๒. ชว่ ย ครชู ว่ ยใหน้ กั เรยี นทำ� ความชดั เจนของเปา้ หมาย โดยใชเ้ กณฑ์ SMART (strategic & specific, measurable, amazing, relevant และ time-bound) ให้ นักเรียนบอกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายมีภาพเป็นอย่างไร อธิบายเป็นถ้อยค�ำได้อย่างไร และก่อความร้สู กึ อะไร ๓. ฝึกต้ังเป้าหมาย โดยเขียนในคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต หรือกระดาษ ฟลิปชาร์ต ท�ำเป็นเส้นทางตามช่วงเวลา จากจุดเริ่มต้นถึงเป้าหมายสุดท้าย และ ระบเุ ป้าหมายรายทางเป็นชว่ งๆ ดที ่ีสุดหากร่วมกันท�ำกับเพ่อื นคู่หู ให้นกั เรยี นระบุ เป้าหมายรายทางที่จะบรรลใุ ห้ได้ เชน่ ไดเ้ กรดสูงข้นึ แล้วคดิ ยอ้ นทาง (คิดจากผล ไปหาเหต)ุ วา่ ตนเองจะทำ� อยา่ งไรบา้ ง จะปรบั ปรงุ ตนเองเพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายรายทางนนั้ อย่างไร ครูท�ำหน้าทชี่ ่วยให้นักเรยี นมีจติ จดจ่อมงุ่ มนั่ อยกู่ ับเปา้ หมายปลายทางและ เป้าหมายรายทางอย่างไม่ละลด โดยจัดกิจกรรมให้นักเรียนแสดงผลลัพธ์ของเป้า หมายปลายทางด้วยท่าทางประกอบเพลง ท่ีเป็นเพลงเฉลิมฉลองความส�ำเร็จ เช่น ทา่ ทางตอนเรยี นจบปรญิ ญาตรี มีผลงานวิจัยบอกวา่ กจิ กรรมเชน่ น้มี ีผลเปลยี่ นสาร เคมีในสมอง ท�ำให้เทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนที่ส�ำคัญท่ีสุดของเพศชาย) เพิ่มข้ึน คอรต์ ซิ อล (ฮอรโ์ มนกอ่ ความเครยี ด) ลดลง ชว่ ยเพมิ่ ความรสู้ กึ มนั่ ใจวา่ ตนจะบรรลุ ความสำ� เรจ็ ได้ และชว่ ยเพมิ่ ความกลา้ เสย่ี ง เกดิ แรงบนั ดาลใจตอ่ การเรยี น นอกจากนนั้ เมอ่ื นกั เรยี นบรรลคุ วามสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมายรายทาง ครตู อ้ งจดั กจิ กรรมเลก็ ๆ เปน็ การเฉลมิ ฉลองเพือ่ สรา้ งแรงบนั ดาลใจตอ่ เนือ่ ง • 151 •
เร่ืองเลา่ จากห้องเรยี น การเดนิ ทางทท่ี า้ ทายของ คณุ ครเู กมส์ - สาธติ า รามแกว้ ในปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒ ได้เริ่มต้นข้ึน เมื่อครูเกมส์ผันตัวเองจากครูผู้สอนหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทย ในระดับชั้น ๕ มาสู่การสอนในระดับช้ัน ๖ เพราะต้องการสร้างการเติบโตให้กับ ตัวเอง ครเู กมสบ์ นั ทึกความคิดและการท�ำงานในช่วงนเี้ อาไว้วา่ ดว้ ยความเชอ่ื ทมี่ อี ยใู่ นใจการรบั ฟงั กนั อยา่ งลกึ ซง้ึ จะกอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรทู้ สี่ ำ� คญั และผู้เรียนจะได้สัมผัสกับการเรียนรู้เช่นน้ีได้ก็ต่อเม่ือเรื่องราวที่น�ำมาเรียนรู้กัน ในหอ้ งเรยี นในแตล่ ะคราวเออื้ ใหเ้ ขาไดม้ สี ว่ นในการเปดิ เผยตวั ตนของแตล่ ะคนออก มาเรยี นรรู้ ว่ มกนั กบั กลมุ่ เพอ่ื น และเตบิ โตไปดว้ ยกนั การเรยี นรชู้ นดิ นจี้ ะเกดิ ขน้ึ ได้ ต่อเมื่อสมาชิกในห้องทุกคนมีความรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าของการเรียนรู้น้ันด้วยตัว ของเขาเอง ถา้ การทำ� ใหผ้ เู้ รยี นทกี่ ำ� ลงั อยใู่ นชว่ งวยั รนุ่ อยากกา้ วเขา้ มาเปน็ เจา้ ของการเรยี นรู้ คือโจทย์ปัญหาข้อใหญ่ของครู เค้าเงื่อนท่ีจะน�ำไปสู่วิธีการตอบโจทย์ท้าทายน้ีก็คือ การสรา้ งแผนการเรยี นรู้ที่เอือ้ ใหพ้ วกเขาได้แสวงหาอตั ลกั ษณ์ และคน้ พบท่มี าของ ตวั ตน นน่ั เอง แผนการเรียนรู้ในภาคเรียนฉันทะของนักเรียนระดับชั้น ๖ จึงต้ังต้นจาก การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธใ์ หค้ รไู ดม้ โี อกาสทำ� ความรจู้ กั และสรา้ งความคนุ้ เคยกบั ผเู้ รยี น ผา่ นกจิ กรรม “คน้ หานกั อา่ น” ดว้ ยการไปรวบรวมขอ้ มลู การอา่ นของนกั เรยี นทกุ คน จากสถิติที่มีอยู่ในห้องสมุด แล้วน�ำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในชั้นเรียนซ่ึงข้อมูล ชดุ น้จี ะประกอบไปช่อื ผู้ยมื ชอ่ื หนงั สอื ชอ่ื ผู้แตง่ และประเภทของหนังสอื ทฉ่ี ันใช้ เปน็ จุดเร่มิ ตน้ ของการถักทอความชอบและความสนใจของแต่ละคนเขา้ มาหากัน กิจกรรมน้ีท�ำให้เราต่างได้เรียนรู้เหตุผลของแต่ละคนที่อยู่เบ้ืองหลังการเลือก อ่านหนังสือแต่ละเล่ม รับรู้ความสนใจที่หลากหลายของเพ่ือนร่วมชั้นผ่านหนังสือ ที่พวกเขาเลือกหยิบมาอ่าน...แล้วทุกคนก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อได้รู้ว่า เพ่อื นแต่ละคนนั้นเป็นอยา่ งหนงั สอื ที่เขาอ่านจรงิ ๆ • 152 •
กิจกรรม “นักเขียนในดวงใจ” เป็นกิจกรรมล�ำดับถัดมาที่นักเรียนแต่ละคน ต้องไปสืบเสาะมาว่าคนในครอบครัวของตนชอบอ่านหนังสือของนักเขียนคนไหน แล้วบันทึกบทสัมภาษณ์มาแลกเปลี่ยนกับเพ่ือนในห้อง นักเรียนบางคนมาสะท้อน ผ่านท้ังการพูดคุยและบันทึกการเขียนประเมินท้ายคาบว่า กิจกรรมนี้ท�ำให้ได้รู้จัก ตวั ตน ความชอบ และรสนยิ มในการอา่ นของคนในครอบครวั มากขน้ึ เพอ่ื นๆ และ ครูได้เห็นว่าพ่อแม่ของใครเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต และเป็นแบบอย่างในเรื่อง การอ่านบ้าง • 153 •
นอกจากนนี้ กั เรยี นยงั ไดส้ บื คน้ ตอ่ ไปอกี วา่ นกั เขยี นทพ่ี อ่ แมช่ น่ื ชอบนน้ั เปน็ ใคร อยใู่ นยคุ สมยั ไหน หนา้ ตาเปน็ อยา่ งไร มผี ลงานอะไรทน่ี า่ สนใจบา้ ง ฯลฯ ในขณะที่ นักเรียนได้ผลัดกันมาน�ำเสนอนิทรรศการเล่าเรื่อง “นักเขียนในดวงใจ” ของคน ในบ้านให้เพ่ือนและครูฟังนั้น หลายคนได้น�ำหนังสือรุ่นเก๋า ที่หน้าปกและรูปเล่ม ชี้ชัดถึงความเก่าติดมือมาเพ่ือใช้ประกอบการแลกเปลี่ยนกับเพ่ือนๆ ด้วยความ ภาคภมู ใิ จในเรือ่ งเล่าของตนเองด้วย บทบาทของผู้ฟังคือ การช่ืนชมงานเขียนของเพ่ือนว่ามีเสน่ห์ในการใช้ภาษา อย่างไรบ้าง เพ่ือนท�ำอะไรได้ดี มีเรื่องใดน่าประทับใจ ซึ่งช่วงเวลานี้คือนาทีทอง ท่ีทุกคนมีโอกาสได้แสดงความรู้สึกของตนเองออกสื่อ ฉันสัมผัสได้ว่าพลังของ การเรยี นรู้ในหว้ งเวลานน้ั แผ่กระจายไปทวั่ ทกุ มมุ ห้องเลยทเี ดยี ว กิจกรรมน้ีท�ำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าการท่ีนักเรียนมีโอกาสได้พูดหรือได้แสดงออก โดยมีคนรับฟังอย่างต้ังใจ จดจ่อ ไม่ด่วนตัดสิน แต่ร่วมกันค้นหาข้อโดดเด่นที่ เพ่ือนท�ำได้ดีน้ัน ท�ำผู้ได้รับค�ำชื่นชมได้รับการยอมรับนับถือจากกลุ่ม และนับเป็น การเปิดใหผ้ ู้เรียนเหน็ การเรยี นรขู้ องตนเองได้อย่างดยี ง่ิ ย่งิ นักเรยี นเติมการเรยี นรู้ ของตนเองซึ่งกันและกันได้มากเท่าไหร่ โลกทัศน์ของเขาก็จะแหลมคมขึ้นเพียงนั้น ซง่ึ มีผลทำ� ให้การมองเหน็ คณุ คา่ ภายในตนเองแจม่ ชดั ขน้ึ ด้วย ฉนั นำ� พานกั เรยี นเดนิ ทางยอ้ นกลบั ไปยงั อดตี ผา่ นหลกั ฐานชนิ้ สำ� คญั โดยเรม่ิ ดว้ ย ศิลาจารึกหลักท่ี ๑ ในยุคสมัยสุโขทัย ด้วยการซึมซับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ นบั เรม่ิ ตง้ั แตก่ ารกำ� เนดิ อกั ษร ไปสสู่ ภาพความเปน็ อยขู่ องผคู้ นทผ่ี กู โยงเอาเรอ่ื งราว ของวัฒนธรรมประเพณี ความเช่ือ ความศรทั ธาในพทุ ธศาสนาท่ีสืบสานมาชา้ นาน เข้าไว้ด้วยกัน ผา่ นการศึกษาศิลปกรรมของบ้านเมอื งในยุคนน้ั บรรยากาศการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนในห้องเรียนวันน้ัน มีพลังดึงดูดให้การเรียนรู้ ของพวกเขาด�ำดิ่งอยู่กับเรื่องราวของยุคสุโขทัยได้อย่างจดจ่อ ในขณะเดียวกันก็มี ความลื่นไหล มีสติ และสมาธิท่ีแนบแน่นอยู่กับการสร้างสรรค์ชิ้นงาน “จินตภาพ แหง่ สโุ ขทัย” ได้อยา่ งตอ่ เนื่อง • 154 •
• 155 •
• 156 •
• 157 •
• 158 •
• 159 •
มาถงึ ตอนนฉ้ี นั ไดเ้ รยี นรแู้ ละตระหนกั วา่ เมอ่ื ครปู รบั ปรงุ แผนการเรยี นรใู้ หใ้ หม่ สขุ และสดอยเู่ สมอ ผเู้ รยี นกพ็ รอ้ มมอบความสขุ สดใหมใ่ หแ้ กค่ รเู ชน่ กนั เพราะทนั ที ทคี่ รเู ปดิ กวา้ งทางความคดิ ไมป่ ดิ กนั้ การแสดงออกของการเรยี นรู้ และมคี วามลกึ ซงึ้ แมน่ ยำ� ในเรอ่ื งทส่ี อน ชดั เจนในเปา้ หมายการเรยี นรู้ ครกู จ็ ะสามารถปรบั กระบวนการ เรียนรู้หรือออกแบบโจทย์การท�ำงานที่ตอบสนองผู้เรียนได้อย่างหลากหลาย และ สามารถน�ำพาผ้เู รียนไปส่เู ป้าหมายหลกั ไดต้ ามทีค่ าดหวัง การนำ� พานกั เรยี นเขา้ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาทเี่ ปน็ รากเหงา้ ของวฒั นธรรมไทยในยคุ สมยั ตอ่ มาจงึ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งยากนกั เพราะถงึ ตอนนนี้ กั เรยี นพรอ้ มเปดิ ใจ มใี จใหก้ บั การเรยี นรู้ และเกิดความเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว การซึมซับเร่ืองราวในสมัย อยธุ ยาและสมยั รตั นโกสนิ ทรจ์ งึ เปน็ ไปอยา่ งลน่ื ไหล เพราะพวกเขามสี ายตามองเหน็ ถึงเสน่หข์ องลีลาภาษา ทีส่ บื เน่อื งไปจนถึงเส้นสายลวดลาย ซ่งึ สะทอ้ นถงึ ความงาม อันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าความเป็นไทยท่ีบรรพบุรุษของเราได้มอบไว้เป็นมรดกให้เรา ไดเ้ รียนรู้ สืบสาน และสรา้ งสรรคต์ ่อ • 160 •
• 161 •
• 162 •
• 163 •
• 164 •
• 165 •
• 166 •
ตลอดทั้ง ๑๐ สัปดาห์ในภาคเรียนฉันทะ พวกเขาได้ฝึกการใช้ใจไปท�ำความ รจู้ กั เพอื่ สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจในอตั ลกั ษณแ์ ละเสนห่ ค์ วามเปน็ ไทย ทเ่ี ปน็ บอ่ เกดิ เปน็ ความภาคภมู ใิ จ ความมนั่ คงทางจติ ใจ และสตปิ ญั ญาของการหยง่ั รากลกึ ลงไป ในตัวเอง ด้วยความผูกพันกับแผ่นดินแม่อย่างลึกซ้ึง ในบรรยากาศของห้องเรียน ท่ีอัตลักษณ์และความเป็นมาของนักเรียนได้รับการยอมรับ ห้องเรียนนี้จึงร�่ำรวย ด้วยสภาพที่ตรงความตอ้ งการของนักเรยี น ดว้ ยความผูกพัน และดว้ ยปฏิสัมพนั ธ์ ที่ทกุ คนมีให้แก่กันอยา่ งเทา่ เทยี ม ขอขอบคุณประสบการณ์แสนพิเศษ และนักเรียนชั้น ๖ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ทกุ คนทไ่ี ดท้ มุ่ เทแรงกายแรงใจ สรา้ งผลงานการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ จากความสรา้ งสรรค์ หมนั่ เพยี รท้ังหมดนขี้ ้ึนมาใหเ้ ราได้เรยี นร้รู ่วมกนั คณุ ครูเกมส์ - สาธติ า รามแก้ว ผบู้ นั ทึกเสน้ ทาง คณุ ครนู ัท - นันทกานต์ อัศวต้งั ตระกลู ดี ผู้ร่วมทาง คณุ ครใู หม่ - วมิ ลศรี ศษุ ิลวรณ์ ผู้เห็นทาง • 167 •
๑๓ ก�ำหนดความปลอดภยั เป็นสภาพปกตขิ องหอ้ งเรยี น บนั ทกึ นเ้ี ปน็ บนั ทกึ ท่ี ๒ ใน ๓ บนั ทกึ ภายใตช้ ดุ ความคดิ หอ้ งเรยี นทม่ี บี รรยากาศ เรียนเข้ม (rich classroom climate mindset) ตีความจาก Chapter 11 : Set Safe Classroom Norm สาระหลักในบันทึกน้ีคือ ในสภาพของการเรียนที่เข้มข้น นักเรียนต้องกล้าลอง กล้าเส่ียง กล้าคิด กล้าแสดงออก เพ่ือให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตน จงึ ตอ้ งมขี อ้ ตกลง และดำ� เนินการให้หอ้ งเรยี นเป็นสถานทปี่ ลอดภัยทงั้ ทางกายภาพ และทางอารมณ์ หากนกั เรยี นรสู้ กึ วา่ หอ้ งเรยี นเปน็ สถานทป่ี ลอดภยั เดก็ จะลดความระแวดระวงั ภยั ลดแรงต้าน และกลา้ เส่ียงเพือ่ การเรียนรู้ เดก็ ต้องการห้องเรยี นท่ีสะอาด นา่ สนใจ ปลอดภัย และจัดอยา่ งเป็นระเบยี บ ความปลอดภัยทางกายภาพ โรงเรียนต้องมีแผนปฏิบัติยามเกิดเหตุร้าย เช่น ไฟไหม้ น�้ำท่วม แผ่นดินไหว มีพายุ หรือมีเด็กได้รับบาดเจ็บ และต้องมีการซ้อมปฏิบัติยามฉุกเฉินทุกเดือน เลือกเฉพาะเหตรุ า้ ยทม่ี โี อกาสเกิดได้มาก เช่น ไฟไหม้ • 168 •
ครพู งึ ตรวจสอบหอ้ งเรยี น ประตเู ขา้ ออก ทางไปหอ้ งนำ้� จดุ ทม่ี กี ระจกทอี่ าจแตก และเปน็ อนั ตราย จดุ ทมี่ สี งิ่ ของทเี่ ดก็ อาจเดนิ หรอื วงิ่ ชนและมขี องหลน่ ลงมาทบั ฯลฯ และหาทางจดั ให้มีโอกาสเกดิ อุบัตเิ หตุนอ้ ยที่สุด ผมแปลกใจท่ีในสหรัฐอเมริกา เขาแนะน�ำว่าครูควรอนุญาตให้นักเรียนลาไป เข้าห้องน�้ำทีละคน ใหค้ นก่อนกลบั มาหอ้ งเรยี นเรยี บร้อย จึงจะอนญุ าตใหน้ กั เรียน คนตอ่ ไปไปเขา้ หอ้ งนำ้� ได้ เขาไมไ่ ดอ้ ธบิ ายเหตผุ ล แตผ่ มเดาวา่ เพอื่ ปอ้ งกนั การมว่ั สมุ หรือปอ้ งกนั การทะเลาะวิวาท ความปลอดภัยทางอารมณ์ การที่เด็กสามารถแสดงออกได้อย่างปลอดภัยและได้รับการยอมรับ ช่วยสร้าง อารมณ์ปลอดภัยแก่นักเรียน ครูต้องสร้างและบังคับใช้กติกาว่า ในห้องเรียนต้อง ไม่มีการหัวเราะเยาะ เยาะเย้ย กิ๊กก๊ัก หรือใช้ถ้อยค�ำดูหมิ่น เพ่ือสร้างบรรยากาศ ส่งเสริมใหน้ ักเรยี นสบายใจทจ่ี ะแสดงออกเพือ่ การเรียนรขู้ องตน เขาแนะนำ� ครู ใหแ้ สดงพฤตกิ รรมตามปกติของห้องเรยี นต่อไปน้ี เมอ่ื นกั เรยี นแสดงข้อคดิ เห็นเรอ่ื งใดก็ตาม ครูกล่าวค�ำขอบคณุ ทกุ ครง้ั เมื่อนักเรียนพูด ครูมองตาเด็กอยู่ตลอด ครูจะหยุดมองตาเด็กเมื่อเด็กพูด จบและครูกลา่ วค�ำขอบคณุ จบ แล้วครหู นั ไปทางนกั เรยี นคนตอ่ ไป ไมม่ กี ารโต้แยง้ ตดั บท แสดงความไมเ่ อาใจใส่ หรอื ให้นักเรยี นคนตอ่ ไปพูด จนกวา่ ครจู ะกลา่ วคำ� ขอบคณุ จบ เชน่ “ครขู อบคณุ ทส่ี มชายแสดงขอ้ คดิ เหน็ หวงั วา่ ในบทเรียนต่อไปเธอจะแสดงความเหน็ อีก” หากมีนักเรียนหัวเราะก๊ิกก๊ัก แสดงท่าทีดูหมิ่น หรือล้อเลียนต่อค�ำตอบ หรือการแสดงข้อคิดเห็นของเพ่ือน ครูต้องหยุดการเรียน เตือนนักเรียนให้ระลึก ถึงกติกาของชั้น และความจ�ำเป็นท่ีต้องมีความเคารพต่อกัน และมีความปลอดภัย ทางความคดิ กลา่ วตกั เตอื นวา่ พฤตกิ รรมเชน่ นนั้ อาจมกี ารปฏบิ ตั ทิ บ่ี า้ น แตห่ า้ มทำ� ในห้องเรียน ทง้ั หมดน้นั ก็เพ่อื ประโยชนร์ ว่ มกันของตัวนกั เรียนเอง • 169 •
ครูพึงสื่อสาร ให้นักเรียนเข้าใจตัวครู ตนเอง และบรรยากาศของช้ันเรียนว่าท่ี มกี ารกำ� หนดใหห้ อ้ งเรยี นมคี วามปลอดภยั ทางอารมณ์ ไมม่ กี ารคกุ คามทางอารมณ์ ก็เพื่อให้นักเรยี นกลา้ เสี่ยงทำ� ส่ิงที่ผดิ พลาดและเรียนรจู้ ากความผดิ พลาดน้นั ครูส่วนมากมักเข้าใจผิดในเร่ืองข้อผิดพลาด มองเป็นส่ิงช่ัวร้ายที่จะต้องแก้ไข จดั การซกุ ซอ่ น แลว้ ดำ� เนนิ การชน้ั เรยี นตอ่ ไป นน่ั คอื สง่ิ ทผี่ ดิ สำ� หรบั การศกึ ษาซง่ึ ทจ่ี รงิ แล้วควรต้องมองว่าในกระบวนการเรียนรู้ การท�ำส่ิงผิดพลาดเป็นส่วนหน่ึงของ การเรียนรู้ และเขาชวนใหอ้ า่ นข้อความต่อไปน้ี แลว้ พจิ ารณาวา่ มีอะไรเหมือนกัน “ตรวจสอบทางเลอื กตอ่ ไปนแ้ี ลว้ บอกวา่ ชอบทางเลอื กไหนมากทส่ี ดุ พรอ้ มทงั้ ให้เหตุผล” “ครดู ใี จทเ่ี ธอแสดงขอ้ ผดิ พลาดของเธอแกค่ รู สงิ่ นจี้ ะชว่ ยใหค้ รปู รบั ปรงุ วธิ สี อน ใหด้ ีขึน้ ” เม่ือนักเรียนบอกข้อผิดพลาดของครู ครูกล่าวว่า “ว้าว ขอบคุณมากที่ช่วย ชีใ้ ห้เหน็ ขอ้ ผิดพลาดทด่ี ีท่สี ดุ ในเดือนนี้ใหค้ รเู ห็น ขอบคุณมากจรงิ ๆ” “เหตุผลที่ค�ำตอบที่ผิด ช่วยการเรียนการสอนก็เพราะมันช่วยบอกว่า แนว ความคดิ แบบไหนท่ผี ิดทาง ชว่ ยใหเ้ ราแกไ้ ขและฉลาดขึ้น” “ครกู ำ� ลงั จะใหน้ กั เรยี นตอบ โดยคาดหวงั วา่ จะมคี ำ� ตอบทแ่ี ตกตา่ งหลากหลายมาก เรามาดูกันว่าครเู ดาถูกไหม” ข้อความทั้ง ๕ ข้างบน ต่างก็บอกว่าการท�ำผิดพลาดเป็นเร่ืองปกติ ค�ำแนะน�ำ ที่ส�ำคัญย่ิงส�ำหรับครูคือให้เลิกเน้นที่ค�ำตอบเท่านั้น ให้สนใจส่ิงที่ท่ีอยู่เบื้องหลัง คำ� ตอบนัน้ ของนกั เรยี น ได้แก่ สมมตุ ฐิ าน ความรู้เดมิ และวธิ คี ดิ ไปสู่คำ� ตอบ การยอมรับความผิดพลาดว่าเป็นการเปิดโอกาสของการเรียนรู้ เป็นทักษะ ที่นักเรียนต้องฝึก และการฝึกทักษะนี้ต้องการเวลา การโค้ช และการสนับสนุน ซ่งึ จะเป็นการวางรากฐาน “ทักษะชีวติ ” ท่สี ่งผลดีไปตลอดชีวิต • 170 •
กตกิ าที่ทุกคนปฏบิ ตั ิตาม หลักการให้กติกาศักด์ิสิทธิ์คือ อย่ามีมากข้อ แต่ต้องให้ทุกคนเข้าใจแจ่มชัด เขายกตัวอย่างกติกาห้องเรียนที่มีเพียง ๔ ข้อ คือ (๑) จงมีอัธยาศัย (be nice) (๒) ท�ำงานหนัก (work hard) (๓) ไม่แก้ตัว (no excuse) (๔) รู้จักเลือก (choose well) มีอัธยาศยั มีอัธยาศัย (be nice) หมายความว่า ไม่มีความประพฤติไม่เหมาะสม เช่น ลอ้ ชอื่ ชกตอ่ ย ผลกั สบประมาท จี้ แหย่ หลอก กลา่ วคำ� ตำ� หนเิ พอ่ื นนกั เรยี นหรอื ครู นอกจากนนั้ ยังหมายถงึ ใช้วาจาสภุ าพ มีการ ขอบคุณ ขอโทษ ขอความกรุณา ผมผิดเอง และยงั หมายความวา่ ไมม่ ีการพูดโกหก สบถ ด่า ถกเถียง นินทา โกง ลดั ควิ รวมทง้ั ไมม่ กี ารขโมยสง่ิ ของ หรอื หยบิ ไปใชโ้ ดยไมข่ ออนญุ าตเจา้ ของ รวมทงั้ ยกมอื ขออนญุ าตพูด ไม่ใชพ่ ดู แซงขณะทคี่ นอื่นก�ำลังพูด ครูตอ้ งทำ� เป็นตวั อย่าง และแสดงความเขา้ ใจจติ ใจของคนอ่นื (empathy) ด้วย หากมีการละเมดิ กติกา ครูปรามโดยพดู ว่า “ในหอ้ งเรียนนี้เราไมใ่ ช้คำ� เหล่าน้ัน กรณุ ารอคยุ กบั ครหู ลงั หมดเวลาดว้ ยนะครบั (คะ)” และคยุ กบั นกั เรยี นสองตอ่ สอง หลงั หมดเวลาเรียน โดยใชเ้ ทคนิคตอ่ ไปนี้ ฟื้นความสัมพันธ์ (rebuild the relationship) โดยครูพูดว่า “สมเกียรติ เธอเป็นนักเรียนท่ีมีความประพฤติดี ครูมีความภูมิใจในตัวเธอ” เป้าหมายคือ สร้างความรสู้ ึกเปน็ มิตร เข้าเรื่อง (establish relevance) “ท่ีครูขอให้เธออยู่คุยกับครูหลังเลิกเรียน ก็เพราะครูอยากให้เธอเรียนจบปริญญาตรี งานที่เธอบอกครูว่าอยากท�ำ ต้องมีวุฒิ ปริญญาตรี ค�ำพูดของเธอในช้ันเรียนวันน้ี ท�ำให้ครูเป็นห่วง จ�ำได้ไหมว่าข้อตกลง เรื่องกติกาในช้ันเรียนข้อหนึ่งคือ มีอัธยาศัยดี” เป็นการใช้กลยุทธในการพบปะท่ี ไม่ใช่การลงโทษ แตเ่ ป็นการชว่ ยแผว้ ถางทางของนกั เรียนสู่ความส�ำเร็จในชวี ิต • 171 •
สรา้ งพนั ธมติ ร (create an ally) “ครอู ยเู่ คยี งขา้ งเธอและครรู วู้ า่ เธอเปน็ เดก็ ดี แต่ผู้ใหญ่คนอ่ืนๆ อาจไม่รู้จักเธอดีพอ การกล่าวค�ำพูดท�ำนองน้ีออกไป อาจมี ผลให้เธอถูกลงโทษ อาจถึงกับถูกไล่ออกจากโรงเรียน ท�ำให้หมดโอกาสเรียนจบ มหาวิทยาลยั ” เปน็ การช่วยให้นกั เรียนเขา้ ใจวา่ ค�ำพูดของตนมผี ลตอ่ ตนเอง หาทางออก (work toward a solution) หากนกั เรยี นบอกวา่ มคี นกอ่ เรอ่ื งกอ่ น จงรับฟัง ซักถามรายละเอียด และกล่าวว่า “หากเกิดเรื่องท�ำนองนี้อีกเธอควร ทำ� อยา่ งไร เมอ่ื เธอถกู ยว่ั โทสะ” แลว้ รอใหน้ กั เรยี นตอบ เมอื่ นกั เรยี นตอบ และเปน็ แนวทางทเี่ หมาะสม ครกู ลา่ ววา่ “เรามาลองซอ้ มวธิ แี สดงออกตอ่ การยวั่ โมโหตามที่ เธอเสนอ โดยครจู ะเป็นผยู้ ว่ั ตกลงไหม” ยนื ยนั (reaffirm) “เรามาทบทวนขอ้ เรยี นรคู้ รงั้ นก้ี นั ขอใหเ้ ธอสรปุ ประเดน็ ขอ้ เรียนร”ู้ จบการพบปะ (exit the meeting) “ดมี าก สมเกียรติเธอกลบั เข้าเสน้ ทาง ชีวติ ทถ่ี กู ต้องแลว้ เป็นการปทู างสอู่ นาคตท่ีเธอฝันไว้ ขอให้เธอประสบความสำ� เร็จ ครขู อบคณุ ทเี่ ธอสละเวลาคยุ กบั คร”ู โปรดสังเกตว่าเป้าหมายของการพบปะหลังเวลาเรียนไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่ การต�ำหนิ แต่เป็นการเตือนสตินักเรียนว่า การท่ีตนร่วมสร้างบรรยากาศช้ันเรียน ท่ีปลอดจากความประพฤติท่ีท�ำลายความรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก มีผลดี ต่ออนาคตของตนเอง ตามท่ตี ง้ั วสิ ัยทัศนส์ ่วนตัวไว้ (ตามในบันทึกที่แลว้ ) อย่างไร มองอกี มมุ หนง่ึ ครทู ำ� หนา้ ทบ่ี งั คบั ใชก้ ตกิ าเพอ่ื ผลประโยชนข์ องนกั เรยี นเปน็ ปฐม ไม่ใช่ยึดผลประโยชน์ของครูเป็นปฐม ไม่ใช่ผลประโยชน์ความดีความชอบของ ผู้บริหารโรงเรียนเม่ือมีการตรวจสอบ หากนักเรียนตระหนักรู้ด้วยสัมผัสตนเอง ต่อเป้าหมายหลักน้ี การปฏิบัติตามกติกาก็เป็นเร่ืองง่าย แต่หากเป็นไปในทาง ตรงกันข้าม หากนักเรียนเห็นชัดว่า ตนต้องท�ำตามกติกาเพื่อผลประโยชน์ของ ผู้บริหารและครูเป็นเป้าหมายหลัก การประพฤติแหกกฎก็จะเป็นความท้าทาย ของนกั เรยี น • 172 •
เพ่ือส่งเสริมความประพฤติดี ครูต้องสร้างบรรยากาศเชิงบวกในช้ันเรียน เม่ือ นักเรียนรู้สึกสนุกและมีความสุข โอกาสท�ำผิดกติกาจะลดลง เพราะในสภาพที่ สนกุ และสขุ สมองจะหลงั่ โดปามนี สรา้ งความรสู้ กึ พงึ พอใจ และสรา้ งความคาดหวงั ตอ่ การไดร้ บั ความพงึ พอใจ การมพี ลงั ของความจำ� ใชง้ าน (working memory) และ การมคี วามพยายาม “มอี ัธยาศยั ” เป็นกติกาทีก่ วา้ ง และปรบั ใช้ไดใ้ นทกุ สถานการณ์ โดยต้องนยิ าม ให้ชดั เจนสำ� หรบั สถานการณน์ นั้ ๆ ท�ำงานหนกั กติกาน้ีสอ่ื ว่า การบรรลเุ ป้าหมายท่ีดีตอ้ งการการเตรยี มตวั การลงมอื ท�ำและ ความมงุ่ มน่ั มานะพยายามระยะยาว สำ� หรบั นกั เรยี นการทำ� งานหนกั หมายความวา่ มาโรงเรยี นโดยเตรยี มตวั มาอยา่ งดี และเตรยี มพรอ้ มทจ่ี ะเผชญิ อปุ สรรค พรอ้ มทจ่ี ะ เปลยี่ นกลยุทธในการท�ำงานหรือการเรียน ครูต้องสร้างความคิดว่าหากต้องการความส�ำเร็จท่ีดีกว่าปัจจุบันก็ต้องท�ำงาน หนักขึ้น และแสวงหาวิธีท�ำงานให้ได้ผลดียิ่งกว่าเดิม โดยผมขอเพิ่มเติมว่าครูควร เนน้ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ ทส่ี ำ� คญั กวา่ ทำ� งานหนกั (work hard) คอื ทำ� งานอยา่ งฉลาด (work smart) และบอกให้นักเรียนมั่นใจว่า ครูจะช่วยสนับสนุนให้นักเรียน ไดฝ้ ึกทั้ง ท�ำงานหนัก และท�ำงานอย่างฉลาด เคล็ดลับของ “ครูเพื่อศิษย์” คือท�ำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของศิษย์ (empathy) และทำ� ใหก้ ารตอ่ สกู้ บั ความทา้ ทายเป็นเรอ่ื งสนุก • 173 •
ไม่แก้ตวั นคี่ อื การฝกึ ใหไ้ มโ่ ดน “นสิ ยั เสยี ” มากดั กรอ่ นความเจรญิ กา้ วหนา้ นขี้ องนกั เรยี น คือ นิสัยชี้ผู้รับผิดชอบความผิดพลาดไปที่ผู้อื่น เพื่อให้ตนพ้นผิด ซึ่งเป็นนิสัย ท่ีปิดก้ันการเรยี นรู้จากความผิดพลาด และปิดก้ันการฝกึ ความรบั ผดิ ชอบ กลยุทธส�ำคัญที่สุดคือ ครูท�ำเป็นตัวอย่าง “ครูขอโทษที่ท�ำตามสัญญาไม่ได้ ครขู อเลื่อนจากวนั น้ี (วนั พุธ) ไปเปน็ วนั ศกุ ร์ไดไ้ หม” ครูมีบทบาทสูงมากในการสร้างคุณลักษณะท่ีดีเหล่านี้แก่ศิษย์ โดยมีเคล็ดลับ ส�ำคัญท่ีสุดคือ ความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของศิษย์หรือเอาความรู้สึกนึกคิดของ ศษิ ย์เป็นตวั ต้งั ไม่ใชเ่ อาความรสู้ กึ นึกคิดของตนเองเป็นตัวต้ัง รจู้ กั เลอื ก กตกิ าขอ้ นเี้ ตอื นใจนกั เรยี นในเรอื่ งการกำ� กบั ตวั เอง และพลงั ของการเลอื ก คนเรา ทกุ คนไมส่ ามารถควบคมุ หลายสง่ิ หลายอยา่ งทเี่ กดิ ตอ่ ตวั เราได้ (เชน่ พอ่ หรอื แมต่ าย พอ่ แม่ตกงานเพราะบริษัทลดคนงาน นำ้� ทว่ ม รถยนต์ถูกคนเมาขับรถมาชน ฯลฯ) แตเ่ ราสามารถเลอื กวธิ เี ผชิญวิกฤตเิ หลา่ นนั้ ได้ ค�ำหลักคือ “ทางเลือก” (choice) ครูต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกฝนตนเอง ให้รู้จักทางเลือกท่ีเป็นคุณต่อชีวิตในระยะยาว ไม่ใช่เลือกแบบคิดสั้น เอาสบาย ในสถานการณ์เฉพาะหน้า • 174 •
๑๔ สร้างความเชือ่ ม่ัน ว่าตนเรยี นส�ำเร็จได้ บันทึกนี้เป็นบันทึกสุดท้าย ใน ๓ บันทึก ภายใต้ชุดความคิดห้องเรียนท่ีมี บรรยากาศเรยี นเขม้ (rich classroom climate mindset) ตคี วามจาก Chapter 12 : Foster Academic Optimism สาระหลกั ในบนั ทกึ นค้ี อื ครตู อ้ งสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความหวงั และการมองโลก แง่ดีในชั้นเรียน ให้เกิดความเชื่อม่ันว่า ตนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงได้ มองอกี มมุ หนงึ่ เป็นการสรา้ งแรงบนั ดาลใจนั่นเอง มผี ลงานวจิ ยั บอกวา่ การมคี วามหวงั ตอ่ ความสำ� เรจ็ มี effect size ตอ่ ผลการเรยี น สูงถึง ๑.๔๔ โดยท่ีนักเรียนท่ีมาจากครอบครัวขาดแคลนมักไม่กล้าต้ังความหวัง ไวส้ งู หรอื ไมม่ นั่ ใจวา่ ตนจะบรรลเุ ปา้ หมายทต่ี ง้ั ไวส้ งู ได้ ครจู งึ ตอ้ งมเี ครอ่ื งมอื สำ� หรบั ใชเ้ ปลยี่ นใจนกั เรยี นใหม้ คี วามมน่ั ใจ โดยเขาเสนอเครอ่ื งมอื ๕ ชนิ้ คอื (๑) เกมเปลยี่ น บทบาท (๒) แสดงหลักฐานความส�ำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ (๓) เปลี่ยนเกม (๔) มุ่งเปา้ ท่ี mastery (๕) สร้างความร้สู กึ เปน็ เจา้ ของ เกมเปลยี่ นบทบาท เปน็ เกมเปลย่ี นความคดิ ซง่ึ มี ๒ ขนั้ ตอน ขน้ั ตอนที่ ๑ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนตอบ คำ� ถามวา่ เมอื่ โตขนึ้ ตอ้ งการเปน็ อะไร หรอื ประกอบอาชพี อะไร เปน็ การชวนคดิ ถงึ อนาคตการทำ� งานของตน และความฝนั ของตนวา่ อยากทำ� อะไร เปน็ อะไร ขนั้ ตอนท่ี ๒ ใหต้ อบคำ� ถามวา่ บคุ คลผนู้ น้ั (ทป่ี ระกอบอาชพี อยา่ งทน่ี กั เรยี นอยากเปน็ ) เขาเรยี น อยา่ งไร มคี วามประพฤตอิ ยา่ งไร แสดงบทบาทในช้นั เรยี นอย่างไร • 175 •
เปน็ การชว่ ยใหน้ กั เรยี นหลดุ พ้นออกจากความคิด หรอื ความเคยชินเดมิ ๆ โดย การสวมบทบาทใหม่ แล้วย้อนกลบั มาบอกตัวเองให้เปล่ียนพฤตกิ รรมในขณะน้นั แสดงหลกั ฐานความส�ำเรจ็ ของนักเรยี นรุน่ กอ่ นๆ เพ่ือให้นักเรียนเห็นว่าความส�ำเร็จเป็นส่ิงที่เป็นไปได้ ครูพึงจัดให้นักเรียน ไปสัมภาษณ์ศิษย์เก่าท่ีประสบความส�ำเร็จ จัดท�ำเป็นวีดิทัศน์สั้นๆ น�ำเอาเรื่องราว มาฉายในหอ้ งเรยี น หรอื นำ� มาทำ� เปน็ ละครแสดงสด เพอื่ ยนื ยนั วา่ ความฝนั ในทำ� นอง เดียวกัน หรือย่ิงกว่าท่ีนักเรียนฝัน เคยมีนักเรียนที่ยากจนข้นแค้นกว่าท�ำส�ำเร็จ มาแล้ว ครูอาจสั่งสมนิทรรศการความส�ำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ น�ำมาจัดแสดง ในวนั แรกๆ ของชนั้ เรยี น หลงั จากนนั้ อาจนำ� มาตง้ั แสดงไวท้ ลี ะคน คนละ ๑ สปั ดาห์ อาจนำ� เรอื่ งราวของนกั เรยี นทอี่ น่ื ทม่ี คี วามยากลำ� บากในครอบครวั แตม่ คี วามฝนั สงู มคี วามมานะพยายามและบรรลุความส�ำเรจ็ ได้ในที่สดุ เปล่ียนเกม ท่ีจริงตัวของกิจกรรมเองเป็นเกมเพ่ือเปล่ียนความคิดของนักเรียนในเร่ือง ความเชอื่ วา่ ตนเปน็ ใคร ใช้ในสถานการณ์ท่ีแรงบนั ดาลใจของนกั เรียนถดถอย หรือ นักเรียนแสดงท่าทีท้อแท้ เช่น ครูอาจแสดงให้นักเรียนเห็นว่า เยาวชนสามารถใช้ ข้อเขียนของตนเปลี่ยนโลกได้ โดยให้อ่านหนังสือท่ีเขียนด้วยท่าทีมีความหวังหรือ มองโลกแง่ดี เช่น บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ หรือ Invisible Man ที่เขียนขึ้น โดย Ralph Ellison แล้วให้นักเรียนเขียนเรียงความเรื่อง “ฉันจะเปลี่ยนโลก” แลว้ ใหน้ กั เรยี นผลดั กนั นง่ั ทห่ี นา้ ชน้ั ทส่ี มมตเิ ปน็ “เกา้ อน้ี กั เขยี น” อา่ นขอ้ เขยี นของตน ให้เพ่อื นฟัง • 176 •
มงุ่ เปา้ ที่ mastery ความหมายของ mastery ตามในหนังสือคือ กระบวนการพัฒนาทักษะชีวิต เช่น อิทธิบาท ๔ (perseverance) ที่ท�ำให้นักเรียนพอใจท่ีจะเรียนส่ิงท่ีซับซ้อน และท้าทาย เขาบอกว่า mastery ไม่ใช่แค่มานะพยายาม แต่เป็นเร่ืองของฉันทะ ส่วนตัว เขาบอกว่า mastery มี effect size สูงถึง ๐.๙๖ ส�ำหรับนักเรียนที่มี ความสามารถต�่ำ โปรดสังเกตว่า ความหมายของ mastery ในท่ีนี้ไม่เหมือน ความหมายในหนังสือ How Learning Works ที่ผมตีความแล้วพิมพ์ออกมา เป็นหนังสือ การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร และยังมีบันทึกของผมตอนท่ีว่าด้วยเรื่อง นักเรียนพัฒนาการเรียนรู้ให้รู้จริง (mastery learning) ได้อย่างไร อ่านได้ท่ี https://www.gotoknow.org/posts/519648 อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้ความหมายตามในหนังสือเล่มนี้ หรือความหมายจาก หนังสอื How Learning Works การมุง่ เป้าไปที่ mastery เป็นส่งิ ที่ถกู ตอ้ งทัง้ ส้ิน เพื่อบรรลุ mastery ต้องต้ังเป้าการเรียนรู้ในระดับท้าทาย ก�ำหนดเป้าหมาย รายทาง แล้วค่อยๆ ด�ำเนินการเพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายรายทางทีละข้ัน สรา้ งความรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของ “ความเป็นเจ้าของ” ในที่นี้ หมายถึงเป็นเจ้าของช้ันเรียนและเป็นเจ้าของ กระบวนการเรียนรู้ เป็นความรู้สึกที่ครูต้องหาทางให้ก่อตัวข้ึนในศิษย์โดยมีวิธีการ หลากหลาย ที่ยกตัวอย่างข้างล่างเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ครูสามารถคิดริเริ่ม หาวธิ กี ารได้มากมาย • 177 •
วธิ กี ารหนง่ึ เปน็ เรอ่ื งวนิ ยั หากนกั เรยี นทำ� ผดิ วนิ ยั บอ่ ยๆ เขาใชว้ ธิ แี กแ้ บบยงิ กระสนุ นดั เดยี วไดน้ กสองตวั คอื ไดแ้ กป้ ญั หาวนิ ยั และไดส้ รา้ งความรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของชนั้ เรยี น ข้ึนในตัวนักเรียนด้วย กลยุทธที่ใช้คือ สร้างวินัยโดยการฟื้นสภาพ (restorative discipline) ไมใ่ ช่โดยการลงโทษ (punitive discipline) การสร้างวินัยโดยการฟื้นสภาพ เน้นที่การฟื้นปฏิสัมพันธ์ เช่น เม่ือมีนักเรียน คนหนงึ่ ทำ� ผดิ จะไดร้ บั โอกาสใหอ้ อกไปทหี่ นา้ ชน้ั และทำ� ในสงิ่ ทถี่ กู ตอ้ ง หรอื อาจจดั ให้ ผู้ท�ำผิดนั่งเป็นวง ร่วมกับเพื่อนและครู มีผู้ด�ำเนินกระบวนการเรียกว่า mediator ท�ำหน้าที่ต้ังค�ำถาม ดังตัวอย่าง “เกิดอะไรข้ึน” “เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร” “เราจะช่วยกันท�ำให้เรื่องน้ีให้เป็นเรื่องท่ีถูกต้องได้อย่างไร” เป้าหมายคือหาทางให้ นักเรียนและครูอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข นักเรียนได้เรียนรู้แบบเข้ม mastery ตามทตี่ ั้งเปา้ หมายไว้ การสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของท่ีได้ผลดียิ่งอย่างหนึ่งคือให้ท�ำงาน ได้มีโอกาส รับผิดชอบ ได้พัฒนาอัตลักษณ์ของตนในนักเรียนระดับอนุบาลถึง ป.๕ อาจสร้าง การเป็นเจ้าของช้ันเรียนโดยจัด cooperative learning และจัดหน้าท่ีในช้ันเรียน ตั้งช่อื แตล่ ะหนา้ ทใี่ ห้เก๋ไก๋ ที่โรงเรยี นรุ่งอรุณ นักเรยี นต้งั แต่ช้นั ประถม ผลัดเวรกัน ท�ำครัว ปรุงอาหารกลางวันให้เพ่ือนทั้งช้ันรับประทาน มีเวรดูแลความสะอาด ช้นั เรียนและบริเวณโรงเรยี น ในระดับ ป.๖ ถงึ ม.๖ ครอู าจรว่ มกับกรรมการนักเรียนจดั ทำ� รายการตำ� แหนง่ งานในชนั้ เรยี น พรอ้ มทงั้ บอกคณุ สมบตั หิ รอื สมรรถนะของผมู้ สี ทิ ธส์ิ มคั ร ใหผ้ สู้ มคั ร สง่ ประวตั คิ วามสามารถ (resume) ของตน พรอ้ มทงั้ เขา้ รบั การสมั ภาษณ์ นกั เรยี น ท�ำหน้าที่ในแต่ละต�ำแหน่งเป็นเวลา ๔ - ๖ สัปดาห์ และได้รับการบันทึกไว้ ในประวัติการเรียน • 178 •
เปลยี่ นวาทกรรม เปล่ยี นพฤตกิ รรม เพอ่ื สรา้ งชดุ ความคดิ หอ้ งเรยี นทมี่ บี รรยากาศเรยี นเขม้ ใหแ้ กศ่ ษิ ย์ ครตู อ้ งเปลย่ี น วาทกรรมของตนเอง จาก “ฉนั มหี นา้ ทีส่ อนเนอ้ื หาวชิ าความรู้ หากคุณตอ้ งการให้ นักเรียนเรียนได้ดี จงบอกให้เขาตื่นและต้ังใจเรียน ห้องเรียนไม่ใช่สถานบันเทิง” ไปสู่วาทกรรม “ฉันโฟกัสที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และเช่ือมโยงสู่ กระบวนการเรียนรแู้ ละปฏสิ ัมพันธท์ างสงั คมของทกุ วนั ” ใครค่ รวญสะทอ้ นคิด และตดั สนิ ใจ หน้าท่ีหลักของครูคือ สร้างสภาพท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้สูงสุด เน้นที่ตัวนักเรียน เหนอื สง่ิ อน่ื ใดคอื ตอ้ งใชช้ ว่ งแรกของเวลาเรยี นปลกุ พลงั ในตวั นกั เรยี น สรา้ งสภาพ บรรยากาศในขณะทนี่ กั เรยี นมคี วามตนื่ ตวั เพอื่ การเรยี นรสู้ งู สดุ บคุ คลหมายเลข ๑ ทมี่ ีความส�ำคัญทส่ี ดุ ในการสรา้ งบรรยากาศนีค้ อื ครู ผมเคยไปเห็นวิธีท่ีครูใช้ปลุกพลังนักเรียนวัยรุ่นชั้น ม.๒ ตอนเริ่มช้ันเรียน ทโี่ รงเรยี นขนุ หาญวทิ ยาสรรค์ จ.ศรสี ะเกษ โดยครใู หน้ กั เรยี นเตน้ แอโรบกิ ๑๕ นาที กอ่ นเรยี นชว่ งบา่ ยเพอื่ ปลกุ สมอง ทง้ั ครแู ละนกั เรยี นยนื ยนั วา่ ทำ� ใหผ้ ลการเรยี นดขี นึ้ เสียดายท่คี ้นบนั ทึกทีล่ งไวไ้ ม่พบ • 179 •
๕ภาค ชุดความคิดว่าด้วยการหนุน ศักยภาพของนักเรียน (enrichment mindset) บทท่ี ๑๕ ทำ� ความเขา้ ใจสมองของนักเรียนขาดแคลน บทที่ ๑๖ จัดการตวั ถว่ งการเรยี นรู้ บทที่ ๑๗ สรา้ งทกั ษะการคดิ บทท่ี ๑๘ เพ่ิมทักษะการเรียนรูแ้ ละคลงั ค�ำ
๑๕ ทำ� ความเขา้ ใจสมอง ของนกั เรยี นขาดแคลน บันทึกน้ีเป็นบันทึกที่ ๑ ใน ๔ บันทึก ภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยการหนุน ศกั ยภาพของนกั เรียน (enrichment mindset) ตีความจาก Part Five : Why Enrichment Mindset ? สาระหลกั ในบนั ทกึ นค้ี อื นกั เรยี นขาดแคลนมาโรงเรยี นพรอ้ มกบั “ตวั ถว่ งสมอง” (cognitive load) ท�ำให้สมองตื้อ เรียนรู้ยาก ครูต้องเข้าใจนักเรียนเหล่าน้ี และ มีวิธชี ่วยท�ำใหส้ มองโล่ง พรอ้ มเรียนรู้ ทกั ษะนขี้ องครูเป็นสงิ่ มคี ่ายิ่งต่อศษิ ย์ ภาค ๕ นว้ี า่ ดว้ ยเรอื่ งการพฒั นาสมอง ทท่ี งั้ ครแู ละนกั เรยี น จะตอ้ งมชี ดุ ความคดิ ว่าด้วยการพัฒนาสมอง คือเชื่อว่าสมองพัฒนาได้ ครูมีเครื่องมือและทักษะใน การพัฒนาสมองของนักเรียนขาดแคลน นักเรียนขาดแคลนก็เชื่อว่าสมองของตน พฒั นาได้ และหมัน่ พัฒนาสมองของตน ใหป้ ลอดจาก “ตวั ถ่วงสมอง” ที่ส�ำคัญ ครูต้องไม่เพิ่ม “ตัวถ่วง” เสียเอง เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากการ ที่ครูมีความรู้สึกซ่อนอยู่ลึกๆ ต่อความอ่อนแอของนักเรียนขาดแคลน พร้อมกับ คำ� ทำ� นายในใจวา่ ลกู ศษิ ยค์ นนน้ั คนนจ้ี ะไปไมถ่ งึ ฝง่ั ความรสู้ กึ เชน่ นขี้ องครปู ดิ ไมม่ ดิ ตอ่ เดก็ เพราะมนษุ ยเ์ รามคี วามสามารถอา่ นภาษากายออก นกั เรยี นจะรบั รมู้ มุ มอง เชงิ ลบของครทู ม่ี ตี อ่ ตนเองได้ สง่ ผลเพมิ่ ความเครยี ดเรอื้ รงั ทเี่ ดก็ มอี ยแู่ ลว้ จากสภาพ ทางบา้ น และในชมุ ชน ครกู ลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของตวั ถว่ งสมองของศษิ ยโ์ ดยไมต่ งั้ ใจ และไมร่ ตู้ วั แทนทค่ี รจู ะชว่ ยลด “ตวั ถว่ งสมอง” ครกู ลบั เปน็ ผเู้ พมิ่ ตวั ถว่ งสมองเสยี เอง • 182 •
กระบวนทัศน์หยุดนิ่ง (fixed mindset) กับ กระบวนทัศน์พัฒนา (growth mindset) ใน ๔ บันทึกต่อไปนี้เป็นเร่ือง ชุดความคิดหรือกระบวนทัศน์หนุนการพัฒนา ของนกั เรยี น (enrichment mindset) ซงึ่ เปน็ ชดุ ความคดิ ทต่ี อ่ ยอดจากกระบวนทศั น์ พฒั นา กระบวนทศั นห์ นนุ การพฒั นาของนกั เรยี น อย่ใู ตค้ วามเชอ่ื วา่ สามารถเปลย่ี นแปลง สมองได้ ท้ังสมองของครูและสมองของศิษย์ ครูสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้ว ดำ� เนินการพัฒนาทกั ษะการรับร้ใู หแ้ ก่ศษิ ย์ได้ ความแตกตา่ งระหวา่ ง กระบวนทัศน์หยดุ นิ่ง กบั กระบวนทัศนพ์ ัฒนา แสดงใน ตารางข้างล่าง กระบวนทัศนห์ ยดุ นง่ิ กระบวนทัศน์พฒั นา ทกุ อย่างมนั่ คงด่งั หินผา ไมม่ ีอะไรเป็นหินผา ฉนั ติดหล่มสภาพที่ฉันเปน็ อยู่ ฉันสามารถเปลย่ี นแปลงและพฒั นาได้ พันธกุ รรมไมใ่ ช่ตัวกำ� หนดชะตาชวี ติ ฉนั เกดิ มาเป็นอยา่ งนี้ ฉันคงจะเปล่ียนแปลงไมไ่ ด้ ฉนั เปลี่ยนแปลงทกุ วนั ฉนั เปน็ อย่างน้ตี ลอดไป ฉันสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไมม่ อี ะไรมาเปลยี่ นสภาพทเี่ ปน็ อยไู่ ด้ ฉันสามารถสร้างการเปล่ยี นแปลงแกห่ ลายอยา่ ง หวั ใจของกระบวนทศั นพ์ ฒั นาคอื ไมว่ า่ เผชญิ สภาพอะไร นำ� มาเปน็ ประสบการณ์ การเรียนรู้ได้หมด ทั้งสภาพความส�ำเร็จหรือสภาพท่ีดี และสภาพท่ีเลวร้ายหรือ ล้มเหลว กระบวนทัศน์พัฒนาของครู จะเป็นแบบอย่างให้แก่ศิษย์ และพัฒนา ไปสู่กระบวนทศั นห์ นุนศกั ยภาพแกศ่ ษิ ย์ (enrichment mindset) • 183 •
หลักฐานจากงานวิจยั งานวิจัยเร่ือง กระบวนทัศน์พัฒนา เร่ิมจากผลงานวิจัยของ Carol Dweck ทเ่ี ผยแพรใ่ นปี ค.ศ. 2008 วา่ คนเราจะมพี ฤตกิ รรมสนองตอบตอ่ สถานการณต์ า่ งๆ อยู่ภายในสองขวั้ ตรงกันขา้ มต่อไปน้ี กระบวนทศั นห์ ยุดนง่ิ การสนองตอบของแต่ละ กระบวนทศั น์พฒั นา กระบวนทัศน์ทีม่ ตี ่อ... หลีกเลย่ี ง ว่งิ เข้าหา ลม้ เลิกอยา่ งงา่ ยดาย ความทา้ ทาย สู้ ไมใ่ ชส่ ิ่งทีถ่ กู ต้องเหมาะสม อุปสรรค เป็นส่งิ ท่ตี ้องมี ปฏิเสธ ความพยายาม ใช้ประโยชน์ มผี ลให้ร้สู ึกถกู คกุ คาม คำ�ตำ�หนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ กอ่ แรงบันดาลใจ ความสำ�เร็จของผูอ้ น่ื หนงั สอื สรปุ ผลงานวิจัยดังต่อไปนี้ เซลล์สมองสรา้ งการเชอื่ มตอ่ จากการได้รบั ประสบการณท์ ี่โรงเรยี น ความฉลาด (ไอคิว) เปลี่ยนแปลงได้ โภชนาการสามารถเพ่มิ ไอควิ ได้ อ่านนวนิยายวันละ ๓๐ นาที เป็นเวลา ๙ วัน มีผลเพ่ิมการเช่ือมต่อ ใยประสาทในสมอง การสอนวิธีการคิดอย่างมเี หตผุ ล เปลยี่ นแปลงสมอง สามารถเพม่ิ การคดิ อย่างมเี หตุผลได้โดยการฝกึ ฝนจริงจัง ครทู ่ีมีความสามารถสูง สามารถเพมิ่ ผลลัพธ์การเรียนรดู้ า้ นคณติ ศาสตร์ได้ สูงขึน้ ถึง 2 standard deviation โรงเรียนในสหรัฐอเมริกาท่ีเป็นโรงเรียนของเด็กยากจนจ�ำนวนไม่น้อยที่ สามารถท�ำให้นกั เรยี นเรียนจบชน้ั มธั ยมปลายไดถ้ ึงร้อยละ ๙๕ • 184 •
วิธพี ฒั นา ชุดความคิดหนุนศักยภาพของนักเรยี น ชดุ ความคดิ ของนกั เรยี นเปน็ สง่ิ ทพ่ี ฒั นาได้ และเปน็ หนา้ ทขี่ องครทู จ่ี ะตอ้ งพฒั นา ชุดความคิดท่ีถูกต้องให้แก่ศิษย์ ชุดความรู้หรือกระบวนทัศน์ที่ส�ำคัญย่ิงต่อผล การเรยี นรขู้ องนกั เรยี นขาดแคลนคอื ศกั ยภาพ หรอื ความสามารถ หรอื ความฉลาด เป็นสงิ่ ทพ่ี ัฒนาได้ โดยมตี ัวอย่างผลงานวิจัยวิธพี ัฒนาและผลตอ่ ผลลพั ธ์การเรียนรู้ ในเด็กตา่ งวัย ดงั ต่อไปนี้ ในเดก็ เลก็ (กอ่ นอนบุ าล) ทดลองเปรยี บเทยี บกลมุ่ ทดลอง กบั กลมุ่ ควบคมุ ในเวลา ๔ เดือน เด็กกลุ่มทดลองได้รับค�ำบอกว่า “สมองของนักเรียนเปล่ียนได้ สมองของนักเรียนเปล่ียนแปลงและเติบโตได้ นักเรียนสามารถเปลี่ยนแปลงและ เติบโตได้ การท่ีนักเรียนเชื่อว่าตวั เองเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้ และเปน็ คนมานะ พยายาม จะช่วยใหน้ ักเรียนมีความสำ� เรจ็ ” นักเรยี นในกลุม่ ทดลอง ไมเ่ พียงเรียนรู้ ไดด้ ีกว่ากลมุ่ ทดลอง ยังสามารถมผี ลการเรยี นดีไปอกี หลายปี ในนกั เรยี นอนบุ าล - ป.๕ การฝกึ growth mindset โดยใชเ้ กมคอมพวิ เตอร์ ชว่ ยใหน้ กั เรยี นมคี วามอดทนมานะพยายามในการเอาชนะอปุ สรรค (persistence) ดขี ึน้ ในนักเรียนชั้นมัธยม นักเรียนท่ีมี growth mindset มีผลการเรียนดีกว่า นกั เรยี นทมี่ ี fixed mindset ในชนั้ เรยี นคณติ ศาสตรช์ นั้ มธั ยม นกั เรยี นทไี่ ดร้ บั การฝกึ growth mindset มีผลการเรยี นดีกวา่ นักเรียนทไ่ี มไ่ ดร้ ับการฝกึ มกี ารวจิ ยั ในโรงเรยี นของเดก็ ยากจน (กวา่ รอ้ ยละ ๗๕ ของนกั เรยี นมาจาก ครอบครัวยากจน) ๑๐ โรงเรียน พบว่าครึ่งหน่ึงของโรงเรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้ อยู่ในกลุ่มร้อยละ ๒๕ บนของรัฐ อีกครึ่งหน่ึงอยู่ในกลุ่มร้อยละ ๒๕ ล่างของรัฐ การด�ำเนินการที่แตกต่างระหว่างโรงเรียนสองกลุ่มคือ โรงเรียนกลุ่มแรก ให้ครู ดำ� เนนิ การสรา้ ง growth mindset แกเ่ ดก็ มกี ารสรา้ งศกั ยภาพในการเรยี นรใู้ หแ้ ก่ นักเรยี น และมีวฒั นธรรมของโรงเรียนท่ดี ี • 185 •
นกั เรยี นขาดแคลนมกี ารรับรแู้ ตกตา่ งอย่างไร นักเรียนขาดแคลนจ�ำนวนมาก มาโรงเรียนด้วยคุณสมบัติท่ีดี แต่คุณสมบัติ เหลา่ นัน้ มักถกู ละเลย หรอื มองข้ามไป เชน่ มีความตงั้ ใจและอดทนมานะพยายาม เพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายบางเรอ่ื งสงู ยงิ่ เปน็ ความรบั ผดิ ชอบของครทู จี่ ะตอ้ งทำ� ความรจู้ กั เพอ่ื คน้ พบจดุ แขง็ ของนกั เรยี นแตล่ ะคน เพอื่ ใชใ้ นการสง่ เสรมิ การเรยี นรใู้ หน้ กั เรยี น ฉายแววออกมา นกั เรยี นขาดแคลน มกั มาโรงเรยี นโดยมจี ดุ ออ่ นหรอื ขอ้ ดอ้ ย ๓ ดา้ น คอื (๑) ภาษา (๒) ความจำ� และ (๓) ความสามารถบงั คบั การรบั รขู้ องตวั เอง (cognitive control) ซ่ึงเป็นผลจากหลายปัจจัย ได้แก่ สภาพในครอบครัว สภาพในชุมชน และปัจจัย ท่ีโรงเรียน ข่าวดีคือ การจัดการเรียนรู้ท่ีดี สามารถเอาชนะจุดอ่อนเหล่าน้ันได้ โดยปจั จัยแก้ท่ีสำ� คัญทีส่ ดุ คอื ปฏิสมั พนั ธ์ มีผลการวิจัยท่ีคนอ้างถึงบ่อย ว่านักเรียนขาดแคลนมาเข้าโรงเรียนโดยที่ได้ฟัง คำ� พดู นอ้ ยกวา่ เดก็ ทวั่ ไป ๒๐ - ๓๐ ลา้ นคำ� ทำ� ใหเ้ ดก็ ขาดแคลนเรยี นภาษาไดช้ า้ กวา่ เรยี นรตู้ วั อกั ษร และฟงั คำ� ไดย้ ากกวา่ นำ� ไปสคู่ วามออ่ นแอดา้ นการเรยี นอา่ น แตผ่ ล การวจิ ยั หลงั จากนนั้ ไมย่ นื ยนั ชอ่ งวา่ งของการไดเ้ คยไดย้ นิ คำ� ทต่ี า่ งกนั ถงึ ๒๐ - ๓๐ ลา้ นคำ� แตก่ ย็ นื ยนั วา่ เดก็ ขาดแคลนมพี นื้ คลงั คำ� ในสมองนอ้ ย และพน้ื ฐานศกั ยภาพ ความจำ� ไมด่ ี โดยทอ่ี อ่ นแอทง้ั ความจำ� ระยะยาว (long term memory) และความจำ� ใชง้ าน (working memory) ความสามารถบงั คบั การรบั รขู้ องตวั เอง (cognitive control) เปน็ ความสามารถ เปล่ียนเรื่อง และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ในห้องเรียน เช่น สามารถเข้าใจ และปรบั ตัวตามกฎเกณฑ์กตกิ าทีเ่ ปลย่ี นไป เม่อื สถานการณ์เปลย่ี น เช่น นักเรียน จ�ำนวนมากเมือ่ อยกู่ บั เพื่อนพดู เก่ง แต่พอถึงคราวพดู กับครูกลับพูดไมอ่ อก • 186 •
เปลยี่ นวาทกรรม เปลย่ี นพฤตกิ รรม เพ่ือสร้างชุดความคิดหนุนศักยภาพของนักเรียน ครูต้องเปล่ียนวาทกรรมของ ตนเองจาก “ฉันมีหน้าท่ีสอนเน้ือหาวิชาความรู้ หากคุณต้องการให้นักเรียนเรียน ได้ดี จงบอกให้เขาตื่นและต้ังใจเรียน ห้องเรียนไม่ใช่สถานบันเทิง” ไปสู่วาทกรรม “ฉันโฟกสั ท่ผี ลลพั ธก์ ารเรยี นรขู้ องนักเรียน และเชอ่ื มโยงสู่กระบวนการเรยี นรูแ้ ละ ปฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคมของทกุ วัน” ใคร่ครวญสะทอ้ นคดิ และตดั สนิ ใจ หน้าที่หลักของครูคือ สร้างสภาพท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้สูงสุด เน้นท่ีตัวนักเรียน เหนือส่ิงอ่ืนใด น่ันคือ ต้องใช้ช่วงแรกของเวลาเรียนปลุกพลังในตัวนักเรียน สร้าง สภาพบรรยากาศทใี่ นขณะนน้ั นกั เรยี นตน่ื ตวั เพอ่ื การเรยี นรสู้ งู สดุ บคุ คลหมายเลข ๑ ที่มีความสำ� คญั ทสี่ ุดในการสร้างบรรยากาศนี้คอื ครู • 187 •
๑๖ จดั การตัวถ่วงการเรยี นรู้ บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ ๒ ใน ๔ บันทึก ภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยการหนุน ศกั ยภาพของนกั เรยี น (enrichment mindset) ตคี วามจาก Chapter 13 : Manage the Cognitive Load สาระหลกั ในบนั ทกึ นค้ี อื นกั เรยี นขาดแคลนมตี วั ถว่ งการเรยี นรู้ (cognitive load) คือมีเร่ืองวิตกกังวลอยู่ในสมอง ท�ำให้สมองไม่โปร่งโล่ง เรียนรู้ยาก ไม่มีสมาธิ อยูก่ ับการเรียน ตวั ถว่ งการเรยี นรู้ (cognitive load) หมายถงึ ความคดิ หรอื เรอ่ื งราวภายในสมอง ในชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพอื่ การดำ� รงชวี ติ อยู่ เชน่ กงั วลวา่ กลบั ไปบา้ นเยน็ น้ี จะโดนพ่อเล้ียงขี้เมาด่าว่าหรือไม่ เย็นน้ีจะมีข้าวกินหรือไม่ ฯลฯ หากไม่ได้รับ การจัดการครูอาจเข้าใจผิดว่านักเรียนมีธรรมชาติเป็นคนหัวช้า (slow learner) โดยทแ่ี ท้จรงิ แลว้ นกั เรียนเรียนไดช้ า้ ก็เพราะมีตัวถ่วง มีผลงานวิจัยบอกว่าตัวถ่วงเหล่านี้ท�ำให้ ไอคิวลดลงถึง ๑๓ หน่วย เพราะเมื่อ ครูให้นักเรียนคิดเรื่องวิชาการ สมองของนักเรียนล่องลอยไปกับเร่ืองท่ีวิตกกังวล นักเรียนเหล่าน้ีไม่ใช่เด็กสมองไม่ดี แต่สมองถูกใช้งานไปในทางอื่น (เพ่ืออยู่รอด) ครูจึงต้องมีชุดความคิดบวกต่อเด็กเหล่านี้ ต่อด้วยชุดความคิดหนุนศักยภาพ โดย กระตนุ้ ความหวงั และมองโลกแงด่ ี (บนั ทกึ ที่ ๙) สรา้ งเจตคตเิ ชงิ บวก (บนั ทกึ ที่ ๑๐) เปล่ียนพ้ืนฐานทางอารมณ์ (บันทึกที่ ๑๑) ให้ความส�ำคัญต่อวิสัยทัศน์และการ แสดงออกของนักเรียน (บันทึกที่ ๑๒) ก�ำหนดความปลอดภัยเป็นสภาพปกติ • 188 •
ของห้องเรียน (บันทึกที่ ๑๓) และให้นักเรียนได้เคล่ือนไหวและออกก�ำลัง เพื่อ ชว่ ยให้การเรยี นรูเ้ กดิ ง่ายข้ึน โดยสร้าง ชดุ ความคิดผูกพันนักเรยี น (engagement mindset) ซงึ่ จะไดก้ ล่าวถึงในบันทกึ ตอนที่ ๑๙ ต่อไป สาระสำ� คญั ของบนั ทกึ ตอนที่ ๑๖ นค้ี อื เครอื่ งมอื เอาชนะตวั ถว่ งการเรยี นรู้ และ เครือ่ งมือฝึกทกั ษะการดงึ ความรูอ้ อกมาจากความจำ� เครื่องมอื ลดตัวถว่ งการเรียนรู้ ความวิตกกังวลท่ีเป็นตัวถ่วงการเรียนรู้อย่างหนึ่งของเด็กขาดแคลนคือ กังวล เร่ืองการถูกดูถูกดูแคลนจากครูและเพ่ือนๆ ซึ่งแก้ได้ง่าย โดยการท่ีครูแสดงให้ นกั เรยี นเหล่าน้เี หน็ ว่า ครูเป็นห่วงเป็นใย และเอาใจใส่ความรสู้ กึ ของเขา เน่ืองจาก ห้องเรียนที่ครูจัดเป็นห้องเรียนท่ีเน้ือหาเข้มข้น หากไม่มีเคร่ืองมือช่วยใจของเด็ก เหล่านี้จะหลุดจากการเรียน นอกจากเคร่ืองมือท่ีจะกล่าวถึงต่อไปน้ี ครูต้องจัดให้ นกั เรยี นรสู้ กึ ปลอดภยั ทงั้ ดา้ นกายภาพและดา้ นอารมณ์ (บนั ทกึ ที่ ๑๓) เมอื่ ใชเ้ ครอื่ งมอื ต่อไปนี้ ครูจะสังเกตเห็นว่านักเรียนเอาใจใส่การเรียนมากข้ึน เข้าใจได้ดีข้ึน และ จำ� ได้ดขี นึ้ แบง่ ความรเู้ ป็นตอนๆ นกั เรยี นขาดแคลนมคี วามเครยี ดเรอื้ รงั ตดิ ตวั ความเครยี ดเรอ้ื รงั ทำ� ให้ “ความจำ� ใชง้ าน” (working memory) ลดลง ความจำ� ใชง้ านเปน็ ทกั ษะการจดจำ� ภาพหรอื เสยี ง ไวใ้ นสมองชวั่ คราวและสังเคราะห์เข้ากบั ความรู้เดมิ ได้เป็นคำ� ตอบ หรอื ขอ้ คิดเหน็ หากสาระการเรยี นรมู้ คี วามซบั ซอ้ นและกอ้ นใหญเ่ กนิ ไป หรอื ครสู อนเรว็ เกนิ ไปจะเกนิ กำ� ลงั ความจำ� ใชง้ าน และความรเู้ ดมิ ทอี่ อ่ นแอของเดก็ มผี ลใหเ้ ดก็ ละความสนใจ มี การวจิ ยั แนะนำ� ใหค้ รแู บง่ เนอื้ หาเปน็ ตอนๆ แตล่ ะตอนใชค้ วามยาว ๓ - ๖ นาที และ ใชเ้ วลาทบทวนความรตู้ อนกอ่ น กอ่ นทจี่ ะสอนตอ่ เปรยี บเสมอื นการกนิ ขา้ วทลี ะคำ� แบง่ เป็นค�ำเล็กๆ และมีเวลาให้เค้ยี ว • 189 •
หยุดเป็นชว่ งๆ การหยุดเป็นช่วงๆ (ช่ัวอึดใจ) เป็นเคร่ืองมือช่วยการเรียนรู้อย่างหน่ึง เมื่อเริ่ม คาบเรียน สรุปประเด็นท่ีจะเรียนด้วยถ้อยค�ำสองสามประโยค แล้วหยุด หลังจาก พูดประโยคสำ� คัญ ให้หยุดหนง่ึ อึดใจเสมอ ในไม่ช้านักเรียนจะจับสัญญาณน้ไี ด้ นอกจากนนั้ เมอ่ื ถงึ ตอนสำ� คญั ใหบ้ อกนกั เรยี นวา่ สาระตอ่ ไปนส้ี ำ� คญั ใหเ้ ตรยี มจด นักเรียนต้องนำ� ไปใชใ้ นภายหลงั ให้ครหู ยดุ หนง่ึ อึดใจแล้วบอก แลว้ หยุดหน่งึ อดึ ใจ การหยุดเปน็ ช่วงๆ และบอกความสำ� คญั นี้ เปน็ การชว่ ยสร้างความแข็งแรงของ ความจ�ำใชง้ าน ยดื เวลาออกไป มีผลงานวิจัยบอกว่า เมือ่ ครขู ยายเวลาเรียนร้อู อกไป นักเรยี นเขา้ ใจ และจดจ�ำ ไดด้ ขี นึ้ ตวั อยา่ งเชน่ มสี าระวชิ าทตี่ อ้ งใชเ้ วลาเรยี น ๑๐ ชวั่ โมงซง่ึ อาจเรยี นจบภายใน ๒ วนั แตห่ ากใชเ้ วลา ๑๐ ชวั่ โมงนนั้ ในชว่ งเวลา ๒ สปั ดาห์ ผลการเรยี นรจู้ ะดกี วา่ การเรยี นแบบนม้ี ชี อ่ื ทางวชิ าการวา่ spaced learning หรอื distributed learning ใชห้ ลกั การคอื “อยา่ มาก อยา่ เรว็ เพราะจะไมไ่ ดเ้ รยี นรจู้ รงิ ” (too much, too fast, it won’t last) เป็นวิธีเรียนที่ตรงกันข้ามกับ mass learning เช่น สอนตะลุย ๕๕ นาทีใน ๑ คาบ effect size ของ spaced learning สูงถึง ๐.๗๑ แทนท่ี จะให้เรียนสาระต่อเนื่องกัน ๕๕ นาทีก็ใช้วิธีแบ่งสาระออกเป็น ๖ ตอน ตอนละ ๙ นาที ให้เรียนภายใน ๑ สปั ดาห์ เขาแนะน�ำให้เตรียมความพร้อมต่อการเรียนของนักเรียนล่วงหน้าก่อนการ เรียนจริง หลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยการเกริ่นหลักการท่ีเข้าใจยากด้วยภาพ หรืออินโฟกราฟิก และในการสอนแต่ละตอน เมื่อจะจบตอน ให้ย้อนกลับไป เอ่ยถึงสาระส�ำคัญของตอนท่ีแล้วหนึ่งหรือสองประโยค และเอ่ยถึงตอนต่อไปอีก หนึง่ ถึงสองประโยค สมมตวิ า่ สาระทจ่ี ะสอนทงั้ หมดเกดิ ขนึ้ ในชว่ งเวลา ๔ สปั ดาห์ เขาแนะนำ� ใหส้ อน สาระรอ้ ยละ ๘๕ ในชว่ งสปั ดาหท์ ส่ี องและสาม อกี รอ้ ยละ ๑๕ สอนในชว่ งสปั ดาห์ แรกและสปั ดาห์สุดท้าย • 190 •
ใช้เทคนิค spaced relevance เป็นการใช้ spaced learning ร่วมกับ content relevance คือใช้เวลาเรียนรู้ เท่าเดิม แต่ขยายช่วงเวลาให้ทอดยาวออกไป และจัดให้นักเรียนได้มีช่วงทบทวน สาระและความส�ำคัญ โดยแบ่งเวลาเรียนทั้งหมดออกเปน็ ๓ ชว่ ง ชว่ งแรกใชเ้ วลา ร้อยละ ๕ - ๑๐ ของท้ังหมด ใช้เกริ่นน�ำ หรือเตรียมพร้อมนักเรียน ช่วงที่สอง ใช้เวลาร้อยละ ๘๕ ใช้เรียนสาระ และช่วงที่สามใช้เวลาร้อยละ ๕ - ๑๐ ส�ำหรับ ทบทวนที่เขาเรียกว่า post-review synthesis ครูไม่พึงสอนตะลุยเน้ือหาให้จบ เพราะนกั เรยี นจะไม่ร้จู ริง เครอ่ื งมอื ชว่ ยฝกึ ทักษะการดงึ ความร้อู อกมาจากความจำ� การเรียนรู้ (learning) กับการดึงความรู้ออกมาจากความจ�ำ (retrieval) อาจเปน็ สงิ่ เดยี วกนั สำ� หรบั คนบางคน แตส่ ำ� หรบั อกี บางคน การดงึ ความรอู้ อกมาจาก ความจำ� ต้องการตวั ชว่ ยหรือการบอกเปน็ นัยๆ เขา้ ใจวา่ นกั เรยี นทม่ี าจากครอบครัว ยากจนส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มน้ี ครูจึงต้องช่วยฝึกทักษะดึงความรู้ออกมาใช้งาน ใหแ้ กศ่ ษิ ยด์ ้วย ผมเขา้ ใจวา่ คนเราเกบ็ ความรไู้ วใ้ น “ความจำ� ระยะยาว” (long term memory) การดงึ ความรจู้ าก ความจำ� ระยะยาว เอามาใชง้ านในความจำ� ใชง้ านนนั้ ตอ้ งมกี ารฝกึ หากมีการฝึกบ่อยๆ ในหลากหลายสถานการณ์ก็จะดึงความรู้ออกมาได้คล่อง คือ เร็วและครบถ้วนตามท่ีต้องการ หากไม่ฝึกก็จะดึงออกมาแบบตะกุกตะกักและ มกั ไมค่ รบถว้ นตามทตี่ อ้ งการใช้งาน เขาบอกว่า ความจ�ำ (memory) กับการระลึก (recall) เป็นคนละส่ิง และ ตัวลดช่องวา่ งระหวา่ งสองสง่ิ นคี้ ือ (๑) การใช้บอ่ ยๆ (๒) การทเี่ ร่ืองน้นั สอดคล้อง (relevance) กับชีวิตหรือประสบการณ์ และ (๓) ความเข้มข้นของความจ�ำ (เกดิ จากอารมณ)์ แต่ในที่น้ี retrieve กับ recall แตกต่างกัน คือ retrieval เป็นการนึกออกมา จากความจ�ำ โดยไม่มีตัวช่วยกระตุ้นความจ�ำใดๆ และไม่มีความต้องการใช้ เพียงต้องการทบทวนความจ�ำเท่านั้น ส่วน recall เป็นการระลึกในสถานการณ์ ความต้องการใชง้ าน • 191 •
เป็นที่รู้กันดีว่าเม่ือสมองปลอดโปร่ง มีความเครียดน้อย และบรรยากาศเอ้ือ คอื มสี ถานการณท์ ชี่ ว่ ยชโี้ ดยนัย การระลึก (recall) เกดิ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ การฝกึ ดงึ ความรอู้ อกมาจากความจำ� (retrieval) มปี ระโยชนม์ ากตอ่ การเรยี นรู้ และจดจ�ำ และท�ำได้ง่ายๆ โดยการให้เวลานักเรียนเขียนสรุปส่ิงท่ีเรียนมาแล้ว โดยเขยี นจากความจำ� ไม่ดูสมดุ โนต้ ไมป่ รึกษาเพ่ือน (หากดูสมดุ โน้ตหรือปรกึ ษา เพื่อนจะไม่ได้ผลจาก retrieval) มีผลดีต่อการเรียนรู้มากมาย แต่แปลกมากที่มี การใช้น้อย ผมขอเพิ่มเติมว่าเมื่ออายุเพียงประมาณ ๑๕ ปี ผมค้นพบเครื่องมือน้ี ดว้ ยตนเอง และปฏบิ ตั เิ ปน็ ประจำ� ทำ� ใหผ้ ลการเรยี นเดน่ มาก และผมใชม้ าตลอดชวี ติ มกี ารวจิ ยั ในกลมุ่ นกั เรยี นชน้ั ป.๖ ทเี่ รยี นวชิ าสงั คมศกึ ษา และนกั เรยี นชน้ั ม.๒ ทีเ่ รยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งนักเรียนเป็น ๒ กลุ่ม ท้ังสองกลุม่ ได้รบั การสอน เนอื้ หาพรอ้ มกนั หลงั จากนนั้ กลมุ่ ควบคมุ ไดร้ บั การทบทวนโดยฉายสไลดใ์ หด้ ู สว่ น กลุ่มทดลองได้รับการฝกึ retrieval โดยเขียนลงบนกระดาษ แลว้ ทั้งสองกล่มุ ได้รบั การทดสอบดว้ ยกนั พบว่ากลมุ่ ควบคมุ ทำ� ขอ้ สอบถูกรอ้ ยละ ๗๙ สว่ นกล่มุ ทดลอง ได้ร้อยละ ๙๒ เขาบอกวา่ เปน็ ความแตกตา่ งของเกรดในระดบั C+ กับ A- เขาแนะน�ำการฝกึ ดึงความรอู้ อกมาจากความจำ� โดยวธิ ตี อ่ ไปนี้ ใหเ้ วลานกั เรยี น quiz ตัวเอง ใหน้ กั เรียนตอบว่า ไดเ้ รียนอะไรไปแลว้ ในวันนน้ั หรือวันกอ่ น ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ ทบทวนหลากหลายแบบ เชน่ วนั หนงึ่ ใหเ้ ขยี นบน flip chart วันตอ่ มาให้พูดปากเปล่า มีโจทย์หลายแบบให้นักเรียนฝึกตอบ เช่น ทบทวนค�ำ จ�ำนวน รายการ ประโยคหรือวลี ขอ้ เท็จจรงิ ใหค้ วามเห็น บอกเหตุและผล เป็นตน้ จัดให้มีการฝึกหัดดึงความรู้ออกมาจากความจ�ำหลายแบบ เช่น ในวันหน่ึง ให้ท�ำร่วมกบั เพือ่ น วันต่อมาให้ทำ� คนเดยี ว การฝกึ ดงึ ความรอู้ อกมาจากความจำ� ควรสลบั ระหวา่ งการดงึ ออกมาเปน็ ถอ้ ยคำ� และการแสดงออกมาเป็นอวัจนภาษา (ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ถ้อยค�ำ) หรือแสดงออกมา เปน็ การ์ตูน เป็น mind map เปน็ ตาราง เป็นกราฟ ฯลฯ ตามความชอบและถนัด ของนักเรียน วธิ ีการดึงความรู้ออกมาเป็นอวจั นภาษา ๒ วธิ อี ธบิ ายขา้ งล่างนี้ • 192 •
ใชก้ ารจัดระบบความรูผ้ ่านจกั ษุประสาท มีเคร่ืองมือมากมาย ได้แก่ mind map, time sequence, concept pattern organizer, target diagram, การ์ตนู , Venn diagram, tree diagram, flow chart, cluster map, spider web, continuum diagram, concept map, descriptive pat- tern organizer โดยเขาแนะนำ� หนงั สอื Visual Tools for Constructing Knowledge เขยี นโดย David Hyerle (1996) เขาแนะนำ� ใหใ้ ชใ้ นการสอบซอ้ ม ใหเ้ วลา ๑๐ นาที ส�ำหรับให้นักเรียนเขียนบอกว่าตนรู้อะไรบ้างในเรื่องน้ัน การสอบแบบนี้อาจใช้ใน การประเมินเพอ่ื พัฒนา (formative assessment) ก็ได้ หรือใช้ในการประเมนิ ผล ได้ตก (summative evaluation) ก็ได้ การใช้เคร่ืองมือนี้ช่วยฝึกดึงความรู้ออกมา จากความจำ� มี effect size ต่อผลลัพธ์การเรยี นรสู้ ูงถึง ๑.๒ แสดงทา่ ทีทีบ่ ่งบอกสาระ น่ีคือการแสดงท่าทีของครูตามเรื่องราวท่ีก�ำลังสอน ซึ่งผลการวิจัยบอกว่า ช่วยลดตวั ถ่วงการเรยี นรู้ของนกั เรยี น ท�ำใหน้ กั เรยี นเรยี นรู้และจดจำ� ไดด้ ีขึน้ อาจให้นักเรียนเป็นผู้แสดงท่าที โดยนักเรียนท�ำงานเป็นทีม ช่วยกันระบุ ประเด็นหลักของบทเรียนที่เรียนไปแล้ว ๓ - ๔ ประเด็น แล้วร่วมกันคัดเลือกให้ เหลือ ๒ ประเด็น แล้วน�ำเสนอต่อช้ันเรียนเป็นท่าทางโดยห้ามใช้ค�ำพูด เขาบอก วา่ การเคลอ่ื นไหวช่วยการเรยี นรขู้ องเด็ก และแนะน�ำเว็บไซต์ math & movement (mathandmovement.com) ที่แสดงวิธีส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์ผ่านการ เคลอ่ื นไหว • 193 •
เร่ืองเล่าจากห้องเรียน คุณครูเปีย - วรรณวรางค์ รักษทิพย์ ผู้สอนหน่วยวิชามานุษและสังคมศึกษา ระดบั ชนั้ ๕ พบวา่ ในชว่ งสองปหี ลงั มาน้ี กจิ กรรมทใ่ี ชก้ ารถาม - ตอบ แบบสนทนา และต่อยอดความเข้าใจเชิงลึก โดยใช้ค�ำถามที่ลึกต่อยอดค�ำตอบเชิงลึกไปเร่ือยๆ เพ่ือเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษา ในแบบท่ีเคยท�ำมานั้นไม่อาจดึงใจผู้เรียนมาจดจ่อ ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบอีกว่าหากจะให้ผู้เรียนฟังเพื่อให้เกิดการครุ่นคิดตาม จนเกิดการตกผลึกความเข้าใจ แล้วให้แสดงการตอบสนองเป็นความคิดเห็นของ ตนเองนน้ั ไมส่ ามารถใชช้ ว่ งเวลาตอ่ เนอื่ งยาวนานได้ สภาพการณน์ ป้ี รากฏในใจอยา่ ง ชัดเจนมากข้ึน เม่ือตัวครูเปียเป็นผู้สังเกตการณ์ช้ันเรียนในระบบ lesson study ในช่ัวโมงการสอนของคุณครูเต่า - สุจิตรา เลิศพิพัฒน์วรกุล ครูคู่วิชาในแผน การเรียนรู้ท่ีได้ออกแบบร่วมกัน และพบว่าผู้เรียนมีห้วงความสนใจส�ำหรับการฟัง ประมาณ ๑๐ นาทีแรกซ่ึงเปน็ ขน้ั น�ำ หลังจากน้ันหากครูยังคงพดู อย่โู ดยไม่เปลยี่ น กิจกรรมไปสู่การลงมือท�ำ จ�ำนวนและความหลากหลายของผู้เรียนท่ีตอบสนอง คำ� ถามของครจู ะนอ้ ยลงไปเรอื่ ยๆ หากครยู ง่ิ ดนั้ ดน้ บรรยายตอ่ ไปกย็ งิ่ จะเปน็ การเพมิ่ จ�ำนวนเด็กขาดแคลนความสนใจในช้ันเรียนให้มีมากขึ้น และจะมีเด็กที่หลงเหลือ ความสนใจใหก้ ับค�ำถามของครูเอาไวเ้ พยี งหยบิ มือเดยี วในทา้ ยคาบเรียน ทจ่ี รงิ แล้ว ปญั หานมี้ าจากผสู้ อนซง่ึ ละเลยความสำ� คญั เรอ่ื งการจดั การเวลา และยดึ ตดิ ในรปู แบบ การสอนแบบเดิมมาอยา่ งยาวนาน จากการได้อา่ นบทความสอนเข้มเพือ่ ศษิ ยข์ าดแคลน ตอน จดั การตวั ถ่วงสมอง ซึง่ เปน็ ตอนทว่ี า่ ด้วยเทคนิคซึง่ ช่วยเอือ้ อำ� นวยใหเ้ ดก็ ทีต่ ิดขัดในการเรยี นรู้ สามารถ เรียนรู้ไปพร้อมกับเพื่อนที่มีความพร้อมได้ ครูเปียจึงสนใจท่ีจะน�ำเทคนิคการแบ่ง ความรู้เป็นตอนๆ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะหลักการ space relevance และการดงึ ความรอู้ อกมาจากความจำ� (retrieval) มาปรบั ใชใ้ นชน้ั เรยี น ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลลัพธ์คือ การตอบสนองในชั้นเรียนเกิดสภาพคล่องมากขึ้น และมีความคงท่ี ไปจนถึงเพิ่มข้ึน ในช่วงท้ายคาบเรียน โดยได้ประยุกต์ใช้หลักการจากบทความ ใหส้ อดคล้องกบั บริบทของตนเอง ดงั นี้ • 194 •
ก�ำกับโครงสรา้ งคาบเรียนด้วยการแบง่ ภารกิจเป็นตอนๆ จากขอ้ เสนอแนะของบทความทก่ี ลา่ ววา่ การใช้ spaced learning รว่ มกบั content relevance และจัดให้นักเรียนได้มีช่วงทบทวนสาระและความส�ำคัญ โดยแบ่งเวลา เรยี นท้งั หมดออกเป็น ๓ ช่วง ชว่ งแรกใช้เวลารอ้ ยละ ๕ - ๑๐ ของท้ังหมด ไปกับ การเกรนิ่ นำ� หรอื เตรยี มพรอ้ มนกั เรยี น ชว่ งทสี่ องใชเ้ วลารอ้ ยละ ๘๕ เรยี นสาระ และ ชว่ งทสี่ ามใชเ้ วลารอ้ ยละ ๕ - ๑๐ สำ� หรบั ทบทวน เรยี กวา่ post - review synthesis เทคนิคดังกล่าว น�ำมาสู่การออกแบบห้วงเวลา ร่วมกับการปรับรูปแบบการเรียนรู้ จากเดมิ ทใี่ ชค้ ำ� ถามยอ่ ยสนทนาเปน็ ระยะ ปรบั เปน็ แบง่ หว้ งกจิ กรรมใหอ้ ยใู่ นรปู ภารกจิ ซึ่งในแต่ครงั้ จะมภี ารกจิ เพียง ๒ อย่างเทา่ นั้น สิง่ สำ� คัญคือ ภารกิจดงั กล่าวจะต้อง กอ่ เกดิ การเรยี นรใู้ นประเดน็ สำ� คญั ของครง้ั นน้ั ๆ ได้ สามารถดำ� เนนิ การภายในกรอบ ของการแบ่งหว้ งเวลาใหมซ่ ึง่ สมั พนั ธก์ ับคาบจริงเรียนได้ ดงั นี้ ห้วงเวลา กิจกรรม ๑๐ นาที ทบทวนความรู้เดมิ ๒๐ นาที ภารกจิ ท่ี ๑ ๑๕ นาที ถอดความเขา้ ใจจากภารกิจที่ ๑ ๓๐ นาที รบั ภารกจิ ท่ี ๒ ๒๐ นาที ถอดความเข้าใจจากภารกิจท่ี ๒ ๑๐ นาที สนทนาสรปุ การเรียนรู้ ๕ นาที บนั ทกึ สะท้อนการเรียนรรู้ ายบุคคล หมายเหตุ : มีห้วงเวลาส�ำหรับการจัดกลุ่ม การเตรียมพ้ืนท่ีเพื่อท�ำงานท่ีต้องใช้พื้นท่ี ซง่ึ ไมไ่ ดแ้ สดงในตาราง • 195 •
ค�ำถามของครูในการน�ำเอาโครงสร้างเวลาเป็นตัวต้ัง แล้วจึงค่อยออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ “หากมีเวลาเพียง ๑๐ นาที ท่ีจะทบทวนความรู้เดิม ควรท�ำกิจกรรมอะไร” “หากมีเวลาเพียง ๒๐ นาที ส�ำหรับสร้างความเข้าใจใน เรื่องท่ี ๑ ผ่านภารกิจที่ ๑ ควรท�ำกิจกรรมอะไร” “หากมีเวลา ๑๕ นาที ส�ำหรับ สรุปการเรยี นรู้ ควรใช้เทคนิคการถอดการเรยี นร้แู บบใด” เปน็ ต้น การยึดเวลาเป็นตัวต้ัง โดยออกแบบโครงสร้างเวลาอย่างสัมพันธ์กับเนื้อหา เป้าหมายการเรียนรู้ และความจดจ่อของผู้เรียนน้ัน ท�ำให้เกิดความกระชับ กระฉับกระเฉงต่ืนตัวในชั้นเรียนมากขึ้น ความหนืดเนือยที่เด็กมักแสดงออกมา ในชว่ งท้ายคาบเรียนลดน้อยลงไปอยา่ งเห็นไดช้ ัด นอกจากนี้ผู้สอนยงั ใช้เทคนคิ ย่อยอ่นื ๆ จากบทความ ได้แก่ การลดความกังวล โดยอาศัยความสมั พนั ธท์ ่ดี ีในชนั้ เรียน และการดึงความรเู้ ดมิ ดงั นี้ การลดความกงั วล จากโจทย์ในใจท่ีพ่วงกับเป้าหมายเร่ืองการจัดการเวลา โดยเฉพาะโจทย์ท่ีว่า “หากมีเวลาเพียง ๒๐ นาที ส�ำหรับสร้างความเข้าใจในเรื่องที่ ๑ ผ่านภารกิจที่ ๑ ควรท�ำกิจกรรมอะไร” ผู้สอนพบว่า การที่เด็กได้แลกเปล่ียนพูดคุยกับครูมิใช่ รูปแบบเดียวของการแสดงออกว่าก�ำลังเรียนรู้ การได้พูดคุยกับเพื่อนน่าจะเป็นวิธี ทที่ ำ� ใหท้ กุ คนไดเ้ ขา้ ถงึ การเรยี นรอู้ ยา่ งเทา่ เทยี มมากกวา่ อาศยั ความคดิ เหน็ ของเพอ่ื น เป็นตัวยกระดับความเข้าใจก็น่าจะสดใหม่กว่าความรู้ที่ครูส่งมอบ ดังนั้น ผู้สอน ไดอ้ อกแบบกจิ กรรมรว่ มมอื โดยใชก้ ารคดิ เปน็ คู่ เปน็ ภารกจิ ที่ ๑ เพราะการคดิ เปน็ คู่ เป็นหลักประกันว่า ทุกคนได้ใคร่ครวญในเรื่องตรงหน้า ภารกิจนี้ต้องอาศัยโจทย์ ท่ีท้าทายให้คิดใคร่ครวญ เห็นคล้อยตามและเห็นต่างได้ ผู้เรียนจะผลัดกันเล่า ความคิดเห็นของตนเอง แล้วลงมือท�ำงาน หรือบันทึกมติร่วมออกมา ประโยชน์ สำ� คญั จากภารกจิ ที่ ๑ มสี องต่อ อยา่ งแรกคอื การไดบ้ นั ไดความรขู้ ้นั ท่ี ๑ ส�ำหรบั ต่อยอดไปภารกิจที่ ๒ อย่างที่สองคือ การได้ฝึกกล้าพูดส่ือสาร เพื่อท�ำงานแบบ ร่วมมือกัน ซึ่งใช้ต่อยอดในภารกิจท่ี ๒ ท่ีเป็นการท�ำงานในกลุ่มท่ีใหญ่ขึ้น ในการ ทำ� งานคกู่ นั ครงั้ แรกนนั้ ครใู หผ้ เู้ รยี นไดเ้ ขยี นจดหมายเปน็ การขอบคณุ กนั เปน็ หวั ใจ ส�ำคัญของการสร้างพ้ืนท่ีให้ทุกคนมีตัวตนในชั้นเรียน ลดความกังวลว่าจะมีความ คิดเห็นท่ีไม่น่าเชื่อถือ ท�ำให้การส่ือสารในภารกิจที่ ๒ นั้น ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ มากยิง่ ข้นึ • 196 •
จดหมายถึงเพ่ือนจากเด็กหญิงวาริศา คูณณานันท์ ถึงเด็กหญิงสมิตานันท์ สุขสมัย • 197 •
การดึงความรูเ้ ดมิ จากค�ำถามท่ีว่า “หากมีเวลาเพียง ๑๐ นาที ท่ีจะทบทวนความรู้เดิม ควรท�ำ กิจกรรมอะไร” ผู้สอนใช้การทดสอบสั้น (quiz) เป็นเทคนิคท่ีช่วยได้ดี ทั้งยัง แกป้ ญั หาเดก็ เตรยี มอปุ กรณไ์ มพ่ รอ้ มไดอ้ กี ดว้ ย ครเู รม่ิ จากเงอ่ื นไขทวี่ า่ เมอ่ื ถงึ เวลา บ่ายโมงตรงทุกคนต้องเตรียมสมุดและเคร่ืองเขียนพร้อมสอบ หากช้าจะงดการ เขา้ สอบ ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมาเขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลาทกุ คนดว้ ยความพรอ้ ม จากนน้ั ครจู งึ ทดสอบผู้เรียนด้วยแบบทดสอบทไี่ ม่ยากเกนิ ไป ทส่ี �ำคญั คือ รวบความรู้สำ� คญั จาก ครั้งท่ีแล้วน�ำมาวัดความเข้าใจกันส้ันๆ ด้วยการตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ หรืออาจเป็น ตวั เลอื ก A หรอื B กไ็ ด้ ซงึ่ วธิ นี เี้ ปน็ ทงั้ การสรา้ งความตน่ื ตวั และการเตรยี มความพรอ้ ม ไปพรอ้ มกนั และเมอ่ื เจอขอ้ สอบทไ่ี มย่ าก (เดก็ สว่ นใหญท่ ำ� คะแนนไดเ้ ตม็ ) เดก็ จะมี ความผอ่ นคลาย และมน่ั ใจวา่ ตนเองมคี วามรมู้ ากพอสำ� หรบั เรยี นตอ่ ยอดในคาบนนั้ ๆ หวั ใจสำ� คัญคือ ตอ้ งใช้เวลากระชับ และข้อสอบไมย่ ากไม่คลมุ เครอื สามารถเฉลย รว่ มกนั ไดท้ นั ทภี ายในเวลา ๑๐ นาที แบบทดสอบสั้นท่ีครูใช้เป็นเคร่ืองมือดึงความรู้จากการเรียนรู้ในคร้ังก่อน เพื่อต่อยอดไปสู่ความรู้เร่ืองต่อไปที่มีความเกี่ยวเน่ืองเช่ือมโยงกันกับความรู้เดิม • 198 •
จากการปรบั ปรงุ ตนเองในเรอื่ งเวลา โดยนำ� เทคนคิ จากบทความสอนเขม้ เพอ่ื ศษิ ย์ ขาดแคลน ตอน จัดการตัวถ่วงสมอง มาปรับใช้นั้นครูเปียพบว่า ตนเองจะต้อง ท�ำการบ้านมากข้ึนในการหารูปแบบกิจกรรมที่กระชับ และกระตุ้นการเรียนรู้ได้ดี มาใช้ และหากสามารถท่ีจะปฏิบัติตามแผนโครงสร้างเวลาที่ออกแบบเอาไว้ได้ ครูก็จะพบว่าผลทเ่ี กิดน้นั น่าชน่ื ใจ ดงั ภาพ AAR ด้านลา่ งนี้ แบบสะท้อนการเรียนรู้ของเด็กหญิงชนกชนม์ ปิยะวัฒนกุล ในคาบเรียนท่ีครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ตามโครงสร้างเวลา โดยเน้นออกแบบกิจกรรมที่ท�ำให้ผู้เรียนเกิดเรียนรู้ร่วมกันภายในเวลาท่ีก�ำหนด • 199 •
แบบสะท้อนการเรียนรู้ของเด็กหญิงคณัสมน คุณะเพิ่มศิริ แบบสะท้อนการเรียนรู้ของเด็กหญิงปวริศา มุรธาทิพย์ • 200 •
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304