Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Published by Peewara Phalee, 2021-09-14 07:07:04

Description: แผนพร้อมบันทึกหลังแผนครูปีย์วรา1-2564

Search

Read the Text Version

เฉลย แบบฝึกหัด 3.2.5 สมการไอออนิกและสมการไอออนกิ สุทธิ 1. จงเขยี นสมการไอออนกิ และสมการไอออนกิ สทุ ธิจากสารประกอบไอออนิกตอ่ ไปน้ี 1.1 BaCl2 + Na2CO3 ขน้ั ที่ 1 BaCl2 (aq) + Na2CO3 (aq) BaCO3 (s) + 2NaCl (aq) ขน้ั ท่ี 2 สมการไอออนิก Ba2+ (aq) + 2Cl- (aq) + 2Na+ (aq) + CO32- (aq) BaCO3 (s) + 2Na+ (aq) + 2Cl- (aq) ขั้นท่ี 3 สมการไอออนิกสทุ ธิ Ba2+ (aq) + CO32- (aq) BaCO3 (s) 1.2 Zn(NO3)2 + HCl ขั้นที่ 1 2HCl (aq) + Zn(NO3)2 (aq) ZnCl2 (aq) + 2HNO3 (aq) ขน้ั ที่ 2 สมการไอออนิก 2H+ (aq) + 2Cl- (aq) + Zn2+ (aq) + 2NO-3 (aq) 2H+ (aq) + 2Cl- (aq) + Zn2+(aq) + 2NO3- (aq) ข้นั ที่ 3 สมการไอออนิกสุทธิ - 1.3 Na2CO3 + CaCl2 ขั้นที่ 1 Na2CO3 (aq) + CaCl2 (aq) CaCO3 (s) + 2NaCl (aq) ขั้นที่ 2 สมการไอออนกิ 2Na+ (aq) + CO32- (aq) + Ca2+ (aq) + 2Cl- (aq) CaCO3 (s) + 2Na+ (aq) + 2Cl- (aq) ขนั้ ท่ี 3 สมการไอออนกิ สทุ ธิ Ca2+ (aq) + CO32- (aq) CaCO3 (s) 1.4 AgNO3 + Na3PO4 ขน้ั ที่ 1 3AgNO3 (aq) + Na3PO4 (aq) Ag3PO4 (s) + 3NaNO3 (aq) ขั้นที่ 2 สมการไอออนิก 3Ag+ (aq) + 3NO3- (aq) + 3Na+ (aq) + PO43- (aq) Ag3PO4 (s) + 3Na+ (aq) + 3NO3- (aq) ขน้ั ที่ 3 สมการไอออนิกสทุ ธิ 3Ag+ (aq) + PO43- (aq) Ag3PO4 (s) 1.5 Pb(NO3)2 + NaBr ขน้ั ที่ 1 Pb(NO3)2 (aq)+ 2NaBr (aq) PbBr2 (s) + 2NaNO3 (aq) ขน้ั ท่ี 2 สมการไอออนกิ Pb2+ (aq) + 2NO3- (aq) + 2Na+ (aq) + 2Br- (aq) PbBr2 (s) + 2Na+ (aq) + 2NO3- (aq) ขน้ั ที่ 3 สมการไอออนิกสุทธิ Pb2+ ( (aq) + 2Br- (aq) PbBr2 (s)

2. สารละลายทีก่ ําหนดให้คใู่ ดที่ผสมกนั แล้วเกดิ ตะกอน เขยี นสมการไอออนิกและสมการ ไอออนกิ สุทธิ พรอ้ มทั้งระบุชอื่ ของตะกอนที่เกดิ ขึน้ 2.1 LiCI กบั AgNO3 2.2 KI กบั Pb(NO3)2 2.3 NH4CI กับ Ca(OH)2 2.4 Na3PO4 กับ MgCl2 สารคทู่ ีเ่ กดิ ตะกอนไดแ้ ก่ สารละลายในขอ้ 2.1 2.2 และ 2.4 เขียนสมการไดด้ งั นี้ 2.1 LiCI กับ AgNO3 สมการไอออนกิ Li+(aq) + CI-(aq) + Ag+(aq) + NO3- (aq) AgCI(s) + Li+(aq) + NO3- (aq) สมการไอออนิกสุทธิ Ag+(aq) + CI-(aq) AgCI(s) ชอื่ ตะกอน คอื AgCI ซิลเวอรค์ ลอไรด์ (silver chloride) 2.2 KI กบั Pb(NO3)2 สมการไอออนิก 2K+(aq) + 2I-(aq) +Pb2+(aq) + 2NO3- (aq) PbI2(s) + 2K+(aq) + 2NO3- (aq) สมการไอออนกิ สุทธิ Pb2+(aq) + 2I-(aq) PbI2(s) ชอ่ื ตะกอน คอื PbI2 เลด(II)ไอโอไดด์ (lead(II) iodide) 2.4 Na3PO4 กบั MgCl2 สมการไอออนกิ Mg3(PO4)2(s) + 6Na+(aq) + 6CI-(aq) 6Na+(aq) + 2PO43-(aq) + 3Mg2+(aq) + 6CI-(aq) สมการไอออนิกสทุ ธิ 3Mg2+(aq) + 2PO43-(aq) Mg3(PO4)2(s) ชอื่ ตะกอน คอื Mg3(PO4)2 แมกนเี ซยี มฟอสเฟต (magnesium phosphate) 3. จากสารท่กี ําหนดให้ตอ่ ไปนี้ KCI Na2SO4 CaSO4 BaCO3 Mg(OH)2 MgSO4 AgNO3 BaCl2 NaHCO3 3.1 สารชนิดใดไมล่ ะลายน้ำ CaSO4 BaCO3 และ Mg(OH)2 3.2 สารละลายค่ใู ดท่ผี สมกนั แลว้ ได้ตะกอนแบเรยี มซัลเฟต (BaSO4) และเขียนสมการไอออนิกสุทธิ สารละลาย Na2SO4 กบั BaCl2 และสารละลาย MgSO4 กับ BaCl2 เขียนสมการไอออนกิ สุทธไิ ด้ดงั นี้ Ba2+(aq) + SO42- (aq) BaSO4(s)

4. ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์วา่ จะต้องนำสารละลายชนิดใดมาผสมเข้าดว้ ยกนั จึงจะได้ตะกอนตอ่ ไปน้ี ก. Ag3PO4 AgNO3 กับ Na3PO4 ข. PbBr2 Pb(NO3)2 กบั KBr ค. MgCO3 MgCl2 กบั Na2CO3 ง. Fe(OH)2 FeCl2 กบั NaOH จ. BaSO4 Ba(NO3)2 กับ Li2SO4



บันทึกหลังการสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหดั 3.2.5 สมการไอออนกิ และสมการไอออนิกสทุ ธิ พบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่สามารถเขียน สมการไอออนิกและสมการไอออนกิ สุทธขิ องปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิกไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่านกั เรียนสว่ นใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรุป) ในระดบั ดีขึ้นไป ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างจัดการเรยี นรู้ พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่มีความกระตอื รือรน้ ในการ เรยี น ผา่ นเกณฑ์ในระดับดขี ้ึนไป ปัญหา/อุปสรรค ดา้ นความรู้ นักเรียนบางสว่ นยงั ไม่สามารถเขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิของปฏิกริ ิยาของ สารประกอบไอออนกิ ได้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางส่วนยงั มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) ตำ่ กว่าระดับดี ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ นกั เรียนบางส่วน (23.81%) มีความกระตอื รอื รน้ ในการเรียน ตำ่ กว่าระดับดี แนวทางแก้ไข อธบิ ายเพิ่มเติมในสว่ นทมี่ คี วามเขา้ ใจคลาดเคล่อื น ลงชื่อ .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 22 รหัสวชิ า ว30221 วิชา เคมี1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 พนั ธะเคมี เรื่อง การเกิดพนั ธะโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดย่ี ว พันธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอิส 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลิเมอร์ รวมท้ัง การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคญั พันธะโคเวเลนตเ์ ปน็ การยึดเหนยี่ วท่เี กดิ ขนึ้ ภายในโมเลกลุ จากการใช้เวเลนซ์อิเลก็ ตรอน รว่ มกันของธาตุ ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็นธาตอุ โลหะ โดยท่ัวไปจะเป็นไปตามกฎออกเตต สารทยี่ ึดเหน่ยี วกัน ด้วยพันธะโคเวเลนต์ เรยี กวา่ สารโคเวเลนต์ พันธะโคเวเลนตเ์ กิดไดท้ ง้ั พนั ธะเด่ยี ว พันธะคู่ และพนั ธะสาม ซงึ่ สามารถเขยี นแสดงได้ ดว้ ย โครงสร้างลิวอสิ โดยแสดงอเิ ล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะดว้ ยจุดหรือเส้น และแสดงอิเล็กตรอนคู่โดดเดย่ี ว ของแต่ละอะตอมดว้ ยจดุ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ อธิบายการเกิดพนั ธะโคเวเลนต์แบบพันธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ และพันธะสาม ด้วยโครงสรา้ งลิวอิส ด้านทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรุป) ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรยี นรู้ - การเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) - พนั ธะโคเวเลนต์แบ่งเปน็ 3 ชนดิ - พันธะเด่ียว (Single bond ) - พนั ธะคู่ (Doublet bond) - พนั ธะสาม (Triple t bond) - โครงสรา้ งลิวอิสของสารโคเวเลนต์ - พันธะโคออรด์ เิ นตโคเวเลนต์ (coordinate covalent bonds) 6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 6.1 ความสามารถในการสอื่ สาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย ร่วมสนทนา รับฟังความเห็นของผอู้ ่ืน) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเหน็ กับผ้อู ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแกป้ ญั หา คดิ วธิ ีแกป้ ัญหา)

6.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (การทำงานร่วมกับผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยีในการศึกษา ค้นคว้าเพม่ิ เติม) 7. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มวี นิ ัย 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 มุง่ มั่นในการทำงาน 8. ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครยู กตัวอยา่ งสารโคเวเลนต์โดยยกตัวอย่างอากาศ อากาศเป็นสง่ิ ที่อยูใ่ นสถานะทเ่ี ปน็ แก๊ส มี ส่วนประกอบต่าง ๆ ในอัตราส่วนที่ต่างกันไป ดังนี้ แก๊สไนโตรเจน (N2) ร้อยละ 78 แก๊สออกซิเจน (O2) รอ้ ยละ 21 คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รอ้ ยละ 0.04 และอื่น ๆ แล้วตง้ั คําถามว่า 1) สารตา่ ง ๆ นีเ้ ปน็ สารชนดิ ใด (แนวคำตอบ : สารโคเวเลนต์) 2) การเกดิ พันธะเคมรี ะหว่างอะตอมของออกซิเจนมกี ารเปล่ยี นแปลงของเวเลนซ์อิเล็กตรอน เหมือนหรือต่างจากพันธะไอออนิกหรือไม่ (แนวคำตอบ : ต่างกัน เนื่องจากการเกิดพันธะเคมีของ โมเลกลุ แก๊สออกซเิ จนไมไ่ ดเ้ กิดจากการให้หรือรับอเิ ลก็ ตรอน แตเ่ ปน็ การใชอ้ ิเล็กตรอนร่วมกัน) ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (15 นาท)ี 1. นักเรียนศึกษาใบความรู้ 3.3.1 เรื่อง การเกิดพันธะโคเวเลนต์ โดยให้นักเรียนอธิบาย ความหมายของพันธะโคเวเลนต์ ซึ่งควรได้ข้อสรุปว่า เป็นการยึดเหนี่ยวของอะตอมโดยใช้เวเลนซ์ อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกัน และเรยี กสารท่เี กิดจากพนั ธะโคเวเลนตว์ า่ สารโคเวเลนต์ 2. ครูอธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์โดยใช้แผนภาพและสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส ประกอบการอธิบาย โดยยกตัวอย่างการเกิดพันธะในโมเลกุลแก๊สคลอรีน (CI2) แก๊สออกซิเจน (O2) และแก๊สไนโตรเจน (N2) ซึ่งเป็นการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม ตามลาํ ดับ จากนั้นให้ความรู้เกี่ยวกับอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ(bond pair electrons) ซึ่งเป็นอิเล็กตรอนคู่ที่ใช้ ร่วมกนั ในการเกิดพนั ธะ และอเิ ลก็ ตรอนคูโ่ ดดเดยี่ ว(lone pair electrons) ซ่งึ เปน็ อิเลก็ ตรอนคทู่ ี่ไม่ได้ เกดิ พนั ธะ 3. ครใู หน้ กั เรียนพจิ ารณาการเขียนโครงสรา้ งลวิ อสิ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์บางชนดิ

สาร โครงสร้างลวิ อสิ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อะเซทิลนี (C2H2) แอมโมเนีย (NH3) จากนั้นชี้ให้เหน็ วา่ การเขยี นแสดงโครงสรา้ งลิวอิสของโมเลกุลท่ีประกอบดว้ ยอะตอมมากกว่า 2 อะตอม อะตอมกลางจะเป็นธาตุทต่ี ้องการจาํ นวนอเิ ลก็ ตรอนมากท่สี ุดเพ่ือให้เป็นไปตามกฏออกเตต ในกรณีที่มีธาตุที่ต้องการจํานวนอิเล็กตรอนเท่ากัน ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำท่ี สุดจะเป็น อะตอมกลาง ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นาท)ี 1. ครูให้นักเรียนตอบคําถามเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจ เขียนโครงสรา้ งลวิ อิสของคาร์บอนิล คลอไรด์ (COCl2) 2. จากนั้นครูตั้งคำถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง ชนิดของพันธะโคเวเลนต์ และการ เขียนสตู รเคมแี สดงพันธะโคเวเลนต์ เชน่ 1) สารโคเวเลนต์ต่อไปนี้ CH4 N2 O2 และ BCl3 ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเดี่ยว พันธะคู่ หรอื พนั ธะสาม (แนวตอบ : CH4 และ BCl3 ยึดเหนีย่ วกันดว้ ยพันธะเดีย่ ว O2 ยึดเหนีย่ วกนั ดว้ ยพันธะคู่ N2 ยดึ เหนี่ยวกนั ดว้ ยพันธะสาม) 2) จงเขียนสูตรโมเลกุล สูตรอย่างง่าย สูตรโครงสร้างแบบเส้น และสูตรโครงสร้างแบบจุด ของ C2H4 (แนวตอบ : สตู รโมเลกลุ คอื C2H4 สตู รอย่างง่าย คือ CH2 สตู รโครงสร้างแบบเส้น คือ สตู รโครงสรา้ งแบบจดุ คอื 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดสารประกอบโคเวเลนต์ ว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว สารประกอบโคเวเลนตจ์ ะพยายามให้มีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนเท่ากบั 8 เพ่อื ความเสถยี รของสารประกอบ ที่เกิดขน้ึ ซึง่ จากกฎออกเตตทำให้สามารถทำนายสัดส่วนของจำนวนอะตอมของธาตุท่ีทำปฏิกิริยากัน ได้ เชน่

จะเห็นได้ว่า การเกิดสารประกอบ HF จะเกิดพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมของ H กับ F ใน สัดส่วน 1:1 แต่สารประกอบ H2O จะเกิดพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมของ H กับ O ในสัดส่วน H : O =2:1 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาท)ี 1. ครูอธิบายเกี่ยวกับพนั ธะโคเวเลนต์ในสารบางชนิดทอ่ี ิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะมาจากอะตอม ใดอะตอมหนึง่ เช่น โมเลกลุ แอมโมเนยี (NH3) มเี ส้นพนั ธะ N-H 3 พันธะ แทนอเิ ลก็ ตรอนค่รู ว่ มพันธะ 3 คใู่ นขณะทีอ่ ิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว 1 คู่ แสดงดว้ ยจุดค่บู นอะตอมไนโตรเจน อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยวน้ี สามารถสร้างพันธะกบั H+ เกิดเป็นแอมโมเนยี มไอออน (NH4+) โดยที่จํานวนอิเล็กตรอนรอบอะตอม กลางยังคงเป็นไปตามกฏออกเตต ซึ่งในกรณีนี้พันธะโคเวเลนต์ที่เกิดขึ้นมาจากอะตอมไนโตรเจน เทา่ นน้ั + H+ 2. ครูอธิบายเก่ียวกับสารโคเวเลนต์บางชนิดทีอ่ ะตอมกลางมจี าํ นวนอเิ ล็กตรอนล้อมรอบไม่ เป็นไปตามกฏออกเตต โดยยกตวั อย่างโมเลกลุ โบรอนไตรฟลอู อไรด์ (BF3) ซงึ่ เปน็ โมเลกุลท่ี อะตอม กลางมอี เิ ล็กตรอนล้อมรอบนอ้ ยกว่า 8 และฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์ (PCl5) ซ่ึงเป็นโมเลกุลท่ี อะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนลอ้ มรอบมากกวา่ 8 และ ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาท)ี นกั เรียนทาํ แบบฝึกหดั 3.3.1 การเกดิ พันธะโคเวเลนต์ แล้วรว่ มกันเฉลยคำตอบ 9. การวัดและประเมินผล/หลกั ฐานหรอื ร่องรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีวดั เคร่ืองมอื วดั เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ อธิบายการเกดิ พันธะโคเวเลนต์แบบพันธะ ตรวจากแบบฝึกหัด แบบฝึกหัด 3.3.1 ผ่านเกณฑ์ร้อย เดีย่ ว พนั ธะคู่ และพันธะสาม ด้วย 3.3.1 การเกิด การเกิดพนั ธะ ละ 60 ข้ึนไป โครงสร้างลิวอสิ พนั ธะโคเวเลนต์ โคเวเลนต์ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ ตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) กระบวนการทาง ทักษะ ระดบั ดี วิทยาศาสตร์ กระบวนการทาง ขึน้ ไป วทิ ยาศาสตร์ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นกั เรยี นมีความกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น สงั เกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ผ่านเกณฑใ์ น ระหวา่ งจดั การ คณุ ลักษณะอัน ระดับดีข้นึ ไป เรยี นรู้ พึงประสงค์

10. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ ส่อื การเรยี นรู้ แบบฝกึ หัด 3.3.1 การเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์ แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรียนรายวชิ าเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบนั สง่ เสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น



บนั ทกึ หลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ด้านความรู้ จากแบบฝกึ หดั 3.3.1 การเกิดพันธะโคเวเลนต์ พบว่านกั เรียนส่วนใหญ่สามารถอธิบายการเกดิ พนั ธะ โคเวเลนตแ์ บบพันธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอสิ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขึน้ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นสว่ นใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตคี วามหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรุป) ในระดับดขี ึ้นไป ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหว่างจดั การเรียนรู้ พบวา่ นักเรยี นสว่ นใหญ่มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑ์ในระดับดขี ึ้นไป ปญั หา/อุปสรรค ด้านความรู้ นักเรียนบางส่วนยงั ไม่สามารถอธบิ ายการเกิดพนั ธะโคเวเลนต์แบบพนั ธะเด่ียว พันธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอสิ ได้ ด้านทกั ษะกระบวนการ นกั เรียนบางสว่ นยังมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป) ต่ำกวา่ ระดบั ดี ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นบางสว่ น (23.81%) มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น ตำ่ กวา่ ระดับดี แนวทางแก้ไข อธบิ ายเพ่มิ เติมในส่วนท่ีมีความเข้าใจคลาดเคลอ่ื น และยกตัวอยา่ งเพิ่มเติม ลงชือ่ .................................................... (นางสาวปีย์วรา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 23 รหัสวิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 พนั ธะเคมี เรอ่ื ง สตู รโมเลกุลและชือ่ ของสารโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ เขยี นสูตรและเรยี กชื่อสารโคเวเลนต์ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตใุ นตารางธาตุ สมบตั ิของธาตุ พนั ธะเคมีและสมบัติ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมทง้ั การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคญั สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ โดยทวั่ ไปเขยี นแสดงด้วยสัญลักษณ์ของธาตุ เรยี งลำดับตาม คา่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ ีจากน้อยไปมาก โดยมีตัวเลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตทุ มี่ มี ากกวา่ 1 อะตอม ในโมเลกุล การเรยี กชือ่ สารโคเวเลนต์ทำไดโ้ ดยเรยี กช่อื ธาตุท่ีอยหู่ น้ากอ่ นแล้วตามดว้ ยชื่อธาตุ ทอี่ ย่ถู ัดมา โดยมีคำนำหน้าระบจุ ำนวนอะตอมของธาตทุ ีเ่ ปน็ องคป์ ระกอบ 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ เขียนสูตรและเรียกช่อื สารโคเวเลนต์ ด้านทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มลู และการลงข้อสรุป) ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรยี นมีความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรยี นรู้ - การเขยี นสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ (formula of Covalent Compounds) - การเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลนต์ (names of Covalent Compounds) 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการสื่อสาร (รู้ เข้าใจ การพดู คุย ร่วมสนทนา รบั ฟังความเห็นของผอู้ ่นื ) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคดิ เหน็ กบั ผู้อ่ืน) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแกป้ ญั หา คิดวธิ แี ก้ปัญหา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (การทำงานร่วมกับผอู้ น่ื ได้อยา่ งมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศึกษา คน้ คว้าเพมิ่ เติม) 7. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 7.1 มีวินัย 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 มุง่ ม่นั ในการทำงาน

8. ข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) 1. ครูทบทวนความรู้ใหน้ ักเรียนเกีย่ วกบั เวเลนซ์อิเลก็ ตรอน และค่าอิเลก็ โทรเนกาติวิตี (EN) ของธาตุต่าง ๆ ในตารางธาตุ จากนั้นครูยกตัวอย่างสารโคเวเลนต์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แล้วให้ นกั เรียนเปรียบเทียบคา่ อเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตีของธาตอุ งค์ประกอบ เพ่อื ใช้เปน็ ความรูพ้ ้ืนฐานในการเขยี น สูตรโมเลกลุ โคเวเลนต์ (แนวคำตอบ : อะตอมคารบ์ อน(C) มคี ่าอเิ ล็กโทรเนกาติวิตนี อ้ ยกว่าอะตอมออกซเิ จน(O) ) 2. ครถู ามคำถามกระตนุ้ นักเรียนวา่ นักเรียนคิดว่า เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน และค่าอิเล็กโทรเนกา ตวิ ติ ี (EN) เกีย่ วขอ้ งกบั การเขียนสตู รสารประกอบโคเวเลนต์หรอื ไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : พิจารณาคำตอบของนกั เรียน โดยขน้ึ อยู่กับดลุ ยพินจิ ของครผู ้สู อน) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (15 นาที) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่อง การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ ใบความรู้ 3.3.2 สูตรโมเลกุลและชื่อของสารโคเวเลนต์ ซึ่งหลักการในการเขียนสูตรโมเลกุลของสารประกอบ โคเวเลนต์ มดี งั นี้ - เขียนสญั ลกั ษณข์ องธาตทุ ่ีมีค่าอิเลก็ โทรเนกาติวิตี (EN) ต่ำก่อน (H เขียนไวห้ ลังธาตุหมู่ 3A 4Aและ 5A) - เขียนอิเลก็ ตรอนทตี่ ้องใชใ้ นการสรา้ งพันธะบนสญั ลกั ษณ์ของธาตุนนั้ ๆ - นำตวั เลขด้านบนของธาตมุ าไขว้ไว้ด้านล่างของธาตทุ เ่ี กิดพนั ธะ ตวั อยา่ งเชน่ H1 O2 ---> H1 O2 ---> H2O 2. ครูสรปุ หลกั การในการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ ดงั นี้ - ใหอ้ า่ นจำนวนอะตอมของธาตุตวั แรกเปน็ ภาษากรีก (ถ้าอะตอมเทา่ กบั 1 ไมต่ ้องอา่ น) - อา่ นชือ่ ธาตุตัวแรก - อ่านจำนวนอะตอมของธาตุท่ี 2 เป็นภาษากรีก - อ่านชอื่ ธาตุที่ 2 แลว้ เปล่ียนทา้ ยเสียงเป็นไ-ด์ (-ide) ตวั อย่างเช่น CO2 อา่ นว่า คารบ์ อนไดออกไซด์ CO อ่านวา่ คาร์บอนมอนออกไซด์ ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (10 นาที) ครูตั้งคำถามให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบ โคเวเลนต์ 1) จงเขียนสูตรของสารท่ีเกดิ จากการรวมตัวระหวา่ งอะตอมคู่ตอ่ ไปน้ี ก. Be กับ H ข. As กับ F ค. S กบั O ง. H กบั S จ. C กับ F ฉ. P กับ Br (แนวคำตอบ : ก. BeH2 ข. AsF5 ค. SO2 ง. H2S จ. CF4 ฉ. PBr3) 2) จงเรยี กชือ่ สารประกอบออกไซด์ของไนโตรเจนท่ีกำหนดให้ตอ่ ไปน้ี

NO NO2 N2O N2O3 N2O4 และ N2O5 (แนวคำตอบ : NO = ไนโตรเจนมอนอออกไซด์ หรือไนโตรเจนมอนอกไซด์ NO2 = ไนโตรเจนไดออกไซด์ N2O = ไดไนโตรเจนมอนอออกไซด์ หรอื ไดไนโตรเจนมอนอกไซด์ N2O3 = ไดไนโตรเจนไตรออกไซด์ N2O4 = ไดไนโตรเจนเตตระออกไซด์ หรอื ไดไนโตรเจนเตตรอกไซด์ N2O5 = ไดไนโตรเจนเพนตะออกไซด์ หรือไดไนโตรเจนเพนตอกไซด์) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) 1. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยในเนื้อหา เรื่อง การเขียนสูตรและเรียกช่ือ สารประกอบโคเวเลนต์ ว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่เข้าใจ และให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น เพื่อจะใช้เป็น ความรู้เบ้ืองต้นสำหรับการเรียนในเนอื้ หาต่อ ๆ ไป 2. ครูให้นักเรียนจบั คูก่ บั เพอ่ื นทน่ี ่งั ข้างกัน จากนั้นใหผ้ ลดั กันเขียนสตู รสารประกอบโคเวลนต์ โดยใหเ้ พอื่ นทีจ่ บั คกู่ นั เรยี กชือ่ สารประกอบโคเวลนต์นนั้ ประมาณคนละ 5 สาร ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (15 นาท)ี นกั เรียนทำแบบฝกึ หดั 3.3.2 สตู รโมเลกุลและช่ือของสารโคเวเลนต์ และร่วมกันเฉลย 9. การวดั และประเมินผล/หลักฐานหรือร่องรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีวดั เครื่องมือวัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ แบบฝึกหดั 3.3.2 สูตร ผา่ นเกณฑร์ อ้ ย โมเลกุลและช่อื ของสาร ละ 60 ขึ้นไป เขยี นสูตรโมเลกุลและเรยี กช่ือสารโคเว ตรวจจากแบบฝกึ หดั โคเวเลนต์ เลนต์ 3.3.2 สตู รโมเลกุลและ ผ่านเกณฑ์ แบบประเมนิ ทกั ษะ ระดบั ดี ช่อื ของสารโคเวเลนต์ กระบวนการทาง ข้ึนไป วทิ ยาศาสตร์ ด้านทักษะกระบวนการ ผา่ นเกณฑ์ใน แบบประเมิน ระดับดขี ึน้ ไป ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ประเมนิ ทกั ษะ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (การตคี วามหมายข้อมูลและการลง กระบวนการทาง ขอ้ สรปุ ) วทิ ยาศาสตร์ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นกั เรยี นมีความกระตอื รอื รน้ ในการ สังเกตพฤตกิ รรม เรียน ระหว่างจัดการเรยี นรู้ 10. สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ ส่อื การเรยี นรู้ แบบฝึกหดั 3.3.2 สูตรโมเลกุลและช่ือของสารโคเวเลนต์ แหลง่ การเรยี นรู้ - หนงั สอื เรียนรายวิชาเคมี 1 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยสถาบนั ส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น

แบบฝกึ หัด 3.3.2 สตู รโมเลกุลและชอ่ื ของสารโคเวเลนต์ 1. จงเขยี นสูตรโมเลกุลของสารประกอบโคเวเลนตท์ ่เี กิดจากการรวมกันของธาตตุ ่อไปน้ี 1.1 C กับ F ………………………………………………………………………………………………………… 1.2 C กบั Cl ………………………………………………………………………………………………………… 1.3 N กบั F ………………………………………………………………………………………………………… 1.3 C กบั S ………………………………………………………………………………………………………… 1.5 N กับ O ………………………………………………………………………………………………………… 1.6 S กับ Cl ………………………………………………………………………………………………………… 1.7 C กับ O ………………………………………………………………………………………………………… 1.8 F กบั F ………………………………………………………………………………………………………… 2. จงอ่านชือ่ สารประกอบโคเวเลนต์ต่อไปนี้ 2.1 CO ………………………………………………………………………………………………………… 2.2 N2O4 ………………………………………………………………………………………………………… 2.3 P4O10 ………………………………………………………………………………………………………… 2.4 Cl2O7 ………………………………………………………………………………………………………… 2.5 NO ………………………………………………………………………………………………………… 2.6 N2O ………………………………………………………………………………………………………… 2.7 N2O5 ………………………………………………………………………………………………………… 2.8 CCl4 ………………………………………………………………………………………………………… 2.9 OF2 …………………………………………………………………………………………………......... 2.10 PCl3 …………………………………………………………………………………………………

เฉลย แบบฝกึ หัด 3.3.2 สูตรโมเลกลุ และชอ่ื ของสารโคเวเลนต์ 1. จงเขียนสตู รโมเลกุลของสารประกอบโคเวเลนต์ท่เี กิดจากการรวมกันของธาตตุ อ่ ไปนี้ 1.1 C กบั F = CF4 1.2 C กบั Cl = CCl4 1.3 N กับ F = NF3 1.3 C กบั S = CS2 1.5 N กับ O = N2O3 1.6 S กับ Cl = SCl2 1.7 C กับ O = CO2 1.8 F กบั F = F2 2. จงอ่านช่อื สารประกอบโคเวเลนต์ต่อไปน้ี 2.1 CO = คารบ์ อนมอนออกไซด์ 2.2 N2O4 = ไดไนโตรเจนเตตระออกไซด์ 2.3 P4O10 = เตตระฟอสฟอรสั เดคะออกไซด์ 2.4 Cl2O7 = ไดคลอรนี เฮปตะออกไซด์ 2.5 NO = ไนโตรเจนมอนออกไซด์ 2.6 N2O = ไดไนโตรเจนมอนออกไซด์ 2.7 N2O5 = ไดไนโตรเจนเพนตะออกไซด์ 2.8 CCl4 = คาร์บอนเตตระคลอไรด์ 2.9 OF2 = ออกซเิ จนไดฟลูออไรด์ 2.10 PCl3 = ฟอสฟอรัสไตรคลอไรด์



บันทกึ หลังการสอน ผลการจดั การเรียนการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝึกหดั 3.3.2 สูตรโมเลกลุ และช่ือของสารโคเวเลนต์ พบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่สามารถเขียน สตู รโมเลกุลและเรียกชือ่ สารโคเวเลนต์ได้อย่างถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ขน้ึ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่มีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (การตคี วามหมายขอ้ มลู และการลงข้อสรุป) ในระดบั ดขี ้ึนไป ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างจดั การเรยี นรู้ พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่มคี วามกระตือรอื รน้ ในการ เรียน ผ่านเกณฑใ์ นระดับดขี ้นึ ไป ปัญหา/อปุ สรรค ด้านความรู้ นักเรยี นบางส่วนยงั ไม่สามารถเขยี นสตู รโมเลกุลและเรยี กชือ่ สารโคเวเลนต์ได้ ดา้ นทักษะกระบวนการ นักเรียนบางสว่ นยงั มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป) ต่ำกวา่ ระดับดี ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นักเรียนบางสว่ น (23.81%) มคี วามกระตอื รือร้นในการเรียน ตำ่ กว่าระดับดี แนวทางแก้ไข อธบิ ายเพ่มิ เติมในสว่ นทมี่ คี วามเขา้ ใจคลาดเคล่ือน และยกตัวอยา่ งเพ่มิ เติม ลงช่อื .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาลี) .........../................../..............

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 24 รหสั วิชา ว30221 วชิ า เคมี1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 พนั ธะเคมี เร่ือง ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรยี นรู้ วิเคราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ รวมท้งั คำนวณพลงั งานทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับปฏิกิริยาของสารโคเวเลนตจ์ ากพลังงานพันธะได้ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมท้ัง การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสำคัญ ความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะในสารโคเวเลนตข์ น้ึ กับชนดิ ของอะตอมครู่ ว่ มพันธะและ ชนิดของพันธะ โดยพันธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ และพันธะสาม มคี วามยาวพนั ธะและพลังงานพันธะแตกตา่ ง กนั นอกจากนโ้ี มเลกลุ โคเวเลนตบ์ างชนดิ มคี ่าความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะแตกต่างจากของ พนั ธะเดีย่ ว พันธะคู่ และ พนั ธะสาม ซ่งึ สารเหล่าน้ีสามารถเขยี นโครงสร้างลิวอสิ ทเี่ หมาะสมได้ มากกว่า 1 โครงสร้างที่เรยี กว่า โครงสร้างเรโซแนนซ์ พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณพลังงานของปฏกิ ิริยาซ่งึ ไดจ้ ากผลต่างของพลงั งาน พนั ธะรวมของสารตงั้ ตน้ กับผลิตภณั ฑ์ 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1.วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทยี บความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ 2.คาํ นวณพลงั งานท่เี กย่ี วข้องกับปฏกิ ิริยาของสารโคเวเลนตจ์ ากพลังงานพันธะ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จํานวน และการตีความหมายข้อมูลและลง ข้อสรปุ ) ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ นักเรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - ความยาวพันธะ (Bond lengths) และความยาวพันธะเฉลย่ี (Average bond lengths) - เรโซแนนซ์ (Resonance) - พลังงานพนั ธะ (Bond energy) และพลังงานพนั ธะเฉล่ีย (Average bond energy) - การคำนวณพลังงานพันธะของปฏกิ ริ ยิ า 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เข้าใจ การพูดคุย ร่วมสนทนา รับฟังความเหน็ ของผู้อื่น) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สร้างองคค์ วามรู้ แสดงความคิดเหน็ กับผอู้ ื่น)

6.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแก้ปัญหา คดิ วิธแี ก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (การทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ได้อยา่ งมีความสขุ ) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใชเ้ ทคโนโลยใี นการศกึ ษา คน้ ควา้ เพิ่มเติม) 7. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 มวี ินยั 7.2 ใฝ่เรยี นรู้ 7.3 ม่งุ มน่ั ในการทำงาน 8. ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครถู ามคำถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรียน ดงั น้ี 1) ในอากาศมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ออกซิเจน (O2) และไนโตรเจน (N2) สารประกอบเหลา่ นี้เปน็ สารโคเวลนตห์ รือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : เปน็ สารโคเวเลนต์ เพราะเกดิ จากธาตอุ โลหะ+อโลหะ) 2) สารท้งั สามชนดิ มคี วามยาวพนั ธะเปน็ อยา่ งไร (แนวคำตอบ : CO2 และ O2 มคี วามยาวพนั ธะ มากกวา่ N2 ) ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที) 1. นกั เรียนศึกษาใบความรู้ 3.3.3 เร่ือง ความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะของสารโคเวเลนต์ โดยครูแสดงกราฟรว่ มกันอภปิ รายกราฟ ดังนี้ การเกิดโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนนั้นอะตอมของไฮโดรเจนจะเคลื่อนที่ใกล้กันได้มากที่สดุ และจะเกิดสมดุลระหว่างแรงดึงดูดกับแรงผลักที่ระยะ 74 pm ถ้าเข้าใกล้กันมากกว่านี้ แรงผลักจะ เพิ่มมากขึ้น ทำให้โมเลกุลไม่เสถียร ระยะ 74 pm จึงเป็นระยะที่สั้นที่สุดที่นิวเคลียสของอะตอมท้งั สองสร้างพนั ธะกันในโมเลกุล ระยะนี้จงึ เรียกวา่ ความยาวพันธะ 2. ครูอธบิ ายเพม่ิ เตมิ โดยใหน้ ักเรียนพิจารณาความยาวพันธะ O - H ในโมเลกลุ ของสารต่าง ชนิดกนั ของน้ำ (H2O) เมทานอล (CH3OH) และกรดไนตรสั (NHO2)

ตาราง แสดงความยาวพนั ธะระหวา่ ง O-H ในโมเลกลุ ของสารต่างชนิดกนั สาร โครงสร้างลวิ อิส ความยาวพันธะ O-H (pm) น้ำ (H2O) 95.8 เมทานอล (CH3OH) 95.6 กรดไนตรัส (NHO2) 98.0 จากตารางพบว่าพันธะชนิดเดียวกันในโมเลกุลต่างชนิดกันอาจมีความยาวพันธะไม่เท่ากัน ในการ ประมาณความยาวพันธะระหวา่ งอะตอมคู่หนึ่ง ๆ โดยท่วั ไปนยิ มใช้ ความยาวพันธะเฉล่ยี 3. ครใู ห้นักเรียนเขยี นโครงสรา้ งลิวอิสของโอโซน (O3) แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายเก่ียวกบั ความยาว พนั ธะระหว่างอะตอมของออกซเิ จน เพือ่ นำเข้าสูค่ วามเขา้ ใจเรอ่ื งโครงสรา้ งเรโซแนนซ์ O OO สูตรตามกฎออกเตต 128Opm11O6.5 0128Opm ความยาวพนั ธะ O - O เทา่ กนั ท้งั สองขา้ ง O O O เขียนแทนดว้ ย O O OO O O แบบ 1 แบบ 2 4. ครูตงั้ คาํ ถามวา่ พนั ธะระหว่าง O กบั O ควรจะมีได้ก่ีคา่ (แนวคำตอบ : 2 ค่า คือ O – O เท่ากับ 148 pm และ O = O เท่ากับ 121 pm) แต่จาก การศึกษาพบว่าเท่ากับ 128 pm ซึ่งมีค่าเดียว นักวิทยาศาสตร์จึงเสนอว่าโครงสร้างทั้งสองไม่ใช่ โครงสร้างโมเลกลุ ที่แท้จริงของ O3 แต่เรียกเป็น โครงสร้างเรโซแนนซ์ และใช้ลูกศรสองหัวแสดงการ เกิดเรโซแนนซร์ ะหว่าง 2 โครงสรา้ ง โดยโครงสร้างทีส่ อดคลอ้ งกับค่าความยาวพนั ธะที่เท่ากันสามารถ เขียนแทนด้วย โครงสรา้ งเรโซแนนซ์ผสม 5. นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 3 คน สบื ค้นข้อมูลเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกับปรากฏการณ์เรโซแนนซ์ จาก ใบความรู้ 3.3.3 ความยาวพันธะและพลงั งานพันธะของสารโคเวเลนต์ และแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ จากน้ัน รวบรวมสารประกอบโคเวเลนต์ที่เกิดปรากฏการณ์เรโซแนนซ์ได้ เขียนลงในกระดาษ A4 แล้วนำไป แปะทบ่ี อร์ดหน้าหอ้ งเรยี น เพ่อื ใหน้ กั เรยี นกล่มุ อื่นไดศ้ กึ ษา 6. ครูให้นักเรียนพิจารณากราฟ แล้วตั้งคําถามว่า ถ้าต้องการสลายพันธะในโมเลกุล แก๊ส ไฮโดรเจนตอ้ งใช้พลงั งานอย่างน้อยเทา่ ใด

(แนวคำตอบ : 436 กิโลจูลต่อโมล) คา่ พลังงานดังกลา่ วเป็นพลงั งานพนั ธะของ H - H จากนน้ั ครูให้ความรู้ว่า พลังงานพันธะ เป็นพลังงานปริมาณน้อยที่สุดที่ใช้สลายพันธะระหว่างอะตอมคู่ร่วม พันธะในโมเลกลุ สถานะแก๊สใหเ้ ป็นอะตอมเดีย่ วในสถานะแก๊ส 7. ครตู ง้ั คาํ ถามนําวา่ โมเลกลุ ทมี่ ีพนั ธะชนดิ เดียวกันมากกวา่ 1 พนั ธะ นักเรยี นคดิ ว่าพลังงาน ที่ใช้ในการสลายพันธะแต่ละพันธะเท่ากันหรือไม่ อย่างไร จากนั้นอธิบายพลังงานที่ใช้ในการสลาย พนั ธะ O - H ของน้ำทง้ั 2 พันธะ ซ่งึ มคี า่ ไมเ่ ท่ากนั และพลงั งานที่ใช้ในการสลายพนั ธะ O - H ในสาร ชนิดอื่นกม็ ีคา่ ไมเ่ ท่ากัน ดังนั้นการประมาณพลังงานพันธะระหว่างอะตอมคู่หน่ึง ๆ โดยทั่วไปนยิ มใช้ พลงั งานพันธะเฉลี่ย ซ่ึงเฉล่ยี จากพันธะท้งั ทอ่ี ยู่ในโมเลกลุ ชนดิ เดียวกนั และต่างชนิดกัน 8. ครูให้นักเรียนพิจารณาค่าในตาราง แล้วตั้งคําถามว่า ค่าความยาวพันธะและพลังงาน พนั ธะระหว่างอะตอมคู่รว่ มพันธะเดยี วกนั มคี วามสมั พันธ์กันอยา่ งไร สาํ หรับ (แนวคำตอบ : อะตอมครู่ ว่ มพันธะเดยี วกนั พันธะท่ีมคี ่าพลงั งานพันธะน้อยจะมีค่าความยาว พนั ธะมาก) ตารางแสดง ความยาวพนั ธะเฉลย่ี และพลังงานพนั ธะเฉลีย่ Bondlength (pm) and bond energy (kJ/mol) Bond Length Energy Bond Length Energy H-H 74 436 C-C 154 346 H-F 92 567 C=C 134 614 H-Cl 128 431 C≡C 120 839 H-Br 141 366 C-N 146 286 H-I 161 298 C=N 121 615 H-N 102 391 C≡N 116 890 H-O 96 463 N-N 145 158 H-S 134 364 N=N 124 470 C-H 109 414 N≡N 113 945 C-F 139 485 N-O 143 214

ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาท)ี ครตู ง้ั คำถามใหน้ ักเรียนรว่ มกนั อภิปราย เรอ่ื งพลังงานพันธะและความยาวพนั ธะ 1) กำหนดพลังงานพันธะระหว่างอะตอมของ C กับ C เป็น 347 614 และ 839 กิโลจูล ตามลำดับ จงระบุชนดิ ของพันธะและเปรยี บเทียบความพันธะ (แนวคำตอบ : พลังงานพันธะ (kJ) 347 614 839 ชนดิ ของพนั ธะ พันธะเด่ียว พันธะคู่ พนั ธะสาม ความยาวพันธะ ยาว สั้น) 2) จงเปรียบเทียบพลงั งานพนั ธะและความยาวพันธะระหว่างอะตอมของไนโตรเจนใน N2 N2H2 และ N2H4 (แนวคำตอบ : พลงั งานพันธะระหว่างอะตอมของไนโตรเจนของ N2 > N2H2 > N2H4 ความยาวพนั ธะระหว่างอะตอมของไนโตรเจนของ N2 < N2H2 < N2H4) 3) นกั เรยี นคดิ วา่ พลังงานท่ีใชใ้ นการสลายพันธะหวา่ ง C – C ในอีเทน (C2H6) และพลงั งาน ที่ใชใ้ นการสลายพันธะระหวา่ ง C = C ในอีทนี (C2H4) จะมีค่าเทา่ กนั หรอื ไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : ไม่เท่ากัน เนื่องจากพลังงานที่ใชใ้ นการสลายพนั ธะต่างชนิดกันจะมีค่าไม่เทา่ กัน โดย พันธะคู่จะใช้พลังงานในการสลายพนั ธะสงู กว่าพันธะเด่ียว) 4) นกั เรียนคิดวา่ พลังงานทใ่ี ชใ้ นการสลายพันธะหวา่ ง C – H ในโมเลกลุ CH4 และพลงั งานที่ ใชใ้ นการสลายพันธะระหว่าง C – H ในโมเลกลุ CH3 จะมคี า่ เทา่ กนั หรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : ไม่เท่ากัน เนื่องจากพลังงานในการสลายพนั ธะระหว่าง C – H จะมีค่าแตกต่างกันไป ในโมเลกุลของสารที่ต่างกัน) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาท)ี ครูใหค้ วามร้เู กยี่ วกับการคํานวณพลังงานของปฏิกริ ยิ าของสารโคเวเลนต์ จากพลงั งานพันธะ ซึ่งได้จากผลต่างของพลังงานพันธะรวมของสารตั้งต้นกับผลิตภัณฑ์ จากนั้นแสดงการคํานวณ ตาม ตวั อยา่ ง 1 และ 2 1) จงคำนวณหาพลังงานที่คายออกมาจากการสร้างไฮดราซีน (N2H4) 1 โมล (กำหนดให้ พลงั งานพันธะของ N – N เท่ากับ 163 kJ/mol และพลังงานพนั ธะของ N – H เท่ากับ 391 kJ/mol) (แนวคำตอบ : ขน้ั ท่ี 1 วาดโครงสร้างลวิ อสิ ของไฮดราซนี ขน้ั ท่ี 2 สงั เกตพนั ธะท่มี ใี นโครงสรา้ งของไฮดราซีน ในโครงสร้าง ประกอบด้วย N – N 1 พันธะ คิดเปน็ พลังงาน163 kJ/mol N – H 4 พนั ธะ คิดเปน็ พลังงาน 4 × 391 kJ/mol ขนั้ ท่ี 3 รวมพลงั งานพนั ธะทัง้ หมด 1,727 kJ/mol ดังน้ัน ในการสร้างไฮดราซนี 1 โมล จะมกี ารคายพลังงาน 1,727 กโิ ลจูล) 2) จงคำนวณหาพลงั งานในการสงั เคราะห์ HCl 1 โมล จาก H2 และ Cl2 (กำหนดให้ พลังงาน พันธะของ H – H เท่ากับ 436 kJ/mol พลังงานพันธะของ Cl – Cl เท่ากับ 243 kJ/mol และ พลังงานพันธะของ H – Cl เท่ากบั 431 kJ/mol)

(แนวคำตอบ : ข้ันท่ี 1 เขยี นสมการเคมีของปฏกิ ริ ิยา H2 + Cl2 2HCl ข้ันท่ี 2 สงั เกตพนั ธะทมี่ ีในโครงสร้างของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมี สารตง้ั ต้น ประกอบดว้ ย H – H 1 พันธะ คิดเปน็ พลงั งาน 436 kJ/mol Cl – Cl 1 พนั ธะ คดิ เป็นพลงั งาน 243 kJ/mol รวมคดิ เป็นพลงั งาน 679 kJ/mol ผลติ ภัณฑ์ ประกอบด้วย H – Cl 2 พนั ธะ คิดเปน็ พลังงาน 2 × 431 kJ/mol รวมคดิ เป็นพลังงาน 862 kJ/mol ขน้ั ที่ 3 เปรยี บเทียบและหาผลต่างของพลงั งาน ∆ H = 679 - 862 kJ = -183 kJ จากสมการ จะเห็นว่าการสังเคราะห์ HCl 2 โมล จาก H2 และ Cl2 มีการคาย พลังงาน 183 กิโลจูล แต่ในโจทย์ถามเพียงแค่ 1 โมลของ HCl แสดงว่า จะมีการคายพลังงานเพียง 91.5 กโิ ลจลู ) ขั้นประเมนิ (Evaluation) (30 นาท)ี ทำแบบฝึกหดั 3.3.3 ความยาวพันธะและพลงั งานพันธะของสารโคเวเลนต์ และร่วมกนั เฉลย 9. การวัดและประเมินผล/หลักฐานหรอื รอ่ งรอยของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ วี ัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ 1. วเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บความยาว ตรวจจาก แบบฝกึ หดั 3.3.3 ผา่ นเกณฑร์ ้อย พนั ธะและพลังงานพนั ธะในสารโคเว แบบฝึกหดั 3.3.3 ความยาวพนั ธะ ละ 60 ขึน้ ไป เลนต์ ความยาวพันธะ และพลังงานพนั ธะ 2. คํานวณพลงั งานท่ีเกี่ยวขอ้ งกับปฏกิ ริ ยิ า และพลงั งานพนั ธะ ของสารโคเวเลนต์ ของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ ของสารโคเวเลนต์ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การใช้ ประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ จาํ นวน และการตคี วามหมายขอ้ มลู และลง กระบวนการทาง ทักษะ ระดบั ดี ขอ้ สรปุ ) วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง ข้นึ ไป วิทยาศาสตร์ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นักเรยี นมคี วามกระตือรือรน้ ในการเรียน สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ใน ระหว่างจดั การ คณุ ลกั ษณะอนั พึง ระดบั ดขี นึ้ ไป เรียนรู้ ประสงค์

10. สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้ ส่ือการเรยี นรู้ แบบฝึกหดั 3.3.3 ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ - ห้องสมดุ โรงเรยี น

แบบฝกึ หัด 3.3.3 ความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะของสารโคเวเลนต์ 1. จงเปรียบเทยี บความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลหรอื ไอออนที่กำหนดให้ต่อไปน้ี พรอ้ มอธิบายเหตผุ ล ขอ้ พนั ธะ โมเลกลุ โครงสร้างลวิ อิส เปรยี บเทยี บ 2 โมเลกลุ ระหว่าง ความยาว พลงั งานพนั ธะ พันธะ 1.1 C กบั O CO 1.2 O กบั O CO2 O2 H2O2 1.3 N กับ N N2 N2H4 1.4 C กบั C C2H2 C2H4 1.5 C กับ O CO32- COCl2

2. จงคำนวณพลังงานที่ใชใ้ นการสลายพันธะของสารประกอบโคเวเลนตต์ ่อไปนจ้ี ำนวน 1 โมล 2.1 NOCl …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… 2.2 SCl2 …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… 3. จงคำนวณพลงั งานที่เกยี่ วขอ้ งในปฏิกิริยาตอ่ ไปนี้ พร้อมระบุวา่ เปน็ ปฏกิ ริ ิยาดูดหรือคายพลงั งาน 3.1 C2H4 + 3O2 ----> 2CO2 + 2H2O C2H4 …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………

3.2 6CO2 + 6H2O ----> C6H12O6 + 6O2 …..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………..………………………………………………………………………………………………………………………………………C…6…H1…2…O6 …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………..………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………

เฉลย แบบฝึกหัด 3.3.3 ความยาวพันธะและพลงั งานพันธะของสารโคเวเลนต์ 1. จงเปรียบเทยี บความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลหรือไอออนทก่ี ำหนดใหต้ อ่ ไปน้ี พรอ้ มอธบิ ายเหตผุ ล ข้อ พนั ธะ โมเลกลุ โครงสร้างลวิ อิส ความยาว พลังงานพนั ธะ ระหว่าง CO พนั ธะ CO > CO2 1.1 C กับ O CO2 > CO CO2 1.2 O กบั O O2 H2O2 > O2 O2 > H2O2 H2O2 1.3 N กับ N N2 N2H4 > N2 N2 > N2H4 N2H4 1.4 C กับ C C2H2 C2H4 > C2H2 C2H2 > C2H4 C2H4 _ 1.5 C กับ O CO32- CO32- > COCl2 COCl2 > CO32- COCl2

2. จงคำนวณพลงั งานที่ใช้ในการสลายพนั ธะของสารประกอบโคเวเลนตต์ อ่ ไปนจี้ ำนวน 1 โมล 2.1 NOCl โครงสร้างลวิ อิส NOCl 1 mol มีพันธะ N = O 1 โมล และ N - Cl 1 โมล พลงั งานพันธะของ N = O เท่ากบั 607 kJ/mol พลงั งานพันธะของ N - Cl เท่ากับ 200 kJ/mol พลงั งานทใี่ ช้ในการสลายพันธะ NOCl 1 mol = 607 + 200 kJ/mol = 807 kJ/mol ดงั นนั้ พลังงานทใ่ี ชใ้ นการสลายพันธะ NOCl 1 mol 807 kJ/mol 2.2 SCl2 โครงสรา้ งลวิ อิส SCl2 1 mol มพี นั ธะ S - Cl 2 โมล พลงั งานพันธะของ S - Cl เท่ากบั 271 kJ/mol พลงั งานท่ีใช้ในการสลายพันธะ SCl2 1 mol = 2 × 271 kJ/mol = 542 kJ/mol ดังนั้น พลงั งานท่ีใชใ้ นการสลายพันธะ SCl2 1 mol 542 kJ/mol 3. จงคำนวณพลังงานทีเ่ กย่ี วข้องในปฏิกิรยิ าต่อไปน้ี พร้อมระบุว่าเป็นปฏกิ ริ ิยาดูดหรอื คายพลงั งาน 3.1 C2H4 + 3O2 ----> 2CO2 + 2H2O C2H4 พลงั งานการสลายพนั ธะ (E1) = (C = C) + 4(C – H) + 3(O = O) = 614 + 4(413) + 3(498) kJ/mol = 614 + 1,652 + 1,494 kJ/mol = 3,760 kJ/mol พลงั งานการสร้างพนั ธะ (E2) = 4(C = O) + 4(O – H) = 4(799) + 4(467) kJ/mol = 3,196 + 1,868 kJ/mol = 5,064 kJ/mol ∆H = (E1) + (E2) = 3,760– 5,064 = - 1,304 kJ/mol ดังนน้ั ปฏิกิรยิ าคายพลังงาน เท่ากับ 1,304 kJ/mol 3.2 6CO2 + 6H2O ----> C6H12O6 + 6O2 พลังงานการสลายพันธะ (E1) = 12(C = O) + 12(O – H) = 12(799) + 12(467) kJ/mol = 9,588 + 5,604 kJ/mol C6H12O6 = 15,192 kJ/mol

พลังงานการสรา้ งพนั ธะ (E2) = 7(C – H) + (C = O) + 5(C – O) + 5(O – H) + 5(C – C) + 6(O= O) = 7(413) + 745 + 5(358) + 5(467) + 5(347) + 6(498) kJ/mol = 2,891 + 745 + 1,790 + 2,335 + 1,735 + 2,988 kJ/mol = 12,484 kJ/mol ∆H = (E1) + (E2) = 15,192 – 12,484 kJ/mol = 2,708 kJ/mol ดงั นน้ั ปฏิกริ ยิ าดดู พลงั งาน เท่ากบั 2,708 kJ/mol



บันทกึ หลงั การสอน ผลการจัดการเรยี นการสอน ดา้ นความรู้ จากแบบฝกึ หดั 3.3.3 ความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะของสารโคเวเลนต์ พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่ สามารถวเิ คราะหแ์ ละเปรียบเทียบความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ และคํานวณพลังงานท่ี เก่ียวข้องกับปฏิกริ ยิ าของสารโคเวเลนต์จากพลงั งานพนั ธะได้อย่างถกู ตอ้ งรอ้ ยละ 60 ข้ึนไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่านกั เรียนส่วนใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จํานวน และการตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรุป) ในระดับดีขึน้ ไป ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหวา่ งจัดการเรียนรู้ พบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มีความกระตอื รือรน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ดีข้นึ ไป ปญั หา/อปุ สรรค ดา้ นความรู้ นกั เรยี นบางส่วนยังไม่สามารถวิเคราะหแ์ ละเปรียบเทียบความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะในสาร โคเวเลนต์ และคาํ นวณพลังงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั ปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนต์จากพลงั งานพนั ธะได้ ดา้ นทักษะกระบวนการ นกั เรยี นบางสว่ นยงั มีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การใช้จํานวน และการตคี วามหมายขอ้ มูล และลงข้อสรปุ ) ต่ำกว่าระดับดี ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรยี นบางส่วน (19.01%) มคี วามกระตือรอื ร้นในการเรียน ตำ่ กวา่ ระดบั ดี แนวทางแก้ไข อธบิ ายเพิ่มเตมิ ในส่วนท่มี คี วามเขา้ ใจคลาดเคลอื่ น ยกตวั อยา่ งเพิ่มเติม ติดตามผู้เรียนทขี่ าดเรียนบ่อย และไม่ติดตามสง่ งาน ลงชือ่ .................................................... (นางสาวปยี ์วรา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 25 รหสั วิชา ว30221 วิชา เคมี1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 3 ชั่วโมง หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 พันธะเคมี เรอ่ื ง รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ คาดคะเนรปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎีการผลกั ระหวา่ งคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบสุ ภาพขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรยี งธาตุในตารางธาตุ สมบตั ขิ องธาตุ พนั ธะเคมแี ละสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมทงั้ การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคัญ รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพจิ ารณาโดยใช้ทฤษฎีการผลักระหวา่ งคอู่ ิเล็กตรอนในวง เวเลนซ์ (VSEPR) ซ่ึงขนึ้ อยกู่ บั จำนวนพนั ธะและจำนวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ คาดคะเนรปู รา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎกี ารผลักระหว่างคอู่ เิ ล็กตรอนในวงเวเลนซ์ ดา้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ ) ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนมคี วามกระตือรอื รน้ ในการเรียน 5. สาระการเรียนรู้ - ทฤษฎีการผลักของคู่อเิ ลก็ ตรอน (Valence Shell Electron Pair Repulsion, VSEPR) - รูปร่างและมมุ ระหวา่ งพนั ธะของโมเลกุลโคเวเลนต์ 6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 6.1 ความสามารถในการส่ือสาร (รู้ เข้าใจ การพดู คุย ร่วมสนทนา รบั ฟงั ความเหน็ ของผูอ้ ื่น) 6.2 ความสามารถในการคิด (คิดวเิ คราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ สร้างองค์ความรู้ แสดงความคดิ เหน็ กบั ผอู้ ื่น) 6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา (นำเสนอแนวความคิดเห็นในการแก้ปญั หา คดิ วธิ ีแก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (การทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ืน่ ไดอ้ ย่างมีความสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยีในการศึกษา ค้นควา้ เพิ่มเตมิ ) 7. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 7.1 มวี นิ ัย 7.2 ใฝเ่ รียนรู้ 7.3 มงุ่ มน่ั ในการทำงาน

8. ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) ครถู ามคำถามกระตุ้นความสนใจของนกั เรียน ดงั น้ี 1) นักเรยี นคิดว่าสารโคเวเลนตม์ รี ปู ร่างเหมือนสารประกอบไอออนิกหรอื ไม่ (แนวคำตอบ : ไม่เหมือนกัน เนื่องจากการเกิดของสารประกอบ 2 ชนิดแตกต่างกัน คือ สารประกอบไอออนิกเกิดจากการให้และรับอิเล็กตรอนแต่ สารโคเวเลต์เกิดจากการใช้อิเล็กตรอน รว่ มกนั ) 2) นักเรยี นคดิ ว่าโมเลกุลโคเวเลนต์แตล่ ะชนิดจะมรี ูปร่างเหมอื นกันหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคำตอบ : ไม่เหมือนกัน เนื่องจากการจัดเรียงอะตอมต่าง ๆ ในโมเลกุลโคเวเลนต์แต่ละ ชนดิ จะมีลักษณะและตำแหนง่ ทแี่ นน่ อน ทำให้โมเลกุลโคเวเลนต์มรี ปู ร่างแตกต่างกนั ออกไป) 3) นกั เรียนคดิ วา่ รปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนตข์ ึ้นอยกู่ บั ปัจจยั ใดบ้าง (แนวคำตอบ : พิจารณาคำตอบของนกั เรียน โดยอย่ใู นดลุ ยพนิ ิจของครผู ้สู อน โดยมีแนวตอบ คือ ความยาวพนั ธะ และมมุ พนั ธะซึง่ เกดิ จากแรงผลักของอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี ว) ขัน้ สำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาท)ี 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 5 คน แล้วทำกิจกรรมในใบงานที่ 3.2 เรื่อง รูปร่างของโมเลกุล โคเวเลนต์ เพอ่ื ศกึ ษารปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ท่อี ะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โดยใช้ลูกโป่ง แทนแบบจาํ ลองโมเลกุล พร้อมบันทึกผลลงในใบงาน 2. ครูสมุ่ ตัวแทนนักเรียน 2 กลุม่ ออกมาสรปุ ผลจากการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน หากมีกลุ่ม ใดได้ผลทแี่ ตกต่างออกไป ใหน้ กั เรียนทกุ กลมุ่ ร่วมกนั อภิปรายจนไดผ้ ลที่ตรงกัน 3. ครูให้นกั เรยี นศึกษาเรอื่ ง รูปรา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนต์ จากใบความรู้ 3.3.4 รูปรา่ งโมเลกุล โคเวเลนต์ จากนนั้ ครูอธิบายเก่ียวกับทฤษฎีการผลักของคู่อเิ ลก็ ตรอน (valence shell electron pair repulsion; VSEPR) โดยมีหลักการว่า อิเล็กตรอนรอบอะตอมกลาง ทั้งอิเล็กตรอนที่สร้างพันธะและ อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จะมีแรงผลักซึ่งกันและกันทำให้อยู่ห่างกันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้มีมุม ระหว่างพันธะที่เหมาะสม จึงเกิดเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การคาดคะเน รปู รา่ งโมเลกลุ สามารถพจิ ารณาแรงผลกั ไดโ้ ดย เน่ืองจากอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ยี วอยู่ใกล้นวิ เคลียสมากกว่าอิเล็กตรอน คู่ร่วมพันธะ ดังนั้นแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวด้วยกันจึงมีค่ามากกว่า แรงผลักระหว่าง อเิ ล็กตรอนค่รู ่วมพนั ธะกบั อิเล็กตรอนคโู่ ดดเด่ียว และมากกว่าแรงผลักระหวา่ งอิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพันธะ ดว้ ยกนั lone pair e lone pair e- bond pair e กบั > กับ > กบั lone pair e- bond pair e bond pair e- 4. ครูอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างโมเลกุลและมุมระหว่างพันธะของโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอม กลาง ไม่มีอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดีย่ วและที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดีย่ ว โดยให้นักเรียนพิจารณา ตวั อยา่ งรูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนตใ์ นตาราง

ตารางแสดง โมเลกลุ โคเวเลนตท์ อ่ี ะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดยี่ ว สตู รท่ัวไป รปู ร่างโมเลกลุ สารตวั อยา่ ง มุมระหว่างพันธะ (ABXEy) - เส้นตรง HF, O2, AB (linear) H2,N2,Cl2 เสน้ ตรง BeCl2, HgCl2, AB2 (linear) CO2 AB3 สามเหลย่ี มระนาบ BF3, CO32−, ( trigonal NO3−, SO3 planar) AB4 ทรงส่ีหนา้ CH4, PO43−, 109.5˚ (tetrahedral) SO42−, ClO4−CO32- AB5 พีระมิดคู่ฐาน PCl5 สามเหล่ยี ม (trigonal bipyramid) AB6 ทรงแปดหนา้ SF6 (octrahedral)

ตารางแสดง โมเลกุลโคเวเลนตท์ ีอ่ ะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ยี ว สูตรทั่วไป รูปรา่ งโมเลกลุ สารตัวอยา่ ง มมุ ระหว่างพันธะ (ABXEy) พรี ะมิดฐาน NH3, PCl3 AB3E1 สามเหลี่ยม (trigonal pyramid) AB2E2 มมุ งอ (bent) H2O, OF2 AB4E1 ม้ากระดก SF4 (see saw) AB3E2 ตวั ที ClF3, BrF3 (T-shape) AB2E3 เสน้ ตรง XeF2, I3− (linear) AB2E1 มุมงอ (bent) NO2−, SO2, O3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาท)ี ครตู งั้ คำถามให้นกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายเร่ือง รูปรา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนต์ เช่น 1) จงระบรุ ปู รา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนต์ตอ่ ไปน้ี CO2 NO3- OF2 ClO4- PCl3 และ BrF5 NO3−= สามเหลย่ี มแบนราบ (แนวคำตอบ : CO2 = เสน้ ตรง OF2 = มมุ งอ ClO4− = ทรงส่ีหนา้ PCl3 = พรี ะมิดฐานสามเหลย่ี ม BrF3 = ตัวท)ี

2) จงยกตัวอย่างโมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีรูปร่างต่อไปนี้ เส้นตรง สามเหลี่ยมแบนราบ ทรงสี่หนา้ พีระมิดคฐู่ านสามเหลย่ี ม ทรงแปดหน้า มมุ งอ พรี ะมดิ ฐานสามเหลี่ยม ทรงส่ีหน้าบิดเบ้ียว หรอื ม้ากระดก พีระมิดฐานส่ีเหลี่ยม ตวั ที ส่เี หล่ียมแบนราบ (แนวคำตอบ : เส้นตรง เช่น HCN BeH2 C2H2 เปน็ ตน้ สามเหล่ยี มแบนราบ เชน่ BF3 CO32− SO3 เป็นตน้ ทรงส่หี นา้ เช่น SiCl4 SO42− PO43− เปน็ ตน้ พรี ะมดิ คู่ฐานสามเหล่ยี ม เชน่ SbCl5 AsF5 PF3Cl2 เปน็ ตน้ ทรงแปดหนา้ เชน่ TeF6 SeI6 เป็นต้น มุมงอ เชน่ SCl2 NO2− เป็นต้น พีระมดิ ฐานสามเหลย่ี ม เชน่ PBr3 SOCl2 XeO3 เปน็ ตน้ ทรงสหี่ นา้ บิดเบ้ยี วหรอื มา้ กระดก เชน่ TeCl4 เปน็ ต้น พรี ะมิดฐานสเ่ี หลย่ี ม เชน่ BrF5 เปน็ ตน้ ตัวที เช่น BrF3 เปน็ ต้น สเ่ี หลีย่ มแบนราบ เช่น XeF4 เป็นต้น) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) ครตู ั้งคำถามใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเรอ่ื ง มมุ ระหวา่ งพันธะในโมเลกลุ โคเวเลนต์ เชน่ 1) NH3 และ PH3 โมเลกุลโคเวเลนต์ใดมีมุมพันธะใหญก่ วา่ กัน (แนวคำตอบ : NH3 มีมุมพันธะใหญ่กว่า PH3 เนื่องจากทั้งสองโมเลกุลมีรูปร่างเป็นพีระมิดฐาน สามเหลี่ยมที่มี 1 อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวทั้งคู่ แต่ N มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีมากกว่า P ดังนั้น N จึง ดงึ ดดู อิเลก็ ตรอนเขา้ ใกล้อะตอมกลางไดม้ ากกวา่ ดงั น้นั มุมพันธะของ NH3 > PH3) 2) โมเลกุล CS2 H2S และ CO2 มีรูปร่างโมเลกุลเหมือนกัน และมุมระหว่างพันธะเท่ากัน หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : CS2 และ CO2 มรี ปู ร่างเปน็ เสน้ ตรง และมมี มุ ระหว่างพันธะเทา่ กัน คือ 180๐ เน่อื งจากมีอะตอมกลางเปน็ คาร์บอนเหมอื นกัน มีจำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วม พนั ธะเท่ากนั และ ไม่มอี ิเล็กตรอนค่โู ดดเด่ยี วเหมือนกนั ส่วน H2S มีรูปร่างเป็นมมุ งอ และมีมุมระหวา่ งพนั ธะ < 109.5๐ เน่อื งจากผลของอเิ ล็กตรอนค่โู ดดเด่ยี ว 2 คู่ ที่อยรู่ อบอะตอมกลาง) ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด 3.3.4 รปู ร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ และรว่ มกนั เฉลยแบบฝึกหัด

9. การวดั และประเมนิ ผล/หลักฐานหรือรอ่ งรอยของการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีวัด เครือ่ งมอื วดั เกณฑก์ ารวัด ดา้ นความรู้ อธบิ ายเก่ยี วกับรปู รา่ งและมมุ 1. ตรวจจากใบกจิ กรรม 1. ใบกจิ กรรม 3.2 ผ่านเกณฑ์ร้อย ระหวา่ งพนั ธะของโมเลกลุ โคเวเลนต์ 3.2 รปู ร่างของโมเลกุล รปู รา่ งของโมเลกลุ ละ 60 ขึน้ ไป โคเวเลนต์ โคเวเลนต์ 2. ตรวจจากแบบฝึกหดั 2. แบบฝกึ หัด 3.3.4 รปู รา่ งโมเลกุล 3.3.4 รปู รา่ ง โคเวเลนต์ โมเลกุลโคเวเลนต์ ด้านทักษะกระบวนการ ประเมินทักษะ แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง ทกั ษะ ระดับดี (การตคี วามหมายขอ้ มลู และลง ขึน้ ไป ข้อสรุป) วิทยาศาสตร์ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์ใน ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ระดบั ดขี ึน้ ไป นกั เรียนมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ สังเกตพฤตกิ รรมระหว่าง แบบประเมนิ เรียน จัดการเรยี นรู้ คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 10. ส่ือและแหลง่ เรยี นรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ แบบฝึกหัด 3.3.4 รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ แหล่งการเรียนรู้ - หนังสอื เรยี นรายวชิ าเคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ - หอ้ งสมุดโรงเรยี น

แบบฝกึ หัด 3.3.4 รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ คำชี้แจง : จงระบุจำนวนอะตอมล้อมรอบ จำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว สูตรทั่วไป และรูปร่าง โมเลกุลของสารทมี่ สี ตู รโมเลกลุ ต่อไปน้ี ขอ้ โมเลกลุ โคเวเลนต์ อะตอม อิเล็กตรอนคู่ สตู รทัว่ ไป รปู ร่างของโมเลกลุ ล้อมรอบ (B) โดดเดยี่ ว (E) 1 HCN 2 COH2 3 SnCl2 4 CHCl3 5 NCl3 6 SCl2 7 PF5 8 TeCl4 9 BrF3 10 XeF2 11 TeF6 12 BrF5 13 XeF4

เฉลย แบบฝกึ หดั 3.3.4 รปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ คำชแ้ี จง : จงระบุจำนวนอะตอมลอ้ มรอบ จำนวนอิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว สตู รทัว่ ไป และรูปร่าง ขอ้ โมเลกลุ โคเวเลนต์ อะตอม อเิ ล็กตรอนคู่ สูตรท่ัวไป รูปร่างของโมเลกลุ ล้อมรอบ (B) โดดเดี่ยว (E) AB2 เส้นตรง AB3 สามเหลย่ี มแบนราบ 1 HCN 20 AB2E AB4 มมุ งอ 2 COH2 3 0 AB3E ทรงสี่หนา้ AB2E2 พีระมดิ ฐานสามเหลี่ยม 3 SnCl2 2 1 AB5 มมุ งอ 4 CHCl3 4 0 AB4E พีระมดิ คู่ฐาน สามเหลยี่ ม 5 NCl3 31 AB3E2 ทรงสีห่ น้าบิดเบี้ยว AB2E3 หรือม้ากระดก 6 SCl2 22 AB6 AB5E ตวั ที 7 PF5 50 AB4E2 เสน้ ตรง ทรงแปดหน้า 8 TeCl4 4 1 พีระมดิ ฐานส่เี หล่ยี ม สเ่ี หลยี่ มแบนราบ 9 BrF3 32 10 XeF2 2 3 11 TeF6 60 12 BrF5 51 13 XeF4 4 2



บนั ทกึ หลงั การสอน ผลการจัดการเรียนการสอน ด้านความรู้ จากแบบฝึกหัด 3.3.4 รปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ พบว่านกั เรียนสว่ นใหญ่สามารถอธบิ ายเกี่ยวกับ รูปรา่ งและมุมระหว่างพนั ธะของโมเลกุลโคเวเลนต์ได้อยา่ งถกู ต้องร้อยละ 60 ขนึ้ ไป ด้านทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่านกั เรยี นส่วนใหญม่ ีทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป) ในระดับดขี ึ้นไป ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ จากแบบประเมนิ พฤติกรรมระหวา่ งจดั การเรียนรู้ พบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่มคี วามกระตือรอื รน้ ในการ เรยี น ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ดีขน้ึ ไป ปญั หา/อปุ สรรค ด้านความรู้ นกั เรยี นบางส่วนยังไม่สามารถอธบิ ายเก่ยี วกับรปู รา่ งและมุมระหว่างพนั ธะของโมเลกลุ โคเวเลนต์ได้ ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรยี นบางสว่ นยังมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป) ต่ำ กวา่ ระดับดี ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนบางสว่ น (19.01%) มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรียน ต่ำกวา่ ระดบั ดี แนวทางแกไ้ ข อธบิ ายเพิม่ เตมิ ในส่วนทมี่ คี วามเข้าใจคลาดเคลอื่ น ยกตัวอย่างเพิ่มเติม ตดิ ตามผู้เรียนทขี่ าดเรียนบ่อย และไมต่ ิดตามสง่ งาน ลงชอ่ื .................................................... (นางสาวปยี ว์ รา ผาล)ี .........../................../..............

แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 26 รหัสวชิ า ว30221 วชิ า เคมี1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ชั่วโมง หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 พันธะเคมี เรื่อง สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ ********************************************************************************** 1. ผลการเรียนรู้ คาดคะเนรปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์โดยใช้ ทฤษฎกี ารผลกั ระหว่างคู่อิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ และระบสุ ภาพขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสรา้ งอะตอม การจดั เรียงธาตใุ นตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมท้งั การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 3. สาระสำคญั โมเลกุลโคเวเลนตม์ ีทัง้ โมเลกุลมีขัว้ และไม่มีขัว้ สภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนตเ์ ป็นผลรวม ปรมิ าณเวกเตอร์สภาพข้วั ของแต่ละพนั ธะตามรูปร่างโมเลกลุ 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ เขยี นแสดงทิศทางข้วั พันธะและทศิ ทางขัว้ ของโมเลกลุ รวมทงั้ ระบสุ ภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ ด้านทักษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (การสงั เกต และการตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ) ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรียนมีความกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น 5. สาระการเรยี นรู้ - สภาพขัว้ ของพนั ธะโคเวเลนต์ - พันธะโคเวเลนต์ไม่มขี ัว้ (Non-polar covalent bond) - พันธะโคเวเลนตม์ ีขัว้ (polar covalent bond) - สภาพขั้วของสารโคเวเลนต์ - โมเลกุลมีข้ัว (Polar molecules) - โมเลกลุ ไมม่ ีข้วั (Non-polar molecules) - วธิ ีการพจิ ารณาสภาพขั้วของสารโคเวเลนต์ 6. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 6.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร (รู้ เขา้ ใจ การพดู คุย ร่วมสนทนา รับฟงั ความเหน็ ของผ้อู ่ืน) 6.2 ความสามารถในการคดิ (คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ สรา้ งองค์ความรู้ แสดงความคิดเหน็ กบั ผอู้ ื่น) 6.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา (นำเสนอแนวความคิดเหน็ ในการแก้ปัญหา คดิ วิธีแก้ปญั หา) 6.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (การทำงานร่วมกับผู้อืน่ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข) 6.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (ใช้เทคโนโลยใี นการศึกษา ค้นคว้าเพมิ่ เติม)

7. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 7.1 มวี นิ ยั 7.2 ใฝ่เรียนรู้ 7.3 ม่งุ ม่ันในการทำงาน 8. ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี 1. ครูถามคำถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี น ดังน้ี 1) นักเรยี นคิดวา่ สภาพขั้วทพ่ี บในโมเลกุลโคเวเลนต์แบ่งออกเป็นกี่ลกั ษณะ และอะไรบา้ ง (แนวคำตอบ : 2 ลักษณะ คอื สภาพขัว้ ของพันธะ และสภาพข้วั ของโมเลกุล) 2) สภาพขว้ั ของพนั ธะและสภาพข้ัวของโมเลกลุ แตกตา่ งกนั อย่างไร (แนวคำตอบ : สภาพขว้ั ของพนั ธะเปน็ ผลต่างของค่า EN ของธาตทุ ม่ี าสรา้ งพนั ธะกนั สว่ น สภาพข้วั ของโมเลกุลเปน็ ผลรวมของสภาพข้วั ของพนั ธะ) 2. ครทู บทวนความรู้ พร้อมยกตวั อย่างการเกดิ พันธะในโมเลกุลโคเวเลนต์ตา่ ง ๆ ท่ีมกี ารใช้ อิเล็กตรอนรว่ มกันเป็นคู่ แลว้ นำอภปิ รายให้นักเรียนคดิ ตอ่ ไปว่า อิเล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะควรอย่บู ริเวณ ใดระหว่างอะตอมคู่สร้างพันธะ เพ่อื นำเข้าสเู่ รอ่ื ง สภาพข้วั ของพันธะและสภาพข้ัวของโมเลกุล โคเวเลนต์ ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (30 นาท)ี 1. ครอู ธิบายวา่ พนั ธะโคเวเลนตไ์ มม่ ขี ว้ั (Non-polar covalent bond) เปน็ พันธะทเี่ กดิ จาก อะตอมชนิดเดยี วกนั มีการกระจายของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนค่รู ว่ มพันธะระหว่างอะตอมท้งั สอง เทา่ กัน เชน่ แก๊สไฮโดรเจน (H2) และพนั ธะโคเวเลนต์มีขวั้ (polar covalent bond) เปน็ พันธะท่เี กิด จากอะตอมตา่ งชนิดกันและมคี า่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ิตตี ่างกนั จะมกี ารกระจายของกลุ่มหมอกอเิ ล็กตรอน ค่รู ว่ มพนั ธะระหว่างอะตอมไมเ่ ท่ากัน เช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCI) 2. ครตู ้งั คำถามให้นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกบั ความมขี ั้วในโมเลกุลของนำ้ โดยนกั เรยี น ควรอธิบายไดว้ า่ พันธะ O – H ทัง้ สองเป็นพันธะมีขั้วท่มี อี ำนาจไฟฟา้ เทา่ กนั แต่อะตอมของ O มี อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ียว 2 คู่ ทำใหโ้ มเลกุลของนำ้ มรี ปู รา่ งเปน็ มุมงอ ทำให้อำนาจไฟฟ้าของพนั ธะ หกั ล้างกนั ไมห่ มด น้ำจึงเปน็ โมเลกลุ โคเวเลนตม์ ีข้ัว โดยดา้ น O แสดงอำนาจไฟฟา้ ค่อนขา้ งลบ สว่ น ดา้ น H แสดงอำนาจไฟฟา้ คอ่ นข้างบวก 3. ครูให้นกั เรยี นพจิ ารณารูปและอธบิ ายเกี่ยวกบั การแสดงขว้ั ของพนั ธะของอะตอมที่แสดง ประจไุ ฟฟา้ คอ่ นขา้ งบวก δ+ และอะตอมที่แสดงประจุไฟฟา้ คอ่ นขา้ งลบ δ- และการเขยี นแสดง สญั ลกั ษณแ์ ละทิศทางของขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ H - F หรือ δ+ δ- H-F polar covalent bond

4. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเลกุลอะตอมคู่ที่ประกอบด้วยธาตุชนิดเดียวกัน พันธะท่ี เกิดขึ้นเป็นพันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว เช่น O2 Cl2 และเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้าโมเลกุลอะตอมคู่ท่ี ประกอบด้วยธาตุต่างชนดิ กนั พันธะท่ีเกิดข้ึนเปน็ พันธะโคเวเลนต์มีข้ัว เช่น HF CO และเป็นโมเลกุลมี ขั้ว ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาท)ี ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันอภิปรายสรปุ วิธีพิจารณาวา่ โมเลกุลใดมขี ้ัวหรือไมม่ ีข้วั มีหลักดังนี้ - ถา้ โมเลกลุ โคเวเลนตม์ เี พยี ง 2 อะตอมและเป็นอะตอมของธาตชุ นิดเดียวกนั พนั ธะที่เกดิ ข้ึน ในโมเลกุลเป็นพันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว และเป็นโมเลกุลไม่มีไม่มีขั้ว เช่น H2 , O2 , N2 , F2 , Br2, I2 เป็นต้น - ถ้าโมเลกุลโคเวเลนต์มีเพียง 2 อะตอมและเป็นอะตอมของธาตุต่างชนิดกนั พันธะที่เกิดข้ึน ในโมเลกุลเป็นพันธะโคเวเลนตม์ ขี ั้ว และเปน็ โมเลกุลมีขวั้ เชน่ HF HCl และ HBr เป็นต้น - ถ้าโมเลกุลที่เกิดจากพนั ธะมีข้ัว และรปู ร่างของโมเลกุลสมมาตร โมเลกลุ นนั้ จะเป็นโมเลกุล ไมม่ ขี ัว้ เพราะมีผลรวมของทิศทางของแรงดึงดูดอเิ ลก็ ตรอนท้งั หมดในโมเลกุลเปน็ ศนู ย์ เช่น CO2 δ- δ+ δ+ δ- หรือ จะพบวา่ ในโมเลกลุ โคเวเลนต์ทอ่ี ะตอมกลางสร้างพันธะกบั อะตอมล้อมรอบชนิดเดียวกันและ ไมม่ ีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวเหลืออยู่ แม้ว่าในโมเลกุลจะประกอบด้วยพนั ธะมีข้วั แต่โมเลกุลอาจไม่มีข้ัว ได้ ทั้งนี้เพราะว่าโมเลกุลมรี ปู ร่างสมมาตร ทำให้อำนาจไฟฟ้าทีม่ ีขนาดเท่ากัน แต่ทิศทางตรงข้ามกัน หกั ลา้ งกันหมดไป - ถ้าโมเลกุลที่เกิดจากพันธะมีขั้ว และรูปร่างของโมเลกุลไม่สมมาตร โมเลกุลนั้นจะเป็น โมเลกลุ มีขว้ั เพราะมีผลรวมของทิศทางของแรงดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนท้งั หมดในโมเลกุลไมเ่ ทา่ กับศูนย์หรือ สภาพขว้ั ของพนั ธะหกั ลา้ งกันไม่หมด - ถา้ อะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวเหลอื อยู่ สว่ นใหญ่เปน็ โมเลกุลมีขัว้ แต่บางชนิดอาจ เป็นโมเลกุลไมม่ ขี ้วั เช่น XeF4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (40 นาที) 1. ครูตงั้ คำถามใหน้ ักเรียนรว่ มกันอภิปรายเรือ่ ง สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ เชน่ 1) เขยี นทิศทางแสดงสภาพข้ัว ของพันธะต่อไปน้ี C–H O–S H–S N–O B – Cl H – Br C – Cl H – Si C–H O–S H–S N–O (แนวตอบ : B – Cl H – Br C – Cl H – Si 2) สารโคเวเลนต์ทก่ี ำหนดให้ต่อไปน้ี F2 HCl CH4 H2S CH3Cl SF6 CO2 และ NH3 เป็นโมเลกลุ มีขั้วหรอื ไมม่ ขี ้ัว (แนวตอบ : F2 CH4 SF6 และ CO2 เป็นโมเลกลุ ไมม่ ีขัว้ HCl H2S CH3Cl และ NH3 เป็นโมเลกลุ มีข้วั )

2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพขั้วของพันธะ และสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จากนั้นเลือกสารโคเวเลนต์มา 10 ชนิด พร้อมเขียนแสดงทิศทางขั้วพันธะและทิศทางขั้วของโมเลกุล รวมทั้งระบุสภาพขั้วของโมเลกุล โคเวเลนต์ ลงในกระดาษ A4 แล้วนำไปแปะที่บอร์ดหน้าห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนกลุ่มอื่นได้ศึกษา ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (20 นาท)ี นกั เรยี นทำแบบฝกึ หดั 3.3.5 เร่ือง สภาพข้ัวของโมเลกุลโคเวเลนต์ 9. การวดั และประเมนิ ผล/หลักฐานหรอื ร่องรอยของการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธวี ดั เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารวัด ด้านความรู้ เขยี นแสดงทิศทางขัว้ พนั ธะและทิศทางขั้ว ตรวจจาก แบบฝึกหดั ผา่ นเกณฑร์ ้อย ของโมเลกุล รวมทง้ั ระบสุ ภาพข้ัวของโมเลกลุ แบบฝกึ หดั 3.3.5 3.3.5 สภาพขั้ว ละ 60 ข้นึ ไป โคเวเลนต์ สภาพขวั้ ของ ของโมเลกุลโคเว โมเลกุล เลนต์ โคเวเลนต์ ด้านทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การ ประเมินทกั ษะ แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ สังเกต และการตีความหมายข้อมูลและลง กระบวนการทาง ทักษะ ระดับดี ขอ้ สรปุ ) วิทยาศาสตร์ กระบวนการทาง ขน้ึ ไป วิทยาศาสตร์ ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นมีความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น สงั เกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ผ่านเกณฑใ์ น ระหว่างจดั การ คุณลักษณะอัน ระดบั ดขี น้ึ ไป เรียนรู้ พงึ ประสงค์ 10. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ ส่อื การเรียนรู้ แบบฝึกหัด 3.3.5 เรอ่ื ง สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ แหล่งการเรียนรู้ - หนงั สอื เรียนรายวิชาเคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ โดยสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร - ห้องสมุดโรงเรยี น

แบบฝกึ หัด 3.3.5 สภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ 1. จงทำเครื่องหมาย ✓ เพอื่ ระบุสภาพขว้ั ของพนั ธะและสภาพข้วั ของโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์ต่อไปน้ี ข้อ สารโคเวเลนต์ สภาพขั้วของพนั ธะ สภาพขัว้ ของโมเลกลุ ไมม่ ีขัว้ มขี วั้ ไม่มขี ั้ว มีขว้ั 1 H2 2 HCN 3 BF3 4 Cl2 5 CCl4 6 SO2 7 CH3Cl 8 C3H8 9 HCl 10 P4 11 PCl3 12 CS2 13 BeH2 14 OF2 15 O3 16 CH2O 17 H2SO4 18 PH5 19 CH2Cl2 20 N2

2. ระบรุ ูปรา่ งโมเลกุล และแสดงทศิ ทางข้ัวของพนั ธะและทศิ ทางข้ัวของโมเลกุล พรอ้ มระบุวา่ เปน็ โมเลกุลโคเว เลนต์มีขัว้ หรอื ไมม่ ขี ั้ว ลงในตารางให้ถกู ตอ้ ง ขอ้ สารโคเวเลนต์ รปู ร่างโมเลกลุ ทศิ ทางข้วั ของพันธะและทศิ ทาง สภาพขั้วโมเลกุล ขั้วของโมเลกลุ ตวั อยา่ ง H2O มมุ งอ มีข้วั ข้อ สารโคเวเลนต์ รูปร่างโมเลกุล ทิศทางขัว้ ของพนั ธะและทศิ ทาง สภาพข้ัวโมเลกุล ขวั้ ของโมเลกลุ 1 OF2 2 CBrN 3 PH3 4 CBr4


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook