Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Published by Peewara Phalee, 2021-09-14 07:07:04

Description: แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Search

Read the Text Version

เฉลย แบบฝกึ หดั 3.3.5 สภาพขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ 1. จงทำเครือ่ งหมาย ✓ เพือ่ ระบสุ ภาพขว้ั ของพนั ธะและสภาพข้ัวของโมเลกุลของสารโคเวเลนตต์ ่อไปน้ี ข้อ สารโคเวเลนต์ สภาพขวั้ ของพันธะ สภาพขั้วของโมเลกลุ 1 H2 ไมม่ ีข้ัว มีขั้ว ไมม่ ขี ้วั มขี ั้ว 2 HCN ✓ ✓ 3 BF3 ✓ ✓ 4 Cl2 ✓ ✓ 5 CCl4 ✓ ✓ 6 SO2 ✓ ✓ 7 CH3Cl ✓ ✓ 8 C3H8 ✓ ✓ 9 HCl ✓ ✓ 10 P4 ✓ ✓ 11 PCl3 ✓ ✓ 12 CS2 ✓ ✓ 13 BeH2 ✓ ✓ 14 OF2 ✓ ✓ 15 O3 ✓ ✓ 16 CH2O ✓ ✓ 17 H2SO4 ✓ ✓ 18 PH5 ✓ ✓ 19 CH2Cl2 ✓ ✓ 20 N2 ✓ ✓ ✓ ✓

2. ระบรุ ูปรา่ งโมเลกลุ และแสดงทิศทางขวั้ ของพันธะและทศิ ทางขัว้ ของโมเลกลุ พรอ้ มระบุวา่ เปน็ โมเลกุลโคเว เลนต์มขี วั้ หรือไม่มขี วั้ ลงในตารางใหถ้ ูกตอ้ ง ข้อ สารโคเวเลนต์ รูปรา่ งโมเลกลุ ทศิ ทางขั้วของพันธะและทิศทาง สภาพข้วั โมเลกลุ ขวั้ ของโมเลกุล ตวั อย่าง H2O มุมงอ มขี วั้ ข้อ สารโคเวเลนต์ รปู รา่ งโมเลกุล ทศิ ทางขั้วของพนั ธะและทิศทาง สภาพข้ัวโมเลกลุ ขั้วของโมเลกลุ 1 OF2 มุมงอ มขี ว้ั 2 CBrN เสน้ ตรง มขี ้วั มีขั้ว 3 PH3 พีระมิดฐาน สามเหลีย่ ม ไมม่ ีขว้ั 4 CBr4 ทรงสีห่ น้า



บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหัด 3.3.5 สภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่สามารถเขียนแสดง ทิศทางข้ัวพันธะและทิศทางขัว้ ของโมเลกลุ รวมท้ังระบุสภาพขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ได้อยา่ งถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขึ้นไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การสงั เกต และการตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป) ในระดับดขี ึ้นไป ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหว่างจดั การเรียนรู้ พบว่านกั เรียนสว่ นใหญ่มคี วามกระตือรอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ดีขึน้ ไป ปัญหา/อุปสรรค ด้านความรู้ นักเรียนบางส่วนยังไม่สามารถเขยี นแสดงทิศทางขั้วพันธะและทศิ ทางขั้วของโมเลกุล รวมทงั้ ระบุ สภาพข้ัวของโมเลกุลโคเวเลนต์ได้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยงั มีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การสงั เกต และการตีความหมายขอ้ มูล และลงขอ้ สรปุ ) ตำ่ กว่าระดับดี ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนบางสว่ น (23.81%) มีความกระตอื รือรน้ ในการเรียน ตำ่ กวา่ ระดับดี แนวทางแก้ไข อธิบายเพ่มิ เตมิ ในสว่ นทมี่ คี วามเข้าใจคลาดเคลื่อน ยกตัวอย่างเพิ่มเติม ติดตามผู้เรยี นทขี่ าดเรยี นบอ่ ย และไมต่ ดิ ตามส่งงาน ลงช่อื .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 27 รหสั วชิ า ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ช่ัวโมง หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 พนั ธะเคมี เร่ือง แรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์และสมบตั ขิ องสารโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ ระบุชนดิ ของแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ และเปรยี บเทียบจดุ หลอมเหลว จุด เดอื ด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสรา้ งอะตอม การจัดเรียงธาตใุ นตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พนั ธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์ รวมท้ัง การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคัญ แรงยึดเหนย่ี วระหว่างโมเลกุลซึง่ อาจเป็นแรงลอนดอน แรงดึงดูดระหวา่ งขัว้ และ พันธะ ไฮโดรเจนมีผลต่อจดุ หลอมเหลว จุดเดือด และการละลายนำ้ ของสาร นอกจากนส้ี ารโคเวเลนต์ส่วน ใหญย่ งั มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ดต่ำกวา่ สารประกอบไอออนิก เน่อื งจากแรงยดึ เหนยี่ วระหว่าง โมเลกุลมคี ่าน้อยกวา่ พันธะไอออนิก สารโคเวเลนต์สว่ นใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ และไม่ละลายในนำ้ สำหรับสารโคเว เลนตท์ ี่ละลายน้ำ มีทง้ั แตกตัวและไม่แตกตวั เปน็ ไอออน สารละลายที่ได้จากสารทไี่ มแ่ ตกตวั เป็น ไอออนจะไม่นำไฟฟ้า เรียกวา่ สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ ส่วนสารละลายทีไ่ ดจ้ ากสารที่แตกตัวเป็น ไอออนจะนำไฟฟา้ เรยี กวา่ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ สารละลายของสารประกอบคลอไรดแ์ ละ ออกไซดจ์ ะมสี มบตั ิเป็นกรด 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ 1. ระบชุ นิดของแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 2. เปรียบเทียบจดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์ ด้านทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และลงขอ้ สรุป) ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรียนมีความกระตอื รอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรยี นรู้ - แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ (intermolecular force) หรือแรงแวนเดอร์วาลส์ (van der Waals force) - แรงลอนดอน (London Force) - แรงดึงดูดระหว่างขั้ว (dipole-dipole Force) - พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond)

-. สมบัตขิ องสารโคเวเลนต์ - จดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ด - การละลายน้ำ - การนำไฟฟา้ 6. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย รว่ มสนทนา รับฟังความเหน็ ของผอู้ ่ืน) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สรา้ งองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเห็นกบั ผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแก้ปัญหา คดิ วิธแี ก้ปัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (การทำงานร่วมกบั ผู้อ่นื ได้อยา่ งมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศกึ ษา ค้นคว้าเพิ่มเตมิ ) 7. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มวี นิ ยั 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 มุ่งมั่นในการทำงาน 8. ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครถู ามคำถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี น ดังน้ี 1) นักเรยี นคดิ ว่า สารโคเวเลนตแ์ ต่ละชนิดจะมจี ุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวต่างกนั หรือไม่ (แนวคำตอบ : สารโคเวเลนตแ์ ตล่ ะชนิดจะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวแตกตา่ งต่างกัน) 2) จดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวของสารโคเวเลนตข์ นึ้ อยกู่ บั สิง่ ใด (แนวคำตอบ : ขนึ้ อยกู่ ับแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ ) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที) ครูใหน้ ักเรยี นศกึ ษาใบความรู้ 3.3.6 เรอื่ ง แรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนตแ์ ละสมบัติ ของสารโคเวเลนต์ เริ่มจากพิจารณาจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนต์บางชนิดในตาราง แลว้ ตง้ั คำถามว่า ความสมั พันธร์ ะหว่างจุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดกบั สภาพขวั้ และขนาดของโมเลกุล เปน็ อย่างไร

ตารางแสดง จุดหลอมเหลวและจดุ เดือดกบั สภาพข้ัวของสารโคเวเลนต์ (แนวคำตอบ : จากข้อมูลในตารางจะเห็นว่าแก๊สเฉ่ือยและสารโคเวเลนต์ไม่มขี ั้วมีจุดหลอมเหลวและ จุดเดือดต่ำมาก แสดงว่าโมเลกุลของสารดังกล่าวนี้ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงอย่างอ่อนซึ่งเป็นแรงที่มี ปรากฎอยู่ในสารทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ข้อมูลในตารางยังแสดงให้เห็นว่า จุดหลอมเหลวและจุดเดือด ของสารกลุ่มนเ้ี พิม่ ขึ้นตามมวลโมเลกุล จึงตงั้ ข้อสงั เกตได้ว่า ขนาดของแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ไม่ มีขั้วขึ้นอยู่กับขนาดของโมเลกุล เช่น F2 Cl2 Br2 และ I2 มีขนาดโมเลกุลเพิ่มข้ึนตามลำดับ จึงมีจุด เดือดและจดุ หลอมเหลว เพิ่มข้นึ ตามลำดบั ด้วย) 1. ครูอธบิ ายเกย่ี วกับแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ ชนิดต่าง ๆ โดยเรมิ่ จาก แรงแผ่กระจายลอนดอนซึ่งเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขั้วหรืออะตอมแก๊สมีสกุล ซึ่งเป็น แรงอย่างออ่ น ๆ โดยยกตัวอย่างแรงลอนดอนของ He และ H2 รปู แสดงแรงลอนดอนของ He และ H2

จากนั้นครูอธิบายแรงระหว่างขั้วโดยใช้รูปประกอบการอธิบายว่าเป็นแรงดึงดูดที่เกิดจาก สภาพขั้ว ของโมเลกุล โดยโมเลกุลที่อยู่ใกล้กันจะหันส่วนของโมเลกุลที่มีขั้วตรงข้ามกันเข้าหากัน เกิดเป็นแรง ดึงดดู ทางไฟฟา้ จากสภาพข้วั น้ี 2. ครูให้นักเรียนพิจารณากราฟ แล้วตั้งคําถามว่า แนวโน้มจุดเดือดของสารประกอบของ ไฮโดรเจนกบั ธาตุหมู่ IVA VA VIA และ VIIA เป็นอย่างไร (แนวคำตอบ : แนวโน้มจุดเดือดจะเพิ่มขึ้นตามขนาดโมเลกุล เนื่องจากแรงแผ่กระจายลอนดอน ยกเวน้ NH3 HF และ H2O ทไี่ มเ่ ป็นไปตามแนวโน้ม) 3. ครูอธิบายว่าการที่ NH3 HF และ H2O ไม่เป็นไปตามแนวโน้ม เนื่องจากสารเหล่านี้เกิด พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล โดย พันธะไฮโดรเจน เป็นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่เกิดจาก อะตอมไฮโดรเจนของโมเลกุลหนึ่งกับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนอะตอมของธาตุที่มีขนาดเล็กและมี อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ ีสงู ของอีกโมเลกลุ หนงึ่ 4. ครูใหน้ กั เรยี นพจิ ารณากราฟเดิม แลว้ ตงั้ คําถามว่า เพราะเหตใุ ด H2O จึงมีจดุ เดือดสูงกว่า HF และ NH3 ทเี่ กดิ พันธะไฮโดรเจนเหมอื นกัน (แนวคำตอบ : โมเลกุล H2O มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดีย่ ว 2 คู่ บน O ทําให้ H2O แต่ละโมเลกุลสามารถ เกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกลุ ข้างเคียง 4 โมเลกุล อย่างต่อเนื่องเป็นโครงร่างตาข่าย หรือคิดเปน็ 2 พนั ธะไฮโดรเจนตอ่ H2O 1 โมเลกุล จึงทาํ ให้นำ้ มจี ุดเดอื ดสูงกว่า HF ซ่ึงมีพันธะไฮโดรเจน 1 พันธะต่อ HF 1 โมเลกุล ทั้งที่พันธะ H-O มีสภาพขั้วน้อยกว่าพันธะ H-F จึงทําให้น้ำมีจดุ เดือดสูงกว่า HF และ NH3) 5. ครตู ้งั คําถามวา่ แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ นอกจากมีผลต่อจุดหลอมเหลวและจุดเดือด แลว้ ยงั มีผลต่อการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์หรอื ไม่ อยา่ งไร

(แนวคำตอบ : แรงยดึ เหนีย่ วระหว่างโมเลกลุ มีผลต่อการละลายน้ำของสาร โดยสาร โคเวเลนต์ ท่ีไม่มีข้ัวสว่ นใหญไ่ ม่ละลายหรือละลายน้ำไดน้ ้อย ส่วนสารโคเวเลนต์ทีม่ ีข้ัวบางชนิดอาจละลายน้ำได้ ขึ้นอยูก่ บั สภาพขว้ั และการเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำ) 6. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติความเป็นกรด-เบสของสารละลายที่เกิดจากสาร โคเวเลนต์ประเภทคลอไรด์และออกไซด์ ซึ่งสารโคเวเลนต์บางชนิดเมื่อเกิดปฏิกิริยากับน้ำจะได้ สารละลายท่เี ป็นกรด เชน่ CO2 SO2 PCI5 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (20 นาที) 1. ครแู ละนักเรียนอภปิ รายร่วมกันเกยี่ วกบั สมบัติของสารโคเวเลนต์ ซึ่งควรสรุปได้ว่า สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำกว่าสารประกอบไอออนิก เนอ่ื งจากแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ มคี ่าน้อยกว่าพนั ธะไอออนิก และสารละลายของสารโคเวเลนต์ ในน้ำส่วนใหญม่ สี มบัตเิ ป็นกรด 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3 คน แล้วส่งตัวแทนออกมาจับฉลากเลือกหัวข้อที่จะได้ ศึกษา ดังน้ี - แรงลอนดอน - แรงดึงดดู ระหวา่ งขัว้ - พันธะไฮโดรเจน แล้วให้แต่ละกลุ่มสรุปความรูใ้ นเร่ืองที่จับฉลากได้ลงในกระดาษ A4 เพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับแรงยึด เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ในหัวขอ้ ที่จับได้ ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) ครตู งั้ คำถามใหน้ กั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเรื่อง แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 1) สารโคเวเลนต์ที่กำหนดให้ต่อไปนี้ F2 HCl H2O H2S CO2 และ CH3COOH มีแรงยึด เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ เป็นแรงชนดิ ใด (แนวคำตอบ : F2 และ CO2 มแี รงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลเปน็ แรงลอนดอน HCl และ H2S มแี รงยึดเหนยี่ วระหวา่ งโมเลกลุ เปน็ แรงดึงดูดระหว่างข้วั H2O และ CH3COOH มแี รงยึดเหนีย่ วระหว่างโมเลกุลเป็นพนั ธะไฮโดรเจน) 2) จงเรียงลำดับจุดเดอื ดของสารตอ่ ไปน้ี NH3 CH4 PH3 จากสงู ไปตำ่ (แนวคำตอบ : จุดเดือดของ NH3 > PH3 > CH4) ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (30 นาท)ี นักเรียนทาํ แบบฝึกหดั 3.3.6 แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนตแ์ ละสมบตั ขิ องสารโคเว เลนต์ แล้วรว่ มกันเฉลยคำตอบ

9. การวัดและประเมินผล/หลักฐานหรือร่องรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑ์การวัด ผ่านเกณฑร์ ้อย ด้านความรู้ แบบฝึกหดั 3.3.6 ละ 60 ข้ึนไป แรงยดึ เหนย่ี ว 1. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยว ตรวจจากแบบฝึกหัด ระหวา่ งโมเลกุล ผา่ นเกณฑ์ โคเวเลนตแ์ ละ ระดับดี ระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ 3.3.6 แรงยดึ เหนยี่ ว สมบัตขิ องสาร ขึ้นไป โคเวเลนต์ 2. เปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุด ระหวา่ งโมเลกลุ โคเว ผา่ นเกณฑใ์ น แบบประเมนิ ระดับดขี ึ้นไป เดือด และการละลายน้ำของสาร เลนตแ์ ละสมบตั ิของ ทกั ษะ โคเวเลนต์ สารโคเวเลนต์ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ดา้ นทักษะกระบวนการ ประเมนิ ทกั ษะ กระบวนการทาง แบบประเมิน ทกั ษะกระบวนการทาง คุณลกั ษณะอันพึง วิทยาศาสตร์ (การตีความหมาย วทิ ยาศาสตร์ ประสงค์ ข้อมูลและลงข้อสรปุ ) ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรยี นมีความกระตือรือรน้ ในการเรยี น สังเกตพฤตกิ รรม ระหวา่ งจัดการเรยี นรู้ 10. ส่ือและแหลง่ เรยี นรู้ สื่อการเรยี นรู้ แบบฝกึ หดั 3.3.6 แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์และสมบตั ิของสารโคเวเลนต์ แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบนั สง่ เสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น

แบบฝึกหัด 3.3.6 แรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์และสมบตั ิของสารโคเวเลนต์ 1. จงทำเครอื่ งหมาย ✓ เพอ่ื ระบุแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลของสารโคเวเลนตต์ อ่ ไปนี้ ขอ้ สารโคเวเลนต์ แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ แรงลอนดอน แรงดงึ ดดู ระหวา่ งขั้ว พันธะไฮโดรเจน 1 C2H4 2 HF 3 HCN 4 CH2Cl2 5 SiH4 6 H2SO4 7 O2 8 PCl5 9 OF2 10 CH2O 11 NH3 12 NCl3 13 CHCl3 14 BF3 15 N2 2. เปรยี บเทียบจดุ เดอื ดระหว่างสารทกี่ ำาหนดใหพ้ ร้อมอธบิ ายเหตุผล 2.1 H2 กบั Br2 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.2 HF กบั HI ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.3 NH3 กบั NF3 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2.4 SiH4 กบั SnH4 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.5 CH3Cl กบั CH3OH ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. เมทานอล (CH3OH) กบั ไตรคลอโรมีเทน (CHCl3) สารหนงึ่ ละลายนำ้ สว่ นอีกสารหนงึ่ ไม่ละลายน้ำเพราะ เหตใุ ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

เฉลย แบบฝึกหดั 3.3.6 แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์และสมบัตขิ องสารโคเวเลนต์ 1. จงทำเครื่องหมาย ✓ เพือ่ ระบแุ รงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์ตอ่ ไปนี้ ข้อ สารโคเวเลนต์ แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกุล 1 C2H4 แรงลอนดอน แรงดึงดูดระหวา่ งข้ัว พันธะไฮโดรเจน 2 HF 3 HCN ✓ 4 CH2Cl2 ✓ 5 SiH4 6 H2SO4 ✓ 7 O2 ✓ 8 PCl5 ✓ 9 OF2 10 CH2O ✓ 11 NH3 ✓ 12 NCl3 ✓ 13 CHCl3 14 BF3 ✓ 15 N2 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 2. เปรียบเทียบจดุ เดือดระหว่างสารที่กำาหนดให้พร้อมอธิบายเหตุผล 2.1 H2 กับ Br2 H2 มจี ุดเดือดตำ่ กว่า Br2 เนื่องจากสารท้ังสองเป็นโมเลกุลไม่มขี ้ัว จงึ มีเฉพาะแรงแผ่กระจายลอนดอน ดังนน้ั จุดเดือดจะขน้ึ กับขนาดโมเลกุลโดย Br2 มขี นาดใหญ่กว่าH2 2.2 HF กบั HI HF มจี ุดเดือดสูงกว่า HI เนอ่ื งจาก HF มีพนั ธะไฮโดรเจนสว่ น HI มีแรงระหว่างข้ัว 2.3 NH3 กบั NF3 NH3 มจี ดุ เดอื ดสูงกวา่ NF3 เนอื่ งจาก NH3 มีพนั ธะไฮโดรเจน ส่วน NF3 มีแรงระหว่างขวั้ 2.4 SiH4 กับ SnH4 SiH4 มีจุดเดือดต่ำกว่า SnH4 เนื่องจากสารทั้งสองเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว จึงมีเฉพาะแรงแผ่กระจาย ลอนดอน ดงั น้นั จดุ เดือดจะขึน้ กบั ขนาดโมเลกลุ โดย SiH4 มขี นาดเล็กกว่าSnH4 2.5 CH3Cl กับ CH3OH CH3Cl มจี ุดเดอื ดตำ่ กวา่ CH3OH เน่ืองจาก CH3Cl มีแรงระหว่างขว้ั สว่ น CH3OH มีพันธะไฮโดรเจน

3. เมทานอล (CH3OH) กบั ไตรคลอโรมเี ทน (CHCl3) สารหน่งึ ละลายนำ้ ส่วนอกี สารหน่ึงไมล่ ะลายน้ำเพราะ เหตใุ ด เพราะเมทานอล (CH3OH) เกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้จึงละลายน้ำ ส่วนไตรคลอโรมีเทน(CHCl3)ไม่ ละลายน้ำเพราะไมเ่ กิดพันธะไฮโดรเจน



บนั ทึกหลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหัด 3.3.6 แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนตแ์ ละสมบัติของสารโคเวเลนต์ พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่สามารถระบชุ นดิ ของแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรยี บเทยี บจุด หลอมเหลว จุดเดือด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์ได้อย่างถกู ต้องรอ้ ยละ 60 ขึน้ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่านักเรยี นส่วนใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ ) ในระดับดีขึ้นไป ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหวา่ งจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่มีความกระตือรือรน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดีขนึ้ ไป ปัญหา/อุปสรรค ด้านความรู้ นักเรียนบางสว่ นยงั ไม่สามารถระบุชนดิ ของแรงยดึ เหนีย่ วระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรยี บเทียบ จดุ หลอมเหลว จุดเดอื ด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์ได้ ดา้ นทักษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยังมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป) ต่ำ กวา่ ระดับดี ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรยี นบางส่วน (23.81%) มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน ต่ำกวา่ ระดับดี แนวทางแกไ้ ข อธบิ ายเพ่มิ เตมิ ในสว่ นที่มีความเขา้ ใจคลาดเคล่อื น ยกตัวอยา่ งเพมิ่ เติม ติดตามผู้เรียนทข่ี าดเรียนบ่อย และไม่ติดตามส่งงาน ลงชอื่ .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 28 รหัสวชิ า ว30221 วิชา เคมี1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ช่ัวโมง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 พันธะเคมี เรือ่ ง สารโคเวเลนต์โครงร่างตาขา่ ย ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายสมบตั ขิ องสาร โคเวเลนต์โครงร่างตาขา่ ยชนิดตา่ ง ๆ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมทั้ง การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคญั สารโคเวเลนต์บางชนดิ ที่มโี ครงสรา้ งโมเลกลุ ขนาดใหญ่และมีพันธะโคเวเลนต์ ต่อเนอื่ งเปน็ โครงร่างตาขา่ ย จะมีจุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสูง สารโคเวเลนต์ โครงร่างตาข่ายทีม่ ีธาตุ องคป์ ระกอบเหมือนกนั แตม่ อี ญั รูปตา่ งกนั จะมีสมบัติ ต่างกนั เช่น เพชร แกรไฟต์ 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ สืบค้นขอ้ มลู อธิบายสมบัติ และนําเสนอตัวอย่างของสารโคเวเลนต์โครงร่างตาขา่ ยชนิดตา่ งๆ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการกล่มุ ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนมคี วามกระตือรือรน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรียนรู้ - สารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาขา่ ย (covalent network) 6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย รว่ มสนทนา รบั ฟังความเห็นของผอู้ นื่ ) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเห็นกบั ผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา (นำเสนอแนวความคดิ เห็นในการแกป้ ญั หา คิดวธิ ีแกป้ ัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (การทำงานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้อย่างมคี วามสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศึกษา คน้ คว้าเพ่ิมเติม) 7. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มีวนิ ัย 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 มงุ่ มนั่ ในการทำงาน

8. ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี ครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรยี น ดงั นี้ 1) จากทไ่ี ด้ศกึ ษาไปแลว้ สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญจ่ ะมจี ุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวเป็นอย่างไร (แนวคำตอบ : สารโคเวเลนต์สว่ นใหญ่จะมจี ดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวต่ำ) 2) นักเรียนคิดว่า จะมีสารโคเวเลนต์ชนิดใดหรือไม่ที่มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง ถ้ามี เพราะเหตใุ ดสารโคเวเลนต์ชนดิ น้ันจงึ มีจุดเดือดและจดุ หลอมเหลวสงู (แนวคำตอบ : มี เน่ืองจากสารโคเวเลนต์นัน้ มีการสร้างพนั ธะเช่อื มต่อกันเปน็ โครงสร้างขนาดใหญ่ จึง ทำใหม้ จี ดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวสงู ) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (10 นาที) 1. นักเรียนศึกษาใบความรู้ 3.3.7 เรื่อง สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่าย จากนั้นครูอธิบาย เก่ียวกบั สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่ายว่า เปน็ สารทมี่ ีพันธะโคเวเลนต์เช่ือมตอ่ กันเป็นโครงร่างตาข่าย โดยใหน้ กั เรยี นพิจารณาตัวอย่างโครงสร้างของสารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาขา่ ย โดยใชภ้ าพประกอบ เพชร แกรไฟต์ รปู แสดงโครงสรา้ งของธาตคุ าร์บอนทอ่ี ย่ใู นรูปตา่ งๆ 2. ให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยใชเ้ ทคนคิ การแบง่ กลุ่มผลสมั ฤทธ์ิ (STAD) คอื การ จัดกิจกรรมการเรยี นรูท้ ี่มีสมาชิก ที่มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน คือ เก่ง 1 คน ปานกลาง 2–3 คน และอ่อน 1 คน พร้อมทั้งเลือกประธานกลุ่ม รองประธานกลุ่ม เลขานุการกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม ทํากิจกรรมสืบค้นข้อมลู เกี่ยวกับสารโคเวเลนต์โครงรา่ งตาข่าย ในประเด็นเกี่ยวกับโครงสร้าง สมบัติ และการนําไปใช้ประโยชน์ของสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่าย แล้วนําเสนอข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ท่ี นา่ สนใจ โดยครูมอบหมายงานล่วงหน้า ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาที) ครูให้นักเรียนแต่ละกล่มุ นําเสนอขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสบื ค้นข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ กลุ่มละ 5- 7 นาที แล้วอภปิ รายร่วมกนั เพอื่ ใหไ้ ดข้ ้อสรปุ เกี่ยวกบั สมบัติของสารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาข่ายและการ นําไปใช้ ประโยชน์รวมทั้งสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายที่มีธาตุองค์ประกอบเหมือนกัน แต่มีอัญรูป ตา่ งกนั จะมสี มบัติตา่ งกนั

ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาท)ี ครูตง้ั คำถามให้นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเรอ่ื ง สารโคเวเลนต์โครงผลึกรา่ งตาขา่ ย เช่น 1) เพราะเหตใุ ดเพชรจงึ ไมน่ ำไฟฟา้ แตแ่ กรไฟตส์ ามารถนำไฟฟ้าได้ (แนวคำตอบ : ในโครงสรา้ งของเพชร คาร์บอนแต่ละอะตอมใช้เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนท้งั หมดสร้างพันธะ โคเวเลนซ์กับอะตอมอกี 4 อะตอมทอี่ ย่ลู อ้ มรอบ จงึ ไมม่ อี เิ ลก็ ตรอนอิสระเหลอื อยู่ เพชรจงึ ไมน่ ําไฟฟา้ ) 2) เพราะเหตุใดจงึ นยิ มนำแกรไฟตม์ าทำไสด้ นิ สอ (แนวคำตอบ : เนอ่ื งจากระหวา่ งชั้นของแกรไฟตย์ ึดกนั ดว้ ยแรงลอนดอน ซ่ึงเปน็ แรงอย่างอ่อน จึงทำ ใหโ้ มเลกลุ ของแกรไฟตล์ ่ืนไถลได้ จึงนิยมนำมาทำสารหลอ่ ลืน่ และไส้ดินสอดำ) ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) นักเรยี นทำแบบทดสอบเรอื่ ง สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่าย ด้วยโปรแกรม Kahoot! จำนวน 10 ขอ้ 9. การวัดและประเมนิ ผล/หลักฐานหรือรอ่ งรอยของการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ วี ดั เครอื่ งมอื วดั เกณฑ์การวัด ด้านความรู้ สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบายสมบัติ และ ตรวจจากแบบทดสอบ แบบทดสอบเรื่อง ผ่านเกณฑ์รอ้ ย นาํ เสนอตวั อยา่ งของสารโคเวเลนต์ ละ 60 ขน้ึ ไป โครงรา่ งตาข่ายชนดิ ต่าง ๆ เรอ่ื ง สารโคเวเลนต์ สารโคเวเลนต์โครง โครงร่างตาขา่ ย ดว้ ย รา่ งตาข่าย ด้วย ดา้ นทกั ษะกระบวนการ โปรแกรม Kahoot! โปรแกรม Kahoot! ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมนิ ทักษะ ผา่ นเกณฑ์ ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กระบวนการทำงาน กระบวนการทำงาน ระดับดี นักเรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ กลมุ่ กลมุ่ ข้นึ ไป เรียน สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ใน ระหวา่ งจัดการเรียนรู้ คณุ ลักษณะอนั พึง ระดบั ดีขน้ึ ไป ประสงค์ 10. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ สื่อการเรยี นรู้ แบบทดสอบเรือ่ ง สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่าย แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรยี นรายวิชาเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น



บนั ทึกหลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากใบงานเร่ือง สารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาขา่ ย พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่สามารถสืบค้นข้อมูล อธิบาย สมบัติ และนําเสนอตัวอยา่ งของสารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่ายชนดิ ตา่ งๆ ได้อยา่ งถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขนึ้ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่มีทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การนำเสนอ) ในระดบั ดขี ้นึ ไป ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหวา่ งจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่มคี วามกระตือรอื รน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑ์ในระดับดขี ึ้นไป ปัญหา/อปุ สรรค ดา้ นความรู้ นกั เรยี นบางสว่ นยงั ไม่สามารถสืบคน้ ข้อมูล อธิบายสมบตั ิ และนําเสนอตัวอยา่ งของสารโคเวเลนต์ โครงรา่ งตาขา่ ยชนิดต่างๆ ได้ ด้านทกั ษะกระบวนการ นกั เรยี นบางส่วนยังมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การนำเสนอ) ตำ่ กว่าระดับดี ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนบางสว่ น (23.81%) มีความกระตือรือรน้ ในการเรยี น ตำ่ กวา่ ระดับดี แนวทางแกไ้ ข สอดแทรกทกั ษะการพดู นำเสนอให้แกผ่ เู้ รียน ลงชอื่ .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 29 รหสั วิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 พนั ธะเคมี เรื่อง พันธะโลหะ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายการเกดิ พันธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมท้ัง การนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคัญ พนั ธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของทุกอะตอมของโลหะเคล่อื นท่ีอย่าง อิสระไปท่ัวท้ัง โลหะ และเกิดแรงยึดเหน่ียวกับโปรตอนในนิวเคลียสทุกทิศทาง โลหะส่วนใหญ่เปน็ ของแขง็ มผี ิวมนั วาว สามารถตีเปน็ แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นำความร้อน และนำไฟฟา้ ได้ดี มจี ดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ดสูง 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรยี นรู้ - การเกดิ พนั ธะโลหะ (metallic bond) - สมบัติของโลหะ 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 6.1 ความสามารถในการสอื่ สาร (รู้ เขา้ ใจ การพดู คุย รว่ มสนทนา รบั ฟงั ความเหน็ ของผอู้ ่นื ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคดิ เหน็ กบั ผู้อื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา (นำเสนอแนวความคดิ เหน็ ในการแกป้ ญั หา คิดวิธีแกป้ ญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (การทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืนได้อย่างมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศึกษา ค้นควา้ เพิม่ เติม) 7. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 7.1 มวี นิ ยั 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 มุ่งม่ันในการทำงาน

8. ขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี ครูใหน้ ักเรียนยกตวั อยา่ งโลหะและการนําไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจําวนั และใชค้ าํ ถาม ว่า โลหะทย่ี กตัวอยา่ งนนั้ มีสมบัตใิ ดท่ีเหมาะสมกบั การนําไปใช้ประโยชน์ดังกลา่ ว (แนวคำตอบ : เหล็กนํามาใช้เป็นโครงสร้างของอาคารบ้านเรือนเนื่องจากมีความแข็ง ทองแดง นํามาใช้ทําสายไฟฟ้าเน่อื งจากสามารถนาํ ไฟฟา้ ได)้ จากนนั้ อภปิ รายรว่ มกนั เพ่ือใหส้ รุปได้ว่า โลหะส่วนใหญ่เป็น ของแขง็ มจี ดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวสูง ผิวมันวาว สามารถนําไฟฟ้าและนําความร้อนได้ ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี 1. นักเรียนศึกษาใบความรู้ 3.4 เรื่อง พันธะโลหะ โดยครูตั้งคําถามนําว่าอะตอมธาตุโลหะ สร้างพันธะเคมีระหว่างกันอย่างไร เหมือนหรือต่างจาก พันธะไอออนิกและพันธะโคเวเลนต์หรือไม่ เพ่ือนาํ เข้าสู่การเกิดพนั ธะโลหะ 2. ครูให้นักเรียนภาพประกอบเก่ยี วกับการเกดิ พนั ธะโลหะ และแบบจําลองทะเลอิเล็กตรอน ภาพ แสดงแบบจําลองทะเลอเิ ลก็ ตรอน (electron Sea model) จากนั้นอธบิ ายว่า พนั ธะโลหะเกิดจากการยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโปรตอนในนิวเคลียสของอะตอม ธาตุโลหะกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนทีเ่ คลื่อนที่ไปทั่วทั้งชิ้นโลหะ ซึ่งการเกิดพันธะโลหะสามารถแสดงได้ ดว้ ยแบบจําลองทะเลอเิ ลก็ ตรอน 3. ครูและนกั เรยี นอภิปรายและลงขอ้ สรุปรว่ มกันเกย่ี วกับพนั ธะโลหะท่ีส่งผลตอ่ สมบัติต่าง ๆ ของโลหะ ได้แก่ จุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง ผิวมันวาวและสะท้อนแสงได้นําไฟฟ้าและนําความ ร้อน ได้ดี รวมทั้งการตใี ห้แผ่ออกเปน็ แผ่นหรอื ดึงเปน็ เส้นได้ที่เกิดจากการเลือ่ นไถลของอะตอมโลหะ เมือ่ ถูกแรงกระทํา โดยใช้รปู ประกอบการอภปิ ราย ภาพ แสดงการเลอื่ นไถลของอะตอมโลหะเมอ่ื ถูกแรงกระทำ ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (15 นาที) ครตู ั้งคำถามใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายสรปุ ดังนี้ 1) อะตอมของอโลหะสามารถเกดิ พันธะโลหะไดห้ รอื ไม่ ลกั ษณะใด

(แนวคำตอบ : อะตอมของอโลหะไม่สามารถเกิดพนั ธะโลหะได้ เนอ่ื งจากอโลหะสญู เสยี อิเล็กตรอนได้ ยาก) 2) อะตอมของโลหะมีการดึงดดู กนั ในลักษณะใด (แนวคำตอบ : อะตอมของโลหะจะเกิดการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่ เคล่อื นท่อี ยา่ งอิสระทว่ั ทกุ ตำแหนง่ ภายในก้อนโลหะ) 3) จดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวของธาตทุ ีเ่ กดิ พันธะโลหะมแี นวโน้มลกั ษณะใด เพราะเหตุใดจึง เป็นเชน่ น้นั (แนวคำตอบ : ธาตทุ ี่เกิดพันธะโลหะจะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง เนอ่ื งจากพันธะโลหะเกิดจาก แรงดงึ ดดู ทางไฟฟา้ ระหวา่ งไอออนบวกกับอเิ ล็กตรอนทเี่ คลื่อนท่ีอยา่ งอิสระ ซึ่งยดึ เหนีย่ วกันแน่นมาก พนั ธะโลหะจึงแขง็ แรงมาก) 4) เพราะเหตุใดโลหะจงึ มผี ิวมันวาว (แนวคำตอบ : เนื่องจากกลุ่มอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อย่างอิสระไปกระทบกับแสงที่เป็นคล่ืน แม่เหล็กไฟฟา้ โลหะจึงรับและกระจายแสงออกมา ทำใหผ้ ิวของโลหะเกิดการสะท้อนแสงได้ดี จึงเห็น ผิวของโลหะเป็นมันวาว) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ เก่ียวกับการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบัติของพันธะโลหะ ดังนี้ 1) การเกิดพันธะโลหะ เป็นพันธะที่เกิดในอะตอมของโลหะกับโลหะ เกิดจากใช้เวเลนซ์ อิเล็กตรอนร่วมกันทั่วท้ังก้อนโลหะ หรืออาจกล่าวไดว้ า่ เกิดจากแรงยึดเหน่ียวระหว่างไอออนบวกที่ เรียงชิดกนั (นิวเคลียส) กบั ไอออนลบที่ว่ิงอยูโ่ ดยรอบอะตอม - พนั ธะโลหะแขง็ แรง > พันธะไอออนิก > พนั ธะโคเวเลนต์ - ความแข็งแรงของพันธะโลหะขึ้นอยู่กับจํานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน และประจุของไอออน บวกของโลหะ 2) สมบตั ิของโลหะ มีดงั น้ี - นาํ ไฟฟ้าไดด้ ี เพราะอิเล็กตรอน (เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน) เคลื่อนทีไ่ ด้อยา่ งอสิ ระทว่ั ทั้งก้อน - นาํ ความรอ้ นไดด้ ี เพราะเมื่อให้ความรอ้ นแก่โลหะ เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนจะมีพลงั งานสูงข้ึนจึง เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น เมื่อเกิดการชนกันจะเกิดการถ่ายโอนพลังงานบางส่วนให้แก่กัน และถ่ายโอน ต่อเนือ่ งกันทว่ั ทง้ั กอ้ นโลหะ - จุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง เพราะเวเลนซ์อิเล็กตรอนยึดเหนี่ยวกับอะตอมทั้งหมดไว้ ดว้ ยกนั การเดือดหรือการหลอมเหลวจงึ ต้องใช้พลังงานสงู - ผิวมนั วาว เพราะอิเล็กตรอนเคลือ่ นที่ไดอ้ ยา่ งอิสระ เมื่อกระทบแสง อเิ ล็กตรอนเหล่าน้ันจะ รับและปล่อยคลน่ื แสงออกมา - เคาะแลว้ มีเสยี งดังกังวาน เนื่องจากไอออนบวกอยชู่ ิดกันมาก เมือ่ เคาะจงึ ส่งแรงสนั่ สะเทือน ไปถึงกันอย่างรวดเรว็ ทำใหเ้ กิดเป็นเสียงดังกงั วานออกมา - รีดเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ เพราะอะตอมโลหะเป็นการผลักชั้นของอะตอมของโลหะเลื่อนไถล ออกไปจากตําแหน่งเดิม ทําให้แผ่นโลหะยาวออกไปและบางลง แต่ละอะตอมของโลหะในตําแหน่ง ใหม่ไมห่ ลุดออกจากกนั เพราะมีกลุ่มเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนยดึ อนุภาคเหล่านน้ั ไว้ ขั้นประเมนิ (Evaluation) (10 นาท)ี นกั เรียนทำแบบฝึกหดั 3.4 พนั ธะโลหะ แลว้ ร่วมกนั เฉลยคำตอบ

9. การวัดและประเมินผล/หลักฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธวี ดั เครือ่ งมือวัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ อธิบายการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบตั ขิ อง ตรวจจาก แบบฝกึ หดั 3.4 ผา่ นเกณฑร์ อ้ ย โลหะ แบบฝกึ หัด 3.4 พนั ธะโลหะ ละ 60 ข้นึ ไป พนั ธะโลหะ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การ ประเมินทกั ษะ แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ ตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ ) กระบวนการทาง ทกั ษะ ระดับดี วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง ขน้ึ ไป วทิ ยาศาสตร์ ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรยี นมีความกระตอื รือรน้ ในการเรียน สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑใ์ น ระหวา่ งจดั การ คุณลักษณะอนั ระดบั ดีข้ึนไป เรียนรู้ พึงประสงค์ 10. สือ่ และแหล่งเรยี นรู้ ส่ือการเรียนรู้ แบบฝกึ หดั 3.4 พนั ธะโลหะ แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ - ห้องสมดุ โรงเรียน

แบบฝกึ หัด 3.4 พนั ธะโลหะ 1. จงอธิบายการเกิดพนั ธะโลหะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. พันธะโลหะมีสมบัติบางประการเหมอื นกบั สารประกอบประเภทใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. จงยกตัวอย่างสมบตั ิเฉพาะตวั ของโลหะมา 4 ข้อ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ธาตุใดที่สามารถเกิดพนั ธะโลหะได้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. นักเรียนพิจารณาวา่ ธาตทุ ่กี ำหนดให้ สามารถเกดิ พนั ธะโลหะไดห้ รอื ไม่ โดยทำเครอื่ งหมาย ✓ ลงในช่องว่าง ให้ถูกต้อง ผลการพิจารณา ผลการพิจารณา ธาตุ เกิดพันธะโลหะ ไมเ่ กิดพนั ธะโลหะ ธาตุ เกดิ พนั ธะโลหะ ไม่เกดิ พนั ธะ โลหะ Na P Li Ca NC Mg Ba Cl Kr Al Cu O Ni Co Zn F Ne K Fe

เฉลย แบบฝกึ หดั 3.4 พนั ธะโลหะ 1. จงอธิบายการเกิดพนั ธะโลหะ อะตอมของโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชันต่ำ จึงสามารถสูญเสียเวเลนซ์อิเล็กตรอนได้ง่าย ทำให้ กลายเป็นไอออนบวก โดยเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนที่หลุดออกจะเคล่ือนทีอ่ ย่างอสิ ระทว่ั ทั้งก้อนโลหะ เกดิ แรงยึด เหน่ยี วระหว่างไอออนบวกกับเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนอิสระ 2. พนั ธะโลหะมสี มบัติบางประการเหมือนกบั สารประกอบประเภทใด สารประกอบไอออนิก 3. จงยกตวั อยา่ งสมบัตเิ ฉพาะตวั ของโลหะมา 4 ขอ้ 1) จดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวสงู 2) นำไฟฟา้ และนำความรอ้ นไดด้ ี 3) ตเี ป็นแผน่ และดงึ เปน็ เสน้ ได้ 4) สะทอ้ นแสงได้ดี 4. ธาตใุ ดท่ีสามารถเกิดพนั ธะโลหะได้ ธาตหุ มู่ 1A – 3A 5. นักเรียนพจิ ารณาว่าธาตทุ ่กี ำหนดให้ สามารถเกิดพนั ธะโลหะไดห้ รอื ไม่ โดยทำเคร่ืองหมาย ✓ ลงในช่องวา่ ง ใหถ้ ูกต้อง ผลการพิจารณา ผลการพจิ ารณา ธาตุ เกิดพนั ธะโลหะ ไมเ่ กิดพันธะโลหะ ธาตุ เกิดพนั ธะโลหะ ไม่เกิดพนั ธะ โลหะ Na ✓ P ✓ Li ✓ Ca ✓ N ✓C ✓ Mg ✓ Ba ✓ Cl ✓ Kr ✓ Al ✓ Cu ✓ O ✓ Ni ✓ Co ✓ Zn ✓ F ✓ Ne ✓ K✓ Fe ✓



บนั ทึกหลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหัด 3.4 พันธะโลหะ พบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่สามารถอธบิ ายการเกดิ พันธะโลหะและ สมบตั ิของโลหะ ได้อย่างถกู ตอ้ งร้อยละ 60 ขึ้นไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่มีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ ) ในระดบั ดีข้นึ ไป ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหว่างจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่มีความกระตอื รอื รน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑ์ในระดับดีขึน้ ไป ปัญหา/อปุ สรรค ด้านความรู้ นกั เรยี นบางส่วนยังไม่สามารถอธบิ ายการเกดิ พันธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะได้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ นักเรยี นบางสว่ นยังมีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรุป) ต่ำกว่าระดบั ดี ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นบางส่วน (19.01%) มีความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น ตำ่ กว่าระดับดี แนวทางแก้ไข อธิบายเนอื้ หาท่เี ข้าใจคลาดเคลอ่ื นเพม่ิ เตมิ แก่นักเรยี น ลงช่อื .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 30 รหสั วิชา ว30221 วิชา เคมี1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พันธะเคมี เร่อื ง การใชป้ ระโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ เปรยี บเทียบสมบตั ิบางประการของ สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สืบค้น ขอ้ มูลและนำเสนอตวั อย่างการใชป้ ระโยชน์ของ สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะได้ อย่างเหมาะสม 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลิเมอร์ รวมท้ัง การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคญั สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ มีสมบัตเิ ฉพาะตัวบางประการที่แตกต่างกนั เช่น จุดเดือด จดุ หลอมเหลว การละลายนำ้ การนำไฟฟา้ จึงสามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ 1. เปรียบเทยี บสมบัตบิ างประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ 2. สบื ค้นขอ้ มูลและนาํ เสนอตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์ของสารประกอบไอออนกิ สารโคเว เลนต์และโลหะได้อยา่ งเหมาะสม ด้านทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนมคี วามกระตือรือรน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - สมบัติบางประการของสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ - การนำสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ มาใช้ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ 6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เขา้ ใจ การพูดคุย รว่ มสนทนา รับฟงั ความเห็นของผู้อ่นื ) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สรา้ งองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเห็นกับผูอ้ ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแก้ปัญหา คดิ วธิ แี กป้ ัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (การทำงานรว่ มกับผู้อืน่ ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศึกษา คน้ คว้าเพม่ิ เติม)

7. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มวี ินยั 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 ม่งุ มนั่ ในการทำงาน 8. ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครใู ห้นกั เรียนพิจารณาตาราง เพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับชนิดของพนั ธะและสมบัติของสาร ซง่ึ ควรสรุปได้วา่ - พันธะไอออนิก เกดิ จากการยึดเหน่ียวระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกบั ไอออนลบ ซ่ึง ส่วนใหญ่ไอออนบวกเกิดจากโลหะเสียอเิ ล็กตรอน และไอออนลบเกิดจากอโลหะรับอิเล็กตรอน เกิด เป็นสารประกอบไอออนิกที่สว่ นใหญ่เปน็ ผลึกของแข็ง เปราะ มจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดสงู ละลาย นำ้ ได้ ไม่นาํ ไฟฟ้าเม่ือเป็นของแข็ง แตน่ าํ ไฟฟา้ ได้เมื่อหลอมเหลวหรอื ละลายในน้ำ - พันธะโคเวเลนต์ เกดิ จากการยดึ เหน่ียวระหว่างอะตอมธาตุ 2 อะตอม ซ่งึ สว่ นใหญ่เปน็ ธาตุ อโลหะโดยใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน เกิดเป็นสารโคเวเลนต์ที่ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุด เดือดต่ำ ไม่ละลายน้ำ และไม่นาํ ไฟฟ้า ส่วนสารที่มีพันธะโคเวเลนตต์ ่อเนื่องกันไปในสามมติ ิเป็น สาร โคเวเลนต์โครงรา่ งตาขา่ ยทีม่ จี ุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดสูง - พันธะโลหะ เกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างโปรตอนในนิวเคลียสกับเวเลนซ์อิเล็กตรอน ท่ี เคลื่อนที่ไปท่ัวทัง้ ชิน้ โลหะ โดยโลหะส่วนใหญเ่ ป็นของแขง็ มีผิวมันวาว ตีเป็นแผ่นหรอื ดงึ เป็นเส้น ได้ นําความรอ้ นและนําไฟฟ้าไดด้ ี มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสงู ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาที) ใหน้ ักเรียนทาํ กิจกรรมเพือ่ สรุปความคดิ รวบยอด เรือ่ ง พันธะเคมี โดยใหน้ ักเรียนทำผงั มโนทัศน์ ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นาที) ครูตั้งคําถามว่า จากสมบัติที่ต่างกันของแต่ละพันธะส่งผลต่อการนําไปใช้ประโยชน์หรือไม่ (แนวคำตอบ : สารแต่ละชนิดมีสมบตั ติ ่างกนั จึงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสม) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) ให้นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยใช้เทคนิคการแบง่ กลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) คือ การจัด กจิ กรรมการเรยี นร้ทู มี่ สี มาชิก ทม่ี ีระดบั สติปัญญาแตกต่างกนั คือ เกง่ 1 คน ปานกลาง 2–3 คน และ อ่อน 1 คน พร้อมทั้งเลือกประธานกลุ่ม รองประธานกลุ่ม เลขานุการกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม ทาํ กิจกรรมสืบคน้ ข้อมูลเกีย่ วกับประโยชนข์ องสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ จากนน้ั ใหน้ ักเรียนนําเสนอขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสบื ค้นขอ้ มูลในรปู แบบต่าง ๆ ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (50 นาท)ี นักเรียนแต่ละกลุ่มนาํ เสนอ ข้อมูลท่ีได้จากการสืบค้นข้อมูลในรูปแบบตา่ ง ๆ กล่มุ ละ 10 นาที แลว้ อภิปรายรว่ มกนั เพอื่ ให้ได้ข้อสรปุ เกย่ี วกับเก่ยี วกบั ประโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก สาร โคเวเลนต์ และโลหะ

9. การวัดและประเมินผล/หลกั ฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธีวดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์การวัด ดา้ นความรู้ 1. เปรยี บเทยี บสมบัติบางประการของ ตรวจจากผัง แบบประเมนิ ผงั ผ่านเกณฑร์ อ้ ย ละ 60 ขึ้นไป สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ มโนทัศน์ มโนทัศน์ 2. สบื คน้ ขอ้ มลู และนําเสนอตวั อยา่ งการใช้ ประโยชนข์ องสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ ได้อยา่ งเหมาะสม ด้านทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่ ประเมนิ แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ ทักษะ ทักษะ ระดบั ดี กระบวนการ กระบวนการ ขน้ึ ไป ทำงานกล่มุ ทำงานกลมุ่ ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรยี นมีความกระตือรือรน้ ในการเรียน สังเกต แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ใน พฤตกิ รรม คุณลกั ษณะอนั พงึ ระดบั ดีข้นึ ไป ระหว่าง ประสงค์ จัดการ เรียนรู้ 10. ส่อื และแหลง่ เรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ ผงั มโนทศั น์ แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สือเรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - ห้องสมุดโรงเรยี น



บนั ทึกหลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบประเมินผงั มโนทัศน์ พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่สามารถสบื ค้นข้อมูลและนาํ เสนอตวั อยา่ งการ ใช้ประโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะได้อย่างเหมาะสมไดอ้ ยา่ งถกู ต้องรอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นส่วนใหญ่มีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ ) ในระดบั ดขี นึ้ ไป ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมินพฤติกรรมระหว่างจดั การเรียนรู้ พบว่านกั เรยี นส่วนใหญ่มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ เรียน ผา่ นเกณฑใ์ นระดับดขี ึน้ ไป ปัญหา/อปุ สรรค ดา้ นความรู้ นักเรียนบางส่วนยังไม่สามารถสืบค้นขอ้ มูลและนาํ เสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชนข์ องสารประกอบไอ ออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะได้ ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรยี นบางสว่ นยังมีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป) ต่ำกว่าระดบั ดี ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนบางส่วน (19.01%) มคี วามกระตือรือร้นในการเรยี น ต่ำกว่าระดับดี แนวทางแกไ้ ข อธบิ ายเนื้อหาท่เี ข้าใจคลาดเคลอื่ นเพ่ิมเตมิ แกน่ ักเรยี น ลงชื่อ .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............

แบบประเมินพฤตกิ รรมการตอ วชิ า เคมี 1 ชัน้ ท่ี ชื่อ – นามสกุล ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. 4321432143214 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 เกณฑก์ ารให้ประเมนิ 4 คะแนน = ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ ตรงประเดน็ ดีมาก 3 คะแนน = ถกู ต้อง 80% ยงั ไม่ตรงประเด็นทั้งหมด ดี 2 คะแนน = ถกู ตอ้ ง 50% ยังไมต่ ีงประเดน็ ทง้ั หมด ปานกลาง พอใช้ 1 คะแนน = ถกู ต้องต่ำกวา่ 50% หรอื ยงั ตอบไมถ่ กู เลย

อบคำถามระหว่างจัดการเรียนรู้ นมัธยมศึกษาปที ี่ 4/1 ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. รวม เฉล่ยี 4321 4321 4321 4321 4321

แบบประเมนิ ความกระตอื รือร วิชา เคมี 1 ชน้ั ท่ี ชอื่ – นามสกลุ ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. 4321432143214 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 เกณฑก์ ารใหป้ ระเมนิ 4 คะแนน = ผเู้ รยี นมีความต่ืนตวั ตลอดเวลา และแสดงออก ดีมาก 3 คะแนน = ผู้เรยี นมคี วามตน่ื ตวั บางเวลา แต่ยงั แสดงออกถ ดี 2 คะแนน = ผู้เรียนมีความรบั ผิดชอบแคอ่ ยากให้งานสำเรจ็ แ ปานกลาง พอใช้ 1 คะแนน = ขาดความตืน่ ตวั และขาดการวางแผนในการทำ

รน้ การมีสว่ นรว่ มในการเรยี น นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4/1 ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. รวม เฉล่ยี 4321 4321 4321 4321 4321 กถึงความต้งั ใจและอยากใหง้ านสำเรจ็ ถงึ ความตงั้ ใจและอยากใหง้ านสำเรจ็ และมีส่ง ำงาน

แบบประเมนิ ความตรงต่อเวลาในการสง่ งาน วชิ า เคมี 1 ช้ัน ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ท่ี ช่อื – นามสกลุ .......................... .......................... .......................... . 3210321032103 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12

น (ใบงาน ช้ินงาน แบบฝึกหดั ชดุ กิจกรรม) นมัธยมศึกษาปที ี่ 4/1 ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. ……./……/……. .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... รวม เฉลยี่ 32103210321032103210

เกณฑก์ ารประเมินพฤติกรรมการส่งงาน พฤติกรรม 3 นกั เรียนส ลา่ ชา้ กว่า นกั เรียนสง่ ใบงานท่ี 8 นักเรยี นสง่ ใบงาน เรอ่ื ง มวลของสารในปฏริ ิ ตรงตามเวลาท่ี เปน็ เวลา ยาเคมี ตรงตามเวลาที่ กำหนด กำหนดไว้ ผา่ นเกณฑ์ใน ระดับดีข้นึ ไป เกณฑ์การตัดสิน 3 หมายถึง ดีมาก 2 หมายถึง ดี 1 หมายถึง พอใช้ 0 หมายถงึ ปรบั ปรงุ เกณฑ์การผ่าน ต้งั แตร่ ะดบั ดี ข้ึนไป

ระดบั คณุ ภาพ 0 21 นักเรยี นส่งใบงานลา่ ชา้ กว่ากำหนดมากกว่า 3 สง่ ใบงาน นกั เรยี นส่งใบงาน วนั ขนึ้ ไป ากำหนด ลา่ ช้ากวา่ กำหนด า 1 วนั เปน็ เวลา 2 วนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook