Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Published by Peewara Phalee, 2021-09-14 07:07:04

Description: แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Search

Read the Text Version

แบบฝึกหัด 2.5 ธาตแุ ทรนซิชนั 1. จงอธบิ ายความหมายของธาตุแทรนซชิ นั ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ธาตแุ ทรนซิชนั แบ่งออกเปน็ กี่หมู่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ธาตแุ ทรนซชิ ันมคี ณุ สมบตั อิ ยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. จงเขยี นการจดั เรยี งอเิ ล็กตรอนของไอออนตอ่ ไปน้ี 4.1 Cr2+………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.2 Cr3+……………………………………………………………………………………………………………………………….. 4.3 Cu+………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.4 Cu2+ ……………………………………………………………………………………………………………………………… 4.5 Fe2+ ……………………………………………………………………………………………………………………………… 4.6 Fe3+………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ธาตุ A B และ C มีเลขอะตอม 40 50 และ 60 ตามลำดบั ธาตุใดเป็นธาตุหมู่หลักและธาตุใดเป็นธาตุแทรน ซิชัน ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 6. จงเขียนแผนภาพเวนนเ์ ปรยี บเทียบสมบัตทิ ี่เหมอื นและท่ีแตกต่างของโลหะหมู่หลักและโลหะแทรนซิชนั โลหะหมู่หลัก โลหะแทรนซซิ ัน

เฉลย แบบฝกึ หดั 2.5 ธาตแุ ทรนซิชัน 1. จงอธิบายความหมายของธาตแุ ทรนซชิ นั ธาตแุ ทรนซิชนั คอื กลมุ่ ธาตุซึ่งอยู่ระหวา่ งหมู่ IIA และหมู่ IIIA หรอื ธาตทุ อี่ ย่ใู นเขต d-block และเขต f -block 2. ธาตแุ ทรนซชิ นั แบง่ ออกเป็นกหี่ มู่ แบง่ เป็น 8 หมู่ คอื หมูท่ ่ี IB ถงึ VIIIB สำหรับหมู่ VIIIB มี 3 แถวในแนวดิง่ ทำใหธ้ าตุแทรนซิชนั มี ท้ังหมด 10 แถวในแนวดงิ่ 3. ธาตุแทรนซชิ นั มคี ณุ สมบตั ิอยา่ งไร มีสถานะเปน็ ของแข็งทอ่ี ณุ หภูมิหอ้ ง ยกเว้นปรอทเป็นของเหลว มีจดุ หลอมเหลว จุดเดือด และความ หนาแน่นสงู นำไฟฟา้ ได้ดี ซ่งึ ในโลหะแทรนซชิ นั ธาตทุ น่ี ำไฟฟา้ ได้ดีทส่ี ดุ คอื เงิน และรองลงมา คอื ทอง นำ ความรอ้ นได้ดี สารประกอบของธาตแุ ทรนซิชนั สว่ นใหญจ่ ะมีสี 4. จงเขียนการจดั เรยี งอิเลก็ ตรอนของไอออนต่อไปน้ี 4.1 Cr2+ มกี ารจัดเรียงอเิ ล็กตรอนดังน้ี [Ar] 4s0 3d4 4.2 Cr3+ มกี ารจัดเรยี งอิเล็กตรอนดงั นี้ [Ar] 4s0 3d3 4.3 Cu+ มีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนดงั นี้ [Ar] 4s0 3d10 4.4 Cu2+ มีการจดั เรยี งอิเล็กตรอนดังนี้ [Ar] 4s0 3d9 4.5 Fe2+ มกี ารจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนดงั น้ี [Ar] 4s0 3d6 4.6 Fe3+ มกี ารจดั เรียงอเิ ล็กตรอนดงั นี้ [Ar] 4s0 3d5 5. ธาตุ A B และ C มเี ลขอะตอม 40 50 และ 60 ตามลำดับ ธาตใุ ดเป็นธาตุหมู่หลักและธาตใุ ดเป็นธาตุแทรน ซิชนั A มกี ารจดั เรียงอเิ ล็กตรอนดงั น้ี [Kr] 5s2 4d2 B มกี ารจัดเรียงอิเลก็ ตรอนดงั นี้ [Kr] 5s2 4d10 5p2 C มกี ารจดั เรยี งอิเล็กตรอนดังน้ี [Xe] 6s2 4f4 จะเห็นว่า ธาตุ A และ C บรรจุอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายที่ออร์บิทัล d และ f จึงเป็น ธาตแุ ทรนซิชัน สว่ นธาตุ B บรรจุอเิ ล็กตรอนตัวสดุ ทา้ ยท่ีออร์บทิ ัล p จึงเปน็ ธาตุหม่หู ลัก 6. จงเขียนแผนภาพเวนนเ์ ปรยี บเทยี บสมบัตทิ ่ีเหมือนและที่แตกต่างของโลหะหม่หู ลักและโลหะแทรน ซชิ นั โลหะหม่หู ลกั โลหะแทรนซซิ นั - ขนาดอะตอมในคาบเดียวกนั มี - มีค่า IE1 - ขนาดอะตอมในคาบเดยี วกนั และ EN ต่ำ ใกล้เคยี งกัน - ขนาดตา่ งกัน - สารประกอบส่วนใหญ่มีสี - - พลงั งานสงู สุดของ สารประกอบสว่ นใหญม่ ีสขี า - เปน็ โลหะ อเิ ลก็ ตรอนท่ีบรรจสุ ่วนใหญ่ พลงั งานสงู สุดของอิเลก็ ตรอนที่ อยใู่ น d-orbital บรรจสุ ว่ นใหญ่อยใู่ น s-orbital



บันทึกหลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหดั 2.5 ธาตุแทรนซิชนั พบว่านกั เรียนส่วนใหญ่สามารถเปรยี บเทยี บสมบัตบิ างประการ ของโลหะเรพรีเซนเททีฟหรือโลหะหมู่หลกั และโลหะแทรนซิชนั ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งร้อยละ 60 ขึน้ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่านกั เรียนสว่ นใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การทดลอง และการตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป) ในระดบั ดีขนึ้ ไป ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑใ์ นระดับดขี น้ึ ไป ปญั หา/อุปสรรค ดา้ นความรู้ นกั เรียนบางสว่ นยงั ไม่สามารถเปรยี บเทียบสมบัติบางประการของโลหะเรพรีเซนเททฟี หรอื โลหะหมู่ หลกั และโลหะแทรนซชิ ันได้ ไม่ไดใ้ ช้ใบกจิ กรรม 2.3 การทดลองการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมกี ับนำ้ ในการประเมนิ แต่ ใช้การดูวดิ ทิ ัศนแ์ ละอภปิ รายรว่ มกันในชน้ั เรยี น เนอ่ื งจากความไมส่ ะดวกจากสถานการณ์โควดิ -19 ด้านทกั ษะกระบวนการ นักเรียนบางสว่ นยังมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) ตำ่ กว่าระดับดี และไมไ่ ดป้ ระเมนิ ทกั ษะการทดลอง เนื่องจากความไมส่ ะดวกจากสถานการณ์โควดิ -19 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนบางส่วน (23.81%) มคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรียน ตำ่ กว่าระดบั ดี (โดยพบว่ามีนักเรียนคน เดมิ 2 คนไม่สามารถตดิ ตอ่ ไดเ้ ลย) แนวทางแกไ้ ข อธิบายการทดลองจากวดิ ีทศั นอ์ ยา่ งละเอียด พร้อมแทรกทกั ษะการทดลองให้นกั เรยี นเทา่ ที่ทำได้ใน สถานการณ์ปัจจบุ ัน ลงชื่อ .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 13 รหัสวิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ เรอื่ ง การสลายตัวของธาตุกมั มนั ตรังสี ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายสมบตั ิและคำนวณครง่ึ ชวี ติ ของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลิเมอร์ รวมทงั้ การนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคญั ธาตุแตล่ ะชนิดมีไอโซโทป ซึง่ ในธรรมชาตบิ างธาตุมีไอโซโทปทแี่ ผ่รงั สีได้ เนอ่ื งจากนิวเคลียส ไมเ่ สถยี ร เรียกว่า ไอโซโทปกมั มันตรังสี สำหรบั ธาตุกัมมนั ตรังสเี ป็นธาตุท่ที ุกไอโซโทปสามารถแผ่รังสี ไดร้ งั สีท่เี กิดขึน้ เชน่ รังสแี อลฟา รงั สบี ีตา รังสีแกมมา ซ่งึ รังสดี งั กล่าวมีสมบัตทิ ีแ่ ตกตา่ งกนั 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ อธบิ ายสมบัติของไอโซโทปกมั มันตรงั สี และรังสีแอลฟา รงั สีบตี า และรังสแี กมมา ด้านทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ ) ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - การค้นพบธาตุกัมมนั ตรงั สี - ความหมายของกัมมนั ตรังสี (radioactivity) ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี (radioactive element) และไอโซโทปกมั มนั ตรังสี (radioactive isotope) หรือสารกัมตรงั สี (radioactive isotope) - สมบัติของและรงั สีแอลฟา รงั สบี ตี า และรงั สแี กมมา - การเกิดกมั มันตรังสี - การสลายตวั ของไอโซโทปกัมมันตรงั สี 6. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น 6.1 ความสามารถในการสื่อสาร (รู้ เข้าใจ การพดู คุย ร่วมสนทนา รับฟงั ความเหน็ ของผูอ้ น่ื ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สรา้ งองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเหน็ กบั ผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา (นำเสนอแนวความคดิ เหน็ ในการแกป้ ญั หา คิดวธิ แี ก้ปัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (การทำงานร่วมกบั ผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมคี วามสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศกึ ษา ค้นคว้าเพม่ิ เตมิ )

7. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มีวนิ ัย 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 มุ่งม่ันในการทำงาน 8. ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (20 นาท)ี ครใู หด้ ูคลิปวดี ิโอตัวอย่างเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ จากอินเตอร์เนต็ ท่เี กย่ี วข้องกับประโยชน์และโทษ ของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี ดังน้ี คนเก็บของเกา่ (Co-60) “ย้อนรอยเหตรุ ะทึกจากกัมมนั ตรงั สี | 12-05- 59 | ไทยรฐั เจาะประเดน็ | Thairath TV” และโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ “5 อนั ดับ เมืองร้างที่อันตรายท่ีสุด ในโลก” จากนัน้ ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มเล่าเรอ่ื งราวทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับเหตุการณ์ พร้อมอธิบายว่าเหตุการณ์ ดงั กล่าวเกี่ยวข้องกับสมบตั ิใดของธาตุ (แนวคำตอบ : เกีย่ วข้องกบั สมบตั ิการแผร่ งั ส)ี ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (30 นาท)ี 1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการทดลองของเบ็กเคอเรล จากใบความรู้ 2.6.1 การสลายตวั ของธาตกุ มั มนั ตรงั สี โดยใชค้ ำถามต่อไปนี้ 1) การทดลองของเบ็กเคอเรลมวี ตั ถปุ ระสงค์อย่างไร (แนวตอบ : เพื่อศึกษาว่าสารที่กำลังเรืองแสงทุกชนิดมีการปล่อยรังสีเอกซ์ออกมาหรือไม่ โดยทดลองกับสารเรืองแสงต่างๆ หลายชนิด โดยการใชแ้ สงอาทิตย์เป็นตัวกระตนุ้ ให้เกดิ สารเรืองแสง ขน้ึ เพื่อทดสอบว่ามกี ารปลอ่ ยรังสีเอกซอ์ อกมาหรอื ไม)่ 2) เบก็ เคอเรลมีเหตผุ ลอย่างไรทสี่ รุปว่า ในการทดลองกับสารประกอบยเู รเนียมน้ัน รอยดำบนฟลิ ์มไม่ได้เกิดจากรงั สเี อกซ์ (แนวตอบ : เนื่องจากรังสีเอกซ์เกิดขน้ึ เองไมไ่ ด้ จะตอ้ งกระตุ้นดว้ ยด้วยอนภุ าค หรือรังสีบาง ชนิด แตร่ งั สีทที่ ำให้เกิดรอยดำบนฟิล์มในการทดลองกับสารประกอบยเู รเนยี มน้นั เกดิ ข้นึ เอง) 2. ครใู ห้ความรเู้ ก่ยี วกบั ความหมายของคําวา่ กัมมนั ตภาพรังสี ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สีหรือสาร กมั มนั ตรังสี และธาตกุ มั มนั ตรังสี 3. นักเรียนศึกษาข้อมูลในรูปและตาราง เพื่อสรุป ชนิดของรังสี สัญลักษณ์ และสมบัติของ รงั สี ได้แก่ แอลฟา บตี า แกมมา หรอื รังสอี ื่น ๆ รูปแสดง การแผร่ ังสีของธาตุกมั มนั ตรังสีผ่านสนามไฟฟ้า

ตารางแสดง ประจแุ ละมวลของอนภุ าคชนดิ ตา่ งๆ ทีเ่ กิดจากการแผ่รงั สี อนภุ าค สญั ลักษณ์ ชนิดของประจุ มวล(amu)* 4.00276 แอลฟา หรอื 4 He +2 2 0.000540 0 บตี า หรือ −01e -1 0.000540 แกมมา 0 1.0087 โพซิตรอน + หรือ +01e +1 1.0073 นวิ ตรอน 01n หรือ n 0 โปรตอน 11H หรือ P +1 * 1 amu = 1 atomic mass unit = 1.66 x 10-24 g. ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที) 1. ครูและนักเรียนอภปิ รายและสรุปรว่ มกนั เกีย่ วกบั ชนดิ ของรงั สี สัญลักษณ์ และสมบัตขิ อง รังสี ซ่งึ ควรไดข้ อ้ สรุป ดังนี้ รงั สแี อลฟา หรือ อนภุ าครังสแี อลฟา มสี ญั ลกั ษณน์ วิ เคลียร์เปน็ 4 He เปน็ นิวเคลียสของธาตุ 2 ฮีเลียม ซึ่งประกอบด้วย 2 โปรตอน และ 2 นิวตรอนจึงมีประจุไฟฟ้าเป็น +2 มีมวล 4.00276 amu รังสแี อลฟาอำนาจทะลทุ ะลวงต่ำ ไมส่ ามารถทะลุผ่านแผน่ กระดาษ หรือโลหะบางๆ ได้ และเนอื่ งจาก มปี ระจุบวก เมอื่ อยใู่ นสนามไฟฟ้าจึงเบี่ยงเบนไปทางข้วั ลบ เมอื่ ว่ิงผ่านอากาศอาจจะทำให้อากาศแตก ตวั เป็นไอออนได้ รังสีบีตา หรอื อนุภาคบตี า ใช้สัญลกั ษณ์เปน็ หรือ 0 e มสี มบัตเิ หมอื นอิเล็กตรอน คือ มี −1 ประจุไฟฟ้า -1 มีมวลเท่ากับ 0.000540 amu เท่ากับมวลของอิเล็กตรอน รังสีบีตามีอำนาจในการ ทะลทุ ะลวงสงู กวา่ รังสีแอลฟาประมาณ 100 เท่า มคี วามเร็วในการเคลอ่ื นท่ีใกล้เคยี งกบั แสง เนอื่ งจาก มีประจลุ บจงึ เบย่ี งเบนไปทางขวั้ บวก เมื่ออยู่ในสนามไฟฟา้ รังสีแกมมา ใช้สัญลักษณ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคล่ืนสั้นมาก คือประมาณ 0.001-1.5 pm ไมม่ ีมวลและไม่มีประจุ มอี ำนาจทะลุทะลวงสูงสดุ สามารถทะลุผา่ นสงิ่ กดี ขวางได้เป็น อยา่ งดี ดังนน้ั วตั ถทุ ่จี ะกัน้ รังสีแกมมาได้ จะตอ้ งมคี วามหนาแน่นและความหนามากพอที่จะกั้นรังสีได้ เนื่องจากไมม่ ปี ระจุไฟฟ้า จึงไม่เบ่ียงเบนในสนามไฟฟา้ 2. ครูเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนสอบถาม ว่ามีสว่ นไหนที่ยังไมเ่ ข้าใจ และให้ความร้เู พม่ิ เติมในส่วน นัน้ เกยี่ วกับชนดิ ของรงั สี สัญลกั ษณ์ และสมบตั ิของรังสี จากนั้นตั้งคำถามใหน้ ักเรยี นตอบดงั นี้ 1) เราทราบได้อย่างไรว่า อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และรังสีแกมมา มีประจุ ไฟฟา้ บวก ประจไุ ฟฟ้าลบ และไมม่ ปี ระจไุ ฟฟ้า ตามลำดบั (แนวตอบ : ทราบโดยให้รังสีผ่านสนามแม่เหล็ก แล้วสังเกตทิศการเบี่ยงเบนของอนุภาค แอลฟาและอนุภาคบีตาเป็นทิศเดียวกับการเบ่ียงเบนไปของประจุบวกและประจุลบ ตามลำดับ ส่วน รงั สแี กมมาไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหลก็ แสดงว่า ไม่มีประจุไฟฟ้า) 2) อนุภาคหรอื รังสีใดมอี ำนาจทะลผุ ่านสงู ท่ีสดุ (แนวตอบ : รงั สีแกมมา) 3) อนภุ าคหรอื รังสีใดตอ้ งใชว้ ัสดุที่มคี วามหนาแน่นมากในการก้ันรังสีชนิดน้นั

(แนวตอบ : รงั สีแกมมา) 4) อนภุ าคหรือรงั สีใดมีสมบัติเหมือนอิเลก็ ตรอน (แนวตอบ : อนภุ าคบีตา) 5) อนุภาคหรือรังสีใดมีอำนาจทะลุทะลวงต่ำ กระดาษที่หนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร กส็ ามารถก้นั รงั สนี ี้ได้ (แนวตอบ : อนภุ าคแอลฟา) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1. ครูอธิบายเกี่ยวกับการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี โดยสรุปให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลง ของนวิ เคลียสหลงั การสลายตวั ของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ซึง่ จะมกี ารแผ่รงั สแี ตล่ ะชนิด ดังน้ี - การสลายให้อนุภาคแอลฟา ซึ่งอนุภาคแอลฟา คือ นิวเคลียสของฮีเลียม มีสัญลักษณ์ ดังน้นั นิวเคลียสใหม่จงึ มีเลขมวลลดลง 4 หน่วย และเลขอะตอมลดลง 2 หน่วย ถ้าให้ X และ Y เป็น นวิ เคลียสเดมิ และนิวเคลยี สใหม่ ตามลำดับ เขยี นสมการได้ ดงั นี้ A X → ZA−−42Y + 24He Z - การสลายให้อนุภาคบตี า คือ การที่นิวเคลียสเดิมให้อเิ ล็กตรอนออกมา นิวเคลียสของธาตุ ใหม่จะมีเลขอะตอมเพ่ิมขึน้ 1 หนว่ ย เขยี นสมการได้ ดงั น้ี A X →Z +A1Y + 0 e Z −1 - ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า ในระยะต่อมา พบว่า มีอนุภาคบีตา 2 ชนิด คือ บีตาลบ หรือ อเิ ล็กตรอน กับบตี าบวก หรือโพซิตรอน ซ่ึงเป็นอนุภาคท่มี มี วลเท่ากับอิเลก็ ตรอน แต่ไม่มีประจุไฟฟ้า บวก ดงั นน้ั กรณีบีตาบวก เขียนสมการได้ ดังนี้ A X →Z −A1Y +10e Z - การสลายใหร้ งั สแี กมมา จะไม่เกดิ นวิ เคลยี สใหม่ เพราะรงั สีแกมมาเกิดจากการที่นิวเคลียส เปลี่ยนระดบั พลังงาน และโดยมากนิวเคลยี สท่ีสลายใหอ้ นุภาคแอลฟาหรือบีตาจะให้รังสีแกมมาด้วย ดงั นนั้ การแผ่รังสแี กมมาจงึ ไมท่ ำใหท้ ง้ั เลขอะตอมและเลขมวลเปลีย่ นแปลงไปเลย 226 Ra 222 Rn * + 4 He 88 86 2 222 Rn + 86 2. ครูชี้ให้นักเรียนเห็นว่าในการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีให้อนุภาคแอลฟาหรือบีตาที่ ปรากฏในธรรมชาติ เช่น การสลายของยูเรเนียม-238 หรือตะกวั่ -214 → +238U 234 U 4 He 90 2 92 Pb→ +210 210 Bi −01e 82 83 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) นกั เรยี นทำแบบฝกึ หัด 2.6.1 การสลายตัวของธาตุกัมมนั ตรังสี แลว้ ร่วมกันเฉลยคำตอบ

9. การวัดและประเมินผล/หลักฐานหรือร่องรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การวัด ด้านความรู้ อธิบายสมบัติของไอโซโทปกมั มนั ตรังสี ตรวจจากแบบฝึกหัด แบบฝึกหดั 2.6.1 ผา่ นเกณฑ์ร้อย และรังสแี อลฟา รังสีบีตา และรังสี 2.6.1 การสลายตวั ของ การสลายตวั ของ ละ 60 ขนึ้ ไป แกมมา ธาตุกมั มันตรังสี ธาตุกัมมนั ตรังสี ด้านทกั ษะกระบวนการ ผา่ นเกณฑ์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ประเมินทกั ษะ แบบประเมิน ระดับดี (การตคี วามหมายขอ้ มลู และการลง กระบวนการทาง ทักษะ ขึ้นไป ขอ้ สรุป) วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ผ่านเกณฑใ์ น ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ สงั เกตพฤตกิ รรม ระดับดขี ึ้นไป นกั เรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรยี น ระหว่างจดั การเรยี นรู้ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึง ประสงค์ 10. สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ ส่ือการเรยี นรู้ แบบฝึกหดั 2.6.1 การสลายตวั ของธาตุกัมมันตรังสี แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สือเรยี นรายวิชาเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบนั ส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ - หอ้ งสมุดโรงเรียน

แบบฝึกหัด 2.6.1 การสลายตัวของธาตุกัมมันตรงั สี 1. ให้นำตัวอกั ษรหนา้ ขอ้ ความในชุดคำตอบมาเตมิ ในชอ่ งว่างหน้าข้อความในชุดคำถาม ชุดคำถาม ชดุ คำตอบ …….. 1.1 จดุ เรม่ิ ตน้ ของคณุ สมบตั ขิ องการ A. ธาตทุ ่ีทุกไอโซโทปเปน็ ไอโซโทปกมั มันตรงั สี ส่วนใหญ่ แผร่ งั สีได้ เลขอะตอมสูงกวา่ 83 เชน่ U-238 , U-235 …….. 1.2 กัมมนั ตภาพรงั สี B. นิวเคลียสมีพลังงานสงู มากและไมเ่ สถียร จงึ ปล่อย พลังงานออกมาในรปู อนุภาคหรอื รังสี เกดิ เป็นนิวเคลียส ของธาตุใหมท่ เ่ี สถียรกวา่ …….. 1.3 สาเหตุของการเกดิ C. ไอโซโทปของธาตทุ ่ีสามารถแผ่รังสีไดเ้ องอยา่ งต่อเนื่อง กัมมันตภาพรังสี เช่น C-14 …….. 1.4 ไอโซโทปกมั มนั ตรังสีหรอื สาร D. ปรากฎการณท์ ีธ่ าตุแผร่ ังสีไดเ้ องอยา่ งต่อเน่อื ง กัมมนั ตรังสี …….. 1.5 ธาตกุ ัมตรงั สี E. , , …….. 1.6 รังสีมีกีช่ นิด อะไรบ้าง F. > > …….. 1.7 เปรียบเทยี บอำนาจทะลุทะลวง G. 3 ชนิด ไดแ้ ก่ แอลฟา( หรือ 24H) บีตา( หรอื −01e) ของรังสี แกมมา( ) …….. 1.8 รงั สีท่เี บนเขา้ หาขั้วลบ, รงั สีที่ H. อองตวน เอาแผ่นฟลิ ม์ ห่อดว้ ยกระดาษสีดำแล้ววางไว้ เบนเขา้ หาขวั้ บวก, รังสีท่ีไม่มี กบั สารยูเรเนยี ม ปรากฎว่าแผน่ ฟลิ ม์ เหมอื นถกู แสง ประจแุ ละไมม่ มี วล 2. จากรปู จงระบวุ า่ A B และ C เป็นอนุภาคหรือรงั สชี นดิ ใดทแ่ี ผ่ออกจากธาตุกมั มันตรงั สี ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

3. จงเขยี นสมการต่อไปนี้ให้สมบรู ณ์ 3.1 1247Si ………………… + +01e 3.2 6269Cu +3660Zn ………………… 3.3 1237Al + 24H +3104Si ………………… 3.4 28024Pb 28000Hg + ………………… 3.5 15229Te ………………… +

เฉลย แบบฝกึ หัด 2.6.1 การสลายตวั ของธาตุกัมมนั ตรังสี 2. ใหน้ ำตวั อกั ษรหนา้ ข้อความในชดุ คำตอบมาเตมิ ในชอ่ งว่างหน้าขอ้ ความในชดุ คำถาม ชดุ คำถาม ชดุ คำตอบ H 1.1 จดุ เริ่มต้นของคุณสมบัตขิ องการ I. ธาตุที่ทกุ ไอโซโทปเป็นไอโซโทปกัมมนั ตรังสี ส่วนใหญ่ แผร่ ังสีได้ เลขอะตอมสงู กว่า 83 เช่น U-238 , U-235 D 1.2 กมั มันตภาพรงั สี J. นวิ เคลยี สมพี ลังงานสงู มากและไมเ่ สถียร จงึ ปลอ่ ย พลังงานออกมาในรปู อนุภาคหรอื รังสี เกดิ เป็นนิวเคลียส ของธาตุใหมท่ ่เี สถียรกวา่ B 1.3 สาเหตุของการเกดิ K. ไอโซโทปของธาตทุ ีส่ ามารถแผ่รงั สไี ด้เองอย่างตอ่ เนื่อง กมั มนั ตภาพรังสี เช่น C-14 C 1.4 ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สีหรือสาร L. ปรากฎการณท์ ีธ่ าตแุ ผร่ ังสไี ด้เองอย่างตอ่ เนือ่ ง กมั มันตรังสี A 1.5 ธาตกุ ัมตรงั สี M. , , G 1.6 รังสีมีกช่ี นดิ อะไรบา้ ง N. > > F 1.7 เปรียบเทยี บอำนาจทะลุทะลวง O. 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ แอลฟา( หรือ 42H) บตี า( หรือ−01e) ของรงั สี แกมมา( ) E 1.8 รังสีทเ่ี บนเขา้ หาขว้ั ลบ, รงั สีที่ P. อองตวน เอาแผน่ ฟิล์มห่อด้วยกระดาษสดี ำแล้ววางไว้ เบนเขา้ หาขวั้ บวก, รังสที ่ีไมม่ ี กับสารยูเรเนียม ปรากฎวา่ แผ่นฟิลม์ เหมอื นถกู แสง ประจุและไม่มมี วล 2. จากรูป จงระบุว่า A B และ C เปน็ อนภุ าคหรอื รังสชี นิดใดทแ่ี ผ่ออกจากธาตกุ มั มนั ตรงั สี A คือ อนภุ าคแอลฟา (α) B คอื อนภุ าคบีตา (β) C คือ รงั สีแกมมา (γ)

3. จงเขยี นสมการตอ่ ไปนีใ้ หส้ มบูรณ์ 3.1 2147Si +2173Al +01e 3.2 6269Cu +6306Zn −01e 3.3 1273Al + 24H +3104Si 11H 3.4 28024Pb +28000Hg 24H 3.5 15229Te +15229Te



บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ด้านความรู้ จากแบบฝึกหัด 2.6.1 การสลายตวั ของธาตกุ มั มนั ตรงั สี พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่สามารถอธิบายสมบัติ ของไอโซโทปกมั มันตรงั สี และรังสแี อลฟา รังสีบตี า และรังสีแกมมาได้อยา่ งถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มลู และการลงขอ้ สรปุ ) ในระดับดขี ้ึนไป ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่มีความกระตือรือรน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ดขี ึน้ ไป ปัญหา/อุปสรรค ดา้ นความรู้ นักเรยี นบางสว่ นยังไม่สามารถอธิบายสมบตั ิของไอโซโทปกมั มันตรังสี และรงั สีแอลฟา รังสบี ีตา และ รงั สีแกมมาได้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยังมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) ตำ่ กวา่ ระดับดี ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นกั เรยี นบางสว่ น (19.01%) มีความกระตือรือร้นในการเรียน ต่ำกว่าระดับดี (โดยพบว่ามนี ักเรยี นคน เดมิ 2 คนท่ีขาดเรียนค่อนขา้ งบน และอีก 3 คนท่ีไม่สามารถเข้าเรยี นไดเ้ นื่องจากขาดความพร้อมในอปุ กรณ์ที่ ใชเ้ รยี นออนไลน์) แนวทางแก้ไข ตดิ ตามนักเรยี นกล่มุ ดังกลา่ วอยา่ งใกล้ชดิ เป็นรายบุคคล และพยายามตดิ ตอ่ เทา่ ทีจ่ ะทำได้ ลงชื่อ .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 รหสั วิชา ว30221 วิชา เคมี1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ เรื่อง คร่งึ ชีวิตของธาตุกัมมันตรงั สี ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ อธิบายสมบตั ิและคำนวณครงึ่ ชวี ิตของไอโซโทปกัมมนั ตรังสี 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมทงั้ การนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคญั นวิ เคลยี สของธาตกุ มั มนั ตรงั สีทไ่ี ม่เสถยี ร จะสลายตัวและแผ่รงั สีได้เองตลอดเวลาโดยไม่ ข้นึ อยูก่ ับอุณหภมู ิหรือความดัน อตั ราการสลายตวั จะเปน็ สดั สว่ นโดยตรงกับจำนวนอนุภาคในธาตุ กัมมนั ตรงั สนี ั้น ปรมิ าณการสลายตัวจะบอกเป็นคร่งึ ชีวิต โดยคร่งึ ชวี ิติเปน็ สมบัตเิ ฉพาะตัวของแตล่ ะ ไอโซโทป คร่งึ ชีวติ ของไอโซโทปกมั มนั ตรังสเี ปน็ ระยะเวลาทไี่ อโซโทป กัมมนั ตรังสสี ลายตวั จนเหลอื คร่ึงหนง่ึ ของปริมาณเดมิ ซึ่งเป็นคา่ คงท่เี ฉพาะของ แต่ละไอโซโทปกัมมันตรงั สี 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ คำนวณครึง่ ชวี ติ ของไอโซโทปกมั มนั ตรังสี ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การใช้จำนวน) ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนมีความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรยี นรู้ - ความหมายและการคำนวณเก่ยี วกับครงึ่ ชวี ิตของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี - ปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ - เทคโนโลยีทเ่ี กยี่ วกับการใชส้ ารกมั มนั ตรงั สแี ละอันตรายจากไอโซโทปกมั มันตรังสี - การเกิดกัมมนั ตรงั สี 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 6.1 ความสามารถในการสือ่ สาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย ร่วมสนทนา รับฟังความเหน็ ของผอู้ น่ื ) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สรา้ งองค์ความรู้ แสดงความคดิ เห็นกับผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา (นำเสนอแนวความคดิ เห็นในการแก้ปัญหา คิดวิธแี กป้ ัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (การทำงานร่วมกับผูอ้ ื่นได้อยา่ งมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศึกษา คน้ ควา้ เพม่ิ เติม)

7. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 7.1 มีวินยั 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 มุ่งม่นั ในการทำงาน 8. ข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี 1. ครใู หน้ ักเรยี นดูคลปิ วีดโิ อที่เกี่ยวขอ้ งกับประโยชน์ของไอโซโทปกัมมนั ตรังสี “การคำนวณ อายุซากไดโนเสาร์” 2. ครูทบทวนเกี่ยวกับการสลายตัวของนิวเคลียสให้อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และรังสี แกมมา โดยเน้นให้นักเรียนทราบว่า ธาตุกัมมันตรังสีสามารถเกิดการสลายตัวปลดปล่อยรังสีเองได้ ตลอดเวลา แตจ่ ะช้าหรือเรว็ แตกตา่ งกันไปตามธาตุแต่ละชนิด จากนั้นตง้ั คำถามเพอื่ นำเขา้ บทเรียนว่า นกั เคมีจะบอกปริมาณการสลายตวั ของธาตกุ มั มันตรังสดี ว้ ยค่าใด (แนวคำตอบ : คร่งึ ชีวติ (half-life) ซ่ึงเป็นปรมิ าณครง่ึ หน่งึ ของปริมาณเดิม) ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (30 นาท)ี 1. ครูให้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายและการคำนวณครึ่งชีวิต (half-life) ของไอโซโทป กัมมันตรงั สี จากใบความรู้ 2.6.2 เร่อื ง คร่งึ ชวี ติ ของธาตกุ มั มันตรังสี จากนั้นยกตัวอย่าง C-14 มีครึ่งชีวิต 5730 ปี หมายความว่า ถ้ามี C-14 1 กรัม เมื่อเวลา ผ่านไป 5730 ปี จะเหลือ C-14 อยู่ 0.5 กรมั และเมอื่ เวลาผ่านไปอกี 5730 ปี จะเหลอื อยู่ 0.25 กรัม เป็นดงั นี้ไปเรือ่ ย ๆ กล่าวไดว้ ่าทกุ ๆ 5730 ปี จะเหลือ C-14 เพยี งครึง่ หนงึ่ ของปรมิ าณเดมิ แผนภาพ 5730 ปี 11460 ปี C-14 (1 กรัม) C-14 (0.55 กรมั ) C-14 (0.25 กรัม) ดังนนั้ ธาตุ C-14 ซ่งึ มีเวลาคร่งึ ชวี ติ 5730 ปี จำนวน 1 กรัม จะใช้เวลา 11460 ปี จงึ จะเหลอื 0.25 กรัม และมสี ตู รในการคำนวณ ดังนี้ N = N0 2n เมอ่ื N0 คือ ปรมิ าณกัมมนั ตรังสเี รม่ิ ตน้ N คือ ปริมาณกมั มันตรังสีทีเ่ หลือ n คือ จำนวนครงั้ ในการสลายตวั ของคร่ึงชวี ติ และ n = T t1/2 เม่ือ T คอื เวลาทธ่ี าตุสลายตวั T1/2 คอื ครง่ึ ชวี ิตของธาตุ 2. ครูยกตัวอย่างการคำนวณโดยใช้สูตร ไอโอดีน I-131 มีครึ่งชีวิต 8 วัน จำนวน 10 กรัม เมือ่ เวลาผ่านไปก่วี นั จึงจะมีไอโอดีนเหลือ 2.5 กรัม

วิธแี ผนภาพ 8 วัน I-131 (5 กรัม) 16 วนั I-131 (2.5 กรมั ) I-131 (10 กรมั ) ดงั นนั้ ธาตุ I-131 ซึง่ มีเวลาครง่ึ ชวี ิต 8 วัน จำนวน 10 กรัม จะใชเ้ วลา 16 วัน จงึ จะเหลือ 2.5 กรมั วิธีสูตร โจทยใ์ ห้ t1/2 = 8 วนั N = 2.5 กรัม N0 = 10 กรมั โจทย์ถาม T=? จากสูตร N = N0 จากสตู ร n = T 2n 10 t1/2 แทนคา่ 2.5 = 2n แทนค่า 2 = T 2n = 4 8 n=2 T=8×2 T = 16 ดังน้นั ธาตุ I-131 ซ่ึงมเี วลาครึง่ ชวี ิต 8 วัน จำนวน 10 กรัม จะใชเ้ วลา 16 วนั จงึ จะเหลือ 2.5 กรมั 3. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีสมาชิก ที่มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน คือ เก่ง 1 คน ปานกลาง 2–3 คน และอ่อน 1 คน พร้อมทั้งเลือกประธานกลุ่ม รองประธานกลุ่ม เลขานุการกลุ่ม และสมาชิกกลมุ่ โดยสบั เปลยี่ นหน้าทใี่ นการทำกจิ กรรมกล่มุ จากน้นั ครูใหโ้ จทยน์ กั เรียนแตล่ ะกล่มุ ฝกึ คำนวณครึ่งชวี ติ ข้อ 1 : ธาตุกัมมันตรังสี A หนัก 80 กรัม เวลาผ่านไป 21 วัน ปรากฏว่ามี A เหลือ 10 กรมั จงหาคา่ ครง่ึ ชวี ิตของ A ข้อ 2 : Rn-222 จำนวน 10 ไมโครกรัม เมื่อปล่อยให้สลายตัวไป พบว่า ในเวลา 7 วัน จะ เหลอื เพียง 2.82 ไมโครกรัม จงคำนวณครึง่ ชวี ติ ของ Rn-222 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาท)ี ครูและนกั เรยี นเฉลยคำตอบ และอภิปรายรว่ มกัน แนวคำตอบข้อ 1 วิธแี ผนภาพ 7 วัน 14 วัน ธาตุ A (20 กรมั ) 21 วัน ธาตุ A (80 กรัม) ธาตุ A (40 กรัม) ธาตุ A (10 กรัม) ดังนัน้ ธาตุกัมมันตรังสี A มีคา่ ครงึ่ ชวี ติ เทา่ กับ 7 วนั วธิ สี ูตร โจทย์ให้ T = 21 วนั N = 10 กรัม N0 = 80 กรมั โจทยถ์ าม t1/2 =? จากสตู ร N = N0 จากสูตร n = T 2n t1/2 80 แทนคา่ 10 = 2n แทนคา่ 3 = 21 2n = 8 t1/2 n=3 t1/2 = 21 3 t1/2 = 7 ดงั นน้ั ธาตุกัมมนั ตรงั สี A มีค่าครงึ่ ชีวิต เทา่ กบั 7 วนั

แนวคำตอบข้อ 2 ใหค้ รึ่งชีวติ มีคา่ เท่ากบั x n= T =7 t1/2 X N = N0 2n 10 2.82 = 27/x x = 3.82 ดังนัน้ คร่ึงชวี ติ ของ Rn-222 เทา่ กบั 3.82 วนั ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาท)ี 1. ครูใหค้ วามร้เู พมิ่ เติมเกี่ยวกบั ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์ โดยครถู ามคำถาม ดงั น้ี 1) ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์หมายความว่าอย่างไร (ท้งิ ชว่ งใหน้ ักเรยี นคดิ ) (แนวตอบ : ปฏิกิริยาท่ีมีการเปลีย่ นแปลงในนิวเคลียสของอะตอมของธาตุ แล้วได้นิวเคลียส ของธาตใุ หม่เกิดขึ้น ซ่งึ จะแผ่รังสแี ละให้พลงั งานมหาศาล ปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์จะเกิดกับนิวเคลียสของ อะตอมของธาตุ โดยนิวเคลียสที่เป็นเป้าจะถกู ยิงดว้ ยอนภุ าคท่ีใชเ้ ปน็ กระสุน ซึ่งอาจจะเป็นนิวตรอน แอลฟา หรอื ไอออนหนกั ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ดจ้ ะเปน็ นวิ เคลียสของธาตใุ หม่ และจะใหพ้ ลังงานออกมาอย่าง มหาศาล) 2) ปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์มกี ช่ี นดิ (ทง้ิ ช่วงใหน้ กั เรยี นคดิ ) (แนวตอบ : ปฏิกิริยานิวเคลียร์มี 2 ชนิด คือ ปฏิกิริยาฟิชชัน (Fission reaction) และ ปฏิกิริยาฟวิ ชนั (Fusion reaction) 2. ครูแจกบัตรข้อความปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนร่วมกัน อภปิ รายลักษณะของปฏกิ ิริยานิวเคลียร์แต่ละปฏกิ ิรยิ า เปรียบเทยี บ จำแนก และบันทึกผล ตัวอย่าง ของปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี ร์ เชน่ 235 U + 01n → 15461Ba + 92 Kr + 301n +E 92 36 2 H + 21H → 3 He + 01n + 3.3 MeV 1 2 โดยครใู ช้คำถามต่อไปนี้ เพื่อเป็นการกระตุน้ ใหน้ กั เรียนไดค้ ิด 1) นกั เรยี นใช้เกณฑ์ใดในการจำแนกปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ 2) ลักษณะของปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รเ์ ป็นอย่างไร รวมตัวหรือสลายตวั 3) หลักการเกิดปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์จะมีการเปลยี่ นแปลงใดท่ีเหมือนกัน 3. นักเรียนนำข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียร์มาวิเคราะห์แล้วนำเสนอในรูปของแผนผัง ความคดิ โดยเขียนลงในกระดาษฟลปิ ชารท์ พร้อมตกแต่งใหส้ วยงาม แลว้ นำไปตดิ ท่ีผนังห้อง 4. ครใู หค้ วามรเู้ พมิ่ เติมเกีย่ วกับเทคโนโลยีที่เก่ียวกับการใช้สารกัมมนั ตรังสีและอันตรายจาก ไอโซโทปกัมมันตรงั สี ข้ันประเมนิ (Evaluation) (20 นาท)ี นกั เรียนทำแบบฝึกหัด 2.6.2 คร่ึงชีวิตของธาตุกมั มนั ตรงั สี แลว้ ร่วมกนั เฉลยคำตอบ

9. การวัดและประเมินผล/หลักฐานหรอื ร่องรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีวดั เครือ่ งมอื วัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ อธิบายสมบตั ิของไอโซโทปกมั มันตรังสี ตรวจจากแบบฝกึ หัด แบบฝึกหัด 2.6.2 ผ่านเกณฑร์ ้อย และรังสีแอลฟา รงั สบี ีตา และรังสี 2.6.2 คร่ึงชวี ิตของ ครง่ึ ชวี ติ ของธาตุ ละ 60 ขน้ึ ไป แกมมา ธาตกุ ัมมนั ตรังสี กัมมนั ตรังสี ดา้ นทกั ษะกระบวนการ ผ่านเกณฑ์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมิน ระดบั ดี (การใชจ้ ำนวน) ทกั ษะ ข้นึ ไป กระบวนการทาง กระบวนการทาง ด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์ใน นักเรยี นมีความกระตอื รอื รน้ ในการเรียน ระดับดีข้นึ ไป สงั เกตพฤติกรรม แบบประเมิน ระหว่างจดั การเรยี นรู้ คณุ ลักษณะอันพึง ประสงค์ 10. สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้ ส่อื การเรียนรู้ แบบฝกึ หดั 2.6.2 ครง่ึ ชวี ติ ของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี แหลง่ การเรียนรู้ - หนังสือเรียนรายวิชาเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร - ห้องสมุดโรงเรยี น

แบบฝกึ หดั 2.6.2 ครงึ่ ชีวติ ของธาตุกมั มนั ตรังสี 1. จงแสดงวิธีหาคำตอบต่อไปน้ี 1.1 ทง้ิ ไอโซโทปกัมมันตรังสชี นดิ หน่งึ จำนวน 20 กรมั เป็นเวลา 1 เดอื น พบว่ามีไอโซโทปเหลอื อยู่ 2.5 กรมั อยากทราบวา่ สารนม้ี ีครึ่งชีวติ เทา่ ไหร่ ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………. 1.2 จากการเกบ็ สารกัมมนั ตรงั สีชนดิ หนง่ึ ไวเ้ ป็นเวลา 270 วนั วดั มวลของสารเหลอื 15 กรมั ถา้ สารนม้ี คี รึ่ง ชีวิต 30 วัน จงหาว่าเม่ือเริม่ ตน้ มสี ารอยเู่ ท่าไหร่ ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

เฉลย แบบฝึกหดั 2.6.2 คร่ึงชวี ิตของธาตุกัมมันตรงั สี 1. จงแสดงวิธหี าคำตอบตอ่ ไปน้ี 1.1 ทง้ิ ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สีชนิดหนึง่ จำนวน 20 กรมั เป็นเวลา 1 เดอื น พบวา่ มีไอโซโทปเหลืออยู่ 2.5 กรมั อยากทราบว่าสารนี้มีคร่งึ ชีวิตเทา่ ไหร่ วิธีแผนภาพ ธาตุ X (20 กรัม) 10 วนั ธาตุ X (10 กรมั ) 20 วัน ธาตุ X (5 กรัม) 30 วนั ธาตุ X (2.5 กรมั ) ดงั น้ัน สารนีม้ คี รึ่งชวี ติ 10 วนั วธิ ีสูตร โจทยใ์ ห้ T = 30 วัน N = 2.5 กรัม N0 = 20 กรมั โจทย์ถาม t1/2 =? จากสูตร N = N0 จากสตู ร n = T 2n t1/2 20 แทนค่า 2.5 = 2n แทนค่า 3 = 30 2n = 20 t1/2 2n = 8 2.5 t1/2 = 30 3 t1/2 = 10 n=3 ดงั น้ัน สารนม้ี คี ร่ึงชวี ิต 10 วัน 1.2 จากการเก็บสารกมั มนั ตรงั สีชนดิ หน่ึงไว้เปน็ เวลา 270 วัน วัดมวลของสารเหลอื 15 กรมั ถา้ สารน้ีมคี รงึ่ ชีวิต 30 วนั จงหาวา่ เม่อื เร่ิมตน้ มสี ารอยเู่ ท่าไหร่ วธิ แี ผนภาพ 30 วนั ธาตุ Y (3840 กรมั ) 60 วนั ธาตุ Y (1920 90 วัน ธาตุ Y (960 กรัม) ธาตุ Y (7680 กรัม) กรัม) 120 วนั ธาตุ Y (60 กรมั ) 210 วนั ธาตุ Y (120 กรมั ) 180 วันธาตุ Y (240 กรมั ) 150 วนั ธาตุ Y (480 กรมั ) 240 วนั (30 กรัม) 270 วนั ธาตุ Y (15 กรมั ) ธาตุ Y ดังนน้ั เม่ือเร่มิ ต้นมีสารอยู่ 7680 กรมั วธิ สี ตู ร โจทย์ให้ T = 270 วัน t1/2 = 30 วัน N = 15 กรมั โจทย์ถาม N0 =? จากสตู ร n = T จากสูตร N = N0 2n t1/2 N0 แทนคา่ 15 = 29 แทนค่า n = 270 N0 = 15 × 29 30 N0 = 7680 n =9 ดังนั้น เมอื่ เริม่ ต้นมสี ารอยู่ 7680 กรัม

1.3 234-Th มีค่าครึ่งชีวิต 20 วัน จะต้องทิ้ง Th-234 จำนวน 10 กรัม ไว้นานกี่วัน จึงจะเหลือ 234-Th 2.5 กรัม วิธีแผนภาพ 20 วนั 234-Th (5 กรมั ) 20 วัน 234-Th (2.5 กรัม) 234-Th (10 กรัม) ดงั น้ัน 234-Th จำนวน 10 กรัม ทง้ิ ไว้ 40 วัน จึงจะเหลอื 2.5 กรัม วิธีสตู ร โจทยใ์ ห้ t1/2 = 20 วัน N = 2.5 กรมั N0 = 10 กรมั โจทยถ์ าม T=? จากสตู ร N = N0 จากสูตร n = T 2n 10 t1/2 แทนค่า 2.5 = 2n แทนคา่ 2 = T 2n = 4 20 n=2 T = 20 × 2 T =40 ดงั น้นั 234-Th จำนวน 10 กรมั ทง้ิ ไว้ 40 วนั จงึ จะเหลอื 2.5 กรมั 1.4 ธาตุกัมมันตรังสี A หนัก 80 กรัม เวลาผ่านไป 21 วัน ปรากฏว่ามี A เหลือ 10 กรัม จงหาค่าครึ่งชีวิต ของ A วธิ แี ผนภาพ 7 วนั ธาตุ A (40 กรมั ) 14 วัน ธาตุ A (20 กรัม) 21 วัน ธาตุ A (10 กรมั ) ธาตุ A (80 กรมั ) ดงั นนั้ ธาตกุ มั มนั ตรังสี A มคี ่าครึ่งชวี ติ เท่ากับ 7 วัน วธิ สี ูตร โจทยใ์ ห้ T = 21 วนั N = 10 กรมั N0 = 80 กรมั โจทยถ์ าม t1/2 =? จากสูตร N = N0 จากสตู ร n = T 2n 80 t1/2 2n แทนค่า 10 = แทนค่า 3 = 21 t1/2 2n = 8 t1/2 = 21 n=3 3 t1/2 = 7



บนั ทึกหลงั การสอน ผลการจัดการเรยี นการสอน ด้านความรู้ จากแบบฝกึ หัด 2.6.2 คร่ึงชีวติ ของธาตกุ มั มนั ตรังสี พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่สามารถคำนวณครงึ่ ชีวิต ของไอโซโทปกมั มนั ตรงั สีไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นส่วนใหญ่มีทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จำนวน) ในระดบั ดขี ้ึนไป ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จากแบบประเมินพฤตกิ รรมระหวา่ งจดั การเรยี นรู้ พบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่มีความกระตือรอื รน้ ในการ เรยี น ผา่ นเกณฑใ์ นระดับดีข้นึ ไป ปญั หา/อุปสรรค ดา้ นความรู้ นักเรียนบางสว่ นยังไม่สามารถคำนวณครง่ึ ชีวิตของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สีได้ หรอื อาจเข้าใจคาดเคลอ่ื น ด้านทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางสว่ นยงั มีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จำนวน) ต่ำกว่าระดับดี ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนบางส่วน (23.81%) มีความกระตือรอื รน้ ในการเรยี น ตำ่ กวา่ ระดับดี (โดยพบวา่ เปน็ นกั เรยี น กลุ่มเดิมทีไ่ ม่สามารถตดิ ตามได้) แนวทางแก้ไข ใช้วิธกี ารแสดงแผนภาพในการหาคร่ึงชีวติ เพือ่ อธบิ ายเพมิ่ เติมให้กับนักเรยี นทีไ่ มส่ ามารถเข้าใจสูตรใน การคำนวณ ลงชือ่ .................................................... (นางสาวปียว์ รา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 15 รหัสวชิ า ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 2 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 อะตอมและสมบัตขิ องธาตุ เรอ่ื ง การนำธาตุไปใชป้ ระโยชน์และผลกระทบตอ่ สิง่ มีชีวติ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ สืบคน้ ขอ้ มลู และยกตัวอยา่ งการนำธาตุมาใชป้ ระโยชน์ รวมท้งั ผลกระทบต่อส่งิ มชี วี ิตและ สิ่งแวดล้อม 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลิเมอร์ รวมทง้ั การนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคญั สมบตั บิ างประการของธาตุแตล่ ะชนิด ทำให้สามารถนำธาตไุ ปใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ ได้ อยา่ งหลากหลาย ทั้งนี้การนำธาตไุ ปใช้ตอ้ งตระหนักถึงผลกระทบท่ีมีต่อส่งิ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม โดยเฉพาะสารกมั มนั ตรังสี ซง่ึ ตอ้ งมีการจัดการอยา่ งเหมาะสม 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ สืบคน้ ขอ้ มลู และยกตวั อย่างการใช้ประโยชนข์ องธาตตุ ่าง ๆ และบอกผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป) ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรียนมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - ประโยชน์ของธาตุตา่ งๆ - ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการสื่อสาร (รู้ เข้าใจ การพดู คุย ร่วมสนทนา รับฟังความเหน็ ของผอู้ นื่ ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเหน็ กบั ผูอ้ ื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคดิ เหน็ ในการแก้ปัญหา คิดวธิ ีแกป้ ญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (การทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยใี นการศกึ ษา ค้นคว้าเพมิ่ เติม) 7. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 7.1 มวี นิ ยั 7.2 ใฝเ่ รียนรู้

7.3 มุ่งมัน่ ในการทำงาน 8. ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1. ครูทบทวนเกี่ยวกบั ธาตแุ ละสารประกอบทนี่ ักเรียนไดศ้ กึ ษาผา่ นมาแลว้ ดังนี้ ธาตุ หมายถงึ สารบรสิ ุทธเ์ิ นอ้ื เดียว มอี งคป์ ระกอบเพียงอย่างเดียว มสี มบัตเิ ฉพาะตัว และมี จุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงตัว เชน่ Fe Zn Cu He Ne Ar Au เป็นต้น ธาตุเป็นสารชนิดเดียวที่ไม่สามารถแยกหรือสลายออกไปเป็นสารอืน่ ได้ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ตาม แหล่งที่มา ได้แก่ ธาตุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และธาตุที่นักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์ขึ้นใน หอ้ งทดลอง ธาตุใดที่มีสมบัติส่วนใหญ่เป็นโลหะ จัดให้เป็นธาตุโลหะ และธาตุใดมีสมบัติส่วนใหญ่เป็น อโลหะ จัดให้เป็นธาตุอโลหะ สำหรับธาตุที่ไม่สามารถจัดเปน็ ธาตุโลหะหรือธาตอุ โลหะได้ ให้จัดธาตุ นน้ั ไว้เป็นธาตกุ ่งึ โลหะ เช่น โบรอน ซลิ คิ อน พลวง เป็นตน้ ธาตุสามารถแบง่ ออกได้ 3 ชนิด ได้แก่ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ สารประกอบเป็นสารบริสุทธิ์ที่เกิดจากธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป รวมตัวกันทางเคมีใน อัตราส่วนโดยมวลคงตัว มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวคงตัว และมีสมบัติต่างจากธาตุองค์ประกอบเดิม และไมส่ ามารถแยกกลับเปน็ สารเดิมได้โดยง่าย เช่น CO2 H2O KMnO4 HNO3 NaCl เป็นต้น 2. ครูถามคำถาม Prior Knowledge ว่า ธาตุและสารประกอบในธรรมชาติสามารถนำมาใช้ ประโยชน์ได้เลยหรือไม่ อย่างไร นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม แสดงความคิดเห็นตามความรู้และ ประสบการณ์ของนักเรียน โดยครูยงั ไม่เนน้ คำตอบทถี่ ูกต้อง (แนวตอบ : เราสามารถนำธาตหุ รอื สารประกอบมาใชไ้ ด้ ขนึ้ อยกู่ บั การนำไปใชป้ ระโยชน์ เช่น น้ำ (H2O) เป็นสารประกอบที่ประกอบด้วยออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 อะตอม สามารถ นำมาใช้อุปโภคบริโภคได้เลย แต่ถ้าต้องการความสะอาดหรือความบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้น จะต้องผ่าน กระบวนการกรองกอ่ นนำไปใช้ประโยชน)์ ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (30 นาท)ี 1. ครใู ห้นักเรยี นศกึ ษาเกีย่ วกบั สารประกอบของธาตุแทรนซชิ ัน โดยให้นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 5-6 คน โดยใช้เทคนิคการแบง่ กลมุ่ ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทีม่ ีสมาชิก ท่ี มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน คือ เก่ง 1 คน ปานกลาง 2–3 คน และอ่อน 1 คน พร้อมทั้งเลือก ประธานกลุ่ม รองประธานกลุ่ม เลขานุการกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม โดยสับเปลี่ยนหน้าที่ในการทำ กิจกรรมกลมุ่ 2. นักเรียนทำกิจกรรม 2.4 ตามล่าหาธาตุ โดยให้นักเรียนหาธาตุปริศนา โดยใช้ข้อมูลที่ กำหนดให้ เติมลงตารางในลักษณะ Crossword ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาที) 1. ครูและนักเรียนเฉลยคำตอบ และอภิปรายร่วมกัน โดยครูถามคำถาม แล้วให้นักเรียน ชว่ ยกนั ตอบคำถาม เชน่ 1) ในสิง่ มีชีวิตสามารถพบธาตแุ คลเซียมไดบ้ รเิ วณใด (แนวตอบ : กระดูกและฟนั ) 2) ทำไมจงึ นิยมใชโ้ ครเมยี มเคลือบผวิ โลหะชนิดอืน่ ๆ (แนวตอบ : ทนตอ่ การผุกรอ่ นและสารเคม)ี 3) ทองแดงมคี วามสำคัญกบั รา่ งกายอยา่ งไร (แนวตอบ : ชว่ ยในการสงั เคราะหไ์ ขมันบางชนดิ ) 4) ไอโอดีนพบไดใ้ นบรเิ วณใดบ้าง

(แนวตอบ : นำ้ ทะเล สาหรา่ ยทะเลบางชนดิ และพบในสินแร่ในรูปสารประกอบ โซเดียมไอโอเดต (NaIO3)) 5) บริเวณใดพบไนโตรเจนมากทีส่ ุด (แนวตอบ : อากาศ) 2. ครูอธบิ ายสรุปเกี่ยวกับเน้ือหา และเปดิ โอกาสให้นักเรียนได้สอบถาม ว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่ เข้าใจ และให้ความร้เู พ่ิมเตมิ ในส่วนนนั้ ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที) ครูให้ความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจากการนำธาตุไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ตะกั่วเมื่อเข้าไปสะสมในร่างกายจะทําให้มีอาการอ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร ปวดกลา้ ม เนอ้ื ปวดกระดกู และข้อ ความดนั โลหิตสูง โลหติ จาง ความจาํ เสอ่ื ม ภูมิตา้ นทานลดลง และ ขดั ขวางการทาํ งานของเอนไซม์ในรา่ งกาย แคดเมียมเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ไตทํางานผิดปกติ เกิดโรคความดันโลหิตสูง ปวด กระดูกสนั หลัง ทาํ ใหก้ ระดกู ผุ หรือเปน็ โรคมะเร็งได้ แก๊สไฮโดรเจน ในอดีตเคยมีการนํามาบรรจุในลูกโป่งสวรรค์หรือเรือเหาะ ซึ่งการกระทํา ดังกลา่ วนี้ ส่งผลให้เกดิ อบุ ัติเหตุมีผ้ไู ด้รับบาดเจบ็ สาหสั หลายคน ท่ีเป็นเช่นน้เี พราะแก๊สไฮโดรเจนเป็น แก๊สที่ติดไฟได้ ซึ่งเมื่อได้รบั ประกายไฟจึงเกดิ ระเบิดเป็นเพลิงลุกไหม้ได้ ตัวอย่างอุบัติเหตุ เช่น ข่าว เพลิงไหม้เรือเหาะไฮเดนเบิร์กของเยอรมันในวันงดสูบบุหรี่โลก ข่าวไฟไหม้ในงานชกมวยที่ประเทศ ไทยเน่อื งจากการนําลกู โป่งสวรรค์หลายรอ้ ยลูกมาประดับ ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) ครูให้นักเรียนสะทอ้ นสมบัติบางประการของธาตุแต่ละชนิด ทส่ี ามารถนำธาตุไปใช้ประโยชน์ ในดา้ นตา่ ง ๆ ได้อย่างหลากหลาย และแสดงข้อตระหนกั ถึงผลกระทบท่ีมตี ่อสงิ่ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยให้นักเรียนสรปุ ความรเู้ ป็นแผนผังมโนทศั น์

9. การวดั และประเมนิ ผล/หลักฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ วี ัด เคร่อื งมอื วดั เกณฑก์ ารวัด ด้านความรู้ 1. ใบกิจกรรม 2.4 ผ่านเกณฑ์ร้อย ตามลา่ หาธาตุ ละ 60 ข้ึนไป สบื คน้ ข้อมูลและยกตัวอยา่ งการใช้ 1. ตรวจจากใบ 2. แบบประเมนิ ผัง มโนทัศน์ ประโยชน์ของธาตตุ า่ ง ๆ และบอก กิจกรรม 2.4 ตามลา่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม หาธาตุ 2. ตรวจจากผังมโน ทศั น์ ด้านทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ (การตคี วามหมายขอ้ มลู และการลง กระบวนการทาง ทกั ษะ ระดับดี กระบวนการทาง ขนึ้ ไป ข้อสรุป) วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์ใน ระหว่างจดั การเรยี นรู้ คุณลักษณะอนั พึง ระดบั ดีขนึ้ ไป นักเรียนมีความกระตือรือรน้ ในการ เรยี น ประสงค์ 10. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ ส่อื การเรียนรู้ กจิ กรรม 2.4 ตามล่าหาธาตุ แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สอื เรียนรายวิชาเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบันสง่ เสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ



บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ด้านความรู้ จากแบบประเมนิ ผงั มโนทัศน์ พบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่สบื คน้ ขอ้ มูลและยกตัวอยา่ งการใชป้ ระโยชน์ ของธาตตุ า่ งๆ และบอกผลกระทบต่อส่ิงมชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งถกู ต้องร้อยละ 60 ข้นึ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นักเรยี นสว่ นใหญม่ ีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การตคี วามหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ ) ในระดบั ดขี ้ึนไป ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบประเมินพฤตกิ รรมระหวา่ งจดั การเรียนรู้ พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่มีความกระตอื รอื รน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑใ์ นระดับดขี ึ้นไป ปัญหา/อุปสรรค ดา้ นความรู้ นักเรยี นบางสว่ นยังไม่สามารถสบื ค้นขอ้ มูลและยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชนข์ องธาตุต่าง ๆ และบอก ผลกระทบตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และส่ิงแวดลอ้ มได้ดีเท่าทีค่ วร อาจเน่ืองมาจากการเข้าใจคลาดเคล่ือน ดา้ นทักษะกระบวนการ นักเรยี นบางส่วนยังมีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรุป) ต่ำกว่าระดบั ดี ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนบางสว่ น (23.81%) มีความกระตือรือร้นในการเรยี น ต่ำกว่าระดับดี แนวทางแกไ้ ข อธบิ ายชนิ้ งานเพม่ิ เตมิ ใหก้ ับนกั เรยี นท่มี คี วามเข้าใจคลาดเคลื่อน ลงชื่อ .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 16 รหัสวิชา ว30221 วิชา เคมี1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 พนั ธะเคมี เรอ่ื ง สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอสิ และกฏออกเตด ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ อธิบายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนกิ โดยใช้แผนภาพหรือสัญลกั ษณแ์ บบจดุ ของ ลวิ อสิ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมทงั้ การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคัญ สารเคมีเกิดจากการยดึ เหนย่ี วกันด้วยพันธะเคมี ซง่ึ เก่ียวข้องกับเวเลนซ์อเิ ล็กตรอน ท่ีแสดงได้ ดว้ ยสญั ลกั ษณ์แบบจุดของลิวอิส โดยการเกดิ พันธะเคมีส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎออกเตต สัญลกั ษณแ์ บบจุดของลวิ อิส เปน็ สญั ลักษณ์ทางเคมขี องธาตุท่ลี ้อมรอบด้วยจุด แทนจำนวน เวเลนซ์อิเลก็ ตรอน กฏออกเตต คือ การทอ่ี ะตอมต่างๆ เข้ารวมตวั กันโดยจดั อิเลก็ ตรอนให้มเี สถียรภาพสูงสดุ นนั่ คือมีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเหมือนแก๊สมีตระกูล 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ เขยี นสญั ลกั ษณแ์ บบจุดของลิวอิสของธาตุและไอออน และระบไุ ดว้ ่าธาตุหรอื ไอออนนน้ั เป็นไปตามกฏออกเตต ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรปุ ) ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรียนมีความกระตือรอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - สญั ลักษณ์แบบจุดของลวิ อสิ (Lewis dot symbol) - กฎออกเตด (Octet rule) 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เขา้ ใจ การพดู คุย รว่ มสนทนา รับฟงั ความเหน็ ของผูอ้ ่ืน) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเหน็ กับผู้อ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเห็นในการแกป้ ัญหา คิดวธิ แี ก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ (การทำงานรว่ มกับผ้อู ่นื ได้อย่างมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยใี นการศึกษา คน้ คว้าเพมิ่ เตมิ )

7. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มีวินยั 7.2 ใฝเ่ รียนรู้ 7.3 มงุ่ มั่นในการทำงาน 8. ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี ครูให้นักเรียนยกตวั อย่างสูตรเคมขี องสารตา่ ง ๆ ที่นักเรียนรู้จัก ทั้งนี้สารทีย่ กตัวอย่างควรมี ทงั้ ธาตุ สารประกอบ และธาตุหมู่ VIIIA หรอื แกส๊ มสี กุล เช่น O2 CO H2O NaCl He แล้วตัง้ คาํ ถามว่า สูตรเคมีของสารที่ยกตัวอย่างมาส่วนใหญป่ ระกอบด้วยธาตุเพียง 1 อะตอม หรือมากกว่า 1 อะตอม (แนวคำตอบ : สารสว่ นใหญป่ ระกอบดว้ ยธาตุมากกว่า 1 อะตอม) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาที) 1. จากนั้นเช่ือมโยงเข้าสู่ความหมาย ของพันธะเคมีวา่ เป็นการยึดเหน่ียวกันของอะตอมหรือ ไอออนในสารโดย ครูใชค้ าํ ถามทบทวนความร้เู ดมิ ว่า ธาตุหมู่ VIIIA หรอื แกส๊ มีสกุล เชน่ He Ne ซ่ึงอยู่ ในรปู อะตอมเด่ยี วมีจํานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเปน็ เท่าใด และบรรจุเตม็ ออร์บิทัลในระดับพลงั งานหลัก หรอื ไม่ (แนวคำตอบ : He มี 2 เวเลนซ์อเิ ล็กตรอน Ne มี 8 เวเลนซอ์ ิเล็กตรอน และเต็มออรบ์ ทิ ลั ใน ระดับพลังงานหลัก ทาํ ให้อะตอมแกส๊ มีสกลุ มีความเสถียร) 2. ครูให้นักเรียนพิจารณารูปจาก เรื่อง สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสและกฏออกเตด แล้ว อธิบายว่า จดุ ในสญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลิวอิสแสดงเวเลนซ์ อเิ ลก็ ตรอน เช่น He มี 2 จุด แสดงว่ามี 2 เวเลนซ์อิเล็กตรอน Na มี 1 จุด แสดงว่ามี 1 เวเลนซ์ อิเล็กตรอน จากนั้นอธิบายวิธีการเขียน สญั ลักษณ์แบบจุดของลิวอิสโดยเขียนจดุ เด่ียวทั้ง 4 ด้านรอบ สัญลกั ษณข์ องธาตกุ อ่ น แล้วจงึ เตมิ จุดให้ เปน็ คู่ รปู แสดงสญั ลกั ษณแ์ บบจดุ ของลวิ อิสของธาตหุ มหู่ ลัก 3. ครใู หน้ กั เรียนพิจารณาสัญลักษณ์แบบจุดของลวิ อิสของ Na และ CI แล้วต้ังคําถามว่า ถ้า จะทาํ ให้จาํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของธาตุทง้ั สองเท่ากับของอะตอมแก๊สมีสกุลซ่ึงเสถียรจะทําได้ง่าย ท่สี ดุ อย่างไร และจะไดจ้ าํ นวนเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนเท่ากบั แกส๊ มสี กลุ ใด (แนวคำตอบ : Na ให้ 1 อิเล็กตรอนเกิดเป็นไอออน Na+ และมีจํานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน เทา่ กบั Ne ส่วน CI รบั 1 อิเล็กตรอน เกดิ เปน็ ไอออน CI- และมจี าํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเท่ากับ Ar)

จากน้ันอธิบายเพมิ่ เตมิ ว่า หลกั การท่อี ะตอมของธาตอุ ่นื ๆ มีแนวโน้มที่จะรวมตวั กันเพ่ือท่ีจะทําให้แต่ ละอะตอมมเี วเลนซ์อิเลก็ ตรอน เท่ากับ 8 เรยี กหลกั การน้ีวา่ กฏออกเตต ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ( 15 นาท)ี ครูต้งั คำถามใหน้ กั เรียนเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจ ดงั นี้ 1) เขยี นสัญลกั ษณแ์ บบจดุ ของลวิ อิสของไอออน Ca2+ (แนวคำตอบ : ) 2. สญั ลกั ษณ์แบบจุดของลิวอสิ ของธาตสุ มมตติ อ่ ไปน้ี เป็นของธาตหุ มใู่ ด (แนวคำตอบ : หมู่ VIA) 3) สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสในข้อ 1 และ 2 มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นไปตามกฏออกเดตหรือไม่ (แนวคำตอบ : ข้อ 1 เปน็ ไปตามกฏออกเตต ส่วนขอ้ 2 ไมเ่ ป็นไปตามกฏออกเดต) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาท)ี ครูอธิบายว่าสารทไี่ ม่อยู่ในรูปอะตอมเด่ียว มีพนั ธะเคมียึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมหรือไอออน โดยที่อะตอมของธาตุอาจมีการให้อิเล็กตรอน รับอิเล็กตรอน หรือใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน ทําให้เกิด พนั ธะเคมี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ พนั ธะไอออนกิ (ionic bond) พันธะโคเวเลนต์ (covalent bond) และ พันธะโลหะ (metallic bond) การเกิดพนั ธะเคมี เป็นการเปล่ยี นแปลงท่เี กย่ี วของกับอิเลก็ ตรอนในระดบั พลังงานช้ันสุดท้าย เรียกวา่ เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน (valence electron) หรืออเิ ล็กตรอนวงนอกสุดเท่านั้น ดงั น้ันการอธิบาย การเกิดพันธะเคมีอย่างหนึ่งอย่างใด จึงเกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมที่เกิดเป็นพันธะ ระหวา่ งกัน ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (15 นาที) นักเรียนทำแบบฝึกหัด 3.1 สัญลักษณแ์ บบจุดของลวิ อสิ และกฏออกเตด แล้วรว่ มกันเฉลย 9. การวดั และประเมินผล/หลักฐานหรอื ร่องรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัด เคร่ืองมอื วัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ แบบฝกึ หัด 3.1 ผ่านเกณฑ์ร้อย สญั ลกั ษณ์แบบจดุ ละ 60 ขนึ้ ไป เขยี นสญั ลักษณแ์ บบจดุ ของลิวอิสของธาตุ ตรวจจากแบบฝกึ หดั ของลิวอสิ และกฏ และไอออน และระบไุ ด้ว่าธาตุหรอื ไอออน 3.1 สัญลักษณ์แบบจดุ ออกเตด ผ่านเกณฑ์ ระดับดี ของลิวอสิ และกฏออก แบบประเมนิ ทกั ษะ ขึน้ ไป เตด กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑใ์ น ด้านทกั ษะกระบวนการ ระดบั ดีข้ึนไป แบบประเมิน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การ ประเมินทกั ษะ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ ) กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นมคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรยี น สังเกตพฤติกรรม ระหว่างจดั การเรียนรู้

10. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ ส่อื การเรยี นรู้ แบบฝกึ หัด 3.1 สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสและกฏออกเตด แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรยี นรายวิชาเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบันสง่ เสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ - หอ้ งสมุดโรงเรียน

แบบฝกึ หัด 3.1 สญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลิวอิสและกฏออกเตด 1. จงแสดงสญั ลักษณ์แบบจุดของลวิ อิสของธาตุและไอออนท่กี ำหนดใหต้ ่อไปนี้ ข้อ ธาตแุ ละไอออน สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส 1.1 Ca 1.2 Ca2+ 1.3 Cl 1.4 Cl- 1.5 H 1.6 He 1.7 H+ 1.8 H- 1.9 Ne 1.10 O 1.11 O2- 1.12 B 1.13 Be 1.14 C 1.15 N3- 2. จากข้อ 1 สัญลกั ษณ์แบบจุดของลิวอิสในข้อใดบา้ งเป็นไปตามกฏออกเตด ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. จงเตมิ ข้อความในช่องวา่ งต่อไปนใี้ ห้สมบูรณ์ 3.1 สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส คือ สัญลักษณ์ทางเคมีของธาตุที่ล้อมรอบด้วยจุด แทนจำนวน ของ………………………………………… 3.2 กฏออกเตต คือ การท่ีอะตอมตา่ งๆ เข้ารวมตัวกันโดยจัดอิเล็กตรอนให้มเี สถยี รภาพสูงสุด นั่นคือ มกี ารจดั เรียงอเิ ล็กตรอนเหมือน…………………….. หรือทำให้เวเลนต์อเิ ล็กตรอนเทา่ กบั ………………….. 3.3 เมื่ออะตอมของธาตรุ บั อเิ ลก็ ตรอน จะเกิดเปน็ ไอออน………………. และเมือ่ อะตอมของธาตุให้หรือ สูญสยี อิเล็กตรอน จะเกดิ เปน็ ไอออน…………………..

เฉลย แบบฝกึ หัด 3.1 สัญลักษณแ์ บบจดุ ของลิวอิสและกฏออกเตด 1. จงแสดงสัญลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อิสของธาตุและไอออนท่ีกำหนดใหต้ อ่ ไปนี้ ขอ้ ธาตุและไอออน สัญลักษณ์แบบจดุ ของลิวอิส 1.1 Ca 1.2 Ca2+ 1.3 Cl 1.4 Cl- 1.5 H 1.6 He 1.7 H+ 1.8 H- 1.9 Ne 1.10 O 1.11 O2- 1.12 B 1.13 Be 1.14 C 1.15 N3- 2. จากขอ้ 1 สัญลักษณแ์ บบจดุ ของลิวอสิ ในข้อใดบ้างเปน็ ไปตามกฏออกเตด 1.2 1.4 1.6 1.7 1.8 1.9 1.11 1.15 3. จงเติมข้อความในชอ่ งว่างต่อไปนใ้ี ห้สมบรู ณ์ 3.1 สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส คือ สัญลักษณ์ทางเคมีของธาตุที่ล้อมรอบด้วยจุด แทนจำนวน เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน 3.2 กฏออกเตต คอื การท่อี ะตอมต่างๆ เขา้ รวมตวั กันโดยจดั อเิ ลก็ ตรอนให้มีเสถียรภาพสงู สุด นั่นคือ มีการจดั เรยี งอิเลก็ ตรอนเหมือนแกส๊ มตี ระกลู หรือทำใหเ้ วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กับ 8 3.3 เมื่ออะตอมของธาตรุ ับอิเล็กตรอน จะเกิดเป็นไอออนลบ และเมื่ออะตอมของธาตุให้หรือสูญสยี อเิ ล็กตรอน จะเกดิ เป็นไอออนบวก



บันทกึ หลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ด้านความรู้ จากแบบฝึกหัด 3.1 สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอสิ และกฏออกเตด พบว่านกั เรยี นสว่ นใหญ่สามารถ เขยี นสัญลักษณแ์ บบจดุ ของลวิ อิสของธาตแุ ละไอออน และระบไุ ดว้ ่าธาตหุ รือไอออนได้อย่างถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นสว่ นใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงข้อสรปุ ) ในระดับดีข้ึนไป ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมินพฤติกรรมระหวา่ งจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนสว่ นใหญ่มีความกระตอื รอื รน้ ในการ เรยี น ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดขี ึ้นไป ปญั หา/อปุ สรรค ด้านความรู้ นักเรยี นบางสว่ นยังไม่สามารถเขียนสัญลักษณแ์ บบจุดของลวิ อิสของธาตแุ ละไอออน และระบไุ ดว้ ่า ธาตุหรือไอออนได้ ดา้ นทักษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยงั มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป) ต่ำกว่าระดบั ดี ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนบางสว่ น (28.57%) มีความกระตือรือรน้ ในการเรยี น ต่ำกว่าระดบั ดี แนวทางแกไ้ ข อธิบายโดยการยกตัวอย่างเพ่ิมเตมิ เพื่อใหน้ กั เรียนเข้าใจบทเรียนเพิ่มมากข้ึน ลงชือ่ .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 17 รหสั วชิ า ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พนั ธะเคมี เรือ่ ง การเกดิ พนั ธะไอออนิก ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพนั ธะไอออนิก โดยใช้แผนภาพหรือสัญลกั ษณ์แบบจดุ ของ ลิวอสิ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์ รวมทั้ง การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคัญ พนั ธะไอออนกิ เกิดจากเกดิ จากแรงดึงดดู ทางไฟฟา้ สถิต ระหวา่ งไอออนบวกและไอออนลบ พันธะไอออนิกมกั เกิดระหว่างธาตโุ ลหะกับอโลหะ ทมี่ ีค่า EN แตกต่างกัน โดยธาตโุ ลหะมีคา่ IE ตำ่ จึง มแี นวโนม้ ท่จี ะให้อเิ ลก็ ตรอนแล้วเกิดเป็นไอออนบวกไดง้ า่ ย ส่วนอโลหะมีค่า EA สงู จึงมีแนวโน้มรับ อเิ ลก็ ตรอนได้ดจี งึ เกิดเปน็ ไอออนลบไดง้ ่าย สารประกอบทเ่ี กิดจากพันธะไอออนกิ เรียกว่า สารประกอบไอออนกิ สารประกอบไอออนกิ ไม่อยใู่ นรปู โมเลกุลแต่เปน็ โครงผลกึ ทป่ี ระกอบดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตวั ต่อเนือ่ งกนั ไปทงั้ สามมติ ิ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ 1.อธิบายการเกดิ ไอออนและการเกิดพันธะไอออนกิ โดยใชแ้ ผนภาพหรือสัญลกั ษณ์แบบจดุ ของลิวอิส 2.อธิบายโครงสรา้ งของสารประกอบไอออนกิ ด้านทกั ษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ ) ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนมคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรยี นรู้ - การเกิดพนั ธะไอออนกิ - โครงสรา้ งของสารประกอบไอออนิก 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 6.1 ความสามารถในการสือ่ สาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย รว่ มสนทนา รับฟงั ความเหน็ ของผู้อืน่ ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเห็นกบั ผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแกป้ ญั หา คิดวิธีแก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต (การทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมคี วามสขุ )

6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยใี นการศกึ ษา ค้นควา้ เพ่มิ เติม) 7. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 7.1 มวี นิ ัย 7.2 ใฝเ่ รียนรู้ 7.3 มงุ่ ม่ันในการทำงาน 8. ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (5 นาที) ครูยกตัวอยา่ งสูตรเคมีของสารประกอบไอออนิก เช่น NaCl CaF2 KI แลว้ ต้ังคําถามวา่ สารที่ ยกตัวอย่างประกอบดว้ ยธาตุองคป์ ระกอบชนดิ ใด (แนวคำตอบ : ประกอบด้วยธาตุโลหะกบั ธาตุอโลหะ) จากนั้นครูทบทวนความรู้เรื่อง ค่าพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 และค่าสัมพรรคภาพ อิเลก็ ตรอนของโลหะและอโลหะ เพ่อื นำไปสู่เน้อื หาเรอ่ื งการเกิดพนั ธะไอออนิก ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploration) (25 นาที) 1. ครูเปิดสื่อการสอนเก่ียวกับการเกิดพันธะไอออนิก ให้นักเรียนดูคลิปวดิ โิ อ“Ionic Bond” https://www.youtube.com/watch?v=DEdRcfyYnSQ พร้อมตงั้ คำถามใหน้ ักเรยี นอภปิ ราย ดงั นี้ 1) ธาตทุ ่มี คี วามเสถียรของจะตอ้ งมเี วเลนซอ์ ิเล็กตรอนจำนวนเทา่ ใด 2) สารประกอบไอออนิกเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่างไร จากน้ันครอู ธบิ ายว่า ธาตุโลหะมพี ลังงานไอออไนเซชันตำ่ จึงเสียอเิ ลก็ ตรอนเกดิ เป็นไอออนบวกได้ง่าย สว่ นธาตุอโลหะมีค่าสมั พรรคภาพอิเลก็ ตรอนสูง จงึ รบั อเิ ล็กตรอนเกิดเป็นไอออนลบ ไอออนบวกและ ไอออนลบมปี ระจไุ ฟฟ้าต่างกนั จึงยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหวา่ งประจไุ ฟฟ้า เรยี กการยดึ เหนี่ยวน้ี ว่า พนั ธะไอออนกิ และเรยี กสารทเ่ี กิดจากพนั ธะไอออนิกวา่ สารประกอบไอออนกิ 2. นกั เรยี นศึกษาใบความรู้ 3.2.1 การเกดิ พันธะไอออนกิ จากนั้นครูอธบิ ายการเกิดพันธะไอ ออนิกโดยเริ่มจากเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอน แบบจําลอง อะตอมของโบร์ และสัญลักษณ์แบบจุด ของลิวอสิ ของ Na และ Na+ แลว้ ใหน้ ักเรยี นพิจารณา สญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อิสของ Na พบวา่ มี 1 จุด และเมื่อเสียอิเล็กตรอน สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของ Na+ จะแสดงจุด 8 จุดซึ่งเป็นเวเลนซ์ อิเลก็ ตรอนชั้นถัดไป และมจี ํานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน เป็นไปตามกฏออกเดต ดังรปู 3. ครูให้นักเรียนเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอน แบบจําลองอะตอมของโบร์ และสัญลักษณ์ แบบจุด ของลิวอสิ ของ CI และ CI- จากนั้นให้พจิ ารณาสัญลักษณ์แบบจุดของลวิ อิสของ CI พบว่ามี 7 จุด และเมื่อรับอิเล็กตรอน สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของ CI จะแสดงจุด 8 จุด เป็นไปตาม กฏออกเตต

4. ครูอธบิ ายการเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) โดยใช้แบบจาํ ลองอะตอมของโบร์ และสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสแสดงการให้และรับอิเล็กตรอนระหว่าง Na และ CI เกิดเป็น Na+ และ CI- ซง่ึ มปี ระจไุ ฟฟา้ ต่างกนั จงึ ยดึ เหนยี่ วกันด้วยแรงดึงดดู ระหว่างประจุไฟฟา้ เกดิ เป็น NaCI ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาท)ี ครูตั้งคำถามให้นักเรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ดังน้ี เขียนแผนภาพแสดงการให้และรับ อิเล็กตรอนของอะตอมธาตุในการเกิดสารประกอบ แมกนีเซียมฟลอู อไรด์ (MgF2) โดยใช้แบบจาํ ลอง อะตอมของโบร์และสัญลักษณแ์ บบจุดของลิวอสิ ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที) ครูและนักเรียนอภิปรายรว่ มกนั เกย่ี วกบั โครงสรา้ งของสารประกอบไอออนิก โดยให้ นกั เรียน พจิ ารณาจากแบบจาํ ลองหรือภาพโครงผลึกของสารในรูป

เพือ่ ให้ได้ข้อสรปุ วา่ สารประกอบไอออนกิ ในสถานะของแขง็ อยู่ในรูปผลึกท่ีมีไอออนบวกและ ไอออนลบยดึ เหนีย่ วกันดว้ ย พันธะไอออนกิ อยา่ งต่อเนอ่ื งกันไปทั้งสามมิติเปน็ โครงผลึก และไม่อยู่ใน รปู โมเลกุล และแยกเป็นโมเลกลุ เดี่ยวไม่ได้ โครงสร้างของสารประกอบไอออนกิ แต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กบั สัดส่วนของจำนวน ประจุ ขนาดของไอออน และโครงสรา้ งผลึกของสารน้ัน ๆ ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (15 นาที) นักเรยี นทาํ แบบฝึกหัด 3.2.1 การเกิดพันธะไอออนิก แล้วเฉลยรว่ มกนั

9. การวดั และประเมนิ ผล/หลกั ฐานหรือร่องรอยของการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ วี ัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ ผ่านเกณฑร์ ้อย 1.อธบิ ายการเกิดไอออนและการเกดิ พันธะไอ ตรวจจาก แบบฝึกหัด 3.2.1 ละ 60 ข้ึนไป แบบฝกึ หัด 3.2.1 การเกดิ พนั ธะไอ ออนิก โดยใชแ้ ผนภาพหรอื สญั ลกั ษณแ์ บบ การเกดิ พนั ธะไอ ออนกิ ผ่านเกณฑ์ จุดของลิวอิส ออนกิ ระดับดี 2.อธบิ ายโครงสรา้ งของสารประกอบไอออนิก แบบประเมนิ ขน้ึ ไป ดา้ นทักษะกระบวนการ ประเมนิ ทกั ษะ ทกั ษะ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การ กระบวนการทาง กระบวนการทาง ผ่านเกณฑ์ใน ตคี วามหมายข้อมูลและการลงข้อสรปุ ) วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ระดับดีขึ้นไป ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ นกั เรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรียน ระหวา่ งจดั การ คุณลักษณะอนั พึง เรียนรู้ ประสงค์ 10. สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ สอ่ื การเรียนรู้ แบบฝกึ หดั 3.2.1 การเกิดพนั ธะไอออนกิ แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สือเรียนรายวชิ าเคมี 1 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบนั ส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น

แบบฝกึ หดั 3.2.1 การเกดิ พันธะไอออนิก 1. ขอ้ ใดคอื แรงยดึ เหน่ยี วภายในโมเลกลุ ของสาร ก. แรงลอนดอน ข. พนั ธะไอออนิก ค. พันธะไฮโดรเจน ง. แรงแวนเดอวาลลส์ เพราะเหตใุ ดจึงตอบขอ้ น้ัน ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. การที่โลหะรวมตัวกับอโลหะแล้วอะตอมโลหะจะให้อิเล็กตรอนแก่อโลหะเกิดเป็นไอออนบวกและ ไอออนลบ ดึงดดู กนั ด้วยแรงดงึ ดดู ทางไฟฟ้าสถิตเกดิ เปน็ พนั ธะไอออนกิ ขนึ้ ได้เพราะเหตใุ ด ก. โลหะมีค่า IE สูง จงึ ใหอ้ ิเล็กตรอนไดง้ า่ ย เพ่อื ปรบั เวเลนซอ์ ิเล็กตรอนแบบแก็สเฉ่ือย ข. โลหะมีขนาดอะตอมเลก็ กว่าอโลหะ ค. โลหะมคี า่ IE ต่ำ จึงให้อเิ ล็กตรอนได้งา่ ย เพือ่ ปรับเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนแบบแกส็ เฉ่ือย ง. อะตอมของโลหะต้องใชอ้ ิเล็กตรอนร่วมกันกับอโลหะ เพราะเหตใุ ดจึงตอบข้อนนั้ ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ขอ้ ใดแสดงการเกดิ สารประกอบแคลเซียมฟลูออไรด์ไดถ้ ูกตอ้ ง กำหนดให้ แทนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของแคลเซยี ม แทนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของฟลูอออรนี เลขอะตอมของ F และ Ca เทา่ กบั 9 และ 20 ตามลำดบั

ก. ข. ค. ง. เพราะเหตใุ ดจึงตอบข้อน้นั ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. จากค่า EN ของอะตอมของธาตตุ อ่ ไปน้ี ธาตุ คา่ EN X 2.1 B 2.0 C 2.5 N 3.0 F 4.0 สามารถทำนายความสามารถในการเกิดสารประกอบไอออนกิ (เรียงจากมากไปน้อย) ได้ดัง ขอ้ ใดต่อไปนี้ ก. X-C > X-B > X-F > X-N ข. X-F > X-N > X-C > X-B ค. X-B > X-C > X-N > X-F ง. X-N > X-C > X-F > X-B เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบขอ้ นั้น ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

5. ชุดสารในข้อใดจดั เป็นสารประกอบไอออนิกทั้งหมด ก. NH4Cl, C2H4, KCN, PCl3 ข. C2H6, LiF, HCN, BaO ค. CaCl2, NaCl, MgCl2, CaO ง. CCl4, BeCl2, PF3, Li2O เพราะเหตใุ ดจึงตอบขอ้ น้นั ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 6. ขอ้ ความต่อไปนี้ข้อใดผดิ ก. สารประกอบไอออนิกมกั จะเกิดระหวา่ งโลหะท่ีมีค่าพลงังานไอออไนเซชันตำ่ กับอโลหะที่ มีค่าพลงั งานไอออไนเซชันชันลำดับที่ 1 สงู ข. สารประกอบไอออนิกมีจดุ เดอื ดสูง ค. สารประกอบไอออนกิ เสถยี รมากเพราะมีแรงดงึ ดูดไฟฟา้ สถติ ระหวา่ งไอออนตา่ งชนิดกัน ง. โครงสร้างของสารประกอบไอออนิกมีลักษณะเป็นโครงผลึกรา่ งตาขา่ ย แตล่ ะไอออนจะมี ไอออนตา่ งชนดิ ล้อมรอบอยดู่ ว้ ยจำนวนทีเ่ ทา่ กันเสมอ เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบข้อนั้น ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 7. สารประกอบโซเดียมคลอไรด์และแคลเซียมคลอไรด์มีสัดส่วนจำนวนไอออนบวกต่อไอออนลบ อย่างไร ตามลำดบั ก. 6:6 และ 8:4 ข. 6:6 และ 4:8 ค. 8:4 และ 6:6 ง. 4:8 และ 6:6 เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบข้อนนั้ ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

8. จากโครงสร้างของสารประกอบไอออนกิ ทีก่ ำหนดให้ มจี ำนวนไอออนลบเทา่ ใดทีล่ ้อมรอบไอออน บวก (กำหนดให้ ไอออนลบคอื สเี หลอื ง และไอออนบวกคอื สเี ขยี ว) ก. 1 ข. 4 ค. 8 ง. 9 เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบข้อนั้น ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………….………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

เฉลย แบบฝกึ หดั 3.2.1 การเกดิ พนั ธะไอออนิก 1. ขอ้ ใดคอื แรงยดึ เหนี่ยวภายในโมเลกุลของสาร จ. แรงลอนดอน ฉ. พนั ธะไอออนิก ช. พนั ธะไฮโดรเจน ซ. แรงแวนเดอวาลลส์ เพราะเหตุใดจึงตอบขอ้ นนั้ อธบิ าย: พนั ธะเคมี คอื แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอะตอมภายในโมเลกุลโดยแบ่งเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ พันธะไอออนิก พันธะโคเวเลนต์ และพันธะโลหะ 2. การที่โลหะรวมตัวกับอโลหะแล้วอะตอมโลหะจะให้อิเล็กตรอนแก่อโลหะเกิดเป็นไอออนบวกและ ไอออนลบ ดงึ ดูดกันดว้ ยแรงดงึ ดูดทางไฟฟ้าสถิตเกิดเปน็ พนั ธะไอออนกิ ข้ึนไดเ้ พราะเหตุใด จ. โลหะมีคา่ IE สงู จึงให้อิเลก็ ตรอนได้งา่ ย เพอ่ื ปรบั เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนแบบแก็สเฉ่อื ย ฉ. โลหะมขี นาดอะตอมเล็กกวา่ อโลหะ ช. โลหะมคี า่ IE ตำ่ จึงให้อิเล็กตรอนไดง้ า่ ย เพ่ือปรบั เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนแบบแก็สเฉ่ือย ซ. อะตอมของโลหะตอ้ งใชอ้ ิเล็กตรอนร่วมกันกับอโลหะ เพราะเหตใุ ดจึงตอบข้อนน้ั อธิบาย: การที่อะตอมของธาตุต่าง ๆ รวมตัวกันด้วยสัดส่วนที่ทำให้อะตอมมีเวเลนซ์ อิเลก็ ตรอนเทา่ กับ 8 นน้ั เราเรยี กวา่ กฎออกเตต ซึ่งเป็นสภาพทเี่ สถียรทีส่ ดุ โดยอะตอมของโลหะมีค่า IE ต่ำ ให้อิเล็กตรอนได้ดี ส่วนอะตอมอโลหะมีค่า IE สูง รับอิเล็กตรอนได้ดีดังนั้น อะตอมโลหะและ อโลหะจะเกิดการใหแ้ ละรบั อเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งอะตอมทง้ั สองเกดิ เปน็ ไอออนบวกและไอออนลบดึงดูด กนั ด้วยแรงดงึ ดดู ทางไฟฟา้ สถติ เกิดเป็นพันธะไอออนิกขึน้ 3. ข้อใดแสดงการเกดิ สารประกอบแคลเซียมฟลอู อไรด์ได้ถกู ต้อง กำหนดให้ แทนเวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนของแคลเซยี ม แทนเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของฟลูอออรีน เลขอะตอมของ F และ Ca เทา่ กบั 9 และ 20 ตามลำดบั จ. ฉ. ช. ซ.

เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบขอ้ น้นั อธิบาย: อะตอม Ca มีเลขอะตอมเท่ากับ 20 มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเท่ากับ 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 แสดงว่า ธาตุ Ca เปน็ โลหะหมู่2 มีเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเท่ากับ 2 ดังนั้น ธาตุ Ca สามารถ ให้อิเล็กตรอนได้ 2 อิเล็กตรอน เกิดเป็นไอออน Ca2+ ส่วนอะตอม F มีเลขอะตอมเท่ากับ 9 มีการ จัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอนเท่ากับ 1s2 2s2 2p5 แสดงวา่ ธาตุ F เปน็ อโลหะหมู่ 7 มเี วเลนซ์อิเลก็ ตรอนเท่ากับ 7 ดังน้นั ธาตุ F จึงสามารถรบั อิเล็กตรอนไดเ้ พียง 1 อิเลก็ ตรอน เกิดเปน็ ไอออน F- ดังนั้น เม่อื ไอออน Ca2+ และ F- รวมตวั กนั เกิดเป็นสารประกอบไอออนกิ จงึ มีแผนภาพดงั รปู ที่เฉลยเพ่ือปรับให้มีเวเลนซ์ อเิ ล็กตรอนเทา่ กับ 8 ตามกฎออกเตต 4. จากคา่ EN ของอะตอมของธาตุตอ่ ไปน้ี ธาตุ ค่า EN X 2.1 B 2.0 C 2.5 N 3.0 F 4.0 สามารถทำนายความสามารถในการเกิดสารประกอบไอออนิก (เรียงจากมากไปน้อย) ได้ดัง ข้อใดต่อไปนี้ จ. X-C > X-B > X-F > X-N ฉ. X-F > X-N > X-C > X-B ช. X-B > X-C > X-N > X-F ซ. X-N > X-C > X-F > X-B เพราะเหตใุ ดจึงตอบขอ้ นน้ั อธิบาย: พันธะไอออนิก หมายถึง แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดจากอะตอม 2 อะตอมที่มีค่า EN ต่างกันมากโดยค่า EN หมายถึง ความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนของอะตอม อะตอมที่มีค่า EN น้อยจะให้อิเล็กตรอนแก่อะตอมทีม่ ีค่า EN มาก ดังนั้นอะตอม 2 อะตอมที่มีค่า EN ต่างกันมากจะมี แนวโนม้ เกิดเป็นสารประกอบไอออนกิ งา่ ย จากตารางพบว่าแนวโนม้ ในการเกดิ สารประกอบไอออนิก (เรียงจากมากไปนอ้ ย) ของธาตใุ นตารางข้างตน้ คอื X-F > X-N > X-C > X-B 5. ชดุ สารในขอ้ ใดจัดเปน็ สารประกอบไอออนกิ ท้ังหมด จ. NH4Cl, C2H4, KCN, PCl3 ฉ. C2H6, LiF, HCN, BaO ช. CaCl2, NaCl, MgCl2, CaO ซ. CCl4, BeCl2, PF3, Li2O เพราะเหตใุ ดจงึ ตอบขอ้ นัน้ อธบิ าย: สารประกอบไอออนิกเกิดจากแรงดงึ ดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวกท่ีมาจาก อะตอมของโลหะกับไอออนลบจากอะตอมอโลหะจากชุดสาร CaCl2, NaCl, MgCl2, CaO มีอะตอม โลหะและอโลหะที่เกิดจากการให้และรับอิเล็กตรอนระหวา่ งอะตอมทั้งสองเกิดเป็นไอออนบวกและ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook