากฉันไดนอกจากฉันและ อาลีเทา นนั้ ”* และยงั มโี องการของอลั ลอฮฺทีไ่ ดท รงมีไวว า (219) ทานอิบนุ ฮะญัร ไดอางฮาดีษบทน้ีบันทึกไวในหัวขอที่ 5 ของหัวขออายะฮฺที่ 14 จาก หลาย ๆ โองการท่ีทานไดอธิบายไวใน บาบท่ี 11 หนังสือเศาะวาอิก โปรดพิจารณาดูใน หนา 106 (220) ทานฮาดีษท่ี 2528 จากหนังสือประมวลฮาดีษ “กันซ” หนา 153 ุซอฺท่ี 6 ทานอิบนุ มาญะฮฺไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหมวดที่วาดวย “ฟะฏออิลุศ-ศอฮาบาฮฺ” หนา 92 ุซอฺ ท่ี 1 หนา หนังสือ “สุนัน” ของทาน ทานติรมีซียและทานนะซาอียก็ไดบันทึกไวใน หนังสือ “ศอฮ้ีฮฺ” ของทานทั้งสอง เปนฮาดีษท่ี 2531 ซ่ึงอยูในหนา 153 ุซอฺที่ 6 หนังสือ “กันซ” ทานอิมาม อะหมัด ไดรายงานฮาดีษบทนี้ไวในหนา 164 ุซอฺท่ี 4 หนังสือ “มุสนัด” ของทาน ซ่ึงเปนฮาดีษที่รายงานโดย ฮะบะชีย บิน ญนาดะฮฺ ดวย สายสืบจํานวนมาก ซึ่งลวนแตเปนสายสืบที่ศอฮี้ฮฺ คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทาน ดวย

หลักฐานฮาดีษบทน้ีที่รายงานโดย ยะฮยา บิน อาดัม ที่ไดรับรายงานมาจากอิสรออีล บิน ยูนุส ซึ่งไดรับรายงานมาจากปูของทาน คือ อาบู อิสฮาก ซะบีอีย อันไดรับรายงานมาจาก ฮะบะชีย ซึ่งพวกเขาเหลานี้แตละทานลวนเปนมาตรฐานที่ยอมรับของผูอาวุโสทั้งสอง (บุ คอร-ี มสุ ลิม) โดยท่บี คุ คลทง้ั สองได “แทจริงมันเปนคําพูดของทูตผูทรงเกียรติ (ญิบรีบ) ผูมีพลัง ณ พระผูเปนเจาแหงบัลลังก อนั สูงสง เปน ที่ถกู เช่ือฟงอกี ทัง้ มีความซอ่ื สตั ยเปนยิง่ และมติ รของสูเจานน้ั หาใชผูวิกลจรติ ไม” (81 : 19-22) และมอี กี ตอนหนึ่งที่มีโองการวา ยอมรับหลักฐานฮาดีษตาง ๆ ของพวกเขาเหลานั้นมาบันทึกไวในหนังสือ “ศอฮ้ีฮฺท้ังสอง เลม” ขอไดพิจารณาฮาดีษน้ีในหนังสือ “มุสนัด” ของทานอะหฺมัด ซึ่งทานไดระบุว ใจความของฮาดีษนี้วาไดปรากฏข้ึนในเทศกาลของการบําเพ็ญอัจญวิดาอฺ ซ่ึงเปนครั้งที่ ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและบรรดาลูกหลาน ของทาน) ไดรวมดวย เหตุการณในคร้ังน้ีนับวามีความสําคัญอยางใหญหลวง ซึ่งกอน หนาน้ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแก ทานและแกบรรดาลูกหลานของทาน) ทานไดมอบหมายใหอาบักรฺนําประกาศ 10 โองการจากซูเราะฮฺบะรออะฮฺ เพื่อไปอานใหชาวมักกะฮฺมุชริกีนฟง แตแลวทานก็ไดเรียก ใหทานอาลีทาํ หนา ทีเ่ องตามท่ที านอิมาม อะหมฺ ัดไดบนั ทึกไวใ นหนา 151 ุซอฺที่ 1 จาก หนังสือ “มุสนัด” ของทานซึ่งทานไดบันทึกไววา ทานษสนทูตไดกลาวแกทานอาลีวา “จงตามอาบบู กั ร ไปเถิด ครั้นเม่ือเจาไดต ามไปทนั เขาแลวก็จงเอาคําประกาศนั้นมาจากเขา เสีย” ครั้นเม่ือทานอาบูบักรฺ ไดกลับมายังทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันตสิ ุขแกทานและแกบรรดาลูกหลานของทาน) แลวก็ไดกลาวข้ึนวา “โอศาสนทูต แหงอัลลอฮฺไดมีสิ่งใดถูกประทานลงมาอีกหรือ ?” ทานตอบวา “ไมมีหรอก แตทวาทาน ญบิ รออีลไดเ สด็จลงมายังฉันแลวกลาววา ไมควรจะมีใครทาํ หนา ท่ีของเจา นอกจากเจาและ บุคคลหน่ึงซึ่งเขามาจากเจา” สวนในตอนทายของอีกฮาดีษหนึ่ง ตามท่ีทานอะหฺมัด ได บันทกึ ไวในหนา 510 หนังสอื “มุสนดั ” อันเปนรายงานจากทา นอาลวี า เมือ่ ตอนทที่ า นน

บี ไดสง ทานใหทาํ หนาทอ่ี า นประกาศซูเราะฮฺบะรออะฮฺนั้นทานไดกลาววา “คําประกาศนี้ ไมควรท่ีจะใหใครดําเนินการนอกจากฉันและเจาตองเปนผูดําเนินการ” ทานอาลีไดกลาว วา “ถาเปนเชนนั้นฉันก็ควรที่จะตองไปเด๋ียวนี้” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ถูกตอง แลว เพราะแทจริงอัลลอฮฺไดทรงประทับความถูกตองไวท่ีล้ินของเจา และทรงนําทาง ใหแ กหัวใจของเจา ” “และเขามิไดกลาวถอยคําจากอารมณ หากแตที่เขากลาวน้ันคือการดล (ของพระผูอภิบาล) ท่ไี ดดลมายงั เขา” (53 : 5) ฉะน้ันทานจะมีทัศนะไปทางใดอีก ? และทานจะกลาวหาอยางไรในหลักฐานอันชัดแจงท่ี เปนจริยวัตรเหลานี้ของทานศาสดาอันเปนหลักฐานรายละเอียดท่ีไดอธิบายอยางแจมแจง ? และถา หากทา นไดพ ิจารณาโดยมีความเขา ใจในเหตกุ ารณข องสมยั ดงั กลาวดวยการพิจารณาอยางละเอียดถี่ ถว นในเหตผุ ลท่ที านไดเ รยี กรองประกาศแกบ รรดาประชาชนทง้ั หลายท่อี ยูในอารอฟะฮฺ เมอ่ื คร้ังทํา ฮัจญโดยเปนการประกาศแกบรรดาหัวหนาระดับสูงของประชาชนความเขาใจที่จริงยอมจะเกิดขึ้น แกทานไดอยางเต็มที่ในเหตุการณน้ัน โดยท่ีทานไดพิจารณาถึงประโยคคําพูดตามที่ทานไดกลาว ไปและพิจารณาตอความหมายท่ีแฝงอยู และเหตุผลในถอยคําน้ัน ทานจะสามารถเห็นวาเปนเรื่อง ใหญที่มีความสําคัญอยางใหญหลวง โดยที่ทานไดเรียกประชุมกันอยางพรอมเพรียง แลวจึง ประกาศตามความประสงคของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺน่ันคือการประกาศท่ีแสดงใหเห็นวาอาลี มิใชเพียงแตเปนบุคคลในครอบครัวที่มีความหมายเพียงแคระดับนั้น และไมถูกประกาศจากทานน บีวาเปนอื่น นอกจากเปนทายาทของทาน ฐานะของเขายอมไมมีสภาพที่เหมาะสมตอส่ิงอื่นใด นอกจากเขาจะตองดํารงอยูในฐานะตัวแทนของทานศาสดาและเปนผูปกครองที่ทานศาสดาไดแต ตั้งมวลการสรรเสริญเปนสิทธิแหงอัลลอฮฺ ผูซึ่งไดนําเรามาเขาใจกับสิ่งน้ี และไดประทานใหเรา ไดร ับทางนาํ และเราไมมผี ูใดนําทางไดเลยถาหากอลั ลอฮไฺ มทรงนาํ ทางแกเรา 16. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความ สันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีมีใจความวา “ผูใดเช่ือฟงปฏิบัติตามฉัน โดย แนนอนยิ่งเทากับเขาไดเช่ือฟงปฏิบัติตามอัลลอฮฺ ผูใดทรยศตอฉันก็เทากับเขาไดทรยศตออัลลอฮฺ และผูใดที่เชื่อฟงปฏิบัติตามอาลี ก็เทากับเช่ือฟงปฏิบัติตามฉัน และผูใดทรยศตออาลีก็เทากับทรยศ ตอฉัน” ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในหนา 121 ุซอฺท่ี 3 หนังสือมุสตัดร็อก ทานซะฮะบียก็ได

บนั ทกึ ไวใ นหนังสือตลั คีศของทาน คําชแ้ี จงของบคุ คลท้งั สองน้ันระบุวาเปนฮาดีษที่มีหลักฐานศอฮี้ ฮฺ ตรงตามเงอื่ นไขของทานชยั คทงั้ สอง 17. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “โออาลี ผูใดท่ีเขาไดแตกแยกจากฉัน ดังน้ัน แนน อนเทากับเขาแตกแยกจากอัลลอฮฺและผูใดที่แตกแยกจากเจา ดังนั้นแนนอนเทากับเขาแตกแยก จากฉัน” ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไวในหนา 124 ุซอฺที่ 3 จากหนังสือศอฮ้ีฮฺของทาน โดย ทานไดก ลาววา “ฮาดีษบทนี้มสี ายสบื ทีศ่ อฮฮ้ี ฺ แตผ ูอ าวุโสทัง้ สองมิไดบ ันทึกไว” 18. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “ผูใดท่ีประณามอาลี ดังนั้นเทากับเขาไดประณาม ฉัน” รายงานโดยทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺ ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษน้ีไวในตอนแรกของหนา 121 ุซอฺท่ี 3 หนังสือมุสตัดร็อกและไดระบุวา เปนฮาดีษศอฮ้ีฮฺตรงตามมาตรฐานของผูอาวุโสทั้งสอง ทานซะฮะบียไดอธิบายฮาดีษบทนี้ไวในหนังสือตัลคีศโดยยืนยันวาเปนฮาดีษศอฮ้ีฮฺ ทานอะหฺมัด ไดรับรายงานฮาดีษบทนี้มาจากรายงานฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺ ซึ่งบันทึกไวในหนา 323 ุซอฺที่ 6 หนังสือมุสนัดของทาน ทานนะสาอียก็ไดบันทึกไวในหนา 17 จากหนังสือ “อัล-เคาะ ศออศิ ุล-อลุ วุ ยี ะฮ”ฺ และมีนักปราชญผูบันทึกรายงานฮาดีษอีกจํานวนไมนอยท่ีไดบันทึกสํานวนฮาดีษทํานอง เดียวกันนี้ของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) อันเปนฮาดีษท่ีรายงานโดยทานอุมัร บิน ชาช(221) วา “ผูใดท่ี ใสร า ยอาลเี ทา กบั เขาใสร า ยฉนั ” 19. คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความ สันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวอีกวา “ผูใดรักอาลี แนนอนยิ่งเทากับ เขารักฉัน ผูใดโกรธอาลีแนนอนย่ิงเทากับเขาโกรธฉัน” ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทนี้แลวระบุวา เปนฮาดีษศอฮ้ีฮฺ ตรงตามเงื่อนไขของผูอาวุโสทั้งสอง ไวในหนา 130 ุซอฺท่ี 3 หนังสือมุสตัดร็อก ทานซะฮะบยี ไดบ นั ทกึ ฮาดีษบทนี้ไวในหนังสือตัลคีศโดยจํากัดความไววา เปนฮาดีษศอฮี้ฮฺตรงตาม เง่ือนไขเหลา น้ี ทํานองเดียวกันก็ยังไดมีคํากลาวของทานอาลี(222) วา “ดวยพระนามของผูซึ่งไดทําใหเมล็ด พันธุพ ืชงอกเงย และทรงผอ งแผวบรสิ ุทธิจ์ ากความรุมรอนใด ๆ แทจริงสําหรับสมยั ของทานนบอี ลั -

อุมมียน้ัน (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) นน้ั ไมมผี ใู ดรกั ฉันนอกจากผศู รัทธา และไมม ผี ูใดโกรธฉนั นอกจากคนกลบั กลอก” (221) ขอใหทานพิจารณาฮาดีษของอุมัร บิน ชาช ในเร่ืองน้ีดังท่ีเราไดกลาวถึงไปแลวในมุ รอญอิ ะฮฺท่ี 36 (222) เปนฮาดีษท่ีทานมุสลิมไดบันทึกไวใน (กิตาบ) “อัล-อีมาน” หนา 46 ุซอฺท่ี 1 หนังสือศอฮี้ฮฺของทาน ทานอิบนุ อับดุรบัรไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวโดยละเอียดในหัวขอ ของเรื่อง “ทานอาลี” หนังสือ “อัล-อิสติอาบ” โดยรายงานจากบรรดาสาวกกลุมหน่ึง และ ทานไดผานฮาดษี น้ีไปแลวในอัล-มุรอิญอะฮฺที่ 36 อันเปนรายงานฮาดีษของบุรัยดะฮฺ โปรด พิจารณาดูได และแนนอนมีฮาดีษอีกบทหนึ่งซ่ึงเปนฮาดีษท่ีมีสายสืบสอดคลองตรงกันวา ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “โออัลลอฮฺขอไดทรงคุมครองผูท่ีจงรักภักดีตอเขา (อาลี) และทรงเปนศัตรูตอผูท่ีเปนศัตรูตอเขา” ดังที่เปนท่ีรูกันดีของบรรดานักปราชญเชน ศอฮิบ อลั -ฟะดาวีย อลั -ฮามดิ ยี ะฮฺ ในหนังสอื “รซิ าละฮเฺ มาซูมะฮ”ฺ 20. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “โออาลี เจาคือประมุขสูงสุดของมนุษยโลกและ เปนประมขุ สงู สุดในวนั ปรโลก บุคคลอนั เปนทร่ี ักของเจา นนั้ คอื ท่ีรักของฉนั บุคคลอนั เปนที่รักของ ฉนั น้นั คือที่รักของอัลลอฮฺ ศัตรูของเจาน้ันคือศัตรูของฉัน ศัตรูของฉันนั้นคือศัตรูของอัลลอฮฺ ความ วิบัติมีแตผูโกรธเกลียดเจาภายหลังจากฉัน” ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในตอนแรกของหนา 128 ุซอฺท่ี 3 หนังสือมุสตัดร็อกโดยระบุวาเปนหนังสือศอฮ้ีฮฺตรงตามเง่ือนไขของผูอาวุโสทั้งสอง (223) (223) นักปราชญสายอัล-อัซฮัร ไดบันทึกฮาดีษบทน้ีจากทานอับดุรเราะซาก ซึ่งบันทึกจาก ทานมุอัมมัร ซ่ึงบันทึกจากทานซุฮีรีย ซ่ึงบันทึกจากทานอุบัยติลละฮฺ บิน อับดุลลอฮฺ ซึ่ง บันทึกจากทา นอิบนอุ ับบาส บุคคลท้ังหมดเหลา นล้ี วนเปนท่ียอมรับวา เปนมาตรฐานฮาดีษ ท่ีเชื่อถือไดทั้งส้ิน ดวยเหตุนี้ทานฮากิมจึงไดบันทึกยืนยันวา ฮาดีษบทน้ีศอฮ้ีฮฺ ตามเงื่อนไข ของผูอาวุโสทั้งสองทาน โดยกลาววา “ทั้งอาบูอัล-อัซฮัร และกลุมนักปราชญกลุมนั้นตาง เปนผูมีความสําคัญอยางย่ิง ฉะนั้นเม่ือบุคคลที่มีความสําคัญเชนน้ีรายงานฮาดีษก็ถือวา มาตรฐานของพวกเขาเหลานั้นเปนที่ถูกตอง หลังจากนั้นทานไดกลาววา “ขาพเจาไดยิน ทานอาบูอับดุลลอฮฺ อัล-กุรชีย ไดกลาววา “ฉันไดยินทานอะหมัด บิน ยะอยา อัล-ฮุลวานีย

ไดกลาววา “ทานอาบูอัซฮัรไดบันทึกมาจากบรรดานักปราชญและผูทรงคุณวุฒิท่ีไดจดจํา ฮาดีษบทนี้อันเปนนักปราชญชาวแบกแดด ซ่ึงทานยะหยา บิน มุอีนไดปฏิเสธซึ่งปรากฏวา ในวันประชุมคร้ังหน่ึงทานไดกลาวในที่ประชุมวา “หนังสือของนัยซาบูรียเลมนี้ที่ได กลาวถึงรายงานฮาดีษบทนี้ของทานอับดุลเราะซากมาจากไหน? ทานอาบูอัซฮัร ไดลุกขึ้น ยืนแลวกลาววา “ก็มันมาจากฉันนี้ไง” ทานยะหยา บิน มุอีนไดหัวเราะเยาะคํากลาวของ อาบูอัซฮัรในท่ีประชุมแลวไดเขามายืนใกลอาบูอัซฮัรพลางกลาววา “ไฉนอับดุลเราะซาก จึงบอกเลาฮาดีษบทนี้ใหแกทาน แตม ไิ ดบ อกเลาฮาดษี บทน้แี กค นอื่นเลย” ทานกลา ววา “จง รูไวเถิดทานอาบูซะกะรียาเอย แทจริงฉันไดนําฮาดีษบทน้ีมาจากบรรดานักปราชญและ ทานอับดุลเราะซากที่เขาเปนผูปลีกตนอยูในเมืองของเขาอันไกลแสนไกล ฉันไดออก เดินทางไปหาเขาจนฉันออนเพลีย คร้ันเม่ือฉันไดไปถึงยังเขาแลว เขาก็ไดถามฉันเก่ียวกับ เร่ืองราวของเมืองคุรอซาน ดงั นั้นฉนั จงึ ไดเลาเหตกุ ารณตาง ๆ ใหท า นฟง และฉันไดบันทึก รายงานของเขา และฉันไดเผยแพรไปยังกลุมนักปราชญตาง ๆ โดยทานไดกลาววา “เปน หนา ท่ีท่ฉี นั จะตอ งสนองตอบความพยายามของทา น ฉนั 21. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลกู หลานของทา น) ไดกลา วอีกวา “โออาลี คนทด่ี ีทส่ี ดุ สาํ หรับฉัน ไดแกผ ูที่รกั เจา และ มีความซื่อสัตยในเร่ืองของเจา และความวิบัติยอมมีแตผูโกรธเกลียดเจาและกลาวเท็จในเรื่องของ เจา ” ทานฮากมิ ไดบ นั ทกึ ฮาดีษบทนีไ้ วใ นหนา 135 ุซอฺท่ี 3 หนังสอื มัสตัดร็อก หลังจากนั้นทานได กลา ววา “ฮาดษี บทนมี้ ีสายสบื ทศ่ี อฮีฮ้ ฺ แตผูอาวโุ สท้งั สองมไิ ดบันทึกไว” 22. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “ผูใดประสงคท่ีจะมีชีวิตเหมือนกับชีวิตของฉัน และตายเชนการตายของฉัน และพํานักอยูในสวรรคอันนิรันดร ซ่ึงพระผูอภิบาลของฉันไดสัญญา ไว เขาก็ตองจงรักภักดีตออาลี บิน อาบีฏอลิบ เพราะวาเขาจะไมทําใหพวกเจาออกจากทางนําของ ฉนั และไมท ําใหพวกเจาเขา สูใ นความหลง”(224) จะบอกฮาดีษหนึ่งแกทานซึ่งเปนฮาดีษท่ีบุคคลอ่ืนไมเคยไดรับฟงจากฉันมากอนเลย” “ดังนน้ั ทานจึงไดเ ลา ฮาดษี บทน้ใี หแกฉ นั ” ดว ยพระนามของอลั ลอฮฺ น่ีคือฮาดีษบทน้ัน ดวย เหตุนเี้ องทานยะหยา บนิ มอุ ีน จงึ เชือ่ ทานอัซฮรั และไดขออภยั ท่ไี ดแ สดงกิริยาท่ไี มสมควร ตอ เขา

สาํ หรับทานซะฮะบยี ก ็ไดบันทึกไวใ นหนังสือตัลคีศ โดยไดระบุไวอยางชัดเจนวาฮาดีษบท นี้เปนริวายะฮฺท่ีมีสายสืบท่ีแข็งแรง โดยเปนสายสืบท่ียืนยันมาอยางแข็งแรงโดยทาน อาบูอัล-อัซฮัร โดยเฉพาะไดมีการสงสัยกันในความถูกตองทางหลักฐานท่ีศอฮี้ฮฺของบทน้ี แตทวาเขาไมเคยเปนบุคคลท่ีนําหลักฐานที่มีปญหามารายงานเพื่อเปนหลักการศึกษาแก ผูใดมากอนเลย เพียงแตวาสาเหตุที่อับดุลเราะซากตองไดปดบังเร่ืองนี้ก็เปนเพราะวา เขามี ความหวาดกลัวตออํานาจของผูอธรรมที่ปกครองอยู เชนเดียวกับที่สะอีด บนิ ุบัยรไดเคย หวาดกลัวมากอนแลวเม่ือตอนท่ีมาลิก บิน ดีนาร ในตอนท่ีไดถามเขาวา “ใครเปนผูถือ ธงชัยของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ? “ทานไดเลาวาเขาไดจองมองมายังฉันแลวกลาววา “ทานชางเปนคนกลาหาญและกลาเสี่ยงเสียจริง ๆ” มาลิกไดกลาวอยางเดือดดาลแก ซะอีด เพราะการท่ีเขากลาววา “ผูที่ถือธงชัยของทานศาสนทูตน้ัน คือทานอาลี บิน อาบีฏอลิบ” ทา นฮากิมไดบ นั ทึกเร่ืองนไ้ี วใ นหนา 137 ซุ อทฺ ี่ 3 หนงั สือ “มุสตัดร็อก” และทานไดกลาว วา “ฮาดษี นีม้ ีสายสบื ที่ศอฮ้ฮี ฺ แตผอู าวโุ สท้ังสองมิไดบ ันทกึ ไว” (224) ฮาดษี นี้เราไดก ลา วถงึ ไปแลว ใน อลั -มรุ อญอิ ะฮทฺ ี่ 10 23. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “ฉันจะขอส่ังผูท่ีศรัทธาตอฉัน และเช่ือฉันวา ให ยอมรับในอํานาจการปกครองของอาลี บิน อาบีฏอลิบ เพราะผูใดที่จงรักภักดีตอเขาก็เทากับ จงรักภักดีตอฉัน ผูใดท่ีจงรักภักดีตอฉันแลวก็เทากับจงรักภักดีตออัลลอฮฺ ผูที่รักเขาก็เทากับรักฉัน และผูใดรักฉันก็เทากับรักอัลลอฮฺ ผูใดโกรธเขาเทากับโกรธฉัน ผูใดโกรธฉันเทากับโกรธอัลลอฮฺ ผู ทรงอานภุ าพสงู สดุ (225) 24. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ผูใดที่ปรารถนาจะไดใชชีวิต เชนชีวิตของฉัน และ ตายอยา งการตายของฉัน และพํานกั อยใู นสวรรคอ ันบรมสุขภายใตบ ลั ลังกข องพระผูอภิบาลของฉัน เขาก็จะตองจงรักภักดีตออาลีภายหลังจากฉัน และตองใหความเปนผูนําแกอะหฺลุลบัยตฺของฉันภาย หลังจากฉัน เพราะแทจริงพวกเขาเหลาน้ันเปนเชื้อสายของฉัน พวกเขาถูกสรางขึ้นมาจากเน้ือดิน สวนเดียวกับฉัน และไดรับปจจัยแหงความรูและวิชาการของฉัน ดังนั้นความวิบัติพึงมีแดผูมุสา ทั้งหลายจากประชาชาติของฉันท่ีปฏิเสธตอเกียรติยศของพวกเขา การตัดขาดความสัมพันธของฉัน จะมีแดพ วกเขา อลั ลอฮฺจะไมท รงใหพ วกเขาเหลานน้ั ไดร บั การอนเุ คราะหชวยเหลือของฉนั ”

25. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ผูใดท่ีชอบจะใชชีวิตเชนเดียวกับชีวิตของฉัน และ ตายเชนการตายของฉัน และเขาสวรรคซึ่งพระผูอภิบาลของฉันไดสัญญาไวนั่นคือสวรรคแหงนิ รันดร เขาก็ตองจงรักภักดีกับอาลีและเชื้อสายของเขาหลังจากเขาเพราะแทจริงพวกเขาเหลาน้ันจะ ไมทาํ ใหพ วกเจาออกจากประตูแหงทางนาํ และไมท าํ ใหพ วกเจาเขา ประตแู หง ความหลง”(226) (225) เราไดกลาวถึงฮาดีษน้ีไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 10 เชนกัน โปรดพิจารณาดูหมาย เหตุของฮาดษี นท้ี น่ี นั่ ได 26. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทา น) ไดกลา วอกี วา “โอ อัมมารเอย เมื่อเจาเห็นอาลีดําเนินการในกิจการ หนึ่ง ๆ สวนประชาชนทั้งหลายเขาไดดําเนินการไปในทางอื่นที่แตกตางไปก็ขอใหเจาดําเนินการ ในทางเดียวกับอาลี และหลีกเล่ียงจากทางเดินของประชาชนเหลาน้ัน เพราะวาเขาจะไมทําใหเจา พลาดไปสคู วามหลงผิดและจะไมทําใหเ จา ออกนอกทางนํา”(227) 27. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวในฮาดีษท่ีรายงานโดยทานอาบูบักรฺวา “มือของฉันและ มือของอาลีนั้นตา งอยใู นความยตุ ธิ รรมท่เี ทาเทยี มกัน”(228) 28. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “โอฟาฏิมะฮฺเอยเจาจะภูมิใจไหมหนอตอการ ท่ีอัลลอฮฺ ผูทรงสูงสุด ไดทรงสําแดงบุรุษสองคนที่ประเสริฐย่ิงใหแกชาวโลกทั้งผองปรากฏขึ้นมา คนหน่งึ นน้ั คอื บิดาของเจา สว นอกี คนน้ันคือสามขี องเจา ”(229) 29. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “ฉันคือผูตักเตือนสวนอาลีคือผูนําทาง กับเจาน่ี แหละอาลเี อยท่ีผรู บั ทางนําทงั้ หลายไดเจริญรอยสบื ไปหลังจากฉัน”(230) (226) โปรดดหู มายเหตุของฮาดีษนีท้ เี่ ราไดอางไวแลว ใน อัล-มุรอญอิ ะฮทฺ ่ี 10 (227) บันทึกโดยอัต-ตัยละมีย จากรายงานของอัมมารและอาบูอัยยูบ ในหนา 156 ุซอฺที่ 6 หนงั สอื “กันซ” (228) นค่ี อื ฮาดษี ท่ี 2539 หนา 153 ุซอฺที่ 6 หนงั สอื “กันซ”

(229) รายงานโดยทานฮากิม ในหนา 129 จาก ุซอฺท่ี 3 ในหนังสือ “ศอฮ้ีฮฺ อัลมุสตัดร็อก” นักปราชญฝายซุนนะฮฺเปนจํานวนมากท่ีไดทําการบันทึกฮาดีษบทน้ีโดยกลาววา “เปนฮา ดีษท่มี ีสายสืบศอฮีฮ้ ฺ” 30. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “โออาลีเอยไมเปนท่ีอนุมัติแกผูใดท่ีเขามีสภาพ “ู นบุ ” ในมสั ญดิ นอกจากฉนั กบั เจา ”(231) และทํานองเดียวกันนี้ทาน ฏ็อบรอนียก็ยังไดบันทึกฮาดีษท่ีมาจากรายงานของทานหญิงอุม มุซะละมะฮฺ ทานบัซซาร จากรายงานของทานสะอัด อันเปนรายงานที่มาจากทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ขุ แดท า นและแดบ รรดาลกู หลานของ ทาน) ไดก ลา วอีกวา “ไมเปนทอี่ นมุ ัตแิ ดผูใดที่จะอยใู นสภาพน้ี “นุ บุ ” ในมสั ญดิ นี้นอกจากฉันและ อาลี”(232) 31. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลกู หลานของทา น) ไดกลา ววา “ฉันและบุคคลผูนี้หมายถึงอาลีเปนขอพิสูจนที่ชัดแจง สําหรับประชาชาติของฉันในวันกียามัต” ทานคอฏีบไดรายงานฮาดีษบทน้ีไวจากสายสืบที่มาจาก ทานอานัส(233) วา “จะดวยเหตุผลใดท่ีบิดาของฮาซันเปนขอพิสูจนท่ีชัดแจง เชนเดียวกับทานนบีอีก เลา ถาหากไมเปน เพราะวา เขาคอื ผูปกครอง (วะลยี ) ในยุคสมัยของทา น และเปนผบู ญั ชาการกิจการ ตา ง ๆ ภายหลงั จากทาน 32. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ถอยคําท่ีถูกบันทึกไว ณ ประตูสวนสวรรคนั้นคือ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไมมีพระเจาอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) มุฮัมมะดุรเราะซูลุลลอฮฺ (มูฮัมมัดเปนศา สนทูตแหง อลั ลอฮฺ) อาลีอะคู รอซูลุลลอฮฺ (อาลเี ปนพน่ี องของศาสนทูตแหง อลั ลอฮ)ฺ ”(234) (230) ทา นอัต-ตยั ละมียไดบนั ทกึ จากรายงานฮาดษี ของทานอิบนุ อับบาส เปนฮาดีษที่ 2631 ในหนา157 จาก ซุ อทฺ ี่ 6 จากหนังสือ “กนั ซ” (231) โปรดพิจารณาหมายเหตุของฮาดีษบทน้ี ตามท่ีเราไดกลาวไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺ ท่ี 34 ซ่ึงทานสามารถพิสูจนไดวาในการอางอิงแตละครั้งของเรานั้นไดเสนอหลักฐานท่ี เสนอมาจากฝายซนุ นะฮดฺ วยเสมอ

(232) ทานอิบนุ ฮะญัรไดบันทึกฮาดีษบทนี้ในหนังสือ “เศาะวาอิก” โปรดพิจารณาฮาดีษที่ 13 จาก 40 ฮาดีษที่ทานบันทึกไวในบาบที่ 9 (233) เปนฮาดีษท่ี 2632 หนา 157 ซุ อฺท่ี 6 หนงั สอื “กนั ซ” 33. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดก ลาวอกี วา “ผใู ดประสงคท ่ีจะมองเห็นความตั้งใจอยางแนวแน ของศาสดานูห และประสงคที่จะมองเห็นความหยั่งรูของศาสดาอาดัม และความเฉลียวฉลาดของ ศาสดาอิบรอฮีม และความมีปญญาของศาสดามูซา และความมักนอยของศาสดาอีซาแลว เขาก็จง มองดูอาลี บิน อาบีฏอลิบ” รายงานโดยทานบัยฮะกียในหนังสือ “ศอฮ้ีฮฺ” ของทาน และทานอิมาม อะหมฺ ัด บนิ ฮันบลั ในหนังสอื “มุสนดั ” ของทา น” (235) 34. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลกู หลานของทาน) ไดก ลาววา “ขอ ความทีถ่ ูกบนั ทึกไว ณ เบ้ืองบัลลังก (ของอัลลอฮฺ) น้ันคือ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไมมีพระเจาอ่ืนใดนอกจากอัลลอฮฺ) มุฮัมมะดุรเราะซูลุลลอฮฺ (มุฮัมมัด เปนศาสนทูตของอัลลอฮฺ) ฉันไดยืนหยัดตามถอยคําน้ีโดยอาลี และฉันไดรับการอุปถัมภโดยอาลี” (236) (234) ทานฏ็อบรอนียบันทึกไวในหนังสือ “อัล-เอาซัฏ” ทานคอฏีบบันทึกไวในหนังสือ “อัล-มุตตาฟก วัล-มุฟตะร็อก” มีปรากฏอยูในตอนแรกของหนา 159 ุซอฺท่ี 6 หนังสือ “กันซ” โปรดดูอัล-มุรอญิอะฮฺที่ 34 ซ่ึงหมายเหตุของฮาดีษน้ีเปนประโยชนสําหรับผู ทําการคนควาศึกษา (235) ทานอิบนุ อาบู ฮะดีดไดอางจากบุคคลท้ังสอง ไปบันทึกไวในหัวขอที่ 4 จากหัวขอ เรือ่ งตาง ๆ ทีท่ า นไดอ ธบิ ายไวใ นหนา 449 ุซอฺท่ี 2 ของหนังสือ “ชะเราะฮฺ นะฮฺุล-บะลา เฆาะฮฺ” ทานอิมามรอซียไดอธิบายไวในการใหความหมายโองการ อัล-มุบาฮิละฮฺ ใน หนังสือ “ตัฟสีร อัล-กะบีร” หนา 288 ุซอฺท่ี 2 หนังสือ “อิรซาลุล-มุสลิมาต” ไดทําการ รวบรวมฮาดีษบทนี้ไวโดยสํานวนที่ตรงกันและทั้งสํานวนที่แตกตางกัน ฮาดีษบทนี้ยังได บันทกึ โดยทา นอิบนบุ ัฏเฏาะ จากรายงานฮาดีษของทานอิบนุ อับบาส ตามท่ีมีปรากฏอยูใน หนา 34 หนังสือ “ฟตฮุล-มุลกุล-อาลี” โดยสายสืบฮาดีษท่ีศอฮ้ีฮฺ ในบาบท่ีวาดวยนครแหง ความรูของอาลีโดยอิมามอะหฺมัด บิน ศอดิก อัล-ฮุซนีย ชาวมอร็อกโคที่มาพํานักอยูในกรุง ไคโร และผูท่ีใหการยอมรับวาทานอาลี คือผูท่ีมีคุณสมบัติตาง ๆ ของบรรดานบีทั้งหลาย

น้ันก็คอื ทา นมะฮฺยดุ ดีน บนิ อรั บีย ซงึ่ ทานอาริฟ ชะอรฺ อนียฺ ไดอางถอยคําของเขาบันทึกไว ในหมวดที่ 32 หนงั สือ “อัล-ยวุ ากตี วัล-ญะวาฮิร” หนา 172 35. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “โออาลีเอย แทจริงอุปมาเร่ืองของเจากับเร่ืองของ ศาสดาอีซานั้น มีเหมือนกันอยูประการหนึ่ง คือ พวกยะฮูดีโกรธเกลียดเขานับต้ังแตเขาอยูในครรภ มารดา แตพวก นะศอรอนี (คริสเตียน) รักเขา จนกระทั่งเสนอตําแหนงใหแกเขาท้ัง ๆ ที่ตําแหนง นั้นมใิ ชเปน ของเขา (ตําแหนงบุตรพระเจา )”(237) 36. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “บุคคลสามคนท่ีไดรับสิทธิพิเศษลํ้าหนานั่นคือ ผูที่มี ความศรัทธากอนใครอ่ืนในสมัยศาสดามูซา นั่นคือ ยูชะฮฺ บิน นูน ผูท่ีศรัทธากอนใครอ่ืนตอศาสดา อีซา นน่ั คอื ศอฮบิ ยาซีน สว นผูท ศี่ รัทธากอ นใครอื่นของมฮู ัมมดั น้นั คือ อาลี บิน อาบีฏอลิบ”(238) 37. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “บรรดาผูซ่ือสัตยน้ันมีสามพวก อันไดแก ฮะบีบ อัน- นัจญาร ผูศรัทธาตออาลิยาซีน ผูซ่ึงไดกลาววา “โอประชาชนของฉัน จงปฏิบัติตามบรรดาศาสนทูต เถิด” และฮิซกีล ผูศรัทธาตออาลฟรอูนผูซ่ึงไดกลาววา “พวกทานจะฆาคนท่ีเขากลาววา อัลลอฮฺ คือ พระผูอภิบาลกระนั้นหรือ ?” และอาลี บิน อาบีฏอลิบ ผูซึ่งมีเกียรติยศดีเดนเหนือพวกเขาเหลาน้ัน” (239) (236) ทาน ฏ็อบรอนีย ไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในหนังสือ “อัล-กะบีร” ทานอิบนุอะซากิร ได บนั ทึกไวเชน เดยี วกันตามทีม่ ีปรากฏอยูในหนา 158 ุซอทฺ ี่ 6 หนงั สือ “กนั ซ” (237) ทานฮากบิ ไดบันทกึ ไวในหนา 122 จาก ซุ อทฺ ี่ 3 หนงั สือ “มุสตัดรอ็ ก” (238) ทานฏ็อบรอนีย และทานอิบนุ มัรดุวียะฮฺ ไดบันทึกฮาดีษบทนี้จากรายงานของ ทา นอิบนุ อบั บาส ทา นอตั -ตัยละมยี ไ ดบ ันทึกฮาดษี บทนี้จากรายงานของทานหญิงอาอีซะฮฺ ซึ่งเปน ฮาดษี ทีถ่ กู บนั ทึกไวใ นตําราของฝา ยซนุ นะฮอฺ ยา งเตม็ ท่ี 38. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกทานอาลีวา “แทจริงประชาชาติของฉันจะมีคนทรยศ ตอเจาภายหลังจากฉัน และเจาไดดํารงชีวิตอยูตามศาสนาของฉัน (อิสลาม) และเจาจะถูกสังหารลง เพราะมั่นคงอยูตามแบบฉบับแหงชีวิตของฉัน ฉะน้ันผูใดที่รักเจาก็เทากับรักฉัน และผูใดโกรธ

เกลียดเจาก็เทากับโกรธเกลียดฉัน และจากตรงน้ีไปถึงตรงน้ี (ทานไดชี้ตั้งแตเคราไปถึงศีรษะของ ทา นอาลี) จะหลง่ั ไหลไปดว ยเลอื ด”(240) และทานอาลีเองก็ไดกลาววา “จากส่ิงท่ีทานนบีไดสัญญาไวกับฉันนั้นก็คือวา ประชาชาติ ภายหลังจากทานจะทําการทรยศตอฉัน”(241) จากรายงานของทานอิบนุ อับบาสไดกลาววา “ทานศา สนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทา น) ไดก ลา วแกท านอาลีวา “ภายหลงั จากฉันแลวประชาชาตทิ ้งั หลายจะเปล่ียนแปลง แทจริงเจาจะไดพบกับการตอสูที่รุนแรง” ทานอาลีกลาววา “ในอิสลามอันเปนศาสนาของฉันใช ไหม ?” ทานศาสนทูตตอบวา “ใชแลว ในอิสลามอันเปน ศาสนาของเจา” (239) ทานอาบู นะอีม และทานอิบนุ อะซากิรไดบันทึกฮาดีษบทนี้มาจากรายงานของ อาบูลัยลา เปนฮาดีษมัรฟูอฺ ทานอิบนุนัจญารไดบันทึกฮาดีษบทนี้จากทานอิบนุ อับบาส เปนฮาดีษ มัรฟูอฺ โปรดพิจารณาฮาดีษที่ 30 และ 31 จาก 40 ฮาดีษ ซ่ึงทานอิบนุ ฮะญัรได บันทึกไวในตอนที่ 2 ของ บาบที่ 9 หนังสือ “เศาะวาอิก” ตอนทายของหนา 74 และหนา ถดั ไป (240) ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนา 147 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” โดย ระบุวาเปนฮาดีษศอฮี้ฮฺ ทานซะฮะบียก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ตัดคีศ” โดยจํากัด ความหมายของฮาดีษนว้ี า “เปนฮาดีษศอฮฮ้ี ”ฺ (241) ฮาดีษน้ีและฮาดีษท่ีถัดไปน้ีเปนรายงานฮาดีษของทานอิบนุ อับบาส ซึ่งทั้งสองฮาดีษ ทานฮากิมไดบันทึกไว ในหนา 140 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” ทานซะฮะบียก็ได บันทึกท้ังสองฮาดีษไวในหนังสือ “ตัดคีศ” โดยที่บุคคลทั้งสองไดกลาวยืนยันวาฮาดีษทั้ง สองนีศ้ อฮีฮ้ ฺ ตรงตามเง่ือนไขของผูอาวุโสท้งั สองทาน 39. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “แทจริงในหมูพวกเจาท้ังหลายน้ีจะมีผูที่ถูกสังหารใน ขณะที่กําลงั อานคัมภีรอัล-กุรอาน ซ่ึงเปนเสมือนกับการถูกสังหาร ณ สถานที่ซ่ึงเปนแหลงประทาน คมั ภีรลงมา” ดังนั้นถอยคําดังกลาวจึงเปนท่ีสนใจเปนพิเศษของบรรดากลุมสาวกท้ังหลาย ซึ่งในบุคคล กลุมนั้นมีทานอาบูบักรฺและทานอุมัรรวมอยูดวย ทานอาบูบักรฺไดกลาวข้ึนวา “ฉันไดเปนบุคคลคน

นั้นใชหรือไม ?” ทานศาสดาตอบวา “ไม” ทานอุมัร ถามวา “ฉันเปนบุคคลผูนั้นใชหรือไม ?” ทาน ศาสดาตอบวา “ไม! แตทวาเปน ผทู ่ีปะซอมรองเทา อยูน ไ่ี ง” (หมายถึงทานอาล)ี ทา นอาบู สะอีด อลั -คดุ รียไ ดก ลา ววา “ดังนัน้ พวกเราจึงไดเ ขาไปหาเขาแลวแสดงความยินดี ตอเขา โดยที่เขามิไดยกศีรษะของเขาข้ึนเลยเสมือนหน่ึงวา เขาไดฟงเรื่องน้ีจากทานศาสนทูต แหง อัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสขุ แดท านและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน)(242) มากอ นแลว” และในทํานองเดยี วกนั นก้ี ็ยงั มรี ายงานฮาดษี ของทา นอาบู อยั ยบู อัล-อนั ศอรีย ท่ีกลาวแกคอ ลีฟะฮฺอุมัร โดยท่ีทานไดกลาววา(243) “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดออกคําสั่งใหทานอาลีทําการตอสู และสังหารผรู ุกรานตอ บรรดามุสลิมและบรรดาคนทรยศ” (242) ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทนี้ไวในหนา 122 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” และ ไดกลาววา “ฮาดีษน้ีศอฮี้ฮฺตรงตามเง่ือนไขของผูอาวุโสทั้งสอง แตทานท้ังสองมิไดบันทึก ไว ทานซะฮะบียก็ไดระบุวา ฮาดีษน้ีศอฮ้ีฮฺตรงตามเงื่อนไขของผูอาวุโสท้ังสอง และดวย เหตุนี้ทานจึงไดบันทึกไวในหนังสือตัลคีศทานอิมามอะหฺมัดไดบันทึกฮาดีษบทน้ีจาก รายงานของอาบู ดาอีด ในหนา 82 และในหนา 33 จาก ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสนัด” ของ ทาน ทานบัยฮะกียไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนังสือ “ชุอฺบุล-อีมาน” ทาน สะอีด บิน มนั ศรู ไดบนั ทึกไวในหนังสือ “สุนนั ” ของทา น ทานอาบูนะอีมไดบันทึกไวในหนังสือ “ฮุล ลียะฮฺ” และทานอาบู ยะอลาก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “สุนัน” เปนฮาดีษที่ 2585 มีปรากฏ อยูใ นหนา 155 ซุ อทฺ ี่ 6 หนงั สือ “กันซ” (243) เปนฮาดีษท่ีทานฮากิมไดบันทึกมาจากสองกระแสรายงานในหนา 139 และหนา ถดั ไปจากซุ อฺที่ 3 หนังสือ “มสุ ตัดร็อก” ฮาดีษทํานองเดียวกันนี้ทานอัมมาร บิน ยาซิรก็ไดกลาวอีกวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ได กลาววา “โออาลีเอย กลุมบุคคลผูละเมิดกลุมหน่ึง จะทําการสังหารเจา โดยท่ีเจาน้ันอยูบนหลักสัจ ธรรม ฉะนั้นผูใดทเ่ี ขามไิ ดชวยเหลอื เจาในวนั นน้ั เขากม็ ใิ ชพวกของฉัน”(244) ทานอาบูซัรก็ไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ดวย

พระนามของผูซึ่งชีวิตของฉันอยูในพระหัตถของพระองค ในหมูพวกเจาน้ีจะมีบุรุษหน่ึงท่ี ประชาชนในยคุ หลังจากฉันจะสังหารเขา ขณะท่ีเขายึดมั่นอยูกับอัล-กุรอาน เสมือนกับท่ีฉันไดสูรบ ตอบรรดาผตู ง้ั ภาคโี ดยมีตําแหนง เชนเดียวกนั ”(245) และยังมีรายงานฮาดีษของทานมุฮัมมัด บิน อุบัยดิลลาฮฺ บิน อาบู รอฟอฺ ไดกลาววา “เปน รายงานจากบิดาและปูของทานท่ีช่ืออาบู รอฟอฺเลาวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดกลาววา “โอ อา บูรอฟอฺเอย ประชาชนกลุมหนึ่งภายหลังจากฉันนี้จะสังหารอาลี ฉะน้ันเปนกฎแหงอัลลอฮฺท่ีจะตอง ตอสูพวกเขา ฉะน้ันผูใดท่ีไมสามารถตอสูกับพวกเขาดวยมือได ดังนั้นก็ใหตอสูดวยลิ้นของเขา สวนผใู ดที่ไมส ามารถตอสูดว ยลน้ิ ไดก ใ็ หเ ขาตอ สดู วยหวั ใจ”(246) (244) เปนฮะดีษที่ทานอิบนุ อะซากิรไดบ ันทึกไว และเปนฮาดีษท่ี 2588 หนา 155 ุซอฺท่ี 6 หนงั สอื “กันซ” (245) เปนฮาดีษที่ทานอัด-ดัยละมียไดบันทึกไว ทํานองเดียวกันนี้ก็มีอยูในตอนทายของ หนา 155 จากซุ อทฺ ่ี 6 หนงั สือ “กนั ซ” (246) ทานฏ็อบรอนียไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนังสือ “อัล-กะบีร” เชนเดียวกันที่มี ปรากฏอยูใ นหนา 155 จากุซอฺท่ี 6 หนงั สือ “กันซ” ยังมรี ายงานฮาดีษทีเ่ ลา โดยทานอัล-อคั ฎ็อร อลั -อันศอรยี  กลา ววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอ ฮฺไดกลาววา “ฉันถูกตอตาน ถูกทํารายในฐานะเปนท่ีถูกประทานมาของคัมภีรอัล-กุรอาน สวนอาลี ถกู สังหารในฐานะทสี่ าธยายคมั ภรี นั้น”(247) 40. ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบ รรดาลูกหลานของทา น) ไดกลาววา “โออาลีเอย ฉันลํ้าหนาเจาดวยตําแหนงของนบี เพราะ ไมม ีนบีภายหลงั จากฉนั อีกแลว แตเจาลํา้ หนา มนษุ ยท ั้งหลายเจ็ดประการ กลา วคือ เจา เปนบคุ คลแรกในหมพู วกเขาทีม่ ีความศรัทธาตออลั ลอฮฺ เจา เปน ผทู าํ หนา ทท่ี ่ีมตี ออลั ลอฮฺไดสมบรู ณท ี่สุดในหมพู วกเขา เจาเปนหลกั ยึดเหนีย่ วใหพ วกเขาเหลานัน้ ดํารงไวซ่งึ คําสัง่ ของอลั ลอฮฺ เจาเปนผูเ ท่ยี งธรรมทสี่ ุดในหมพู วกเขาในดา นการรักษาหนาท่ี เจาเปนผูมีเกียรติยศท่สี ดุ ในหมูพวกเขาทอ่ี ลั ลอฮทฺ รงเลือกสรร เจาเปน ผูจําแนกทีด่ ที ส่ี ุดในดา นของการจาํ แนกช่ัวดี เจา เปน ผมู ีดุลยพินิจทด่ี ที ี่สุดในการตดั สนิ ใจในหมูพ วกเขา”(248)

รายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งของทานอาบู สะอีด อัล-คุดรียไดกลาววาทานศาสนทูตแหงอัลลอ ฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ได กลาววา “โอ อาลี เอย คุณสมบัติของเจานั้นมีพิเศษอยูเจ็ดประการ ที่ไมมีใครบรรลุถึงคุณสมบัตินั้น ของเจา ได กลาวคอื (247) เขาคือบุตรของอาบู อัคฎ็อร ตามท่ีทานอิบนุ ซุกน ไดกลาวไว ฮาดีษบทน้ีไดรับ รายงานมาจากทานโดยสายสืบของ ฮาริษ บิน ฮะศีเราะฮฺ จากทานญาบีร อัล-ุอฺฟย จากอิ มาม บาฮิร จากบิดาของทาน “ซัยนุล อาบีดีน” ท่ีไดรับรายงานจากทานอัคฎ็อรซึ่งไดรับฟง มาจากทานนบี ทานอิบนุ ซุกนไดกลาววา “บุคคลผูนี้เปนซอฮาบะฮฺ ท่ีไมคอยปรากฏ ชื่อเสียงนัก รายงานของเขามักจะถูกตั้งขอสังเกตทานอัสก็อลลานียก็ไดอางไวอยางนี้ ใน หนงั สอื อศิ อบะฮฺ ทานดาเราะกตุ นยี ไดบนั ทกึ ฮาดษี น้ีไวในหนงั สือ “อฟิ รอด” (248) ทานอาบู นะอีม ไดบันทึกฮาดีษนี้จากรายงานของทานมุอาซ และไดบันทึกฮาดีษถัด มา นั่นคือฮาดีษท่ีรายงานโดยทานอาบู สะอีดดวย ในหนังสือ “ฮุลลียะตุลเอาลิยาอฺ และฮา ดษี ท้งั สองนมี้ ีปรากฏอยใู นหนา 156 จาก ซุ อฺท่ี 6 หนังสือ “กนั ซ” เจาเปน บคุ คลแรกของบรรดาผูศรัทธาท่ศี รทั ธาตอ อัลลอฮฺ เจาคือผูท ําหนาที่ตออัลลอฮฺไดอ ยา งสมบรู ณท สี่ ดุ เจาคือผทู าํ หนาทด่ี าํ รงรกั ษาคาํ ส่งั ตาง ๆ ของอัลลอฮฺไดด ีทสี่ ุด และเปน ผทู ําหนาท่รี ับผดิ ชอบไดดีทส่ี ุด และเปน ผูท่ีมีความรอบรูในการตดั สินใจไดด ที ีส่ ดุ และเปนผูที่มีเกยี รตยิ ศเปน พเิ ศษอยางดที ี่สุด” ยังมอี ีกมากมาย ซ่งึ เนื้อท่ีมีไมกวางพอท่ีจะบันทึกฮาดีษเหลานี้ ซึ่งบรรดานักปราชญฝายซุน นะฮฺไดเอื้อเฟอเก็บรักษารวบรวมทุกสิ่งทุกอยางไวใหเปนหลักฐานซึ่งแสดงใหเห็นถึงความหมาย อันหนึง่ นั่นคือทานอาลี เปนบุรุษหมายเลขสองรองลงมาจากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันตสิ ุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ในประชาชาติ น้ีและโดยท่ีฐานะอันนั้นที่ถัดจากทานนบีเปนฐานะของทาน และน่ันคือความหมายตามนัยแหง บรรดาฮาดีษท่ีรายงานมาจากสายสืบท่ีสอดคลองตรงกันของฝายซุนนะฮฺ เพราะถาหากวาไมมี ประโยคฮาดษี ทีส่ อดคลอ งตรงกันแลว ทา นกจ็ ะยบั ยั้งไมยอมรับหลกั ฐานอนั ชดั แจงตา ง ๆ เหลานไ้ี ด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook