บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ด้านความรู้ 1. จากแบบฝกึ หดั ท่ี 1.4 เรอื่ ง หนว่ ยวดั พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่สามารถระบุหน่วยวัดปรมิ าณตา่ งๆ ของสารได้อย่างถูกต้องรอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป 2. จากแบบฝึกหัดที่ 1.4 เรอ่ื ง หน่วยวดั พบว่านักเรียนสว่ นใหญ่สามารถเปลย่ี นหนว่ ยวัดใหเ้ ป็นหนว่ ย ในระบบเอสไอด้วยการใชแ้ ฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยไดอ้ ยา่ งถูกต้องรอ้ ยละ 60 ขึ้นไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การใชจ้ ำนวน) ในระดับดขี ึน้ ไป ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างจัดการเรียนรู้ พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่มีความกระตอื รอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดขี ึน้ ไป ปญั หา/อุปสรรค ด้านความรู้ 1. นกั เรียนบางสว่ นยังไม่สามารถระบุหน่วยวัดปรมิ าณต่างๆ ของสารได้ 2. นกั เรยี นบางสว่ นยงั ไม่สามารถเปล่ยี นหน่วยวัดใหเ้ ป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วยการใชแ้ ฟกเตอร์ เปลย่ี นหน่วยได้ ด้านทักษะกระบวนการ นักเรยี นบางสว่ นมีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จำนวน) ตำ่ กวา่ ระดับดี ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนบางสว่ น (4.76%) มคี วามกระตือรือร้นในการเรยี น ตำ่ กวา่ ระดบั ดี แนวทางแก้ไข จากการสอบถามนกั เรยี นพบวา่ มีนักเรียนบางคนมีปญั หาในการใช้แอปพลิเคชันในการเรยี นออนไลน์ จงึ ทำให้ไม่สามารถเข้าเรยี นได้ จงึ ได้มีการอธิบายเนือ้ หาจุดสำคัญเพ่ิมเตมิ ลงในชอ่ งสนทนา แล้วนักเรียนกลมุ่ นั้นไดต้ ดิ ตามส่งงานตามปกติ ลงช่อื .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 รหัสวิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 ความปลอดภยั และทกั ษะในปฏิบตั กิ ารเคมี เร่อื ง วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ นำเสนอแผนการทดลอง ทดลอง และเขียนรายงานการทดลอง 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การ คำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการ อธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวนั และการแก้ปญั หาทางเคมี 3. สาระสำคญั การทำปฏิบตั กิ ารเคมีต้องมีการวางแผนการทดลอง การทำการทดลอง การบันทกึ ขอ้ มูล สรุป และวเิ คราะห์ นำเสนอขอ้ มูล และการเขียนรายงานการทดลองที่ถกู ต้อง โดยขณะเดียวกัน การทำ ปฏบิ ัติการเคมีตอ้ งคำนึงถงึ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จิต วิทยาศาสตร์ และจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ นำเสนอแผนการทดลอง ทดลอง และเขยี นรายงานการทดลอง ด้านทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การทดลอง) ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรียนมคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ - ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - จิตวิทยาศาสตร์ 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร (รู้ เขา้ ใจ การพูดคุย รว่ มสนทนา รับฟังความเหน็ ของผอู้ ื่น) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองค์ความรู้ แสดงความคิดเห็นกับผอู้ ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเห็นในการแก้ปัญหา คดิ วิธแี ก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (การทำงานรว่ มกบั ผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศึกษา ค้นคว้าเพ่มิ เตมิ ) 7. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 7.1 มีวินยั 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 มุ่งมน่ั ในการทำงาน
8. ข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี 1 (เวลา 1 ชัว่ โมง) ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครูสาธิตแสดงการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เห็นการเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ เป็นการผสมสารสอง ชนิดแล้วสารเปลี่ยนสหี รือเกิดฟองแก๊ส เพื่อกระตุน้ ให้นักเรียนไดส้ ังเกตและการตั้งสมมติฐานซ่ึงเป็น จดุ เรมิ่ ต้นของทกั ษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี ครูให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 6 คน จากนัน้ ใหศ้ กึ ษา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาที) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปความรู้ที่ได้จากใบความรู้ จากนั้นครูยกตัวอย่าง สถานการณ์ เพอ่ื ให้นกั เรียนทบทวนเก่ียวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ รายละเอยี ดดงั นี้ นักเรียนคนหนึ่งชื่อ โบรมีน ดื่มน้ำอัดลมแล้วพบว่าน้ำอัดลมที่แช่เย็นมีความซ่ามากกว่า นำ้ อัดลมทไ่ี มแ่ ชเ่ ยน็ จงึ เกดิ ความสงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนัน้ จากการที่นกั เรยี นสงั เกตว่า เมอ่ื ด่มื นำ้ อัดลมทีแ่ ช่เยน็ แล้วร้สู ึกมีความซ่ามากกว่านำ้ อัดลมที่ไม่ เย็น นักเรียนจึงคิดว่า ความเข้มข้นของกรดคาร์บอกนิกที่อยู่ในนำ้ อัดลมเป็นสาเหตุทำให้น้ำอัดลมมี ความซา่ จึงตงั้ สมมติฐานว่า “น้ำอัดลมที่แชเ่ ยน็ จะมีความเข้มข้นของกรดคาร์บอนิกมากกว่าน้ำอัดลม ท่ไี ม่แช่เยน็ ”จึงวางแผนการทดลองโดยการวดั ค่า pH ของน้ำอัดลมที่เพง่ิ เปิดขวดทงั้ ที่แชเ่ ยน็ และไม่แช่ เย็น เมื่อนักเรียนทำการทดลองตามแผนที่วางไว้ พบว่าน้ำอัดลมที่แช่เย็นมีค่า pH เท่ากับ 2 และ น้ำอัดลมที่อุณหภูมิห้อง pH มีค่าเท่ากับ 3 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ นักเรียนจึงสรุปการ ทดลองวา่ น้ำอดั ลมทแ่ี ชเ่ ยน็ มีความเข้มข้นของกรดคาร์บอกนกิ มากกวา่ จงึ มีความซา่ มากกว่าน้ำอัดลม ท่ไี ม่แชเ่ ย็น ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาท)ี ครใู ห้นักเรยี นตอบคำถามจากสถานการณต์ ัวอย่างเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ ดงั น้ี 1) โบรมนี คำนงึ ถึงวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์หรือไม่ อยา่ งไร (แนวคำตอบ : คำนึง เนื่องจากมีการสังเกต การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมติฐาน การ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์ผล และการสรุปผล) 2) การออกแบบการทดลองสอดคล้องกับสมมติฐานทตี่ งั้ ไวห้ รือไม่อย่างไร (แนวคำตอบ : สอดคลอ้ งเนอ่ื งจาก pH เปน็ ค่าทบ่ี อกความเขม้ ข้นของกรดในสารละลาย การ เปรียบเทยี บค่า pH จึงสามารถบอกความเข้มขน้ ของกรดคารบ์ อกนกิ ท่ีอยูใ่ นน้ำอดั ลมได)้ 3) การสรุปผลการทดลองสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบสมมติฐานหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคำตอบ : สอดคลอ้ งกบั ข้อเท็จจรงิ ทรี่ ะบวุ ่าน้ำอัดลมที่แช่เยน็ มีความเขม้ ขน้ ของกรดคาร์ บอกนกิ มากกวา่ แตไ่ ม่สอดคลอ้ งกับขอ้ เท็จจริงที่สรุปว่านำ้ อัดลมท่แี ช่เยน็ มีความซา่ มากกว่าเน่ืองจาก เป็นการสรุปที่เกนิ กว่าขอ้ เทจ็ จริงทไ่ี ดจ้ ากการตรวจสอบ) 4) สมมติฐานที่ตั้งไว้สอดคล้องกับสิ่งที่สังเกตได้ว่าน้ำอัดลมที่แช่เย็นมีความซ่ามากกว่า นำ้ อัดลมที่ไม่แช่เย็นหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคำตอบ : สมมติฐานไม่สอดคล้องกับข้อสังเกต เนื่องจากไม่ทราบความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ความซ่ากบั ความเข้มข้นของกรดคาร์บอกนกิ )
5) ถ้าตอ้ งการออกแบบการทดลองเพ่อื ตอบคำถามวา่ เพราะเหตใุ ดเมื่อดืม่ น้ำอัดลมท่ีแช่เย็น จะรู้สกึ มีความรสู้ ึกซ่ามากกว่าน้ำอดั ลมทไ่ี ม่แชเ่ ย็น ควรมขี ้อมูลใดเพ่มิ เติมบา้ ง (แนวคำตอบ : องคป์ ระกอบในน้ำอัดลม ปัจจยั ทีท่ ำใหเ้ กดิ ความซ่า) ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (10 นาท)ี นกั เรยี นนำเสนอคำตอบท่ีไดจ้ ากการจากสถานการณ์ตวั อยา่ ง และอภิปรายร่วมกัน ชัว่ โมงท่ี 2-3 (เวลา 2 ช่วั โมง) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครทู บทวนเกี่ยวกบั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีข้นั ตอน 1) การสังเกต 2) การตั้งสมมติฐาน 3) การตรวจสอบสมมตฐิ าน 4) การรวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์ผล และ5) การสรุปผล ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1. ครใู ห้ความรูเ้ กยี่ วกับหวั ขอ้ ทีค่ วรมีในการเขียนรายงานการทดลอง 2. นักเรียนทำกิจกรรม 1.2 ออกแบบการทดลองและทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบความ แมน่ จากการวดั ปริมาตรน้ำด้วยกระบอกตวงทม่ี ขี นาดตา่ งกนั พรอ้ มทง้ั เขยี นรายงานการทดลอง ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (20 นาที) นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอกิจกรรม 1.2 ออกแบบการทดลองและทำการทดลองเพ่ือ เปรยี บเทยี บความแมน่ จากการวดั ปรมิ าตรน้ำด้วยกระบอกตวงท่ีมีขนาดต่างกัน ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาท)ี ครูให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ จากนั้นให้ นักเรียนตอบคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ว่าจากการที่นักเรียนทำการทดลอง นักเรียนได้ใช้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ ดบ้าง ขั้นประเมนิ (Evaluation) (20 นาที) นักเรียนสะท้อนความเข้าใจและแสดงถึงความตระหนักเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละจิตวิทยาศาสตร์ โดยสรปุ ความรเู้ ป็นแผนผังมโนทัศน์
9. การวัดและประเมนิ ผล/หลักฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ วี ดั เครือ่ งมอื วดั เกณฑ์การวัด ผ่านเกณฑร์ ้อย ดา้ นความรู้ ละ 60 ขึน้ ไป นำเสนอแผนการทดลอง ทดลอง 1. ตรวจจากใบกจิ กรรม 1.2 1. ใบกจิ กรรม 1.2 การ ผ่านเกณฑ์ ระดบั ดี และเขยี นรายงานการทดลอง การออกแบบและทดลอง ออกแบบและทดลอง ขน้ึ ไป ผา่ นเกณฑ์ใน เปรียบเทยี บความแม่นใน เปรยี บเทียบความแมน่ ใน ระดบั ดขี ึ้นไป การวัดปรมิ าตรนำ้ ดว้ ย การวัดปริมาตรน้ำดว้ ย กระบอกตวงทมี่ ขี นาด กระบอกตวงทม่ี ีขนาด ตา่ งกนั ตา่ งกนั 2. ตรวจจากผังมโนทศั น์ 2. แบบประเมินผังมโน ทศั น์ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทาง ประเมินทกั ษะกระบวนการ แบบประเมินทกั ษะ วทิ ยาศาสตร์ (การทดลอง) ทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นักเรยี นมคี วามกระตอื รือรน้ ในการ สังเกตพฤติกรรมระหวา่ ง แบบประเมินพฤติกรรม เรยี น จัดการเรยี นรู้ ระหว่างจัดการเรยี นรู้ 10. สือ่ และแหลง่ เรยี นรู้ ส่อื การเรียนรู้ ใบกจิ กรรม 1.2 การออกแบบและทดลอง แหล่งการเรยี นรู้ - หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - หอ้ งสมดุ โรงเรียน
บนั ทกึ หลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ด้านความรู้ จากใบกจิ กรรม 1.2 การออกแบบและทดลองเปรียบเทียบความแม่นในการวัดปริมาตรนำ้ ด้วย กระบอกตวงทีม่ ีขนาดต่างกนั และแบบประเมนิ ผงั มโนทศั น์ พบวา่ นักเรยี นสว่ นใหญ่สามารถนำเสนอแผนการ ทดลอง ทดลอง และเขยี นรายงานการทดลองผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ข้ึนไป (ทำกิจกรรมผ่านการดูวิดีทัศน์ นำเสนอและอภปิ รายร่วมกัน) ดา้ นทักษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การทดลอง ดูจากรายงายการทดลองและการถาม-ตอบในชัน้ เรียน) ในระดับดขี น้ึ ไป ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหวา่ งจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่มีความกระตือรือรน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ดขี น้ึ ไป ปญั หา/อปุ สรรค ดา้ นความรู้ นักเรยี นบางส่วนยังไม่สามารถนำเสนอแผนการทดลอง ทดลอง หรอื เขียนรายงานการทดลองได้ ด้านทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยงั ขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การทดลอง) ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนบางสว่ น (14.29%) มีความกระตอื รือร้นในการเรยี น ตำ่ กวา่ ระดับดี แนวทางแก้ไข สงั เกต ติดตาม และเพิ่มความดูแลนกั เรียนคนทมี่ ีปัญหาขา้ งต้นเป็นรายบุคคล ลงชอ่ื .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 5 รหัสวชิ า ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 2 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 อะตอมและสมบัตขิ องธาตุ เรือ่ ง แบบจำลองอะตอมของดอลตันและทอมสนั ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นขอ้ มูลสมมติฐาน การทดลองหรือผลการทดลองที่เปน็ ประจกั ษพ์ ยานในการเสนอ แบบจำลองอะตอมของนกั วิทยาศาสตรแ์ ละอธิบายววิ ฒั นาการของแบบจำลองอะตอม 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์ รวมท้งั การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคญั อะตอมมีขนาดเลก็ มาก สายตามนษุ ย์อาจมองไม่เหน็ ได้ด้วยตาเปล่า นักวทิ ยาศาสตรจ์ ึงได้ ศึกษาโครงสรา้ งของอะตอม โดยใชก้ ารสงั เกต การทดลอง และการตงั้ สมมติฐาน และนำข้อมลู ท่ไี ด้มา สรา้ งเปน็ มโนภาพหรอื แบบจำลองให้สามารถมองเหน็ และเข้าใจโครงสรา้ งอะตอมงา่ ยมากขึน้ แบบจำลองอะตอมเปน็ ภาพทางความคิดท่ีแสดงให้เห็นรายละเอยี ดของโครงสร้างอะตอม ซึง่ จะสอดคลอ้ งกบั ผลการทดลอง และใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณ์ของอะตอมได้ เกิดเป็นแนวคิดหรอื แบบจำลองของดอลตันและทอมสนั 4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธิบายความหมายของแบบจําลองอะตอม พร้อมทงั้ บอกสาเหตุท่ที าํ ให้ แบบจําลองอะตอมเปล่ียนแปลง 2. อธบิ ายแบบจําลองอะตอมของดอลตนั และทอมสนั ด้านทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การสร้างแบบจําลอง) ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนมีความกระตอื รอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - แบบจําลองอะตอมของดอลตนั - แบบจําลองอะตอมของทอมสัน 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 6.1 ความสามารถในการส่อื สาร (รู้ เข้าใจ การพดู คยุ รว่ มสนทนา รับฟังความเหน็ ของผอู้ น่ื ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สรา้ งองค์ความรู้ แสดงความคดิ เหน็ กับผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแกป้ ญั หา คิดวิธแี กป้ ัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (การทำงานรว่ มกบั ผ้อู ่ืนไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศึกษา ค้นควา้ เพม่ิ เตมิ )
7. คุณลักษณะอนั พึงประสงค 7.1 มีวนิ ยั 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 ม่งุ ม่นั ในการทำงาน 8. ขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ช่ัวโมงท่ี 1 (เวลา 1 ชวั่ โมง) ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างกระบวนการและทักษะที่ใช้ในการทดลองหรือการท ำโครงงาน วิทยาศาสตร์ ซึ่งควรได้คำตอบว่ากระบวนที่ใช้ในการทดลอง หรือการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เช่น การวางแผนการทดลอง การศึกษาและรวบรวมข้อมูล การดำเนินงาน การวิเคราะห์ข้อมูล การ นําเสนอข้อมูล ส่วนทักษะที่ใช้ในการทดลองหรือการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การ ตั้งสมมตฐิ าน การทําการทดลอง การจดั กระทําข้อมูล การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากนั้น ครูโยงเข้าสู่บทเรียนโดยอธิบายให้นักเรียนทราบว่า การทํางานของนักวิทยาศาสตร์ เช่น การศึกษา โครงสรา้ งอะตอม ตอ้ งใชก้ ระบวนการหรอื ทักษะต่าง ๆ เช่นเดยี วกับท่กี ลา่ วมา ข้นั สำรวจและค้นหา (Exploration) (15 นาที) ครูให้ความร้เู ก่ียวกับแนวคิดของดโิ มครติ ุสท่ีว่า ถา้ แบ่งส่ิงต่าง ๆ ใหม้ ขี นาดเลก็ ลงเรอ่ื ย ๆ จะ ไดห้ นว่ ยยอ่ ยท่ีไมส่ ามารถแบง่ ให้เล็กลงไดอ้ กี หน่วยยอ่ ยนี้เรยี กวา่ อะตอม จากน้ันอภิปรายร่วมกันถึง วิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ศึกษาเกี่ยวกับโครงสรา้ งอะตอมซึ่งมขี นาดเล็กมากและมองไม่เห็นด้วยตา เปลา่ แล้วนําเขา้ สูก่ จิ กรรม 2.1 กล่องปริศนา โดยกิจกรรมนต้ี อ้ งการฝกึ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การส่ือสารขอ้ มูลและการทํางานรว่ มกันเปน็ กลุ่ม ไม่เน้นคําตอบ วา่ ถกู หรอื ผิด แต่ให้พจิ ารณาการใหเ้ หตแุ ละผลท่ีสอดคล้องกับผลการทดลอง และเพื่อใหส้ อดคล้องกับ วธิ ีการท่ีนกั วทิ ยาศาสตร์ใชศ้ กึ ษาหาข้อมลู กับสิ่งที่มองไมเ่ หน็ ครูจงึ ไมต่ อ้ งเฉลยส่งิ ทอี่ ย่ใู นกล่องปริศนา แมว้ า่ นักเรยี นจะทาํ กิจกรรมเสรจ็ แล้ว ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (15 นาท)ี 1. ครูให้ความรู้เพิม่ เติมเพื่อเชื่อมโยงวิธีการที่ใช้ในการศึกษากล่องปริศนา ไปสู่กระบวนการ สืบเสาะหาความรู้และใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพือ่ หาองค์ความรู์ใหม่ เช่น การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การรวบรวมข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป การสร้าง แบบจําลอง จากนั้นครูตั้งคาํ ถามให้ร่วมกนั อภิปรายวา่ นักวิทยาศาสตรม์ ีวิธีการอย่างไรในการศึกษา และอธิบายโครงสร้างอะตอมซึ่งมีขนาดเลก็ มากและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซ่ึงควรได้ข้อสรุปร่วมกนั ว่าต้องทําการศึกษาโดยอาศัยการสร้างแบบจําลองอะตอมที่สอดคล้องกับผลการทดลอง และ แบบจําลองท่สี รา้ งขึ้นนั้นสามารถเปล่ียนแปลงไดต้ ามขอ้ มลู และผลการทดลองทเี่ พิ่มข้นึ 2. นักเรยี นตอบคำถามหลังทำกิจกรรม 2.1 กล่องปรศิ นา จากน้นั เฉลยคำตอบ อภปิ รายและ สรปุ ผลรว่ มกนั ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาท)ี ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มสืบคน้ ขอ้ มูลเกย่ี วกับท่มี าและลักษณะของแบบจําลองอะตอมของดอล ตันจากใบความรู้ 2.1 แบบจำลองอะตอม หรือจากแหล่งเรียนอื่นๆ จากนั้นอภิปรายร่วมกันและ นําเสนอแบบจําลองที่กลุ่มของตนคิดว่าสอดคล้องกับทฤษฎีอะตอมของดอลตัน พร้อมให้เหตุผล
ประกอบ โดยแบบจำลองที่นักเรียนเสนออาจเป็นรูปสามมิติใดๆ เช่น ทรงกลมขนาดต่างๆกัน หรือ รปู ทรงอ่นื ๆ เนือ่ งจากแตล่ ะธาตุมีลกั ษณะเฉพาะตัว แล้วจงึ เปรียบเทียบกบั แบบจำลองอะตอม ของดอลตัน ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) นกั เรยี นทำแบบฝกึ หดั 2.1.1 เรื่อง แบบจำลองอะตอมของดอลตัน และรว่ มกนั เฉลย ชว่ั โมงที่ 2 (เวลา 1 ช่ัวโมง) ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครูตั้งคําถามว่า ในปัจจุบันทราบว่าอะตอมของธาตุชนิด เดียวกันอาจมีมวลไม่เท่ากัน และ อะตอมมีอนุภาคโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนเป็นองค์ประกอบ ข้อมูลเหล่านี้ไม่สอดคล้องกบั ขอ้ ความใดในแบบจำลองของดอลตนั ซ่ึงคำตอบของคำถามจะนําไปสู่ข้อสรุปทีว่ ่าแบบจําลองอะตอม ของดอลตนั ไม่ถูกตอ้ งจึงตอ้ งมีการศึกษาเพม่ิ เตมิ เพอื่ สรา้ งแบบจําลองอะตอมอื่น ๆ ต่อไป ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploration) (10 นาที) 1. ครูให้ความรู้เกี่ยวกับหลอดรังสีแคโทดว่า เป็นหลอดแก้วที่มีแก๊สความดันต่ำบรรจุอยู่ ภายใน มีขั้วไฟฟ้าต่อกบั แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้าสกั ย์สงู เมื่อทำให้ขั้วไฟฟ้าทัง้ สองขั้วมีความต่างศักย์สูงข้ึน แกส๊ จะแตกตัวเปน็ อะตอมและมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น 2. ให้นกั เรียนศกึ ษาการเคล่ือนทข่ี องรังสแี คโทดจากใบความรู้ 2.1 จากนัน้ รว่ มกันอภปิ รายซึ่ง ควรได้ข้อสรุปว่ารังสีแคโทดเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบเนื่องจากเบนเข้าหาขั้วบวกในสนามไฟฟ้า รังสีแคโทดเบี่ยงในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้เมือ่ ปรับสนามไฟฟา้ และแม่เหล็กจนแนวการเคลื่อนที่ของ รังสีแคโทดเป็นเส้นตรง จะทำให้สามารถคำนวณอัตราส่วนของประจุต่อมวล (e/m) ของอนุภาคใน รงั สแี คโทดได้ ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (15 นาท)ี ครตู ง้ั คำถามวา่ ผลการทดลองของทอมสนั ซ่งึ พบวา่ ค่าประจุตอ่ มวลของรังสีแคโทดมีค่าคงท่ี ไม่ขึ้นกับชนิดของแก๊สที่บรรจุในหลอดและโลหะที่ใช้ทำขั้วไฟฟ้า นักเรียนแปลความหมายผลการ ทดลองนี้ไดอ้ ย่างไร ซึ่งนักเรียนควรได้ข้อสรุปว่าอนภุ าคของรังสีแคโทดเป็นองค์ประกอบของสารทุก ชนิด ซึ่งอนุภาคนี้ภายหลังเรียกว่า อิเล็กตรอน จากนั้นครูเชื่อมโยงให้นักเรียนทราบว่าการค้นพบ อเิ ลก็ ตรอนในอะตอม ไม่สอดคล้องกบั ทฤษฎีอะตอมของดอลตันทีว่ า่ อะตอมแบ่งแยกไม่ได้ ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาท)ี ครูให้นักเรียนลองเขียนแบบจําลองอะตอม ตามข้อมูลที่นักเรียนได้เรียนรู้ โดยครูอาจให้ ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้า (แบบจําลองที่นักเรียนเสนอไม่จําเป็นต้องถูกต้อง) จากนั้นให้นําแบบจําลองของนกั เรียนไปเปรียบเทียบกับแบบจําลองอะตอมของทอมสัน และร่วมกนั สรุปรายละเอยี ดแบบจาํ ลองอะตอมของทอมสัน ข้ันประเมิน (Evaluation) (10 นาที) นกั เรยี นทำแบบฝึกหัด 2.1.1 เรอื่ ง แบบจำลองอะตอมของทอมสนั และร่วมกันเฉลย
9. การวัดและประเมินผล/หลกั ฐานหรือรอ่ งรอยของการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ วี ัด เคร่ืองมอื วดั เกณฑ์การวัด ดา้ นความรู้ 1. สืบค้นขอ้ มูลและอธิบาย 1. ตรวจจากใบกจิ กรรม 2.1 1. ใบกิจกรรม 2.1 ผ่านเกณฑ์ร้อย ละ 60 ข้นึ ไป ความหมายของแบบจําลองอะตอม กลอ่ งปริศนา กลอ่ งปรศิ นา พรอ้ มทงั้ บอกสาเหตทุ ่ีทาํ ให้ 2. ตรวจจากแบบฝึกหัด 2. แบบฝึกหัด 2.1.1 แบบจาํ ลองอะตอมเปลย่ี นแปลง 2.1.1 แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอม 2. อธิบายแบบจําลองอะตอมของ ของดอลตันและทอมสนั ของดอลตันและทอม ดอลตันและทอมสัน สัน ดา้ นทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประเมินทกั ษะกระบวนการ แบบประเมนิ ทกั ษะ ผา่ นเกณฑ์ (การสร้างแบบจําลอง) ระดับดี ทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง ขน้ึ ไป วทิ ยาศาสตร์ ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรยี นมีความกระตือรอื รน้ ในการ สงั เกตพฤตกิ รรมระหวา่ ง แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑใ์ น เรยี น จัดการเรียนรู้ ระหว่างจัดการเรียนรู้ ระดบั ดีขนึ้ ไป 10. สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ สือ่ การเรียนรู้ แบบฝกึ หัด 2.1.1 แบบจำลองอะตอมของดอลตนั และทอมสัน แหลง่ การเรียนรู้ - หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ โดยสถาบันสง่ เสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร - ห้องสมดุ โรงเรียน
แบบฝกึ หดั 2.1.1 แบบจำลองอะตอมของดอลตันและทอมสนั คำชแ้ี จง 1. ใหน้ กั เรยี นศึกษา คน้ คว้าเก่ียวกับแบบจำลองอะตอม 2. ออกแบบ สร้างเป็นแบบจำลองอะตอม และเปรยี บเทยี บแบบจำลองท่นี กั เรยี นเสนอกบั แบบจำลอง ในใบความรู้ 3. อธิบายลักษณะของแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของดอลตัน ท่ีมาของแบบจำลองอะตอม …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… อา้ งองิ …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แบบจำลองอะตอม
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบจำลองอะตอมของทอมสัน ท่มี าของแบบจำลองอะตอม …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… ………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………… อ้างองิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม
อธิบาย สรปุ สาระสำคัญของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เฉลย แบบฝึกหัด 2.1.1 แบบจำลองอะตอมของดอลตันและทอมสนั คำชี้แจง 1. ใหน้ กั เรยี นศกึ ษา คน้ คว้าเก่ยี วกับแบบจำลองอะตอม 2. ออกแบบ สร้างเปน็ แบบจำลองอะตอม และเปรียบเทียบแบบจำลองทน่ี กั เรียนเสนอกับแบบจำลอง ในใบความรู้ 3. อธิบายลักษณะของแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของดอลตนั ทีม่ าของแบบจำลองอะตอม ใน ค.ศ.1803 จอห์นดอลตัน (John Dalton) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับอะตอม ซึ่งไม่ได้ทดลองแต่ รวบรวมขอ้ มูลจากนกั วทิ ยาศาสตรห์ ลาย ๆ ท่าน ซงึ่ ตอ่ มา เรียกวา่ ทฤษฎอี ะตอมของดอลตนั อ้างอิง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของดอลตัน อธบิ าย สรปุ สาระสำคัญของแบบจำลองอะตอม ทฤษฎีอะตอมของดอลตนั มขี ้อสรุปต่อไปนี้ 1. ธาตเุ กิดจากการรวมตัวกันของอนภุ าคทเ่ี ลก็ ท่สี ุด เรยี กว่า “อะตอม” 2. อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมคี ุณสมบัตเิ หมือนกัน และตา่ งจากอะตอมของธาตุอ่นื 3. สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุตงั้ แต่ 2 ชนิดขึน้ ไปรวมกนั ด้วยอัตราส่วนคงที่คา่ หนงึ่ 4. อะตอมไม่สามารถทำลายได้ดว้ ยวธิ ที างเคมี ไมส่ ามารถสารา้ งขนึ้ ใหม่ และแยกย่อยออกไม่ได้
แบบจำลองอะตอมของทอมสนั ท่ีมาของแบบจำลองอะตอม ใน ค.ศ. 1897 เซอรโ์ จเซฟ จอหน์ ทอมสนั (Sir Joseph John Thomson) ได้ทดลองเก่ียวกับการนำ ไฟฟ้าของแกส๊ ในหลอดรงั สีแคโทดแล้วสรปุ ผลการทดลองดงั น้ี ทอมสันทำการทดลองด้วยการผ่านไฟฟ้ากระแสตรงเขา้ ไปในหลอดรังสีแคโทด ซึ่งประกอบด้วยแก้ว บรรจุแก๊สภายใต้ความดันต่ำเกือบเป็นสุญญากาศ มีความต่างศักย์สูง จะเกิดลำแสงผ่านจากขั้วแคโทดไปที่ แอโนดผ่านไปยังฉากเรืองแสงที่ฉาบดว้ ยซิงค์ซัลไฟด์ (ZnS) จากนั้นทอมสันเพ่ิมขั้วไฟฟ้าบวกและลบเข้าไปใน หลอดรงั สีแคโทด ขัว้ ทั้งสองนีท้ ำให้เกิดสนามไฟฟา้ ตง้ั ฉากกับทิศทางของรังสี จะพบวา่ รังสีเบนเข้าหาขั้วบวก ของสนามไฟฟ้า ทอมสันนำขั้วไฟฟ้าออก แล้วใช้แท่งแม่เหล็กรูปเกือกม้าแทน พบว่ารังสีเบนเข้าหา สนามแมเ่ หล็ก ทอมสนั ลองเปลยี่ นชนิดของแก๊สและชนิดของโลหะท่ีใช้เปน็ ข้ัวแคโทด แลว้ ทำการทดลองเหมือนเดิม ปรากฏวา่ ผลการทดลองเหมือนกันหมด จากการทดลองทอมสนั สรุปว่า 1. รังสจี ากขัว้ แคโทดเป็นลำอนภุ าคที่มีประจุลบ 2. รงั สแี คโทดพบในทุกธาตุ จงึ เปน็ ส่วนยอ่ ยของธาตุ 3. ให้ชือ่ รังสแี คโทดว่า “อเิ ลก็ ตรอน” 4. ประจุต่อมวลอเิ ลก็ ตรอน q/me = 1.76 x 108 C/g อา้ งอิง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของทอมสัน อธบิ าย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม อะตอมมีลักษณะเป็นกลุ่มหมอกทรงกลม มีประจุทางไฟฟ้าเป็นบวก มีอิเล็กตรอนกระจายอยู่ทั่วไป และอะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้ามีจำนวนประจุบวกเท่ากับประจุลบ กระจายอยู่ทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ อะตอมมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟา้
บันทกึ หลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ด้านความรู้ 1. จากใบกิจกรรม 2.1 กล่องปรศิ นา พบว่านกั เรยี นส่วนใหญ่สามารถสบื ค้นขอ้ มูลและอธบิ าย ความหมายของแบบจําลองอะตอม พร้อมทั้งบอกสาเหตุท่ีทําใหแ้ บบจําลองอะตอมเปลยี่ นแปลงไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ งร้อยละ 60 ขน้ึ ไป 2. จากแบบฝึกหัด 2.1.1 แบบจำลองอะตอม ของดอลตันและทอมสัน พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่ สามารถอธบิ ายแบบจําลองอะตอมของดอลตันและทอมสันไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งร้อยละ 60 ขึน้ ไป ดา้ นทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญม่ ีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (ปรบั เปน็ การสร้างแบบจาํ ลอง 2 มิต)ิ ในระดับดขี ้นึ ไป ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบประเมินพฤติกรรมระหว่างจัดการเรยี นรู้ พบว่านกั เรยี นสว่ นใหญ่มคี วามกระตือรอื รน้ ในการ เรียน ผา่ นเกณฑใ์ นระดบั ดีข้ึนไป ปญั หา/อุปสรรค ด้านความรู้ 1. นกั เรียนบางส่วนยงั ไม่สามารถสืบคน้ ข้อมูลและอธบิ ายความหมายของแบบจาํ ลองอะตอม พรอ้ ม ท้งั บอกสาเหตุท่ีทําให้แบบจําลองอะตอมเปล่ยี นแปลงได้ 2. นกั เรียนบางสว่ นยงั ไม่สามารถอธบิ ายแบบจาํ ลองอะตอมของดอลตันและทอมสันได้ ด้านทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางสว่ นยงั ขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การสร้างแบบจําลอง) เนื่องจากอาจยงั ขาดความเขา้ ใจในเน้อื หา ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นบางสว่ น (19.01%) มีความกระตือรือรน้ ในการเรียน ตำ่ กวา่ ระดับดี แนวทางแกไ้ ข ตอ้ งมกี ารทบทวนและอธิบายเพม่ิ เติมก่อนเรมิ่ เนอ้ื หาถัดไป ลงชอื่ .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาลี) .........../................../..............
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 6 รหสั วชิ า ว30221 วิชา เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 3 ช่ัวโมง หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ เรอ่ื ง แบบจำลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ด โบร์ และกลมุ่ หมอก ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ สบื คน้ ข้อมลู สมมติฐาน การทดลองหรือผลการทดลองท่เี ปน็ ประจักษ์พยานในการเสนอ แบบจำลองอะตอมของนักวทิ ยาศาสตร์และอธิบายววิ ฒั นาการของแบบจำลองอะตอม 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมท้งั การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคัญ แบบจำลองสร้างขน้ึ จากผลการทดลองและองค์ความร้ทู ่มี ีอยขู่ ณะนน้ั ซง่ึ เปลย่ี นแปลงไดเ้ ม่อื มี ข้อมูลหรือผลการทดลองใหม่ นกั วทิ ยาศาสตร์ใชว้ ิธสี รา้ งแบบจำลองเพือ่ ศึกษาสิง่ ทม่ี องไม่เหน็ รวมถงึ เร่ืองอะตอม โดยจะใชผ้ ลการทดลองและความรู้ท่ีคน้ พบแล้วเป็นพืน้ ฐานในการศกึ ษาสง่ิ ท่ีสนใจต่อไป เพ่ือใหไ้ ด้องค์ความรูใ้ หมๆ่ ไดเ้ ป็นแนวคิดหรอื แบบจำลองของรัทเทอรฟ์ อรด์ โบร์ และกล่มุ หมอก 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ 1. สบื คน้ ข้อมูลและอธบิ ายความหมายของแบบจำลองอะตอม พรอ้ มทั้งบอกสาเหตุท่ีทำให้ แบบจำลองอะตอมเปล่ยี นแปลง 2. อธิบายแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอรด์ โบร์ และกลุ่มหมอก ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การสร้างแบบจำลอง) ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรียนรู้ - แบบจำลองอะตอมของรทั เทอรฟ์ อร์ด - แบบจำลองอะตอมของโบร์ - แบบจำลองอะตอมของกลุ่มหมอก 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 6.1 ความสามารถในการสือ่ สาร (รู้ เข้าใจ การพดู คยุ รว่ มสนทนา รบั ฟงั ความเห็นของผ้อู ่ืน) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองค์ความรู้ แสดงความคดิ เหน็ กบั ผอู้ ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา (นำเสนอแนวความคดิ เหน็ ในการแกป้ ญั หา คดิ วิธแี กป้ ญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (การทำงานรว่ มกบั ผู้อน่ื ได้อยา่ งมคี วามสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศกึ ษา คน้ ควา้ เพมิ่ เตมิ )
7. คุณลักษณะอนั พึงประสงค 7.1 มีวนิ ยั 7.2 ใฝเ่ รยี นรู้ 7.3 มุง่ มั่นในการทำงาน 8. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชั่วโมงที่ 1 (เวลา 1 ชว่ั โมง) ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเพ่ือทบทวนแบบจำลองอะตอมของดอลตันและทอมสนั และ ให้ความรวู้ า่ นอกจากดอลตันและทอมสนั แล้วยังมีรัทเทอร์ฟอรด์ ซ่งึ เปน็ นกั วิทยาศาสตรอ์ ีกทา่ นทไ่ี ด้ทํา การทดลองเพื่อศึกษาโครงสร้างอะตอม จากน้ันถามคําถามว่า รัทเทอรฟ์ อร์ดทําการทดลองเพื่อศกึ ษา โครงสร้างอะตอมอยา่ งไร และผลการทดลองที่ได้สอดคล้องหรือขดั แยง้ กับแนวคดิ ของทอมสนั ข้นั สำรวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี ใหน้ ักเรียนสบื คน้ ข้อมลู การทดลองเพื่อศกึ ษาโครงสรา้ งอะตอมของรทั เทอรฟ์ อร์ดจาก หลายๆแหลง่ และอ้างองิ แหล่งที่มาทุกแหลง่ ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาท)ี ใหน้ กั เรียนนำเสนอ อธบิ ายผลการคน้ พบของรทั เทอร์ฟอร์ด ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที) 1. ให้นกั เรยี นเสนอแบบจาํ ลองอะตอมที่สอดคล้องกบั ผลการทดลองของรัทเทอรฟ์ อรด์ แล้ว เปรียบเทยี บแบบจําลองของนักเรียนกับแบบจาํ ลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อรด์ 2. ครูตงั้ คำถามว่าเพราะเหตุใด จงึ มีการหาขอ้ มูลเพิ่มเติม เพอื่ ใช้สรา้ งแบบจําลองใหม่ ซง่ึ ควร ได้คำตอบวา่ แบบจําลองของรทั เทอรฟ์ อร์ดเปน็ แบบจาํ ลองทยี่ ังไม่มีรายละเอยี ดวา่ อิเลก็ ตรอนรอบ ๆ นิวเคลยี สอยู่กันอย่างไร ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาที) นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ด และรว่ มกันเฉลย ชั่วโมงท่ี 2-3 (เวลา 2 ชัว่ โมง) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครูและนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายเพอ่ื ทบทวนแบบจำลองอะตอมที่ได้ศกึ ษามาแลว้ ซ่ึง แบบจาํ ลองของรัทเทอร์ฟอร์ดนนั้ เป็นแบบจําลองท่ียังไมม่ รี ายละเอียดวา่ อิเลก็ ตรอนรอบ ๆ นวิ เคลียสอยกู่ ันอย่างไร จึงมีนกั วทิ ยาศาสตร์อีกท่านที่ได้ทําการทดลองเพื่อศกึ ษาโครงสรา้ งอะตอม คอื นลี ส์ โบร์ จากน้นั ตง้ั คาํ ถามวา่ โบร์ทําการทดลองเพอื่ ศึกษาโครงสรา้ งอะตอมอย่างไร และผลการ ทดลองทไ่ี ด้เป็นอย่างไร ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (50 นาที) 1. ครูใหค้ วามรูเ้ กยี่ วกับความหมายของสเปกตรัมแม่เหลก็ ไฟฟ้าซง่ึ ประกอบด้วยคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่มี คี วามยาวคล่ืนต่าง ๆ และมีความถีต่ อ่ เนอื่ งเป็นชว่ งกว้าง ๆ รวมทั้งสมบัติต่าง ๆ ของ คลื่น คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แสงทม่ี องเห็นได้ และช่วงความยาวคลื่นของแถบสีต่าง ๆ ในสเปกตรมั ของ แสงขาว
2. ครใู หค้ วามรูเ้ รอื่ งความสัมพันธข์ องพลงั งาน ความถ่ี และความยาวคลน่ื ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าตามสมการของพลังค์ จากนัน้ ให้นักเรียนฝกึ คาํ นวณ 1) เส้นสเปกตรัมของธาตุชนิดหน่ึงมี 2 เสน้ คือ เส้นสีมว่ งท่ีมีความยาวคลน่ื 410 นา โนเมตร และเสน้ สนี ำ้ เงินทมี่ คี วามยาวคล่นื 434 นาโนเมตร จะมพี ลงั งานต่างกันเทา่ ใด (แนวตอบ : เส้นสเปกตรัมสีม่วงมีความยาวคลน่ื 410 นาโนเมตร มคี า่ เทา่ กบั 4.1 × 10-7 เมตร E = hc λ = (6.626 × 10−34J•s)(3 × 108m/s) 4.1 × 10−7m = 4.85 × 10-19J เสน้ สเปกตรมั สีนำ้ เงินมคี วามยาวคลืน่ 434 นาโนเมตร มีค่าเท่ากบั 4.34 × 10-7 เมตร E = hc λ = (6.626 × 10−34J•s)(3 × 108m/s) 4.34 × 10−7m = 4.58 × 10-19J ดงั นนั้ เส้นสเปกตรมั ทง้ั 2 เส้น มีพลงั งานต่างกัน = (4.85 × 10-19) – (4.58 × 10-19) = 2.7 × 10-20 จูล) 2) ธาตุชนดิ หนง่ึ เมือ่ นำไปเผาไฟจะเกิดสเปกตรมั หลายเส้น จากการทดลอง พบวา่ เส้นสเปกตรัมหนงึ่ มพี ลังงาน 8.64 × 10-22 กโิ ลจูล สเปกตรมั เส้นดงั กลา่ วจะมีความยาวคล่ืนและ ความถเ่ี ท่าใด (แนวตอบ : พลังงาน 8.64 × 10-22 กโิ ลจลู มีค่าเท่ากับ 8.64 × 10-19 จูล หาความยาวคล่นื ของเสน้ สเปกตรัมน้ีได้จาก E = hc λ λ = hc E = (6.626 × 10−34J•s)(3 × 108m/s) 8.64 × 10−19J = 2.3 ×10-7 m ดงั นัน้ สเปกตรัมเส้นดังกล่าวมคี วามยาวคลนื่ 2.3 ×10-7 เมตร หรือ 230 นาโนเมตร หาความถีข่ องเสน้ สเปกตรัมนไ้ี ดจ้ าก
v= c λ = 3 × 108m/s 2.3 × 10−7m = 1.3 × 1015 s-1 ดังนน้ั สเปกตรมั เส้นดังกล่าวมีความถ่ี 1.3 × 1015 รอบตอ่ วินาที หรือ 1.3 × 1015 เฮริ ตซ)์ 3. ครูใหน้ ักเรยี นร่วมกนั ตอบคําถามวา่ เมือ่ ธาตุไดร้ ับพลงั งานสงู มากพอจะสงั เกตเห็น สเปกตรมั ของธาตไุ ด้ นกั เรียนคดิ วา่ สเปกตรมั ของแสงขาวกบั สเปกตรมั ของธาตุเหมือนกันหรอื ไม่ อย่างไร 4. นกั เรียนทำกจิ กรรม 2.2 การทดลองศกึ ษาเสน้ สเปกตรมั ของธาตุ ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที) นกั เรยี นนำเสนอผลการทดลอง และอภปิ รายและสรปุ ผลรว่ มกนั ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาท)ี 1. ครูให้นักเรยี นศกึ ษาแถบสเปตรัมของแสงขาวและเส้นสเปกตรัมของธาตุ เพอ่ื เปรยี บเทียบ ความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่างธาตตุ า่ ง ๆ จากน้ันใหน้ กั เรยี นคํานวณค่าพลังงานของเสน้ สเปกตรัมแต่ละเส้นของไฮโดรเจน โดยกาํ หนดใหเ้ สน้ สเปกตรมั ท่มี องเหน็ มีความยาวคล่ืน 410 434 486 และ 656 นาโนเมตร ตามลําดับ จากน้ันให้นกั เรยี นนําผลการคํานวณแล้วนำไปเปรยี บเทยี บกับ ค่าพลงั งานในตาราง ทมี่ า : หนงั สอื เรียนรายวชิ าเคมี 1 สสวท 2. ครูตั้งคําถามว่า เส้นสเปกตรัมท่ีเห็นเกดิ จากอิเลก็ ตรอนดดู หรอื คายพลงั งาน คําตอบทไ่ี ด้ คือ คา่ พลงั งานของเสน้ สเปกตรัมทีค่ ํานวณไดส้ อดคล้องกับข้อมูลในตาราง และเสน้ สเปกตรมั ท่ีเหน็ เกิดจากอิเลก็ ตรอนคายพลงั งาน 3. ครใู หน้ ักเรียนพิจารณาผลตา่ งระหวา่ งค่าพลงั งานของเสน้ สเปกตรมั ที่อย่ตู ิดกนั จากนั้นให้ นักเรียนอภปิ รายว่าสอดคลอ้ งกบั กจิ กรรม 2.2 หรือไม่อย่างไร ซง่ึ ควรไดค้ าํ ตอบวา่ สอดคล้อง โดย ตาํ แหนง่ เสน้ สแี ดงกบั สนี ำ้ เงนิ จะหา่ งกนั มากกวา่ เสน้ สีนำ้ เงินกับคราม
ทม่ี า : หนังสือเรยี นรายวชิ าเคมี 1 สสวท 4. ครูตั้งคําถามว่า เสน้ สเปกตรมั ของไฮโดรเจนเกดิ จากอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนซง่ึ มี 1 อิเลก็ ตรอนแตจ่ ากการทดลองพบวา่ มเี ส้นสเปกตรัม 4 เส้นทมี่ ีสีตา่ งกนั ระดบั พลังงานของอิเล็กตรอน ของไฮโดรเจนมีคา่ เดียวหรอื ไม่ อย่างไร ควรได้คาํ ตอบว่ามพี ลังงานมากกวา่ 1 ระดบั โดยพลังงานของ เสน้ สเปกตรัมท้งั 4 คา่ แสดงให้ทราบถึงความแตกต่างระหวา่ งระดบั พลงั งาน 5. ครูใหค้ วามรเู้ พิ่มเตมิ วา่ นอกจากเสน้ สเปกตรมั ของไฮโดรเจนในชว่ งคลนื่ ที่ตามองเหน็ มี 4 เสน้ แลว้ นักวิทยาศาสตร์ยงั พบว่าอเิ ลก็ ตรอนของไฮโดรเจนคายพลงั งานออกมาในรูปคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในช่วงคล่นื ทตี่ ามองไมเ่ หน็ อีก เช่น อลั ตราไวโอเลต อนิ ฟราเรด และจากการคํานวณ พบว่า เสน้ สเปกตรัมของไฮโดรเจนทงั้ 4 เสน้ ทป่ี รากฏในช่วงคลืน่ ทตี่ ามองเหน็ เกิดจากอเิ ล็กตรอน คายพลงั งานเมอ่ื มกี ารเปลย่ี นระดบั พลงั งานจากระดับช้นั ท่ีสงู กว่าลงมายังชน้ั ทตี่ ่ำกวา่ ดังรูป ที่มา : คมู่ อื ครูรายวิชาเคมี 1 สสวท 6. ครใู หค้ วามรวู้ ่า จากความร้เู ก่ยี วกับการเปลีย่ นแปลงระดับพลังงานของอิเลก็ ตรอนใน อะตอมไฮโดรเจน ทาํ ใหโ้ บรเ์ สนอแบบจาํ ลองอะตอมว่า อิเลก็ ตรอนจะเคล่อื นท่ีรอบนิวเคลียสเป็นวง คล้ายกบั วงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ และในแต่ละวงจะมรี ะดบั พลงั งานเฉพาะตวั ดังรูป ที่มา : หนังสือเรียนรายวิชาเคมี 1 สสวท
7. ครูใหค้ วามรวู้ า่ ในสภาวะปกตอิ ิเลก็ ตรอนของไฮโดรเจนจะอยใู่ นระดบั พลังงานต่ำท่ีสดุ (n = 1 หรอื K) หรอื ท่ีเรียกว่าสถานะพนื้ เม่ือไดร้ บั พลังงานเพ่ิมข้ึน อเิ ล็กตรอนจะถกู กระตุน้ ไปอย่ใู น ระดับพลงั งานที่สงู ข้ึนท่ีเรียกว่าสถานะกระตุน้ ซงึ่ ไม่เสถียร อิเลก็ ตรอนจงึ กลบั ลงมายังระดบั พลงั งาน ท่ีต่ำกว่าและมคี วามเสถียรเพ่มิ ขนึ้ รวมทั้งคายพลังงานที่ปรากฏเป็นเสน้ สเปกตรัม 8. ครใู ห้นักเรยี นสงั เกตวตั ถทุ ี่เคลอื่ นที่อย่างรวดเร็ว เช่น ปลายปากกาทก่ี วดั แกวง่ จดุ สีบน ลูกข่างทีก่ ําลงั หมุน แล้วให้เสนอแบบจําลองของตําแหน่งวัตถุ และอธิบายความหมายของแบบจําลอง ซ่ึงควรสรปุ ว่า แบบจาํ ลองการเคล่ือนท่ีของวัตถุไม่สามารถบอกตําแหนง่ ที่แน่นอนของวตั ถุ ณ เวลา หนงึ่ ๆ ได้ แตเ่ ปน็ การแสดงตาํ แหนง่ โดยเฉลย่ี หรือขอบเขตของโอกาสทีจ่ ะพบวัตถุเทา่ นั้น ครูเชอ่ื มโยง กบั การเคล่ือนทขี่ องอิเลก็ ตรอนรอบนวิ เคลียสซึ่งเคลอ่ื นทอ่ี ย่างรวดเร็วตลอดเวลาในทิศทางทไ่ี ม่ แนน่ อน 9. ใหน้ ักเรียนพจิ ารณาแบบจาํ ลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก แล้วอภิปรายรว่ มกนั ว่า ความเข้ม ของกล่มุ หมอกทีแ่ สดงในแบบจําลองมีความหมายอย่างไร ซ่ึงควรได้ข้อสรปุ วา่ บริเวณที่เป็นกล่มุ หมอกทึบ แสดงวา่ มโี อกาสที่จะพบอเิ ล็กตรอนไดม้ ากกวา่ บริเวณทเ่ี ปน็ กลมุ่ หมอกจาง จากนัน้ ครใู ห้ ความรูเ้ พิ่มเติมวา่ แบบจําลองแบบกลมุ่ หมอกคํานวณได้โดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์ ขัน้ ประเมนิ (Evaluation) (20 นาที) นักเรยี นทาํ แบบฝกึ หดั 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อรด์ โบรแ์ ละแบบกลุ่มหมอก และร่วมกนั เฉลย 9. การวัดและประเมนิ ผล/หลักฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีวัด เครอื่ งมือวดั เกณฑ์การวัด ด้านความรู้ 1. ตรวจจากใบกจิ กรรม 1. ใบกจิ กรรม 2.2 การ ผ่านเกณฑร์ อ้ ย 1. สืบคน้ ข้อมลู และอธบิ าย 2.2 การทดลองศกึ ษา ทดลองศกึ ษาเส้น ละ 60 ขน้ึ ไป ความหมายของแบบจาํ ลอง เสน้ สเปกตรมั ของธาตุ สเปกตรัมของธาตุ อะตอม พรอ้ มทงั้ บอกสาเหตุท่ี ทาํ ใหแ้ บบจาํ ลองอะตอม 2. ตรวจจากแบบฝกึ หดั 2. แบบฝึกหัด 2.1.2 เปลี่ยนแปลง 2.1.2 แบบจำลอง แบบจำลองอะตอมของ 2. อธบิ ายแบบจําลองอะตอมของ อะตอมของ รทั เทอรฟ์ อรด์ โบร์ รทั เทอรฟ์ อรด์ โบร์ และกลุ่ม รัทเทอร์ฟอรด์ โบร์ และ และกลุม่ หมอก หมอก กลมุ่ หมอก ดา้ นทักษะกระบวนการ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมนิ ทักษะ ผา่ นเกณฑ์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การสร้างแบบจําลอง) กระบวนการทาง กระบวนการทาง ระดับดี วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ขึน้ ไป ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สังเกตพฤติกรรมระหวา่ ง แบบประเมินพฤติกรรม ผ่านเกณฑ์ใน นักเรียนมีความกระตือรอื รน้ ในการ เรยี น จดั การเรยี นรู้ ระหวา่ งจัดการเรียนรู้ ระดับดีขนึ้ ไป
10. สือ่ และแหลง่ เรยี นรู้ สือ่ การเรยี นรู้ แบบฝกึ หัด 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อรด์ โบรแ์ ละแบบกลมุ่ หมอก แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรียนรายวชิ าเคมี 1 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ โดยสถาบนั สง่ เสริมการสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - ห้องสมดุ โรงเรียน
แบบฝกึ หดั 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอร์ด โบร์ และกลุ่มหมอก คำชี้แจง 1. ให้นกั เรยี นศกึ ษา ค้นควา้ เก่ยี วกบั แบบจำลองอะตอม 2. ออกแบบ สรา้ งเป็นแบบจำลองอะตอม และเปรยี บเทียบแบบจำลองทน่ี ักเรียนเสนอกับแบบจำลอง ในใบความรู้ 3. อธบิ ายลกั ษณะของแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อรด์ ทม่ี าของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. อ้างอิง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
แบบจำลองอะตอมของโบร์ ท่มี าของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. อ้างองิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ทม่ี าของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. อา้ งองิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เฉลย แบบฝึกหดั 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอร์ด โบร์ และกลมุ่ หมอก คำช้แี จง 1. ให้นกั เรยี นศึกษา ค้นคว้าเกยี่ วกบั แบบจำลองอะตอม 2. ออกแบบ สรา้ งเปน็ แบบจำลองอะตอม และเปรียบเทยี บแบบจำลองที่นักเรยี นเสนอกับแบบจำลอง ในใบความรู้ 3. อธบิ ายลกั ษณะของแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอร์ด ท่ีมาของแบบจำลองอะตอม ปีค.ศ.1911 ลอร์ดเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Lord Ernest Rutherford) ศึกษาแบบจำลองอะตอม โดยการยิงอนุภาคแอลฟา (He มี 2 โปรตอน และ 2 อิเล็กตรอน) ซึ่งไดจ้ ากการสลายตวั ของธาตุกัมมันตรังสี เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวกไปยงั แผน่ ทองคำบางๆ ดังรปู จากการทดลองพบวา่ อนุภาค 1. ส่วนใหญ่เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แสดงวา่ อะตอมส่วนใหญเ่ ป็นทวี่ า่ ง 2. ส่วนน้อยมากสะท้อนกลับ แสดงว่า อนุภาคแอลฟาชนส่วนที่มีขนาดเล็กมากและมี ประจุบวก โอกาสชนจงึ นอ้ ยครั้งมาก 3. บางสว่ นเบีย่ งเบนไปจากแนวเสน้ ตรง แสดงวา่ เคลือ่ นที่เฉยี ดสว่ นที่มีประจบุ วกเหมือนกันจึงถูกผลักให้ เบนไป อ้างอิง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอรด์
อธิบาย สรปุ สาระสำคัญของแบบจำลองอะตอม รทั เทอรฟ์ อรด์ ไดเ้ สนอแบบจำลองอะตอมวา่ “อะตอมประกอบดว้ ยนวิ เคลยี สทม่ี ีโปรตอนอยู่รวมกนั ท่ี แกนกลางนวิ เคลียส มขี นาดเล็กแตม่ มี วลมากและมปี ระจบุ วก ส่วนอิเลก็ ตรอนมีประจลุ บมีมวลน้อย วง่ิ รอบ นิวเคลียสเปน็ บรเิ วณกว้าง แบบจำลองอะตอมของโบร์ ที่มาของแบบจำลองอะตอม นีลส์ โบร์ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานของอิเล็กตรอน และการเกดิ สเปกตรัมของธาตแุ ละสารประกอบหลายชนิด มักซ์ คาร์ล แอนสท์ ลุดวิก พลังค์ ได้ศึกษาพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สรุปว่า “พลังงานของคล่ืน แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จะเป็นสัดสว่ นโดยตรงกบั ความถข่ี องคลืน่ นน้ั ” ซึง่ เขียนดว้ ยสญั ลกั ษณ์ต่อไปน้ี E = hv และ E = h( c ) l เม่อื E = พลงั งาน (J) h = ค่าคงที่ของพลงั ค์ = 6.626 x 10-34 J.s v = ความถี่ของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า (Hz) C = ความเรว็ แสง = 3.0 x 108 m/s l = ความยาวคล่นื (m) หรือ (nm) อา้ งอิง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมของโบร์
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม อะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนอยูร่ วมกันที่นิวเคลียสซึ่งมีขนาดเล็กมากอยู่ตรงกลางของ อะตอม โดยมีอิเล็กตรอนเคลอ่ื นท่ีรอบนิวเคลยี สเป็นช้นั ๆ ในแต่ละชัน้ มพี ลังงานเฉพาะค่าหน่งึ ลกั ษณะคลา้ ยวง โคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ซึ่งชั้นที่มีพลังงานระดับต่ำสุดจะอยู่ใกล้นิวเคลียสมากที่สุด และ อเิ ลก็ ตรอนทีว่ งนอกสุดจะมพี ลงั งามากทส่ี ุด แบบจำลองอะตอมแบบกลุม่ หมอก ทมี่ าของแบบจำลองอะตอม จากการศึกษาและใช้ความรู้ทางกลศาสตร์ควอนตัมสร้างสมการเพื่อคำนวณหาโอกาสที่จะพบ อิเล็กตรอนในระดับพลังงานต่างๆ พบว่าสามารถอธิบายสเปกตรัมของธาตุได้ถูกต้องกว่าแบบจำลองอะตอม ของโบร์ เนื่องจากอิเล็กตรอนมีขนาดเล็กมากและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตลอดเวลารอบนิวเคลียส ทำให้ไม่ สามารถบอกตำแหนง่ ท่ีแนน่ อนของอิเล็กตรอนได้ จึงได้เสนอแบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก เออรว์ ิน ชโรดิงเงอร์ (Erwin Schrodinger) ได้ศึกษาพฤติกรรมมองอิเลก็ ตรอนในลักษณะคล่นื และได้ นำเสนอ สมการคลนื่ (wave function) เรยี กว่า สมการชโรดงิ เงอร์ เพ่อื คำนวณหาโอกาสท่จี ะพบอิเล็กตรอน ในระดับพลังงานต่างๆ ซึ่งสามารถอธบิ ายเส้นสเปกตรมั ของธาตุได้ถูกตอ้ งมากกวา่ หลักความไม่แน่นอนของ ไฮเซนเบิรก์ “เราไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่อยู่และโมเมนตมั ของอเิ ล็กตรอนได้อย่างเที่ยงตรงพรอ้ มๆกนั ได้ เช่น ถ้า วดั หาตำแหน่งได้อย่างแน่นอนแลว้ ค่าของโมเมนตมั ทว่ี ัดออกมาพรอ้ มๆกันนน้ั จะไมแ่ น่นอนอย่างยิ่ง” อ้างองิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. แบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมแบบกล่มุ หมอก
อธิบาย สรปุ สาระสำคญั ของแบบจำลองอะตอม อะตอมมีนวิ เคลียส (n+p) อยตู่ รงกลาง และมกี ลมุ่ หมอกอิเล็กตรอน (e-) ล้อมรอบ การพบอิเล็กรอน ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนอยู่แบบกลุม่ หมอกโดยโอกาสที่พบอิเล็กตรอนขึ้นอยู่กบั หลกั ความไม่แน่นอนของ ไฮเซนเบรกิ์ โอกาสพบอเิ ล็กตรอนน้อยเมื่อกลมุ่ หมอกบาง โอกาสพบอเิ ล็กตรอนมากเมื่อ กลุ่มหมอกหนา
บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ดา้ นความรู้ 1. จากใบกิจกรรม 2.2 การทดลองศึกษาเสน้ สเปกตรมั ของธาตุพบว่านักเรียนส่วนใหญ่สามารถสบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายความหมายของแบบจาํ ลองอะตอม พร้อมทัง้ บอกสาเหตุที่ทาํ ให้แบบจาํ ลองอะตอม เปลี่ยนแปลงไดอ้ ยา่ งถูกต้องรอ้ ยละ 60 ขนึ้ ไป 2. จากแบบฝกึ หัด 2.1.2 แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอรด์ โบร์และกลุม่ หมอก พบว่านกั เรียน สว่ นใหญ่สามารถอธิบายแบบจําลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ด โบรแ์ ละกล่มุ หมอก ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ข้ึนไป ดา้ นทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (ปรบั เปน็ การสรา้ งแบบจําลอง 2 มิต)ิ ในระดบั ดขี ึ้นไป ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบประเมินพฤติกรรมระหว่างจดั การเรียนรู้ พบว่านักเรียนสว่ นใหญ่มีความกระตือรอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑใ์ นระดับดีขน้ึ ไป ปัญหา/อปุ สรรค ดา้ นความรู้ 1. นักเรียนบางส่วนยงั ไม่สามารถสืบคน้ ข้อมูลและอธบิ ายความหมายของแบบจาํ ลองอะตอม พรอ้ ม ทง้ั บอกสาเหตุทที่ ําให้แบบจําลองอะตอมเปล่ียนแปลงได้ 2. นักเรยี นบางส่วนยงั ไม่สามารถอธบิ ายแบบจาํ ลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอร์ด โบร์และกลมุ่ หมอกได้ ด้านทักษะกระบวนการ นักเรยี นบางสว่ นยงั ขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การสรา้ งแบบจําลอง) ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรยี นบางสว่ นมคี วามกระตอื รอื ร้นในการเรยี น ต่ำกวา่ ระดับดี แนวทางแก้ไข ใช้การอธิบายซ้ำโดยการวาดภาพประกอบเปน็ ข้ันตอน และอาจใช้ภาพ 3 มิตใิ นการอธิบายเพื่อให้ ผ้เู รยี นเข้าใจเนอ้ื หาไดอ้ ย่างชัดเจน ลงชอ่ื .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาลี) .........../................../..............
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 7 รหัสวชิ า ว30221 วิชา เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 3 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ เรอื่ ง อนภุ าคในอะตอมและไอโซโทป ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ เขยี นสญั ลักษณ์นวิ เคลียรข์ องธาตุ และระบุจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเลก็ ตรอนของ อะตอมจากสัญลกั ษณน์ ิวเคลยี รร์ วมทงั้ บอกความหมายของไอโซโทป 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมท้งั การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคัญ แบบจำลองอะตอมเรมิ่ จากดอลตัน ทอมสนั รทั เทอรฟ์ อรด์ โบร์ และแบบกลุ่มหมอก ทำให้ ไดร้ ายละเอยี ดของอะตอมและโอกาสที่จะพบอนภุ าคในอะตอม ได้แก่ โปรตอน นิวตรอน และ อเิ ลก็ ตรอน จำนวนอนุภาคดังกลา่ วนีท้ ราบได้จากการแปลความหมายสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียรข์ องธาตุ ซง่ึ สัญลักษณ์นวิ เคลียร์นน้ั เปน็ ความสัมพันธข์ องเลขมวลกับเลขอะตอม อะตอมของธาตทุ ี่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมจี ำนวนโปรตรอนและอเิ ล็กตรอนเทา่ กัน แตจ่ ะมี จำนวนนิวตรอนไดห้ ลายค่า ทำให้ธาตชุ นิดเดียวกันมีมวลต่างกนั ได้ เรียกว่า ไอโซโทป 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ 1. เขียนและแปลความหมายสญั ลักษณน์ ิวเคลยี ร์ของธาตุ 2. อธบิ ายความหมายและยกตวั อย่างไอโซโทปของธาตุ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงข้อสรุป) ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรียนรู้ - อนภุ าคมูลฐานของอะตอม - สัญลักษณน์ วิ เคลียร์ของธาตุ - ไอโซโทปของธาตุ 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 6.1 ความสามารถในการสอื่ สาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย ร่วมสนทนา รบั ฟังความเห็นของผู้อืน่ ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สรา้ งองคค์ วามรู้ แสดงความคดิ เห็นกบั ผอู้ ื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแก้ปัญหา คิดวิธแี กป้ ญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (การทำงานรว่ มกับผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศกึ ษา คน้ ควา้ เพมิ่ เติม)
7. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค 7.1 มวี ินยั 7.2 ใฝเ่ รียนรู้ 7.3 มุง่ ม่นั ในการทำงาน 8. ขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (20 นาท)ี 1. ครูทบทวนความรู้เดิมวา่ จากการทดลองของทอมสันทําให้ทราบว่าอิเลก็ ตรอนมีประจุเป็น ลบ จากนั้นถามคําถามว่าเมื่อทราบค่าประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนแล้วนักวิทยาศาสตร์นําข้อมูล เหลา่ น้นั มาใชห้ าค่าประจุและมวลของอเิ ล็กตรอนได้อย่างไร เพือ่ รว่ มกนั อภิปรายและนาํ นกั เรียนเข้าสู่ การศกึ ษาการทดลองของมิลลแิ กน โดยครใู ช้รปู ประกอบการอธปิ รายและซักถาม รปู การทดลองหยดนำ้ มนั ของมลิ ลแิ กน สรุปไดว้ า่ อิเล็กตรอนมปี ระจุ 1.6 × 10-19 คลู อมบ์ และมมี วล 9.11 × 10-28 กรมั 2. ครูตั้งคําถามว่า อนุภาคในอะตอมที่เรียนรู้มาแล้วมีอนุภาคใดบา้ ง ซึ่งนกั เรยี นควรตอบได้ ว่า อิเล็กตรอน และอนุภาคที่มีประจุเป็นบวก (นักเรียนอาจทราบคําศัพท์ “โปรตอน” มาแล้วจาก ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น) ครูนํานักเรียนเข้าสู่การศึกษาการทดลองออยแกน โกลชไตน์ และ การศกึ ษาของรทั เทอร์ฟอรด์ โดยครใู ชร้ ูปประกอบการอภิปราย รูป การทดลองการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผน่ ทองคำ สรุปได้ว่าอนุภาคบวกนั้นคือ โปรตอน ซึ่งมีประจุเท่าอิเล็กตรอนคือ 1.6 × 10-19 คูลอมบ์ และมีมวล 1.673 × 10-24 กรมั ซึ่งมีคา่ มากกวา่ มวลอิเล็กตรอนประมาณ 1,840 เท่า
3. ครูตั้งคําถามว่า นอกจากอิเล็กตรอนและโปรตอนแล้ว ยังมีอนุภาคชนิดอื่น ๆ ในอะตอม อีกหรือไม่ เพื่อนํานักเรียนเข้าสู่การศึกษาการทดลองของแซดวิก จากนั้นให้ความรู้ว่านอกจาก อิเล็กตรอนและโปรตอนแล้ว ในอะตอมยังมีอนุภาคนิวตรอน ซึ่งอยู่ในนิวเคลียสและเป็นกลางทาง ไฟฟ้า มมี วลใกล้เคียงกับโปรตอนคอื 1.675 × 10-24 กรัม ตาราง แสดงข้อมูลบางประการของอเิ ลก็ ตรอน โปรตรอน และนวิ ตรอน อนุภาค สญั ลักษณ์ ประจไุ ฟฟ้า (คู ชนดิ ของ มวล (กรมั ) ลอมบ์) ประจไุ ฟฟ้า อเิ ลก็ ตรอน e 9.109×10-28 โปรตอน p 1.602×10-19 - 1.673×10-24 นวิ ตรอน n 1.602×10-19 + 1.675×10-24 0 0 ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploration) (30 นาที) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์ประจุไฟฟ้าและมวลของอนุภาคโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน จากใบความรู้ 2.2 เรื่อง อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป แล้วเปรียบเทยี บ ความเหมอื นและความแตกต่างของอนุภาคทงั้ 3 ชนิด ซึง่ ควรเปรียบเทียบไดว้ า่ อเิ ลก็ ตรอนกับโปรตอน มีประจุไฟฟ้าเท่ากนั แต่ชนิดของประจุตรงข้ามกัน โปรตอนและนิวตรอนมีมวลใกล้เคียงกัน จากน้ัน ถามคาํ ถามวา่ อนภุ าคชนดิ ใดท่ีมผี ลต่อมวลของอะตอม ควรได้ข้อสรุปว่า มวลของอะตอมเกิดจากมวลของนิวตรอนและโปรตอน ส่วนอิเล็กตรอนมี มวลน้อยมากเมื่อเทยี บกบั มวลของโปรตอนและนิวตรอนจงึ ไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งนาํ มาพิจารณา 2. ครูตั้งคําถามว่า อนุภาคชนิดใดที่บ้างบอกชนิดของธาตุได้ จากนั้นจึงให้ความรูว้ ่า ธาตุแต่ ละชนิดมจี าํ นวนโปรตอนเฉพาะตวั และไม่ซ้ำกับธาตุอนื่ ๆ จํานวนโปรตอนจึงใช้บ่งบอกชนิดของธาตุได้ ตัวเลขแสดงจํานวนโปรตอนในอะตอมเรียกว่า เลขอะตอม ส่วนผลรวมของจํานวนโปรตอนกับ นิวตรอนเรียกวา่ เลขมวล 3. ครตู งั้ คาํ ถามใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั ว่า จํานวนอนภุ าคในอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน แตกต่างกนั ได้หรือไม่ อยา่ งไร ควรสรปุ ไดว้ ่า มจี าํ นวนนวิ ตรอนแตกตา่ งกันได้ 4. ครถู ามคาํ ถามเพ่อื ให้นักเรียนอภปิ รายว่า การทธี่ าตุมจี ํานวนนิวตรอนแตกต่างกนั มีผลต่อ เลขอะตอมและเลขมวลของธาตหุ รอื ไม่ อยา่ งไร ควรได้ข้อสรุปวา่ จาํ นวนนิวตรอนมีผลตอ่ เลขมวลของธาตุ ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (10 นาที) ให้นักเรียนตอบคําถามตรวจสอบความเข้าใจ โซเดียมมี 11 โปรตรอน และมี 12 นิวตรอน โซเดียมมีเลขอะตอมและเลขมวลเท่ากบั เทา่ ใดตามลำดับ จากนนั้ ร่วมกนั อภิปรายเพือ่ เฉลยคําตอบโดย ครคู อยชี้แนะ (แนวคำตอบ โซเดยี มมเี ลขอะตอมเทา่ กบั 11 และมีเลขมวลเท่ากบั 11 + 12 = 23)
ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาท)ี 1. ให้นักเรียนศึกษาสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุจากใบความรู้ 2.4 เรื่อง อนุภาคในอะตอม และไอโซโทป แล้วตอบคําถามว่าสัญลักษณ์ นิวเคลียร์ของธาตุมีองค์ประกอบใดบ้าง และอธิบาย วธิ กี ารเขียนได้อยา่ งไร ควรสรุปได้ว่า สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ สามารถแปลความหมายเป็น จํานวนโปรตอน นิวตรอน อเิ ลก็ ตรอน และชนดิ ของธาตุได้ จากนั้นให้ความรู้นักเรียนว่าธาตุชนิดเดียวกันแต่มีเลขมวลแตกต่างกันจัดเป็น ไอโซโทปกัน เช่น ไฮโดรเจนมี 3 ไอโซโทป โดยมีเลขมวลเท่ากับ 1 2 และ 3 ทั้งนี้ครูให้นักเรียนศึกษา สัญลักษณ์ นิวเคลยี รแ์ ละชือ่ เฉพาะของแต่ละไอโซโทป 2. ให้นักเรียนตอบคําถามตรวจสอบความเข้าใจ ธาตุต่างชนิดกันต้องมีเลขมวลตา่ งกันเสมอ หรือไม่ จากนน้ั รว่ มกนั อภิปรายเพ่ือเฉลยคําตอบ โดยครูคอยช้แี นะ (แนวคำตอบ ธาตุตา่ งชนิดกนั มเี ลขมวลเท่ากันได้ เชน่ 164C และ 174N แมเ้ ป็นธาตุตา่ งชนิดแต่ มเี ลขมวลเทา่ กนั คอื 14) ข้นั ประเมิน (Evaluation) (30 นาท)ี ครใู ห้นกั เรียนทําแบบฝกึ หัด 2.2 แล้วเฉลยคาํ ตอบรว่ มกนั 9. การวัดและประเมินผล/หลกั ฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธวี ดั เครื่องมือวดั เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ 1. เขียนและแปลความหมาย ตรวจจากแบบฝกึ หัด 2.2 แบบฝกึ หัด 2.2 อนุภาค ผ่านเกณฑ์ร้อย อนุภาคในอะตอมและ ในอะตอมและไอโซโทป ละ 60 ข้ึนไป สัญลักษณน์ วิ เคลยี รข์ องธาตุ ไอโซโทป 2. อธบิ ายความหมายและ ผ่านเกณฑ์ ประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมินทักษะ ระดับดี ยกตัวอย่างไอโซโทปของธาตุ กระบวนการทาง กระบวนการทาง ข้ึนไป ด้านทกั ษะกระบวนการ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง ผ่านเกณฑใ์ น วิทยาศาสตร์ (การตีความหมาย สงั เกตพฤติกรรมระหว่าง แบบประเมินคุณลักษณะ ระดบั ดีขึ้นไป ขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) จดั การเรียนรู้ อนั พึงประสงค์ ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นมีความกระตอื รอื รน้ ในการ เรยี น 10. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ สอื่ การเรียนรู้ แบบฝกึ หดั 2.2 อนภุ าคในอะตอมและไอโซโทป แหล่งการเรียนรู้ - หนงั สอื เรียนรายวิชาเคมี 1 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ - หอ้ งสมดุ โรงเรียน
แบบฝกึ หัด 2.2 อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป 1. จงเติมข้อความลงในช่องวา่ งให้สมบูรณ์ 1.1 ในนวิ เคลียสของอะตอมประกอบด้วยอนภุ าค............ชนดิ คอื ......................................................... 1.2 อนภุ าคท่ีเป็นกลางทางไฟฟ้าคืออนุภาค........................................................................................... 1.3 ตัวเลขทแ่ี สดงจำนวนโปรตอนในสัญลกั ษณ์นวิ เคลยี ร์ เรยี กว่า ......................................................... 1.4 ตวั เลขทีแ่ สดงผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอน เรียกว่า .....................................….............. 1.5 อะตอมที่เปน็ กลางทางไฟฟา้ จะมจี ำนวนอนภุ าค.................... เท่ากับอนุภาค................................. 2. จงเขยี นสัญลักษณน์ ิวเคลียรข์ องธาตุต่อไปนี้ 2.1 ธาตุ S มี 16 โปรตอน มมี วลอะตอมเท่ากับ 32 ......................................................................................... 2.2 ธาตุ Ba มี 56 โปรตอน และ 81 นวิ ตรอน ......................................................................................... 2.3 ธาตุ P มี 15 อิเลก็ ตรอน และ 16 นิวตรอน ......................................................................................... 2.4 ธาตุ Kr มมี วลอะตอม เท่ากับ 84 และมี 48 นิวตรอน ......................................................................................... 2.5 ธาตุ As มเี ลขอะตอมเท่ากับ 33 และมนี ิวตรอนเทา่ กับ 42 ......................................................................................... 3. เติมขอ้ มูลลงในตารางต่อไปนี้ สญั ลกั ษณ์ เลข เลขมวล จำนวนอนุภาคมูลฐาน นวิ เคลยี ร์ อะตอม โปรตอน(p) นวิ ตรอน (n) อเิ ล็กตรอน (e) 27 Al 13 127 I 53 131 Xe 54 64 Cu2+ 29 80 Br− 35 4. จงเขยี นสญั ลักษณ์นิวเคลยี รข์ องไอโซโทปตา่ งๆของธาตุ X ซ่ึงมี 9 อเิ ลก็ ตรอน และมนี ิวตรอน 9 10 และ 11 ตามลำดับ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
5. จงเลือกธาตุท่ีเปน็ ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ จากธาตุที่กำหนดใหต้ ่อไปนี้ 12 C 13 C 14 C 10 B 11 B 14 N 15 N 16 O 6 6 6 5 5 7 7 8 ไอโซโทป ………………………………………………………………………………………………………………………………… ไอโซโทน ………………………………………………………………………………………………………………………………… ไอโซบาร์ …………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลย แบบฝึกหดั 2.2 อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป 1. จงเตมิ ขอ้ ความลงในช่องว่างให้สมบูรณ์ 1.1 ในนวิ เคลียสของอะตอมประกอบด้วยอนภุ าค 2 ชนดิ คือ โปรตอน นิวตรอน 1.2 อนภุ าคทเี่ ป็นกลางทางไฟฟา้ คืออนุภาค นวิ ตรอน 1.3 ตัวเลขท่ีแสดงจำนวนโปรตอนในสญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ เรียกว่า เลขอะตอม 1.4 ตัวเลขที่แสดงผลรวมของจำนวนโปรตอนและนวิ ตรอน เรียกว่า เลขมวล 1.5 อะตอมท่เี ป็นกลางทางไฟฟา้ จะมีจำนวนอนภุ าค โปรตอน เทา่ กับอนุภาค อิเล็กตรอน 2. จงเขียนสัญลักษณน์ วิ เคลยี ร์ของธาตุต่อไปนี้ 2.1 ธาตุ S มี 16 โปรตอน มมี วลอะตอมเทา่ กับ 32 32 S 16 2.2 ธาตุ Ba มี 56 โปรตอน และ 81 นิวตรอน 137 Ba 56 2.3 ธาตุ P มี 15 อเิ ลก็ ตรอน และ 16 นิวตรอน 31 P 15 2.4 ธาตุ Kr มีมวลอะตอม เทา่ กับ 84 และมี 48 นวิ ตรอน 84 Kr 36 2.5 ธาตุ As มเี ลขอะตอมเทา่ กับ 33 และมีนวิ ตรอนเท่ากับ 42 75 As 33 3. เตมิ ขอ้ มลู ลงในตารางต่อไปนี้ สญั ลกั ษณ์ เลข เลขมวล จำนวนอนุภาคมูลฐาน อะตอม โปรตอน(p) นวิ ตรอน (n) อิเล็กตรอน (e) นวิ เคลยี ร์ 27 13 127 13 14 13 27 Al 53 131 53 74 53 13 54 64 54 77 54 29 80 29 35 27 127 I 35 35 45 36 53 131 Xe 54 64 Cu2+ 29 80 Br− 35 4. จงเขยี นสัญลกั ษณน์ ิวเคลยี ร์ของไอโซโทปต่างๆของธาตุ X ซึ่งมี 9 อิเล็กตรอน และมนี วิ ตรอน 9 10 และ 11 ตามลำดบั 18 X 19 X 20 X 9 9 9 5. จงเลือกธาตทุ ่ีเปน็ ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ จากธาตุท่ีกำหนดใหต้ ่อไปนี้ 12 C 13 C 14 C 10 B 11 B 14 N 15 N 16 O 6 6 6 5 5 7 7 8 ไอโซโทป 12 C 13 C 14 C และ 10 B 11 B และ 14 N 15 N ไอโซโทน 6 6 6 5 5 7 7 ไอโซบาร์ 12 C 11 B และ 13 C 14 N และ 14 C 15 N 16 O 6 5 6 7 6 7 8 14 C 14 N 6 7
บนั ทกึ หลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหดั 2.2 อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่สามารถเขียนและแปล ความหมายสัญลักษณน์ วิ เคลียรข์ องธาตุ และอธิบายความหมายและยกตัวอย่างไอโซโทปของธาตุไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขึน้ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นส่วนใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตคี วามหมายขอ้ มลู และการลงขอ้ สรปุ ) ในระดบั ดีขนึ้ ไป ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหว่างจัดการเรียนรู้ พบว่านกั เรยี นสว่ นใหญ่มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ เรียน ผา่ นเกณฑใ์ นระดบั ดีข้ึนไป ปัญหา/อปุ สรรค ด้านความรู้ นกั เรยี นบางสว่ นยังไม่สามารถเขียนและแปลความหมายสญั ลกั ษณน์ ิวเคลียรข์ องธาตุ และอธิบาย ความหมายและยกตวั อยา่ งไอโซโทปของธาตุได้ ด้านทักษะกระบวนการ นักเรยี นบางส่วนยังมีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป) ตำ่ กว่าระดบั ดี อาจจะไม่กล้าเปิดกลอ้ งหรอื เปิดไมค์ในการตอบคำถามระหวา่ งการเรียนการสอน ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนบางส่วน (14.29%) มคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรยี น ต่ำกว่าระดบั ดี แนวทางแกไ้ ข หากลวธิ ีในการเพม่ิ ความกล้าพดู กล้าตอบคำถามใหผ้ ้เู รียนมากข้นึ ลงชอื่ .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาล)ี .........../................../..............
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 รหสั วิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 3 ชั่วโมง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ เรอื่ ง การจัดเรยี งอเิ ล็กตรอนในอะตอม ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายและเขียนการจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในระดับพลังงานหลกั และระดับพลงั งานย่อย เมื่อ ทราบเลขอะตอมของธาตุ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลิเมอร์ รวมทงั้ การนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคัญ อิเล็กตรอนเคล่ือนทีอ่ ย่รู อบนวิ เคลียสเปน็ ช้ัน ๆ เรียกวา่ ระดบั พลังงาน ได้แก่ระดบั พลังงาน n=1 n=2 n=3 n=4 ... จำนวนอเิ ล็กตรอนสงู สุดในแต่ละระดับพลังงานเทา่ กบั 2n2 จะอิเลก็ ตรอน บรรจไุ ดม้ ากท่ีสดุ เทา่ กบั 2, 8, 18, 32, … ตามลำดับ ในแต่ละระดับพลงั งานหลักอเิ ล็กตรอนจะอยู่ เปน็ ระดับพลงั งานยอ่ ย ได้แก่ s, p, d, และ f และอเิ ลก็ ตรอนในระดับพลงั งานย่อยจะเคลือ่ นทีอ่ ยู่ใน ขอบเขตทเี่ รียกว่า ออร์บิทัล ซ่ึงเป็นระดับพลังงานที่ยอ่ ยลงไปอกี ในหนึ่งออรบ์ ิทลั จะมอี ิเล็กตรอนได้ สูงสุด 2 อิเล็กตรอน อเิ ลก็ ตรอนท่อี ยูร่ ะดับพลงั งานนอกสุดเรยี กวา่ เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน การจัดเรยี งอิเล็กตรอนในอะตอม มสี ัญลกั ษณ์แสดงการจัดเรยี งอเิ ล็กตรอน คอื เขียนตวั เลข แสดงระดับพลังงานหลกั ตามด้วยตวั อักษรแสดงระดบั พลังงานยอ่ ย และจาํ นวนอเิ ล็กตรอนในออร์ บิทัลดว้ ยเลขยกกําลงั บนตัวอักษร 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ 1. บอกความแตกต่างของระดับพลงั งานหลัก พลังงานย่อย และออร์บทิ ลั 2. จัดเรยี งอเิ ล็กตรอนในระดบั พลังงานหลัก และระดับพลังงานย่อย ดา้ นทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงข้อสรปุ ) ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรยี นมคี วามกระตือรือรน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - ระดับพลงั งานหลัก พลังงานย่อย และออรบ์ ิทลั - การจดั เรยี งอเิ ล็กตรอน (electron configuration) 6. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน 6.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร (รู้ เข้าใจ การพดู คุย รว่ มสนทนา รับฟงั ความเหน็ ของผ้อู ื่น) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวเิ คราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สร้างองค์ความรู้ แสดงความคดิ เหน็ กบั ผ้อู ื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเห็นในการแก้ปญั หา คิดวิธแี กป้ ัญหา)
6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ (การทำงานร่วมกับผู้อน่ื ไดอ้ ยา่ งมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยใี นการศึกษา คน้ ควา้ เพม่ิ เติม) 7. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 7.1 มีวินัย 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 มุง่ มน่ั ในการทำงาน 8. ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชวั่ โมงที่ 1 (เวลา 1 ช่วั โมง) ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครตู ง้ั คาํ ถามเพ่ือทบทวนความรู้เดมิ ว่า แบบจําลองอะตอมของโบรแ์ ตกตา่ งจากแบบจําลอง อะตอมของรทั เทอร์ฟอรด์ อยา่ งไร ควรได้ขอ้ สรุปว่า อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอนและนิวตรอนอยรู่ วมกันทนี่ วิ เคลียสซ่งึ มีขนาด เล็กมากอย่ตู รงกลางของอะตอม โดยมีอเิ ลก็ ตรอนเคล่ือนที่รอบนิวเคลยี สเป็นชนั้ ๆ ในแต่ละช้ันมี พลงั งานเฉพาะค่าหนง่ึ ลักษณะคล้ายวงโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตยซ์ ึ่งชนั้ ท่ีมพี ลงั งานระดบั ตำ่ สุดจะอยู่ใกล้นิวเคลียสมากทสี่ ดุ และอิเล็กตรอนท่ีวงนอกสดุ จะมีพลงั งามากท่สี ุด จากน้นั ตัง้ คำถามนำเข้าบทเรียนต่อไปว่า นกั เรียนคิดวา่ อิเลก็ ตรอนจะมีอยูจ่ ำนวนเทา่ ใด ใน แตล่ ะช้ันระดบั พลังงาน ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาท)ี 1. ครยู กตวั อยา่ งการจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุบางธาตตุ ามตาราง ให้นกั เรยี นพิจารณาวา่ ในระดบั พลงั งานที่ 1 (n=1) และ 2 (n=2) มีจํานวนอิเล็กตรอนสูงสดุ เท่าใด ซึง่ ไดค้ าํ ตอบว่า 2 และ 8 ตามลําดับ 2. ครูตงั้ คำถามว่าในระดับพลังงานที่ 1 (n=1) และ 2 (n=2) มีจาํ นวนอเิ ล็กตรอนสงู สดุ เทา่ กบั 2 และ 8 นัน้ มคี วามสัมพนั ธ์กนั หรอื ไม่ อย่างไร ซง่ึ ได้คําตอบว่า จํานวนอเิ ล็กตรอนสงู สดุ กบั ระดบั พลังงานมคี วามสัมพันธด์ งั น้ี คือ 2n2 เมอื่ n คือ ตัวเลขแสดงระดับพลงั งาน 3. นักเรยี นทำกิจกรรมโดยแบง่ เป็น 4 กลุ่ม แข่งขันกนั เปน็ ทีม กลมุ่ ใดตอบคำถามไดไ้ วและ ถกู ต้องมากทสี่ ุดเป็นผชู้ นะ คำชแี้ จง 1) ให้นักเรียนหาจำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดเมื่อระดับพลังงาน n=1, 2, 3, 4 และ 5 และใช้ หมุดปักลงในวงโคจรแต่ละช้ัน (ฟิวเจอร์บอร์ด) ตามจำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดในแตร่ ะดับพลังงาน ให้ ถูกตอ้ ง (5 คะแนน) 1) ระดับพลังงานท่ี 1 (n = 1) มีอิเลก็ ตรอนมากที่สดุ คือ (2 x 12 = 2) 2) ระดบั พลงั งานท่ี 2 (n = 2) มีอิเล็กตรอนมากที่สดุ คือ (2 x 22 = 8) 3) ระดับพลงั งานท่ี 3 (n = 3) มอี ิเล็กตรอนมากท่ีสุด คือ (2 x 32 = 18) 4) ระดับพลงั งานที่ 4 (n = 4) มีอิเล็กตรอนมากที่สดุ คอื (2 x 42 = 32) 5) ระดบั พลังงานท่ี 5 (n = 4) มอี เิ ล็กตรอนมากทีส่ ุด คือ (2 x 52 = 50) 2) ครสู าธติ ยกตวั อย่างการจัดเรยี งอิเล็กตรอนของ Na มเี ลขอะตอม 11 มกี ารจัดเรียง อเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานหลกั คอื 2, 8, 1 และให้ความรวู้ า่ อิเลก็ ตรอนทอี่ ยู่ระดับพลงั งานชน้ั นอก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342